เจตสกิ ๕๒ จติ ๙๑ เจตสิก ๒๕ สัพพ. ๗ ๑ผ๒สั ๑ ๑เว๒ท๑ ๑ส๒ญั ๑ ๑เ๒จต๑ ๑๒เอ๑ ๑๒ชี๑ ๑ม๒น๑ กามาวจรโสภณ ปกณิ .. ๖ ว๕ติ ๕ก ว๖จิ ๖า ๑อ๑ธ๐ิ ๑ว๐ิร๕ิ ๕ปิต๑ิ ๑ฉ๐ัน๑ โสภณสาธารณเจตสกิ ๑๙ ๒๔ โมจ. ๔ ๑โ๒ม ๑อ๒หิ อ๑โ๒น ๑อ๒ุท โลติ. ๓ โ๘ล ๔ทฏิ ๔มา วิรตเี จตสิก ๓ มหากศุ ล โทจ. ๔ โ๒ท อ๒สิ ม๒ัจ ก๒กุ อัปปมัญญาเจตสกิ ๒ มหากศุ ล ๘ ถี. ๒ ๕ถี ม๕ทิ มหากริ ิยา ๘ วจิ ิ. ๑ ว๑ิจิ ปัญญาเจตสิก ๑ เฉพาะญาณสมั ป โส.สา. ๑๙ ศ๙ร๑ัท ส๙ต๑ิ ๙ห๑ริ ิ โ๙อ๑ต อ๙โ๑ล อ๙โ๑ท ต๙ตั ๑ร วิรตี ๓ ๔ว๘า ๔กัม๘ ๔อ๘า ก๙.ป๑สั จ๙.ป๑ัส **** ( ๔ ) โสภณเจตสิก ๒๕ ดวง ประกอบ อัปป. ๒ ๒ก๘รุ ๒ม๘ุ ล๙ห๑ุ ล๙ห๑ุ โสภณสาธารณเจตสกิ ๔ แต่ละดวง ประก ม๙ทุ๑ุ ม๙ุท๑ุ ปญั . ๑ ป๗ัญ๙ ประกอบไมไ่ ด้ใน ก๙มั๑ ก๙มั๑ วริ ตีเจตสิก ๓ แตล่ ะดวง ประก ประกอบในจติ ไ ๙ป๑า ๙ป๑า อปั ปมัญญาเจตสกิ ๒ แตล่ ะดวง ประก ๙ช๑ุ ๙ช๑ุ ประกอบในจิตไ ปญั ญาเจตสิก ๑ ประกอบได้ในจ ประกอบในจติ ไ พระอาจารย์ ทวี เกตุธมโม
๓๐ สมั ปโยคนัยแห่งโสภณเจตสิก ๒๕ รวม ประกอบได้ในจิตดังน้ี ณจิต ๒๔ รูปาวจรจติ ๑๕ อรูปาวจรจติ ๑๒ โลกุตตรจติ ๘ หรอื ๔๐ ๑๕ ๑๒ ๘ หรอื ๔๐ ๕๙ หรือ ๙ ๑ ๘- - ๘ หรอื ๔๐ ๑๖ หรือ ๔๘ ๑๖ ๑๒ - - ๒๘ ๘ ( เวน้ รปู าวจรปัญจมฌานจิต ๓ ) ปยุตต์ ๑๒ ๑๕ ๑๒ ๘ หรอื ๔๐ ๔๗ หรือ ๗๙ บในโภณจิต ๕๙ หรอื ๙๑ เทา่ นั้น กอบไดใ้ นโสภณจติ ๕๙ หรอื ๙๑ คือ กามา ฯ ๒๔ , มหัค ฯ ๒๗ , โลกุต ฯ ๘ /๔๐ นอโสภณจิต ๓๐ กอบไดใ้ นจติ ๑๖ หรอื ๔๘ คือ มหากุ ๘ , โลกุต ฯ ๘/๔๐ ไมไ่ ด้ ๙๓ ดวง คือ ๑๒ - ๑๘ - ๑๖ - ๑๕ - ๑๒ กอบไดใ้ นจติ ๒๘ ดวง คือ มหากุ ๘ , มหากิ ๘ , รปู า ฯ ๑๒ (เว้นรูปาวจรปัญจมฌานจิต ๓) ไมไ่ ด้ ๙๓ ดวง คือ ๑๒ - ๑๘ - ๘ - ๓ - ๑๒ - ๔๐ จติ ๔๗ หรือ ๗๙ คือ กามาวจรญาณสัม ฯ ๑๒ , มหคั ฯ ๒๗ , โลกุต ฯ ๘/๔๐ ไมไ่ ด้ ๔๒ ดวง คอื ๑๒ - ๑๘ - ๑๒
เจตสิก ๕๒ จิต ๑๒๑ สัมปโยคนัย มว. กา เจตสกิ ๕๒ สัพพ. ๗ ๑ผ๒สั ๑ ๑เว๒ท๑ ๑ส๒ัญ๑ ๑เ๒จต๑ ๑๒เอ๑ ๑๒ชี๑ ๑ม๒น๑ สพั พจิตตฯ ๗ อกุศลจติ ๑๒ ปกิณ.. ๖ ว๕ิต๕ก ว๖ิจ๖า ๑อ๑ธ๐ิ ๑ว๐ิร๕ิ ๕ปิต๑ิ ๑ฉ๐ัน๑ วิตกเจตสกิ ๑ อกุศลจติ ๑๒ อกศุ ลจติ ๑๒ โมจ. ๔ ๑โ๒ม ๑อ๒หิ อ๑โ๒น ๑อ๒ุท วิจารเจตสกิ ๑ อกุศลจติ ๑๒ โลติ. ๓ โ๘ล ท๔ิฏ ๔มา อกศุ ลจติ ๑๑ (วจิ ิกจิ ฉา ๑) โทจ. ๔ โ๒ท อ๒สิ ม๒จั ก๒กุ อธโิ มกขเ์ จตสกิ ๑ อกศุ ลจติ ๑๒ วิรยิ เจตสิก ๑ ถี. ๒ ๕ถี ม๕ิท วิจิ. ๑ ว๑จิ ิ ปิตเิ จตสกิ ๑ โลภโสมนสั ๔ โส.สา. ๑๙ ศ๙ร๑ัท ส๙๑ติ ๙ห๑ิริ โ๙อ๑ต อ๙โ๑ล อ๙โ๑ท ต๙ตั ๑ร ฉันทะเจตสกิ ๑ โลภมลู จิต ๘ โทสมลู จติ ๒ วริ ตี ๓ ๔ว๘า ๔กัม๘ ๔อ๘า ก๙.ป๑สั จ๙.ป๑ัส โมจตุกเจตสกิ ๔ อกุศลจติ ๑๒ อปั ป. ๒ ๒ก๘รุ ๒ม๘ุ ล๙ห๑ุ ล๙ห๑ุ โลภเจตสิก ๑ โลภมลู จติ ๘ ม๙ทุ๑ุ ม๙๑ุทุ ทฏิ ฐเิ จตสกิ ๑ ทิฏฐิคตสมั ปยตุ ตจิต ๔ ปญั . ๑ ป๗ัญ๙ มานะเจตสิก ๑ โทจตุกเจตสกิ ๔ ทิฏฐิคตวิปปยตุ ตจติ ๔ ก๙๑มั ก๙๑มั ถีทกุ เจตสิก ๒ โทสมูลจติ ๒ วจิ กิ ิจฉาเจตสิก ๑ อกศุ ลสสงั ขาริกจิต ๕ ๙ป๑า ๙ป๑า โสภณสา ฯ ๑๙ วิจิกจิ ฉาสมั ปยุตตจิต ๑ วิรตเี จตสิก ๓ ๙ช๑ุ ๙ช๑ุ — — อัปมัญญาเจตสิก ๒ — พระอาจารย์ ทวี เกตุธมโม ปญั ญาเจตสกิ ๑ —
ารยกเจตสิกขน้ึ เป็นประธาน แล้วหาดวู า่ จติ ประกอบกับเจตสิกไดก้ ี่ดวง ๓๑ อเหตกุ จิต ๑๘ กามาวจรโสภณจติ ๒๔ ฌานจิต ๖๗ ประกอบ กบั จิตได้ อเหตกุ จิต ๑๘ กามาวจรโสภณจติ ๒๔ ฌานจติ ๖๗ ๑๒๑( ๘๙ ) อเหตกุ จิต ๘ (ทวิ ๑๐) กามาวจรโสภณจิต ๒๔ ปฐมฌานจิต ๑๑ ๕๕ อเหตกุ จติ ๘ (ทวิ ๑๐) กามาวจรโสภณจิต ๒๔ ปฐมฌานจติ ๑๑ ทุตยิ ฌานจิต ๑๑ ๖๖ ) อเหตกุ จิต ๘ (ทวิ ๑๐) กามาวจรโสภณจติ ๒๔ ๑๑๐( ๗๘ ) ฌานจิต ๖๗ มโนทวาราวัชชนจติ ๑ กามาวจรโสภณจิต ๒๔ ๑๐๕ ( ๗๓ ) หสิตปุ ปาทจิต ๑ (อวริ ิยจติ ๑๖) ฌานจิต ๖๗ ๕๑ โสมนัสสันตีรณจิต ๑ กามาวจรโสมนัส ปฐม ๑๑ , ทุติ ๑๑ โสมนสั หสติ ปุ ปาทจิต ๑ สหคตจิต ๑๒ ตติ ๑๑ — กามาวจรโสภณจิต ๒๔ ฌานจิต ๖๗ ๑๐๑ ( ๖๙ ) — — — ๑๒ — — —๘ — — —๔ — — —๔ — — —๒ — — —๕ — — —๑ — กามาวจรโสภณจิต ๒๔ ฌานจติ ๖๗ ๙๑ (๕๙ ) — มหากศุ ลจิต ๘ โลกตุ ตรจติ ๔๐ (๘ ) ๔๘ (๑๖ ) — มหากศุ ลจติ ๘ รปู าวจรจิต ๑๒ ๒๘ มหากริ ยิ าจิต ๘ ( ปัญจมฌานจิต ๓ ) — กามาวจรญาณสัมฯ ๑๒ ฌานจติ ๖๗ ๗๙ (๔๗ )
แสดงสมั ปโยคนยั โดยยอ่ 4 นัย 1. สพั พจิตตสาธารณเจตสิก 7 ประกอบกับจติ ได้ทง้ั หมด 2. ปกิณณกเจตสิก 6 ประกอบในจติ ท้ังหมดตามท่ีประกอบได้ 3. อกศุ ลเจตสกิ 14 ประกอบในอกศุ ลจิต 12 ดวง เท่าน้ัน 4. โสภณเจตสิก 25 ประกอบในโสภณจติ 59 / 91 ดวง เท่านั้น แสดงสัมปโยคนยั โดยพิสดาร มี 16 นยั อญั ญสมานเจตสกิ 13 มี 7 นัย นัย เจตสกิ 52 ดวง จิตที่ประกอบได้ จิตทป่ี ระกอบไมไ่ ด้ 1 สพั พจติ ตสาธารณ7 121 ไมม่ ี 2 วิตก 1 55 คอื 44+ 116=6 5คอื510+11+11+11+23 = 54 66คอื 44 +11+11 5=56ค6ือ 3 วจิ าร 1 54 10+11+11+23 = 5 4 อธโิ มกข์ 1110 คือ 43+27+40 = 110 11 คือ 10+1 = 11 54 5 วริ ิยะ 1105 คอื 38+27+40 = 105 16 คือ 15+1 = 16 54 6 ปติ ิ 1 51คือ18+11+11+11 7=05ค1ือ2+2+55+11 = 70 54 7 ฉนั ทะ 1101คอื 34+27+40 = 10210 คือ 2+18 = 20 54 พระอาจารยท์ วี เกตธุ มโม
๓๒ อกศุ ลเจตสกิ 14 มี 5 นัย นยั เจตสกิ จติ ทีป่ ระกอบได้ จติ ทป่ี ระกอบไมไ่ ด้ 8 โมจตกุ 4 อกุศลจิต 12 109 คือ 18+24+67 = 109 โลภะ 1 โลภมูลจติ 8 113 คือ 2+2+18+91 = 113 9 ทิฎฐิ 1 ทฎิ ฐิคตสมั ปยตุ ตจิต 4 117 คือ4+2+2+18+91 = มานะ 1 ทิฎฐคิ ตวิปปยตุ ตจติ 4 117 คือ4+2+2+18+91 = 10 โทจตุก 4 โทสมลู จติ 2 119 คือ8+2+18+91 = 119 11 ถีทุกะ 2 อกศุ ลสสงั ขาริกจติ 5 116 คือ7+18+91 = 116 66 วจิ กิ จิ ฉาสมั ปยตุ ตจิต 1 120 คอื 8+2+1+18+91 = 12 วิจิกิจฉา 1 55 1 โสภณเจตสิก 25 มี 4 นยั นยั เจตสิก จติ ทีป่ ระกอบได้ จติ ท่ีประกอบไม่ได้ 13โสภณสาธารณ19 โสภณจิต 59/91 อโสภณจติ 30 14 วิรตี 3 16/48 คือ8+8/40 = 167/348คือ12+18+16+27 = 73 15 อปั ปมัญญา 2 28 คือ8+81+51=22983 คือ12+18+8+3+12+40 = 9 16 ปัญญา417/79 คือ122+427+8/40 = 4472/7ค9ือ 12+18+12 = 42 24
อนิยตโยค เจตสกิ ๕๒ อนยิ ตโยคเี จตส สัพพ. ๗ ผสั สะ เวทนา สญั ญา เจตนา เอกคั . ชวี ติ ิน. มนสิการ อญั ญ. ๑๓ นานากทาจิเจตส ปกิณ. ๖ วิตก วิจาร อธิโมกข์ วริ ยิ ะ ปิติ ฉันทะ กทาจิเจตสกิ โมจ. ๔ โมหะ อหริ กิ ะ อโนต. อุทธจั จะ อกุศล. ๑๔ สหกทาจิเจตสิก โลต.ิ ๓ โลภะ ทฏิ ฐิ มานะ นยิ ตโยคเี จตสกิ โทจ. ๔ โทสะ อสิ สา มจั ฉรยิ ะ กกุ กจุ จะ ถีท.ุ ๒ ถนี ะ มิทธะ ๑. มานะ วิจิ. ๑ วิจกิ จิ ฉา ๒. อสิ สา โส.สา ๑๙ ศรัทธา สติ หิริ โอตตัป อโลภะ อโทสะ ตตั ตร ๓. มจั ฉรยิ ะ ๔. กกุ กจุ จะ วิรตี ๓ สัม.วาจา กมั มัน อาชีวะ ก.ปสั จิต.ปัส โสภณ. ๒๕ อัปป. ๒ กรณุ า มุฑิตา ก.ลหุ จติ .ลหุ ๔. ถนี ะ ปญั . ๑ ปัญญา ก.มทุ ุ จิต.มุทุ ๕. มิทธะ ก.กมั จิต.กัม ๖. สัมมาวาจา ๗. สมั มากมั มัน ก.ปา จิต.ปา ๘. สัมมาอาชวี ะ กายชุ ุ จิตตุชุ ๑๐. กรณุ า ๑๑. มุฑิตา หมายเหตุ พระอาจารยท์ วี เกตธุ มโม
๓๓ คีเจตสิก สิก เป็นเจตสิกท่ีประกอบกับจิตได้ไม่แนน่ อนมี ๑๑ ดวง คอื มานะ อสิ สา มัจฉริยะ กุกกุจจะ ถนี ะ มิทธะ วิรตเี จตสิก ๓ อัปปมญั ญาเจตสิก ๒ สกิ เป็นเจตสิกที่ประกอบไดเ้ ปน็ บางคร้ังบางคราวและไมป่ ระกอบพรอ้ มกัน มี ๘ ดวง คอื อิสสา มัจฉรยิ ะ กกุ กุจจะ วริ ตี ๓ อัปปมญั ญา ๒ เปน็ เจตสิกท่ีประกอบได้เป็นบางคร้ังบางคราว มี ๑ ดวง คอื มานะ ก เป็นเจตสิกที่ประกอบได้เปน็ บางคร้งั บางคราวแตพ่ ร้อมกันมี ๒ ดวง คอื ถนี ะ มิทธะ ก เจตสิกที่ประกอบได้แน่นอนมี ๔๑ ดวง คือ เจตสิก ๔๑ ดวง ที่นอกจากอนยิ ตโยคีเจตสิก เป็น กทาจิ ประกอบเป็นบางครง้ั เปน็ นานากทาจิ ประกอบเป็นบางครงั้ และ ทีละดวง เปน็ สหกทาจิ ประกอบเป็นบางครัง้ และ พร้อมกันท้ัง ๒ ดวง นตะ ท่ีเปน็ โลกยี ะ เปน็ นานากทาจิ คือ ประกอบเป็นบางครั้ง และ ประกอบทีละดวงเทา่ นั้น ะ เป็น นานากทาจิ ประกอบเป็นบางครงั้ และ ทลี ะดวง เฉพาะวิรตีเจตสกิ ๓ ดวง ท่ีประกอบกบั โลกุตตรจติ เป็น นิยตเอกโต กลา่ วคอื ตอ้ งประกอบแน่นอน และ ประกอบพรอ้ มกันท้ัง ๓ ดวง
ภาพจิตประกอบสังคหนัย ๓๓ นัย อกุศลจติ ๑๒ ๑๙ ๒๑ ๑๙ ๒๑ สังคหนัย มว ๑๘ ๒๐ ๑๘ ๒๐ ๒๐ ๒๒ สังคหนัยโด ๑๕ ๑๕ ๑. อกุศลจติ ๑๒ อเหตกุ จิต ๑๘ ๗ ๗ ๗ ๗ ๗ ๑๐ ๑๐ ๒. อเหตกุ จิต ๑๘ ๗ ๗ ๗ ๗ ๗ ๑๐ ๑๐ ๑๑ ๓. กามาวจรโสภณ ๑๐ ๑๑ ๑๒ ๔. มหัคคตจติ ๒ ๕. โลกตุ ตรจติ ๘ กามาวจรโสภณจิต ๓๘ ๓๘ ๓๗ ๓๗ ๒๔ ๓๗ ๓๗ ๓๖ ๓๖ สงั คหนัย คอื ๓๓ ๓๓ ๓๒ ๓๒ ๑. ในอกุศลจติ ๑๒ ๓๒ ๓๒ ๓๑ ๓๑ ๒. ในอเหตกุ จติ ๑๘ ๓๕ ๓๕ ๓๔ ๓๔ ๓. ในมหากศุ ลจติ ๘ ๓๔ ๓๔ ๓๓ ๓๓ ๔. ในมหาวปิ ากจิต ๘ รปู าวจรจติ ๑๕ ๓๕ ๓๔ ๓๓ ๓๒ ๓๐ ๕. ในมหากริ ิยาจติ ๘ ””””” ๖. ในรปู าวจรจิต ๑๕ ””””” ๗. ในอรปู าวจรจิต ๑๒ ๘. ในโลกตุ ตรจติ ๘ อรปู าวจรจิต ๑๒ ๓๐ ๓๐ ๓๐ ๓๐ ”””” ”””” โลกตุ ตรจิต ๔๐ ๓๖ ๓๕ ๓๔ ๓๓ ๓๓ ””””” ””””” ””””” ””””” ””””” ””””” ”””””
๓๔ สังคหนยั ว. การยกจติ ขนึ้ เปน็ ประธาน แล้วหาดูว่าจิตดวงนัน้ ๆ มเี จตสิกประกอบได้ก่ีดวง ดยย่อมี ๕ นยั สงั คหนัยโดยพสิ ดารมี ๓๓ นัย คอื นบั เป็นหนึง่ นัย ๑. อกุศลจติ ๑๒ มี ๗ นยั ๘” ๒. อเหตุกจติ ๑๘ มี ๔ นยั ณจิต ๒๔ ” ๓. กามาวจรโสภณจิต ๒๔ มี ๑๒ นัย ๗” ๔. มหัคคตจิต ๒๗ มี ๕ นัย ๘ - ๔๐ ๕. โลกุตตรจิต ๘ - ๔๐ มี ๕ นัย ” การนับจานวนเจตสกิ ในจิต ๘๙ หรือ ๑๒๑ ดวง ตามสมควรทปี่ ระกอบได้ มเี จตสิกประกอบได้ ๒๗ ดวง คือ อัญญสมาน ๑๓ อกศุ ล ๑๔ มเี จตสิกประกอบได้ ๑๒ ดวง คอื อัญญสมาน ๑๒ ( เว้นฉันทะ ) มีเจตสิกประกอบได้ ๓๘ ดวง คือ อัญญสมาน ๑๓ โสภณ ๒๕ ๘ มเี จตสิกประกอบได้ ๓๓ ดวง คือ อัญญสมาน ๑๓ โสภณสาธารณ ๑๙ ปญั ญา ๑ ( เวน้ วริ ตี ๓ , อัปปมญั ญา ๒ ) มเี จตสิกประกอบได้ ๓๕ ดวง คอื อัญญสมาน ๑๓ โสภณ ๒๒ ( เวน้ วริ ตี ๓) มเี จตสิกประกอบได้ ๓๕ ดวง คอื อญั ญสมาน ๑๓ โสภณ ๒๒ ( เวน้ วิรต๓ี ) ๒ มีเจตสิกประกอบได้ ๓๐ ดวง คือ อัญญสมาน ๑๐ ( เวน้ วติ ก+วิจาร+ปิติ ) โสภณ ๒๐ (๓,๒) มีเจตสิกประกอบได้ ๓๖ ดวง คือ อญั ญสมาน ๑๓ โสภณ ๒๓ ( เว้นอัปปมัญญา ๒ ) พระอาจารย์ทวี เกตธุ มโม
แสดงสังคหนยั โดยพ นัยท่ี โลภมูลจิต ๘ มเี จตสกิ ประกอบ นัยท ๑ ๑๙ คือ ๗ + ๖ + ๔ + ภ = ๑๙ ๘ ๑๒ ๙ ๒๓ ๒๑ คือ ๗ + ๖ + ๔ + ภ ๒ = ๒๑ ๑๐ ๑๑ ๔ ๑๙ คอื ๗ + ๖ + ๔ + ภ + น = ๑๙ ๓๕ ๑๒ ๔๖ ๒๑ คอื ๗ + ๖ + ๔ + ภ + น + ๒ = ๒๑ ๑๓ ๑๔ ๗ ๑๘ คือ ๗ + ๕/๖ + ๔ + ภ = ๑๘ ๑๕ ๘ ๒๐ คือ ๗ + ๕/๖ + ๔ + ภ ๒ = ๒๐ โทสมูลจิต ๒ ๕๑ ๑๘ คือ ๗ + ๕/๖ + ๔ + ภ + น = ๑๘ ๖๒ ๒๐ คอื ๗ + ๕/๖ + ๔ + ภ + น + ๒ = ๒๐ ๒๐ คือ ๗ + ๕/๖ + ๔ + ๔ = ๒๐ ๒๒ คือ ๗ + ๕/๖ + ๔ + ๔ + ๒ = ๒๒ โมหมูลจติ ๒ ๑๖ ๗ ๑ ๑๕ คอื ๗ + ๓/๖ + ๔ + ๑ + = ๑๕๑๗ ๒ = ๑๕ ๑๘ ๑๕ คอื ๗ + ๔/๖ + ๔ ๑๙ ( ๓ = อธิโมกข์ + ปิติ + ฉันทะ ) ( ๔ = ปิติ + ฉนั ทะ )
๓๕ พสิ ดารมี ๓๓ นยั คอื ที่ อเหตกุ จติ ๑๘ มีเจตสิกประกอบ ทวิ - ๑๐ ๗ คือ ๗/๑๓ ๒+ ๒+ ๑ ๑๐ คอื ๗ + ๓/๖ = ๑๐ ( วริ ิย ปติ ิ ฉนั ทะ ) โส - ตี ๑ ๑๑ คอื ๗ + ๔/๖ = ๑๑ ( วิรยิ + ฉันทะ ) มโน - อา ๑ ๑๑ คอื ๗ + ๔/๖ = ๑๑ ( ปิติ + ฉันทะ ) หสิ-๑ ๑๒ คือ ๗ + ๕/๖ = ๑๒ ( ฉันทะ ) มหากุศลจิต ๘ ๓๘ คอื ๗ + ๖ + ๑๙ + ๓ + ๒ + ๑ = ๓๘ ๑- ๒ ๓๗ คือ ๗ + ๖ + ๑๙ + ๓ + ๒ = ๓๗ ๓- ๔ ๓๗ คอื ๗ + ๕/๖ + ๑๙ + ๓ + ๒ + ๑ = ๓๗ ๕- ๖ ๓๖ คอื ๗ + ๕/๖ + ๑๙ + ๓ + ๒ + = ๓๖ ๗- ๘ ๓๓ คือ ๗ + ๖ + ๑๙ + ๑ = ๓๓ มหาวปิ ากจติ ๘ ๓๒ คอื ๗ + ๖ + ๑๙ = ๓๒ ๓๒ คือ ๗ + ๕/๖ + ๑๙ + ๑ = ๓๒ ๑- ๒ ๓๑ คือ ๗ + ๕/๖ + ๑๙ = ๓๑ ๓- ๔ ๕- ๖ ๗- ๘ ( เว้นวิรตี ๓ ,อปั ปมัญญา ๒) พระอาจารยท์ วี เกตธุ มโม
นัยที่ มหากริ ิยาจติ ๘ มเี จตสกิ ประกอบ ๒๐ ๑ - ๒ ๓๕ คอื ๗ + ๖ + ๑๙ + ๒ + ๑ = ๓๕ ๒๑ ๓ - ๔ ๒๒ ๕ - ๖ ๓๔ คอื ๗ +๖ + ๑๙ + ๒ = ๓๔ เวน้ วริ ตีเจตสิก ๓ ๒๓ ๗ - ๘ ๓๔ คอื ๗ + ๕/๖ + ๑๙ + ๒ + ๑ = ๓๔ ๓๓ คอื ๗ + ๕/๖ + ๑๙ + ๒ = ๓๓ มหคั คตจติ ๒๗ ๒๔ ป. ๓ ๓๕ คอื ๗ + ๖ + ๑๙ + ๒ + ๑ = ๓๕ ๒๕ ท. ๓ ๓๔ คือ ๗ +๕/๖ + ๑๙ + ๒ + ๑ = ๓๔ ( เวน้ วิตก ) ๒๖ ติ. ๓ ๓๓ คอื ๗ + ๔/๖ + ๑๙ + ๒ + ๑ = ๓๓ ( เว้นวิตก วิจาร ) ๒๗ จตุ. ๓ ๓๒ คือ ๗ + ๓/๖ + ๑๙ + ๒ + ๑ = ๓๒ ( เวน้ วติ ก วจิ าร ปติ ิ ) ๒๘ ปญั จ ๑๕ ( ๓ + ๑๒ ) ๓๐ คอื ๗ + ๓/๖ + ๑๙ + ๑ = ๓๐ ( เวน้ วิตก วจิ าร ปติ ิ + อปั ๒ โลกตุ ตรจิต ๔๐ ๓๖ คอื ๗ + ๖ + ๑๙ + ๓ + ๑ = ๓๖ ๒๙ ป. ๘ ๓๕ คอื ๗ + ๕/๖ + ๑๙ + ๓ + ๑ = ๓๕ ( เวน้ วติ ก ) ๓๐ ท.ุ ๘ ๓๔ คอื ๗ + ๔/๖ + ๑๙ + ๓ + ๑ = ๓๔ ( เวน้ วติ ก วิจาร ) ๓๑ ติ. ๘ ๓๓ คือ ๗ + ๓/๖ + ๑๙ + ๓ + ๑ = ๓๓ ( เวน้ วิตก วจิ าร ปติ ิ ) ๓๒ จตุ. ๘ ๓๓ คอื ๗ + ๓/๖ + ๑๙ + ๓ + ๑ = ๓๓ ( เว้นวิตก วิจาร ปติ ิ ) ๓๓ ปญั จ. ๘ ข้อทค่ี วรสงั เกตุ ในอกศุ ลจติ ๑๒ ดวงน้นั ไม่ประกอบในโสภณเจตสกิ ในอเหตกุ จิต ๑๘ เข้าไดแ้ ต่อญั ญสมานเจตสิก ๑ ในกามาวจรโสภณจิต ๒๔ มหาวิปากจติ ๘ ไม่ประกอบกับวริ อัปปมญั ญา ๒ และ ในมหคั คตจิต ๒๗ องค์ฌานท้ัง ๕ และ วริ ตีเจตส ในโลกุตตรจิต ๔๐ องคฌ์ านทั้ง ๕ และ อปั ปมัญญ
๓๖ หมายเหตุ สรุปสังคหนัยโดยยอ่ และโดยพสิ ดาร ในมหคั คตจิต ๒๗ องคฌ์ านทงั้ ๕ และ ** สังคหนยั โดยยอ่ สรุปโดยกล่มุ ของจิต หรือ วริ ตี ๓ ยอ่ มทาใหต้ ่างกนั ตามลูกกุญแจดวงท่ี ๑ มี อกศุ ลจิต ๑๒ เปน็ ตน้ จนถึงโลกุตตรจิต ๔๐ เปน็ ทีส่ ุด มี ๘ นยั ** สงั คหนยั โดยพสิ ดาร แสดงโดยจิตแตล่ ะดวง หรอื ตามแบบสภาวะของจิตดวงนัน้ ๆ แสดงเป็น ๓๓ นยั ๒) ในโลกตุ ตรจิต ๔๐ องค์ฌานทั้ง ๕ และ พระอาจารยท์ วี เกตธุ มโม อปั ปมญั ญาเจตสกิ ๒ ย่อมทาให้แตกตา่ งกนั ) ๒๕ ๑๒ ( เวน้ ฉันทะ ) รตี ๓ ะ มหากิริยาจติ ๘ ไม่ประกอบกับวริ ตีเจตสิก ๓ สิก ๓ ย่อมทาใหต้ ่างกัน ญาเจตสิก ๒ ยอ่ มทาใหต้ ่างกัน
ตทุภยม ตทภุ ยมสิ สกนัย คอื การยกเจตสิกข้นึ มากล่าวเป็นประธานและหาจานวนเจตสิกท่ี ประกอบกับเจตสิกน้นั ๆ ได้ตามหลกั สมั ปโยคนยั และสงั คหนัย ในอัญญสม รวมกนั สพั พจิตต ๗ ภาพเจตสิกประกอบกบั ตทภุ ยมิสสกนัย วติ กเจ. ๑ ดว วิจารเจ. ๑ ด สพั พ ๗ ผ๕ัสส๑ะ เว๕ท๑นา สัญ๕๑ญา เจ๕ต๑นา เอ๕ก๑ัค. ชีว๕ติ ๑นิ . มน๕ส๑ิการ อัญญสมานเจ. ๑๓ อธิโมกขเ์ จ. ปกิณณกะ ๖ ว๕ิต๑ก ว๕จิ ๑าร อธ๕ิโม๐กข์ ว๕ริ ยิ๑ะ ๔ปติ๖ิ ฉ๕ันท๐ะ วิรยิ ะเจ. ๑ ด ปตี เิ จ. ๑ ดวง โมจตกุ ๔ โม๒ห๖ะ อห๒ริ ๖ิกะ อโ๒น๖ต. อุท๒ธจั๖จะ ฉนั ทะเจ. ๑ โลตกิ ๓ โล๒ภ๑ะ ท๒ฏิ ๐ฐิ ม๒าน๐ะ ในอกศุ ล โทจตกุ ๔ โท๒ส๑ะ อสิ๑๙สา มจั ๑ฉ๙ริยะ กกุ ๑ก๙จุ จะ อกศุ ลเจ. ๑๔ โมจตุก ๔ แต โลภเจ. ๑ ดว ถีทุก ๒ ถ๒นี ๕ะ ม๒ิท๕ธะ ทฏิ ฐเิ จ. ๑ ด วิจิกจิ ฉา ๑ วจิ ๑ิก๔จิ ฉา มานเจ. ๑ ดว โทสเจ. ๑ ดว โส.สา ๑๙ ศ๓รัท๗ธา ๓ส๗ติ ๓ห๗ิริ โอ๓ต๗ตัป อ๓โล๗ภะ อโ๓ท๗สะ ต๓ัต๗ตร อิสสาเจ. ๑ ด มจั ฉริยะเจ. วริ ตี ๓ ส๓ัม๓./ว๓าจ๕าก๓มั ๓ม/ัน๓ต๕ะ๓อ๓าช/๓ีวะ๕ โลกียะ ๓๓ ก๓.ป๗ัส จิต๓.๗ปสั กุกกจุ จเจ. ๑ อัปปมญั ญา ๒ ก๓รณุ๓า ม๓ุฑ๓ิตา โลกุตตร ๓๕ ก๓.ล๗หุ จ๓ิต.๗ลหุ ถีทุกเจ. ๒ ด ก๓.ม๗ทุ ุ จติ๓.๗มทุ ุ วจิ กิ ิจฉาเจ. ๑ ปญั ญา ๑ ป๓ัญ๗ญา โสภณเจ. ๒๕ ในโสภณ ก๓.ก๗มั จ๓ิต.๗กัม โสภณสา ฯ ๑ ก๓.ป๗า จ๓ิต.๗ปา วริ ตีเจ. ๓ ดว ก๓าย๗ุชุ จ๓ิต๗ตุชุ อัปปมญั ญาเ พระอาจารย์ทวี เกตธุ มโม ปญั ญินทรยี ์เ
มสิ สกนยั ๓๗ เจตสกิ ตารางการแสดงตทุภยมิสสกนยั มานเจตสิก ๑๓ ดวง รวมเจตสกิ ทป่ี ระกอบได้ ๗ แต่ละดวง ๕๑ ( เว้นตวั เอง ) วง ๕๑ ( เวน้ ตวั เอง ) ดวง ๕๑ ( เว้นตัวเอง ) ๑ ดวง ๕๐ ( เวน้ วิจิ ๑ , ตวั เอง ) ดวง ๕๑ ( เว้นตัวเอง ) ง ๔๖ ( เวน้ โทจตกุ ๔ , วิจิ ๑ , ตวั เอง ) ดวง ๕๐ ( เว้นวิจิ , ตวั เอง ) ลเจตสกิ ๑๔ ดวง ๒๖ คอื อัญญ ๑๓ , อกุศล ๑๓ ( เว้นตวั เอง ) ตล่ ะดวง ๒๑ คอื อัญญ ๑๓ , โมจตกุ ๔ , ทฏิ ฐิ , มานะ , ถีทกุ ะ ๒ วง ๒๐ ( เวน้ มานะ , ตวั เอง ) ดวง ๒๐ ( เว้นทฏิ ฐิ , ตวั เอง ) วง ๒๑ คือ อัญญ ๑๒ ( เว้นปตี ิ ) , โมจตุก ๔ , อสิ สา , มจั ฉ , กกุ , ถที กุ ๒ วง ๑๙ คือ อญั ญ ๑๒ ( เวน้ ปตี ิ ) , โมจตกุ ะ ๔ , โทสะ ๑ , ถที กุ ะ ๒ ดวง ๑๙ คอื อญั ญ ๑๒ ( เวน้ ปตี ิ ) , โมจตกุ ะ ๔ , โทสะ ๑ , ถที กุ ะ ๒ ๑ ดวง ๑๙ คอื อญั ญ ๑๒ ( เว้นปตี ิ ) , โมจตุกะ ๔ , โทสะ ๑ , ถีทกุ ะ ๒ ๑ ดวง ๒๕ คือ อญั ญ ๑๓ , อกศุ ล ๑๒ ( เวน้ วจิ ิ , ตวั เอง ) ดวง แตล่ ะดวง ๑๔ คอื อญั ญ ๑๐ ( เวน้ อธโิ มกข์ ปตี ิ ฉันทะ ) , โมจตกุ ะ ๔ ๑ ดวง ณเจตสกิ ๒๕ ดวง ๓๗ คือ อญั ญ ๑๓ โสภณ ๒๔ ( เว้นตวั เอง ) ๑๙ ดวง แตล่ ะดวง ๓๓ ทเี่ ปน็ โลกยี คือ อัญญ ๑๓ , โสภณสาฯ ๑๙ , ปญั ญา ๑ วง แตล่ ะดวง ๓๕ ทีเ่ ป็นโลกตุ ตร คอื อญั ญ ๑๓,โสภณสาฯ ๑๙,วริ ตี ๒ (เว้นตวั เอง),ปญั ญา ๑ ๓๓ คอื อัญญ ๑๓ , โสภณสาฯ ๑๙ , ปญั ญา ๑ เจ.๒ ดวง แตล่ ะดวง ๓๗ คอื อญั ญ ๑๓ ,โสภณเจตสิก ๒๔ ( เวน้ ตัวเอง ) เจ. ๑ ดวง
ปริเฉทท่ี ๖ รูปปรมัตถ์ สมทุ เทสา วภิ าคา จ สมฏุ ฐานา กลาปโต ปวตตกิ มโต เจติ ป จธา ตตถา สงคโห การแสดงสงเคราะหใ์ นรปู ปริเฉทนี้ พระอนรุ ุทธาจารยแ์ สดงเปน็ ๕ นยั คอื ๑. รปู สมทุ เทสนัย การแสดงรูปโดยสงั เขป ๒. รูปวิภาคนัย การจาแนกรูปโดยพิสดาร ๓. รปู สมุฏฐานนัย การแสดงสมฏุ ฐานของรปู ๔. รูปกลาปนัย การแสดงรูปที่เกดิ ข้ึนเป็นหมวดๆ ๕. รูปปวัตตกิ มนัย การแสดงความเกดิ ขนึ้ พร้อมดว้ ยความดบั ของรูปตามลาดบั รปู ปรมัตถแ์ ท้ ๑๘ รูป มี ๕ ชือ่ คอื ๑. สภาวรูป รปู ที่มสี ภาวะของตน ๆ ๒. สลักขณรูป รปู ท่มี ีลักษณะ อนจิ จะ ทกุ ขะ อนัตตะ ๓. นปิ ผันนรูป รูปท่ีเกิดขน้ึ จาก กรรม จติ อุตุ อาหาร ๔. รูปรูป รปู ทมี่ กี ารเส่อื มสน้ิ สลายไป ๕. สมั มสนรูป รปู ทพ่ี ระโยคีบุคคล พิจารณาโดยความเป็น อนิจจงั ทุกขงั อนัตตา รปู ปรมตั ถ์เทยี ม ๑๐ รปู มี ๕ ช่อื คือ ๑. อสภาวรูป รปู ที่ไม่มีสภาวะของตน ๆ ๒. อสลกั ขณรูป รูปทีไ่ มม่ ลี ักษณะ อนิจจะ ทกุ ขะ อนัตตะ ๓. อนิปผนั นรูป รปู ทไ่ี ม่เกดิ ขนึ้ จาก กรรม จิต อตุ ุ อาหาร ๔. อรูปรปู รปู ท่ไี มม่ กี ารเส่ือมสิน้ สลายไป ๕. อสมั มสนรูป รูปที่พระโยคบี ุคคล พิจารณาโดยความเป็น อนจิ จัง ทุกขงั อนัตตา รปู ๒๘ แบง่ ออกเปน็ ประเภทใหญไ่ ด้ ๒ คือ ๑. มหาภูตรูป หมายถงึ รูปที่เป็นใหญ่และปรากฏชัดเจน มี ๔ ๒. อปุ าทายรูป หมายถงึ รปู ที่อาศยั มหาภตู รูปเกดิ มี ๒๘
๓๘ มหาภตู รปู <๑. ป อา เต วา เล็ก ๑๑ ใหญ่ ๒ ๔ ๒. จกั โส ฆา ชวิ กาย มหาภูตรปู ๔ ๑. นปิ ผนั นรปู ๑๘ ปสาทรปู ๕ อปุ าทายรปู ๓. รปู า สัท คัน รสา ปวเาต วิสยรปู ๔/๗ ๒. อนปิ ผันนรปู ๑๐ ๒๔ ๔. อติ ปรุ ิ ภาวรปู ๒ ๕. หทย หทยรปู ๑ ชีวิตรูป ๑ ๖. ชวี ติ อาหารรปู ๑ ๗. อา ปรเิ ฉทรปู ๑ ๘. ปริ วญิ ญัติรปู ๒ วกิ ารรปู ๒ ๙. กาย วจี ลกั ขณรปู ๔ ๑๐. ลหุ มุทุ กัม กาย วจี ๑๑. อุป สัน ชร อนจิ า ได้ มหาภูตรูป ๔ คือ ปถวี อาโป เตโช วาโย า ไม่ได้ ปสาทรูป ๕ คือ จักขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย วสิ ยรูป ๗/๔ คือ รปู า สทั ทา คนั ธา รสา โผฏฐพั พารมณ์ ภาวรูป ๒ คือ อิตถีภาวะ ปุรสิ ภาวะ หทยรูป ๑ คือ หทยวัตถุ ชวี ติ รูป ๑ คือ ชีวิตนิ ทรยี ์ อาหารรูป ๑ คอื กพฬีการาหาร ปริจเฉทรปู ๑ คือ อากาสธาตุ วิญญัติรปู ๒ คือ กายวญิ ญตั ิ วจวี ญิ ญตั ิ วกิ ารรูป ๕/๓ คือ ลหตุ า มุทุตา กัมมญั ญตา กาย วจี ลกั ขณรูป ๔ คือ อปุ จยะ สนั ตติ ชรตา อนจิ จตา พระอาจารย์ทวี เกตธุ มโม
๑.รูปสมุทเทสนยั ( การแสดงรปู โดยสังเขป ) องค์ธรรมของรูป ๒๘ ๑. ปถวี รูปแขง็ และ รปู ปรมตั ถ์ ๒๘ ดวง คือ ๒. อาโป รปู ที่ไหล หร ๓. เตโช รูปทเ่ี ย็น รอ้ น ปถวี อาโป เตโช วาโย มหาภตู รปู ๔ ๔. วาโย รูปทหี่ ย่อน ต จักขุ โสต ฆาน ชวิ หา กาย ปสาทรปู ๕ ๕. จกั ขปุ สาท ความใสทสี่ า ๖. โสตปสาท ความใสท่สี า ๗. ฆานปสาท ความใสท่สี า รปู า สทั ทา คนั ธา รสา โผฏ วสิ ยรปู ๔/๗ ๘. ชวิ หาปสาท ความใสทส่ี า อติ ถี ปรุ สิ ภาวรูป ๒ ๙. กายปสาท ความใสทส่ี า หทย หทยรปู ๑ ๑๐. รปู ารมณ์ สตี ่างๆ ๑๑. สทั ทารมณ์ เสียงต่างๆ ชีวติ ะ ชวี ติ รูป ๑ ๑๒. คนั ธารมณ์ กล่นิ ตา่ งๆ อาหาร อาหารรปู ๑ ๑๓. รสารมณ์ รสตา่ งๆ ๑๔. โผฎฐพั ฯ เย็น รอ้ น อ่อน ๑๕. อิตถีภาวะ รปู ที่เปน็ เหต ปริ ปรจิ เฉทรปู ๑ ๑๖. ปุริสภาวะ รปู ที่เป็นเหต กาย วจี วญิ ญตั ิรปู ๒ ๑๗. หทยะ ลหตุ า มุทตุ า กัมมญั วิการรปู ๓/๕ รปู ทเ่ี กดิ อยใู่ น อปุ จยะ สนั ตติ ชรตา อนจิ จ ลักขณรปู ๔ ๑๘. ชวี ติ ะ รปู ทรี่ กั ษากมั ๑๙. อาหาระ รปู ทที่ าให้อา ๒๐. ปริเฉทะ อากาสรูปทีค่ ๒๑. กายวิญญัติ การเคล่อื นไห ๒๒. วจีวญิ ญตั ิ การเคล่อื นไห ๒๓. ลหตุ า ความเบาของ ๒๔. มุทตุ า ความอ่อนขอ ๒๕. กมั มญั ญตา ความควรแก ๒๖. อปุ จยะ ความเกดิ ขนึ้ ค ๒๗. สนั ตติ ทค่ี วรเกดิ ข้นึ ๒๘. ชรตา ความเกดิ ขึน้ ส ความแกข่ อง ๒๙. อนจิ จตา ความดบั ของ
๓๙ ท่ีเกิดของรูป ๒๘ ในร่างกายสัตว์ อ่อน ๑. มหาภตู รปู ๔ รอื เกาะกุม น ๒. กายปสาท ตงึ ามารถรบั รปู ารมณไ์ ด้ ๓. รูปารมณ์ ามารถรบั สทั ทารมณไ์ ด้ ๔. คนั ธารมณ์ ามารถรบั คันธารมณ์ได้ ๕. รสารมณ์ ามารถรบั รสารมณ์ได้ เกิดอยใู่ น ามารถรบั โผฎฐัพพารมณ์ได้ ๖. โผฎฐพั พารมณ์ รา่ งกายทว่ั ไป ๗. ชวี ติ ินทรี น แขง็ หยอ่ น ตึง ๘. กพฬีการาหาร ตแุ หง่ ความเปน็ หญงิ ๙. อากาสรูป ตแุ หง่ ความเปน็ ชาย นหวั ใจและเปน็ ทอี่ าศยั ของจติ เจ. ทง้ั หลาย ๑๐. ลักขณรปู ๔ มมชรปู ทง้ั หลาย าหารชรูปเกดิ ๑๑. สทั ทารมณ์ เกดิ ไดใ้ น คนั่ ระหวา่ งรปู กลาปตอ่ รปู กลาป ๑๒. กายวิญญัติ รา่ งกายทัว่ ไป หวต่างๆ ของรา่ งกาย ๑๓. วิการรปู ๓ หวต่างๆ ของวาจา งนปิ ผันนรปู ๑๔. อิตถภี าวะ เกิดอยู่ในร่างกาย องนปิ ผันนรปู ทวั่ ไปของหญงิ ก่การงานนปิ ผันนรปู ครัง้ แรกและเกิดขน้ึ ครั้งหลงั ๆ จนครบรปู ๑๕. ปรุ ิสภาวะ เกดิ อยู่ในร่างกาย นได้ของนปิ ผันนรปู ทวั่ ไปของชาย สบื ต่อกนั ของนปิ ผันนรูปจนถึงตาย งนปิ ผนั นรปู ๑๖. จกั ขปุ สาท เกดิ อยใู่ นลกู ตา งนปิ ผันนรปู ๑๗. โสตปสาท เกดิ อยใู่ นรูหู ๑๘. ฆานปสาท เกดิ อยู่ในจมกู ๑๙. ชวิ หาปสาท เกดิ อยทู่ ลี่ น้ิ ๒๐. หทยวตั ถุ เกดิ อยทู่ รี่ ปู หวั ใจ ๒๑. วจวี ิญญัติ เกดิ ได้ทปี่ าก พระอาจารยท์ วี เกตธุ มโม
๒. รปู วภิ าคนยั ( การจาแนกรปู โดยพสิ ดาร ) รปู ๒๘ ทั้งหมดน้ี มีชอ่ื ตามสภาวะ ๘ ช่อื ดว้ ยกัน ดังนี้คอื ๑. ชอ่ื วา่ อเหตุกะ รปู ทช่ี ือ่ วา่ สเหตุกะ ไม่มี เพราะไมป่ ระกอบด้วยเหตุ คู่ท่ี ๒. ชอื่ วา่ สปจั จยะ ” อปจั จยะ ” เพราะมปี จั จยั ๔ ๓. ชอ่ื ว่า สาสวะ ” อนาสวะ ” เเพพรราาะะถเปูก็นปอรางุ รแมตณง่ ด์ขว้ อยงปอัจาจสยัวะ๑๔. ๔. ชอื่ ว่า สงั ขตะ ” อสงั ขตะ ” ๕. ชอื่ วา่ โลกยี ะ ” โลกุตตระ ” เพราะเปน็ ธรรมท่ีสงเคราะห์ ๒. เขา้ ในสังขารโลก ๖. ชอื่ ว่า กามาววจร ” รูปาวจร , ” เพราะเปน็ อารมณข์ องกามตัณหา ๓. อรปู าวจร ๗. ชือ่ วา่ อนารัมมณะ ” สารมั มณะ ” เพราะไม่สามารถร้อู ารมณ์ได้ ๔. ๘. ชอื่ วา่ อัปปหาตัพพะ ” ปหาตัพพะ ” เพราะไม่ใช่เปน็ ธรรมทค่ี วรประหาณ ย่อท่องวา่ อ, ส, สา, สัง, โล, กา, อนา, อปั ๕. ๖. โคจรคั คาหกรปู น้นั แบ่งออกเปน็ ๒ อยา่ ง คือ ป อา เต วา ม. ๔ ๗. ๑. อสัมปตั ตโคจรคั คาหกรปู คอื รปู ทรี่ บั อารมณท์ ่ี จกั โส ฆา ชิว กาย ป. ๕ วิ. ๗ ๘. ยงั มาไม่ถึงมี ๒ ได้แก่ จักขปุ สาท รูปา สัท คัน รสา ภา ๒ อ ห๑ โสตปสาทอิต ปุริ ชี ๑ ๙. ส ๒. สัมปัตตโคจรัคคาหกรปู คือ รปู ท่ีรบั อารมณท์ ่ี หทย อา ๑ มาถึงแล้วมี ๓ ได้แก่ ฆานปสาท ๑๐. โค ชีวิต ปริ ๑ อโ ชิวหาปสาทอา วญิ . ๒ กายปสาท วิภา. ๓ ๑๑. อ ลกั ๔ ปริ กาย วจี ลหุ มุทุ กัม อปุ สัน ชร อนจิ
๔๐ จาแนกรปู ๒๘ โดยแบง่ ออกเป็น ๑๑ คู่ คอื ช่อื คือ มี ไดแ้ ก่ อชั ฌัตตกิ รปู รปู ภายใน ๕ ปสาทรปู ๕ พาหิรรปู รปู ภายนอก ๒๓ รูปทีเ่ หลอื ๒๓ วตั ถรุ ปู รูปเปน็ ทอ่ี าศยั เกิดของจติ เจตสิก ๖ ปสาทรปู ๕ , หทยรปู ๑ ๒๒ รปู ท่ีเหลอื ๒๒ อวตั ถุรปู รูปไมเ่ ป็นทีอ่ าศยั เกดิ ของจติ เจตสิก ทวารรปู รูปท่ีเป็นเหตแุ หง่ การเกิดขึน้ ของปญั จทวารวถิ ีจติ ๗ ปสาทรปู ๕ , วิญญัตริ ปู ๒ และ กายกรรม วจีกรรม ๒๑ รูปที่เหลอื ๒๑ อทวารรปู อินทรยี รปู รปู ท่ีเปน็ ใหญเ่ ปน็ ผปู้ กครองในการเหน็ เป็นตน้ ๘ ป. ๕ , ภา. ๒ , ช.ี ๑ อนินทรยี รปู รูปทไ่ี ม่เปน็ ใหญไ่ ม่ เปน็ ผปู้ กครองในการเหน็ เป็นต้น ๒๐ รปู ที่เหลอื ๒๐ รูปหยาบ หมายถึงรปู ทป่ี รากฏชัด ๑๒ ปสาทรปู ๕ , วิสยรปู ๗ โอฬาริกรปู รูปละเอยี ด หมายถงึ รปู ท่ีไม่ปรากฏชัด ๑๖ รปู ท่ีเหลอื ๑๖ สขุ มุ รปู รูปใกล้ หมายถงึ รปู ท่ีรไู้ ดง้ ่าย ๑๒ ปสาทรปู ๕ , วิสยรปู ๗ สันติเกรปู รปู ไกล หมายถงึ รปู ทร่ี ้ไู ดย้ าก ๑๖ รปู ทเ่ี หลอื ๑๖ ทเู รรปู รูปท่กี ระทบซงึ่ กันและกันได้ ๑๒ ปสาทรปู ๕ , วสิ ยรปู ๗ สปั ปฏฆิ รปู รูปท่กี ระทบซง่ึ กนั และกนั ไม่ได้ ๑๖ รูปท่เี หลอื ๑๖ อัปปฏฆิ รปู อุปาทินนรปู รปู ทเ่ี กิดจากอกศุ ลกรรมและโลกยี กศุ ลกรรม ๑๘ กัมมชรปู ๑๘ อนปุ าทนิ นรปู รปู ทีไ่ มไ่ ด้เกดิ จากอกุศลกรรมและโลกยี กุศลกรรม ๔๐ จิตต ๑๕, อตุ ุ ๑๓, อาหาร ๑๒ รปู ที่เห็นด้วยตาได้ ๑ รูปารมณ์ สนทิ ัสสนรปู รปู ที่เห็นดว้ ยตาไมไ่ ด้ ๒๗ รูปทีเ่ หลอื ๒๗ อนิทัสสนรปู รปู ทรี่ บั ปัญจารมณ์ได้ ๕ ปสาทรปู ๕ คจรคั คาหกรปู รปู ทรี่ บั ปญั จารมณ์ไมไ่ ด้ ๒๓ รปู ทเ่ี หลอื ๒๓ โคจรลั คาหกรปู รปู ทแ่ี ยกกนั ไมไ่ ด้ ๘ ม.๔, รู คนั รสา อา อวนิ ิพโภครปู รูปทแี่ ยกกันได้ ๒๐ รปู ทเ่ี หลอื ๒๐ วินพิ โภครูป พระอาจารยท์ วี เกตธุ มโม
๓. รปู สมฏุ ฐานนัย ( การแสดงสมฏุ ฐานของรปู ) สมฏุ ฐาน แปลว่า ธรรมทีเ่ ป็นเหตใุ หร้ ูปเกิด มี ๔ คอื ๑. กรรม ไดแ้ ก่ กรรม ๒๕ คอื เจตนาทอี่ ยใู่ นอกุศลจติ ๑๒ มหากศุ ลจติ ๘ รปู าวจรกุศลจิต ๕ รวมเปน็ ๒๕ ๒. จติ ได้แก่ จิต ๗๕ เจตสกิ ๕๒ ทใ่ี นปัจจบุ ันนภพนบั ตงั้ แตอ่ ปุ าทักขณะของปฐมภวังค์ ทเี่ กดิ ตอ่ จากปฏสิ นธจิ ิต ๓. อตุ ุ ได้แก่ สีตเตโช ความเยน็ อุณหเตโช ความรอ้ น ทอ่ี ยภู่ ายในสัตว์ และ ภายนอกสตั ว์ ๔. อาหาร ได้แก่ โอชา ทีอ่ ยใู่ นอาหารตา่ ง ๆ สรุปสมฏุ ฐานและรปู ที่เกดิ จากสมุฏฐานทง้ั ๔ กรรมทท่ี าใหร้ ปู เกดิ มี ๒๕ รปู ทเี่ กิดจากกรรมมี ๑๘ โดยแน่นอนมี ๙ โดยไม่แน่นอนมี ๙ จติ ทท่ี าใหร้ ปู เกดิ มี ๗๕ รปู ที่เกิดจากจติ มี ๑๕ โดยแน่นอนมี ๒ โดยไมแ่ นน่ อนมี ๑๓ อตุ ทุ ที่ าใหร้ ปู เกดิ มี ๒ รปู ทเ่ี กิดจากอุตุมี ๑๓ โดยแนน่ อนไม่มี โดยไมแ่ นน่ อนมี ๑๓ อาหารทที่ าใหร้ ปู เกดิ มี ๑ รปู ทเ่ี กิดจากอาหารมี ๑๒ โดยแน่นอนไมม่ ี โดยไมแ่ นน่ อนมี ๑๒ ๔ ๔ ๔ ๔ มหาภูตรปู ๔ ก ก ก ก ก ปสาทรปู ๕ ๔ อจุิ ๔ ๔ ๔๔ ๔ วิสยรปู ๔ หรอื ๗ ก ก ภาวรปู ๒ ๔ ก ก หทยรปู ๑ อจิุ เกิดจาก กัม จติ อุ อา ได้ ก ชีวติ รูป ๑ เกดิ จาก กัมมสมฏุ ฐาน ก อาหารรปู ๑ จิ เกดิ จาก จติ อุ อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ก็ได้ เกดิ จาก จติ ตสมฏุ ฐาน ๔ ปรเิ ฉทรปู ๑ จอิ าอุ เกิดจาก จติ อุ อา อย่างใดอยา่ งหนงึ่ กไ็ ด้ — ไมไ่ ดเ้ กิดจากสมุฏฐานอย่างหนงึ่ อย่างใด จิ จิ วญิ ญัตตริ ปู ๒ จิ อุ จิ อุ จิ อุ อา อา อา จิ จิ วิการรูป ๓ หรือ ๕ — — — — ลกั ขณรปู ๔ ๑. กัมมปัจจยอตุ ชุ รปู อตุ ชุ รปู มี ๔ อยา่ ง คือ ๒. จิตตปัจจยอุตุชรปู คือ รปู ท่เี กิดจากอตุ ุ ทม่ี กี รรมเป็นสมฏุ ฐาน ๓. อุตุปจั จยอตุ ุชรปู ๔. อาหารปัจจยอุตุชรูป คอื รปู ทเ่ี กดิ จากอตุ ุ ท่มี จี ิตเปน็ สมฏุ ฐาน คอื รปู ท่ีเกิดจากอตุ ุ ที่มอี ตุ เุ ปน็ สมุฏฐาน คือ รปู ทเี่ กดิ จากอตุ ุ ทม่ี ีอาหารเป็นสมฏุ ฐาน
แสดงจานวนรูปทเ่ี กิดจากสมุฏฐานท้ัง ๔ ๔๑ ม.๔ ม.๔ ม.๔ ม.๔ ป.๕ ป.๕ ป.๕ ป.๕ ว.ิ ๗ ว.ิ ๗ ว.ิ ๗ ว.ิ ๗ ภา ๒ ภา ๒ ภา ๒ ภา ๒ ห๑ ห๑ ห๑ ห๑ ชี ๑ ชี ๑ ชี ๑ ชี ๑ อา ๑ อา ๑ อา ๑ อา ๑ ปริ ๑ ปริ ๑ ปริ ๑ ปริ ๑ วญิ .๒ วญิ .๒ วญิ .๒ วิญ.๒ วิภา.๓ วิภา.๓ วภิ า.๓ วิภา ๓ ลัก ๔ ลกั ๔ ลัก ๔ ลกั ๔ กมั มชรูปมี ๑๘ คอื จิตตชรูป ๑๕ คอื อตุ ชุ รูป ๑๓ คอื อาหารชรูปมี ๑๒ คอื ปสาทรปู ๕ วิญญตั ริ ปู ๒ สทั ทารมณ์ ๑ วิการรปู ๓ ภาวรปู ๒ สัททารมณ์ ๑ วกิ ารรูป ๓ อวนิ ิพโภครูป ๘ ปรเิ ฉทรูป ๑ หทยรูป ๑ วกิ ารรปู ๓ อวนิ ิพโภครูป ๘ ปริเฉทรปู ๑ ชีวติ รปู ๑ อวินิพโภครูป ๘ ปริเฉทรปู ๑ อวินิพโภครปู ๘ ปริเฉทรปู ๑ จาแนกรูป ๒๘ โดยจานวนสมฏุ ฐาน ชือ่ คือ มี ไดแ้ ก่ สมฏุ ฐาน ๑. เอกสมฏุ ฐานิกรปู รูปท่เี กิดจากสมฏุ ฐานอย่างเดียว ๑๑ - ป.๕, ภา ๒, ห. ๑, ชี ๑- กรรม ๙ ๒. ทวสิ มุฏฐานิกรูป รปู ทเ่ี กิดจากสมฏุ ฐานทง้ั ๒ ได้ - วญิ ญตั ติรปู ๒ - จิต ๒ ๑ สัททารมณ์ ๑ จิต , อตุ ุ ๓. ติสมุฏฐานกิ รูป รปู ที่เกดิ จากสมฏุ ฐานทงั้ ๓ ได้ ๓ วกิ ารรปู ๓ จิต, อุต,ุ อา ๔. จตุสมฏุ ฐานิกรปู รปู ท่ีเกดิ จากสมุฏฐานท้งั ๔ ได้ ๙ อวนิ โิ ภครปู ๘, กรรม , จิต, ปรเิ ฉทรปู ๑ อุตุ , อาหาร ๕. นกโุ ตจิ รปู ทไ่ี มไ่ ด้เกดิ จากสมฏุ ฐาน ๔ ลกั ขณรูป ๔ — สมฏุ ฐานิกรปู อย่างใดอยา่ งหนงึ่ พระอาจารย์ทวี เกตุธมโม
ภาพแสดงการจาแนกจิตโดยจิตตชรูป 7 อย่าง จาแนกจติ 75 โ 1.โลภมลู โสมนัส 4 6666 จาแนก จติ ตชรปู 7 อยา่ ง จ 2.โลภมลู อุเบกขา 4 5555 ตามประเภทของจิต . 3.โทสมูลจิต 2 ๖๖ โล หส 4.โมหมลู จติ 2 55 มห มห 5.ทวิ.10, 6.สมั ปฏจิ .2 สนั ต.ี 3 -----11 ปัญจ.1, 7. มโน.1, 8. หสิตุป.1 -----111 9. มหากศุ ลโสมนสั 4 156 10.มหากุศลอเุ บกขา 4 6666 5555 11. มหาวิปากจิต 8 1111 จิต 75 โดยจติ ตชรูป 7 อยา่ ง 9. มหากรยิ าโสมนสั 4 1111 10. มหากริยาอเุ บกขา 4 1. จิตท่ที าให้จติ ตชรูปสามัญเกิดข้นึ 12. รปู าวจรกศุ ลจิต 5 6666 2. จิตทที่ าให้การหัวเราะเกิดข้นึ 13. รูปาวจรวปิ ากจิต 5 5555 3. จิตท่ีทาให้การรอ้ งไห้เกดิ ขึน้ 12. รูปาวจรกริยาจติ 5 4. จติ ทท่ี าให้การเคลือ่ นไหวอิรยิ าบถ 12. อรูปาวจรกุศลจิต 4 2 2 2 2 52 15. ภิ.* 13. อรปู าวจรวปิ ากจิต 4 น้อยเกดิ ขน้ึ 12. อรูปาวจรกรยิ าจิต 4 11111 5. จิตท่ีทาใหก้ ารพูดเกิดขึ้น 6. จิตที่ทาใหอ้ ิริยาบถใหญ่ 4 เกดิ ขึน้ 12. โลกตุ ตรจติ 8 2 2 2 2 25 15. ภิ.* 7. จิตทีอ่ ดุ หนุนให้อิรยิ าบถใหญ่ 4 ตั้งมน่ั 2222 หมายเหตุ ชอ่ื ประเภทของ * ไม่นับ ---- ** อัปป 2222 กาม 2 2 2 2 2 2 2 2 6 จติ ทท่ี าใหจ้ ิตตชรูป 6 อยา่ ง ( เว้นจติ ต.ที่เกีย่ วกบั การร้องไห้ ) เกดิ ขึ้นได้ 1. ๖ จติ ท่ที าใหจ้ ติ ตชรูป 6 อย่าง ( เวน้ จิตต.ทเ่ี กี่ยวกับการหัวเราะ ) เกดิ ขนึ้ ได้ 2. 5 จติ ที่ทาใหจ้ ิตตชรูป 5 อยา่ ง ( เว้นจติ ต.ที่เก่ียวกบั การหวั เราะและรอ้ งไห้ ) เกิดขน้ึ ได้ 3. 2 จติ ทท่ี าใหจ้ ิตตชรูป 2 อยา่ ง คอื จิตต.สามญั และ จติ ต.ทเ่ี กยี่ วกับอิรยิ าบถใหญท่ ั้ง 3 ( เว้นการเดนิ ) ตง้ั มน่ั อยไู่ ด้นาน เกดิ ข้นึ ได้ 1 จติ ท่ที าใหจ้ ิตตชรปู สามัญเกดิ ขึน้ ได้อย่างเดียว - จิตทไ่ี ม่สามารถทาใหจ้ ติ ตชรูปเกิดขน้ึ ได้เลย **จติ ทเี่ ป็นอภญิ ญาจติ นี้ กค็ อื รปู าวจรปญั จมฌานกศุ ล และ รูปาวจรปัญจมฌานกรยิ าจติ แต่ไมใ่ ชช่ นิดสามัญ หากเปน็ จติ ท่ีมอี านาจพเิ ศษมากกวา่
๔๒ โดยจติ ตชรูป 7 อย่าง และ จาแนกจิตตชรูป 7 อย่างตามประเภทของจติ จติ ตชรปู 6 อยา่ งที่เกิดจาก จิตตชรูป 5 อยา่ ง จติ ตชรูป 2 อย่าง จิตตชรปู 1 อย่าง ที่เกดิ จาก รวม ท่เี กิดจาก ทีเ่ กิดจาก จิตท่ี ทาให้ ลภมูลโสมนสั 4 โลภมลู อุเบกขา 4 สัมปฏิจฉน 2 สิตุปปาท 1 สนั ตีรณ 3 หากุศลโสมนัส 4 โมหมูล 2 ปญั จทวาราวัชชน 1 จิตต หากริยาโสมนสั 4 โทสมูล 2 มโนทวาราวัชชน 1 อปั ปนาชวนะ 26 มหาวิบาก 8 ชรูป มหากุศลอุเบกขา 4 ( เวน้ อภญิ ญา) มหากริยาอุเบกขา 4 รูปาวจรวบิ าก 5 แต่ละ อภญิ ญา 2 อยา่ ง 13 2 17 26 เกิด 19 ” ” ” ” ” 75* ” 13 ”2 ””” 32 ””” ”** 32 ””” 32 ””” 58 งจิต ที่ใช้อักษรตวั เอน หมายถึง กามชวนจิต บรวมอภญิ ญาจิต 2 ดว้ ย ( จึงได้ 75 ) เพราะจิต 2 ดวงน้เี ปน็ จิตประเภทเดยี วกนั กับรปู าวจรปญั จมฌานกุศล- กรยิ า ปนาชวนจิต ( เวน้ อภญิ ญาจติ ) อดุ หนนุ ใหอ้ ิริยาบถใหญ่ 3 ( เวน้ การเดนิ ) ซ่ึงเกดิ จากมโนทวาราวัชชนจิต 1 มชวนจิต 29 และ อภิญญาจิต 2 ต้งั มั่นอยู่ได้นาน จิตท่ที าให้การหวั เราะเกิดขนึ้ ในบคุ คล 3 จาพวกคอื . ปุถชุ นหวั เราะดว้ ยจติ 8 ดวง คือ โลภโสมนสั 4 มหากุศลโสมนัส 4 . ผลเสกขบคุ คล 3 หวั เราะด้วยจติ 6 ดวง คือ โลภทฏิ ฐิคตวิปปยตุ ตโสมนสั 2 มหากศุ ลโสมนัส 4 . พระอรหันต์ หัวเราะด้วยจิต ๕ ดวง คือ หสิตปุ ปาทจิต 1 มหากริยาโสมนสั 4 พระอาจารย์ทวี เกตธุ มโม
๔. รูปกลาปนัย ( การแสดงรูปทเี่ กิดขน้ึ เป็นหมวด ๆ ) คาวา่ รูปกลาป หมายถึง รปู ทีเ่ กดิ ขนึ้ เป็นหมวด ๆ เปน็ หมู่ๆ ในรูปกลาปหนงึ่ ๆ จะตอ้ งมอี าการเปน็ ไปพร้อมทั้ง ๓ อย่างดังนค้ี อื ๑. เอกุปปาทะ เกดิ พร้อมกนั ๒. เอกนิโรธะ ดบั พร้อมกนั ๓. เอกนิสสยะ มที อ่ี าศัย คอื มหาภตู รปู อยา่ งเดยี วกัน เมอื่ มคี วามเป็นไปพร้อมกนั ทงั้ ๓ อยา่ งนแี้ ลว้ จงึ เรียกวา่ รูปกลาป องค์ธรรม ได้แก่ จิตตชกลาป ๘ คอื กมั มชกลาป ๙ คือ กลาปท่ีมี อวนิ พิ ชวี ิตรปู ประธาน มลู กลาป ๔ จานวนรูป โภครปู 13 ๑. สุทธฏั ฐกกลาป ๑. จกั ขทุ สกกลาป ๒. สัททนวกกลาป ๒. โสตทสกกลาป ๑๐ ๘ ๑ ๑ ๓. กายวิญญัตนิ วกกลาป ๓. ฆานทสกกลาป ๔. วจวี ญิ ญตั ิสัทททสกกล ๔. ชวิ หาทสกกลาป ๑๐ ๘ ๑ ๑ ๕. กายทสกกลาป มูลีกลาป ๔ ๖. อติ ถภี าวทสกกลาป ๑๐ ๘ ๑ ๑ ๕. ลหุตาทเิ อกาทสกกลาป ๗. ปรุ สิ ภาวทสกกลาป ๖. สัททลหตุ าททิ วาทสกก ๘. วตั ถทุ สกกลาป ๑๐ ๘ ๑ ๑ ๗. กายวิญญตั ิลหุตาททิ วาท ๙. ชวี ิตนวกกลาป ๘. วจีวญิ ญัติสทั ทลหตุ าท ๑๐ ๘ ๑ ๑ ๑๐ ๘ ๑ ๑ ๑๐ ๘ ๑ ๑ ๑๐ ๘ ๑ ๑ ๙๘ ๑ จาแนกจตชุ ก ในรา่ งกายของคนเรานี้ แบง่ ออกเป็น ๓ สว่ นคือ กาย ๓ สว่ น กมั ๙ ๑. อุปรมิ กาย กายเบ้อื งบน นบั ต้งั แต่คอขึน้ ไปตลอดศรีษะ อปุ รมิ กาย ๗ มัชฌมิ กาย ๒. มัชฌมิ กาย กายเบอ้ื งกลาง นบั ตง้ั แต่คอลงมาถงึ สะดือ เหฏฐมิ กาย ๔ ๓. เทฏฐมิ กาย กายเบ้อื งต่า นับต้งั แต่สะดอื ลงมาถงึ เท้า ๓
๔๓ รูปกลาป มีอยู่ ๒๓ กลาป คือ ดังมคี าถาแสดงว่า กมั มชกลาป ๙ กมมจติ โตตกุ าหาร สมฏุ านา ยถากกม จิตตชกลาป ๘ รวม ๒๓ กลาป อุตชุ กลาป ๔ นวฏ จตโุ ร เทวติ กลาปา หิ เตวสี ติ อาหารชกลาป ๒ อ กลาปทีม่ ี องค์ธรรม ได้แก่ อตุ ชุ กกลาป ๔ คอื อาหารชกลาป ๒ จานวนรปู มลู กลาป ๑ มูลกลาป ๒ ๑. ๘ อวนิ พิ โภครูป ๘ โดยเฉพาะ ๑. มูลีกลาป ๑ ๙ ๘ + สทั ๑ ๒. ๒. ๙ ๘ + กาย ๑ ลาป ๑๐ ๘ + วจี ๑ + สทั ๑ ๓. มูลกี ลาป ๒ ป ๑๑ ๘ + วิภา ๓ กลาป ๑๒ ๘ + วภิ า ๓ + สทั ๑ ๔. ทสกกลาป ๑๒ ๘ + วิภา ๓ +กาย ๑ ทเิ ตรสกกลาป ๑๓ ๘ + วภิ า ๓ + วจี ๑ + สทั ๑ กลาป ๔ โดยกาย ๓ สว่ น อา ๒ พระอาจารยท์ วี เกตธุ มโม ๒ จิต ๘ อุตุ ๔ ๒ ๘๔ ๒ ๔๔ ๔๔
๕. รูปปวตั ตกิ กมนยั ( แสดงความเกิดขึน้ พร้อมด้วยความดบั ของรปู ตามลาดบั ) ปวัตติกกมนัย มอี ยู่ ๓ อยา่ ง คอื (๑) ตามนัยแห่งภูมิ คาถาแสดงรปู ทเ่ี กดิ ได้และเกดิ ไมไ่ ด้ใน ๓๑ ภูมิ อฏ วีสติ กาเมสุ โหนติ เตวีส รูปสิ ุ สตั ตรเสวส นํ อรเู ป นตถิ กิ จปิ ิ ในกามภมู ิ ๑๑ รปู ทงั้ ๒๘ ย่อมเกิดได้ ในรูปภูมิ ๑๕ ( เวน้ อสญั ญสตั ตภมู ิ ) รปู ๒๓ ( เวน้ ฆานะ ชวิ หา กายะ ภาวรปู ๒ ) ยอ่ มเกดิ ได้ ในอสัญญสตั ตภูมิ ๑ รปู ๑๗ ( เว้นปสาทรปู ๕, สทั ทรปู ๑, ภาวรูป ๒ , หทยรปู ๑ ,วิญญัติรปู ๒ ) ยอ่ มเกิดได้ ในอรูปภมู ิ ๔ ไม่มรี ปู อย่างหนง่ึ อยา่ งใดเกิดเลย ๔๔๔๔ ๓๓๓๓ ๒๒๒๒ กกกกก กก ๔ อจิุ ๔ ๔ ๓ อจุิ ๓ ๓ ๒ ๒๒ กก ก ก ก ก ก ๒ ก ๓ ๒ ๔ ๓ อจิุ อุ อุ อุ จิ จิ จิ จิ ในอสัญญสัตตภมู ิ ๑ จิ อุ จิ อุ จิ อุ อจิุ อจิุ รูปทงั้ ๑๗ ย่อมเกดิ ได้ อา อา อา มี ๒ สมุฏฐาน คอื ในรปู ภมู ิ ๑๕ ———— รปู ทง้ั ๒๓ ยอ่ มเกิดได้ กัมม ๑๘ , อุตุ ๑๓ ในกามภูมิ ๑๑ มี ๓ สมฏุ ฐาน คอื รปู ทงั้ ๒๘ ยอ่ มเกดิ ได้ กัมม ๑๘ , จิตต ๑๕ มี ๔ สมุฏฐาน คือ อุตุ ๑๓ กัมม ๑๘ , จิตต ๑๕ อตุ ุ ๑๓ , อาหาร ๑๒
( ๒ ) ตามนัยแห่งกาล ๔๔ คาถาแสดงรูปทเี่ กดิ ไม่ได้ในปฏิสนธิกาลแต่เกิดได้ในปวัตตกิ าล สทโท วิกาโร ชรตา มรณ โจปปตติย น ลพภนติ ปวตเต ตุ น กิ จิปิ น ลพภติ สทั ทรปู ๑ วิการรูป ๕ ชรตา ๑ อนจิ จตารูป ๑ รวม ๘ รปู นี้ เกดิ ไม่ได้ในปฏสิ นธกิ าล คอื อปุ ปาทัก ขณะของปฏสิ นธจิ ติ สว่ นในปวัตติกาลนัน้ รูปใดรูปหนึ่งที่จะเกดิ ไม่ได้น้ัน ไม่มเี ลย ย่อมเกิดได้ท้งั หมด ( ๓ ) ตามนยั แห่งกาเนดิ กาเนิดมี ๔ อยา่ ง คือ ๑. สงั เสทชกาเนิด หมายถงึ เกดิ ในท่ๆี มียางเหนียว ๒. โอปปาติกกาเนิด หมายถึง เกิดผุดข้นึ โตทันที ๓. อัณฑชะกาเนิด หมายถึง เกดิ ในครรภม์ ารดา ๔. ชลาพุชะกาเนิด หมายถึง เกิดในมดลกู สตั วท์ ี่เป็นโอปปาตกิ กาเนดิ ไดอ้ ย่างเดยี วมี ๒๔ จาพวกคอื ๑. สัตว์นรก ๒. นิชฌามตัณหิกเปรต ๓. เทวดาทอ่ี ย่ใู นจาตุมหาราชิกา ( เว้นภมุ มฏั ฐเทวดา ) ๔. เทวดาท่อี ยู่ในเทวภูมเิ บอ้ื งบน ๕ ๕. รูปพรหม ๑๖ แสดงความเจรญิ แห่งรูป ในสัปดาหแ์ รก แหง่ การปฏิสนธิน้นั เกดิ เปน็ กลลรูป คอื เป็นหยาดน้าใสเหมือนน้ามันงา ในสัปดาห์ท่ี ๒ หลงั จากกลลรูป เกดิ เป็นอัพพุทรปู มลี กั ษณะเป็นฟองสีเหมอื นนา้ ลา้ งเน้ือ ในสปั ดาห์ที่ ๓ หลังจากอพั พทุ รูป เกิดเป็นเปสริ ปู มลี กั ษณะเหมือนชนิ้ เน้อื ท่เี หลวๆ สีแดง ในสปั ดาหท์ ี่ ๔ หลงั จากเปสิรูป เกดิ เป็นฆนรปู มีลักษณะเป็นก้อน มีสณั ฐานเหมือนไข่ไก่ ในสัปดาห์ท่ี ๕ หลังจากฆนรูป เกดิ เป็นปัญจสาขา คือ รปู นั้นแตกออกเป็นปุ่ม ๕ ปมุ่ ต่อจากนั้น คอื ระหว่างสปั ดาห์ท่ี ๑๒ ถึง สัปดาห์ที่ ๔๒ ผม ขน เล็บ เหล่าน้ีกป็ รากฏ แสดงการเกดิ ข้ึนครั้งแรกและครัง้ สดุ ทา้ ยของรูปท้ัง ๔ ๑. กัมมชรปู เกิดคร้ังแรกทอี่ ุปปาทกั ขณะของปฏสิ นธจิ ติ คร้ังสุดท้ายท่อี ุปปาทักขณะของจติ ดวงที่ ๑๗ ทีน่ ับถอยหลงั จากจุตจิ ิตขนึ้ ไป ๒. จิตตชรปู เกิดครงั้ แรกท่อี ุปปาทกั ขณะของปฐมภวงั ค์ ครัง้ สดุ ทา้ ยที่อปุ ปาทักขณะของจุติจติ สาหรับ พระอรหนั ต์เกดิ คร้งั สุดท้ายท่ีอปุ ปาทกั ขณะของจติ ดวงที่ ๒ ทีน่ ับถอยหลงั จากจุตจิ ิตขน้ึ ไป ๓. อุตชุ รปู เกิดครง้ั แรกทฐ่ี ีติขณะของปฏิสนธิจิต และเกดิ ขึ้นตอ่ ๆไป แม้สัตว์นน้ั ตายเปน็ ซากศพแล้วก็ตาม ๔. อาหารชรปู เกิดขน้ึ ตงั้ แต่โอชาทซ่ี มึ ซาบทั่วไป (ในสัปดาหท์ ี่ ๒ - ๓) และเกดิ ข้ึนครัง้ สดุ ทา้ ย ทีภ่ ังคกั ขณะของจุติจิต พระอาจารยท์ วี เกตุธมโม
รปู ปรมัตถม์ ี ๕ นยั คอื ๑. รูปสมทุ เทสนัย มีว่าโดยประเภทใหญ่ - เลก็ - ชอ่ื พรอ้ มองค์ธรรม และที่เกดิ ในรา่ งกายสตั ว์ ๒. รูปวิภาคนยั มี ๘ ชื่อ อ , ส , สา , สงั , โล , กา , อนา , อัป. ๑๑ คู่ ๓.รูปสมุฎฐานนยั มี กมั ๑๘ จิต ๑๕ คอื ป. ๕ ภา. ๒ วิญ. ๒ สัท. ๑ ห. ๑ ช.ี ๑ วิภา. ๓ อวิ ๘ ปร.ิ ๑ อว.ิ ๘ ปร.ิ ๑ ๔. รูปกลาปนยั มี กัม ๙ คอื จิต ๘ คอื ๑. จกั ขทุ สกกลาป ๑๐ ๘ ๑ ๑ ๑. สทุ ธฏั ฐก ๑. ๒. โสต………… ๑๐ ๘ ๑ ๑ ๒. สทั ทนวก ๒. ในรปู ท้งั ๙ นี้ ๓. ฆาน………... ๑๐ ๘ ๑ ๑ ๓. กายวิญญตั นิ วก เกดิ กบั สงิ่ มชี ีวติ เทา่ นั้น ๕๔.. ชกวิาย……………………... ๑๑๐๐ ๘๘ ๑๑ ๑๑ ๕๔.. วลจหวี ญิตุ าญทัตเิ อสิ กัทาทททสสกก ๓. ๖. อิต………….. ๑๐ ๘ ๑ ๑ ๖. ๒ + ๕ ๔. ๗. ปรุ …ิ ……….. ๑๐ ๘ ๑ ๑ ๗. ๓ + ๕ ๘. วัตถุ ๑๐ ๘ ๑ ๑ ๘. ๔ + ๕ ๙. ชวี ิตนวกลาป ๙ ๘ ๑ ๕.รปู ปวัตติกมนัย มี ในกามภมู ิ ๑๑ ในรูปภูมิ ๑๕ (เว้นอสัญ) ใน รปู ทงั้ ๒๘ ย่อมเกดิ ได้ รปู ๒๓ ( เว้นฆา,ชวิ , กา,ภา..๒) มี ๔ อย่าง คอื ย่อมเกดิ ได้ จมติ ี ๓ตชอรยปู า่ รงอปู คภุตอื๑าชุ .๗ร๒ปู (, เว้น ป กมั มชรปู จติ ตชรปู กมั มชรปู ห. ๑, อุตุชรปู อาหารชรปู ย่อมเกิดได้ มี ๒ คือ กัมมชรปู ๑. เอกสมฎุ ฐานิกรูป รปู ทเ่ี กดิ จากสมฏุ ฐานอยา่ งเดยี วได้ สมุฎฐาน ๒. ทวิสมุฎฐานิกรปู รปู ท่ีเกิดจากสมฎุ ฐานทง้ั ๒ ได้ กัม. ๑๘ นยั ท่ี ๓ ๓. ตสิ มฎุ ฐานกิ รปู รปู ทเ่ี กิดจากสมุฎฐานทงั้ ๓ ได้ จติ ๑๕ ๔. จตสุ มุฎฐานิกรูป รูปท่เี กิดจากสมฎุ ฐานท้งั ๔ ได้ อตุ ุ ๑๓ ๕. นกโุ ตจิสมฎุ ฐานกิ รปู รปู ทไี่ มไ่ ด้เกิดจากสมฎุ ฐาน อาหาร ๑๒ อย่างใดอย่างหนึง่ เลย มี
๔๕ ปริเฉทที่ ๖ รปู ปรมตั ถ์ อตุ ุ ๑๓ คอื อาหาร ๑๒ คอื สมุทเทสา วิภาคา จ สมฎุ านา กลาปโต สัท. ๑ ปวตติกกมโต เจติ ป จธา ตตถ สงคโห วภิ า. ๓ วภิ า. ๓ การแสดงสงเคราะหร์ ูปในรูปปริเฉทนี้ อว.ิ ๘ ปร.ิ ๑ พระอนุรุทธาจารยแ์ สดงเปน็ ๕ นัย คือ อุตุ ๔ คอื อว.ิ ๘ ปร.ิ ๑ ๑. รปู สมทุ เทสนัย การแสดงรูปโดยสงั เขป . ๒. รปู วภิ าคนยั การจาแนกรูปโดยพสิ ดาร อาหาร ๒ คือ องคธ์ รรม ไดแ้ ก่ ๓. รปู สมุฏฐานนัย การแสดงสมฎุ ฐานของรูป อว.ิ ๘ โดยเฉพาะ๔. รูปกลาปนยั การแสดงรปู ทเี่ กดิ ขนึ้ ๑. นอวฏั กฐก ๘ ๘+ ๑ นวก ๙ ๘+ ๑ ๕. เป็นหมวด ๆ ทสก ๙ รปู ปวัตติกมนัย การแสดงความเกดิ ขน้ึ ๒. เอกาทสก ๑๐ ๘ + ๑ + ๑ พร้อมดว้ ยความดบั ของรปู ตามลาดบั ๑๑ ๘ + ๓ ทวาทสก ๑๒ ๘ + ๓ + ๑ ทวาทสก ๑๒ ๘ + ๓ + ๑ ๑๑๒ อัช ป อา เต วา ม.๔ เตรสก ๑๓ ๘ + ๓ + ๑ + อพววตั าัต จ ส ฆ ช ก ป.๕ นอสญั ญสตั ตภูมิ ๑ ในอรปู ภมู ิ ๓ อทออนินวทานิวรารอติ รถู ี สทั คนั รส วิ.๗-๔ ๔ ปรุ ิ ภา.๒ ป.๕,สทั .๑ ไม่มีรปู ๕ โสทสอุูนั ห ห.๑ , วญิ ๒ ) อยา่ งใด ๖ สัป ชี ช.ี ๑ ๒ อยา่ ง อยา่ งหน่ึง อปั อา หา.๑ ป, อุตุช๑รูป ๗ เอก ๒ เกิดเลย ๕ ๘ อออนสนุนุิ ิ ปริ วจี ปร.ิ ๑ ทวิ ๓๔ ๙ อโโอคควิ กาย วิญ.๒ วิ ๙ ติ จตุ - ๑๐ ลหุ มทุ ุ กมั วภิ า.๓ ๘+ ๑=๙ น ๑๑ อปุ สนั ชร อนิ ลกั .๔ ๒ สัท ๑ วภิ า ๓ ๘ + ๑ = ๙ กุ วภิ า ๓ ๘ + ๑ = ๙ โต สทั ๑ ๒ ๑ วิภา ๓ ๘ + ๑ = ๙ จิ พระอาจารยท์ วี เกตุธมโม ๑๑ ๓ ๙๔
นพิ พาน ปทมจจตุ มจจนตํ นิพพานมติ ิ ภาสน พระสัมมาสมั พุทธเจ้าท้งั หลายผูแ้ สวงหาซ่งึ คณุ อนั ย่งิ ใหญ่ คือ ศีล ยอ่ มกล่าวสภาวธรรมชาติชนิดหนึ่งที่เข้าถึงได้ มอี ย และกา้ วล่วง ไปจากขนั ธ์ ๕ เสียได้ ไมถ่ กู เป็นธรรมที่ประเสรฐิ การพรรณนาคุณของพระนพิ พานในคาถานีม้ ี ๕ บท คอื ๑. ปทํ แปลว่า “ ส่วนหน่ึง ” มว. สภาวธรรมชนิดหนง่ึ ท่ีเขา้ ถึงได้ มอี ยู่โดยเฉ ๒. อจจตุ ํ แปลว่า “ ไม่มคี วามตาย ” มว. ไม่มีเกิด ไมม่ ีตาย ๓. อจจนตํ แปลว่า “ ก้าวลว่ งขันธ์ ๕ ท่เี ปน็ อดีตและอนาคต ” มว. พระนิพพา ๔. อสงขตํ แปลว่า “ ไม่ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัย ๔ อย่างใดอย่างหนึง่ ” มว. พร กรรม จติ อตุ ุ อาหาร อยา่ งใดอยา่ งหนึง่ เป็นผู้ป ๕. อนตุ ตรํ แปลวา่ “ เป็นธรรมที่ประเสริฐ ” มว. ธรรมอื่น ๆ ธรรมน้นั จะดีก คาวา่ นิพพาน เม่ือแยกออกแลว้ มี ๒ บท คอื นิ + วาน , นิ แปลว่า เมือ่ รวม ๒ บท เขา้ กนั แล้ว เป็น นิวาน แปลวา่ ธรรมที่พน้ จากเครื่องเก่ยี วโยง หม วนิ ติ สสํ พิ พตีติ = วานํ ธรรมชาตใิ ดย่อมเป็นผ้เู กยี่ วไว้ ฉะน้ัน ธรรมชา วานโต นกิ ขนตนติ = นิพพานํ ธรรมชาตใิ ดยอ่ มพ้นจากเครื่องเกยี่ วโยง คอื ต
๔๖ นปรมัตถ์ อสงขตมนุตตรํ นติ วานมุตตา มเหสโย ลขนั ธ์ สมาธิขนั ธ์ ปญั ญาขนั ธ์ ผ้พู ้นแลว้ จากตณั หาเครือ่ งรอ้ ยรดั ยโู่ ดยเฉพาะ ไม่เกีย่ วด้วยสงั ขตธรรม ไมม่ ีความตาย กปรุงแต่งดว้ ยปัจจยั ๔ อย่างใดอยา่ งหนึ่ง ฐสดุ น้ันว่า นิพพาน ฉพาะ านนน้ั ก้าวลว่ งจากขนั ธ์ ๕ ที่ดับไปแล้ว และกา้ วล่วงขันธ์ ๕ ทีจ่ ะเกดิ ขา้ งหน้า ระนิพพานนไ้ี มใ่ ช่จติ เจตสิก รูป เพราะ จติ เจตสกิ รปู เหล่านี้จะเกดิ ขึน้ ได้กต็ ้องมี ปรุงแตง่ กว่าพระนิพพานน้ันไม่มีเลย า พน้ วาน แปลว่า ธรรมที่เป็นเครือ่ งเกี่ยวโยงไว้ หมายถึง ตณั หา มายถงึ พ้นจากตัณหา ดังมี วจนตั ถะแสดงว่า าติน้ันชือ่ วา่ วาน ได้แก่ ตัณหา ตัณหา ฉะนน้ั ธรรมชาตนิ ัน้ ช่ือวา่ นพิ พาน พระอาจารย์ทวี เกตธุ มโม
นพิ พานปรมัตถ์ ๑. เม สันติลักขณ ๒. เม ๑ ๓. เม ๑ สอปุ าทเิ สส นิพพาน ๒ อนุปาทิเสส นิพพาน ๕ นิพพาน ส แ ๑ สญุ ญต ๒ อนมิ ติ ต ๓ อปั ปณิหติ อ นิพพาน นิพพาน นิพพาน หมาย ๑. นพิ พานว่าโดยสภาวลกั ษณะ มี 1 ทัง้ หล 1. สนั ตลิ ักขณ ทัง้ หล ๒. นิพพานวา่ โดยปริยายแห่งเหตุ มี 2 1. สอปุ าทเิ สสนิพพาน 2. อนปุ าทิเสสนิพพาน ๓. นพิ พานว่าโดยอาการทเี่ ปน็ อยู่ มี 3 1. สญุ ญตนิพพาน 2. อนิมิตตนิพพาน 3. อปั ปณหิ ิตนพิ พาน
๔๗ ประเภทของพระนิพพาน มอ่ื วา่ โดยสภาวะลกั ษณะแล้วมี ๑ คอื สนตลิ กขณํ แปลว่า มีลกั ษณะสงบ หมายถึง สงบจากกิเลสและขันธ์ ๕ ทง้ั หลาย ม่อื ว่าโดยปรยิ ายแหง่ เหตแุ ล้วมี ๒ คอื สอปุ าทิเสสนพิ พาน มว. นพิ พานท่ีเปน็ ไปกับขนั ธ์ ๕ คือ วิบากและกมั มชรูป ท่ีเหลือจากกิเลสทัง้ หลาย ได้แก่ นพิ พานของพระอรหันตท์ ย่ี งั มีชีวติ อยู่ อนปุ าทเิ สสนพิ พาน มว. นพิ พานที่ไม่มีขนั ธ์ ๕ คือ วบิ ากและกัมมชรูปเหลืออยู่ ไดแ้ ก่ นิพพานของพระอรหันต์ท่ีปรินพิ พพานแลว้ มอ่ื ว่าโดยอาการทเี่ ป็นอยแู่ ลว้ มี ๓ คือ สุญญตนิพพาน มว. ความเป็นอยูข่ องพระนพิ พานนน้ั สูญสิ้นจากกเิ ลส และขนั ธ์ ๕ ไม่มอี ะไรเหลืออยู่แล้ว อนิมิตตนพิ พาน มว. ความเปน็ อยขู่ องพระนิพพานนน้ั ไม่มีนิมติ เครือ่ งหมาย รูปรา่ งสัณฐาน สสี ัน วรรณะ แต่อย่างใดเลย อปั ปณิหิตนพิ พาน มว. ความเป็นอย่ขู องพระนพิ พานนน้ั ไมม่ อี ารมณ์ท่ีน่า ปรารถนาด้วยโลภะ และ ไม่มีตณั หาทีเ่ ปน็ ตัวต้องการอยใู่ นพระนพิ พานน้นั ยเหตุ สอุปาทเิ สสนิพพาน จะเรยี กว่า ทิฏฐธมั มนพิ พาน ก็ได้ เพราะพระอรหันต์ ลายผู้ซ่งึ เขา้ ไปรู้แจ้งพระนิพพานน้นั ยงั มชี ีวติ อยู่ ยงั ไมไ่ ดป้ รินิพพาน อนปุ าทิเสสนิพพาน จะเรียกว่า สัมปรายิกนิพพาน กไ็ ด้ เพราะพระอรหนั ต์ ลายเมือ่ ปรนิ พิ พานแลว้ จึงเขา้ ถงึ พระนพิ พานนนั้ พระอาจารยท์ วี เกตธุ มโม
สรุป ปรมตั ถธรรม ๔ ได้แก่ จิต ๘๙ - ๑๒๑ , เจตสิก ๕๒ , รูป ๒๘ , นิพพาน ปริเฉทท่ี ๑ จติ ปรมัตถ์ ปรเิ ฉทท่ี ๒ เจตสิกปรมตั ถ์ โล 8 ว่าโดยประเภทมี 4 ผัส เวท สัญ เจต เอก ชวี ิ มน สพั 7 อกุ 12 โท 2 กามาวจร 54 ตก จาร อธิ วริ ิ ปติ ิ ฉนั ปกิณ 6 รปู าวจร 15 ย่อ 89 โม 2 อรูปาวจร 12 พสิ ดาร121 โม อหิ อโน อุท โม 4 โลกตุ ตร 8/40 โล ทฎิ มาน โล 3 อกุ วิ 7 โท อิส มจั กกุ อเหตุ 18 อเห กุ วิ 8 สมปยุตต มี 5 ถนี มทิ โท 4 อกุ. 14 1. ทิฏฐิคตสัมปยตุ ต วิจิ อเห กริ 3 2. ปฏฆิ สัมปยุตต ถี 2 3. วิจิกิจฉาสมั ปยตุ ต วิ 1 มหากุ 8 4. อทุ ธัจจสัมปยุตต 5. ญาณสัมปยตุ ต ศรทั สติ หิริ โอต อโล อโท ตตั ร โส.สา 1 กามา 24 มหาวิ 8 วปิ ปยุตต มี 2 วาจา กัม อาชี ปัส ปัส วิร 3 มหากริ 8 1. ทิฏฐคิ ตวิปปยุตต กรณุ มฑุ ิ ลหุ ลหุ อัป 2 2. ญาณวปิ ปยตุ ต อรปู ากุ 5 ปญั มุทุ มทุ ุ ปัญ 1 รปู า 15 อรปู าวิ 5 กัม กมั อรปู ากิ 5 ปาคุ ปาคุ ชุก ชกุ อรปู ากุ 4 สรปุ เจตสิก 52 ว่าโดยราสมี ี 3 112543. ออ อรปู า12 อรูปาวิ 4 โส 52(โ(สมพั 47,โ,ลป3กณิ ,โ6ท 4) , อรูปากิ 4 และ 11 ประเภท 4 (โส.สา 19 ,วริ ตี 3 , เภทนยั ทงั้ 9 มรรค 4/20 1. ชาตเิ ภทนัย 4 วา่ โดยความหมายหรอื ธรรมชาติของเ 2. ภูมิ ” 4 โลกตุ ตร 3.โสภณ ” 2 แตล่ ะดวงและสัมปโยคนยั สังคหนัย 8/40 4. โลก ” ตทุภยมิสกนยั เหล่านี้เปน็ ต้น 2 5. เหตุ ” 2 ผล 4/20 6. ฌาน ” 2 7. เวทนา ” 5 8. สัมปโยค ” 2 9. สังขาร ” 2
น ๔๘ ปรเิ ฉทที่ ๖ รูปปรมัตถ์ นพิ พานปรมัตถ์ อญั . ป อา เต วา ม4 13 จ ส ฆ ช ก ป 5 สนั ติลักขณ รู สทั คัน รส วิ 7-4 ๑ อิต ปุริ ภา 2 นิป 18 ห ห1 ชี ชี 1 ๑ สอุปาทเิ สส นิพพาน ๒ อนปุ าทิเสส อา อา 1 รปู 28 นิพพาน ๕ นิพพาน ปริ ปริ 1 กาย วจี 19 ลหุ มุทุ กมั วิญ 2 อนิป 10 อปุ สนั ชร อนิ วิการ 3 โส. ลกั ข 4 25 ๑ สญุ ญต ๒ อนิมติ ต ๓ อัปปณหิ ิต สรปุ รูป 28 มหี ลกั ใหญ่อยู่ 5 คือ นพิ พาน นพิ พาน นิพพาน 1. รปู สมุทเทสนัย * ย่อ > ใหญ่ 2 เล็ก 11 2. รปู วภิ าคนัย * สภาวะ 8 * คู่ 11 3. รปู สมุฎฐานนยั * 4 คือ กัมม จิตต อุตุ อาหาร ๑. นิพพานว่าโดยสภาวลักษณะ มี 1 1. สนั ติลักขณ 4. รปู กลาปนยั * กลาป 23 > 9-8-4-2 ออัญก.ุ . 5. รูปปวัตตกิ มนยั * ภูมิ 31 * สมฎุ 4 * กาเนดิ 4๒. นพิ พานวา่ โดยปรยิ ายแหง่ เหตุ มี 2 ส. 1. สอุปาทิเสสนพิ พาน , ถี 2 , วิ 1 ) 2. อนุปาทิเสสนพิ พาน อัป 2 , ปัญ 1 ) ๓. นิพพานว่าโดยอาการทเ่ี ป็นอยู่ มี 3 เจตสิก 1. สุญญตนิพพาน 2. อนิมติ ตนพิ พาน 3. อัปปณหิ ิตนิพพาน พระอาจารยท์ วี เกตธุ มโม
สัพพสังค การแสดงสงเคราะห์ จติ เจตสกิ รูป นพิ พาน ซ่ึงเป็นวัตถุธรรมทงั้ หมดรวมกนั หมวดห ขนั ธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ รปู ๒๘ เป็น รูปขนั ธ์ จกั ขุปสาท เป็น จกั ขายตนะ เวทนาเจตสกิ เป็น เวทนาขันธ์ ปสาทรูป ๕ โสตปสาท เป็น โสตายตนะ ๕๒ สญั ญาเจตสกิ เปน็ สญั ญาขันธ์ โอฬาริกรูป ๑๒ ฆานปสาท เป็น ฆานายตนะ เจตสิกท่เี หลอื ๕๐ เปน็ สงั ขารขนั ธ์ โอฬาริกายตน ะ ๑๐ ชวิ หาปสาท เป็น ชวิ หายตนะ ( เวน้ เวทนาเจตสิก, สัญญาเจตสิก ) กายปสาท เปน็ กายายตนะ จติ ๘๙ เป็น วญิ ญาณขันธ์ รปู ารมณ์ เป็น รปู ายตนะ วิสย ูรป ๗ สทั ทารมณ์ เปน็ สัททายตนะ คันธารมณ์ เปน็ คนั ธายตนะ รสารมณ์ เปน็ รสายตนะ ป, เต, วาโผฏ เป็น โผฏฐัพพายต จติ ๘๙ เปน็ มนายตนะ นพิ พาน เปน็ ขนั ธวิมุตติ เจ๕๒ สขุ มุ ๑๖ นพิ เป็น ธัมมายตนะ
คหะ หนงึ่ (มี ๕ หมวด ๓๙ ประเภท ไมน่ ับอปุ าทานกั ขนั ธโ์ ดยเฉพาะ) ๒ ธาตุ ๑๘ อริยสัจจะ ๔ เป็น จกั ขธุ าตุ โลกียจิต ๘๑+เจตสกิ ๕๑(เว้น โลภ)+รูป ๒๘ เป็น ทกุ ขสัจจะ เป็น โสตธาตุ เปน็ ฆานธาตุ โลภเจตสกิ เปน็ สมทุ ยสจั จะ เป็น ชิวหาธาตุ เปน็ กายธาตุ นพิ พาน เป็น นิโรธสัจจะ เปน็ รูปธาตุ เป็น โอฬาริกธาตุ ๑๐ สทั ทธาตุ องค์มรรค ๘ ท่ใี นปฐมฌานมรรค หรือ เป็น มรรคสจั จะ เป็น คันธธาตุ เป็น รสธาตุ หรือ องค์มรรค ๗ [เว้น สมั มาสงั กัปปมรรค ( วติ ก ) ตนะ เป็น โผฏฐัพพธาตุ ทีใ่ น ทุติยฌานมรรคขึ้นไป ] * มรรคจติ ตุปบาทท่ีเหลือ๒๙ ผลจติ ตุปบาท ๓๗ เป็น สัจจวิมุตติ * องคม์ รรค ๘ : สมั มาทิฏฐิ, สัมมาสังกปั ปะ, สัมมาวาจา, สมั มากมั มันตะ สัมมาอาชวี ะ, สัมมาวายามะ, สัมมาสติ, สัมมาสมาธิ ๑ จกั ขวุ ญิ ญาณจิต ๒ เปน็ จักขวุ ญิ ญาณธาตุ ๒ โสตวิญญาณจติ ๒ เป็น โสตวญิ ญาณธาตุ ๓ ฆานวิญญาณจติ ๒ เปน็ ฆานวิญญาณธาตุ เปน็ ชวิ หาวญิ ญาณธาตุ ๔ ชิวหาวญิ ญาณจติ ๒ เปน็ กายวญิ ญาณธาตุ เปน็ มโนธาตุ เปน็ วิญญาณธาตุ ๗ ๕ กายวิญญาณจิต ๒ ๖ สมั ๒ + ปัญจ ๑ ๗ จิตที่เหลือ ๗๖ เปน็ มโนวญิ ญาณธาตุ (เวน้ ทวิ ๑๐, มโนธาตุ ๓) เป็น ธัมมธาตุ * มัคคงั คเจตสกิ ๘ ดวง (องคม์ รรค ๘) คอื ปญั ญา วิตก วริ ตี ๓ วิริยะ สติ เอกคั คตา ขณะประกอบกับมรรคจิต เรยี กว่า มรรคสจั จะ ขณะประกอบกับโลกียจติ เรียกวา่ ทุกขสัจจะ ขณะประกอบกบั ผลจิต เรียกว่า สจั จวมิ ุตติ
ป ริ จ เ ฉ ท ที่ ๗ สมจุ จยสงั คหะ อนสุ นั ธิ และปฏิญญา ทวาสตตตวิ ธิ า วุตตา วตถธุ มมา สลกขณา เตสํ ทานิ ยถาโยคํ ปวกขามิ สมุจจยํ ฯ วตั ถธุ รรม คอื ธรรมทมี่ ีสภาพของตนโดยแท้ ๗๒ ประการนน้ั ขา้ พเจา้ ได้แสดงไปแล้ว บัดน้จี ะแสดง สมุจจยสังคหะ คือ สังคหะที่รวบรวมธรรมตา่ ง ๆ ของวตั ถธุ รรม ๗๒ ประการนน้ั ตามท่จี ะเขา้ กันได้ แสดงการรวบรวมปรมตั ถธรรม ๔ คอื จติ (๑) เจตสิก(๕๒) นิปผันนรูป(๑๘) นพิ พาน(๑) ทเ่ี รยี กว่า วัตถุธรรม ๗๒ ประการท่มี สี ภาพเข้ากันไดใ้ ห้อยูเ่ ป็นหมวด ๆ ช่ือว่าสมจุ จยสงั คหะ มี ๔ หมวด คอื ๑) อกศุ ลสงั คหะ การแสดงสงเคราะหธ์ รรมท่ีเป็นฝา่ ยอกุศลโดยสว่ นเดียวหมวดหนงึ่ ๒) มสิ สกสงั คหะ การแสดงสงเคราะหธ์ รรมที่เปน็ กศุ ล อกศุ ล อพยากตะท้งั ๓ ปนกนั หมวดหน่งึ ๓) โพธิปักขิยสงั คหะ การแสดงสงเคราะหธ์ รรมทเ่ี ปน็ ฝา่ ยมรรคญาณหมวดหนึ่ง ๔) สัพพสงั คหะ การแสดงสงเคราะห์จิต เจตสิก รูป นิพพาน ซึ่งเปน็ วตั ถธุ รรมทั้งหมดรวมกนั หมวดหน่ึง สมุจจยสงั คหะ ๔ หมวด อกศุ ลสังคหะ มิสสกสังคหะ โพธปิ กั ขิยสังคหะ สัพพสงั คหะ หมวด ประเภท หมวด ประเภท หมวด ประเภท หมวด ประเภท ๑. อาสวะ ๔ ๑. เหตุ ๖ ๑. สติปัฏฐาน ๔ ๑. ขันธ์ ๕ ๒. โอฆะ ๔ ๒. ฌานังคะ ๗ ๒. สมั มัปปธาน ๔ ๒. อปุ าทานักขนั ธ์ ๕ ๓. โยคะ ๔ ๓. มคั คงั คะ ๑๒ ๓. อิทธบิ าท ๔ ๓. อายตนะ ๑๒ ๔. คันถะ ๔ ๔. อินทรีย์ ๒๒ ๔. อนิ ทรยี ์ ๕ ๔. ธาตุ ๑๘ ๕. อปุ าทาน ๔ ๕. พละ ๙ ๕. พละ ๕ ๕. อรยิ สัจจะ ๔ ๖. นีวรณะ ๖ ๖. อธบิ ดี ๔ ๖. โพชฌงค์ ๗ * ไม่นับอปุ าทา ๗. อนสุ ัย ๗ ๗. อาหาร ๔ ๗. มคั คงั คะ ๘ นักขันธ์โดยเฉพาะ ๘. สังโยชน์ ๑๒ - พระสตู ร ๑๐ - พระอภิธรรม ๑๐ ๙. กิเลส ๑๐ รวม ๙ หมวด ๕๕ รวม ๗ หมวด ๖๔ รวม ๗ หมวด ๓๗ รวม ๕ หมวด ๓๙
อกศุ ลสงั คหะ การแสดงสงเคราะหธ์ รรมท่เี ปน็ ฝา่ ยอกศุ ล โดยสว่ นเดยี วหมวดหน่ึง (มี ๙ หมวด ๕๕ ประเภท) ๑) อาสวะ เปรยี บเหมอื นสรุ า อาสวะ ๔ ธ.ทเี่ ปน็ เคร่ืองไหลอยู่ใน องค์ธรรม ( รวม ๓ ) โม โลภเจตสกิ ที่ใน โลภมลู จิต ๘ โล ทิฏ ๑) กามาสวะ …กามคณุ อารมณ์ โลภเจตสกิ ที่ใน ทฏิ ฐคิ ตวิปปยตุ ตจติ ๔ ทิฏฐเิ จตสกิ ที่ใน ทฏิ ฐิคตสัมปยุตตจติ ๔ ๒) ภวาสวะ …รูปภพ อรปู ภพหรือรูปฌาณ อรูปฌาณ โมหเจตสิก ที่ใน อกุศลจติ ๑๒ ๓) ทฏิ ฐาสวะ …ความเหน็ ผิด ๔) อวิชชาสวะ …ความหลง ความโง่ ๒) โอฆะ เปรียบเหมือนห้วงน้า โอฆะ ๔ ธ.ที่เป็นเคร่อื งทาใหส้ ตั ว์จมอยใู่ น องคธ์ รรม ( รวม ๓ ) โม โลภเจตสกิ ทใ่ี น โลภมูลจิต ๘ โล ทฏิ ๑) กาโมฆะ …กามคณุ อารมณ์ โลภเจตสกิ ทใี่ น ทิฏฐคิ ตวปิ ปยตุ ตจิต ๔ ทฏิ ฐเิ จตสกิ ที่ใน ทิฏฐคิ ตสมั ปยุตตจิต ๔ ๒) ภโวฆะ …รูปภพ อรูปภพหรือรปู ฌาณ อรปู ฌาณ โมหเจตสิก ท่ีใน อกศุ ลจติ ๑๒ ๓) ทฏิ โฐฆะ …ความเหน็ ผดิ ๔) อวิชโชฆะ …ความหลง ความโง่ ๓) โยคะ เปรยี บเหมือนกาว โยคะ ๔ ธ.ที่เปน็ เครื่องประกอบสัตวใ์ หต้ ดิ อยใู่ น องค์ธรรม ( รวม ๓ ) โม โล ทฏิ ๑) กามโยคะ …กามคณุ อารมณ์ โลภเจตสิก ทใ่ี น โลภมูลจิต ๘ ๒) ภวโยคะ …รปู ภพ อรปู ภพหรือรปู ฌาณ อรปู ฌาณ โลภเจตสกิ ทใ่ี น ทิฏฐิคตวิปปยตุ ตจติ ๔ ๓) ทิฏฐิโยคะ …ความเห็นผดิ ทิฏฐเิ จตสกิ ทใ่ี น ทิฏฐิคตสมั ปยุตตจิต ๔ ๔) อวิชชาโยคะ …ความหลง ความโง่ โมหเจตสิก ท่ีใน อกศุ ลจติ ๑๒ ๔) คันถะ เปรยี บเหมือนโซเ่ หลก็ คันถะ ๔ ธ.ที่เกยี่ วคล้องนามกายรปู กาย องค์ธรรม ( รวม ๓ ) โล ทิฏ ไว้โดยอาการ… โท ๑) อภชิ ฌากายคนั ถะ …ที่ผูกพันอยู่ในกามคุณอารมณ์ โลภเจตสิก ทีใ่ น โลภมูลจิต ๘ ๒) พยาปาทกายคนั ถะ โทสเจตสกิ ทใ่ี น โทสมูลจิต ๒ …โกรธ ๓) สลี พั พตปรามาสกายคันถะ …ยึดถอื ในการปฏบิ ัตทิ ่ีผดิ ทิฏฐิเจตสิก ที่ใน ทฏิ ฐคิ ตสมั ปยุตตจติ ๔ ๔) อิทังสัจจภินิเวสกายคันถะ …ยึดมนั่ ในความเหน็ ผิดของตนว่าถกู ทิฏฐเิ จตสกิ ทใ่ี น ทฏิ ฐคิ ตสมั ปยุตตจิต ๔ ความเหน็ ของคนอื่นผดิ ข้อสงั เกต-ความแตกตา่ งระหวา่ งอภิชฌาและพยาบาทท่ีเป็นมโนทจุ รติ กบั อภชิ ฌาและพยาบาททีเ่ ป็นคนั ถะ อภิชฌา ที่เป็น มโนทจุ ริต เปน็ โลภะอย่างหยาบมีสภาพอยากได้ทรพั ย์สมบตั ขิ องผอู้ นื่ มาเป็นของตนโดยไม่ชอบธรรม ทเี่ ป็น คนั ถะ เป็นโลภะทัง้ หยาบและละเอียดทัง้ หมดทีเ่ ก่ียวกบั ความอยากได้ ความพอใจทง้ั ในทรัพย์สมบตั ิของผ้อู ื่นหรือของตนเองโดยชอบธรรมกต็ าม หรอื ไมช่ อบธรรมก็ตาม พยาบาท ทเ่ี ป็น มโนทุจรติ เป็นโทสะอยา่ งหยาบท่ีเก่ียวกบั ความปองรา้ ยผอู้ ืน่ คดิ ให้เขาลา้ บากเสยี หายต่าง ๆ ท่ีเปน็ คนั ถะ เป็นโทสะท้งั หยาบและละเอียด
๕) อุปาทาน เปรยี บเหมือนงูทจ่ี ับกบได้กดั กบไวแ้ นน่ ไมย่ อมปลอ่ ย อุปาทาน ๔ ธ.ทีเ่ ปน็ เคร่ืองยดึ มนั่ ใน… องคธ์ รรม ( รวม ๒ ) ๑) กามปุ าทาน …กามคณุ อารมณ์ โลภเจตสิก ที่ใน โลภมูลจติ ๘ โล ทิฏ ๒) ทิฏฐุปาทาน …ความเหน็ ผดิ ทนี่ อกจาก ทิฏฐิเจตสกิ ทีใ่ น ทฏิ ฐิคตสัมปยุตตจิต ๔ ๓) สีลัพพตปุ าทาน ทใ่ี น ทฏิ ฐคิ ตสมั ปยุตตจิต ๔ สีลัพพตปรามาสทิฏฐิ และ อตั ตวาททิฏฐิ …การปฏิบัติผดิ อาทปิ ฏิบัติเยีย่ งโคเย่ยี งสนุ ัข ทฏิ ฐเิ จตสกิ ๔) อัตตวาทุปาทาน …รูปนามขนั ธ์ 5 ว่าเปน็ ตวั เป็นตน ทฏิ ฐเิ จตสิก ท่ใี น ทฏิ ฐคิ ตสัมปยตุ ตจติ ๔ ๖) นวี รณะ เครื่องห้าม เครือ่ งกั้นความดีหรือกศุ ลธรรมต่าง ๆ ไมใ่ หเ้ กิดหรือใหก้ ุศลบางอย่างท่เี กดิ แล้วเสอ่ื มไป นวี รณะ ๖ ธ. ทเ่ี ป็นเคร่ืองกัน้ ความดีคอื … องค์ธรรม ( รวม ๘ ) โม อทุ ๑) กามัจฉนั ทนวี รณะ …ความพอใจในกามคณุ อารมณ์ โลภเจตสิก ทใ่ี น โลภมูลจิต ๘ กุก ๒) พยาปาทนวี รณะ …ความโกรธ โทสเจตสกิ ที่ใน โทสมูลจติ ๒ โล ๓) ถีนมิทธนวี รณะ …ความหดหู่ทอ้ ถอยอารมณ์ ถีนะ+มิทธะ ที่ใน อกศุ ลสสงั ขาริกจติ ๕ โท ถนี มิท ๔) อทุ ธจั จกกุ กจุ จนวี รณะ …ความฟุ้งซา่ นร้าคาญใจ อทุ ธัจจเจตสกิ ทใ่ี น อกศุ ลจติ ๑๒ วจิ ิ กกุ กุจจเจตสกิ ที่ใน โทสมลู จติ ๒ ๕) วจิ กิ จิ ฉานวี รณะ …ความสงสยั ลงั เลใจในสง่ิ ท่ีควรเช่ือ วิจิกจิ ฉา เจ. ที่ใน วจิ กิ จิ ฉาสมั ปยุตตจติ ๑ ๖) อวชิ ชานวี รณะ …ความหลง ความโง่ ทไ่ี มร่ ตู้ ามความเปน็ จรงิ โมหเจตสกิ ทใ่ี น อกศุ ลจติ ๑๒ ๗) อนสุ ัย ธรรมทีน่ อนเนือ่ งอยู่ในขนั ธสันดาน อนุสยั ๗ ธ. ทนี่ อนเน่อื งอยู่ในขันธสนั ดาน คอื … องคธ์ รรม ( รวม ๖ ) โม โล ทิฏ มา ๑) กามราคานุสัย …ความตดิ ใจในกามคณุ อารมณ์ โลภเจตสิก ทใ่ี น โลภมูลจิต ๘ โท ๒) ภวราคานุสัย …ความตดิ ใจในรูปภพ อรปู ภพ หรือ รูปฌาณ โลภเจตสิก ทใ่ี น ทิฏฐคิ ตวิปปยตุ ตจิต ๔ วิจิ ๓) ปฏิฆานุสัย อรปู ฌาณ ทใ่ี น โทสมูลจิต ๒ …ความโกรธ โทสเจตสิก ๔) มานานสุ ยั …ความเย่อหยิง่ ถือตัว มานเจตสกิ ที่ใน ทิฏฐคิ ตวิปปยุตตจิต ๔ ๕) ทฏิ ฐานสุ ยั …ความเหน็ ผดิ ทฏิ ฐิเจตสิก ทใี่ น ทฏิ ฐคิ ตสมั ปยตุ ตจติ ๔ ๖) วิจิกจิ ฉานุสัย …ความสงสยั ลงั เลใจในสิง่ ทีค่ วรเชื่อ วจิ ิกิจฉา เจ. ทีใ่ น วจิ กิ ิจฉาสมั ปยุตตจิต ๑ ๗) อวิชชานสุ ัย …ความหลง ความโง่ ทไี่ ม่รตู้ ามความเป็นจริง โมหเจตสกิ ที่ใน อกศุ ลจติ ๑๒
๘) สงั โยชน์ เหมือนเชอื กที่ผกู โยงสตั ว์หรือวตั ถุส่ิงของไวไ้ มใ่ ห้หลุดไปจากวัฏฏทุกข์ได้ พระสูตร นยั พระสูตร ๑๐ นัยพระอภธิ รรม ๑๐ ธ. ทผี่ ูกสัตว์ไว้โดยอาการท…ี่ องค์ธรรม ( รวม ๙ ) โม อทุ โล ทฏิ มา ๑) กามราคสงั โยชน์ …ตดิ อยู่ในกามคณุ อารมณ์ โลภเจตสกิ ที่ใน โลภมูลจติ ๘ โท อสิ มจั ๒) รูปราคสังโยชน์ …ตดิ อย่ใู นรูปภพ หรือ รปู ฌาณ ๓)อรูปราคสงั โยชน์ ภวราคสงั โยชน์ …ติดอยู่ในอรปู ภพ หรือ อรูปฌาณ โลภเจตสิก ทใ่ี น ทฏิ ฐคิ ตวิปปยุตตจติ ๔ วิจิ ๔) ปฏฆิ สังโยชน์ …โกรธ พระอภิธรรม ๕) มานสงั โยชน์ …เย่อหยิ่งถือตัว โทสเจตสิก ที่ใน โทสมูลจิต ๒ ๖) ทิฏฐิสังโยชน์ …มีความเห็นผดิ มานเจตสกิ ทใ่ี น ทิฏฐิคตวปิ ปยตุ ตจิต ๔ ๗) สลี พั พตปรามาสสังโยชน์ …ปฏบิ ัตผิ ิด ทิฏฐเิ จตสิก ท่ใี น ทิฏฐิคตสมั ปยตุ ตจิต ๔ ๘) วิจิกจิ ฉาสังโยชน์ …สงสยั ลังเลใจในส่งิ ทค่ี วรเชื่อ ทฏิ ฐิเจตสิก ทใ่ี น ทฏิ ฐคิ ตสัมปยุตตจติ ๔ วิจิกจิ ฉา ที่ใน วจิ ิกิจฉาสัมปยตุ ตจิต ๑ อสิ สาสงั โยชน์ …อจิ ฉาในคณุ งามความดีของผู้อนื่ เจตสกิ มจั ฉรยิ สังโยชน์ …ตระหน่หี วงแหนในสมบตั ิหรือคุณความดขี องตน อิสสาเจตสิก ที่ใน โทสมูลจติ ๒ ๙) อุทธจั จสังโยชน์ …ฟงุ้ ซา่ น มัจฉริยเจตสกิ ท่ใี น โทสมูลจติ ๒ ๑๐) อวชิ ชาสังโยชน์ …หลงโงไ่ ม่รู้ตามความเปน็ จรงิ อทุ ธัจจเจตสิก ทใ่ี น อกุศลจติ ๑๒ โมหเจตสกิ ที่ใน อกศุ ลจิต ๑๒ เชือกคือสังโยชน์ท้งั ๑๐ เสน้ ซ่ึงผูกมัดสตั ว์ทั้งหลายไว้กบั วัฏฏทุกขน์ ้นั ถ้าเส้นหนง่ึ เสน้ ใดมอี าการตงึ ขึ้นแลว้ สังโยชน์เส้นนน้ั กจ็ ะ นา้ สัตว์ให้ไปเกิดในภมู ทิ เ่ี กยี่ วกับสังโยชนน์ นั้ ๆ โดยอาศยั กรรมทส่ี ัตวน์ ้ัน ๆ กระทา้ ขึ้นปุถุชนทไ่ี ม่ได้ฌาณ กามราคสังโยชน์ตึงเป็น ประจ้าอยู่เสมอ - พระโสดาบันบุคคล พระสกทิ าคามิบคุ คล ประหาณ ทฏิ ฐสิ งั โยชน์ วจิ ิกิจฉาสงั โยชน์ ลลี ัพพตปรามาสสงั โยชน์ ( โอรัมภาคิยสงั โยชน์ ) ไดเ้ ปน็ สมจุ เฉทปหาณ พน้ แลว้ จาก เหมฐมิ สังสาระ คอื อบายภูมิ ๔ - พระอนาคามีบคุ คล ประหาณ กามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ ( โอรัมภาคยิ สังโยชน์ ) ได้เปน็ สมจุ เฉทปหาณ พ้นแลว้ จาก มัชฌมิ สังสาระ คือ มนษุ ยภูมแิ ละเทวดาภูมิ - พระอรหันต์ ประหาณ อุทธัมภาคยิ สงั โยชน์ ได้เปน็ สมุจเฉทปหาณ พน้ แล้วจาก อปุ ริมสังสาระ คือ รูปภูมิ อรูปภมู ิ ๙) กิเลส เครอื่ งท้าใหเ้ ศรา้ หมองหรือเรา่ รอ้ น องคธ์ รรม ( รวม ๑๐ ) โม อหิ อโน อทุ โล ทฏิ มา กเิ ลส ๑๐ ธ. ทีเ่ ป็นเครื่องเศร้าหมอง คือ… โท ๑) โลภะ …ความยนิ ดีพอใจในโลกียอารมณ์ต่าง ๆ โลภเจตสิก ที่ใน โลภมูลจิต ๘ ถีน ๒) โทสะ …ความโกรธ ความไม่พอใจ โทสเจตสิก ทีใ่ น โทสมูลจติ ๒ ๓) โมหะ …ความหลง ความโง่ โมหเจตสกิ ทใ่ี น อกศุ ลจิต ๑๒ วิจิ ๔) มานะ …ความเย่อหย่ิงถอื ตวั มานเจตสิก ทใ่ี น ทฏิ ฐิคตวปิ ปยตุ ตจิต ๔ ๕) ทฏิ ฐิ …ความเหน็ ผดิ ทิฏฐิเจตสกิ ที่ใน ทฏิ ฐคิ ตสมั ปยุตตจติ ๔ ๖) วจิ ิกิจฉา …ความสงสัยลังเลใจในสิ่งทคี่ วรเช่ือ วิจกิ ิจฉาเจตสกิ ที่ใน วจิ ิกิจฉาสัมปยตุ ตจิต ๑ ๗) ถีนะ …ความหดหู่ ถนี เจตสิก ท่ีใน อกศุ ลสสังขาริกจิต ๕ ๘) อทุ ธจั จะ …ความฟงุ้ ซ่าน อทุ ธจั จเจตสิก ท่ีใน อกศุ ลจติ ๑๒ ๙) อหริ ีกะ …ความไมล่ ะอายต่อทุจริต อหริ ิกเจตสกิ ที่ใน อกศุ ลจติ ๑๒ ๑๐) อโนตตัปปะ …ความไม่สะดุ้งกลวั ต่อทจุ รติ อโนตตปั ปเจตสิก ที่ใน อกุศลจติ ๑๒
มิสสกสงั คหะ การแสดงสงเคราะห์ธรรมทเ่ี ปน็ กศุ ล อกุศล อพยากตะ ทัง้ ๓ ปนกนั หมวดหนึ่ง (มี ๗ หมวด ๖๔ ประเภท) ๑) เหตุ เหตุ ๖ …เป็นเคร่อื งใหร้ ูปนามทเ่ี กดิ พร้อมกนั กบั ตน องค์ธรรม ( รวม ๖ ) ตง้ั มั่นและเจริญข้ึนไดใ้ นอารมณ์ ๑) โลภเหตุ ความอยากได้… โลภเจตสิก ทใ่ี น โลภมลู จิต ๘ ๒) โทสเหตุ ความโกรธ… โทสเจตสกิ ทใี่ น โทสมลู จิต ๒ ๓) โมหเหตุ ความหลง… โมหเจตสิก ทใ่ี น อกุศลจติ ๑๒ ๔) อโลภเหตุ ความไมต่ ดิ ใจในกามคุณอารมณ์… อโลภเจตสกิ ทใ่ี น โสภณจติ ๕๙/๙๑ ๕) อโทสเหตุ ความไมโ่ กรธ… อโทสเจตสิก ทใ่ี น โสภณจติ ๕๙/๙๑ ๖) อโมหเหตุ ความไม่หลง… ปัญญาเจตสกิ ทใ่ี น ญาณสัมปยตุ ตจติ ๔๗/๗๙ ๒) ฌานังคะ ฌานังคะ ๗ ธรรมชาติท.่ี ....เปน็ เครื่องเพง่ อารมณ์ องค์ธรรม ( รวม ๕ ) ๑) วิตก …ยกจติ ข้ึนสอู่ ารมณ์… วติ ก เจ. ทใ่ี น กามจติ ๔๔ ปฐม ๑๑ ๒) วจิ าร …เคล้าคลึงอารมณ์… วิจาร เจ. ทใ่ี น กามจติ ๔๔ ปฐม ๑๑ ทุติย ๑๑ ๓) ปิติ …มคี วามชน่ื ชมยินดใี นอารมณ์… ปติ ิ เจ. ทีใ่ น กามโส.๑๘ ปฐม ๑๑ ทุตยิ ๑๑ ตติย ๑๑ ๔) เอกคั คตา …ต้งั ม่นั ในอารมณเ์ ดยี ว… เอกัคคตา เจ. ทใ่ี น จิต ๑๑๑ ( เว้น ทวิ.๑๐ ) ๕) โสมนสั …เสวยอารมณ์เปน็ สุขใจ… เวทนา เจ. ท่ีใน โสมนสั สหคตจิต ๖๒ ๖) โทมนสั …เสวยอารมณเ์ ป็นทุกขใ์ จ… เวทนา เจ. ทใ่ี น โทสมลู จติ ๒ ๗) อุเบกขา …เสวยอารมณ์เปน็ กลาง… เวทนา เจ. ท่ใี น อเุ บกขาสหคตจิต ๔๗ ( เวน้ ทวิ.อเุ บกขา ๘ ) ธรรมทเี่ ปน็ ปฏปิ กั ษ์กบั องคฌ์ าน ถนี มทิ ธะ เป็นปฏิปักษก์ ับ วิตก วิจกิ ิจฉา เปน็ ปฏิปกั ษก์ บั วจิ าร พยาบาท เป็นปฏิปกั ษก์ ับ ปิติ กามฉนั ทะ เปน็ ปฏปิ ักษก์ ับ เอกคั คตา อุทธัจจะกุกกจุ จะและโทมนัสเวทนา เปน็ ปฏปิ กั ษก์ ับ โสมนัสเวทนาและอเุ บกขาเวทนา ปิติและโสมนสั เวทนา เป็นปฏิปกั ษ์กับ โทมนสั เวทนา ๓) มคั คังคะ มคั คังคะ ๑๒ …เปน็ หนทางให้ถงึ สุคตภิ ูมิ องคธ์ รรม ( รวม ๙ ) และพระนพิ พาน ๑) สัมมาทฏิ ฐิ ความเหน็ ชอบ… ปัญญาเจตสกิ ทใ่ี น ญาณสมั ปยตุ ตจติ ๔๗/๗๙ ๒) สมั มาสงั กัปปะ ความดา้ ริชอบ… วติ กเจตสกิ ที่ใน กามาวจรโสภณจติ ๒๔ ปฐม ๑๑ ๓) สมั มาวาจา การกล่าววาจาชอบ… สัมมาวาจาเจตสกิ ที่ใน มหากศุ ลจิต ๘ โลกตุ ตรจิต ๔๐ ๔) สัมมากัมมนั ตะ การท้าการงานขอบ… สมั มากมั มนั ตเจตสิก ทใ่ี น มหากุศลจิต ๘ โลกุตตรจิต ๔๐ ๕) สัมมาอาชวี ะ การเลย้ี งชพี ชอบ… สัมมาอาชวี เจตสกิ ทใ่ี น มหากศุ ลจิต ๘ โลกุตตรจติ ๔๐ ๖) สัมมาวายามะ ความเพียรชอบ… วริ ยิ เจตสกิ ที่ใน โสภณจิต ๙๑ ๗) สัมมาสติ ความระลกึ ชอบ สติเจตสิก ที่ใน โสภณจติ ๙๑ ๘) สัมมาสมาธิ ความต้ังม่ันชอบ… เอกคั คตาเจตสกิ ทใ่ี น โสภณจิต ๙๑ ..เป็นหนทางให้ถงึ ทุคตภิ ูมิ ๙) มจิ ฉาทฏิ ฐิ ความเหน็ ผิด… ทฏิ ฐเิ จตสิก ที่ใน ทิฏฐิคตสมั ปยตุ ตจิต ๔ ๑๐) มจิ ฉาสงั กัปปะ ความดา้ ริผดิ … วติ กเจตสกิ ทใ่ี น อกศุ ลจิต ๑๒ ๑๑) มิจฉาวายามะ ความเพยี รผดิ … วริ ิยเจตสกิ ที่ใน อกศุ ลจิต ๑๒ ๑๒) มจิ ฉาสมาธิ ความต้ังมนั่ ผิด… เอกัคคตาเจตสิก ทใ่ี น อกศุ ลจติ ๑๑ ( เวน้ วิจกิ ิจฉาสัมปยุตตจติ ๑) ธรรมท่ีเรียกวา่ เปน็ องคม์ รรค เพราะเป็นเหตแุ ละเปน็ หนทางให้เขา้ ถงึ สคุ ติภมู ิ ทคุ ติภูมแิ ละนพิ พานและเพราะเปน็ ส่วนหนึง่ ๆ ของมรรค
๔) อนิ ทรยี ์ ธรรมชาติท่ีเป็นผปู้ กครองใน…. องค์ธรรม รวม ๑๖ จาแนกอนิ ทรยี ์ โดยภมู ิ อนิ ทรยี ์ ๒๒ …การเหน็ จักขปุ สาท ๑) จกั ขนุ ทรยี ์ อินทรี ์ย ่ีทเป็นรูปปร ัมต ์ถ ๒) โสตินทรีย์ …การได้ยิน โสตปสาท ๓) ฆานนิ ทรีย์ …การรู้กลนิ่ ฆานปสาท ๔) ชวิ หนิ ทรยี ์ …การรู้รส ชิวหาปสาท กามอินทรีย์ ๕) กายนิ ทรยี ์ …การสัมผัส กายปสาท ๖) อติ ถนิ ทรยี ์ …ความเป็นหญงิ อิตถีภาวรปู ๗) ปรุ ิสนิ ทรยี ์ …ความเป็นชาย ปรุ สิ ภาวรูป รูปและ ๘) ชวี ติ นิ ทรีย์ …การรกั ษารปู และนาม ชีวติ รูปและชีวติ นิ ทรีย์เจตสกิ กามอนิ ทรีย์ รปู อินทรีย์ นาม …การรับอารมณ์ จติ ทัง้ หมด อรปู อนิ ทรีย์ ๙) มนินทรยี ์ โลกตุ ตรอินทรีย์ ๑๐) สขุ ินทรีย์ …การเสวยความสุขกาย เวทนาเจตสกิ ที่ใน สขุ สหคตกายวิญญาณจติ ๑ กามอินทรยี ์ ๑๑) ทกุ ขนิ ทรยี ์ …การเสวยความทุกขก์ าย เวทนาเจตสกิ ท่ีใน ทกุ ขสหคตกายวญิ ญาณจิต ๑ ๑๒) โสมนสั สนิ ทรีย์ …การเสวยความสุขใจ เวทนาเจตสกิ ที่ใน โสมนัสสหคจติ ๖๒ กามอินทรีย์ รปู อินทรยี ์ โลกุตตรอินทรยี ์ ๑๓) โทมนสั สินทรยี ์ …การเสวยความทกุ ขใ์ จ เวทนาเจตสิก ทใ่ี น โทสมูลจิต ๒ กามอนิ ทรยี ์ ๑๔) อเุ ปกขินทรีย์ …การเสวยอารมณ์เป็นกลาง เวทนาเจตสิก ทใ่ี น อเุ บกขาสหคตจิต ๕๕ อินทรี ์ย ่ีทเ ็ปนนามปร ัมต ์ถ ๑๕) สัทธนิ ทรยี ์ …ความเชอื่ ตอ่ ส่งิ ที่ควรเชือ่ สทั ธาเจตสกิ ทใี่ น โสภณจติ ๙๑ ๑๖) วริ ยิ นิ ทรยี ์ …ความเพยี ร วริ ยิ เจตสกิ ที่ใน วริ ยิ สมั ปยุตตจิต ๑๐๕ กามอนิ ทรยี ์ รูปอนิ ทรีย์ ๑๗) สตินทรีย์ …การระลึกชอบ อรปู อินทรยี ์ ๑๘) สมาธนิ ทรยี ์ …การตั้งมั่นในอารมณ์อันเดยี ว สตเิ จตสกิ ทใี่ น โสภณจติ ๙๑ โลกตุ ตรอนิ ทรยี ์ ๑๙) ปญั ญนิ ทรยี ์ …การรูต้ ามความเป็นจรงิ เอกัคคตาเจตสกิ ท่ีใน จติ ๗๒ เวน้ อวีรยิ จติ ๑๖ วจิ ิกิจจฉาสมั ปยุตตจิต ๑) ปญั ญาเจตสิก ที่ใน ญาณสมั ปยตุ ตจิต ๔๗/๗๙ ๒๐)อนัญญาตญั ญัสสามิ …การรู้แจ้งอริยสจั จ์ ๔ ปัญญาเจตสิก ทีใ่ น โสดาปตั ติมรรคจิต ๑ ตินทรีย์ ท่ีตนไม่เคยรู้ ปัญญาเจตสิก ที่ใน มรรคจติ เบอ้ื งบน ๓ ๒๑) อัญญินทรยี ์ …การรู้แจง้ อริ ยสัจจ์ ๔ ผลจิตเบอ้ื งตา่้ ๓ ทตี่ นเคยรู้ ปัญญาเจตสกิ ทใี่ น อรหัตตผลจิต ๑ โลกตุ ตรอินทรยี ์ ๒๒) อญั ญาตาวนิ ทรีย์ …การรแู้ จ้งอรยิ สจั จ์ ๔ ส้นิ สุดแล้ว จิต ๑ เจตสกิ ๗ รูป ๘
๕) พละ ธรรมชาตทิ ่ไี ม่หว่นั ไหว ไม่หว่นั ไหวใน… องค์ธรรม ( รวม ๙ ) ใน…(หนา้ ทขี่ องตน) ( อกุศลธรรมที่เปน็ ปฏปิ กั ษ์กับตน และ พละ ๙ ทาลายอกศุ ลธรรมนนั้ ให้เสื่อมส้นิ ไป ) ๑) สทั ธาพละ …ความเช่ือต่อสิง่ ทีค่ วรเชอื่ …อกศุ ลธรรมท่ีเปน็ เหตใุ หเ้ กดิ วามไมศ่ รทั ธา สัทธาเจตสกิ ที่ใน โสภณจติ ๙๑ ๒) วิริยพละ …ความเพียร …อกุศลธรรมท่เี ป็นเหตุให้เกดิ ความเกียจครา้ น วริ ยิ เจตสิก ที่ในวิรยิ สัมปยุตตจติ ๑๐๕ ๓) สตพิ ละ …การระลึกชอบ …อกุศลธรรมท่เี ปน็ เหตุใหเ้ กดิ การหลงลมื สติเจตสกิ ที่ใน โสภณจิต ๙๑ ๔) สมาธิพละ …การต้ังมน่ั ในอารมณ์อนั เดียว …ความฟ้งุ ซ่าน เอกัคคตา เจ. ท่ีใน จิต ๑๐๔ (เว้นอวรี ยิ จิต ๑๖ วจิ ิกิจฉาสัมปยุตตจติ ๑) ๕) ปญั ญาพละ …การรู้ตามความเปน็ จริง …การไม่รูต้ ามความเปน็ จรงิ ปัญญาเจตสกิ ทใ่ี น ญาณสัมปยตุ ตจติ ๗๙ ๖) หิรีพละ …ความละอายตอ่ ทุจรติ …ความไมล่ ะอายตอ่ ทุจริต หิรเิ จตสกิ ทใ่ี น โสภณจติ ๙๑ ๗) โอตตัปปพละ …ความสะดุ้งกลวั ตอ่ ทุจริต …ความไม่สะดุ้งกลัวตอ่ ทุจริต โอตตปั ป เจ. ที่ใน โสภณจติ ๙๑ ๘) อหิรีกพละ …ความไม่ละอายตอ่ ทจุ ริต …ความไมส่ ะดงุ้ กลัวต่อทจุ ริต อหิรกี เจตสกิ ทใ่ี น อกุศลจติ ๑๒ ๙) อโนตตปั ปพละ …ความไม่สะด้งุ กลวั ตอ่ ทุจริต …ความไมส่ ะดุ้งกลัวต่อทุจริต อโนตตปั ป เจ. ที่ใน อกศุ ลจติ ๑๒ ๖) อธิบดี ธรรมชาตทิ ่ีเปน็ ใหญใ่ น… องคธ์ รรม ( รวม ๔ ) อธิบดี ๔ …ความพอใจ ฉันทเจตสกิ ทใ่ี น ทวิเหตุกชวน ๑๘ ติเหตกุ ชวน ๓๔/๖๖ …ความเพยี ร ๑) ฉันทาธิปติ …การรับอารมณ์ วรี ิยเจตสิก ที่ใน ทวเิ หตกุ ชวน ๑๘ ตเิ หตกุ ชวน ๓๔/๖๖ …การรแู้ จง้ ตามความเป็นจริง ๒) วิริยาธปิ ติ ทวเิ หตกุ ชวน และ ตเิ หตกุ ชวน ๕๒/๘๔ ( ๑๘+๓๔/๖๖ ) ๓) จิตตาธิปติ ๔) วิมงั สาธิปติ ปญั ญาเจตสิก ทใี่ น ติเหตกุ ชวน ๓๔/๖๖ ๗) อาหาร ธรรมชาตทิ เ่ี ปน็ ผนู้ า้ ให้………เกิด องค์ธรรม ( รวม ๔ ) อาหาร ๔ …อาหารชรปู … โอชาที่อย่ใู นอาหารต่าง ๆ …เวทนา… ผสั สเจตสิกท่ีในจติ ท้งั หมด ๑) กพฬกี าราหาร …วปิ ากวญิ ญาณมีปฏิสนธิจติ เปน็ ตน้ … เจตนาเจตสกิ ท่ีในจิตท้งั หมด ๒) ผสั สาหาร …เจตสิกและกมั มชรปู … จิตทั้งหมด ๓) มโนสญั เจตนาหาร ๔) วญิ ญาณาหาร * สรุปสมุฏฐานและรปู ทเ่ี กดิ จากสมุฏฐานทั้ง ๔ พละ อธ.๙ อธบิ ดี อธ.๔ อาหาร อธ.๔ กรรมทท่ี ้าใหร้ ปู เกิดมี ๒๕ รูปทเี กิดจากกรรมมี ๑๘ + ทวิเหตกุ ชวนจติ และ + โอชาทอี่ ยูใ่ นอาหารตา่ งๆ แน่นอน ๙ ไม่แน่นอน ๙ ตเิ หตกุ ชวนจิต ๕๒/๘๔ และจติ ทง้ั หมด จิตทท่ี า้ ใหร้ ูปเกิดมี ๗๕ รูปที่เกิดจากจติ มี ๑๕ แนน่ อน ๒ ไม่แนน่ อน ๑๓ อตุ ุท่ที า้ ให้รปู เกิดมี ๒ รปู ทเ่ี กดิ จากอุตุมี ๑๓ แน่นอนไม่มี ไม่แน่นอน ๑๓ อาหารท่ที ้าให้รปู เกิดมี ๑ รูปทเ่ี กดิ จากอาหารมี ๑๒ แน่นอนไมม่ ี ไมแ่ น่นอน ๑๒
โพธิปกั ขิยสงั คหะ การแสดงสงเคราะหธ์ รรมท่เี ปน็ ฝา่ ยมรรคญาณ มี ๗ หมวด ๓๗ ประเภท ๑) สติปัฏฐาน สติทต่ี ง้ั มนั่ อยใู่ นการพิจารณาเนือง ๆ ซึ่ง… องคธ์ รรม ( รวม ๑ ) …กาย คอื รปู ขันธ์ มีลมหายใจเขา้ ออก สตปิ ัฏฐาน มี ๔ คอื สติ (มหากศุ ลจิต ๘ มหากริ ยิ าจิต ๘ อปั ปนาชวนะ ๒๖) ๑) กายานุปสั สนาสติปัฏฐาน อิริยาบถใหญ่ อิริยาบถน้อย เปน็ ตน้ ๒๖ = มหคั .กุ.๙ มหัค.ก.ิ ๙ โลก.ุ ๘ …เวทนา คอื สขุ ทกุ ข์ เฉยๆ ๒) เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน …จติ มีโลภจติ อโลภจิต โทสจิต อโทสจิต โมหจติ ๓) จิตตานปุ สั สนาสติปัฏฐาน อโมหจิต เปน็ ตน้ ๔) ธมั มานุปัสสนาสติปฏั ฐาน …สภาพธรรมทีเ่ ป็นอยู่ โดยอาการท่ปี ราศจากตวั ตน มีสภาพของ โลภะ โทสะ โมหะ เปน็ ต้น สตดิ วงเดียวเป็นสติปัฏฐานท้ัง ๔ ได้ เพราะ (๑) อารมณ์อันเปน็ ทีต่ งั้ แห่งการกาหนด มี ๔ (๒) ลักขณะอนั เปน็ นิมิต (๓) การประหาณ ท่ปี รากฏขน้ึ มี ๔ วิปลาสธรรม มี ๔ ๑.รูปขันธ์ เป็นอารมณข์ องสติ เรียกวา่ กายานปุ สั สนาสตปิ ัฏฐาน ๑.อสุภลกั ขณะ สภุ วปิ ลาส ถกู ประหาณ ๒.เวทนาขนั ธ์ เป็นอารมณข์ องสติ เรียกว่า เวทนานปุ สั สนาสตปิ ัฏฐาน ๒.ทุกขลกั ขณะ สุขวปิ ลาส ถกู ประหาณ ๓.วิญญาณขนั ธ์ เป็นอารมณข์ องสติ เรียกวา่ จิตตานปุ ัสสนาสติปฏั ฐาน ๓.อนิจจลกั ขณะ นจิ จวปิ ลาส ถกู ประหาณ ๔.สัญญาขนั ธ์+สงั ขารขนั ธ์ เปน็ อารมณ์ของสติ เรยี กว่า ธัมมานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน ๔.อนัตตลักขณะ อัตตวปิ ลาส ถกู ประหาณ ๒) สัมมัปปธาน ความพยายามเพอ่ื … องค์ธรรม ( รวม ๑ ) วรี ยิ เจตสกิ ท่ีใน กุศลจติ ๒๑/๓๗ สมั มัปปธาน มี ๔ คอื ๑) อุปปน ปาปกาน้ ปหานาย วายาโม …ละอกุศลธรรม ที่เกดิ ขนึ้ แลว้ นาน้ …ใหอ้ กุศลธรรม ที่ยังไมเ่ กดิ นั้น ไมใ่ หเ้ กิดขึ้น ๒) อนปุ ปน ปาปกาน้ อนปุ ปา วายาโม …ใหก้ ุศลธรรม ทย่ี ังไมเ่ กดิ ให้เกิดขึ้น นาน้ ทาย …ใหก้ ศุ ลธรรม ทีเ่ กดิ ขน้ึ แล้วใหเ้ จรญิ ย่ิง ๆ ขึ้นไป ๓) อนุปปน กสุ ลาน้ อุปปาทาย วายาโม นาน้ ๔) อปุ ปน กสุ ลาน้ ภยิ โยภา วายาโม นาน้ วาย เหตทุ ่ี วริ ยิ เจตสกิ ดวงเดียว เปน็ สมั มปั ปธานทั้ง ๔ ได้ เพราะกิจของวริ ยิ ะในที่นม้ี ีอยู่ ๔ อยา่ งคือ ( ๑ ) พยายามเพอื่ ละอกุศลทเ่ี กิดแล้ว ( ๒ ) พยายามเพือ่ ไม่ให้อกุศลใหม่เกดิ ( ๓ ) พยายามเพ่ือใหก้ ศุ ลใหมเ่ กิด ( ๔ ) พยายามเพ่อื ใหก้ ุศลท่ีเกิดแลว้ เจรญิ รงุ่ เรอื งข้ึน
๓) อิทธบิ าท …เปน็ บาทเบ้อื งต้นแหง่ ความสา้ เร็จฌาน มรรค ผล องค์ธรรม ( รวม ๔ ) ความพอใจอย่างแรงกล้า… ฉนั ทเจตสกิ ท่ใี น กุศลจิต ๒๑ ( ม.ก.ุ ๘ มหคั .ก.ุ ๙ มรรค ๔ ) อิทธิบาท ๔ ความพยายามอยา่ งแรงกลา้ … วริ ิยเจตสกิ ท่ีใน กุศลจติ ๒๑ ๑) ฉนั ททิ ธบิ าท ความต้ังใจอยา่ งแรงกลา้ … กุศลจิต ๒๑ ๒) วิริยทิ ธิบาท ปญั ญาอยา่ งแรงกลา้ … ปัญญาเจตสกิ ที่ใน กุศลญาณสัมปยุตตจิต ๑๗ ๓) จิตติทธบิ าท ๔) วีมังสทิ ธิบาท ( ม.ก.ุ ๔ มหัค.กุ.๙ มรรคจิต ๔ ) ๔) อินทรีย์ อินทรีย์ มี ๕ คอื ความหมาย องคธ์ รรม ( รวม ๕ ) ๑) สทั ธนิ ทรีย์ ศรทั ธา เป็นผปู้ กครองใน ความเล่ือมใสต่อสิ่งทค่ี วร สัทธาเจตสกิ ทีใ่ น มหากุศลจิต ๘ มหากริ ิยาจิต ๘ อปั ปนาชวนะ ๒๖ ๒) วริ ิยนิ ทรีย์ วริ ยิ ะ เป็นผปู้ กครองใน ความพยายามต่อสิง่ ที่ควร วิรยิ เจตสิก ทใ่ี น มหากุศลจติ ๘ มหากิริยาจติ ๘ อัปปนาชวนะ ๒๖ ๓) สตินทรยี ์ สติ เปน็ ผู้ปกครองใน การระลกึ ถงึ สิ่งทค่ี วร สติเจตสิก ทใ่ี น มหากศุ ลจติ ๘ มหากิริยาจติ ๘ อัปปนาชวนะ ๒๖ ๔) สมาธนิ ทรีย์ สมาธิ เป็นผ้ปู กครองใน การตัง้ มนั่ ในอารมณ์ทค่ี วร เอกัคคตา เจ. ท่ีใน มหากศุ ลจติ ๘ มหากริ ยิ าจิต ๘ อัปปนาชวนะ ๒๖ ๕) ปัญญนิ ทรยี ์ ปญั ญา เป็นผู้ปกครองใน การร้ตู ามความเป็นจริง ปญั ญา เจ. ที่ใน มหากุศลญาณสัม ๔ มหากริ ยิ าญาณสมั ๔ อัปปนาชวนะ ๒๖ ๕) พละ ความหมาย องค์ธรรม ( รวม ๕ ) พละ ๕ ศรัทธา เป็นผู้ไมห่ วัน่ ไหวใน ความเล่อื มใสตอ่ สง่ิ ทีค่ วร สทั ธา เจ. ท่ีใน มหากศุ ลจติ ๘ มหากริ ยิ าจติ ๘ อปั ปนาชวนะ ๒๖ ๑) สัทธาพละ วีรยิ ะ เป็นผู้ไมห่ วัน่ ไหวใน ความพยายามตอ่ สิง่ ทีค่ วร วริ ิย เจ. ท่ีใน มหากศุ ลจิต ๘ มหากริ ยิ าจิต ๘ อัปปนาชวนะ ๒๖ ๒) วีริยพละ ๓) สตพิ ละ สติ เปน็ ผไู้ มห่ วั่นไหวใน การระลึกถึงส่ิงที่ควร สติ เจ. ทใ่ี น มหากศุ ลจิต ๘ มหากิริยาจิต ๘ อปั ปนาชวนะ ๒๖ ๔) สมาธิพละ สมาธิ เป็นผไู้ มห่ วน่ั ไหวใน การตั้งม่นั ในอารมณท์ ค่ี วร เอกัคคตา ทใ่ี น มหากุศลจิต ๘ มหากริ ิยาจิต ๘ อปั ปนาชวนะ ๒๖ ๕) ปัญญาพละ ปญั ญา เป็นผู้ไม่หวน่ั ไหวใน การรตู้ ามความเป็นจริง ปัญญา เจ ที่ใน มหากศุ ลญาณสัม ๔ มหากิริยาญาณสมั ๔ อัปปนาชวนะ ๒๖
๖) โพชฌงค์ …เปน็ องค์แหง่ การรอู้ ริยสัจจ์ ๔ องค์ธรรม ( รวม ๗** ) โพชฌงค์ ๗ ความระลกึ ได้… สตเิ จตสิก ทใ่ี นมหากุศลจติ ๘ มหากริ ิยาจติ ๘ อปั ปนาชวนะ ๒๖ ๑) สติสัมโพชฌงค์ ๒) ธัมมวิจยสมั โพชฌงค์ การพิจารณาคน้ คว้าในธรรมท้งั ภายใน ปญั ญาเจตสิก ที่ในมหากศุ ลญาณสมั ๔ มหากริ ิยาญาณสมั ๔ และภายนอก… อปั ปนาชวนะ ๒๖ ๓) วรี ิยสมั โพชฌงค์ ทใ่ี นมหากุศลจติ ๘ มหากิริยาจิต ๘ อัปปนาชวนะ ๒๖ ๔) ปีติสัมโพชฌงค์ ความเพยี ร… วิริยเจตสิก ที่ในมหากุศลโสมนสั ๔ มหากิริยาโสมนสั ๔ สัปปีติกอปั ปนาชวนะ ๓๐* ๕) ปสั สทั ธิสัมโพชฌงค์ ความอม่ิ ใจ… ปติ ิเจตสกิ ท่ีในมหากศุ ลจติ ๘ มหากริ ิยาจติ ๘ อัปปนาชวนะ ๒๖ ๖) สมาธสิ ัมโพชฌงค์ ท่ใี นมหากุศลจิต ๘ มหากิรยิ าจิต ๘ อปั ปนาชวนะ ๒๖ ๗) อุเบกขาสมั โพชฌงค์ ความสงบกายสงบใจ… ปสั สทั ธเิ จตสิก ที่ในมหากุศลจติ ๘ มหากิรยิ าจติ ๘ อปั ปนาชวนะ ๒๖ ความต้ังม่นั ในอารมณ์… เอกัคคตาเจตสกิ การทา้ ให้สมั ปยุตตธรรมมีความ ตัตตรมัชฌตั ตตา สมา่้ เสมอในหน้าทขี่ องตน ๆ เจตสกิ * สัปปีตกิ อัปปนาชวนะ ได้แก่ รปู าวจรกศุ ลจติ ๓ ( ปฐมฌาน ๑ ทุตยิ ฌาน ๑ ตตยิ ฌาน ๑) รูปาวจรกรยิ าจิต ๓ ( ปฐมฌาน ๑ ทุตยิ ฌาน ๑ ตติยฌาน ๑) โลกุตตรจิต ๒๔ ( ปฐมฌาน ๘ ทุตยิ ฌาน ๘ ตติยฌาน ๘) ** องคธ์ รรมของกายปัสสทั ธเิ จตสิกและจิตตปัสสทั ธิเจตสิก นับรวมเป็นปสั สทั ธิ ๑ ดงั นั้น เมอ่ื รวมองคธ์ รรมของโพชฌงคแ์ ล้ว จึงได้ ๗ อธบิ ายในโพชฌงค์ ๗ โพชฌงค์ ๗ องค์ ท่ีมีความเจรญิ คอื โดย ทาลาย …สมั โพธญิ าณ… ธรรม กิจ ๑) สติสัมโพชฌงค์ สติเจตสิก …ต้ังอยไู่ ด้ติดตอ่ กันในอารมณ์สติปัฏฐานท้ัง ๔ ความประมาท ท้าให้…เกิดขนึ้ ๒) ธัมมวจิ ยสมั โพชฌงค์ ปัญญา …รู้อยใู นรูปนามและความเกดิ ดับของรปู นาม โมหะ ปรากฏข้ึนโดยความ เจตสกิ เป็น… ๓) วรี ยิ สัมโพชฌงค์ วิริย …มีความพยายามอย่างแรงกลา้ ในการละอกุศล โกสชั ชะ (ความเกียจคร้าน) ท้าให้…เกิดข้นึ เจตสิก ท่เี กดิ แล้ว / ระวงั ไมใ่ หอ้ กศุ ลใหมเ่ กดิ /ท้าใหก้ ศุ ลใหม่เกิด / ให้กศุ ลทเี่ กิดแล้วเจริญ ๔) ปีตสิ มั โพชฌงค์ ปติ เิ จตสกิ …มีความชุ่มชน่ื ใจในอารมณข์ องวปิ ัสสนา ภาวนา อรติ (ความไม่ยินดี) ท้าให้…เกิดข้ึน ภาวนา กจิ ๕) ปัสสทั ธสิ ัมโพชฌงค์ ปัสสทั ธิ …มคี วามสงบท้งั กายและใจ ความกระด้างกาย ท้าให้…เกดิ ขึ้น เจตสกิ เดอื ดร้อนใจ ๖) สมาธิสัมโพชฌงค์ เอกัคคตา …ตั้งมั่นในอารมณ์ของวิปัสสนาภาวนา ความฟงุ้ ซา่ น ท้าให้…เกดิ ขนึ้ เจตสิก ๗) อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ตตั ตร …ท้าให้ศรทั ธากบั ปัญญา วริ ยิ ะกับสมาธิ กามฉันทะ / วจิ ิกิจฉา / ท้าให้…เกิดข้ึน มัชฌตั ต มีความสม้า่ เสมอ ไม่หยอ่ นไมย่ งิ่ กวา่ กัน อทุ ธัจจะ / กกุ กุจจะ / ถีน ตาเจตสกิ มทิ ธะ
Search