Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ปฏิจจสมุปบาทและจิตดวงเดียว

ปฏิจจสมุปบาทและจิตดวงเดียว

Published by WATKAO, 2021-01-22 07:03:15

Description: ปฏิจจสมุปบาทและจิตดวงเดียว

Keywords: ปฏิจจสมุปบาทและจิตดวงเดียว

Search

Read the Text Version

บนั ทกึ การสอน โดย ศรชยั ชยาภวิ ัฒน - ๒๕๕๑

สารบัญ หนา หนา หนา ก) พระบาลี ข) นานาจติ ตักขณิกปฏจิ จสมปุ บาท ค) เอกจติ ตักขณิกปฏจิ จสมปุ บาท บทท่ี ๑ คําปฏิญญาของพระอนุรุทธาจารย - 2 - ๑) อวชิ ชฺ าปจฺจยา สงฺขารา สมภฺ วนตฺ ิ - 7 - - การลดองคในจติ ดวงเดียว - 52 - ๒) สงฺขารปจจฺ ยา วิ ฺ ณํ สมฺภวติ บทที่ ๒ ความตางกันของปฏิจจสมปุ บาท - 3 - ๓) วิฺาณปจฺจยา นามรปู  สมภฺ วติ - 19 - - การเปล่ยี นองคใ นจิตดวงเดียว - 52 - ๔) นามรูปปจจฺ ยา สฬายตนํ สมฺภวติ และปฏฐาน ๕) สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส สมภฺ วติ - 24 - - อกุศลบท จําแนกได ๕ แบบ - 54 - ๖) ผสสฺ ปจฺจยา เวทนา สมฺภวติ บทที่ ๓ แสดงการอุปการะระหวา งปจ จัยธรรม - 4 - ๗) เวทนาปจฺจยา ตณฺหา สมฺภวติ - 27 - - กุศลบท จําแนกได ๑ แบบ - 55 - ๘) ตณหฺ าปจจฺ ยา อปุ าทานํ สมภฺ วติ และปจจยุปบันธรรม - 31 - - อัพยากตบท จาํ แนกได ๓ แบบ - 56 - สรปุ บาลี คาถาที่ ๓ บทที่ ๔ แสดงการจาํ แนกปฏิจจสมปุ บาท - 5 - - 34 - - สรุปทง้ั ๓ บทเปนตาราง - 58 - โดยนยั ตา งๆ - 37 - บทที่ ๕ - ๖, ๘ - ๙ ขยายพระบาลบี ทที่ ๔ - 5 - - 42 - บทที่ ๗ แสดงโสกะ ปรเิ ทวะ ทุกขะ -5- โทมนัสสะ อปุ ายาสะ - 51 - บทที่ ๑๐ แสดงการขาดลงแหง วัฏฏะทง้ั ๓ - 6 - และสมฏุ ฐานของอวชิ ชา

-1- โครงสรางการศกึ ษา ชน้ั มชั ฌมิ อาภธิ รรมิกะโท ปรจิ เฉทท่ี ๘ ปริจเฉทที่ ๙ \"ปฏจิ จยสังคหะ \" \"กัมมัฏฐานสงั คหะ \" ปฏิจจสมุปบาท ปฏ ฐาน สมถกมั มัฏฐาน วปิ ส สนากัมมฏั ฐาน พระสตู ร พระอภิธรรม การหาอํานาจปจ จยั เนือ้ หา บญั ญตั ิ กรรมฐาน ๗ หมวด คอื ๓ หมวด คอื ( ปคุ คลาธิษฐาน ) ( ธัมมาธษิ ฐาน ) ใชนานาจิตตักขณกิ พระบาลี ๑. กสนิ ๑๐ ๑. วปิ ส สนาภูมิ ๖ - เอกจิตตักขณิก ในการหาปฏฐาน ๒๔ ขอ ๒. อสุภ ๑๐ ๒. ธรรม ๖ หมวด - นานาจิตตักขณกิ ๓. อนุสสติ ๑๐ - วสิ ุทธิ ๗ ( ศกึ ษาจติ หลายๆ ดวง ) มีการแสดง ๓ บท ๔. อปั ปมัญญา ๔ - ลกั ษณะ ๓ มีการแสดง ๔ นยั ๑. กศุ ลบท ๕. อาหาเรปฏกิ ลู สัญญา ๑ - อนปุ ส สนา ๓ ๑. แสดงตัง้ แตตน ถึงปลาย ๒. อกุศลบท ๖. จตุธาตุววตั ถาน ๑ - วปิ สสนาญาณ ๑๐ ๒. แสดงตั้งแตกลางถงึ ปลาย ๓. อพั ยากตบท ๗. อารุปป ๔ - วิโมกข ๓ - วโิ มกขมุข ๓ ( เวทนา ถึง ปลาย ) ๓. สตปิ ฏ ฐาน ๔ ๓. แสดงต้งั แตปลายถึงตน ๔. แสดงตัง้ แตก ลางถงึ ตน ( ตัณหา ถงึ ตน )

-2- พระบาลี บทท่ี ๑ คําปฏิญญาของพระอนุรุทธาจารย ** ประโยชนท ่ไี ดรบั จากคาถาบทท่ี ๑ อิห ในปจ จยสังคหะ แสดง อารัมภบท > เยสํ สงขฺ ตธมฺมานํ เย ธมมฺ า ปจฺจยา ยถา ปฏจิ จสมุปบาท ( แสดงในสิ่งมีชวี ิต ) ปฏ ฐาน ( แสดงในสงิ่ มีชวี ิต / ไมม ี ) ปฏญิ ญา > ตํ วิภาคมเิ หทานิ ปวกขฺ ามิ ยถารหํ ปจจยั ( เหตุ ) ปจจยุปบนั ( ผล ) สังขตธรรม สงั ขตธรรม ปจ จยั ( เหตุ ) ปจ จยุปบนั ( ผล ) ๑ ธรรมทั้งหลายเหลา ใด คอื สังขตธรรม อสังขตธรรม และบัญญัติธรรม ๒ เปน ปจจยั ชวยอุปการะ สงั ขตธรรม สังขตธรรม ๓ แก ปจจยุปบันธรรมเหลา ใด ๔ คือ สงั ขตธรรม ๕ โดยอาการตางๆ มีเหตสุ ัตติ อารัมมณสัตติ เปน ตน อสังขตธรรม ๖ บดั น้ี ๗ ในปจจยสงั คหะน้ี ๘ ขาพเจาจะแสดง ๙ ซง่ึ ประเภทตา งๆ กนั แหงอํานาจการอุปการะ บัญญัติ ของปจ จยั และปจ จยุปบันเหลานั้น ๑๐ ตามสมควร ๑. เย ธมฺมา - ธรรมท้งั หลายเหลา ใด คือ สงั ขตธรรม อสงั ขตธรรม และบญั ญตั ธิ รรม ๒. ปจจฺ ยา - เปน ปจ จยั ชว ยอปุ การะ เย ธมมฺ า ( เปน ปจ จยั ของ ปฏจิ . + ปฏ ฐาน ) เยสํ ๓. เยสํ - แก ปจ จยปุ บันธรรมเหลาใด *** ธรรมทเ่ี ปนปจจยปุ บนั ได คอื ๑.เปน ธรรมทีม่ อี ๒. ตองมีสภาพเกิดดบั ** ปจ จัยของ ปฏิจจสมุปบาท เปน ปรมัตถไ มมบี ัญญตั ิ - นพิ พาน ไมใชปจจยุปบนั เพราะ 3 2 ** ปจ จัยของ ปฏฐาน เปน ปรมตั ถ และบญั ญตั ิ ( แสดงสว นทา ย ) - บญั ญัติ ไมใชปจ จยุปบนั เพราะ 2 2 ๔. สงฺขตธมฺมานํ - คือ สังขตธรรม ** ปจจยา ชวยอุปการะมี ๒ คอื ๑. ชว ยอุปการะแกปจ จยปุ บันธรรมที่ยงั ไมเกดิ ใหเ กิดข้นึ ( อนันตรปจจัย ) ๕. ยถา - โดยอาการตา งๆ มีเหตุสัตติ อารัมมณสตั ติ เปน ตน เชน จุติ เปนปจจัยใหปฏสิ นธิ (เกดิ ) / วิถีจิตแรก ชวยใหว ถิ ีจิตท่ี ๒ เกิดตอ ไป ๖. อทิ านิ ( วิภาคํ + อหิ + อทิ านิ ) - บดั น้ี ๗. อิห - ในปจ จยสงั คหะน้ี ๘. ปวกขฺ ามิ - ขา พเจาจะแสดง รปู ารมณ ๙. ตํ วภิ าคํ - ซง่ึ ประเภทตางๆ กัน แหงอาํ นาจการอุปการะของปจจยั และปจ จยปุ บนั เหลานั้น ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ.... ๑๐. ยถารหํ - ตามสมควร ศพั ท ธรรมท่ีเปน เหตุไดแ ก สงั ขตธรรม (๘๙, ๕๒, ๒๘), อสังขตธรรม(นิพ.), บญั ญัติ = ปฏจิ จ. จักขปุ สาท ๑. ปจจัยธรรม ๒. ปจ จยปุ บันธรรม ธรรมทเี่ ปน ผลไดแ ก สงั ขตธรรม (๘๙, ๕๒, ๒๘) ๒. ชวยอปุ การะแกป จจยปุ บันธรรมทเ่ี กิดขึ้นแลว ใหต้งั มน่ั และเจรญิ ขน้ึ ( ปจฉาชาตปจ จัย ) ๓. อํานาจปจ จัย เชน วถิ จี ติ ตี ---> ต ชว ยใหจ กั ขปุ สาทตงั้ อยูไ ดค รบรปู ๑ รปู ทเี่ รียกวา เหตสุ ตั ต,ิ อารัมมณสัตติ เปน ตน ไดแ ก ปจจยั โดยยอ ๒๔ โดยพสิ ดาร ๔๗ = ปฏฐาน

-3- พระบาลี บทท่ี ๒ ความตา งกนั ของ ปฏจิ จสมปุ บาท และปฏฐาน ปฏจิ จสมุปบาท ปฏ ฐาน ( อารมั มณชาติ ) ๑. พระองคทรงแสดงกบั สงิ่ มชี วี ิต เทานัน้ ๑. แสดงทง้ั สิง่ มีชีวิต และไมม ชี วี ติ รปู ารมณดี / ไมด ี ๒. แสดงเหตุผล ตามนยั ปฏจิ จสมุปบาท ( หนา ๑๐ ) ๒. แสดงเหตผุ ล ตามนยั ปฏ ฐาน ( หนา ๑๑ ) ๓. ปจ จัยทแ่ี สดงในปฏิจ. เปน สงั ขตธรรมอยา งเดียว ๓. ปจจัยท่แี สดงในปฏฐาน เปน สังขต. อสงั ขต. บญั ญัติ ปญุ ญา. ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ.... ปจ จยุปบนั ท่ีแสดงในปฏ ฐาน. เปน สังขตธรรมอยางเดียว อปญุ ญา. ปจจยุปบันที่แสดงในปฏจิ . เปน สงั ขตธรรมอยางเดียว ๔. มีการหาอํานาจปจจยั จักขปุ สาท ๔. ไมมีการหาอํานาจปจ จยั มสี พั พ.๗ เกิดพรอ ม เจ.ขนั ธ ๓ ทาํ หนา ท่ี ๔ อยางพรอมกนั วจนัตถะ ฝา ยเหตุ มกี ารแสดง ๒ นยั ( น. ๑๐ ) อวชิ ชา สงั ขาร วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภวะ ชาติ ชรามรณะ ๑. เหตุอยางเดียว ๒. เหตุมี ๑๑ ๔. ผลอยางเดียว ๓. เปนท้ังเหต+ุ ผล มี ๑๐ ๔. นับคู เหตุ-ผล มี ๑๑ คู

-4- พระบาลี บทท่ี ๓ แสดงการอุปการะ ระหวา งปจจัยธรรมและปจจยุปบันธรรม ตามนัยแหงปฏจิ จสมุปบาท * ตัง้ แตเ กิดจนตาย มีปฏจิ จสมุปบาทเก่ยี วของกับเราอยา งไร ( อา นวา เปน ปจ จัยชว ยอปุ การะแก ) ๕) สฬายตนะ ๖) ผัสสะ ๗) เวทนา ๑) เพราะอวชิ ชา ๒) สังขาร ปฏิ เจ.๓๕ + โปลวกตั ยี ตวิกปิ .ํา๑ก๘๓=๒ป=ญ มจนาายยตตนนะะ ๕๑ อายตนะ ๖ ---> ช ช ช ช ช ช ช ......ฯลฯ..... จุติ ปฏิ ปวตั ติวิญญาณ โลกียวิปาก ๓๒ ๑๐) ภวะ ๑๑) ชาติ ๑๒) อุปปตติภวะ จิต เจตนา ๘) ตัณหา ๙) อุปาทาน ๓) วิญญาณ ๔) เจ.(นาม.) + ปฏิ.กํ. * คาํ แปล ตตฺถ - ในนัยทง้ั ๒ นั้น ความเปนไปแหง ปจ จัยธรรมและปจจยปุ บันธรรม โดยนยั แหงปฏจิ จสมปุ บาท คอื สงขฺ ารา - ปญุ ญาภสิ งั ขาร อปญุ ญาภิสังขาร อาเนญชาภสิ ังขาร (สมภฺ วนฺติ) ปรากฏเกดิ ข้นึ อวิชชฺ าปจจฺ ยา เพราะอาศัย อวชิ ชา คอื ความไมร ูใ นสจั จะ ๔ ความไมร ูใ นปุพพนั ตะ ๑ ความไมร ใู นอปรนั ตะ ๑ ธรรมทง้ั ๓ ประการน้ี ความไมร ใู นปพุ พนั ตาปรันตะ ๑ ความไมรใู นปฏิจจสมุปบาท ๑ รวม ๘ ประการน้ี เปน เหตุ วิ ญฺ าณํ - วิญญาณ คอื โลกยี วปิ ากจติ ๓๒ (สมภฺ วนตฺ )ิ ปรากฏเกิดขึน้ สงฺขารปจจฺ ยา เพราะอาศยั สงั ขาร ๓ เปนเหตุ นามรปู  - นามรูป คอื เจตสิกทป่ี ระกอบกับโลกยี วปิ ากจิตและกมั มชรูป (สมภฺ วนฺติ) ปรากฏเกดิ ขึ้น วิญฺ าณปจฺจยา เพราะอาศยั วญิ ญาณ คอื กศุ ล อกศุ ล (กมั มวญิ ญาณ) ทีใ่ นภพกอนๆ และวิปากวิญญาณท่ีในภพนเี้ ปน เหต สฬายตนํ - สฬายตนะ คือ อัชฌตั ตกิ ายตนะ ๖ มจี กั ขายตนะ เปนตน (สมฺภวนตฺ )ิ ปรากฏเกิดขึ้น นามรปู ปจฺจยา เพราะอาศยั นามรูป เปน เหตุ ผสโฺ ส - ผัสสะ ๖ มจี กั ขสุ มั ผสั สะ เปนตน (สมฺภวนฺต)ิ ปรากฏเกดิ ขน้ึ สฬายตนปจจฺ ยา เพราะอาศยั อัชฌัตติกายตนะ ๖ เปน เหตุ เวทนา - เวทนา ๖ มีจกั ขสุ ัมผสั สชาเวทนา เปนตน (สมฺภวนตฺ ิ) ปรากฏเกดิ ขน้ึ ผสฺสปจฺจยา เพราะอาศัย ผัสสะ ๖ เปนเหตุ ตณฺหา - ตณั หา ๖ หรอื วา โดยพิสดาร ๑๐๘ มีรูปตัณหา เปนตน (สมภฺ วนตฺ ิ) ปรากฏเกิดขน้ึ เวทนาปจฺจยา เพราะอาศยั เวทนา ๖ เปน เหตุ อุปาทานํ - อุปาทาน ๔ มกี ามุปาทาน เปน ตน (สมภฺ วนตฺ ิ) ปรากฏเกดิ ข้ึน ตณหฺ าปจจฺ ยา เพราะอาศยั ตณั หา ๖ หรอื ๑๐๘ เปนเหตุ ภโว - ภวะ คือ กัมมภวะและอุปปตติภวะ ทัง้ ๒ (สมภฺ วนตฺ )ิ ปรากฏเกิดขน้ึ อุปาทานปจจฺ ยา เพราะอาศยั อุปาทาน ๔ เปนเหตุ ชาติ - ชาติ คอื ความเกิดขน้ึ แหง โลกียวปิ ากจติ เจตสกิ และกัมมชรูป (สมฺภวนตฺ ิ) ปรากฏเกดิ ขึ้น ภวปจฺจยา เพราะอาศัย กมั มภวะ เปน เหตุ ชรามรณํ - ชราความแก มรณะความตาย และโสกะความเศรา โศก (สมฺภวนฺติ) ปรากฏเกดิ ขนึ้ ชาติปจจฺ ยา เพราะอาศยั ชาติ เปนเหตุ ปริเทวะการรองไหรําพัน ทกุ ขะความทุกขก าย โทมนสั สะ ความทกุ ขใ จ อปุ ายาสะความคบั แคน ใจ ทง้ั ๗ น้ี เอวเมตสสฺ เกวลสสฺ ทุกขฺ กขฺ นธฺ สสฺ สมทุ โย โหติ - ความเกดิ ขึ้นแหงกองทกุ ขแ ทๆ ทง้ั ปวงนี้ เพราะอาศัยปจ จัยตา งๆ มอี วชิ ชา เปนตน ดังท่ไี ดก ลา วมาแลวนี้

-5- พระบาลี บทท่ี ๔ แสดงการจาํ แนกปฏจิ จสมุปบาทโดยนัยตา งๆ มีกาล (อทั ธา) ๓, องค ๑๒, ประเภท ๒๐, ความสบื ตอ ๓, หมวด ๔, วฏั ฏ ๓, มูล ๒ พระบาลที ่ี ๕ พระบาลที ่ี ๖ พระบาลีที่ ๘ พระบาลีที่ ๙ ( วฏั ฏ ๓, มลู ๒ ) ภวจกั ร ๒ ** สิง่ ทคี่ วรรใู นปฏจิ จสมปุ บาท \" การถาม \" อาการ ๒๐ สันธิ ๓ ๑) อทฏิ ฐโชตนาปุจฉา คาํ ถามที่ถามข้นึ กาล (อทั ธา) ๓ องค ๑๒ อดตี เหตุ ๕ สงั เขป ๔ กิเลส๓ กมั ม.๒ วปิ าก๘ มลู ๒ ปพุ พนั ต + ๘, ๙, ๑๐(๑) เหตุ 1 ภวจกั ร ๗ ในเรอื่ งทย่ี งั ไมเขา ใจ อดตี กาล ๒ ๑) อวชิ ชา 2 อวชิ ชา ๒) สังสนั ทนาปจุ ฉา คําถามทถ่ี ามขึ้น ผล สันธิ ๑ อปรนั ต ๒) สงั ขาร 3 สังขาร ภวจักร ๕ สนทนาสอบสวนความรกู ัน 4 ๓) อิมติจเฉทนาปจุ ฉา คาํ ถามที่ถามขน้ึ ๓) วญิ ญาณ วญิ . อวชิ ชา ในเร่อื งทตี่ นยงั สงสัย ๔) นามรูป นามรูป ( เปนเหตนุ ําใหถ งึ ๔) อนมุ ตั ิปจุ ฉา คําถามทถ่ี ามขน้ึ ๕) สฬายตนะ ปจ จุบันผล ๕ สฬาย. เวทนาใน ตองการใหผตู อบ ตอบความ ประสงคของตน ปจจุบนั กาล ๖) ผัสสะ ผสั สะ ปพุ พนั ตภวจักร ) ๕) กเถตกุ มั มยตาปจุ ฉา คาํ ถามทถ่ี ามขน้ึ ประสงคจะตอบเอง ( อ.ธ.๘ ทอี่ ยู ๗) เวทนา ผล สันธิ ๑ เวทนา เหตุ *กถํ เปน การถามในแบบท่ี ๕ พระสัมมาสมั พทุ ธเจา ตรงกลาง ) ๘) ตัณหา ปจ จบุ นั เหตุ ๕ ตัณหา ทรงถามบอ ยๆ ในแบบที่ ๔ และ ๕ + ๑, ๒ เหตุ ๙) อปุ าทาน อปุ า. (๑) กัมมภวะ กัมม. ตณั หา ๑๐) ภวะ (๒) อุปปต ติภวะ อนาคตผล ๕ ผล สนั ธิ ๑ อปุ ปต . ( เปนเหตนุ ําใหถ งึ +๓-๗ อนาคตกาล ๑๑) ชาติ ชาติ ชรามรณะใน ๒ / ๓ ๑๒) ชรามรณะ ชรา. อปรันตภวจกั ร ) พระบาลี บทท่ี ๗ เปน การแสดง โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสสะ อปุ ายาสะ เหลา น้ี แสดงใหรถู ึงผลทเี่ ปน นิสสนั ทผล ** อนฏิ ฐผล ๕ เกิดกบั บคุ คลไมเ หมอื นกัน คือ เปนผลทส่ี ืบเนือ่ งมาจาก ชาติ เทานั้น ไมใชเ ปน องคโ ดยเฉพาะ (นับสงเคราะหเ ขา ในหมวด ๔ หรอื สังเขป ๔ ) ภ ตี น ท ป กาย สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ.... ๑) เปน องคปฏจิ จสมุปบาท เพราะ เกิดกับทุกบคุ คล ๑) ไมเ ปนองคปฏจิ จสมุปบาท เพราะ เกดิ กับบคุ คลไมเ หมือนกัน ผลกรรม ทุกขกาย เวทนาในโทส.๒ ๒) ใมม ีองคธรรมปรมตั ถรบั รอง เปนการกลา วถึงอาการ ๒) มีองคธ รรมปรมัตถร ับรอง เปนกลมุ ของโทมนัสจติ ตุปบาท (วปิ าก ) โสกะ ปริเทวะ เกิด ตง้ั ดบั ของโลกยี วปิ ากจติ ๓๒, เจ.๓๕, กัมมชรูป ๓) เปนนสิ สนั ทผล ผลสว นปลาย โทมนสั ะ ๓) เปน วปิ ากผล / ผลโดยตรงของชาติ ( เกิด --> ตง้ั ดับ ) ( คนละสว นกบั วปิ ากผล เพราะเกดิ หลงั ) อปุ ายาสะ อปุ าทาน อกศุ ลกรรมใหม

-6- พระบาลี บทท่ี ๑๐ แสดงการขาดลงแหงวฏั ฏะท้งั ๓ และสมฏุ ฐานของอวชิ ชา \" เมือ่ วฏั ฏมลู ท้งั ๒ ดับสน้ิ ลงไมม ีเหลือดว ยอาํ นาจแหง อรหัตตมรรคแลว การหมนุ เวยี นแหงปฏิจจสมุปบาท คือ วฏั ฏะท้งั ๓ ก็ยอ มดับส้นิ ลงทันที อวชิ ชาเกิดข้นึ ไดก็เพราะ อาศัยการเกิดขน้ึ แหง อาสวธรรม ท่ใี นสันดานของสัตวท ง้ั หลาย ผูถ ูกเบยี ดเบียนดวยความแก ความตายและธรรมท่ีเปนเหตแุ หงความหลง คอื โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ขุ โทมนัสสะ อุปายาสะ อยูเนอื งๆ นน้ั เอง \" ** เปรียบเทยี บ ปริยัติ และปฏิบตั ิ ปฏิบัติ ปริยัติ ๑) ขณะรรู ูปนามในขณะปฏิบัติ เปนปจจบุ ัน ๒) ทําความรูส ึกตวั เพือ่ ที่จะถายถอนอตั ตสญั ญาออกจากอารมณ เพอื่ ใหเ หน็ สภาพรูปนาม อาศยั ปรยิ ัตมิ าชวย ๑) รขู ณะปริยตั ไิ มใ ชปจ จบุ ัน ๒) ความรจู ากปริยตั สิ ามารถแยกรปู แยกนามไดเ พอื่ เปนบาทแหงการปฏิบตั ิ [ สมถะ ใช สมั มาสงั กัปปะ + สมั มาสมาธิ วปิ สสนา ตองมที ง้ั สติ + สมาธิ + สมั ปชัญญะ (สมั มาทิฏฐ)ิ ] ๓) ทําความรสู ึกตัววา รูปอะไร และนามอะไร เพอื่ ทาํ ลาย \"สันตติ \" ที่ปด บงั \"อนจิ จงั \" (อริ ยิ าบถปด บงั \" ทกุ ข \", ฆนสญั ญาปด บงั \" อนตั ตา \" ) ** สุขสญั ญาวปิ ปลาส เกิดข้นึ หลงั เปล่ียนอิริยาบถคลายทกุ ข ใจหายจากความทุกข กห็ ลดุ จากวปิ สสนาทนั ที ** สมฏุ ฐานของ \" อวิชชา \" ๑) เกิดขน้ึ จาก อาสวธรรม ( มีตณั หา อปุ าทาน เปน ปจ จัย ) ๓) ปจ จยั ใหเ กิด ** สังสารวัฏฏะ - มีการสืบตอ ขององคปฏจิ จ. หาที่สดุ มไิ ด - เพราะเกิดในภูมิ ๓ กําเนิด ๔ คติ ๕ วญิ ญาณฐีติ ๗ - กามสวะ อ.ธ.ไดแก โลภเจ. --> โลภ.๘ สตั ตาวาส ๙ - หาเบ้อื งตน ไมไ ด หาเบอ้ื งปลายไมม ีท่ีสดุ - ภวสวะ อ.ธ.ไดแ ก โลภเจ. --> ทิฏฐิ.วิป.๔ มีโมหะเกดิ รว ม อวิชชา สงั ขาร วญิ ....เวทนา ตณั หา อุปา. กมั ม. ชาติ ชรามรณะ อนฏิ .๕ ** เหตผุ ลที่พระองคทรงยก อวชิ ชา เปน องคแ รก - ทฏิ ฐาสวะ อ.ธ.ไดแ ก ทฏิ ฐิเจ. --> ทฏิ ฐิ.สํ.๔ ๑. วา โดยภวจักร ๒ > อวชิ ชา สําคญั กวา ตัณหา ประการหนง่ึ ๒. เพราะการนบั สงเคราะหอ นฏิ ฐผล ๕ อาสวะ ๔ - อวชิ ชา อ.ธ.ไดแ ก โมหเจ. --> อกศุ ล.๑๒ ตัณหา + อุปาทาน ก็อยใู นอวิชชา ประการหนง่ึ ๒) กรรมเกา กรรมใหม ตัณหา + อุปาทาน * อวิชชา มี อนิฏฐผล ๕ + อาสวะ ๔ เปน ปจ จัย ๓. อวชิ ชา ตอ งถกู ประหาณโดยมรรคถงึ ๔ ครงั้ ทุกขกาย ทุกขใ จ - โสกะ > เวทนาเจ. อาสวะ ๔ * อาสวะ มี ตณั หา + อปุ าทาน เปน ปจ จยั - ปริเทวะ > รอ งใหร าํ พนั ท่ีใน - โทมนัส > เวทนาเจ. โทส.๒ * วชิ ชา = ปุพเพนวิ าส. - อปุ ายาสะ > โทสเจ. = จตุ ปู ปา. > สมถะ มีโมหะเกดิ รวม = อาสวกั ขยญาณ > วปิ ส สนา

-7- ๑ อวิชชฺ าปจจฺ ยา สงขฺ ารา สมภฺ วนตฺ ิ = สงั ขาร ๓ ยอมปรากฎเกดิ ขนึ้ เพราะอาศยั อวชิ ชา เปน เหตุ ปจ จยุปบนั ธรรม - สังขาร อธ. เจตนา ๒๙ ที่ใน อกศุ ลจติ ๑๒ โลกยี กศุ ล ๑๗ ปุญญาภสิ งั ขาร อปญุ ญาภิสงั ขาร อาเนญชาภิสงั ขาร ธรรมท้ัง ๓ ประการนี้ ปรากฏเกิดข้นึ เพราะ อาศัยอวิชชา คอื สงั ขารท่ีเปนผลของอวชิ ชา มี ๖ อยา ง ความไมร ูในสัจจะ ๔ ไมรูใ นปพุ พนั ตะ ๑ ไมรูใ นอปรันตะ ๑ ไมรูใ นปุพพนั ตาปรนั ตะ ๑ ไมรใู นปฏิจจสมุปบาท ๑ ๑. ปุญญาภสิ ังขาร - กศุ ลเจตนาเปน ผปู รงุ แตง รวม ๘ ประการนี้ เปนเหตุ ( สงั ขารในปฏจิ จสมปุ บาทน้ี มุงหมายใน \" นานักขณิกกัมม \" เทานน้ั ) โลกียกุศลวิปาก และกุศลกมั มชรปู โดยตรง ไดแ ก ม.กุ.เจต.๘, รูป.ก.ุ เจต.๕ อวชิ ชา มคี วามหมายหลายนัย วจนัตถะทคี่ วรจาํ คือ นานักขณิก ักมม ๒. อปุญญาภิสังขาร - อกศุ ลเจตนาเปน ผปู รุงแตง วิชชฺ า ปฏปิ กขฺ าติ = อวชิ ฺชา ธรรมชาติทีเ่ ปน ไปตรงกนั ขา มกับปญญา ฉะนั้น ธรรมชาตินน้ั ชื่อวา อวชิ ชา อกศุ ลวปิ าก และอกศุ ลกมั มชรปู โดยตรง สรุป - อวิชชา คอื การไมรูตามความเปนจริงท่คี วรรู รูแตส่ิงทไ่ี มเ ปนไปตามความเปน จรงิ ท่ีไมค วรรู นแี้ หละ ไดแก อก.ุ เจต.๑๒ ช่ือวา อวิชชา ( อธ. ไดแก โมหเจตสกิ ที่ใน อกุศลจติ ๑๒ ) ๓. อาเนญชาภสิ งั ขาร - กุศลเจตนาที่ตั้งมนั่ ไมหว่ันไหวเปนผปู รุงแตง อรปู วปิ าก โดยตรง ไดแก อรูป.ก.ุ เจต.๔ สงั ขาร หมายความวา ธรรมทีป่ รงุ แตงใหผ ลธรรมเกิดขนึ้ มวี จนัตถะวา สงฺขตํ สงขฺ โรติ อภิสงฺขโรนฺตตี ิ = สงฺขารา ธรรมเหลา ใดยอ มปรงุ แตง สังขตธรรมท่ีเปน ผลโดยตรง ฉะนน้ั ธรรมเหลา นน้ั ๔. กายสังขาร - เจตนาเปน ผูปรุงแตง ช่อื วา สงั ขาร ( อธ.ไดแก เจตนาท่ใี นอกุศล ๑๒ และโลกียกุศล ๑๗ ) ๕. วจีสงั ขาร กายทจุ รติ + กายสุจริต ใหส าํ เรจ็ ลง ๖. จติ ตสงั ขาร ไดแก อกุ.เจต.๑๒, ม.กุ.เจต.๘ ที่เกีย่ วกบั ทางกาย ปจจยั ธรรม - อวชิ ชา อธ. โมหเจตสกิ ที่ใน อกุศลจิต ๑๒ - เจตนาเปน ผูปรงุ แตง วจีทุจรติ + วจสี ุจริต ใหสาํ เรจ็ ลง การไมร ูต ามความเปนจริงของอวชิ ชามี ๘ ประการ คือ สว นท่ี ๑ สว นที่ ๒ สหชาตกัมม ไดแ ก อก.ุ เจต.๑๒, ม.ก.ุ เจต.๘ ทีเ่ กย่ี วกบั ทางวาจา - เจตนาเปน ผูปรุงแตง ๑. ทุกเฺ ข อาณํ ไมร ูในทุกข มี ๒ สว น คอื วิญญาณ .... อปุ าทาน ชาติ ชรา มรณะ มโนทจุ รติ + มโนสุจริต ใหสาํ เร็จลง ไดแ ก อกุ.เจต.๑๒, ม.กุ.เจต.๘ มหัค.ก.ุ เจต.๙ ัสจจ ๔ ๒. ทุกขฺ สมุทเย อาณํ ไมร ูเหตทุ ่ีทาํ ใหเ กิดทกุ ข มี ๒ สว น คอื อวชิ ชา สังขาร ตัณหา อปุ าทาน กมั มภวะ ท่เี กี่ยวกบั ทางใจ ๓. ทกุ ฺขนิโรเธ อาณํ ไมร ูธรรมอนั เปนทด่ี บั แหงทกุ ข ๔. ทกุ ฺขนโิ รธคามินีปฏปิ ทาย อาณํ ไมร ูหนทางทใ่ี หเ ขาถงึ ความดับทุกข ๕. ปพุ พฺ นฺเต อาณํ ความไมร ูในขันธ อายตนะ ธาตุ ท่เี ปน อดตี ๖. อปรนเต อาณํ ความไมร ูใ นขนั ธ อายตนะ ธาตุ ทเี่ ปน อนาคต ๗. ปพุ พฺ นฺตาปรนเฺ ต อาณํ ความไมร ูในขันธ อายตนะ ธาตุ ทเ่ี ปน อดีต และ อนาคต ๘. อทิ ปปฺ จจฺ ยตาปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺเนสุ ธมเฺ มสุ อาณํ ความไมรใู นรปู นาม ที่เกิดขน้ึ โดยอาศยั เหตุใหเ กดิ ตามในปฏิจจสมุปบาท หรอื รวมเรยี กวา วปิ สสนาภมู ิ ๖ ไดแ ก ขันธ อายตนะ ธาตุ สัจจะ อินทริย ปฏิจจสมปุ บาท

-8- ๐ การไมรูตามความเปนจริงของอวิชชา ๘ ประการ ๐ วจนัตถะ คาํ วา ปญ ญา : จตสุ จจฺ ธมฺมํ วทิ ติ ปากฏํ กโรตตี ิ = วิชฺชา อดตี เหตุ ปจจบุ นั ผล ปจจบุ ันเหตุ อนาคตผล ธรรมชาตใิ ดเปนผรู ูแจง อรยิ สัจ ๔ โลกยี วปิ าก ๓๒, เจ.๓๕ กํ (พระสตู ร) และเปนผูทาํ ให อรยิ สัจ ๔ ปรากฏข้นึ ตณั หา อปุ าทาน กมั มภวะ ชาติ ชรามรณะ ฉะนัน้ ธรรมชาติน้นั ชอ่ื วา วิชชา ไดแ ก ปญ ญาเจตสิก อวชิ ชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตน ผสั สะ เวทนา สมทุ ยสัจจะ ทุกขสัจจะ สมุทยสจั จะ ทกุ ขสจั จะ ปจ จัย กาํ หนดรูท กุ ข ปจจยั ๑. ปญ ญารู รูปนาม - ละบญั ญตั ิ อวิชชาดับ เพราะมรรคไปประหาณอวชิ ชา ( ๔ ครง้ั ) ๒. ปญ ญารู ไตรลักษณ - ละบัญญัติ ๓. ปญญารู พระนพิ พาน - ละรูปนาม นิโรธสจั จะ มชั ฌมิ าปฏปิ ทา เจรญิ สตปิ ฏฐาน มีพระนพิ พานเปนอารมณ โคตรภูญาณ อริยมรรคมอี งค ๘ มรรคสมังคีเจริญ ทุกขสจั จ, สมุทยสัจจ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โโวค ม ผ ผ อนโุ ลมญาณ นิโรธสัจจ, มคั คสจั จ ๐ แสดง อวิชชา โดย ขนั ธ อายตนะ ธาตุ อวชิ ชา รปู ายตนะ / รูปธาตุ ๑. ความจรงิ ท่ีพระพทุ ธเจาแสดงไว ๔ ปุญ., อปุญ., อาเนญ. ๒. ความจรงิ ท่ีเขา ถงึ ความประเสริฐคือพระอรยิ ะ รูปารมณ จกั ขวุ ิญญาณ ทําหนาที่ สหชาตชาติ ๓. ความจรงิ ทป่ี ระหาณอาสวกเิ ลส รปู ขนั ธ สพั พ.๗ / เวทนา (นาม) ๔. หนทางท่ถี ึงความจริง คอื สตปิ ฏ ฐาน ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ - กายานปุ สสนาสตปิ ฏ ฐาน - เวทนานุปสสนาสติปฏ ฐาน จกั ขุปสาท ปจจัยใหเ กิด ตัณหา อปุ าทาน เจตนา = กัมมภวะ - จิตตานปุ สสนาสติปฏ ฐาน จกั ขุธาตุ - ธัมมานปุ สสนาสตปิ ฏฐาน

-9- ๐ วปิ สสนาภูมิ ๖ รปู นาม = จติ ๘๙, เจตสกิ ๕๒, รูป ๒๘, นพิ พาน ปรมตั ถธรรม ๔ = ๑.ขันธ ๕ ๒.อายตนะ ๑๒ ๓.ธาตุ ๑๘ ๔.อินทรีย ๒๒ ๕.ปฏิจจสมปุ บาท ๖.สจั จะ พระสูตร อภิธรรม ทกุ ขสัจจ สมุทยสจั จ นโิ รธสัจจ มคั คสจั จ โลกยี วปิ าก ๓๒ ๘๙, ๕๒ ๘๑, ๕๑-โล โลภ.เจ. เจ.๓๕, กํ นพิ พาน องคม รรค ๘หรอื ๗ ทีใ่ นมคั คจติ ๔ รูป ๒๘ มคั คจิตตุปบาททเี่ หลือ หรอื ผลจิตตุปบาท เปน สัจจวิมุต ๑. ทกุ เฺ ข อาฺ ณํ - ไมรูในทุกข ( น.๑๖ ) พระอภธิ รรม พระองคท รงยก โลกียจติ ๘๑, เจ.๕๑ (-โลภ), รปู ๒๘ แสดงโดย ธมั มาธิษฐาน ( วิปสสนาญาณ ) ทุกขสัจจ พระสตู ร พระองคท รงยก อาการลกั ษณะของสภาวะ / ของพระอภิธรรม แสดงโดย ปคุ คลาธิษฐาน ( กมั มสกตาญาณ ) - ชาติ ชรา มรณะ วิปากทุกข ญาตพิ ยสนะ ลกั ษณะ - ท่ที นอยูสภาพเดิมไมไ ด - โสก ปริเทว ทกุ ข โทมนัสส อุปายาส ทุกขเ พราะกเิ ลส โภคพยสนะ กจิ - กาํ หนดรู - อปั ปเยหิสัมปโยทกุ โข ปเยหวิ ิปปโยโคทุกโข ( พยสนะ ๕ ) โรคพยสนะ - ยัมปจฉํ นลภติทุกโข (สงั ขติ เตนปฺจุปาทานขนฺโท) สีลพยสนะ ทิฏฐพิ ยสนะ ๒. ทกุ ฺขสมทุ เย อฺาณํ - ไมร ูเหตทุ ที่ ําใหเกิดทกุ ข ( หลักสตู ร น.๑๘ ) กเิ ลส ๑๐๘ สมุทยสัจจ พระอภิธรรม โลภเจ. ที่ในโลภมลู จติ ๘ -> ทกุ ขสัจจ ๘๑, เจ.๕๑(-โลภ), รูป ๒๘ ตณั หา ๓ พระสูตร กามตัณหา ยินดใี นกามคณุ อารมณ ( กามภมู ิ ๑๑ + โสดา. + สกทา. ) โลภเจตสิก ภวตณั หา ยนิ ดพี อใจในรูปภพ อรูปภพ ( ๓๐ ภูมิ (-อสญั .) + อนาคา ) (พรอ มดวย สสั สตทฏิ ฐิ ) วิภวตณั หา อุจเฉททฏิ ฐิ ขาดสญู ( กามภมู ิ ๑๑ )

- 10 - ๓. ทกุ ฺขนโิ รเธ อาฺ ณํ - ไมร ธู รรมอนั เปน ที่ดบั แหงทกุ ข ( น.๒๑ ) ๐ ญาณ ๑๖ ๑. นามรูปปริจเฉทญาณ / ๒.ปจจยปริคคหญาณ ( มอี นจิ จํ ทุกขํ อนัตตา เปน อารมณ ) ทุกฺข นิโรเธ อาฺ ณํ สมทุ ยสัจจ การดบั อนจิ จํ พิจารณาอนิจจัง มสี ัทธินทรียแ กก ลา (โลภ เจ.) นพิ พานก็แจง ** กิจท่ีทาํ ใหแ จง เรียกวา สัจฉิกรณกจิ เกิด ต้งั ดับ ( พิจารณาทกุ ข มีสมาธนิ ทรยี , พิจารณาอนตั ตา มปี ญญนิ ทรียแ กกลา ) เปนอาการ/ ลกั ษณะของอนจิ จงั เรียกใหมว า \" อนิจจลกั ษณะ \" พระนพิ พาน มี ๑ คอื สันตลิ ักขณะ ( อสังขตธรรม ) เปน อารมณข องไตรลกั ษณป รากฏแก โยคาวจร ทเี่ กิดปญญารใู น พระนิพพาน มี ๒ คือ สอปุ าทเิ สสนพิ พาน, อนุปาทเิ สสนพิ พาน อนจิ จานุปส สนา --> อนตั ตา --> นิพพาน พระนิพพาน มี ๓ คอื วาโดยไตรลกั ษณ - อนิมติ ตนพิ พาน ( พจิ ารณาอนจิ จงั ) อนิจจลกั ษณะ เปน วปิ สสนาญาณ ๑๐ ( มไี ตรลกั ษณ เปน อารมณ ) - อัปปณหิ ติ นพิ พาน ( พิจารณาทุกขงั ) ๑.สัมมสนญาณ ๒.อุทยพั พยญาณ (เหน็ เกิดดบั ) ๓.ภังคญาณ (เห็นความดบั ) - สญุ ญตนิพพาน ( พจิ ารณาอนตั ตา ) ๔.ภยญาณ (เหน็ ภยั ) ๕.อาทนี วญาณ (เห็นโทษ) ๖.นพิ พิทาญาณ (เบอื่ หนา ย) ๔-๖ เกิดพรอมกัน พระนพิ พาน มี ๔ วา โดยบคุ คล คอื โสดาปต ตมิ รรค, สกทาคามิมรรค, อนาคามมิ รรค, อรหัตตมรรค ๗.มุญจติ กุ มั ยตาญาณ (อยากหนรี ปู นาม) ๘.ปฏิสงั ขาญาณ ๙.สงั ขารเุ ปกขาญาณ (วางเฉย) พระนิพพาน มี ๖ ๑๐.อนุโลมญาณ ๑. \"สวฺ ากฺขาโต ภควตา ธมโฺ ม\" - พระธรรม ๑๐ ประการ คอื พระปริยตั ิธรรม ๑ ม. ๔ ผ. ๔ นพิ . ๑ กอนรับนิพพานเปน อารมณ จะทิ้งรปู นามแทน - อนั พระผูมพี ระภาคทรงแสดงไวอ ยา งครบถวนบริสทุ ธ์ิบรบิ ูรณด ีแลว คอื ไมขาดตกบกพรอง ไมไดทิง้ ไตรลกั ษณ ๒. พระธรรม คอื โลกุตรธรรม ๙ ไดแก มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ \"สนทฺ ิฏ โ ก\" - เปน สงิ่ อันผูปฏบิ ตั ิจะพึงรูพงึ เหน็ เปนประจกั ษดวยตนเอง ญาณในมัคควถิ ี ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ม ผ ผ ๓. พระธรรม คือ มรรค ๔ \"อกาลิโก\" - เปนสิง่ ทใ่ี หผ ลในทันใด ไมม กี าลอืน่ คน่ั ในระหวา ง คอื อรยิ ผลเกดิ ข้ึนตอ อรยิ มรรคทีเดียว ๑) โคตรภญู าณ ๓) ผลญาณ ๔) ปจจเวกขณญาณ ๔.พระธรรม คอื โลกุตรธรรม ๙ \"เอหิปสสฺ ิโก\" ๒) มรรคญาณ - เปน สิง่ ที่ (ผูบ รรลุ) อวดอา งไดเ พราะเปนของมจี ริง กลาเชิญคนอืน่ มาพิสจู นด ว ยตนเอง ๕. พระธรรม คอื โลกุตรธรรม ๙ \"โอปนยิโก\" มพี ระนพิ พาน เปน อารมณ - เปน สิ่งท่จี ะพงึ ยึดหนวง คอื นอ มเขา มาไวในใจได และเม่ือปรากฏข้นึ ในใจเพียงคร้งั เดยี วก็สามารถ มมี คั ค ผล กเิ ลสทลี่ ะ กเิ ลสทเ่ี หลือ เปน อารมณ ปด ประตูอบาย ๖. พระธรรม คือ โลกตุ รธรรม ๙หรอื ๑๐ ประการ \"ปจจฺ ตตฺ ํ เวทติ พโฺ พ วิ ฺ ูหิ\" - กลั ยาณปุถุชน ผศู ึกษา และพระอริยเจาท้งั หลาย จะพงึ รู พึงเสวยดว ยตนเองโดยเฉพาะ คนอนื่ ซึ่งไมรู และไมไ ดปฏบิ ตั ดิ ว ยตนเอง ยอ มไมม สี ว นรสู ว นเสวยรสดวย ดงั น้ี

- 11 - ** การละสมุทย ๔. ทกุ ขฺ นโิ รธคามินีปฏปิ ทาย อาฺ ณํ - ไมร ทู างที่ใหเ ขาถงึ ความดับทกุ ข ( น.๒๖ ) ( ปย รูป / สาตรปู ) อารมั มณานสุ ัยกเิ ลส ทกุ ฺขนิโรธคามินีปฏปิ ทาย อาฺ ณํ ภนทมชชชชชชชตต สมทุ ยสัจจ (โลภ เจ.) มานะ โลภะ โมหะ ---> ปรยิ ฏุ ฐานกเิ ลส เปน ปจจุบันอารมณ ทกุ ขฺ ขอปฏิบตั ิ - อรยิ มคั คมีองค ๘ อนสุ ยั ๗ การดับ ธรรมทีน่ อนเนอื่ ง อยใู นขนั ธสันดาน ๑.กามราคานสุ ยั ๒.ภวราคานสุ ัย ๓.ปฏฆิ านสุ ยั เปน กาลวิมุต นิพพานก็แจง ๔.มานานุสยั ๕.ทิฏฐานสุ ยั ๖.วิจิกจิ ฉานุสยั ๗.อวชิ ชานสุ ยั - ปุถชุ นจะพิจารณาละกเิ ลสไดใ นขณะเปนปจ จุบนั อารมณ เทา น้ัน ไมสามารถไปตดั กิเลสทเี่ ปนกาลวิมตุ ได ความทุกข ๒ อยา ง คอื การปฏิบตั ใิ หพนจากทกุ ข ๒ อยาง พระอรยิ ะเทา นน้ั สามารถดึงอนสุ ัย ทเี่ ปนกาลวิมตุ ใหมาปรากฏเปน ปจจบุ ัน แลวตัดแบบสมุจเฉทปหาน ๑. ทกุ ขสามัญ ไดแ ก การเกดิ แก เจ็บ ๑. การปฏบิ ัตใิ นทางโลก พระนิพพานกแ็ จง ตาย ของสตั วทัง้ หลาย ไดแกก ารประกอบอาชพี ตา งๆ ๒. ทุกขพ เิ ศษ ไดแก ความทุกขท เ่ี กิดขึ้น ๒. การปฏิบตั ิในทางธรรม ไดแก โดย พยสนะ ๕ การบําเพ็ญทาน ศลี ภาวนา โดย ๑. ญาตพิ ยสนะ การสญู เสียญาตมิ ติ ร - อัตตกลิ มถานุโยค ๒. โภคพยสนะ ทรมานรางกาย การสญู เสยี ทรยั พส นิ ยศ บริวาร - กามสุขลั ลิกานุโยค ๓. โรคพยสนะ บาํ รุงตนใหไ ดร บั ความสุข การมโี รคภยั ไขเจบ็ เบียดเบียน ๔. สีลพยสนะ ความวิบตั แิ หงศลี ๕. ทิฏฐิพยสนะ มคี วามเห็นผิดจากความเปน จริง

* มรรค มอี งค ๘ เกดิ อยา งไร * กองแหงศีล มี ๓ - 12 - มัคคสจั จ ๑. สมั มาวาจา เวน - พูดปด, พดู สอเสียด, พูดคาํ หยาบ, เพอเจอ อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ อธ. สัมมาวาจาเจตสิก ( ตอ งเน่อื งดว ยสัมมาสังกปั ปะ ) โลกยี โลกุตตร โลกยี โลกตุ ตร ๑. ตอ งมีสตปิ ฏฐาน ๔ เปน อารมณ ๑. มีพระนิพพาน เปน อารมณ ๑. มสี ตปิ ฏฐาน ๔ เปนอารมณ ๑. มีพระนิพพานเปนอารมณ ๒. มีสัมมาสติ เปนองคม รรคแรก ๒. สัมมาสตขิ องโลกยี เปน เหตใุ หสัมมาทิฏฐิ ( ปญ ญา ) ๒. เกิดไมแ นนอน ๒. เกิดแนน อน ๓. มอี งคม รรค ๕ หรือ ๖ เพราะ ๓. เกดิ ขณะที่เวนจาก วจีทจุ รติ ๓. เกดิ ในขณะมัคคจติ เกิด เปน องคม รรคแรก ส.วาจา ส.กมั มนั ตะ ส.อาชวี ะ ๓. มอี งคมรรคครบ ๘ สมังคีพรอ มกัน จะมาเพียงตวั ใดตัวหน่ึงหรอื ไมม าเลย ในมัคคจิตเดียวกัน ** การทาํ งานของมรรค กองแหงปญญา มี ๒ คือ สัมมาทฏิ ฐิ และสัมมาสงั กปั ป ๒. สมั มากัมมนั ตะ เวน - ปาณา, อทินนา, กาเม อธ. สมั มากัมมนั ตเจตสิก ( ตอ งเนอื่ งดว ยสมั มาสังกปั ปะ ) ๑. สมั มาทิฏฐิ > ปญญาเจตสิก รใู นสภาพธรรม ตามความเปนจริง โลกยี โลกุตตร ๑. มสี ติปฏฐาน ๔ เปน อารมณ ๑. มีพระนพิ พานเปนอารมณ ปญญารรู ปู นาม โลกยี ปญญารูไตรลกั ษณ โลกตุ ตร ๑.อนัญญาตัญญัสสามิ - โสดา.ม ๒. เกดิ ไมแ นนอน ๒. เกดิ แนน อน ปญ ญาในมัคคจิต ๔ ๒.อัญญินทรีย - โสดา.ผ - อรม ๓. เกิดขณะทเี่ วนจาก วจที ุจรติ ๓. เกิดในขณะมคั คจิตเกิด รนู พิ พาน มี ๓ ระดับ ๓.อญั ญาตาวนิ ทรยี  - อรผ - ละบัญญัติ - ละวิปล ลาสธรรม - ละรปู นามและ ไตรลกั ษณ (นามรปู ปริจ. / ปจจยปรคิ .) ๓. สมั มาอาชวี ะ อนภิชฌา, อพยาปาท, สมั มาทฏิ ฐิ อธ. สมั มาอาชวี เจตสิก ( ตอ งเนอ่ื งดว ยสมั มาสงั กปั ปะ ) ๒. สัมมาสังกัปปะ > วติ กเจตสิก ธรรมที่ยกจิตข้ึนสูอารมณ โลกีย โลกตุ ตร การยกจิตตองไมเ นื่องดว ย ๑. มสี ตปิ ฏ ฐาน ๔ เปน อารมณ ๑. มพี ระนพิ พานเปน อารมณ ๒. เกดิ ไมแ นน อน ๒. เกดิ แนนอน โลกยี โลกุตตร - อภิชฌาทมี่ ี โลภเปนมลู ๓. เกดิ ขณะท่เี วนจาก วจที ุจรติ ๓. เกิดในขณะมัคคจติ เกิด ๑) มสี ติปฏฐาน ๔ เปน อารมณ ปราศจาก มพี ระนิพพาน - โทมนัสท่มี ี โทสเปนมลู อภิชฌา โทมนัส ทม่ี ี โล โท โม เปน มลู เปน อารมณ - อภชิ ฌา+โทมนสั ทีม่ ี ๒) ยกจิตขึน้ สูอารมณ เพอื่ ใหป ญ ญาเขา มา โมหเปนมูล ไตรตรองในอารมณ

* กองแหงสมาธิ มี ๓ * การทํางานขององคม ัคค ๕ - 13 - ๑) สมั มาวายามะ อธ. วริ ิยะเจตสิก มีกิจในสัมมปั ปธาน ๔ อยาง คอื อานิสงสม าจากกองแหง ศีล จักขุ ๑) สัมมาสงั กปั ป - ยกจติ ขึน้ สูอ ารมณ รปู ารมณ เขา ๒ กอง ๑. มีความพยายามเพื่อ .. ละอกศุ ลธรรม .. ทีเ่ กิดข้นึ แลว เอ้อื กองแหง สมั มาสติ ๒) สมั มาสมาธิ - ขณิกะ กองสมาธิ ๒+๓+๕ ๒. มคี วามพยายามเพอื่ .. ใหอกุศลธรรม .. ท่ียังไมเ กิดนนั้ ไมใหเ กิดข้นึ โยคาวจร ๓) สัมมาสติ - ระลกึ รูโดยอารมณ กองปญญา ๑+๔ ๓. มีความพยายามเพ่ือ .. ใหกุศลธรรม .. ที่ยังไมเ กิดใหเ กิดขนึ้ ๕) อาตาป, ๔) ปญญา - ไตรตรองในสภาพ ๔. มคี วามพยายามเพ่ือ .. ใหก ุศลธรรม .. ท่เี กิดข้ึนแลวใหเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป สมั ปชาโณ, สติมา ความเปน จรงิ ใหย กสอู ัตถสญั ญา ๒) สัมมาสติ อธ. สติเจตสกิ ธรรมที่ระลกึ ในอารมณ โลกยี โลกุตตร ๑. มีสตปิ ฏฐาน ๔ เปน อารมณ ๑. มีพระนิพพาน เปนอารมณ ๒. อาศยั สมั มาวายาม ใหตั้งมน่ั เกิดขน้ึ ไมใหตกกระแสวิปส สนา ๓. สต+ิ สมั ปชญั ญะตอ งทาํ งานคูกับ สัมมาทฏิ ฐิ ( ปญญา ) ๓) สัมมาสมาธิ อธ. เอกคั คตาเจตสกิ วิปสสนา สมถะ ๑. ขณิกสมาธิในอารมณท้งั ๖ ๑. อปุ จารสมาธ,ิ อัปปนาสมาธิ ๒. ขณิกนใ้ี หตัง้ มั่นอารมณเ ดียว ๒. สมาธทิ ง้ั ๒ ขมนวิ รณ โดยวิกขมั ภณปหาน ใหสติสัมปชญั ญะมาทําลายกิเลส ๓. มสี ติเพยี งอยา งเดยี ว ในอารมณ ๔. ปรบั อินทรียค อนขา งยาก ๓. ตองมที ง้ั สติ และสัมปชัญญะ ๔. ปรับอินทรียท ้ัง ๕ ใหเ สมอกันไดงาย

- 14 - * อวชิ ชาท่ีปกปด สภาพความเปนจริง ๔ อยาง * แสดง ลกั ษณะ รส ปจ จปุ ฏฐาน ปทัฏฐาน ของอวิชชา ๑) อวชิ ชาหนามาก -> อันธปุถุชน - ไมมีการศกึ ษาธรรม - ไมค บหาสัตตบรุ ุษ ๑. อาณลกขฺ ณา มคี วามไมร ู เปน ลกั ษณะ หรอื เปน ปฏิปก ษต อ ปญญา เปนลกั ษณะ - ไมรูส ภาวธรรม - ไมเ ขาถึงกัมมสกตาญาณ ธรรม ๘ ปญ ญารูรปู นาม ปญ ญารูไตรลกั ษณ ปญญาในมัคคจติ ๔ เมอ่ื อกศุ ลกรรมเกดิ ขึน้ ทางใจ >>> ก็ปลอ ยใหเกดิ ตอทัง้ ทางกาย และวาจา - ละบัญญตั ิ - ละวิปล ลาสธรรม รพู ระนพิ พาน ไมเ ขา ถงึ วิปสสนาภมู ิ ๖ ละรปู นามและไตรลักษณ ๒) อวชิ ชาบางมากแลว วปิ ส สนายังไมอยใู นวสิ ัย เม่อื รูวาอกุศลกรรมเกดิ ขน้ึ ทางใจ >>> ก็ไมปลอยใหสําเร็จทง้ั ทางกายและวาจา ยอมรับวปิ ากทส่ี มควรไดร ับ แตเมื่อกศุ ลเกิดข้ึนทางใจแลว >>> จะเรง ทําใหสําเร็จท้งั ทางกายและวาจา ๒. สมฺโมหนรสา ทาํ ให ธรรมทปี่ ระกอบกบั ตน และผทู โี่ มหะกําลังเกิดอยนู น้ั มคี วามหลงหรือมดื มน เปน กิจ ๓) อวิชชาบางที่สดุ พระอรยิ บคุ คลเบื้องต่ํา ๓ เพราะ โมหเจตสกิ ทาํ ใหอก.ุ ๑๒ เจ.๒๖(-โลภ) เกิดขนึ้ ๑. รูในอริยสัจจ ๔ กาํ ลงั เปนไปดวย อนิฏฐผล ๕ ๒. มกี ารปหานอวชิ ชาโดย สมจุ เฉท ตามมคั คของตน กําลังเปน ไปดว ย อาสวธรรม ๔ ๓. ยงั มงี านอนื่ ทีต่ องทํา ( เจรญิ วปิ สสนา เพ่ือใหไดม ัคคสูงขึน้ ) ๓.ทิฏฐาสวะ ๔.อวชิ ชา ๒.ภวสวะ สังขาร มรณ+อนิฏฐผล ๕ ๔) อวิชชาไมม เี หลอื พระอรหันต มี ๓ นัย คอื ๑. พระปจเจกพระพุทธเจา - มแี ตอรรถรส ( การเขาถงึ สภาว ) ไมตองฟงใครเพราะฟง มาหลายชาติแลว มีจนิ ตา จึงเขาถงึ ภาวนา ๑.กามสวะ ตัณหา อุปาทาน - ไมมีธรรมรส ส่ือธรรม ใหบุคคลอ่ืนไมได โลภ โลภ ทฏิ ฐิ ๒. พระสาวก - อาศัยสุตต จงึ เขา ถึงภาวนา ๓. ฉาทนปจจฺ ุปฏ านา เปน ธรรมชาติทป่ี กปด สภาวะทม่ี อี ยูในอารมณน้นั ๆ เปนอาการปรากฏในปญ ญา - ปฏสิ มั ภิทาปตต > อัตถะ - ขยายเนอื้ ความ ของบัณฑิตท้ังหลาย > ธมั ม - แสดงธรรมไดกวา งขวาง > นริ ุตติ - การใชภาษา จักขปุ สาท จกั ขายตนะ จักขธุ าตุ เห็นรูปารมณ รูปายตนะ รปู ธาตุ > ปฏิภาณ - ไหวพริบ - ศกึ ษาจากพระไตรปฏ ก รูอ ชั ฌาสยั ของสตั วท ั้งหลายไมเทากัน นามธรรม ๔ \" จักขุวญิ ญาณ \" มนายตนะ จักขธุ าตุ - มโนธาตุ มโนวิญญาณ สัญญาขนั ธ, เวทนาขันธ, สงั ขารขันธ ๓. พระสัมมาสมั พทุ ธเจา ๔. อาสวปทฏานา มอี าสวะ ๓ เปนเหตุใกล ( เวน ตัวเอง )

- 15 - * สังขาร หมายความวา ธรรมทป่ี รงุ แตงใหผ ลธรรมเกดิ ขนึ้ มี ๒ ระดบั ( น.๓๖ ) ๑) เจตนาท่ปี รุงแตง กาย วาจา ใจ ใหสาํ เรจ็ ในขณะนน้ั โดยทย่ี ังไมม กี ารสงผล = สหชาตกมั ม. \" สงฺขตํ กายวจมี โนกมมฺ ํ อภิสงฺขโรนฺติ เอเตหตี ิ = สงฺขารา \" ( ปุคคลาธิษฐาน ) สตั วท้ังหลาย ยอมปรุงแตง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่เปน สงั ขตธรรมโดยเจตนา เหลา นั้น ฉะน้นั เจตนาทเี่ ปน เหตุแหง การปรุงแตง เหลา น้นั ชอื่ วา สังขาร ไดแ ก เจตนาท่ีในอก.ุ ๑๒ ,โลกียกุ.๑๗ ๒) เจตนาท่เี ปน สหชาตกมั ม จดั การสงผลโดยความเปนวปิ ากใหป รากฏแลว = นานกั ขณิกกัมม. \" สงฺขตํ สงขฺ โรติ อภิสงฺขโรนฺตตี ิ = สงขฺ ารา \" ( ธรรมาธิษฐาน ) ธรรมเหลาใด ยอ มปรงุ แตง สังขตธรรมทเี่ ปน ผลโดยตรง ฉะนั้น ธรรมเหลา น้นั ชือ่ วา สงั ขาร ไดแก เจตนาทใี่ นอก.ุ ๑๒, โลกียกุ.๑๗ กายกรรม อกุศล ๑๒ มหากศุ ล.๘ มหัคคต ๙ เจตนากรรม > ปุญ + อปุญญ วจีกรรม ๑๒ ๘ - ๒๐ > ปญุ + อปุญญ มโนกรรม ๑๒ ๘ - ๒๐ > ปญุ + อปญุ ญ + อาเนญชา ๑๒ ๘ ๙ ๒๙ ** โลกุตตรกุศลเจตนา ๔ ไดช ื่อวา เปน บุญ แตไมชื่อวา ปุญญาภิสงั ขาร เพราะไมม หี นาท่ที ําใหเกดิ ภพ ชาติ

สงั ขารท่เี ปนผลของอวชิ ชา มี ๖ อยา ง คอื ( น. ๓๖ ) - 16 - สหชาตกมั มปจ จยั = เจตนาทปี่ รุงแตง กาย, วจี, มโน ใหส ําเร็จในขณะนน้ั ๆ นานักขณกิ กัมมปจ จยั = เจตนาทีส่ ง ผลแลว (วิปาก ) ๔ กายสงั ขาร ( เจตนา ๒๐ ) ๑. ชอ่ื วา ปุญญาภิสงั ขาร ( กาย วาจา ใจ ) เจตนาทเ่ี ปนผูป รุงแตง กายทุจริต และกายสจุ รติ ใหส าํ เร็จลง ไดแ ก อกุ.เจต.๑๒, ม.ก.ุ เจต.๘ ท่เี ก่ยี วกับทางกาย กศุ ลเจตนา เปนผูปรงุ แตง โลกียกศุ ลวบิ าก กายทุจรติ อกศุ ลเจต.เจ. ๑๒ อกุศลจติ ๑๒, เจ.๒๖ (-เจตนา) ไดแก ม.กุ.เจต.๘, รูป.ก.ุ เจต.๕ และ กุศลกัมมชรูป โดยตรง ปานา อทนิ กาเม กายทจุ ริต ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ม.ก.ุ เจต.๘ รูป.ก.ุ เจต.๕ อก.ุ เจต.เจ. + อก.ุ จติ ๑๒ เจ.๒๖ (-เจตนา) = เปนปจจยุบัน ปฏิ.๙ ปวัตติ.๑๖ ปฏ.ิ ๕ ปวตั ติ.๕ ปฏ.ิ กํ ปวตั ติกํ ยกมือตบยุง (กายทุจริต) = รปู นามเปน สหชาตกมั ม ในการตบยุง ปฏ.ิ กจิ ภวังคกจิ กายสจุ ริต ม.ก.ุ เจต.เจ. ๘ ม.กุ.จติ ๘, เจ.๓๗ (-เจตนา) ** โลกตุ ตรกศุ ลเจต.๔ ไมน บั เพราะไมทาํ ใหเกดิ ภพชาติ ทาน ศลี ภาวนา กายสจุ รติ ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ม.กุ.เจต.เจ. + ม.กุ.จิต ๘ เจ.๓๗ (-เจตนา) = เปน ปจจยบุ ัน ๒. ช่ือวา อปญุ ญาภิสงั ขาร ( กาย วาจา ใจ ) และ อกศุ ลกัมมชรปู โดยตรง ยกของใสบ าตร (กายสุจรติ ) = รูปนามเปน สหชาตกมั ม ในการใสบาตร อกศุ ลเจตนา เปน ผูปรุงแตง อกศุ ลวิบาก ๕ วจสี ังขาร ( เจตนา ๒๐ ) ไดแ ก อกศุ ลเจต.๑๒ เจตนาทเ่ี ปนผปู รงุ แตง วจีทจุ ริต และวจสี จุ ริตใหส าํ เรจ็ ลง ไดแ ก อกุ.เจต.๑๒, ม.กุ.เจต.๘ ทเ่ี ก่ียวกบั ทางวาจา วจีทจุ รติ อกศุ ลเจต.เจ. ๑๒ อกุศลจิต ๑๒, เจ.๒๖ (-เจตนา) ปฏสิ นธกิ าล ปวัตติกาล ปฏ.ิ กํ ปวัตตกิ ํ วจที ุจรติ ปด หยาบ สอ เสยี ด เพอเจอ อ.ุ ณ.อก.ุ ๑ อเห.อก.ุ วิ.๗ วจสี ุจริต ม.กุ.เจต.เจ. ๘ ม.ก.ุ จิต ๘, เจ.๓๗ (-เจตนา) วจีสจุ ริต ๖ จติ ตสังขาร ( เจตนา ๒๙ ) อาศยั อก.ุ เจต.เจ อาศัย กัมมวิญญาณ เปนปจจัย เปนปจ จัย เจตนาทเ่ี ปน ผูปรงุ แตง มโนทุจรติ และมโนสุจรติ ใหส าํ เร็จลง ไดแ ก อกุ.เจต.๑๒, โลกีย.กุ.เจต.๑๗ ท่เี กย่ี วกับทางใจ มโนทจุ ริต อกุศลเจต.เจ. ๑๒ อกุศลจิต ๑๒, เจ.๒๖ (-เจตนา) มโนสุจรติ ม.กุ.เจต.เจ. ๘ ม.ก.ุ จิต ๘, เจ.๓๗ (-เจตนา) รปู .กุ.เจต.เจ. ๕ รปู .ก.ุ จติ ๕, เจ.๓๔ (-เจตนา) ๓. ชื่อวา อาเนญชาภสิ งั ขาร ( ใจ ) อรูป.ก.ุ เจต.เจ. ๔ อรปู .ก.ุ จิต ๔, เจ.๒๙ (-เจตนา) กุศลเจตนา ที่ตัง้ มนั่ ไมห วั่นไหวเปน ผูป รุงแตง อรปู วบิ าก โดยตรง ไดแก อรูป.ก.ุ เจต.๔

* ธรรมท่ีช่อื วา สังขาร ทไ่ี มใชผ ลของอวชิ ชา มี ๗ อยา ง ( น. ๓๘ ) - 17 - ๑) สังขตสงั ขาร - ธรรมทถี่ ูกปจจัย ๔ ( กรรม จติ อตุ ุ อาหาร ) ปรงุ แตงไดแ ก จติ เจตสิก รูป ทง้ั หมด * เวลาทาํ ทาน = ม.กุ.เจต.๘ สงั ขารทไี่ มใ ชผ ลของอวชิ ชา วา โดย สังขารที่เปนผลของอวิชชา พยายามใสบาตร -> ปโยคาภสิ ังขารไดแก วิรยิ ะเจ. เชน อนจิ ฺจา วต สงขฺ ารา ม.กุ.เจต.๘ ม.ก.ุ ๘, เจ.๓๗ (-เจตนา ) กายสังขาร - มลี มหายใจเขาออก สงั ขารฝา ย สังขารฝา ยผล กายสุจรติ อภิสงั ขรณกสงั ขาร ๓. อภสิ งั ขรณกสงั ขาร ๒. อภิสงั ขตสงั ขาร อภิสังขตสงั ขาร ธรรมทเ่ี ปนผูป รงุ แตง โลกียวบิ ากและกัมมชรูปโดยตรง สหชาตกมั ม > กายสงั ขาร ไดแก อกุศลเจตนา ๑๒, โลกยี กศุ ลเจตนา ๑๗ รูปนามท่ถี ูกกรรมเปนผปู รุงแตง โดยตรง - วาโดย อธ. ใกลเ คยี งกบั สงั ขารท่ีเปน ผลของอวชิ ชา ไดแก โลกยี วบิ าก, กัมมชรูป และอภิสงั ขตสงั ขารน้ี นานกั ขณกิ กมั ม > ปญุ ญาภสิ ังขาร แตใ นทีน่ ้จี ัดวา ไมเปน ผลของอวิชชา เพราะ กส็ งเคราะหเขา ในสงั ขตสงั ขารดว ยเหมอื นกนั อธ.น้ี ถูกปจจยั ๔ ปรงุ แตง ไมใ ชจาก เจตนากรรม - วาโดย ปฏิจจสมปุ บาท ชอ่ื วา - วา โดย สาํ นวนปฏจิ จสมปุ บาท คอื วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา สงั ขาร เปน ปจ จยั ใหป จ จบุ นั ผล ๕ เกดิ * ปญุ ญาภิสงั ขารปรากฏขนึ้ เพราะ อาศยั อวิชชาเปน เหตุ แตในทีน่ ีท้ า นแสดงสังขารฝายเหตเุ ปนปจ จัย ทาน ศลี ภาวนา อธ. โมหเจ. ( เขาไมถ งึ ธรรม ๘ ประการ ) ใหสังขารฝายผลเกิด ** อวชิ ชา เปน ปจจัยให ปุญญาภิสงั ขาร โดยความเปนอารมณ - วาโดยชอื่ โดยปฏิจจสมุปบาท มี ๓ ชอ่ื เหตุ ผล * ปกตปู นิสสย ปญุ ญา. อปญุ ญา. อเนญชา. ( เปน ผลของอวิชชา ) อวชิ ชา ปญุ ญา ม.ก.ุ ๘ - ส่ิงทกี่ ระทําสําเรจ็ อยา งสมบูรณแ ลว ในกาลกอ นเปนไดท ้งั กุศล / อกุศล แตใ นทนี่ มี้ ชี อื่ เดียวเทาน้นั ไมร ู อารมณ ทาน วิปสสนา ๔) ปโยคาภิสังขาร - ความพยายามปรุงแตงทางกายและใจ ไดแ ก วิริยะเจ. ท่เี กีย่ วกับกายกรรมและมโนกรรม ** อปุญญาภิสังขารปรากฏขึน้ เพราะ อาศยั อวชิ ชาเปน เหตุ ๕. กายสังขาร ๖. วจสี ังขาร ๗. จิตตสงั ขาร อธ.โมหเจ. อธ.โมหเจ. ธรรมชาตทิ ่ีปรงุ แตงรา งกาย ธรรมชาตทิ ป่ี รุงแตง วาจา ธรรมชาตทิ ป่ี รงุ แตง จิต อกุ.๑๒ ช.๑ ช.๗ ไดแก ลมหายใจเขา ออก ไดแ ก วติ ก วิจาร โมห+เจตนา ไดแ ก เจตสิก ๕๐ (-วติ ก วิจาร) ๓. สําเร็จลงเปน ปกตูปนิสสยชาติ ๔. อปุญญา. มีอวชิ ชา เปนอารัมมณชาติ ** ปโยคาภิสขั าร ไมเ อาวิริยเจตสกิ ที่เกี่ยวกบั วจีกรรม เพราะ ทางวาจานน้ั วิรยิ เจตสกิ ไมไ ดเปน ประธาน ๑. สหชาต เกย่ี วกับวติ กวิจารเทาน้นั ๒. อนันตรชาติ ( สหชาตขา มดวง )

- 18 - ** แสดง ลกั ษณะ รส ปจ จุปฏฐาน ปทฏั ฐานของสงั ขาร ๑) อภิสงขฺ รณลกฺขณา - มีการปรุงแตง เปน ลกั ษณะ ๒) อายหุ นรสา - มีการพยายามใหป ฏิสนธวิ ิญญาณเกิด หรอื พยายามใหธรรมชาตทิ ่เี ปน ผล ซึ่งไดแก รูปนาม ที่เปน หมวดเปนกองเกดิ ข้นึ เปนกจิ ๑.วิญญาณ ๒.นาม รปู - คพั ภเสย ๓ ปฏ.ิ ๑๙ สหชาตกัมม เจตสิก ๓๕ + กมั ชกกลาป - โอปปาตกิ ๗ อายตนะ อกุ.เจต. ณ.อกุ.๑ - รูปพรหม ๔ ม.กุ.เจต. รปู .ก.ุ เจต. ณ.ก.ุ ๑ ๕. เวทนา ๔. ผสั สะ มนายตนะ อรูป.กุ.เจต. ม.ว.ิ ๘ รปู .ว.ิ ๕ อรปู .ว.ิ ๔ อปุ าทกั ขณะ ๓) เจตนาปจฺจปุ ฏานา - เปน ธรรมชาตทิ ีช่ ักนํากระตนุ เปนอาการปรากฏในปญ ญาของบัณฑติ ทง้ั หลาย อกุ.เจต. อก.ุ ๑๒, เจ.๒๖(-เจต.) รูป.ก.ุ เจต. รปู .ก.ุ ๕, เจ.๓๔(-เจต.) ม.ก.ุ เจต. กายทจุ ริต อรูป.ก.ุ เจต. กายสุจริต ม.ก.ุ ๘, เจ.๓๗ (-เจต.) อรปู .ก.ุ ๔, เจ.๒๙ (-เจต.) กายสจุ ริต กายสุจริต ๔) อวชิ ฺชาปทฏานา - มอี วิชชา เปน เหตุใกล

- 19 - ๒ สงขฺ ารปจฺจยา วิฺ าณํ สมภฺ วติ = โลกยี วิปากวญิ ญาณ ๓๒ ยอมปรากฎเกิดขนึ้ เพราะอาศัย สังขาร ๓ เปน เหตุ ** สังขาร มี ๒ อยา ง คือ สังขาร อดตี ภพ ปจจุบนั ภพ ๑. สงั ขารท่เี ปน ผลของอวิชชา มี ๖ ขอ กัมมวิญญาณ ๒๕ วญิ .ภพกอ น วญิ .ภพน้ี เรียกวา วปิ ากวญิ . ๓๒ (ผล) ( ยอ มไดท ัง้ หมดไมเวน อยา งใดอยางหนงึ่ ) เหตใุ หเ กดิ (รกั ษาปวตั ตกิ มั มชรปู ) ๒. สงั ขารที่เปน เหตุใหเ กดิ วิญญาณ มี ๓ ขอ อธ. = เจตนา อกุศล.๑๒ ปฏิสนธิวญิ ญาณ ๑๙ มี ๒ สวน ( มกี ารเวน เจตนาทีใ่ นอุทธัจจสมั ปยตุ ตจิตขณะปฏสิ นธิ และเจตนากุศลอภญิ ญา ) ไมเ ปน เหตใุ ห ปวัตติวิญญาณ ๓๒ สง ผล ม.กุ.๘ ปวัตติกมั มชรูปเกดิ รปู .กุ.๕ ปฏิ.๑๙ ปวตั .๓๒ อรูป.ก.ุ ๔ ปจจัย ปจ จยุปบนั ธรรม สังขารท่เี ปน เหตุใหเกดิ วิญญาณ มี ๓ ขอ ( เจตนา ๒๙ ) วิญญาณทเ่ี ปนผลของสงั ขาร มี ๒ สว น ๑ ปญุ ญาภสิ ังขาร ๑๓ (-เจตนาใน ก.ุ อภญิ ญา ) ๑. ปฏิสนธิวญิ ญาณ ๒. ปวตั ตวิ ิญญาณ ๒ อปญุ ญาภิสังขาร ๑๒ วิญ. ทเ่ี กดิ ข้ึนในปฏสิ นธิกาล วิญ. ที่เกิดข้ึนในปวตั ตกิ าล ** องคธรรมของวิญญาณ แสดงเปน ๒ นัย ( - อุทธจั จเจตนาทใ่ี หผลในปฏิสนธิกาล ) สุตตนั ตภาชนียนัย ไดแ ก ปฏิสนธิจติ ๑๙ ไดแ ก โลกยี วปิ ากจิต ๓๒ อภิธรรมภาชนียนยั ๓ อาเนญชาภสิ ังขาร ๔ ๑.มงุ หมายเฉพาะในโลกียวปิ ากจติ ๓๒ เทา นัน้ ๑. มุง หมายในจิตทั้งหมด ๘๙ อุ.ณ.ก.ุ ๑ > อเหต.ุ ว.ิ กุ.๘ ๒. มกี ารจาํ แนกโดย ๒. มกี ารรอู ารมณเปนพเิ ศษไปจากการรูของ ปญุ . ม.วิปาก.๘ > ม.วปิ าก.๘ กาล คอื ภพท่เี ปน อดีต ปจ จบุ ัน อนาคต สญั ญาและปญญา ( คาถาที่ ๕ น. ๔) ๓. จิตทัง้ หมดทเ่ี กดิ ขน้ึ ตองอาศัยสังขาร รปู .วปิ าก.๕ > รูป.วปิ าก.๕ - แสดงวา มชฺเฌ อฏ ปจจฺ ปุ ฺปนโฺ น อทฺธา (เจตนาเจ.)ปรุงแตง อปุญ. อุ.ณ.อกุ.๑ > อเหต.ุ วิ.อก.ุ ๗ เหตุผล กจ็ ัดเขาในผล ( คาถาท่ี ๘ น. ๕) ๔. ในทีน่ ีม้ ไิ ดแ สดงโดยกาล เหตุผล วฏั ฏะ - แสดงวา อิทานิ ผลปฺจกํ อาเนญ อรปู .วิปาก.๔ > อรูป.วิปาก.๔ วัฏฏะทงั้ ๓ ก็จดั เขา ใน วิปากวฏั ** สงั ขารฝา ยวปิ าก เปนปจ จยั ใหเกิดวิญญาณ เพราะเหตกุ ารรบั รทู ง้ั หมดนเ้ี กิดจากสังขารฝา ยวปิ าก ( คาถาที่ ๙ น. ๖) ฉะนัน้ จึงเรยี กวา \" วิปากวิญญาณ \" และเกิดข้ึนในสวนของโลกยี ะ จงึ เรยี กวา \" โลกยี วิปากวิญญาณ \" - แสดงวา อวเสสา จ วปิ ากวฏฏ ํ ** คาํ วา สงขฺ ารปจฺจยา วิฺ าณํ นั้น - ระหวาง อปญุ ญาภิสงั ขาร เปนเหตุ ปฏิสนธิวิญญาณ เปน ผล เวน อทุ .เจต.ได อกุ.เจต. ๑๑ - ระหวา ง อปุญญาภสิ ังขาร เปน เหตุ ปวตั ติวิญญาณ เปนผล น้ัน ได อก.ุ เจต. ๑๒ ทัง้ หมด

สังขารท่ีเปน ผลของอวชิ ชา สังขารทเี่ ปนเหตใุ หเ กดิ วญิ ญาณ - 20 - ๑. ไดส ังขาร ๖ ๑. ไดสังขาร ๓ - นานักขณกิ กมั ม ๓ ** เหตุผล การเวนอุทธจั จสหคตเจตนาท่ี ในปฏสิ นธกิ าล - สหชาตกัมม ๓ (กาย วาจา ใจ) ๒. มกี ารเวน ( ไมเ ปนเหตุใหวิญญาณเกิด ) ดงั นี้ การสง ผลในปฏสิ นธกิ าล เปนเรอ่ื งสําคญั เพราะตองทําหนา ท่ีกอ ภพกอ ชาติใหปรากฏ เปน สตั วบ าง, มนุษยบ าง เทวดาบาง ดวยเหตนุ ้ี เจตนาเจตสิกนจ้ี งึ ตอ งมีเจตสกิ อ่นื ๆ ท่มี ีกําลังพเิ ศษเขา ชวยเหลือ - นานักขณกิ กมั ม ๓ (ปญุ . อปญุ . อาเนญ.) - เวน เจตนาในอุทธัจจ ในปฏิสนธกิ าล มิเชน นั้นแลวไมส ามารถสง ผลในปฏสิ นธกิ าลได เพียงแตใ หผ ลในปวตั ติกาลเทา น้ัน พจิ ารณาจากเจตนาทใ่ี นอทุ ธัจจสหคตจิตน้ไี มม กี ําลงั พอ เพราะวาประกอบไดเพียงโมจตุกเจ.ท่ีเปน ๒. ไดเ จตนา ๒๙ อก.ุ เจ.สามัญ สว นอก.ุ เจ.อกี ๑๑ ดวงทีเ่ หลือนั้น นอกจากมีโมจตุกเจตสิกเชน กันแลว ยงั มีโลภ, ทิฏฐิ, มานะ, อิสสา, มจั ฉริยะ, กกุ กจุ จ, วิจิกจิ ฉา รว มอีก ซ่ึงมกี ําลงั พอใหผลในปฏสิ นธิ ไมม กี ารเวน ทั้งในปฏิสนธิ + ปวตั ติกาล โมจตุก.๔+โลภ ทฏิ ฐิ > < โมจตกุ .๔ ดงั นัน้ ในอทุ ธจั จสหคตจิตนี้ ซึ่งมเี พียงโมจตุกเจตสกิ จึงไมก าํ ลังพอทจี่ ะสง ผลในปฏสิ นธิกาล สง ผลไดเฉพาะ โมจตกุ .๔+โทจตกุ .๔ > +โลภ มานะ ในปวตั ตกิ าล โมจตุก.๔+วจิ ิ > < โมจตกุ .๔ ** เหตผุ ล การเวนเจตนาท่ี ในกศุ ลอภิญญา - เวน เจตนาในกุศลอภญิ ญา ทัง้ ในปฏิสนธ+ิ ปวตั ตกิ าล การสง ผลปฏสิ นธิของกุศลอภญิ ญานนั้ ไมม ี เพราะกุศลอภญิ ญานี้ เกิดขึ้นหลงั จากไดปญจมฌานแลว - เวน อก.ุ เจตนาท่ถี ูกประหาณโดยมรรคทัง้ ๔ ฉะน้ัน จึงต้ัง อยูใ นฐานะเปนผลของปญจมฌานประการหนง่ึ ( จะไมเกิดเปนนานกั ขณกิ กัมม ) และในการสําเร็จอภญิ ญาตางๆ นน้ั กเ็ ปนผลของกุศลอภิญญาอีกประการหน่ึง - เวน กศุ ล + อกศุ ลเจตนา ทีเ่ ปน อโหสิกรรม เหตผุ ล ๒ ประการนีแ้ หละ แสดงใหเ ห็นวา กศุ ลอภญิ ญานี้ไมม กี ารสงผลในปฏสิ นธิกาล ** วจนตั ถะ ๑. วชิ านาตีติ = วิ ฺ าณํ - ธรรมชาติใดรูอารมณเปน พเิ ศษ ฉะนน้ั ธรรมชาตนิ ้ันชอ่ื วา วญิ ญาณ อธ. โลกียวิปากจติ ๓๒ รปู ารมณ ไปรู ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต โลกียวิปากจติ ๓๒ > ๑๙ ๑๐ ๒ ๑ รอู ารมณ กุศล / อกุศลชาติ กรรมอารมณ กรรมนิมิต คตนิ มิ ติ วปิ ากชาติ กิรยิ าชาติ ๒. วชิ านนตฺ ิ เอเตนาติ = วิ ฺ าณํ - บุคคลทง้ั หลายยอ มรอู ารมณเปนพเิ ศษ โดยธรรมชาตินัน้ ฉะนน้ั ธรรมชาติที่เปนเหตุให บคุ คลทั้งหลายไดร ูอารมณเปนพเิ ศษนน้ั จึงช่อื วา วิญญาณ อธ. โลกยี วิปากจติ ๓๒ เจ.๓๕

แสดงสงั ขาร ๓ โดย ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณ และปวตั ติวญิ ญาณ - 21 - โลกยี วปิ ากจิต ๓๒ สงั ขาร ๓ เปนเหตุ ธมั มาธิษฐาน ปคุ คลาธิษฐาน ปวตั ติวญิ ญาณ ๓๒ เปน ผล ภมู ิ วญิ ญาณ = ปวตั ติวญิ . ๓๒ ปฏ.ิ วญิ .๑๙ ภูมิ บุคคล ปฏ.ิ วญิ .๑๙ ปวตั ติ.วญิ .๓๒ ( เปนผล ) อกุ . โอม. อกุ.เจต.๑๑ อ.ุ ณ.อก.ุ .ว.ิ ๑ อบาย ๔ ทคุ ติ ๑. อปญุ ญาภสิ ังขาร (-อทุ ธจั จเจต.) อก.ุ เจต.๑๒ อ.ุ ณ.อก.ุ ว.ิ ๑ อเห.อกุ.ว.ิ ๗ อเหต.ุ อกุ.วปิ าก. ๗ กาม.๑๑ อุก. โอม. กาย วจี มโน *อเหตุ.อกุ.วิปาก. ๔ รปู ๑๕ ม.ก.ุ ทว.ิ โอม.๔ อ.ุ ณ.กุ.ว.ิ ๑ มนุ.+จาตุ สุคติ อเหตุ.ก.ุ วิ.๘ กาม.๑๑ ม.กุ.ทว.ิ อกุ .๔ (เทว.ชน้ั ต่าํ ) ทว.ิ (ไดแก การเหน็ ...การถกู ตอง ปฏิ.วญิ . ๑๙ ม.ก.ุ ต.ิ โอม.๔ ต.ิ การรับอา. การไตสวนอา. ๙ อุ.ณ.ก.ุ วิ.๑ ๑๖ อเห.ก.ุ วิ. ๘ ม.กุ.เจต.๘ ม.ก.ุ ต.ิ อุก.๔ ม.วิ.วปิ .๔ มน+ุ เทว.๖ รปู พรหม การรบั อา.ตอ จากชวนะทีด่ ี ) สุคติ ๗ ม.วปิ าก ๘ ม.วิปาก ๘ คุณ ๓ ประการ -> อุก. / โอม. ๒. ปญุ ญาภสิ งั ขาร ๓ ทวาร ม.ว.ิ สมั .๔ (เทว.ชนั้ กลาง) ม.ก.ุ ๘ ม.วิปาก.๘ ( = ตทา) ๑) ธมั มิยลัทธวัตถุ ทาน ศีล ภาวนา รปู ๑๕ มนุ.+เทว.๖ *อเหตุ.ก.ุ วิ.๕ - ของไดม าโดยบรสิ ุทธ์ิ (เทว.ชั้นสงู ) ๒) มตุ ตจาคา รปู .วิปาก.๕ *รปู .ก.ุ เจต.๕ *รปู .วิปาก ๕ รูป ๑๕ ( ไดแ ก การรักษาภพ เปนผล = ภวงั คกจิ ) รูป ๑๕ - ใหโ ดยไมม ีความตระหน่ี มโนทวาร(เฉพาะภาวนา) (ปฏสิ นธกิ จิ ) (เวน อสญั .) (-อสัญ) ๓) ความแรงกลาของเจตนา ๓. อาเนญชาภิสังขาร อรูป.กุ.เจต.๔ อรูป.วิปาก ๔ อรปู .๔ อรปู พรหม อรูป.วปิ าก.๔ อรูป.๔ อรปู .วปิ าก.๔ อรูป.วิปาก.๔ - ทงั้ ๓ กาล (เฉพาะภาวนา) (ปฏสิ นธิกิจ) ( ไดแ ก การรกั ษาภพ เปนผล = ภวงั คกจิ ) (ปฏสิ นธิกจิ ) (ภวังคกิจ) ๑. พรหม มรี ูปรา งดี เพราะ กมั มวิญญาณ ๑๓ ม.ก.ุ ๘, รปู .ก.ุ ๕ ( เรามกี ัมมวิญญาณ ๒๐ อก.ุ ๑๒+ม.ก.ุ ๘ ) สงผลเปน ปวัตติกัมมชรูป ๒. พรหม รับอารมณ ด/ี ไมดี เพราะ อเห.อก.ุ วิ.๔ / อเห.ก.ุ วิ.๕ สงผล ๓. กอนเปนพรหม > ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ๔. เจริญฌาน > อก.ุ เจต. -> อก.ุ ๑๒ เจ.๒๖(-เจต.) อก.ุ เจต. -> อก.ุ ๑๒ เจ.๒๖(-เจต.) เพงองค นบั สงเคราะหเปน ตเิ หตุ. เรียกวา ฌานลาภบี คุ คล กรรมฐาน อัปปนา(โลกยี ) บริกรรมนิมิต อุคคหนมิ ิต ปฏภิ าคนิมติ กมั มวิญญาณ ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ รูป.กุ.เจต.๕ -> รปู .ก.ุ จิต.๕ เจ.๓๔ (-เจต.) ม.กุ.๘ (เกดิ ทางตา) ม.ก.ุ ๘ (เกดิ ทางใจ) ม.กุ.๘ (เกิดทางใจ) ปฏ.ิ วิญ.๕ ปวัตตวิ ญิ .๕ ปวตั ติกมั มชรปู บริกรรมภาวนา อปุ จารภาวนา สหชาตกัมม นานัก.เปน พรหม

- 22 - จาํ แนกติเหตุกกุศลและทวิเหตกุ กุศล โดย อุกกัฏฐะ และโอมกะ จําแนกโดยวิญญาณฐตี ิ ( ภูมิอนั เปนท่ีตั้งแหงวญิ ญาณ ) มี ๗ คอื กาย สัญญี +เอกตั ตสญั ญวี ญิ ญาณ ๑. ตเิ หตุกกุศล ชนดิ อุกกัฏฐะ คอื ชั้นสงู (เจอื ดวยก.ุ ) ใหผล > ม.ว.ิ สํ.๔ ปฏิ. > มนุ. เทว.๖ (ส.) อบาย ๔ ๒ ๒. ติเหตุกกศุ ล ชนดิ โอมกะ คือชั้นตํา่ (เจือดวยอกุ.) ๓. ทวเิ หตุกกศุ ล ชนิดอุกกัฏฐะ คือชนั้ สงู (เจอื ดว ยก.ุ ) ใหผล > ม.ว.ิ วิป.๔ ปฏ.ิ > กาม.๗ ทว.ิ ๑ (ก.) กามสคติ ๗ นานตั ตกาย +นานัตตสัญญีวิญญาณ ๑ ๔. ทวิเหตุกกุศล ชนดิ โอมกะ คอื ชน้ั ตา่ํ (เจือดว ยอกุ.) ใหผ ล > อ.ุ ณ.ก.ุ วิ.๑ ปฏ.ิ > มน.ุ จาต.ุ (ต.) ปฐมฌาน.๓ +เอกตั ตสัญญวี ิญญาณ ๒๓ ทุตยิ ฌาน.๓ +นานัตตสัญญีวญิ ญาณ ตติยฌาน.๓ จตุตถฌาน.๗ การจาํ แนกปฏสิ นธวิ ิญญาณ ๑๙ โดยนยั ตางๆ ( หลักสตู ร น. ๕๑ ) เอกตั ตกาย +เอกตั ตสัญญวี ญิ ญาณ ๔ ปฏิสนธิ ๑๙ มีรปู /ไมม ี ภมู ิ ๓๑ กาํ เนดิ คติ อวอิญาากกญญิาสาจณาญั นญั ญัญ.า.. วอญิากญาสานานัญัญจาจยาตยนตนวิญวิญญญาณาณ ๕๗๖ มิสสก สทุ ธ นริ ย ดริ จั เปรต เนวสญั ญานา. อากญิ จัญญายตนวิญญาณ กาม รูป อรูป อณั ฑ. ชลา สงั เส. โอป. เทว มนุ อ.ณ.อกุ.วิ.๑ ๑ - ๑ - - ๑ ๑ ๑ ๑ - - ๑ ๑ ๑ อุ.ณ.กุ.ว.ิ ๑ ๑ - ๑ - - ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ - - - ม.วิปาก.๘ ๘ - ๘ - - ๘ ๘ ๘ ๘ ๘ ๘ - - - วญิ ญาณ ภมู ิ มี ๙ - อุ.ณ.กุ.ว.ิ ๑, ม.ว.ิ ๘ มี ๗ คือ กามสคุ ตภิ มู ิ ๗ รูป.วิปาก.๕ ๕ - - ๕ - - - - ๕ ๕ - - - - ๑.นานัตตกายนานตั ตสัญญวี ญิ . มี ๒ - อ.ุ ณ.อก.ุ วิ.๑, ปฐม.รูป.ว.ิ ๑ มี ๗ คอื อบายภมู ิ ๔ ปฐม.ภูมิ ๓ ๒.นานัตตกายเอกัตตสัญญีวญิ . มี ๒ - ทตุ ยิ .รูป.วิ.๑, ตตยิ .รูป.ว.ิ ๑ มี ๓ คอื ทตุ ยิ ฌานภูมิ ๓ อรูป.วิปาก.๔ - ๔ - - ๔ - - - ๔ ๔ - - - - จําแนกโดย สัตตวาส ูภมิ มี ๘ เ วน อสัญ. ๓.เอกัตตกายนานตั ตสัญญีวิญ. มี ๒ - จตตุ .รปู .ว.ิ ๑, ปญจ.รูป.ว.ิ ๑ มี ๙ คอื ตติย.๓ เวหัป.๑ สทุ ธา. ๕ จําแนกโดย ิวญญาณฐี ิต ๔.เอกัตตกายเอกตั ตสญั ญีวิญ. มี ๑ - อากาสานัญจายตนวิ.๑ มี ๑ คอื อากาสานญั จายตนภูมิ ๑ ๑๕ ๔ ๑๐ ๕ ๔ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๙ ๑๘ ๙ ๑ ๑ ๑ ๕.อากาสานัญจายตนวิญ. มี ๑ - วญิ ญานัญจายตนว.ิ ๑ มี ๑ คือ วิญญานญั จายตนภมู ิ ๑ ๖.วญิ ญานญั จายตนวญิ . มี ๑ - อากญิ จญั ญายตนวิ. ๑ มี ๑ คอื อากญิ จัญญายตนภูมิ ๑ ภมู ิ ปญจกนัย ( พระอภิธรรม ) จตกุ กนยั ( พระสูตร ) ๗.อากิญจญั ญายตนวิญ. - ปฐมฌานภูมิ ๓ ปฐมฌาน องค ๕ ปฐมฌาน องค ๕ - ทตุ ยิ ฌานภูมิ ๓ ทตุ ิยฌานองค ๔ หมายเหตุ ๘.เนวสัญญนาสัญญายตนวิญ. มี ๑ - เนวสัญญานาสัญญายตนวิ. ๑ มี ๑ - เนวสัญญานาสัญญายตนภมู ิ ๑ ตติยฌานองค ๓ ทุตยิ ฌานองค ๓ - อสญั ญสัตภมู ิ ไมมนี ามขันธ จึงไมเ รยี กวาวญิ ญาณฐตี ิ - ตติยฌานภูมิ ๓ จตุตถฌานองค ๒ - เนวสญั ญานาสญั ญาตนภูมิ แมม ีนามขนั ธ แตไ มปรากฏชัด จึงไมเรียกวา วิญญาณฐตี ิ เชน กัน - จตุตถฌานภูมิ ๖ ปญ จมฌานองค ๒ ตตยิ ฌานองค ๒ - จําแนกโดย สตั ตาวาส ( ภูมอิ ันเปน ท่อี าศยั ของสตั ว มี ๙ ) คอื ในท่ีน้ีนับ ๑-๘ เวน อสัญ. เพราะไมม ีนามขนั ธ จตตุ ถฌานองค ๒

- 23 - แสดงลักษณะ รส ปจ จุปฏฐาน ปทฏั ฐาน ของ วิญญาณ แสดงการสงเคราะหป จ จัย ๒๔ เขา ในบท สงฺขาราปจจฺ ยา วิ ฺ าณํ .. เปน ปจ จัยชว ยอปุ การะแก... ๑.ชวย ๒. กาล - ชาติ ๓. อํานาจปจ จยั ๑ วิชานน ลกขฺ ณํ - มกี ารรูอารมณเ ปนพเิ ศษจากสญั ญาและปญญาเปนลกั ษณะ ๑. สงั ขาร ๓ .... วปิ ากวิญญาณ น-น ปกตู. ๒ ปกตปู นสิ สยปจจยั นานกั ขณิกกัมมปจ จัย ๒ ปุพพฺ คํ ม รสํ - เปนประธานแกเ จตสกิ และกัมมชรปู เปน กจิ นานัก. ๓ ปฏิสนฺธิ ปจฺจปุ ฏานา - มกี ารตดิ ตอระหวา งภพเกา และภพใหม เปนอาการปรากฏ ๔ สงขฺ าร ปทฏานํ (วา) - มีสังขาร ๓ เปนเหตุใกล หรือมีวตั ถุ ๖ กับอารมณ ๖ วตฺถารมมฺ ณ ปทฏานํ เปน เหตใุ กล ๐ ถาม ๑) สงั ขารท่ีเปน ผลของอวชิ ชา และสงั ขารทีเ่ ปน เหตใุ หว ญิ ญาณนัน้ ตางกันอยางไร จงแสดงมาดู ๒) สงขฺ ารปจฺจยาวิ ฺาณํ สมฺภวติ น้นั อยากทราบวา สงั ขารและวญิ ญาณ แสดงไววาอยางไร ตอบ - สังขาร แสดงดงั นี้ ตอบ สังขารทเี่ ปน ผลของอวชิ ชามีจํานวน ๖ อยา ง คือ ๑) ปุญญาภสิ งั ขาร ๑๓ ( เวน เจตนาท่ีในกุศลอภญิ ญา ) ๑. ปุญญาภสิ งั ขาร ๒) อปญุ ญาภิสังขาร ๑๒ ( เวน อุทธัจจเจตนาที่ใหผลในปฏิสนธิกาล ) ๓) อาเนญชาภสิ ังขาร ๔ ๒. อปญุ ญาภสิ ังขาร นานักขณกิ กัมมปจจยั = เจตนาทส่ี ง ผลแลว - วิญญาณ แสดงดังน้ี ๑) วิญญาณทีเ่ กดิ ในปฏิสนธกิ าล ชื่อวา ปฏสิ นธิวิญญาณ ไดแ ก ปฏสิ นธจิ ิต ๑๙ ๓. อาเนญชาภสิ ังขาร ๒) วญิ ญาณทีเ่ กิดในปวตั ติกาล ช่ือวา ปวตั ตวิ ิญญาณ ไดแ ก โลกียวปิ ากวญิ ญาณ ๓๒ - และองคธรรมของวิญญาณน้ี แสดงได ๒ นัย ๔. กายสังขาร ๑) อภธิ รรมภาชนียนัย ไดแก จติ ทง้ั หมด ๒) สตุ ตันตภาชนยี นัย ไดแ ก โลกยี วปิ ากจิต ๓๒ ๕. วจสี ังขาร สหชาตกัมมปจจัย = เจตนาทีป่ รุงแตงกาย วจี และมโน ทีแ่ สดงในท่นี ้มี งุ หมายในสตุ ตันตภาชนียนยั ๖. จิตตสังขาร ใหส าํ เร็จในขณะนน้ั ๆ สาํ หรับสงั ขารท่เี ปนเหตใุ หว ิญญาณนั้น มงุ หมายในกรรมทสี่ งผลใหว ปิ ากวญิ ญาณเกิดขน้ึ คอื นานกั ขณิกกมั มปจ จัย เทานัน้ * หากพดู ถึง เจตนาทีป่ ระกอบกับจติ นั้น ( น. ๔๖-๔๗ ) สงั ขารท่เี ปน ผลของอวชิ ชา ไดเจตนาทใี่ นจิต ๒๙ ท้งั หมด สวนสงั ขารท่เี ปนเหตใุ หวญิ ญาณ มีการเวนเจตนาในจิต ๒๙ คอื ๑. เวน เจตนาในอทุ ธจั จสัมปยุตตจติ ในปฏสิ นธิกาล ๓. อกุศลเจตนาถูกประหานโดยมรรคทั้ง ๔ ๒. เวนเจตนาในกศุ ลอภิญญาท้งั ในปฏิสนธิกาล และ ๔. กศุ ล / อกุศลเจตนาท่ีเปนอโหสกิ รรม ปวตั ติกาล ( เพราะกุศลอภิญญาจะสง ผลในชาตินั้นๆ ) ซ่ึงทั้ง ๔ ขอแมว าจะเปน สังขารทเี่ กดิ จากอวชิ ชากจ็ รงิ แตไมจ ดั เขา สงั ขารที่เปน เหตุใหวิญญาณเกิด

- 24 - ๓ วิ ฺ าณปจจฺ ยา นามรปู  สมภฺ วติ = เจตสิกทปี่ ระกอบโลกยี วปิ าก และกัมมชรปู ยอมปรากฏเกิดขน้ึ เพราะอาศยั กัมมวญิ ญาณ และวิปากวิญญาณ เปน เหตุ วิญญาณ ทีเ่ ปน เหตใุ ห นามรูป เกิดมี ๒ นามรูป ทเ่ี ปนผลจากวญิ ญาณเปน เหตุ * โลกยี วปิ าก ๓๒ - ทว.ิ ๑๐ เกดิ ในปญจโวฯ - มีนามอยา งเดยี ว - มีนามอยา งเดยี ว ๑) วิปากวิญญาณ ( ภพน้ี ) ไดแก โลกียวปิ ากจติ ๓๒ นาม เจตสกิ ๓๕ ท่ีประกอบโลกยี วปิ ากจิต ๓๒ ทั้งปฏ.ิ +ปวัตติกาล - อรปู .วิ.๔ เกิดในอรูปภูมิ - มีรปู + นามทง้ั ๒ ( ภพน้มี ี ปฏสิ นธิวิญญาณ ๑๙ และ ปวตั ตวิ ปิ ากวญิ ญาณ ๓๒ ) รูป ๑. ปฏิสนธกิ ัมมชรปู เกดิ พรอ มกับ ปฏิสนธิวิญญาณ ในภพน้ี * ปวัตติวิปาก ๑๘ - สํ.๒, ณ.๓, ม.วิ.๘, รูป.วิ.๕ - มรี ูป + นามท้งั ๒ ๒) กมั มวญิ ญาณ ( ภพกอน ) ไดแ ก อกุศลจติ ๑๒ มหากุศลจติ ๘ - มนี ามอยา งเดียว รูปาวจรกศุ ลจติ ๕ ทป่ี ระกอบกศุ ล, อกุศลเจตนาในอดีตภพ ๒. ปวตั ติกัมมชรปู เกิดจาก กัมมวญิ ญาณ ๒๕ ในภพกอน ( เวน ทว.ิ ๑๐, อรูป.๔ ) ( เวน อรูปกุศลเจตนา ๔ เพราะไมเ ปนปจจัยใหร ูปเกิด ) ๓. จติ ตชรปู เกดิ จาก ปวัตตวิ ิปากวิญญาณ ๑๘ในภพน้ี เกิดในปญ จโวการภูมิ * ปฏสิ นธิ ๑๙ - ปญจโวการปฏิสนธิ ๑๕ - อรูป.ว.ิ ๔ อวชิ ชา สังขาร ภพกอ น ภพน้ี ๑) นามรูป วญิ ญาณ วปิ ากวญิ ญาณ ๒) นาม เจตนากรรม จิต ๒๙ กมั มวิญญาณ ๒๕ รปู กายสงั ขาร อปญุ ญา. อกุ.๑๒ ปฏสิ นธิ ๑๙ ๑.ปฏสิ นธิวิปากวญิ ญาณ ๓.ปฏิสนธนิ าม ๕.ปฏสิ นธิรปู เกดิ จากกมั ม 3 วจสี งั ขาร ปุญญา. ม.ก.ุ ๘ ทปี่ ระกอบกับ ก.ุ -อกุ.เจตนา อ.ุ ณ.อกุ.ว.ิ ๑ - ปฏิสนธจิ ิต ๑๙ เกดิ จากจิตภพน้ี 3 จติ ตสังขาร อาเนญชา. รูป.ก.ุ ๕ ทใ่ี น อดตี ภพ อุ.ณ.ก.ุ ว.ิ ๑ - เจ.๓๕ ๑. ปฏิสนธกิ ัมมชรูป - รปู โดยตรง อรปู .กุ.๔ >ไมเปนปจจัยให กํ. เกิด ม.วิ.๘ ทปี่ ระกอบในปฏสิ นธิวิญ. ๑๙ ท่เี กิดพรอ มกบั ปฏิ.วิญ. (ภพน้)ี รูป.วิ.๕ สหชาต. นานักขณิก. อรปู .ว.ิ ๔ เกิดพรอ มกัน ( สหชาต ) ปวัตติ ๓๒ ๒.ปวตั ตวิ ิปากวญิ ญาณ ๔.ปวัตตนิ าม ๖.ปวตั ติรปู ไมเ กดิ จากกัมม 2 เกดิ จากจติ ภพนี้ 3 อเห.อกุ.ว.ิ ๗ - โลกียวิปากจติ ๑๘ - เจ.๓๕ ๓. จิตตชรูป - รปู โดยอนโุ ลม ปฏิ ปวตั ตกิ าล ๑๗ จุติ อเห.ก.ุ วิ.๘ ม.ว.ิ ๘ ๑๖ (เวน ทว.ิ ๑๐, อรปู .ว.ิ ๔) ที่ประกอบในปวัตตวิ ปิ ากวิญ. ๓๒ ทเ่ี กดิ จาก ปวตั ตวิ ปิ ากวิญ.๑๘ (ภพน้ี ) - นามขันธ ๔ ปวัตติวญิ ญาณ รูป.ว.ิ ๕ เกดิ พรอ มกัน ( สหชาต ) ๒. ปวัตตกิ มั มชรปู - รูปโดยอนโุ ลม เกิดจากกมั ม 3 อรปู .วิ.๔ ทเี่ กดิ จาก กมั มวญิ . ๒๕ (ภพกอ น) เกิดจากจติ ภพกอ น 2 ( ปฏสิ นธจิ ิต, เจ. ๓๕ ) ปวัตติกมั มชรปู เกิดจาก กัมมวิญญาณ (ปกตูปนสิ สย.) - กํ. (๓,๗,๔ กลาป)

- 25 - แสดงการสงผลของ กมั มวญิ ญาณ ๒๕ >> ภพน้ี ภพกอ น วิญญาณเปนปจ จัยชวยอุปการะแกนามรูป มี ๓ อยาง คอื ( นาม,ํ รูป, นามรปู  ) ๑. วญิ ญาณเปน ปจจยั ชวยอปุ การะแก นาม ใน อรูปภมู ิและปญ จโวการภูมิ ภูมิ ๓๑ ปฏสิ นธิวปิ ากวิญญาณ ปฏิสนธิ กํ กัมมวญิ ญาณ ๒๕ ปวตั ต.ิ กํ - อรปู วิปากจิต ๔ เปน ปจจยั ชวยอปุ การะแก เจ.๓๐ ในปฏ.ิ +ปวตั . ในอรปู ภมู ิ ๔ พรอ ม ไมพรอ ม - ทวิปญ จวิญ. ๑๐ \" \" สัพพ.๗ ในปวัตตกิ าล ในปญ จโว.๒๖ อบาย๔ อุ.ณ.อก.ุ วิปาก. ๑ อก.ุ กํ (๓,๗) อกุศลจติ ๑๒ กัมมชกลาป ๘ ๒. วญิ ญาณเปนปจจัยชวยอปุ การะแก รูป ใน อสัญ. และปญจโว. (ในทีน่ ้ี วิญญาณ ไดแก กมั มวิญ.๒๕ ) กาม มหากศุ ลจิต ๘ (ทวิ.๕+ภาว,วัตถ,ุ ชีวติ ) ๒.๑ รูป.ปญจกศุ ล เปน ปจ จัยชวยอุปการะแก ก.ํ (ชีวติ นวกกลาป ) ในปฏ.ิ +ปวตั . ในอสัญ. ๑๑ สุคติ.๗ อ.ุ ณ.ก.ุ วิปาก. ๑ กศุ ล.ก.ํ (๓,๗) อกุศลจติ ๑๒ กัมมชกลาป ๘ ท่ีประกอบกับสัญญาวิราคเจตนาในอดตี ภพ มหาวปิ าก. ๘ มหากุศลจิต ๘ (ทว.ิ ๕+ภาว,วัตถุ,ชีวติ ) ๒.๒ อกุ.๑๒,ม.ก.ุ ๘ เปนปจจัยชวยอุปการะแก ปวตั ติกมั มชรปู ในกามภูมิ ๑๑ รูปภมู ิ ๑๕ รปู .วิปาก. ๕ กุศล.ก.ํ ๔ มหากศุ ลจิต ๘ กัมมชกลาป ๔ ทป่ี ระกอบกับ กศุ ล อกุศลเจตนาในอดีตภพ (-อสัญ. ) รูป.กุศลจิต ๕ (จักข,ุ โสต,วัตถ,ุ ชีวติ ) ๒.๓ ม.กุ.๘, รปู .กุ.๕ เปน ปจจัยชว ยอุปการะแก ปวตั ตกิ ัมมชรปู ในรูปภมู ิ ๑๕(-อสัญ.) อสัญ. - ชวี ติ นวกกลาป ปญจมฌานพรอมดวย ชวี ิตนวกกลาป ท่ปี ระกอบกบั กุศลเจตนาในอดตี ภพ สญั ญาวิราคภาวนา ๓. วญิ ญาณเปนปจจยั ชว ยอปุ การะแก นามรูป ใน ปญ จโวการภมู ิ วจนัตถะ ในที่นี้ วิญญาณ ไดแก ปญ จโว.ปฏิ.วญิ .๑๕ และปญ จโว.ปวตั ติวญิ .๑๘ (-ทวิ.๑๐ อรปู วิปาก ๔ ) ๑. อารมฺมเณ นมตีติ = นามํ - ธรรมชาตใิ ดนอมไปในอารมณ ฉะนน้ั ธรรมชาตนิ ัน้ ชือ่ วา นาม - ปญ จโว.ปฏิ.วิญ. ๑๕ เปน ปจ จัยชว ยอปุ การะแก เจ.๓๕+ ปฏสิ นธกิ ัมมชรปู ในปญจโว.๒๖ ไดแ ก เจตสิกท่ีประกอบกบั โลกยี วปิ ากจิต ๓๒ - ปญจโว.ปวตั .วปิ ากวญิ . ๑๘ \" \" เจ.๓๕+ จติ ตชรูป ในปญจโว.๒๖ วิญญาณ เปนปจจยั ให นามรปู วิญญาณ ภพกอ น วิญญาณ ภพนี้ รปู ารมณ วญิ ญาณ เปนปจ จยั ใหนาม ( ขณะเหน็ ไมม ีจติ ตชรูป ) ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต กัมมวญิ ญาณ ๒๕ ปวตั ติกมั มชรูป วปิ ากวิญญาณ ๓๒ สพั .๗ จกั ขุปสาท นาม ๕๑ ขณะ อก.ุ ๑๒ ๕๑ ขณะ ๒. สตี ุณหฺ าทิวโิ รธิปจฺจเยหิ รปุ ฺปตตี ิ = รปู  - ธรรมชาติใดยอ มสลายไป เพราะปจ จัยที่เปน ปฏิปก ษ ม.ก.ุ ๘ ๒.๒ กามภูมิ ๑๑ ๑๘ ๓ วิ ฺาณปจจฺ ยานามรปู  = วจนตั ถะท่ี ๓ รปู .กุ.๕ ๒.๓ รูปภูมิ ๑๕ มีความเย็น ความรอ นเปนตน ฉะนนั้ ธรรมชาติน้นั ช่ือวา รูป ไดแ ก กมั มชรูป และจติ ตชรปู ๒.๑ อสัญญ.๑ วิญ. นาม รปู  ๑๕ เจ.๓๕, ปฏิ.กํ ๓. นามฺจ รูปจฺ นามรูปฺจ = นามรูป - นามดวย รูปดวย นามรูปดว ย ช่อื วา นามรปู ปฏสิ นธิกาล ๑๘ เจ.๓๕, จติ ตชรูป ปวตั ตกิ าล มงุ หมาย แสดงใน อรูป. อสญั . ปญจโวการ. วิญ.ปจ จยานามรูป แสดง ๓๑ ภูมิ - วิ ฺาณปจฺจยา นามรปู  วญิ . รปู ๑๔ ๑ วิ ฺาณปจฺจยานามํ = วจนัตถะท่ี ๑ กมั มปจ จยารูป ( ตัด นามรปู ตัวแรกออก เหลือ นามรูป ๒ วิ ฺาณปจฺจยารปู  = วจนัตถะท่ี ๒ วิญ. นาม วิญ.ปจ จยานามํ เรยี กวา เอกเสสนัย ) ปฏิสนธิกาล + ปวัตติกาล อรูป.ว.ิ ๔ เจ.๓๐ (อรูปภมู ิ) ปวตั ติกาล ทว.ิ ๑๐ สัพพ.๗ (ปญ จโว)

- 26 - แสดงการสงเคราะหปจจยั ๒๔ เขาในบท วิฺ าณปจจฺ ยา นามรปู  แสดงลักษณะ รส ปจจปุ ฏฐาน ปทฏั ฐาน ของ นาม .. เปนปจ จัยชว ยอปุ การะแก. .. ๑.ชว ย ๒. กาล - ชาติ ๓. อาํ นาจปจจยั ๑. วปิ ากวญิ . .... เจ.ทีป่ ระกอบ น-น ปวตั . สห. ๙ ญ.๔ ก.๓ (อัญ ปา สํ ) ล.๒ (หา อนิ ) ๑ นมน ลกฺขณํ - มีการนอมไปสูอ ารมณ เปน ลักษณะ ๒. ปฏิ.วญิ . .... หทยวัตถรุ ปู น-ร ปฏ.ิ สห. ๙ ญ.๔ ก.๓ (อัญ ปา วิป ) ล.๒ (หา อนิ ) ๒ สมปฺ โยคา รสํ - มีการประกอบกับวิญญาณ และประกอบกันเอง โดยอาการทเ่ี ปนเอกปุ ปาทตา เปน ตน เปนกจิ ๓. ปฏ.ิ วิญ. .... ปฏิ.กมั มชรูป น-ร ปฏ.ิ สห. ๘ ญ.๔ ก.๒ ( ปา วปิ ) ล.๒ (หา อิน ) ๓ อวนิ พิ ฺโภค ปจจฺ ปุ ฏานํ - มีการไมแ ยกกันกับจิต เปน อาการปรากฏในปญญาของบณั ฑติ ทั้งหลาย ๔. ก.ํ วิญ. .... ปฏ.ิ กมั มชรูป น-ร ปฏ.ิ ปวตั . ปกตู ๑ ปกตปู นสิ สยปจ จยั ๔ วิฺ าณ ปทฏ านํ - มีวิญญาณ เปนเหตใุ กล แสดงลกั ษณะ รส ปจ จปุ ฏฐาน ปทัฏฐาน ของ รปู ๑ รปุ ปฺ น ลกฺขณํ - มกี ารสลายแปรปรวน เปนลักษณะ ๒ วิกิรณ รสํ - มกี ารแยกออกจากกนั ได เปนกจิ ๓ อพยฺ ากต ปจฺจุปฏ านํ - มคี วามเปนอพั ยากตธรรม หรอื มีความไมรูอารมณ เปน อาการปรากฏในปญญาของบณั ฑิตทั้งหลาย ๔ วิ ฺ าณ ปทฏานํ ( อเจตนา อพฺยากตาติ เอตถฺ วยิ อนารมมฺ ณาตา วา อพฺยากตตา ทฏ พพฺ า ) ( มาในมหาฎกี า ) - มีวิญญาณ เปน เหตุใกล

- 27 - ๔ นามรปู ปจฺจยา สฬายตนํ สมภฺ วติ = อชั ฌตั ติกายตนะ ๖ มจี กั ขายตนะเปนตน ยอมปรากฏเกดิ ขนึ้ เพราะอาศยั นามรปู เปนเหตุ ในท่ีนี้ นาม ไดแก เจตสกิ ๓๕ ท่ปี ระกอบกบั โลกียวิปากจติ ๓๒ อชั ฌัตติกายตนะ ๖ รปู ไดแก กัมมชรปู ๑๖ คือ อวนิ ิพโภครปู ๘ ปสาทรูป ๕ ภาวรปู ๑ หทยรปู ๑ ชวี ติ รปู ๑ ( ถานับ ๑๘ เพม่ิ ภาวะรูปอกี ๑ , ถานับ ๒๐ เพิม่ ปริจเฉทรูปอกี ๑ ) ๑ จกั ขายตนะ คือ จักขปุ สาท ๔ ชิวหายตนะ คอื ชิวหาปสาท ๒ โสตายตนะ คอื โสตปสาท ๕ กายายตนะ คอื กายปสาท สฬายตนะ ไดแ ก จกั ขายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ ๓ ฆานายตนะ คอื ฆานปสาท ๖ มนายตนะ คือ โลกยี วิปากจิต ๓๒ = นาม ( แสดงเพียงอายตนะ ๖ น้ี เปน รปู เกิดภายในคน / ในสตั ว แสดงโดยปฏจิ จสมุปบาท กายายตนะ และมนายตนะ คือ โลกียวิปากจติ ๓๒ ถาแสดงโดยปฏฐาน แสดงอายตนะได ๑๒ รวมสิ่งไมมชี วี ติ นอกคน / นอกสตั ว ) ภพกอ น ภพน้ี วิญญาณ อวชิ ชา สงั ขาร นามรูป นาม เจตนากรรม จิต ๒๙ กัมมวิญญาณ ๒๕ วปิ ากวิญญาณ รูป อกุ.๑๒ กายสงั ขาร อปุญญา. ม.ก.ุ ๘ ทีป่ ระกอบกับ ก.ุ -อก.ุ เจตนา ปฏิสนธิ ๑๙ ๑.ปฏิสนธิวิปากวิญญาณ ๑๙ ๓.ปฏิสนธินาม ๕.ปฏิสนธริ ปู ๓ กายายตนะ, ภาวะ, วตั ถุ วจสี งั ขาร ปุญญา. รูป.กุ.๕ ที่ใน อดีตภพ อุ.ณ.อกุ.วิ.๑ จติ ตสังขาร อาเนญชา. อรูป.ก.ุ ๔ >ไมเปน ปจ จยั ให กํ. เกิด อ.ุ ณ.ก.ุ วิ.๑ - ปฏิสนธิจติ ๑๙ - เจ.๓๕ (นาม) - ปฏสิ นธิกมั มชรปู ( รปู ) ๗ ปญ จายตนะ, ภาวะ, วัตถุ ม.ว.ิ ๘ รปู .วิ.๕ (วิญญาณ) ทปี่ ระกอบในปฏิสนธจิ ิต ๑๙ ท่เี กดิ พรอ มกบั ๔ จักขา., โสตา., วตั ถ,ุ ชีวิต อรปู .วิ.๔ ปฏิ.วญิ . (ภพน)้ี *** ความเกย่ี วเนอ่ื ง (มนายตนะ) ( รูป+อายตนะ ) ( รูป ) [ อชั ฌตั ตกิ ายตนะ ๖ ] วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ (อัชฌตั ติกายตนะ ๖) ๑) วปิ ากวญิ . ปวตั ติ ๓๒ ๒.ปวัตตวิ ิปากวญิ ญาณ ๓๒ ( สหชาต ) ๖.ปวัตตริ ูป ปฏสิ นธิวญิ .๑๙ เจ.๓๕ + ปฏิ.กํ มนายตนะ ๓ กายายตนะ, ๔.ปวตั ตนิ าม ๗ ปญจายตนะ, ๔ จกั ขา., โสตา., อเห.อกุ.ว.ิ ๗ - โลกยี วปิ ากจิต ๑๘ - เจ.๓๕ (นาม) - จติ ตชรูป ( รูป ) อเห.ก.ุ วิ.๘ ไมเ ปนอายตนะ ม.ว.ิ ๘ ๑๖ ( -ทวิ.๑๐, อรูป.ว.ิ ๔) ท่ีประกอบในปวัตติวิปากจิต ๓๒ ทเี่ กดิ จาก ปวตั ตวิ ิปากวิญ.๑๘ (ภพน้ี ) ปญ จายตนะ ปวัตติวิญ.๓๒ เจ.๓๕ ๑๘ จติ ตชรปู รปู .วิ.๕ อรูป.๔ (วญิ ญาณ) (มนายตนะ) ๒) กมั มวิญ. ปวัตต.ิ กํ ( สหชาต ) - ปวัตติกัมมชรปู ( รูป ) ทเ่ี กิดจาก กัมมวญิ . ๒๕ (ภพกอน) = ( ปกตปู นสิ สย )

** วจนัตถะ - สฬายตนะ ( ภายในคนภายในสัตว ) * แสดงโดยปุคคลาธิษฐาน นา้ํ ลา งเนอ้ื - 28 - ๑. อายตํ สงสฺ ารวฏฏํ นยตีติ = อายตนํ เตโช. ทีอ่ ยใู นกาย นา้ํ ใสๆ ชิน้ เนือ้ มสี ณั ฐาน ผม ขน เลบ็ ฟน หนงั ทําใหเจรญิ เตบิ โต \"นา้ํ มนั งา\" เหลวสีแดง เทา ไขไก ปญจสาขา - ธรรมชาติใดทรงไวซง่ึ วฏั ฏสงสารทยี่ ืนยาว ฉะน้นั ธรรมชาตนิ น้ั ช่ือวา อายตนะ ไดแก อายตนะ ๑๒ จตุ ิ ปฏิ ปภฐม ..ฯลฯ.. ส๑ป. ส๒ป-. ส๔ป. ส๕ป. ...ฯลฯ... ส๑ป๑. ๑๒ส-ป๔.๒ อายตนะนิเทส ( ขยายความวจนตั ถะท่ี ๑ ) อาศัยมโนสัญเจตนาหาร อาศัยวญิ .อาหาร ชีวติ . อาหารชรปู เกิด +กาย ภาว ๑) สฺชาตเิ ทสฏ - เปน ที่เกดิ ของวิถีจติ บอยๆ + ผสั สาหาร (กพฬีการาหาร) วัตถุ ชวี ิต ๒) นิวาสฏ - เปน ท่ีอยูข องวถิ ิจิต เจตนา เกิดจกั ข,ุ โสต. ฆานะ, ชิวหาครบ ๘ กลาป ๓) อากรฏ - เปนท่เี กดิ ของสัตวท ้งั หลาย สงั ขาร ๓ สมฏุ ฐาน (กรรม จิต อุตุ ) ครบ ๔ สมฏุ ฐาน มีปญจายตนะครบ ไมวาช้นั สูง/ ตา่ํ / ภพภมู ใิ ด กัมมวญิ . ปฏ.ิ ๑๙, เจ.๓๕, ทป่ี ระกอบกบั ปฏ.ิ ๑๙ + ปฏ.ิ ก.ํ (๓ / ๗ / ๔ ) ๔) สโมสรฏ - เปนทป่ี ระชมุ รวมกนั ของวิถจี ติ มีจิต เจ. ( วิญ. นาม, มนายตน, ผัสส, เวทนา ) ๕) การณฏ - เพราะมอี ายตนะภายในและภายนอก มมี นายตนะ และกายายตนะ จงึ ทาํ ใหม กี ารกระทบกนั วถิ ีจติ จึงเกดิ ขน้ึ ชว ยรกั ษา ปวตั ตกิ ัมมชรปู บอยๆ และมากมาย พาหริ ายตนะ ๓. สฬายตนจฺ ฉฏายตนฺจ = สฬายตนํ - อายตนะทัง้ ๖ และอายตนะที่ ๖ ชื่อวา สฬายตนะ (รูปารมณ) ๔) สโมสรฏ วญิ . นามรูป สฬายตนะ อัชฌตั ติกายตนะ ๖ ฉัฏฐายตนะ กาม.๑๑ 3 3 3อายตนทั้ง ๖ ปญจโวการภมู ิ อรูปภูมิ ๕) การณฏ ภ ตี น ท ป ปญ สํ ณ วุ ช..........ช ต ต รปู .๑๕ 3 3 จกั ขา. โสตา. มนา ปญ จโว. 3 3 3อายตนทง้ั ๖ อัชฌัตติกายตนะ ๖ อรปู ภูมิ 3 นามํ อายตนท่ี ๖ คําอธบิ าย : ๒. ฉ อายตนานิ = สฬายตนํ ในกามภูมิ ๑๑ - อายตนะทงั้ ๖ น้ีเปน รปู และนาม ( ในปญจโวการภมู ิ แสดงวา นามรูปปจจฺ ยา สฬายตนํ ) - อายตนะทั้ง ๖ ชอ่ื วา สฬายตนะ ไดแ ก อชั ฌตั ตกิ ายตนะ ๖ ในรปู ภูมิ ๑๕ - อายตนะ ๓ คือ จกั ขา.โสตา.มนา. ในอรูปภูมิ ๔ - อายตนะ ๑ คือ มนายตนะ ใชว า ฉัฏฐายตนะ -> อายตนะที่ ๖ เทา นนั้ ( ในอรูปภูมิ แสดงวา นามปจจฺ ยา ฉฏ ายตนํ ) ในอสญั ญ. - อายตนะแสดงไมไ ดเ ลย เพราะมชี ีวิตนวกกลาปเทา นน้ั

- 29 - แสดงลกั ษณะ รส ปจจปุ ฏ ฐาน ปทัฏฐาน ของ สฬายตนะ พาหริ ายตนะ ( รูปารมณ ) ปญ จวิญญาณธาตุ อาศัย จกั ขุวตั ถุ ๓ อายตนลกฺขณํ ๑ มโนธาตุ วตถฺ ทุ วฺ ารภาวปจฺจุปฏานํ ๑๑ อายตน ลกฺขณํ - มีการกระทบ หรอื มีการทาํ ใหวัฏฏสงสารยนื ยาวเปน ลักษณะ มโนวญิ ญาณธาตุ (วตั ถุ ๖ เปน ปจ จัย วญิ ญาณธาตุ ๗ ) ๒๒ ทสสฺ นาทิ รสํ - มกี ารเห็นเปน ตน เปน กจิ ภ ตี น ท ป ปญ สํ ณ วุ ช..........ช ต ต ๓๓ วตถฺ ุทฺวารภาว ปจฺจุปฏ านํ - มคี วามเปนวตั ถุและทวารของปญ จวิญญาณธาตุ มโนธาตุ มโนวญิ ญาณธาตุ ตามสมควร เปนอาการปรากฎในปญ ญาของบณั ฑิตทง้ั หลาย ๒ อชั ฌตั ติกายตนะ โดย วัตถปุ เุ รชาต ๔๔ นามรปู ปทฏ านํ - มเี จตสกิ และกมั มชรปู เปน เหตใุ กล ทสฺสนาทิรสํ อาศัย พาหิรายตนะ โดย อารมั มณปุเรชาต อชั ฌตั ติกายตนะ ๖ กรรม กมั มวิญญาณ - รกั ษากมั มชรูป เจตนากรรม - รับอารมณดี / ไมด ี สรุป การสงเคราะหปจ จยั ๒๔ เขาในบท นามรปู ปจฺจยา สฬายตนํ ( น.๕๙ - ๖๓ ขอ ๑-๑๖ ) ภพกอ น ภพน้ี ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช..........ช ต ต นามรปู ชวย สฬายตนะ กาล ขอ ขอ ความท่ีระบวุ า ชาตไิ ด ชาติ ปฏิ .......ฯลฯ....... - สหชาต. ๑ นาม -> นาม ( มนายตนะ ) ปฏ.ิ + ปวตั ติ. ( ๑-๘ ) - เกดิ พรอมกนั กับตน - อญั ญมัญญ. ร - น ( ๑๒ ) หทย. หทย. หทย. น - ร ( ๑๐ ) - ปจ ฉาชาต. - สหชาต. - วตั ถปุ เุ รชาต. - เปน เหตเุ ปน ผลซ่งึ กนั และกนั - ปจฉาชาต. จกั ขวุ ัตถุ ร - น ( ๑๓ ) รปู ชวยจักขวุ ิญญาณดวงเดียว - วตั ถุปุเรชาต. ๒ นาม -> รปู ( ปญจายตนะ ) ปฏ.ิ ( ๙ ) - เกิดพรอมกันกม็ ี * ปวัตตวิ ปิ ากวิญ.๓๒, เจ.๓๕ ทป่ี ระกอบกบั ปวัตติวิปากวญิ .๓๒ // ปวตั ตกิ ัมมชรูป. ปวัตติ. ( ๑๐ ) - นามเกิดหลัง (๑๖ =น ท.....ต ) น - น (๑ - ๘) ชวยรปู ทเ่ี กดิ กอ น ( = ตี ) กัมมวญิ .๒๕ ๓ รปู -> นาม ( มนายตนะ ) น - ร ( ๙ ) - สหชาต. หทยวตั ถุ -> มนา. (ปญจโว.ปฏิ.๑๕ ) ปฏิ. ( ๑๑ ) - เกดิ พรอมกันกม็ ี - สหชาต. * ปฏิสนธจิ ติ . ๑๕, เจ.๓๕ ทปี่ ระกอบกับ ปฏ.ิ ๑๕ // ปฏิ.กํ. ๓ กายายตนะ ภว วตั ถุ - วตั ถุปุเรชาต. น - น (๑ - ๘) ๗ ปญ จายตนะ ภว วตั ถุ หทยวตั ถุ -> มนา. (ปญจโว.วิ.๑๘ -ทวิ.๑๐) ปวัตต.ิ ( ๑๒ ) - รปู เกิดกอนและกาํ ลงั ตง้ั อยู ๔ จกั ขา, โสตา. วัตถุ ชวี ิต - สหชาต. ปญจวัตถุ -> มนา. (ทวิ.๑๐) ปวัตต.ิ ( ๑๓ ) ชวยนามทเี่ กดิ ทหี ลงั - รปู ชวี ิตินทริย. มนายตนะ หทยวตั ถุ - อาหาร. ๔ รปู -> รปู ( ปญ จายตนะ ) ร - ร (๑๔ - ๑๖) ยกภาพ กลาป ร - น ( ๑๑ ) - สหชาต. กมั มชมหาภูตรปู ๔ -> ปญ จา. ปฏิ. + ปวัตต.ิ ( ๑๔ ) - ตงั้ อยใู นกลาปเดยี วกนั กบั ตน มหาภตู รปู ๔ อญั ญมัญญ. รปู ชีวติ นิ ทรีย -> ปญจา. ปฏิ. + ปวัตต.ิ ( ๑๕ ) - ตัง้ อยใู นกลาปเดียวกนั กับตน ชวยซ่งึ กันและกัน กัมมโอชา -> ปญจา. ปวตั ติ. ( ๑๖ ) - ตงั้ อยูในกลาปเดยี วกันกบั ตน อปุ าทายรูป จกั ขวุ ตั ถุ ชวย จกั ขุวญิ ญาณธาตุ และในกลาปอน่ื ๆ รสา จกั ขุปสาท รปู า อาหาร ชีวิต คันธ กายวัตถุ ชวย กายวิญญาณธาตุ 3หทยวตั ถุ ชวย มโนธาตุ, มโนวิญญาณธาตุ ( ปฏสิ นธ.ิ เปน มโนวญิ . )

- 30 - หลักการหาอํานาจปจจัย ๑๖ ขอ โดยสังเขป ยอ ปฏสิ นธกิ าล ปวตั ติกาล พิจารณาอํานาจปจจัยโดยลาํ ดบั ปจจยั ปจ จยุ. ๑.ชวย ๒. กาล - ชาติ ๓. อํานาจปจ จยั น-น สหชาต. ขอ ๑-๘ ๑.ปจจยั อะไรชว ยปจ จยุบนั อะไร ๑. เจ.ขันธ ๓ -มนา น-น ปฏ.ิ ปวัต. สห. ๗ ญ.๔ ก.๓ (อญั ปา สํ ) น-ร สหชาต.ขอ ๙ ปจ ฉาชาต.ขอ ๑๐ ๒.กาลอะไร / ชาตอิ ะไร ๒.อโล อโท อโม -มนา น-น ปฏิ. ปวัต. สห. ๘ ญ.๔ ก.๓ (อัญ ปา สํ ) ล.๑ (เห ) ร-น สหชาต.ขอ ๑๑ วตั ถปุ ุเรชาต.ขอ ๑๒-๑๓ ๓.หาอํานาจปจ จัย ๓. เจตนา -มนา น-น ปฏ.ิ ปวัต. สห. ๙ ญ.๔ ก.๓ (อัญ ปา สํ ) ล.๒ (กํ อา ) ร-ร สหชาต.ขอ ๑๔ - ๔, รปู ชวี ิ.ขอ ๑๕ - ๓ ๔. ผัสส เจตนา -มนา น-น ปฏ.ิ ปวตั . สห. ๘ ญ.๔ ก.๓ (อัญ ปา สํ ) ล.๑ (อา ) อาหาร.ขอ๑๖ - ๓ ๕. วติ ก วจิ าร ปต ิ -มนา น-น ปฏ.ิ ปวตั . สห. ๘ ญ.๔ ก.๓ (อญั ปา สํ ) ล.๑ (ฌา ) ๑. สหชาตชาติ ส.ญ.๔ ส. - สังเกตขอ ความ \"ในปฏิสนธิกาล\" ๖. ชีวิติน. เว. ศรัทธา -มนา น-น ปฏิ. ปวัต. สห. ๘ ญ.๔ ก.๓ (อัญ ปา สํ ) ล.๑ (อนิ ) นิ น-น 3 น-ร 3 ร-น 3 \" เกดิ พรอ มกัน / ประกอบดว ย \" ๗. วริ ิยะ สติ ปญ ญา -มนา น-น ปฏิ. ปวัต. สห. ๙ ญ.๔ ก.๓ (อญั ปา สํ ) ล.๒ (อิน มัค) ถิ - ถาชาติ = สห.แลว ญ. ๔ มาเสมอ ๘. เอกคั คตา -มนา น-น ปฏิ. ปวัต. สห. ๑๐ ญ.๔ ก.๓ (อัญ ปา สํ ) ล.๓ (อนิ ฌา มคั ) อ ๙. เจ.ขนั ธ ๓ -ปญ จา น-ร ปฏิ. สห. ๖ ญ.๔ ก.๒ (ปา วปิ ) ส.ก.๔ อญั น-น 3 น-ร 3 ร-น 3 - รปู ตองเปน หทยวตั ถุเทานนั้ ๑๐. เจ.ขันธ ๓ -ปญ จา น-ร ปวตั . ปจ ฉา. ๔ ปจฉา. ปจ .วิป. ปจ.ตตั ถิ. ปจ.อวิคต. ปา น-น 3 น-ร 3 ร-น 2 - แสดงในปจ จุบนั ผล ๕ เทานนั้ ๑๑.หทยวัตถุ -มนา ร-น ปฏิ. สห. ๖ ญ.๔ ก.๒ (อญั วิป ) สํ น-น 3 - ส.ํ มา วิป.ไมมา ๑๒.หทยวตั ถุ -มนา ร-น ปวัต. วตั ถุปุ. ๕ วตั .นิ. วตั . วัต.วปิ . วตั .ตตั . วตั .อวคิ ต วปิ น-ร 3 ร-น 3 - วปิ .มา สํ.ไมมา ๑๓.ปญ จายตนะ -มนา ร-น ปวตั . วตั ถปุ ุ. ๖ วัต.น.ิ วตั . ปุเรชาติ วัต.วิป. วัต.ตัต. วัต.อวคิ ต ส.ล.๗ เห. ธิ กํ หา - ยก ร-น, เจ.ขันธ ๓(เจ.๓๕) ล.ไมมา ๑๔.กัมมชมหาภตู รปู ๔ -ปญจา ร-ร ปฏ.ิ ปวัต. สห. ๔ ญ.๔ อิน. ฌา. มคั . ๑๕.รูปชวี ิตนิ ทรยี  -ปญจา ร-ร ปฏ.ิ ปวัต. รูป. ๓ รูปชีวติ ินทรีย, อนิ ทริยตั ถิ., อินทริยอวคิ ต. ๑๖.กัมมชโอชา -ปญ จา ร-ร ปวตั . อา. ๓ รปู อาหาร., อาหารัตถิ., อาหารอวิคต. ๒. อารมั มณชาติ อา - อารมณ ๓. อนนั ตรชาติ นัน - จติ เจ.เกิดติดตอ กันไมม รี ะหวา งคัน่ องคธ รรม สหชาตชาติเลก็ ๗ ๔. วตั ถปุ ุเรชาตชาติ วตั ร-น 3 - รปู เกดิ กอน ชว ย นามท่เี กดิ หลงั ๑. เหตุปจ จัย - เหตุ ๖ ๕. ปจฉาชาตชาติ ปจ น-ร 3 - นามเกดิ หลงั ชวย รูปทีเ่ กิดกอ น ๒. สหชาตาธปิ ติปจ จัย - ฉนั ทะ วริ ยิ ะ จติ ตะ วิมังสา(ปญ ญา) (* วิปากจติ เปนอธิบดีไดเ ฉพาะโลกุต.วิป. คือ ผลจิต ๔ / ๒๐) ๖. อาหารชาติ หา ร-ร 3 - ดูในกลาป ขอ ๑๖ ๓. สหชาตกมั มปจจยั - เจตนาเจตสกิ ทั้งหมด ๗. รูปชีวติ นิ ทรยิ ชาติ รปู ร-ร 3 - ดใู นกลาป ขอ ๑๕ ๔. นามอาหารปจ จยั - ผัสสะ เจตนา วญิ ญาณทง้ั หมด ในสนธิ ๓ คอื ๑.สังขาร - วญิ ญาณ ๒.เวทนา - ตณั หา ๓.ภวะ - ชาติ ๕. สหชาตินทรยิ ปจจัย - ชีวติ จิต เวทนา ศรทั ธา วิรยิ ะ สติ เอกัคคตา ปญ ญา ๘. ปกตูปนิสสยชาติ ป ป3 ป3 ป3 ๖. ฌานปจจยั - วิตก วิจาร ปต ิ เวทนา เอกคั คตา ๙. นานักขณกิ กมั มชาติ นา นา 3 นา 3 ๗. มัคคปจจยั - ปญญา วติ ก วิรตี ๓ วริ ิยะ สติ เอกัคคตา ทิฏฐิ

- 31 - ๕ สฬายตนปจฺจยา ผสโฺ ส สมฺภวติ = ผัสสะ ๖ ยอ มปรากฏเกดิ ข้ึนเพราะอาศยั อชั ฌตั ติกายตนะ ๖ เปน เหตุ อัชฌตั ตกิ ายตนะ ๖ เปนเหตุ ผัสสะทัง้ ๖ เปนผล การจําแนกผสั สะ ๖ โดยภูมิ ๑) จกั ขปุ สาทกระทบรูปารมณ --> จกั ขุวญิ ญาณจติ เกดิ จักขสุ มั ผสั สะ คอื ผสั สะเจ. ท่ีในจักขวุ ญิ ญาณจิต ๒ ๑) ในกามภมู ิ ๑๑ - ผสั สะ ๖ ยอ มเกดิ ไดท ั้งหมด การประชมุ รว มกนั ระหวาง จักขุปสาท + รปู ารมณ + จกั ขุวญิ ญาณ โสตสัมผสั สะ คอื ผสั สะเจ. ท่ีในโสตวิญญาณจิต ๒ ฆานสัมผัสสะ คอื ผัสสะเจ. ท่ใี นฆานวิญญาณจิต ๒ ๒) ในรปู ภูมิ ๑๕ - ผัสสะยอมเกิดได ๓ คือ ๒) โสตปสาทกระทบสทั ทารมณ --> โสตวญิ ญาณจิตเกดิ ชิวหาสัมผสั สะ คือ ผสั สะเจ. ทใ่ี นชวิ หาวิญญาณจิต ๒ การประชมุ รว มกันระหวาง โสตปสาท + สัททารมณ + โสตวญิ ญาณ (เวน อสญั .) > จกั ขสุ ัมผัสสะ > มโนสัมผสั สะ ๓) ฆานปสาทกระทบคนั ธารมณ --> ฆานวิญญาณจติ เกดิ > โสตสมั ผสั สะ การประชมุ รว มกนั ระหวา ง ฆานปสาท + คันธารมณ + ฆานวญิ ญาณ ๓) ในอรูปภมู ิ ๔ - ผัสสะยอ มเกดิ ได ๑ คือ มโนสมั ผสั สะ ๔) ชวิ หาปสาทกระทบรสารมณ --> ชวิ หาวิญญาณจิตเกิด การประชุมรวมกนั ระหวา ง ชิวหาปสาท + รสารมณ + ชวิ หาวิญญาณ ๔) ในอสญั ญสตั ตภูมิ - ผสั สะทง้ั หมดยอ มเกดิ ไมได ๕) กายปสาทกระทบโผฏฐพั พารมณ --> กายวิญญาณจิตเกดิ เพราะไมมี อชั ฌัตตกิ ายตนะเกิดในภมู นิ ้ี การประชมุ รวมกนั ระหวา ง กายปสาท + โผฏฐัพพารมณ + กายวิญญาณ กายสัมผัสสะ คือ ผัสสะเจ. ท่ีในกายวญิ ญาณจติ ๒ ๖) ภวงั คจติ กระทบสภาพธรรมตางๆทง้ั ปรมัตถและบญั ญตั ิ --> มโนวญิ ญาณจิตเกิด การประชุมรวมกนั ระหวา ง ภวงั คจติ + สภาพธรรมตางๆ + มโนวญิ ญาณ มโนสัมผสั สะ คือ ผัสสะเจ. ท่ใี นโลกียวปิ าก ๒๒ ( เวนทวิ ๑๐) วญิ ญาณ นาม รปู สฬายตนะ ผัสสะ การหาอาํ นาจปจจยั กัมมวิญ. วปิ ากวญิ . (อัชฌัตติกายตนะ ๖) ปฏ.ิ / ปวัตติกาล มโนสัมผสั สะ มนายตนะ (นาม) - โลกีย.วปิ าก.๒๒ (-ทวิ๑๐) เจ.๓๕ ท่ีประกอบกับโลกีย.๓๒ มนายตนะ น-น กายาสมั ผสั สะ สหชาต. ๙ มโนสัมผสั สะ (นาม) ปฏิสนธิ. ปฏิสนธิ ก.ํ คัพพ. กายายตนะ จกั ขุสมั ผัสสะ......กายาสมั ผสั สะ (ญ.๔ ก.๓ ล.๒) ( นามเปนปจ จยั ชว ยนาม ตอ งเกดิ พรอ มกัน ) ปวัตต.ิ ปวตั ติ ก.ํ โอป. ปญจายตนะ จกั ขุสัมผัสสะ โสตสัมผัสสะ จิตตชรูป รปู . จักขา. โสตา. จกั ขุสมั ผัสสะ......กายาสัมผสั สะ อัญ. อา. ร-น ปา. อนิ . ปญจายตนะ สํ. 2 ปญ จายตนะ ๕ (รูป) - มจี กั ขายตนะ.... กายายตนะ วัตถปุ เุ รชาต. ๖ ผัสสะ ๕ (นาม) - มี จักขุสัมผสั สะ...กายสัมผสั สะ ( รูปเกดิ จากกรรม และเกดิ กอนต้ังอยูชว ยนามหลงั ๆ )

- 32 - วจนัตถะ ๔ นยั ผัสสะตง้ั แตแรกเกดิ -> ตาย เปน ไฉน ๑) อารมภฺ ํ ผุสตีติ = ผสโฺ ส - ธรรมชาตทิ ี่กระทบซงึ่ อารมณ ฉะนน้ั ธรรมชาตินน้ั ชื่อวา ผสั สะ ๑) ปญจทวารวิถี มกี รรมอารมณ, กรรมนมิ ติ , คตนิ มิ ิต เกดิ ในทวารวมิ ตุ กอนขนึ้ วิถี ๒) ผสุ นตฺ ิ สมฺปยตุ ตฺ ธมมฺ า เอเตนาติ = ผสโฺ ส อารมณท ร่ี ับ = ธัมมารมณ อาศยั อตตี . เกิดโดย ยงั ไมมกี ารกระทบ แตอตีต.มีการกระทบกับกรรมอารมณ - สมั ปยุตตธรรม คอื จิตและเจตสกิ ทง้ั หลาย ยอ มกระทบซง่ึ อารมณโ ดยธรรมชาตนิ ั้น ๒ รปู ารมณ กรรมนิมติ คตินิมติ ( ธัมมารมณ) ฉะนั้น ธรรมชาตทิ ี่เปน เหตุใหสัมปยุตตธรรมกระทบซ่งึ อารมณนัน้ ชือ่ วา ผัสสะ กระทบ ๓ จักขุวิญญาณ = ๑ + ๒ ๓) ผุสนํ = ผสฺโส (วา) สํผุสเต = สมฺผสโฺ ส จุติ ปฏิ ปภฐม ...ฯลฯ.... ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช..........ช ต ต ผสั สะ - การกระทบอารมณ ชือ่ วา ผสั สะ หรือชือ่ วา สมั ผัสสะ วจนัตถะของ จักขสุ ัมผสั สะ เปนตน มนายตนะ ๑ จักขุปสาท มโนธาตุ (นอกนั้นเปนมโนวิญญาณธาต)ุ ๔) จกฺขวุ ิฺ าเณน สมปฺ ยตุ โฺ ต สมฺผสฺโสติ = จกขฺ ุสมผฺ สฺโส ปฏิ.วิญ. + เจ.๓๕, ปฏิ.กํ. จติ เปน มนายตนะ - ผสั สะ คอื การกระทบที่ประกอบกบั จกั ขุวญิ ญาณ ฉะน้ัน จงึ ชื่อวา จกั ขสุ ัมผสั สะ ไดแก ผัสสะเจตสกิ ท่ปี ระกอบกับจกั ขุวญิ ญาณ มนายตนะ น. ๖๖ ** จกั ขวุ ิญ. เกิดขึน้ ได เพราะ ๑.จกั ขุปสาท ( โดยวตั ถปุ ุเรชาต ) ๒.รูปารมณ ( โดย อารัมมณปุเรชาต ) กระทบอารมณ นอ มไปสอู ารมณ (นมนลกขฺ ณํ) ขณะแรกเกดิ เปน รูอารมณ (วชิ านนลกฺขณ)ํ มโนสมั ผัสสะ ** จกั ขสุ มั ผสั สะ เกดิ ขนึ้ ได เพราะการประชมุ ของ ๑ + ๒ + ๓ ผสั ส เจ. จิตทงั้ หมด +เจ.๕๑ (-ผสั สะ) (วจนัตถะที่ ๒) ๒) มโนทวารวิถี ธรรมชาติทีก่ ระทบ (จิต และเจตสิกทงั้ หลาย) ซง่ึ อารมณ ๑ ดวง สัมปยุตตธรรม ไปรบั กระทบ (สหชาต.) มโนสมั ผสั สะ กอ นวถิ ี มโนสมั ผัสสะ หลังวิถี ธัมมารมณ ( กรรมอารมณ, กรรมนมิ ิต, คตนิ ิมิต ) อยางใดอยางหนึ่งเปน ทวารวมิ ุต (วจนัตถะที่ ๑) ผสฺโส ( หนา ทหี่ ลกั ) สมฺผสฺโส ( ผสั สะ พา สมั ปยตุ ตธรรมไปรบั การกระทบ ) กระทบ อารมณ ๖ ทีเ่ ปนธมั มารมณท ั่วไป ท้งั ปรมตั ถและบญั ญตั ิ มงุ หมายเจตสกิ ดวงเดียว (วจนตั ถะที่ ๓) ภ น ท ม ช ........ ช (อายตนภายนอก) ผสั สะ ทาํ หนา ทกี่ ระทบ แลวพา สมั ปยุตตธรรม (จกั ขวุ ิญ.+สพั พ.๖ ทีเ่ หลือ) ๒ รปู ารมณ ไปดวย รวม ๒ สว นเรยี กวา จักขุสมั ผสั สะ (วจนตั ถะท่ี ๔) มนายตนะ มนายตนะ จกั ขวุ ิญญาณ (ขนั ธ ๑) ๑+๒ (วตั ถุปุเรชาต.+ อารมั มณปเุ รชาต ) ผสั สเจ.ทใี่ นมโนวญิ . มโนวญิ ญาณ (เรยี กวา มโนสมั ผัสสะ) ภาพวิถี >> ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช..........ช ต ต ** ปจ จบุ ัน อยูต รง ผัสสะกระทบ ** มโนวญิ ญาณ เกิดขนึ้ ได เพราะอาศัยภวังคจติ กบั สภาพธรรม ( ปรมตั ถ + บัญญัติ ) การประชุมรวมกันระหวาง ภวงั คจติ + สภาพธรรมตา งๆ + มโนวญิ ญาณ เวทนา ชื่อวา ผสั สะ ๑ จกั ขุวัตถุ สัพพ.๗ (ขนั ธ ๓) (อายตนภายใน)

- 33 - การแสดงผสั สะ ในภพภูมิตางๆ ภูมิ อวิชชา สังขาร วิญ. นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา แสดงการสงเคราะหปจ จัย ๒๔ เขา ในบท สฬายตนปจฺจยา ผสโฺ ส กาม.๑๑ 3 3 3 3 ๖ ๖ ๖ .. เปน ปจ จยั ชว ยอปุ การะแก... ๑.ชวย ๒. กาล - ชาติ ๓. อาํ นาจปจจัย รปู .๑๕ 3 3 3 3 จกั ขายตนะ จกั ขสุ มั ผัสสะ จกั ขสุ มั ผสั สชาเวทนา ๑. จกั ขายตนะ .... จกั ขสุ ัมผัสสะ ร-น ปวัต. วัตถุป.ุ ๖ วตั .น.ิ วัต. ปุเรชาต. วตั .วิป. วัต.ตตั . วตั .อวคิ ต (-อสญั ) โสตายตนะ โสตสมั ผสั สะ โสตสมั ผัสสชาเวทนา ( ปญ จายตนะ เหมอื นขอ ๑ ) ( ถายก น.หทย.- น ปจ.= ๕ ตดั ปเุ รชาตนิ .) มนายตนะ มโนสมั ผัสสะ มโนสัมผัสสชาเวทนา ๒. มนาายตนะ .... มโนสัมผัสสะ น-น ปวตั . สห. ๙ ญ.๔ ก.๓ (อญั ปา สํ ) ล.๒ (อา อิน ) อรูป.๔ 3 3 3 นามํ ฉัฏฐายตนะ มโนสมั ผัสสะ มโนสมั ผัสสชาเวทนา อสญั . 3 3 - รปู  - - - ตวั อยา งเสรมิ กมั ม.๒๕ เจตนา -> ปญจมฌานพรอมดว ยสญั ญาวิราคภาวนา - ยก หทยั ..... ปฏสิ นธจิ ิต ๑๕ ร-น ปฏ.ิ สห. ๖ ญ.๔ ก.๒ (อัญ วปิ ) แสดงลักษณะ รส ปจ จุปฏฐาน ปทฏั ฐาน ของ ผสั สะ - ยก กมั มชมหาภตู . ร-ร ปฏิ. ปวตั . สห. ๔ ญ.๔ ๙ ญ.๔ ก.๓ (อัญ ปา วปิ ) ล.๒ (อา อิน ) ๑ ผุสน ลกฺขโณ - มกี ารกระทบอารมณเ ปนลักษณะ ..... ปญจายตนะ ๒ สฆํ ฏฏน รโส - มีการทาํ ใหจ ติ กบั อารมณตดิ ตอกันเปน กจิ - ยก ปฏสิ นธวิ ญิ . ..... หทัยวตั ถุ น-ร ปฏิ. สห. ๓ สงฺคติ ปจฺจุปฏ าโน - มกี ารประชุมรวมกันระหวางวัตถุ อารมณและวิญญาณ เปน อาการปรากฏในปญ ญาของบณั ฑิตทัง้ หลาย ๔ สฬายตน ปทฏ าโน - มีอชั ณตั ติกายตนะ ๖ เปน เหตุใกล การเกดิ ของรปู ตางๆ จกั ขุสมั ผัสสะ อาศัยจกั ขปุ สาทเกิด (จติ อื่นๆ อาศยั หทยวัตถเุ กดิ ) ๑ ผสุ นลกขฺ โณ ๓ สงคฺ ตปิ จจฺ ปุ ฏาโน รับ กรรมอารมณ. กรรมนิมิต. คตนิ ิมติ รบั ปจจบุ นั อารมณ ผัสสะไปรบั กระทบ จักขุวิญ.เปน มนายตนะ + จักขายตนะ + รูปายตนะ ปุญญา/อปุญญา (การประชุมของอายตนะท้งั ๓) > ร-น โดย วัตถุปเุ ร. ๑ ๒ ..... มโนสัมผัสสะ มโนสมั ผสั สะ เจตนากรรม รปู ายตนะ อายตนลกฺขณํ เวทนา > น-ร โดย ปจฉา. ภ ..... ๑๓ ๑๔ ๑๕ ๑๖ ๑๗ (มีการกระทบ) ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช..........ช ต ต กัมมวิญ.๒๕ ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช..........ช ต ต ฐีตปิ ต ตะ ๔๙ อมันทายกุ ใน ๔๙ นี้ รปู ใดรูปหนงึ่ สามารถเปน ปจจัย มนั ทายกุ จักขุปสาท ๓๗ จกั ขุปสาท ๑๑ ใหจกั ขวุ ญิ ญาณเกดิ ไดทัง้ ส้นิ วญิ .ปจ.นาม-รปู วญิ .ปจ.นาม-รูป(จิตตชรูป) มัชฌมิ ายกุ จกั ขุปสาท ๑ จักขายตนะ วิญ.ปจ.นามํ ตณั หา อปุ าทาน ภวะ สัพพ.๗ ( รูปตณั หา) (กามปุ าทาน) ** โบราณาจารย กลา ววา ธรรมทเี่ ปนปจจยั ใหเ กิด จักขุวญิ ญาณ ได ตองเปน มชั ฌมิ ายกุ จักขุปสาท เทาน้ัน ๒ สํฆฏฏนรโส ผสั สเจ. ** อาจารยภ ายหลงั กลาววา ฐตี ปิ ต ตะ ๔๙ นั้นแหละ เปนปจ จัยใหเ กิดจกั ขุวิญญาณไดทง้ั สน้ิ (ใหน ักศกึ ษาถือเอาทง้ั ๒ นยั ) นาํ สมั ปยตุ ตธรรม = สมั ผสั โส [จกั ขวุ ญิ .+สพั พ.๖(-ผสั ส)] เจตนากรรมเกดิ ปจจุบนั ผล ปจจุบนั เหตุ

- 34 - ๖ ผสฺสปจจฺ ยา เวทนา สมฺภวติ = เวทนา ๖ ยอมปรากฏเกิดข้ึนเพราะอาศัย ผัสสะ ๖ เปนเหตุ ผสั สะ ๖ คือ การกระทบกันระหวา ง จิต + อารมณ เวทนา ๖ คอื การเสวยอารมณท เี่ กิดขึน้ โดยอาศัยการกระทบของ ผัสสะ ๑. จักขุสัมผัสสะ คือ การกระทบกันระหวาง จักขวุ ิญญาณ + รูปารมณ จักขสุ มั ผสั สชาเวทนา ไดแ ก เวทนาทีอ่ ยใู น จกั ขวุ ญิ ญาณจิต ๒. โสตสมั ผัสสะ คอื การกระทบกันระหวา ง โสตวญิ ญาณ + สทั ทารมณ โสตสัมผัสสชาเวทนา ไดแก เวทนาทอ่ี ยูใ น โสตวิญญาณจิต ๓. ฆานสัมผสั สะ คอื การกระทบกนั ระหวา ง ฆานวิญญาณ + คันธารมณ ฆานสมั ผสั สชาเวทนา ไดแ ก เวทนาทีอ่ ยใู น ฆานวญิ ญาณจิต ๔. ชิวหาสัมผสั สะ คือ การกระทบกันระหวา ง ชิวหาวิญญาณ + รสารมณ ชิวหาสมั ผสั สชาเวทนา ไดแก เวทนาที่อยูใน ชวิ หาวญิ ญาณจิต ๕. กายสมั ผสั สะ คือ การกระทบกนั ระหวา ง กายวิญญาณ + โผฏฐพั พารมณ กายสัมผัสสชาเวทนา ไดแ ก เวทนาที่อยูใน กายวิญญาณจติ ๖. มโนสมั ผสั สะ คือ การกระทบกันระหวา ง มโนวิญญาณ + ธัมมารมณ มโนสมั ผัสสชาเวทนา ไดแก เวทนาทอ่ี ยูใน โลกยี วปิ ากจติ ๒๒ (-ทวิ๑๐) ขอสังเกตุ : ขณะท่ี ผสั สะเปนผลของสฬายตนะน้ัน เกิดจากการประชุมรวมกนั ระหวา ง อายตนะภายใน + อายตนะภายนอก + ฉวิญญาณ ผัสสะเปน หตใุ หเ วทนาเกิดขน้ึ นั้น เกดิ จากการกระทบของ จติ ( ฉวิญญาณ ) + อารมณ ( รปู ารมณ เปน ตน ) เวทนาซ่งึ เปนผเู สวยอารมณท ี่เกิดจากการกระทบของผสั สนี้ มกี ารเสวยอารมณ ๓ อยา ง คือ สขุ ทุกข อพั ยากต ดังนัน้ เวทนาทเ่ี กดิ ข้ึนจะปรากฏชัดหรอื ไมน ั้น ขึน้ อยทู ี่ ผสั สะ คือตวั กระทบและเวทนานั้นแหละ ไดเ ขา ไปเสวยอารมณที่ผัสสะเกดิ แลว ลําดบั การเกดิ ผสั สะ เวทนา ๒ รูปายตนะ รบั การกระทบ (รปู กับรปู ) เวทนา เสวยอารมณ สหชาตธรรม จักขุสัมผสั สะ ๔ จกั ขุสมั ผสั สชาเวทนา จกั ขุวิญ. + สพั พ.๖ สฬายตนะ ๔ ผัสสะ ( ๑+๒+๓ ) จักขุวญิ ญาณ + สัพพ.๖ (-ผสั ส) สัญญา ... มนสกิ าร จักขวุ ิญญาณ ๓ ๑+๒+๓ ๓+๒ ๓+๒ เกิดจาก > ๑ + ๒ เปน การทํางาน เปนการทาํ งาน จกั ขสุ มั ผสั สะ เกิดขึน้ ของอายตนะ จักขุสัมผสั สชาเวทนา เพ่อื ให ผัสสะเกิด ของผสั สะ ๓ จกั ขวุ ญิ ญาณ ( ๑+๒ ) >มนายตนะ โดย วตั ถปุ ุเร., อารมั มณปุเร. เพื่อให เวทนาเกดิ ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช..........ช ต ต ๑ จกั ขายตนะ สัพพ ๗

- 35 - วจนตั ถะ : เวทยตีติ = เวทนา - ธรรมชาตใิ ด ยอมเสวยอารมณ ฉะนน้ั ธรรมชาตนิ ้ันชอื่ วา เวทนา ( เปนวจนัตถะทีก่ ลาวถึง เวทนาเจตสิก ตัวเดียว ) จกขฺ สุ มฺผสฺสโต ชาตา เวทนาติ = จกขฺ ุสมฺผสสฺ ชา เวทนา โสตสมผฺ สฺสโต \" \" = โสตสมผฺ สสฺ ชา เวทนา - เวทนาทีเ่ กิดขึน้ เพราะอาศยั จักขสุ มั ผสั สะ เปน เหตุ ฉะนั้นจงึ ชือ่ วา จกั ขสุ ัมผัสสชาเวทนา ฆานสมฺผสสฺ โต \" \" = ฆานสมผฺ สสฺ ชา เวทนา ชวิ หาสมฺผสฺสโต \" \" = ชิวหาสมฺผสฺสชา เวทนา -\" \" โสต \" \" \" โสต \" กายสมผฺ สฺสโต \" \" = กายสมฺผสฺสชา เวทนา มโนสมผฺ สสฺ โต \" \" = มโนสมฺผสสฺ ชา เวทนา -\" \" ฆาน \" \" \" ฆาน \" วจนตั ถะน้ีสบื เนอ่ื งมาจาก -\" \" ชิวหา \" \" \" ชวิ หา \" วจนตั ถะท่ี ๔ ของ ผสั สะ -\" \" กาย \" \" \" กาย \" -\" \" มโน \" \" \" มโน \" การจาํ แนกเวทนา ๖ ( น.๗๐ ) โดย สขุ ทุกข อเุ ปกขา ในโลกียวิปาก ๓๒ โดย อนิ ทริยเภทนัย อารมั มณนภุ วนยั โดย ปคุ คลาธิษฐาน มกี ารเสวยอารมณ ๒ คอื สขุ ทกุ ข มี ๖ คือ มี ๓ คอื ( สุข ๑๒ ทกุ ข ๓ อเุ บกขา ๑๗ ) - สขุ กาย ๑ สขุ เวทนา ๖๓ - ทว.ิ ๑๐ - โสมนัส ๖๒ ทุกขเวทนา ๓ - สขุ เวทนา ๑๐๖ อเุ บกขาเวทนา ๕๕ ๑. สขุ สหคตกายสัมผสั สชาเวทนา จักขุสมั ผสั สชาเวทนา - ทุกขก าย ๑ ๑ โสตสมั ผัสสชาเวทนา อเุ บกขาเวทนา ๘ - โทมนสั ๒ ๒. โสมนัสสหคตมโนสัมผัสสชาเวทนา ๖๒ ฆานสัมผสั สชาเวทนา - อุเบกขา ๕๕ - โลภมลู . ๔, โส.ณ.๑, หสิตุ.๑ ชวิ หาสัมผสั สชาเวทนา - กามาวจรโส. ๑๒ กายสัมผสั สชาเวทนา ทกุ ขเวทนา ๑ - รปู าวจรโส. ๑๒ สุขเวทนา ๑ - โลกุตตรโส. ๓๒ - โลกีย.วิปาก. ๒๒ (-ทวิ ๑๐ ) ๓. อเุ บกขาท่ีเกย่ี วกับสขุ เวทนา ๔๓ มโนสมั ผสั สชาเวทนา อุเบกขา. ๙ ความตางกันของ เวทนา ใน - กุศล ๑๓, กิริยา ๑๑, ก.ุ วปิ าก ๑๙ ทุกข. ๒ อภธิ รรม และพระสตู ร สุข. ๑๑ ๒๒ อารมณ อภิธรรม จักขุ -> ชิวหา = อุเบกขา. - ทุกขเวทนา ๑๕ ๑ กาย = สขุ , ทกุ ข ๑. ทุกขสหคตกายสัมผสั สชาเวทนา ๒ ภ ตี น ท ป ปญ สํ ณ วุ ช.....ช ต ต ๒. โทมนสั สหคตมโนสมั ผสั สชาเวทนา ๑๒ ภ ตี น ท ป ทวิ สํ ณ วุ ช..........ช ต ต พระสูตร ๓. อเุ บกขาทีเ่ กย่ี วกับทกุ ขเวทนา วัตถุ ยอนไปดู ชวน ทเี่ ก่ยี วขอ ง โลภะ->โสม./อุ. - อกุศล ๖, อก.ุ วิปาก ๖ มโนสมั ผัสสชาเวทนา แลว จึงกลับไปเรยี กอารมณ โทสะ->โทมนัส วา เปน เวทนาอะไร ม.กุ -> โสม./อุ.

- 36 - แสดงลักษณะ รส ปจจุปฏฐาน ปทฏั ฐาน ของ เวทนา ๒ รปู ารมณ ๑ อนุภวนลกขฺ ณา ๑ อนุภวน ลกฺขณา - มกี ารเสวยอารมณ เปน ลกั ษณะ ( กลา วถงึ เจตสิกตัวเดยี ว คอื เวทนาเจ. ) ๓ ๒ วสิ ยรสสมโฺ ภค รสา - มีการเสวยรสของอารมณ เปนกิจ ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช..........ช ต ต ๓ สุขทกุ ฺขปจฺจุปฏานา ๓ สขุ ทกุ ฺข ปจฺจุปฏานา - มคี วามสขุ และทกุ ข เปน อาการปรากฎในปญ ญาของบัณฑติ ทั้งหลาย ๑. จักขายตนะ ผสั สะ ธรรมท่ีกระทบอารมณ เวทนา ชวน - เสวยอารมณ บบี อารมณ อฏิ ฐารมณ / อนฏิ ฐารมณ ใหปรากฏ ๔ ผสฺส ปทฏานา - มผี ัสสะ เปนเหตุใกล ๒ วสิ ยรสสมโฺ ภครสา แสดงการสงเคราะหป จจัย ๒๔ เขาในบท ผสฺสปจฺจยา เวทนา .. เปน ปจ จยั ชวยอุปการะแก. .. ๑.ชว ย ๒. กาล - ชาติ ๓. อาํ นาจปจ จยั ๑. ผัสสะทง้ั ๖ .... เวทนาท้งั ๖ น-น ปวัต. สห. ๘ ญ.๔ ก.๓ (อัญ ปา สํ ) ล.๑ ( อา )

- 37 - ๗ เวทนาปจฺจยา ตณหฺ า สมฺภวติ = ตัณหา ๖ ยอมปรากฏเกดิ ข้ึนเพราะอาศัย เวทนา ๖ เปน เหตุ ปจ จุบนั ผล ๑) จักขวุ ิญญาณ ปจ. นามรูป (สัพ.๗) เจ.ขันธ๓ ปจ จบุ ันผล ๕ ปจ จบุ ันเหตุ ๓ อปุ ปตตภิ วะ ๒) สพั พ.๗ (นามรปู ) ปจ. สฬายตนะ (มนายตนะ) ชาติ ชรามรณะ อวิชชา สงั ขาร วิญญ. นามรูป สฬาย. ผัสสะ เวทนา ตณั หา อปุ า. กัมมภวะ ๓) สฬายตนะ ปจ. ผสั สะ สันธิ ๑ สนั ธิ ๒ สันธิ ๓ ๔) ผสั สะ ปจ. ๕) เวทนา ๒+๔ = ๕ จกั ขุสัมผสั สชาเวทนา ทีท่ าํ หนาท่รี บั การเสวยอารมณทีเ่ ปน อิฏฐา, อนฏิ ฐา ๔ ๑. จักขุวิญ. = มนายตนะ ปญุ ญา / อปญุ ญา ๒) รูปายตนะ ๑+๒+๓ = ๔ จกั ขสุ ัมผัสสะ ทําหนาท่ีรบั การกระทบรปู / รปู อิฏฐา ๒.นามํ ๓ ชวยจักขุวญิ .ธาตุ สพั .๗(นามํ) อนิฏฐา ผสั สะ เอกัคค. ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ฯลฯ ช ช ช ช ช ช ช ฯลฯ ช ช ช ช ช ช ช หทย. ๓) = ๑+๒ ๑) จกั ขายตนะ ปจ จุบันเหตุ ๓ ปจ จุบนั เหตุ ๓ ปจจบุ ันเหตุ ๓ ๕.เวทนา ชีวติ . มนายตนะ คนท่ี ๑ โลภ +ทฏิ ฐ.ิ ๓ โลภ+ทฏิ ฐ.ิ ๓ เจตนากรรม สญั ญา มนสกิ าร เจตนา คนที่ ๒ มก.ุ ๘ อารมณโสม.+อ.ุ คนท่ี ๓ โทส. อารมณโทมนสั เวทนา ๖ เปน เหตุ ตัณหา เปน ผล - ตณั หาไดแ ก โลภเจตสิก ท่ีในโลภมลู จิต ๘ เม่ือจาํ แนกโดยอารมณ มี ๖ คือ ๑. จักขุสมั ผสั สชาเวทนา ๑. รปู ตัณหา ความยินดตี ิดใจใน รูปารมณ ๒. โสตสัมผัสสชาเวทนา ๓. ฆานสัมผสั สชาเวทนา ๒. สัททตณั หา \" สทั ทารมณ ๔. ชวิ หาสัมผสั สชาเวทนา ๕. กายสมั ผสั สชาเวทนา เวทนาท่ีในปญ จวญิ ญาณจิต ๑๐ ๓. คันธตณั หา \" คนั ธารมณ ๖. มโนสัมผสั สชาเวทนา เวทนาท่ใี นโลกียวิปาก.๒๒ (เวน ทว.ิ ๑๐) ๔. รสตณั หา \" รสารมณ ๕. โผฏฐัพพตณั หา \" โผฏฐพั พารมณ ๖. ธมั มตณั หา \" ธัมมารมณ - สาํ หรับความยนิ ดีตดิ ใจในการเจริญสมถกรรมฐานและวิปสสนากรรมฐาน มี ๒ บท คอื ธรรมราคะ ธรรมนนั้ ที่ซ่ึง เวทนาทงั้ ๖ เหลา นปี้ ระกอบดว ย สขุ ทกุ ข อเุ บกขา ทีเ่ กิดจากผัสสะ การกระทบกนั โดยผา นแดนคอื หมายความวา ฉนั ทราคะทีเ่ กดิ ขึ้นในการเจริญสมถภาวนาและวปิ สสนาภาวนา ชอ่ื วา ธัมมตณั หา ฉวญิ ญาณ + อารมณ ยอ มกอ ใหเ กิดความรูส ึกชอบ/ไมช อบตดิ ตามมาและความรสู ึก สขุ ทุกขแ ละเฉยๆ น้นั ถือไดว า เปนปจ จัยใหเ กิดตัณหาน่นั เอง - ตัณหาเม่ือวา โดยอาการมี ๓ คอื ๑. กามตณั หา ๒.ภวตัณหา ๓.วิภวตณั หา และการแสดงตณั หาโดยละเอยี ดจะแสดงคทู ี่ ๗ คอื ตัณหาปจ จยาอปุ าทาน ตอไป

- 38 - สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตณั หา ความตางกนั ของ ธมั มารมณ / ธมั มายตนะ / ธมั มตณั หา จกั ขวุ ิญญาณ รูปตัณหา มนายตนะ / จกั ขายตนะ / รูปายตนะ ธมั มารมณ อธ. ๘๙, ๕๒, ๕, ๑๖, นพิ ., บัญ. การรวมของอายตนะ ๓ - ธัมมายตนะ อธ. เจ.๕๒, ๑๖, นพิ . มโนทวาร จกั ขุสมั ผสั สะ จักขสุ มั ผัสสชาเวทนา ~ จกั ขายตนะ > กายายตนะ = ๕ มโนวญิ ญาณ เกดิ จากภวงั คจติ ( เกดิ จากจักขุวญิ ญาณ + รูปายตนะ ) + ธัมมารมณ ( อารมณ ๓ อยาง ) ~ รูปายตนะ > โผฏฐพั พายตนะ = ๗ ~ มนายตนะ = จติ ทง้ั หมด ธัมมธาตุ อธ. เจ.๕๒, ๑๖, นิพ. ~ จกั ขุธาตุ > กายธาตุ =๕ กอ นวิถี ขน้ึ วถิ ี ~ รูปธาตุ > โผฏฐพั พธาตุ =๗ ภ นท ม ชชชชช ชชภ ~ วิญญาณธาตุ =๗ - ธัมมตณั หา อธ. โลกยี .๘๑, ๕๒, ๕, ๑๖, บญั ญตั ิ ภวังคจติ มโนทวารหลังวถิ เี กิด กระทบธมั มารมณ ( ปรมัตถ / บญั ญตั ิ ) มโนสมั ผัสสะ ธัมมารมณ ธมั มายตนะ / ธมั มตัณหา ที่เปน กรรมอารมณ กรรมนมิ ิตอารมณ กระทบธมั มารมณ อธ. ธมั มธาตุ คตนิ ิมิตอารมณ ซึง่ เปนทวารวิมตุ เรา ๘๑ ไมส ามารถรูไ ด ๘ ๕๒ มนายตนะ ๕ มโนวิญญาณ กอ นวถิ ี ๑๖ มีมโนสัมผสั สะกระทบอารมณ ๓ อยาง นพิ . บญั . มโนสมั ผสั สะ มโนสมั ผัสสชาเวทนา ธัมมตณั หา

- 39 - ๐ วจนัตถะ ๑) วตถฺ กุ ามํ ปรติ สฺสตีติ = ตณฺหา ( ธมั มาธษิ ฐาน ) : ธรรมชาตใิ ด ยอมยนิ ดตี ิดใจ ซงึ่ วตั ถุกาม ฉะนั้น ธรรมชาตนิ ั้นชอื่ วา ตณั หา ตณั หา = โลภ.เจ. กามจิต ๕๔, ๕๒, ๒๘ ปญจารมณ (วสิ ยรปู ๗) วตั ถุกาม ธมั มตัณหา (กามจติ ๕๔, ๕๒, ๕, ๑๖ + บญั ญัติ (เกิดทางมโนทวารไมใชว ตั ถุกาม ) ภ ตี น ท ป ปญ สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ภ โลภเจ.(รูปตัณหา ) โลภเจ. (ธรรมชาตทิ ยี่ นิ ดตี ิดใจในวัตถกุ าม ) วตั ถุ ๕ ๐ วจนตั ถะ ๒) วตถฺ ุกามํ ตสสฺ นฺติ ปรติ สฺสนฺติ สตฺตา เอตายาติ = ตณฺหา ( บคุ คลาธิษฐาน ) : สัตวทง้ั หลาย ยอมยินดีตดิ ใจ ซึ่งวัตถุกาม โดยธรรมชาตนิ ั้น ฉะน้นั ธรรมชาติ ท่เี ปนเหตุใหสัตวท ง้ั หลายยนิ ดตี ดิ ใจซ่ึงวตั ถุกามนนั้ ชือ่ วา ตัณหา ไดแ ก โลภเจ. ท่อี ยใู นโลภมูลจติ ๘ ๐ ทําไมในกามจติ ๕๔, ๕๒, ๒๘ จึงมี กริ ิยาจิตอยูด ว ย ๐ ตัณหา เมอ่ื วา โดยอาการท่ีเปน ไปแลว มี ๓ คือ ** กริ ิยาจติ ของพระอรหันต แตเปนอารมณข องปถุ ุชนได ๑) กามตณั หา ๒) ภวตณั หา ๓) วภิ วตัณหา - ตัณหาทเ่ี กดิ พรอมกนั กบั - ความยนิ ดีติดใจในอารมณ ๖ - ตณั หาทีเ่ กดิ พรอมกนั กับ อุจเฉททิฏฐิ (ขาดสญู ) พระอรหันต ปถุ ชุ น ท่เี ก่ียวกบั กามคุณทงั้ ๕ แต สสั สตทฏิ ฐิ โดยอาศัยอารมณ ๖ - เห็นผิด ทั้งบญั ญัติ +ปรมตั ถ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ชภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ไมป ระกอบดวย สสั สตทฏิ ฐิ - เห็นถกู แบบบญั ญตั ิ - ตายแลว ไป อบายภูมิ ม.กิ.๘ / หส.ิ โลภเจ. และอุจเฉททฏิ ฐิ เหน็ ผดิ แบบปรมัตถ - อธ. ไดแก โลภ.ทใ่ี นท.ิ สํ.๔ - เช่อื ผลของกรรม กมั มสกตาญาณ ** ในฌานจิต ๒๗ ชอบนํามหัคคตของตนเองมาเปนอารมณ - ตายแลวไป กามสุคต.ิ ๗ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ภนท ม ชชชชช ชชภ - อธ. ไดแ ก โลภ.๘ - อธ. ไดแก โลภ.ทใ่ี นท.ิ ส.ํ ๔ รปู กศุ ล โลภเจ. สสั สต. อจุ เฉท. ท.ิ ส.ํ ๔

- 40 - ๐ จาํ แนกตัณหา ๓ โดยอารมณ ๖ และกาล ๓ รวมเปน ตณั หา เมื่อวาโดยพิสดาร ๑๐๘ กามตัณหา ภวตัณหา ไมเกดิ พรอมกันในบคุ คล ๑) กามตณั หา คอื อารมณ ๖ x กาล ๓ = ๑๘ x เกิดข้นึ โดยอาศัยอชั ฌัตตอารมณ และพหิทธอารมณ = ๓๖ วิภวตณั หา และเวลาเดียวกนั ๒) ภวตณั หา คอื อารมณ ๖ x กาล ๓ = ๑๘ x เกิดขนึ้ โดยอาศยั อชั ฌตั ตอารมณ และพหิทธอารมณ = ๓๖ ๓) วภิ วตณั หา คือ อารมณ ๖ x กาล ๓ = ๑๘ x เกิดขึ้นโดยอาศัยอชั ฌัตตอารมณ และพหทิ ธอารมณ = ๓๖ ๐ ภัยทงั้ ๔ ( น.๒๕ - ๒๖ ) คือ ยงั ไมพ นจากการเคารพนบั ถือศาสดาตางๆ ๐ รอบ ๓ อาการ ๑๒ สมทุ ยั นโิ รธ มรรค ๑. นานาสัตถอลุ โลกนภัย คอื การไปเกดิ ในที่ๆ ไมแนน อน > สจั จญาณ - ปริยตั ิ ศึกษา ทุกข ละ แจง เจริญ ๒. วินิปาตภยั คือ ยังไมพ น จากการไปเกิดในอบายภูมิ > กจิ จญาณ - ปฏบิ ัติ ศกึ ษา กําหนดรู ละแลว แจงแลว เจริญแลว ๓.อปายภัย คอื ยงั ไมพนจากการกระทาํ อันเปน ทจุ รติ ตางๆ > กตญาณ - ปฏิเวท ศึกษา กาํ หนดรแู ลว ๔.ทุจรติ ภยั แสดงลักษณะ รส ปจจปุ ฏฐาน ปทฏั ฐาน ของ ตณั หา (น. ๘๐) เหตุ ทุกข ๑ เหตุลกขฺ ณา - มีการเปนเหตุของทกุ ขท้ังปวงเปน ลกั ษณะ อุปปตติภวะ อุปปตติภวะ ชาติ ชรามรณะ ๒ อภนิ นทฺ นรสา - มีความยินดพี อใจในอารมณ ภูมิ และภพ เปน กิจ อวชิ ชา สงั ขาร วญิ ญ. นามรปู สฬาย. ผสั สะ เวทนา ตณั หา อปุ า. กัมมภวะ พระสูตร - อนฏิ ฐผล ๕ วปิ าก.๓๒, เจ.๓๕, ก.ํ - พลัดพรากจากสิง่ ท่รี กั - ประจวบเหมาะกบั สิ่งไมรัก ปฏิ ..ฯลฯ.. ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ตัณหา กัมมภว พระอภิธรรม สมุทยแบบ - ไดในสิง่ ที่ไมห วงั ปฏ.ิ ๑๙ ๒ โลภชวนะ ( ภวนิกันติกโลกชวนะ อุปาทาน (เกดิ ดับของรูปนาม) พระสูตร ยินดพี อใจในภพชาติ ) สมุทยสจั จ ทุกขสจั จ - กามตณั หา - ภวตัณหา ๓ อตติ ตฺ ภาวปจจฺ ุปฏ านา - มีความไมอิ่มในอารมณต างๆ ของจิตหรอื บุคคล ทุกขธรรม - วภิ วตัณหา ๔ เวทนาปทฏ านา เปนอาการปรากฏในปญญาของบณั ฑิตท้ังหลาย - มีเวทนาเปน เหตุใกล ( มสี ภาพ เกิด ตงั้ ดบั )

- 41 - ๐ การหาอํานาจปจจัย จักขุสัมผสั สชาเวทนา ( นาม ) ---> นาม (ตัณหา ) ได ๑ ชาติ ๑ ปจจยั รปู ารมณ จักขุสัมผัสสชาเวทนา (นาม) 3 ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต 5 เวทนา ตัณหา นามหลังๆ ชวยรปู เกิดกอ น จักขวุ ตั ถุ 4 รปู เกิดกอนชว ยนามเกดิ หลัง ๑. สห. - เปน ผล เปน วิปาก ไมเ กิด - เปนเหตุ เปนอกศุ ล (โลภมลู จิต ๘) - ทุกขสัจจ พรอ มกนั - เปน สมทุ ยสจั จ ๒. อา. - เวทนา ไมใ ชอ ารมณข อง ตัณหา (ทั้งคูม ี รูปารมณเปนอารมณ) ๓. นัน. - เพราะระหวา ง จักขวุ ิญ. กับ ชวนะ มี ...สํ ณ วุ ...คัน่ จงึ ไมต ิดตอกนั แมในมโนทวารกม็ ี (ม) ค่ันอยู วิปาก กบั ชวนะ [ ภ น ท (ม) ช ช ช ช ช ช ช ภ ] ๔. วัต. - ตอ งยก ร-น แตใ นทน่ี ้ีเปน น-น คือ ถาจกั ขวุ ตั ถุ ชวย จกั ขวุ ิญญาณ เปน วตั ถุปุเรชาต แตจักขุสัมผัสสชาเวทนา ชว ยตณั หา จงึ ไมใ ชว ัตถปุ เุ รชาต. ๕. ปจ . - ตองยก น-ร แตใ นทีน่ ี้เปน น-น ๖. หา. - ตอ งยก ร-ร แตในที่น้ีเปน น-น ๗. รปู . ๘. ปก. เปน การแสดงถงึ น.กอ นๆ --> น.หลงั ๆ ๙. นา. ตองยกเจตนากรรม แตในทีน่ ยี้ กเวทนา

- 42 - ๘ ตณหฺ าปจฺจยา อปุ าทานํ สมภฺ วติ = อุปาทานปรากฏเกดิ ขน้ึ เพราะอาศยั ตัณหา เปน เหตุ หมายความวา ความอยากไดตางๆ ทาํ ใหเกดิ ความยึดม่นั - ลกั ษณะอาการท่ีเปนปจ จัย กลาวถึงเฉพาะกามตัณหาเทาน้นั ท้งั น้เี พราะ กามตณั หาเปนรากฐานใหเกิด ภวตัณหาและวภิ วตัณหา ฉะน้ัน เมอื่ กลาวถึงกามตณั หากเ็ ปน อันวา กลาวถงึ ภวตณั หาและวิภวตณั หาโดยปรยิ าย - ความอยากไดกาม ทําใหเ กดิ ความความยึดมั่นในกาม หมายถึง ความอยากไดส ง่ิ ที่นา ใครน าปรารถนาตา งๆ ทาํ ใหเ กิดความยดึ มนั่ ในอายตนะเหลาน้ัน ความอยากนึกคดิ ถึงสงิ่ เราตา งๆ ท่ไี ดส ัมผัสทางประสาทสัมผสั ความอยากไดตางๆ ดังกลาว เมือ่ มมี ากขนึ้ กจ็ ะทําใหเกดิ ความยึดม่ัน ซง่ึ แสดงออกมาในลกั ษณะหวงแหนวาเราเทานั้นตองได หรอื ตอ งเปน ของเราเทา นน้ั ( ทีม่ า พระคัมภีรป ฏจิ จสมปุ บาททปี นี ) รปู ารมณ จกั ขสุ ัมผัสสชาเวทนา รปู ตณั หา รปู กามุปาทาน โลภ อุปาทาน (ตัณหา) อธ. โลภ = กามปุ าทาน (ทฏิ ฐิ) ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ช ช ช ช ช ช ช ภ ตัณหา กามุปาทาน โลภ มกี ําลังออน โลภ มีกาํ ลังแข็งกลา โลภ - เปนปจ จบุ ันเหตทุ ง้ั ๒ และกําลังเกิดท่ี อกศุ ลชวนะ ทงั้ ๒ = ตัณหา (ปรเิ ยสนทุกข - แสวงหา ) = กามุปาทาน (อารกั ขทกุ ข - รักษา ) - วาโดยอภธิ รรม อธ. = โลภเจตสกิ เหมือนกัน - วาโดยพระสตู ร อธ. = โลภทม่ี ีกําลังออ น ชอ่ื วา \" ตณั หา \" จกั ขปุ สาท ทิฏฐิ ทิฏุปาทาน ทฏิ ฐิ ทฏิ ปุ าทาน ทฏิ ุปาทาน สีลัพพตปุ าทาน สลี พั พตุปาทาน สลี ัพพตุปาทาน โลภท่ีมกี าํ ลงั มาก ช่อื วา \" กามปุ าทาน \" อตั ตวาทปุ าทาน อัตตวาทปุ าทาน อตั ตวาทุปาทาน ๐ วจนตั ถะ (น. ๘๐ ) - ตณั หา กามุปาทาน ( ยึดถือ ) ภุสํ อาทยิ นฺติ อมุ ฺจคาหํ คยฺหนฺตตี ิ = อุปาทานานิ ( โลภ ทม่ี ีกําลงั ออน ) ( โลภ ท่มี กี ําลังแรงกลา ) ธรรมเหลาใดยดึ ถืออยา งแรงกลา คอื ถอื ไวไ มปลอ ย ฉะนัน้ ธรรมเหลา น้ัน ชอื่ วา อุปาทาน - ทฏิ ฐิ > แรง หรอื ออ น กช็ ื่อวา อปุ าทาน ทัง้ ส้นิ อธ. ไดแ ก โลภะและทฏิ ฐิ เหน็ วาเทยี่ ง เหน็ ขาดสูญ เปน สัสสตทิฏฐิ อกี นัย อปุ าทิยนตฺ ีติ = อุปาทานานิ เปนอจุ เฉททิฏฐิ ธรรมเหลาใดเขา ไปยดึ มั่น ฉะนั้น ธรรมเหลานนั้ ชื่อวา อุปาทาน อธ. ไดแก ตัณหาและทฏิ ฐทิ ี่มีกําลงั มาก

- 43 - ๐ อปุ าทาน ๔ อยาง ( น. ๘๑ ) ตัณหา ทโลิฏภฐิ มโาลนภะ การเปน ปจจัย กามุปาทาน ตัณหา กามปุ าทาน ทิฏปุ าทาน สีลัพพตุปาทาน อตั วาทุปาทาน (โลภ) (โลภ) นิยตมิจฉาทิฏฐิ ๓ มิจฉาทิฏฐิ ๖๒ อันตคั คาหิกทฏิ ฐิ ๑๐ -ไมเขา ถงึ - อบายภมู ิ - สุคติ / ทคุ ติ - สุคติ / ทุคติ - สคุ ติ / ทุคติ - สุคติ / ทคุ ติ ทิฏฐิ. ๓ (ทิฏ.ุ สลี ัพ. อัตวา. ) สสั สต.+อจุ เฉ. - เห็นแบบอุจเฉท. - สสั สต. 3 บญั . 2 ปร. - สัสสต. 3 บัญ. 2 ปร. - สัสสตทิฏฐิ - สสั สตทฏิ ฐิ 2 ท้งั บญั .+ปรมัตถ - อุจเฉท. 2 บัญ. 2 ปร. - อุจเฉท. 2 บัญ. 2 ปร. > วา โดย อารมณ มี ๖ 3 --- --- --- --- --- ไมประกอบดว ย สัสสต./อจุ เฉท. > วาโดยอาการ - กามตณั หา 3 --- --- --- --- --- 3 3 33 ไมประกอบดวยสัสสต./ อุจเฉท. 3 3 --- --- - ภวตัณหา --- --- ประกอบดวย สัสสตทิฏฐิ - วภิ วตัณหา --- 3 ** ปพุ พันตกัปปกทิฏฐิ ๑๘ - นึกคดิ เองถึงอดีต ประกอบดวย อจุ เฉททฏิ ฐิ ๑. สัสสตทฏิ ฐิ ๔ ( เทยี่ งทัง้ หมด ) ๓. อนั ตานนั ตทิฏฐิ ๔ ( คิดวา โลกมที ่ีสุด / ไมม ที ส่ี ดุ ) ๕. อธิจจสมปุ ปน นทฏิ ฐิ ๒ - บคุ คลมีการระลกึ ชาติได ๑ ถงึ แสนชาติ - เหาะรอบโลก ถือวา โลกมที ส่ี ดุ - เกดิ กบั ผูท ่ีเคยเปน อสญั ญ.มาในชาติกอ น - บคุ คลมกี ารระลกึ ชาตไิ ด สงั วฎั ฎ + วิวฏั ฏ - เหาะขามจกั รวาลไปทางขวาง ---> ไมมที สี่ ุด - นักเดา นักตรึกตรอง - บคุ คลมกี ารระลึกชาติได ๒๐, ๓๐, ๔๐ สงั วัฎฎ / วิวฎั ฎ - เหาะขามจกั รวาลไปเบื้องลางมที ่สี ุด แตไ ปทางขวาง --> ไมม ที ่สี ุด - นักเดา นักตรกึ ตรอง - นักเดา นกั ตรึกตรอง ภพ ๑ ภพ ๒ ภพ ๓ ระลึกชาติ ๒. เอกจั จสสั สตทฏิ ฐิ ๔ ( บางอยางเทีย่ ง บางอยา งไมเท่ยี ง ) ๔. อมราวเิ ขปทิฏฐิ ๔ ( ผูมคี วามคดิ ดิ้นได ไมต ายตวั ) - มหาพรหมเปน ผูเ ท่ยี ง - ตอบแบบเล่ียง ใชก็ใช ท่ไี มใชก ็ใช ร.+น. อสัญ. ร.+น. - เทวดาพวกขิฑฑาปโทสกิ (เทวะที่กินอาหารไมตาย เที่ยง) - กลัวการขัดแยง 2 น. กาม.๗ - เทวดาพวกมโนปโทสิก (เทวะไมท ะเลาะ เทย่ี ง) - กลวั คนมปี ญญา - ระลึกชาติไปเหน็ อสัญ. เลยคดิ วา เกดิ มาลอยๆ - นกั เดา นกั ตรึกตรอง - กลัวคนรูวา โง เพราะชาติกอนไมม ีนาม

- 44 - ตัณหาเปนเหตุ อปุ าทานเปนผล โลภเจตสิก ท่ีใน โลภมูลจิต ๘ วา โดย อารมณ มี ๖ คือ รูปตณั หา...ธมั มตัณหา โลภ, ทิฏฐิ (ที่มกี ําลังมาก) ท่ีใน โลภมูลจติ ๘ วา โดย อาการเปน ไป มี ๓ อยา ง - กามตัณหา อปุ าทาน ( ความยึดมั่น ) มี ๔ อยาง คือ - ภวตัณหา - วภิ วตัณหา ๑) กามปุ าทาน ความยดึ ม่นั ในวตั ถกุ ามท้งั ๖ มรี ูปารมณ เปน ตน อธ.ไดแ ก โลภเจ. ทยี่ ดึ มัน่ ในอารมณ ๖ คอื รูปกามปุ าทาน...ธัมมกามุปาทาน วาโดยพิสดารมี ๑๐๘ ๒) ทฏิ ปุ าทาน ความยดึ มน่ั ในการเหน็ ผิด มี ๗๕ คอื - นยิ ตมจิ ฉาทฏิ ฐิ ๓ - มิจฉาทิฏฐิ ๖๒ อธ.ไดแก ทฏิ ฐเิ จตสกิ ทน่ี อกจากสลี พั พตทิฏฐแิ ละสกั กายทิฏฐิ - อนั ตัคคาหกิ ทฏิ ฐิ ๑๐ ๓) สลี พั พตปุ าทาน ความยึดมน่ั ในการปฏิบัติผดิ มีการปฏบิ ัติเยย่ี งโคและสนุ ัข อธ.ไดแก สลี ัพพตทิฏฐิ ๔) อัตตวาทปุ าทาน ความยึดมน่ั ในขนั ธ ๕ ของตนและของคนอ่ืน อธ.ไดแก สักกายทฏิ ฐิ ๐ ตัณหา เม่อื วา โดยอาการเปน ไป มี ๓ อยา ง คอื ( น. ๗๖ - ๗๙) ๑) กามตณั หา ไดแ ก ความยินดตี ดิ ใจในอารมณ ๖ ทเ่ี ก่ยี วกบั กามคุณ ๕ แตไมประกอบดว ย สัสสตทฏิ ฐิและอจุ เฉททิฏฐิ ๒) ภวตัณหา ไดแก ตณั หาที่เกดิ พรอ มกับ สัสสตทิฏฐิ โดยอาศัยรปู เสยี ง กลนิ่ รส สัมผสั หมายถึงผทู ม่ี คี วามเห็นวา รูป เสยี ง กล่ิน รส สัมผสั ทีต่ นกําลงั ไดยนิ อยนู ้ี ตง้ั อยูเปนนจิ ไมเ ขาใจวามกี ารเกิด ดับ ๓) วิภวตัณหา ไดแ ก ตัณหาทเี่ กิดพรอมกับ อจุ เฉททฏิ ฐิ โดยอาศยั อารมณ ๖ หมายถงึ - ผทู ่ีมคี วามเห็นวา ในอารมณ ๖ ซึง่ ไดแกส ิ่งมชี วี ติ และไมมชี ีวิตท้ังหลายในโลกนี้มีตัวตนอยู และตัวตนนีไ้ มสามารถตงั้ อยูไดต ลอดยอ มสูญหายไป แลว มีความยนิ ดตี ดิ ใจในอารมณนน้ั หรอื - มคี วามเห็นวา ไมวา ใครๆ ทั้งส้นิ เมอื่ ตายแลวก็สญู หายไปไมเ กิดอกี แลวมีความยนิ ดีติดใจในความเหน็ นนั้ - ผทู ่มี ีความเหน็ ในพระนิพพานวามตี วั มตี นแลวปรารถนาพระนพิ พาน ความปรารถนานีก้ ช็ ่อื วา วิภวตัณหา ๐ จาํ แนกตัณหา ๓ โดยอารมณ ๖ และกาล ๓ รวมเปนตณั หา เมอ่ื วา โดยพสิ ดาร ๑๐๘ ๑) กามตัณหา คือ อารมณ ๖ x กาล ๓ = ๑๘ x เกิดขนึ้ โดยอาศยั อชั ฌัตตอารมณ และพหทิ ธอารมณ = ๓๖ ๒) ภวตัณหา คอื อารมณ ๖ x กาล ๓ = ๑๘ x เกิดขนึ้ โดยอาศัยอชั ฌตั ตอารมณ และพหทิ ธอารมณ = ๓๖ ๓) วิภวตัณหา คอื อารมณ ๖ x กาล ๓ = ๑๘ x เกิดขึ้นโดยอาศยั อัชฌตั ตอารมณ และพหิทธอารมณ = ๓๖ ฉะนน้ั ตัณหา ๖ มีรปู ตัณหาเปน ตน ตณั หา ๓ มี กามตัณหา เปนตนั ตัณหา ๑๐๘ (พสิ ดาร) ทีเ่ กดิ แกสัตวท ้งั หลายก็โดยอาศยั เวทนา คือ การเสวยอารมณท เ่ี ปน สขุ ทกุ ข อเุ บกขา ถาขาดการเสวยอารมณเหลานีแ้ ลว ตณั หากเ็ กดิ ข้นึ ไมได ดวยเหตุน้ีแหละ พระพทุ ธองคจ ึงทรงกลาววา \" เวทนาปจจฺ ยา ตณหฺ า \"

- 45 - ๐ แสดงอุปาทานทั้ง ๔ ๑.รปู กามุปาทาน ๒.๑ นิยตมจิ ฉาทฏิ ฐิ ๓ นัตถกิ ทิฏปุ าทาน - ผลท่จี ะไดรบั ไมม ี และมอี ุจเฉททิฏฐิ (ปฏเิ สธผล) ๑) กามปุ าทาน มี ๖ ๒.สัททกามปุ าทาน ๒.๒ มจิ ฉาทฏิ ฐิ ๖๒ อเหตุกทิฏุปาทาน - ไมม ีเหตอุ ะไรใหเ กดิ (ปฏเิ สธเหต)ุ ๓.คนั ธกามุปาทาน ๒.๓ อนั ตคั คาหิกทิฏฐิ ๑๐ อกิรยิ ทิฏปุ าทาน - ไมมเี หตุใหผลเกดิ ขางหนา ผลท่ีจะไดรบั ก็ไมมี (ปฏเิ สธเหตุ+ผล) ๔.รสกามุปาทาน ๕.โผฏฐัพพกามุปาทาน ปุพพันตกปั ปกทฏิ ฐิ ๑๘ สัสสตทิฏฐิ ๔ ๖.ธัมมกามุปาทาน - ความเห็นผดิ โดยการคดิ นึกเอาเอง เอกัจจสสั สตทิฏฐิ ๔ ในเรื่องความเปนไปของขนั ธ ๕ อันตานันตทิฏฐิ ๔ ทีล่ วงมาแลว อมราวกิ เขปทฏิ ฐิ ๔ อธจิ จสมปุ ปน นทฏิ ฐิ ๒ ๒) ทิฏุปาทาน มี ๗๕ อุทธมาฆาตนกิ สญั ญีวาททฏิ ฐิ ๑๖ อปรนั ตกปั ปกทิฏฐิ ๔๔ (การเกิด ๓ แบบ) อทุ ธมาฆาตนกิ อสญั ญวี าททิฏฐิ ๘ - ความเห็นผดิ โดยการคดิ นกึ เอาเอง อทุ ธมาฆาตนกิ เนวสญั ญีนาสญั ญวี าทิฏฐิ ๘ ในเร่อื งความเปนไปของขนั ธ ๕ อจุ เฉทวาททฏิ ฐิ ๗ ในกาลขางหนา ทฏิ ฐธัมมนิพพานวาททฏิ ฐิ ๕ ๑.สสสฺ โต โลโก เห็นวา โลกเที่ยง ๒.อสสฺสโต โลโก เหน็ วา โลกไมเทีย่ ง ๓.อนตฺ วา โลโก เห็นวา โลกมที ี่ส้ินสดุ ๔.อนนตฺ วา โลโก เหน็ วา โลกไมม ีท่สี ้ินสุด ๕.ตํ ชีวํ ตํ สรรี ํ เห็นวา ชีวะและสรรี ะ เปนอนั เดยี วกัน ๖.อฺ ชีวํ อฺ  สรรี ํ เห็นวา ชวี ะและสรรี ะ เปน คนละอนั ๗.โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา เหน็ วา สตั วน้นั หลังจากตายแลว เกดิ ตอ ไปอกี ๘.น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา เหน็ วา สัตวนน้ั เบอ้ื งหนา แตต ายแลว ไมเ กิดตอไปอีก ๙.โหติ จ น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา เห็นวา สัตวน ้นั เบ้อื งหนา แตต ายแลว ยอมเกดิ อีกก็มี ยอมไมเ กิดอีกก็มี ๑๐.เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา เหน็ วา สตั วนัน้ เบอื้ งหนา แตต ายแลว ยอมเกดิ อกี ก็หามิได ยอ มไมเ กดิ อีกกห็ ามิได

- 46 - ** อทุ ธมาฆาตนิกสัญญีวาททฏิ ฐิ ๑๖ ( ตายแลวเกดิ แบบมีนาม ) - จาํ แนกตามอตั ตที่มี รูป+นาม ๑) อตั ตาท่ีมรี ปู +นาม ---> ทเ่ี ปนสมถะ ---> ฌาน ---> รปู ฌาน เชอ่ื วา ตายแลวไปเกิดแบบมสี ญั ญา ๒) อัตตาทไ่ี มม รี ปู ---> บุคคลท่ีอยใู นอรปู พรหม เช่ือวา ตายแลวไปเกดิ แบบมีแตน าม ๓) อตั ตาทัง้ ท่ีมีรูป+ไมมีรูป เชอ่ื วา ตายแลวไปเกดิ แบบมนี าม ๔) อตั ตาทงั้ ทไี่ มใ ชม ีรูป และไมมรี ปู (ปฏเิ สธกลุม ๑+๒ ) - จําแนกตามผทู ่ีไดป ฏภิ าค ๕) ผทู มี่ ปี ฏภิ าคนมิ ิต ถือวาเปน ของเท่ียง เช่อื วา ตายแลว ไปเกดิ แบบมนี ามทเ่ี ปน ปฏภิ าคนมิ ติ ๖) ผทู ม่ี ีปฏภิ าคนมิ ิต และทาํ การขยายปฏิภาค เช่อื วา ตายแลวไปเกดิ แบบมนี าม ๗) ทั้งผทู ่มี ีปฏิภาคนิมติ และทาํ การขยายปฏภิ าค (รับรองท้ัง ๕ + ๖ ) เชอ่ื วา ตายแลวไปเกิดแบบมนี าม ๘) ทงั้ ทม่ี ีปฏิภาคนมิ ิต และไมขยายปฏิภาคกไ็ มใช ( ปฏเิ สธ ๕ + ๖ ) เชื่อวา ตายแลว ไปเกดิ แบบมนี าม * สรปุ ๑๖ ขอ เหน็ ตรงกันในขนั้ บญั ญัติวา ตายแลว ไปเกดิ มีนาม เทานน้ั - จาํ แนกโดยสญั ญา ๙) ผูม สี ัญญาเดียว ( อบาย, ปฐม, ตติย, จตุต ) เชือ่ วากลุม สญั ญาเดียว ตายแลวไปเกิดแบบมนี าม ๑๐) ผูทีม่ หี ลายสญั ญา ( มนุษย, เทวดา ---> ทตุ ยิ ) ๑๑) ผูมสี ญั ญานอ ย ( มงุ หมายเอา อบาย, มนษุ ย, เทวดา ) ๑๒) ผมู ีสญั ญามาก ( มุงหมายเอา รปู พรหม, อรปู พรหม ) - จําแนกโดยความสขุ ความทุกข ๑๓) ผทู ี่มีความสขุ ไมมีทกุ ข ( มงุ หมายเอา รปู พรหม, อา. วิญ. กิญ ) ๑๔) ผูท่ีมีความทุกขไมม ีสขุ ( มุง หมายเอา เปรต, อสุรกาย, สตั วน รก ) เห็นวาตายแลวไปเกิดแบบมีนาม ๑๕) ผทู ี่มีความสขุ และทุกข ( มงุ หมายเอา มนุษย, สัตวเดรัจฉาน, เทวดา ) ๑๖) ผทู มี่ คี วามสขุ ก็ไมใชมีทุกขก ไ็ มใ ช ( มุงหมายเอา เนว. ) ** อุทธมาฆาตนกิ อสัญญวี าททฏิ ฐิ ๘ ** ทฏิ ฐธัมมนพิ พานวาททฏิ ฐิ ๕ ๑) มนุษย ผูเ พียบพรอมดว ยกามคุณ - เชอ่ื แบบขอ ๑ -(ตายแลวไปเกิดในอสญั ญ.) - วดั กนั ในมนษุ ยดวยกนั (วาโดยโวหาร รา่ํ รวยมาก ปรารถนาส่ิงใดกส็ ามารถทําได ) ๒) รปู ปฐมฌาน ** อุจเฉทวาททฏิ ฐิ ๗ - เปรยี บเทยี บผูไดฌ านดวยกนั ๓) ทตุ ิยฌาน ๔) ตติยฌาน ๑) ผทู ีม่ ีบิดามารดาเปน แดนเกดิ ๔) ผูทไี่ ดอากาสานญั จา. ๕) จตตุ ถฌาน - มนษุ ย + สัตวเดรจั ฉาน เชอื่ วา ตายแลว ขาดสูญ ๕) ผทู ี่ไดวญิ ญานญั จา. ปฏเิ สธ ๑ - ๓ ( ๓๐ ภมู ิ ) เชือ่ วาตายแลว ขาดสูญหมด ๒) ผูท ่ีมีกายทพิ ย ( โอปปาตกิ ะ ) ๖) ผูทไี่ ดอ ากิญจัญญา. - เทวดา, เปรต, อสรุ กาย, สตั วนรก เชือ่ วา ตายแลว ขาดสูญ ๗) ผูท ไ่ี ดเนวสัญญานา. ๓) ผทู ส่ี าํ เรจ็ ในรปู ฌานท้งั หมดขาดสูญ

- 47 - ๓) สีลพั พตุปาทาน ( น.๘๓ ) การปฏบิ ตั ผิ ดิ แนวทางทีถ่ ูกตอง เชน การปฏบิ ตั ิตนเหมือนโค / สนุ ขั รบั ผลกรรม พาไปเกิด อกุศลกรรม อกศุ ลวปิ าก อกุศลกรรม (ใหม ) อบาย ยังไม ปฏบิ ัติผิด เกิดเปน สง ผล เย่ียงโค / สนุ ขั โค / สุนัข รับกรรม ๔) อตั ตวาทปุ าทาน อตั ตวาทิฏฐิ / สักกายทฏิ ฐิ / สามญั ทฏิ ฐิ การยดึ มน่ั ในตวั ตน ( ขนั ธ ๕ ) มี ๒๐ / ๒๕๖ (น. ๘๔ - ๘๕ ) ๑) สักกายทฏิ ฐทิ ิเ่ กดิ ข้นึ โดยอาศัย รปู ขันธ เปนอารมณ มี ๔ หรือวาโดยรูปมี ๑๑๒ ( ๔ x ๒๘ ) ๒) สักกายทิฏฐิทเ่ิ กดิ ข้ึนโดยอาศัย เวทนาขนั ธ เปน อารมณ มี ๔ หรอื โดยทวารและอารมณม ี ๗๒ ( ๔ x ทวาร ๖ x อารมณ ๓ สขุ .ทุก.อุ.) ๓) สักกายทิฏฐทิ เิ่ กดิ ข้นึ โดยอาศยั สัญญาขันธ เปนอารมณ มี ๔ หรอื วา โดยอารมณม ี ๒๔ ( ๔ x ๖ ) ๔) สกั กายทฏิ ฐิทเิ่ กดิ ข้นึ โดยอาศยั สงั ขารขนั ธ เปนอารมณ มี ๔ หรือวา โดยอารมณมี ๒๔ ( ๔ x ๖ ) ๕) สกั กายทฏิ ฐทิ ิ่เกิดข้นึ โดยอาศยั วิญญาณขันธ เปนอารมณ มี ๔ หรือวา โดยทวารมี ๒๔ ( ๔ x ๖ ) วญิ ญาณขนั ธ เวทนาขันธ ๔ x อา.๖ x ๓ ( สุข ทกุ ข อเุ บกขา ) = ๗๒ สัญญาขันธ ๔ x อา.๖ = ๒๔ ปญจ. ( ๔ x อา.๖ = ๒๔ ) สังขารขนั ธ ๔ x อา.๖ = ๒๔ รปู ขนั ธ ภ ตี น ท ป ปญ สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ( ๔ x ๒๘ = ๑๑๒ ) ปญจวตั ถุ โลภ, ทฏิ ฐิ --> อัตตวาทปุ าทาน ( พชื พันธข องทิฏฐทิ ้ังปวง ) ** มี ๒๐ =๔x๕ ** มี ๒๕๖ = ๑๑๒ + ๗๒ + ๒๔ + ๒๔ + ๒๔

- 48 - ** อตั ตวาทปุ าทาน ไดแ ก อัตตทิฏฐิ หรอื สักกายทิฏฐิ ทย่ี ึดมน่ั ในขันธ ๕ วาเปน ตวั เปน ตน ดังน้ี ( ใน ๔ ขอ นน้ั เรามกั จะยึดขอใดขอหนึ่ง แตสวนใหญจะเปนขอ ๑ ) ๑) สกั กายทฏิ ฐิทเี่ กดิ ขน้ึ โดยอาศยั รูปขันธเปน อารมณ มี ๔ คอื ๑. รูป อตตฺ โต สมนปุ สฺสติ เห็นวา รูปเปนเรา เราเปนรปู (เขาใจวาเรากับรา งกายเปนอนั เดียวกัน เหมือนกับที่เหน็ เปลวไฟกับแสงไฟ ฉะนัน้ ) ๒. รปู วนตฺ ํ วา อตฺตานํ เห็นวา เรามรี ูป (เขา ใจวา เรากับรางกายเปนคนละอัน เหมือนหนง่ึ ตน ไมก บั เงา ฉะนนั้ ) ๓. อตตฺ นิ วา รปู  เห็นวา รูปอยูในเรา (เขา ใจวา เรากับรางกายเปนคนละอัน เหมอื นกลิ่นดอกไมท ่ีอยูในดอกไม ฉะนั้น) ๔. รปู สฺมิ วา อตฺตานํ เหน็ วา เราอยูใ นรูป (เขา ใจวา เรากบั รา งกายเปนคนละอัน เหมอื นหนงึ่ แกว มณีท่อี ยุในหบี ฉะน้นั ) รูปารมณ ปฏิภาคนิมติ ๓. เห็นวาเท่ียง เปน ตวั เราทไ่ี ปเกิด โดยทงิ้ รปู ไว ๑ ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ........ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ยดึ ปฏภิ าคนมิ ิตวาเปนตวั เรา ตาของเรา ๔. เห็นวา ปฏิภาคนิมิต เกดิ จากรูป แตย งั ถอื วาปฏภิ าคนมิ ิต เปน เรา จึงเห็นวาเราอยใู นรปู ปฏิภาคนิมติ รปู ๒ ๒) สกั กายทฏิ ฐิที่เกิดขนึ้ โดยอาศยั เวทนาขันธเ ปนอารมณ มี ๔ คอื ๑. เวทนํ อตฺตโต สมนุปสฺสติ เหน็ วา การเสวยอารมณเปนเรา เราคือการเสวยอารมณ (เขาใจวา เราและการเสวยอารมณเ ปน อันเดียวกนั ) ๒. เวทนาวนตฺ ํ วา อตฺตานํ ๓. อตฺตนิ วา เวทนํ เหน็ วา เรามกี ารเสวยอารมณ ๔. เวทนาย วา อตฺตานํ เหน็ วา การเสวยอารมณอ ยูในเรา (เขา ใจวา เราและการเสวยอารมณเ ปน คนละอนั และอุปมาเหมอื นรูปขันธ) เหน็ วา เราอยใู นการเสวยอารมณ รปู ารมณ ๔. เวทนาไปเสวยอารมณ โดยตองพาตัวเราทีเ่ ปนสัมปยุตตธรรม จักขุ - สพั พ.๖ (-เวทนา ) จกั ขุสัมผสั สชาเวทนา ๓. เราเปนจติ ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ..... จิตทุกดวงมีเวทนา อเุ บกขา โลภะ --> สุขเวทนา / โทสะ-โทมนัส ๒. เรา กําลงั เอาชวนะเปน เราเสวยเวทนา จกั ขปุ สาท ๑. การเสวยอารมณเปน เรา เรา คือ การเสวยอารมณ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook