บรรยายโดย อ. อาณัติชัย เหลืองอมรชัย บนั ทึกการสอน โดย ศรชัย ชยาภิวัฒน - ๒๕๕๑
หนา สารบญั หนา หนา ๑. สิ่งที่ควรรูในสมถกรรมฐาน -๑ ๘. พระบาลที ่ี ๗ แสดงอสภุ ะ ๑๐ พรอมแนวทางปฏิบัติ - - ๓๖ ๑๑. พระบาลที ี่ ๑๐ แสดงอาหาเรปฏิกูลสญั ญา -๒ ๑) ความแตกตา งของกรรมฐาน - -๒ ๑) อสุภะ ๑๐ ประเภท - - - - - ๓๗ พรอ มแนวทางปฏิบตั ิ - - - - ๘๔ -๓ ๒) เนือ้ ความท่ีตองเรยี น - - -๔ ๒) การจดั อสุภะ และการเพง -- - - ๓๗ ๑) วธิ พี จิ ารณาปฏกิ ูลสญั ญา - - ๘๖ -๕ ๓) สิง่ ท่ีควรรใู นสมถะ - - ๓) อสุภะ ๒ นยั - - - - - - ๓๙ เกดิ ในการบรโิ ภคอาหาร ๑๐ ประการ ๔) ตารางสมถกรรมฐาน ๔๐ - ๒) กระบวนการยอยอาหาร - - ๘๗ ๕) สรุปกรรมฐาน ๔๐ แบบโครงสราง ๙. พระบาลีท่ี ๘ แสดงอนสุ สติ ๑๐ พรอมแนวทางปฏบิ ตั ิ - - ๔๐ ๓) เปรียบเทียบอาหเร.กับปริญญา ๓ - ๘๘ ๑) พทุ ธานุสสติ - - - - ๖) กรรมฐาน ๔๐ โดยภมู ิ อารมณ จรติ ๒) ธัมมานุสสติ - - - - - - ๔๐ ๓) สงั ฆานุสสติ - - - - ๔) สลี านสุ สติ - - - - - - ๔๓ ๑๒. พระบาลีท่ี ๑๑ แสดงจตุธาตวุ วัตถาน ๕) จาคานุสสติ - - - - ๒. พระบาลีที่ ๑ คําปฏญิ ญาของพระอนรุ ุทธาจารย - ๖ ๖) เทวตานุสสติ - - - - - - ๔๕ พรอ มแนวทางปฏิบตั ิ - - - - ๘๙ ๗) อุปสมานสุ สติ - - - - ๘) มรณานสุ สติ - - - - - - ๔๘ ๑) การพจิ ารณาโดยยอ โดยพสิ ดาร - ๘๙ ๙) กายคตาสติ - - - - ๓. พระบาลที ่ี ๒ แสดงสมถกรรมฐาน ๗ หมวด - ๑๔ ๑๐) อานาปานสั สติ - - - - - - ๕๐ ๒) การพิจารณาธาตุ ๔๒ โดยอาการ ๑๓ - ๙๐ - - ๕๒ ๓) อานสิ งส ๘ อยาง - - - ๙๔ ๔. พระบาลีท่ี ๓ แสดงถงึ จริต ๖ - - - ๑๔ - - ๕๓ - - ๕๕ ๑๓. พระบาลที ่ี ๑๒ แสดงอารุปป ๔ - - - ๙๕ ๕. พระบาลที ่ี ๔ แสดงถึงภาวนา ๓ - - - ๑๙ - - ๕๘ ๖. พระบาลีที่ ๕ แสดงถึงนมิ ิต ๓ - - - ๑๙ - - ๖๕ ๑๔. ตารางสรุปสมถกรรมฐาน ๔๐ - - - ๙๕ ๗. พระบาลีท่ี ๖ แสดงกสณิ ๑๐ - - - ๒๑ ๑๐. พระบาลีท่ี ๙ แสดงอปั ปมัญญา ๔ พรอมแนวปฏบิ ัติ - ๗๓ - - ๗๔ ๑) บพุ พกิจ ๗ อยา ง - - - ๒๓ ๑) อปั ปมัญญาอยา งแท และอยางเทียม - - - ๗๗ - - ๗๘ ๒) ข้ันตอนการเจริญใหส ําเรจ็ ปฐมฌาน - ๒๓ ๒) คาํ แผเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา - - - ๘๐ - - ๘๑ ๓) ขัน้ ตอนปฏิบตั ิเพื่อใหไดฌ านสงู ข้นึ - ๒๙ ๓) เมตตา - - - - - - - ๘๒ ๖) อรปู ฌาน - - - - ๓๐ ๔) กรณุ า - - - - - ๗) การเพง กสิณ - - - - ๓๔ ๕) มทุ ติ า - - - - - ๘) คณุ วเิ ศษของกสณิ ๑๐ - - - ๓๕ ๖) อเุ ปกขา ----
-1- ความแตกตางของกัมมฐานท้ัง ๒ นัย พอสังเขป สมถกมั มฐาน วปิ ส สนากมั มฐาน ๑) สภาวะ เปนไปดว ยอาํ นาจแหง สมาธิ ๑) สภาวะ เปน ไปดว ยอาํ นาจแหงปญญา ๒) อารมณ อารมณก รรมฐานมี ๔๐ อยาง มี กสิณ ๑๐ เปน ตน ๒) อารมณ อารมณเปน ไปโดยสภาวปรมตั ถ และเปนไปโดยสติปฏฐาน ๔ ๓) ลักษณะ มคี วามไมฟ ุงเปน ลกั ษณะ ๓) ลกั ษณะ มกี ารรแู จงตามความเปน จรงิ ตามสภาวธรรม ๔) รส ( กจิ ) กําจดั นวิ รณธรรมโดยความเปน วิกขัมภนปหาน (เหมอื นหินทบั หญา ) ๔) รส ( กจิ ) กาํ จัดอวิชชาทป่ี ดบังความเปน จรงิ ในสภาพธรรม เปน สมุจเฉทปหาน ๕) ปจ จุปฏ ฐาน (ผล) มีความไมห วัน่ ไหว ตั้งมน่ั ในอารมณเดียวเปน ผล ( ปฏิบัตแิ ลว เหน็ สุข ) ๕) ปจจปุ ฏฐาน (ผล) การไมเหน็ ผิดในสภาพธรรมเปน ผล ( ปฏิบัตแิ ลวเห็นทกุ ข ) ๖) ปทฏั ฐาน (เหตุใกล) มสี ุขเวทนาเปน เหตุใกล ๖) ปทฏั ฐาน (เหตใุ กล) มสี มาธิ อันไดแ ก ขณกิ สมาธิ เปนเหตใุ กล ๗) อานิสงส - ยังไมไ ดฌาน > ความสุขในปจ จุบัน ๗) อานสิ งส - ยังไมไดฌ าน > เขา ถึงความสขุ อยางแทจรงิ - ไดฌ าน > ไดอภิญญา, ไดฌานสมาบัติ - ไดฌ าน > ผลสมาบัต,ิ เปนพระอรยิ บคุ คล > เกดิ เปน พรหม ๘) การปฏบิ ตั ิ ใช ๓ ทวาร คือ ตา, กาย, ใจ เปน อารมณ ( เสียงเปนขาศกึ ตอการเจรญิ สมถะ ) ๘) การปฏบิ ัติ ใชทวารท้ัง ๖ เปน อารมณ ( เปน อารมณ / ผรู อู ารมณ ) ๙) จริต - ตัณหาจริต > ปญญานอย = กายานุปส สนา ๙) จริต ราค., โทส., โมห., ศรัทธา., พุทธิ., วิตก. > ปญญามาก = เวทนานปุ สสนา - ทิฏฐิจรติ > ปญ ญานอย = จติ ตานปุ ส สนา > ปญญามาก = ธมั มานปุ สสนา * นิโรธสมาบัติ เปนผลของ ๒ กรรมฐาน คือ สมถะ เขาถงึ อรูปฌานขน้ั เนว. , วิปส สนา ตัง้ แตพ ระอนาคามี. ขน้ึ ไป จงึ จะสามารถเจริญนิโรธสมาบตั ไิ ด
-2- เน้อื ความที่ตองเรยี นใน กัมมัฏฐาน วิปส สนาภาวนา สมถภาวนา - ปรติ ตสมถะ > สมถะท่ยี ังเขา ไมถ ึง - บาลขี อ ท่ี ๒ : สมถะ ๗ หมวด - สังขารปริคคัณหณก - วสิ ทุ ธิ ๗ - ผลสมาปต ติ - ลักษณะ ๓ อปั ปนา ( ๑๐, ๑๐, ๑๐, ๔, ๑, ๑, ๔ ) - นิโรธสมาปตติ - อนุปสสนา ๓ - วิปสสนาญาณ ๑๐ - มหัคคตสมถะ > สมถะท่เี ขาถึงอัปปนา > บาลีขอ ท่ี ๖ : กสณิ ๑๐ > บาลขี อท่ี ๑๐ : อาหาเร. ๑ - วิโมกข ๓ ( เปนพระอริยะแลว ) - วโิ มกขมุข ๓ ( ประตูเพื่อความหลดุ พนใหเ ขาถงึ พระอรยิ ะ ) > บาลีขอที่ ๗ : อสุภ ๑๐ > บาลขี อ ที่ ๑๑ : ธาต.ุ ๑ > บาลขี อ ท่ี ๘ : อนุสสติ ๑๐ > บาลีขอท่ี ๑๒ : อารุปป. ๔ > บาลขี อที่ ๙ : อัปปมัญญา ๔ สิ่งท่คี วรรูใ นสมถะ - บาลขี อ ที่ ๓ : จริต ๖ - บาลีขอ ที่ ๑๗ : ความเกีย่ วเน่ืองของภาวนา ๓ และนมิ ิต ๓ จนถึงปฐมฌานเกิด - บาลีขอท่ี ๔ : ภาวนา ๓ บรกิ รรมภาวนา ๔๐ บรกิ รรมนิมติ -ตา อคุ คหนมิ ติ -ใจ ปฏภิ าคนิมติ -ใจ ปริ อุ นุ โค ปฐมฌาน อปุ จารภาวนา ๑๐ อัปปนาภาวนา ๓๐ ม.ก.ุ ส.ํ ๔ บริกรรมภาวนา (เอกัค.ม.ก.ุ ๘) อปุ จารภาวนา (เอกคั .ม.ก.ุ ๘) อัปปนาภาวนา - บาลขี อ ที่ ๕ : นิมติ ๓ บรกิ รรมนมิ ิต - บาลีขอ ท่ี ๑๘ : แสดงฌานเบื้องสงู มีทตุ ยิ ฌาน เปนตน โดยการฝกวสี ๕ อคุ คหนมิ ิต - บาลีขอท่ี ๑๙ : แสดงกรรมฐานท่เี หลืออีก ๘ คอื อัปปมญั ญา ๔, อรุปป. ๔ ที่เขา ถึงอปั ปนา. ปฏิภาคนมิ ติ - บาลขี อ ท่ี ๒๐ : แสดงกรรมฐาน ๑๐ ทไ่ี ดเพียง อุปจารภาวนาเทา น้ัน - บาลีขอ ท่ี ๒๑ : แสดงการเกิดขน้ึ ของอภญิ ญา - บาลีขอ ที่ ๑๓ : สปั ปายเภท > แสดงกัมมัฏฐาน ๔๐ โดยจริต ๖ - บาลขี อ ท่ี ๒๒ : แสดงอภิญญา ๕ ( ๗ กม็ ี ๘ ก็มี แตไ มแสดงในหลกั สูตร ) - บาลีขอ ที่ ๑๔ : ภาวนาเภท > แสดงกมั มัฏฐาน ๔๐ โดยภาวนา ๓ - บาลขี อ ที่ ๑๕ : แสดงการจาํ แนกกัมมฏั ฐาน ๓๐ ทเ่ี ขาถึงอัปปนา. โดยฌานทง้ั ๙ - บาลีขอ ท่ี ๑๖ : โคจรเภท (นิมิต ) > แสดงการจาํ แนกกัมมฏั ฐาน ๔๐ โดยนมิ ติ ๓
อารมณ ๒ ภาวนา ๓ นมิ ติ ๓ รปู . ฌาน ๕ อรูป. ฌาน ๔ -3- บร.ิ ภา อปุ .ภา อปั .ภา บริ.ภา ๔๐ อปุ .๔๐+อปั .๓๐ ไดแคปฐมฌาน เพราะ เปนอารมณหยาบ สมถกรรมฐาน ๔๐ ปรมตั ถ บญั ญัติ ๔๐ ๔๐ ๓๐ บร.ิ + อคุ . ปฏ.ิ ๓๐ ป. ท. ต จตุ. ปญ. อา. วญิ . กิญ. เน. ตองมีวติ กชว ย ในทตุ ยิ ฌาน ตรง ปริ. ตรง ปร.ิ ไมมวี ติ กจึงไปไมไ ด ๑) กสิณ ๑๐ - ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ - ๑๐ - ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑ ๑ ๑ ๑ ๒) อสุภ ๑๐ - ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ - ๑๐ - ๑๐ - - - - - - - - ๓) อนสุ สติ ๑๐ > อนสุ สติ 8 ( ภาพ) 8 - 8 8 - - 8 - - - - - - - - - - - - ต,ี สี, จา, เท, อ,ุ ม. > กายคตาสติ ๑ ( ภาพ) ( วปิ ส) ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ - ๑ - ๑ - - - - - - - - > อานาปานสั สติ ๑ ( ภาพ) ( วิปส) ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ - ๑ - ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ - - - - ๔) อัปปมญั ญา ๔ ( ภาพ) ๔ ๔ ๔ ๔ - ๔ - ๔ ๓ (-อ.ุ ) ๓ (-อุ.) ๓ (-อ.ุ ) ๓ (-อ.ุ ) ๑ อุ. - - - - > เม., กรุ., มุ., อ.ุ ๕) อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1 1-11- -1- - - - - - - - - - - ๖) จตธุ าตวุ วัตถาน 1 1-11- -1- - - - - - - - - - - ๗) อารุปป.๔ ๔๔๔ - ๔ - ๔ > อา., กิญ. ( ภาพ) - ๒ - - - - -๑-๑- > วญิ ., เน. 2- ------1-1 รวม 12 ๒๘ ๔๐ 10 ๓๐ ๓๐ ๒๒ ๑๘ ๒๒ ๘ ๒๕ ๑๔ ๑๔ ๑๔ ๑๒ ๑) อารมณบญั ญัติ ตองมีภาพปรากฏ ( เวน อัปปมญั ญา เปนสตั วบัญญตั ิ แตไ มมภี าพ ) ๒) อารมณใ ดเปน บญั ญตั ิ เขา ถงึ อัปปนาภาวนา ไดทั้งหมด ๓) วญิ , เนว. เปนปรมัตถ แตเขา ถึง ฌาน ได เพราะ ๑. อาศัยการท้ิงอารมณเ กาที่หยาบ เพอ่ื ใหไ ดฌ านท่สี งู ขน้ึ ๒. อารมณเกา ท่ีท้งิ นัน้ เปนบญั ญตั ิ ๔) อารมณที่เปน ปรมตั ถ จะไปไดถ งึ อปุ จาร. เทา นนั้ ไมม ีโอกาสได ฌาน อารมณท่เี ปน บัญญตั ิ จะไปไดถงึ ๓ ภาวนา ๓ นิมิต และไดถงึ ฌาน
-4- สรปุ กรรมฐาน ๔๐ แบบโครงสราง เขา ถงึ อปุ จาร. 10 ( 8, 1, 1 ) เขาถงึ อัปปนา. 2 ( วิญ., เน. ) แบงได ๗ หมวด ปรมัตถ 12 เขาถงึ อปั ปนา.๒๘ * อารมณป รมตั ถ 12 ภาวนา > อปุ จา. อัปปนา.-โลกีย. อปั ปนา.-โลกตุ . ๑๐, ๑๐, ๑๐, ๔ / ๑, ๑, ๔ ( 8, 1, 1, 2) กรรมฐาน ๔๐ อัปปนาภาวนา ๓๐ > อนสุ สติ 8 - ต,ี ส,ี จา, เท, ม (อารมณ ๓๔ / อารัมมณกิ ๖) บัญญัติ ๒๘ - อปุ สมา ๑.สมถะ ( ๑๐, ๑, ๑๐, ๑, ๔, ๒) วาโดยภาวนา + นิมิต ๒.วิปสสนา > วิญ., เน. บรกิ รรมภาวนา (๔๐) อปุ จารภาวนา (๑๐ /๔๐) + อัปปนาภาวนา (๓๐) > อาหาเรปฏกิ ูลสญั ญา > จตุธาตวุ วัตถาน บริกรรมนิมติ + อุคคหนมิ ิต ปฏิภาคนิมิต รปู ฌาน ๒๖ อรปู ฌาน ๔ ** ตองอาศยั ธรรม ๒ ขอ จงึ จะเขา ถงึ อปุ จารภาวนา โดยตรง โดยปรยิ าย โดยตรง นบั อนโุ ลมสงเคราะห ( บญั ญัติ ๒๖ ) ( บัญญตั ิ ๒, ปรมัตถ ๒ ) ๑) ความลกึ ซงึ้ สขุ ุมในสภาพธรรม ถาไมพบสภาวะ ก็ไดเพยี งบรกิ รรมภาวนา ๒๒ ๑๘ ๒๒ ๘ ปฐม. ทุต-ิ จตุ ปญจ. อา วญิ กิญ เน เชน ตี (พุทธา, ธัมมา, สงั ฆา ) = ศลี สมาธิ ปญญา กสิณ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๔ ๓ ๒ ๑ กสณิ ๑๐ อนุ 8 กสิณ ๑๐ อานา ๑ ๑ ๑ บญั ปร บญั ปร สลี านุสสติ = ศลี กุศลจิตตปุ บาท อสภุ ๑๐ - - อานา ๑ อาหา 1 อานา ๑ เทวตานสุ สติ = เขา ถึงสภาพธรรม ๗ หมวด อสภุ ๑๐ จตุ 1 อสุภ ๑๐ ๒) อาศยั ความกวางขวาง พิจารณาในธรรมทกุ บท กาย ๑ อปั ๔ กาย ๑ อปั ๔ กาย ๑ - - ** ปรมตั ถ ไมสามารถถงึ อัปปนาภาวนา ไดแคอ ปุ จารภาวนาเพราะ อารปุ ๔ อารุป ๔ อปั .๔ ๓ ๓ ๑ ปรมตั ถ = ปญ ญา + สมาธิ ทําใหส มาธไิ มแรง เนือ่ งจากปญญาดงึ สมาธไิ ว ๒๕ ๑๔ ๑๒ จึงเจรญิ ไปไดแ คอปุ จารภาวนา ๑) ภาวนา ๓ นิมิต ๓ โดยตรง ( ภาพ ) จริต โดยสังเขป มี ๖ ( ไดใ นมนุษยเทา นั้น ) จรติ โดยพสิ ดาร มี ๖๓ กรรมฐาน ๔๐ วา โดยภูมิ ราคะ ๑๑ (อสุ.+กาย.) ศรทั . ๖ (อนสุ .ขา งตน ตี สี จา เท.) มน.ุ เทว. รปู . อรูป. * ปฐม. บรกิ รรมภาวนา บริกรรมนมิ ติ โทสะ ๘ (อปั .+วัณ.) พุทธิ. ๔ (อปุ .+มรณ.+อาหา.+จต.ุ ) สทุ ธ ๑๔ มิสสก ๔๙ ๔๐ ๒๘ ๒๗ ๔ โมหะ ๑ (อานา.) วติ ก. ๑ (อานา.) อุปจารภาวนา อุคคหนมิ ิต มลู ๗ มูลี ๗ -อส.ุ -อสุ. ท่วั ไป ๑๐ ( มหาภ.ู ๔ อากาส.๑ อาโลก.๑ อารปุ .๔ ) -กาย. -กาย. อปั ปนาภาวนา ปฏภิ าคนิมิต > เอกมูล ๓ x เอกมูล ๓ > เอกมูล ๒๑ -อาหา. -อาหา. > ทวมิ ูล ๓ x ทวิมลู ๓ > ทวิมูล ๒๑ * ทุตยิ . เปน ตนไป = ๓ ภาวนา ปฏิภาคนิมิต > ตมิ ลู ๑ x ติมลู ๑ > ติมูล ๗ -อานา. ๒) ภาวนา ๓ นิมติ ๓ โดยปรยิ าย ( ภาพ ) บริกรรมภาวนา บรกิ รรมนมิ ิต อุปจารภาวนา อคุ คหนิมติ อัปปนาภาวนา
-5- ** นมิ ติ โดยตรง มีสารสาํ คัญในการพิจารณา คอื เพงองคก รรมฐาน บรกิ รรมนมิ ิต อคุ คหนิมิต ปฏิภาคนมิ ิต ๑) มีการกระทบ มภี าพปรากฏทางตาสทู างใจ ๒) นิมติ นั้นเปลยี่ นไปตามกาํ ลงั ของภาวนา ๓ ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ... ช ต ต ภ ภ น ท ม ช ... ช ภ ภ น ท ม ช ... ช ภ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ** นิมติ โดยปริยาย ๑) ไมมีการเพง (ไมมีภาพ ) ไมมีการกระทบ จกั ขุ บริกรรมภาวนา อปุ จารภาวนา อปั ปนาภาวนา ๒) อารมณย งั คงเดิมขณะที่ภาวนา มีกาํ ลังมากข้ึน กรรมฐาน ๔๐ โดยภมู ิ และอารมณ กรรมฐาน ๔๐ โดยจริต ๖ กรรมฐาน ๗ หมวด มนุ. เทว. รปู . อรูป อารมณ อารัมมณกิ อากญิ จัญยายตนอารมณ ๑ อารมณ กรรมฐาน ๗ หมวด ราค. โทส. โมห. ศรัทธ. พุทธิ วิตก ท่วั ไป ๑) กสณิ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ - ๑๐ - นัตถภิ าวบัญญัติอารมณ ๒ อารมณ ๑) กสิณ ๑๐ ๔ อากาสานัญจายตนอารมณ ๓ อารมณ ๔ ๔ อารมณ -มหาภูตกสณิ ๔ อากาสบัญญตั ิอารมณ -วณั ณกสิณ ๔ -อากาสกสิณ ๑ ๑ ๒๗ > -อาโลกกสิณ ๑ ๑ ๒) อสุภ ๑๐ ๑๐ - - - ๑๐ - ( เวน อสุภ.๑๐ ๒) อสภุ . ๑๐ ๑๐ - กาย., อานา., ๓) อนสุ สติ ๑๐ ๓) อนสุ สติ. ๑๐ อาหา. ) -อนุสสติ ๘ (ตี, สี, จา, เท, อุ, ม.) ๘ ๘ ๘ - ๘ -ต,ี ส,ี จา, เท ๖ ๒๘ > -อุป, มรณ ๒ ( เวน อสภุ .๑๐ - กายคตาสติ ๑ ๑- - -๑ - กาย., อาหา. ) -กายคตาสติ ๑ ๑ - - อานาปานสั สติ ๑ ๑๑- -๑ - ๔๐ > -อานาปานสั สติ ๑ ๑๑ ๑ > ๔) อัปปมัญญา ๔ ( เม., กรุ., ม.ุ , อุ.) ๔ ๔ ๔ - ๔ ๑ ๔) อปั ปมัญญา ๔ ๔ ๔ ๕) อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ (สัญญาเจ.) ๑ - - - - ๖ ๕) อาหาเรปฏกิ ลู . ๑ ๑ ๖) จตธุ าตวุ วตั ถาน ๑ (ปญ ญาเจ.) ๑ ๑ ๑ - - ๖) จาตวุ วตั ถาน ๑ ๑ ๗) อารปุ ป.๔ ๔๔๔๔ - ๗) อารปุ ป.๔ ๔ ๔๐ ๒๘ ๒๗ ๔ ๓๔ รวมโดยเฉพาะ ๑๑ ๘ ๑ ๖ ๔ ๑ ๑๐ กรรมฐานรวมทว่ั ไป ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ > อส.ุ ๑๐ กาย. อาหา. > อสุ.๑๐ กาย. อาหา, อานา. รวมทง้ั หมด ๒๑ ๑๘ ๑๑ ๑๖ ๑๔ ๑๑
-6- 5 พระบาลที ่ี ๑ \" สมถวปิ สสฺ นานํ ภาวนานมโิ ต ปรํ ภาวนา : ธรรมทคี่ วรเจริญ คือใหเ กดิ ขนึ้ บอยๆ ในสันดานของตน กมมฺ ฏฐาน ปวกขฺ ามิ ทวุ ธิ มฺป ยถากฺกมํ ฯ \" มวี จนตั ถะวา \" ภาเวตพพฺ าติ = ภาวนา \" : ธรรมทีบ่ ัณฑติ ทง้ั หลาย พงึ ทําใหเ จรญิ ขึน้ เปน ครง้ั แรก และคร้ังหลังๆ ใหตดิ ตอ กนั เปน นิจจนถึงเจรญิ ขนึ้ ฉะนน้ั จงึ ชอื่ วา ภาวนา = ตามลาํ ดับ ๑) บรกิ รรมภาวนา ( ม.กุ.๘ ) = ๒ นัย ๒) อุปจารภาวนา ( ม.กุ.๘, ม.ก.ิ สํ.๔ ) = ขาพเจา ๓) อัปปนาภาวนา ( มหคั คต.ก.ุ = ฌานลาภบี ุคคล ) กมั มฏั ฐาน ปรจิ เฉทที่ ๙ ชอื่ วา กัมมฏั ฐานสงั คหะ เพราะมีการแสดงกรรมฐานท้ังหมด รวมอยูในปริจเฉทนี้ 5 ภาวนา มีโครงสรา งอยา งไร บริกรรมภาวนา ภาวนา มี ๓ อุปจารภาวนา อัปปนาภาวนา วาโดย ภาวนา มี ๒ คือ สมถภาวนา ๑. ปริตตสมถะ วปิ สสนาภาวนา ๑. สงั ขารปริคคณั หนกวปิ ส สนา ๒. มหคั คตสมถะ ๒. ผลสมาปตตวิ ปิ ส สนา วจนัตถะ วจนตั ถะ ๓. นโิ รธสมาปต ติวิปสสนา ๑) กิเลเส สเมตตี ิ = สมโถ ( น.๑๖ ) ๑) รปู าทิอารมฺมเณสุ ปฺญตฺตยิ า จ นิจฺจ สขุ อตฺต สุภ สฺญาย ( น.๑๗ ) ๒) จิตตฺ ํ สเมตีติ = สมโถ ( น.๑๗ ) จ วเิ สเสน นามรูปภาเวน วา อนิจจฺ าทอิ ากาเรน วา ปสฺสตตี ิ = วิปสฺสนา ๓) วติ กฺกาทิ โอฬารกิ ธมฺเม สเมตตี ิ = สมโถ ( น.๑๗ ) ( น.๑๘ ) ๒) ปจฺ กขฺ นเฺ ธสุ ววิ ิเธน อนิจฺจาทิอากาเรน ปสสฺ ตีติ = วิปสสฺ นา ( น.๑๘ ) ๓) วิเสเสน ปสสฺ ตีติ = วิปสสฺ นา
-7- วจนตั ถะ ( สมถะ ) ขอ ที่ ๑ \" กเิ ลเส สเมตตี ิ = สมโถ \" : ธรรมใดทําใหกิเลส มีกามฉนั ทนิวรณ เปน ตน สงบลง ฉะนนั้ ธรรมนนั้ ช่อื วา สมถะ ไดแก สมาธิ คอื เอกคั คตาทใ่ี น มหากศุ ลจติ ๘ และรูปาวจรปฐมฌานกุศลจิต ๑ มุงหมายปุถชุ น + พระอริยะตาํ่ ๓ ทเ่ี จรญิ สมถะ สําเรจ็ ในปฐมฌาน อาศยั ติเหตุกบคุ คล ความแกก ลา ของอนิ ทรียท ง้ั ๕ ( สทั ธินทรีย, สตนิ ทรีย, สมาธนิ ทรยี , วิริยนิ ทรยี , ปญญินทรยี ) เพง ปถวี บรกิ รรมนมิ ิต อุคคหนมิ ติ ปฏิภาคนิมติ ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ อาทกิ ัมมกิ ฌาน เอกคั คตา --> ม.ก.ุ ๘ เอกคั คตา --> ม.ก.ุ ๘ เอกคั คตา --> ม.กุ.๘ ม.กุ.ส.ํ ๔ ( สว นตน ) ( สวนปลาย ) ปฐมฌานกศุ ล. ๑ บรกิ รรมภาวนา อุปจารภาวนา อัปปนาภาวนา = ฌานลาภีบคุ คล ( ตทังคปหาน -> ขม นวิ รณ ) ( วกิ ขัมภนปหาน ) วจนัตถะ ( สมถะ ) ขอที่ ๒ \" จติ ฺตํ สเมตีติ = สมโถ \" : ธรรมใดทําใหจิตที่ไมส งบ เนื่องมาจากการไดร ับอารมณหลายๆ อยางสงบลง มาตั้งมน่ั อยูในอารมณอ ันเดียว ฉะน้นั ธรรมนน้ั ชอ่ื วา สมถะ ไดแก สมาธิ คือ เอกัคคตาท่ใี น มหากิริยาจิต ๘ และ รูปาวจรปฐมฌานกริ ยิ าจิต ๑ มงุ หมายพระอรหันต ทต่ี องการใหจ ติ สงบในอารมณเดยี ว มใิ ชม งุ หมายในการปหานกิเลส สรปุ วจนตั ถะ ที่ ๑ + ๒ มี ๓ ภาวนา ๓ นิมิต คอื - เหมอื นวิถีในวจนัตถะที่ ๑ แตเ ปล่ียน ม.กุ.๘ เปน ม.ก.ิ ๘ และปฐมฌานกศุ ล. ๑ เปน ปฐมฌานกริ ิยา. ๑ > ภาวนา = ๑. บริกรรมภาวนา ๒. อปุ จารภาวนา ๓. อปั ปนาภาวนา - อุปจาร. ตอ งการใหตั้งม่นั ในอารมณเดยี ว มไิ ดตอ งการเพ่ือตัดกเิ ลส > นิมติ = ๑. บริกรรมนมิ ติ ๒. อุคคหนิมติ ๓. ปฏภิ าคนมิ ิต วจนัตถะ ( สมถะ ) ขอที่ ๓ \" วติ กฺกาทิ โอฬาริกธมเฺ ม สเมตีติ = สมโถ \" : ธรรมใดทําใหอ งคฌานชนิดหยาบมวี ติ ก เปน ตน สงบลง คอื ไมใ หเ กิด ฉะน้ัน ธรรมนัน้ ชอื่ วา สมถะ ไดแ ก สมาธิ คือ เอกคั คตาทใ่ี น ทุติยฌานกุศล / กิรยิ า เปน ตน จนถงึ ปญ จมฌานกุศล / กิรยิ า มงุ หมายปถุ ุชน + พระอรยิ ะบุคคล ๔ ทเ่ี จริญฌานไดส ูงข้นึ ( โดยการละองคฌานอยางหยาบๆ ออก เพื่อใหไ ดฌานสงู ขึ้น ) และฌานจะสูงขึ้นไดต อ งอาศยั ๑. ความเบ่ือหนา ยในฌานเดมิ ๒. เหน็ ฌานเดมิ เปน ของหยาบ * แสดงโดยวิถี เพง ปฏิภาคนิมิต เพง ปฏภิ าคนิมิต ปฏภิ าคนมิ ติ องคฌ าน ๔ ละวิตก (ฌานเบ้ืองสูง ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ เริ่มทางใจเทา น้ัน ) เอกัค. -> ม.ก.ุ / กิ. ๘ เอกัค. -> ม.กุ./ ก.ิ ๘ เอกัค. -> ม.กุ./ก.ิ ๘ ม.กุ./ก.ิ สํ. ๔ บรกิ รรมภาวนา อุปจารภาวนา ทุตยิ ฌานกุ./ กิ. ๑ = ฌานลาภีบคุ คล * เชค็ วา ไดถ งึ อุปจาร. หรือไม ๑) ถอนจากอุปจาร. เขา ปฐมฌาน --> องคฌ าน ๕ ปรากฏ ๒) เขาปจ จเวกขณะ (ของฌาน) - เริม่ เหน็ ความเบือ่ หนา ยในวิตก สรปุ วจนตั ถะที่ ๓ มี ๓ ภาวนา ๑ นมิ ติ - เหน็ ความหยาบของวติ ก และองคฌาน ๔ ทเ่ี หลอื ละเอยี ด ( บริ. + อุป. + อัป. = ปฏภิ าคนมิ ติ )
-8- 5 สมถภาวนา มี ๒ คอื ๑) ปริตตสมถะ - สมถะของบคุ คลท่ียังไมเ ขา ถึงอปั ปนา ๒) มหัคคตสมถะ - สมถะของบุคคลทีเ่ ขาถึงอัปปนาแลว เพง กรรมฐาน บริกรรมนิมติ อุคคหนิมติ ปฏิภาคนิมติ ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ เอกัค. --> ม.ก.ุ /กิ.๘ เอกัค. --> ม.กุ./ก.ิ ๘ เอกคั . --> ม.กุ./กิ.๘ ม.ก.ุ /กิ.ส.ํ ๔ บรกิ รรมภาวนา อปุ จารภาวนา อปั ปนาภาวนา [ ปริตตสมถะ ] [ มหัคคตสมถะ ] 5 วปิ สสนาภาวนา ๑) รปู าทิอารมมฺ เณสุ ปฺญตตฺ ยิ า จ นจิ ฺจ สขุ อตตฺ สุภ สญฺ าย จ วเิ สเสน นามรูปภาเวน วา อนิจจฺ าทอิ ากาเรน วา ปสสฺ ตตี ิ = วปิ สสฺ นา : ธรรมชาตใิ ด ยอ มเห็นแจงในอารมณต างๆ มีรูปารมณ เปนตน โดยความเปน นาม รปู ทพ่ี ิเศษนอกออกไปจากบัญญัติ โดยการละท้งิ สัททบัญญตั ิ อตั ถบัญญตั เิ สยี ส้ิน และยอมเหน็ แจง ในอารมณต า งๆ มีรูปารมณ เปนตน โดยอาการเปน อนิจจะ ทุกขะ อนตั ตะ อสุภะ ทพ่ี ิเศษนอกออกไปจากนจิ จสญั ญาวิปลลาส สขุ สญั ญาวิปลลาส อตั ตสัญญาวปิ ลลาส สุภสญั ญาวิปล ลาส ฉะน้นั ธรรมชาติน้ันช่ือวา วิปสสนา ไดแ ก ปญญาเจตสิก ทใี่ น มหากศุ ล มหากริ ิยา ๒) ปฺจกฺขนเฺ ธสุ วิวเิ ธน อนิจฺจาทิอากาเรน ปสฺสตตี ิ = วิปสสฺ นา : ธรรมชาติใด ยอมเหน็ แจงในขนั ธ ๕ โดยประการตางๆ มี อนจิ จะ ทุกขะ อนัตตะ อสุภะ ฉะน้ัน ธรรมชาตินั้นชอ่ื วา วปิ สสนา ไดแก ปญ ญาเจตสิก ทใ่ี น มหากศุ ล มหากิริยา \" วิปสสฺ นา \" แยกบทได วิ + ปสสฺ นา - วจนัตถะที่ ๑ > วิ แปลวา พิเศษ, ปสฺสนา แปลวา ความเหน็ แจง รวมแลวแปลวา ความเหน็ แจง เปน พเิ ศษ ดงั วจนัตถะวา วิเสเสน ปสสฺ ตีติ = วปิ สสฺ นา : ธรรมชาติใด ยอ มเหน็ แจง เปน พเิ ศษ ฉะน้ัน ธรรมชาตินั้นช่อื วา วปิ ส สนา - วจนัตถะท่ี ๒ > วิ หมายความวา ประการตา งๆ (อนจิ จะ ทุกขะ อนตั ตะ อสภุ ะ ), ปสสฺ นา หมายความวา ความเห็นแจง รวมแลวแปลวา ความเห็นแจง โดยประการตา งๆ มอี นจิ จะ เปนตน
-9- วจนัตถะ ( วปิ สสนา ) ท่ี ๑ แบงได ๒ ตอน คือ รูปาทิอารมฺมเณสุ ปฺญตฺตยิ า จ นิจจฺ สขุ อตฺต สุภ สญฺ าย ละแลว เขา ถงึ จ วิเสเสน นามรปู ภาเวน วา อนจิ ฺจาทิอากาเรน วา ปสฺสตตี ิ = วปิ สสฺ นา ตอนท่ี ๑ รูปาทิอารมฺมเณสุ ปฺญตตฺ ยิ า วิเสเสน นามรปู ภาเวน ปสสฺ ตีติ = วิปสสฺ นา : การเห็นแจงเปน พิเศษในอารมณตา งๆ ทีม่ าปรากฏทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยความเปน รปู นาม ประการหน่งึ ตอนท่ี ๒ รูปาทอิ ารมมฺ เณสุ นิจจฺ สขุ อตฺต สุภ สฺญาย วิเสเสน อนิจฺจาทอิ ากาเรน ปสสฺ ตตี ิ = วปิ สสฺ นา : การเหน็ แจงเปนพิเศษในอารมณต างๆ ท่มี าปรากฏทาง ตา หู จมกู ลน้ิ กาย ใจ โดยความเปน อนจิ จะ ทุกขะ อนัตตะ อสภุ ะ ประการหน่ึง ๑) เบื้องตนมีสภาวปรมตั ถ แตไปรบั บญั ญัติ สัททารมณ ปจจุบันอารมณ อตีตคั คหณวถิ ี (รบั บญั ญัติ) สมูหคั คหณวถิ ี นามคั คหณวถิ ี อัตถัคคหณวิถี ภ ตี น ท ป โสต สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... โสตปสาท ปรมตั ถ บัญญตั ิ (เอาอดตี มาเปน อารมณ) สัททบัญญตั ิ อตั ถบญั ญัติ ตกกระแสปจ จบุ ัน ๒) เหน็ สภาวะ เขา ถึงสภาวะ ดวยปจจบุ นั อารมณ แสดงวาเร่ิมละบญั ญตั ิเขา ถงึ \" นามรปู ปรจิ เฉทญาณ \" วปิ สสนาภมู ิ ๖ รูปนาม ปจจบุ ันอารมณ ๑) ขนั ธ ๕ ๑) อาศยั อารมณทป่ี รากฏอยเู ฉพาะหนา ๒) อายตนะ ๑๒ ๒) ตองไมใชอารมณท ีก่ ระทําใหเกดิ ขน้ึ ๓) ธาตุ ๑๘ ๓) ตองรจู กั แยกแยะบัญญัติเปน อยางไร สภาพปรมตั ถเ ปนอยา งไร ๔) อินทรีย ๒๒ ๔) จบั อารมณปจจุบนั ๕) สจั จ ๔ ๕) ตองเปน การทําลายอภิชฌา + โทมนัส เสมอ ๖) ปฏจิ จสมุปบาท ๖) ตอ งเปนไปตามสติปฏฐาน ๔
๓) มีสภาวะแตเหน็ อาการของบญั ญัติ ญาณ ๑๖ - 10 - นามรูปปริจเฉท., ปจ จยปรคิ คห. วปิ สสนาญาณ ๑๐ โคตรภ.ู , มัคค., ผล., ปจ จเวกขณะ. สมั มสน., อทุ ยพั ., ภงั ค., ภย., อาทีนว., นิพพิทา., มุญจิตกุ ัมยตา., ปฏสิ ังขา., สงั ขารุเปกขา, อนุโลม. มรี ปู นามเปนอารมณ มีพระนิพพานเปน อารมณ ญาณทม่ี ีไตรลกั ษณเ ปนอารมณ สตปิ ฏ ฐาน ๔ ละวปิ ล ลาสธรรม เขา ถงึ วปิ สสนาญาณ ๑๐ สภุ สัญญาวิปล ลาส สขุ สัญญาวปิ ลลาส นิจจสญั ญาวปิ ล ลาส อตั ตสัญญาวปิ ลลาส ทาํ ลาย ทาํ ลาย ทาํ ลาย ทําลาย อส0ุภลกั ษณะ ทุก0ขลกั ษณะ อน0ิจจลกั ษณะ อน0ตั ตลกั ษณะ เห็น เหน็ เหน็ เห็น กายา. เวทนา. จิตตา. ธัมมา. รปู ขนั ธ เวทนาขนั ธ วิญญาณขันธ สัญญา + สังขารขนั ธ วจนัตถะตอนที่ ๑ วจนตั ถะตอนที่ ๒ ( วปิ สสนาเทยี ม - เห็นแจงโดยรปู นาม ) ( วปิ สสนาแท - เห็นแจง โดยไตรลกั ษณ )
- 11 - 5 วปิ ส สนา มี ๓ ประการ ( น. ๒๑ ) ๑) สงฺขารปริคฺคณหฺ นกวปิ สฺสนา คือ วปิ สสนาญาณทม่ี กี ารกาํ หนดรูใ นสงั ขารธรรม รูปนาม มีรปู นามเปน อารมณ ญาณ ๑๖ มนี ิพพานเปนอารมณ วปิ สสนาญาณ ๑๐ ( มไี ตรลักษณเปน อารมณ ) นามรูปปริจเฉท., ปจจยปริคคห. โค ม ผ ผ ... ปจ จเวกขณะ สัมมสน., อุทยพั .. ภังค., / ภย., อาทนี ว., นิพพทิ า., / มญุ จิตกุ มั ยตา., ปฏิสังขา., สงั ขาร.ุ , ..ภ น ท ม ปริ อุ นุ = จูฬโสดาบนั ตรุณ.* พลว. ตน .* ปลาย. อนโุ ลม. โค มัค. ผล. ปจจเวกขณะญาณ * หลังจากสาํ เรจ็ เปน โสดาบันแลว มนั ท.= ทนั ทา., ติกข.= ขปิ ปา. มี ๒ แนวทางปฏบิ ตั ิ คือ วปิ สสนูปกเิ ลส ผูท่ีจะเจริญใหมัคค.สูงข้ึน ทกุ ขาปฏปิ ทา ทนั ทาภิญญา < = วฏุ ฐานคามินี เปน โลกยี . (ถือวาดีเพราะ ( สก., อนา., อร. ) ทกุ ขาปฏิปทา ขิปปาภญิ ญา < ผทู ี่เขา ถงึ วฏุ ฐาน. ทมี่ ีอารมณ ๑) เขาโสดาผลสมาบัติ ถกู ทางแตไ มด ี จะมาเร่มิ ที่พลวอทุ ยพั พยญาณ เปน โลกตุ . ๒) เจรญิ มรรคสงู ขน้ึ จนถึง เพราะทาํ ใหต ดิ สุขาปฏปิ ทา ทนั ทาภิญญา < ตอ งไดมรรค = นพิ พาน ไมก า วตอ ไปใน สขุ าปฏปิ ทา ขิปปาภิญญา < แนนอน สกทาคามมิ รรค ญาณทีส่ งู ข้นึ ) ( น. ๒๑ ) ญาณปรญิ ญา ตรี ณปรญิ ญา ปหานปริญญา 2 ญาณทัสสนวิสุทธิ ทฏิ ฐิวสิ ทุ ธิ - / - กงั ขาวติ รณวิสุทธิ ๑ ญาณครึง่ ๘ ญาณคร่ึง มัคคามัคค ปฏิปทาญาณทัสสนวสิ ุทธิ ญาณทสั สน วสิ ทุ ธิ ๒) ผลสมาปตฺตวิ ิปสฺสนา คือ วปิ สสนาญาณท่ีเปน เหตุ ใหเ ขาผลสมาบัตไิ ด [ ผทู ี่จะเขาผลสมาบัติ จะตอ งเรม่ิ ตน ท่ี พลวอุทยัพพยญาณ เชน พระโสดาบัน ] พลว. สงั ขาร.ุ อนุโลม โค ออกจากสมาบตั ิ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม นุ นุ นุ นุ ผลเกิดดบั ... ภ ... เปนผลสมาบัติเพราะโสดาบนั ไดผลมากอ นแลว ไมไดม ีมคั คเปนปจ จัย แตเอาความแรงของวิปสสนาเปน ปจ จัย ผเู จริญใหม ตอ งเปนตกิ ขบุคคลเทานัน้ นอกจากโสดาบนั ท่ที าํ บอ ยๆ ชาํ นาญก็เขา แบบมันทะได ( เขา อยางชา ๆ )
- 12 - ๓) นิโรธสมาปตฺตวิ ิปสสฺ นา คอื วปิ ส สนาญาณที่เปนเหตุ ใหเขา นโิ รธสมาบัตไิ ด *ปฏิบตั ิ ๑. เพงปฏภิ าคนมิ ติ --> ปฐมฌาน --> ออก --> พจิ ารณาวิปส สนา ตัง้ แต พลว. --> สังขารุ. ๒. เพงปฏิภาคนิมิต --> ทุตยิ ฌาน --> ออก --> พิจารณาวิปสสนา ตัง้ แต พลว. --> สงั ขาร.ุ > บุคคล - เขา นโิ รธสมาบัติไดเฉพาะพระอนาคามี และพระอรหนั ต เทา นั้น ฯลฯ > ตองเขา ถึง - ฌาน ได สมาบตั ิ ๘ (จตุตถกนัย=รูป๔ -> อรูป๔ ) / ๙ (ปญ จกนยั =รูป๕ -> อรูป๔) - ญาณ ไดต ง้ั แตพลวอทุ ยัพพยญาณ > สงั ขารเุ ปกขาญาณ x. เพงปฏภิ าคนิมิต --> อากญิ จัญญา. --> ออก --> พิจารณา > อยูระหวา ง - ตกิ ขและมนั ทะบคุ คล เรียกวา \" นาตมิ นั ทนาตติ ิกข \" - ถามันทะ มีสมาธมิ ากกวาปญญา จะไมเหน็ เกดิ ดับ ๑.เคร่ืองบริขาร ๓.หากพระพุทธเจา เรียก - ถาตกิ ขะ มีปญญามากกวาสมาธิ จะเปนการเขา ผลสมาบตั ิ ๒.หากสงฆเรยี ก ๔.ตรวจดชู ีวิต x. เขาเนวสัญญา. ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ฌ ... จิต, เจ, จิร.ุ ดบั ... ผ ผ เนว.ก.ุ /ก.ิ ฌานสมาบัติ ๘ / ๙ * สรปุ \" วิปสสนา ๓ อยา ง \" ๑) สงขฺ ารปรคิ คฺ ณหฺ นกวปิ สฺสนา ๒) ผลสมาปตตฺ ิวิปสฺสนา ๓) นโิ รธสมาปตฺตวิ ปิ สฺสนา ๑. เปนวปิ สสนาทีม่ ีการกาํ หนดรูในสงั ขารธรรม รปู นาม ๑. เปนวปิ ส สนาทใ่ี หเขา ถงึ ผลสมาบัติ ๑. เปน วิปสสนาทใ่ี หเ ขา ถงึ นโิ รธสมาบตั ิ ๒. มคี วามสขุ ในปจ จุบัน เพราะมรี ปู นาม เปน อารมณ ๒. มคี วามสุขกวาการมีรปู นาม เปนอารมณ ๒. มีความสขุ กวา เพราะมีพระนิพพานเปนอารมณ ๓. ปุถุชน เขาถงึ โสดาบนั ตองเจรญิ ๑๖ ญาณ ๓. สาํ หรบั พระอริยะเทา นนั้ ๓. สําหรับพระอนาคามี และพระอรหันต ท่ไี ด พระอริยตาํ่ ๓ เจริญอกี ๓ รอบๆ ละ ๑๒ ญาณครึ่ง ฌานสมาบตั ิ ๘ / ๙ โดยเร่มิ ที่ พลวอทุ ยัพพยญาณ เปนตนไป ๔. วาโดยความแรง / ไมแรง เปนทงั้ ติกขะ / มนั ทะกไ็ ด ๔. ติกขะท่ีเพ่ิงไดมรรคใหมๆ ตอ งอาศัยความแรง แตถา ไดช ํานาญแลว ๔. ตอ งอยูระหวา งติกขะ และมนั ทะ ตองเขา ถงึ วุฏฐานคามนิ วี ิปสสนา มันทะวิปส สนากไ็ ด เรียกวา \" นาติมนั ทนาตติ กิ ข \" * ปถุ ุชน - ทาํ ไดแ ตวปิ ส สนา อยา งท่ี ๑ * พระโสดาบัน + พระสกทาคามี - ทาํ ไดใ นวปิ ส สนา อยา งท่ี ๑ และ ๒ -> ทําวปิ สสนา อยา งที่ ๑ เพอื่ ใหม คั ค สูงข้นึ -> ทาํ วปิ ส สนา อยา งท่ี ๑ เพอื่ เปน สุขอยใู นปจ จุบัน * พระอนาคามี - ทาํ ไดในวิปส สนา อยา งท่ี ๑ และ ๒ และ ๓ * พระอรหนั ต - ทาํ ไดในวิปส สนา อยา งท่ี ๑ และ ๒ และ ๓
- 13 - 5 กมฺมฏ าน ( น. ๒๓ ) แปลวา เปนที่ตั้งแหง การเจรญิ สมถะและวิปส สนา แยกบท = กมฺม + าน การกระทาํ เปน ที่ตัง้ \" กิรยิ า = กมมฺ ํ \" \" ตฏิ ติ เอตฺถาติ = านํ \" : การกระทําชือ่ วา กรรม : การเจรญิ สมถะวิปส สนา ยอ มตง้ั อยูใ นอารมณมี กสิณ เปน ตน และรูปนาม ฉะนนั้ อารมณอนั มกี สณิ เปนตน และรปู นาม จงึ ช่อื วา ฐาน กัมมัฏฐาน มอี ารมณ ๒ อยา ง อารมณก ัมมัฏฐาน อารัมมณิกภาวนากัมมฏั ฐาน อารมณอันเปนทต่ี ัง้ แหง การเจรญิ สมถะ วปิ ส สนา ช่อื วา \"กมั มฏั ฐาน \" ความพยายามทีเ่ กดิ ข้ึนกอ นๆ อนั เปน ท่ีต้ังของความพยายามที่เกดิ ขน้ึ หลังๆ ช่อื วา \"กมั มฏั ฐาน \" ( วจนตั ถะ : กมมฺ สสฺ ฐานํ = กมมฺ ฏฐานํ ) ( วจนัตถะ : กมฺมสสฺ ฐานํ = กมมฺ ฏฐานํ ) สมถะ วปิ สสนา สมถะ วปิ สสนา ทวาร = ใช ตา, กาย, ใจ ทวาร = ใชท้งั ๖ ทวาร ผูรูอ ารมณ = เอกัคคตา ท่ีใน ม.ก.ุ /กิ.๘ ใน ผูรูอารมณ = ปญ ญา มี ๓ ระดับ อารมณ = ๑๐, ๑๐, ๑๐, ๔, ๑, ๑, ๔ อารมณ = รปู นามท่ีเกิดอยใู นภมู ิทั้ง ๓ บรกิ รรมภาวนา, อปุ จารภาวนา รูในรูปนาม รูในไตรลกั ษณ \" เตภมู ิกสังขารธรรม \" เอกคั คตา ทใ่ี น มหคั ค.ก.ุ /ก.ิ ใน ละบัญญัติ ละวปิ ลลาสธรรม รใู นพระนิพพาน มสี ติปฏฐาน ๔ เปนบาทในการเจริญ อัปปนาภาวนา ละกเิ ลส โลกียะ โลกุตตระ
- 14 - 5 พระบาลที ่ี ๒ แสดงสมถกรรมฐาน ๗ หมวด ( น.๒๔ ) \" สมถกมมฺ ฏานํ สงฺคโห กณฺโฑติ = สมถกมมฺ ฏ านสงคฺ โห \" ๖.จตธุ าตุววัตถาน ๑ ๗.อารปุ ป ๔ : ตอนใด เปน ตอนทีแ่ สดงการรวบรวมสมถกรรมฐาน ฉะน้ัน ตอนนน้ั ชื่อวา สมถกรรมฐานสังคหะ การแสดงการรวบรวมสมถกรรมฐาน เมอ่ื วาโดยหมวดมอี ยู ๗ หมวด คอื ( ๑๐, ๑๐, ๑๐, ๔, ๑, ๑, ๔ ) ๑. กสิณ ๑๐ ๒.อสุภ ๑๐ ๓.อนุสสติ ๑๐ ๔.อัปปมัญญา ๔ ๕.อาหาเรปฏิกูลสญั ญา ๑ 5 พระบาลีท่ี ๓ แสดงถงึ จรติ ๖ อยาง ( น.๒๕ ) ( ๒ ) วจนัตถะวา โดย ธมั มาธษิ ฐาน ( ๓ ) วจนัตถะวาโดย ปุคคลาธิษฐาน ( ๑ ) วจนัตถะวาโดย ธมั มาธษิ ฐาน + ราคะ > \" ราคสสฺ จรยิ า = ราคจริยา \" + บุคคล > \" ราคจรยิ า เอตสสฺ อตถฺ ตี ิ = ราคจริโต \" > \" จรณํ ปวตตฺ นํ = จริยา \" โทสะ : ความเกดิ ขึน้ เสมอๆ แหง ราคะ ช่ือวา ราคจรยิ า : ความเกดิ ขนึ้ เสมอๆ แหง ราคะมอี ยูแกบุคคลนนั้ ฉะนนั้ บุคคลนัน้ จงึ ชอ่ื วา : ความเกดิ ขึน้ เสมอๆ ชื่อวา จรยิ า (จริยา / จรติ า ) ในทน่ี ้ี ยงั ไมบ อกวาเปนจรติ ใด โมหะ ในที่น้ี มงุ หมาย \"ชวนะ\" ซึ่งเปนตวั กําหนดจรติ ของเรา \" ราคจรติ า \" ในท่ีนี้ มุงหมาย \"บคุ คล\" ที่เก่ยี วเน่ืองดว ยจรติ ตางๆ ศรัทธา - ถา \"ชวนะ\" น้เี กิดพรอ ม \"ราคะ\" กเ็ รยี กวา \" ราคจรติ \" พุทธิ - ถา \"ชวนะ\" นี้เกดิ พรอม \"โทสะ\" กเ็ รยี กวา \" โทสจริต \" วิตก - ถา \"ชวนะ\" นเี้ กิดพรอม \"โมหะ\" กเ็ รยี กวา \" โมหจรติ \" จริต โดยพสิ ดาร ๖๓ สทุ ธจรติ ๑๔ มสิ สกจริต ๔๙ มลู ะ (ตน ) ๗ เอกมลู ๓ x ๗ = ๒๑ มูลี (ตาม) ๗ เอกมลู ๒๑ ทวิมลู ๒๑ ติมูล ๗ ราคะ ทวิมลู ๓ x ๗ = ๒๑ ศรทั ธา [ มลู (เอกมูล) ๓ x มูลี ๗ ] [ มูล(ทวมิ ูล) ๓ x มลู ี ๗ ] [ มูล(ตมิ ลู ) ๑ x มูลี ๗ ] โทสะ ติมลู ๑ x ๗ = ๗ พทุ ธิ ๑. ราคศรทั ธา ๑. ราคโทสศรัทธา ๑. ราคโทสโมหศรทั ธา โมหะ วิตก ราคโทสะ ศรทั ธาพทุ ธิ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ราคโมหะ ศรทั ธาวติ ก โทสโมหะ พทุ ธวิ ิตก ๒๑. โมหศรัทธาพุทธวิ ติ ก ๒๑. โทสโมหศรัทธาพุทธิวติ ก ๗. ราคโทสโมหศรัทธาพุทธวิ ติ ก ราคโทสโมหะ ศรัทธาพุทธิวติ ก
- 15 - * จรติ ที่เปนสภาคะกนั * ขอ สังเกตในจรติ ตา งๆ ( น. ๒๗ ) ๑) ผมู ี ราคจริต มสี ภาคะ ศรัทธาจรติ * บคุ คลท่ีมีราคจริตขณะทํากศุ ลมีศรทั ธามาก นอกจากพระสัมมาสัมพทุ ธเจา และปรจติ ตวชิ านนอภิญญาลาภี แลว ผทู ี่จะรถู งึ อัธยาศัยจติ ใจของบคุ คลอ่ืน เพราะศรัทธาใกลก ับราคะ อยางจริงจงั โดยแนนอนยอ มไมม ี มีเพยี งสงั เกตดุ ูตามลกั ษณะท่ีมอี ยูภ ายในรางกาย หรือดวงชะตา อกุศล กุศล ( อยากไดใ นกุศลของตน ) หลักทีจ่ ะถึงยดึ ถือเปน เคร่ืองสังเกตจริตตางๆ มี ๕ ประการ ดังนี้ มคี วามใครยนิ ดพี อใจ มคี วามเชือ่ มัน่ ในคณุ ของ ในกามคุณอารมณ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ อริ ยิ าปถโต กจิ จฺ า โภชนา ทสฺสนาทิโต ธมฺมปปฺ วตฺตโิ ต เจว จรยิ าโย วภิ าวเยติ ฯ ๒) ผมู ี โทสจริต มีสภาคะ พทุ ธิจรติ * บคุ คลท่ีมีโทสจริตขณะทํากศุ ลมปี ญญามาก ( มาในวสิ ทุ ธิมรรคอรรถกถา ฉ.วิสทุ ธิมคั ค ปฐมภาค น.๑๐๑ ) เพราะผูม ีโทส.ชอบคน ควา ->ไมใ ชเปนความจริง ผูมพี ทุ ธิ.ชอบคน ควา ->ทเ่ี ปน ความจรงิ บณั ฑติ ท้งั หลายพงึ ทราบ จริตตา งๆ อกุศล กศุ ล โดยอาศัย อริ ยิ าบถ คือ การเดิน ยืน นงั่ นอน ประการหน่ึง มีการประทุษราย มคี วามใครศ ึกษาในธรรม ในอารมณ โดยอาศัย กจิ คอื การงานท่กี ระทํา ประการหน่ึง โดยอาศยั โภชนะ คอื อาหาร ประการหนง่ึ โดยอาศยั ทัศนะเปนตน คือ การดู การฟง การดม การกิน การลบู ไล แตง ตวั ประการหนึ่ง ๓) ผูมี โมหจรติ มีสภาคะ วติ กจรติ * บุคคลทม่ี โี มหจรติ ขณะทาํ กศุ ล วิตกเกดิ มาก โดยอาศยั ความเปน ไปแหงธรรมตางๆ คอื ความประพฤติดีหรอื เลว ประการหน่งึ บุคคลท่มี ีวติ กจรติ ขณะทํากุศล ฟงุ ซา นเกดิ มาก รวมเปน ๕ ประการดังนี้ อกุศล อกุศล มแี ตค วามฟงุ ซา น ตรึกเรอ่ื งตางๆ ไปเรอื่ ยๆ ในอารมณไ มตงั้ ม่ัน ไมมีจดุ มงุ หมาย ในอารมณ * ขอสงั เกตน้ี พระสัมมาสมั พุทธเจา มิไดว างหลกั เกณฑไ ว ท้งั ทา นอรรถกถาจารยท ีเ่ ปน ปฏิสัมภิทาปตตะ ฉฬภญิ ญะเตวิชะ กไ็ มไดวางไวเชน กนั เพียงแต ทานโบราณจารยไ ดวางหลกั ไว เพอื่ สะดวกแกก ารพจิ ารณาทีจ่ ะใหกรรมฐานเทา นนั้
- 16 - วา โดย ราคจรติ ศรทั ธาจรติ โทสจริต พุทธจิ ริต โมหจรติ วิตกจริต อรยิ าบถ เดิน ยืน น่นั นอน มีอาการละมุนละมอ ม อริยาบถ กจิ โภชนะ ทศั นะ เดิน ยนื นั่น นอน ดว ยอาการ อรยิ าบถ กจิ โภชนะ ทัศนะ เดิน ยืน นนั่ นอน ดว ยอาการ อรยิ าบถ กจิ โภชนะ ทัศนะ กิจ โภชนะ มกี ิริยาชดชอยเรียบรอ ยอยูในอาการนา ดู เหมือนกับผมู รี าคจริตทัง้ ส้ิน อันกระดา งรีบรอ น ไมเรียบรอย เหมอื นกับผมู โี ทสจรติ ทัง้ สิ้น เปะปะ เหมอลอย ชอบนอนคว่ํา เหมือนกับผูมีโมหจรติ ท้ังส้ิน ทศั นะ แมถ ูกปลุก ก็คอ ยๆ ลุก ตา งกันเพียง ธรรมปวตั ติ คอื ถูกปลกุ จะลุกขึ้นอยา งผลนุ ผลนั ตางกันเพยี ง ธรรมปวัตติ คือ เมอ่ื ถกู ปลุก จะลกุ ชางัวเงยี ตา งกนั เพียง ธรรมปวัตติ คอื ธรรมปวตั ติ การใหค ําตอบก็เหมือนกบั ไมใ ครเตม็ ใจ เปนผไู มม มี ายาสาไถยมีจิตใจสงู ใหคาํ ตอบคลา ยคนโกรธกนั โกธะ อุปนาหะ มกั ขะเปน ตน กระทาํ การงานอันใด ยอ มทําไปอยา ง ๑. มตุ ฺตจาคตา ทาํ การงานสะอาดแตไ มเ รยี บรอ ย เหลาน้ไี มคอ ยเกดิ คงมแี ตจ ติ ใจ ทําการงานโดยหยาบๆ ไมถี่ถวน ๑. ภสฺสพหุลตา - พดู พรํ่า เรยี บรอ ย แชมชา ไมรบี รอ น - ยอมเสยี สละ และกงั วล สูงตรงขา มกบั ผูม โี ทสจรติ ดังน้ี ไมส ะอาด คั่งคาง ไมเรยี บรอ ย ๒. คณารามตา ชอบอาหารอันละมุนละไม รสอรอย หว งใยในส่งิ ทงั้ ปวง ชอบอาหารหยาบๆ เปร้ียว เค็ม ๑. โสวจสฺสตา ชอบในรสอาหารไมแ นนอน - ชอบคลุกคลกี ับหมูคณะ เมือ่ บรโิ ภคกท็ ําคาํ ขา วใหพอเหมาะ ๒. อรยิ านํ ทสสฺ นกามตา ขม ฝาดจดั เมอ่ื บริโภคทําคําโต - วางา ยในคําสอนท่มี ปี ระโยชน บริโภคคําขาวเลก็ ไมก ลมกลอม ๓. กุสลานุโยเค อรติ ชอบลิม้ รสแปลกๆ รับประทานไมร ีบรอน - ตองการพบเหน็ พระอริยเจา ไมใชน กั ลมิ้ รส รับประทานเร็ว ฟง คําตักเตอื นท่มี ีประโยชน จติ ใจฟงุ ซา น บรโิ ภคอยา งคน - ไมยินดีในบญุ บริจาค รักษา ไดอ าหารที่ถูกปากอยา งเดียวก็พอใจมาก ๓. สทฺธมฺมโสตกุ ามตา อาหารไมถกู ใจนดิ เดยี วก็โกรธได ๒. กลยฺ าณมิตฺตตา ใจลอย ขาวตกเร่ยี ราด ศีล เจริญภาวนา ชอบรูป รส กล่ิน เสยี ง สมั ผสั ทีด่ ที ่ีงาม - ตอ งการฟงพระสัทธรรม เม่อื เห็นรูป รส กลิน่ เสยี ง สมั ผสั - เลอื กคบแตคนดเี ปน เพ่อื น เนือ้ แทเ ปนคนเฉยๆ ซึมๆ ๔. อนวฏ ตกจิ จฺ าตา ติดใจอยใู นคุณภาพแมเ พยี งนิดเดยี วทอี่ ยู ๔. ปาโมชชฺ พหุลตา ท่ีไมดเี พยี งนดิ หนอ ยกห็ งดุ หงดิ โดยไมม กี ารถือชน้ั วรรณะ เมอ่ื มีคนหนุน ชอบคลอยตาม - ชอบพลุกพลา น เปลยี่ นงาน ในสิง่ ท่สี นใจนั้นๆ ไมถ ือสาขอบกพรอ ง - ปรดี าปราโมทยอยางสงู เมื่อ แมมีขอดกี ็ตามที อยากหนีพน ๓. โภชเนมตตฺ ฺตุ า บอยไมมีที่สน้ิ สดุ เล็กนอ ย แมผ านไปแลว กย็ ังตามดตู ามฟง ไดพบเห็นพระอรยิ เจาและ ไมพ ะวงหลงอาลัยตดิ ใจถึงเลย - รูจักประมาณในการรับอาหาร ๕. รตฺติธุมายนา เปน ผูมีจติ ใจต่าํ ปน ไป ดังน้ี ไดฟ งพระสัทธรรมแลว เปนผมู จี ติ ใจต่ําปนไป ดงั น้ี ท่ีเขาใหและในการบรโิ ภค เปน ผมู จี ติ ใจโงเ ขลางมงาย ดังนี้ - กลางคืนชอบคิดวางแผนท่ี ๑. มายา - เจา เลห ๕. อสตา ๑. โกธ - มักโกรธ ๔. สติสมปฺ ชฺ ๑. ถีนมทิ ฺธ ท่ีจะทาํ ในวันถัดไป ๒. เสเยฺย - โออ วด - เปนผูไ มโออ วด ๒. อปุ นาห - ผกู โกรธ - เปน ผมู สี ติสัมปชญั ญะ - งว งเหงาหดหู ไมเขมแขง็ ๖. ทวิ าปชชฺ ลนา ๓. มาน - ถือตัว ๖. อมายาวติ า ๓. มกขฺ - ลบหลูบ ญุ คุณ ๕. ชาครยิ านโุ ยโค ๒. กุกกฺ จุ จฺ - มักราํ คาญ - กลางวนั ลงมือทาํ ตามแผนท่ี ๔. ปาปจ ฺฉตา - ประสงคใ นทางทุจรติ - เปน ผไู มมมี ารยา ๔. ปลาส - ตเี สมอ - หมน่ั ประกอบความเพยี ร มีจิต ๓. วิจกิ ิจฉฺ า - มักลงั เล คดิ ไมร วู า ผดิ หรือถูก ๕. มหจิ ฺฉตา - ชอบใหสรรเสรญิ ๗. ปสาโท ๕. อสิ ฺสา - อิจฉาในคุณ ใจต่ืนอยูเปนนิจในกิจที่ดี ๔. อาทานคาหิตา ๗. หรุ าหุรํธาวนา ๖. อสนตฺ ฏุ ต า - ไมมคี วามพอใจใน - เลอื่ มใสในพระรัตนตรยั ผอู ื่นท่ดี ีกวา ๖. สํเวโค - ยึดม่นั โดยปราศจากเหตุผล - เปน คนเจา ความคิดไปใน เครอ่ื งอปุ โภคบริโภค บดิ า มารดา ครอู าจารย หรือเสมอตน - เบือ่ หนายเหน็ โทษในการเกิด ๕. ทปุ ฺปฏินสิ สฺ คคฺ ติ า เรอ่ื งรอยแปด ทม่ี อี ยู เปน อยา งดี ๖. มจฺฉรยิ - ตระหน่ี แก เจ็บ ตาย - อบรมส่ังสอนปลดเปล้ือง ๗. สงิ คฺ - แงง อน ๗. โยนิโสปานํ ความเห็นผดิ นน้ั ๆ ไดยาก ๘. จาปลยฺ - พถิ พี ิถันกบั ความงาม - หมัน่ ประกอบทาน ศีล ภาวนา เพอ่ื คติท่ดี ีจนถงึ ทีส่ ดุ แหง ทุกข
- 17 - 5 สมฏุ ฐานของจรติ ( น. ๓๓ ) ยกกรณใี สบ าตร บรวิ ารแหงจติ เกดิ แทรก นกึ ถึงกุศลทจ่ี ะกระทําในอนาคต ใสบาตร นึกถึงส่งิ ตางๆ (ความกังวลตา งๆ / จิตไมต้ังม่ัน) ภ น ท ม ช ช ช(๑ช)ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช(ช๒)ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช(๓ช)ช ช ช ภ ... บุพพเจตนา ( จติ ตสังขาร) มญุ จเจตนา อกศุ ล - โลภ โทส โมห มคี วามแรงตามกําลังของกศุ ล ที่ใน ม.ก.ุ ๘ กุศลเจตนา - วติ ก สหชาตกมั ม. สหชาตธรรม - ม.ก.ุ ๘ (ดวงใดดวงหนึง่ ) - เจ.๓๗ (-เจตนา) - กายสจุ รติ + วจสี จุ ริต (กายสงั ขาร, วจีสังขาร ) * ขณะปฏิสนธิในภพใหม วาโดยปฏิจจสมปุ บาท มี ๓ วาโดยปฏฐาน - จติ ตสงั ขาร นานกั ขณกิ กมั ม. พลว. - กายสังขาร ปุญญาภิสงั ขาร ทรุ พล - วจีสังขาร ปฏิ \" กมั มวญิ ญาณ \" วา โดยปคุ คลาธษิ ฐาน เกดิ เปนมนษุ ย วิปากดี / ไมด ี ตามสง ผล ช(๑) + ช(๒) ช(๓) บริวารแหงจิต ถาสง ผลโดยความเปน ปฏ ฐาน = \" ปกตูปนสิ สย. \" (อปุ นิสสยปจจยั ) ตองมกี รรมดีที่เปนพลวปจ จัย แรงพอจงึ นาํ เกดิ มี สงผลใหค วามเปน \" จรติ \" ตา งๆ ตดิ ตัวตงั้ แตเกิดเปน มนุษย ปฏสิ นธิกัมมชรูป (รปู รางสณั ฐานผิวพรรณ เปลีย่ นแปลงไดม ากท่สี ดุ ) มงุ หมายเอาการสง่ั สมของชวนตา งๆ (ช.๑ + ๒ + ๓) ทั้งกศุ ลและอกศุ ล ๑.กุศลทเ่ี กีย่ วเนือ่ งดวย ตัณหา มานะ ทฏิ ฐิ เปนเหตุใหเปนคนมีราคจรติ ในภพตอ ไป ๔. กศุ ลทเ่ี กีย่ วเนอื่ งดว ย กามวติ ก พยาบาทวติ ก วิหิงสาวติ ก เปน เหตุใหเปน คนมวี ติ กจรติ ในภพตอ ไป ๒. กศุ ลทีเ่ ก่ยี วเน่อื งดวย โทสะ อสิ สา มัจฉริยะ กุกกจุ จะ เปน เหตใุ หเปนคนมโี ทสจรติ ในภพตอ ไป ๓. กุศลทเี่ กีย่ วเน่ืองดว ย โมหะ วจิ ิกจิ ฉา อุทธจั จะ เปนเหตุใหเปนคนมโี มหจรติ ในภพตอไป ๕. กุศลทีเ่ ก่ียวเนื่องดว ย ศรัทธา เปนเหตุใหเ ปน คนมีศรทั ธาจริตในภพตอ ไป ๖. กศุ ลที่เกีย่ วเน่ืองดวย ปญ ญาตางๆ เปนเหตุใหเ ปน คนมพี ุทธจิ ริตในภพตอ ไป
5 การเปลีย่ นจรติ - 18 - อดีต ปจจุบัน อนาคต - การสั่งสมของกุศลและอกศุ ลชวนะอยบู อยๆ - จริตไดรับจากอดตี ( มี จริตโดยพิสดาร ถงึ ๖๓ ) จริตในอนาคตน้ี กเ็ ปน จรติ ทรี่ ับจากอดตี ทัง้ หมด * ถา อดีตแรงกวาปจจุบนั (ดี / ไมดี ) จรติ ในอนาคตนี้ ก็เปนมโี อกาสเปลยี่ นได - ถาอดตี มี ราคะ, โทสะ, โมหะ, วติ ก * ถา ปจ จุบนั แรงกวาอดีต (ดี / ไมด ี ) - ถาอดีตมี ศรทั ธาแรง ก็จะสง ใหเ ปนผูมีราคะ,โทสะ,โมหะ, วิตก ในอนาคต เชน อดีตมีโทสจรติ แตในปจจุบันมีศรัทธาจริตแรง ก็จะสง ใหเปน ผูมีศรทั ธาจรติ ในอนาคต - สง ผลมาในปจ จบุ ัน กจ็ ะสง ใหเปน ผูมจี ริตที่เปล่ียนใหม ในอนาคต * ถายอมรบั ไมท าํ อะไรใหเ ปลีย่ นแปลง เชน ไมท ําการขม ราคะ, โทสะ,โมหะ, วติ ก เลย - กจ็ ะเปน ผมู ศี รัทธาจริตในภพน้ี * ถา รกั ษา ศรทั ธาจรติ ในภพนี้ * ถาไมรกั ษา ศรทั ธาจรติ ในภพนี้ สัททารมณ ๑. เจตนาทอ่ี ยใู นโทส เปน สง ผลใหอ ยูในอบายภมู ิ กรรมใหม ภ ตี น ท ป โสต สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ...ภ ชชชชชชช อดตี โสตปสาท เปน ผูมีโทสชวนะ เสยี งกระทบนดิ เดียว โทสชวนะ เกิด โทสชวนะ ของเกา มาสงผลเปนโทสใหมใ นปจจบุ ันภพ ๒. โทสชวนะทสี่ งผลในอนาคต สง ผลใหเปนโทสจรติ
- 19 - 5 พระบาลีที่ ๔ แสดงถงึ ภาวนา ๓ ( น.๒, ๓๖ ) บริกรรมภาวนา, อุปจารภาวนา, อปั ปนาภาวนา = อารัมมณิก 5 พระบาลีท่ี ๕ แสดงถึงนมิ ติ ๓ ( น.๒, ๓๗ ) บริกรรมนิมติ , อุคคหนมิ ติ , ปฏภิ าคนมิ ิต = อารมณ เพงองคก สิณ บรกิ รรมนมิ ติ อคุ คหนมิ ติ ปฏิภาคนมิ ิต องคฌ าน ๕ ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ...ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ...ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ...ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ปฐมฌาน ก.ุ / กิ. จกั ขปุ สาท เอกัค. ม.ก.ุ ๘/ก.ิ ๘ เอกัค. ม.ก.ุ ๘/กิ.๘ เอกัค. ม.ก.ุ ๘/กิ.๘ ม.กุ.สํ.๔/ก.ิ สํ.๔ อปั ปนาภาวนา บริกรรมภาวนา อุปจารภาวนา (ปหานกเิ ลสไดเปน วิกขมั ภนปหาน) (ปหานกิเลสไดเปน ตทังคปหาน) [ ทั้งสองชวงน้เี รยี กวา \" บริกรรมภาวนา \" แตเ มือ่ มีกําลงั มากขึน้ จึงเรียกใหมวา \" อุปจารภาวนา \" เชน ตณั หาเมือ่ มกี าํ ลงั มากขนึ้ เรียกวา กามุปาทาน ] * บริกรรม > มหากุ. / ก.ิ ทีเ่ กดิ กอนๆ นบั ต้งั แตเรม่ิ ตน เจรญิ กรรมฐานใหมๆ จนกระทงั่ จรดขอบเขต * อปั ปนา มหัคคตจติ + โลกุตตร. + เจตสกิ (วิตก) แหงอุคคหนิมติ เรยี กวา \" บรกิ รรม \" ๑. เรยี กโดย จติ > วถิ ีจิตอันใด ยอ มจัดแจงปรงุ แตงอปั ปนา หรือเปน เหตุแหงการเจริญกรรมฐานเบ้อื งตน วติ กเจตสิก เรียกวา สัมปยุตตธรรมเปน ช่ือของ เรียกวา \" บรกิ รรม \" อัปปนาโดยออ ม ตามนัยอวยวปู จารนัย หมายความวา วถิ ี เปน ชือ่ ของ ยกช่อื ของวติ กข้นึ มาตัง้ ไวในธรรมท่ปี ระกอบกันกับวติ ก > วถิ จี ติ อนั ใด ยอ มจัดแจงปรุงแตง อปั ปนา หรอื เปนเหตุแหงการเจริญกรรมฐานเบือ้ งตนน้ี อปั ปนาโดยตรง ๒. บริกรรมภาวนา พระโยคบี ุคคลควรกระทาํ ใหเกิดขนึ้ ตดิ ตอ กันอยูเร่ือยๆ และทวีมากขึ้นตามลาํ ดบั อัปปนามี ๒ ฝา ย ฉะนั้น วถิ ีจติ นั้น เรยี กวา \" บริกรรมภาวนา \" * อุปจาร > มหาก.ุ / กิ. ทีเ่ กิดขึน้ ใกลักนั กบั อปั ปนาฌาน ชอื่ วา \" อุปจาร \" โลกยี ะ โลกุตตระ > วิถจี ิตใดทีเ่ กดิ ใกลเคียงกนั กับขอบเขตของอปั ปนาฌาน วถิ ีจิตนัน้ ช่ือวา \" อุปจาร \" - มหคั คต + เจตสกิ (วิตก) - โลกตุ ตร. + เจตสกิ (วิตก) ๑. เรียกโดย จิต > วถิ ีจติ ใดท่ีเกดิ ใกลเคียงกันกับขอบเขตของอัปปนาฌาน ท่ีช่อื วา อปุ จารนแ้ี หละ - วิตกเปน ฌานปจ จัย - วิตกเปนฌานปจจัย + มคั คปจจยั พระโยคบี คุ คลควรกระทําใหเกิดข้ึนตดิ ตอกนั อยเู ร่ือยๆ และทวีมากขึ้นตามลําดับ - บคุ คล = ฌานลาภบี คุ คล - บคุ คล = พระอรยิ บคุ คล วิถี ฉะนั้น วถิ ีจิตน้นั เรยี กวา \" อปุ จารภาวนา \" - เขาฌานสมาบตั ิได - เขา ผลสมาบตั ิได หรอื เขา ฌานสมาบตั กิ ็ได ถาเคยเจริญสมถกรรมฐานมากอน ๒. อุปจารภาวนา
- 20 - 5 พระบาลที ี่ ๕ แสดงถงึ นมิ ิต ๓ ( น.๒, ๓๘ ) บรกิ รรมนมิ ิต, อคุ คหนมิ ิต, ปฏภิ าคนมิ ิต = อารมณ ธรรมทค่ี วรเจริญใหเ กดิ ขึน้ บอ ยๆ ภาวนา ๓ นิมติ ๓ ธรรมทีพ่ ึงรูโดยจติ และเจตสกิ ทเ่ี ปนอารมั มณิกธรรม ในสันดานของตน (ผูรูอารมณ) ๑.บริกรรมภาวนา ( ม.กุ.๘/กิ.๘ ) ๑.บรกิ รรมนิมติ ฉะนน้ั ธรรมนั้นคือ นมิ ติ ไดแ ก อารมณ (ถกู รู) เปนอารมณของบรกิ รรมภาวนา ( ๓ ทาง คอื รปู ารมณ, โผฏฐพั พารมณ, ธัมมารมณ ) - รูปารมณ ๒๐ = กสณิ ๑๐ อสภุ ๑๐ กรรมฐาน ๔๐ มโนทวารวถิ ี - โผฏฐพั พารมณ ๒ = วาโยกสิณ (รูทางตา+กาย) , อานาปา. ( นับวาโย รวมอยใู น - ธัมมารมณ ๑๙ = อนสุ ติ ๙ (อานาปา.) อปั .๔, อาหาร.๑, จตธุ าตุ.๑, อารุปป.๔ กสิณ๑๐ แลว ) ๒.อปุ จารภาวนา ๒.อุคคหนิมิต อารมณใ ดท่ีพงึ ยดึ แลว โดย มโนทวารกิ กุศล และกริ ยิ าชวน ฉะนนั้ อารมณนนั้ ช่อื วา อุคคหนิมติ ( ม.กุ.๘/กิ.๘, ม.กุ./กิ.สํ.๔ ) ๓.ปฏิภาคนิมติ มโนทวารวิถี + ฌานวถิ ี อารมณก รรมฐานท่มี สี ภาพคลายกันกับอุคคหนมิ ติ ชือ่ วา ปฏิภาคนมิ ติ ๓.อปั ปนาภาวนา ฌานวถิ ี ( แตมีภาพใสกวา เพราะ กาํ ลงั สมาธมิ ีมากกวา ) ( ปฐม.กุ./ก.ิ ๑ ) 5 ความเหมือนกันของ บริกรรมนมิ ติ กบั อุคคหนิมติ 5 ความเหมอื นกันของ อุคคหนมิ ติ กับปฏิภาคนมิ ติ ๑) มรี ปู รา งสัณฐานขององคก รรมฐานเหมอื นกัน ๑) เกิดทางมโนทวารทง้ั ๒ ๒) อยใู นขอบเขตของบรกิ รรมภาวนา คือ ม.กุ.๘ หรอื ม.ก.ิ ๘ ๒) เปน ภาพบัญญตั เิ หมือนกนั 5 ความตางกันของ บรกิ รรมนมิ ิต กับอคุ คหนมิ ติ 5 ความตางกนั ของ อคุ คหนิมติ กบั ปฏภิ าคนิมิต อุคคหนิมติ บรกิ รรมนิมติ อคุ คหนมิ ติ ปฏภิ าคนมิ ิต ๑) มรี ปู รา งสณั ฐานเหมอื นองคกรรมฐาน ๑) เกิดทางมโนทวาร ๑) เกิดทางจักขุทวาร ๑) เกิดทางมโนทวาร ๒) อยูในขอบเขตของบริกรรมภาวนา ๒) อยใู นขอบเขตของอปุ จารภาวนาและอปั ปนาภาวนา ๓) กําลงั สมาธิมีเพียง ม.กุ.๘ / ม.กิ.๘ ๓) กาํ ลังสมาธมิ ตี ัง้ แต ม.ก.ุ ๘ / ม.ก.ิ ๘ จนเขา ถงึ ๒) มีสภาวปรมัตถปรากฏขณะทาํ การเพง ๒) เปน อดีตอารมณที่เปน บญั ญตั เิ ทา นั้น ๔) ยังหา งไกลฌาน ม.ก.ุ สํ.๔ / ม.ก.ิ สํ.๔ จนเขา ถึง มหคั คตกุ. / กิ. อนั เปนปจจุบันอารมณ แตไ มใ สใจ แตกลบั พจิ ารณา ๕) ยงั ไมค วรขยายนมิ ติ เพราะ ๔) เขา ไปเฉยี ดฌาน จนไดฌาน ๕) ควรขยายนิมิตเพ่ือเปนบาทใหถงึ ฌาน โดย สสมั ภาระ คือ พิจารณารปู รางสณั ฐานขององค อาจทาํ ใหนิมติ เสือ่ ม ๖) ยงั ตดั สินไมไ ดว า เปนตเิ หตุกบุคคล ๖) ตดั สนิ ไดวา เปนติเหตกุ บคุ คล กรรมฐานทีเ่ ปน บญั ญตั ิ
- 21 - 5 บาลที ี่ ๖ กสิณ ๑๐ ( น. ๒ ) 5 ขั้นตอนการเจรญิ สมาธเิ พือ่ ใหเ ขาถงึ \" ฌาน \" พงึ ทราบสมถกรรมฐาน มกี สิณ ๑๐ ๑) บุพพกจิ เบ้ืองตนในการเจริญกรรมฐาน ๑) ปถวกี สิณ ดนิ ที่พึงกระทาํ ใหเปนวงกลม มปี ระมาณ ๑ คบื ๔ นิ้ว หรือเทาขนั น้ํา ๑.๑ การแสวงหาอมตธรรม ๑.๒ บุพพกิจ ๗ ขอ เทา กระดงอยา งเลก็ หรืออยางใหญเทา ลานขาว ๒) อาโปกสณิ น้ําท่มี ีความใสสะอาดปราศจากสีใสภ าชนะมี ขัน บาตร เปน ตน ท่ีขอบปากกวา ง ๒) ขั้นตอนการเจรญิ ใหส าํ เรจ็ ในปฐมฌาน ๒.๑ วิธจี ดั ทําองคก รรมฐาน และวธิ ีในการเพง มปี ระมาณ ๑ คืบ ๔ นว้ิ ๒.๒ วธิ ีปองกันอุปสรรคทางใจ ในระหวา งทอ่ี ุคคหนมิ ติ ยงั ไมป รากฏ ๓) เตโชกสิณ เปลวไฟทกี่ องกณู ฑไ วแ ลว เอาแผนหนงั หรอื ผาก็ตามเจาะใหเปน วงกลม ๒.๓ วิธีปฏบิ ัตเิ ม่ือ อคุ คหนิมติ ปรากฏ ๒.๔ วิธปี ฏิบตั ิเมือ่ ปฏภิ าคนิมติ ปรากฏ มปี ระมาณ ๑ คบื ๔ น้ิว ๒.๕ วิธีในการรักษา ปฏภิ าคนิมติ - เสพสัปปายะ เวน จาก อสปั ปายะ ๔) วาโยกสณิ ลมทีพ่ งึ กาํ หนดเห็นไดด วยอาศยั ยอดไม ปลายไมไ หว หรอื ท่พี ึงกาํ หนดไดด ว ย ๒.๖ วิธีการเจริญอัปปนาโกศล ๑๐ ๒.๗ การขยายปฏภิ าคนมิ ิต อาศัยการพัดถูกกายของตน ๒.๘ ปฐมฌานเกิด ๕) นีลกสณิ สเี ขียวทีป่ รากฏในใบไม หรอื ในผาเปน ตน ทีก่ ระทาํ ใหเปนวงกลม ๓) ขน้ั ตอนปฏิบัตเิ พือ่ ใหไ ด ฌานสูงขนึ้ มปี ระมาณ ๑ คืบ ๔ นิ้ว ๓.๑ ฝกปฐมฌานกศุ ล ชวนะ เปน เวลา ๑ - ๗ วนั เพ่ือเปนบาทของวสี ๖) ปตกสณิ สีเหลืองที่ปรากฏในดอกไม หรอื ในผา เปน ตน ทก่ี ระทาํ ใหเปนวงกลม ๓.๒ ฝก วสี ๕ เพ่ือเปน บาทให ฌานสูงขึ้น มปี ระมาณ ๑ คืบ ๔ น้วิ การแสวงหาอมตธรรม มอี ยู ๒ อยาง คือ ๗) โลหติ กสิณ สีแดงทปี่ รากฏในดอกไม หรือในผาเปน ตน ทก่ี ระทาํ ใหเ ปนวงกลม ๑) ทางตรง ไดแ ก การเจริญวิปส สนาตามแนวสติปฏฐาน ๔ ๒) ทางออ ม ไดแ ก การเจริญสมถภาวนากอ น ตอ เม่อื ไดสําเร็จเปน มีประมาณ ๑ คืบ ๔ นว้ิ ณานลาภีบุคคลแลว จงึ จะเจรญิ วิปส สนาตอไป ๘) โอทาตกสิณ สขี าวทปี่ รากฏในดอกไม หรือในผาเปนตน ที่กระทาํ ใหเ ปนวงกลม มีประมาณ ๑ คบื ๔ นวิ้ ๙) อากาสกสณิ อากาศที่พึงกาํ หนดไดโดยการตัดชอ งฝา หรอื ผา เปนตน ทก่ี ระทําใหเ ปนวงกลม มปี ระมาณ ๑ คืบ ๔ นว้ิ ๑๐) อาโลกกสิณ แสงสวางของดวงอาทติ ย ดวงจนั ทร และดวงไฟ เปนตน ที่สองมาจากชองฝาเปนวงกลม มีประมาณ ๑ คบื ๔ น้ิว
- 22 - ๑.๑ การแสวงหา \" อมตธรรม \" ทางตรง ไดแก การเจริญวิปสสนาตามแนวสตปิ ฏ ฐาน ๔ ( น. ๔๑ ) วน ๓ รอบ ในสัจจ ๔ ดวย อาการ ๑๒ ญาณ ๑๖ วิสุทธิ โพธิปกขิยธรรม ๓๗ ๑๖) ปจจเวกขณญาณ อรยิ สจั จะ ๔ ๓. กตญาณ กิจทรี่ แู ลว ทง้ั ๔ กิจ ๑๕) ผลญาณ ๑๔) มคั คญาณ ญาณทัสสนวสิ ุทธิ อรยิ มรรคมีองค ๘ > ปญญา, วติ ก, วริ ตี ๓, วิริยะ, สต,ิ สมาธิ ๑๓) โคตรภูญาณ ๑๒) ๑๐. อนโุ ลมญาณ ปลาย วฏุ ฐานคามนิ ี โพชฌงค ๗ > วริ ิยะ, สติ, สมาธิ, ปต,ิ ปส สัทธิ, อุเบกขา, ธมั มวจิ ย (ปญ ญา) ๑๑) ๙. สงั ขารุเปกขาญาณ ตน ๒. กจิ จญาณ ๑๐) ๘. ปฏสิ ังขาญาณ กจิ ท้งั ๔ คือ อริยสจั จ ๔ วิปสสนาญาณ ๑๐ ๙) ๗. มุญจิตกุ มั ยตาญาณ ปฏิปทาญาณทัสสนวสิ ุทธิ พละ ๕ > สัทธา, วิรยิ ะ, สต,ิ สมาธ,ิ ปญญา ตองปฏบิ ัติ คอื วิปสสนาญาณ ๙ ๘) ๖. นพิ พทิ าญาณ อินทรีย ๕ > สัทธา, วริ ิยะ, สต,ิ สมาธ,ิ ปญ ญา อิทธิบาท ๔ > ฉันทะ, วริ ยิ ะ, จิตต, วิมงั สา (ปญ ญา) ทกุ ข --> กิจควรกําหนด ๗) ๕. อาทีนวญาณ สัมมปั ปธาน ๔ > วิรยิ ะ (๔) สมทุ ัย --> กจิ ควรละ ๖) ๔. ภยตุปฏ ฐานญาณ นิโรธ --> กิจควรใหแจง ๕) ๓. ภงั คานุปสสนาญาณ มัคค --> กจิ ควรใหเ จริญ พลว ๔) ๒. อุทยัพพยญาณ ตรุณ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสทุ ธิ ๓) ๑. สัมมสนญาณ ๒) ปจ จยปริคคหญาณ กงั ขาวิตรณวสิ ทุ ธิ ๑) นามรูปปริจเฉทญาณ ทฏิ ฐิวสิ ุทธิ ๑.สจั จญาณ วิปสสนาภมู ิ ๖ นามรูปในสติปฏฐาน ๔ ปจ จบุ ันธรรม สติปฏ ฐาน ๔ > สติ (๔) ปญ ญาท่รี คู วามจรงิ จากการศึกษา โยนโิ ส (อาศัยความขา ใจในสภาวะรปู นามอยา งดี ) กาย เวทนา จิตต ธมั ม โยคาวจร สิกขติ ( สังเกตุเพอ่ื ไมใหต กจากกระแสปจจบุ ัน ) ตณั หาจริต ทฏิ ฐิจรติ ( อาตาป สตมิ า สัมปชาโน ) > จาํ แนก อธ. ๑๔ โดยฐานของโพธิปก ขิยธรรม ๓๗ > วิปสสนาญาณ ๑๐ เร่ิมที่ สมั มสนญาณ - อนุโลมญาณ พดู ถงึ ไตรลกั ษณ เปน อารมณ ๑.วิตก ๒.ปส สทั ธิ ๓.ปต ิ ๔.อุเบกขา ๕.ฉันทะ ๖.จติ ต ๗.วิรต๓ี อธ.๙ มอี ยา งละ ๑ ฐาน > วิปส สนาญาณ ๙ เริม่ ที่ อทุ ยพั พยญาณ - อนโุ ลมญาณ พดู ถึงรูปนามและไตรลกั ษณ ๑๐.วิริยะ มี ๙ ฐาน ๑๑.สติ มี ๘ ฐาน ๑๒.สมาธิ มี ๔ ฐาน ( นามรปู ปรจิ .+ปจจยปริคคห.+สัมมสนญาณ ) ท่อี ยใู นอุทยพั พยญาณ ๑๓.ปญ ญา มี ๕ ฐาน ๑๔.สทั ธา มี ๒ ฐาน
- 23 - ๑.๒ บพุ พกิจ ๗ อยาง ( น. ๔๑ ) ๔) ทําการศกึ ษาอบรมในกรรมฐานท่ีเหมาะสมกบั จรติ ของตน ซง่ึ เปน สว นหนึง่ ของปรยิ ตั ิ ท่เี นยยบคุ คลทงั้ หลายจะเวนเสียมิได ๑) ตงั้ ตนอยูในศีล ( ๕, ๘, ๑๐, ๒๒๗ ) = ศีลวิสทุ ธิ ๑. ปาฏิโมกขสังวรศลี - การหามกระทาํ ๕) เวนจากสถานท่ีทเี่ ปน โทษแกการปฏบิ ตั ิ ๑๘ ขอ ๒. อนิ ทรยิ สังวรศีล - การสาํ รวมอินทรยี ๖) อยใู นสถานท่ที ี่สะดวกสบายแกก ารปฏบิ ตั ิ ๕ ประการ ๓. อาชวี ปาริสทุ ธศิ ลี - การทําอาชพี อันบริสุทธ์ิ ๗) ตดั ขุททกปลโิ พธ เคร่อื งกังวลเลก็ ๆ นอยๆ แลวลงมือปฏบิ ัติ ๔. ปจ จยสันนิสสิตศีล - ตวั ปญ ญา พิจารณาปจจัย ๔ กอนการบรโิ ภค ๒) มหาปลโิ พธ ๑๐ ประการ ๓) แสวงหากัลยาณมติ ร ๒) ขน้ั ตอนการเจริญใหส ําเร็จในปฐมฌาน (น. ๔๗ ) ๑. จดั ทาํ องคกรรมฐาน ๑) เปนติเหตุกบุคคล ๒) อาศัยบุญบารมีในกาลกอน วิธกี ารเพง บรกิ รรมนิมติ อคุ คหนิมติ ปรากฏ ปฏภิ าคนมิ ติ ปรากฏ ๓) อาศยั ความแกกลา อินทรีย ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ...ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ...ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ...ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ม.ก.ุ ๘ ๒. วธิ ีปอ งกนั อปุ สรรคทางใจ ๓. วธิ ีการปฏบิ ตั ิเมอื่ ๔.วธิ ีปฏิบตั ิเมื่อปฏิภาคนิมติ ปรากฏ จักขุปสาท ขณะทีอ่ คุ คหนมิ ติ ยังไมปรากฏ อุคคหนมิ ติ ปรากฏแลว ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ...ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ...ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ปฐมฌาน ก.ุ / กิ. ม.กุ.ส.ํ ๔/กิ.ส.ํ ๔ ๕. รักษาปฏภิ าคนิมิต ๖. เจริญอัปปนาโกศล ๑๐ ๗. หลังทาํ อัปปนาโกศลแลว ทาํ การขยายปฏภิ าค ๘. ปฐมฌานปรากฏ - เสพสปั ปายะ ถายังไมสาํ เรจ็ จงึ เรมิ่ ทําขัน้ นี้ เพือ่ เปนบาทใหเ ขา ถงึ ปฐมฌาน - เวนจากอสปั ปายะ - พระโยคีบุคคลบางทาน สาํ เร็จในปฐมฌาน
- 24 - ขนั้ ตอน ๒.๑ การจดั องคกรรมฐาน (ยก ปถวีกสณิ ) ขัน้ ตอน ๒.๒ วธิ ปี อ งกันอุปสรรคทางใจ ในระหวา งทอ่ี ุคคหนมิ ติ ยงั ไมป รากฏ ๑) จดั หาดนิ ท่ีมีสีอรุณ (สีสมออ นๆ ) มคี วามเหนียวพอประมาณ ๑) เกดิ จากสภาพภายนอกทเี่ รียกวา \" กสณิ โทษ \" มงุ หมายผูป ฏบิ ตั ใิ หม เพราะเพื่อใหจ ิตใจเกดิ ความปติ และปอ งกนั การเพงวณั ณกสณิ (สตี างๆ ) ๒) ทําความสะอาดขจดั สิ่งสกปรก เชน เปลือกไม เศษหนิ ฯลฯ ออกใหหมด > การจัดทาํ องคกรรมฐานไมส ะอาด มเี ศษหนิ เปลอื กไมต ดิ อยู ๓) ใชน้าํ ขยําใหไดข นาด ๑ คบื ๔ องคุลี เพราะผปู ฏบิ ัติใชในการเพง แลว ไดผลมากทส่ี ดุ > วัสดุอปุ กรณข นาดขององคก รรมฐานไมไดมาตรฐาน ๔) หากตองการลดขนาดลง กล็ ดลงไดอ กี ๒ - ๔ องคุลกี ็ได ( นิมิตเกิดงายแตก็เสือ่ มงายดวย ) > สถานท่ีไมเ ออื้ อํานวยตอการปฏบิ ัติ หากตอ งการเพ่ิมขนาดลง กเ็ พ่ิมไดอ ีก ๔ - ๘ องคลุ กี ็ได ( นมิ ติ เกิดยากแตกเ็ ส่ือมยาก ) ๒) เกิดจากสภาพภายในของผปู ฏบิ ตั ิ ๕) ใชส ีเขียวหรอื ขาวทาที่ขอบขนาด ๑/๔ นวิ้ ทาสเี ขียว/ขาว > เกิดความเบ่ือหนา ยในการปฏบิ ัตทิ าํ ใหร างกายเมอ่ื ยลา ถามสี ง่ิ เหลา นี้เกิดขึ้นใหพ ิจารณา ๖) ใหทําความเคารพและทําความสะอาดเชนเดียว สอี รุณ ทีข่ อบขนาด ๑ คืบ ๔ องคุลี เนอ่ื งจากมี อทุ ธัจจ กกุ กจุ จ เกิดขน้ึ ถงึ ความตายวาถา ตายกอ นกไ็ มมโี อกาส > มีวริ ิยะออน ปฏิบตั ิแบบนอี้ ีกแลว ถาเกดิ ลงอบาย ๑/๔ น้วิ > สมาธิตก กย็ ิ่งหมดโอกาสนานยิง่ ขึ้นไปอกี กบั พระพุทธรูป ( เสมือนหนงึ่ เปน ครู ) ๗) วิธปี ฏบิ ตั ิ ๓) ปจจยั ที่เปนสาระสาํ คญั ที่ทาํ ใหผ ปู ฏิบัติไมมีโอกาสสําเร็จสมถกรรมฐานไดเลย ๑ เปนผูม นี ยิ ตมิจฉาทิฏฐิ - หาสถานทเี่ งียบสงัด มคี วามสะดวกสบาย ๒ เปนผูท าํ อนนั ตรยิ กรรม ๓ เปน ผวู า รา ยพระอรยิ ะ - ตัง้ องคกรรมฐานไมใหสงู หรือตาํ่ กวา สายตา (ในอาการทา นง่ั ) ๔ เปนผปู ฏสิ นธดิ วยอเหตกุ หรอื ทวิปฏิสนธิ ๕ เปน ผหู มกมนุ ในกามคุณอารมณ ยินดพี อใจในอารมณท ้งั ๖ เหลา นน้ั - ผปู ฏบิ ัตใิ หอยหู างจากองคกรรมฐานภายในหัตถบาท ( ๒ ศอก ๑ คืบ ) ๘) ตองปรารภถงึ การไดมาซึง่ ฌาน พรอมการอธษิ ฐานจติ ใหผลสําเร็จของการปฏบิ ัตคิ รั้งนี้ ๙) ใหร ะลกึ ถึงคุณพระรตั นตรยั และแผเมตตา ใหกับสรรพสตั วท้งั หลาย ๑๐) กระทําอญั ชลกี รรม เริม่ เพงองคก รรมฐาน ( วางตาสบายๆ อยา เพงแบบจองหรีต่ า / เบิ่งตา ) พรอ มทัง้ บรกิ รรม \"ปถวๆี ๆๆๆ \" อารมณเปน เอกัคคตา ขน้ั ตอน ๒.๓ วิธปี ฏิบัติเมอ่ื อคุ คหนมิ ิตปรากฏ ( น. ๕๑ ) ๑) ผปู ฏบิ ตั ิพงึ ทราบวา ตนไดอ คุ คหนิมติ แลว เพราะเปนภาพปรากฏทางใจ *ขอ หาม ๑. ไมใ หเพง โดยความเปน สภาวะปถวี ๒) ไมค วรขยายในอคุ คหนมิ ิต เพราะนิวรณธรรมยงั ไมส งบ กําลังสมาธกิ ็ยังไมแขง็ แกรง ๒. แตใหเ พง โดยสณั ฐานขององคป ถวี และเพงใหท่วั ๆ ในองคก รรมฐาน ไมใ หเพงสว นใดสวนหนึง่ หากขยายจะทาํ ใหน มิ ติ เสื่อมได ไมใหเพงโดยความเปนวณั ณกสิณ ๓) หากนมิ ติ เสอ่ื มตองเริ่มตนใหม ๔) ควรเพงอุคคหนมิ ติ ไวเพยี งอยางเดียว เพื่อเปน บาทใหค ุณภาพของนมิ ติ ใส เขา ถึงปฏิภาคนิมิต
- 25 - ข้นั ตอน ๒.๔ วิธปี ฏบิ ตั เิ มอ่ื ปฏิภาคนมิ ติ ปรากฏ ( น.๕๒ ) - กถาวัตถุ ๑๐ ประกอบดว ย ๑) ผปู ฏิบตั ิพึงรูว าปฏิภาคนมิ ิตปรากฏแลว เพราะเปน ภาพทใี่ สขึ้น ๒) ผปู ฏบิ ตั ิเร่มิ เขา ขอบเขตแหงอุปจารภาวนา ๑.อปจ ฉฺ ตากถํ - พูดเรื่องความมักนอ ย ๓) ไมค วรขยายในปฏิภาคนิมติ ทนั ที เพราะยังอยูในขอบเขตเบื้องตนของอปุ จาร กําลังสมาธิยงั ไมม ่ันคง ๔) ใหเ พง ปฏภิ าคนิมิตไว ๒.สนตฺ ฏุ กถํ - พูดเรอ่ื งความสนั โดษ ข้ันตอน ๒.๕ วธิ ีการรกั ษาปฏิภาคนมิ ิต ( น.๕๔ ) ๓.ปรเิ วกกถํ - พดู เรื่องความสงัด ๑) เสพสัปปายะ ๗ ๑. อาวาส ทอี่ ยูอาศัย / ทีป่ ฏบิ ตั ิ ข้นึ กบั อธั ยาศยั ของแตละบคุ คล ๔.อสสํ คคฺ กถํ - พดู เรือ่ งความไมคลกุ คลีดวยหมู ๒. โคจร หมูบ านทต่ี อ งไปรับอาหาร หรือบณิ ฑบาต - อยูทางทศิ ตะวันตก และตะวนั ออก เปน อสปั ปายะ ( แดดสอ งหนา นิมิตหายได ) ๕.วริ ยิ ารมภฺ กถํ - พดู เร่ืองการปรารภความเพยี ร ถา อยูทางทศิ เหนือ และใต เปนสปั ปายะ ไมมีแสงแดดสองรบกวนตา - ระยะทาง > ๑ โกสะครงึ่ = ๓ ไมล / ๕ กโิ ลเมตร เปนอสัปปายะ ไกลไป ๖.สลี กถํ - พดู เรอื่ งศีล ถานอ ยกวาเปน สปั ปายะ เดนิ ทางไมเ หน่อื ย - เขา ไปแลวไดร บั อาหารไมเพียงพอเปน อสัปปายะ ถาเพียงพอเปนสัปปายะ ๗.สมาธกิ ถํ - พดู เรื่องสมาธิ ๓. ภัสสะ - ดริ จั ฉานกถา ๓๒ เปนอสัปปายะ (คาํ พดู ) เปน ประโยชนทางโลก ไมเปนประโยชนท างธรรม เชน พดู แตเรอื่ งราวผูอ น่ื ๘.ปฺากถํ - พูดเร่ืองปญ ญา - วคิ คาหิกกถา เปน อสัปปายะ ไมเ ปนประโยชนทั้งทางโลกและทางธรรม สว นใหญเ ปน คาํ พดู ขม เหงกัน ๙.วิมตุ ตฺ ิกถํ - พูดเรอื่ งอรหตั ตผล ทาํ ลายกนั แกงแยง กนั - ภสั สสัปปายะ คําพดู ใน กถาวตั ถุ ๑๐ ๑๐.วิมุตฺติ าณทสฺสนกถํ - ปจ จเวกขณญาณ ท่เี กีย่ วกับอรหัตตผล และนิพพาน แมจ ะเปน ถอยคําที่ไมข ดั กบั มรรค ผล นิพพาน แตป ระการใดกจ็ ริง ผปู ฏิบัติก็ไมควรพูดมาก ใหพ ูดพอประมาณ เพ่อื จะไดรกั ษาสมาธิ และ ๔. บคุ คล - ปคุ คลอสัปปายะ บุคคลท่ีไมสมควรเขาไปสนทนาในขณะปฏิบัติ ปฏภิ าคนิมิตไว ทา นอรรถกถาจารย ไดกลา ววา ตมฺป มตฺตาย ภาสิตพพฺ ํ แมเปน กถาวัตถุ ๑๐ ก็ตามจงพดู แตเพยี งพอประมาณ อยาใหม ากเกนิ ไป ๕. โภชนะ ๑. กายทฬหฺ ีพหุโล - บุคคลท่ีปกตชิ อบบํารุงประคบประหงมตบแตง รา งกาย ๖. อตุ ุ ๗. อิรยิ าบถ ๒. ตริ จฉฺ านกถิโก - บคุ คลท่ปี กติชอบพดู แตในดิรจั ฉานกถา ๓๒ - ปุคคลสัปปายะ บุคคลทส่ี มควรเขา ไปสนทนาในขณะปฏิบัติ ๑. อตริ จฺฉานกถิโก - บคุ คลท่ปี กตไิ มใครค ุยในเรือ่ งดิรจั ฉานกถา ๒. สลี าทิคุณสมปฺ นโฺ น - บคุ คลที่ถงึ พรอ มดวย ศีลคุณ สมาธคิ ุณ ปญ ญาคณุ ขึ้นกบั อัธยาศัยของแตละบคุ คล - อาหารทีท่ านแลว ชมุ ชนื่ ผาสกุ ใจ ทําใหจิตใจมน่ั คงถาวร เปน สัปปายะ - อาหารทีท่ านแลว ไมมีความชมุ ช่ืนผาสุกใจ จติ ใจไมมนั่ คงถาวร เปน อสปั ปายะ ขนึ้ กบั อธั ยาศยั ของแตละบุคคล - อากาศทีไ่ มสบายในขณะที่กาํ ลงั ปฏิบัติอยูนัน้ เปน อสัปปายะ - อากาศที่สบายในขณะทก่ี าํ ลงั ปฏิบัติอยูนน้ั เปนสปั ปายะ ขึ้นกบั อธั ยาศัยของแตล ะบคุ คล - อิริยาบถใดทําใหจ ติ ใจไมคอ ยสงบ เปนอสัปปายะ - อริ ยิ าบถใดทาํ ใหจ ติ ใจแจม ใสสงบระงบั นิวรณ เปน สัปปายะ
- 26 - ข้ันตอน ๒.๖ วธิ ีการเจรญิ อปั ปนาโกศล ๑๐ ประการ ( น.๖๓ ) ๗) จติ ตฺ อชฺชปุ กโฺ ข - การประคองจติ ใหเพง เฉยอยู ในสมยั ทคี่ วรเพง ไมต องยกจิตขมจติ หรือทาํ จิตใหราเริง ๘) อสมาหติ ปคุ คฺ ลปริวชฺชนํ ๑) วตถฺ ุวิสทกรยิ ตา - เวนจากบุคคลที่มีจติ ไมส งบ หลีกเลน จากผูไ มมี ศลี สมาธิ ปญญา - ชาํ ระรางกายและเคร่อื งนงุ หมสถานที่ของใชต างๆ ใหสะอาด แลวจัดวางใหเ ปน ระเบยี บเรยี บรอย ๙) สมาหิตปคุ คฺ ลเสวนํ ๒) อนิ ฺทฺริยสมตตฺ ปฏิปาทนตา - จงคบหากบั ผูทม่ี คี วามประพฤติม่นั คง เปนผมู ีศลี สมาธิ ปญ ญา ๑๐) ตทธมิ ุตตฺ ิ - ทาํ อนิ ทรียท งั้ ๔ มี ศรทั ธากับปญ ญา, วิรยิ ะกับสมาธิ ใหเสมอกนั และตอ งทําสติใหม ากยง่ิ กวา - จงนอ มใจอยูแ ตใ นเรอ่ื งฌานสมาธิ สืบเนือ่ งตอกนั อยูเรื่อยๆ ไปไมข าดสาย ธรรมทัง้ ปวงในการงานนนั้ ๆ * ศรทั ธินทรีย ปญญินทรยี ศรทั ธา > ปญญา = ตณั หาเขา แทรก (ละความไมเช่ือ ) (เหน็ สภาพ ปญ ญา > ศรทั ธา = อวดดี / อวดเกง / วิจิกิจฉา ความเปนจริง ) ขั้นตอน ๒.๗ การขยายปฏภิ าคนมิ ติ ( น.๖๕) - การขยายปฏิภาคนมิ ิต เพอื่ เปนบาทใหเขาถงึ ปฐมฌาน เพือ่ ใหม ีกําลงั มากข้นึ * วริ ิยินทรยี สมาธินทรีย วริ ิยะ > สมาธิ = ฟุง ซาน ( อุคคหนิมติ นัน้ ไมควรขยาย เพราะไมไดประโยชน กลับจะทาํ ใหสมาธิท่มี ีกําลังดีอยนู นั้ เสือ่ มถอยไป ) - ขนาดทีค่ วรขยาย จะขยายจากเดมิ ทีละนวิ้ กระท่งั ถึงท่ีสดุ จดขอบจักรวาลกไ็ ด สมาธิ > วิริยะ = เกียจครา น (โกสชั ชะ ) - กาลทีค่ วรขยายน้นั จะขยายในขณะท่สี มาธยิ ังเปน อปุ จารสมาธิ คอื สมาธใิ กลต อฌานก็ได หรอื ภายหลงั ท่ไี ดส าํ เร็จอปั ปนาสมาธิ คือไดฌานแลวก็ได * สตนิ ทรยี ยิ่งมากย่งิ ดคี อยควบคมุ ใหเสมอกัน ๓) นิมติ ฺตกุสลตา - ความฉลาดในการรกั ษานิมิตกรรมฐาน และทําใหส มาธิเจริญขึ้น > การทาํ นิมติ ท่ียังไมเกดิ ใหเ กดิ ข้นึ > การทํานมิ ติ ที่เกดิ แลวใหเ จรญิ และตัง้ ม่นั (การรักษาปฏภิ าคนมิ ติ ) ขน้ั ตอน ๒.๘ ปฐมฌานเกิด ( น.๖๕) ๔) จิตตฺ ปคคฺ โห - ควรยกจติ ในสมัยทค่ี วรยก เพงปฏิภาคนมิ ติ ปฐมฌาน ปจจเวกขณะ - พจิ ารณาองคฌานท้ัง ๕ แลว จงึ เรียกวา ๕) จิตตฺ นคิ คฺ โห - ควรขม จติ ในสมยั ที่ควรขม ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ภ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ภ \" ฌานลาภบี คุ คล \" ๖) จิตฺตสมปฺ หโํ ส - ควรทําจิตใหราเรงิ ในสมยั ท่ีควรทําจติ ใหรา เริง ม.ก.ุ ส.ํ ๔ โดยนึกถงึ สังเวควัตถุ ๘ ( ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ อบายทุกข วฏั ฏมูลกทุกขในอดตี กามชวนะ ๓ ขณะ(ตกิ ข) องคฌาน ๕ ปรากฏ วฏั ฏมลู กทกุ ขในอนาคต อาหารปริเยฏฐิมูลกทุกข ) และพระรตั นตรัย /๔ขณะ (มันท) ๔ - ๖ ) เปนการปรบั โพชฌงค ๗ ตทงั คปหาน วกิ ขัมภนปหาน * ผปู ฏิบัติรูวา เขาถึงปฐมฌานได สตสิ มั โพชฌงค (ท้ังปลอบและปราบ) = กามบคุ คล = ฌานลาภบี คุ คล เพราะการเขาสอู ารมณข องปฐมฌาน กลุม ยกจิต โดยทําโพชฌงคใ หเ จรญิ ขน้ึ กลุมขมจติ โดยทําโพชฌงคใ หเจรญิ ข้ึน = เขาถงึ กามชวนะ ปริตตสมถะ = เขาถึงมหัคคตชวนะ มหัคคตสมถะ จะไมหวั่นไหวเลยจงึ ทาํ ใหรไู ดว า - ธมั มวิจยสมั โพชฌงค - ปสสทั ธสิ มั โพชฌงค = อํานาจกิเลสตัณหา = อํานาจกเิ ลสตัณหา ฌานเกดิ ขนึ้ แลว แกตน - วิรยิ สัมโพชฌงค มากไปฟงุ ซา น - สมาธสิ ัมโพชฌงค มากไป หาไดสงบลงไมจิตใจยังไมมี สงบราบคาบลงทนั ที จิตใจมกี าํ ลงั กลาแขง็ เตม็ ท่ี - ปตสิ มั โพชฌงค - อเุ บกขาสัมโพชฌงค ทอ ถอยหดหู กาํ ลังเต็มที่ องคฌานทง้ั ๕ กป็ รากฏขึ้นอยา งเดน ชัด
- 27 - ๓) ข้นั ตอนปฏบิ ตั ิเพ่อื ใหเขาถงึ ทตุ ยิ ฌาน เปน ตน เกิดขน้ึ (น.๖๖-๗๐) ขนั้ ตอน ๓.๑ ฌานลาภบี ุคคล พงึ กระทาํ ปฐมฌานกศุ ลชวนะ เปน เวลา ๑ - ๗ วนั ขน้ั ตอน ๓.๒ ฝก วสภี าวะทงั้ ๕ เพอ่ื เปน บาทใหฌ านสงู ขน้ึ ( น.๖๗ - ๗๐) วจนัตถะ ๑ ๑) เพ่ือใหจ ิตใจมีกาํ ลงั สมาธิทแ่ี กกลา เขมแข็ง สามารถเขาฌานไดติดตอ กันอยเู รอ่ื ยๆ ตลอด ๑ - ๗ วัน วจนัตถะ ๒ \" วสนํ สมตฺถนํ = วโส \" ความสามารถ ชือ่ วา วสะ (ธมั มาธษิ ฐาน) วจนตั ถะ ๓ (ปคุ คลาธษิ ฐาน) ๒) เพอ่ื ไมใ หฌานเสื่อม \" วโส ยสฺส อตฺถตี ิ = วสี \" ความสามารถที่มีอยแู กผูใด ฉะนน้ั ผูน น้ั ชื่อวา วสี (ธัม.+ปคุ .) ๓) เพ่ือเปนบาทแหงการฝกหัด วสีภาวะ ๕ ประการตอ ไป เพราะทุตยิ ฌาน - ปญ จมฌานตองอาศัย \" วสโิ น ภาโว = วสีภาโว \" ความเปนผมู ีความสามารถ ชอ่ื วา วสภี าวะ วสภี าวะ ๕ เปน เหตสุ ําคญั ปฏิภาคนมิ ติ องคฌ าน ๕ ปรากฏ ปจจเวกขณะ พิจารณาองคฌ าน ๕ วสี ๕ อยา ง คอื (๑,๕) ๑. พิจารณาองคฌ านเหมือนกัน ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ภ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ๑) อาวชั ชนวสี สามารถในการพิจารณาองคฌานของมโนทวาราวัชชนะ แตต า งกนั ตรงหนา ที่ คอื ม.กุ.ส.ํ ๔ วสอี าทิกัมมกิ ฌาน ๒) สมาปช ชนวสี สามารถในการเขาฌาน (๒-๔) - มโน. > เปน อาวชั ชนกจิ อปั ปนาภาวนา - ชวนะ > เปน ชวนกิจ อุปจารภาวนา ปฐมฌานลาภบี คุ คล ๓) อธิฏฐานวสี สามารถในการกําหนดเวลาเขา เกิดในฌานวิถี ๒. เกดิ ในมโนทวารวถิ ี ๓. เกดิ หลังออกจากฌานวิถีแลว = เปนกามชวนะ = เปน ปฐมฌานกุศล.๑ ๔) วฏุ ฐานวสี สามารถในการกาํ หนดเวลาออก สําเร็จในคราวเดียวกัน ปจจเวกขณะวิถีจึงเกิดข้ึนได = เขาถงึ ปริตตสมถะ = เขาถงึ มหคั คตสมถะ ๕) ปจ จเวกขณวสี สามารถในการพจิ ารณาองคฌานของชวนะ = เปน ตทังคปหาน = เปน วิกขมั ภนปหาน * ขอหาม หลังไดฌ านใหมๆ ๑) หามเขา ฌานสมาบัติ เพราะเปน เหตุใหป ฐมฌานเสือ่ มได ๒) หามพจิ ารณาองคฌาน ๕ ( ปจ จเวกขณะวิถีเปนวิถเี ดียวทพ่ี ิจารณาองคฌานได อยาเขาพจิ ารณาบอยๆ ) * ความสามารถของวสี ๑) มีภวังคเ กิดนอยดวง เพราะถา พิจารณาองคฌานมากไป ขณะนั้นองคฌ านเปน ของหยาบมีกําลงั นอ ย ปฐมฌานที่ไดแลว เส่ือมได ถาเปนวสขี องพระพทุ ธองค / พระอัครสาวก มเี พียง น ท เทา นน้ั * วธิ ีฝก ฌานวิถตี ลอด ๑ - ๗ วนั น ท ม ช ช ช ช ช น ท ม ช ช ช ช ช ... เพงปฏิภาค เพงปฏิภาค แตส ําหรับบคุ คลทวั่ ไปมี \" มูลภวังค \" อกี ๔-๕ ขณะ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ฌ ฌ ภ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ฌ ฌ ภ ภ ภ ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช น ท ม ช ช ช ช ช ... ๑-๓ ขณะเทา นัน้ ๑-๓ ขณะเทานัน้ ๒) สําหรับ ชวนะ ขณะฝก วสี มเี พียง ๔ - ๕ ขณะ เทาน้ันไมค รบ ๗ - ถา ๔ ขณะ เปนของตกิ ขบุคคล * ในฌานวถิ ี มี ฌ ๑ ขณะ เรียกวา อาทิกมั มิกฌาน - ถา ๕ ขณะ เปนของมันทบุคคล ฌ ๑ - ๓ ขณะ เรยี กวา ปฐมฌานกุศลชวนะ ฌ > ๓ ขณะ เรยี กวา ฌานสมาบัติ * การใหป ฐมฌานกศุ ลชวนะเกดิ เสมอๆ ตอ งเพงปฏภิ าคนิมติ กอน เพราะเมอ่ื เพงปฏภิ าคนิมิตเวลาใดเวลานั้น ฌานจิตก็เกดิ ข้นึ ดังน้นั ถา รูสกึ วา ฌานจิตดบั ไป ขณะน้นั ตองรีบเพง ปฏิภาคนมิ ิตอกี เพื่อกลบั เขาปฐมฌานอีก
- 28 - * ข้นั ตอนในการเขา วสี ๕ ๓ พระโยคีบุคคลตองสํารวจดวู ามโี อกาสทจี่ ะฌานสงู ขึน้ หรือไม ๑ เขาปฐมฌาน (หลงั จากไดป ฐมภาวรปู กุศล เปน ฌานลาภบี คุ คลแลว ) - เกิดความเบอื่ หนายในฌานเดิม / ในองคฌ าน - เหน็ ความตางกนั ขององคฌ าน เชน เห็นวาวิตกเปน ของหยาบ องคฌาน ๔ ท่ีเหลอื เปน ของละเอยี ด เพงปฏิภาค องคฌาน พ( ปจิ าจ รจณเวากอขงณคฌะวานิถขี ๕องแพลระะตสดั มั กมราะสแมัสพภุทวังธคเจใ าห/เ หอลัคือรสาวก ) - อาศัยความแกก ลา ของอนิ ทรีย ๕ ๕ นอยลง - อาศัยบญุ บารมใี นกาลกอ น ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ฌ ฌ ฯลฯ น ท ม ช ช ช ช ช น ท ม ช ช ช ช ช . * วธิ ีเช็ค ตองเขาปฐมฌานแลว ออกจากปฐมฌาน + ปจจเวกขณะ ( ปจจเวกขณะทว่ั ไป มี ชวนะ ๗ ขณะ ) ๕) ปจ จเวกขณวสี (พจิ ารณาดวย ม.ก.ุ /ก.ิ ส.ํ ๔) ๑) อาวัชชนวสี ๒ เขา วสีท่ีเหลือ ( ๒ - ๓ ) นท ม ชชชชช. พิจารณาองคฌ าน ๕ - ยนิ ดีของเดิมหรือไม เพง ปฏิภาคไมนาน ๑) ๕) - เห็นความแตกตางในองคฌาน ตัดมูลภวงั คใ หน อยลง ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ฌ ฌ ภ --->ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ภ ภ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ฌ ฌ ..เกดิ ดับ.. ฌ ภ ม.กุ.๘ ม.กุ./ก.ิ ส.ํ ๔ ๒) สมาปช ชนวสี ๓) อธิฏฐานวสี ๔) วุฏฐานาวสี คอื ความสามารถ คือความสามรถ ใหฌ านเกิดดับได ในการกาํ หนด ตามเวลาที่ตอ งการ เวลาออกจากฌาน โดยขม ภวังคไม ใหเกดิ เพราะถา ภวังคเ กิดก็เทากบั ออกจากฌาน
- 29 - ๓) ขั้นตอนปฏิบัตเิ พอื่ ใหได ฌานสงู ขึ้น เมอื่ เบ่ือหนายในองคฌ านวิตกของตน จึงเจริญทุตยิ ฌาน = ๓ ภาวนา ๑ นิมิต คือ ปฏิภาคนิมิต เพง ปฏภิ าคนิมิต + บริกรรม \"ปถวี\" องคฌ าน ๔ ปรากฏ = ทุตยิ ฌานลาภีบคุ คล ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ....ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ บริกรรมภาวนา อปุ จารภาวนา อัปปนาภาวนา คาํ บริกรรม \" วติ กกฺ วริ าคภาวนา \" * พระโยคบี คุ คล พงึ ทราบวา เปนอปุ จารหรอื ไมน นั้ - ใหเ ขา ปฐมฌาน เพือ่ ใหองคฌาน ๕ ปรากฏ - แลวตอดว ยปจ จเวกขณะพจิ ารณาองคฌ าน ๕ นัน้ - ถา เหน็ วามีความเบ่ือหนายในองคฌ านวติ ก เมือ่ นนั้ ก็สรปุ ไดว า เขา ขอบเขตแหงอุปจาระ - ถายังไมเห็นความเบ่ือหนา ย กอ็ ยูใ นขอบเขตของบรกิ รรมภาวนา * ปจ จเวกขณะ มี ๔ อยาง * ปญจมฌานลาภีบุคคล ๑ เขา ฌาน --> ออกจากฌาน --> มปี จจเวก. รบั รอง เปน ฌานลาภบี ุคคล ๒ เขา ฌาน --> ออกจากฌาน --> มปี จ จเวก. พิจารณาวสี มีชวนะ ๗ ขณะ ๑ ทาํ ปญจมฌานกุศลชวนะ ๑ - ๗ วัน ๓ เขาฌาน --> ออกจากฌาน --> มีปจจเวก. สํารวจความเบ่ือหนาย มีชวนะ ๔-๕ ขณะ ๔ เขา ฌาน --> ออกจากฌาน --> มปี จจเวก. เพ่อื ดูวาไดอปุ จารหรือไม มชี วนะ ๗ ขณะ ๒ ฝกวสี ๕ มชี วนะ ๗ ขณะ ๓ สาํ รวจวา มีความเบ่อื หนายในปญจมฌานหรอื ไม มี ๒ นัย ความเบื่อหนา ยมี ๒ นยั วา งเวนจากพทุ ธศาสนา มพี ทุ ธศาสนา * ความเบือ่ หนา ย ๑. การประหัตประหารดว ยอาวุธก็มี ๑.ไมไดเหน็ โทษจากรางกาย ๑ เบอ่ื หนา ย นิวรณ เปนเหตุใหเขา ใกล ๒ \" วิตก \" \" ปฐมฌาน ๒. ความเจบ็ ปว ยของรางกายกด็ ี ๒. เหน็ วา สมาธิจากอรปู . มีความละเอียดกวาในรปู ฌาน ๓ \" วจิ าร \" \" ทตุ ยิ ฌาน ๔ \" ปติ \" \" ตตยิ ฌาน --> คาํ ภาวนา \" วิตกกฺ วริ าคภาวนา\" ๓. ความหวิ กระหาย / ความกาํ หนัดก็ดี ๓. หากสาํ เร็จในฌานสมาบัติ ๘, ๙ กส็ ามารถแสดง ๕ \" สุข \" \" จตุตถฌาน \" \" วจิ ารวิราคภาวนา\" ปญ จมฌาน \" \" ปตวิ ิราคภาวนา\" ๔. เกดิ จากการมีรางกายที่เกดิ จากโลหติ ของ อภิญญาได ขอ ๑ - ๕ = ปญ จกนัย ของมนั ทบุคคล \" \" สุขวิราคภาวนา\" บิดามารดา ทไ่ี มสะอาด ๔. หากสาํ เรจ็ พระอนาคามี + พระอรหนั ต ๕. เห็นภัยแลว เกดิ ความกลวั ในรูปปฏภิ าคนมิ ติ กเ็ ขา นิโรธสมาบัตไิ ด
- 30 - 5 อากาสานญั จายตนฌาน ( น.๗๒ ) ๑. การปฏิบตั ิ คือ ปญจมฌานลาภบี ุคคลกระทาํ รปู าวจรปญ จมฌานกุศลชวนะ โดยการเพงปถวปี ฏภิ าคนิมิต --> ออกจากรูปปญจมฌาน --> เขา ปจจเวกขณะพจิ ารณาองคฌ าน และดวู า ปฏภิ าคของตนควรยอ / ขยาย / คงไว --> แลว เพง ปฏภิ าคนิมิตที่ปรากฏตออยางไมสนใจใดๆ มคี วามพยายามพรากใจออกจากปฏภิ าคนิมติ --> ยึดหนว งใหอากาศบัญญตั ิมาปรากฏแทนท่ี โดยคดิ วา ปถวปี ฏิภาคนมิ ิตไมม ีๆ คงมีแตอากาศวา งเปลา พรอมคาํ บริกรรมในใจวา \" อากาโส อนนฺโต ๆๆๆๆ \" (อากาศไมมีท่สี ิ้นสดุ ) อากาศ เปน บัญญัติ ไมใชปรมตั ถ จงึ ไมม ีเบือ้ งตน (การอุบัตขิ นึ้ ) และไมมีเบอื้ งปลาย (การดบั ไป) เรียกวา อนนโฺ ต บางคร้ังบรกิ รรมวา \" อากาโสๆๆ \" / \" อากาสๆํ ๆ \" ก็ได เพง ปฏภิ าคนิมิต ยอ / ขยาย / เทาเดิม เพิกปฏภิ าคนิมิต ท่เี กดิ จากกสณิ ๙ ออกไป หนว งเอา องคฌาน ๒ ปรากฏ อากาศเขา มาแทนที่ เทา ขอบเขตของปฏิภาคนมิ ติ มี อากาสบญั ญัติ (กสณิ ุค.) เปน อารมณ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ....ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ เขา ไปพจิ ารณาปจจเวกขณะแลว บริกรรม \"อากาโส อนนโฺ ต\" อุปจารภาวนา = อากาสานญั จายตนฌานลาภบี คุ คล * เปนอปุ จารหรือไมน้ัน เขาปจจเวกขณะ พจิ ารณาวา ยังยินดีในปญ จมฌานหรอื ไม ถายังมี นิกันติตัณหา (ยินดีพอใจ) ก็ยังอยูในขอบเขตของบริกรรมภาวนา แตถ า ปราศจากใน นกิ นั ตติ ณั หา ใน รูปปญ จมฌาน แสดงวาเขา มาอยูใน ขอบเขตของอปุ จารภาวนาแลว ๒. อากาสานัญจายตนฌาน มชี ่ือเรียกได ๓ อยา ง คอื ๑. อรปู ฌาน เพราะ ปญจมฌานลาภบี คุ คล ไมไดสนใจเพง \" ปถวีปฏภิ าคนิมิต \" ท่เี ปนรูปอารมณ เมือ่ ฌานจิตเกดิ ขึ้น ฌานจิตน้ันกป็ ราศจากรปู ๒. อากาสานญั จายตนฌาน เพราะ องคฌ าน ๒ น้มี ีตัง้ มัน่ ไมห ว่นั ไหว เกิดขึ้นโดยอาศยั อากาศบัญญัติ ทห่ี าเบอ้ื งตน (ความเกิด ) และเบือ้ งปลาย (ความดับ ) กไ็ มได ๓. ปฐมารปุ ปฌาน เพราะ ภายหลงั ทีไ่ ดเ วน จากบัญญัตกิ รรมฐานทเ่ี กย่ี วกบั รปู ไดแ ลว ฌานน้ไี ดเ กดิ ข้นึ ครั้งแรก ในบรรดาอรปู ฌานท้งั ๔
- 31 - 5 วิญญาณญั จายตนฌาน ( น.๗๕ ) บุคคล = อากาสานัญจายตนฌานลาภบี คุ คล อารมณ = อากาสบัญญัติ ฌานทม่ี อี ยแู ลว = อากาสนญั จายตนฌาน (ผรู อู ารมณ ) ตอ งการฌานทส่ี งู ขนึ้ ( ตองอาศัยปรัมตั ถอ ารมณ อยางเดียว ) คือ วญิ ญาณญั จายตนฌาน ๑. ขัน้ แรก ปฏบิ ตั ใิ นวสภี าวะท้งั ๕ ท่เี กยี่ วกบั อากาสานญั จายตนฌาน กอนจนมีความชํานาญ ๒. เขา อากาสานญั จายตนฌาน แลวออกจากฌานพจิ ารณาเห็นโทษของ อากาสา. - อากาสา.นี้ เปน ฌานใกลก บั รูปปญ จมฌาน เปน ขา ศกึ แกกัน ถา ขาดการเขา ฌานเสมอ สมาธอิ าจลดระดับเปน รูปปญ จมฌานอกี - สมาธิทเ่ี กดิ จากอากาสา.นี้ก็หยาบกวาสมาธทิ เี่ กิดจากวิญญาณญั จายตนฌานดว ย ๓. เมื่อพจิ ารณาเหน็ โทษของ อากาสา. แลว กเ็ กิดการฝกใฝใ น \" ปฐมารุปปวิญญาณ \" คอื อากาสา.ท่ีดบั ไปจากจติ สันดานของตน โดยการพยายามพรากใจออกจาก \"อากาสบญั ญตั ิ \" แลวกลับพยายามยึดหนวงให อากาสานญั จายตนฌาน มาปรากฏแทนท่ี โดยบริกรรมวา \" วิ ฺาณํ อนนตฺ ๆํ ๆ / วิ ฺาณํๆๆ \" ( นี้เปน ปฐมารุปปวญิ ญาณทม่ี ีอากาศบญั ญัตไิ มมที ี่สนิ้ สุดเปน อารมณ / น้เี ปน ปฐมรุปปวญิ ญาณ) เพงอารมณ เพกิ อารมณ \"อากาสบัญญตั \"ิ ออกจากใจ หนวงเอาฌาน องคฌ าน ๒ ปรากฏ อากาสบัญญตั ิ \"อากาสานญั จายตนฌาน\" มาเปนอารมณแทนที่ มี อากาสานัญจายตนฌาน เปนอารมณ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ เขา ไปพจิ ารณาปจ จเวกขณะแลว สาํ เรจ็ บรกิ รรม วญิ ญาณัญจายตนฌานลาภบี ุคคล \" วิภฺ าาวณนําอนนฺตํ \" อุปจารภาวนา อัปปนาภาวนา มว. อากาสานญั จายตนฌานทีม่ ี * เห็นวาปราศจาก นิกนั ตติ ณั หา อากาศบญั ญตั ิไมม ที ี่ส้ินสดุ เปน อารมณ ของอากาสานัญจายตนฌาน * เปรยี บเทยี บอรปู ฌาน ปรมตั ถ บัญญตั ิ ปรมตั ถ บญั ญัติ อากาสานัญจายตนฌาน เพกิ อารมณอากาสานัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน อารมณ อากาสบญั ญตั ิ นัตถิภาวบญั ญัติ ฌาน อากาสานญั จายตนฌาน วิญญาณัญจายตนฌาน อากญิ จญั ญายตนฌาน เนวสญั ญานาสญั ญายตนฌาน บุคคล อากาสานญั จายตนฌานลาภีบคุ คล วญิ ญาณญั จายตนฌานลาภบี ุคคล อากญิ จญั ญายตนฌานลาภีบุคคล เนวสัญญานาสญั ญายตนฌานลาภีบคุ คล (นิดก็ไมมีหนอยก็ไมมี = ขณะหนึ่ง (เกิด ตั้ง ดบั ) ก็ไมมี )
- 32 - 5 อากิญจัญญายตนฌาน ( น.๗๗ ) บคุ คล = วญิ ญาณญั จายตนฌานลาภบี ุคคล อารมณ = อากาสานญั จายตนฌาน ฌานที่มีอยแู ลว = วิญญาณัญจายตนฌาน (ผูรอู ารมณ ) ตองการฌานทส่ี งู ข้นึ คือ อากญิ จญั ญายตนฌาน ๑. ขัน้ แรก ปฏบิ ัตใิ นวสีภาวะท้งั ๕ ท่เี กยี่ วกบั วญิ ญาณญั จายตนฌาน กอ นจนมคี วามชํานาญสมบรู ณดแี ลว ๒. เขาวญิ ญาณญั จายตนฌาน แลว ออกจากฌานพิจารณาเหน็ โทษของ วิญญาณญั จา. วา - วญิ ญาณญั จา.น้ี เปนฌานใกลกับอากาสานญั จายตนฌาน เปนขา ศกึ แกก ันอยู ถาขาดการเขาฌานเสมอ สมาธอิ าจหายหรือลดระดบั เปน อากาสนญั จายตนฌานอกี - สมาธทิ เ่ี กิดจากวิญญาณัญจา.นี้กห็ ยาบกวา สมาธิทเ่ี กิดจากอากิญจญั ญายตนฌานดว ย ๓. เมอ่ื พจิ ารณาเหน็ โทษของ วญิ ญาณัญจา. แลว กเ็ กดิ การฝกใฝใน \" อากาสานัญจายตนฌาน \" ทดี่ บั สูญไปจากจติ สันดานของตนอยางไมม เี หลืออยูเลย โดยการพยายามพรากใจออกจากอากาสานัญจายตนฌานนน้ั ๆ เสีย แลวพยายามยึดหนว งให \" นัตถภิ าวบญั ญัติ \" มาปรากฏแทนที่ โดยบรกิ รรมวา \" นตฺถิ กิจฺ ๆิ ๆ \" ( ความเหลอื อยูข องอากาสานัญจา.แมเพยี งเล็กนอ ยก็ไมมี อยา วาแต อุปาทะ ฐตี ิ ของอากาสานญั จา.แม ภงั คัก ก็ไมม เี หลือ) พรากอากาสานัญจายตนฌานออกจากใจ โดยไมมีภาวะ เพงอารมณ แหง องคฌ าน ๒ ปรากฏ อากาสานัญจายตนฌาน อากาสานัญจายตนฌานเหลอื อยู เรยี กวา \" นัตถภิ าวบัญญัติ มี นัตถิภาวบญั ญัติ เปน อารมณ ภนท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท \" ม ช ชบชรกิ ชรรชมช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ เขา ไปพจิ ารณาปจ จเวกขณะแลว สาํ เรจ็ อากญิ จญั ญายตนฌานลาภบี คุ คล \" นตภฺถาิ วกนิ าจฺ ิ ๆๆ... \" อุปจารภาวนา อปั ปนาภาวนา * เหน็ วาปราศจาก นิกันตติ ัณหาใน วิญญาณัญจายตนฌาน 5 เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ( น.๗๘ ) บุคคล = อากญิ จัญญายตนฌานลาภบี ุคคล อารมณ = นัตถภิ าวบญั ญัติ ฌานทม่ี ีอยแู ลว = อากิญจัญญายตนฌาน (ผูรอู ารมณ ) ตอ งการฌานทีส่ งู ข้นึ คอื เนวสญั ญานาสัญญายตนฌาน ๑. ขัน้ แรก ปฏิบัติในวสภี าวะทง้ั ๕ ทเี่ ก่ียวกับ อากญิ จัญญายตนฌาน กอ นจนมคี วามชาํ นาญสมบรู ณด แี ลว ๒. เขา อากิญจัญญายตนฌาน แลว ออกจากฌานพจิ ารณาเหน็ โทษของ อากิญจญั ญา. วา - อากญิ จัญญา.น้ี เปนฌานใกลกบั วญิ ญาณัญจายตนฌาน เปนขาศกึ แกก นั อยู ถา ขาดการเขา ฌานเสมอ สมาธอิ าจหายหรอื ลดระดับเปนวญิ ญาณญั จายตนฌานอีก - สมาธทิ ี่เกดิ จากอากิญ.นีไ้ มประณีต ไมสงบ แมสัญญาก็ไมเ ทา ในเนว. ฉะนั้น อรปู ฌานที่ ๔ น้ี จงึ เปนฌานทมี่ ีความประณตี ยอดย่งิ แตย ังเห็นความดขี องอากิญ.เพราะสามารถรับบญั ญัติอารมณทไี่ มม ีปรมตั ถรองรบั ได ๓. เมอื่ พจิ ารณาเชนนี้แลว ก็สนใจนกึ ถึง \" อากญิ จญั ญายตนฌาน \" ที่ดบั ไปจากจติ สนั ดานของตนโดยการพยายามพรากใจออกจากนัตถิภาวบัญญตั นิ น้ั เสีย แลว พยายามยดึ หนวงให \" อากิญจญั ญายตนฌาน \" มาปรากฏแทนที่ โดยบรกิ รรมวา \" สนฺตเมตํ ปณตี เมตํ ๆๆ / สนตฺ ๆํ ปณตี ๆํ \" ( เปนคําชมเชยยกยองใน อากญิ จัญญายตนฌาน ที่มี สมาธิสงบมาก ประณตี มาก) เพง อารมณ พรากนัตถภิ าวบัญญตั ิออกจากใจ หนว งเอาฌานจติ องคฌาน ๒ ปรากฏ นัตถิภาวบัญญตั ิ \" อากิญจัญญายตนฌาน \" มาเปนอารมณ มี อากิญจัญญายตนฌานเขเาปไนปอพาิจรามรณณาปจ จเวกขณะแลวสําเร็จ ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ชบชรกิ ชรรชมช ช ภ ... ภ น ท อุปจารภาวนา เนวสัญญานาสญั ญายตนฌานลาภี บคุ คล \" สนภตฺ าเวมนตาํ ปณตี เมตํ ๆๆ... \" * เห็นวา ปราศจาก นิกนั ติตัณหาใน อากญิ จญั ญายตนฌาน อปั ปนาภาวนา
- 33 - 5 สรุปการเจรญิ \" อรปู ฌาน \" กระทาํ ฌานใหส งู ข้ึน โดยกระทําอารมณ สําเร็จเปนบคุ คล เร่ิมจากบุคคล > อากาสานัญจายตนฌาน = อากาสานญั จายตนฌานลาภีบุคคล > วญิ ญาณัญจายตนฌาน - เพิก ปฏภิ าคนมิ ติ ทเ่ี กิดจากกสิณ ๙ ( เวน อากาสกสิณ ) ออก = วญิ ญาณัญจายตนฌานลาภีบุคคล ปญจมฌานลาภีบุคคล > อากิญจญั ญายตนฌาน แลวหนวงเอา อากาสบญั ญัติ มาเปน อารมณ ( บัญญัติ ) = อากิญจญั ญายตนฌานลาภบี คุ คล > เนวสัญญานาสญั ญายตนฌาน ดว ยคําบรกิ รรมวา \" อากาโส อนนฺโต \" = เนวสัญญานาสัญญายตนฌานลาภีบคุ คล อากาสานญั จายตนฌานลาภบี คุ คล - เพกิ อากาสบญั ญัติ ออก วิญญาณญั จายตนฌานลาภีบคุ คล แลว หนว งเอา อากาสานญั จายตนฌาน มาเปนอารมณ ( ปรมัตถ ) ดว ยคาํ บรกิ รรมวา \" วิฺ านํ อนนฺตํ \" อากญิ จญั ญายตนฌานลาภบี คุ คล - เพิก อากาสานญั จายตนฌาน ออก แลวหนวงเอา นตั ถภิ าวบัญญัติ มาเปน อารมณ ( บัญญัติ ) ดวยคําบริกรรมวา \" นตถฺ ิ กิจฺ ิ \" - เพกิ นัตถิภาวบญั ญตั ิ ออก แลว หนวงเอา อากิญจญั ญายตนฌาน มาเปน อารมณ ( ปรมตั ถ ) ดวยคําบริกรรมวา \" สนตฺ เมตํ ปณีตเมตํ \" * รูปฌานทั้ง ๕ มีอารมณเหมอื นกัน คอื ปฏิภาคนมิ ิต แตจําแนกทอ่ี งคฌ านตางกัน * มเี พยี งกสิณ ๑๐ เทา น้นั ทเี่ ขา ถงึ \" อรปู ฌาน ๔ \" ได * อรปู ฌานทัง้ ๔ มอี งคฌาน ๒ เหมือนกนั คือ อุเบกขา เอกัคคตา แตตางกนั ทต่ี วั อารมณ * การเพงกสิณทเ่ี หลอื อีก ๙ จนถึงอรูปฌาน กค็ งเปนไปในทาํ นองเดียวกันทุกประการ
- 34 - 5 การเพง \" อาโปกสณิ \" ( น.๘๑ ) - องคก สณิ มุง หมาย สสมั ภารอาโป = นํา้ ท่วั ไปท่ใี ชอ าบกนิ เปน อารมณกสิณไมไ ดดูสภาวะไหลเกาะกมุ / องคกสณิ ตอ งใสสะอาดปราศจากกสิณโทษ (ไมเ จอื ปนดว ยสีหรอื ขุน ) ใสภ าชนะใหเ สมอขอบปากทกี่ วางและลืก ๑ คืบ ๔ น้วิ - ขณะเพงอยา พิจารณาสีของน้าํ หรอื สภาพของน้าํ ทม่ี ลี กั ษณะใหลหรือเกาะกุม แตต อ งเพงรปู รางสณั ฐานของนํ้าธรรมดา พรอ มบริกรรมวา อาโป ๆ หรือ น้าํ ๆ ( เพง - ขณะเพงบริกรรม - หลบั ตาจาํ ภาพ - บริกรรม ) จนภาพปรากฎทางใจเปนอคุ คหนมิ ิต เมือ่ อคุ คหนิมิตปรากฏ ใหเพ่งิ อคุ คหนมิ ิตน้ันตอ จนไดป ฏิภาคนิมิตและไดร ปู ฌาน - บริกรรมนมิ ติ (ภาพทางตา) ถา องคกสิณเคล่ือนไหวอยา งไร อุคคหนมิ ติ (ภาพทางใจ) กจ็ ะเคล่ือนไหวอยา งนัน้ แตถา เปน ปฏิภาคนิมติ แลว จะน่งิ ปรากฏแตค วามใสสะอาดดัง \" แกวมรกต \" - การเจรญิ อาโปกสณิ นบั ตงั้ แตป ฏภิ าคนิมิตปรากฏ เปนตนจนถงึ รูปฌาน อรูปฌาน กค็ งเปน ไปในทํานองเดียวกนั กับการเจรญิ ปถวีกสิณทุกประการ 5 การเพง \" เตโชกสิณ \" ( น.๘๒ ) - องคก สณิ หมายเอา สสัมภารเตโช = ไฟธรรมดาท่ัวไปเปน อารมณกสณิ ไมไ ดเ อาสภาวเตโชที่มีลักษณะเยน็ รอ น / การทําองคกสิณ โดยการกอ กองไฟแลวเอาเสอ่ื ลาํ แพนหรอื แผน หนงั กนั้ ไว เจาะชอ งกลมโตประมาณ ๑ คืบ ๔ นว้ิ - ขณะเพงอยา พิจารณาสีของไฟ ทอนฟน เถา ถาน ควันไฟหรือความรอ นจะเปนกสณิ โทษ ใหเ พงดเู ปลวไฟ พรอมบรกิ รรม เตโชๆ หรอื ไฟๆ จนกวา จะเกิดอคุ คหนิมติ ( เพง - ขณะเพงบริกรรม - หลับตาจําภาพ - บริกรรม ) - บรกิ รรมนิมิต (ภาพทางตา) องคกสิณเคลื่อนไหวอยา งไร อุคคหนมิ ติ (ภาพทางใจ) กจ็ ะเคล่ือนไหวอยางนนั้ แตปฏภิ าคนมิ ติ แลว จะนงิ่ ไมม กี ารพดั ไหว ปรากฏแตความใสสะอาดดงั \" ผากมั พลแดง \" - การเจรญิ เตโชกสิณ นับตง้ั แตปฏิภาคนมิ ติ ปรากฏ เปน ตนจนถงึ รูปฌาน อรูปฌาน ก็คงเปนไปในทาํ นองเดยี วกนั กับการเจริญปถวีกสิณทกุ ประการ 5 การเพง \" วาโยกสิณ \" ( น.๘๔ ) - องคก สิณหมายเอา สสมั ภารวาโย = ลมทั่วไปเปนอารมณก สณิ ไมไ ดเอาสภาววาโยทมี่ ลี กั ษณะเครง ตงึ เคลือ่ นไหว / การทาํ องคกสณิ ไมมี ลมมองเหน็ ไมได อาศยั การเหน็ ยอดไมไหว ความรสู กึ เมื่อลมตองกาย หรอื เสนผมไหวดวยลม - ขณะเพง การเคลอื่ นไหว หรอื ความรูสกึ ลมตอ งกาย ใหบริกรรม วาโยๆ หรอื ลมๆ จนกวา จะเกิดอคุ คหนมิ ติ ( เพง - ขณะเพง บรกิ รรม - หลบั ตาจําภาพ - บริกรรม ) - บรกิ รรมนิมิต เห็นลมธรรมดา อาศยั การไหว เปน เครื่องเพง - อุคคหนิมติ เหน็ ลมพิเศษ ปรากฏทางใจ เหมอื นเกลยี วไอนา้ํ / ควัน - ปฏิภาคนิมิตแลวจะน่งิ ไมมีการพดั ไหวเหมอื นภาพถาย - การเจรญิ วาโยกสิณ นบั ตง้ั แตปฏภิ าคนิมิตปรากฏ เปน ตน จนถึง รูปฌาน อรปู ฌาน ก็คงเปน ไปในทาํ นองเดยี วกันกับการเจรญิ ปถวีกสิณทุกประการ รปู ารมณ = เห็นยอดไมไ หว (จากลม) * ถาใชต าเพง ไอน้าํ / ควัน จะเปน วณั ณกสิณแทน บรกิ รรมนมิ ติ อคุ คหนิมติ ปรากฏเปนไอนาํ้ / กลุมควัน ปฏภิ าคนิมติ ใสเหมอื นภาพถาย ๑) ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ โผฏฐพั พารมณ = ลมกระทบกาย อุปจารภาวนา อปั ปนาภาวนา ๒) ภ ตี น ท ป กาย สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ บริกรรมภาวนา
- 35 - 5 การเพง \" วัณณกสณิ \" ( น.๘๕ ) - องคก สิณ ในกาลกอ นใชส ขี องดอกไม (เฉพาะกลบี ดอกอยาใหเหน็ เกสรหรือขั้ว ) นํามาใสพ าน / กลอ ง / บาตร / ขัน ใสใหเ ตม็ เสมอขอบภาชนะขนาดกวางประมาณ ๑ คืบ ๔ องคุลี หรอื จะใชผา หรือกระดาษสตี ดั เปน วงกลม - เพง - ขณะเพงบริกรรม - หลบั ตาจําภาพ - บริกรรม ( นลี ํ ๆ หรือ เขียว ๆ / ปตกํ ๆ หรอื เหลือง ๆ / โลหิตํ ๆ หรือ แดง ๆ / โอทาตํ ๆ หรอื ขาว ๆ ) - บริกรรมนมิ ติ เหน็ สีทางตา - อุคคหนิมติ เหน็ สปี รากฏทางใจ - ปฏิภาคนมิ ิตแลว ภาพจะปรากฏเหมือนแกว มณใี สบริสุทธ โดยมีสีตามกสิณ - การเจริญวัณณกสณิ นับตง้ั แตปฏิภาคนมิ ติ ปรากฏ เปน ตน จนถงึ รูปฌาน อรปู ฌาน กค็ งเปน ไปในทาํ นองเดยี วกนั กับการเจริญปถวกี สิณทุกประการ 5 การเพง \" อโลกกสิณ \" ( น.๘๖ ) - คือการเพง แสงสวางของดวงอาทติ ย หรือดวงจนั ทร ดวงไฟ เปนตน พรอมบริกรรมวา โอภาโสๆ หรอื แสงๆ หรือ อาโลโกๆ สวางๆ - องคก สิณทาํ ไดโดยวธิ เี จาะผนังหองใหแสงสวา งลอดเขา ภายใน อาจใชก ารจดุ ตะเกยี งหรอื เปดไฟแลวเอามานกนั้ ใหมิดชดิ เจาะมา นใหแ สงสองลอดออกมาเปนดวงทีฝ่ า แลวเพงดูทแี่ สงสวางนน้ั พรอ มบริกรรมจนไดอ คุ คหนมิ ติ - บรกิ รรมนมิ ติ เห็นแสงทางตา - อุคคหนิมิต เห็นแสงปรากฏทางใจ ( สวางเทา เห็นทางตา ) - ปฏิภาคนมิ ิตแลว แสงสวางมสี ณั ฐานเปนกลมุ กอน คลา ยดวงไฟทีอ่ ยูในโปะไฟสีขาว สวา งยิ่งกวาอุคคหนิมติ - การเจริญอาโลกกสิณ นับตัง้ แตป ฏิภาคนิมติ ปรากฏ เปนตน จนถงึ รปู ฌาน อรปู ฌาน กค็ งเปน ไปในทาํ นองเดียวกันกับการเจรญิ ปถวีกสณิ ทุกประการ 5 การเพง \" อากาสกสณิ หรอื ปรจิ ฉนิ นากาสกสณิ \" ( น.๘๗ ) - อาศัยการเพงดอู ากาศที่ปรากฏตามชองหนาตา ง ชอ งประตู ชองลม หรอื ทาํ ขนึ้ ใหเ ปน ชองประมาณ ๑ คบื ๔ นว้ิ - เพง - ขณะเพง บริกรรม - หลบั ตาจาํ ภาพ - บรกิ รรม อากาโสๆ หรอื แจงๆ จนกวาอคุ คหนมิ ติ จะปรากฏ - บรกิ รรมนมิ ิต เหน็ อากาศปรากฏเทาขอบเขตของชอ งฝา - อุคคหนิมิตเห็นเหมอื นกนั ทางใจ - ปฏิภาคนมิ ิต เหน็ เฉพาะแตอ ากาศ ขอบเขตของส่ิงเหลานัน้ ไมป รากฏ+ขยายกวางไดเ พราะสมาธิมกี าํ ลัง อคุ คหนมิ ติ ขยายไมไ ด สมาธิออ น - การเจรญิ อากาสกสณิ นบั ต้ังแตปฏภิ าคนมิ ิตปรากฏ เปน ตนจนถึง รปู ฌาน อรปู ฌาน กค็ งเปน ไปในทํานองเดียวกันกบั การเจรญิ ปถวกี สณิ ทุกประการ 5 คุณวิเศษของกสณิ ๑๐ ๑) เพง ๑ ไดอกี ๙ ๒) กสิณ ๑๐ เปนกรรมฐานท่ใี หฌ านไดเ ร็ว ๓) ฤทธิ์ท่เี กิดจากกสณิ ทั้ง ๑๐ ไดเ หมือนกัน ๔) กสณิ ๑๐ ใหถ ึงอรูป และอภญิ ญา ๑. หากไดปฏภิ าคนิมติ จากกสิณใดกสณิ หนึ่ง ๑. กรรมฐานที่เขาถงึ อปั ปนาฌานมีจาํ นวน ๓๐ ๑. กาํ บงั ส่ิงตา งๆ ไมใ หบ ุคคลอน่ื เหน็ ๑. กสณิ ๑๐ เทา นนั้ ทีใ่ หเ ขา ถงึ อรูปฌาน จนถึงปญจมฌาน ( ๑๐ - ๑ - ๑๐ - ๑ - ๔ - อรูป ๔ ) ๒. ยน ระยะทางไกลใหใกล ยดื ระยะทางใกลใหไกล ๒. อภิญญา จะแสดงไดตอ เม่อื ถงึ เนวสัญญานาสัญญา. ๒. หากประสงคอ ยากไดใ นอคุ คห.+ ปฏภิ าค. ๒. ในจาํ นวนกรรมฐานอปั ปนา ๓๐ มีกสณิ ๑๐ ๓. ทําส่ิงทีเ่ ลก็ ใหใ หญ ทาํ สง่ิ ท่ใี หญใหเลก็ ๓. สาํ หรบั ผูมบี ุญบารมใี นกาลกอน เมอื่ เจริญถงึ ในกสณิ อีก ๙ ทย่ี ังไมเ คยได ทใี่ หฌานไดเร็ว * สําหรบั กสิณท่ใี หแ สงสวา ง รูปปญจมฌาน ก็สามารถแสดงอภิญญาได ๓. ใหเ พง ส่งิ ที่มอี ยทู ัว่ ๆ ไปเหมอื นกบั ผเู คยได ๓. ในกสณิ ๑๐ มวี ัณณกสิณ ๔ ท่ใี ห ฌานไดเ รว็ - อาโลก, เตโช, โอทาต ทา นวา อาโลก สรปุ วา กสิณ ๑๐ เทานนั้ ใหถ งึ อรูปและอภิญญา บญุ บารมมี าในกาลกอ นก็สามารถไดน ิมิต ๔. ในวัณณกสณิ ๔ มี โอทาตกสิณที่ใหฌานไดเ รว็ ใหแ สงสวางแกท ิพยจกั ขมุ ากที่สดุ จากกสิณอกี ๙ เพราะ - ทําใหจิตใจพระโยคบี ริสทุ ธิ์ปราศจากถีนมิทธ - ทาํ ใหพ ระโยคคี ลา ยวา ไดอ ภญิ ญา
- 36 - 5 บาลีท่ี ๗ อสภุ ะ ๑๐ ( น. ๙๒ ) มี ๒ นัย 5 ความตา งกันระหวางกสิณ ๑๐ และอสุภะ ๑๐ กสณิ ๑๐ อสภุ ะ ๑๐ ๑) สมถนยั - มอี ารมณเปน บญั ญตั ิ ๑) จัดหาองคก รรมฐานไดง า ย ๑) จดั หาองคกรรมฐานไดย าก - เจริญฌานไดส งู สุดเพยี ง \" ปฐมฌาน \" ๒) อารมณก รรมฐานคงท่ไี มเปล่ียนแปลง ๒) อารมณกรรมฐานมกี ารเปลยี่ นแปลงตลอดเวลา - เจรญิ ไดในมนษุ ยภ มู ิ ๓) อุคคหนมิ ิต เมื่อเกดิ ข้นึ สงั เกตไดง า ย ๓) เมือ่ อคุ คหนมิ ิต เกดิ ข้นึ สังเกตไดยากวาเปนของแทห รือไม - วา โดยจรติ เหมาะกบั ราคะจริต ๔) หากภาพนิมติ เส่ือมการกลบั ไปเพงใหมไดงา ย ๔) หากภาพนมิ ิตเส่อื มการกลบั ไปเพงใหมทาํ ไดยาก ๕) วธิ ปี อ งกนั อปุ สรรคทางใจ เมอ่ื อคุ คหนิมติ ไมป รากฏ ๕) วิธีปองกนั อปุ สรรคทางใจ เมอ่ื อคุ คหนมิ ิตไมป รากฏ ๒) วปิ สสนานัย - มีอารมณ คอื อนจิ จัง ทกุ ขงั อนัตตา ( ไมม คี ําบริกรรม ) สาเหตใุ น + นอก ( กสณิ โทษ + ความลา ของผูปฏบิ ัติ ) ดว ยการพิจารณาอาการ ๖ + อาการ ๕ ( น.๑๐๐ ) - เปนสว นหนง่ึ ในสติปฏฐาน \" กายานุปส สนาสติปฏ ฐาน \" ๖) การเจรญิ กรรมฐานจนถงึ ปญจมฌานโดยไมตอ งเปล่ียน ๖) การเจรญิ กรรมฐาน ไดเพยี งปฐมฌานเทาน้ัน หากตอ งการเจรญิ พจิ ารณา กายในกาย แสดง ๙ บรรพะ (บท) อารมณก รรมฐาน และเปนเหตุใหถงึ อรูปฌานดว ย ฌานใหส งู ขึน้ ตองเปลย่ี นอารมณใ หม (วัณณกสณิ ) ๗) เจริญไดใน ๒๒ ภมู ิ ( เวนอรปู .๔ + อบาย.๔ + อสัญ.) ๗) เจริญไดเฉพาะในมนษุ ยภ ูมิเทา น้ัน - หากตองการเจริญฌานใหส งู ข้นึ ตองเปลี่ยนอารมณเ ปนวัณณกสณิ ๘) วาโดยจริต ๘) วา โดยจริต เหมาะกับผมู ีราคะจริต ( ดสู ใี นศพนน้ั สีใดชดั ก็เพง สนี ัน้ ) มหาภูตกสิณ ๔ อากาส. อาโลก. = จริตท่วั ไป - การที่ไดเพยี งปฐมฌาน เพราะ อสภุ ะ เปนอารมณหยาบ ตอ งอาศัย \" วติ ก \" วณั ณกสิณ ๔ = โทสจริต ในการยกจติ ขนึ้ สอู ารมณ เมื่อถงึ ทุติยฌานตอ งมกี ารละ \" วติ ก \" ออก จึงทําใหการเพงอสุภกรรมฐานนีไ้ มส ามารถเจรญิ ฌานใหสงู ขึน้ ไดเลย 5 วธิ คี นหาอุปสรรคในระหวา งท่ีอุคคหนมิ ิตยงั ไมปรากฏ ** อาการ ๖ การพิจารณาศพโดยอาการทัง้ ๖ เพื่อใหอุคคหนิมติ ** อาการ ๕ เมือ่ พิจารณาอาการ ๖ แลวนิมติ ทัง้ ๒ ยงั ไมป รากฏ 5 อุปสรรคของการเจรญิ อสุภะ และปฏภิ าคนิมิตปรากฏข้นึ เรว็ คอื กาํ หนดโดย จะตอ งทาํ การพจิ ารณาโดยอาการท้ัง ๕ คอื กาํ หนดโดย ๑) การหาอารมณก รรมฐาน ( หาศพมาเพง อารมณ ) หาไดย าก ๑.วณณฺ โต - สี รวู าศพนเี้ ปน คนผิวสดี าํ ขาว เหลอื ง ๑.สนธฺ โิ ต - ท่ตี อ รวู าสรรี ะมีตอ สวนใหญๆ ๑๔ แหงคือที่ตอมอื ขวา ๓ ๒) อารมณก รรมฐานเปลย่ี นแปลงไดง าย ๒.ลิงคฺ โต - วยั (ปฐม มัชฌิม ปจ ฉิม) มไิ ดม ุงหมายเพศ ทต่ี อ มอื ซาย ๓ ทต่ี อเทาขวา ๓ ทต่ี อเทา ซาย ๓ ( สภาพศพเนาเปอ ยเปล่ยี นสภาพเรว็ ) ๓.สณฐฺ านโต -สัณฐาน รูวา เปนศีรษะ คอ มือ เทา ฯ ท่ีตอ คอ ๑ ท่ีตอเอว ๑ ๔.ทสิ โต - ทิศ รูวา ตง้ั แตส ะดอื ข้นึ บน /ลงลา ง ๒.วิวรโต - ชอ ง รูวาน้ีชอ งตา ชอ งหู ชองจมูก อาปาก หุบปากฯ 5 คุณและโทษของการเจริญอสภุ ะ หรอื รวู าตนอยทู ิศนี้ ศพอยทู ิศนนั้ ๓.นินฺนโต - ทีล่ ุม รูวานหี่ ลมุ ตา หรือรูว า ตนอยทู ต่ี า่ํ ศพอยทู ีส่ ูง - มีคณุ คอื นิมติ เกดิ ไดง า ย เพราะ เกิดจากศพซ่ึงมีสภาพนากลัว ๕.โอกาสโต - ทตี่ ง้ั รูวามอื เทา ศรี ษะอยูตรงน้ี ๔.ถลโต - ท่ีดอน รูวาทีน่ นู นห้ี วั เขา หรอื รูวาตนอยทู ่ีสูง ศพอยูทต่ี ่ํา (ยิง่ นากลวั นิมิตยิ่งเกดิ งาย ) หรอื รวู าตนอยูตรงน้ี ศพอยูตรงนน้ั ๕.สมนฺตโต - รอบดาน รูท่ัวไปในรางศพ - มีโทษ คอื นิมิตไมแท แตเ ขา ใจผิดวา ไดอ คุ คหนมิ ติ แลว ๖.ปรจิ เฉทโต - ขอบเขต รวู า เบือ้ งตํา่ สดุ ของศพนั้นแคพ ้ืนเทา บนสดุ แคปลายผม ทว่ั ตัวสดุ แคผ ิวหนงั
- 37 - 5 อสภุ ะมี ๑๐ ประเภท อสุภะ แปลวา สิ่งท่ไี มส วยไมง าม ในทีน่ ไี้ ดแ ก การพิจารณาซากศพในระยะตา งๆ กนั รวม ๑๐ ระยะ เร่มิ ต้งั แตศพทข่ี นึ้ อืด ไปจนถึงศพท่เี หลือแตโ ครงกระดกู อสุภะ มี ๑๐ ประเภท คอื ประเภท ความหมาย คาํ บรกิ รรม ลักษณะปฏภิ าคนิมติ ๑) อทุ ธุมาตกอสภุ ะ ศพท่พี องอืด อุทฺธมุ าตกํ ปฏกิ ลู ํ รปู ปน อว นพลี ํา่ สัน ใสสะอาด เรียบรอ ย วางนง่ิ อยู ๒) วนิ ีลกอสภุ ะ ศพท่มี สี เี ขียวคลํ้า คละดวยสีตา งๆ วนิ ลี กํ ปฏิกูลํ รปู ปน สเี ขยี ว แดง ดํา ตามลักษณะของศพท่ีปรากฏ ใสสะอาด เรียบรอ ย วางน่ิงอยู ๓) วปิ พุ พกอสภุ ะ ศพท่ีมีนา้ํ เหลือง หนองไหลออกตามรอยปริ วิปุพพฺ กํ ปฏิกลู ํ รปู ปนที่ใสสะอาด เรยี บรอ ย วางนิ่งอยู ๔) วิจฉทิ ทกอสุภะ ศพทข่ี าดจากกนั เปน ๒ ทอน วจิ ฉฺ ทิ ฺทกํ ปฏิกลู ํ รปู ปน ที่ใสสะอาด เรียบรอ ย วางนิง่ อยู เปนทอ นตลอดถึงกนั ๕) วกิ ขายิตกอสภุ ะ ศพท่ถี ูกสัตวมีแรง เปน ตน กัดกิน วกิ ฺขายติ กฺ ํ ปฏิกลู ํ รปู ปนทใี่ สสะอาด เรียบรอย วางนง่ิ อยู ๖) วกิ ขติ ตกอสภุ ะ ศพท่ีกระจุยกระจายเรี่ยรายไปตา งๆ วิกฺขติ ตฺ กํ ปฏิกลู ํ รูปปน ท่ีใสสะอาด เรยี บรอ ย วางนงิ่ อยู ๗) หตวิกขิตตกอสุภะ ศพทมี่ ีรวิ้ รอยการถูกฟน แทงทอี่ วัยวะตางๆ หตวิกขฺ ติ ตฺ กํ ปฏิกูลํ รูปปน ท่ใี สสะอาด เรียบรอ ย วางนิ่งอยู ๘) โลหิตกอสภุ ะ ศพท่ีมโี ลหิตไหลอาบ เปอ นโลหติ โลหติ กํ ปฏิกูลํ รูปปน ทีท่ ําดว ยกํามะหยสี่ ีแดง มีความใสสะอาด เรยี บรอ ย วางนิง่ อยู ๙) ปฬุ ุวกอสภุ ะ ศพทมี่ ีหนอน ชอนไช ปฬุ วุ กํ ปฏิกูลํ กอนขาวสาลที ่ีปน ไว มีความใสสะอาด เรียบรอ ย วางนิ่งอยู ๑๐) อฏั ฐกิ อสุภะ ศพทเี่ หลือแตร างกระดกู อฏก ํ ปฏกิ ลู ํ รา งกระดกู ทเ่ี ปน แทง เดยี วกนั มคี วามใสสะอาด เรยี บรอย วางนงิ่ อยู * ยอ วา \" พอง - เขียว - หนอง - สอง - แรง - เร่ยี ราย - รวิ้ รอย -โลหติ ไหล - หนอนไช - กระดูก \" * ความแตกตางกนั ระหวา งอุคคหนมิ ิต และปฏิภาคนิมติ อุคคหนิมิตปรากฏเปนรูปพกิ ลดพู ลิ ึกนาสะพึงกลวั สวนปฏิภาคนมิ ิตปรากฏ เปนเหมอื นรปู ปนท่มี ีความใสสะอาด เรียบรอ ย วางนงิ่ อยู 5 การจัดอสุภะและการเพง ๑) เลือกศพทเ่ี ปนสภาคะกัน เชน ผูเพงเปนชาย --> ศพเพศชาย, ผูเ พงเปน หญิง --> ศพเพศหญงิ ๒) ไมใ หพจิ ารณาอยูเหนือศรี ษะ + ใตเทาของศพ เพราะ พิจารณาศพไมท ่วั ใหพ ิจารณากลางลาํ ตวั ๓) มีความจําเปนในการจัดระเบียบของศพ ทานวา ตองใหผอู ื่นจัดให มเิ ชน น้นั ความกลวั จะนอ ยลง นิมติ กจ็ ะเกิดไดย าก
- 38 - 5 อัฏฐิกอสุภะ ใชเปนอารมณก รรมฐาน มีอยู ๕ อยา ง 5 ความตางกันในระหวา งการเหน็ บริกรรมนิมติ และอุคคหนมิ ิต ( น.๑๐๓ ) เนอื้ เลือด เสนเอ็ดรดั รงึ อยู รางกระดกู 33 3 3 - รางกระดกู มเี นือ้ เลือด โดยมากจะเขาใจผิดเร่ืองบรกิ รรมนมิ ิต และอุคคหนิมิต คือ หลงั จากไดพ จิ ารณาศพ อฏฐ ิก เสน เอ็นรัดรงึ อยู พระโยคีบุคคลก็จํารปู รา งสัณฐานศพนน้ั ไดชัดเจน กส็ าํ คญั วา ไดอ ุคคหนิมิตแลว ท่ีจรงิ เปน สมํส โลหติ นหารุ สมพฺ นธฺ - รา งกระดูกไมมีเนือ้ แตแ ปดเปอ นดว ย เพียงสัญญาความจําอารมณบ ริกรรมนิมติ ทเี่ ปน อดีตมาปรากฏแกใจ 3 โลหิตและมีเสน เอน็ รัดรงึ อยู 23 3 อฏก - รา งกระดกู ทีไ่ มมเี น้อื และเลอื ด แตมเี สนเอด็ รดั รงึ อยู นมิ สํ โลหติ มกฺขติ นหารุ สมพฺ นธฺ 3 - กระดูกท่ีไมม เี สน เอน็ รดั รงึ อยู อฏ ก กระจดั กระจายทว่ั ไป 2 อปคต 2 3 ทสิ าวิทิสาวกิ ฺ - ทอ นกระดกู ทม่ี ีสขี าว การปรากฏแหงอคุ คหนมิ ิต เปนการปรากฏขน้ึ เฉพาะหนา อยูเ สมอไมว าจะไปขา งไหน นหารุ สมฺพนธฺ ขิตตฺ อฏ ก เปรียบดวยสสี งั ข และอยูใ นอิรยิ าบถใดโดยไมมกี ารนึกถงึ เลย มสํ ํ โลหติ เสตสงฺขวณณ ปฏภิ าค อฏ ก 22 2 อปคต นหารุ สมพฺ นธฺ เปรียบเหมือนผทู ีอ่ านหนังสือ เมือ่ ปดหนงั สือแลวกย็ งั จาํ ตัวอกั ษรในหนา หนังสือได แตถ าใหอานดใู หถ ูกเหมอื นกบั เปด หนังสือ ก็มิอาจทําได สว นการเห็นท่เี ปน อุคคหนิมิต 22 2 ผูน นั้ สามารถอานขอ ความในหนงั สอื นนั้ ไดถ ูกตอ งโดยไมต อ งเปดดูเลย 5 ในอสภุ ะ ๑๐ เปนสปั ปายะแกผมู รี าคะอะไรบา ง ? ๑) พอง - เปน สปั ปายะแกผ ูมีราคะจริตในเรือ่ งของ ทรวดทรง ๒) เขียว -\" \" สกี าย ๓) หนอง -\" \" กล่ินกาย ๔) สอง -\" \" อวยั วะท่ีทึบ ( ตบั , มา ม..... ) ๕) แรง -\" \" เน้อื นนู ๖) เรยี่ ราย -\" \" ลลี าทาทาง ๗) ริ้วรอย -\" \" การยึดในเรอื นกาย ๘) โลหิตไหล - \" \" การชอบเคร่ืองประดบั ๙) หนอนไช - \" \" ยดึ มน่ั วา รางกายเปน ของตน ๑๐) กระดูก -\" \" การยดึ เร่อื ง \" ฟน \"
- 39 - อสภุ กรรมฐานมี ๒ นัย ( น.๑๐๖ ) ไดฌาน สมถนัย - เจรญิ วณั ณกสิณเพอ่ื ใหไ ดฌ านสงู ข้นึ วิปสสนานยั ไดมรรค ผล นิพพาน - ยกฌานเปนบาท เจรญิ เขาสูวิปส สนา - พจิ ารณาโดยรปู รางสณั ฐานของศพ - พิจารณาโดย อนิจจงั ทกุ ขัง อนตั ตา - อสภุ ะทย่ี งั มชี วี ติ อยู - เจริญในกายานปุ สสนาสติปฏ ฐาน มี ๑๔ บรรพะ พจิ ารณาในรา งกายโดยมอี าการ บวม ฟกชาํ้ นวิ้ ขาด โลหติ ไหล อานาปา. ๑ ปฏกิ ลู . ๑ หรอื เหน็ ฟน - อสภุ ะทีไ่ มม ีชีวติ แลว - นมิ ติ เกิดยาก อิริยาบถ. ๑ ธาตุ ๔ นบั เปน ๑ ไดแก ศพ ๑๐ ประเภท - นิมติ จะเกิดเร็วชา ขึ้นอยกู ับ สัมปชัญญะ ๑ * อสภุ ะ ๙ บรรพะ ความนากลัวของศพ - อานิสงสไ ดต ัง้ แตตน คอื - อสภุ ะ ๙ บรรพะ ไดแก ลดราคะจริตได ๑.ปฐมสวิ ถิก - พิจารณาศพพอง, เขยี ว, หนอง, สอง ๒.ทุติยสวิ ถกิ - พจิ ารณาศพแรง , เรี่ยราย, รว้ิ รอย, โลหติ ไหล, หนอนไช ๓.ตตยิ สวิ ถิก ๔.จตุตถสิวถกิ ๕.ปญจมสิวถิก - พจิ ารณาศพเหมือน อัฏฐิกะ ๕ อยางในสมถะ ๖.ฉฏฐมสวิ ถิก ๗.สตั ตมสิวถกิ ๘.อัฏฐมสิวถกิ - พจิ ารณากระดูกท่ีลวงมาแลว ๓ ป ๙.นวมสวิ ถกิ - พิจารณากระดูกที่เปนผงละเอยี ด 5 อสุภะทีใ่ ชแ ทนวณั ณกสณิ เพอ่ื เจริญทุติยฌาน เปนตน ไป (น.๑๐๕) 5 ถาจะเจรญิ วิปสสนา การเจริญอสภุ กรรมฐานน้มี ิอาจใหฌานเบอ้ื งสงู มีทุติยฌานเปนตนเกิดได (เพราะฌานเบ้อื งสูงตอ งละวิตก) ๑) อาศยั พระโยคบี คุ คลไดภาวนา ๓ ---> นมิ ิต ๓ ๒) เอาปฐมฌานเปนบาทพจิ ารณาอารมณภายนอก (อสุภะ) เปรยี บเทยี บอารมณภายใน ( ตัวเรา ) หากพระโยคีบุคคลท่ไี ดป ฐมฌานแลว ไมต องการเปลี่ยนกรรมฐาน ก็ใหเ พงอสุภะเหมอื นเดมิ แตเ พง ท่ี เขาถงึ สภาพรปู นามเหมือนกัน สใี ดสีหนึง่ ท่ีปรากฏชดั มากท่สี ดุ ซึง่ มอี ยูในศพน้ันแทน (เปน วณั ณกสณิ ไดเหมอื นกัน) พรอ มบริกรรมวา ๓) สมถยานิกะ ท่มี าเจริญวิปส สนา จะไมม ีนวิ รณธรรมรบกวน เขียวๆ หรอื เหลืองๆ หรือ แดงๆ หรอื ขาวๆ จนอคุ คหนมิ ิตปรากฏ แลว เจริญตอไปจนไดป ฏภิ าคนมิ ติ - ในการเจรญิ อสภุ กสณิ ได ภาวนา ๓ ---> นิมติ ๓ ---> ปฐมฌาน วัณณกสิณ ได ภาวนา ๓ ---> นมิ ติ ๓ ---> ทตุ ยิ ฌาน
- 40 - 5 อนสุ สติ ๑๐ ( น.๔, ๑๐๗-๑๗๘ ) อนุสสติ ๑๐ องคธรรม ปรมตั ถ / บัญ. ภาวนา ๓ นมิ ิต ๓ ฌาน จรติ อนุ * เพราะเหตใุ ด อนุสสติ ๑ - ๘ จงึ ไดเ จริญภาวนาไดเพยี ง ปรมัตถ ๑) พุทธานสุ สติ บัญญตั ิ บรกิ รรม.--> ศรทั ธา อุปจารภาวนา เทา น้นั ไมเ ขา ถงึ อัปปนาภาวนา อุปจาร. ---> ๒) ธมั มานุสสติ ศีล สมาธิ ปญญา พทุ ธิ ๑) อน.ุ ท้ัง ๘ ในเบือ้ งตนตอ งอาศยั บญั ญตั กิ อ น ขณะที่กําลงั ๓ ภาวนา > ราคะ ๓) สังฆานุสสติ > วิตก, โมหะ มีคําวา \" อนุ \" พจิ ารณาในพุทธคณุ ฯลฯ เมอ่ื กาํ ลงั สมาธิ +ปญ ญามากขน้ึ * ขาดโทสะ ๔) สีลานสุ สติ ศลี กุศลจติ ตุปบาท บริกรรมนมิ ิต 2 คอื การตามพิจารณา จึงจะสามารถคน หาสภาวะธรรมได อคุ คหนิมติ ๕) จาคานสุ สติ ทานกศุ ลจติ ตปุ บาท (โดยปรยิ าย) บอยๆ เนอื งๆ ๒) อน.ุ ทัง้ ๘ ตอ งอาศยั ทงั้ สมาธิ + ปญญา (สติสัมปชญั ญะ) ๖) เทวตานุสสติ สปั ปุรสิ รัตน ๗ - ถา สมาธิแรง การคนหาสภาวะกไ็ มเจอ ๗) อปุ สมานุสสติ การระลกึ คณุ ของพระนพิ พาน - ถา ปญ ญาแรง การต้งั มัน่ ในอารมณก็ไมดี ๘) มรณานสุ สติ รูปชีวติ , นามชวี ติ ดังนัน้ สมาธิ + ปญ ญา จึงตองเสมอกนั ๙) กายคตาสติ โกฏฐาสบญั ญตั ิ ๓๒ ๓ นมิ ติ > ปฐม ไมม ีคาํ วา \" อนุ \" ๓) ดว ยเหตนุ ี้จึงทําใหสมาธไิ มมีกําลังแรงจนเขา ถงึ อปั ปนา. ( โดยตรง ) > ปฐม-ปญจ. ๑๐) อานาปานัสสติ อัสสาสปสสาสบัญญัติ เพราะเปน บัญญตั ิ (ฌาน) ได และปญญาก็ไมมกี าํ ลังในการพิจาณารปู นาม โดยความเปน ไตรลักษณ เห็นเพียงสภาวะ ๔) อน.ุ ทงั้ ๘ จงึ เจริญภาวนาไดเ พียงอุปจารภาวนาเทาน้ัน 5 พุทธานุสสติ และทมี่ า สป.๔ ณ รตั นฆรเจดีย ทรงพจิ ารณา สป.๒ ณ อนมิ ิสเจดีย ทรงเพงดรู ัตนบัลลังก * วชิ ชา ๓ ท่ีทรงสาํ เร็จในคืนสดุ ทา ย พระอภิธรรม สป.๓ ณ รัตนจงกรมเจดีย ทรงพิจารณาในยมกปาฏหิ ารย ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ฯลฯ ฌ.. > วิชชา ๑ ปุพเพนวิ าสานุสสตญิ าณ สป.๑ ศรีมหาโพธ์ิ สป.๕ ณ อชปาลนิโคธ (ตนไทร ) สป.๘ ทรงพิจารณาธรรมทง้ั หมด > วิชชา ๒ จตุ ูปปาตญาณ ณ รตั นบลั ลงั ก ทรงตอบพราหมณห ุหภุ ชาติ นอมใจจะไมเ ผยแพร เรอื่ งธรรมท่ีจะเปนสมณะ ทาวสหมั บดพี รหม มาอาราธนา ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ม ผ ผ ฯ, โว ม ผ ผ ฯ, โว ม ผ ผ ฯ, โว อรม ผ ผ ฯ.. ทรงพจิ ารณา ใหเ ผยแพรธ รรม ทรงพิจารณา ปฏจิ จสมปุ บาท ทรงขับธิดามาร (ตณั หา ราคา อรตี) สุขาปฏปิ ทาขิปปาภญิ ญา สป.๗ สป.๖ ณ มุจจลนิ ท (ไมจิก) บุคคลเปรียบบัว ๔ เหลา > วชิ ชา ๓ อาสวักขยญาณ ณ ราชายตน (ตนเกตุ) พญานาคช่ือ มุจจลินท พบ ตปสุ สะ + ภัลลกิ ะ ( อบุ าสกคแู รก ) แผพ งั พานกนั ฝนใหพระองค
- 41 - 5 ความเปนมาของพทุ ธคณุ ๙ บท [๒] ตลอด ๔๕ ป เรยี กวา สัมมาสัมพุทโธ ---> พทุ โธ (อรยิ สัจจ ๔) [๓] วชิ ชาจรณสมั ปน โน - คืนสดุ ทา ยจนกระท่งั ถงึ อรม.ได วิชชา ๓ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค โส.ม. ผ ผ ฯลฯ, โว สก.ม. ผ ผ ฯลฯ, โว อนา.ม. ผ ผ ฯลฯ, โว อร.ม. ผ ผ ............ ปรินิพพานจิต [๑] อรหํ = พระพุทธเจา, พระปจเจก, พระสาวก [ ๑ ] อรหํ มี ๕ นัย [ ๒ ] สัมมาสัมพทุ โธ ---> เญยยธรรม ( ธรรมทคี่ วรรู ) ---> พทุ โธ ๑) อารกะ - การทาํ ลายกิเลส และวาสนาของกิเลสหมดสิ้น (วาสนา-ความคุน เคยทาํ สง่ิ นัน้ ๆ อยนู านๆ ) ( อรยิ สจั จ ๔ ) กิเลส ๑๕๐๐ = ๗๕ (จติ ๑, เจ.๕๒, นิปผันน.๑๘, ลักขณ.๔ ) x ๒ (ใน+นอก) x กเิ ลส ๑๐ ๑) สงั ขาร - จิต ๘๙, เจ.๕๒, นปิ ปผนั นรปู ๑๘ ๒) วกิ าร ๕ - วกิ าร ๓ + กายวิญญัติ + วจวี ญิ ญัติ ๒) อริ + ห - มกี ารทําลายขา ศึกโดยมรรค ใหหมดส้นิ ๓) ลักขณะ ๔ - อปุ จย, สนั ตต,ิ ชรตา, อนิจจตา ๓) อร + ห - มีการทาํ ลายสังสารวัฏฏ ใหหมดสิ้น ๔) นิพพาน - การสงบจากกเิ ลส และรูปนามขนั ธ ๕ ๔) อรหะ - เปนผคู วรรบั ทักษิณาทาน ๕) บญั ญัติ - สทั ทบญั ญัต,ิ อตั ถบญั ญตั ิ ๕) อ + รห - ไมม กี ารทําบาปในทีล่ ับ [ ๓ ] วิชชาจรณสมั ปนโน [ ๔ ] สุคโต > ศลี ขนั ธ + สมาธิขนั ธ = การเขา ถึงจรณะ (ความประพฤติ) มี ๑๕ อยา ง (น. ๑๑๐) นับต้งั แตชาตทิ ี่เกดิ เปนสุเมธดาบส ไดพบพระพทุ ธเจาท่ชี ่ือวา \" ทปี งกร \" เอาพระเศยี รแทบพระบาทพระพทุ ธเจา - สทั ธรรม ๗ - ศรทั ธา, สติ, หิร,ิ โอตตัปปะ, วิรยิ ะ, สตุ ะ, ปญญา (สุตมย, จินตมย, ภาวนามย) และไดรับพทุ ธพยากรณว า จะไดเปน พระพทุ ธเจา ในกาลตอ ไป ถือวาเปน นยิ ตโพธสิ ตั ว วงเวยี นในวัฏฏ ๔ อสงไขย ย่ิงดวยแสนมหากัปป จนถงึ ขณะพระองคป ระทบั นง่ั ทโี่ พธบิ ลั ลงั ก เรยี กวา \" สุคโต \" กัมมสัททา, วปิ ากสัททา, กัมมสกตาสทั ทา, ตถาคตโพธิสัททา - เสขปฏิปทา ๔ - โภชเนมตั ตญั ตุ า, ชาครยิ านุโยค, ศีล, อินทรียสังวร [ ๕ ] โลกวทิ ู เปนผรู โู ลกอยางแจม แจง ในคืนวันสุดทาย - รูปฌาน ๔ - รปู ปฐมฌาน, รปู ทุติยฌาน, รูปตตยิ ฌาน, รปู จตุตถฌาน > ยามที่ ๑ รปู ุพเพนวิ าสานุสสตญิ าณ > ปญ ญาขันธ - ปุพเพนวิ าสานสุ สตญิ าณ, ทพิ ยจกั ขุญาณ, อาสวกั ขยญาณ > ยามท่ี ๒ รจู ุตูปปาตญาณ --> สัตวโลก - รกู ารจุติ / อบุ ตั ขิ องสตั วท ัง้ หลาย - วิชชา ๓ - ๑.วปิ ส สนาญาณ ๑๐, ๒.อิทธวิ ธิ ญาณ, ๓. มโนมยิทธิญาณ, ๔.ปุพเพนวิ าสานสุ สตญิ าณ, - วิชชา ๘ ๕.เจโตปริยญาณ, ๖.ทิพพจกั ขญุ าณ, ๗.ทพิ พโสตญาณ, ๘.อาสวกั ขยญาณ - รูภพภูมติ า งๆ ของสตั วท้ังหลาย (๑, ๘ = วปิ ส สนา, ๒-๗ = สมถ.) --> โอกาสโลก - รใู นแสนโกฏจกั รวาล > ยามที่ ๓ รูอ าสวักขยญาณ --> สงั ขารโลก รใู นรูปนามขันธ ๕ เพ่อื เวไนยสัตวท้งั หลาย เขาถงึ วปิ ส สนาญาณ --> มัคคญาณ --> ผลญาณ --> พระนิพพาน
** โลกวทิ ู แสดง \" ตา \" ๕ อยาง คอื ๒. ธมมฺ - 42 - ๓. ยสสฺ ๑. ตาธรรมดา ๓. ทิพพจักขุ = ฌานลาภบี คุ คล ๔. ตาปญ ญาในมคั ค + ผล = พระอริยะ ๔. สิรี ไดแก โลกุตตรธรรม ๙ (มรรค ๔ ผล ๔ นพิ พาน ๑ ) ๕. กาม มีเกยี รติยศ ชอ่ื เสียง แผไปในหมมู นุษย เทวดา พรหมทั้งหลาย โดยไมตอ งประกาศโฆษณายกยองตนเอง ๒. ตาเห็นสภาวะ ๕. ตารอู ัชฌาศัยของสัตวทง้ั หลาย = พระพุทธเจา ๖. ปยตฺต มผี วิ พรรณเปลงปลงั่ รปู รา งงดงามเปนสิรมิ งคลชวนดูไมเบ่ือคือ มหาปรุ ิสลกั ษณะ ๓๒ อนุพยญั ชนะ ๘๐ เม่ือประสงคสิ่งใด ก็สําเร็จในส่งิ น้นั ทุกประการ [ ๖ ] อนุตตโร ปรุ สิ ธมั มสารถิ ใชค วามเพยี รท้ังกลางวันกลางคืน ในอนั ท่จี ะใหเวไนยสตั วท ง้ั หลายไดร บั ประโยชน คอื เวลากลางวัน : ในระหวา งทีเ่ สดจ็ โปรดสัตวแ ละกอนที่จะทรงกระทําภัตตกจิ นั้น เพราะเปนบรุ ษุ ผยู อดเยีย่ ม หาทเ่ี ปรียบมิไดใ นเชิงการอบรมสง่ั สอนเวไนยสตั วท ั้งหลาย - ทรงกระทําการอบรมสั่งสอนแกผ ูทีม่ าเฝาพอสมควร - ภายหลังจากภัตตกจิ มพี ระภกิ ษุเขา เฝา ทรงประทานกรรมฐานและโอวาทตามสมควรแกอ ธั ยาศยั [ ๗ ] สตั ถาเทวมนสุ านงั ของพระภกิ ษนุ ้นั ๆ เปน ศาสดาของมนุษย เทวดา พรหมทง้ั หลาย ทจ่ี ะใหพ น จากชาติ ชรา มรณะ แลวเขาถงึ พระนิพพาน - เม่ือพระภิกษุพากันกลับแลว ก็ทรงพักผอ นชว่ั ครูหนง่ึ - ตอ ไปก็ทรงพจิ ารณาตรวจดูหมูส ตั วท ัว่ โลก ท่คี วรจะกระทําการอบรมฝก ฝนได [ ๘ ] พุทโธ เปน ผูรแู จง อริยสัจจ ๔ โดยรอบครอบอยางถ่ถี ว น แลว สามารถยังสัตวท ั้งหลายใหรูต าม - แลวทรงแสดงพระธรรมเทศนาแกปวงชนทีม่ าจากทศิ ตา งๆ - หลังจากนัน้ ก็ทรงสรงนํ้าและพกั ผอนช่วั ขณะหน่ึง สัมมาสัมพทุ โธ --> เญยยธรรม วน เวลากลางคนื : - ต้ังแต ๖ โมงเย็นจนถงึ ๔ ทุม ซึง่ เปนปุริมยาม ๑) สังขาร สัจจญาณ (ปริยตั )ิ กิจจญาณ (ปฏิบตั )ิ กตญาณ (ปฏเิ วท) มีพระภิกษุมาเฝา ทลู ขอกรรมฐานบา ง ทลู ถามปญ หาตางๆ บาง ทลู อาราธนาใหแ สดงธรรมบาง พระองคก็ทรงอนโุ ลมตามทุกประการ แลว เสร็จก็พากันกลบั ๒) วกิ าร ๕ ๑) ทุกขสจั จ - กาํ หนดรู - กิจท่ีควรกําหนดรู - กาํ หนดรูแลว - ตัง้ แต ๔ ทมุ ถึงตี ๒ อนั เปน เวลาเงียบสงัด ยา งเขาสู มชั ฌิมยาม มเี ทวดาและพรหมทง้ั หลาย มาเฝาจากหมนื่ จักรวาล ทูลถามปญหาบา งทูลอาราธนาใหแ สดงธรรมบา ง ๓) ลักขณะ ๔ อรยิ สจั จ ๔ ๒) สมุทยสัจจ - การละ - กจิ ที่ควรละ - ละแลว พระองคก ็ทรงอนโุ ลมตามเชน เดยี วกัน แลวเสร็จกพ็ ากนั กลับ - ตง้ั แต ตี ๒ ถงึ ๖ โมงเชา ซ่ึงเปน เวลา ปจฉมิ ยาม พระองคท รงแบงเวลาเปน ๓ ระยะคอื ๔) นิพพาน ๓) นิโรธสจั จ - การทําใหแจง - กจิ ท่ีควรทาํ ใหแจง - แจง แลว ระยะที่ ๑ ทรงเดนิ จงกรม เปน เวลา ๑ ชัว่ โมง ๒๐ นาที ระยะที่ ๒ เขา ท่ีบรรทม เปนเวลา ๑ ช่วั โมง ๒๐ นาที ๕) บญั ญตั ิ ๔) มคั คสจั จ - การทําใหเจริญ - กจิ ทีค่ วรทาํ ใหเจรญิ - เจรญิ แลว ระยะที่ ๓ ทรงพิจารณาตรวจดหู มูมนุษย เทวดา พรหมทัง้ หลายวา จะมีผใู ดบางไดเคยสรา งปญญา บารมีมาแลว จากภพกอนๆ ในศาสนาของพระพุทธเจาองคอ ่ืนๆ ทีส่ มควรแกพ ระองคจะทรงโปรด [ ๙ ] ภควา มกี ารแสดง ๖ อยา ง ( น. ๑๑๒ ) ใหบรรลมุ รรค ผล นิพพาน ๑. อสิ ฺสริย เปน ผูมอี ิสสรยิ ะ คอื ความเปนใหญ บญุ อิสสริยะ ๘ ๑) อณมิ า หายตวั ไดอยา งมหัศจรรย ๒) ลมมิ า เหาะไดอ ยา งรวดเรว็ ๓) มหิมา เนรมติ รา งกายไดใ หญท่สี ุด ๔) ปตฺติ เสด็จไปทใ่ี ดๆ ไดตามพุทธประสงค โดยไมม ีส่งิ ใดมาขัดขวาง ๕) ปากมฺม เนรมิตเปนรปู รางสัณฐานตางๆ ประกอบดว ยสสี รร วรรณะตางๆ กนั ๖) อสี ิตา มอี ํานาจบงั คับบญั ชาตนเองตลอดจน มนษุ ย เทวดา พรหมทั้งหลายไดท วั่ หนา ๗) วสติ า สามารถเขาฌานและทาํ อภญิ ญาไดท ันทเี ม่ือตองการ ๘) ยตถฺ กามาวสายติ า สามารถทาํ ธรุ กจิ ตา งๆ ที่กําลงั ทําอยนู ั้นใหแ ลว เสร็จอยางรวดเรว็
5 ธมั มานสุ สติ ( น. ๔, น.๑๑๓ - ๑๑๕ ) - 43 - ระลึกในธรรมคุณ ๖ บท ระลกึ ในธรรมคุณ ๖ บท อาศัยความกวา งขวางของธรรมทงั้ ๖ บท อาศยั ความลกึ ซ้งึ ของธรรมในแตล ะบท ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ...ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ...ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท อยใู นวสิ ัยของพระอรยิ ะ ในพระธรรมคณุ ท้ัง ๑๐ ประการ สติ ท่ใี นมหากุศลจิต ๘ บริกรรมภาวนา อุปจารภาวนา ไดแ ก สติ ท่ใี น มหาก.ุ สัม.๔ (ปญญา) \"สมาธิแรง\" > อาศยั การพิจารณาโดยปริยัติ คอื \" ปฏก ๓ \" สติสัมปชญั ญะ * วจนตั ถะ \" ธมมฺ ํ อนสุ สฺ ติ ธมมฺ านสุ ฺสติ \" การระลกึ ในคณุ ของพระธรรมเจา อยเู นืองๆ ชื่อวา ธัมมานสุ สติ อธ. ไดแ ก สติ เจ. ทใ่ี น ม.กุ.๘ ทีม่ คี ุณของพระธรรมเจาเปน อารมณ ไดแ ก ธรรม ๑๐ ประการ คอื ปฎ ก ๓ (นบั เปน ๑) + โลกุตตรธรรม ๙ (มัคค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ) ** การพจิ ารณาท่มี าที่ไปในธรรม ๑๐ ประการ จากพทุ ธคุณ ๙ บท > อรหํ เขาถงึ สัมมาสัมพทุ โธ เขาถงึ พุทโธ ทําลายกเิ ลส ๑๕๐๐ เญยยธรรม เขาถึงอรยิ สจั จ ๔ ( ทุกข สมทุ ัย นโิ รธ มรรค ) และวาสนาของกิเลสหมดสน้ิ เหมอื นกนั หมด - พระอภิธรรม มีในเบื้องตน - อภธิ รรมแสดงท่ไี หน แกใคร = ปฎก ๓ -> มคั ค.๔ ผล ๔ นพิ พาน เปนทีม่ าของ พระสูตร ( พระธรรม ๑๐ ประการ ) - ตอ มามีพระภิกษใุ นธรรมวนิ ัยน้ี จึงเปนทีม่ าของการบัญญตั ิ สกิ ขาบท เปนที่มาของ พระวินัย
- 44 - ** ธรรมคณุ ๖ บท อาศัยปรยิ ัติ = วปิ ส สนาภมู ิ ๖ = ปฎก ๓ (นบั รวมเปน ๑ ) ( ปฎก ๓ + โลกตุ ตรธรรม ๙ = พระธรรม ๑๐ ประการ ) วา โดยญาณ > นามรูปปริจเฉท.+ปจจยปริคคห. > สมั ม., อุทยพั ., ภงั ค., ภย., อาทีนว., นิพพิทา., มุญจิต.ุ , ปฏสิ ังขารุ., อนโุ ลม. โลกุตตรธรรม ๙ ( มคั ค.๔ ผล.๔ นิพพาน ๑ ) ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ...ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ม ผ ผ ฯ ... โว ม ผ ผ ฯ ... โว ม ผ ผ ฯ ... โว ม ผ ผ ฯ ... ( อกาลิโก ) * ธรรมบทที่ ๑ \" สวากขฺ าโต \" * ธรรมบทที่ ๒ \" สนฺทิฏโ ก \" ๓ นยั * ธรรมบทที่ ๓ \" อกาลิโก \" ใหผลไมจ ํากดั กาล - โลกยี กุ./อก.ุ = กาลิกะ ทิฏฐธมั มเวนียกรรม, อปุ ปชชเวทนียกรรม, อปราปรยิ เวทนียกรรม = พระธรรม ๑๐ ประการ (ปฎ ก.๓ +โลกุต.๙) ๑. การเหน็ เปนประจักษดว ยปจจเวกขณะญาณ (จํากดั กาล) - ผูเขา ถงึ ยอ มระงับความทุกขท่ีเกิดจากกิเลสชวั่ ขณะหน่งึ ( เปน สวนหนึ่งของ สนั ทิฏฐโิ ก ) - โลกุต.กุ. = อกาลิกะ คอื ไมจาํ กัดกาล - ทาํ ใหเ กดิ ความบริสทุ ธ์ผิ อ งใสแหงจิต ๒. เปน การละกเิ ลสดว ย สนั ทิฏฐิกะ มัค.เปน สหชาตกมั มปจจัย > ม ผ ผ < ผล.เปน นานักขณกิ กัมมปจจัยชนิดพลว - สวากขฺ าโต แบง เปน ๒ สว น พระอรยิ ะ ทรงสรรเสรญิ ทฏิ ฐิท่ชี อ่ื วา และเปนปกตูปนสิ สยปจจยั ชนดิ สุทธ (ติดตอ กนั ) มคั .ตอ ผล เปน อนันตรชาติ ชื่อวา ปกตูปนิสสยนานักขณกิ กัมมปจจยั ๑.ปริยตั ิธรรม (มงุ หมายเอา ปฎก ๓) ช่ือวา สวากฺขาตธรรม เพราะ สนั ทฏิ ฐิกะ คือ โลกตุ ตรธรรม ๙ ที่ประหาน * ไดทันที ๕ ปจจยั + ปกตปู นสิ สยนานักขณิกกัมม ปจ. = ๔ ชาติ > มีอรรถ + พยัญชนะบรสิ ทุ ธ์ิบรบิ รู ณอ ยา งสน้ิ เชิง กเิ ลสเปนสมุจเฉทปหาน * ธรรมบทที่ ๔ \" เอหิปสฺสิโก \" = ความสุข ๓ ระดับ > มอี รรถไมว ิปลาส ๓. ควรแกการเหน็ ๑. สังขารปริคคัณหนกวิปส สนา ๓. นิโรธสมาปต ตวิ ปิ สสนา ๒. ผลสมาปตติวิปสสนา ๒.โลกตุ ตรธรรม ๙ ชื่อวา สวากขฺ าตธรรม เพราะ > เหน็ ดว ยภาวนาภิสมยั คอื มรรค ๔ เปน เหตใุ หมคั ค ๔ ผล ๔ พระนพิ พาน เกดิ ขึน้ โดยการทําใหเจริญ > เห็นดว ยสัจฉิกิริยาภสิ มัย โดยการทําใหแจง * ธรรมบทท่ี ๕ \" โอปเนยยฺ โิ ก \" (พระธรรม ๙) * ธรรมบทที่ ๖ \" ปจฺจตตฺ ํ เว ทติ พโฺ พ วิ ฺ หู ิ \" ** พระคุณบทหลังๆ เปน เหตุใหธรรมบทตนๆ ไดอ ยา งไร - ควรนอ มเขามาใสตน - โลกตุ ตรธรรม ทีเ่ ปน สังขต คือ มคั ค.๔ ผ.๔ ( พระธรรม ๑๐ / ๙ ) โลกตุ ตรธรรม ทเ่ี ปน อสังขต คอื พระนิพพาน - อริยมคั ค ๔ ช่อื วา \" โอปนยกิ ธรรม \" เพราะ - ปจจฺ ตฺตํ แบงเปน ๒ สวน โลกตุ ตรธรรม ๙ ที่ชื่อวา นาํ พระอริยะเขาถึงพระนพิ พาน - ผล ๔ + พระนพิ พาน ชอื่ วา \" โอปนยิกธรรม \" เพราะ ๑.ปริยตั ิ - ธรรมรส (ทผ่ี ศู กึ ษาไดร บั ) ทําพระนิพพานใหแ จง ไดรับท้ังในปถุ ุชนและพระอรยิ ะ สวากฺขาโต -> สนั ทิฏฐิโก -> อกาลโิ ก -> เอหปิ สฺสิโก -> โอปเนยยฺ โิ ก -> ปจจฺ ตฺตํ เวทติ พฺโพ ๒.โลกุต.๙ - ธรรมรส ไดรับท้งั ใน ปถุ ุชน+พระอรยิ ะ พระธรรม ๙ บท - อรรถรส ไดร ับใน พระอริยะ พระธรรม ๑๐ บท \" -> \" อานวา \" เพราะธรรมเหลานน้ั เปน... \"
- 45 - 5 สงั ฆานสุ สติ ( น. ๔, ๑๑๖ - ๑๒๐ ) ระลึกในสงั ฆคุณ ๙ บท คน หาสภาวะของสงั ฆคณุ ๙ บท ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ...ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ...ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ ม.ก.ุ ๘ สติ บริกรรมภาวนา อุปจารภาวนา อานสิ งส คอื ๑. เปน ผมู ีศรทั ธาเปน บาทในชาตติ อ ไป ๓.มสี คุ ติภมู ิเปนท่ีหวงั ๒. มปี ตปิ ราโมทยไ พบูลย ๔. เปนที่รกั ของเทวดา * วจนตั ถะ \" สงฆฺ ํ อนุสสฺ ติ สงฺฆานุสฺสติ \" การระลึกถงึ คุณของพระสงฆเจา อยูเนอื งๆ ชื่อวา สงั ฆานุสสติ อธ. ไดแ ก สติ เจ. ที่ใน ม.ก.ุ ๘ ที่มีคุณของพระสงฆเ ปน อารมณ ** ทม่ี าที่ไปของ ธรรม ๙ บท อรหํ สมั มาสมั พุทธโธ พทุ โธ ---- อธศิ ีล อธิจติ อธิปญ ญา พทุ ธคณุ ๙ บท เญยยธรรม - นับต้ังแต อรหัตตผลเกดิ อาศยั บญั ญตั ิ > ปฎ ก ๓ อรยิ สจั จ ๔ ( จนิ ตามยปญญา --> ภาวนามยปญ ญา ) ม.๔ ผ.๔ นิพ สงั ฆคุณ ๙ บท เหตุ ๔ ( บทที่ ๑ - ๔ ) มคี ําวา \" สาวกสงโฺ ฆ \" ธรรมคณุ ๖ บท เกย่ี วขอ งกับ ผล ๕ ( บทที่ ๕ - ๙ ) ไมม ีคําวา \" สาวกสงโฺ ฆ \" ธรรมคณุ ๖ บทโดยตรง พระอริยะ ๔ คู ๘ บุคคล - นับต้ังแต โสดาปตติมรรคเปนตน ไป อยา งมากอกี ๗ ชาติ เรยี กวา \" สาวกสงฺโฆ \" ( สุตมยปญ ญา --> ภาวนามยปญญา )
- 46 - 5 สงั ฆคณุ ๙ บท มีอะไรบาง พระอรยิ ะ ๔ คู ๘ บคุ คล ชือ่ วา สุปปฺ ฏิปนฺโน เหมอื นกัน แตตางกนั ทงี่ าน ภ ... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค โส.มัค ผ ผ ฯ ... โว สก.มคั ผ ผ ฯ ... โว อนา.มัค ผ ผ ฯ ... โว อร.มคั ผ ผ ฯ ... ปรนิ พิ พานจิต โสดาบันบุคคล สกทาคามบี ุคคล อนาคามีบคุ คล อรหนั ตบุคคล เสกขบุคคล ๗ อเสกขบุคคล พระอรยิ ะท่ยี ังมีงานปหานกิเลสอยู พระอรยิ ะท่เี สร็จสน้ิ งานปหานกเิ ลสแลว ๑) ช่ือวา \" สุปปฺ ฏิปนโฺ น \" เพราะพระอรยิ สงฆส าวก ๘ จาํ พวกของพระผูม พี ระภาคเจา น้นั ** พระอริยะ ๘ บคุ คล มี อธิศลี ตางกบั คฤหัสถ แตเ มอ่ื เขา ถงึ อธจิ ติ และอธิปญญาแลว เปน ผูปฏิบัตดิ ี สมบรู ณด ว ย อธิศลี สกิ ขา อธิจิตตสกิ ขา อธิปญญาสกิ ขา การดาํ เนินงานจะเหมือนกัน เชน อธิศลี = ศีลวสิ ทุ ธิ = จตุปาริสทุ ธศิ ีล ๔ ภกิ ษทุ ่ีเปน โสดาบนั มอี ธิศีล ๒๒๗ แตเม่อื เขา ถึง อธิจติ อธิปญ ญา จะปฏิบตั ิ อธจิ ติ = จิตตวสิ ุทธิ คฤหสั ถท ี่เปน โสดาบนั มีอธิศีล ๕ / ๘ เหมือนกันจนสาํ เรจ็ สกทาคามี ไดเ หมือนกนั อธิปญ ญา = ปญญาระดับที่ ๑ ทิฏฐวิ สิ ทุ ธิ + กังขาวติ รณวสิ ุทธิ ( = ปญ ญาที่รูในรปู นามและเหตขุ องรปู นาม ) = ปญ ญาระดับที่ ๒ มัคคามคั คญาณทสั สนวิสุทธิ ( = ๑ ญาณครงึ่ ) + ปฏิปทาญาณทัสสนวสิ ุทธิ ( = ๘ญาณคร่งึ ) เมอ่ื วาโดยปคุ คลาธิษฐาน ตา งกนั ทศี่ ีล แตเมอ่ื วาโดยธมั มาธิษฐาน เหมอื นกนั ในการปฏิบตั ิ ( = ปญ ญาท่ีรูใ นไตรลกั ษณ ) สรุป ภกิ ษุ / คฤหสั ถ (ที่ไดมคั ค.๔ ผล ๔) จะตางกันทอ่ี ธิศลี เหมือนกันทีอ่ ธิจิต อธิปญ ญา = ปญญาระดับที่ ๓ ญาณทสั สนวสิ ุทธิ ( = มัคคญาณ มีพระนพิ พานเปน อารมณ ) ** ทช่ี ่ือวา \"สาวกสงฺโฆ\" สาวกของพระผมู ีพระภาคเจา น้ัน มุงหมายใน ๑. พระอรยิ ะ ๔ คู ๘ บคุ คล ๒. คฤหัสถทีเ่ ขาถงึ มัคค.๔ ผล ๔ -โดยตรง ๓. ภิกษทุ ั่วไปท่ยี งั ไมได มัคค.๔ ผล ๔ แตอ ยูร ะหวา งการเจรญิ วปิ สสนาดว ยอธิศีล อธิจติ อธปิ ญ ญา - โดยออ ม
- 47 - ๒) ชอ่ื วา \" อชุ ปุ ปฺ ฏปิ นโฺ น \" เพราะพระอริยสงฆส าวก ๘ จําพวกของพระผูมพี ระภาคเจา น้ัน เปนผปู ฏบิ ัติตรงตอ \"หนทาง\" ทนี่ ําเขา สพู ระนพิ พานโดยสว นเดยี ว ไมเ กีย่ วขอ งกบั เรื่องของโลก ท้ังไมมมี ารยาสาไถยแตอ ยางใดเขามาเจือปน พระอรยิ ะ ๔ คู ๘ บุคคล ช่ือวา สปุ ปฺ ฏปิ นโฺ น (๑) ภ ... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค โส.มัค ผ ผ ฯ ... โว สก.มคั ผ ผ ฯ ... โว อนา.มัค ผ ผ ฯ ... โว อร.มคั ผ ผ ฯ ... ปรินิพพานจติ ปถุ ุชน ดาํ เนนิ งาน ๑๖ ญาณ โสดาบนั บุคคลเปนตน ไป ดําเนนิ งาน ๑๒ ญาณคร่งึ ( พลวอทุ ยพั . > ปจจเวกขณญาณ ) ปหานทิฏฐ+ิ วจิ กิ จิ ฉา อุชุปฺปฏปิ นฺโน อชุ ปุ ฺปฏปิ นฺโน \" อุชปุ ปฺ ฏปิ นฺโน (๒) \" มกี ารปฏบิ ัตติ รงตอหนทาง ท่ีมงุ สูพระนิพพาน กิเลสถกู ปหานเปน สมุจเฉท.โดยไมม ีมารยาสาไถย เม่ือพระนิพพานเกิดไดช่อื วา \"ายปฺปฏปิ นโฺ น (๓)\" เพราะพระอรยิ สงฆสาวก ๘ จาํ พวกของพระผมู ีพระภาคเจานนั้ เปน ผูป ฏิบัตมิ ุงตอพระนพิ พานอันเปนอมตธรรม ไมมกี ารปรารถนาอยากไดภวสมบัติ และโภคสมบตั ิแตอ ยางใดเลย หมายถงึ พระนิพพาน = ผลสมาบัติ = อมตธรรม **** เพราะ (๑) สปุ ฺปฏิปนโฺ น พระอรยิ สงฆส าวก เปนผูสมบูรณด ว ย อธศิ ลี อธิจิต อธปิ ญญา เพราะพระอริยสงฆสาวก ๘ จําพวกของพระผูม ีพระภาคเจา นั้น เปนผู (๒) อุชุปฺปฏิปนฺโน ปฏิบัติชอบสมควรแกการเคารพกราบไหวข องชนท้ังหลายดว ยกายใจ (๓) ายปปฺ ฏปิ นฺโน พระอริยสงฆสาวก เปน ผูปฏบิ ตั ิตรงตอ หนทาง ทีเ่ ขาสูพระนิพพาน ไดชือ่ วา \" สามีจิปฺปฏปิ นฺโน (๔)\" พระอริยสงฆสาวก เปน ผปู ฏิบตั มิ ุงตอ พระนพิ พาน ท่เี ปนอมตธรรม **** ท้ัง ๔ บทขางตนนี้ เปน ฝายเหตุ จงึ สมควรไดร บั ผล ๕ ขอ คือ ๕. อาหเุ นยฺโย พระอรยิ สงฆสาวก ๔ คู ๘ จาํ พวกของพระผมู พี ระภาคเจาน้ัน สามารถใหผ ลเกดิ ขน้ึ อยา งมหาศาล จงึ เปนผคู วรรับอามสิ บชู าทเี่ ขานาํ มาจากทไี่ กล เปน แขกทีป่ ระเสริฐสุดของคนท่วั โลก จึงเปนผทู ค่ี วรแกก ารตอนรับดว ยปจ จัย ๔ ๖. ปาหุเนยโฺ ย พระอริยสงฆสาวก ๔ คู ๘ จาํ พวกของพระผูมพี ระภาคเจานน้ั สามารถใหอานสิ งสผลเกดิ ข้ึนตามความประสงคข องคนท้ังหลาย จึงควรรับทักขณิ าทาน เปน ผูประกอบดวยศลี สมาธิ ปญ ญา จึงควรแกการกระทําอัญชลขี องมนุษย เทวดา พรหมทงั้ หลาย ๗. ทกขฺ ิเนยโฺ ย พระอรยิ สงฆสาวก ๔ คู ๘ จาํ พวกของพระผมู พี ระภาคเจาน้ัน เปน ท่ีหวานอนั ประเสริฐแหงพชื ตางๆ เหมือนพืน้ ที่นาชนั้ เอกท่ีทําใหพ ืชเจรญิ งอกงามดี ๘. อชฺ ลกี รณโี ย พระอรยิ สงฆสาวก ๔ คู ๘ จําพวกของพระผูมีพระภาคเจา นน้ั ๙. อนตุ ตฺ รํ ปฺุกเฺ ขตตฺ ํ โลกสสฺ พระอรยิ สงฆสาวก ๔ คู ๘ จาํ พวกของพระผมู ีพระภาคเจา นน้ั
- 48 - 5 สีลานสุ สติ ( น.๕, ๑๒๑ - ๑๒๓ ) การเจรญิ สลี านุสสติ หมายความวา การระลกึ ถงึ ความบริสทุ ธ์ขิ องศีลทีต่ นรักษาไวโดยปราศจากโทษ ๔ อยาง มี อขณั ฑะ เปน ตน อยูเนอื งๆ ชอ่ื วา สีลานุสสติ แสดงวจนตั ถะวา \" สีลํ อนุสสฺ ติ = สลี านุสสฺ ติ \" การระลกึ ถงึ ความบรสิ ทุ ธิ์ของศลี ทีต่ นรกั ษาไว โดยปราศจากโทษเนอื งๆ ชื่อวา \" สีลานสุ สติ \" องคธรรมไดแก สตเิ จตสิก ท่ีใน มหากศุ ลจิต ที่มีการเวน การรักษา ตามสกิ ขาบทนัน้ ๆ ** ศีลท่มี ีโทษ มี ๔ อยา ง คอื ศลี ๕ ศลี ๘ ศีล ๑๐ ( > ๒๒๗ ) ** ศลี ท่ีพนไปจากโทษมี ๔ อยาง ๑) ขณฑฺ สลี - ขาดขอตนหรือปลายขอใดขอ หน่งึ ถือวา ศีลขาด ขาดขอ ตนหรอื ปลาย ขาดขอตน หรอื ปลาย ขาดขอ ตน หรือปลาย ๑) อขณฑฺ สีล ๒) ฉทิ ทฺ สีล - ขาดเพียงขอใดขอหน่งึ ในขอ ทา มกลางถอื วา ศลี เปน รู (ทะล)ุ ๒) อฉทิ ทฺ สลี ๓) สพลสลี - ขาดมากกวา ๑ ขอ ไมติดตอ กันในขอทา มกลาง ถือวา ศลี ดา ง ขาดขอ ทา มกลาง ๒-๔ ขาดขอ ทา มกลาง ๒-๗ ขาดขอ ทามกลาง ๒-๙ ๓) อสพลสลี ๔) กมมฺ าสสีล - ขาดมากกวา ๑ ขอ ติดตอกนั ในขอทามกลาง ถือวา ศลี พรอ ย ๔) อกมฺมาสสีล ( ถาคราวใดเกิดศลี ดาง หรือศลี พรอ ย ก็ถอื วา ศีลเปน \" รู \" ดวย ) * พทุ ธคุณ ธรรมคุณ สงั ฆคณุ ไมจาํ เปน ตองเปนอารมณอยูใ นตัว สามารถไประลึกเอาอารมณจากภายนอกตัวมาบรกิ รรมได แตสีลานสุ สติ ตอ งเปนอารมณอ ยูภายในตัวเรา ไประลกึ เอาอารมณศ ีลจากภายนอกตัว มาบริกรรมไมไ ด * ในวิสทุ ธมิ รรค กลาววา การใหเ ขา ถึงความบรสิ ุทธข์ิ องศลี ทง้ั ๔ อยา ง คือศลี ไมข าด ไมเ ปนรู ไมด าง ไมพรอ ยไดนั้น ตอ งตง้ั อยใู น \" หริ ิ+โอตตปั ป \" เปนบาทเปน พน้ื ฐาน ** อปุ สรรคในการเจรญิ สลี านุสสติ ๑) ตอ งเปน ผทู ี่มคี วามบริสุทธขิ์ องศลี ทัง้ ๔ หากไมม ีความบรสิ ทุ ธิ์เพยี งขอเดยี วก็ตาม กไ็ มส ามารถเจริญกมั มัฏฐานน้ีได ๒) หากเปน ผมู ีความบรสิ ุทธข์ิ องศลี ทง้ั ๔ แลว ตอ งคนสภาวะ ( ระลกึ ถงึ ศลี อันบรสิ ทุ ธท ี่ตนถือปฏิบตั ิอยนู ้นั ) ใหเจอจงึ จะมโี อกาสเขาถึงอุปจารภาวนา หากไมเ จอสภาวะก็ไดเ พยี งบรกิ รรมภาวนา ๓) การเจรญิ ในสลี านสุ สติ ระลึกยากกวา ในพุทธคณุ ธมั มคุณและสังฆคณุ เพราะอารมณใ นสลี านสุ สตเิ ปนอารมณภายในตัวทมี่ อี ยจู รงิ ในศลี บริสุทธิ ๔ แตในพุทธคณุ ธัมมคุณ สงั ฆคณุ เปน อารมณภ ายนอกตวั ที่ผูระลกึ ไดทาํ บรกิ รรมภาวนา ** หลักในการเจรญิ สลี านสุ สติ หรือ ศลี ท่ีพระอริยะยอมรับ ทส่ี ําคญั ท่ีสุด ๕ ขอ ๑) ตอ งชาํ ระศลี ของตนใหพนจากโทษและเขาถงึ คณุ ทง้ั ๔ ๒) ผปู ฏบิ ัตติ องทาํ จติ ใจใหปราศจากการเปน ทาสของตัณหา วาการรกั ษาศลี มไิ ดมุง หวงั ภวสมบตั ิ โภคสมบตั ิ ๓) การปฏบิ ัติ \" กายและวาจา \" ต้ังอยูในสกิ ขาบท (๕ - ๒๒๗ ) อยา งเครงครดั จนมิอาจมีผูใ ดจับผิดอา งวตั ถุขึ้นแสดงเปนหลักฐานได มี ขณฺฑสลี เปนตน จนถงึ อกมมฺ าสสีล เปนทส่ี ุด ทําใหเกิด ๔) การประพฤติดวยกายวาจา ของตนนนั้ แมคนอันธพาลและผูท่ีเปน ศัตรจู ะไมมคี วามเหน็ ดีเหน็ ชอบดวยกต็ าม มีการกลาวไวใน \" อากังเขยยสตู ร \" พระองคก ลาวไว ๒ อยาง ๔ขอ แตวิญูชนท้งั หลายยอ มสรรเสริญ ๕) ตองประกอบดวยความรวู า ศีลน้นั เปน เหตทุ าํ ให อุปจารสมาธิ อปั ปนาสมาธิ มรรคสมาธิ และผลสมาธิ เกิดข้นึ ได ๑. เห็นความวบิ ัตขิ องศีลทเี่ ปนโทษ ตามมา ๒. เหน็ อานิสงสของศีลทเ่ี ปนคุณ
Search