Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สมถกรรมฐานทีปนี ปริจเฉทที่๙

สมถกรรมฐานทีปนี ปริจเฉทที่๙

Published by WATKAO, 2021-01-22 07:08:58

Description: สมถกรรมฐานทีปนี ปริจเฉทที่๙

Keywords: สมถกรรมฐานทีปนี ปริจเฉทที่๙

Search

Read the Text Version

บรรยายโดย อ. อาณัติชัย เหลืองอมรชัย บนั ทึกการสอน โดย ศรชัย ชยาภิวัฒน - ๒๕๕๑

หนา สารบญั หนา หนา ๑. สิ่งที่ควรรูในสมถกรรมฐาน -๑ ๘. พระบาลที ่ี ๗ แสดงอสภุ ะ ๑๐ พรอมแนวทางปฏิบัติ - - ๓๖ ๑๑. พระบาลที ี่ ๑๐ แสดงอาหาเรปฏิกูลสญั ญา -๒ ๑) ความแตกตา งของกรรมฐาน - -๒ ๑) อสุภะ ๑๐ ประเภท - - - - - ๓๗ พรอ มแนวทางปฏิบตั ิ - - - - ๘๔ -๓ ๒) เนือ้ ความท่ีตองเรยี น - - -๔ ๒) การจดั อสุภะ และการเพง -- - - ๓๗ ๑) วธิ พี จิ ารณาปฏกิ ูลสญั ญา - - ๘๖ -๕ ๓) สิง่ ท่ีควรรใู นสมถะ - - ๓) อสุภะ ๒ นยั - - - - - - ๓๙ เกดิ ในการบรโิ ภคอาหาร ๑๐ ประการ ๔) ตารางสมถกรรมฐาน ๔๐ - ๒) กระบวนการยอยอาหาร - - ๘๗ ๕) สรุปกรรมฐาน ๔๐ แบบโครงสราง ๙. พระบาลีท่ี ๘ แสดงอนสุ สติ ๑๐ พรอมแนวทางปฏบิ ตั ิ - - ๔๐ ๓) เปรียบเทียบอาหเร.กับปริญญา ๓ - ๘๘ ๑) พทุ ธานุสสติ - - - - ๖) กรรมฐาน ๔๐ โดยภมู ิ อารมณ จรติ ๒) ธัมมานุสสติ - - - - - - ๔๐ ๓) สงั ฆานุสสติ - - - - ๔) สลี านสุ สติ - - - - - - ๔๓ ๑๒. พระบาลีท่ี ๑๑ แสดงจตุธาตวุ วัตถาน ๕) จาคานุสสติ - - - - ๒. พระบาลีที่ ๑ คําปฏญิ ญาของพระอนรุ ุทธาจารย - ๖ ๖) เทวตานุสสติ - - - - - - ๔๕ พรอ มแนวทางปฏิบตั ิ - - - - ๘๙ ๗) อุปสมานสุ สติ - - - - ๘) มรณานสุ สติ - - - - - - ๔๘ ๑) การพจิ ารณาโดยยอ โดยพสิ ดาร - ๘๙ ๙) กายคตาสติ - - - - ๓. พระบาลที ่ี ๒ แสดงสมถกรรมฐาน ๗ หมวด - ๑๔ ๑๐) อานาปานสั สติ - - - - - - ๕๐ ๒) การพิจารณาธาตุ ๔๒ โดยอาการ ๑๓ - ๙๐ - - ๕๒ ๓) อานสิ งส ๘ อยาง - - - ๙๔ ๔. พระบาลีท่ี ๓ แสดงถงึ จริต ๖ - - - ๑๔ - - ๕๓ - - ๕๕ ๑๓. พระบาลที ่ี ๑๒ แสดงอารุปป ๔ - - - ๙๕ ๕. พระบาลที ่ี ๔ แสดงถึงภาวนา ๓ - - - ๑๙ - - ๕๘ ๖. พระบาลีที่ ๕ แสดงถึงนมิ ิต ๓ - - - ๑๙ - - ๖๕ ๑๔. ตารางสรุปสมถกรรมฐาน ๔๐ - - - ๙๕ ๗. พระบาลีท่ี ๖ แสดงกสณิ ๑๐ - - - ๒๑ ๑๐. พระบาลีท่ี ๙ แสดงอปั ปมัญญา ๔ พรอมแนวปฏบิ ัติ - ๗๓ - - ๗๔ ๑) บพุ พกิจ ๗ อยา ง - - - ๒๓ ๑) อปั ปมัญญาอยา งแท และอยางเทียม - - - ๗๗ - - ๗๘ ๒) ข้ันตอนการเจริญใหส ําเรจ็ ปฐมฌาน - ๒๓ ๒) คาํ แผเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา - - - ๘๐ - - ๘๑ ๓) ขัน้ ตอนปฏิบตั ิเพื่อใหไดฌ านสงู ข้นึ - ๒๙ ๓) เมตตา - - - - - - - ๘๒ ๖) อรปู ฌาน - - - - ๓๐ ๔) กรณุ า - - - - - ๗) การเพง กสิณ - - - - ๓๔ ๕) มทุ ติ า - - - - - ๘) คณุ วเิ ศษของกสณิ ๑๐ - - - ๓๕ ๖) อเุ ปกขา ----

-1- ความแตกตางของกัมมฐานท้ัง ๒ นัย พอสังเขป สมถกมั มฐาน วปิ ส สนากมั มฐาน ๑) สภาวะ เปนไปดว ยอาํ นาจแหง สมาธิ ๑) สภาวะ เปน ไปดว ยอาํ นาจแหงปญญา ๒) อารมณ อารมณก รรมฐานมี ๔๐ อยาง มี กสิณ ๑๐ เปน ตน ๒) อารมณ อารมณเปน ไปโดยสภาวปรมตั ถ และเปนไปโดยสติปฏฐาน ๔ ๓) ลักษณะ มคี วามไมฟ ุงเปน ลกั ษณะ ๓) ลกั ษณะ มกี ารรแู จงตามความเปน จรงิ ตามสภาวธรรม ๔) รส ( กจิ ) กําจดั นวิ รณธรรมโดยความเปน วิกขัมภนปหาน (เหมอื นหินทบั หญา ) ๔) รส ( กจิ ) กาํ จัดอวิชชาทป่ี ดบังความเปน จรงิ ในสภาพธรรม เปน สมุจเฉทปหาน ๕) ปจ จุปฏ ฐาน (ผล) มีความไมห วัน่ ไหว ตั้งมน่ั ในอารมณเดียวเปน ผล ( ปฏิบัตแิ ลว เหน็ สุข ) ๕) ปจจปุ ฏฐาน (ผล) การไมเหน็ ผิดในสภาพธรรมเปน ผล ( ปฏิบัตแิ ลวเห็นทกุ ข ) ๖) ปทฏั ฐาน (เหตุใกล) มสี ุขเวทนาเปน เหตุใกล ๖) ปทฏั ฐาน (เหตใุ กล) มสี มาธิ อันไดแ ก ขณกิ สมาธิ เปนเหตใุ กล ๗) อานิสงส - ยังไมไ ดฌาน > ความสุขในปจ จุบัน ๗) อานสิ งส - ยังไมไดฌ าน > เขา ถึงความสขุ อยางแทจรงิ - ไดฌ าน > ไดอภิญญา, ไดฌานสมาบัติ - ไดฌ าน > ผลสมาบัต,ิ เปนพระอรยิ บคุ คล > เกดิ เปน พรหม ๘) การปฏบิ ตั ิ ใช ๓ ทวาร คือ ตา, กาย, ใจ เปน อารมณ ( เสียงเปนขาศกึ ตอการเจรญิ สมถะ ) ๘) การปฏบิ ัติ ใชทวารท้ัง ๖ เปน อารมณ ( เปน อารมณ / ผรู อู ารมณ ) ๙) จริต - ตัณหาจริต > ปญญานอย = กายานุปส สนา ๙) จริต ราค., โทส., โมห., ศรัทธา., พุทธิ., วิตก. > ปญญามาก = เวทนานปุ สสนา - ทิฏฐิจรติ > ปญ ญานอย = จติ ตานปุ ส สนา > ปญญามาก = ธมั มานปุ สสนา * นิโรธสมาบัติ เปนผลของ ๒ กรรมฐาน คือ สมถะ เขาถงึ อรูปฌานขน้ั เนว. , วิปส สนา ตัง้ แตพ ระอนาคามี. ขน้ึ ไป จงึ จะสามารถเจริญนิโรธสมาบตั ไิ ด

-2- เน้อื ความที่ตองเรยี นใน กัมมัฏฐาน วิปส สนาภาวนา สมถภาวนา - ปรติ ตสมถะ > สมถะท่ยี ังเขา ไมถ ึง - บาลขี อ ท่ี ๒ : สมถะ ๗ หมวด - สังขารปริคคัณหณก - วสิ ทุ ธิ ๗ - ผลสมาปต ติ - ลักษณะ ๓ อปั ปนา ( ๑๐, ๑๐, ๑๐, ๔, ๑, ๑, ๔ ) - นิโรธสมาปตติ - อนุปสสนา ๓ - วิปสสนาญาณ ๑๐ - มหัคคตสมถะ > สมถะท่เี ขาถึงอัปปนา > บาลีขอ ท่ี ๖ : กสณิ ๑๐ > บาลขี อท่ี ๑๐ : อาหาเร. ๑ - วิโมกข ๓ ( เปนพระอริยะแลว ) - วโิ มกขมุข ๓ ( ประตูเพื่อความหลดุ พนใหเ ขาถงึ พระอรยิ ะ ) > บาลีขอที่ ๗ : อสุภ ๑๐ > บาลขี อ ที่ ๑๑ : ธาต.ุ ๑ > บาลขี อ ท่ี ๘ : อนุสสติ ๑๐ > บาลีขอท่ี ๑๒ : อารุปป. ๔ > บาลขี อที่ ๙ : อัปปมัญญา ๔ สิ่งท่คี วรรูใ นสมถะ - บาลขี อ ที่ ๓ : จริต ๖ - บาลีขอ ที่ ๑๗ : ความเกีย่ วเน่ืองของภาวนา ๓ และนมิ ิต ๓ จนถึงปฐมฌานเกิด - บาลีขอท่ี ๔ : ภาวนา ๓ บรกิ รรมภาวนา ๔๐ บรกิ รรมนิมติ -ตา อคุ คหนมิ ติ -ใจ ปฏภิ าคนิมติ -ใจ ปริ อุ นุ โค ปฐมฌาน อปุ จารภาวนา ๑๐ อัปปนาภาวนา ๓๐ ม.ก.ุ ส.ํ ๔ บริกรรมภาวนา (เอกัค.ม.ก.ุ ๘) อปุ จารภาวนา (เอกคั .ม.ก.ุ ๘) อัปปนาภาวนา - บาลขี อ ที่ ๕ : นิมติ ๓ บรกิ รรมนมิ ิต - บาลีขอ ท่ี ๑๘ : แสดงฌานเบื้องสงู มีทตุ ยิ ฌาน เปนตน โดยการฝกวสี ๕ อคุ คหนมิ ิต - บาลีขอท่ี ๑๙ : แสดงกรรมฐานท่เี หลืออีก ๘ คอื อัปปมญั ญา ๔, อรุปป. ๔ ที่เขา ถึงอปั ปนา. ปฏิภาคนมิ ติ - บาลขี อ ท่ี ๒๐ : แสดงกรรมฐาน ๑๐ ทไ่ี ดเพียง อุปจารภาวนาเทา น้ัน - บาลีขอ ท่ี ๒๑ : แสดงการเกิดขน้ึ ของอภญิ ญา - บาลีขอ ที่ ๑๓ : สปั ปายเภท > แสดงกัมมัฏฐาน ๔๐ โดยจริต ๖ - บาลขี อ ท่ี ๒๒ : แสดงอภิญญา ๕ ( ๗ กม็ ี ๘ ก็มี แตไ มแสดงในหลกั สูตร ) - บาลีขอ ที่ ๑๔ : ภาวนาเภท > แสดงกมั มัฏฐาน ๔๐ โดยภาวนา ๓ - บาลขี อ ที่ ๑๕ : แสดงการจาํ แนกกัมมฏั ฐาน ๓๐ ทเ่ี ขาถึงอัปปนา. โดยฌานทง้ั ๙ - บาลีขอ ท่ี ๑๖ : โคจรเภท (นิมิต ) > แสดงการจาํ แนกกัมมฏั ฐาน ๔๐ โดยนมิ ติ ๓

อารมณ ๒ ภาวนา ๓ นมิ ติ ๓ รปู . ฌาน ๕ อรูป. ฌาน ๔ -3- บร.ิ ภา อปุ .ภา อปั .ภา บริ.ภา ๔๐ อปุ .๔๐+อปั .๓๐ ไดแคปฐมฌาน เพราะ เปนอารมณหยาบ สมถกรรมฐาน ๔๐ ปรมตั ถ บญั ญัติ ๔๐ ๔๐ ๓๐ บร.ิ + อคุ . ปฏ.ิ ๓๐ ป. ท. ต จตุ. ปญ. อา. วญิ . กิญ. เน. ตองมีวติ กชว ย ในทตุ ยิ ฌาน ตรง ปริ. ตรง ปร.ิ ไมมวี ติ กจึงไปไมไ ด ๑) กสิณ ๑๐ - ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ - ๑๐ - ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑ ๑ ๑ ๑ ๒) อสุภ ๑๐ - ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ - ๑๐ - ๑๐ - - - - - - - - ๓) อนสุ สติ ๑๐ > อนสุ สติ 8 ( ภาพ) 8 - 8 8 - - 8 - - - - - - - - - - - - ต,ี สี, จา, เท, อ,ุ ม. > กายคตาสติ ๑ ( ภาพ) ( วปิ ส) ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ - ๑ - ๑ - - - - - - - - > อานาปานสั สติ ๑ ( ภาพ) ( วิปส) ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ - ๑ - ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ - - - - ๔) อัปปมญั ญา ๔ ( ภาพ) ๔ ๔ ๔ ๔ - ๔ - ๔ ๓ (-อ.ุ ) ๓ (-อุ.) ๓ (-อ.ุ ) ๓ (-อ.ุ ) ๑ อุ. - - - - > เม., กรุ., มุ., อ.ุ ๕) อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1 1-11- -1- - - - - - - - - - - ๖) จตธุ าตวุ วัตถาน 1 1-11- -1- - - - - - - - - - - ๗) อารุปป.๔ ๔๔๔ - ๔ - ๔ > อา., กิญ. ( ภาพ) - ๒ - - - - -๑-๑- > วญิ ., เน. 2- ------1-1 รวม 12 ๒๘ ๔๐ 10 ๓๐ ๓๐ ๒๒ ๑๘ ๒๒ ๘ ๒๕ ๑๔ ๑๔ ๑๔ ๑๒ ๑) อารมณบญั ญัติ ตองมีภาพปรากฏ ( เวน อัปปมญั ญา เปนสตั วบัญญตั ิ แตไ มมภี าพ ) ๒) อารมณใ ดเปน บญั ญตั ิ เขา ถงึ อัปปนาภาวนา ไดทั้งหมด ๓) วญิ , เนว. เปนปรมัตถ แตเขา ถึง ฌาน ได เพราะ ๑. อาศัยการท้ิงอารมณเ กาที่หยาบ เพอ่ื ใหไ ดฌ านท่สี งู ขน้ึ ๒. อารมณเกา ท่ีท้งิ นัน้ เปนบญั ญตั ิ ๔) อารมณที่เปน ปรมตั ถ จะไปไดถ งึ อปุ จาร. เทา นนั้ ไมม ีโอกาสได ฌาน อารมณท่เี ปน บัญญตั ิ จะไปไดถงึ ๓ ภาวนา ๓ นิมิต และไดถงึ ฌาน

-4- สรปุ กรรมฐาน ๔๐ แบบโครงสราง เขา ถงึ อปุ จาร. 10 ( 8, 1, 1 ) เขาถงึ อัปปนา. 2 ( วิญ., เน. ) แบงได ๗ หมวด ปรมัตถ 12 เขาถงึ อปั ปนา.๒๘ * อารมณป รมตั ถ 12 ภาวนา > อปุ จา. อัปปนา.-โลกีย. อปั ปนา.-โลกตุ . ๑๐, ๑๐, ๑๐, ๔ / ๑, ๑, ๔ ( 8, 1, 1, 2) กรรมฐาน ๔๐ อัปปนาภาวนา ๓๐ > อนสุ สติ 8 - ต,ี ส,ี จา, เท, ม (อารมณ ๓๔ / อารัมมณกิ ๖) บัญญัติ ๒๘ - อปุ สมา ๑.สมถะ ( ๑๐, ๑, ๑๐, ๑, ๔, ๒) วาโดยภาวนา + นิมิต ๒.วิปสสนา > วิญ., เน. บรกิ รรมภาวนา (๔๐) อปุ จารภาวนา (๑๐ /๔๐) + อัปปนาภาวนา (๓๐) > อาหาเรปฏกิ ูลสญั ญา > จตุธาตวุ วัตถาน บริกรรมนิมติ + อุคคหนมิ ิต ปฏิภาคนิมิต รปู ฌาน ๒๖ อรปู ฌาน ๔ ** ตองอาศยั ธรรม ๒ ขอ จงึ จะเขา ถงึ อปุ จารภาวนา โดยตรง โดยปรยิ าย โดยตรง นบั อนโุ ลมสงเคราะห ( บญั ญัติ ๒๖ ) ( บัญญตั ิ ๒, ปรมัตถ ๒ ) ๑) ความลกึ ซงึ้ สขุ ุมในสภาพธรรม ถาไมพบสภาวะ ก็ไดเพยี งบรกิ รรมภาวนา ๒๒ ๑๘ ๒๒ ๘ ปฐม. ทุต-ิ จตุ ปญจ. อา วญิ กิญ เน เชน ตี (พุทธา, ธัมมา, สงั ฆา ) = ศลี สมาธิ ปญญา กสิณ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๔ ๓ ๒ ๑ กสณิ ๑๐ อนุ 8 กสิณ ๑๐ อานา ๑ ๑ ๑ บญั ปร บญั ปร สลี านุสสติ = ศลี กุศลจิตตปุ บาท อสภุ ๑๐ - - อานา ๑ อาหา 1 อานา ๑ เทวตานสุ สติ = เขา ถึงสภาพธรรม ๗ หมวด อสภุ ๑๐ จตุ 1 อสุภ ๑๐ ๒) อาศยั ความกวางขวาง พิจารณาในธรรมทกุ บท กาย ๑ อปั ๔ กาย ๑ อปั ๔ กาย ๑ - - ** ปรมตั ถ ไมสามารถถงึ อัปปนาภาวนา ไดแคอ ปุ จารภาวนาเพราะ อารปุ ๔ อารุป ๔ อปั .๔ ๓ ๓ ๑ ปรมตั ถ = ปญ ญา + สมาธิ ทําใหส มาธไิ มแรง เนือ่ งจากปญญาดงึ สมาธไิ ว ๒๕ ๑๔ ๑๒ จึงเจรญิ ไปไดแ คอปุ จารภาวนา ๑) ภาวนา ๓ นิมิต ๓ โดยตรง ( ภาพ ) จริต โดยสังเขป มี ๖ ( ไดใ นมนุษยเทา นั้น ) จรติ โดยพสิ ดาร มี ๖๓ กรรมฐาน ๔๐ วา โดยภูมิ ราคะ ๑๑ (อสุ.+กาย.) ศรทั . ๖ (อนสุ .ขา งตน ตี สี จา เท.) มน.ุ เทว. รปู . อรูป. * ปฐม. บรกิ รรมภาวนา บริกรรมนมิ ติ โทสะ ๘ (อปั .+วัณ.) พุทธิ. ๔ (อปุ .+มรณ.+อาหา.+จต.ุ ) สทุ ธ ๑๔ มิสสก ๔๙ ๔๐ ๒๘ ๒๗ ๔ โมหะ ๑ (อานา.) วติ ก. ๑ (อานา.) อุปจารภาวนา อุคคหนมิ ิต มลู ๗ มูลี ๗ -อส.ุ -อสุ. ท่วั ไป ๑๐ ( มหาภ.ู ๔ อากาส.๑ อาโลก.๑ อารปุ .๔ ) -กาย. -กาย. อปั ปนาภาวนา ปฏภิ าคนิมิต > เอกมูล ๓ x เอกมูล ๓ > เอกมูล ๒๑ -อาหา. -อาหา. > ทวมิ ูล ๓ x ทวิมลู ๓ > ทวิมูล ๒๑ * ทุตยิ . เปน ตนไป = ๓ ภาวนา ปฏิภาคนิมิต > ตมิ ลู ๑ x ติมลู ๑ > ติมูล ๗ -อานา. ๒) ภาวนา ๓ นิมติ ๓ โดยปรยิ าย ( ภาพ ) บริกรรมภาวนา บรกิ รรมนมิ ิต อุปจารภาวนา อคุ คหนิมติ อัปปนาภาวนา

-5- ** นมิ ติ โดยตรง มีสารสาํ คัญในการพิจารณา คอื เพงองคก รรมฐาน บรกิ รรมนมิ ิต อคุ คหนิมิต ปฏิภาคนมิ ิต ๑) มีการกระทบ มภี าพปรากฏทางตาสทู างใจ ๒) นิมติ นั้นเปลยี่ นไปตามกาํ ลงั ของภาวนา ๓ ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ... ช ต ต ภ ภ น ท ม ช ... ช ภ ภ น ท ม ช ... ช ภ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ** นิมติ โดยปริยาย ๑) ไมมีการเพง (ไมมีภาพ ) ไมมีการกระทบ จกั ขุ บริกรรมภาวนา อปุ จารภาวนา อปั ปนาภาวนา ๒) อารมณย งั คงเดิมขณะที่ภาวนา มีกาํ ลังมากข้ึน กรรมฐาน ๔๐ โดยภมู ิ และอารมณ กรรมฐาน ๔๐ โดยจริต ๖ กรรมฐาน ๗ หมวด มนุ. เทว. รปู . อรูป อารมณ อารัมมณกิ อากญิ จัญยายตนอารมณ ๑ อารมณ กรรมฐาน ๗ หมวด ราค. โทส. โมห. ศรัทธ. พุทธิ วิตก ท่วั ไป ๑) กสณิ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ - ๑๐ - นัตถภิ าวบัญญัติอารมณ ๒ อารมณ ๑) กสิณ ๑๐ ๔ อากาสานัญจายตนอารมณ ๓ อารมณ ๔ ๔ อารมณ -มหาภูตกสณิ ๔ อากาสบัญญตั ิอารมณ -วณั ณกสิณ ๔ -อากาสกสิณ ๑ ๑ ๒๗ > -อาโลกกสิณ ๑ ๑ ๒) อสุภ ๑๐ ๑๐ - - - ๑๐ - ( เวน อสุภ.๑๐ ๒) อสภุ . ๑๐ ๑๐ - กาย., อานา., ๓) อนสุ สติ ๑๐ ๓) อนสุ สติ. ๑๐ อาหา. ) -อนุสสติ ๘ (ตี, สี, จา, เท, อุ, ม.) ๘ ๘ ๘ - ๘ -ต,ี ส,ี จา, เท ๖ ๒๘ > -อุป, มรณ ๒ ( เวน อสภุ .๑๐ - กายคตาสติ ๑ ๑- - -๑ - กาย., อาหา. ) -กายคตาสติ ๑ ๑ - - อานาปานสั สติ ๑ ๑๑- -๑ - ๔๐ > -อานาปานสั สติ ๑ ๑๑ ๑ > ๔) อัปปมัญญา ๔ ( เม., กรุ., ม.ุ , อุ.) ๔ ๔ ๔ - ๔ ๑ ๔) อปั ปมัญญา ๔ ๔ ๔ ๕) อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ (สัญญาเจ.) ๑ - - - - ๖ ๕) อาหาเรปฏกิ ลู . ๑ ๑ ๖) จตธุ าตวุ วตั ถาน ๑ (ปญ ญาเจ.) ๑ ๑ ๑ - - ๖) จาตวุ วตั ถาน ๑ ๑ ๗) อารปุ ป.๔ ๔๔๔๔ - ๗) อารปุ ป.๔ ๔ ๔๐ ๒๘ ๒๗ ๔ ๓๔ รวมโดยเฉพาะ ๑๑ ๘ ๑ ๖ ๔ ๑ ๑๐ กรรมฐานรวมทว่ั ไป ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ > อส.ุ ๑๐ กาย. อาหา. > อสุ.๑๐ กาย. อาหา, อานา. รวมทง้ั หมด ๒๑ ๑๘ ๑๑ ๑๖ ๑๔ ๑๑

-6- 5 พระบาลที ่ี ๑ \" สมถวปิ สสฺ นานํ ภาวนานมโิ ต ปรํ ภาวนา : ธรรมทคี่ วรเจริญ คือใหเ กดิ ขนึ้ บอยๆ ในสันดานของตน กมมฺ ฏฐาน ปวกขฺ ามิ ทวุ ธิ มฺป ยถากฺกมํ ฯ \" มวี จนตั ถะวา \" ภาเวตพพฺ าติ = ภาวนา \" : ธรรมทีบ่ ัณฑติ ทง้ั หลาย พงึ ทําใหเ จรญิ ขึน้ เปน ครง้ั แรก และคร้ังหลังๆ ใหตดิ ตอ กนั เปน นิจจนถึงเจรญิ ขนึ้ ฉะนน้ั จงึ ชอื่ วา ภาวนา = ตามลาํ ดับ ๑) บรกิ รรมภาวนา ( ม.กุ.๘ ) = ๒ นัย ๒) อุปจารภาวนา ( ม.กุ.๘, ม.ก.ิ สํ.๔ ) = ขาพเจา ๓) อัปปนาภาวนา ( มหคั คต.ก.ุ = ฌานลาภบี ุคคล ) กมั มฏั ฐาน ปรจิ เฉทที่ ๙ ชอื่ วา กัมมฏั ฐานสงั คหะ เพราะมีการแสดงกรรมฐานท้ังหมด รวมอยูในปริจเฉทนี้ 5 ภาวนา มีโครงสรา งอยา งไร บริกรรมภาวนา ภาวนา มี ๓ อุปจารภาวนา อัปปนาภาวนา วาโดย ภาวนา มี ๒ คือ สมถภาวนา ๑. ปริตตสมถะ วปิ สสนาภาวนา ๑. สงั ขารปริคคณั หนกวปิ ส สนา ๒. มหคั คตสมถะ ๒. ผลสมาปตตวิ ปิ ส สนา วจนัตถะ วจนตั ถะ ๓. นโิ รธสมาปต ติวิปสสนา ๑) กิเลเส สเมตตี ิ = สมโถ ( น.๑๖ ) ๑) รปู าทิอารมฺมเณสุ ปฺญตฺตยิ า จ นิจฺจ สขุ อตฺต สุภ สฺญาย ( น.๑๗ ) ๒) จิตตฺ ํ สเมตีติ = สมโถ ( น.๑๗ ) จ วเิ สเสน นามรูปภาเวน วา อนิจจฺ าทอิ ากาเรน วา ปสฺสตตี ิ = วิปสฺสนา ๓) วติ กฺกาทิ โอฬารกิ ธมฺเม สเมตตี ิ = สมโถ ( น.๑๗ ) ( น.๑๘ ) ๒) ปจฺ กขฺ นเฺ ธสุ ววิ ิเธน อนิจฺจาทิอากาเรน ปสสฺ ตีติ = วิปสสฺ นา ( น.๑๘ ) ๓) วิเสเสน ปสสฺ ตีติ = วิปสสฺ นา

-7- วจนตั ถะ ( สมถะ ) ขอ ที่ ๑ \" กเิ ลเส สเมตตี ิ = สมโถ \" : ธรรมใดทําใหกิเลส มีกามฉนั ทนิวรณ เปน ตน สงบลง ฉะนนั้ ธรรมนนั้ ช่อื วา สมถะ ไดแก สมาธิ คอื เอกคั คตาทใ่ี น มหากศุ ลจติ ๘ และรูปาวจรปฐมฌานกุศลจิต ๑ มุงหมายปุถชุ น + พระอริยะตาํ่ ๓ ทเ่ี จรญิ สมถะ สําเรจ็ ในปฐมฌาน อาศยั ติเหตุกบคุ คล ความแกก ลา ของอนิ ทรียท ง้ั ๕ ( สทั ธินทรีย, สตนิ ทรีย, สมาธนิ ทรยี , วิริยนิ ทรยี , ปญญินทรยี  ) เพง ปถวี บรกิ รรมนมิ ิต อุคคหนมิ ติ ปฏิภาคนิมติ ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ อาทกิ ัมมกิ ฌาน เอกคั คตา --> ม.ก.ุ ๘ เอกคั คตา --> ม.ก.ุ ๘ เอกคั คตา --> ม.กุ.๘ ม.กุ.ส.ํ ๔ ( สว นตน ) ( สวนปลาย ) ปฐมฌานกศุ ล. ๑ บรกิ รรมภาวนา อุปจารภาวนา อัปปนาภาวนา = ฌานลาภีบคุ คล ( ตทังคปหาน -> ขม นวิ รณ ) ( วกิ ขัมภนปหาน ) วจนัตถะ ( สมถะ ) ขอที่ ๒ \" จติ ฺตํ สเมตีติ = สมโถ \" : ธรรมใดทําใหจิตที่ไมส งบ เนื่องมาจากการไดร ับอารมณหลายๆ อยางสงบลง มาตั้งมน่ั อยูในอารมณอ ันเดียว ฉะน้นั ธรรมนน้ั ชอ่ื วา สมถะ ไดแก สมาธิ คือ เอกัคคตาท่ใี น มหากิริยาจิต ๘ และ รูปาวจรปฐมฌานกริ ยิ าจิต ๑ มงุ หมายพระอรหันต ทต่ี องการใหจ ติ สงบในอารมณเดยี ว มใิ ชม งุ หมายในการปหานกิเลส สรปุ วจนตั ถะ ที่ ๑ + ๒ มี ๓ ภาวนา ๓ นิมิต คอื - เหมอื นวิถีในวจนัตถะที่ ๑ แตเ ปล่ียน ม.กุ.๘ เปน ม.ก.ิ ๘ และปฐมฌานกศุ ล. ๑ เปน ปฐมฌานกริ ิยา. ๑ > ภาวนา = ๑. บริกรรมภาวนา ๒. อปุ จารภาวนา ๓. อปั ปนาภาวนา - อุปจาร. ตอ งการใหตั้งม่นั ในอารมณเดยี ว มไิ ดตอ งการเพ่ือตัดกเิ ลส > นิมติ = ๑. บริกรรมนมิ ติ ๒. อุคคหนิมติ ๓. ปฏภิ าคนมิ ิต วจนัตถะ ( สมถะ ) ขอที่ ๓ \" วติ กฺกาทิ โอฬาริกธมเฺ ม สเมตีติ = สมโถ \" : ธรรมใดทําใหอ งคฌานชนิดหยาบมวี ติ ก เปน ตน สงบลง คอื ไมใ หเ กิด ฉะน้ัน ธรรมนัน้ ชอื่ วา สมถะ ไดแ ก สมาธิ คือ เอกคั คตาทใ่ี น ทุติยฌานกุศล / กิรยิ า เปน ตน จนถงึ ปญ จมฌานกุศล / กิรยิ า มงุ หมายปถุ ุชน + พระอรยิ ะบุคคล ๔ ทเ่ี จริญฌานไดส ูงข้นึ ( โดยการละองคฌานอยางหยาบๆ ออก เพื่อใหไ ดฌานสงู ขึ้น ) และฌานจะสูงขึ้นไดต อ งอาศยั ๑. ความเบ่ือหนา ยในฌานเดมิ ๒. เหน็ ฌานเดมิ เปน ของหยาบ * แสดงโดยวิถี เพง ปฏิภาคนิมิต เพง ปฏภิ าคนิมิต ปฏภิ าคนมิ ติ องคฌ าน ๔ ละวิตก (ฌานเบ้ืองสูง ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ เริ่มทางใจเทา น้ัน ) เอกัค. -> ม.ก.ุ / กิ. ๘ เอกัค. -> ม.กุ./ ก.ิ ๘ เอกัค. -> ม.กุ./ก.ิ ๘ ม.กุ./ก.ิ สํ. ๔ บรกิ รรมภาวนา อุปจารภาวนา ทุตยิ ฌานกุ./ กิ. ๑ = ฌานลาภีบคุ คล * เชค็ วา ไดถ งึ อุปจาร. หรือไม ๑) ถอนจากอุปจาร. เขา ปฐมฌาน --> องคฌ าน ๕ ปรากฏ ๒) เขาปจ จเวกขณะ (ของฌาน) - เริม่ เหน็ ความเบือ่ หนา ยในวิตก สรปุ วจนตั ถะที่ ๓ มี ๓ ภาวนา ๑ นมิ ติ - เหน็ ความหยาบของวติ ก และองคฌาน ๔ ทเ่ี หลอื ละเอยี ด ( บริ. + อุป. + อัป. = ปฏภิ าคนมิ ติ )

-8- 5 สมถภาวนา มี ๒ คอื ๑) ปริตตสมถะ - สมถะของบคุ คลท่ียังไมเ ขา ถึงอปั ปนา ๒) มหัคคตสมถะ - สมถะของบุคคลทีเ่ ขาถึงอัปปนาแลว เพง กรรมฐาน บริกรรมนิมติ อุคคหนิมติ ปฏิภาคนิมติ ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ เอกัค. --> ม.ก.ุ /กิ.๘ เอกัค. --> ม.กุ./ก.ิ ๘ เอกคั . --> ม.กุ./กิ.๘ ม.ก.ุ /กิ.ส.ํ ๔ บรกิ รรมภาวนา อปุ จารภาวนา อปั ปนาภาวนา [ ปริตตสมถะ ] [ มหัคคตสมถะ ] 5 วปิ สสนาภาวนา ๑) รปู าทิอารมมฺ เณสุ ปฺญตตฺ ยิ า จ นจิ ฺจ สขุ อตตฺ สุภ สญฺ าย จ วเิ สเสน นามรูปภาเวน วา อนิจจฺ าทอิ ากาเรน วา ปสสฺ ตตี ิ = วปิ สสฺ นา : ธรรมชาตใิ ด ยอ มเห็นแจงในอารมณต างๆ มีรูปารมณ เปนตน โดยความเปน นาม รปู ทพ่ี ิเศษนอกออกไปจากบัญญัติ โดยการละท้งิ สัททบัญญตั ิ อตั ถบัญญตั เิ สยี ส้ิน และยอมเหน็ แจง ในอารมณต า งๆ มีรูปารมณ เปนตน โดยอาการเปน อนิจจะ ทุกขะ อนตั ตะ อสุภะ ทพ่ี ิเศษนอกออกไปจากนจิ จสญั ญาวิปลลาส สขุ สญั ญาวิปลลาส อตั ตสัญญาวปิ ลลาส สุภสญั ญาวิปล ลาส ฉะน้นั ธรรมชาติน้ันช่ือวา วิปสสนา ไดแ ก ปญญาเจตสิก ทใี่ น มหากศุ ล มหากริ ิยา ๒) ปฺจกฺขนเฺ ธสุ วิวเิ ธน อนิจฺจาทิอากาเรน ปสฺสตตี ิ = วิปสสฺ นา : ธรรมชาติใด ยอมเหน็ แจงในขนั ธ ๕ โดยประการตางๆ มี อนจิ จะ ทุกขะ อนัตตะ อสุภะ ฉะน้ัน ธรรมชาตินั้นชอ่ื วา วปิ สสนา ไดแก ปญ ญาเจตสิก ทใ่ี น มหากศุ ล มหากิริยา \" วิปสสฺ นา \" แยกบทได วิ + ปสสฺ นา - วจนัตถะที่ ๑ > วิ แปลวา พิเศษ, ปสฺสนา แปลวา ความเหน็ แจง รวมแลวแปลวา ความเหน็ แจง เปน พเิ ศษ ดงั วจนัตถะวา วิเสเสน ปสสฺ ตีติ = วปิ สสฺ นา : ธรรมชาติใด ยอ มเหน็ แจง เปน พเิ ศษ ฉะน้ัน ธรรมชาตินั้นช่อื วา วปิ ส สนา - วจนัตถะท่ี ๒ > วิ หมายความวา ประการตา งๆ (อนจิ จะ ทุกขะ อนตั ตะ อสภุ ะ ), ปสสฺ นา หมายความวา ความเห็นแจง รวมแลวแปลวา ความเห็นแจง โดยประการตา งๆ มอี นจิ จะ เปนตน

-9- วจนัตถะ ( วปิ สสนา ) ท่ี ๑ แบงได ๒ ตอน คือ รูปาทิอารมฺมเณสุ ปฺญตฺตยิ า จ นิจจฺ สขุ อตฺต สุภ สญฺ าย ละแลว เขา ถงึ จ วิเสเสน นามรปู ภาเวน วา อนจิ ฺจาทิอากาเรน วา ปสฺสตตี ิ = วปิ สสฺ นา ตอนท่ี ๑ รูปาทิอารมฺมเณสุ ปฺญตตฺ ยิ า วิเสเสน นามรปู ภาเวน ปสสฺ ตีติ = วิปสสฺ นา : การเห็นแจงเปน พิเศษในอารมณตา งๆ ทีม่ าปรากฏทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยความเปน รปู นาม ประการหน่งึ ตอนท่ี ๒ รูปาทอิ ารมมฺ เณสุ นิจจฺ สขุ อตฺต สุภ สฺญาย วิเสเสน อนิจฺจาทอิ ากาเรน ปสสฺ ตตี ิ = วปิ สสฺ นา : การเหน็ แจงเปนพิเศษในอารมณต างๆ ท่มี าปรากฏทาง ตา หู จมกู ลน้ิ กาย ใจ โดยความเปน อนจิ จะ ทุกขะ อนัตตะ อสภุ ะ ประการหน่ึง ๑) เบื้องตนมีสภาวปรมตั ถ แตไปรบั บญั ญัติ สัททารมณ ปจจุบันอารมณ อตีตคั คหณวถิ ี (รบั บญั ญัติ) สมูหคั คหณวถิ ี นามคั คหณวถิ ี อัตถัคคหณวิถี ภ ตี น ท ป โสต สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... โสตปสาท ปรมตั ถ บัญญตั ิ (เอาอดตี มาเปน อารมณ) สัททบัญญตั ิ อตั ถบญั ญัติ ตกกระแสปจ จบุ ัน ๒) เหน็ สภาวะ เขา ถึงสภาวะ ดวยปจจบุ นั อารมณ แสดงวาเร่ิมละบญั ญตั ิเขา ถงึ \" นามรปู ปรจิ เฉทญาณ \" วปิ สสนาภมู ิ ๖ รูปนาม ปจจบุ ันอารมณ ๑) ขนั ธ ๕ ๑) อาศยั อารมณทป่ี รากฏอยเู ฉพาะหนา ๒) อายตนะ ๑๒ ๒) ตองไมใชอารมณท ีก่ ระทําใหเกดิ ขน้ึ ๓) ธาตุ ๑๘ ๓) ตองรจู กั แยกแยะบัญญัติเปน อยางไร สภาพปรมตั ถเ ปนอยา งไร ๔) อินทรีย ๒๒ ๔) จบั อารมณปจจุบนั ๕) สจั จ ๔ ๕) ตองเปน การทําลายอภิชฌา + โทมนัส เสมอ ๖) ปฏจิ จสมุปบาท ๖) ตอ งเปนไปตามสติปฏฐาน ๔

๓) มีสภาวะแตเหน็ อาการของบญั ญัติ ญาณ ๑๖ - 10 - นามรูปปริจเฉท., ปจ จยปรคิ คห. วปิ สสนาญาณ ๑๐ โคตรภ.ู , มัคค., ผล., ปจ จเวกขณะ. สมั มสน., อทุ ยพั ., ภงั ค., ภย., อาทีนว., นิพพิทา., มุญจิตกุ ัมยตา., ปฏสิ ังขา., สงั ขารุเปกขา, อนุโลม. มรี ปู นามเปนอารมณ มีพระนิพพานเปน อารมณ ญาณทม่ี ีไตรลกั ษณเ ปนอารมณ สตปิ ฏ ฐาน ๔ ละวปิ ล ลาสธรรม เขา ถงึ วปิ สสนาญาณ ๑๐ สภุ สัญญาวิปล ลาส สขุ สัญญาวปิ ลลาส นิจจสญั ญาวปิ ล ลาส อตั ตสัญญาวปิ ลลาส ทาํ ลาย ทาํ ลาย ทาํ ลาย ทําลาย อส0ุภลกั ษณะ ทุก0ขลกั ษณะ อน0ิจจลกั ษณะ อน0ตั ตลกั ษณะ เห็น เหน็ เหน็ เห็น กายา. เวทนา. จิตตา. ธัมมา. รปู ขนั ธ เวทนาขนั ธ วิญญาณขันธ สัญญา + สังขารขนั ธ วจนัตถะตอนที่ ๑ วจนตั ถะตอนที่ ๒ ( วปิ สสนาเทยี ม - เห็นแจงโดยรปู นาม ) ( วปิ สสนาแท - เห็นแจง โดยไตรลกั ษณ )

- 11 - 5 วปิ ส สนา มี ๓ ประการ ( น. ๒๑ ) ๑) สงฺขารปริคฺคณหฺ นกวปิ สฺสนา คือ วปิ สสนาญาณทม่ี กี ารกาํ หนดรูใ นสงั ขารธรรม รูปนาม มีรปู นามเปน อารมณ ญาณ ๑๖ มนี ิพพานเปนอารมณ วปิ สสนาญาณ ๑๐ ( มไี ตรลักษณเปน อารมณ ) นามรูปปริจเฉท., ปจจยปริคคห. โค ม ผ ผ ... ปจ จเวกขณะ สัมมสน., อุทยพั .. ภังค., / ภย., อาทนี ว., นิพพทิ า., / มญุ จิตกุ มั ยตา., ปฏิสังขา., สงั ขาร.ุ , ..ภ น ท ม ปริ อุ นุ = จูฬโสดาบนั ตรุณ.* พลว. ตน .* ปลาย. อนโุ ลม. โค มัค. ผล. ปจจเวกขณะญาณ * หลังจากสาํ เรจ็ เปน โสดาบันแลว มนั ท.= ทนั ทา., ติกข.= ขปิ ปา. มี ๒ แนวทางปฏบิ ตั ิ คือ วปิ สสนูปกเิ ลส ผูท่ีจะเจริญใหมัคค.สูงข้ึน ทกุ ขาปฏปิ ทา ทนั ทาภิญญา < = วฏุ ฐานคามินี เปน โลกยี . (ถือวาดีเพราะ ( สก., อนา., อร. ) ทกุ ขาปฏิปทา ขิปปาภญิ ญา < ผทู ี่เขา ถงึ วฏุ ฐาน. ทมี่ ีอารมณ ๑) เขาโสดาผลสมาบัติ ถกู ทางแตไ มด ี จะมาเร่มิ ที่พลวอทุ ยพั พยญาณ เปน โลกตุ . ๒) เจรญิ มรรคสงู ขน้ึ จนถึง เพราะทาํ ใหต ดิ สุขาปฏปิ ทา ทนั ทาภิญญา < ตอ งไดมรรค = นพิ พาน ไมก า วตอ ไปใน สขุ าปฏปิ ทา ขิปปาภิญญา < แนนอน สกทาคามมิ รรค ญาณทีส่ งู ข้นึ ) ( น. ๒๑ ) ญาณปรญิ ญา ตรี ณปรญิ ญา ปหานปริญญา 2 ญาณทัสสนวิสุทธิ ทฏิ ฐิวสิ ทุ ธิ - / - กงั ขาวติ รณวิสุทธิ ๑ ญาณครึง่ ๘ ญาณคร่ึง มัคคามัคค ปฏิปทาญาณทัสสนวสิ ุทธิ ญาณทสั สน วสิ ทุ ธิ ๒) ผลสมาปตฺตวิ ิปสฺสนา คือ วปิ สสนาญาณท่ีเปน เหตุ ใหเ ขาผลสมาบัตไิ ด [ ผทู ี่จะเขาผลสมาบัติ จะตอ งเรม่ิ ตน ท่ี พลวอุทยัพพยญาณ เชน พระโสดาบัน ] พลว. สงั ขาร.ุ อนุโลม โค ออกจากสมาบตั ิ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม นุ นุ นุ นุ ผลเกิดดบั ... ภ ... เปนผลสมาบัติเพราะโสดาบนั ไดผลมากอ นแลว ไมไดม ีมคั คเปนปจ จัย แตเอาความแรงของวิปสสนาเปน ปจ จัย ผเู จริญใหม ตอ งเปนตกิ ขบุคคลเทานัน้ นอกจากโสดาบนั ท่ที าํ บอ ยๆ ชาํ นาญก็เขา แบบมันทะได ( เขา อยางชา ๆ )

- 12 - ๓) นิโรธสมาปตฺตวิ ิปสสฺ นา คอื วปิ ส สนาญาณที่เปนเหตุ ใหเขา นโิ รธสมาบัตไิ ด *ปฏิบตั ิ ๑. เพงปฏภิ าคนมิ ติ --> ปฐมฌาน --> ออก --> พจิ ารณาวิปส สนา ตัง้ แต พลว. --> สังขารุ. ๒. เพงปฏิภาคนิมิต --> ทุตยิ ฌาน --> ออก --> พิจารณาวิปสสนา ตัง้ แต พลว. --> สงั ขาร.ุ > บุคคล - เขา นโิ รธสมาบัติไดเฉพาะพระอนาคามี และพระอรหนั ต เทา นั้น ฯลฯ > ตองเขา ถึง - ฌาน ได สมาบตั ิ ๘ (จตุตถกนัย=รูป๔ -> อรูป๔ ) / ๙ (ปญ จกนยั =รูป๕ -> อรูป๔) - ญาณ ไดต ง้ั แตพลวอทุ ยัพพยญาณ > สงั ขารเุ ปกขาญาณ x. เพงปฏภิ าคนิมิต --> อากญิ จัญญา. --> ออก --> พิจารณา > อยูระหวา ง - ตกิ ขและมนั ทะบคุ คล เรียกวา \" นาตมิ นั ทนาตติ ิกข \" - ถามันทะ มีสมาธมิ ากกวาปญญา จะไมเหน็ เกดิ ดับ ๑.เคร่ืองบริขาร ๓.หากพระพุทธเจา เรียก - ถาตกิ ขะ มีปญญามากกวาสมาธิ จะเปนการเขา ผลสมาบตั ิ ๒.หากสงฆเรยี ก ๔.ตรวจดชู ีวิต x. เขาเนวสัญญา. ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ฌ ... จิต, เจ, จิร.ุ ดบั ... ผ ผ เนว.ก.ุ /ก.ิ ฌานสมาบัติ ๘ / ๙ * สรปุ \" วิปสสนา ๓ อยา ง \" ๑) สงขฺ ารปรคิ คฺ ณหฺ นกวปิ สฺสนา ๒) ผลสมาปตตฺ ิวิปสฺสนา ๓) นโิ รธสมาปตฺตวิ ปิ สฺสนา ๑. เปนวปิ สสนาทีม่ ีการกาํ หนดรูในสงั ขารธรรม รปู นาม ๑. เปนวปิ ส สนาทใ่ี หเขา ถงึ ผลสมาบัติ ๑. เปน วิปสสนาทใ่ี หเ ขา ถงึ นโิ รธสมาบตั ิ ๒. มคี วามสขุ ในปจ จุบัน เพราะมรี ปู นาม เปน อารมณ ๒. มคี วามสุขกวาการมีรปู นาม เปนอารมณ ๒. มีความสขุ กวา เพราะมีพระนิพพานเปนอารมณ ๓. ปุถุชน เขาถงึ โสดาบนั ตองเจรญิ ๑๖ ญาณ ๓. สาํ หรบั พระอริยะเทา นนั้ ๓. สําหรับพระอนาคามี และพระอรหันต ท่ไี ด พระอริยตาํ่ ๓ เจริญอกี ๓ รอบๆ ละ ๑๒ ญาณครึ่ง ฌานสมาบตั ิ ๘ / ๙ โดยเร่มิ ที่ พลวอทุ ยัพพยญาณ เปนตนไป ๔. วาโดยความแรง / ไมแรง เปนทงั้ ติกขะ / มนั ทะกไ็ ด ๔. ติกขะท่ีเพ่ิงไดมรรคใหมๆ ตอ งอาศัยความแรง แตถา ไดช ํานาญแลว ๔. ตอ งอยูระหวา งติกขะ และมนั ทะ ตองเขา ถงึ วุฏฐานคามนิ วี ิปสสนา มันทะวิปส สนากไ็ ด เรียกวา \" นาติมนั ทนาตติ กิ ข \" * ปถุ ุชน - ทาํ ไดแ ตวปิ ส สนา อยา งท่ี ๑ * พระโสดาบัน + พระสกทาคามี - ทาํ ไดใ นวปิ ส สนา อยา งท่ี ๑ และ ๒ -> ทําวปิ สสนา อยา งที่ ๑ เพอื่ ใหม คั ค สูงข้นึ -> ทาํ วปิ ส สนา อยา งท่ี ๑ เพอื่ เปน สุขอยใู นปจ จุบัน * พระอนาคามี - ทาํ ไดในวิปส สนา อยา งท่ี ๑ และ ๒ และ ๓ * พระอรหนั ต - ทาํ ไดในวิปส สนา อยา งท่ี ๑ และ ๒ และ ๓

- 13 - 5 กมฺมฏ าน ( น. ๒๓ ) แปลวา เปนที่ตั้งแหง การเจรญิ สมถะและวิปส สนา แยกบท = กมฺม + าน การกระทาํ เปน ที่ตัง้ \" กิรยิ า = กมมฺ ํ \" \" ตฏิ  ติ เอตฺถาติ = านํ \" : การกระทําชือ่ วา กรรม : การเจรญิ สมถะวิปส สนา ยอ มตง้ั อยูใ นอารมณมี กสิณ เปน ตน และรูปนาม ฉะนนั้ อารมณอนั มกี สณิ เปนตน และรปู นาม จงึ ช่อื วา ฐาน กัมมัฏฐาน มอี ารมณ ๒ อยา ง อารมณก ัมมัฏฐาน อารัมมณิกภาวนากัมมฏั ฐาน อารมณอันเปนทต่ี ัง้ แหง การเจรญิ สมถะ วปิ ส สนา ช่อื วา \"กมั มฏั ฐาน \" ความพยายามทีเ่ กดิ ข้ึนกอ นๆ อนั เปน ท่ีต้ังของความพยายามที่เกดิ ขน้ึ หลังๆ ช่อื วา \"กมั มฏั ฐาน \" ( วจนตั ถะ : กมมฺ สสฺ ฐานํ = กมมฺ ฏฐานํ ) ( วจนัตถะ : กมฺมสสฺ ฐานํ = กมมฺ ฏฐานํ ) สมถะ วปิ สสนา สมถะ วปิ สสนา ทวาร = ใช ตา, กาย, ใจ ทวาร = ใชท้งั ๖ ทวาร ผูรูอ ารมณ = เอกัคคตา ท่ีใน ม.ก.ุ /กิ.๘ ใน ผูรูอารมณ = ปญ ญา มี ๓ ระดับ อารมณ = ๑๐, ๑๐, ๑๐, ๔, ๑, ๑, ๔ อารมณ = รปู นามท่ีเกิดอยใู นภมู ิทั้ง ๓ บรกิ รรมภาวนา, อปุ จารภาวนา รูในรูปนาม รูในไตรลกั ษณ \" เตภมู ิกสังขารธรรม \" เอกคั คตา ทใ่ี น มหคั ค.ก.ุ /ก.ิ ใน ละบัญญัติ ละวปิ ลลาสธรรม รใู นพระนิพพาน มสี ติปฏฐาน ๔ เปนบาทในการเจริญ อัปปนาภาวนา ละกเิ ลส โลกียะ โลกุตตระ

- 14 - 5 พระบาลที ่ี ๒ แสดงสมถกรรมฐาน ๗ หมวด ( น.๒๔ ) \" สมถกมมฺ ฏานํ สงฺคโห กณฺโฑติ = สมถกมมฺ ฏ านสงคฺ โห \" ๖.จตธุ าตุววัตถาน ๑ ๗.อารปุ ป ๔ : ตอนใด เปน ตอนทีแ่ สดงการรวบรวมสมถกรรมฐาน ฉะน้ัน ตอนนน้ั ชื่อวา สมถกรรมฐานสังคหะ การแสดงการรวบรวมสมถกรรมฐาน เมอ่ื วาโดยหมวดมอี ยู ๗ หมวด คอื ( ๑๐, ๑๐, ๑๐, ๔, ๑, ๑, ๔ ) ๑. กสิณ ๑๐ ๒.อสุภ ๑๐ ๓.อนุสสติ ๑๐ ๔.อัปปมัญญา ๔ ๕.อาหาเรปฏิกูลสญั ญา ๑ 5 พระบาลีท่ี ๓ แสดงถงึ จรติ ๖ อยาง ( น.๒๕ ) ( ๒ ) วจนัตถะวา โดย ธมั มาธษิ ฐาน ( ๓ ) วจนัตถะวาโดย ปุคคลาธิษฐาน ( ๑ ) วจนัตถะวาโดย ธมั มาธษิ ฐาน + ราคะ > \" ราคสสฺ จรยิ า = ราคจริยา \" + บุคคล > \" ราคจรยิ า เอตสสฺ อตถฺ ตี ิ = ราคจริโต \" > \" จรณํ ปวตตฺ นํ = จริยา \" โทสะ : ความเกดิ ขึน้ เสมอๆ แหง ราคะ ช่ือวา ราคจรยิ า : ความเกดิ ขนึ้ เสมอๆ แหง ราคะมอี ยูแกบุคคลนนั้ ฉะนนั้ บุคคลนัน้ จงึ ชอ่ื วา : ความเกดิ ขึน้ เสมอๆ ชื่อวา จรยิ า (จริยา / จรติ า ) ในทน่ี ้ี ยงั ไมบ อกวาเปนจรติ ใด โมหะ ในที่น้ี มงุ หมาย \"ชวนะ\" ซึ่งเปนตวั กําหนดจรติ ของเรา \" ราคจรติ า \" ในท่ีนี้ มุงหมาย \"บคุ คล\" ที่เก่ยี วเน่ืองดว ยจรติ ตางๆ ศรัทธา - ถา \"ชวนะ\" น้เี กิดพรอ ม \"ราคะ\" กเ็ รยี กวา \" ราคจรติ \" พุทธิ - ถา \"ชวนะ\" นี้เกดิ พรอม \"โทสะ\" กเ็ รยี กวา \" โทสจริต \" วิตก - ถา \"ชวนะ\" นเี้ กิดพรอม \"โมหะ\" กเ็ รยี กวา \" โมหจรติ \" จริต โดยพสิ ดาร ๖๓ สทุ ธจรติ ๑๔ มสิ สกจริต ๔๙ มลู ะ (ตน ) ๗ เอกมลู ๓ x ๗ = ๒๑ มูลี (ตาม) ๗ เอกมลู ๒๑ ทวิมลู ๒๑ ติมูล ๗ ราคะ ทวิมลู ๓ x ๗ = ๒๑ ศรทั ธา [ มลู (เอกมูล) ๓ x มูลี ๗ ] [ มูล(ทวมิ ูล) ๓ x มลู ี ๗ ] [ มูล(ตมิ ลู ) ๑ x มูลี ๗ ] โทสะ ติมลู ๑ x ๗ = ๗ พทุ ธิ ๑. ราคศรทั ธา ๑. ราคโทสศรัทธา ๑. ราคโทสโมหศรทั ธา โมหะ วิตก ราคโทสะ ศรทั ธาพทุ ธิ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ราคโมหะ ศรทั ธาวติ ก โทสโมหะ พทุ ธวิ ิตก ๒๑. โมหศรัทธาพุทธวิ ติ ก ๒๑. โทสโมหศรัทธาพุทธิวติ ก ๗. ราคโทสโมหศรัทธาพุทธวิ ติ ก ราคโทสโมหะ ศรัทธาพุทธิวติ ก

- 15 - * จรติ ที่เปนสภาคะกนั * ขอ สังเกตในจรติ ตา งๆ ( น. ๒๗ ) ๑) ผมู ี ราคจริต มสี ภาคะ ศรัทธาจรติ * บคุ คลท่ีมีราคจริตขณะทํากศุ ลมีศรทั ธามาก นอกจากพระสัมมาสัมพทุ ธเจา และปรจติ ตวชิ านนอภิญญาลาภี แลว ผทู ี่จะรถู งึ อัธยาศัยจติ ใจของบคุ คลอ่ืน เพราะศรัทธาใกลก ับราคะ อยางจริงจงั โดยแนนอนยอ มไมม ี มีเพยี งสงั เกตดุ ูตามลกั ษณะท่ีมอี ยูภ ายในรางกาย หรือดวงชะตา อกุศล กุศล ( อยากไดใ นกุศลของตน ) หลักทีจ่ ะถึงยดึ ถือเปน เคร่ืองสังเกตจริตตางๆ มี ๕ ประการ ดังนี้ มคี วามใครยนิ ดพี อใจ มคี วามเชือ่ มัน่ ในคณุ ของ ในกามคุณอารมณ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ อริ ยิ าปถโต กจิ จฺ า โภชนา ทสฺสนาทิโต ธมฺมปปฺ วตฺตโิ ต เจว จรยิ าโย วภิ าวเยติ ฯ ๒) ผมู ี โทสจริต มีสภาคะ พทุ ธิจรติ * บคุ คลท่ีมีโทสจริตขณะทํากศุ ลมปี ญญามาก ( มาในวสิ ทุ ธิมรรคอรรถกถา ฉ.วิสทุ ธิมคั ค ปฐมภาค น.๑๐๑ ) เพราะผูม ีโทส.ชอบคน ควา ->ไมใ ชเปนความจริง ผูมพี ทุ ธิ.ชอบคน ควา ->ทเ่ี ปน ความจรงิ บณั ฑติ ท้งั หลายพงึ ทราบ จริตตา งๆ อกุศล กศุ ล โดยอาศัย อริ ยิ าบถ คือ การเดิน ยืน นงั่ นอน ประการหน่ึง มีการประทุษราย มคี วามใครศ ึกษาในธรรม ในอารมณ โดยอาศัย กจิ คอื การงานท่กี ระทํา ประการหน่ึง โดยอาศยั โภชนะ คอื อาหาร ประการหนง่ึ โดยอาศยั ทัศนะเปนตน คือ การดู การฟง การดม การกิน การลบู ไล แตง ตวั ประการหนึ่ง ๓) ผูมี โมหจรติ มีสภาคะ วติ กจรติ * บุคคลทม่ี โี มหจรติ ขณะทาํ กศุ ล วิตกเกดิ มาก โดยอาศยั ความเปน ไปแหงธรรมตางๆ คอื ความประพฤติดีหรอื เลว ประการหน่งึ บุคคลท่มี ีวติ กจรติ ขณะทํากุศล ฟงุ ซา นเกดิ มาก รวมเปน ๕ ประการดังนี้ อกุศล อกุศล มแี ตค วามฟงุ ซา น ตรึกเรอ่ื งตางๆ ไปเรอื่ ยๆ ในอารมณไ มตงั้ ม่ัน ไมมีจดุ มงุ หมาย ในอารมณ * ขอสงั เกตน้ี พระสัมมาสมั พุทธเจา มิไดว างหลกั เกณฑไ ว ท้งั ทา นอรรถกถาจารยท ีเ่ ปน ปฏิสัมภิทาปตตะ ฉฬภญิ ญะเตวิชะ กไ็ มไดวางไวเชน กนั เพียงแต ทานโบราณจารยไ ดวางหลกั ไว เพอื่ สะดวกแกก ารพจิ ารณาทีจ่ ะใหกรรมฐานเทา นนั้

- 16 - วา โดย ราคจรติ ศรทั ธาจรติ โทสจริต พุทธจิ ริต โมหจรติ วิตกจริต อรยิ าบถ เดิน ยืน น่นั นอน มีอาการละมุนละมอ ม อริยาบถ กจิ โภชนะ ทศั นะ เดิน ยนื นั่น นอน ดว ยอาการ อรยิ าบถ กจิ โภชนะ ทัศนะ เดิน ยืน นนั่ นอน ดว ยอาการ อรยิ าบถ กจิ โภชนะ ทัศนะ กิจ โภชนะ มกี ิริยาชดชอยเรียบรอ ยอยูในอาการนา ดู เหมือนกับผมู รี าคจริตทัง้ ส้ิน อันกระดา งรีบรอ น ไมเรียบรอย เหมอื นกับผมู โี ทสจรติ ทัง้ สิ้น เปะปะ เหมอลอย ชอบนอนคว่ํา เหมือนกับผูมีโมหจรติ ท้ังส้ิน ทศั นะ แมถ ูกปลุก ก็คอ ยๆ ลุก ตา งกันเพียง ธรรมปวตั ติ คอื ถูกปลกุ จะลุกขึ้นอยา งผลนุ ผลนั ตางกันเพยี ง ธรรมปวัตติ คือ เมอ่ื ถกู ปลุก จะลกุ ชางัวเงยี ตา งกนั เพียง ธรรมปวัตติ คอื ธรรมปวตั ติ การใหค ําตอบก็เหมือนกบั ไมใ ครเตม็ ใจ เปนผไู มม มี ายาสาไถยมีจิตใจสงู ใหคาํ ตอบคลา ยคนโกรธกนั โกธะ อุปนาหะ มกั ขะเปน ตน กระทาํ การงานอันใด ยอ มทําไปอยา ง ๑. มตุ ฺตจาคตา ทาํ การงานสะอาดแตไ มเ รยี บรอ ย เหลาน้ไี มคอ ยเกดิ คงมแี ตจ ติ ใจ ทําการงานโดยหยาบๆ ไมถี่ถวน ๑. ภสฺสพหุลตา - พดู พรํ่า เรยี บรอ ย แชมชา ไมรบี รอ น - ยอมเสยี สละ และกงั วล สูงตรงขา มกบั ผูม โี ทสจรติ ดังน้ี ไมส ะอาด คั่งคาง ไมเรยี บรอ ย ๒. คณารามตา ชอบอาหารอันละมุนละไม รสอรอย หว งใยในส่งิ ทงั้ ปวง ชอบอาหารหยาบๆ เปร้ียว เค็ม ๑. โสวจสฺสตา ชอบในรสอาหารไมแ นนอน - ชอบคลุกคลกี ับหมูคณะ เมือ่ บรโิ ภคกท็ ําคาํ ขา วใหพอเหมาะ ๒. อรยิ านํ ทสสฺ นกามตา ขม ฝาดจดั เมอ่ื บริโภคทําคําโต - วางา ยในคําสอนท่มี ปี ระโยชน บริโภคคําขาวเลก็ ไมก ลมกลอม ๓. กุสลานุโยเค อรติ ชอบลิม้ รสแปลกๆ รับประทานไมร ีบรอน - ตองการพบเหน็ พระอริยเจา ไมใชน กั ลมิ้ รส รับประทานเร็ว ฟง คําตักเตอื นท่มี ีประโยชน จติ ใจฟงุ ซา น บรโิ ภคอยา งคน - ไมยินดีในบญุ บริจาค รักษา ไดอ าหารที่ถูกปากอยา งเดียวก็พอใจมาก ๓. สทฺธมฺมโสตกุ ามตา อาหารไมถกู ใจนดิ เดยี วก็โกรธได ๒. กลยฺ าณมิตฺตตา ใจลอย ขาวตกเร่ยี ราด ศีล เจริญภาวนา ชอบรูป รส กล่ิน เสยี ง สมั ผสั ทีด่ ที ่ีงาม - ตอ งการฟงพระสัทธรรม เม่อื เห็นรูป รส กลิน่ เสยี ง สมั ผสั - เลอื กคบแตคนดเี ปน เพ่อื น เนือ้ แทเ ปนคนเฉยๆ ซึมๆ ๔. อนวฏ ตกจิ จฺ าตา ติดใจอยใู นคุณภาพแมเ พยี งนิดเดยี วทอี่ ยู ๔. ปาโมชชฺ พหุลตา ท่ีไมดเี พยี งนดิ หนอ ยกห็ งดุ หงดิ โดยไมม กี ารถือชน้ั วรรณะ เมอ่ื มีคนหนุน ชอบคลอยตาม - ชอบพลุกพลา น เปลยี่ นงาน ในสิง่ ท่สี นใจนั้นๆ ไมถ ือสาขอบกพรอ ง - ปรดี าปราโมทยอยางสงู เมื่อ แมมีขอดกี ็ตามที อยากหนีพน ๓. โภชเนมตตฺ ฺตุ า บอยไมมีที่สน้ิ สดุ เล็กนอ ย แมผ านไปแลว กย็ ังตามดตู ามฟง ไดพบเห็นพระอรยิ เจาและ ไมพ ะวงหลงอาลัยตดิ ใจถึงเลย - รูจักประมาณในการรับอาหาร ๕. รตฺติธุมายนา เปน ผูมีจติ ใจต่าํ ปน ไป ดังน้ี ไดฟ งพระสัทธรรมแลว เปนผมู จี ติ ใจต่ําปนไป ดงั น้ี ท่ีเขาใหและในการบรโิ ภค เปน ผมู จี ติ ใจโงเ ขลางมงาย ดังนี้ - กลางคืนชอบคิดวางแผนท่ี ๑. มายา - เจา เลห ๕. อสตา ๑. โกธ - มักโกรธ ๔. สติสมปฺ ชฺ ๑. ถีนมทิ ฺธ ท่ีจะทาํ ในวันถัดไป ๒. เสเยฺย - โออ วด - เปนผูไ มโออ วด ๒. อปุ นาห - ผกู โกรธ - เปน ผมู สี ติสัมปชญั ญะ - งว งเหงาหดหู ไมเขมแขง็ ๖. ทวิ าปชชฺ ลนา ๓. มาน - ถือตัว ๖. อมายาวติ า ๓. มกขฺ - ลบหลูบ ญุ คุณ ๕. ชาครยิ านโุ ยโค ๒. กุกกฺ จุ จฺ - มักราํ คาญ - กลางวนั ลงมือทาํ ตามแผนท่ี ๔. ปาปจ ฺฉตา - ประสงคใ นทางทุจรติ - เปน ผไู มมมี ารยา ๔. ปลาส - ตเี สมอ - หมน่ั ประกอบความเพยี ร มีจิต ๓. วิจกิ ิจฉฺ า - มักลงั เล คดิ ไมร วู า ผดิ หรือถูก ๕. มหจิ ฺฉตา - ชอบใหสรรเสรญิ ๗. ปสาโท ๕. อสิ ฺสา - อิจฉาในคุณ ใจต่ืนอยูเปนนิจในกิจที่ดี ๔. อาทานคาหิตา ๗. หรุ าหุรํธาวนา ๖. อสนตฺ ฏุ ต า - ไมมคี วามพอใจใน - เลอื่ มใสในพระรัตนตรยั ผอู ื่นท่ดี ีกวา ๖. สํเวโค - ยึดม่นั โดยปราศจากเหตุผล - เปน คนเจา ความคิดไปใน เครอ่ื งอปุ โภคบริโภค บดิ า มารดา ครอู าจารย หรือเสมอตน - เบือ่ หนายเหน็ โทษในการเกิด ๕. ทปุ ฺปฏินสิ สฺ คคฺ ติ า เรอ่ื งรอยแปด ทม่ี อี ยู เปน อยา งดี ๖. มจฺฉรยิ - ตระหน่ี แก เจ็บ ตาย - อบรมส่ังสอนปลดเปล้ือง ๗. สงิ คฺ - แงง อน ๗. โยนิโสปานํ ความเห็นผดิ นน้ั ๆ ไดยาก ๘. จาปลยฺ - พถิ พี ิถันกบั ความงาม - หมัน่ ประกอบทาน ศีล ภาวนา เพอ่ื คติท่ดี ีจนถงึ ทีส่ ดุ แหง ทุกข

- 17 - 5 สมฏุ ฐานของจรติ ( น. ๓๓ ) ยกกรณใี สบ าตร บรวิ ารแหงจติ เกดิ แทรก นกึ ถึงกุศลทจ่ี ะกระทําในอนาคต ใสบาตร นึกถึงส่งิ ตางๆ (ความกังวลตา งๆ / จิตไมต้ังม่ัน) ภ น ท ม ช ช ช(๑ช)ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช(ช๒)ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช(๓ช)ช ช ช ภ ... บุพพเจตนา ( จติ ตสังขาร) มญุ จเจตนา อกศุ ล - โลภ โทส โมห มคี วามแรงตามกําลังของกศุ ล ที่ใน ม.ก.ุ ๘ กุศลเจตนา - วติ ก สหชาตกมั ม. สหชาตธรรม - ม.ก.ุ ๘ (ดวงใดดวงหนึง่ ) - เจ.๓๗ (-เจตนา) - กายสจุ รติ + วจสี จุ ริต (กายสงั ขาร, วจีสังขาร ) * ขณะปฏิสนธิในภพใหม วาโดยปฏิจจสมปุ บาท มี ๓ วาโดยปฏฐาน - จติ ตสงั ขาร นานกั ขณกิ กมั ม. พลว. - กายสังขาร ปุญญาภิสงั ขาร ทรุ พล - วจีสังขาร ปฏิ \" กมั มวญิ ญาณ \" วา โดยปคุ คลาธษิ ฐาน เกดิ เปนมนษุ ย วิปากดี / ไมด ี ตามสง ผล ช(๑) + ช(๒) ช(๓) บริวารแหงจิต ถาสง ผลโดยความเปน ปฏ ฐาน = \" ปกตูปนสิ สย. \" (อปุ นิสสยปจจยั ) ตองมกี รรมดีที่เปนพลวปจ จัย แรงพอจงึ นาํ เกดิ มี สงผลใหค วามเปน \" จรติ \" ตา งๆ ตดิ ตัวตงั้ แตเกิดเปน มนุษย ปฏสิ นธิกัมมชรูป (รปู รางสณั ฐานผิวพรรณ เปลีย่ นแปลงไดม ากท่สี ดุ ) มงุ หมายเอาการสง่ั สมของชวนตา งๆ (ช.๑ + ๒ + ๓) ทั้งกศุ ลและอกศุ ล ๑.กุศลทเ่ี กีย่ วเนือ่ งดวย ตัณหา มานะ ทฏิ ฐิ เปนเหตุใหเปนคนมีราคจรติ ในภพตอ ไป ๔. กศุ ลทเ่ี กีย่ วเนอื่ งดว ย กามวติ ก พยาบาทวติ ก วิหิงสาวติ ก เปน เหตุใหเปน คนมวี ติ กจรติ ในภพตอ ไป ๒. กศุ ลทีเ่ ก่ยี วเน่อื งดวย โทสะ อสิ สา มัจฉริยะ กุกกจุ จะ เปน เหตใุ หเปนคนมโี ทสจรติ ในภพตอ ไป ๓. กุศลทเี่ กีย่ วเน่ืองดว ย โมหะ วจิ ิกจิ ฉา อุทธจั จะ เปนเหตุใหเปนคนมโี มหจรติ ในภพตอไป ๕. กุศลทีเ่ ก่ียวเนื่องดว ย ศรัทธา เปนเหตุใหเ ปน คนมีศรทั ธาจริตในภพตอ ไป ๖. กศุ ลที่เกีย่ วเน่ืองดวย ปญ ญาตางๆ เปนเหตุใหเ ปน คนมพี ุทธจิ ริตในภพตอ ไป

5 การเปลีย่ นจรติ - 18 - อดีต ปจจุบัน อนาคต - การสั่งสมของกุศลและอกศุ ลชวนะอยบู อยๆ - จริตไดรับจากอดตี ( มี จริตโดยพิสดาร ถงึ ๖๓ ) จริตในอนาคตน้ี กเ็ ปน จรติ ทรี่ ับจากอดตี ทัง้ หมด * ถา อดีตแรงกวาปจจุบนั (ดี / ไมดี ) จรติ ในอนาคตนี้ ก็เปนมโี อกาสเปลยี่ นได - ถาอดตี มี ราคะ, โทสะ, โมหะ, วติ ก * ถา ปจ จุบนั แรงกวาอดีต (ดี / ไมด ี ) - ถาอดีตมี ศรทั ธาแรง ก็จะสง ใหเ ปนผูมีราคะ,โทสะ,โมหะ, วิตก ในอนาคต เชน อดีตมีโทสจรติ แตในปจจุบันมีศรัทธาจริตแรง ก็จะสง ใหเปน ผูมีศรทั ธาจรติ ในอนาคต - สง ผลมาในปจ จบุ ัน กจ็ ะสง ใหเปน ผูมจี ริตที่เปล่ียนใหม ในอนาคต * ถายอมรบั ไมท าํ อะไรใหเ ปลีย่ นแปลง เชน ไมท ําการขม ราคะ, โทสะ,โมหะ, วติ ก เลย - กจ็ ะเปน ผมู ศี รัทธาจริตในภพน้ี * ถา รกั ษา ศรทั ธาจรติ ในภพนี้ * ถาไมรกั ษา ศรทั ธาจรติ ในภพนี้ สัททารมณ ๑. เจตนาทอ่ี ยใู นโทส เปน สง ผลใหอ ยูในอบายภมู ิ กรรมใหม ภ ตี น ท ป โสต สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ...ภ ชชชชชชช อดตี โสตปสาท เปน ผูมีโทสชวนะ เสยี งกระทบนดิ เดียว โทสชวนะ เกิด โทสชวนะ ของเกา มาสงผลเปนโทสใหมใ นปจจบุ ันภพ ๒. โทสชวนะทสี่ งผลในอนาคต สง ผลใหเปนโทสจรติ

- 19 - 5 พระบาลีที่ ๔ แสดงถงึ ภาวนา ๓ ( น.๒, ๓๖ ) บริกรรมภาวนา, อุปจารภาวนา, อปั ปนาภาวนา = อารัมมณิก 5 พระบาลีท่ี ๕ แสดงถึงนมิ ติ ๓ ( น.๒, ๓๗ ) บริกรรมนิมติ , อุคคหนมิ ติ , ปฏภิ าคนมิ ิต = อารมณ เพงองคก สิณ บรกิ รรมนมิ ติ อคุ คหนมิ ติ ปฏิภาคนมิ ิต องคฌ าน ๕ ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ...ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ...ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ...ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ปฐมฌาน ก.ุ / กิ. จกั ขปุ สาท เอกัค. ม.ก.ุ ๘/ก.ิ ๘ เอกัค. ม.ก.ุ ๘/กิ.๘ เอกัค. ม.ก.ุ ๘/กิ.๘ ม.กุ.สํ.๔/ก.ิ สํ.๔ อปั ปนาภาวนา บริกรรมภาวนา อุปจารภาวนา (ปหานกเิ ลสไดเปน วิกขมั ภนปหาน) (ปหานกิเลสไดเปน ตทังคปหาน) [ ทั้งสองชวงน้เี รยี กวา \" บริกรรมภาวนา \" แตเ มือ่ มีกําลงั มากขึน้ จึงเรียกใหมวา \" อุปจารภาวนา \" เชน ตณั หาเมือ่ มกี าํ ลงั มากขนึ้ เรียกวา กามุปาทาน ] * บริกรรม > มหากุ. / ก.ิ ทีเ่ กดิ กอนๆ นบั ต้งั แตเรม่ิ ตน เจรญิ กรรมฐานใหมๆ จนกระทงั่ จรดขอบเขต * อปั ปนา มหัคคตจติ + โลกุตตร. + เจตสกิ (วิตก) แหงอุคคหนิมติ เรยี กวา \" บรกิ รรม \" ๑. เรยี กโดย จติ > วถิ ีจิตอันใด ยอ มจัดแจงปรงุ แตงอปั ปนา หรือเปน เหตุแหงการเจริญกรรมฐานเบ้อื งตน วติ กเจตสิก เรียกวา สัมปยุตตธรรมเปน ช่ือของ เรียกวา \" บรกิ รรม \" อัปปนาโดยออ ม ตามนัยอวยวปู จารนัย หมายความวา วถิ ี เปน ชือ่ ของ ยกช่อื ของวติ กข้นึ มาตัง้ ไวในธรรมท่ปี ระกอบกันกับวติ ก > วถิ จี ติ อนั ใด ยอ มจัดแจงปรุงแตง อปั ปนา หรอื เปนเหตุแหงการเจริญกรรมฐานเบือ้ งตนน้ี อปั ปนาโดยตรง ๒. บริกรรมภาวนา พระโยคบี ุคคลควรกระทาํ ใหเกิดขนึ้ ตดิ ตอ กันอยูเร่ือยๆ และทวีมากขึ้นตามลาํ ดบั อัปปนามี ๒ ฝา ย ฉะนั้น วถิ ีจติ นั้น เรยี กวา \" บริกรรมภาวนา \" * อุปจาร > มหาก.ุ / กิ. ทีเ่ กิดขึน้ ใกลักนั กบั อปั ปนาฌาน ชอื่ วา \" อุปจาร \" โลกยี ะ โลกุตตระ > วิถจี ิตใดทีเ่ กดิ ใกลเคียงกนั กับขอบเขตของอปั ปนาฌาน วถิ ีจิตนัน้ ช่ือวา \" อุปจาร \" - มหคั คต + เจตสกิ (วิตก) - โลกตุ ตร. + เจตสกิ (วิตก) ๑. เรียกโดย จิต > วถิ ีจติ ใดท่ีเกดิ ใกลเคียงกันกับขอบเขตของอัปปนาฌาน ท่ีช่อื วา อปุ จารนแ้ี หละ - วิตกเปน ฌานปจ จัย - วิตกเปนฌานปจจัย + มคั คปจจยั พระโยคบี คุ คลควรกระทําใหเกิดข้ึนตดิ ตอกนั อยเู ร่ือยๆ และทวีมากขึ้นตามลําดับ - บคุ คล = ฌานลาภบี คุ คล - บคุ คล = พระอรยิ บคุ คล วิถี ฉะนั้น วถิ ีจิตน้นั เรยี กวา \" อปุ จารภาวนา \" - เขาฌานสมาบตั ิได - เขา ผลสมาบตั ิได หรอื เขา ฌานสมาบตั กิ ็ได ถาเคยเจริญสมถกรรมฐานมากอน ๒. อุปจารภาวนา

- 20 - 5 พระบาลที ี่ ๕ แสดงถงึ นมิ ิต ๓ ( น.๒, ๓๘ ) บรกิ รรมนมิ ิต, อคุ คหนมิ ิต, ปฏภิ าคนมิ ิต = อารมณ ธรรมทค่ี วรเจริญใหเ กดิ ขึน้ บอ ยๆ ภาวนา ๓ นิมติ ๓ ธรรมทีพ่ ึงรูโดยจติ และเจตสกิ ทเ่ี ปนอารมั มณิกธรรม ในสันดานของตน (ผูรูอารมณ) ๑.บริกรรมภาวนา ( ม.กุ.๘/กิ.๘ ) ๑.บรกิ รรมนิมติ ฉะนน้ั ธรรมนั้นคือ นมิ ติ ไดแ ก อารมณ (ถกู รู) เปนอารมณของบรกิ รรมภาวนา ( ๓ ทาง คอื รปู ารมณ, โผฏฐพั พารมณ, ธัมมารมณ ) - รูปารมณ ๒๐ = กสณิ ๑๐ อสภุ ๑๐ กรรมฐาน ๔๐ มโนทวารวถิ ี - โผฏฐพั พารมณ ๒ = วาโยกสิณ (รูทางตา+กาย) , อานาปา. ( นับวาโย รวมอยใู น - ธัมมารมณ ๑๙ = อนสุ ติ ๙ (อานาปา.) อปั .๔, อาหาร.๑, จตธุ าตุ.๑, อารุปป.๔ กสิณ๑๐ แลว ) ๒.อปุ จารภาวนา ๒.อุคคหนิมิต อารมณใ ดท่ีพงึ ยดึ แลว โดย มโนทวารกิ กุศล และกริ ยิ าชวน ฉะนนั้ อารมณนนั้ ช่อื วา อุคคหนิมติ ( ม.กุ.๘/กิ.๘, ม.กุ./กิ.สํ.๔ ) ๓.ปฏิภาคนิมติ มโนทวารวิถี + ฌานวถิ ี อารมณก รรมฐานท่มี สี ภาพคลายกันกับอุคคหนมิ ติ ชือ่ วา ปฏิภาคนมิ ติ ๓.อปั ปนาภาวนา ฌานวถิ ี ( แตมีภาพใสกวา เพราะ กาํ ลงั สมาธมิ ีมากกวา ) ( ปฐม.กุ./ก.ิ ๑ ) 5 ความเหมือนกันของ บริกรรมนมิ ติ กบั อุคคหนิมติ 5 ความเหมอื นกันของ อุคคหนมิ ติ กับปฏิภาคนมิ ติ ๑) มรี ปู รา งสัณฐานขององคก รรมฐานเหมอื นกัน ๑) เกิดทางมโนทวารทง้ั ๒ ๒) อยใู นขอบเขตของบรกิ รรมภาวนา คือ ม.กุ.๘ หรอื ม.ก.ิ ๘ ๒) เปน ภาพบัญญตั เิ หมือนกนั 5 ความตางกันของ บรกิ รรมนมิ ิต กับอคุ คหนมิ ติ 5 ความตางกนั ของ อคุ คหนิมติ กบั ปฏภิ าคนิมิต อุคคหนิมติ บรกิ รรมนิมติ อคุ คหนมิ ติ ปฏภิ าคนมิ ิต ๑) มรี ปู รา งสณั ฐานเหมอื นองคกรรมฐาน ๑) เกิดทางมโนทวาร ๑) เกิดทางจักขุทวาร ๑) เกิดทางมโนทวาร ๒) อยูในขอบเขตของบริกรรมภาวนา ๒) อยใู นขอบเขตของอปุ จารภาวนาและอปั ปนาภาวนา ๓) กําลงั สมาธิมีเพียง ม.กุ.๘ / ม.กิ.๘ ๓) กาํ ลังสมาธมิ ตี ัง้ แต ม.ก.ุ ๘ / ม.ก.ิ ๘ จนเขา ถงึ ๒) มีสภาวปรมัตถปรากฏขณะทาํ การเพง ๒) เปน อดีตอารมณที่เปน บญั ญตั เิ ทา นั้น ๔) ยังหา งไกลฌาน ม.ก.ุ สํ.๔ / ม.ก.ิ สํ.๔ จนเขา ถึง มหคั คตกุ. / กิ. อนั เปนปจจุบันอารมณ แตไ มใ สใจ แตกลบั พจิ ารณา ๕) ยงั ไมค วรขยายนมิ ติ เพราะ ๔) เขา ไปเฉยี ดฌาน จนไดฌาน ๕) ควรขยายนิมิตเพ่ือเปนบาทใหถงึ ฌาน โดย สสมั ภาระ คือ พิจารณารปู รางสณั ฐานขององค อาจทาํ ใหนิมติ เสือ่ ม ๖) ยงั ตดั สินไมไ ดว า เปนตเิ หตุกบุคคล ๖) ตดั สนิ ไดวา เปนติเหตกุ บคุ คล กรรมฐานทีเ่ ปน บญั ญตั ิ

- 21 - 5 บาลที ี่ ๖ กสิณ ๑๐ ( น. ๒ ) 5 ขั้นตอนการเจรญิ สมาธเิ พือ่ ใหเ ขาถงึ \" ฌาน \" พงึ ทราบสมถกรรมฐาน มกี สิณ ๑๐ ๑) บุพพกจิ เบ้ืองตนในการเจริญกรรมฐาน ๑) ปถวกี สิณ ดนิ ที่พึงกระทาํ ใหเปนวงกลม มปี ระมาณ ๑ คบื ๔ นิ้ว หรือเทาขนั น้ํา ๑.๑ การแสวงหาอมตธรรม ๑.๒ บุพพกิจ ๗ ขอ เทา กระดงอยา งเลก็ หรืออยางใหญเทา ลานขาว ๒) อาโปกสณิ น้ําท่มี ีความใสสะอาดปราศจากสีใสภ าชนะมี ขัน บาตร เปน ตน ท่ีขอบปากกวา ง ๒) ขั้นตอนการเจรญิ ใหส าํ เรจ็ ในปฐมฌาน ๒.๑ วิธจี ดั ทําองคก รรมฐาน และวธิ ีในการเพง มปี ระมาณ ๑ คืบ ๔ นว้ิ ๒.๒ วธิ ีปองกันอุปสรรคทางใจ ในระหวา งทอ่ี ุคคหนมิ ติ ยงั ไมป รากฏ ๓) เตโชกสิณ เปลวไฟทกี่ องกณู ฑไ วแ ลว เอาแผนหนงั หรอื ผาก็ตามเจาะใหเปน วงกลม ๒.๓ วิธีปฏบิ ัตเิ ม่ือ อคุ คหนิมติ ปรากฏ ๒.๔ วิธปี ฏิบตั ิเมือ่ ปฏภิ าคนิมติ ปรากฏ มปี ระมาณ ๑ คบื ๔ น้ิว ๒.๕ วิธีในการรักษา ปฏภิ าคนิมติ - เสพสัปปายะ เวน จาก อสปั ปายะ ๔) วาโยกสณิ ลมทีพ่ งึ กาํ หนดเห็นไดด วยอาศยั ยอดไม ปลายไมไ หว หรอื ท่พี ึงกาํ หนดไดด ว ย ๒.๖ วิธีการเจริญอัปปนาโกศล ๑๐ ๒.๗ การขยายปฏภิ าคนมิ ิต อาศัยการพัดถูกกายของตน ๒.๘ ปฐมฌานเกิด ๕) นีลกสณิ สเี ขียวทีป่ รากฏในใบไม หรอื ในผาเปน ตน ทีก่ ระทาํ ใหเปนวงกลม ๓) ขน้ั ตอนปฏิบัตเิ พือ่ ใหไ ด ฌานสูงขนึ้ มปี ระมาณ ๑ คืบ ๔ นิ้ว ๓.๑ ฝกปฐมฌานกศุ ล ชวนะ เปน เวลา ๑ - ๗ วนั เพ่ือเปนบาทของวสี ๖) ปตกสณิ สีเหลืองที่ปรากฏในดอกไม หรอื ในผา เปน ตน ทก่ี ระทาํ ใหเปนวงกลม ๓.๒ ฝก วสี ๕ เพ่ือเปน บาทให ฌานสูงขึ้น มปี ระมาณ ๑ คืบ ๔ น้วิ  การแสวงหาอมตธรรม มอี ยู ๒ อยาง คือ ๗) โลหติ กสิณ สีแดงทปี่ รากฏในดอกไม หรือในผาเปน ตน ทก่ี ระทาํ ใหเ ปนวงกลม ๑) ทางตรง ไดแ ก การเจริญวิปส สนาตามแนวสติปฏฐาน ๔ ๒) ทางออ ม ไดแ ก การเจริญสมถภาวนากอ น ตอ เม่อื ไดสําเร็จเปน มีประมาณ ๑ คืบ ๔ นว้ิ ณานลาภีบุคคลแลว จงึ จะเจรญิ วิปส สนาตอไป ๘) โอทาตกสิณ สขี าวทปี่ รากฏในดอกไม หรือในผาเปนตน ที่กระทาํ ใหเ ปนวงกลม มีประมาณ ๑ คบื ๔ นวิ้ ๙) อากาสกสณิ อากาศที่พึงกาํ หนดไดโดยการตัดชอ งฝา หรอื ผา เปนตน ทก่ี ระทําใหเ ปนวงกลม มปี ระมาณ ๑ คืบ ๔ นว้ิ ๑๐) อาโลกกสิณ แสงสวางของดวงอาทติ ย ดวงจนั ทร และดวงไฟ เปนตน ที่สองมาจากชองฝาเปนวงกลม มีประมาณ ๑ คบื ๔ น้ิว

- 22 - ๑.๑ การแสวงหา \" อมตธรรม \" ทางตรง ไดแก การเจริญวิปสสนาตามแนวสตปิ ฏ ฐาน ๔ ( น. ๔๑ ) วน ๓ รอบ ในสัจจ ๔ ดวย อาการ ๑๒ ญาณ ๑๖ วิสุทธิ โพธิปกขิยธรรม ๓๗ ๑๖) ปจจเวกขณญาณ อรยิ สจั จะ ๔ ๓. กตญาณ กิจทรี่ แู ลว ทง้ั ๔ กิจ ๑๕) ผลญาณ ๑๔) มคั คญาณ ญาณทัสสนวสิ ุทธิ อรยิ มรรคมีองค ๘ > ปญญา, วติ ก, วริ ตี ๓, วิริยะ, สต,ิ สมาธิ ๑๓) โคตรภูญาณ ๑๒) ๑๐. อนโุ ลมญาณ ปลาย วฏุ ฐานคามนิ ี โพชฌงค ๗ > วริ ิยะ, สติ, สมาธิ, ปต,ิ ปส สัทธิ, อุเบกขา, ธมั มวจิ ย (ปญ ญา) ๑๑) ๙. สงั ขารุเปกขาญาณ ตน ๒. กจิ จญาณ ๑๐) ๘. ปฏสิ ังขาญาณ กจิ ท้งั ๔ คือ อริยสจั จ ๔ วิปสสนาญาณ ๑๐ ๙) ๗. มุญจิตกุ มั ยตาญาณ ปฏิปทาญาณทัสสนวสิ ุทธิ พละ ๕ > สัทธา, วิรยิ ะ, สต,ิ สมาธ,ิ ปญญา ตองปฏบิ ัติ คอื วิปสสนาญาณ ๙ ๘) ๖. นพิ พทิ าญาณ อินทรีย ๕ > สัทธา, วริ ิยะ, สต,ิ สมาธ,ิ ปญ ญา อิทธิบาท ๔ > ฉันทะ, วริ ยิ ะ, จิตต, วิมงั สา (ปญ ญา) ทกุ ข --> กิจควรกําหนด ๗) ๕. อาทีนวญาณ สัมมปั ปธาน ๔ > วิรยิ ะ (๔) สมทุ ัย --> กจิ ควรละ ๖) ๔. ภยตุปฏ ฐานญาณ นิโรธ --> กิจควรใหแจง ๕) ๓. ภงั คานุปสสนาญาณ มัคค --> กจิ ควรใหเ จริญ พลว ๔) ๒. อุทยัพพยญาณ ตรุณ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสทุ ธิ ๓) ๑. สัมมสนญาณ ๒) ปจ จยปริคคหญาณ กงั ขาวิตรณวสิ ทุ ธิ ๑) นามรูปปริจเฉทญาณ ทฏิ ฐิวสิ ุทธิ ๑.สจั จญาณ วิปสสนาภมู ิ ๖ นามรูปในสติปฏฐาน ๔ ปจ จบุ ันธรรม สติปฏ ฐาน ๔ > สติ (๔) ปญ ญาท่รี คู วามจรงิ จากการศึกษา โยนโิ ส (อาศัยความขา ใจในสภาวะรปู นามอยา งดี ) กาย เวทนา จิตต ธมั ม โยคาวจร สิกขติ ( สังเกตุเพอ่ื ไมใหต กจากกระแสปจจบุ ัน ) ตณั หาจริต ทฏิ ฐิจรติ ( อาตาป สตมิ า สัมปชาโน ) > จาํ แนก อธ. ๑๔ โดยฐานของโพธิปก ขิยธรรม ๓๗ > วิปสสนาญาณ ๑๐ เร่ิมที่ สมั มสนญาณ - อนุโลมญาณ พดู ถงึ ไตรลกั ษณ เปน อารมณ ๑.วิตก ๒.ปส สทั ธิ ๓.ปต ิ ๔.อุเบกขา ๕.ฉันทะ ๖.จติ ต ๗.วิรต๓ี อธ.๙ มอี ยา งละ ๑ ฐาน > วิปส สนาญาณ ๙ เริม่ ที่ อทุ ยพั พยญาณ - อนโุ ลมญาณ พดู ถึงรูปนามและไตรลกั ษณ ๑๐.วิริยะ มี ๙ ฐาน ๑๑.สติ มี ๘ ฐาน ๑๒.สมาธิ มี ๔ ฐาน ( นามรปู ปรจิ .+ปจจยปริคคห.+สัมมสนญาณ ) ท่อี ยใู นอุทยพั พยญาณ ๑๓.ปญ ญา มี ๕ ฐาน ๑๔.สทั ธา มี ๒ ฐาน

- 23 - ๑.๒ บพุ พกิจ ๗ อยาง ( น. ๔๑ ) ๔) ทําการศกึ ษาอบรมในกรรมฐานท่ีเหมาะสมกบั จรติ ของตน ซง่ึ เปน สว นหนึง่ ของปรยิ ตั ิ ท่เี นยยบคุ คลทงั้ หลายจะเวนเสียมิได ๑) ตงั้ ตนอยูในศีล ( ๕, ๘, ๑๐, ๒๒๗ ) = ศีลวิสทุ ธิ ๑. ปาฏิโมกขสังวรศลี - การหามกระทาํ ๕) เวนจากสถานท่ีทเี่ ปน โทษแกการปฏบิ ตั ิ ๑๘ ขอ ๒. อนิ ทรยิ สังวรศีล - การสาํ รวมอินทรยี  ๖) อยใู นสถานท่ที ี่สะดวกสบายแกก ารปฏบิ ตั ิ ๕ ประการ ๓. อาชวี ปาริสทุ ธศิ ลี - การทําอาชพี อันบริสุทธ์ิ ๗) ตดั ขุททกปลโิ พธ เคร่อื งกังวลเลก็ ๆ นอยๆ แลวลงมือปฏบิ ัติ ๔. ปจ จยสันนิสสิตศีล - ตวั ปญ ญา พิจารณาปจจัย ๔ กอนการบรโิ ภค ๒) มหาปลโิ พธ ๑๐ ประการ ๓) แสวงหากัลยาณมติ ร ๒) ขน้ั ตอนการเจริญใหส ําเร็จในปฐมฌาน (น. ๔๗ ) ๑. จดั ทาํ องคกรรมฐาน ๑) เปนติเหตุกบุคคล ๒) อาศัยบุญบารมีในกาลกอน วิธกี ารเพง บรกิ รรมนิมติ อคุ คหนิมติ ปรากฏ ปฏภิ าคนมิ ติ ปรากฏ ๓) อาศยั ความแกกลา อินทรีย ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ...ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ...ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ...ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ม.ก.ุ ๘ ๒. วธิ ีปอ งกนั อปุ สรรคทางใจ ๓. วธิ ีการปฏบิ ตั ิเมอื่ ๔.วธิ ีปฏิบตั ิเมื่อปฏิภาคนิมติ ปรากฏ จักขุปสาท ขณะทีอ่ คุ คหนมิ ติ ยังไมปรากฏ อุคคหนมิ ติ ปรากฏแลว ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ...ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ...ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ปฐมฌาน ก.ุ / กิ. ม.กุ.ส.ํ ๔/กิ.ส.ํ ๔ ๕. รักษาปฏภิ าคนิมิต ๖. เจริญอัปปนาโกศล ๑๐ ๗. หลังทาํ อัปปนาโกศลแลว ทาํ การขยายปฏภิ าค ๘. ปฐมฌานปรากฏ - เสพสปั ปายะ ถายังไมสาํ เรจ็ จงึ เรมิ่ ทําขัน้ นี้ เพือ่ เปนบาทใหเ ขา ถงึ ปฐมฌาน - เวนจากอสปั ปายะ - พระโยคีบุคคลบางทาน สาํ เร็จในปฐมฌาน

- 24 - ขนั้ ตอน ๒.๑ การจดั องคกรรมฐาน (ยก ปถวีกสณิ ) ขัน้ ตอน ๒.๒ วธิ ปี อ งกันอุปสรรคทางใจ ในระหวา งทอ่ี ุคคหนมิ ติ ยงั ไมป รากฏ ๑) จดั หาดนิ ท่ีมีสีอรุณ (สีสมออ นๆ ) มคี วามเหนียวพอประมาณ ๑) เกดิ จากสภาพภายนอกทเี่ รียกวา \" กสณิ โทษ \" มงุ หมายผูป ฏบิ ตั ใิ หม เพราะเพื่อใหจ ิตใจเกดิ ความปติ และปอ งกนั การเพงวณั ณกสณิ (สตี างๆ ) ๒) ทําความสะอาดขจดั สิ่งสกปรก เชน เปลือกไม เศษหนิ ฯลฯ ออกใหหมด > การจัดทาํ องคกรรมฐานไมส ะอาด มเี ศษหนิ เปลอื กไมต ดิ อยู ๓) ใชน้าํ ขยําใหไดข นาด ๑ คบื ๔ องคุลี เพราะผปู ฏบิ ัติใชในการเพง แลว ไดผลมากทส่ี ดุ > วัสดุอปุ กรณข นาดขององคก รรมฐานไมไดมาตรฐาน ๔) หากตองการลดขนาดลง กล็ ดลงไดอ กี ๒ - ๔ องคุลกี ็ได ( นิมิตเกิดงายแตก็เสือ่ มงายดวย ) > สถานท่ีไมเ ออื้ อํานวยตอการปฏบิ ัติ หากตอ งการเพ่ิมขนาดลง กเ็ พ่ิมไดอ ีก ๔ - ๘ องคลุ กี ็ได ( นมิ ติ เกิดยากแตกเ็ ส่ือมยาก ) ๒) เกิดจากสภาพภายในของผปู ฏบิ ตั ิ ๕) ใชส ีเขียวหรอื ขาวทาที่ขอบขนาด ๑/๔ นวิ้ ทาสเี ขียว/ขาว > เกิดความเบ่ือหนา ยในการปฏบิ ัตทิ าํ ใหร างกายเมอ่ื ยลา ถามสี ง่ิ เหลา นี้เกิดขึ้นใหพ ิจารณา ๖) ใหทําความเคารพและทําความสะอาดเชนเดียว สอี รุณ ทีข่ อบขนาด ๑ คืบ ๔ องคุลี เนอ่ื งจากมี อทุ ธัจจ กกุ กจุ จ เกิดขน้ึ ถงึ ความตายวาถา ตายกอ นกไ็ มมโี อกาส > มีวริ ิยะออน ปฏิบตั ิแบบนอี้ ีกแลว ถาเกดิ ลงอบาย ๑/๔ น้วิ > สมาธิตก กย็ ิ่งหมดโอกาสนานยิง่ ขึ้นไปอกี กบั พระพุทธรูป ( เสมือนหนงึ่ เปน ครู ) ๗) วิธปี ฏบิ ตั ิ ๓) ปจจยั ที่เปนสาระสาํ คญั ที่ทาํ ใหผ ปู ฏิบัติไมมีโอกาสสําเร็จสมถกรรมฐานไดเลย ๑ เปนผูม นี ยิ ตมิจฉาทิฏฐิ - หาสถานทเี่ งียบสงัด มคี วามสะดวกสบาย ๒ เปนผูท าํ อนนั ตรยิ กรรม ๓ เปน ผวู า รา ยพระอรยิ ะ - ตัง้ องคกรรมฐานไมใหสงู หรือตาํ่ กวา สายตา (ในอาการทา นง่ั ) ๔ เปนผปู ฏสิ นธดิ วยอเหตกุ หรอื ทวิปฏิสนธิ ๕ เปน ผหู มกมนุ ในกามคุณอารมณ ยินดพี อใจในอารมณท ้งั ๖ เหลา นน้ั - ผปู ฏบิ ัตใิ หอยหู างจากองคกรรมฐานภายในหัตถบาท ( ๒ ศอก ๑ คืบ ) ๘) ตองปรารภถงึ การไดมาซึง่ ฌาน พรอมการอธษิ ฐานจติ ใหผลสําเร็จของการปฏบิ ัตคิ รั้งนี้ ๙) ใหร ะลกึ ถึงคุณพระรตั นตรยั และแผเมตตา ใหกับสรรพสตั วท้งั หลาย ๑๐) กระทําอญั ชลกี รรม เริม่ เพงองคก รรมฐาน ( วางตาสบายๆ อยา เพงแบบจองหรีต่ า / เบิ่งตา ) พรอ มทัง้ บรกิ รรม \"ปถวๆี ๆๆๆ \" อารมณเปน เอกัคคตา ขน้ั ตอน ๒.๓ วิธปี ฏิบัติเมอ่ื อคุ คหนมิ ิตปรากฏ ( น. ๕๑ ) ๑) ผปู ฏบิ ตั ิพงึ ทราบวา ตนไดอ คุ คหนิมติ แลว เพราะเปนภาพปรากฏทางใจ *ขอ หาม ๑. ไมใ หเพง โดยความเปน สภาวะปถวี ๒) ไมค วรขยายในอคุ คหนมิ ิต เพราะนิวรณธรรมยงั ไมส งบ กําลังสมาธกิ ็ยังไมแขง็ แกรง ๒. แตใหเ พง โดยสณั ฐานขององคป ถวี และเพงใหท่วั ๆ ในองคก รรมฐาน ไมใ หเพงสว นใดสวนหนึง่ หากขยายจะทาํ ใหน มิ ติ เสื่อมได ไมใหเพงโดยความเปนวณั ณกสิณ ๓) หากนมิ ติ เสอ่ื มตองเริ่มตนใหม ๔) ควรเพงอุคคหนมิ ติ ไวเพยี งอยางเดียว เพื่อเปน บาทใหค ุณภาพของนมิ ติ ใส เขา ถึงปฏิภาคนิมิต

- 25 - ข้นั ตอน ๒.๔ วิธปี ฏบิ ตั เิ มอ่ื ปฏิภาคนมิ ติ ปรากฏ ( น.๕๒ ) - กถาวัตถุ ๑๐ ประกอบดว ย ๑) ผปู ฏิบตั ิพึงรูว าปฏิภาคนมิ ิตปรากฏแลว เพราะเปน ภาพทใี่ สขึ้น ๒) ผปู ฏบิ ตั ิเร่มิ เขา ขอบเขตแหงอุปจารภาวนา ๑.อปจ ฉฺ ตากถํ - พูดเรื่องความมักนอ ย ๓) ไมค วรขยายในปฏิภาคนิมติ ทนั ที เพราะยังอยูในขอบเขตเบื้องตนของอปุ จาร กําลังสมาธิยงั ไมม ่ันคง ๔) ใหเ พง ปฏภิ าคนิมิตไว ๒.สนตฺ ฏุ กถํ - พูดเรอ่ื งความสนั โดษ ข้ันตอน ๒.๕ วธิ ีการรกั ษาปฏิภาคนมิ ิต ( น.๕๔ ) ๓.ปรเิ วกกถํ - พดู เรื่องความสงัด ๑) เสพสัปปายะ ๗ ๑. อาวาส ทอี่ ยูอาศัย / ทีป่ ฏบิ ตั ิ ข้นึ กบั อธั ยาศยั ของแตละบคุ คล ๔.อสสํ คคฺ กถํ - พดู เรือ่ งความไมคลกุ คลีดวยหมู ๒. โคจร หมูบ านทต่ี อ งไปรับอาหาร หรือบณิ ฑบาต - อยูทางทศิ ตะวันตก และตะวนั ออก เปน อสปั ปายะ ( แดดสอ งหนา นิมิตหายได ) ๕.วริ ยิ ารมภฺ กถํ - พดู เร่ืองการปรารภความเพยี ร ถา อยูทางทศิ เหนือ และใต เปนสปั ปายะ ไมมีแสงแดดสองรบกวนตา - ระยะทาง > ๑ โกสะครงึ่ = ๓ ไมล / ๕ กโิ ลเมตร เปนอสัปปายะ ไกลไป ๖.สลี กถํ - พดู เรอื่ งศีล ถานอ ยกวาเปน สปั ปายะ เดนิ ทางไมเ หน่อื ย - เขา ไปแลวไดร บั อาหารไมเพียงพอเปน อสัปปายะ ถาเพียงพอเปนสัปปายะ ๗.สมาธกิ ถํ - พดู เรื่องสมาธิ ๓. ภัสสะ - ดริ จั ฉานกถา ๓๒ เปนอสัปปายะ (คาํ พดู ) เปน ประโยชนทางโลก ไมเปนประโยชนท างธรรม เชน พดู แตเรอื่ งราวผูอ น่ื ๘.ปฺากถํ - พูดเร่ืองปญ ญา - วคิ คาหิกกถา เปน อสัปปายะ ไมเ ปนประโยชนทั้งทางโลกและทางธรรม สว นใหญเ ปน คาํ พดู ขม เหงกัน ๙.วิมตุ ตฺ ิกถํ - พูดเรอื่ งอรหตั ตผล ทาํ ลายกนั แกงแยง กนั - ภสั สสัปปายะ คําพดู ใน กถาวตั ถุ ๑๐ ๑๐.วิมุตฺติ าณทสฺสนกถํ - ปจ จเวกขณญาณ ท่เี กีย่ วกับอรหัตตผล และนิพพาน แมจ ะเปน ถอยคําที่ไมข ดั กบั มรรค ผล นิพพาน แตป ระการใดกจ็ ริง ผปู ฏิบัติก็ไมควรพูดมาก ใหพ ูดพอประมาณ เพ่อื จะไดรกั ษาสมาธิ และ ๔. บคุ คล - ปคุ คลอสัปปายะ บุคคลท่ีไมสมควรเขาไปสนทนาในขณะปฏิบัติ ปฏภิ าคนิมิตไว ทา นอรรถกถาจารย ไดกลา ววา ตมฺป มตฺตาย ภาสิตพพฺ ํ แมเปน กถาวัตถุ ๑๐ ก็ตามจงพดู แตเพยี งพอประมาณ อยาใหม ากเกนิ ไป ๕. โภชนะ ๑. กายทฬหฺ ีพหุโล - บุคคลท่ีปกตชิ อบบํารุงประคบประหงมตบแตง รา งกาย ๖. อตุ ุ ๗. อิรยิ าบถ ๒. ตริ จฉฺ านกถิโก - บคุ คลท่ปี กติชอบพดู แตในดิรจั ฉานกถา ๓๒ - ปุคคลสัปปายะ บุคคลทส่ี มควรเขา ไปสนทนาในขณะปฏิบัติ ๑. อตริ จฺฉานกถิโก - บคุ คลท่ปี กตไิ มใครค ุยในเรือ่ งดิรจั ฉานกถา ๒. สลี าทิคุณสมปฺ นโฺ น - บคุ คลที่ถงึ พรอ มดวย ศีลคุณ สมาธคิ ุณ ปญ ญาคณุ ขึ้นกบั อัธยาศัยของแตละบคุ คล - อาหารทีท่ านแลว ชมุ ชนื่ ผาสกุ ใจ ทําใหจิตใจมน่ั คงถาวร เปน สัปปายะ - อาหารทีท่ านแลว ไมมีความชมุ ช่ืนผาสุกใจ จติ ใจไมมนั่ คงถาวร เปน อสปั ปายะ ขนึ้ กบั อธั ยาศยั ของแตละบุคคล - อากาศทีไ่ มสบายในขณะที่กาํ ลงั ปฏิบัติอยูนัน้ เปน อสัปปายะ - อากาศที่สบายในขณะทก่ี าํ ลงั ปฏิบัติอยูนน้ั เปนสปั ปายะ ขึ้นกบั อธั ยาศัยของแตล ะบคุ คล - อิริยาบถใดทําใหจ ติ ใจไมคอ ยสงบ เปนอสัปปายะ - อริ ยิ าบถใดทาํ ใหจ ติ ใจแจม ใสสงบระงบั นิวรณ เปน สัปปายะ

- 26 - ข้ันตอน ๒.๖ วธิ ีการเจรญิ อปั ปนาโกศล ๑๐ ประการ ( น.๖๓ ) ๗) จติ ตฺ อชฺชปุ กโฺ ข - การประคองจติ ใหเพง เฉยอยู ในสมยั ทคี่ วรเพง ไมต องยกจิตขมจติ หรือทาํ จิตใหราเริง ๘) อสมาหติ ปคุ คฺ ลปริวชฺชนํ ๑) วตถฺ ุวิสทกรยิ ตา - เวนจากบุคคลที่มีจติ ไมส งบ หลีกเลน จากผูไ มมี ศลี สมาธิ ปญญา - ชาํ ระรางกายและเคร่อื งนงุ หมสถานที่ของใชต างๆ ใหสะอาด แลวจัดวางใหเ ปน ระเบยี บเรยี บรอย ๙) สมาหิตปคุ คฺ ลเสวนํ ๒) อนิ ฺทฺริยสมตตฺ ปฏิปาทนตา - จงคบหากบั ผูทม่ี คี วามประพฤติม่นั คง เปนผมู ีศลี สมาธิ ปญ ญา ๑๐) ตทธมิ ุตตฺ ิ - ทาํ อนิ ทรียท งั้ ๔ มี ศรทั ธากับปญ ญา, วิรยิ ะกับสมาธิ ใหเสมอกนั และตอ งทําสติใหม ากยง่ิ กวา - จงนอ มใจอยูแ ตใ นเรอ่ื งฌานสมาธิ สืบเนือ่ งตอกนั อยูเรื่อยๆ ไปไมข าดสาย ธรรมทัง้ ปวงในการงานนนั้ ๆ * ศรทั ธินทรีย ปญญินทรยี  ศรทั ธา > ปญญา = ตณั หาเขา แทรก (ละความไมเช่ือ ) (เหน็ สภาพ ปญ ญา > ศรทั ธา = อวดดี / อวดเกง / วิจิกิจฉา ความเปนจริง ) ขั้นตอน ๒.๗ การขยายปฏภิ าคนมิ ติ ( น.๖๕) - การขยายปฏิภาคนมิ ิต เพอื่ เปนบาทใหเขาถงึ ปฐมฌาน เพือ่ ใหม ีกําลงั มากข้นึ * วริ ิยินทรยี  สมาธินทรีย วริ ิยะ > สมาธิ = ฟุง ซาน ( อุคคหนิมติ นัน้ ไมควรขยาย เพราะไมไดประโยชน กลับจะทาํ ใหสมาธิท่มี ีกําลังดีอยนู นั้ เสือ่ มถอยไป ) - ขนาดทีค่ วรขยาย จะขยายจากเดมิ ทีละนวิ้ กระท่งั ถึงท่ีสดุ จดขอบจักรวาลกไ็ ด สมาธิ > วิริยะ = เกียจครา น (โกสชั ชะ ) - กาลทีค่ วรขยายน้นั จะขยายในขณะท่สี มาธยิ ังเปน อปุ จารสมาธิ คอื สมาธใิ กลต อฌานก็ได หรอื ภายหลงั ท่ไี ดส าํ เร็จอปั ปนาสมาธิ คือไดฌานแลวก็ได * สตนิ ทรยี  ยิ่งมากย่งิ ดคี อยควบคมุ ใหเสมอกัน ๓) นิมติ ฺตกุสลตา - ความฉลาดในการรกั ษานิมิตกรรมฐาน และทําใหส มาธิเจริญขึ้น > การทาํ นิมติ ท่ียังไมเกดิ ใหเ กดิ ข้นึ > การทํานมิ ติ ที่เกดิ แลวใหเ จรญิ และตัง้ ม่นั (การรักษาปฏภิ าคนมิ ติ ) ขน้ั ตอน ๒.๘ ปฐมฌานเกิด ( น.๖๕) ๔) จิตตฺ ปคคฺ โห - ควรยกจติ ในสมัยทค่ี วรยก เพงปฏิภาคนมิ ติ ปฐมฌาน ปจจเวกขณะ - พจิ ารณาองคฌานท้ัง ๕ แลว จงึ เรียกวา ๕) จิตตฺ นคิ คฺ โห - ควรขม จติ ในสมยั ที่ควรขม ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ภ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ภ \" ฌานลาภบี คุ คล \" ๖) จิตฺตสมปฺ หโํ ส - ควรทําจิตใหราเรงิ ในสมยั ท่ีควรทําจติ ใหรา เริง ม.ก.ุ ส.ํ ๔ โดยนึกถงึ สังเวควัตถุ ๘ ( ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ อบายทุกข วฏั ฏมูลกทุกขในอดตี กามชวนะ ๓ ขณะ(ตกิ ข) องคฌาน ๕ ปรากฏ วฏั ฏมลู กทกุ ขในอนาคต อาหารปริเยฏฐิมูลกทุกข ) และพระรตั นตรัย /๔ขณะ (มันท) ๔ - ๖ ) เปนการปรบั โพชฌงค ๗ ตทงั คปหาน วกิ ขัมภนปหาน * ผปู ฏิบัติรูวา เขาถึงปฐมฌานได สตสิ มั โพชฌงค (ท้ังปลอบและปราบ) = กามบคุ คล = ฌานลาภบี คุ คล เพราะการเขาสอู ารมณข องปฐมฌาน กลุม ยกจิต โดยทําโพชฌงคใ หเ จรญิ ขน้ึ กลุมขมจติ โดยทําโพชฌงคใ หเจรญิ ข้ึน = เขาถงึ กามชวนะ ปริตตสมถะ = เขาถึงมหัคคตชวนะ มหัคคตสมถะ จะไมหวั่นไหวเลยจงึ ทาํ ใหรไู ดว า - ธมั มวิจยสมั โพชฌงค - ปสสทั ธสิ มั โพชฌงค = อํานาจกิเลสตัณหา = อํานาจกเิ ลสตัณหา ฌานเกดิ ขนึ้ แลว แกตน - วิรยิ สัมโพชฌงค มากไปฟงุ ซา น - สมาธสิ ัมโพชฌงค มากไป หาไดสงบลงไมจิตใจยังไมมี สงบราบคาบลงทนั ที จิตใจมกี าํ ลงั กลาแขง็ เตม็ ท่ี - ปตสิ มั โพชฌงค - อเุ บกขาสัมโพชฌงค ทอ ถอยหดหู กาํ ลังเต็มที่ องคฌานทง้ั ๕ กป็ รากฏขึ้นอยา งเดน ชัด

- 27 - ๓) ข้นั ตอนปฏบิ ตั ิเพ่อื ใหเขาถงึ ทตุ ยิ ฌาน เปน ตน เกิดขน้ึ (น.๖๖-๗๐) ขนั้ ตอน ๓.๑ ฌานลาภบี ุคคล พงึ กระทาํ ปฐมฌานกศุ ลชวนะ เปน เวลา ๑ - ๗ วนั ขน้ั ตอน ๓.๒ ฝก วสภี าวะทงั้ ๕ เพอ่ื เปน บาทใหฌ านสงู ขน้ึ ( น.๖๗ - ๗๐) วจนัตถะ ๑ ๑) เพ่ือใหจ ิตใจมีกาํ ลงั สมาธิทแ่ี กกลา เขมแข็ง สามารถเขาฌานไดติดตอ กันอยเู รอ่ื ยๆ ตลอด ๑ - ๗ วัน วจนัตถะ ๒ \" วสนํ สมตฺถนํ = วโส \" ความสามารถ ชือ่ วา วสะ (ธมั มาธษิ ฐาน) วจนตั ถะ ๓ (ปคุ คลาธษิ ฐาน) ๒) เพอ่ื ไมใ หฌานเสื่อม \" วโส ยสฺส อตฺถตี ิ = วสี \" ความสามารถที่มีอยแู กผูใด ฉะนน้ั ผูน น้ั ชื่อวา วสี (ธัม.+ปคุ .) ๓) เพ่ือเปนบาทแหงการฝกหัด วสีภาวะ ๕ ประการตอ ไป เพราะทุตยิ ฌาน - ปญ จมฌานตองอาศัย \" วสโิ น ภาโว = วสีภาโว \" ความเปนผมู ีความสามารถ ชอ่ื วา วสภี าวะ วสภี าวะ ๕ เปน เหตสุ ําคญั ปฏิภาคนมิ ติ องคฌ าน ๕ ปรากฏ ปจจเวกขณะ พิจารณาองคฌ าน ๕ วสี ๕ อยา ง คอื (๑,๕) ๑. พิจารณาองคฌ านเหมือนกัน ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ภ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ๑) อาวชั ชนวสี สามารถในการพิจารณาองคฌานของมโนทวาราวัชชนะ แตต า งกนั ตรงหนา ที่ คอื ม.กุ.ส.ํ ๔ วสอี าทิกัมมกิ ฌาน ๒) สมาปช ชนวสี สามารถในการเขาฌาน (๒-๔) - มโน. > เปน อาวชั ชนกจิ อปั ปนาภาวนา - ชวนะ > เปน ชวนกิจ อุปจารภาวนา ปฐมฌานลาภบี คุ คล ๓) อธิฏฐานวสี สามารถในการกําหนดเวลาเขา เกิดในฌานวิถี ๒. เกดิ ในมโนทวารวถิ ี ๓. เกดิ หลังออกจากฌานวิถีแลว = เปนกามชวนะ = เปน ปฐมฌานกุศล.๑ ๔) วฏุ ฐานวสี สามารถในการกาํ หนดเวลาออก สําเร็จในคราวเดียวกัน ปจจเวกขณะวิถีจึงเกิดข้ึนได = เขาถงึ ปริตตสมถะ = เขาถงึ มหคั คตสมถะ ๕) ปจ จเวกขณวสี สามารถในการพจิ ารณาองคฌานของชวนะ = เปน ตทังคปหาน = เปน วิกขมั ภนปหาน * ขอหาม หลังไดฌ านใหมๆ ๑) หามเขา ฌานสมาบัติ เพราะเปน เหตุใหป ฐมฌานเสือ่ มได ๒) หามพจิ ารณาองคฌาน ๕ ( ปจ จเวกขณะวิถีเปนวิถเี ดียวทพ่ี ิจารณาองคฌานได อยาเขาพจิ ารณาบอยๆ ) * ความสามารถของวสี ๑) มีภวังคเ กิดนอยดวง เพราะถา พิจารณาองคฌานมากไป ขณะนั้นองคฌ านเปน ของหยาบมีกําลงั นอ ย ปฐมฌานที่ไดแลว เส่ือมได ถาเปนวสขี องพระพทุ ธองค / พระอัครสาวก มเี พียง น ท เทา นน้ั * วธิ ีฝก ฌานวิถตี ลอด ๑ - ๗ วนั น ท ม ช ช ช ช ช น ท ม ช ช ช ช ช ... เพงปฏิภาค เพงปฏิภาค แตส ําหรับบคุ คลทวั่ ไปมี \" มูลภวังค \" อกี ๔-๕ ขณะ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ฌ ฌ ภ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ฌ ฌ ภ ภ ภ ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช น ท ม ช ช ช ช ช ... ๑-๓ ขณะเทา นัน้ ๑-๓ ขณะเทานัน้ ๒) สําหรับ ชวนะ ขณะฝก วสี มเี พียง ๔ - ๕ ขณะ เทาน้ันไมค รบ ๗ - ถา ๔ ขณะ เปนของตกิ ขบุคคล * ในฌานวถิ ี มี ฌ ๑ ขณะ เรียกวา อาทิกมั มิกฌาน - ถา ๕ ขณะ เปนของมันทบุคคล ฌ ๑ - ๓ ขณะ เรยี กวา ปฐมฌานกุศลชวนะ ฌ > ๓ ขณะ เรยี กวา ฌานสมาบัติ * การใหป ฐมฌานกศุ ลชวนะเกดิ เสมอๆ ตอ งเพงปฏภิ าคนิมติ กอน เพราะเมอ่ื เพงปฏภิ าคนิมิตเวลาใดเวลานั้น ฌานจิตก็เกดิ ข้นึ ดังน้นั ถา รูสกึ วา ฌานจิตดบั ไป ขณะน้นั ตองรีบเพง ปฏิภาคนมิ ิตอกี เพื่อกลบั เขาปฐมฌานอีก

- 28 - * ข้นั ตอนในการเขา วสี ๕ ๓ พระโยคีบุคคลตองสํารวจดวู ามโี อกาสทจี่ ะฌานสงู ขึน้ หรือไม ๑ เขาปฐมฌาน (หลงั จากไดป ฐมภาวรปู กุศล เปน ฌานลาภบี คุ คลแลว ) - เกิดความเบอื่ หนายในฌานเดิม / ในองคฌ าน - เหน็ ความตางกนั ขององคฌ าน เชน เห็นวาวิตกเปน ของหยาบ องคฌาน ๔ ท่ีเหลอื เปน ของละเอยี ด เพงปฏิภาค องคฌาน พ( ปจิ าจ รจณเวากอขงณคฌะวานิถขี ๕องแพลระะตสดั มั กมราะสแมัสพภุทวังธคเจใ าห/เ หอลัคือรสาวก ) - อาศัยความแกก ลา ของอนิ ทรีย ๕ ๕ นอยลง - อาศัยบญุ บารมใี นกาลกอ น ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ฌ ฌ ฯลฯ น ท ม ช ช ช ช ช น ท ม ช ช ช ช ช . * วธิ ีเช็ค ตองเขาปฐมฌานแลว ออกจากปฐมฌาน + ปจจเวกขณะ ( ปจจเวกขณะทว่ั ไป มี ชวนะ ๗ ขณะ ) ๕) ปจ จเวกขณวสี (พจิ ารณาดวย ม.ก.ุ /ก.ิ ส.ํ ๔) ๑) อาวัชชนวสี ๒ เขา วสีท่ีเหลือ ( ๒ - ๓ ) นท ม ชชชชช. พิจารณาองคฌ าน ๕ - ยนิ ดีของเดิมหรือไม เพง ปฏิภาคไมนาน ๑) ๕) - เห็นความแตกตางในองคฌาน ตัดมูลภวงั คใ หน อยลง ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ฌ ฌ ภ --->ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ภ ภ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ฌ ฌ ..เกดิ ดับ.. ฌ ภ ม.กุ.๘ ม.กุ./ก.ิ ส.ํ ๔ ๒) สมาปช ชนวสี ๓) อธิฏฐานวสี ๔) วุฏฐานาวสี คอื ความสามารถ คือความสามรถ ใหฌ านเกิดดับได ในการกาํ หนด ตามเวลาที่ตอ งการ เวลาออกจากฌาน โดยขม ภวังคไม ใหเกดิ เพราะถา ภวังคเ กิดก็เทากบั ออกจากฌาน

- 29 - ๓) ขั้นตอนปฏิบัตเิ พอื่ ใหได ฌานสงู ขึ้น เมอื่ เบ่ือหนายในองคฌ านวิตกของตน จึงเจริญทุตยิ ฌาน = ๓ ภาวนา ๑ นิมิต คือ ปฏิภาคนิมิต เพง ปฏภิ าคนิมิต + บริกรรม \"ปถวี\" องคฌ าน ๔ ปรากฏ = ทุตยิ ฌานลาภีบคุ คล ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ....ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ บริกรรมภาวนา อปุ จารภาวนา อัปปนาภาวนา คาํ บริกรรม \" วติ กกฺ วริ าคภาวนา \" * พระโยคบี คุ คล พงึ ทราบวา เปนอปุ จารหรอื ไมน นั้ - ใหเ ขา ปฐมฌาน เพือ่ ใหองคฌาน ๕ ปรากฏ - แลวตอดว ยปจ จเวกขณะพจิ ารณาองคฌ าน ๕ นัน้ - ถา เหน็ วามีความเบ่ือหนายในองคฌ านวติ ก เมือ่ นนั้ ก็สรปุ ไดว า เขา ขอบเขตแหงอุปจาระ - ถายังไมเห็นความเบ่ือหนา ย กอ็ ยูใ นขอบเขตของบรกิ รรมภาวนา * ปจ จเวกขณะ มี ๔ อยาง * ปญจมฌานลาภีบุคคล ๑ เขา ฌาน --> ออกจากฌาน --> มปี จจเวก. รบั รอง เปน ฌานลาภบี ุคคล ๒ เขา ฌาน --> ออกจากฌาน --> มปี จ จเวก. พิจารณาวสี มีชวนะ ๗ ขณะ ๑ ทาํ ปญจมฌานกุศลชวนะ ๑ - ๗ วัน ๓ เขาฌาน --> ออกจากฌาน --> มีปจจเวก. สํารวจความเบ่ือหนาย มีชวนะ ๔-๕ ขณะ ๔ เขา ฌาน --> ออกจากฌาน --> มปี จจเวก. เพ่อื ดูวาไดอปุ จารหรือไม มชี วนะ ๗ ขณะ ๒ ฝกวสี ๕ มชี วนะ ๗ ขณะ ๓ สาํ รวจวา มีความเบ่อื หนายในปญจมฌานหรอื ไม มี ๒ นัย ความเบื่อหนา ยมี ๒ นยั วา งเวนจากพทุ ธศาสนา มพี ทุ ธศาสนา * ความเบือ่ หนา ย ๑. การประหัตประหารดว ยอาวุธก็มี ๑.ไมไดเหน็ โทษจากรางกาย ๑ เบอ่ื หนา ย นิวรณ เปนเหตุใหเขา ใกล ๒ \" วิตก \" \" ปฐมฌาน ๒. ความเจบ็ ปว ยของรางกายกด็ ี ๒. เหน็ วา สมาธิจากอรปู . มีความละเอียดกวาในรปู ฌาน ๓ \" วจิ าร \" \" ทตุ ยิ ฌาน ๔ \" ปติ \" \" ตตยิ ฌาน --> คาํ ภาวนา \" วิตกกฺ วริ าคภาวนา\" ๓. ความหวิ กระหาย / ความกาํ หนัดก็ดี ๓. หากสาํ เร็จในฌานสมาบัติ ๘, ๙ กส็ ามารถแสดง ๕ \" สุข \" \" จตุตถฌาน \" \" วจิ ารวิราคภาวนา\" ปญ จมฌาน \" \" ปตวิ ิราคภาวนา\" ๔. เกดิ จากการมีรางกายที่เกดิ จากโลหติ ของ อภิญญาได ขอ ๑ - ๕ = ปญ จกนัย ของมนั ทบุคคล \" \" สุขวิราคภาวนา\" บิดามารดา ทไ่ี มสะอาด ๔. หากสาํ เรจ็ พระอนาคามี + พระอรหนั ต ๕. เห็นภัยแลว เกดิ ความกลวั ในรูปปฏภิ าคนมิ ติ กเ็ ขา นิโรธสมาบัตไิ ด

- 30 - 5 อากาสานญั จายตนฌาน ( น.๗๒ ) ๑. การปฏิบตั ิ คือ ปญจมฌานลาภบี ุคคลกระทาํ รปู าวจรปญ จมฌานกุศลชวนะ โดยการเพงปถวปี ฏภิ าคนิมิต --> ออกจากรูปปญจมฌาน --> เขา ปจจเวกขณะพจิ ารณาองคฌ าน และดวู า ปฏภิ าคของตนควรยอ / ขยาย / คงไว --> แลว เพง ปฏภิ าคนิมิตที่ปรากฏตออยางไมสนใจใดๆ มคี วามพยายามพรากใจออกจากปฏภิ าคนิมติ --> ยึดหนว งใหอากาศบัญญตั ิมาปรากฏแทนท่ี โดยคดิ วา ปถวปี ฏิภาคนมิ ิตไมม ีๆ คงมีแตอากาศวา งเปลา พรอมคาํ บริกรรมในใจวา \" อากาโส อนนฺโต ๆๆๆๆ \" (อากาศไมมีท่สี ิ้นสดุ ) อากาศ เปน บัญญัติ ไมใชปรมตั ถ จงึ ไมม ีเบือ้ งตน (การอุบัตขิ นึ้ ) และไมมีเบอื้ งปลาย (การดบั ไป) เรียกวา อนนโฺ ต บางคร้ังบรกิ รรมวา \" อากาโสๆๆ \" / \" อากาสๆํ ๆ \" ก็ได เพง ปฏภิ าคนิมิต ยอ / ขยาย / เทาเดิม เพิกปฏภิ าคนิมิต ท่เี กดิ จากกสณิ ๙ ออกไป หนว งเอา องคฌาน ๒ ปรากฏ อากาศเขา มาแทนที่ เทา ขอบเขตของปฏิภาคนมิ ติ มี อากาสบญั ญัติ (กสณิ ุค.) เปน อารมณ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ....ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ เขา ไปพจิ ารณาปจจเวกขณะแลว บริกรรม \"อากาโส อนนโฺ ต\" อุปจารภาวนา = อากาสานญั จายตนฌานลาภบี คุ คล * เปนอปุ จารหรือไมน้ัน เขาปจจเวกขณะ พจิ ารณาวา ยังยินดีในปญ จมฌานหรอื ไม ถายังมี นิกันติตัณหา (ยินดีพอใจ) ก็ยังอยูในขอบเขตของบริกรรมภาวนา แตถ า ปราศจากใน นกิ นั ตติ ณั หา ใน รูปปญ จมฌาน แสดงวาเขา มาอยูใน ขอบเขตของอปุ จารภาวนาแลว ๒. อากาสานัญจายตนฌาน มชี ่ือเรียกได ๓ อยา ง คอื ๑. อรปู ฌาน เพราะ ปญจมฌานลาภบี คุ คล ไมไดสนใจเพง \" ปถวีปฏภิ าคนิมิต \" ท่เี ปนรูปอารมณ เมือ่ ฌานจิตเกดิ ขึ้น ฌานจิตน้ันกป็ ราศจากรปู ๒. อากาสานญั จายตนฌาน เพราะ องคฌ าน ๒ น้มี ีตัง้ มัน่ ไมห ว่นั ไหว เกิดขึ้นโดยอาศยั อากาศบัญญัติ ทห่ี าเบอ้ื งตน (ความเกิด ) และเบือ้ งปลาย (ความดับ ) กไ็ มได ๓. ปฐมารปุ ปฌาน เพราะ ภายหลงั ทีไ่ ดเ วน จากบัญญัตกิ รรมฐานทเ่ี กย่ี วกบั รปู ไดแ ลว ฌานน้ไี ดเ กดิ ข้นึ ครั้งแรก ในบรรดาอรปู ฌานท้งั ๔

- 31 - 5 วิญญาณญั จายตนฌาน ( น.๗๕ ) บุคคล = อากาสานัญจายตนฌานลาภบี คุ คล อารมณ = อากาสบัญญัติ ฌานทม่ี อี ยแู ลว = อากาสนญั จายตนฌาน (ผรู อู ารมณ ) ตอ งการฌานทส่ี งู ขนึ้ ( ตองอาศัยปรัมตั ถอ ารมณ อยางเดียว ) คือ วญิ ญาณญั จายตนฌาน ๑. ขัน้ แรก ปฏบิ ตั ใิ นวสภี าวะท้งั ๕ ท่เี กยี่ วกบั อากาสานญั จายตนฌาน กอนจนมีความชํานาญ ๒. เขา อากาสานญั จายตนฌาน แลวออกจากฌานพจิ ารณาเห็นโทษของ อากาสา. - อากาสา.นี้ เปน ฌานใกลก บั รูปปญ จมฌาน เปน ขา ศกึ แกกัน ถา ขาดการเขา ฌานเสมอ สมาธอิ าจลดระดับเปน รูปปญ จมฌานอกี - สมาธิทเ่ี กดิ จากอากาสา.นี้ก็หยาบกวาสมาธทิ เี่ กิดจากวิญญาณญั จายตนฌานดว ย ๓. เมื่อพจิ ารณาเหน็ โทษของ อากาสา. แลว กเ็ กิดการฝกใฝใ น \" ปฐมารุปปวิญญาณ \" คอื อากาสา.ท่ีดบั ไปจากจติ สันดานของตน โดยการพยายามพรากใจออกจาก \"อากาสบญั ญตั ิ \" แลวกลับพยายามยึดหนวงให อากาสานญั จายตนฌาน มาปรากฏแทนท่ี โดยบริกรรมวา \" วิ ฺาณํ อนนตฺ ๆํ ๆ / วิ ฺาณํๆๆ \" ( นี้เปน ปฐมารุปปวญิ ญาณทม่ี ีอากาศบญั ญัตไิ มมที ี่สนิ้ สุดเปน อารมณ / น้เี ปน ปฐมรุปปวญิ ญาณ) เพงอารมณ เพกิ อารมณ \"อากาสบัญญตั \"ิ ออกจากใจ หนวงเอาฌาน องคฌ าน ๒ ปรากฏ อากาสบัญญตั ิ \"อากาสานญั จายตนฌาน\" มาเปนอารมณแทนที่ มี อากาสานัญจายตนฌาน เปนอารมณ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ เขา ไปพจิ ารณาปจ จเวกขณะแลว สาํ เรจ็ บรกิ รรม วญิ ญาณัญจายตนฌานลาภบี ุคคล \" วิภฺ าาวณนําอนนฺตํ \" อุปจารภาวนา อัปปนาภาวนา มว. อากาสานญั จายตนฌานทีม่ ี * เห็นวาปราศจาก นิกนั ตติ ณั หา อากาศบญั ญตั ิไมม ที ี่ส้ินสดุ เปน อารมณ ของอากาสานัญจายตนฌาน * เปรยี บเทยี บอรปู ฌาน ปรมตั ถ บัญญตั ิ ปรมตั ถ บญั ญัติ อากาสานัญจายตนฌาน เพกิ อารมณอากาสานัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน อารมณ อากาสบญั ญตั ิ นัตถิภาวบญั ญัติ ฌาน อากาสานญั จายตนฌาน วิญญาณัญจายตนฌาน อากญิ จญั ญายตนฌาน เนวสญั ญานาสญั ญายตนฌาน บุคคล อากาสานญั จายตนฌานลาภีบคุ คล วญิ ญาณญั จายตนฌานลาภบี ุคคล อากญิ จญั ญายตนฌานลาภีบุคคล เนวสัญญานาสญั ญายตนฌานลาภีบคุ คล (นิดก็ไมมีหนอยก็ไมมี = ขณะหนึ่ง (เกิด ตั้ง ดบั ) ก็ไมมี )

- 32 - 5 อากิญจัญญายตนฌาน ( น.๗๗ ) บคุ คล = วญิ ญาณญั จายตนฌานลาภบี ุคคล อารมณ = อากาสานญั จายตนฌาน ฌานที่มีอยแู ลว = วิญญาณัญจายตนฌาน (ผูรอู ารมณ ) ตองการฌานทส่ี งู ข้นึ คือ อากญิ จญั ญายตนฌาน ๑. ขัน้ แรก ปฏบิ ัตใิ นวสีภาวะท้งั ๕ ท่เี กยี่ วกบั วญิ ญาณญั จายตนฌาน กอ นจนมคี วามชํานาญสมบรู ณดแี ลว ๒. เขาวญิ ญาณญั จายตนฌาน แลว ออกจากฌานพิจารณาเหน็ โทษของ วิญญาณญั จา. วา - วญิ ญาณญั จา.น้ี เปนฌานใกลกับอากาสานญั จายตนฌาน เปนขา ศกึ แกก ันอยู ถาขาดการเขาฌานเสมอ สมาธอิ าจหายหรือลดระดบั เปน อากาสนญั จายตนฌานอกี - สมาธทิ เ่ี กิดจากวิญญาณัญจา.นี้กห็ ยาบกวา สมาธิทเ่ี กิดจากอากิญจญั ญายตนฌานดว ย ๓. เมอ่ื พจิ ารณาเหน็ โทษของ วญิ ญาณัญจา. แลว กเ็ กดิ การฝกใฝใน \" อากาสานัญจายตนฌาน \" ทดี่ บั สูญไปจากจติ สันดานของตนอยางไมม เี หลืออยูเลย โดยการพยายามพรากใจออกจากอากาสานัญจายตนฌานนน้ั ๆ เสีย แลวพยายามยึดหนว งให \" นัตถภิ าวบญั ญัติ \" มาปรากฏแทนที่ โดยบรกิ รรมวา \" นตฺถิ กิจฺ ๆิ ๆ \" ( ความเหลอื อยูข องอากาสานัญจา.แมเพยี งเล็กนอ ยก็ไมมี อยา วาแต อุปาทะ ฐตี ิ ของอากาสานญั จา.แม ภงั คัก ก็ไมม เี หลือ) พรากอากาสานัญจายตนฌานออกจากใจ โดยไมมีภาวะ เพงอารมณ แหง องคฌ าน ๒ ปรากฏ อากาสานัญจายตนฌาน อากาสานัญจายตนฌานเหลอื อยู เรยี กวา \" นัตถภิ าวบัญญัติ มี นัตถิภาวบญั ญัติ เปน อารมณ ภนท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท \" ม ช ชบชรกิ ชรรชมช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ เขา ไปพจิ ารณาปจ จเวกขณะแลว สาํ เรจ็ อากญิ จญั ญายตนฌานลาภบี คุ คล \" นตภฺถาิ วกนิ าจฺ ิ ๆๆ... \" อุปจารภาวนา อปั ปนาภาวนา * เหน็ วาปราศจาก นิกันตติ ัณหาใน วิญญาณัญจายตนฌาน 5 เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ( น.๗๘ ) บุคคล = อากญิ จัญญายตนฌานลาภบี ุคคล อารมณ = นัตถภิ าวบญั ญัติ ฌานทม่ี ีอยแู ลว = อากิญจัญญายตนฌาน (ผูรอู ารมณ ) ตอ งการฌานทีส่ งู ข้นึ คอื เนวสญั ญานาสัญญายตนฌาน ๑. ขัน้ แรก ปฏิบัติในวสภี าวะทง้ั ๕ ทเี่ ก่ียวกับ อากญิ จัญญายตนฌาน กอ นจนมคี วามชาํ นาญสมบรู ณด แี ลว ๒. เขา อากิญจัญญายตนฌาน แลว ออกจากฌานพจิ ารณาเหน็ โทษของ อากิญจญั ญา. วา - อากญิ จัญญา.น้ี เปนฌานใกลกบั วญิ ญาณัญจายตนฌาน เปนขาศกึ แกก นั อยู ถา ขาดการเขา ฌานเสมอ สมาธอิ าจหายหรอื ลดระดับเปนวญิ ญาณญั จายตนฌานอีก - สมาธทิ ี่เกดิ จากอากิญ.นีไ้ มประณีต ไมสงบ แมสัญญาก็ไมเ ทา ในเนว. ฉะนั้น อรปู ฌานที่ ๔ น้ี จงึ เปนฌานทมี่ ีความประณตี ยอดย่งิ แตย ังเห็นความดขี องอากิญ.เพราะสามารถรับบญั ญัติอารมณทไี่ มม ีปรมตั ถรองรบั ได ๓. เมอื่ พจิ ารณาเชนนี้แลว ก็สนใจนกึ ถึง \" อากญิ จญั ญายตนฌาน \" ที่ดบั ไปจากจติ สนั ดานของตนโดยการพยายามพรากใจออกจากนัตถิภาวบัญญตั นิ น้ั เสีย แลว พยายามยดึ หนวงให \" อากิญจญั ญายตนฌาน \" มาปรากฏแทนที่ โดยบรกิ รรมวา \" สนฺตเมตํ ปณตี เมตํ ๆๆ / สนตฺ ๆํ ปณตี ๆํ \" ( เปนคําชมเชยยกยองใน อากญิ จัญญายตนฌาน ที่มี สมาธิสงบมาก ประณตี มาก) เพง อารมณ พรากนัตถภิ าวบัญญตั ิออกจากใจ หนว งเอาฌานจติ องคฌาน ๒ ปรากฏ นัตถิภาวบัญญตั ิ \" อากิญจัญญายตนฌาน \" มาเปนอารมณ มี อากิญจัญญายตนฌานเขเาปไนปอพาิจรามรณณาปจ จเวกขณะแลวสําเร็จ ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ชบชรกิ ชรรชมช ช ภ ... ภ น ท อุปจารภาวนา เนวสัญญานาสญั ญายตนฌานลาภี บคุ คล \" สนภตฺ าเวมนตาํ ปณตี เมตํ ๆๆ... \" * เห็นวา ปราศจาก นิกนั ติตัณหาใน อากญิ จญั ญายตนฌาน อปั ปนาภาวนา

- 33 - 5 สรุปการเจรญิ \" อรปู ฌาน \" กระทาํ ฌานใหส งู ข้ึน โดยกระทําอารมณ สําเร็จเปนบคุ คล เร่ิมจากบุคคล > อากาสานัญจายตนฌาน = อากาสานญั จายตนฌานลาภีบุคคล > วญิ ญาณัญจายตนฌาน - เพิก ปฏภิ าคนมิ ติ ทเ่ี กิดจากกสิณ ๙ ( เวน อากาสกสิณ ) ออก = วญิ ญาณัญจายตนฌานลาภีบุคคล ปญจมฌานลาภีบุคคล > อากิญจญั ญายตนฌาน แลวหนวงเอา อากาสบญั ญัติ มาเปน อารมณ ( บัญญัติ ) = อากิญจญั ญายตนฌานลาภบี คุ คล > เนวสัญญานาสญั ญายตนฌาน ดว ยคําบรกิ รรมวา \" อากาโส อนนฺโต \" = เนวสัญญานาสัญญายตนฌานลาภีบคุ คล อากาสานญั จายตนฌานลาภบี คุ คล - เพกิ อากาสบญั ญัติ ออก วิญญาณญั จายตนฌานลาภีบคุ คล แลว หนว งเอา อากาสานญั จายตนฌาน มาเปนอารมณ ( ปรมัตถ ) ดว ยคาํ บรกิ รรมวา \" วิฺ านํ อนนฺตํ \" อากญิ จญั ญายตนฌานลาภบี คุ คล - เพิก อากาสานญั จายตนฌาน ออก แลวหนวงเอา นตั ถภิ าวบัญญัติ มาเปน อารมณ ( บัญญัติ ) ดวยคําบริกรรมวา \" นตถฺ ิ กิจฺ ิ \" - เพกิ นัตถิภาวบญั ญตั ิ ออก แลว หนวงเอา อากิญจญั ญายตนฌาน มาเปน อารมณ ( ปรมตั ถ ) ดวยคําบริกรรมวา \" สนตฺ เมตํ ปณีตเมตํ \" * รูปฌานทั้ง ๕ มีอารมณเหมอื นกัน คอื ปฏิภาคนมิ ิต แตจําแนกทอ่ี งคฌ านตางกัน * มเี พยี งกสิณ ๑๐ เทา น้นั ทเี่ ขา ถงึ \" อรปู ฌาน ๔ \" ได * อรปู ฌานทัง้ ๔ มอี งคฌาน ๒ เหมือนกนั คือ อุเบกขา เอกัคคตา แตตางกนั ทต่ี วั อารมณ * การเพงกสิณทเ่ี หลอื อีก ๙ จนถึงอรูปฌาน กค็ งเปนไปในทาํ นองเดียวกันทุกประการ

- 34 - 5 การเพง \" อาโปกสณิ \" ( น.๘๑ ) - องคก สณิ มุง หมาย สสมั ภารอาโป = นํา้ ท่วั ไปท่ใี ชอ าบกนิ เปน อารมณกสิณไมไ ดดูสภาวะไหลเกาะกมุ / องคกสณิ ตอ งใสสะอาดปราศจากกสิณโทษ (ไมเ จอื ปนดว ยสีหรอื ขุน ) ใสภ าชนะใหเ สมอขอบปากทกี่ วางและลืก ๑ คืบ ๔ น้วิ - ขณะเพงอยา พิจารณาสีของน้าํ หรอื สภาพของน้าํ ทม่ี ลี กั ษณะใหลหรือเกาะกุม แตต อ งเพงรปู รางสณั ฐานของนํ้าธรรมดา พรอ มบริกรรมวา อาโป ๆ หรือ น้าํ ๆ ( เพง - ขณะเพงบริกรรม - หลบั ตาจาํ ภาพ - บริกรรม ) จนภาพปรากฎทางใจเปนอคุ คหนมิ ิต เมือ่ อคุ คหนิมิตปรากฏ ใหเพ่งิ อคุ คหนมิ ิตน้ันตอ จนไดป ฏิภาคนิมิตและไดร ปู ฌาน - บริกรรมนมิ ติ (ภาพทางตา) ถา องคกสิณเคล่ือนไหวอยา งไร อุคคหนมิ ติ (ภาพทางใจ) กจ็ ะเคล่ือนไหวอยา งนัน้ แตถา เปน ปฏิภาคนิมติ แลว จะน่งิ ปรากฏแตค วามใสสะอาดดัง \" แกวมรกต \" - การเจรญิ อาโปกสณิ นบั ตงั้ แตป ฏภิ าคนิมิตปรากฏ เปนตนจนถงึ รูปฌาน อรูปฌาน กค็ งเปน ไปในทํานองเดียวกนั กับการเจรญิ ปถวีกสิณทุกประการ 5 การเพง \" เตโชกสิณ \" ( น.๘๒ ) - องคก สณิ หมายเอา สสัมภารเตโช = ไฟธรรมดาท่ัวไปเปน อารมณกสณิ ไมไ ดเ อาสภาวเตโชที่มีลักษณะเยน็ รอ น / การทําองคกสิณ โดยการกอ กองไฟแลวเอาเสอ่ื ลาํ แพนหรอื แผน หนงั กนั้ ไว เจาะชอ งกลมโตประมาณ ๑ คืบ ๔ นว้ิ - ขณะเพงอยา พิจารณาสีของไฟ ทอนฟน เถา ถาน ควันไฟหรือความรอ นจะเปนกสณิ โทษ ใหเ พงดเู ปลวไฟ พรอมบรกิ รรม เตโชๆ หรอื ไฟๆ จนกวา จะเกิดอคุ คหนิมติ ( เพง - ขณะเพงบริกรรม - หลับตาจําภาพ - บริกรรม ) - บรกิ รรมนิมิต (ภาพทางตา) องคกสิณเคลื่อนไหวอยา งไร อุคคหนมิ ติ (ภาพทางใจ) กจ็ ะเคล่ือนไหวอยางนนั้ แตปฏภิ าคนมิ ติ แลว จะนงิ่ ไมม กี ารพดั ไหว ปรากฏแตความใสสะอาดดงั \" ผากมั พลแดง \" - การเจรญิ เตโชกสิณ นับตง้ั แตปฏิภาคนมิ ติ ปรากฏ เปน ตนจนถงึ รูปฌาน อรูปฌาน ก็คงเปนไปในทาํ นองเดยี วกนั กับการเจริญปถวีกสิณทกุ ประการ 5 การเพง \" วาโยกสิณ \" ( น.๘๔ ) - องคก สิณหมายเอา สสมั ภารวาโย = ลมทั่วไปเปนอารมณก สณิ ไมไ ดเอาสภาววาโยทมี่ ลี กั ษณะเครง ตงึ เคลือ่ นไหว / การทาํ องคกสณิ ไมมี ลมมองเหน็ ไมได อาศยั การเหน็ ยอดไมไหว ความรสู กึ เมื่อลมตองกาย หรอื เสนผมไหวดวยลม - ขณะเพง การเคลอื่ นไหว หรอื ความรูสกึ ลมตอ งกาย ใหบริกรรม วาโยๆ หรอื ลมๆ จนกวา จะเกิดอคุ คหนมิ ติ ( เพง - ขณะเพง บรกิ รรม - หลบั ตาจําภาพ - บริกรรม ) - บรกิ รรมนิมิต เห็นลมธรรมดา อาศยั การไหว เปน เครื่องเพง - อุคคหนิมติ เหน็ ลมพิเศษ ปรากฏทางใจ เหมอื นเกลยี วไอนา้ํ / ควัน - ปฏิภาคนิมิตแลวจะน่งิ ไมมีการพดั ไหวเหมอื นภาพถาย - การเจรญิ วาโยกสิณ นบั ตง้ั แตปฏภิ าคนิมิตปรากฏ เปน ตน จนถึง รูปฌาน อรปู ฌาน ก็คงเปน ไปในทาํ นองเดยี วกันกับการเจรญิ ปถวีกสิณทุกประการ รปู ารมณ = เห็นยอดไมไ หว (จากลม) * ถาใชต าเพง ไอน้าํ / ควัน จะเปน วณั ณกสิณแทน บรกิ รรมนมิ ติ อคุ คหนิมติ ปรากฏเปนไอนาํ้ / กลุมควัน ปฏภิ าคนิมติ ใสเหมอื นภาพถาย ๑) ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ โผฏฐพั พารมณ = ลมกระทบกาย อุปจารภาวนา อปั ปนาภาวนา ๒) ภ ตี น ท ป กาย สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ บริกรรมภาวนา

- 35 - 5 การเพง \" วัณณกสณิ \" ( น.๘๕ ) - องคก สิณ ในกาลกอ นใชส ขี องดอกไม (เฉพาะกลบี ดอกอยาใหเหน็ เกสรหรือขั้ว ) นํามาใสพ าน / กลอ ง / บาตร / ขัน ใสใหเ ตม็ เสมอขอบภาชนะขนาดกวางประมาณ ๑ คืบ ๔ องคุลี หรอื จะใชผา หรือกระดาษสตี ดั เปน วงกลม - เพง - ขณะเพงบริกรรม - หลบั ตาจําภาพ - บริกรรม ( นลี ํ ๆ หรือ เขียว ๆ / ปตกํ ๆ หรอื เหลือง ๆ / โลหิตํ ๆ หรือ แดง ๆ / โอทาตํ ๆ หรอื ขาว ๆ ) - บริกรรมนมิ ติ เหน็ สีทางตา - อุคคหนิมติ เหน็ สปี รากฏทางใจ - ปฏิภาคนมิ ิตแลว ภาพจะปรากฏเหมือนแกว มณใี สบริสุทธ โดยมีสีตามกสิณ - การเจริญวัณณกสณิ นับตง้ั แตปฏิภาคนมิ ติ ปรากฏ เปน ตน จนถงึ รูปฌาน อรปู ฌาน กค็ งเปน ไปในทาํ นองเดยี วกนั กับการเจริญปถวกี สิณทุกประการ 5 การเพง \" อโลกกสิณ \" ( น.๘๖ ) - คือการเพง แสงสวางของดวงอาทติ ย หรือดวงจนั ทร ดวงไฟ เปนตน พรอมบริกรรมวา โอภาโสๆ หรอื แสงๆ หรือ อาโลโกๆ สวางๆ - องคก สิณทาํ ไดโดยวธิ เี จาะผนังหองใหแสงสวา งลอดเขา ภายใน อาจใชก ารจดุ ตะเกยี งหรอื เปดไฟแลวเอามานกนั้ ใหมิดชดิ เจาะมา นใหแ สงสองลอดออกมาเปนดวงทีฝ่ า แลวเพงดูทแี่ สงสวางนน้ั พรอ มบริกรรมจนไดอ คุ คหนมิ ติ - บรกิ รรมนมิ ติ เห็นแสงทางตา - อุคคหนิมิต เห็นแสงปรากฏทางใจ ( สวางเทา เห็นทางตา ) - ปฏิภาคนมิ ิตแลว แสงสวางมสี ณั ฐานเปนกลมุ กอน คลา ยดวงไฟทีอ่ ยูในโปะไฟสีขาว สวา งยิ่งกวาอุคคหนิมติ - การเจริญอาโลกกสิณ นับตัง้ แตป ฏิภาคนิมติ ปรากฏ เปนตน จนถงึ รปู ฌาน อรปู ฌาน กค็ งเปน ไปในทาํ นองเดียวกันกับการเจรญิ ปถวีกสณิ ทุกประการ 5 การเพง \" อากาสกสณิ หรอื ปรจิ ฉนิ นากาสกสณิ \" ( น.๘๗ ) - อาศัยการเพงดอู ากาศที่ปรากฏตามชองหนาตา ง ชอ งประตู ชองลม หรอื ทาํ ขนึ้ ใหเ ปน ชองประมาณ ๑ คบื ๔ นว้ิ - เพง - ขณะเพง บริกรรม - หลบั ตาจาํ ภาพ - บรกิ รรม อากาโสๆ หรอื แจงๆ จนกวาอคุ คหนมิ ติ จะปรากฏ - บรกิ รรมนมิ ิต เหน็ อากาศปรากฏเทาขอบเขตของชอ งฝา - อุคคหนิมิตเห็นเหมอื นกนั ทางใจ - ปฏิภาคนมิ ิต เหน็ เฉพาะแตอ ากาศ ขอบเขตของส่ิงเหลานัน้ ไมป รากฏ+ขยายกวางไดเ พราะสมาธิมกี าํ ลัง อคุ คหนมิ ติ ขยายไมไ ด สมาธิออ น - การเจรญิ อากาสกสณิ นบั ต้ังแตปฏภิ าคนมิ ิตปรากฏ เปน ตนจนถึง รปู ฌาน อรปู ฌาน กค็ งเปน ไปในทํานองเดียวกันกบั การเจรญิ ปถวกี สณิ ทุกประการ 5 คุณวิเศษของกสณิ ๑๐ ๑) เพง ๑ ไดอกี ๙ ๒) กสิณ ๑๐ เปนกรรมฐานท่ใี หฌ านไดเ ร็ว ๓) ฤทธิ์ท่เี กิดจากกสณิ ทั้ง ๑๐ ไดเ หมือนกัน ๔) กสณิ ๑๐ ใหถ ึงอรูป และอภญิ ญา ๑. หากไดปฏภิ าคนิมติ จากกสิณใดกสณิ หนึ่ง ๑. กรรมฐานที่เขาถงึ อปั ปนาฌานมีจาํ นวน ๓๐ ๑. กาํ บงั ส่ิงตา งๆ ไมใ หบ ุคคลอน่ื เหน็ ๑. กสณิ ๑๐ เทา นนั้ ทีใ่ หเ ขา ถงึ อรูปฌาน จนถึงปญจมฌาน ( ๑๐ - ๑ - ๑๐ - ๑ - ๔ - อรูป ๔ ) ๒. ยน ระยะทางไกลใหใกล ยดื ระยะทางใกลใหไกล ๒. อภิญญา จะแสดงไดตอ เม่อื ถงึ เนวสัญญานาสัญญา. ๒. หากประสงคอ ยากไดใ นอคุ คห.+ ปฏภิ าค. ๒. ในจาํ นวนกรรมฐานอปั ปนา ๓๐ มีกสณิ ๑๐ ๓. ทําส่ิงทีเ่ ลก็ ใหใ หญ ทาํ สง่ิ ท่ใี หญใหเลก็ ๓. สาํ หรบั ผูมบี ุญบารมใี นกาลกอน เมอื่ เจริญถงึ ในกสณิ อีก ๙ ทย่ี ังไมเ คยได ทใี่ หฌานไดเร็ว * สําหรบั กสิณท่ใี หแ สงสวา ง รูปปญจมฌาน ก็สามารถแสดงอภิญญาได ๓. ใหเ พง ส่งิ ที่มอี ยทู ัว่ ๆ ไปเหมอื นกบั ผเู คยได ๓. ในกสณิ ๑๐ มวี ัณณกสิณ ๔ ท่ใี ห ฌานไดเ รว็ - อาโลก, เตโช, โอทาต ทา นวา อาโลก สรปุ วา กสิณ ๑๐ เทานนั้ ใหถ งึ อรูปและอภิญญา บญุ บารมมี าในกาลกอ นก็สามารถไดน ิมิต ๔. ในวัณณกสณิ ๔ มี โอทาตกสิณที่ใหฌานไดเ รว็ ใหแ สงสวางแกท ิพยจกั ขมุ ากที่สดุ จากกสิณอกี ๙ เพราะ - ทําใหจิตใจพระโยคบี ริสทุ ธิ์ปราศจากถีนมิทธ - ทาํ ใหพ ระโยคคี ลา ยวา ไดอ ภญิ ญา

- 36 - 5 บาลีท่ี ๗ อสภุ ะ ๑๐ ( น. ๙๒ ) มี ๒ นัย 5 ความตา งกันระหวางกสิณ ๑๐ และอสุภะ ๑๐ กสณิ ๑๐ อสภุ ะ ๑๐ ๑) สมถนยั - มอี ารมณเปน บญั ญตั ิ ๑) จัดหาองคก รรมฐานไดง า ย ๑) จดั หาองคกรรมฐานไดย าก - เจริญฌานไดส งู สุดเพยี ง \" ปฐมฌาน \" ๒) อารมณก รรมฐานคงท่ไี มเปล่ียนแปลง ๒) อารมณกรรมฐานมกี ารเปลยี่ นแปลงตลอดเวลา - เจรญิ ไดในมนษุ ยภ มู ิ ๓) อุคคหนมิ ิต เมื่อเกดิ ข้นึ สงั เกตไดง า ย ๓) เมือ่ อคุ คหนมิ ิต เกดิ ข้นึ สังเกตไดยากวาเปนของแทห รือไม - วา โดยจรติ เหมาะกบั ราคะจริต ๔) หากภาพนิมติ เส่ือมการกลบั ไปเพงใหมไดงา ย ๔) หากภาพนมิ ิตเส่อื มการกลบั ไปเพงใหมทาํ ไดยาก ๕) วธิ ปี อ งกนั อปุ สรรคทางใจ เมอ่ื อคุ คหนิมติ ไมป รากฏ ๕) วิธีปองกนั อปุ สรรคทางใจ เมอ่ื อคุ คหนมิ ิตไมป รากฏ ๒) วปิ สสนานัย - มีอารมณ คอื อนจิ จัง ทกุ ขงั อนัตตา ( ไมม คี ําบริกรรม ) สาเหตใุ น + นอก ( กสณิ โทษ + ความลา ของผูปฏบิ ัติ ) ดว ยการพิจารณาอาการ ๖ + อาการ ๕ ( น.๑๐๐ ) - เปนสว นหนง่ึ ในสติปฏฐาน \" กายานุปส สนาสติปฏ ฐาน \" ๖) การเจรญิ กรรมฐานจนถงึ ปญจมฌานโดยไมตอ งเปล่ียน ๖) การเจรญิ กรรมฐาน ไดเพยี งปฐมฌานเทาน้ัน หากตอ งการเจรญิ พจิ ารณา กายในกาย แสดง ๙ บรรพะ (บท) อารมณก รรมฐาน และเปนเหตุใหถงึ อรูปฌานดว ย ฌานใหส งู ขึน้ ตองเปลย่ี นอารมณใ หม (วัณณกสณิ ) ๗) เจริญไดใน ๒๒ ภมู ิ ( เวนอรปู .๔ + อบาย.๔ + อสัญ.) ๗) เจริญไดเฉพาะในมนษุ ยภ ูมิเทา น้ัน - หากตองการเจริญฌานใหส งู ข้นึ ตองเปลี่ยนอารมณเ ปนวัณณกสณิ ๘) วาโดยจริต ๘) วา โดยจริต เหมาะกับผมู ีราคะจริต ( ดสู ใี นศพนน้ั สีใดชดั ก็เพง สนี ัน้ ) มหาภูตกสิณ ๔ อากาส. อาโลก. = จริตท่วั ไป - การที่ไดเพยี งปฐมฌาน เพราะ อสภุ ะ เปนอารมณหยาบ ตอ งอาศัย \" วติ ก \" วณั ณกสิณ ๔ = โทสจริต ในการยกจติ ขนึ้ สอู ารมณ เมื่อถงึ ทุติยฌานตอ งมกี ารละ \" วติ ก \" ออก จึงทําใหการเพงอสุภกรรมฐานนีไ้ มส ามารถเจรญิ ฌานใหสงู ขึน้ ไดเลย 5 วธิ คี นหาอุปสรรคในระหวา งท่ีอุคคหนมิ ิตยงั ไมปรากฏ ** อาการ ๖ การพิจารณาศพโดยอาการทัง้ ๖ เพื่อใหอุคคหนิมติ ** อาการ ๕ เมือ่ พิจารณาอาการ ๖ แลวนิมติ ทัง้ ๒ ยงั ไมป รากฏ 5 อุปสรรคของการเจรญิ อสุภะ และปฏภิ าคนิมิตปรากฏข้นึ เรว็ คอื กาํ หนดโดย จะตอ งทาํ การพจิ ารณาโดยอาการท้ัง ๕ คอื กาํ หนดโดย ๑) การหาอารมณก รรมฐาน ( หาศพมาเพง อารมณ ) หาไดย าก ๑.วณณฺ โต - สี รวู าศพนเี้ ปน คนผิวสดี าํ ขาว เหลอื ง ๑.สนธฺ โิ ต - ท่ตี อ รวู าสรรี ะมีตอ สวนใหญๆ ๑๔ แหงคือที่ตอมอื ขวา ๓ ๒) อารมณก รรมฐานเปลย่ี นแปลงไดง าย ๒.ลิงคฺ โต - วยั (ปฐม มัชฌิม ปจ ฉิม) มไิ ดม ุงหมายเพศ ทต่ี อ มอื ซาย ๓ ทต่ี อเทาขวา ๓ ทต่ี อเทา ซาย ๓ ( สภาพศพเนาเปอ ยเปล่ยี นสภาพเรว็ ) ๓.สณฐฺ านโต -สัณฐาน รูวา เปนศีรษะ คอ มือ เทา ฯ ท่ีตอ คอ ๑ ท่ีตอเอว ๑ ๔.ทสิ โต - ทิศ รูวา ตง้ั แตส ะดอื ข้นึ บน /ลงลา ง ๒.วิวรโต - ชอ ง รูวาน้ีชอ งตา ชอ งหู ชองจมูก อาปาก หุบปากฯ 5 คุณและโทษของการเจริญอสภุ ะ หรอื รวู าตนอยทู ิศนี้ ศพอยทู ิศนนั้ ๓.นินฺนโต - ทีล่ ุม รูวานหี่ ลมุ ตา หรือรูว า ตนอยทู ต่ี า่ํ ศพอยทู ีส่ ูง - มีคณุ คอื นิมติ เกดิ ไดง า ย เพราะ เกิดจากศพซ่ึงมีสภาพนากลัว ๕.โอกาสโต - ทตี่ ง้ั รูวามอื เทา ศรี ษะอยูตรงน้ี ๔.ถลโต - ท่ีดอน รูวาทีน่ นู นห้ี วั เขา หรอื รูวาตนอยทู ่ีสูง ศพอยูทต่ี ่ํา (ยิง่ นากลวั นิมิตยิ่งเกดิ งาย ) หรอื รวู าตนอยูตรงน้ี ศพอยูตรงนน้ั ๕.สมนฺตโต - รอบดาน รูท่ัวไปในรางศพ - มีโทษ คอื นิมิตไมแท แตเ ขา ใจผิดวา ไดอ คุ คหนมิ ติ แลว ๖.ปรจิ เฉทโต - ขอบเขต รวู า เบือ้ งตํา่ สดุ ของศพนั้นแคพ ้ืนเทา บนสดุ แคปลายผม ทว่ั ตัวสดุ แคผ ิวหนงั

- 37 - 5 อสภุ ะมี ๑๐ ประเภท อสุภะ แปลวา สิ่งท่ไี มส วยไมง าม ในทีน่ ไี้ ดแ ก การพิจารณาซากศพในระยะตา งๆ กนั รวม ๑๐ ระยะ เร่มิ ต้งั แตศพทข่ี นึ้ อืด ไปจนถึงศพท่เี หลือแตโ ครงกระดกู อสุภะ มี ๑๐ ประเภท คอื ประเภท ความหมาย คาํ บรกิ รรม ลักษณะปฏภิ าคนิมติ ๑) อทุ ธุมาตกอสภุ ะ ศพท่พี องอืด อุทฺธมุ าตกํ ปฏกิ ลู ํ รปู ปน อว นพลี ํา่ สัน ใสสะอาด เรียบรอ ย วางนง่ิ อยู ๒) วนิ ีลกอสภุ ะ ศพท่มี สี เี ขียวคลํ้า คละดวยสีตา งๆ วนิ ลี กํ ปฏิกูลํ รปู ปน สเี ขยี ว แดง ดํา ตามลักษณะของศพท่ีปรากฏ ใสสะอาด เรียบรอ ย วางน่ิงอยู ๓) วปิ พุ พกอสภุ ะ ศพท่ีมีนา้ํ เหลือง หนองไหลออกตามรอยปริ วิปุพพฺ กํ ปฏิกลู ํ รปู ปนที่ใสสะอาด เรยี บรอ ย วางนิ่งอยู ๔) วิจฉทิ ทกอสุภะ ศพทข่ี าดจากกนั เปน ๒ ทอน วจิ ฉฺ ทิ ฺทกํ ปฏิกลู ํ รปู ปน ที่ใสสะอาด เรียบรอ ย วางนิง่ อยู เปนทอ นตลอดถึงกนั ๕) วกิ ขายิตกอสภุ ะ ศพท่ถี ูกสัตวมีแรง เปน ตน กัดกิน วกิ ฺขายติ กฺ ํ ปฏิกลู ํ รปู ปนทใี่ สสะอาด เรียบรอย วางนง่ิ อยู ๖) วกิ ขติ ตกอสภุ ะ ศพท่ีกระจุยกระจายเรี่ยรายไปตา งๆ วิกฺขติ ตฺ กํ ปฏิกลู ํ รูปปน ท่ีใสสะอาด เรยี บรอ ย วางนงิ่ อยู ๗) หตวิกขิตตกอสุภะ ศพทมี่ ีรวิ้ รอยการถูกฟน แทงทอี่ วัยวะตางๆ หตวิกขฺ ติ ตฺ กํ ปฏิกูลํ รูปปน ท่ใี สสะอาด เรียบรอ ย วางนิ่งอยู ๘) โลหิตกอสภุ ะ ศพท่ีมโี ลหิตไหลอาบ เปอ นโลหติ โลหติ กํ ปฏิกูลํ รูปปน ทีท่ ําดว ยกํามะหยสี่ ีแดง มีความใสสะอาด เรยี บรอ ย วางนิง่ อยู ๙) ปฬุ ุวกอสภุ ะ ศพทมี่ ีหนอน ชอนไช ปฬุ วุ กํ ปฏิกูลํ กอนขาวสาลที ่ีปน ไว มีความใสสะอาด เรียบรอ ย วางนิ่งอยู ๑๐) อฏั ฐกิ อสุภะ ศพทเี่ หลือแตร างกระดกู อฏก ํ ปฏกิ ลู ํ รา งกระดกู ทเ่ี ปน แทง เดยี วกนั มคี วามใสสะอาด เรยี บรอย วางนงิ่ อยู * ยอ วา \" พอง - เขียว - หนอง - สอง - แรง - เร่ยี ราย - รวิ้ รอย -โลหติ ไหล - หนอนไช - กระดูก \" * ความแตกตางกนั ระหวา งอุคคหนมิ ิต และปฏิภาคนิมติ อุคคหนิมิตปรากฏเปนรูปพกิ ลดพู ลิ ึกนาสะพึงกลวั สวนปฏิภาคนมิ ิตปรากฏ เปนเหมอื นรปู ปนท่มี ีความใสสะอาด เรียบรอ ย วางนงิ่ อยู 5 การจัดอสุภะและการเพง ๑) เลือกศพทเ่ี ปนสภาคะกัน เชน ผูเพงเปนชาย --> ศพเพศชาย, ผูเ พงเปน หญิง --> ศพเพศหญงิ ๒) ไมใ หพจิ ารณาอยูเหนือศรี ษะ + ใตเทาของศพ เพราะ พิจารณาศพไมท ่วั ใหพ ิจารณากลางลาํ ตวั ๓) มีความจําเปนในการจัดระเบียบของศพ ทานวา ตองใหผอู ื่นจัดให มเิ ชน น้นั ความกลวั จะนอ ยลง นิมติ กจ็ ะเกิดไดย าก

- 38 - 5 อัฏฐิกอสุภะ ใชเปนอารมณก รรมฐาน มีอยู ๕ อยา ง 5 ความตางกันในระหวา งการเหน็ บริกรรมนิมติ และอุคคหนมิ ิต ( น.๑๐๓ ) เนอื้ เลือด เสนเอ็ดรดั รงึ อยู รางกระดกู 33 3 3 - รางกระดกู มเี นือ้ เลือด โดยมากจะเขาใจผิดเร่ืองบรกิ รรมนมิ ิต และอุคคหนิมิต คือ หลงั จากไดพ จิ ารณาศพ อฏฐ ิก เสน เอ็นรัดรงึ อยู พระโยคีบุคคลก็จํารปู รา งสัณฐานศพนน้ั ไดชัดเจน กส็ าํ คญั วา ไดอ ุคคหนิมิตแลว ท่ีจรงิ เปน สมํส โลหติ นหารุ สมพฺ นธฺ - รา งกระดูกไมมีเนือ้ แตแ ปดเปอ นดว ย เพียงสัญญาความจําอารมณบ ริกรรมนิมติ ทเี่ ปน อดีตมาปรากฏแกใจ 3 โลหิตและมีเสน เอน็ รัดรงึ อยู 23 3 อฏก - รา งกระดกู ทีไ่ มมเี น้อื และเลอื ด แตมเี สนเอด็ รดั รงึ อยู นมิ สํ โลหติ มกฺขติ นหารุ สมพฺ นธฺ 3 - กระดูกท่ีไมม เี สน เอน็ รดั รงึ อยู อฏ ก กระจดั กระจายทว่ั ไป 2 อปคต 2 3 ทสิ าวิทิสาวกิ ฺ - ทอ นกระดกู ทม่ี ีสขี าว การปรากฏแหงอคุ คหนมิ ิต เปนการปรากฏขน้ึ เฉพาะหนา อยูเ สมอไมว าจะไปขา งไหน นหารุ สมฺพนธฺ ขิตตฺ อฏ ก เปรียบดวยสสี งั ข และอยูใ นอิรยิ าบถใดโดยไมมกี ารนึกถงึ เลย มสํ ํ โลหติ เสตสงฺขวณณ ปฏภิ าค อฏ ก 22 2 อปคต นหารุ สมพฺ นธฺ เปรียบเหมือนผทู ีอ่ านหนังสือ เมือ่ ปดหนงั สือแลวกย็ งั จาํ ตัวอกั ษรในหนา หนังสือได แตถ าใหอานดใู หถ ูกเหมอื นกบั เปด หนังสือ ก็มิอาจทําได สว นการเห็นท่เี ปน อุคคหนิมิต 22 2 ผูน นั้ สามารถอานขอ ความในหนงั สอื นนั้ ไดถ ูกตอ งโดยไมต อ งเปดดูเลย 5 ในอสภุ ะ ๑๐ เปนสปั ปายะแกผมู รี าคะอะไรบา ง ? ๑) พอง - เปน สปั ปายะแกผ ูมีราคะจริตในเรือ่ งของ ทรวดทรง ๒) เขียว -\" \" สกี าย ๓) หนอง -\" \" กล่ินกาย ๔) สอง -\" \" อวยั วะท่ีทึบ ( ตบั , มา ม..... ) ๕) แรง -\" \" เน้อื นนู ๖) เรยี่ ราย -\" \" ลลี าทาทาง ๗) ริ้วรอย -\" \" การยึดในเรอื นกาย ๘) โลหิตไหล - \" \" การชอบเคร่ืองประดบั ๙) หนอนไช - \" \" ยดึ มน่ั วา รางกายเปน ของตน ๑๐) กระดูก -\" \" การยดึ เร่อื ง \" ฟน \"

- 39 - อสภุ กรรมฐานมี ๒ นัย ( น.๑๐๖ ) ไดฌาน สมถนัย - เจรญิ วณั ณกสิณเพอ่ื ใหไ ดฌ านสงู ข้นึ วิปสสนานยั ไดมรรค ผล นิพพาน - ยกฌานเปนบาท เจรญิ เขาสูวิปส สนา - พจิ ารณาโดยรปู รางสณั ฐานของศพ - พิจารณาโดย อนิจจงั ทกุ ขัง อนตั ตา - อสภุ ะทย่ี งั มชี วี ติ อยู - เจริญในกายานปุ สสนาสติปฏ ฐาน มี ๑๔ บรรพะ พจิ ารณาในรา งกายโดยมอี าการ บวม ฟกชาํ้ นวิ้ ขาด โลหติ ไหล อานาปา. ๑ ปฏกิ ลู . ๑ หรอื เหน็ ฟน - อสภุ ะทีไ่ มม ีชีวติ แลว - นมิ ติ เกิดยาก อิริยาบถ. ๑ ธาตุ ๔ นบั เปน ๑ ไดแก ศพ ๑๐ ประเภท - นิมติ จะเกิดเร็วชา ขึ้นอยกู ับ สัมปชัญญะ ๑ * อสภุ ะ ๙ บรรพะ ความนากลัวของศพ - อานิสงสไ ดต ัง้ แตตน คอื - อสภุ ะ ๙ บรรพะ ไดแก ลดราคะจริตได ๑.ปฐมสวิ ถิก - พิจารณาศพพอง, เขยี ว, หนอง, สอง ๒.ทุติยสวิ ถกิ - พจิ ารณาศพแรง , เรี่ยราย, รว้ิ รอย, โลหติ ไหล, หนอนไช ๓.ตตยิ สวิ ถิก ๔.จตุตถสิวถกิ ๕.ปญจมสิวถิก - พจิ ารณาศพเหมือน อัฏฐิกะ ๕ อยางในสมถะ ๖.ฉฏฐมสวิ ถิก ๗.สตั ตมสิวถกิ ๘.อัฏฐมสิวถกิ - พจิ ารณากระดูกท่ีลวงมาแลว ๓ ป ๙.นวมสวิ ถกิ - พิจารณากระดูกที่เปนผงละเอยี ด 5 อสุภะทีใ่ ชแ ทนวณั ณกสณิ เพอ่ื เจริญทุติยฌาน เปนตน ไป (น.๑๐๕) 5 ถาจะเจรญิ วิปสสนา การเจริญอสภุ กรรมฐานน้มี ิอาจใหฌานเบอ้ื งสงู มีทุติยฌานเปนตนเกิดได (เพราะฌานเบ้อื งสูงตอ งละวิตก) ๑) อาศยั พระโยคบี คุ คลไดภาวนา ๓ ---> นมิ ิต ๓ ๒) เอาปฐมฌานเปนบาทพจิ ารณาอารมณภายนอก (อสุภะ) เปรยี บเทยี บอารมณภายใน ( ตัวเรา ) หากพระโยคีบุคคลท่ไี ดป ฐมฌานแลว ไมต องการเปลี่ยนกรรมฐาน ก็ใหเ พงอสุภะเหมอื นเดมิ แตเ พง ท่ี เขาถงึ สภาพรปู นามเหมือนกัน สใี ดสีหนึง่ ท่ีปรากฏชดั มากท่สี ดุ ซึง่ มอี ยูในศพน้ันแทน (เปน วณั ณกสณิ ไดเหมอื นกัน) พรอ มบริกรรมวา ๓) สมถยานิกะ ท่มี าเจริญวิปส สนา จะไมม ีนวิ รณธรรมรบกวน เขียวๆ หรอื เหลืองๆ หรือ แดงๆ หรอื ขาวๆ จนอคุ คหนมิ ิตปรากฏ แลว เจริญตอไปจนไดป ฏภิ าคนมิ ติ - ในการเจรญิ อสภุ กสณิ ได ภาวนา ๓ ---> นิมติ ๓ ---> ปฐมฌาน วัณณกสิณ ได ภาวนา ๓ ---> นมิ ติ ๓ ---> ทตุ ยิ ฌาน

- 40 - 5 อนสุ สติ ๑๐ ( น.๔, ๑๐๗-๑๗๘ ) อนุสสติ ๑๐ องคธรรม ปรมตั ถ / บัญ. ภาวนา ๓ นมิ ิต ๓ ฌาน จรติ อนุ * เพราะเหตใุ ด อนุสสติ ๑ - ๘ จงึ ไดเ จริญภาวนาไดเพยี ง ปรมัตถ ๑) พุทธานสุ สติ บัญญตั ิ บรกิ รรม.--> ศรทั ธา อุปจารภาวนา เทา น้นั ไมเ ขา ถงึ อัปปนาภาวนา อุปจาร. ---> ๒) ธมั มานุสสติ ศีล สมาธิ ปญญา พทุ ธิ ๑) อน.ุ ท้ัง ๘ ในเบือ้ งตนตอ งอาศยั บญั ญตั กิ อ น ขณะที่กําลงั ๓ ภาวนา > ราคะ ๓) สังฆานุสสติ > วิตก, โมหะ มีคําวา \" อนุ \" พจิ ารณาในพุทธคณุ ฯลฯ เมอ่ื กาํ ลงั สมาธิ +ปญ ญามากขน้ึ * ขาดโทสะ ๔) สีลานสุ สติ ศลี กุศลจติ ตุปบาท บริกรรมนมิ ิต 2 คอื การตามพิจารณา จึงจะสามารถคน หาสภาวะธรรมได อคุ คหนิมติ ๕) จาคานสุ สติ ทานกศุ ลจติ ตปุ บาท (โดยปรยิ าย) บอยๆ เนอื งๆ ๒) อน.ุ ทัง้ ๘ ตอ งอาศยั ทงั้ สมาธิ + ปญญา (สติสัมปชญั ญะ) ๖) เทวตานุสสติ สปั ปุรสิ รัตน ๗ - ถา สมาธิแรง การคนหาสภาวะกไ็ มเจอ ๗) อปุ สมานุสสติ การระลกึ คณุ ของพระนพิ พาน - ถา ปญ ญาแรง การต้งั มัน่ ในอารมณก็ไมดี ๘) มรณานสุ สติ รูปชีวติ , นามชวี ติ ดังนัน้ สมาธิ + ปญ ญา จึงตองเสมอกนั ๙) กายคตาสติ โกฏฐาสบญั ญตั ิ ๓๒ ๓ นมิ ติ > ปฐม ไมม ีคาํ วา \" อนุ \" ๓) ดว ยเหตนุ ี้จึงทําใหสมาธไิ มมีกําลังแรงจนเขา ถงึ อปั ปนา. ( โดยตรง ) > ปฐม-ปญจ. ๑๐) อานาปานัสสติ อัสสาสปสสาสบัญญัติ เพราะเปน บัญญตั ิ (ฌาน) ได และปญญาก็ไมมกี าํ ลังในการพิจาณารปู นาม โดยความเปน ไตรลักษณ เห็นเพียงสภาวะ ๔) อน.ุ ทงั้ ๘ จงึ เจริญภาวนาไดเ พียงอุปจารภาวนาเทาน้ัน 5 พุทธานุสสติ และทมี่ า สป.๔ ณ รตั นฆรเจดีย ทรงพจิ ารณา สป.๒ ณ อนมิ ิสเจดีย ทรงเพงดรู ัตนบัลลังก * วชิ ชา ๓ ท่ีทรงสาํ เร็จในคืนสดุ ทา ย พระอภิธรรม สป.๓ ณ รัตนจงกรมเจดีย ทรงพิจารณาในยมกปาฏหิ ารย ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ฯลฯ ฌ.. > วิชชา ๑ ปุพเพนวิ าสานุสสตญิ าณ สป.๑ ศรีมหาโพธ์ิ สป.๕ ณ อชปาลนิโคธ (ตนไทร ) สป.๘ ทรงพิจารณาธรรมทง้ั หมด > วิชชา ๒ จตุ ูปปาตญาณ ณ รตั นบลั ลงั ก ทรงตอบพราหมณห ุหภุ ชาติ นอมใจจะไมเ ผยแพร เรอื่ งธรรมท่ีจะเปนสมณะ ทาวสหมั บดพี รหม มาอาราธนา ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ม ผ ผ ฯ, โว ม ผ ผ ฯ, โว ม ผ ผ ฯ, โว อรม ผ ผ ฯ.. ทรงพจิ ารณา ใหเ ผยแพรธ รรม ทรงพิจารณา ปฏจิ จสมปุ บาท ทรงขับธิดามาร (ตณั หา ราคา อรตี) สุขาปฏปิ ทาขิปปาภญิ ญา สป.๗ สป.๖ ณ มุจจลนิ ท (ไมจิก) บุคคลเปรียบบัว ๔ เหลา > วชิ ชา ๓ อาสวักขยญาณ ณ ราชายตน (ตนเกตุ) พญานาคช่ือ มุจจลินท พบ ตปสุ สะ + ภัลลกิ ะ ( อบุ าสกคแู รก ) แผพ งั พานกนั ฝนใหพระองค

- 41 - 5 ความเปนมาของพทุ ธคณุ ๙ บท [๒] ตลอด ๔๕ ป เรยี กวา สัมมาสัมพุทโธ ---> พทุ โธ (อรยิ สัจจ ๔) [๓] วชิ ชาจรณสมั ปน โน - คืนสดุ ทา ยจนกระท่งั ถงึ อรม.ได วิชชา ๓ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค โส.ม. ผ ผ ฯลฯ, โว สก.ม. ผ ผ ฯลฯ, โว อนา.ม. ผ ผ ฯลฯ, โว อร.ม. ผ ผ ............ ปรินิพพานจิต [๑] อรหํ = พระพุทธเจา, พระปจเจก, พระสาวก [ ๑ ] อรหํ มี ๕ นัย [ ๒ ] สัมมาสัมพทุ โธ ---> เญยยธรรม ( ธรรมทคี่ วรรู ) ---> พทุ โธ ๑) อารกะ - การทาํ ลายกิเลส และวาสนาของกิเลสหมดสิ้น (วาสนา-ความคุน เคยทาํ สง่ิ นัน้ ๆ อยนู านๆ ) ( อรยิ สจั จ ๔ ) กิเลส ๑๕๐๐ = ๗๕ (จติ ๑, เจ.๕๒, นิปผันน.๑๘, ลักขณ.๔ ) x ๒ (ใน+นอก) x กเิ ลส ๑๐ ๑) สงั ขาร - จิต ๘๙, เจ.๕๒, นปิ ปผนั นรปู ๑๘ ๒) วกิ าร ๕ - วกิ าร ๓ + กายวิญญัติ + วจวี ญิ ญัติ ๒) อริ + ห - มกี ารทําลายขา ศึกโดยมรรค ใหหมดส้นิ ๓) ลักขณะ ๔ - อปุ จย, สนั ตต,ิ ชรตา, อนิจจตา ๓) อร + ห - มีการทาํ ลายสังสารวัฏฏ ใหหมดสิ้น ๔) นิพพาน - การสงบจากกเิ ลส และรูปนามขนั ธ ๕ ๔) อรหะ - เปนผคู วรรบั ทักษิณาทาน ๕) บญั ญัติ - สทั ทบญั ญัต,ิ อตั ถบญั ญตั ิ ๕) อ + รห - ไมม กี ารทําบาปในทีล่ ับ [ ๓ ] วิชชาจรณสมั ปนโน [ ๔ ] สุคโต > ศลี ขนั ธ + สมาธิขนั ธ = การเขา ถึงจรณะ (ความประพฤติ) มี ๑๕ อยา ง (น. ๑๑๐) นับต้งั แตชาตทิ ี่เกดิ เปนสุเมธดาบส ไดพบพระพทุ ธเจาท่ชี ่ือวา \" ทปี งกร \" เอาพระเศยี รแทบพระบาทพระพทุ ธเจา - สทั ธรรม ๗ - ศรทั ธา, สติ, หิร,ิ โอตตัปปะ, วิรยิ ะ, สตุ ะ, ปญญา (สุตมย, จินตมย, ภาวนามย) และไดรับพทุ ธพยากรณว า จะไดเปน พระพทุ ธเจา ในกาลตอ ไป ถือวาเปน นยิ ตโพธสิ ตั ว วงเวยี นในวัฏฏ ๔ อสงไขย ย่ิงดวยแสนมหากัปป จนถงึ ขณะพระองคป ระทบั นง่ั ทโี่ พธบิ ลั ลงั ก เรยี กวา \" สุคโต \" กัมมสัททา, วปิ ากสัททา, กัมมสกตาสทั ทา, ตถาคตโพธิสัททา - เสขปฏิปทา ๔ - โภชเนมตั ตญั ตุ า, ชาครยิ านุโยค, ศีล, อินทรียสังวร [ ๕ ] โลกวทิ ู เปนผรู โู ลกอยางแจม แจง ในคืนวันสุดทาย - รูปฌาน ๔ - รปู ปฐมฌาน, รปู ทุติยฌาน, รูปตตยิ ฌาน, รปู จตุตถฌาน > ยามที่ ๑ รปู ุพเพนวิ าสานุสสตญิ าณ > ปญ ญาขันธ - ปุพเพนวิ าสานสุ สตญิ าณ, ทพิ ยจกั ขุญาณ, อาสวกั ขยญาณ > ยามท่ี ๒ รจู ุตูปปาตญาณ --> สัตวโลก - รกู ารจุติ / อบุ ตั ขิ องสตั วท ัง้ หลาย - วิชชา ๓ - ๑.วปิ ส สนาญาณ ๑๐, ๒.อิทธวิ ธิ ญาณ, ๓. มโนมยิทธิญาณ, ๔.ปุพเพนวิ าสานสุ สตญิ าณ, - วิชชา ๘ ๕.เจโตปริยญาณ, ๖.ทิพพจกั ขญุ าณ, ๗.ทพิ พโสตญาณ, ๘.อาสวกั ขยญาณ - รูภพภูมติ า งๆ ของสตั วท้ังหลาย (๑, ๘ = วปิ ส สนา, ๒-๗ = สมถ.) --> โอกาสโลก - รใู นแสนโกฏจกั รวาล > ยามที่ ๓ รูอ าสวักขยญาณ --> สงั ขารโลก รใู นรูปนามขันธ ๕ เพ่อื เวไนยสัตวท้งั หลาย เขาถงึ วปิ ส สนาญาณ --> มัคคญาณ --> ผลญาณ --> พระนิพพาน

** โลกวทิ ู แสดง \" ตา \" ๕ อยาง คอื ๒. ธมมฺ - 42 - ๓. ยสสฺ ๑. ตาธรรมดา ๓. ทิพพจักขุ = ฌานลาภบี คุ คล ๔. ตาปญ ญาในมคั ค + ผล = พระอริยะ ๔. สิรี ไดแก โลกุตตรธรรม ๙ (มรรค ๔ ผล ๔ นพิ พาน ๑ ) ๕. กาม มีเกยี รติยศ ชอ่ื เสียง แผไปในหมมู นุษย เทวดา พรหมทั้งหลาย โดยไมตอ งประกาศโฆษณายกยองตนเอง ๒. ตาเห็นสภาวะ ๕. ตารอู ัชฌาศัยของสัตวทง้ั หลาย = พระพุทธเจา ๖. ปยตฺต มผี วิ พรรณเปลงปลงั่ รปู รา งงดงามเปนสิรมิ งคลชวนดูไมเบ่ือคือ มหาปรุ ิสลกั ษณะ ๓๒ อนุพยญั ชนะ ๘๐ เม่ือประสงคสิ่งใด ก็สําเร็จในส่งิ น้นั ทุกประการ [ ๖ ] อนุตตโร ปรุ สิ ธมั มสารถิ ใชค วามเพยี รท้ังกลางวันกลางคืน ในอนั ท่จี ะใหเวไนยสตั วท ง้ั หลายไดร บั ประโยชน คอื เวลากลางวัน : ในระหวา งทีเ่ สดจ็ โปรดสัตวแ ละกอนที่จะทรงกระทําภัตตกจิ นั้น เพราะเปนบรุ ษุ ผยู อดเยีย่ ม หาทเ่ี ปรียบมิไดใ นเชิงการอบรมสง่ั สอนเวไนยสตั วท ั้งหลาย - ทรงกระทําการอบรมสั่งสอนแกผ ูทีม่ าเฝาพอสมควร - ภายหลังจากภัตตกจิ มพี ระภกิ ษุเขา เฝา ทรงประทานกรรมฐานและโอวาทตามสมควรแกอ ธั ยาศยั [ ๗ ] สตั ถาเทวมนสุ านงั ของพระภกิ ษนุ ้นั ๆ เปน ศาสดาของมนุษย เทวดา พรหมทง้ั หลาย ทจ่ี ะใหพ น จากชาติ ชรา มรณะ แลวเขาถงึ พระนิพพาน - เม่ือพระภิกษุพากันกลับแลว ก็ทรงพักผอ นชว่ั ครูหนง่ึ - ตอ ไปก็ทรงพจิ ารณาตรวจดูหมูส ตั วท ัว่ โลก ท่คี วรจะกระทําการอบรมฝก ฝนได [ ๘ ] พุทโธ เปน ผูรแู จง อริยสัจจ ๔ โดยรอบครอบอยางถ่ถี ว น แลว สามารถยังสัตวท ั้งหลายใหรูต าม - แลวทรงแสดงพระธรรมเทศนาแกปวงชนทีม่ าจากทศิ ตา งๆ - หลังจากนัน้ ก็ทรงสรงนํ้าและพกั ผอนช่วั ขณะหน่ึง สัมมาสัมพทุ โธ --> เญยยธรรม วน เวลากลางคนื : - ต้ังแต ๖ โมงเย็นจนถงึ ๔ ทุม ซึง่ เปนปุริมยาม ๑) สังขาร สัจจญาณ (ปริยตั )ิ กิจจญาณ (ปฏิบตั )ิ กตญาณ (ปฏเิ วท) มีพระภิกษุมาเฝา ทลู ขอกรรมฐานบา ง ทลู ถามปญ หาตางๆ บาง ทลู อาราธนาใหแ สดงธรรมบาง พระองคก็ทรงอนโุ ลมตามทุกประการ แลว เสร็จก็พากันกลบั ๒) วกิ าร ๕ ๑) ทุกขสจั จ - กาํ หนดรู - กิจท่ีควรกําหนดรู - กาํ หนดรูแลว - ตัง้ แต ๔ ทมุ ถึงตี ๒ อนั เปน เวลาเงียบสงัด ยา งเขาสู มชั ฌิมยาม มเี ทวดาและพรหมทง้ั หลาย มาเฝาจากหมนื่ จักรวาล ทูลถามปญหาบา งทูลอาราธนาใหแ สดงธรรมบา ง ๓) ลักขณะ ๔ อรยิ สจั จ ๔ ๒) สมุทยสัจจ - การละ - กจิ ที่ควรละ - ละแลว พระองคก ็ทรงอนโุ ลมตามเชน เดยี วกัน แลวเสร็จกพ็ ากนั กลับ - ตง้ั แต ตี ๒ ถงึ ๖ โมงเชา ซ่ึงเปน เวลา ปจฉมิ ยาม พระองคท รงแบงเวลาเปน ๓ ระยะคอื ๔) นิพพาน ๓) นิโรธสจั จ - การทําใหแจง - กจิ ท่ีควรทาํ ใหแจง - แจง แลว ระยะที่ ๑ ทรงเดนิ จงกรม เปน เวลา ๑ ชัว่ โมง ๒๐ นาที ระยะที่ ๒ เขา ท่ีบรรทม เปนเวลา ๑ ช่วั โมง ๒๐ นาที ๕) บญั ญตั ิ ๔) มคั คสจั จ - การทําใหเจริญ - กจิ ทีค่ วรทาํ ใหเจรญิ - เจรญิ แลว ระยะที่ ๓ ทรงพิจารณาตรวจดหู มูมนุษย เทวดา พรหมทัง้ หลายวา จะมีผใู ดบางไดเคยสรา งปญญา บารมีมาแลว จากภพกอนๆ ในศาสนาของพระพุทธเจาองคอ ่ืนๆ ทีส่ มควรแกพ ระองคจะทรงโปรด [ ๙ ] ภควา มกี ารแสดง ๖ อยา ง ( น. ๑๑๒ ) ใหบรรลมุ รรค ผล นิพพาน ๑. อสิ ฺสริย เปน ผูมอี ิสสรยิ ะ คอื ความเปนใหญ บญุ อิสสริยะ ๘ ๑) อณมิ า หายตวั ไดอยา งมหัศจรรย ๒) ลมมิ า เหาะไดอ ยา งรวดเรว็ ๓) มหิมา เนรมติ รา งกายไดใ หญท่สี ุด ๔) ปตฺติ เสด็จไปทใ่ี ดๆ ไดตามพุทธประสงค โดยไมม ีส่งิ ใดมาขัดขวาง ๕) ปากมฺม เนรมิตเปนรปู รางสัณฐานตางๆ ประกอบดว ยสสี รร วรรณะตางๆ กนั ๖) อสี ิตา มอี ํานาจบงั คับบญั ชาตนเองตลอดจน มนษุ ย เทวดา พรหมทั้งหลายไดท วั่ หนา ๗) วสติ า สามารถเขาฌานและทาํ อภญิ ญาไดท ันทเี ม่ือตองการ ๘) ยตถฺ กามาวสายติ า สามารถทาํ ธรุ กจิ ตา งๆ ที่กําลงั ทําอยนู ั้นใหแ ลว เสร็จอยางรวดเรว็

5 ธมั มานสุ สติ ( น. ๔, น.๑๑๓ - ๑๑๕ ) - 43 - ระลึกในธรรมคุณ ๖ บท ระลกึ ในธรรมคุณ ๖ บท อาศัยความกวา งขวางของธรรมทงั้ ๖ บท อาศยั ความลกึ ซ้งึ ของธรรมในแตล ะบท ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ...ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ...ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท อยใู นวสิ ัยของพระอรยิ ะ ในพระธรรมคณุ ท้ัง ๑๐ ประการ สติ ท่ใี นมหากุศลจิต ๘ บริกรรมภาวนา อุปจารภาวนา ไดแ ก สติ ท่ใี น มหาก.ุ สัม.๔ (ปญญา) \"สมาธิแรง\" > อาศยั การพิจารณาโดยปริยัติ คอื \" ปฏก ๓ \" สติสัมปชญั ญะ * วจนตั ถะ \" ธมมฺ ํ อนสุ สฺ ติ ธมมฺ านสุ ฺสติ \" การระลกึ ในคณุ ของพระธรรมเจา อยเู นืองๆ ชื่อวา ธัมมานสุ สติ อธ. ไดแ ก สติ เจ. ทใ่ี น ม.กุ.๘ ทีม่ คี ุณของพระธรรมเจาเปน อารมณ ไดแ ก ธรรม ๑๐ ประการ คอื ปฎ ก ๓ (นบั เปน ๑) + โลกุตตรธรรม ๙ (มัคค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ) ** การพจิ ารณาท่มี าที่ไปในธรรม ๑๐ ประการ จากพทุ ธคุณ ๙ บท > อรหํ เขาถงึ สัมมาสัมพทุ โธ เขาถงึ พุทโธ ทําลายกเิ ลส ๑๕๐๐ เญยยธรรม เขาถึงอรยิ สจั จ ๔ ( ทุกข สมทุ ัย นโิ รธ มรรค ) และวาสนาของกิเลสหมดสน้ิ เหมอื นกนั หมด - พระอภิธรรม มีในเบื้องตน - อภธิ รรมแสดงท่ไี หน แกใคร = ปฎก ๓ -> มคั ค.๔ ผล ๔ นพิ พาน เปนทีม่ าของ พระสูตร ( พระธรรม ๑๐ ประการ ) - ตอ มามีพระภิกษใุ นธรรมวนิ ัยน้ี จึงเปนทีม่ าของการบัญญตั ิ สกิ ขาบท เปนที่มาของ พระวินัย

- 44 - ** ธรรมคณุ ๖ บท อาศัยปรยิ ัติ = วปิ ส สนาภมู ิ ๖ = ปฎก ๓ (นบั รวมเปน ๑ ) ( ปฎก ๓ + โลกตุ ตรธรรม ๙ = พระธรรม ๑๐ ประการ ) วา โดยญาณ > นามรูปปริจเฉท.+ปจจยปริคคห. > สมั ม., อุทยพั ., ภงั ค., ภย., อาทีนว., นิพพิทา., มุญจิต.ุ , ปฏสิ ังขารุ., อนโุ ลม. โลกุตตรธรรม ๙ ( มคั ค.๔ ผล.๔ นิพพาน ๑ ) ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ...ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ม ผ ผ ฯ ... โว ม ผ ผ ฯ ... โว ม ผ ผ ฯ ... โว ม ผ ผ ฯ ... ( อกาลิโก ) * ธรรมบทที่ ๑ \" สวากขฺ าโต \" * ธรรมบทที่ ๒ \" สนฺทิฏโ ก \" ๓ นยั * ธรรมบทที่ ๓ \" อกาลิโก \" ใหผลไมจ ํากดั กาล - โลกยี กุ./อก.ุ = กาลิกะ ทิฏฐธมั มเวนียกรรม, อปุ ปชชเวทนียกรรม, อปราปรยิ เวทนียกรรม = พระธรรม ๑๐ ประการ (ปฎ ก.๓ +โลกุต.๙) ๑. การเหน็ เปนประจักษดว ยปจจเวกขณะญาณ (จํากดั กาล) - ผูเขา ถงึ ยอ มระงับความทุกขท่ีเกิดจากกิเลสชวั่ ขณะหน่งึ ( เปน สวนหนึ่งของ สนั ทิฏฐโิ ก ) - โลกุต.กุ. = อกาลิกะ คอื ไมจาํ กัดกาล - ทาํ ใหเ กดิ ความบริสทุ ธ์ผิ อ งใสแหงจิต ๒. เปน การละกเิ ลสดว ย สนั ทิฏฐิกะ มัค.เปน สหชาตกมั มปจจัย > ม ผ ผ < ผล.เปน นานักขณกิ กัมมปจจัยชนิดพลว - สวากขฺ าโต แบง เปน ๒ สว น พระอรยิ ะ ทรงสรรเสรญิ ทฏิ ฐิท่ชี อ่ื วา และเปนปกตูปนสิ สยปจจยั ชนดิ สุทธ (ติดตอ กนั ) มคั .ตอ ผล เปน อนันตรชาติ ชื่อวา ปกตูปนิสสยนานักขณกิ กัมมปจจยั ๑.ปริยตั ิธรรม (มงุ หมายเอา ปฎก ๓) ช่ือวา สวากฺขาตธรรม เพราะ สนั ทฏิ ฐิกะ คือ โลกตุ ตรธรรม ๙ ที่ประหาน * ไดทันที ๕ ปจจยั + ปกตปู นสิ สยนานักขณิกกัมม ปจ. = ๔ ชาติ > มีอรรถ + พยัญชนะบรสิ ทุ ธ์ิบรบิ รู ณอ ยา งสน้ิ เชิง กเิ ลสเปนสมุจเฉทปหาน * ธรรมบทที่ ๔ \" เอหิปสฺสิโก \" = ความสุข ๓ ระดับ > มอี รรถไมว ิปลาส ๓. ควรแกการเหน็ ๑. สังขารปริคคัณหนกวิปส สนา ๓. นิโรธสมาปต ตวิ ปิ สสนา ๒. ผลสมาปตติวิปสสนา ๒.โลกตุ ตรธรรม ๙ ชื่อวา สวากขฺ าตธรรม เพราะ > เหน็ ดว ยภาวนาภิสมยั คอื มรรค ๔ เปน เหตใุ หมคั ค ๔ ผล ๔ พระนพิ พาน เกดิ ขึน้ โดยการทําใหเจริญ > เห็นดว ยสัจฉิกิริยาภสิ มัย โดยการทําใหแจง * ธรรมบทท่ี ๕ \" โอปเนยยฺ โิ ก \" (พระธรรม ๙) * ธรรมบทที่ ๖ \" ปจฺจตตฺ ํ เว ทติ พโฺ พ วิ ฺ หู ิ \" ** พระคุณบทหลังๆ เปน เหตุใหธรรมบทตนๆ ไดอ ยา งไร - ควรนอ มเขามาใสตน - โลกตุ ตรธรรม ทีเ่ ปน สังขต คือ มคั ค.๔ ผ.๔ ( พระธรรม ๑๐ / ๙ ) โลกตุ ตรธรรม ทเ่ี ปน อสังขต คอื พระนิพพาน - อริยมคั ค ๔ ช่อื วา \" โอปนยกิ ธรรม \" เพราะ - ปจจฺ ตฺตํ แบงเปน ๒ สวน โลกตุ ตรธรรม ๙ ที่ชื่อวา นาํ พระอริยะเขาถึงพระนพิ พาน - ผล ๔ + พระนพิ พาน ชอื่ วา \" โอปนยิกธรรม \" เพราะ ๑.ปริยตั ิ - ธรรมรส (ทผ่ี ศู กึ ษาไดร บั ) ทําพระนิพพานใหแ จง ไดรับท้ังในปถุ ุชนและพระอรยิ ะ สวากฺขาโต -> สนั ทิฏฐิโก -> อกาลโิ ก -> เอหปิ สฺสิโก -> โอปเนยยฺ โิ ก -> ปจจฺ ตฺตํ เวทติ พฺโพ ๒.โลกุต.๙ - ธรรมรส ไดรับท้งั ใน ปถุ ุชน+พระอรยิ ะ พระธรรม ๙ บท - อรรถรส ไดร ับใน พระอริยะ พระธรรม ๑๐ บท \" -> \" อานวา \" เพราะธรรมเหลานน้ั เปน... \"

- 45 - 5 สงั ฆานสุ สติ ( น. ๔, ๑๑๖ - ๑๒๐ ) ระลึกในสงั ฆคุณ ๙ บท คน หาสภาวะของสงั ฆคณุ ๙ บท ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ...ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ...ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ ม.ก.ุ ๘ สติ บริกรรมภาวนา อุปจารภาวนา อานสิ งส คอื ๑. เปน ผมู ีศรทั ธาเปน บาทในชาตติ อ ไป ๓.มสี คุ ติภมู ิเปนท่ีหวงั ๒. มปี ตปิ ราโมทยไ พบูลย ๔. เปนที่รกั ของเทวดา * วจนตั ถะ \" สงฆฺ ํ อนุสสฺ ติ สงฺฆานุสฺสติ \" การระลึกถงึ คุณของพระสงฆเจา อยูเนอื งๆ ชื่อวา สงั ฆานุสสติ อธ. ไดแ ก สติ เจ. ที่ใน ม.ก.ุ ๘ ที่มีคุณของพระสงฆเ ปน อารมณ ** ทม่ี าที่ไปของ ธรรม ๙ บท อรหํ สมั มาสมั พุทธโธ พทุ โธ ---- อธศิ ีล อธิจติ อธิปญ ญา พทุ ธคณุ ๙ บท เญยยธรรม - นับต้ังแต อรหัตตผลเกดิ อาศยั บญั ญตั ิ > ปฎ ก ๓ อรยิ สจั จ ๔ ( จนิ ตามยปญญา --> ภาวนามยปญ ญา ) ม.๔ ผ.๔ นิพ สงั ฆคุณ ๙ บท เหตุ ๔ ( บทที่ ๑ - ๔ ) มคี ําวา \" สาวกสงโฺ ฆ \" ธรรมคณุ ๖ บท เกย่ี วขอ งกับ ผล ๕ ( บทที่ ๕ - ๙ ) ไมม ีคําวา \" สาวกสงโฺ ฆ \" ธรรมคณุ ๖ บทโดยตรง พระอริยะ ๔ คู ๘ บุคคล - นับต้ังแต โสดาปตติมรรคเปนตน ไป อยา งมากอกี ๗ ชาติ เรยี กวา \" สาวกสงฺโฆ \" ( สุตมยปญ ญา --> ภาวนามยปญญา )

- 46 - 5 สงั ฆคณุ ๙ บท มีอะไรบาง พระอรยิ ะ ๔ คู ๘ บคุ คล ชือ่ วา สุปปฺ ฏิปนฺโน เหมอื นกัน แตตางกนั ทงี่ าน ภ ... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค โส.มัค ผ ผ ฯ ... โว สก.มคั ผ ผ ฯ ... โว อนา.มัค ผ ผ ฯ ... โว อร.มคั ผ ผ ฯ ... ปรนิ พิ พานจิต โสดาบันบุคคล สกทาคามบี ุคคล อนาคามีบคุ คล อรหนั ตบุคคล เสกขบุคคล ๗ อเสกขบุคคล พระอรยิ ะท่ยี ังมีงานปหานกิเลสอยู พระอรยิ ะท่เี สร็จสน้ิ งานปหานกเิ ลสแลว ๑) ช่ือวา \" สุปปฺ ฏิปนโฺ น \" เพราะพระอรยิ สงฆส าวก ๘ จาํ พวกของพระผูม พี ระภาคเจา น้นั ** พระอริยะ ๘ บคุ คล มี อธิศลี ตางกบั คฤหัสถ แตเ มอ่ื เขา ถงึ อธจิ ติ และอธิปญญาแลว เปน ผูปฏิบัตดิ ี สมบรู ณด ว ย อธิศลี สกิ ขา อธิจิตตสกิ ขา อธิปญญาสกิ ขา การดาํ เนินงานจะเหมือนกัน เชน อธิศลี = ศีลวสิ ทุ ธิ = จตุปาริสทุ ธศิ ีล ๔ ภกิ ษทุ ่ีเปน โสดาบนั มอี ธิศีล ๒๒๗ แตเม่อื เขา ถึง อธิจติ อธิปญ ญา จะปฏิบตั ิ อธจิ ติ = จิตตวสิ ุทธิ คฤหสั ถท ี่เปน โสดาบนั มีอธิศีล ๕ / ๘ เหมือนกันจนสาํ เรจ็ สกทาคามี ไดเ หมือนกนั อธิปญ ญา = ปญญาระดับที่ ๑ ทิฏฐวิ สิ ทุ ธิ + กังขาวติ รณวสิ ุทธิ ( = ปญ ญาที่รูในรปู นามและเหตขุ องรปู นาม ) = ปญ ญาระดับที่ ๒ มัคคามคั คญาณทสั สนวิสุทธิ ( = ๑ ญาณครงึ่ ) + ปฏิปทาญาณทัสสนวสิ ุทธิ ( = ๘ญาณคร่งึ ) เมอ่ื วาโดยปคุ คลาธิษฐาน ตา งกนั ทศี่ ีล แตเมอ่ื วาโดยธมั มาธิษฐาน เหมอื นกนั ในการปฏิบตั ิ ( = ปญ ญาท่ีรูใ นไตรลกั ษณ ) สรุป ภกิ ษุ / คฤหสั ถ (ที่ไดมคั ค.๔ ผล ๔) จะตางกันทอ่ี ธิศลี เหมือนกันทีอ่ ธิจิต อธิปญ ญา = ปญญาระดับที่ ๓ ญาณทสั สนวสิ ุทธิ ( = มัคคญาณ มีพระนพิ พานเปน อารมณ ) ** ทช่ี ่ือวา \"สาวกสงฺโฆ\" สาวกของพระผมู ีพระภาคเจา น้ัน มุงหมายใน ๑. พระอรยิ ะ ๔ คู ๘ บคุ คล ๒. คฤหัสถทีเ่ ขาถงึ มัคค.๔ ผล ๔ -โดยตรง ๓. ภิกษทุ ั่วไปท่ยี งั ไมได มัคค.๔ ผล ๔ แตอ ยูร ะหวา งการเจรญิ วปิ สสนาดว ยอธิศีล อธิจติ อธปิ ญ ญา - โดยออ ม

- 47 - ๒) ชอ่ื วา \" อชุ ปุ ปฺ ฏปิ นโฺ น \" เพราะพระอริยสงฆส าวก ๘ จําพวกของพระผูมพี ระภาคเจา น้ัน เปนผปู ฏบิ ัติตรงตอ \"หนทาง\" ทนี่ ําเขา สพู ระนพิ พานโดยสว นเดยี ว ไมเ กีย่ วขอ งกบั เรื่องของโลก ท้ังไมมมี ารยาสาไถยแตอ ยางใดเขามาเจือปน พระอรยิ ะ ๔ คู ๘ บุคคล ช่ือวา สปุ ปฺ ฏปิ นโฺ น (๑) ภ ... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค โส.มัค ผ ผ ฯ ... โว สก.มคั ผ ผ ฯ ... โว อนา.มัค ผ ผ ฯ ... โว อร.มคั ผ ผ ฯ ... ปรินิพพานจติ ปถุ ุชน ดาํ เนนิ งาน ๑๖ ญาณ โสดาบนั บุคคลเปนตน ไป ดําเนนิ งาน ๑๒ ญาณคร่งึ ( พลวอทุ ยพั . > ปจจเวกขณญาณ ) ปหานทิฏฐ+ิ วจิ กิ จิ ฉา อุชุปฺปฏปิ นฺโน อชุ ปุ ฺปฏปิ นฺโน \" อุชปุ ปฺ ฏปิ นฺโน (๒) \" มกี ารปฏบิ ัตติ รงตอหนทาง ท่ีมงุ สูพระนิพพาน กิเลสถกู ปหานเปน สมุจเฉท.โดยไมม ีมารยาสาไถย เม่ือพระนิพพานเกิดไดช่อื วา \"ายปฺปฏปิ นโฺ น (๓)\" เพราะพระอรยิ สงฆสาวก ๘ จาํ พวกของพระผมู ีพระภาคเจานนั้ เปน ผูป ฏิบัตมิ ุงตอพระนพิ พานอันเปนอมตธรรม ไมมกี ารปรารถนาอยากไดภวสมบัติ และโภคสมบตั ิแตอ ยางใดเลย หมายถงึ พระนิพพาน = ผลสมาบัติ = อมตธรรม **** เพราะ (๑) สปุ ฺปฏิปนโฺ น พระอรยิ สงฆส าวก เปนผูสมบูรณด ว ย อธศิ ลี อธิจิต อธปิ ญญา เพราะพระอริยสงฆสาวก ๘ จําพวกของพระผูม ีพระภาคเจา นั้น เปนผู (๒) อุชุปฺปฏิปนฺโน ปฏิบัติชอบสมควรแกการเคารพกราบไหวข องชนท้ังหลายดว ยกายใจ (๓) ายปปฺ ฏปิ นฺโน พระอริยสงฆสาวก เปน ผูปฏบิ ตั ิตรงตอ หนทาง ทีเ่ ขาสูพระนิพพาน ไดชือ่ วา \" สามีจิปฺปฏปิ นฺโน (๔)\" พระอริยสงฆสาวก เปน ผปู ฏิบตั มิ ุงตอ พระนพิ พาน ท่เี ปนอมตธรรม **** ท้ัง ๔ บทขางตนนี้ เปน ฝายเหตุ จงึ สมควรไดร บั ผล ๕ ขอ คือ ๕. อาหเุ นยฺโย พระอรยิ สงฆสาวก ๔ คู ๘ จาํ พวกของพระผมู พี ระภาคเจาน้ัน สามารถใหผ ลเกดิ ขน้ึ อยา งมหาศาล จงึ เปนผคู วรรับอามสิ บชู าทเี่ ขานาํ มาจากทไี่ กล เปน แขกทีป่ ระเสริฐสุดของคนท่วั โลก จึงเปนผทู ค่ี วรแกก ารตอนรับดว ยปจ จัย ๔ ๖. ปาหุเนยโฺ ย พระอริยสงฆสาวก ๔ คู ๘ จาํ พวกของพระผูมพี ระภาคเจานน้ั สามารถใหอานสิ งสผลเกดิ ข้ึนตามความประสงคข องคนท้ังหลาย จึงควรรับทักขณิ าทาน เปน ผูประกอบดวยศลี สมาธิ ปญ ญา จึงควรแกการกระทําอัญชลขี องมนุษย เทวดา พรหมทงั้ หลาย ๗. ทกขฺ ิเนยโฺ ย พระอรยิ สงฆสาวก ๔ คู ๘ จาํ พวกของพระผมู พี ระภาคเจาน้ัน เปน ท่ีหวานอนั ประเสริฐแหงพชื ตางๆ เหมือนพืน้ ที่นาชนั้ เอกท่ีทําใหพ ืชเจรญิ งอกงามดี ๘. อชฺ ลกี รณโี ย พระอรยิ สงฆสาวก ๔ คู ๘ จําพวกของพระผูมีพระภาคเจา นน้ั ๙. อนตุ ตฺ รํ ปุฺกเฺ ขตตฺ ํ โลกสสฺ พระอรยิ สงฆสาวก ๔ คู ๘ จาํ พวกของพระผมู ีพระภาคเจา นน้ั

- 48 - 5 สีลานสุ สติ ( น.๕, ๑๒๑ - ๑๒๓ ) การเจรญิ สลี านุสสติ หมายความวา การระลกึ ถงึ ความบริสทุ ธ์ขิ องศีลทีต่ นรักษาไวโดยปราศจากโทษ ๔ อยาง มี อขณั ฑะ เปน ตน อยูเนอื งๆ ชอ่ื วา สีลานุสสติ แสดงวจนตั ถะวา \" สีลํ อนุสสฺ ติ = สลี านุสสฺ ติ \" การระลกึ ถงึ ความบรสิ ทุ ธิ์ของศลี ทีต่ นรกั ษาไว โดยปราศจากโทษเนอื งๆ ชื่อวา \" สีลานสุ สติ \" องคธรรมไดแก สตเิ จตสิก ท่ีใน มหากศุ ลจิต ที่มีการเวน การรักษา ตามสกิ ขาบทนัน้ ๆ ** ศีลท่มี ีโทษ มี ๔ อยา ง คอื ศลี ๕ ศลี ๘ ศีล ๑๐ ( > ๒๒๗ ) ** ศลี ท่ีพนไปจากโทษมี ๔ อยาง ๑) ขณฑฺ สลี - ขาดขอตนหรือปลายขอใดขอ หน่งึ ถือวา ศีลขาด ขาดขอ ตนหรอื ปลาย ขาดขอตน หรอื ปลาย ขาดขอ ตน หรือปลาย ๑) อขณฑฺ สีล ๒) ฉทิ ทฺ สีล - ขาดเพียงขอใดขอหน่งึ ในขอ ทา มกลางถอื วา ศลี เปน รู (ทะล)ุ ๒) อฉทิ ทฺ สลี ๓) สพลสลี - ขาดมากกวา ๑ ขอ ไมติดตอ กันในขอทา มกลาง ถือวา ศลี ดา ง ขาดขอ ทา มกลาง ๒-๔ ขาดขอ ทา มกลาง ๒-๗ ขาดขอ ทามกลาง ๒-๙ ๓) อสพลสลี ๔) กมมฺ าสสีล - ขาดมากกวา ๑ ขอ ติดตอกนั ในขอทามกลาง ถือวา ศลี พรอ ย ๔) อกมฺมาสสีล ( ถาคราวใดเกิดศลี ดาง หรือศลี พรอ ย ก็ถอื วา ศีลเปน \" รู \" ดวย ) * พทุ ธคุณ ธรรมคุณ สงั ฆคณุ ไมจาํ เปน ตองเปนอารมณอยูใ นตัว สามารถไประลึกเอาอารมณจากภายนอกตัวมาบรกิ รรมได แตสีลานสุ สติ ตอ งเปนอารมณอ ยูภายในตัวเรา ไประลกึ เอาอารมณศ ีลจากภายนอกตัว มาบริกรรมไมไ ด * ในวิสทุ ธมิ รรค กลาววา การใหเ ขา ถึงความบรสิ ุทธข์ิ องศลี ทง้ั ๔ อยา ง คือศลี ไมข าด ไมเ ปนรู ไมด าง ไมพรอ ยไดนั้น ตอ งตง้ั อยใู น \" หริ ิ+โอตตปั ป \" เปนบาทเปน พน้ื ฐาน ** อปุ สรรคในการเจรญิ สลี านุสสติ ๑) ตอ งเปน ผทู ี่มคี วามบริสุทธขิ์ องศลี ทัง้ ๔ หากไมม ีความบรสิ ทุ ธิ์เพยี งขอเดยี วก็ตาม กไ็ มส ามารถเจริญกมั มัฏฐานน้ีได ๒) หากเปน ผมู ีความบรสิ ุทธข์ิ องศลี ทง้ั ๔ แลว ตอ งคนสภาวะ ( ระลกึ ถงึ ศลี อันบรสิ ทุ ธท ี่ตนถือปฏิบตั ิอยนู ้นั ) ใหเจอจงึ จะมโี อกาสเขาถึงอุปจารภาวนา หากไมเ จอสภาวะก็ไดเ พยี งบรกิ รรมภาวนา ๓) การเจรญิ ในสลี านสุ สติ ระลึกยากกวา ในพุทธคณุ ธมั มคุณและสังฆคณุ เพราะอารมณใ นสลี านสุ สตเิ ปนอารมณภายในตัวทมี่ อี ยจู รงิ ในศลี บริสุทธิ ๔ แตในพุทธคณุ ธัมมคุณ สงั ฆคณุ เปน อารมณภ ายนอกตวั ที่ผูระลกึ ไดทาํ บรกิ รรมภาวนา ** หลักในการเจรญิ สลี านสุ สติ หรือ ศลี ท่ีพระอริยะยอมรับ ทส่ี ําคญั ท่ีสุด ๕ ขอ ๑) ตอ งชาํ ระศลี ของตนใหพนจากโทษและเขาถงึ คณุ ทง้ั ๔ ๒) ผปู ฏบิ ัตติ องทาํ จติ ใจใหปราศจากการเปน ทาสของตัณหา วาการรกั ษาศลี มไิ ดมุง หวงั ภวสมบตั ิ โภคสมบตั ิ ๓) การปฏบิ ัติ \" กายและวาจา \" ต้ังอยูในสกิ ขาบท (๕ - ๒๒๗ ) อยา งเครงครดั จนมิอาจมีผูใ ดจับผิดอา งวตั ถุขึ้นแสดงเปนหลักฐานได มี ขณฺฑสลี เปนตน จนถงึ อกมมฺ าสสีล เปนทส่ี ุด ทําใหเกิด ๔) การประพฤติดวยกายวาจา ของตนนนั้ แมคนอันธพาลและผูท่ีเปน ศัตรจู ะไมมคี วามเหน็ ดีเหน็ ชอบดวยกต็ าม มีการกลาวไวใน \" อากังเขยยสตู ร \" พระองคก ลาวไว ๒ อยาง ๔ขอ แตวิญูชนท้งั หลายยอ มสรรเสริญ ๕) ตองประกอบดวยความรวู า ศีลน้นั เปน เหตทุ าํ ให อุปจารสมาธิ อปั ปนาสมาธิ มรรคสมาธิ และผลสมาธิ เกิดข้นึ ได ๑. เห็นความวบิ ัตขิ องศีลทเี่ ปนโทษ ตามมา ๒. เหน็ อานิสงสของศีลทเ่ี ปนคุณ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook