บนั ทกึ การสอน โดย ศรชยั ชยาภวิ ัฒน - ๒๕๕๑
สารบัญ หนา หนา หนา ก) พระบาลี ข) นานาจติ ตักขณิกปฏจิ จสมปุ บาท ค) เอกจติ ตักขณิกปฏจิ จสมปุ บาท บทท่ี ๑ คําปฏิญญาของพระอนุรุทธาจารย - 2 - ๑) อวชิ ชฺ าปจฺจยา สงฺขารา สมภฺ วนตฺ ิ - 7 - - การลดองคในจติ ดวงเดียว - 52 - ๒) สงฺขารปจจฺ ยา วิ ฺ ณํ สมฺภวติ บทที่ ๒ ความตางกันของปฏิจจสมปุ บาท - 3 - ๓) วิฺาณปจฺจยา นามรปู สมภฺ วติ - 19 - - การเปล่ยี นองคใ นจิตดวงเดียว - 52 - ๔) นามรูปปจจฺ ยา สฬายตนํ สมฺภวติ และปฏฐาน ๕) สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส สมภฺ วติ - 24 - - อกุศลบท จําแนกได ๕ แบบ - 54 - ๖) ผสสฺ ปจฺจยา เวทนา สมฺภวติ บทที่ ๓ แสดงการอุปการะระหวา งปจ จัยธรรม - 4 - ๗) เวทนาปจฺจยา ตณฺหา สมฺภวติ - 27 - - กุศลบท จําแนกได ๑ แบบ - 55 - ๘) ตณหฺ าปจจฺ ยา อปุ าทานํ สมภฺ วติ และปจจยุปบันธรรม - 31 - - อัพยากตบท จาํ แนกได ๓ แบบ - 56 - สรปุ บาลี คาถาที่ ๓ บทที่ ๔ แสดงการจาํ แนกปฏิจจสมปุ บาท - 5 - - 34 - - สรุปทง้ั ๓ บทเปนตาราง - 58 - โดยนยั ตา งๆ - 37 - บทที่ ๕ - ๖, ๘ - ๙ ขยายพระบาลบี ทที่ ๔ - 5 - - 42 - บทที่ ๗ แสดงโสกะ ปรเิ ทวะ ทุกขะ -5- โทมนัสสะ อปุ ายาสะ - 51 - บทที่ ๑๐ แสดงการขาดลงแหง วัฏฏะทง้ั ๓ - 6 - และสมฏุ ฐานของอวชิ ชา
-1- โครงสรางการศกึ ษา ชน้ั มชั ฌมิ อาภธิ รรมิกะโท ปรจิ เฉทท่ี ๘ ปริจเฉทที่ ๙ \"ปฏจิ จยสังคหะ \" \"กัมมัฏฐานสงั คหะ \" ปฏิจจสมุปบาท ปฏ ฐาน สมถกมั มัฏฐาน วปิ ส สนากัมมฏั ฐาน พระสตู ร พระอภิธรรม การหาอํานาจปจ จยั เนือ้ หา บญั ญตั ิ กรรมฐาน ๗ หมวด คอื ๓ หมวด คอื ( ปคุ คลาธิษฐาน ) ( ธัมมาธษิ ฐาน ) ใชนานาจิตตักขณกิ พระบาลี ๑. กสนิ ๑๐ ๑. วปิ ส สนาภูมิ ๖ - เอกจิตตักขณิก ในการหาปฏฐาน ๒๔ ขอ ๒. อสุภ ๑๐ ๒. ธรรม ๖ หมวด - นานาจิตตักขณกิ ๓. อนุสสติ ๑๐ - วสิ ุทธิ ๗ ( ศกึ ษาจติ หลายๆ ดวง ) มีการแสดง ๓ บท ๔. อปั ปมัญญา ๔ - ลกั ษณะ ๓ มีการแสดง ๔ นยั ๑. กศุ ลบท ๕. อาหาเรปฏกิ ลู สัญญา ๑ - อนปุ ส สนา ๓ ๑. แสดงตัง้ แตตน ถึงปลาย ๒. อกุศลบท ๖. จตุธาตุววตั ถาน ๑ - วปิ สสนาญาณ ๑๐ ๒. แสดงตั้งแตกลางถงึ ปลาย ๓. อพั ยากตบท ๗. อารุปป ๔ - วิโมกข ๓ - วโิ มกขมุข ๓ ( เวทนา ถึง ปลาย ) ๓. สตปิ ฏ ฐาน ๔ ๓. แสดงต้งั แตปลายถึงตน ๔. แสดงตัง้ แตก ลางถงึ ตน ( ตัณหา ถงึ ตน )
-2- พระบาลี บทท่ี ๑ คําปฏิญญาของพระอนุรุทธาจารย ** ประโยชนท ่ไี ดรบั จากคาถาบทท่ี ๑ อิห ในปจ จยสังคหะ แสดง อารัมภบท > เยสํ สงขฺ ตธมฺมานํ เย ธมมฺ า ปจฺจยา ยถา ปฏจิ จสมุปบาท ( แสดงในสิ่งมีชวี ิต ) ปฏ ฐาน ( แสดงในสงิ่ มีชวี ิต / ไมม ี ) ปฏญิ ญา > ตํ วิภาคมเิ หทานิ ปวกขฺ ามิ ยถารหํ ปจจยั ( เหตุ ) ปจจยุปบนั ( ผล ) สังขตธรรม สงั ขตธรรม ปจ จยั ( เหตุ ) ปจ จยุปบนั ( ผล ) ๑ ธรรมทั้งหลายเหลา ใด คอื สังขตธรรม อสังขตธรรม และบัญญัติธรรม ๒ เปน ปจจยั ชวยอุปการะ สงั ขตธรรม สังขตธรรม ๓ แก ปจจยุปบันธรรมเหลา ใด ๔ คือ สงั ขตธรรม ๕ โดยอาการตางๆ มีเหตสุ ัตติ อารัมมณสัตติ เปน ตน อสังขตธรรม ๖ บดั น้ี ๗ ในปจจยสงั คหะน้ี ๘ ขาพเจาจะแสดง ๙ ซง่ึ ประเภทตา งๆ กนั แหงอํานาจการอุปการะ บัญญัติ ของปจ จยั และปจ จยุปบันเหลานั้น ๑๐ ตามสมควร ๑. เย ธมฺมา - ธรรมท้งั หลายเหลา ใด คือ สงั ขตธรรม อสงั ขตธรรม และบญั ญตั ธิ รรม ๒. ปจจฺ ยา - เปน ปจ จยั ชว ยอปุ การะ เย ธมมฺ า ( เปน ปจ จยั ของ ปฏจิ . + ปฏ ฐาน ) เยสํ ๓. เยสํ - แก ปจ จยปุ บันธรรมเหลาใด *** ธรรมทเ่ี ปนปจจยปุ บนั ได คอื ๑.เปน ธรรมทีม่ อี ๒. ตองมีสภาพเกิดดบั ** ปจ จัยของ ปฏิจจสมุปบาท เปน ปรมัตถไ มมบี ัญญตั ิ - นพิ พาน ไมใชปจจยุปบนั เพราะ 3 2 ** ปจ จัยของ ปฏฐาน เปน ปรมตั ถ และบญั ญตั ิ ( แสดงสว นทา ย ) - บญั ญัติ ไมใชปจ จยุปบนั เพราะ 2 2 ๔. สงฺขตธมฺมานํ - คือ สังขตธรรม ** ปจจยา ชวยอุปการะมี ๒ คอื ๑. ชว ยอุปการะแกปจ จยปุ บันธรรมที่ยงั ไมเกดิ ใหเ กิดข้นึ ( อนันตรปจจัย ) ๕. ยถา - โดยอาการตา งๆ มีเหตุสัตติ อารัมมณสตั ติ เปน ตน เชน จุติ เปนปจจัยใหปฏสิ นธิ (เกดิ ) / วิถีจิตแรก ชวยใหว ถิ ีจิตท่ี ๒ เกิดตอ ไป ๖. อทิ านิ ( วิภาคํ + อหิ + อทิ านิ ) - บดั น้ี ๗. อิห - ในปจ จยสงั คหะน้ี ๘. ปวกขฺ ามิ - ขา พเจาจะแสดง รปู ารมณ ๙. ตํ วภิ าคํ - ซง่ึ ประเภทตางๆ กัน แหงอาํ นาจการอุปการะของปจจยั และปจ จยปุ บนั เหลานั้น ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ.... ๑๐. ยถารหํ - ตามสมควร ศพั ท ธรรมท่ีเปน เหตุไดแ ก สงั ขตธรรม (๘๙, ๕๒, ๒๘), อสังขตธรรม(นิพ.), บญั ญัติ = ปฏจิ จ. จักขปุ สาท ๑. ปจจัยธรรม ๒. ปจ จยปุ บันธรรม ธรรมทเี่ ปน ผลไดแ ก สงั ขตธรรม (๘๙, ๕๒, ๒๘) ๒. ชวยอปุ การะแกป จจยปุ บันธรรมทเ่ี กิดขึ้นแลว ใหต้งั มน่ั และเจรญิ ขน้ึ ( ปจฉาชาตปจ จัย ) ๓. อํานาจปจ จัย เชน วถิ จี ติ ตี ---> ต ชว ยใหจ กั ขปุ สาทตงั้ อยูไ ดค รบรปู ๑ รปู ทเี่ รียกวา เหตสุ ตั ต,ิ อารัมมณสัตติ เปน ตน ไดแ ก ปจจยั โดยยอ ๒๔ โดยพสิ ดาร ๔๗ = ปฏฐาน
-3- พระบาลี บทท่ี ๒ ความตา งกนั ของ ปฏจิ จสมปุ บาท และปฏฐาน ปฏจิ จสมุปบาท ปฏ ฐาน ( อารมั มณชาติ ) ๑. พระองคทรงแสดงกบั สงิ่ มชี วี ิต เทานัน้ ๑. แสดงทง้ั สิง่ มีชีวิต และไมม ชี วี ติ รปู ารมณดี / ไมด ี ๒. แสดงเหตุผล ตามนยั ปฏจิ จสมุปบาท ( หนา ๑๐ ) ๒. แสดงเหตผุ ล ตามนยั ปฏ ฐาน ( หนา ๑๑ ) ๓. ปจ จัยทแ่ี สดงในปฏิจ. เปน สงั ขตธรรมอยา งเดียว ๓. ปจจัยท่แี สดงในปฏฐาน เปน สังขต. อสงั ขต. บญั ญัติ ปญุ ญา. ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ.... ปจ จยุปบนั ท่ีแสดงในปฏ ฐาน. เปน สังขตธรรมอยางเดียว อปญุ ญา. ปจจยุปบันที่แสดงในปฏจิ . เปน สงั ขตธรรมอยางเดียว ๔. มีการหาอํานาจปจจยั จักขปุ สาท ๔. ไมมีการหาอํานาจปจ จยั มสี พั พ.๗ เกิดพรอ ม เจ.ขนั ธ ๓ ทาํ หนา ท่ี ๔ อยางพรอมกนั วจนัตถะ ฝา ยเหตุ มกี ารแสดง ๒ นยั ( น. ๑๐ ) อวชิ ชา สงั ขาร วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภวะ ชาติ ชรามรณะ ๑. เหตุอยางเดียว ๒. เหตุมี ๑๑ ๔. ผลอยางเดียว ๓. เปนท้ังเหต+ุ ผล มี ๑๐ ๔. นับคู เหตุ-ผล มี ๑๑ คู
-4- พระบาลี บทท่ี ๓ แสดงการอุปการะ ระหวา งปจจัยธรรมและปจจยุปบันธรรม ตามนัยแหงปฏจิ จสมุปบาท * ตัง้ แตเ กิดจนตาย มีปฏจิ จสมุปบาทเก่ยี วของกับเราอยา งไร ( อา นวา เปน ปจ จัยชว ยอปุ การะแก ) ๕) สฬายตนะ ๖) ผัสสะ ๗) เวทนา ๑) เพราะอวชิ ชา ๒) สังขาร ปฏิ เจ.๓๕ + โปลวกตั ยี ตวิกปิ .ํา๑ก๘๓=๒ป=ญ มจนาายยตตนนะะ ๕๑ อายตนะ ๖ ---> ช ช ช ช ช ช ช ......ฯลฯ..... จุติ ปฏิ ปวตั ติวิญญาณ โลกียวิปาก ๓๒ ๑๐) ภวะ ๑๑) ชาติ ๑๒) อุปปตติภวะ จิต เจตนา ๘) ตัณหา ๙) อุปาทาน ๓) วิญญาณ ๔) เจ.(นาม.) + ปฏิ.กํ. * คาํ แปล ตตฺถ - ในนัยทง้ั ๒ นั้น ความเปนไปแหง ปจ จัยธรรมและปจจยปุ บันธรรม โดยนยั แหงปฏจิ จสมปุ บาท คอื สงขฺ ารา - ปญุ ญาภสิ งั ขาร อปญุ ญาภิสังขาร อาเนญชาภสิ ังขาร (สมภฺ วนฺติ) ปรากฏเกดิ ข้นึ อวิชชฺ าปจจฺ ยา เพราะอาศัย อวชิ ชา คอื ความไมร ูใ นสจั จะ ๔ ความไมร ูใ นปุพพนั ตะ ๑ ความไมร ใู นอปรนั ตะ ๑ ธรรมทง้ั ๓ ประการน้ี ความไมร ใู นปพุ พนั ตาปรันตะ ๑ ความไมรใู นปฏิจจสมุปบาท ๑ รวม ๘ ประการน้ี เปน เหตุ วิ ญฺ าณํ - วิญญาณ คอื โลกยี วปิ ากจติ ๓๒ (สมภฺ วนตฺ )ิ ปรากฏเกิดขึน้ สงฺขารปจจฺ ยา เพราะอาศยั สงั ขาร ๓ เปนเหตุ นามรปู - นามรูป คอื เจตสิกทป่ี ระกอบกับโลกยี วปิ ากจิตและกมั มชรูป (สมภฺ วนฺติ) ปรากฏเกดิ ขึ้น วิญฺ าณปจฺจยา เพราะอาศยั วญิ ญาณ คอื กศุ ล อกศุ ล (กมั มวญิ ญาณ) ทีใ่ นภพกอนๆ และวิปากวิญญาณท่ีในภพนเี้ ปน เหต สฬายตนํ - สฬายตนะ คือ อัชฌตั ตกิ ายตนะ ๖ มจี กั ขายตนะ เปนตน (สมฺภวนตฺ )ิ ปรากฏเกิดขึ้น นามรปู ปจฺจยา เพราะอาศยั นามรูป เปน เหตุ ผสโฺ ส - ผัสสะ ๖ มจี กั ขสุ มั ผสั สะ เปนตน (สมฺภวนฺต)ิ ปรากฏเกดิ ขน้ึ สฬายตนปจจฺ ยา เพราะอาศยั อัชฌัตติกายตนะ ๖ เปน เหตุ เวทนา - เวทนา ๖ มีจกั ขสุ ัมผสั สชาเวทนา เปนตน (สมฺภวนตฺ ิ) ปรากฏเกดิ ขน้ึ ผสฺสปจฺจยา เพราะอาศัย ผัสสะ ๖ เปนเหตุ ตณฺหา - ตณั หา ๖ หรอื วา โดยพิสดาร ๑๐๘ มีรูปตัณหา เปนตน (สมภฺ วนตฺ ิ) ปรากฏเกิดขน้ึ เวทนาปจฺจยา เพราะอาศยั เวทนา ๖ เปน เหตุ อุปาทานํ - อุปาทาน ๔ มกี ามุปาทาน เปน ตน (สมภฺ วนตฺ ิ) ปรากฏเกดิ ข้ึน ตณหฺ าปจจฺ ยา เพราะอาศยั ตณั หา ๖ หรอื ๑๐๘ เปนเหตุ ภโว - ภวะ คือ กัมมภวะและอุปปตติภวะ ทัง้ ๒ (สมภฺ วนตฺ )ิ ปรากฏเกิดขน้ึ อุปาทานปจจฺ ยา เพราะอาศยั อุปาทาน ๔ เปนเหตุ ชาติ - ชาติ คอื ความเกิดขน้ึ แหง โลกียวปิ ากจติ เจตสกิ และกัมมชรูป (สมฺภวนตฺ ิ) ปรากฏเกดิ ขึ้น ภวปจฺจยา เพราะอาศัย กมั มภวะ เปน เหตุ ชรามรณํ - ชราความแก มรณะความตาย และโสกะความเศรา โศก (สมฺภวนฺติ) ปรากฏเกดิ ขนึ้ ชาติปจจฺ ยา เพราะอาศยั ชาติ เปนเหตุ ปริเทวะการรองไหรําพัน ทกุ ขะความทุกขก าย โทมนสั สะ ความทกุ ขใ จ อปุ ายาสะความคบั แคน ใจ ทง้ั ๗ น้ี เอวเมตสสฺ เกวลสสฺ ทุกขฺ กขฺ นธฺ สสฺ สมทุ โย โหติ - ความเกดิ ขึ้นแหงกองทกุ ขแ ทๆ ทง้ั ปวงนี้ เพราะอาศัยปจ จัยตา งๆ มอี วชิ ชา เปนตน ดังท่ไี ดก ลา วมาแลวนี้
-5- พระบาลี บทท่ี ๔ แสดงการจาํ แนกปฏจิ จสมุปบาทโดยนัยตา งๆ มีกาล (อทั ธา) ๓, องค ๑๒, ประเภท ๒๐, ความสบื ตอ ๓, หมวด ๔, วฏั ฏ ๓, มูล ๒ พระบาลที ่ี ๕ พระบาลที ่ี ๖ พระบาลีที่ ๘ พระบาลีที่ ๙ ( วฏั ฏ ๓, มลู ๒ ) ภวจกั ร ๒ ** สิง่ ทคี่ วรรใู นปฏจิ จสมปุ บาท \" การถาม \" อาการ ๒๐ สันธิ ๓ ๑) อทฏิ ฐโชตนาปุจฉา คาํ ถามที่ถามข้นึ กาล (อทั ธา) ๓ องค ๑๒ อดตี เหตุ ๕ สงั เขป ๔ กิเลส๓ กมั ม.๒ วปิ าก๘ มลู ๒ ปพุ พนั ต + ๘, ๙, ๑๐(๑) เหตุ 1 ภวจกั ร ๗ ในเรอื่ งทย่ี งั ไมเขา ใจ อดตี กาล ๒ ๑) อวชิ ชา 2 อวชิ ชา ๒) สังสนั ทนาปจุ ฉา คําถามทถ่ี ามขึ้น ผล สันธิ ๑ อปรนั ต ๒) สงั ขาร 3 สังขาร ภวจักร ๕ สนทนาสอบสวนความรกู ัน 4 ๓) อิมติจเฉทนาปจุ ฉา คาํ ถามที่ถามขน้ึ ๓) วญิ ญาณ วญิ . อวชิ ชา ในเร่อื งทตี่ นยงั สงสัย ๔) นามรูป นามรูป ( เปนเหตนุ ําใหถ งึ ๔) อนมุ ตั ิปจุ ฉา คําถามทถ่ี ามขน้ึ ๕) สฬายตนะ ปจ จุบันผล ๕ สฬาย. เวทนาใน ตองการใหผตู อบ ตอบความ ประสงคของตน ปจจุบนั กาล ๖) ผัสสะ ผสั สะ ปพุ พนั ตภวจักร ) ๕) กเถตกุ มั มยตาปจุ ฉา คาํ ถามทถ่ี ามขน้ึ ประสงคจะตอบเอง ( อ.ธ.๘ ทอี่ ยู ๗) เวทนา ผล สันธิ ๑ เวทนา เหตุ *กถํ เปน การถามในแบบท่ี ๕ พระสัมมาสมั พทุ ธเจา ตรงกลาง ) ๘) ตัณหา ปจ จบุ นั เหตุ ๕ ตัณหา ทรงถามบอ ยๆ ในแบบที่ ๔ และ ๕ + ๑, ๒ เหตุ ๙) อปุ าทาน อปุ า. (๑) กัมมภวะ กัมม. ตณั หา ๑๐) ภวะ (๒) อุปปต ติภวะ อนาคตผล ๕ ผล สนั ธิ ๑ อปุ ปต . ( เปนเหตนุ ําใหถ งึ +๓-๗ อนาคตกาล ๑๑) ชาติ ชาติ ชรามรณะใน ๒ / ๓ ๑๒) ชรามรณะ ชรา. อปรันตภวจกั ร ) พระบาลี บทท่ี ๗ เปน การแสดง โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสสะ อปุ ายาสะ เหลา น้ี แสดงใหรถู ึงผลทเี่ ปน นิสสนั ทผล ** อนฏิ ฐผล ๕ เกิดกบั บคุ คลไมเ หมอื นกัน คือ เปนผลทส่ี ืบเนือ่ งมาจาก ชาติ เทานั้น ไมใชเ ปน องคโ ดยเฉพาะ (นับสงเคราะหเ ขา ในหมวด ๔ หรอื สังเขป ๔ ) ภ ตี น ท ป กาย สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ.... ๑) เปน องคปฏจิ จสมุปบาท เพราะ เกิดกับทุกบคุ คล ๑) ไมเ ปนองคปฏจิ จสมุปบาท เพราะ เกดิ กับบคุ คลไมเ หมือนกัน ผลกรรม ทุกขกาย เวทนาในโทส.๒ ๒) ใมม ีองคธรรมปรมตั ถรบั รอง เปนการกลา วถึงอาการ ๒) มีองคธ รรมปรมัตถร ับรอง เปนกลมุ ของโทมนัสจติ ตุปบาท (วปิ าก ) โสกะ ปริเทวะ เกิด ตง้ั ดบั ของโลกยี วปิ ากจติ ๓๒, เจ.๓๕, กัมมชรูป ๓) เปนนสิ สนั ทผล ผลสว นปลาย โทมนสั ะ ๓) เปน วปิ ากผล / ผลโดยตรงของชาติ ( เกิด --> ตง้ั ดับ ) ( คนละสว นกบั วปิ ากผล เพราะเกดิ หลงั ) อปุ ายาสะ อปุ าทาน อกศุ ลกรรมใหม
-6- พระบาลี บทท่ี ๑๐ แสดงการขาดลงแหงวฏั ฏะท้งั ๓ และสมฏุ ฐานของอวชิ ชา \" เมือ่ วฏั ฏมลู ท้งั ๒ ดับสน้ิ ลงไมม ีเหลือดว ยอาํ นาจแหง อรหัตตมรรคแลว การหมนุ เวยี นแหงปฏิจจสมุปบาท คือ วฏั ฏะท้งั ๓ ก็ยอ มดับส้นิ ลงทันที อวชิ ชาเกิดข้นึ ไดก็เพราะ อาศัยการเกิดขน้ึ แหง อาสวธรรม ท่ใี นสันดานของสัตวท ง้ั หลาย ผูถ ูกเบยี ดเบียนดวยความแก ความตายและธรรมท่ีเปนเหตแุ หงความหลง คอื โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ขุ โทมนัสสะ อุปายาสะ อยูเนอื งๆ นน้ั เอง \" ** เปรียบเทยี บ ปริยัติ และปฏิบตั ิ ปฏิบัติ ปริยัติ ๑) ขณะรรู ูปนามในขณะปฏิบัติ เปนปจจบุ ัน ๒) ทําความรูส ึกตวั เพือ่ ที่จะถายถอนอตั ตสญั ญาออกจากอารมณ เพอื่ ใหเ หน็ สภาพรูปนาม อาศยั ปรยิ ัตมิ าชวย ๑) รขู ณะปริยตั ไิ มใ ชปจ จบุ ัน ๒) ความรจู ากปริยตั สิ ามารถแยกรปู แยกนามไดเ พอื่ เปนบาทแหงการปฏิบตั ิ [ สมถะ ใช สมั มาสงั กัปปะ + สมั มาสมาธิ วปิ สสนา ตองมที ง้ั สติ + สมาธิ + สมั ปชัญญะ (สมั มาทิฏฐ)ิ ] ๓) ทําความรสู ึกตัววา รูปอะไร และนามอะไร เพอื่ ทาํ ลาย \"สันตติ \" ที่ปด บงั \"อนจิ จงั \" (อริ ยิ าบถปด บงั \" ทกุ ข \", ฆนสญั ญาปด บงั \" อนตั ตา \" ) ** สุขสญั ญาวปิ ปลาส เกิดข้นึ หลงั เปล่ียนอิริยาบถคลายทกุ ข ใจหายจากความทุกข กห็ ลดุ จากวปิ สสนาทนั ที ** สมฏุ ฐานของ \" อวิชชา \" ๑) เกิดขน้ึ จาก อาสวธรรม ( มีตณั หา อปุ าทาน เปน ปจ จัย ) ๓) ปจ จยั ใหเ กิด ** สังสารวัฏฏะ - มีการสืบตอ ขององคปฏจิ จ. หาที่สดุ มไิ ด - เพราะเกิดในภูมิ ๓ กําเนิด ๔ คติ ๕ วญิ ญาณฐีติ ๗ - กามสวะ อ.ธ.ไดแก โลภเจ. --> โลภ.๘ สตั ตาวาส ๙ - หาเบ้อื งตน ไมไ ด หาเบอ้ื งปลายไมม ีท่ีสดุ - ภวสวะ อ.ธ.ไดแ ก โลภเจ. --> ทิฏฐิ.วิป.๔ มีโมหะเกดิ รว ม อวิชชา สงั ขาร วญิ ....เวทนา ตณั หา อุปา. กมั ม. ชาติ ชรามรณะ อนฏิ .๕ ** เหตผุ ลที่พระองคทรงยก อวชิ ชา เปน องคแ รก - ทฏิ ฐาสวะ อ.ธ.ไดแ ก ทฏิ ฐิเจ. --> ทฏิ ฐิ.สํ.๔ ๑. วา โดยภวจักร ๒ > อวชิ ชา สําคญั กวา ตัณหา ประการหนง่ึ ๒. เพราะการนบั สงเคราะหอ นฏิ ฐผล ๕ อาสวะ ๔ - อวชิ ชา อ.ธ.ไดแ ก โมหเจ. --> อกศุ ล.๑๒ ตัณหา + อุปาทาน ก็อยใู นอวิชชา ประการหนง่ึ ๒) กรรมเกา กรรมใหม ตัณหา + อุปาทาน * อวิชชา มี อนิฏฐผล ๕ + อาสวะ ๔ เปน ปจ จัย ๓. อวชิ ชา ตอ งถกู ประหาณโดยมรรคถงึ ๔ ครงั้ ทุกขกาย ทุกขใ จ - โสกะ > เวทนาเจ. อาสวะ ๔ * อาสวะ มี ตณั หา + อปุ าทาน เปน ปจ จยั - ปริเทวะ > รอ งใหร าํ พนั ท่ีใน - โทมนัส > เวทนาเจ. โทส.๒ * วชิ ชา = ปุพเพนวิ าส. - อปุ ายาสะ > โทสเจ. = จตุ ปู ปา. > สมถะ มีโมหะเกดิ รวม = อาสวกั ขยญาณ > วปิ ส สนา
-7- ๑ อวิชชฺ าปจจฺ ยา สงขฺ ารา สมภฺ วนตฺ ิ = สงั ขาร ๓ ยอมปรากฎเกดิ ขนึ้ เพราะอาศยั อวชิ ชา เปน เหตุ ปจ จยุปบนั ธรรม - สังขาร อธ. เจตนา ๒๙ ที่ใน อกศุ ลจติ ๑๒ โลกยี กศุ ล ๑๗ ปุญญาภสิ งั ขาร อปญุ ญาภิสงั ขาร อาเนญชาภิสงั ขาร ธรรมท้ัง ๓ ประการนี้ ปรากฏเกิดข้นึ เพราะ อาศัยอวิชชา คอื สงั ขารท่ีเปนผลของอวชิ ชา มี ๖ อยา ง ความไมร ูในสัจจะ ๔ ไมรูใ นปพุ พนั ตะ ๑ ไมรูใ นอปรันตะ ๑ ไมรูใ นปุพพนั ตาปรนั ตะ ๑ ไมรใู นปฏิจจสมุปบาท ๑ ๑. ปุญญาภสิ ังขาร - กศุ ลเจตนาเปน ผปู รงุ แตง รวม ๘ ประการนี้ เปนเหตุ ( สงั ขารในปฏจิ จสมปุ บาทน้ี มุงหมายใน \" นานักขณิกกัมม \" เทานน้ั ) โลกียกุศลวิปาก และกุศลกมั มชรปู โดยตรง ไดแ ก ม.กุ.เจต.๘, รูป.ก.ุ เจต.๕ อวชิ ชา มคี วามหมายหลายนัย วจนัตถะทคี่ วรจาํ คือ นานักขณิก ักมม ๒. อปุญญาภิสังขาร - อกศุ ลเจตนาเปน ผปู รุงแตง วิชชฺ า ปฏปิ กขฺ าติ = อวชิ ฺชา ธรรมชาติทีเ่ ปน ไปตรงกนั ขา มกับปญญา ฉะนั้น ธรรมชาตินน้ั ชื่อวา อวชิ ชา อกศุ ลวปิ าก และอกศุ ลกมั มชรปู โดยตรง สรุป - อวิชชา คอื การไมรูตามความเปนจริงท่คี วรรู รูแตส่ิงทไ่ี มเ ปนไปตามความเปน จรงิ ท่ีไมค วรรู นแี้ หละ ไดแก อก.ุ เจต.๑๒ ช่ือวา อวิชชา ( อธ. ไดแก โมหเจตสกิ ที่ใน อกุศลจติ ๑๒ ) ๓. อาเนญชาภสิ งั ขาร - กุศลเจตนาที่ตั้งมนั่ ไมหว่ันไหวเปนผปู รุงแตง อรปู วปิ าก โดยตรง ไดแก อรูป.ก.ุ เจต.๔ สงั ขาร หมายความวา ธรรมทีป่ รงุ แตงใหผ ลธรรมเกิดขนึ้ มวี จนัตถะวา สงฺขตํ สงขฺ โรติ อภิสงฺขโรนฺตตี ิ = สงฺขารา ธรรมเหลา ใดยอ มปรงุ แตง สังขตธรรมท่ีเปน ผลโดยตรง ฉะนน้ั ธรรมเหลา นน้ั ๔. กายสังขาร - เจตนาเปน ผูปรุงแตง ช่อื วา สงั ขาร ( อธ.ไดแก เจตนาท่ใี นอกุศล ๑๒ และโลกียกุศล ๑๗ ) ๕. วจีสงั ขาร กายทจุ รติ + กายสุจริต ใหส าํ เรจ็ ลง ๖. จติ ตสงั ขาร ไดแก อกุ.เจต.๑๒, ม.กุ.เจต.๘ ที่เกีย่ วกบั ทางกาย ปจจยั ธรรม - อวชิ ชา อธ. โมหเจตสกิ ที่ใน อกุศลจิต ๑๒ - เจตนาเปน ผูปรงุ แตง วจีทุจรติ + วจสี ุจริต ใหสาํ เรจ็ ลง การไมร ูต ามความเปนจริงของอวชิ ชามี ๘ ประการ คือ สว นท่ี ๑ สว นที่ ๒ สหชาตกัมม ไดแ ก อก.ุ เจต.๑๒, ม.ก.ุ เจต.๘ ทีเ่ กย่ี วกบั ทางวาจา - เจตนาเปน ผูปรุงแตง ๑. ทุกเฺ ข อาณํ ไมร ูในทุกข มี ๒ สว น คอื วิญญาณ .... อปุ าทาน ชาติ ชรา มรณะ มโนทจุ รติ + มโนสุจริต ใหสาํ เร็จลง ไดแ ก อกุ.เจต.๑๒, ม.กุ.เจต.๘ มหัค.ก.ุ เจต.๙ ัสจจ ๔ ๒. ทุกขฺ สมุทเย อาณํ ไมร ูเหตทุ ่ีทาํ ใหเ กิดทกุ ข มี ๒ สว น คอื อวชิ ชา สังขาร ตัณหา อปุ าทาน กมั มภวะ ท่เี กี่ยวกบั ทางใจ ๓. ทกุ ฺขนิโรเธ อาณํ ไมร ูธรรมอนั เปนทด่ี บั แหงทกุ ข ๔. ทกุ ฺขนโิ รธคามินีปฏปิ ทาย อาณํ ไมร ูหนทางทใ่ี หเ ขาถงึ ความดับทุกข ๕. ปพุ พฺ นฺเต อาณํ ความไมร ูในขันธ อายตนะ ธาตุ ท่เี ปน อดตี ๖. อปรนเต อาณํ ความไมร ูใ นขนั ธ อายตนะ ธาตุ ทเี่ ปน อนาคต ๗. ปพุ พฺ นฺตาปรนเฺ ต อาณํ ความไมร ูในขันธ อายตนะ ธาตุ ทเ่ี ปน อดีต และ อนาคต ๘. อทิ ปปฺ จจฺ ยตาปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺเนสุ ธมเฺ มสุ อาณํ ความไมรใู นรปู นาม ที่เกิดขน้ึ โดยอาศยั เหตุใหเ กดิ ตามในปฏิจจสมุปบาท หรอื รวมเรยี กวา วปิ สสนาภมู ิ ๖ ไดแ ก ขันธ อายตนะ ธาตุ สัจจะ อินทริย ปฏิจจสมปุ บาท
-8- ๐ การไมรูตามความเปนจริงของอวิชชา ๘ ประการ ๐ วจนัตถะ คาํ วา ปญ ญา : จตสุ จจฺ ธมฺมํ วทิ ติ ปากฏํ กโรตตี ิ = วิชฺชา อดตี เหตุ ปจจบุ นั ผล ปจจบุ ันเหตุ อนาคตผล ธรรมชาตใิ ดเปนผรู ูแจง อรยิ สัจ ๔ โลกยี วปิ าก ๓๒, เจ.๓๕ กํ (พระสตู ร) และเปนผูทาํ ให อรยิ สัจ ๔ ปรากฏข้นึ ตณั หา อปุ าทาน กมั มภวะ ชาติ ชรามรณะ ฉะนัน้ ธรรมชาติน้นั ชอ่ื วา วิชชา ไดแ ก ปญ ญาเจตสิก อวชิ ชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตน ผสั สะ เวทนา สมทุ ยสัจจะ ทุกขสัจจะ สมุทยสจั จะ ทกุ ขสจั จะ ปจ จัย กาํ หนดรูท กุ ข ปจจยั ๑. ปญ ญารู รูปนาม - ละบญั ญตั ิ อวิชชาดับ เพราะมรรคไปประหาณอวชิ ชา ( ๔ ครง้ั ) ๒. ปญ ญารู ไตรลักษณ - ละบัญญัติ ๓. ปญญารู พระนพิ พาน - ละรูปนาม นิโรธสจั จะ มชั ฌมิ าปฏปิ ทา เจรญิ สตปิ ฏฐาน มีพระนพิ พานเปนอารมณ โคตรภูญาณ อริยมรรคมอี งค ๘ มรรคสมังคีเจริญ ทุกขสจั จ, สมุทยสัจจ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โโวค ม ผ ผ อนโุ ลมญาณ นิโรธสัจจ, มคั คสจั จ ๐ แสดง อวิชชา โดย ขนั ธ อายตนะ ธาตุ อวชิ ชา รปู ายตนะ / รูปธาตุ ๑. ความจรงิ ท่ีพระพทุ ธเจาแสดงไว ๔ ปุญ., อปุญ., อาเนญ. ๒. ความจรงิ ท่ีเขา ถงึ ความประเสริฐคือพระอรยิ ะ รูปารมณ จกั ขวุ ิญญาณ ทําหนาที่ สหชาตชาติ ๓. ความจรงิ ทป่ี ระหาณอาสวกเิ ลส รปู ขนั ธ สพั พ.๗ / เวทนา (นาม) ๔. หนทางท่ถี ึงความจริง คอื สตปิ ฏ ฐาน ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ - กายานปุ สสนาสตปิ ฏ ฐาน - เวทนานุปสสนาสติปฏ ฐาน จกั ขุปสาท ปจจัยใหเ กิด ตัณหา อปุ าทาน เจตนา = กัมมภวะ - จิตตานปุ สสนาสติปฏ ฐาน จกั ขุธาตุ - ธัมมานปุ สสนาสตปิ ฏฐาน
-9- ๐ วปิ สสนาภูมิ ๖ รปู นาม = จติ ๘๙, เจตสกิ ๕๒, รูป ๒๘, นพิ พาน ปรมตั ถธรรม ๔ = ๑.ขันธ ๕ ๒.อายตนะ ๑๒ ๓.ธาตุ ๑๘ ๔.อินทรีย ๒๒ ๕.ปฏิจจสมปุ บาท ๖.สจั จะ พระสูตร อภิธรรม ทกุ ขสัจจ สมุทยสจั จ นโิ รธสัจจ มคั คสจั จ โลกยี วปิ าก ๓๒ ๘๙, ๕๒ ๘๑, ๕๑-โล โลภ.เจ. เจ.๓๕, กํ นพิ พาน องคม รรค ๘หรอื ๗ ทีใ่ นมคั คจติ ๔ รูป ๒๘ มคั คจิตตุปบาททเี่ หลือ หรอื ผลจิตตุปบาท เปน สัจจวิมุต ๑. ทกุ เฺ ข อาฺ ณํ - ไมรูในทุกข ( น.๑๖ ) พระอภธิ รรม พระองคท รงยก โลกียจติ ๘๑, เจ.๕๑ (-โลภ), รปู ๒๘ แสดงโดย ธมั มาธิษฐาน ( วิปสสนาญาณ ) ทุกขสัจจ พระสตู ร พระองคท รงยก อาการลกั ษณะของสภาวะ / ของพระอภิธรรม แสดงโดย ปคุ คลาธิษฐาน ( กมั มสกตาญาณ ) - ชาติ ชรา มรณะ วิปากทุกข ญาตพิ ยสนะ ลกั ษณะ - ท่ที นอยูสภาพเดิมไมไ ด - โสก ปริเทว ทกุ ข โทมนัสส อุปายาส ทุกขเ พราะกเิ ลส โภคพยสนะ กจิ - กาํ หนดรู - อปั ปเยหิสัมปโยทกุ โข ปเยหวิ ิปปโยโคทุกโข ( พยสนะ ๕ ) โรคพยสนะ - ยัมปจฉํ นลภติทุกโข (สงั ขติ เตนปฺจุปาทานขนฺโท) สีลพยสนะ ทิฏฐพิ ยสนะ ๒. ทกุ ฺขสมทุ เย อฺาณํ - ไมร ูเหตทุ ที่ ําใหเกิดทกุ ข ( หลักสตู ร น.๑๘ ) กเิ ลส ๑๐๘ สมุทยสัจจ พระอภิธรรม โลภเจ. ที่ในโลภมลู จติ ๘ -> ทกุ ขสัจจ ๘๑, เจ.๕๑(-โลภ), รูป ๒๘ ตณั หา ๓ พระสูตร กามตัณหา ยินดใี นกามคณุ อารมณ ( กามภมู ิ ๑๑ + โสดา. + สกทา. ) โลภเจตสิก ภวตณั หา ยนิ ดพี อใจในรูปภพ อรูปภพ ( ๓๐ ภูมิ (-อสญั .) + อนาคา ) (พรอ มดวย สสั สตทฏิ ฐิ ) วิภวตณั หา อุจเฉททฏิ ฐิ ขาดสญู ( กามภมู ิ ๑๑ )
- 10 - ๓. ทกุ ฺขนโิ รเธ อาฺ ณํ - ไมร ธู รรมอนั เปน ที่ดบั แหงทกุ ข ( น.๒๑ ) ๐ ญาณ ๑๖ ๑. นามรูปปริจเฉทญาณ / ๒.ปจจยปริคคหญาณ ( มอี นจิ จํ ทุกขํ อนัตตา เปน อารมณ ) ทุกฺข นิโรเธ อาฺ ณํ สมทุ ยสัจจ การดบั อนจิ จํ พิจารณาอนิจจัง มสี ัทธินทรียแ กก ลา (โลภ เจ.) นพิ พานก็แจง ** กิจท่ีทาํ ใหแ จง เรียกวา สัจฉิกรณกจิ เกิด ต้งั ดับ ( พิจารณาทกุ ข มีสมาธนิ ทรยี , พิจารณาอนตั ตา มปี ญญนิ ทรียแ กกลา ) เปนอาการ/ ลกั ษณะของอนจิ จงั เรียกใหมว า \" อนิจจลกั ษณะ \" พระนพิ พาน มี ๑ คอื สันตลิ ักขณะ ( อสังขตธรรม ) เปน อารมณข องไตรลกั ษณป รากฏแก โยคาวจร ทเี่ กิดปญญารใู น พระนิพพาน มี ๒ คือ สอปุ าทเิ สสนพิ พาน, อนุปาทเิ สสนพิ พาน อนจิ จานุปส สนา --> อนตั ตา --> นิพพาน พระนิพพาน มี ๓ คอื วาโดยไตรลกั ษณ - อนิมติ ตนพิ พาน ( พจิ ารณาอนจิ จงั ) อนิจจลกั ษณะ เปน วปิ สสนาญาณ ๑๐ ( มไี ตรลกั ษณ เปน อารมณ ) - อัปปณหิ ติ นพิ พาน ( พิจารณาทุกขงั ) ๑.สัมมสนญาณ ๒.อุทยพั พยญาณ (เหน็ เกิดดบั ) ๓.ภังคญาณ (เห็นความดบั ) - สญุ ญตนิพพาน ( พจิ ารณาอนตั ตา ) ๔.ภยญาณ (เหน็ ภยั ) ๕.อาทนี วญาณ (เห็นโทษ) ๖.นพิ พิทาญาณ (เบอื่ หนา ย) ๔-๖ เกิดพรอมกัน พระนพิ พาน มี ๔ วา โดยบคุ คล คอื โสดาปต ตมิ รรค, สกทาคามิมรรค, อนาคามมิ รรค, อรหัตตมรรค ๗.มุญจติ กุ มั ยตาญาณ (อยากหนรี ปู นาม) ๘.ปฏิสงั ขาญาณ ๙.สงั ขารเุ ปกขาญาณ (วางเฉย) พระนิพพาน มี ๖ ๑๐.อนุโลมญาณ ๑. \"สวฺ ากฺขาโต ภควตา ธมโฺ ม\" - พระธรรม ๑๐ ประการ คอื พระปริยตั ิธรรม ๑ ม. ๔ ผ. ๔ นพิ . ๑ กอนรับนิพพานเปน อารมณ จะทิ้งรปู นามแทน - อนั พระผูมพี ระภาคทรงแสดงไวอ ยา งครบถวนบริสทุ ธ์ิบรบิ ูรณด ีแลว คอื ไมขาดตกบกพรอง ไมไดทิง้ ไตรลกั ษณ ๒. พระธรรม คอื โลกุตรธรรม ๙ ไดแก มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ \"สนทฺ ิฏ โ ก\" - เปน สงิ่ อันผูปฏบิ ตั ิจะพึงรูพงึ เหน็ เปนประจกั ษดวยตนเอง ญาณในมัคควถิ ี ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ม ผ ผ ๓. พระธรรม คือ มรรค ๔ \"อกาลิโก\" - เปนสิง่ ทใ่ี หผ ลในทันใด ไมม กี าลอืน่ คน่ั ในระหวา ง คอื อรยิ ผลเกดิ ข้ึนตอ อรยิ มรรคทีเดียว ๑) โคตรภญู าณ ๓) ผลญาณ ๔) ปจจเวกขณญาณ ๔.พระธรรม คอื โลกุตรธรรม ๙ \"เอหิปสสฺ ิโก\" ๒) มรรคญาณ - เปน สิง่ ที่ (ผูบ รรลุ) อวดอา งไดเ พราะเปนของมจี ริง กลาเชิญคนอืน่ มาพิสจู นด ว ยตนเอง ๕. พระธรรม คอื โลกุตรธรรม ๙ \"โอปนยิโก\" มพี ระนพิ พาน เปน อารมณ - เปน สิ่งท่จี ะพงึ ยึดหนวง คอื นอ มเขา มาไวในใจได และเม่ือปรากฏข้นึ ในใจเพียงคร้งั เดยี วก็สามารถ มมี คั ค ผล กเิ ลสทลี่ ะ กเิ ลสทเ่ี หลือ เปน อารมณ ปด ประตูอบาย ๖. พระธรรม คือ โลกตุ รธรรม ๙หรอื ๑๐ ประการ \"ปจจฺ ตตฺ ํ เวทติ พโฺ พ วิ ฺ ูหิ\" - กลั ยาณปุถุชน ผศู ึกษา และพระอริยเจาท้งั หลาย จะพงึ รู พึงเสวยดว ยตนเองโดยเฉพาะ คนอนื่ ซึ่งไมรู และไมไ ดปฏบิ ตั ดิ ว ยตนเอง ยอ มไมม สี ว นรสู ว นเสวยรสดวย ดงั น้ี
- 11 - ** การละสมุทย ๔. ทกุ ขฺ นโิ รธคามินีปฏปิ ทาย อาฺ ณํ - ไมร ทู างที่ใหเ ขาถงึ ความดับทกุ ข ( น.๒๖ ) ( ปย รูป / สาตรปู ) อารมั มณานสุ ัยกเิ ลส ทกุ ฺขนิโรธคามินีปฏปิ ทาย อาฺ ณํ ภนทมชชชชชชชตต สมทุ ยสัจจ (โลภ เจ.) มานะ โลภะ โมหะ ---> ปรยิ ฏุ ฐานกเิ ลส เปน ปจจุบันอารมณ ทกุ ขฺ ขอปฏิบตั ิ - อรยิ มคั คมีองค ๘ อนสุ ยั ๗ การดับ ธรรมทีน่ อนเนอื่ ง อยใู นขนั ธสันดาน ๑.กามราคานสุ ยั ๒.ภวราคานสุ ัย ๓.ปฏฆิ านสุ ยั เปน กาลวิมุต นิพพานก็แจง ๔.มานานุสยั ๕.ทิฏฐานสุ ยั ๖.วิจิกจิ ฉานุสยั ๗.อวชิ ชานสุ ยั - ปุถชุ นจะพิจารณาละกเิ ลสไดใ นขณะเปนปจ จุบนั อารมณ เทา น้ัน ไมสามารถไปตดั กิเลสทเี่ ปนกาลวิมตุ ได ความทุกข ๒ อยา ง คอื การปฏิบตั ใิ หพนจากทกุ ข ๒ อยาง พระอรยิ ะเทา นน้ั สามารถดึงอนสุ ัย ทเี่ ปนกาลวิมตุ ใหมาปรากฏเปน ปจจบุ ัน แลวตัดแบบสมุจเฉทปหาน ๑. ทกุ ขสามัญ ไดแ ก การเกดิ แก เจ็บ ๑. การปฏบิ ัตใิ นทางโลก พระนิพพานกแ็ จง ตาย ของสตั วทัง้ หลาย ไดแกก ารประกอบอาชพี ตา งๆ ๒. ทุกขพ เิ ศษ ไดแก ความทุกขท เ่ี กิดขึ้น ๒. การปฏิบตั ิในทางธรรม ไดแก โดย พยสนะ ๕ การบําเพ็ญทาน ศลี ภาวนา โดย ๑. ญาตพิ ยสนะ การสญู เสียญาตมิ ติ ร - อัตตกลิ มถานุโยค ๒. โภคพยสนะ ทรมานรางกาย การสญู เสยี ทรยั พส นิ ยศ บริวาร - กามสุขลั ลิกานุโยค ๓. โรคพยสนะ บาํ รุงตนใหไ ดร บั ความสุข การมโี รคภยั ไขเจบ็ เบียดเบียน ๔. สีลพยสนะ ความวิบตั แิ หงศลี ๕. ทิฏฐิพยสนะ มคี วามเห็นผิดจากความเปน จริง
* มรรค มอี งค ๘ เกดิ อยา งไร * กองแหงศีล มี ๓ - 12 - มัคคสจั จ ๑. สมั มาวาจา เวน - พูดปด, พดู สอเสียด, พูดคาํ หยาบ, เพอเจอ อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ อธ. สัมมาวาจาเจตสิก ( ตอ งเน่อื งดว ยสัมมาสังกปั ปะ ) โลกยี โลกุตตร โลกยี โลกตุ ตร ๑. ตอ งมีสตปิ ฏฐาน ๔ เปน อารมณ ๑. มีพระนิพพาน เปน อารมณ ๑. มสี ตปิ ฏฐาน ๔ เปนอารมณ ๑. มีพระนิพพานเปนอารมณ ๒. มีสัมมาสติ เปนองคม รรคแรก ๒. สัมมาสตขิ องโลกยี เปน เหตใุ หสัมมาทิฏฐิ ( ปญ ญา ) ๒. เกิดไมแ นนอน ๒. เกิดแนน อน ๓. มอี งคม รรค ๕ หรือ ๖ เพราะ ๓. เกดิ ขณะที่เวนจาก วจีทจุ รติ ๓. เกดิ ในขณะมัคคจติ เกิด เปน องคม รรคแรก ส.วาจา ส.กมั มนั ตะ ส.อาชวี ะ ๓. มอี งคมรรคครบ ๘ สมังคีพรอ มกัน จะมาเพียงตวั ใดตัวหน่ึงหรอื ไมม าเลย ในมัคคจิตเดียวกัน ** การทาํ งานของมรรค กองแหงปญญา มี ๒ คือ สัมมาทฏิ ฐิ และสัมมาสงั กปั ป ๒. สมั มากัมมนั ตะ เวน - ปาณา, อทินนา, กาเม อธ. สมั มากัมมนั ตเจตสิก ( ตอ งเนอื่ งดว ยสมั มาสังกปั ปะ ) ๑. สมั มาทิฏฐิ > ปญญาเจตสิก รใู นสภาพธรรม ตามความเปนจริง โลกยี โลกุตตร ๑. มสี ติปฏฐาน ๔ เปน อารมณ ๑. มีพระนพิ พานเปนอารมณ ปญญารรู ปู นาม โลกยี ปญญารูไตรลกั ษณ โลกตุ ตร ๑.อนัญญาตัญญัสสามิ - โสดา.ม ๒. เกดิ ไมแ นนอน ๒. เกดิ แนน อน ปญ ญาในมัคคจิต ๔ ๒.อัญญินทรีย - โสดา.ผ - อรม ๓. เกิดขณะทเี่ วนจาก วจที ุจรติ ๓. เกิดในขณะมคั คจิตเกิด รนู พิ พาน มี ๓ ระดับ ๓.อญั ญาตาวนิ ทรยี - อรผ - ละบัญญัติ - ละวิปล ลาสธรรม - ละรปู นามและ ไตรลกั ษณ (นามรปู ปริจ. / ปจจยปรคิ .) ๓. สมั มาอาชวี ะ อนภิชฌา, อพยาปาท, สมั มาทฏิ ฐิ อธ. สมั มาอาชวี เจตสิก ( ตอ งเนอ่ื งดว ยสมั มาสงั กปั ปะ ) ๒. สัมมาสังกัปปะ > วติ กเจตสิก ธรรมที่ยกจิตข้ึนสูอารมณ โลกีย โลกตุ ตร การยกจิตตองไมเ นื่องดว ย ๑. มสี ตปิ ฏ ฐาน ๔ เปน อารมณ ๑. มพี ระนพิ พานเปน อารมณ ๒. เกดิ ไมแ นน อน ๒. เกดิ แนนอน โลกยี โลกุตตร - อภิชฌาทมี่ ี โลภเปนมลู ๓. เกดิ ขณะท่เี วนจาก วจที ุจรติ ๓. เกิดในขณะมัคคจติ เกิด ๑) มสี ติปฏฐาน ๔ เปน อารมณ ปราศจาก มพี ระนิพพาน - โทมนัสท่มี ี โทสเปนมลู อภิชฌา โทมนัส ทม่ี ี โล โท โม เปน มลู เปน อารมณ - อภชิ ฌา+โทมนสั ทีม่ ี ๒) ยกจิตขึน้ สูอารมณ เพอื่ ใหป ญ ญาเขา มา โมหเปนมูล ไตรตรองในอารมณ
* กองแหงสมาธิ มี ๓ * การทํางานขององคม ัคค ๕ - 13 - ๑) สมั มาวายามะ อธ. วริ ิยะเจตสิก มีกิจในสัมมปั ปธาน ๔ อยาง คอื อานิสงสม าจากกองแหง ศีล จักขุ ๑) สัมมาสงั กปั ป - ยกจติ ขึน้ สูอ ารมณ รปู ารมณ เขา ๒ กอง ๑. มีความพยายามเพื่อ .. ละอกศุ ลธรรม .. ทีเ่ กิดข้นึ แลว เอ้อื กองแหง สมั มาสติ ๒) สมั มาสมาธิ - ขณิกะ กองสมาธิ ๒+๓+๕ ๒. มคี วามพยายามเพอื่ .. ใหอกุศลธรรม .. ท่ียังไมเ กิดนนั้ ไมใหเ กิดข้นึ โยคาวจร ๓) สัมมาสติ - ระลกึ รูโดยอารมณ กองปญญา ๑+๔ ๓. มีความพยายามเพ่ือ .. ใหกุศลธรรม .. ที่ยังไมเ กิดใหเ กิดขนึ้ ๕) อาตาป, ๔) ปญญา - ไตรตรองในสภาพ ๔. มคี วามพยายามเพ่ือ .. ใหก ุศลธรรม .. ท่เี กิดข้ึนแลวใหเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป สมั ปชาโณ, สติมา ความเปน จรงิ ใหย กสอู ัตถสญั ญา ๒) สัมมาสติ อธ. สติเจตสกิ ธรรมที่ระลกึ ในอารมณ โลกยี โลกุตตร ๑. มีสตปิ ฏฐาน ๔ เปน อารมณ ๑. มีพระนิพพาน เปนอารมณ ๒. อาศยั สมั มาวายาม ใหตั้งมน่ั เกิดขน้ึ ไมใหตกกระแสวิปส สนา ๓. สต+ิ สมั ปชญั ญะตอ งทาํ งานคูกับ สัมมาทฏิ ฐิ ( ปญญา ) ๓) สัมมาสมาธิ อธ. เอกคั คตาเจตสกิ วิปสสนา สมถะ ๑. ขณิกสมาธิในอารมณท้งั ๖ ๑. อปุ จารสมาธ,ิ อัปปนาสมาธิ ๒. ขณิกนใ้ี หตัง้ มั่นอารมณเ ดียว ๒. สมาธทิ ง้ั ๒ ขมนวิ รณ โดยวิกขมั ภณปหาน ใหสติสัมปชญั ญะมาทําลายกิเลส ๓. มสี ติเพยี งอยา งเดยี ว ในอารมณ ๔. ปรบั อินทรียค อนขา งยาก ๓. ตองมที ง้ั สติ และสัมปชัญญะ ๔. ปรับอินทรียท ้ัง ๕ ใหเ สมอกันไดงาย
- 14 - * อวชิ ชาท่ีปกปด สภาพความเปนจริง ๔ อยาง * แสดง ลกั ษณะ รส ปจ จปุ ฏฐาน ปทัฏฐาน ของอวิชชา ๑) อวชิ ชาหนามาก -> อันธปุถุชน - ไมมีการศกึ ษาธรรม - ไมค บหาสัตตบรุ ุษ ๑. อาณลกขฺ ณา มคี วามไมร ู เปน ลกั ษณะ หรอื เปน ปฏิปก ษต อ ปญญา เปนลกั ษณะ - ไมรูส ภาวธรรม - ไมเ ขาถึงกัมมสกตาญาณ ธรรม ๘ ปญ ญารูรปู นาม ปญ ญารูไตรลกั ษณ ปญญาในมัคคจติ ๔ เมอ่ื อกศุ ลกรรมเกดิ ขึน้ ทางใจ >>> ก็ปลอ ยใหเกดิ ตอทัง้ ทางกาย และวาจา - ละบัญญตั ิ - ละวิปล ลาสธรรม รพู ระนพิ พาน ไมเ ขา ถงึ วิปสสนาภมู ิ ๖ ละรปู นามและไตรลักษณ ๒) อวชิ ชาบางมากแลว วปิ ส สนายังไมอยใู นวสิ ัย เม่อื รูวาอกุศลกรรมเกดิ ขน้ึ ทางใจ >>> ก็ไมปลอยใหสําเร็จทง้ั ทางกายและวาจา ยอมรับวปิ ากทส่ี มควรไดร ับ แตเมื่อกศุ ลเกิดข้ึนทางใจแลว >>> จะเรง ทําใหสําเร็จท้งั ทางกายและวาจา ๒. สมฺโมหนรสา ทาํ ให ธรรมทปี่ ระกอบกบั ตน และผทู โี่ มหะกําลังเกิดอยนู น้ั มคี วามหลงหรือมดื มน เปน กิจ ๓) อวิชชาบางที่สดุ พระอรยิ บคุ คลเบื้องต่ํา ๓ เพราะ โมหเจตสกิ ทาํ ใหอก.ุ ๑๒ เจ.๒๖(-โลภ) เกิดขนึ้ ๑. รูในอริยสัจจ ๔ กาํ ลงั เปนไปดวย อนิฏฐผล ๕ ๒. มกี ารปหานอวชิ ชาโดย สมจุ เฉท ตามมคั คของตน กําลังเปน ไปดว ย อาสวธรรม ๔ ๓. ยงั มงี านอนื่ ทีต่ องทํา ( เจรญิ วปิ สสนา เพ่ือใหไดม ัคคสูงขึน้ ) ๓.ทิฏฐาสวะ ๔.อวชิ ชา ๒.ภวสวะ สังขาร มรณ+อนิฏฐผล ๕ ๔) อวิชชาไมม เี หลอื พระอรหันต มี ๓ นัย คอื ๑. พระปจเจกพระพุทธเจา - มแี ตอรรถรส ( การเขาถงึ สภาว ) ไมตองฟงใครเพราะฟง มาหลายชาติแลว มีจนิ ตา จึงเขาถงึ ภาวนา ๑.กามสวะ ตัณหา อุปาทาน - ไมมีธรรมรส ส่ือธรรม ใหบุคคลอ่ืนไมได โลภ โลภ ทฏิ ฐิ ๒. พระสาวก - อาศัยสุตต จงึ เขา ถึงภาวนา ๓. ฉาทนปจจฺ ุปฏ านา เปน ธรรมชาติทป่ี กปด สภาวะทม่ี อี ยูในอารมณน้นั ๆ เปนอาการปรากฏในปญ ญา - ปฏสิ มั ภิทาปตต > อัตถะ - ขยายเนอื้ ความ ของบัณฑิตท้ังหลาย > ธมั ม - แสดงธรรมไดกวา งขวาง > นริ ุตติ - การใชภาษา จักขปุ สาท จกั ขายตนะ จักขธุ าตุ เห็นรูปารมณ รูปายตนะ รปู ธาตุ > ปฏิภาณ - ไหวพริบ - ศกึ ษาจากพระไตรปฏ ก รูอ ชั ฌาสยั ของสตั วท ั้งหลายไมเทากัน นามธรรม ๔ \" จักขุวญิ ญาณ \" มนายตนะ จักขธุ าตุ - มโนธาตุ มโนวิญญาณ สัญญาขนั ธ, เวทนาขันธ, สงั ขารขันธ ๓. พระสัมมาสมั พทุ ธเจา ๔. อาสวปทฏานา มอี าสวะ ๓ เปนเหตุใกล ( เวน ตัวเอง )
- 15 - * สังขาร หมายความวา ธรรมทป่ี รงุ แตงใหผ ลธรรมเกดิ ขนึ้ มี ๒ ระดบั ( น.๓๖ ) ๑) เจตนาท่ปี รุงแตง กาย วาจา ใจ ใหสาํ เรจ็ ในขณะนน้ั โดยทย่ี ังไมม กี ารสงผล = สหชาตกมั ม. \" สงฺขตํ กายวจมี โนกมมฺ ํ อภิสงฺขโรนฺติ เอเตหตี ิ = สงฺขารา \" ( ปุคคลาธิษฐาน ) สตั วท้ังหลาย ยอมปรุงแตง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่เปน สงั ขตธรรมโดยเจตนา เหลา นั้น ฉะน้นั เจตนาทเี่ ปน เหตุแหง การปรุงแตง เหลา น้นั ชอื่ วา สังขาร ไดแ ก เจตนาท่ีในอก.ุ ๑๒ ,โลกียกุ.๑๗ ๒) เจตนาท่เี ปน สหชาตกมั ม จดั การสงผลโดยความเปนวปิ ากใหป รากฏแลว = นานกั ขณิกกัมม. \" สงฺขตํ สงขฺ โรติ อภิสงฺขโรนฺตตี ิ = สงขฺ ารา \" ( ธรรมาธิษฐาน ) ธรรมเหลาใด ยอ มปรงุ แตง สังขตธรรมทเี่ ปน ผลโดยตรง ฉะนั้น ธรรมเหลา น้นั ชือ่ วา สงั ขาร ไดแก เจตนาทใี่ นอก.ุ ๑๒, โลกียกุ.๑๗ กายกรรม อกุศล ๑๒ มหากศุ ล.๘ มหัคคต ๙ เจตนากรรม > ปุญ + อปุญญ วจีกรรม ๑๒ ๘ - ๒๐ > ปญุ + อปุญญ มโนกรรม ๑๒ ๘ - ๒๐ > ปญุ + อปญุ ญ + อาเนญชา ๑๒ ๘ ๙ ๒๙ ** โลกุตตรกุศลเจตนา ๔ ไดช ื่อวา เปน บุญ แตไมชื่อวา ปุญญาภิสงั ขาร เพราะไมม หี นาท่ที ําใหเกดิ ภพ ชาติ
สงั ขารท่เี ปนผลของอวชิ ชา มี ๖ อยา ง คอื ( น. ๓๖ ) - 16 - สหชาตกมั มปจ จยั = เจตนาทปี่ รุงแตง กาย, วจี, มโน ใหส ําเร็จในขณะนน้ั ๆ นานักขณกิ กัมมปจ จยั = เจตนาทีส่ ง ผลแลว (วิปาก ) ๔ กายสงั ขาร ( เจตนา ๒๐ ) ๑. ชอ่ื วา ปุญญาภิสงั ขาร ( กาย วาจา ใจ ) เจตนาทเ่ี ปนผูป รุงแตง กายทุจริต และกายสจุ รติ ใหส าํ เร็จลง ไดแ ก อกุ.เจต.๑๒, ม.ก.ุ เจต.๘ ท่เี ก่ยี วกับทางกาย กศุ ลเจตนา เปนผูปรงุ แตง โลกียกศุ ลวบิ าก กายทุจรติ อกศุ ลเจต.เจ. ๑๒ อกุศลจติ ๑๒, เจ.๒๖ (-เจตนา) ไดแก ม.กุ.เจต.๘, รูป.ก.ุ เจต.๕ และ กุศลกัมมชรูป โดยตรง ปานา อทนิ กาเม กายทจุ ริต ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ม.ก.ุ เจต.๘ รูป.ก.ุ เจต.๕ อก.ุ เจต.เจ. + อก.ุ จติ ๑๒ เจ.๒๖ (-เจตนา) = เปนปจจยุบัน ปฏิ.๙ ปวัตติ.๑๖ ปฏ.ิ ๕ ปวตั ติ.๕ ปฏ.ิ กํ ปวตั ติกํ ยกมือตบยุง (กายทุจริต) = รปู นามเปน สหชาตกมั ม ในการตบยุง ปฏ.ิ กจิ ภวังคกจิ กายสจุ ริต ม.ก.ุ เจต.เจ. ๘ ม.กุ.จติ ๘, เจ.๓๗ (-เจตนา) ** โลกตุ ตรกศุ ลเจต.๔ ไมน บั เพราะไมทาํ ใหเกดิ ภพชาติ ทาน ศลี ภาวนา กายสจุ รติ ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ม.กุ.เจต.เจ. + ม.กุ.จิต ๘ เจ.๓๗ (-เจตนา) = เปน ปจจยบุ ัน ๒. ช่ือวา อปญุ ญาภิสงั ขาร ( กาย วาจา ใจ ) และ อกศุ ลกัมมชรปู โดยตรง ยกของใสบ าตร (กายสุจรติ ) = รูปนามเปน สหชาตกมั ม ในการใสบาตร อกศุ ลเจตนา เปน ผูปรุงแตง อกศุ ลวิบาก ๕ วจสี ังขาร ( เจตนา ๒๐ ) ไดแ ก อกศุ ลเจต.๑๒ เจตนาทเ่ี ปนผปู รงุ แตง วจีทจุ ริต และวจสี จุ ริตใหส าํ เรจ็ ลง ไดแ ก อกุ.เจต.๑๒, ม.กุ.เจต.๘ ทเ่ี ก่ียวกบั ทางวาจา วจีทจุ รติ อกศุ ลเจต.เจ. ๑๒ อกุศลจิต ๑๒, เจ.๒๖ (-เจตนา) ปฏสิ นธกิ าล ปวัตติกาล ปฏ.ิ กํ ปวัตตกิ ํ วจที ุจรติ ปด หยาบ สอ เสยี ด เพอเจอ อ.ุ ณ.อก.ุ ๑ อเห.อก.ุ วิ.๗ วจสี ุจริต ม.กุ.เจต.เจ. ๘ ม.ก.ุ จิต ๘, เจ.๓๗ (-เจตนา) วจีสจุ ริต ๖ จติ ตสังขาร ( เจตนา ๒๙ ) อาศยั อก.ุ เจต.เจ อาศัย กัมมวิญญาณ เปนปจจัย เปนปจ จัย เจตนาทเ่ี ปน ผูปรงุ แตง มโนทุจรติ และมโนสุจรติ ใหส าํ เร็จลง ไดแ ก อกุ.เจต.๑๒, โลกีย.กุ.เจต.๑๗ ท่เี กย่ี วกับทางใจ มโนทจุ ริต อกุศลเจต.เจ. ๑๒ อกุศลจิต ๑๒, เจ.๒๖ (-เจตนา) มโนสุจรติ ม.กุ.เจต.เจ. ๘ ม.ก.ุ จิต ๘, เจ.๓๗ (-เจตนา) รปู .กุ.เจต.เจ. ๕ รปู .ก.ุ จติ ๕, เจ.๓๔ (-เจตนา) ๓. ชื่อวา อาเนญชาภสิ งั ขาร ( ใจ ) อรูป.ก.ุ เจต.เจ. ๔ อรปู .ก.ุ จิต ๔, เจ.๒๙ (-เจตนา) กุศลเจตนา ที่ตัง้ มนั่ ไมห วั่นไหวเปน ผูป รุงแตง อรปู วบิ าก โดยตรง ไดแก อรูป.ก.ุ เจต.๔
* ธรรมท่ีช่อื วา สังขาร ทไ่ี มใชผ ลของอวชิ ชา มี ๗ อยา ง ( น. ๓๘ ) - 17 - ๑) สังขตสงั ขาร - ธรรมทถี่ ูกปจจัย ๔ ( กรรม จติ อตุ ุ อาหาร ) ปรงุ แตงไดแ ก จติ เจตสิก รูป ทง้ั หมด * เวลาทาํ ทาน = ม.กุ.เจต.๘ สงั ขารทไี่ มใ ชผ ลของอวชิ ชา วา โดย สังขารที่เปนผลของอวิชชา พยายามใสบาตร -> ปโยคาภสิ ังขารไดแก วิรยิ ะเจ. เชน อนจิ ฺจา วต สงขฺ ารา ม.กุ.เจต.๘ ม.ก.ุ ๘, เจ.๓๗ (-เจตนา ) กายสังขาร - มลี มหายใจเขาออก สงั ขารฝา ย สังขารฝา ยผล กายสุจรติ อภิสงั ขรณกสงั ขาร ๓. อภสิ งั ขรณกสงั ขาร ๒. อภิสงั ขตสงั ขาร อภิสังขตสงั ขาร ธรรมทเ่ี ปนผูป รงุ แตง โลกียวบิ ากและกัมมชรูปโดยตรง สหชาตกมั ม > กายสงั ขาร ไดแก อกุศลเจตนา ๑๒, โลกยี กศุ ลเจตนา ๑๗ รูปนามท่ถี ูกกรรมเปนผปู รุงแตง โดยตรง - วาโดย อธ. ใกลเ คยี งกบั สงั ขารท่ีเปน ผลของอวชิ ชา ไดแก โลกยี วบิ าก, กัมมชรูป และอภิสงั ขตสงั ขารน้ี นานกั ขณกิ กมั ม > ปญุ ญาภสิ ังขาร แตใ นทีน่ ้จี ัดวา ไมเปน ผลของอวิชชา เพราะ กส็ งเคราะหเขา ในสงั ขตสงั ขารดว ยเหมอื นกนั อธ.น้ี ถูกปจจยั ๔ ปรงุ แตง ไมใ ชจาก เจตนากรรม - วาโดย ปฏิจจสมปุ บาท ชอ่ื วา - วา โดย สาํ นวนปฏจิ จสมปุ บาท คอื วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา สงั ขาร เปน ปจ จยั ใหป จ จบุ นั ผล ๕ เกดิ * ปญุ ญาภิสงั ขารปรากฏขนึ้ เพราะ อาศยั อวิชชาเปน เหตุ แตในทีน่ ีท้ า นแสดงสังขารฝายเหตเุ ปนปจ จัย ทาน ศลี ภาวนา อธ. โมหเจ. ( เขาไมถ งึ ธรรม ๘ ประการ ) ใหสังขารฝายผลเกิด ** อวชิ ชา เปน ปจจัยให ปุญญาภิสงั ขาร โดยความเปนอารมณ - วาโดยชอื่ โดยปฏิจจสมุปบาท มี ๓ ชอ่ื เหตุ ผล * ปกตปู นิสสย ปญุ ญา. อปญุ ญา. อเนญชา. ( เปน ผลของอวิชชา ) อวชิ ชา ปญุ ญา ม.ก.ุ ๘ - ส่ิงทกี่ ระทําสําเรจ็ อยา งสมบูรณแ ลว ในกาลกอ นเปนไดท ้งั กุศล / อกุศล แตใ นทนี่ มี้ ชี อื่ เดียวเทาน้นั ไมร ู อารมณ ทาน วิปสสนา ๔) ปโยคาภิสังขาร - ความพยายามปรุงแตงทางกายและใจ ไดแ ก วิริยะเจ. ท่เี กีย่ วกับกายกรรมและมโนกรรม ** อปุญญาภิสังขารปรากฏขึน้ เพราะ อาศยั อวชิ ชาเปน เหตุ ๕. กายสังขาร ๖. วจสี ังขาร ๗. จิตตสงั ขาร อธ.โมหเจ. อธ.โมหเจ. ธรรมชาตทิ ่ีปรงุ แตงรา งกาย ธรรมชาตทิ ป่ี รุงแตง วาจา ธรรมชาตทิ ป่ี รงุ แตง จิต อกุ.๑๒ ช.๑ ช.๗ ไดแก ลมหายใจเขา ออก ไดแ ก วติ ก วิจาร โมห+เจตนา ไดแ ก เจตสิก ๕๐ (-วติ ก วิจาร) ๓. สําเร็จลงเปน ปกตูปนิสสยชาติ ๔. อปุญญา. มีอวชิ ชา เปนอารัมมณชาติ ** ปโยคาภิสขั าร ไมเ อาวิริยเจตสกิ ที่เกี่ยวกบั วจีกรรม เพราะ ทางวาจานน้ั วิรยิ เจตสกิ ไมไ ดเปน ประธาน ๑. สหชาต เกย่ี วกับวติ กวิจารเทาน้นั ๒. อนันตรชาติ ( สหชาตขา มดวง )
- 18 - ** แสดง ลกั ษณะ รส ปจ จุปฏฐาน ปทฏั ฐานของสงั ขาร ๑) อภิสงขฺ รณลกฺขณา - มีการปรุงแตง เปน ลกั ษณะ ๒) อายหุ นรสา - มีการพยายามใหป ฏิสนธวิ ิญญาณเกิด หรอื พยายามใหธรรมชาตทิ ่เี ปน ผล ซึ่งไดแก รูปนาม ที่เปน หมวดเปนกองเกดิ ข้นึ เปนกจิ ๑.วิญญาณ ๒.นาม รปู - คพั ภเสย ๓ ปฏ.ิ ๑๙ สหชาตกัมม เจตสิก ๓๕ + กมั ชกกลาป - โอปปาตกิ ๗ อายตนะ อกุ.เจต. ณ.อกุ.๑ - รูปพรหม ๔ ม.กุ.เจต. รปู .ก.ุ เจต. ณ.ก.ุ ๑ ๕. เวทนา ๔. ผสั สะ มนายตนะ อรูป.กุ.เจต. ม.ว.ิ ๘ รปู .ว.ิ ๕ อรปู .ว.ิ ๔ อปุ าทกั ขณะ ๓) เจตนาปจฺจปุ ฏานา - เปน ธรรมชาตทิ ีช่ ักนํากระตนุ เปนอาการปรากฏในปญ ญาของบัณฑติ ทง้ั หลาย อกุ.เจต. อก.ุ ๑๒, เจ.๒๖(-เจต.) รูป.ก.ุ เจต. รปู .ก.ุ ๕, เจ.๓๔(-เจต.) ม.ก.ุ เจต. กายทจุ ริต อรูป.ก.ุ เจต. กายสุจริต ม.ก.ุ ๘, เจ.๓๗ (-เจต.) อรปู .ก.ุ ๔, เจ.๒๙ (-เจต.) กายสจุ ริต กายสุจริต ๔) อวชิ ฺชาปทฏานา - มอี วิชชา เปน เหตุใกล
- 19 - ๒ สงขฺ ารปจฺจยา วิฺ าณํ สมภฺ วติ = โลกยี วิปากวญิ ญาณ ๓๒ ยอมปรากฎเกิดขนึ้ เพราะอาศัย สังขาร ๓ เปน เหตุ ** สังขาร มี ๒ อยา ง คือ สังขาร อดตี ภพ ปจจุบนั ภพ ๑. สงั ขารท่เี ปน ผลของอวิชชา มี ๖ ขอ กัมมวิญญาณ ๒๕ วญิ .ภพกอ น วญิ .ภพน้ี เรียกวา วปิ ากวญิ . ๓๒ (ผล) ( ยอ มไดท ัง้ หมดไมเวน อยา งใดอยางหนงึ่ ) เหตใุ หเ กดิ (รกั ษาปวตั ตกิ มั มชรปู ) ๒. สงั ขารที่เปน เหตุใหเ กดิ วิญญาณ มี ๓ ขอ อธ. = เจตนา อกุศล.๑๒ ปฏิสนธิวญิ ญาณ ๑๙ มี ๒ สวน ( มกี ารเวน เจตนาทีใ่ นอุทธัจจสมั ปยตุ ตจิตขณะปฏสิ นธิ และเจตนากุศลอภญิ ญา ) ไมเ ปน เหตใุ ห ปวัตติวิญญาณ ๓๒ สง ผล ม.กุ.๘ ปวัตติกมั มชรูปเกดิ รปู .กุ.๕ ปฏิ.๑๙ ปวตั .๓๒ อรูป.ก.ุ ๔ ปจจัย ปจ จยุปบนั ธรรม สังขารท่เี ปน เหตุใหเกดิ วิญญาณ มี ๓ ขอ ( เจตนา ๒๙ ) วิญญาณทเ่ี ปนผลของสงั ขาร มี ๒ สว น ๑ ปญุ ญาภสิ ังขาร ๑๓ (-เจตนาใน ก.ุ อภญิ ญา ) ๑. ปฏิสนธิวญิ ญาณ ๒. ปวตั ตวิ ิญญาณ ๒ อปญุ ญาภิสังขาร ๑๒ วิญ. ทเ่ี กดิ ข้ึนในปฏสิ นธิกาล วิญ. ที่เกิดข้ึนในปวตั ตกิ าล ** องคธรรมของวิญญาณ แสดงเปน ๒ นัย ( - อุทธจั จเจตนาทใ่ี หผลในปฏิสนธิกาล ) สุตตนั ตภาชนียนัย ไดแ ก ปฏิสนธิจติ ๑๙ ไดแ ก โลกยี วปิ ากจิต ๓๒ อภิธรรมภาชนียนยั ๓ อาเนญชาภสิ ังขาร ๔ ๑.มงุ หมายเฉพาะในโลกียวปิ ากจติ ๓๒ เทา นัน้ ๑. มุง หมายในจิตทั้งหมด ๘๙ อุ.ณ.ก.ุ ๑ > อเหต.ุ ว.ิ กุ.๘ ๒. มกี ารจาํ แนกโดย ๒. มกี ารรอู ารมณเปนพเิ ศษไปจากการรูของ ปญุ . ม.วิปาก.๘ > ม.วปิ าก.๘ กาล คอื ภพท่เี ปน อดีต ปจ จบุ ัน อนาคต สญั ญาและปญญา ( คาถาที่ ๕ น. ๔) ๓. จิตทัง้ หมดทเ่ี กดิ ขน้ึ ตองอาศัยสังขาร รปู .วปิ าก.๕ > รูป.วปิ าก.๕ - แสดงวา มชฺเฌ อฏ ปจจฺ ปุ ฺปนโฺ น อทฺธา (เจตนาเจ.)ปรุงแตง อปุญ. อุ.ณ.อกุ.๑ > อเหต.ุ วิ.อก.ุ ๗ เหตุผล กจ็ ัดเขาในผล ( คาถาท่ี ๘ น. ๕) ๔. ในทีน่ ีม้ ไิ ดแ สดงโดยกาล เหตุผล วฏั ฏะ - แสดงวา อิทานิ ผลปฺจกํ อาเนญ อรปู .วิปาก.๔ > อรูป.วิปาก.๔ วัฏฏะทงั้ ๓ ก็จดั เขา ใน วิปากวฏั ** สงั ขารฝา ยวปิ าก เปนปจ จยั ใหเกิดวิญญาณ เพราะเหตกุ ารรบั รทู ง้ั หมดนเ้ี กิดจากสังขารฝา ยวปิ าก ( คาถาที่ ๙ น. ๖) ฉะนัน้ จึงเรยี กวา \" วิปากวิญญาณ \" และเกิดข้ึนในสวนของโลกยี ะ จงึ เรยี กวา \" โลกยี วิปากวิญญาณ \" - แสดงวา อวเสสา จ วปิ ากวฏฏ ํ ** คาํ วา สงขฺ ารปจฺจยา วิฺ าณํ นั้น - ระหวาง อปญุ ญาภิสงั ขาร เปนเหตุ ปฏิสนธิวิญญาณ เปน ผล เวน อทุ .เจต.ได อกุ.เจต. ๑๑ - ระหวา ง อปุญญาภสิ ังขาร เปน เหตุ ปวตั ติวิญญาณ เปนผล น้ัน ได อก.ุ เจต. ๑๒ ทัง้ หมด
สังขารท่ีเปน ผลของอวชิ ชา สังขารทเี่ ปนเหตใุ หเ กดิ วญิ ญาณ - 20 - ๑. ไดส ังขาร ๖ ๑. ไดสังขาร ๓ - นานักขณกิ กมั ม ๓ ** เหตุผล การเวนอุทธจั จสหคตเจตนาท่ี ในปฏสิ นธกิ าล - สหชาตกัมม ๓ (กาย วาจา ใจ) ๒. มกี ารเวน ( ไมเ ปนเหตุใหวิญญาณเกิด ) ดงั นี้ การสง ผลในปฏสิ นธกิ าล เปนเรอ่ื งสําคญั เพราะตองทําหนา ท่ีกอ ภพกอ ชาติใหปรากฏ เปน สตั วบ าง, มนุษยบ าง เทวดาบาง ดวยเหตนุ ้ี เจตนาเจตสิกนจ้ี งึ ตอ งมีเจตสกิ อ่นื ๆ ท่มี ีกําลังพเิ ศษเขา ชวยเหลือ - นานักขณกิ กมั ม ๓ (ปญุ . อปญุ . อาเนญ.) - เวน เจตนาในอุทธัจจ ในปฏิสนธกิ าล มิเชน นั้นแลวไมส ามารถสง ผลในปฏสิ นธกิ าลได เพียงแตใ หผ ลในปวตั ติกาลเทา น้ัน พจิ ารณาจากเจตนาทใ่ี นอทุ ธัจจสหคตจิตน้ไี มม กี ําลงั พอ เพราะวาประกอบไดเพียงโมจตุกเจ.ท่ีเปน ๒. ไดเ จตนา ๒๙ อก.ุ เจ.สามัญ สว นอก.ุ เจ.อกี ๑๑ ดวงทีเ่ หลือนั้น นอกจากมีโมจตุกเจตสิกเชน กันแลว ยงั มีโลภ, ทิฏฐิ, มานะ, อิสสา, มจั ฉริยะ, กกุ กจุ จ, วิจิกจิ ฉา รว มอีก ซ่ึงมกี ําลงั พอใหผลในปฏสิ นธิ ไมม กี ารเวน ทั้งในปฏิสนธิ + ปวตั ติกาล โมจตุก.๔+โลภ ทฏิ ฐิ > < โมจตกุ .๔ ดงั นัน้ ในอทุ ธจั จสหคตจิตนี้ ซึ่งมเี พียงโมจตุกเจตสกิ จึงไมก าํ ลังพอทจี่ ะสง ผลในปฏสิ นธิกาล สง ผลไดเฉพาะ โมจตกุ .๔+โทจตกุ .๔ > +โลภ มานะ ในปวตั ตกิ าล โมจตุก.๔+วจิ ิ > < โมจตกุ .๔ ** เหตผุ ล การเวนเจตนาท่ี ในกศุ ลอภิญญา - เวน เจตนาในกุศลอภญิ ญา ทัง้ ในปฏิสนธ+ิ ปวตั ตกิ าล การสง ผลปฏสิ นธิของกุศลอภญิ ญานนั้ ไมม ี เพราะกุศลอภญิ ญานี้ เกิดขึ้นหลงั จากไดปญจมฌานแลว - เวน อก.ุ เจตนาท่ถี ูกประหาณโดยมรรคทัง้ ๔ ฉะน้ัน จึงต้ัง อยูใ นฐานะเปนผลของปญจมฌานประการหนง่ึ ( จะไมเกิดเปนนานกั ขณกิ กัมม ) และในการสําเร็จอภญิ ญาตางๆ นน้ั กเ็ ปนผลของกุศลอภิญญาอีกประการหน่ึง - เวน กศุ ล + อกศุ ลเจตนา ทีเ่ ปน อโหสิกรรม เหตผุ ล ๒ ประการนีแ้ หละ แสดงใหเ ห็นวา กศุ ลอภญิ ญานี้ไมม กี ารสงผลในปฏสิ นธิกาล ** วจนตั ถะ ๑. วชิ านาตีติ = วิ ฺ าณํ - ธรรมชาติใดรูอารมณเปน พเิ ศษ ฉะนน้ั ธรรมชาตนิ ้ันชอ่ื วา วญิ ญาณ อธ. โลกียวิปากจติ ๓๒ รปู ารมณ ไปรู ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต โลกียวิปากจติ ๓๒ > ๑๙ ๑๐ ๒ ๑ รอู ารมณ กุศล / อกุศลชาติ กรรมอารมณ กรรมนิมิต คตนิ มิ ติ วปิ ากชาติ กิรยิ าชาติ ๒. วชิ านนตฺ ิ เอเตนาติ = วิ ฺ าณํ - บุคคลทง้ั หลายยอ มรอู ารมณเปนพเิ ศษ โดยธรรมชาตินัน้ ฉะนน้ั ธรรมชาติที่เปนเหตุให บคุ คลทั้งหลายไดร ูอารมณเปนพเิ ศษนน้ั จึงช่อื วา วิญญาณ อธ. โลกยี วิปากจติ ๓๒ เจ.๓๕
แสดงสงั ขาร ๓ โดย ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณ และปวตั ติวญิ ญาณ - 21 - โลกยี วปิ ากจิต ๓๒ สงั ขาร ๓ เปนเหตุ ธมั มาธิษฐาน ปคุ คลาธิษฐาน ปวตั ติวญิ ญาณ ๓๒ เปน ผล ภมู ิ วญิ ญาณ = ปวตั ติวญิ . ๓๒ ปฏ.ิ วญิ .๑๙ ภูมิ บุคคล ปฏ.ิ วญิ .๑๙ ปวตั ติ.วญิ .๓๒ ( เปนผล ) อกุ . โอม. อกุ.เจต.๑๑ อ.ุ ณ.อก.ุ .ว.ิ ๑ อบาย ๔ ทคุ ติ ๑. อปญุ ญาภสิ ังขาร (-อทุ ธจั จเจต.) อก.ุ เจต.๑๒ อ.ุ ณ.อก.ุ ว.ิ ๑ อเห.อกุ.ว.ิ ๗ อเหต.ุ อกุ.วปิ าก. ๗ กาม.๑๑ อุก. โอม. กาย วจี มโน *อเหตุ.อกุ.วิปาก. ๔ รปู ๑๕ ม.ก.ุ ทว.ิ โอม.๔ อ.ุ ณ.กุ.ว.ิ ๑ มนุ.+จาตุ สุคติ อเหตุ.ก.ุ วิ.๘ กาม.๑๑ ม.กุ.ทว.ิ อกุ .๔ (เทว.ชน้ั ต่าํ ) ทว.ิ (ไดแก การเหน็ ...การถกู ตอง ปฏิ.วญิ . ๑๙ ม.ก.ุ ต.ิ โอม.๔ ต.ิ การรับอา. การไตสวนอา. ๙ อุ.ณ.ก.ุ วิ.๑ ๑๖ อเห.ก.ุ วิ. ๘ ม.กุ.เจต.๘ ม.ก.ุ ต.ิ อุก.๔ ม.วิ.วปิ .๔ มน+ุ เทว.๖ รปู พรหม การรบั อา.ตอ จากชวนะทีด่ ี ) สุคติ ๗ ม.วปิ าก ๘ ม.วิปาก ๘ คุณ ๓ ประการ -> อุก. / โอม. ๒. ปญุ ญาภสิ งั ขาร ๓ ทวาร ม.ว.ิ สมั .๔ (เทว.ชนั้ กลาง) ม.ก.ุ ๘ ม.วิปาก.๘ ( = ตทา) ๑) ธมั มิยลัทธวัตถุ ทาน ศีล ภาวนา รปู ๑๕ มนุ.+เทว.๖ *อเหตุ.ก.ุ วิ.๕ - ของไดม าโดยบรสิ ุทธ์ิ (เทว.ชั้นสงู ) ๒) มตุ ตจาคา รปู .วิปาก.๕ *รปู .ก.ุ เจต.๕ *รปู .วิปาก ๕ รูป ๑๕ ( ไดแ ก การรักษาภพ เปนผล = ภวงั คกจิ ) รูป ๑๕ - ใหโ ดยไมม ีความตระหน่ี มโนทวาร(เฉพาะภาวนา) (ปฏสิ นธกิ จิ ) (เวน อสญั .) (-อสัญ) ๓) ความแรงกลาของเจตนา ๓. อาเนญชาภิสังขาร อรูป.กุ.เจต.๔ อรูป.วิปาก ๔ อรปู .๔ อรปู พรหม อรูป.วปิ าก.๔ อรูป.๔ อรปู .วปิ าก.๔ อรูป.วิปาก.๔ - ทงั้ ๓ กาล (เฉพาะภาวนา) (ปฏสิ นธิกิจ) ( ไดแ ก การรกั ษาภพ เปนผล = ภวงั คกจิ ) (ปฏสิ นธิกจิ ) (ภวังคกิจ) ๑. พรหม มรี ูปรา งดี เพราะ กมั มวิญญาณ ๑๓ ม.ก.ุ ๘, รปู .ก.ุ ๕ ( เรามกี ัมมวิญญาณ ๒๐ อก.ุ ๑๒+ม.ก.ุ ๘ ) สงผลเปน ปวัตติกัมมชรูป ๒. พรหม รับอารมณ ด/ี ไมดี เพราะ อเห.อก.ุ วิ.๔ / อเห.ก.ุ วิ.๕ สงผล ๓. กอนเปนพรหม > ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ๔. เจริญฌาน > อก.ุ เจต. -> อก.ุ ๑๒ เจ.๒๖(-เจต.) อก.ุ เจต. -> อก.ุ ๑๒ เจ.๒๖(-เจต.) เพงองค นบั สงเคราะหเปน ตเิ หตุ. เรียกวา ฌานลาภบี คุ คล กรรมฐาน อัปปนา(โลกยี ) บริกรรมนิมิต อุคคหนมิ ิต ปฏภิ าคนิมติ กมั มวิญญาณ ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ รูป.กุ.เจต.๕ -> รปู .ก.ุ จิต.๕ เจ.๓๔ (-เจต.) ม.กุ.๘ (เกดิ ทางตา) ม.ก.ุ ๘ (เกดิ ทางใจ) ม.กุ.๘ (เกิดทางใจ) ปฏ.ิ วิญ.๕ ปวัตตวิ ญิ .๕ ปวตั ติกมั มชรปู บริกรรมภาวนา อปุ จารภาวนา สหชาตกัมม นานัก.เปน พรหม
- 22 - จาํ แนกติเหตุกกุศลและทวิเหตกุ กุศล โดย อุกกัฏฐะ และโอมกะ จําแนกโดยวิญญาณฐตี ิ ( ภูมิอนั เปนท่ีตั้งแหงวญิ ญาณ ) มี ๗ คอื กาย สัญญี +เอกตั ตสญั ญวี ญิ ญาณ ๑. ตเิ หตุกกุศล ชนดิ อุกกัฏฐะ คอื ชั้นสงู (เจอื ดวยก.ุ ) ใหผล > ม.ว.ิ สํ.๔ ปฏิ. > มนุ. เทว.๖ (ส.) อบาย ๔ ๒ ๒. ติเหตุกกศุ ล ชนดิ โอมกะ คือชั้นตํา่ (เจือดวยอกุ.) ๓. ทวเิ หตุกกศุ ล ชนิดอุกกัฏฐะ คือชนั้ สงู (เจอื ดว ยก.ุ ) ใหผล > ม.ว.ิ วิป.๔ ปฏ.ิ > กาม.๗ ทว.ิ ๑ (ก.) กามสคติ ๗ นานตั ตกาย +นานัตตสัญญีวิญญาณ ๑ ๔. ทวิเหตุกกุศล ชนดิ โอมกะ คอื ชน้ั ตา่ํ (เจือดว ยอกุ.) ใหผ ล > อ.ุ ณ.ก.ุ วิ.๑ ปฏ.ิ > มน.ุ จาต.ุ (ต.) ปฐมฌาน.๓ +เอกตั ตสัญญวี ิญญาณ ๒๓ ทุตยิ ฌาน.๓ +นานัตตสัญญีวญิ ญาณ ตติยฌาน.๓ จตุตถฌาน.๗ การจาํ แนกปฏสิ นธวิ ิญญาณ ๑๙ โดยนยั ตางๆ ( หลักสตู ร น. ๕๑ ) เอกตั ตกาย +เอกตั ตสัญญวี ญิ ญาณ ๔ ปฏิสนธิ ๑๙ มีรปู /ไมม ี ภมู ิ ๓๑ กาํ เนดิ คติ อวอิญาากกญญิาสาจณาญั นญั ญัญ.า.. วอญิากญาสานานัญัญจาจยาตยนตนวิญวิญญญาณาณ ๕๗๖ มิสสก สทุ ธ นริ ย ดริ จั เปรต เนวสญั ญานา. อากญิ จัญญายตนวิญญาณ กาม รูป อรูป อณั ฑ. ชลา สงั เส. โอป. เทว มนุ อ.ณ.อกุ.วิ.๑ ๑ - ๑ - - ๑ ๑ ๑ ๑ - - ๑ ๑ ๑ อุ.ณ.กุ.ว.ิ ๑ ๑ - ๑ - - ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ - - - ม.วิปาก.๘ ๘ - ๘ - - ๘ ๘ ๘ ๘ ๘ ๘ - - - วญิ ญาณ ภมู ิ มี ๙ - อุ.ณ.กุ.ว.ิ ๑, ม.ว.ิ ๘ มี ๗ คือ กามสคุ ตภิ มู ิ ๗ รูป.วิปาก.๕ ๕ - - ๕ - - - - ๕ ๕ - - - - ๑.นานัตตกายนานตั ตสัญญวี ญิ . มี ๒ - อ.ุ ณ.อก.ุ วิ.๑, ปฐม.รูป.ว.ิ ๑ มี ๗ คอื อบายภมู ิ ๔ ปฐม.ภูมิ ๓ ๒.นานัตตกายเอกัตตสัญญีวญิ . มี ๒ - ทตุ ยิ .รูป.วิ.๑, ตตยิ .รูป.ว.ิ ๑ มี ๓ คอื ทตุ ยิ ฌานภูมิ ๓ อรูป.วิปาก.๔ - ๔ - - ๔ - - - ๔ ๔ - - - - จําแนกโดย สัตตวาส ูภมิ มี ๘ เ วน อสัญ. ๓.เอกัตตกายนานตั ตสัญญีวิญ. มี ๒ - จตตุ .รปู .ว.ิ ๑, ปญจ.รูป.ว.ิ ๑ มี ๙ คอื ตติย.๓ เวหัป.๑ สทุ ธา. ๕ จําแนกโดย ิวญญาณฐี ิต ๔.เอกัตตกายเอกตั ตสญั ญีวิญ. มี ๑ - อากาสานัญจายตนวิ.๑ มี ๑ คอื อากาสานญั จายตนภูมิ ๑ ๑๕ ๔ ๑๐ ๕ ๔ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๙ ๑๘ ๙ ๑ ๑ ๑ ๕.อากาสานัญจายตนวิญ. มี ๑ - วญิ ญานัญจายตนว.ิ ๑ มี ๑ คือ วิญญานญั จายตนภมู ิ ๑ ๖.วญิ ญานญั จายตนวญิ . มี ๑ - อากญิ จญั ญายตนวิ. ๑ มี ๑ คอื อากญิ จัญญายตนภูมิ ๑ ภมู ิ ปญจกนัย ( พระอภิธรรม ) จตกุ กนยั ( พระสูตร ) ๗.อากิญจญั ญายตนวิญ. - ปฐมฌานภูมิ ๓ ปฐมฌาน องค ๕ ปฐมฌาน องค ๕ - ทตุ ยิ ฌานภูมิ ๓ ทตุ ิยฌานองค ๔ หมายเหตุ ๘.เนวสัญญนาสัญญายตนวิญ. มี ๑ - เนวสัญญานาสัญญายตนวิ. ๑ มี ๑ - เนวสัญญานาสัญญายตนภมู ิ ๑ ตติยฌานองค ๓ ทุตยิ ฌานองค ๓ - อสญั ญสัตภมู ิ ไมมนี ามขันธ จึงไมเ รยี กวาวญิ ญาณฐตี ิ - ตติยฌานภูมิ ๓ จตุตถฌานองค ๒ - เนวสญั ญานาสญั ญาตนภูมิ แมม ีนามขนั ธ แตไ มปรากฏชัด จึงไมเรียกวา วิญญาณฐตี ิ เชน กัน - จตุตถฌานภูมิ ๖ ปญ จมฌานองค ๒ ตตยิ ฌานองค ๒ - จําแนกโดย สตั ตาวาส ( ภูมอิ ันเปน ท่อี าศยั ของสตั ว มี ๙ ) คอื ในท่ีน้ีนับ ๑-๘ เวน อสัญ. เพราะไมม ีนามขนั ธ จตตุ ถฌานองค ๒
- 23 - แสดงลักษณะ รส ปจ จุปฏฐาน ปทฏั ฐาน ของ วิญญาณ แสดงการสงเคราะหป จ จัย ๒๔ เขา ในบท สงฺขาราปจจฺ ยา วิ ฺ าณํ .. เปน ปจ จัยชว ยอปุ การะแก... ๑.ชวย ๒. กาล - ชาติ ๓. อํานาจปจ จยั ๑ วิชานน ลกขฺ ณํ - มกี ารรูอารมณเ ปนพเิ ศษจากสญั ญาและปญญาเปนลกั ษณะ ๑. สงั ขาร ๓ .... วปิ ากวิญญาณ น-น ปกตู. ๒ ปกตปู นสิ สยปจจยั นานกั ขณิกกัมมปจ จัย ๒ ปุพพฺ คํ ม รสํ - เปนประธานแกเ จตสกิ และกัมมชรปู เปน กจิ นานัก. ๓ ปฏิสนฺธิ ปจฺจปุ ฏานา - มกี ารตดิ ตอระหวา งภพเกา และภพใหม เปนอาการปรากฏ ๔ สงขฺ าร ปทฏานํ (วา) - มีสังขาร ๓ เปนเหตุใกล หรือมีวตั ถุ ๖ กับอารมณ ๖ วตฺถารมมฺ ณ ปทฏานํ เปน เหตใุ กล ๐ ถาม ๑) สงั ขารท่ีเปน ผลของอวชิ ชา และสงั ขารทีเ่ ปน เหตใุ หว ญิ ญาณนัน้ ตางกันอยางไร จงแสดงมาดู ๒) สงขฺ ารปจฺจยาวิ ฺาณํ สมฺภวติ น้นั อยากทราบวา สงั ขารและวญิ ญาณ แสดงไววาอยางไร ตอบ - สังขาร แสดงดงั นี้ ตอบ สังขารทเี่ ปน ผลของอวชิ ชามีจํานวน ๖ อยา ง คือ ๑) ปุญญาภสิ งั ขาร ๑๓ ( เวน เจตนาท่ีในกุศลอภญิ ญา ) ๑. ปุญญาภสิ งั ขาร ๒) อปญุ ญาภิสังขาร ๑๒ ( เวน อุทธัจจเจตนาที่ใหผลในปฏิสนธิกาล ) ๓) อาเนญชาภสิ ังขาร ๔ ๒. อปญุ ญาภสิ ังขาร นานักขณกิ กัมมปจจยั = เจตนาทส่ี ง ผลแลว - วิญญาณ แสดงดังน้ี ๑) วิญญาณทีเ่ กดิ ในปฏิสนธกิ าล ชื่อวา ปฏสิ นธิวิญญาณ ไดแ ก ปฏสิ นธจิ ิต ๑๙ ๓. อาเนญชาภสิ ังขาร ๒) วญิ ญาณทีเ่ กิดในปวตั ติกาล ช่ือวา ปวตั ตวิ ิญญาณ ไดแ ก โลกียวปิ ากวญิ ญาณ ๓๒ - และองคธรรมของวิญญาณน้ี แสดงได ๒ นัย ๔. กายสังขาร ๑) อภธิ รรมภาชนียนัย ไดแก จติ ทง้ั หมด ๒) สตุ ตันตภาชนยี นัย ไดแ ก โลกยี วปิ ากจิต ๓๒ ๕. วจสี ังขาร สหชาตกัมมปจจัย = เจตนาทีป่ รุงแตงกาย วจี และมโน ทีแ่ สดงในท่นี ้มี งุ หมายในสตุ ตันตภาชนียนยั ๖. จิตตสังขาร ใหส าํ เร็จในขณะนน้ั ๆ สาํ หรับสงั ขารท่เี ปนเหตใุ หว ิญญาณนั้น มงุ หมายในกรรมทสี่ งผลใหว ปิ ากวญิ ญาณเกิดขน้ึ คอื นานกั ขณิกกมั มปจ จัย เทานัน้ * หากพดู ถึง เจตนาทีป่ ระกอบกับจติ นั้น ( น. ๔๖-๔๗ ) สงั ขารท่เี ปน ผลของอวชิ ชา ไดเจตนาทใี่ นจิต ๒๙ ท้งั หมด สวนสงั ขารท่เี ปนเหตใุ หวญิ ญาณ มีการเวนเจตนาในจิต ๒๙ คอื ๑. เวน เจตนาในอทุ ธจั จสัมปยุตตจติ ในปฏสิ นธิกาล ๓. อกุศลเจตนาถูกประหานโดยมรรคทั้ง ๔ ๒. เวนเจตนาในกศุ ลอภิญญาท้งั ในปฏิสนธิกาล และ ๔. กศุ ล / อกุศลเจตนาท่ีเปนอโหสกิ รรม ปวตั ติกาล ( เพราะกุศลอภิญญาจะสง ผลในชาตินั้นๆ ) ซ่ึงทั้ง ๔ ขอแมว าจะเปน สังขารทเี่ กดิ จากอวชิ ชากจ็ รงิ แตไมจ ดั เขา สงั ขารที่เปน เหตุใหวิญญาณเกิด
- 24 - ๓ วิ ฺ าณปจจฺ ยา นามรปู สมภฺ วติ = เจตสิกทปี่ ระกอบโลกยี วปิ าก และกัมมชรปู ยอมปรากฏเกิดขน้ึ เพราะอาศยั กัมมวญิ ญาณ และวิปากวิญญาณ เปน เหตุ วิญญาณ ทีเ่ ปน เหตใุ ห นามรูป เกิดมี ๒ นามรูป ทเ่ี ปนผลจากวญิ ญาณเปน เหตุ * โลกยี วปิ าก ๓๒ - ทว.ิ ๑๐ เกดิ ในปญจโวฯ - มีนามอยา งเดยี ว - มีนามอยา งเดยี ว ๑) วิปากวิญญาณ ( ภพน้ี ) ไดแก โลกียวปิ ากจติ ๓๒ นาม เจตสกิ ๓๕ ท่ีประกอบโลกยี วปิ ากจิต ๓๒ ทั้งปฏ.ิ +ปวัตติกาล - อรปู .วิ.๔ เกิดในอรูปภูมิ - มีรปู + นามทง้ั ๒ ( ภพน้มี ี ปฏสิ นธิวิญญาณ ๑๙ และ ปวตั ตวิ ปิ ากวญิ ญาณ ๓๒ ) รูป ๑. ปฏิสนธกิ ัมมชรปู เกดิ พรอ มกับ ปฏิสนธิวิญญาณ ในภพน้ี * ปวัตติวิปาก ๑๘ - สํ.๒, ณ.๓, ม.วิ.๘, รูป.วิ.๕ - มรี ูป + นามท้งั ๒ ๒) กมั มวญิ ญาณ ( ภพกอน ) ไดแ ก อกุศลจติ ๑๒ มหากุศลจติ ๘ - มนี ามอยา งเดียว รูปาวจรกศุ ลจติ ๕ ทป่ี ระกอบกศุ ล, อกุศลเจตนาในอดีตภพ ๒. ปวตั ติกัมมชรปู เกิดจาก กัมมวญิ ญาณ ๒๕ ในภพกอน ( เวน ทว.ิ ๑๐, อรูป.๔ ) ( เวน อรูปกุศลเจตนา ๔ เพราะไมเ ปนปจจัยใหร ูปเกิด ) ๓. จติ ตชรปู เกดิ จาก ปวัตตวิ ิปากวิญญาณ ๑๘ในภพน้ี เกิดในปญ จโวการภูมิ * ปฏสิ นธิ ๑๙ - ปญจโวการปฏิสนธิ ๑๕ - อรูป.ว.ิ ๔ อวชิ ชา สังขาร ภพกอ น ภพน้ี ๑) นามรูป วญิ ญาณ วปิ ากวญิ ญาณ ๒) นาม เจตนากรรม จิต ๒๙ กมั มวิญญาณ ๒๕ รปู กายสงั ขาร อปญุ ญา. อกุ.๑๒ ปฏสิ นธิ ๑๙ ๑.ปฏสิ นธิวิปากวญิ ญาณ ๓.ปฏิสนธนิ าม ๕.ปฏสิ นธิรปู เกดิ จากกมั ม 3 วจสี งั ขาร ปุญญา. ม.ก.ุ ๘ ทปี่ ระกอบกับ ก.ุ -อกุ.เจตนา อ.ุ ณ.อกุ.ว.ิ ๑ - ปฏิสนธจิ ิต ๑๙ เกดิ จากจิตภพน้ี 3 จติ ตสังขาร อาเนญชา. รูป.ก.ุ ๕ ทใ่ี น อดตี ภพ อุ.ณ.ก.ุ ว.ิ ๑ - เจ.๓๕ ๑. ปฏิสนธกิ ัมมชรูป - รปู โดยตรง อรปู .กุ.๔ >ไมเปนปจจัยให กํ. เกิด ม.วิ.๘ ทปี่ ระกอบในปฏสิ นธิวิญ. ๑๙ ท่เี กิดพรอ มกบั ปฏิ.วิญ. (ภพน้)ี รูป.วิ.๕ สหชาต. นานักขณิก. อรปู .ว.ิ ๔ เกิดพรอ มกัน ( สหชาต ) ปวัตติ ๓๒ ๒.ปวตั ตวิ ิปากวญิ ญาณ ๔.ปวัตตนิ าม ๖.ปวตั ติรปู ไมเ กดิ จากกัมม 2 เกดิ จากจติ ภพนี้ 3 อเห.อกุ.ว.ิ ๗ - โลกียวิปากจติ ๑๘ - เจ.๓๕ ๓. จิตตชรูป - รปู โดยอนโุ ลม ปฏิ ปวตั ตกิ าล ๑๗ จุติ อเห.ก.ุ วิ.๘ ม.ว.ิ ๘ ๑๖ (เวน ทว.ิ ๑๐, อรปู .ว.ิ ๔) ที่ประกอบในปวัตตวิ ปิ ากวิญ. ๓๒ ทเ่ี กดิ จาก ปวตั ตวิ ปิ ากวิญ.๑๘ (ภพน้ี ) - นามขันธ ๔ ปวัตติวญิ ญาณ รูป.ว.ิ ๕ เกดิ พรอ มกัน ( สหชาต ) ๒. ปวัตตกิ มั มชรปู - รูปโดยอนโุ ลม เกิดจากกมั ม 3 อรปู .วิ.๔ ทเี่ กดิ จาก กมั มวญิ . ๒๕ (ภพกอ น) เกิดจากจติ ภพกอ น 2 ( ปฏสิ นธจิ ิต, เจ. ๓๕ ) ปวัตติกมั มชรปู เกิดจาก กัมมวิญญาณ (ปกตูปนสิ สย.) - กํ. (๓,๗,๔ กลาป)
- 25 - แสดงการสงผลของ กมั มวญิ ญาณ ๒๕ >> ภพน้ี ภพกอ น วิญญาณเปนปจ จัยชวยอุปการะแกนามรูป มี ๓ อยาง คอื ( นาม,ํ รูป, นามรปู ) ๑. วญิ ญาณเปน ปจจยั ชวยอปุ การะแก นาม ใน อรูปภมู ิและปญ จโวการภูมิ ภูมิ ๓๑ ปฏสิ นธิวปิ ากวิญญาณ ปฏิสนธิ กํ กัมมวญิ ญาณ ๒๕ ปวตั ต.ิ กํ - อรปู วิปากจิต ๔ เปน ปจจยั ชวยอปุ การะแก เจ.๓๐ ในปฏ.ิ +ปวตั . ในอรปู ภมู ิ ๔ พรอ ม ไมพรอ ม - ทวิปญ จวิญ. ๑๐ \" \" สัพพ.๗ ในปวัตตกิ าล ในปญ จโว.๒๖ อบาย๔ อุ.ณ.อก.ุ วิปาก. ๑ อก.ุ กํ (๓,๗) อกุศลจติ ๑๒ กัมมชกลาป ๘ ๒. วญิ ญาณเปนปจจัยชวยอปุ การะแก รูป ใน อสัญ. และปญจโว. (ในทีน่ ้ี วิญญาณ ไดแก กมั มวิญ.๒๕ ) กาม มหากศุ ลจิต ๘ (ทวิ.๕+ภาว,วัตถ,ุ ชีวติ ) ๒.๑ รูป.ปญจกศุ ล เปน ปจ จัยชวยอุปการะแก ก.ํ (ชีวติ นวกกลาป ) ในปฏ.ิ +ปวตั . ในอสัญ. ๑๑ สุคติ.๗ อ.ุ ณ.ก.ุ วิปาก. ๑ กศุ ล.ก.ํ (๓,๗) อกุศลจติ ๑๒ กัมมชกลาป ๘ ท่ีประกอบกับสัญญาวิราคเจตนาในอดตี ภพ มหาวปิ าก. ๘ มหากุศลจิต ๘ (ทว.ิ ๕+ภาว,วัตถุ,ชีวติ ) ๒.๒ อกุ.๑๒,ม.ก.ุ ๘ เปนปจจัยชวยอุปการะแก ปวตั ติกมั มชรปู ในกามภูมิ ๑๑ รูปภมู ิ ๑๕ รปู .วิปาก. ๕ กุศล.ก.ํ ๔ มหากศุ ลจิต ๘ กัมมชกลาป ๔ ทป่ี ระกอบกับ กศุ ล อกุศลเจตนาในอดีตภพ (-อสัญ. ) รูป.กุศลจิต ๕ (จักข,ุ โสต,วัตถ,ุ ชีวติ ) ๒.๓ ม.กุ.๘, รปู .กุ.๕ เปน ปจจัยชว ยอุปการะแก ปวตั ตกิ ัมมชรปู ในรูปภมู ิ ๑๕(-อสัญ.) อสัญ. - ชวี ติ นวกกลาป ปญจมฌานพรอมดวย ชวี ิตนวกกลาป ท่ปี ระกอบกบั กุศลเจตนาในอดตี ภพ สญั ญาวิราคภาวนา ๓. วญิ ญาณเปนปจจยั ชว ยอปุ การะแก นามรูป ใน ปญ จโวการภมู ิ วจนัตถะ ในที่นี้ วิญญาณ ไดแก ปญ จโว.ปฏิ.วญิ .๑๕ และปญ จโว.ปวตั ติวญิ .๑๘ (-ทวิ.๑๐ อรปู วิปาก ๔ ) ๑. อารมฺมเณ นมตีติ = นามํ - ธรรมชาตใิ ดนอมไปในอารมณ ฉะนน้ั ธรรมชาตนิ ัน้ ชือ่ วา นาม - ปญ จโว.ปฏิ.วิญ. ๑๕ เปน ปจ จัยชว ยอปุ การะแก เจ.๓๕+ ปฏสิ นธกิ ัมมชรปู ในปญจโว.๒๖ ไดแ ก เจตสิกท่ีประกอบกบั โลกยี วปิ ากจิต ๓๒ - ปญจโว.ปวตั .วปิ ากวญิ . ๑๘ \" \" เจ.๓๕+ จติ ตชรูป ในปญจโว.๒๖ วิญญาณ เปนปจจยั ให นามรปู วิญญาณ ภพกอ น วิญญาณ ภพนี้ รปู ารมณ วญิ ญาณ เปนปจ จยั ใหนาม ( ขณะเหน็ ไมม ีจติ ตชรูป ) ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต กัมมวญิ ญาณ ๒๕ ปวตั ติกมั มชรูป วปิ ากวิญญาณ ๓๒ สพั .๗ จกั ขุปสาท นาม ๕๑ ขณะ อก.ุ ๑๒ ๕๑ ขณะ ๒. สตี ุณหฺ าทิวโิ รธิปจฺจเยหิ รปุ ฺปตตี ิ = รปู - ธรรมชาติใดยอ มสลายไป เพราะปจ จัยที่เปน ปฏิปก ษ ม.ก.ุ ๘ ๒.๒ กามภูมิ ๑๑ ๑๘ ๓ วิ ฺาณปจจฺ ยานามรปู = วจนตั ถะท่ี ๓ รปู .กุ.๕ ๒.๓ รูปภูมิ ๑๕ มีความเย็น ความรอ นเปนตน ฉะนนั้ ธรรมชาติน้นั ช่ือวา รูป ไดแ ก กมั มชรูป และจติ ตชรปู ๒.๑ อสัญญ.๑ วิญ. นาม รปู ๑๕ เจ.๓๕, ปฏิ.กํ ๓. นามฺจ รูปจฺ นามรูปฺจ = นามรูป - นามดวย รูปดวย นามรูปดว ย ช่อื วา นามรปู ปฏสิ นธิกาล ๑๘ เจ.๓๕, จติ ตชรูป ปวตั ตกิ าล มงุ หมาย แสดงใน อรูป. อสญั . ปญจโวการ. วิญ.ปจ จยานามรูป แสดง ๓๑ ภูมิ - วิ ฺาณปจฺจยา นามรปู วญิ . รปู ๑๔ ๑ วิ ฺาณปจฺจยานามํ = วจนัตถะท่ี ๑ กมั มปจ จยารูป ( ตัด นามรปู ตัวแรกออก เหลือ นามรูป ๒ วิ ฺาณปจฺจยารปู = วจนัตถะท่ี ๒ วิญ. นาม วิญ.ปจ จยานามํ เรยี กวา เอกเสสนัย ) ปฏิสนธิกาล + ปวัตติกาล อรูป.ว.ิ ๔ เจ.๓๐ (อรูปภมู ิ) ปวตั ติกาล ทว.ิ ๑๐ สัพพ.๗ (ปญ จโว)
- 26 - แสดงการสงเคราะหปจจยั ๒๔ เขาในบท วิฺ าณปจจฺ ยา นามรปู แสดงลักษณะ รส ปจจปุ ฏฐาน ปทฏั ฐาน ของ นาม .. เปนปจ จัยชว ยอปุ การะแก. .. ๑.ชว ย ๒. กาล - ชาติ ๓. อาํ นาจปจจยั ๑. วปิ ากวญิ . .... เจ.ทีป่ ระกอบ น-น ปวตั . สห. ๙ ญ.๔ ก.๓ (อัญ ปา สํ ) ล.๒ (หา อนิ ) ๑ นมน ลกฺขณํ - มีการนอมไปสูอ ารมณ เปน ลักษณะ ๒. ปฏิ.วญิ . .... หทยวัตถรุ ปู น-ร ปฏ.ิ สห. ๙ ญ.๔ ก.๓ (อัญ ปา วิป ) ล.๒ (หา อนิ ) ๒ สมปฺ โยคา รสํ - มีการประกอบกับวิญญาณ และประกอบกันเอง โดยอาการทเ่ี ปนเอกปุ ปาทตา เปน ตน เปนกจิ ๓. ปฏ.ิ วิญ. .... ปฏิ.กมั มชรูป น-ร ปฏ.ิ สห. ๘ ญ.๔ ก.๒ ( ปา วปิ ) ล.๒ (หา อิน ) ๓ อวนิ พิ ฺโภค ปจจฺ ปุ ฏานํ - มีการไมแ ยกกันกับจิต เปน อาการปรากฏในปญญาของบณั ฑติ ทั้งหลาย ๔. ก.ํ วิญ. .... ปฏ.ิ กมั มชรูป น-ร ปฏ.ิ ปวตั . ปกตู ๑ ปกตปู นสิ สยปจ จยั ๔ วิฺ าณ ปทฏ านํ - มีวิญญาณ เปนเหตใุ กล แสดงลกั ษณะ รส ปจ จปุ ฏฐาน ปทัฏฐาน ของ รปู ๑ รปุ ปฺ น ลกฺขณํ - มกี ารสลายแปรปรวน เปนลักษณะ ๒ วิกิรณ รสํ - มกี ารแยกออกจากกนั ได เปนกจิ ๓ อพยฺ ากต ปจฺจุปฏ านํ - มคี วามเปนอพั ยากตธรรม หรอื มีความไมรูอารมณ เปน อาการปรากฏในปญญาของบณั ฑิตทั้งหลาย ๔ วิ ฺ าณ ปทฏานํ ( อเจตนา อพฺยากตาติ เอตถฺ วยิ อนารมมฺ ณาตา วา อพฺยากตตา ทฏ พพฺ า ) ( มาในมหาฎกี า ) - มีวิญญาณ เปน เหตุใกล
- 27 - ๔ นามรปู ปจฺจยา สฬายตนํ สมภฺ วติ = อชั ฌตั ติกายตนะ ๖ มจี กั ขายตนะเปนตน ยอมปรากฏเกดิ ขนึ้ เพราะอาศยั นามรปู เปนเหตุ ในท่ีนี้ นาม ไดแก เจตสกิ ๓๕ ท่ปี ระกอบกบั โลกียวิปากจติ ๓๒ อชั ฌัตติกายตนะ ๖ รปู ไดแก กัมมชรปู ๑๖ คือ อวนิ ิพโภครปู ๘ ปสาทรูป ๕ ภาวรปู ๑ หทยรปู ๑ ชวี ติ รปู ๑ ( ถานับ ๑๘ เพม่ิ ภาวะรูปอกี ๑ , ถานับ ๒๐ เพิม่ ปริจเฉทรูปอกี ๑ ) ๑ จกั ขายตนะ คือ จักขปุ สาท ๔ ชิวหายตนะ คอื ชิวหาปสาท ๒ โสตายตนะ คอื โสตปสาท ๕ กายายตนะ คอื กายปสาท สฬายตนะ ไดแ ก จกั ขายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ ๓ ฆานายตนะ คอื ฆานปสาท ๖ มนายตนะ คือ โลกยี วิปากจิต ๓๒ = นาม ( แสดงเพียงอายตนะ ๖ น้ี เปน รปู เกิดภายในคน / ในสตั ว แสดงโดยปฏจิ จสมุปบาท กายายตนะ และมนายตนะ คือ โลกียวิปากจติ ๓๒ ถาแสดงโดยปฏฐาน แสดงอายตนะได ๑๒ รวมสิ่งไมมชี วี ติ นอกคน / นอกสตั ว ) ภพกอ น ภพน้ี วิญญาณ อวชิ ชา สงั ขาร นามรูป นาม เจตนากรรม จิต ๒๙ กัมมวิญญาณ ๒๕ วปิ ากวิญญาณ รูป อกุ.๑๒ กายสงั ขาร อปุญญา. ม.ก.ุ ๘ ทีป่ ระกอบกับ ก.ุ -อก.ุ เจตนา ปฏิสนธิ ๑๙ ๑.ปฏิสนธิวิปากวิญญาณ ๑๙ ๓.ปฏิสนธินาม ๕.ปฏิสนธริ ปู ๓ กายายตนะ, ภาวะ, วตั ถุ วจสี งั ขาร ปุญญา. รูป.กุ.๕ ที่ใน อดีตภพ อุ.ณ.อกุ.วิ.๑ จติ ตสังขาร อาเนญชา. อรูป.ก.ุ ๔ >ไมเปน ปจ จยั ให กํ. เกิด อ.ุ ณ.ก.ุ วิ.๑ - ปฏิสนธิจติ ๑๙ - เจ.๓๕ (นาม) - ปฏสิ นธิกมั มชรปู ( รปู ) ๗ ปญ จายตนะ, ภาวะ, วัตถุ ม.ว.ิ ๘ รปู .วิ.๕ (วิญญาณ) ทปี่ ระกอบในปฏิสนธจิ ิต ๑๙ ท่เี กดิ พรอ มกบั ๔ จักขา., โสตา., วตั ถ,ุ ชีวิต อรปู .วิ.๔ ปฏิ.วญิ . (ภพน)้ี *** ความเกย่ี วเนอ่ื ง (มนายตนะ) ( รูป+อายตนะ ) ( รูป ) [ อชั ฌตั ตกิ ายตนะ ๖ ] วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ (อัชฌตั ติกายตนะ ๖) ๑) วปิ ากวญิ . ปวตั ติ ๓๒ ๒.ปวัตตวิ ิปากวญิ ญาณ ๓๒ ( สหชาต ) ๖.ปวัตตริ ูป ปฏสิ นธิวญิ .๑๙ เจ.๓๕ + ปฏิ.กํ มนายตนะ ๓ กายายตนะ, ๔.ปวตั ตนิ าม ๗ ปญจายตนะ, ๔ จกั ขา., โสตา., อเห.อกุ.ว.ิ ๗ - โลกยี วปิ ากจิต ๑๘ - เจ.๓๕ (นาม) - จติ ตชรูป ( รูป ) อเห.ก.ุ วิ.๘ ไมเ ปนอายตนะ ม.ว.ิ ๘ ๑๖ ( -ทวิ.๑๐, อรูป.ว.ิ ๔) ท่ีประกอบในปวัตติวิปากจิต ๓๒ ทเี่ กดิ จาก ปวตั ตวิ ิปากวิญ.๑๘ (ภพน้ี ) ปญ จายตนะ ปวัตติวิญ.๓๒ เจ.๓๕ ๑๘ จติ ตชรปู รปู .วิ.๕ อรูป.๔ (วญิ ญาณ) (มนายตนะ) ๒) กมั มวิญ. ปวัตต.ิ กํ ( สหชาต ) - ปวัตติกัมมชรปู ( รูป ) ทเ่ี กิดจาก กัมมวญิ . ๒๕ (ภพกอน) = ( ปกตปู นสิ สย )
** วจนัตถะ - สฬายตนะ ( ภายในคนภายในสัตว ) * แสดงโดยปุคคลาธิษฐาน นา้ํ ลา งเนอ้ื - 28 - ๑. อายตํ สงสฺ ารวฏฏํ นยตีติ = อายตนํ เตโช. ทีอ่ ยใู นกาย นา้ํ ใสๆ ชิน้ เนือ้ มสี ณั ฐาน ผม ขน เลบ็ ฟน หนงั ทําใหเจรญิ เตบิ โต \"นา้ํ มนั งา\" เหลวสีแดง เทา ไขไก ปญจสาขา - ธรรมชาติใดทรงไวซง่ึ วฏั ฏสงสารทยี่ ืนยาว ฉะน้นั ธรรมชาตนิ น้ั ช่ือวา อายตนะ ไดแก อายตนะ ๑๒ จตุ ิ ปฏิ ปภฐม ..ฯลฯ.. ส๑ป. ส๒ป-. ส๔ป. ส๕ป. ...ฯลฯ... ส๑ป๑. ๑๒ส-ป๔.๒ อายตนะนิเทส ( ขยายความวจนตั ถะท่ี ๑ ) อาศัยมโนสัญเจตนาหาร อาศัยวญิ .อาหาร ชีวติ . อาหารชรปู เกิด +กาย ภาว ๑) สฺชาตเิ ทสฏ - เปน ที่เกดิ ของวิถีจติ บอยๆ + ผสั สาหาร (กพฬีการาหาร) วัตถุ ชวี ิต ๒) นิวาสฏ - เปน ท่ีอยูข องวถิ ิจิต เจตนา เกิดจกั ข,ุ โสต. ฆานะ, ชิวหาครบ ๘ กลาป ๓) อากรฏ - เปนท่เี กดิ ของสัตวท ้งั หลาย สงั ขาร ๓ สมฏุ ฐาน (กรรม จิต อุตุ ) ครบ ๔ สมฏุ ฐาน มีปญจายตนะครบ ไมวาช้นั สูง/ ตา่ํ / ภพภมู ใิ ด กัมมวญิ . ปฏ.ิ ๑๙, เจ.๓๕, ทป่ี ระกอบกบั ปฏ.ิ ๑๙ + ปฏ.ิ ก.ํ (๓ / ๗ / ๔ ) ๔) สโมสรฏ - เปนทป่ี ระชมุ รวมกนั ของวิถจี ติ มีจิต เจ. ( วิญ. นาม, มนายตน, ผัสส, เวทนา ) ๕) การณฏ - เพราะมอี ายตนะภายในและภายนอก มมี นายตนะ และกายายตนะ จงึ ทาํ ใหม กี ารกระทบกนั วถิ ีจติ จึงเกดิ ขน้ึ ชว ยรกั ษา ปวตั ตกิ ัมมชรปู บอยๆ และมากมาย พาหริ ายตนะ ๓. สฬายตนจฺ ฉฏายตนฺจ = สฬายตนํ - อายตนะทัง้ ๖ และอายตนะที่ ๖ ชื่อวา สฬายตนะ (รูปารมณ) ๔) สโมสรฏ วญิ . นามรูป สฬายตนะ อัชฌตั ติกายตนะ ๖ ฉัฏฐายตนะ กาม.๑๑ 3 3 3อายตนทั้ง ๖ ปญจโวการภมู ิ อรูปภูมิ ๕) การณฏ ภ ตี น ท ป ปญ สํ ณ วุ ช..........ช ต ต รปู .๑๕ 3 3 จกั ขา. โสตา. มนา ปญ จโว. 3 3 3อายตนทง้ั ๖ อัชฌัตติกายตนะ ๖ อรปู ภูมิ 3 นามํ อายตนท่ี ๖ คําอธบิ าย : ๒. ฉ อายตนานิ = สฬายตนํ ในกามภูมิ ๑๑ - อายตนะทงั้ ๖ น้ีเปน รปู และนาม ( ในปญจโวการภมู ิ แสดงวา นามรูปปจจฺ ยา สฬายตนํ ) - อายตนะทั้ง ๖ ชอ่ื วา สฬายตนะ ไดแ ก อชั ฌตั ตกิ ายตนะ ๖ ในรปู ภูมิ ๑๕ - อายตนะ ๓ คือ จกั ขา.โสตา.มนา. ในอรูปภูมิ ๔ - อายตนะ ๑ คือ มนายตนะ ใชว า ฉัฏฐายตนะ -> อายตนะที่ ๖ เทา นนั้ ( ในอรูปภูมิ แสดงวา นามปจจฺ ยา ฉฏ ายตนํ ) ในอสญั ญ. - อายตนะแสดงไมไ ดเ ลย เพราะมชี ีวิตนวกกลาปเทา นน้ั
- 29 - แสดงลกั ษณะ รส ปจจปุ ฏ ฐาน ปทัฏฐาน ของ สฬายตนะ พาหริ ายตนะ ( รูปารมณ ) ปญ จวิญญาณธาตุ อาศัย จกั ขุวตั ถุ ๓ อายตนลกฺขณํ ๑ มโนธาตุ วตถฺ ทุ วฺ ารภาวปจฺจุปฏานํ ๑๑ อายตน ลกฺขณํ - มีการกระทบ หรอื มีการทาํ ใหวัฏฏสงสารยนื ยาวเปน ลักษณะ มโนวญิ ญาณธาตุ (วตั ถุ ๖ เปน ปจ จัย วญิ ญาณธาตุ ๗ ) ๒๒ ทสสฺ นาทิ รสํ - มกี ารเห็นเปน ตน เปน กจิ ภ ตี น ท ป ปญ สํ ณ วุ ช..........ช ต ต ๓๓ วตถฺ ุทฺวารภาว ปจฺจุปฏ านํ - มคี วามเปนวตั ถุและทวารของปญ จวิญญาณธาตุ มโนธาตุ มโนวญิ ญาณธาตุ ตามสมควร เปนอาการปรากฎในปญ ญาของบณั ฑิตทง้ั หลาย ๒ อชั ฌตั ติกายตนะ โดย วัตถปุ เุ รชาต ๔๔ นามรปู ปทฏ านํ - มเี จตสกิ และกมั มชรปู เปน เหตใุ กล ทสฺสนาทิรสํ อาศัย พาหิรายตนะ โดย อารมั มณปุเรชาต อชั ฌตั ติกายตนะ ๖ กรรม กมั มวิญญาณ - รกั ษากมั มชรูป เจตนากรรม - รับอารมณดี / ไมด ี สรุป การสงเคราะหปจ จยั ๒๔ เขาในบท นามรปู ปจฺจยา สฬายตนํ ( น.๕๙ - ๖๓ ขอ ๑-๑๖ ) ภพกอ น ภพน้ี ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช..........ช ต ต นามรปู ชวย สฬายตนะ กาล ขอ ขอ ความท่ีระบวุ า ชาตไิ ด ชาติ ปฏิ .......ฯลฯ....... - สหชาต. ๑ นาม -> นาม ( มนายตนะ ) ปฏ.ิ + ปวตั ติ. ( ๑-๘ ) - เกดิ พรอมกนั กับตน - อญั ญมัญญ. ร - น ( ๑๒ ) หทย. หทย. หทย. น - ร ( ๑๐ ) - ปจ ฉาชาต. - สหชาต. - วตั ถปุ เุ รชาต. - เปน เหตเุ ปน ผลซ่งึ กนั และกนั - ปจฉาชาต. จกั ขวุ ัตถุ ร - น ( ๑๓ ) รปู ชวยจักขวุ ิญญาณดวงเดียว - วตั ถุปุเรชาต. ๒ นาม -> รปู ( ปญจายตนะ ) ปฏ.ิ ( ๙ ) - เกิดพรอมกันกม็ ี * ปวัตตวิ ปิ ากวิญ.๓๒, เจ.๓๕ ทป่ี ระกอบกบั ปวัตติวิปากวญิ .๓๒ // ปวตั ตกิ ัมมชรูป. ปวัตติ. ( ๑๐ ) - นามเกิดหลัง (๑๖ =น ท.....ต ) น - น (๑ - ๘) ชวยรปู ทเ่ี กดิ กอ น ( = ตี ) กัมมวญิ .๒๕ ๓ รปู -> นาม ( มนายตนะ ) น - ร ( ๙ ) - สหชาต. หทยวตั ถุ -> มนา. (ปญจโว.ปฏิ.๑๕ ) ปฏิ. ( ๑๑ ) - เกดิ พรอมกันกม็ ี - สหชาต. * ปฏิสนธจิ ติ . ๑๕, เจ.๓๕ ทปี่ ระกอบกับ ปฏ.ิ ๑๕ // ปฏิ.กํ. ๓ กายายตนะ ภว วตั ถุ - วตั ถุปุเรชาต. น - น (๑ - ๘) ๗ ปญ จายตนะ ภว วตั ถุ หทยวตั ถุ -> มนา. (ปญจโว.วิ.๑๘ -ทวิ.๑๐) ปวัตต.ิ ( ๑๒ ) - รปู เกิดกอนและกาํ ลงั ตง้ั อยู ๔ จกั ขา, โสตา. วัตถุ ชวี ิต - สหชาต. ปญจวัตถุ -> มนา. (ทวิ.๑๐) ปวัตต.ิ ( ๑๓ ) ชวยนามทเี่ กดิ ทหี ลงั - รปู ชวี ิตินทริย. มนายตนะ หทยวตั ถุ - อาหาร. ๔ รปู -> รปู ( ปญ จายตนะ ) ร - ร (๑๔ - ๑๖) ยกภาพ กลาป ร - น ( ๑๑ ) - สหชาต. กมั มชมหาภูตรปู ๔ -> ปญ จา. ปฏิ. + ปวัตต.ิ ( ๑๔ ) - ตงั้ อยใู นกลาปเดยี วกนั กบั ตน มหาภตู รปู ๔ อญั ญมัญญ. รปู ชีวติ นิ ทรีย -> ปญจา. ปฏิ. + ปวัตต.ิ ( ๑๕ ) - ตัง้ อยใู นกลาปเดียวกนั กับตน ชวยซ่งึ กันและกัน กัมมโอชา -> ปญจา. ปวตั ติ. ( ๑๖ ) - ตงั้ อยูในกลาปเดยี วกันกบั ตน อปุ าทายรูป จกั ขวุ ตั ถุ ชวย จกั ขุวญิ ญาณธาตุ และในกลาปอน่ื ๆ รสา จกั ขุปสาท รปู า อาหาร ชีวิต คันธ กายวัตถุ ชวย กายวิญญาณธาตุ 3หทยวตั ถุ ชวย มโนธาตุ, มโนวิญญาณธาตุ ( ปฏสิ นธ.ิ เปน มโนวญิ . )
- 30 - หลักการหาอํานาจปจจัย ๑๖ ขอ โดยสังเขป ยอ ปฏสิ นธกิ าล ปวตั ติกาล พิจารณาอํานาจปจจัยโดยลาํ ดบั ปจจยั ปจ จยุ. ๑.ชวย ๒. กาล - ชาติ ๓. อํานาจปจ จยั น-น สหชาต. ขอ ๑-๘ ๑.ปจจยั อะไรชว ยปจ จยุบนั อะไร ๑. เจ.ขันธ ๓ -มนา น-น ปฏ.ิ ปวัต. สห. ๗ ญ.๔ ก.๓ (อญั ปา สํ ) น-ร สหชาต.ขอ ๙ ปจ ฉาชาต.ขอ ๑๐ ๒.กาลอะไร / ชาตอิ ะไร ๒.อโล อโท อโม -มนา น-น ปฏิ. ปวัต. สห. ๘ ญ.๔ ก.๓ (อัญ ปา สํ ) ล.๑ (เห ) ร-น สหชาต.ขอ ๑๑ วตั ถปุ ุเรชาต.ขอ ๑๒-๑๓ ๓.หาอํานาจปจ จัย ๓. เจตนา -มนา น-น ปฏ.ิ ปวัต. สห. ๙ ญ.๔ ก.๓ (อัญ ปา สํ ) ล.๒ (กํ อา ) ร-ร สหชาต.ขอ ๑๔ - ๔, รปู ชวี ิ.ขอ ๑๕ - ๓ ๔. ผัสส เจตนา -มนา น-น ปฏ.ิ ปวตั . สห. ๘ ญ.๔ ก.๓ (อัญ ปา สํ ) ล.๑ (อา ) อาหาร.ขอ๑๖ - ๓ ๕. วติ ก วจิ าร ปต ิ -มนา น-น ปฏ.ิ ปวตั . สห. ๘ ญ.๔ ก.๓ (อญั ปา สํ ) ล.๑ (ฌา ) ๑. สหชาตชาติ ส.ญ.๔ ส. - สังเกตขอ ความ \"ในปฏิสนธิกาล\" ๖. ชีวิติน. เว. ศรัทธา -มนา น-น ปฏิ. ปวัต. สห. ๘ ญ.๔ ก.๓ (อัญ ปา สํ ) ล.๑ (อนิ ) นิ น-น 3 น-ร 3 ร-น 3 \" เกดิ พรอ มกัน / ประกอบดว ย \" ๗. วริ ิยะ สติ ปญ ญา -มนา น-น ปฏิ. ปวัต. สห. ๙ ญ.๔ ก.๓ (อญั ปา สํ ) ล.๒ (อิน มัค) ถิ - ถาชาติ = สห.แลว ญ. ๔ มาเสมอ ๘. เอกคั คตา -มนา น-น ปฏิ. ปวัต. สห. ๑๐ ญ.๔ ก.๓ (อัญ ปา สํ ) ล.๓ (อนิ ฌา มคั ) อ ๙. เจ.ขนั ธ ๓ -ปญ จา น-ร ปฏิ. สห. ๖ ญ.๔ ก.๒ (ปา วปิ ) ส.ก.๔ อญั น-น 3 น-ร 3 ร-น 3 - รปู ตองเปน หทยวตั ถุเทานนั้ ๑๐. เจ.ขันธ ๓ -ปญ จา น-ร ปวตั . ปจ ฉา. ๔ ปจฉา. ปจ .วิป. ปจ.ตตั ถิ. ปจ.อวิคต. ปา น-น 3 น-ร 3 ร-น 2 - แสดงในปจ จุบนั ผล ๕ เทานนั้ ๑๑.หทยวัตถุ -มนา ร-น ปฏิ. สห. ๖ ญ.๔ ก.๒ (อญั วิป ) สํ น-น 3 - ส.ํ มา วิป.ไมมา ๑๒.หทยวตั ถุ -มนา ร-น ปวัต. วตั ถุปุ. ๕ วตั .นิ. วตั . วัต.วปิ . วตั .ตตั . วตั .อวคิ ต วปิ น-ร 3 ร-น 3 - วปิ .มา สํ.ไมมา ๑๓.ปญ จายตนะ -มนา ร-น ปวตั . วตั ถปุ ุ. ๖ วัต.น.ิ วตั . ปุเรชาติ วัต.วิป. วัต.ตัต. วัต.อวคิ ต ส.ล.๗ เห. ธิ กํ หา - ยก ร-น, เจ.ขันธ ๓(เจ.๓๕) ล.ไมมา ๑๔.กัมมชมหาภตู รปู ๔ -ปญจา ร-ร ปฏ.ิ ปวัต. สห. ๔ ญ.๔ อิน. ฌา. มคั . ๑๕.รูปชวี ิตนิ ทรยี -ปญจา ร-ร ปฏ.ิ ปวัต. รูป. ๓ รูปชีวติ ินทรีย, อนิ ทริยตั ถิ., อินทริยอวคิ ต. ๑๖.กัมมชโอชา -ปญ จา ร-ร ปวตั . อา. ๓ รปู อาหาร., อาหารัตถิ., อาหารอวิคต. ๒. อารมั มณชาติ อา - อารมณ ๓. อนนั ตรชาติ นัน - จติ เจ.เกิดติดตอ กันไมม รี ะหวา งคัน่ องคธ รรม สหชาตชาติเลก็ ๗ ๔. วตั ถปุ ุเรชาตชาติ วตั ร-น 3 - รปู เกดิ กอน ชว ย นามท่เี กดิ หลงั ๑. เหตุปจ จัย - เหตุ ๖ ๕. ปจฉาชาตชาติ ปจ น-ร 3 - นามเกดิ หลงั ชวย รูปทีเ่ กิดกอ น ๒. สหชาตาธปิ ติปจ จัย - ฉนั ทะ วริ ยิ ะ จติ ตะ วิมังสา(ปญ ญา) (* วิปากจติ เปนอธิบดีไดเ ฉพาะโลกุต.วิป. คือ ผลจิต ๔ / ๒๐) ๖. อาหารชาติ หา ร-ร 3 - ดูในกลาป ขอ ๑๖ ๓. สหชาตกมั มปจจยั - เจตนาเจตสกิ ทั้งหมด ๗. รูปชีวติ นิ ทรยิ ชาติ รปู ร-ร 3 - ดใู นกลาป ขอ ๑๕ ๔. นามอาหารปจ จยั - ผัสสะ เจตนา วญิ ญาณทง้ั หมด ในสนธิ ๓ คอื ๑.สังขาร - วญิ ญาณ ๒.เวทนา - ตณั หา ๓.ภวะ - ชาติ ๕. สหชาตินทรยิ ปจจัย - ชีวติ จิต เวทนา ศรทั ธา วิรยิ ะ สติ เอกัคคตา ปญ ญา ๘. ปกตูปนิสสยชาติ ป ป3 ป3 ป3 ๖. ฌานปจจยั - วิตก วิจาร ปต ิ เวทนา เอกคั คตา ๙. นานักขณกิ กมั มชาติ นา นา 3 นา 3 ๗. มัคคปจจยั - ปญญา วติ ก วิรตี ๓ วริ ิยะ สติ เอกัคคตา ทิฏฐิ
- 31 - ๕ สฬายตนปจฺจยา ผสโฺ ส สมฺภวติ = ผัสสะ ๖ ยอ มปรากฏเกดิ ข้ึนเพราะอาศยั อชั ฌตั ติกายตนะ ๖ เปน เหตุ อัชฌตั ตกิ ายตนะ ๖ เปนเหตุ ผัสสะทัง้ ๖ เปนผล การจําแนกผสั สะ ๖ โดยภูมิ ๑) จกั ขปุ สาทกระทบรูปารมณ --> จกั ขุวญิ ญาณจติ เกดิ จักขสุ มั ผสั สะ คอื ผสั สะเจ. ท่ีในจักขวุ ญิ ญาณจิต ๒ ๑) ในกามภมู ิ ๑๑ - ผสั สะ ๖ ยอ มเกดิ ไดท ั้งหมด การประชมุ รว มกนั ระหวาง จักขุปสาท + รปู ารมณ + จกั ขุวญิ ญาณ โสตสัมผสั สะ คอื ผสั สะเจ. ท่ีในโสตวิญญาณจิต ๒ ฆานสัมผัสสะ คอื ผัสสะเจ. ท่ใี นฆานวิญญาณจิต ๒ ๒) ในรปู ภูมิ ๑๕ - ผัสสะยอมเกิดได ๓ คือ ๒) โสตปสาทกระทบสทั ทารมณ --> โสตวญิ ญาณจิตเกดิ ชิวหาสัมผสั สะ คือ ผสั สะเจ. ทใ่ี นชวิ หาวิญญาณจิต ๒ การประชมุ รว มกันระหวาง โสตปสาท + สัททารมณ + โสตวญิ ญาณ (เวน อสญั .) > จกั ขสุ ัมผัสสะ > มโนสัมผสั สะ ๓) ฆานปสาทกระทบคนั ธารมณ --> ฆานวิญญาณจติ เกดิ > โสตสมั ผสั สะ การประชมุ รว มกนั ระหวา ง ฆานปสาท + คันธารมณ + ฆานวญิ ญาณ ๓) ในอรูปภมู ิ ๔ - ผัสสะยอ มเกดิ ได ๑ คือ มโนสมั ผสั สะ ๔) ชวิ หาปสาทกระทบรสารมณ --> ชวิ หาวิญญาณจิตเกิด การประชุมรวมกนั ระหวา ง ชิวหาปสาท + รสารมณ + ชวิ หาวิญญาณ ๔) ในอสญั ญสตั ตภูมิ - ผสั สะทง้ั หมดยอ มเกดิ ไมได ๕) กายปสาทกระทบโผฏฐพั พารมณ --> กายวิญญาณจิตเกดิ เพราะไมมี อชั ฌัตตกิ ายตนะเกิดในภมู นิ ้ี การประชมุ รวมกนั ระหวา ง กายปสาท + โผฏฐัพพารมณ + กายวิญญาณ กายสัมผัสสะ คือ ผัสสะเจ. ท่ีในกายวญิ ญาณจติ ๒ ๖) ภวงั คจติ กระทบสภาพธรรมตางๆทง้ั ปรมัตถและบญั ญตั ิ --> มโนวญิ ญาณจิตเกิด การประชุมรวมกนั ระหวา ง ภวงั คจติ + สภาพธรรมตางๆ + มโนวญิ ญาณ มโนสัมผสั สะ คือ ผัสสะเจ. ท่ใี นโลกียวปิ าก ๒๒ ( เวนทวิ ๑๐) วญิ ญาณ นาม รปู สฬายตนะ ผัสสะ การหาอาํ นาจปจจยั กัมมวิญ. วปิ ากวญิ . (อัชฌัตติกายตนะ ๖) ปฏ.ิ / ปวัตติกาล มโนสัมผสั สะ มนายตนะ (นาม) - โลกีย.วปิ าก.๒๒ (-ทวิ๑๐) เจ.๓๕ ท่ีประกอบกับโลกีย.๓๒ มนายตนะ น-น กายาสมั ผสั สะ สหชาต. ๙ มโนสัมผสั สะ (นาม) ปฏิสนธิ. ปฏิสนธิ ก.ํ คัพพ. กายายตนะ จกั ขุสมั ผัสสะ......กายาสมั ผสั สะ (ญ.๔ ก.๓ ล.๒) ( นามเปนปจ จยั ชว ยนาม ตอ งเกดิ พรอ มกัน ) ปวัตต.ิ ปวตั ติ ก.ํ โอป. ปญจายตนะ จกั ขุสัมผัสสะ โสตสัมผัสสะ จิตตชรูป รปู . จักขา. โสตา. จกั ขุสมั ผัสสะ......กายาสัมผสั สะ อัญ. อา. ร-น ปา. อนิ . ปญจายตนะ สํ. 2 ปญ จายตนะ ๕ (รูป) - มจี กั ขายตนะ.... กายายตนะ วัตถปุ เุ รชาต. ๖ ผัสสะ ๕ (นาม) - มี จักขุสัมผสั สะ...กายสัมผสั สะ ( รูปเกดิ จากกรรม และเกดิ กอนต้ังอยูชว ยนามหลงั ๆ )
- 32 - วจนัตถะ ๔ นยั ผัสสะตง้ั แตแรกเกดิ -> ตาย เปน ไฉน ๑) อารมภฺ ํ ผุสตีติ = ผสโฺ ส - ธรรมชาตทิ ี่กระทบซงึ่ อารมณ ฉะนน้ั ธรรมชาตินน้ั ชื่อวา ผสั สะ ๑) ปญจทวารวิถี มกี รรมอารมณ, กรรมนมิ ติ , คตนิ มิ ิต เกดิ ในทวารวมิ ตุ กอนขนึ้ วิถี ๒) ผสุ นตฺ ิ สมฺปยตุ ตฺ ธมมฺ า เอเตนาติ = ผสโฺ ส อารมณท ร่ี ับ = ธัมมารมณ อาศยั อตตี . เกิดโดย ยงั ไมมกี ารกระทบ แตอตีต.มีการกระทบกับกรรมอารมณ - สมั ปยุตตธรรม คอื จิตและเจตสกิ ทง้ั หลาย ยอ มกระทบซง่ึ อารมณโ ดยธรรมชาตนิ ั้น ๒ รปู ารมณ กรรมนิมติ คตินิมติ ( ธัมมารมณ) ฉะนั้น ธรรมชาตทิ ี่เปน เหตุใหสัมปยุตตธรรมกระทบซ่งึ อารมณนัน้ ชือ่ วา ผัสสะ กระทบ ๓ จักขุวิญญาณ = ๑ + ๒ ๓) ผุสนํ = ผสฺโส (วา) สํผุสเต = สมฺผสโฺ ส จุติ ปฏิ ปภฐม ...ฯลฯ.... ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช..........ช ต ต ผสั สะ - การกระทบอารมณ ชือ่ วา ผสั สะ หรือชือ่ วา สมั ผัสสะ วจนัตถะของ จักขสุ ัมผสั สะ เปนตน มนายตนะ ๑ จักขุปสาท มโนธาตุ (นอกนั้นเปนมโนวิญญาณธาต)ุ ๔) จกฺขวุ ิฺ าเณน สมปฺ ยตุ โฺ ต สมฺผสฺโสติ = จกขฺ ุสมผฺ สฺโส ปฏิ.วิญ. + เจ.๓๕, ปฏิ.กํ. จติ เปน มนายตนะ - ผสั สะ คอื การกระทบที่ประกอบกบั จกั ขุวญิ ญาณ ฉะน้ัน จงึ ชื่อวา จกั ขสุ ัมผสั สะ ไดแก ผัสสะเจตสกิ ท่ปี ระกอบกับจกั ขุวญิ ญาณ มนายตนะ น. ๖๖ ** จกั ขวุ ิญ. เกิดขึน้ ได เพราะ ๑.จกั ขุปสาท ( โดยวตั ถปุ ุเรชาต ) ๒.รูปารมณ ( โดย อารัมมณปุเรชาต ) กระทบอารมณ นอ มไปสอู ารมณ (นมนลกขฺ ณํ) ขณะแรกเกดิ เปน รูอารมณ (วชิ านนลกฺขณ)ํ มโนสมั ผัสสะ ** จกั ขสุ มั ผสั สะ เกดิ ขนึ้ ได เพราะการประชมุ ของ ๑ + ๒ + ๓ ผสั ส เจ. จิตทงั้ หมด +เจ.๕๑ (-ผสั สะ) (วจนัตถะที่ ๒) ๒) มโนทวารวิถี ธรรมชาติทีก่ ระทบ (จิต และเจตสิกทงั้ หลาย) ซง่ึ อารมณ ๑ ดวง สัมปยุตตธรรม ไปรบั กระทบ (สหชาต.) มโนสมั ผสั สะ กอ นวถิ ี มโนสมั ผัสสะ หลังวิถี ธัมมารมณ ( กรรมอารมณ, กรรมนมิ ิต, คตนิ ิมิต ) อยางใดอยางหนึ่งเปน ทวารวมิ ุต (วจนัตถะที่ ๑) ผสฺโส ( หนา ทหี่ ลกั ) สมฺผสฺโส ( ผสั สะ พา สมั ปยตุ ตธรรมไปรบั การกระทบ ) กระทบ อารมณ ๖ ทีเ่ ปนธมั มารมณท ั่วไป ท้งั ปรมตั ถและบญั ญตั ิ มงุ หมายเจตสกิ ดวงเดียว (วจนตั ถะที่ ๓) ภ น ท ม ช ........ ช (อายตนภายนอก) ผสั สะ ทาํ หนา ทกี่ ระทบ แลวพา สมั ปยุตตธรรม (จกั ขวุ ิญ.+สพั พ.๖ ทีเ่ หลือ) ๒ รปู ารมณ ไปดวย รวม ๒ สว นเรยี กวา จักขุสมั ผสั สะ (วจนตั ถะท่ี ๔) มนายตนะ มนายตนะ จกั ขวุ ิญญาณ (ขนั ธ ๑) ๑+๒ (วตั ถุปุเรชาต.+ อารมั มณปเุ รชาต ) ผสั สเจ.ทใี่ นมโนวญิ . มโนวญิ ญาณ (เรยี กวา มโนสมั ผัสสะ) ภาพวิถี >> ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช..........ช ต ต ** ปจ จบุ ัน อยูต รง ผัสสะกระทบ ** มโนวญิ ญาณ เกิดขนึ้ ได เพราะอาศัยภวังคจติ กบั สภาพธรรม ( ปรมตั ถ + บัญญัติ ) การประชุมรวมกันระหวาง ภวงั คจติ + สภาพธรรมตา งๆ + มโนวญิ ญาณ เวทนา ชื่อวา ผสั สะ ๑ จกั ขุวัตถุ สัพพ.๗ (ขนั ธ ๓) (อายตนภายใน)
- 33 - การแสดงผสั สะ ในภพภูมิตางๆ ภูมิ อวิชชา สังขาร วิญ. นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา แสดงการสงเคราะหปจ จัย ๒๔ เขา ในบท สฬายตนปจฺจยา ผสโฺ ส กาม.๑๑ 3 3 3 3 ๖ ๖ ๖ .. เปน ปจ จยั ชว ยอปุ การะแก... ๑.ชวย ๒. กาล - ชาติ ๓. อาํ นาจปจจัย รปู .๑๕ 3 3 3 3 จกั ขายตนะ จกั ขสุ มั ผัสสะ จกั ขสุ มั ผสั สชาเวทนา ๑. จกั ขายตนะ .... จกั ขสุ ัมผัสสะ ร-น ปวัต. วัตถุป.ุ ๖ วตั .น.ิ วัต. ปุเรชาต. วตั .วิป. วัต.ตตั . วตั .อวคิ ต (-อสญั ) โสตายตนะ โสตสมั ผสั สะ โสตสมั ผัสสชาเวทนา ( ปญ จายตนะ เหมอื นขอ ๑ ) ( ถายก น.หทย.- น ปจ.= ๕ ตดั ปเุ รชาตนิ .) มนายตนะ มโนสมั ผัสสะ มโนสัมผัสสชาเวทนา ๒. มนาายตนะ .... มโนสัมผัสสะ น-น ปวตั . สห. ๙ ญ.๔ ก.๓ (อญั ปา สํ ) ล.๒ (อา อิน ) อรูป.๔ 3 3 3 นามํ ฉัฏฐายตนะ มโนสมั ผัสสะ มโนสมั ผัสสชาเวทนา อสญั . 3 3 - รปู - - - ตวั อยา งเสรมิ กมั ม.๒๕ เจตนา -> ปญจมฌานพรอมดว ยสญั ญาวิราคภาวนา - ยก หทยั ..... ปฏสิ นธจิ ิต ๑๕ ร-น ปฏ.ิ สห. ๖ ญ.๔ ก.๒ (อัญ วปิ ) แสดงลักษณะ รส ปจ จุปฏฐาน ปทฏั ฐาน ของ ผสั สะ - ยก กมั มชมหาภตู . ร-ร ปฏิ. ปวตั . สห. ๔ ญ.๔ ๙ ญ.๔ ก.๓ (อัญ ปา วปิ ) ล.๒ (อา อิน ) ๑ ผุสน ลกฺขโณ - มกี ารกระทบอารมณเ ปนลักษณะ ..... ปญจายตนะ ๒ สฆํ ฏฏน รโส - มีการทาํ ใหจ ติ กบั อารมณตดิ ตอกันเปน กจิ - ยก ปฏสิ นธวิ ญิ . ..... หทัยวตั ถุ น-ร ปฏิ. สห. ๓ สงฺคติ ปจฺจุปฏ าโน - มกี ารประชุมรวมกันระหวางวัตถุ อารมณและวิญญาณ เปน อาการปรากฏในปญ ญาของบณั ฑิตทัง้ หลาย ๔ สฬายตน ปทฏ าโน - มีอชั ณตั ติกายตนะ ๖ เปน เหตุใกล การเกดิ ของรปู ตางๆ จกั ขุสมั ผัสสะ อาศัยจกั ขปุ สาทเกิด (จติ อื่นๆ อาศยั หทยวัตถเุ กดิ ) ๑ ผสุ นลกขฺ โณ ๓ สงคฺ ตปิ จจฺ ปุ ฏาโน รับ กรรมอารมณ. กรรมนิมิต. คตนิ ิมติ รบั ปจจบุ นั อารมณ ผัสสะไปรบั กระทบ จักขุวิญ.เปน มนายตนะ + จักขายตนะ + รูปายตนะ ปุญญา/อปุญญา (การประชุมของอายตนะท้งั ๓) > ร-น โดย วัตถุปเุ ร. ๑ ๒ ..... มโนสัมผัสสะ มโนสมั ผสั สะ เจตนากรรม รปู ายตนะ อายตนลกฺขณํ เวทนา > น-ร โดย ปจฉา. ภ ..... ๑๓ ๑๔ ๑๕ ๑๖ ๑๗ (มีการกระทบ) ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช..........ช ต ต กัมมวิญ.๒๕ ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช..........ช ต ต ฐีตปิ ต ตะ ๔๙ อมันทายกุ ใน ๔๙ นี้ รปู ใดรูปหนงึ่ สามารถเปน ปจจัย มนั ทายกุ จักขุปสาท ๓๗ จกั ขุปสาท ๑๑ ใหจกั ขวุ ญิ ญาณเกดิ ไดทัง้ ส้นิ วญิ .ปจ.นาม-รปู วญิ .ปจ.นาม-รูป(จิตตชรูป) มัชฌมิ ายกุ จกั ขุปสาท ๑ จักขายตนะ วิญ.ปจ.นามํ ตณั หา อปุ าทาน ภวะ สัพพ.๗ ( รูปตณั หา) (กามปุ าทาน) ** โบราณาจารย กลา ววา ธรรมทเี่ ปนปจจยั ใหเ กิด จักขุวญิ ญาณ ได ตองเปน มชั ฌมิ ายกุ จักขุปสาท เทาน้ัน ๒ สํฆฏฏนรโส ผสั สเจ. ** อาจารยภ ายหลงั กลาววา ฐตี ปิ ต ตะ ๔๙ นั้นแหละ เปนปจ จัยใหเ กิดจกั ขุวิญญาณไดทง้ั สน้ิ (ใหน ักศกึ ษาถือเอาทง้ั ๒ นยั ) นาํ สมั ปยตุ ตธรรม = สมั ผสั โส [จกั ขวุ ญิ .+สพั พ.๖(-ผสั ส)] เจตนากรรมเกดิ ปจจุบนั ผล ปจจุบนั เหตุ
- 34 - ๖ ผสฺสปจจฺ ยา เวทนา สมฺภวติ = เวทนา ๖ ยอมปรากฏเกิดข้ึนเพราะอาศัย ผัสสะ ๖ เปนเหตุ ผสั สะ ๖ คือ การกระทบกันระหวา ง จิต + อารมณ เวทนา ๖ คอื การเสวยอารมณท เี่ กิดขึน้ โดยอาศัยการกระทบของ ผัสสะ ๑. จักขุสัมผัสสะ คือ การกระทบกันระหวาง จักขวุ ิญญาณ + รูปารมณ จักขสุ มั ผสั สชาเวทนา ไดแ ก เวทนาทีอ่ ยใู น จกั ขวุ ญิ ญาณจิต ๒. โสตสมั ผัสสะ คอื การกระทบกันระหวา ง โสตวญิ ญาณ + สทั ทารมณ โสตสัมผัสสชาเวทนา ไดแก เวทนาทอ่ี ยูใ น โสตวิญญาณจิต ๓. ฆานสัมผสั สะ คอื การกระทบกนั ระหวา ง ฆานวิญญาณ + คันธารมณ ฆานสมั ผสั สชาเวทนา ไดแ ก เวทนาทีอ่ ยใู น ฆานวญิ ญาณจิต ๔. ชิวหาสัมผสั สะ คือ การกระทบกันระหวา ง ชิวหาวิญญาณ + รสารมณ ชิวหาสมั ผสั สชาเวทนา ไดแก เวทนาที่อยูใน ชวิ หาวญิ ญาณจิต ๕. กายสมั ผสั สะ คือ การกระทบกนั ระหวา ง กายวิญญาณ + โผฏฐพั พารมณ กายสัมผัสสชาเวทนา ไดแ ก เวทนาที่อยูใน กายวิญญาณจติ ๖. มโนสมั ผสั สะ คือ การกระทบกันระหวา ง มโนวิญญาณ + ธัมมารมณ มโนสมั ผัสสชาเวทนา ไดแก เวทนาทอ่ี ยูใน โลกยี วปิ ากจติ ๒๒ (-ทวิ๑๐) ขอสังเกตุ : ขณะท่ี ผสั สะเปนผลของสฬายตนะน้ัน เกิดจากการประชุมรวมกนั ระหวา ง อายตนะภายใน + อายตนะภายนอก + ฉวิญญาณ ผัสสะเปน หตใุ หเ วทนาเกิดขน้ึ นั้น เกดิ จากการกระทบของ จติ ( ฉวิญญาณ ) + อารมณ ( รปู ารมณ เปน ตน ) เวทนาซ่งึ เปนผเู สวยอารมณท ี่เกิดจากการกระทบของผสั สนี้ มกี ารเสวยอารมณ ๓ อยา ง คือ สขุ ทุกข อพั ยากต ดังนัน้ เวทนาทเ่ี กดิ ข้ึนจะปรากฏชัดหรอื ไมน ั้น ขึน้ อยทู ี่ ผสั สะ คือตวั กระทบและเวทนานั้นแหละ ไดเ ขา ไปเสวยอารมณที่ผัสสะเกดิ แลว ลําดบั การเกดิ ผสั สะ เวทนา ๒ รูปายตนะ รบั การกระทบ (รปู กับรปู ) เวทนา เสวยอารมณ สหชาตธรรม จักขุสัมผสั สะ ๔ จกั ขุสมั ผสั สชาเวทนา จกั ขุวิญ. + สพั พ.๖ สฬายตนะ ๔ ผัสสะ ( ๑+๒+๓ ) จักขุวญิ ญาณ + สัพพ.๖ (-ผสั ส) สัญญา ... มนสกิ าร จักขวุ ิญญาณ ๓ ๑+๒+๓ ๓+๒ ๓+๒ เกิดจาก > ๑ + ๒ เปน การทํางาน เปนการทาํ งาน จกั ขสุ มั ผสั สะ เกิดขึน้ ของอายตนะ จักขุสัมผสั สชาเวทนา เพ่อื ให ผัสสะเกิด ของผสั สะ ๓ จกั ขวุ ญิ ญาณ ( ๑+๒ ) >มนายตนะ โดย วตั ถปุ ุเร., อารมั มณปุเร. เพื่อให เวทนาเกดิ ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช..........ช ต ต ๑ จกั ขายตนะ สัพพ ๗
- 35 - วจนตั ถะ : เวทยตีติ = เวทนา - ธรรมชาตใิ ด ยอมเสวยอารมณ ฉะนน้ั ธรรมชาตนิ ้ันชอื่ วา เวทนา ( เปนวจนัตถะทีก่ ลาวถึง เวทนาเจตสิก ตัวเดียว ) จกขฺ สุ มฺผสฺสโต ชาตา เวทนาติ = จกขฺ ุสมฺผสสฺ ชา เวทนา โสตสมผฺ สฺสโต \" \" = โสตสมผฺ สสฺ ชา เวทนา - เวทนาทีเ่ กิดขึน้ เพราะอาศยั จักขสุ มั ผสั สะ เปน เหตุ ฉะนั้นจงึ ชือ่ วา จกั ขสุ ัมผัสสชาเวทนา ฆานสมฺผสสฺ โต \" \" = ฆานสมผฺ สสฺ ชา เวทนา ชวิ หาสมฺผสฺสโต \" \" = ชิวหาสมฺผสฺสชา เวทนา -\" \" โสต \" \" \" โสต \" กายสมผฺ สฺสโต \" \" = กายสมฺผสฺสชา เวทนา มโนสมผฺ สสฺ โต \" \" = มโนสมฺผสสฺ ชา เวทนา -\" \" ฆาน \" \" \" ฆาน \" วจนตั ถะน้ีสบื เนอ่ื งมาจาก -\" \" ชิวหา \" \" \" ชวิ หา \" วจนตั ถะท่ี ๔ ของ ผสั สะ -\" \" กาย \" \" \" กาย \" -\" \" มโน \" \" \" มโน \" การจาํ แนกเวทนา ๖ ( น.๗๐ ) โดย สขุ ทุกข อเุ ปกขา ในโลกียวิปาก ๓๒ โดย อนิ ทริยเภทนัย อารมั มณนภุ วนยั โดย ปคุ คลาธิษฐาน มกี ารเสวยอารมณ ๒ คอื สขุ ทกุ ข มี ๖ คือ มี ๓ คอื ( สุข ๑๒ ทกุ ข ๓ อเุ บกขา ๑๗ ) - สขุ กาย ๑ สขุ เวทนา ๖๓ - ทว.ิ ๑๐ - โสมนัส ๖๒ ทุกขเวทนา ๓ - สขุ เวทนา ๑๐๖ อเุ บกขาเวทนา ๕๕ ๑. สขุ สหคตกายสัมผสั สชาเวทนา จักขุสมั ผสั สชาเวทนา - ทุกขก าย ๑ ๑ โสตสมั ผัสสชาเวทนา อเุ บกขาเวทนา ๘ - โทมนสั ๒ ๒. โสมนัสสหคตมโนสัมผัสสชาเวทนา ๖๒ ฆานสัมผสั สชาเวทนา - อุเบกขา ๕๕ - โลภมลู . ๔, โส.ณ.๑, หสิตุ.๑ ชวิ หาสัมผสั สชาเวทนา - กามาวจรโส. ๑๒ กายสัมผสั สชาเวทนา ทกุ ขเวทนา ๑ - รปู าวจรโส. ๑๒ สุขเวทนา ๑ - โลกุตตรโส. ๓๒ - โลกีย.วิปาก. ๒๒ (-ทวิ ๑๐ ) ๓. อเุ บกขาท่ีเกย่ี วกับสขุ เวทนา ๔๓ มโนสมั ผสั สชาเวทนา อุเบกขา. ๙ ความตางกันของ เวทนา ใน - กุศล ๑๓, กิริยา ๑๑, ก.ุ วปิ าก ๑๙ ทุกข. ๒ อภธิ รรม และพระสตู ร สุข. ๑๑ ๒๒ อารมณ อภิธรรม จักขุ -> ชิวหา = อุเบกขา. - ทุกขเวทนา ๑๕ ๑ กาย = สขุ , ทกุ ข ๑. ทุกขสหคตกายสัมผสั สชาเวทนา ๒ ภ ตี น ท ป ปญ สํ ณ วุ ช.....ช ต ต ๒. โทมนสั สหคตมโนสมั ผสั สชาเวทนา ๑๒ ภ ตี น ท ป ทวิ สํ ณ วุ ช..........ช ต ต พระสูตร ๓. อเุ บกขาทีเ่ กย่ี วกับทกุ ขเวทนา วัตถุ ยอนไปดู ชวน ทเี่ ก่ยี วขอ ง โลภะ->โสม./อุ. - อกุศล ๖, อก.ุ วิปาก ๖ มโนสมั ผัสสชาเวทนา แลว จึงกลับไปเรยี กอารมณ โทสะ->โทมนัส วา เปน เวทนาอะไร ม.กุ -> โสม./อุ.
- 36 - แสดงลักษณะ รส ปจจุปฏฐาน ปทฏั ฐาน ของ เวทนา ๒ รปู ารมณ ๑ อนุภวนลกขฺ ณา ๑ อนุภวน ลกฺขณา - มกี ารเสวยอารมณ เปน ลกั ษณะ ( กลา วถงึ เจตสิกตัวเดยี ว คอื เวทนาเจ. ) ๓ ๒ วสิ ยรสสมโฺ ภค รสา - มีการเสวยรสของอารมณ เปนกิจ ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช..........ช ต ต ๓ สุขทกุ ฺขปจฺจุปฏานา ๓ สขุ ทกุ ฺข ปจฺจุปฏานา - มคี วามสขุ และทกุ ข เปน อาการปรากฎในปญ ญาของบัณฑติ ทั้งหลาย ๑. จักขายตนะ ผสั สะ ธรรมท่ีกระทบอารมณ เวทนา ชวน - เสวยอารมณ บบี อารมณ อฏิ ฐารมณ / อนฏิ ฐารมณ ใหปรากฏ ๔ ผสฺส ปทฏานา - มผี ัสสะ เปนเหตุใกล ๒ วสิ ยรสสมโฺ ภครสา แสดงการสงเคราะหป จจัย ๒๔ เขาในบท ผสฺสปจฺจยา เวทนา .. เปน ปจ จยั ชวยอุปการะแก. .. ๑.ชว ย ๒. กาล - ชาติ ๓. อาํ นาจปจ จยั ๑. ผัสสะทง้ั ๖ .... เวทนาท้งั ๖ น-น ปวัต. สห. ๘ ญ.๔ ก.๓ (อัญ ปา สํ ) ล.๑ ( อา )
- 37 - ๗ เวทนาปจฺจยา ตณหฺ า สมฺภวติ = ตัณหา ๖ ยอมปรากฏเกดิ ข้ึนเพราะอาศัย เวทนา ๖ เปน เหตุ ปจ จุบนั ผล ๑) จักขวุ ิญญาณ ปจ. นามรูป (สัพ.๗) เจ.ขันธ๓ ปจ จบุ ันผล ๕ ปจ จบุ ันเหตุ ๓ อปุ ปตตภิ วะ ๒) สพั พ.๗ (นามรปู ) ปจ. สฬายตนะ (มนายตนะ) ชาติ ชรามรณะ อวิชชา สงั ขาร วิญญ. นามรูป สฬาย. ผัสสะ เวทนา ตณั หา อปุ า. กัมมภวะ ๓) สฬายตนะ ปจ. ผสั สะ สันธิ ๑ สนั ธิ ๒ สันธิ ๓ ๔) ผสั สะ ปจ. ๕) เวทนา ๒+๔ = ๕ จกั ขุสัมผสั สชาเวทนา ทีท่ าํ หนาท่รี บั การเสวยอารมณทีเ่ ปน อิฏฐา, อนฏิ ฐา ๔ ๑. จักขุวิญ. = มนายตนะ ปญุ ญา / อปญุ ญา ๒) รูปายตนะ ๑+๒+๓ = ๔ จกั ขสุ ัมผัสสะ ทําหนาท่ีรบั การกระทบรปู / รปู อิฏฐา ๒.นามํ ๓ ชวยจักขุวญิ .ธาตุ สพั .๗(นามํ) อนิฏฐา ผสั สะ เอกัคค. ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ฯลฯ ช ช ช ช ช ช ช ฯลฯ ช ช ช ช ช ช ช หทย. ๓) = ๑+๒ ๑) จกั ขายตนะ ปจ จุบันเหตุ ๓ ปจ จุบนั เหตุ ๓ ปจจบุ ันเหตุ ๓ ๕.เวทนา ชีวติ . มนายตนะ คนท่ี ๑ โลภ +ทฏิ ฐ.ิ ๓ โลภ+ทฏิ ฐ.ิ ๓ เจตนากรรม สญั ญา มนสกิ าร เจตนา คนที่ ๒ มก.ุ ๘ อารมณโสม.+อ.ุ คนท่ี ๓ โทส. อารมณโทมนสั เวทนา ๖ เปน เหตุ ตัณหา เปน ผล - ตณั หาไดแ ก โลภเจตสิก ท่ีในโลภมลู จิต ๘ เม่ือจาํ แนกโดยอารมณ มี ๖ คือ ๑. จักขุสมั ผสั สชาเวทนา ๑. รปู ตัณหา ความยินดตี ิดใจใน รูปารมณ ๒. โสตสัมผัสสชาเวทนา ๓. ฆานสัมผสั สชาเวทนา ๒. สัททตณั หา \" สทั ทารมณ ๔. ชวิ หาสัมผสั สชาเวทนา ๕. กายสมั ผสั สชาเวทนา เวทนาท่ีในปญ จวญิ ญาณจิต ๑๐ ๓. คันธตณั หา \" คนั ธารมณ ๖. มโนสัมผสั สชาเวทนา เวทนาท่ใี นโลกียวิปาก.๒๒ (เวน ทว.ิ ๑๐) ๔. รสตณั หา \" รสารมณ ๕. โผฏฐัพพตณั หา \" โผฏฐพั พารมณ ๖. ธมั มตณั หา \" ธัมมารมณ - สาํ หรับความยนิ ดีตดิ ใจในการเจริญสมถกรรมฐานและวิปสสนากรรมฐาน มี ๒ บท คอื ธรรมราคะ ธรรมนนั้ ที่ซ่ึง เวทนาทงั้ ๖ เหลา นปี้ ระกอบดว ย สขุ ทกุ ข อเุ บกขา ทีเ่ กิดจากผัสสะ การกระทบกนั โดยผา นแดนคอื หมายความวา ฉนั ทราคะทีเ่ กดิ ขึ้นในการเจริญสมถภาวนาและวปิ สสนาภาวนา ชอ่ื วา ธัมมตณั หา ฉวญิ ญาณ + อารมณ ยอ มกอ ใหเ กิดความรูส ึกชอบ/ไมช อบตดิ ตามมาและความรสู ึก สขุ ทุกขแ ละเฉยๆ น้นั ถือไดว า เปนปจ จัยใหเ กิดตัณหาน่นั เอง - ตัณหาเม่ือวา โดยอาการมี ๓ คอื ๑. กามตณั หา ๒.ภวตัณหา ๓.วิภวตณั หา และการแสดงตณั หาโดยละเอยี ดจะแสดงคทู ี่ ๗ คอื ตัณหาปจ จยาอปุ าทาน ตอไป
- 38 - สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตณั หา ความตางกนั ของ ธมั มารมณ / ธมั มายตนะ / ธมั มตณั หา จกั ขวุ ิญญาณ รูปตัณหา มนายตนะ / จกั ขายตนะ / รูปายตนะ ธมั มารมณ อธ. ๘๙, ๕๒, ๕, ๑๖, นพิ ., บัญ. การรวมของอายตนะ ๓ - ธัมมายตนะ อธ. เจ.๕๒, ๑๖, นพิ . มโนทวาร จกั ขุสมั ผสั สะ จักขสุ มั ผัสสชาเวทนา ~ จกั ขายตนะ > กายายตนะ = ๕ มโนวญิ ญาณ เกดิ จากภวงั คจติ ( เกดิ จากจักขุวญิ ญาณ + รูปายตนะ ) + ธัมมารมณ ( อารมณ ๓ อยาง ) ~ รูปายตนะ > โผฏฐพั พายตนะ = ๗ ~ มนายตนะ = จติ ทง้ั หมด ธัมมธาตุ อธ. เจ.๕๒, ๑๖, นิพ. ~ จกั ขุธาตุ > กายธาตุ =๕ กอ นวิถี ขน้ึ วถิ ี ~ รูปธาตุ > โผฏฐพั พธาตุ =๗ ภ นท ม ชชชชช ชชภ ~ วิญญาณธาตุ =๗ - ธัมมตณั หา อธ. โลกยี .๘๑, ๕๒, ๕, ๑๖, บญั ญตั ิ ภวังคจติ มโนทวารหลังวถิ เี กิด กระทบธมั มารมณ ( ปรมัตถ / บญั ญตั ิ ) มโนสมั ผัสสะ ธัมมารมณ ธมั มายตนะ / ธมั มตัณหา ที่เปน กรรมอารมณ กรรมนมิ ิตอารมณ กระทบธมั มารมณ อธ. ธมั มธาตุ คตนิ ิมิตอารมณ ซึง่ เปนทวารวิมตุ เรา ๘๑ ไมส ามารถรูไ ด ๘ ๕๒ มนายตนะ ๕ มโนวิญญาณ กอ นวถิ ี ๑๖ มีมโนสัมผสั สะกระทบอารมณ ๓ อยาง นพิ . บญั . มโนสมั ผสั สะ มโนสมั ผัสสชาเวทนา ธัมมตณั หา
- 39 - ๐ วจนัตถะ ๑) วตถฺ กุ ามํ ปรติ สฺสตีติ = ตณฺหา ( ธมั มาธษิ ฐาน ) : ธรรมชาตใิ ด ยอมยนิ ดตี ิดใจ ซงึ่ วตั ถุกาม ฉะนั้น ธรรมชาตนิ ั้นชอื่ วา ตณั หา ตณั หา = โลภ.เจ. กามจิต ๕๔, ๕๒, ๒๘ ปญจารมณ (วสิ ยรปู ๗) วตั ถุกาม ธมั มตัณหา (กามจติ ๕๔, ๕๒, ๕, ๑๖ + บญั ญัติ (เกิดทางมโนทวารไมใชว ตั ถุกาม ) ภ ตี น ท ป ปญ สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ภ โลภเจ.(รูปตัณหา ) โลภเจ. (ธรรมชาตทิ ยี่ นิ ดตี ิดใจในวัตถกุ าม ) วตั ถุ ๕ ๐ วจนตั ถะ ๒) วตถฺ ุกามํ ตสสฺ นฺติ ปรติ สฺสนฺติ สตฺตา เอตายาติ = ตณฺหา ( บคุ คลาธิษฐาน ) : สัตวทง้ั หลาย ยอมยินดีตดิ ใจ ซึ่งวัตถุกาม โดยธรรมชาตนิ ั้น ฉะน้นั ธรรมชาติ ท่เี ปนเหตุใหสัตวท ง้ั หลายยนิ ดตี ดิ ใจซ่ึงวตั ถุกามนนั้ ชือ่ วา ตัณหา ไดแ ก โลภเจ. ท่อี ยใู นโลภมูลจติ ๘ ๐ ทําไมในกามจติ ๕๔, ๕๒, ๒๘ จึงมี กริ ิยาจิตอยูด ว ย ๐ ตัณหา เมอ่ื วา โดยอาการท่ีเปน ไปแลว มี ๓ คือ ** กริ ิยาจติ ของพระอรหันต แตเปนอารมณข องปถุ ุชนได ๑) กามตณั หา ๒) ภวตณั หา ๓) วภิ วตัณหา - ตัณหาทเ่ี กดิ พรอมกนั กบั - ความยนิ ดีติดใจในอารมณ ๖ - ตณั หาทีเ่ กดิ พรอมกนั กับ อุจเฉททิฏฐิ (ขาดสญู ) พระอรหันต ปถุ ชุ น ท่เี ก่ียวกบั กามคุณทงั้ ๕ แต สสั สตทฏิ ฐิ โดยอาศัยอารมณ ๖ - เห็นผิด ทั้งบญั ญัติ +ปรมตั ถ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ชภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ไมป ระกอบดวย สสั สตทฏิ ฐิ - เห็นถกู แบบบญั ญตั ิ - ตายแลว ไป อบายภูมิ ม.กิ.๘ / หส.ิ โลภเจ. และอุจเฉททฏิ ฐิ เหน็ ผดิ แบบปรมัตถ - อธ. ไดแก โลภ.ทใ่ี นท.ิ สํ.๔ - เช่อื ผลของกรรม กมั มสกตาญาณ ** ในฌานจิต ๒๗ ชอบนํามหัคคตของตนเองมาเปนอารมณ - ตายแลวไป กามสุคต.ิ ๗ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ภนท ม ชชชชช ชชภ - อธ. ไดแ ก โลภ.๘ - อธ. ไดแก โลภ.ทใ่ี นท.ิ ส.ํ ๔ รปู กศุ ล โลภเจ. สสั สต. อจุ เฉท. ท.ิ ส.ํ ๔
- 40 - ๐ จาํ แนกตัณหา ๓ โดยอารมณ ๖ และกาล ๓ รวมเปน ตณั หา เมื่อวาโดยพิสดาร ๑๐๘ กามตัณหา ภวตัณหา ไมเกดิ พรอมกันในบคุ คล ๑) กามตณั หา คอื อารมณ ๖ x กาล ๓ = ๑๘ x เกิดข้นึ โดยอาศัยอชั ฌัตตอารมณ และพหิทธอารมณ = ๓๖ วิภวตณั หา และเวลาเดียวกนั ๒) ภวตณั หา คอื อารมณ ๖ x กาล ๓ = ๑๘ x เกิดขนึ้ โดยอาศยั อชั ฌตั ตอารมณ และพหิทธอารมณ = ๓๖ ๓) วภิ วตณั หา คือ อารมณ ๖ x กาล ๓ = ๑๘ x เกิดขึ้นโดยอาศัยอชั ฌัตตอารมณ และพหทิ ธอารมณ = ๓๖ ๐ ภัยทงั้ ๔ ( น.๒๕ - ๒๖ ) คือ ยงั ไมพ นจากการเคารพนบั ถือศาสดาตางๆ ๐ รอบ ๓ อาการ ๑๒ สมทุ ยั นโิ รธ มรรค ๑. นานาสัตถอลุ โลกนภัย คอื การไปเกดิ ในที่ๆ ไมแนน อน > สจั จญาณ - ปริยตั ิ ศึกษา ทุกข ละ แจง เจริญ ๒. วินิปาตภยั คือ ยังไมพ น จากการไปเกิดในอบายภูมิ > กจิ จญาณ - ปฏบิ ัติ ศกึ ษา กําหนดรู ละแลว แจงแลว เจริญแลว ๓.อปายภัย คอื ยงั ไมพนจากการกระทาํ อันเปน ทจุ รติ ตางๆ > กตญาณ - ปฏิเวท ศึกษา กาํ หนดรแู ลว ๔.ทุจรติ ภยั แสดงลักษณะ รส ปจจปุ ฏฐาน ปทฏั ฐาน ของ ตณั หา (น. ๘๐) เหตุ ทุกข ๑ เหตุลกขฺ ณา - มีการเปนเหตุของทกุ ขท้ังปวงเปน ลกั ษณะ อุปปตติภวะ อุปปตติภวะ ชาติ ชรามรณะ ๒ อภนิ นทฺ นรสา - มีความยินดพี อใจในอารมณ ภูมิ และภพ เปน กิจ อวชิ ชา สงั ขาร วญิ ญ. นามรปู สฬาย. ผสั สะ เวทนา ตณั หา อปุ า. กัมมภวะ พระสูตร - อนฏิ ฐผล ๕ วปิ าก.๓๒, เจ.๓๕, ก.ํ - พลัดพรากจากสิง่ ท่รี กั - ประจวบเหมาะกบั สิ่งไมรัก ปฏิ ..ฯลฯ.. ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ตัณหา กัมมภว พระอภิธรรม สมุทยแบบ - ไดในสิง่ ที่ไมห วงั ปฏ.ิ ๑๙ ๒ โลภชวนะ ( ภวนิกันติกโลกชวนะ อุปาทาน (เกดิ ดับของรูปนาม) พระสูตร ยินดพี อใจในภพชาติ ) สมุทยสจั จ ทุกขสจั จ - กามตณั หา - ภวตัณหา ๓ อตติ ตฺ ภาวปจจฺ ุปฏ านา - มีความไมอิ่มในอารมณต างๆ ของจิตหรอื บุคคล ทุกขธรรม - วภิ วตัณหา ๔ เวทนาปทฏ านา เปนอาการปรากฏในปญญาของบณั ฑิตท้ังหลาย - มีเวทนาเปน เหตุใกล ( มสี ภาพ เกิด ตงั้ ดบั )
- 41 - ๐ การหาอํานาจปจจัย จักขุสัมผสั สชาเวทนา ( นาม ) ---> นาม (ตัณหา ) ได ๑ ชาติ ๑ ปจจยั รปู ารมณ จักขุสัมผัสสชาเวทนา (นาม) 3 ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต 5 เวทนา ตัณหา นามหลังๆ ชวยรปู เกิดกอ น จักขวุ ตั ถุ 4 รปู เกิดกอนชว ยนามเกดิ หลัง ๑. สห. - เปน ผล เปน วิปาก ไมเ กิด - เปนเหตุ เปนอกศุ ล (โลภมลู จิต ๘) - ทุกขสัจจ พรอ มกนั - เปน สมทุ ยสจั จ ๒. อา. - เวทนา ไมใ ชอ ารมณข อง ตัณหา (ทั้งคูม ี รูปารมณเปนอารมณ) ๓. นัน. - เพราะระหวา ง จักขวุ ิญ. กับ ชวนะ มี ...สํ ณ วุ ...คัน่ จงึ ไมต ิดตอกนั แมในมโนทวารกม็ ี (ม) ค่ันอยู วิปาก กบั ชวนะ [ ภ น ท (ม) ช ช ช ช ช ช ช ภ ] ๔. วัต. - ตอ งยก ร-น แตใ นทน่ี ้ีเปน น-น คือ ถาจกั ขวุ ตั ถุ ชวย จกั ขวุ ิญญาณ เปน วตั ถุปุเรชาต แตจักขุสัมผัสสชาเวทนา ชว ยตณั หา จงึ ไมใ ชว ัตถปุ เุ รชาต. ๕. ปจ . - ตองยก น-ร แตใ นทีน่ ี้เปน น-น ๖. หา. - ตอ งยก ร-ร แตในที่น้ีเปน น-น ๗. รปู . ๘. ปก. เปน การแสดงถงึ น.กอ นๆ --> น.หลงั ๆ ๙. นา. ตองยกเจตนากรรม แตในทีน่ ยี้ กเวทนา
- 42 - ๘ ตณหฺ าปจฺจยา อปุ าทานํ สมภฺ วติ = อุปาทานปรากฏเกดิ ขน้ึ เพราะอาศยั ตัณหา เปน เหตุ หมายความวา ความอยากไดตางๆ ทาํ ใหเกดิ ความยึดม่นั - ลกั ษณะอาการท่ีเปนปจ จัย กลาวถึงเฉพาะกามตัณหาเทาน้นั ท้งั น้เี พราะ กามตณั หาเปนรากฐานใหเกิด ภวตัณหาและวภิ วตัณหา ฉะน้ัน เมอื่ กลาวถึงกามตณั หากเ็ ปน อันวา กลาวถงึ ภวตณั หาและวิภวตณั หาโดยปรยิ าย - ความอยากไดกาม ทําใหเ กดิ ความความยึดมั่นในกาม หมายถึง ความอยากไดส ง่ิ ที่นา ใครน าปรารถนาตา งๆ ทาํ ใหเ กิดความยดึ มนั่ ในอายตนะเหลาน้ัน ความอยากนึกคดิ ถึงสงิ่ เราตา งๆ ท่ไี ดส ัมผัสทางประสาทสัมผสั ความอยากไดตางๆ ดังกลาว เมือ่ มมี ากขนึ้ กจ็ ะทําใหเกดิ ความยึดม่ัน ซง่ึ แสดงออกมาในลกั ษณะหวงแหนวาเราเทานั้นตองได หรอื ตอ งเปน ของเราเทา นน้ั ( ทีม่ า พระคัมภีรป ฏจิ จสมปุ บาททปี นี ) รปู ารมณ จกั ขสุ ัมผัสสชาเวทนา รปู ตณั หา รปู กามุปาทาน โลภ อุปาทาน (ตัณหา) อธ. โลภ = กามปุ าทาน (ทฏิ ฐิ) ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ช ช ช ช ช ช ช ภ ตัณหา กามุปาทาน โลภ มกี ําลังออน โลภ มีกาํ ลังแข็งกลา โลภ - เปนปจ จบุ ันเหตทุ ง้ั ๒ และกําลังเกิดท่ี อกศุ ลชวนะ ทงั้ ๒ = ตัณหา (ปรเิ ยสนทุกข - แสวงหา ) = กามุปาทาน (อารกั ขทกุ ข - รักษา ) - วาโดยอภธิ รรม อธ. = โลภเจตสกิ เหมือนกัน - วาโดยพระสตู ร อธ. = โลภทม่ี ีกําลังออ น ชอ่ื วา \" ตณั หา \" จกั ขปุ สาท ทิฏฐิ ทิฏุปาทาน ทฏิ ฐิ ทฏิ ปุ าทาน ทฏิ ุปาทาน สีลัพพตปุ าทาน สลี พั พตุปาทาน สลี ัพพตุปาทาน โลภท่ีมกี าํ ลงั มาก ช่อื วา \" กามปุ าทาน \" อตั ตวาทปุ าทาน อัตตวาทปุ าทาน อตั ตวาทุปาทาน ๐ วจนตั ถะ (น. ๘๐ ) - ตณั หา กามุปาทาน ( ยึดถือ ) ภุสํ อาทยิ นฺติ อมุ ฺจคาหํ คยฺหนฺตตี ิ = อุปาทานานิ ( โลภ ทม่ี ีกําลงั ออน ) ( โลภ ท่มี กี ําลังแรงกลา ) ธรรมเหลาใดยดึ ถืออยา งแรงกลา คอื ถอื ไวไ มปลอ ย ฉะนัน้ ธรรมเหลา น้ัน ชอื่ วา อุปาทาน - ทฏิ ฐิ > แรง หรอื ออ น กช็ ื่อวา อปุ าทาน ทัง้ ส้นิ อธ. ไดแ ก โลภะและทฏิ ฐิ เหน็ วาเทยี่ ง เหน็ ขาดสูญ เปน สัสสตทิฏฐิ อกี นัย อปุ าทิยนตฺ ีติ = อุปาทานานิ เปนอจุ เฉททิฏฐิ ธรรมเหลาใดเขา ไปยดึ มั่น ฉะนั้น ธรรมเหลานนั้ ชื่อวา อุปาทาน อธ. ไดแก ตัณหาและทฏิ ฐทิ ี่มีกําลงั มาก
- 43 - ๐ อปุ าทาน ๔ อยาง ( น. ๘๑ ) ตัณหา ทโลิฏภฐิ มโาลนภะ การเปน ปจจัย กามุปาทาน ตัณหา กามปุ าทาน ทิฏปุ าทาน สีลัพพตุปาทาน อตั วาทุปาทาน (โลภ) (โลภ) นิยตมิจฉาทิฏฐิ ๓ มิจฉาทิฏฐิ ๖๒ อันตคั คาหิกทฏิ ฐิ ๑๐ -ไมเขา ถงึ - อบายภมู ิ - สุคติ / ทคุ ติ - สุคติ / ทุคติ - สคุ ติ / ทุคติ - สุคติ / ทคุ ติ ทิฏฐิ. ๓ (ทิฏ.ุ สลี ัพ. อัตวา. ) สสั สต.+อจุ เฉ. - เห็นแบบอุจเฉท. - สสั สต. 3 บญั . 2 ปร. - สัสสต. 3 บัญ. 2 ปร. - สัสสตทิฏฐิ - สสั สตทฏิ ฐิ 2 ท้งั บญั .+ปรมัตถ - อุจเฉท. 2 บัญ. 2 ปร. - อุจเฉท. 2 บัญ. 2 ปร. > วา โดย อารมณ มี ๖ 3 --- --- --- --- --- ไมประกอบดว ย สัสสต./อจุ เฉท. > วาโดยอาการ - กามตณั หา 3 --- --- --- --- --- 3 3 33 ไมประกอบดวยสัสสต./ อุจเฉท. 3 3 --- --- - ภวตัณหา --- --- ประกอบดวย สัสสตทิฏฐิ - วภิ วตัณหา --- 3 ** ปพุ พันตกัปปกทิฏฐิ ๑๘ - นึกคดิ เองถึงอดีต ประกอบดวย อจุ เฉททฏิ ฐิ ๑. สัสสตทฏิ ฐิ ๔ ( เทยี่ งทัง้ หมด ) ๓. อนั ตานนั ตทิฏฐิ ๔ ( คิดวา โลกมที ่ีสุด / ไมม ที ส่ี ดุ ) ๕. อธิจจสมปุ ปน นทฏิ ฐิ ๒ - บคุ คลมีการระลกึ ชาติได ๑ ถงึ แสนชาติ - เหาะรอบโลก ถือวา โลกมที ส่ี ดุ - เกดิ กบั ผูท ่ีเคยเปน อสญั ญ.มาในชาติกอ น - บคุ คลมกี ารระลกึ ชาตไิ ด สงั วฎั ฎ + วิวฏั ฏ - เหาะขามจกั รวาลไปทางขวาง ---> ไมมที สี่ ุด - นักเดา นักตรึกตรอง - บคุ คลมกี ารระลึกชาติได ๒๐, ๓๐, ๔๐ สงั วัฎฎ / วิวฎั ฎ - เหาะขามจกั รวาลไปเบื้องลางมที ่สี ุด แตไ ปทางขวาง --> ไมม ที ่สี ุด - นักเดา นักตรกึ ตรอง - นักเดา นกั ตรึกตรอง ภพ ๑ ภพ ๒ ภพ ๓ ระลึกชาติ ๒. เอกจั จสสั สตทฏิ ฐิ ๔ ( บางอยางเทีย่ ง บางอยา งไมเท่ยี ง ) ๔. อมราวเิ ขปทิฏฐิ ๔ ( ผูมคี วามคดิ ดิ้นได ไมต ายตวั ) - มหาพรหมเปน ผูเ ท่ยี ง - ตอบแบบเล่ียง ใชก็ใช ท่ไี มใชก ็ใช ร.+น. อสัญ. ร.+น. - เทวดาพวกขิฑฑาปโทสกิ (เทวะที่กินอาหารไมตาย เที่ยง) - กลัวการขัดแยง 2 น. กาม.๗ - เทวดาพวกมโนปโทสิก (เทวะไมท ะเลาะ เทย่ี ง) - กลวั คนมปี ญญา - ระลึกชาติไปเหน็ อสัญ. เลยคดิ วา เกดิ มาลอยๆ - นกั เดา นกั ตรึกตรอง - กลัวคนรูวา โง เพราะชาติกอนไมม ีนาม
- 44 - ตัณหาเปนเหตุ อปุ าทานเปนผล โลภเจตสิก ท่ีใน โลภมูลจิต ๘ วา โดย อารมณ มี ๖ คือ รูปตณั หา...ธมั มตัณหา โลภ, ทิฏฐิ (ที่มกี ําลังมาก) ท่ีใน โลภมูลจติ ๘ วา โดย อาการเปน ไป มี ๓ อยา ง - กามตัณหา อปุ าทาน ( ความยึดมั่น ) มี ๔ อยาง คือ - ภวตัณหา - วภิ วตัณหา ๑) กามปุ าทาน ความยดึ ม่นั ในวตั ถกุ ามท้งั ๖ มรี ูปารมณ เปน ตน อธ.ไดแ ก โลภเจ. ทยี่ ดึ มัน่ ในอารมณ ๖ คอื รูปกามปุ าทาน...ธัมมกามุปาทาน วาโดยพิสดารมี ๑๐๘ ๒) ทฏิ ปุ าทาน ความยดึ มน่ั ในการเหน็ ผิด มี ๗๕ คอื - นยิ ตมจิ ฉาทฏิ ฐิ ๓ - มิจฉาทิฏฐิ ๖๒ อธ.ไดแก ทฏิ ฐเิ จตสกิ ทน่ี อกจากสลี พั พตทิฏฐแิ ละสกั กายทิฏฐิ - อนั ตัคคาหกิ ทฏิ ฐิ ๑๐ ๓) สลี พั พตปุ าทาน ความยึดมน่ั ในการปฏิบัติผดิ มีการปฏบิ ัติเยย่ี งโคและสนุ ัข อธ.ไดแก สลี ัพพตทิฏฐิ ๔) อัตตวาทปุ าทาน ความยึดมน่ั ในขนั ธ ๕ ของตนและของคนอ่ืน อธ.ไดแก สักกายทฏิ ฐิ ๐ ตัณหา เม่อื วา โดยอาการเปน ไป มี ๓ อยา ง คอื ( น. ๗๖ - ๗๙) ๑) กามตณั หา ไดแ ก ความยินดตี ดิ ใจในอารมณ ๖ ทเ่ี ก่ยี วกบั กามคุณ ๕ แตไมประกอบดว ย สัสสตทฏิ ฐิและอจุ เฉททิฏฐิ ๒) ภวตัณหา ไดแก ตณั หาที่เกดิ พรอ มกับ สัสสตทิฏฐิ โดยอาศัยรปู เสยี ง กลนิ่ รส สัมผสั หมายถึงผทู ม่ี คี วามเห็นวา รูป เสยี ง กล่ิน รส สัมผสั ทีต่ นกําลงั ไดยนิ อยนู ้ี ตง้ั อยูเปนนจิ ไมเ ขาใจวามกี ารเกิด ดับ ๓) วิภวตัณหา ไดแ ก ตัณหาทเี่ กิดพรอมกับ อจุ เฉททฏิ ฐิ โดยอาศยั อารมณ ๖ หมายถงึ - ผทู ่ีมคี วามเห็นวา ในอารมณ ๖ ซึง่ ไดแกส ิ่งมชี วี ติ และไมมชี ีวิตท้ังหลายในโลกนี้มีตัวตนอยู และตัวตนนีไ้ มสามารถตงั้ อยูไดต ลอดยอ มสูญหายไป แลว มีความยนิ ดตี ดิ ใจในอารมณนน้ั หรอื - มคี วามเห็นวา ไมวา ใครๆ ทั้งส้นิ เมอื่ ตายแลวก็สญู หายไปไมเ กิดอกี แลวมีความยนิ ดีติดใจในความเหน็ นนั้ - ผทู ่มี ีความเหน็ ในพระนิพพานวามตี วั มตี นแลวปรารถนาพระนพิ พาน ความปรารถนานีก้ ช็ ่อื วา วิภวตัณหา ๐ จาํ แนกตัณหา ๓ โดยอารมณ ๖ และกาล ๓ รวมเปนตณั หา เมอ่ื วา โดยพสิ ดาร ๑๐๘ ๑) กามตัณหา คือ อารมณ ๖ x กาล ๓ = ๑๘ x เกิดขนึ้ โดยอาศยั อชั ฌัตตอารมณ และพหทิ ธอารมณ = ๓๖ ๒) ภวตัณหา คอื อารมณ ๖ x กาล ๓ = ๑๘ x เกิดขนึ้ โดยอาศัยอชั ฌตั ตอารมณ และพหทิ ธอารมณ = ๓๖ ๓) วิภวตัณหา คอื อารมณ ๖ x กาล ๓ = ๑๘ x เกิดขึ้นโดยอาศยั อัชฌตั ตอารมณ และพหิทธอารมณ = ๓๖ ฉะนน้ั ตัณหา ๖ มีรปู ตัณหาเปน ตน ตณั หา ๓ มี กามตัณหา เปนตนั ตัณหา ๑๐๘ (พสิ ดาร) ทีเ่ กดิ แกสัตวท ้งั หลายก็โดยอาศยั เวทนา คือ การเสวยอารมณท เ่ี ปน สขุ ทกุ ข อเุ บกขา ถาขาดการเสวยอารมณเหลานีแ้ ลว ตณั หากเ็ กดิ ข้นึ ไมได ดวยเหตุน้ีแหละ พระพทุ ธองคจ ึงทรงกลาววา \" เวทนาปจจฺ ยา ตณหฺ า \"
- 45 - ๐ แสดงอุปาทานทั้ง ๔ ๑.รปู กามุปาทาน ๒.๑ นิยตมจิ ฉาทฏิ ฐิ ๓ นัตถกิ ทิฏปุ าทาน - ผลท่จี ะไดรบั ไมม ี และมอี ุจเฉททิฏฐิ (ปฏเิ สธผล) ๑) กามปุ าทาน มี ๖ ๒.สัททกามปุ าทาน ๒.๒ มจิ ฉาทฏิ ฐิ ๖๒ อเหตุกทิฏุปาทาน - ไมม ีเหตอุ ะไรใหเ กดิ (ปฏเิ สธเหต)ุ ๓.คนั ธกามุปาทาน ๒.๓ อนั ตคั คาหิกทิฏฐิ ๑๐ อกิรยิ ทิฏปุ าทาน - ไมมเี หตุใหผลเกดิ ขางหนา ผลท่ีจะไดรบั ก็ไมมี (ปฏเิ สธเหตุ+ผล) ๔.รสกามุปาทาน ๕.โผฏฐัพพกามุปาทาน ปุพพันตกปั ปกทฏิ ฐิ ๑๘ สัสสตทิฏฐิ ๔ ๖.ธัมมกามุปาทาน - ความเห็นผดิ โดยการคดิ นึกเอาเอง เอกัจจสสั สตทิฏฐิ ๔ ในเรื่องความเปนไปของขนั ธ ๕ อันตานันตทิฏฐิ ๔ ทีล่ วงมาแลว อมราวกิ เขปทฏิ ฐิ ๔ อธจิ จสมปุ ปน นทฏิ ฐิ ๒ ๒) ทิฏุปาทาน มี ๗๕ อุทธมาฆาตนกิ สญั ญีวาททฏิ ฐิ ๑๖ อปรนั ตกปั ปกทิฏฐิ ๔๔ (การเกิด ๓ แบบ) อทุ ธมาฆาตนกิ อสญั ญวี าททิฏฐิ ๘ - ความเห็นผดิ โดยการคดิ นกึ เอาเอง อทุ ธมาฆาตนกิ เนวสญั ญีนาสญั ญวี าทิฏฐิ ๘ ในเร่อื งความเปนไปของขนั ธ ๕ อจุ เฉทวาททฏิ ฐิ ๗ ในกาลขางหนา ทฏิ ฐธัมมนิพพานวาททฏิ ฐิ ๕ ๑.สสสฺ โต โลโก เห็นวา โลกเที่ยง ๒.อสสฺสโต โลโก เหน็ วา โลกไมเทีย่ ง ๓.อนตฺ วา โลโก เห็นวา โลกมที ี่ส้ินสดุ ๔.อนนตฺ วา โลโก เหน็ วา โลกไมม ีท่สี ้ินสุด ๕.ตํ ชีวํ ตํ สรรี ํ เห็นวา ชีวะและสรรี ะ เปนอนั เดยี วกัน ๖.อฺ ชีวํ อฺ สรรี ํ เห็นวา ชวี ะและสรรี ะ เปน คนละอนั ๗.โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา เหน็ วา สตั วน้นั หลังจากตายแลว เกดิ ตอ ไปอกี ๘.น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา เหน็ วา สัตวนน้ั เบอ้ื งหนา แตต ายแลว ไมเ กิดตอไปอีก ๙.โหติ จ น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา เห็นวา สัตวน ้นั เบ้อื งหนา แตต ายแลว ยอมเกดิ อีกก็มี ยอมไมเ กิดอีกก็มี ๑๐.เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา เหน็ วา สตั วนัน้ เบอื้ งหนา แตต ายแลว ยอมเกดิ อกี ก็หามิได ยอ มไมเ กดิ อีกกห็ ามิได
- 46 - ** อทุ ธมาฆาตนิกสัญญีวาททฏิ ฐิ ๑๖ ( ตายแลวเกดิ แบบมีนาม ) - จาํ แนกตามอตั ตที่มี รูป+นาม ๑) อตั ตาท่ีมรี ปู +นาม ---> ทเ่ี ปนสมถะ ---> ฌาน ---> รปู ฌาน เชอ่ื วา ตายแลวไปเกิดแบบมสี ญั ญา ๒) อัตตาทไ่ี มม รี ปู ---> บุคคลท่ีอยใู นอรปู พรหม เช่ือวา ตายแลวไปเกดิ แบบมีแตน าม ๓) อตั ตาทัง้ ท่ีมีรูป+ไมมีรูป เชอ่ื วา ตายแลวไปเกดิ แบบมนี าม ๔) อตั ตาทงั้ ทไี่ มใ ชม ีรูป และไมมรี ปู (ปฏเิ สธกลุม ๑+๒ ) - จําแนกตามผทู ่ีไดป ฏภิ าค ๕) ผทู มี่ ปี ฏภิ าคนมิ ิต ถือวาเปน ของเท่ียง เช่อื วา ตายแลว ไปเกดิ แบบมนี ามทเ่ี ปน ปฏภิ าคนมิ ติ ๖) ผทู ม่ี ีปฏภิ าคนมิ ิต และทาํ การขยายปฏิภาค เช่อื วา ตายแลวไปเกดิ แบบมนี าม ๗) ทั้งผทู ่มี ีปฏิภาคนิมติ และทาํ การขยายปฏภิ าค (รับรองท้ัง ๕ + ๖ ) เชอ่ื วา ตายแลวไปเกิดแบบมนี าม ๘) ทงั้ ทม่ี ีปฏิภาคนมิ ิต และไมขยายปฏิภาคกไ็ มใช ( ปฏเิ สธ ๕ + ๖ ) เชื่อวา ตายแลว ไปเกดิ แบบมนี าม * สรปุ ๑๖ ขอ เหน็ ตรงกันในขนั้ บญั ญัติวา ตายแลว ไปเกดิ มีนาม เทานน้ั - จาํ แนกโดยสญั ญา ๙) ผูม สี ัญญาเดียว ( อบาย, ปฐม, ตติย, จตุต ) เชือ่ วากลุม สญั ญาเดียว ตายแลวไปเกิดแบบมนี าม ๑๐) ผูทีม่ หี ลายสญั ญา ( มนุษย, เทวดา ---> ทตุ ยิ ) ๑๑) ผูมสี ญั ญานอ ย ( มงุ หมายเอา อบาย, มนษุ ย, เทวดา ) ๑๒) ผมู ีสญั ญามาก ( มุงหมายเอา รปู พรหม, อรปู พรหม ) - จําแนกโดยความสขุ ความทุกข ๑๓) ผทู ี่มีความสขุ ไมมีทกุ ข ( มงุ หมายเอา รปู พรหม, อา. วิญ. กิญ ) ๑๔) ผูท่ีมีความทุกขไมม ีสขุ ( มุง หมายเอา เปรต, อสุรกาย, สตั วน รก ) เห็นวาตายแลวไปเกิดแบบมีนาม ๑๕) ผทู ี่มีความสขุ และทุกข ( มงุ หมายเอา มนุษย, สัตวเดรัจฉาน, เทวดา ) ๑๖) ผทู มี่ คี วามสขุ ก็ไมใชมีทุกขก ไ็ มใ ช ( มุงหมายเอา เนว. ) ** อุทธมาฆาตนกิ อสัญญวี าททฏิ ฐิ ๘ ** ทฏิ ฐธัมมนพิ พานวาททฏิ ฐิ ๕ ๑) มนุษย ผูเ พียบพรอมดว ยกามคุณ - เชอ่ื แบบขอ ๑ -(ตายแลวไปเกิดในอสญั ญ.) - วดั กนั ในมนษุ ยดวยกนั (วาโดยโวหาร รา่ํ รวยมาก ปรารถนาส่ิงใดกส็ ามารถทําได ) ๒) รปู ปฐมฌาน ** อุจเฉทวาททฏิ ฐิ ๗ - เปรยี บเทยี บผูไดฌ านดวยกนั ๓) ทตุ ิยฌาน ๔) ตติยฌาน ๑) ผทู ีม่ ีบิดามารดาเปน แดนเกดิ ๔) ผูทไี่ ดอากาสานญั จา. ๕) จตตุ ถฌาน - มนษุ ย + สัตวเดรจั ฉาน เชอื่ วา ตายแลว ขาดสูญ ๕) ผทู ี่ไดวญิ ญานญั จา. ปฏเิ สธ ๑ - ๓ ( ๓๐ ภมู ิ ) เชือ่ วาตายแลว ขาดสูญหมด ๒) ผูท ่ีมีกายทพิ ย ( โอปปาตกิ ะ ) ๖) ผูทไี่ ดอ ากิญจัญญา. - เทวดา, เปรต, อสรุ กาย, สตั วนรก เชือ่ วา ตายแลว ขาดสูญ ๗) ผูท ไ่ี ดเนวสัญญานา. ๓) ผทู ส่ี าํ เรจ็ ในรปู ฌานท้งั หมดขาดสูญ
- 47 - ๓) สีลพั พตุปาทาน ( น.๘๓ ) การปฏบิ ตั ผิ ดิ แนวทางทีถ่ ูกตอง เชน การปฏบิ ตั ิตนเหมือนโค / สนุ ขั รบั ผลกรรม พาไปเกิด อกุศลกรรม อกศุ ลวปิ าก อกุศลกรรม (ใหม ) อบาย ยังไม ปฏบิ ัติผิด เกิดเปน สง ผล เย่ียงโค / สนุ ขั โค / สุนัข รับกรรม ๔) อตั ตวาทปุ าทาน อตั ตวาทิฏฐิ / สักกายทฏิ ฐิ / สามญั ทฏิ ฐิ การยดึ มน่ั ในตวั ตน ( ขนั ธ ๕ ) มี ๒๐ / ๒๕๖ (น. ๘๔ - ๘๕ ) ๑) สักกายทฏิ ฐทิ ิเ่ กดิ ข้นึ โดยอาศัย รปู ขันธ เปนอารมณ มี ๔ หรือวาโดยรูปมี ๑๑๒ ( ๔ x ๒๘ ) ๒) สักกายทิฏฐิทเ่ิ กดิ ข้ึนโดยอาศัย เวทนาขนั ธ เปน อารมณ มี ๔ หรอื โดยทวารและอารมณม ี ๗๒ ( ๔ x ทวาร ๖ x อารมณ ๓ สขุ .ทุก.อุ.) ๓) สักกายทิฏฐทิ เิ่ กดิ ข้นึ โดยอาศยั สัญญาขันธ เปนอารมณ มี ๔ หรอื วา โดยอารมณม ี ๒๔ ( ๔ x ๖ ) ๔) สกั กายทฏิ ฐิทเิ่ กดิ ข้นึ โดยอาศยั สงั ขารขนั ธ เปนอารมณ มี ๔ หรือวา โดยอารมณมี ๒๔ ( ๔ x ๖ ) ๕) สกั กายทฏิ ฐทิ ิ่เกิดข้นึ โดยอาศยั วิญญาณขันธ เปนอารมณ มี ๔ หรือวา โดยทวารมี ๒๔ ( ๔ x ๖ ) วญิ ญาณขนั ธ เวทนาขันธ ๔ x อา.๖ x ๓ ( สุข ทกุ ข อเุ บกขา ) = ๗๒ สัญญาขันธ ๔ x อา.๖ = ๒๔ ปญจ. ( ๔ x อา.๖ = ๒๔ ) สังขารขนั ธ ๔ x อา.๖ = ๒๔ รปู ขนั ธ ภ ตี น ท ป ปญ สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ( ๔ x ๒๘ = ๑๑๒ ) ปญจวตั ถุ โลภ, ทฏิ ฐิ --> อัตตวาทปุ าทาน ( พชื พันธข องทิฏฐทิ ้ังปวง ) ** มี ๒๐ =๔x๕ ** มี ๒๕๖ = ๑๑๒ + ๗๒ + ๒๔ + ๒๔ + ๒๔
- 48 - ** อตั ตวาทปุ าทาน ไดแ ก อัตตทิฏฐิ หรอื สักกายทิฏฐิ ทย่ี ึดมน่ั ในขันธ ๕ วาเปน ตวั เปน ตน ดังน้ี ( ใน ๔ ขอ นน้ั เรามกั จะยึดขอใดขอหนึ่ง แตสวนใหญจะเปนขอ ๑ ) ๑) สกั กายทฏิ ฐิทเี่ กดิ ขน้ึ โดยอาศยั รูปขันธเปน อารมณ มี ๔ คอื ๑. รูป อตตฺ โต สมนปุ สฺสติ เห็นวา รูปเปนเรา เราเปนรปู (เขาใจวาเรากับรา งกายเปนอนั เดียวกัน เหมือนกับที่เหน็ เปลวไฟกับแสงไฟ ฉะนัน้ ) ๒. รปู วนตฺ ํ วา อตฺตานํ เห็นวา เรามรี ูป (เขา ใจวา เรากับรางกายเปนคนละอัน เหมือนหนง่ึ ตน ไมก บั เงา ฉะนนั้ ) ๓. อตตฺ นิ วา รปู เห็นวา รูปอยูในเรา (เขา ใจวา เรากับรางกายเปนคนละอัน เหมอื นกลิ่นดอกไมท ่ีอยูในดอกไม ฉะนั้น) ๔. รปู สฺมิ วา อตฺตานํ เหน็ วา เราอยูใ นรูป (เขา ใจวา เรากบั รา งกายเปนคนละอัน เหมอื นหนงึ่ แกว มณีท่อี ยุในหบี ฉะน้นั ) รูปารมณ ปฏิภาคนิมติ ๓. เห็นวาเท่ียง เปน ตวั เราทไ่ี ปเกิด โดยทงิ้ รปู ไว ๑ ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ........ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ยดึ ปฏภิ าคนมิ ิตวาเปนตวั เรา ตาของเรา ๔. เห็นวา ปฏิภาคนิมิต เกดิ จากรูป แตย งั ถอื วาปฏภิ าคนมิ ิต เปน เรา จึงเห็นวาเราอยใู นรปู ปฏิภาคนิมติ รปู ๒ ๒) สกั กายทฏิ ฐิที่เกิดขนึ้ โดยอาศยั เวทนาขันธเ ปนอารมณ มี ๔ คอื ๑. เวทนํ อตฺตโต สมนุปสฺสติ เหน็ วา การเสวยอารมณเปนเรา เราคือการเสวยอารมณ (เขาใจวา เราและการเสวยอารมณเ ปน อันเดียวกนั ) ๒. เวทนาวนตฺ ํ วา อตฺตานํ ๓. อตฺตนิ วา เวทนํ เหน็ วา เรามกี ารเสวยอารมณ ๔. เวทนาย วา อตฺตานํ เหน็ วา การเสวยอารมณอ ยูในเรา (เขา ใจวา เราและการเสวยอารมณเ ปน คนละอนั และอุปมาเหมอื นรูปขันธ) เหน็ วา เราอยใู นการเสวยอารมณ รปู ารมณ ๔. เวทนาไปเสวยอารมณ โดยตองพาตัวเราทีเ่ ปนสัมปยุตตธรรม จักขุ - สพั พ.๖ (-เวทนา ) จกั ขุสัมผสั สชาเวทนา ๓. เราเปนจติ ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ..... จิตทุกดวงมีเวทนา อเุ บกขา โลภะ --> สุขเวทนา / โทสะ-โทมนัส ๒. เรา กําลงั เอาชวนะเปน เราเสวยเวทนา จกั ขปุ สาท ๑. การเสวยอารมณเปน เรา เรา คือ การเสวยอารมณ
Search