ก หลกั สูตรการทำผลิตภณั ฑ์จากผ้าลายขดิ ความเปน็ มา การจัดการศึกษาอาชีพเพ่ือการมงี านทำ เป็นการจัดการศึกษาเพื่อตอบสนองความต้องการของนโยบาย การจัดการศึกษาทุกระดับ ทุกประเภทตามกลุ่มเป้าหมาย ดำเนินการนโยบาย โดยกำหนดเป้าหมายของการจัด การศึกษาอาชีพท่ีมุ่งเน้นในเร่ืองการจัดการศึกษาอาชีพเพ่ือการมีงานทำ มีรายได้และมีงานทำโดยมีเป้าหมายใน การเตรียมความพร้อมของกลุ่มเป้าหมายในทุกๆด้าน เพ่ือให้สามารถก้าวสู่ประชาคมอาเซียนและประชาคมโลก ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงกำหนดการดำเนินการจัดการศึกษา โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับ 5 ศักยภาพของ ตนเองในแต่ละพ้ืนที่ ได้แก่ ศักยภาพด้านทรพั ยากรธรรมชาติ ศักยภาพด้านภูมิอากาศ ศกั ยภาพด้านภูมิประเทศ ศักยภาพด้านศิลปวัฒนธรรมประเพณี และศักยภาพด้านทรัพยากรมนุษย์ เพ่ือจัดให้มี 5 กลุ่มอาชีพใหม่คือ หลักสูตรกลุ่มอาชีพเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรมและการบริการ ความคิดสร้างสรรค์ และอาชีพ เฉพาะทาง ให้สอดคล้องกับศักยภาพเพื่อนำมาสู่การกำหนดหลักสูตรอาชีพเพ่ือการมีงานทำที่จะดำเนินการจัด กิจกรรมการเรียนการสอน กศน.ตำบลธงธานี ได้ดำเนินการเพ่ือตอบสนองความต้องการของนโยบายของสำนักงาน กศน. เพ่ือ มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีศักยภาพในการประกอบอาชีพและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง สามารถนำ ความรู้ไปใช้ในการประกอบอาชีพ หรือเพ่ิมพูนรายได้ โดยมีการพัฒนาหลักสูตรและวิธีการจัดการศึกษาที่ หลากหลายและทันสมัย สามารถให้บริการได้อย่างทั่งถึง มุ่งหมายให้เกิดการประกอบอาชีพของบุคคล เพ่ือให้ บุคคลสามารถเข้าสู่อาชีพ สามารถประกอบอาชีพหรือพัฒนาอาชีพของตนเองได้ โดยพิจารณาถึงความต้องการ ในการเรียนรูข้ องแตล่ ะบุคคล เพ่อื การจัดการศึกษาเพอื่ การมีงานทำ หลักสูตรอาชีพที่พัฒนาขึ้นได้ปรับปรุงจากหลักสูตรอาชีพที่สถานศึกษา วิทยากร ภูมิปัญญาและผู้ท่ี เกี่ยวข้อง มาร่วมพิจารณาและตรวจสอบความถูกต้องจึงทำให้การดำเนินการจัดทำหลักสูตรในครั้งน้ีเสร็จส้ินไป ดว้ ยดี
ข หลักการของหลกั สูตร 1. เป็นหลักสูตรท่เี น้นการจดั การศึกษาอาชีพเพื่อการมงี านทำ ท่เี น้นบูรณาการเน้อื หาสาระ ภาคทฤษฎี ควบคู่การปฏิบัติจริง ผู้เรียนสามารถนำความรู้และทักษะไปประกบอาชีพได้จริงอย่างมีคุณภาพและมีคุณธรรม จริยธรรม 2. เป็นหลักสูตรท่ีเน้นการดำเนินงานร่วมกับภาคีเครือข่าย สถานประกอบการ เพื่อประโยชน์ในการ ประกอบอาชพี 3. เป็นหลักสูตรที่ผู้เรียนสามารถนำผลการเรียนรู้ไปเทียบโอนเข้าสู่หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับ การศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 ในรายวิชาเลอื กของสาระการประกอบอาชพี จดุ ประสงค์ เพือ่ ใหผ้ ู้เรียนมีคุณลักษณะดังนี้ 1. เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพการทำผลิตภัณฑ์จากผ้าลายขิดได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพสามารถสร้างรายไดท้ ่มี น่ั คงม่ังคัง่ 2. เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้เก่ียวกับการทำผลิตภัณฑ์จากผ้าลายขิดไปสร้างรายได้ ลดรายจ่าย เพ่ือพัฒนาชีวติ ของผู้เรียน กลมุ่ เปา้ หมาย 1. ผทู้ ีไ่ มม่ ีอาชีพ 2. ผูท้ ีม่ อี าชีพและต้องการพฒั นาอาชีพ ระยะเวลา จำนวน ๔0 ชั่วโมง ภาคทฤษฎี 16 ชวั่ โมง ภาคปฏบิ ัติ ๒4 ชวั่ โมง เรยี นรโู้ ดยการฝกึ อบรมใหค้ วามรูจ้ ากวทิ ยากรและศกึ ษาจากเอกสารโดยการฝกึ ปฏิบัตจิ ริง
ค โครงสรา้ งหลักสตู ร โครงสร้างเนอ้ื หาหลกั สูตรประกอบดว้ ย 4 บท ดงั น้ี บทท่ี 1 ช่องทางการประกอบอาชพี จำนวน 3 ชัว่ โมง 1. ความสำคญั ของการประกอบอาชีพ 2. ความเป็นไปได้ในการประกอบอาชีพ 3. แหลง่ เรียนรใู้ นการประกอบอาชพี 4. ทิศทางในการพัฒนาการประกอบอาชีพ บทท่ี 2 ทกั ษะการประกอบอาชพี การทำผลิตภัณฑ์จากผา้ ลายขิด จำนวน 40 ชั่วโมง การทำหมอนลายขดิ 1. ความรูเ้ บ้ืองต้นเกย่ี วกับผา้ ลายขิด จำนวน 2 ชั่วโมง - ความเป็นมาของผา้ ลายขดิ - ความสำคัญของผ้าลายขิด - การดูแลรักษาผา้ ลายขดิ 2. ข้นั เตรยี มการผลติ จำนวน 3 ช่ัวโมง - การเตรียมวัสดุ อปุ กรณ์ - การสรา้ งแบบออกแบบหมอนลายขิด 3. ขั้นตอนการทำผลิตภณั ฑ์จากผา้ ลายขดิ จำนวน 3๕ ชว่ั โมง - การทำหมอนขิด - การทำหมอนรูปหวั ใจ - การทำหมอนสามเหลย่ี ม - การทำหมอนรปู มะละกอ - การทำหมอนรองคอในรถยนต์ บทท่ี 3 การบริหารจดั การในการประกอบอาชีพ จำนวน 4 ช่ัวโมง การทำผลติ ภณั ฑจ์ ากผ้าลายขดิ 1. การเลือกทำเลที่ตง้ั ร้านและการจัดตกแตง่ หน้าร้าน 2. การวางแผนการตลาด การวิเคราะหก์ ลุม่ ลูกค้าและการแสวงหาลูกค้า 3. การกำหนดราคาและการทำบัญชรี า้ นคา้ 4. การพัฒนารปู แบบสินคา้ บทท่ี 4 โครงการประกอบอาชีพ จำนวน 3 ช่วั โมง 1. ความรู้เบอื้ งตน้ เกี่ยวกับการเขยี นโครงการประกอบอาชพี แผนธุรกิจและการวางแผนเพอื่ นำไปสู่การปฏิบัติจรงิ 2. การเขียนโครงการแผนธรุ กจิ การตรวจสอบความเปน็ ไปไดข้ องโครงการการประเมินโครงการ และปรับปรงุ โครงการ
ง การจดั กระบวนการเรยี นรู้ 1. จัดทำกิจกรรมสำรวจและวเิ คราะห์ตนเองทรัพยากรอาชีพและความตอ้ งการของตลาดเพื่อใหผ้ เู้ รยี น เห็นช่องทางในการประกอบอาชีพ 2. จดั กจิ กรรมวเิ คราะห์ขอ้ มลู โดยใชก้ ระบวนคดิ เป็นและความเป็นไปได้รวมท้งั การศึกษาดงู านเพ่ือการ ตัดสินใจเลือกประกอบอาชพี 3. ฝึกทกั ษะการประกอบอาชีพ - เรียนรูจ้ ากวิทยากร - เรยี นรูด้ ว้ ยตนเองจากสื่อต่างๆแหล่งเรยี นรผู้ ู้รู้ - เรยี นรจู้ ากการลงมือปฏิบตั จิ ริง - เรียนรู้จากภมู ปิ ัญญาทฤษฎีและปฏบิ ัติ 4. จดั กิจกรรมการเรยี นรูเ้ กย่ี วกบั การบรหิ ารจดั การในการประกอบอาชีพการจดั การผลติ และการ จัดการตลาด 5. จดั ทำโครงการประกอบอาชีพการเขียนโครงการเสนออนุมัติโครงการ 6. ดำเนนิ การใหผ้ ้เู รียนทำโครงการประกอบอาชีพไปสูก่ ารปฏบิ ัตจิ ริง 7. การนิเทศติดตามประเมินโครงการของผ้เู รียนและใหข้ ้อเสนอแนะในการปรบั ปรุงพฒั นา สอื่ การเรยี นรู้ 1. ใบความรู้ 2.เอกสารประกอบการเรียนรู้ 3. ภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่ิน , สอื่ บุคคล , วทิ ยากร 4. อปุ กรณป์ ระกอบการฝึกทำหมอนขิด การวัดผลประเมนิ ผล 1. การประเมินความร้ภู าคทฤษฎีระหว่างเรียนและจบหลกั สูตร 2. การประเมนิ ผลระหว่างเรียนจากการปฏบิ ตั งิ านท่มี ีคุณภาพเพยี งพอสามารถสร้างรายได้ใหก้ ับตนเอง ความสำเรจ็ ของการปฏบิ ตั ิและจบหลักสตู ร
จ การจบหลักสูตร 1. มีเวลาเรยี นและฝกึ ปฏิบตั ติ ามหลักสตู ร ไมน่ ้อยกว่ารอ้ ยละ 80 2. มีผลการประเมินผ่านตลอดหลักสตู ร ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 3. มีผลงานการจัดดอกไม้ทไ่ี ด้มาตรฐานเปน็ ท่ีพงึ พอใจของกลุม่ ตัวอย่าง 30 คนไมน่ อ้ ยกว่ารอ้ ยละ 80 เอกสารหลักฐานการศกึ ษา 1. หลกั ฐานการประเมินผล 2. วฒุ ิบัตรออกโดยสถานศึกษา 3. ทะเบยี นคมุ วุฒิบัตร การเทียบโอน ผู้เรียนท่ีจบหลักสูตรนี้สามารถนำไปเทียบโอนผลการเรียนรู้กับหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับ การศึกษาขั้นพ้ืนฐานพทุ ธศกั ราช 2551 ในสาระการประกอบอาชีพวชิ าเลอื กทส่ี ถานศึกษาได้จดั ทำขึน้ ประโยชน์ทีค่ าดวา่ จะไดร้ บั 1. ผู้เรียนมีความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพการทำผลิตภัณฑ์จากผ้าลายขิดได้อย่างมี ประสิทธภิ าพสามารถสร้างรายได้ทมี่ ่ันคง 2. ผู้เรียนสามารถนำความรู้เกี่ยวกับการทำผลิตภัณฑ์จากผ้าลายขิดไปสร้างรายได้ ลดรายจ่าย เพ่ือ พัฒนาชีวิตของผู้เรียน
๑ บทท่ี 1 ชอ่ งทางการประกอบอาชพี การทำผลติ ภัณฑ์จากผ้าลายขิด สาระสาํ คัญ การมีอาชีพเป็นความภูมใิ จของคนทุกคนซง่ึ เราสามารถเลอื กประกอบอาชีพให้เหมาะสมกบความถนัด ความชอบของตนและตรงกับความต้องการของตลาด นอกจากน้ีควรเป็นอาชีพที่ต้องไม่มีผลกระทบใดๆตอ่ สิ่งแวดล้อม ดังน้ันการจะตัดสินใจเลือกอาชีพใดอาชีพ หนึ่งจะต้องศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลอาชีพอย่างถ่องแท้ เพื่อทจ่ี ะตดั สนิ ใจเลอื กอาชีพใหมคี วามเสยี่ งนอยท่ีสดุ ผลการเรยี นทีค่ าดหวัง 1. อธิบายความหมาย ความสําคัญ วิเคราะหลกั ษณะงาน ขอบขายการงานอาชีพในชุมชนสังคม เพอื่ การเขาสูอาชีพได้ 2. อธิบายเหตุ ปจจัย ความจาํ เปนในการตัดสินใจเลอื กอาชีพท่ีเหมาะสมกับศกั ยภาพของตนได้ 3. ยอมรบั และเห็นคุณคาในอาชีพทตี่ ัดสนิ ใจเลอื ก 4. ปฏบิ ัตกิ ารวิเคราะหตัดสนิ ใจเลอื กอาชีพได้ ขอบขายเน้อื หา เร่ืองท่ี 1 ความหมาย ความสำคัญของการประกอบอาชพี เรอื่ งท่ี 2 ความเป็นไปได้ในการประกอบอาชพี - อาชีพในชุมชน - การวิเคราะห์อาชพี ในชุมชน - งานธุรกิจ - ระบบสหกรณ์ - วสิ าหกิจชมุ ชน เร่ืองท่ี 3 ทศิ ทางการประกอบอาชพี การทำผลิตภณั ฑจ์ ากผ้าลายขิด สอ่ื การเรยี นรู้ 1. ใบความรู้ 2. ใบงาน 3. หนงั สือเรยี น
๒ ใบความรูท้ ี่ 1 ความหมาย ความสำคัญของการประกอบอาชพี อาชีพ (Occupation) หมายถึงการทำมาหากินจากการทำงานหรือกิจกรรมใดๆท่ีก่อให้เกิดผลผลิตและ รายได้เปน็ งานทีส่ จุ ริตไมผ่ ิดศีลธรรมเปน็ ท่ียอมรบั ของสงั คม ความสำคญั ของอาชีพ การมีอาชพี เป็นสง่ิ ท่สี ำคัญในวถิ ชี ีวติ และการดำรงชพี ในปัจจบุ นั เพราะอาชีพ เป็นการสร้างรายได้เพ่ือเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัวอาชีพก่อให้เกิดผลผลิตและการบริการซ่ึงสนองตอบต่อ ความต้องการของผู้บริโภคและที่สำคัญคืออาชีพมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศชาติความสำคัญของ อาชีพจึงเป็นฟันเฟืองสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตเศรษฐกิจชุมชนส่งผลถึงความเจริญก้าวหน้าของ ประเทศชาติ ประเภทและลักษณะของอาชีพ 1. การแบ่งอาชีพตามเน้ือหาวิชาของอาชีพ สามารถจัดกลุ่มอาชีพตามเน้ือหาวิชาได้เป็น 6 ประเภท ดังนี้ 1.1 อาชีพเกษตรกรรม ถือว่าเป็นอาชีพหลัก และเป็นอาชีพสำคัญของประเทศปัจจุบันประชากร ของไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ยังประกอบอาชีพน้ีอยู่อาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพเกี่ยวเนื่องกับการผลิต และ การจัดจำหน่ายสินค้าและบริการทางด้านการเกษตรซ่ึงผลผลิตทางการเกษตรนอกจากใช้ในการบริโภคเป็นส่วน ใหญ่แล้วยังใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตทางอุตสาหกรรมอีกด้วยอาชีพเกษตรกรรม ได้แก่ การทำนา ทำไร่ ทำสวน เล้ียงสตั ว์ ฯลฯ 1.2 อาชีพอุตสาหกรรมการทำอุตสาหกรรมหมายถึง การผลิตสินค้าอันเนื่องมาจากการนำเอาวัสดุ ห รือ สิ น ค้าบ างช นิ ดม าแป รสภ าพ ให้ เกิ ด ป ระ โย ช น์ ต่ อผู้ ใช้ ม าก ข้ึ น ก ระบ ว น ก ารป ระกอ บ ก ารอุ ตส าห กรรม ประกอบดว้ ย วตั ถุดบิ กระบวนการ สินคา้ ผู้บรโิ ภค หรือสนิ ค้า ผ่าน ผลผลติ ได้ผลผลิต สำเรจ็ รูป จำหนา่ ย ในข้ันตอนของกระบวนการผลิตมีปัจจัยมากมายนับต้ังแต่แรงงาน เคร่ืองจักร เคร่ืองมือเครื่องใช้ เงินทุน ที่ดิน อาคารรวมทงั้ การบรหิ ารจัดการ 1.3 อาชีพพาณิชยกรรมและอาชีพบริการอาชีพพาณิชยกรรม เป็นการประกอบอาชีพที่เป็นการ แลกเปลี่ยนระหว่างสินค้ากับเงินส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นการซ้ือมาและขายไป ผู้ประกอบอาชีพทางพาณิชย- กรรมจึงจัดเป็นคนกลางซ่ึงทำหน้าที่ซ้ือสินค้าจากผู้ผลิตและนำมาขายต่อให้แก่ผู้บริโภค ประกอบด้วยการค้าส่ง และการค้าปลกี โดยอาจจัดจำหน่ายในรปู ของการขายตรงหรอื ขายออ้ ม
๓ อาชีพบรกิ าร หมายถงึ อาชีพทท่ี ำให้เกดิ ความพอใจแก่ผู้ซ้ือ การบริการอาจเป็นสินค้าทม่ี ีตวั ตน หรอื ไมม่ ี ตัวตนก็ได้ การบริการท่ีมีตัวตนได้แก่ บริการขนส่ง บริการทางการเงินส่วนบริการท่ีไม่มีตัวตน ได้แก่ บริการ ท่องเท่ยี วบริการรักษาพยาบาล เปน็ ตน้ อาชีพพาณิชยกรรม จึงเป็นตัวกลางในการขายสินค้า หรือบริการต่าง ๆนับต้ังแต่การนำวัตถุดิบจาก ผู้ผลิตทางด้านเกษตรกรรม ตลอดจนสินค้าสำเร็จรูปจากโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งคหกรรม ศิลปกรรม หัตถกรรม ไปให้ผู้ซื้อ หรือผู้บริโภคอาชีพพาณิชยกรรมจึงเป็นกิจกรรมท่ีสอดแทรกอยู่ทุกอาชีพในการประกอบ อาชีพพาณิชยกรรม หรือบริการผู้ประกอบอาชีพจะต้องมีความสามารถในการจัดหามีความคิดริเร่ิม และมี คณุ ธรรมจงึ จะทำใหก้ ารประกอบอาชีพเจรญิ กา้ วหนา้ 1.4 อาชีพคหกรรม การประกอบอาชีพคหกรรมได้แก่ อาชีพท่ีเก่ียวกับการประกอบอาหาร ขนม การตัดเยบ็ การเสริมสวย ตดั ผม เปน็ ต้น 1.5 อาชีพหัตถกรรม การประกอบอาชีพหตั ถกรรม ได้แก่ อาชีพท่ีเก่ยี วกบั งานช่างโดยการใช้มอื ใน การผลิตช้ินงานเป็นสว่ นใหญ่ ไดแ้ ก่ อาชพี จกั สาน แกะสลกั ทอผา้ ด้วยมอื ทอเสอ่ื เป็นต้น 1.6 อาชีพศิลปกรรม การประกอบอาชีพศิลปกรรม ได้แก่ อาชีพเกี่ยวข้องกับการแสดงออกใน ลกั ษณะตา่ ง ๆ เช่น การวาดภาพ การป้ันการดนตรี ละครการโฆษณา ถ่ายภาพเป็นต้น 2. การแบ่งอาชีพตามลักษณะของการประกอบอาชีพ นอกจากจะจัดกลุ่มอาชีพเป็น 6 ประเภทแล้ว เรายังสามารถจัดกลุ่มอาชีพตามลักษณะการประกอบอาชีพ เป็น 2 ลักษณะ คืออาชีพอิสระและอาชีพรับจ้าง 2.1 อาชีพอิสระ หมายถึง อาชีพทุกประเภทท่ีผู้ประกอบการดำเนินการด้วยตนเองแต่เพียงผู้เดียว หรือเป็นกลุ่มอาชีพอิสระเป็นอาชีพที่ไม่ต้องใช้คนจำนวนมากแต่หากมีความจำเป็นอาจมีการจ้างคนอ่ืนมา ช่วยงานได้เจ้าของกิจการเป็นผู้ลงทุนและจำหน่ายเอง คิดและตัดสินใจด้วยตนเองทุกเรื่องซึ่งช่วยให้การพัฒนา งานอาชีพเป็นไปอย่างรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ การประกอบอาชีพอิสระเช่นขายอาหารขายของชำซ่อม รถจกั รยานยนต์ ฯลฯ 2.2 อาชีพรับจ้าง หมายถึงอาชีพที่มีผู้อ่ืนเป็นเจ้าของกิจการ โดยตัวเองเป็นผู้รับจ้างทำงานให้ และ ได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าจ้าง หรือเงินเดือนอาชีพรับจ้างประกอบด้วยบุคคล 2 ฝ่ายซึ่งได้ตกลงว่าจ้างกัน บุคคล ฝ่ายแรกเรียกว่า \"นายจ้าง\" หรือผู้ว่าจ้างบุคคลฝ่ายหลังเรียกว่า \"ลูกจ้าง\" หรือผู้รับจ้างมีค่าตอบแทนที่ผู้ว่าจ้าง จะต้องจ่ายใหแ้ ก่ผู้รับจ้างเรยี กวา่ \"ค่าจา้ ง\"การประกอบอาชพี รบั จ้าง โดยทัว่ ไปมีลกั ษณะเป็นการรับจ้างทำงานใน สถานประกอบการหรือโรงงาน เปน็ การรบั จ้างในลกั ษณะการขายแรงงานโดยได้รบั ค่าตอบแทนเปน็ เงินเดือนหรือ ค่าตอบแทนท่ีคิดตามช้ินงานท่ีทำได้ อัตราค่าจ้างข้ึนอยู่กับการกำหนดของเจ้าของสถานประกอบการหรือ นายจ้างการทำงานผู้รบั จ้างจะทำอย่ภู ายในโรงงานตามเวลาทนี่ ายจ้างกำหนด การประกอบอาชีพรับจ้างน้ันมีปัจจัยหลายอย่างที่เอ้ืออำนวยให้ผู้ประกอบอาชีพรับจ้างมีความ เจริญกา้ วหน้าได้ เช่น ความรู้ความชำนาญในงาน มีนสิ ัยการทำงานทด่ี ีมคี วามกระตือรือร้น มานะ อดทน ในการ ทำงานยอมรบั กฎเกณฑ์และเช่ือฟงั คำสั่งมีความซือ่ สัตย์ สุจริต ความขยันหม่ันเพียร รบั ผดิ ชอบมมี นุษยสัมพันธ์ท่ี ดี รวมท้งั สุขภาพอนามยั ท่ดี ี
๔ ใบความรทู้ ่ี 2 ความเป็นไปไดข้ องการประกอบอาชพี 1. ความเป็นไปได้ในการประกอบอาชีพ 1.1 อาชีพในชุมชน การเปลยี่ นแปลงทางดานสังคมและสง่ิ แวดลอมความเจรญิ กาวหนาทางดานเทคโนโลยี มีผลตอ่ ชีวติ ความ เป็นอยู และโดยเฉพาะการประกอบอาชีพของคนในหมูบ้านได้แก่ การเกิดอาชีพใหม่หรือการอนุรักษอ์ าชีพ เดิมใหอยใู นทองถ่นิ ดงั นี้ 1.1.1 การสรางอาชีพจากช่องวางระหว่างอาชีพ โดยอาศัยชองว่างระหว่างอาชีพ2อาชีพ เชน อาชีพขยายลําไมไผ่โดยซอ้ื จากแหลงปลูกไปขายใหกับแหลงทาํ เครอ่ื งจักสาน 1.1.2 การสร้างอาชีพจากผลของการประกอบอาชีพ โดยอาศัยผลพลอยไดจากอาชีพเดิมเชน ทําภาชนะใสของจากทางมะพราวจากตนมะพราวที่ปลกู เปนอาชีพอยูแลว 1.1.3 การสร้างอาชีพจากทรพั ยากรท้องถิ่น เป็นการสรา้ งอาชีพใหม่โดยการนำทรพั ยากรทีม่ ีอยูใน ทองถน่ิ มาใชใหเปนประโยชน์เชนทาํ อิฐจากดินเหนียวท่ีมอี ยใู นทองถิน่ 1.1.4 การสร้างอาชีพจากความตองการของตลาด เป็นการสร้างอาชีพใหม่โดยอาศัยข้อมูลทาง การตลาดเชน เลีย้ งกบเพราะตลาดมคี วามตองการมากหรือปลกู ผักปลอดสารพษิ 1.1.5 การสรางอาชีพทีข่ าดแคลนในทองถิ่น เปนการสรางอาชีพใหม่ โดยอาศัยข้อมูลในท้องถ่ิน เชน อาชีพรับซอมมอเตอรไซคเกดิ ขน้ึ เพราะชางในหมูบานขาดแคลน 1.1.6 ประกอบอาชีพตามบรรพบุรุษ พ่อแม ปู่ย่า ตายาย ทําอาชีพอะไร รุนลูกรุนหลานก็จะ ดําเนนิ การตอเชน อาชีพขายกวยเต๋ียวถามชี ื่อเสยี งกจ็ ะขายจนกระทง่ั รนุ ลกู รุนหลาน 1.1.7 ประกอบอาชพี ตามสภาพภูมปิ ระเทศซ่งึ ในประเทศไทยประกอบดวยสภาพ พ้ืนที่ที่เป็นภูเขาที่ ราบลุม ทด่ี อน ดังน้ันการเพาะปลูกข้ึนอยูกับสภาพพื้นทด่ี ้วยเชนที่ราบลุมสามารถทำนาได้อยูใกลทะเลประกอบ อาชพี ดานประมงหรือบาง ทําเลสามารถจัดเปนแหลงทองเทยี่ วได้ 1.1.8.ประกอบอาชพี ตามนโยบายของรฐั บาลหรอื ของผูประกอบการเองซึ่งในพ้ืนที่ไมเคยทํามา ก่อนเชน นํายางพาราไปปลกู ทางภาคอสี านแตเดมิ ยางพาราจะปลกู กันทางภาคใตเปนสวนใหญ่อาชีพในโลกนี้มี หลากหลายและคนเราตองมีอาชพี เพื่อให้มีรายได้เลี้ยงตนเองครอบครัว การมีอาชีพของตนเองตองอาศัย ปจจัยหลายอย่างเชนความรูความสามารถเงินท่ีใชในการลงทุนมีสถานท่ีมีตลาด รองรับอาชีพเหลาน้ีไดแก่ งานบาน งานเกษตร งานประดษิ ฐ์และงานธรุ กจิ
๕ 1.2 การวิเคราะห์อาชพี กลุ่มงานอาชีพประดิษฐ์ งานประดิษฐ์ หมายถงึ ส่ิงท่ีทําข้ึนใหม่ โดยใชวัสดุตางๆทั้งท่ีเปนวัสดเุ หลือใช้หรือวัสดุ ท่ัวๆไป แลวนําไปใชใหเกิดประโยชน เชน 1.2.1 เปนกจิ กรรมที่ชวยใหเกิดความคดิ ริเรมิ่ สรางสรรค 1.2.2 เปนการใชเวลาวางใหเกดิ ประโยชน์ 1.2.3 เปนการฝกให้รูจักสงั เกตสุ ่งิ รอบๆ ตัว และนาํ มาใชประโยชนได้ 1.2.4 สรางความภาคภมู ิใจกับผูประดิษฐ์ 1.2.5 สามารถสรางงานและสรางรายไดเพ่อื เปนพื้นฐานการประกอบอาชพี ได้ 1.3 ขอบขายของงานประดิษฐ์ งานประดิษฐ์ตางๆสามารถเลือกทาํ ได้ตามความต้องการและประโยชน์ใชสอยซึ่งแบงเปน 4 ประเภท 1.3.1 ประเภทของเลนเปนของเลนเพอื่ ความเพลิดเพลนิ ของเลนเพื่อการคิดเชน งานปน งานจักสานวัสดุทใ่ี ช้เชนกระดาษผา เชือกพลาสตกิ 1.3.2 ประเภทของใชอ้ าจทําข้ึนเพื่อใชในชวี ิตประจําวันเชน ตะกรา กระบงุ งานไมไผ ผาเชด็ เทาผาปูโตะ วัสดทุ ใี่ ช้เชนกระดาษไมไผดิน ผาเหลก็ ใบตอง 1.3.3 ประเภทของตกแตง ใชตกแตงสถานที่บานเรือนใหมีความสวยงาม เชน การประดิษฐ ดอกไม้ แจกัน ภาพวาดงานแกะสลกั 1.3.4 ประเภทเครอื่ งใชงานพธิ ี ทําข้ึนเพอื่ ใชในพิธที างศาสนาในชวงโอกาสตางๆและงาน ประเพณี เชน ลอยกระทง งานเขาพรรษางานออกพรรษา งานศพ เครื่องใช ในงานพธิ ที างศาสนา เชน พานพมุ มาลยั เครื่องแขวนบายศรกี ารจัดดอกไม ในงานศพ 1.4 วัสดอุ ุปกรณท่ีใชในงานประดิษฐจะเปนของใชเล็กๆ เชน กรรไกร เข็ม ดาย กาว มีด ตะปู คอน แปรง สี เลื่อย จักรเย็บผา กระดาษ 1.5 อาชีพท่ีเกี่ยวของกบั งานประดิษฐ์ อาชพี นักประดษิ ฐ์เปนอาชีพท่ีผลติ ส่งิ ของเครื่องใชซึง่ จะตองเปนผูที่มีความคิดสรางสรรค์ทัน ตอความตองการของตลาด 1.6 ลักษณะการประกอบอาชีพไดแกผลิตเสร็จแลวขายความคิดใหกับบริษัท หรือคิดแลวผลติ เองส งขายใหรานคาหรือผลติ เองแลวขายเองโดยตรง 1.7กระบวนการผลติ งานประดษิ ฐง์ านประดิษฐ์มขี ั้นตอน ดังน้ี 1.7.1 ออกแบบงานประดษิ ฐ์ เชน ประดษิ ฐดอกไม้จะตองออกแบบขนาดของใบ ขนาดของกลีบ ดอก เกสรดอกไม้ กานดอก 1.7.2 จัดเตรียมวสั ดุอปุ กรณใหพร้อม เชน กระดาษกรรไกรมดี กาววัสดุทจ่ี ะใชท้ าํ สง่ิ ประดิษฐ์ 1.7.3.ปฏิบตั ิ เมอ่ื ออกแบบและเตรียมวัสดแุ ลวใหนํามาประกอบตามตองการ 1.7.4 .การตกแตง่ อาจมีการตกแตงใหสวยงามดวยการหาวัสดมุ าตกแตงเพ่ิมเตมิ เพอื่ เพิม่ มูลคาให้ ผลิตภัณฑ์เชนตกแตงดวยการทาสี 1.7.5.ตรวจสอบชน้ิ งานโดยตรวจสอบกับแบบท่ีกาํ หนดไวอีกครงั้ หน่ึงวามีการตดิ วัสดคุ รบถวนหรอื ไม่ หรอื ทดสอบกบั ผชู าํ นาญใหแสดงความคดิ เหน็
๖ 1.8 ปญหาในการผลติ ช้นิ งาน 1.8.1.วัตถุดิบ ปจจบุ ันวัสดธุ รรมชาติโดยการหาจากพืชในทองถ่ินถูกใชอยางฟุมเฟอยไมมีการ ปลกู ทดแทนวัสดุมรี าคาแพงข้ึนเชน กระดาษ 1.8.2.การสงเสรมิ และพฒั นาผลิตภณั ฑ ผูผลิตสวนใหญไมมีความรเู ร่ืองการออกแบบ ทําให บรรจภุ ัณฑไมทันสมยั และไมมีคุณคา 1.8.3.กระบวนการผลิต สวนใหญขั้นตอนการผลติ ยังใชวิธเี กา่ มีการนําเทคโนโลยเี ขามาใชนอย ตนทนุ สูง 1.9 การอนุรกษพลังงานและสง่ิ แวดลอม 1.9.1.งานประดิษฐ์ทผี่ ลิตโดยโรงงานที่เปนระบบอุตสาหกรรมจะมีการใชพลังงานไฟฟากับ เคร่อื งจกั รดังนัน้ จึงควรดูแลใชไฟฟาภายในโรงงานเชน มกี ารติดประกาศวิธีการใช้ไฟฟาอยางประหยดั 1.9.2.งานประดษิ ฐที่เปนระบบอุตสาหกรรมควรคาํ นึงถึงสิ่งแวดลอม เชน การท้ิงของเสียท่ี เปนสารเคมีลงสแู มน้ำลําคลองหรอื ปลอยควันพษิ ออกอากาศโดยเฉพาะวัสดทุ ่ีทําเปนสารพลาสติกหรอื ยาง สงั เคราะห์ 2.งานธรุ กจิ งานธุรกจิ หมายถงึ การดำเนินกิจกรรมการผลิตหรือจำหนายสนิ คาและบรกิ ารโดยมุงหวังผลกำไร 2.1 ลกั ษณะของธุรกจิ การประกอบธรุ กิจมีหลากหลายรูปแบบแตละรูปแบบมีขอดแี ละขอเสียแตกตางกนั ในเรือ่ งของการ จัดตั้งการขยายกิจการ ความรบั ผิดชอบของเจาของจึงควรศึกษาใหเขาใจเพ่ือเลอื กรูปแบบใหเหมาะสมกับ ตนเอง 2.1.1กิจการเจาของคนเดียว หมายถึงกิจการท่ีมีบุคคลเดยี วเปนเจาของกิจการ เปนผูดําเนินงาน และรับผิดชอบบริหารงานเพียงลําพังคนเดียวทําใหการตัดสนิ ใจเปนไปดวยความรวดเรว็ ผูประกอบการหรอื เจาของ ธุรกิจเปนผูรับผิดชอบในผลการ ประกอบการนั้นทั้งหมด ไมวาจะเปนกำไรหรอื ขาดทุนโดยไมจาํ กัดจํานวนแต่ เพยี งผูเดียว กลาวคือหากธุรกจิ มีกําไรกาํ ไรทั้งหมดกจ็ ะเปน ของผูประกอบการนั้นแตหากธรุ กิจขาดทุนผู ประกอบการกต็ องรับผลขาดทนุ นนั้ ทงั้ หมด 2.1.2 หางห้นุ สวน หมายถงึ กิจการท่ีมีบุคคลตง้ั แต่2คนขึน้ ไป ตกลงรวมดําเนินกิจการดวยกัน เพื่อแสวงหาผลกําไรจากการดาํ เนนิ กจิ การนัน้ 2.1.3 บริษทั จาํ กัดหมายถงึ กจิ การที่จัดตง้ั ขึ้นโดยมีการแบงทุนเปนหุนท่ีมีบุคคลถอื หุนๆละเทาๆ กันและผูถือหนุ แตละคนรับผิดชอบเพยี งคาหนุ ทต่ี นนําสงใช้ไมครบตามมลู คาของหุนทต่ี นถอื เทานั้น 2.2 ขอบขายของงานธุรกจิ การประกอบธุรกิจแบงออกตามอาชีพเชน ธุรกิจการเกษตรธุรกิจอุตสาหกรรมการทอเที่ยว อุตสาหกรรมยานยนต์ธรุ กจิ การกอสรางธรุ กิจการเงิน ธุรกิจเกยี่ วกับงานบาน ธรุ กจิ เก่ียวกบั งานประดิษฐ ซ่ึงทุก อาชพี นอกจากจะมกี ระบวนการผลติ แลวยงั มีงานธุรกิจแทรกไปกบั อาชีพดวย 2.2.1 ขอมลู ท่เี กี่ยวของกบั ธุรกจิ เชน ประกอบธุรกิจการเกษตรก็ควรมีขอมูลทางการเกษตรเชน ผลผลิตเปนอะไร ใชวัสดุอปุ กรณใดบางสถานทผี่ ลติ อยทู ี่ใดและ ในลกั ษณะเชาหรอื เปนของตนเองมีกระบวนการ ผลติ อยางไร ขายท่ีใด้ใชแรงงานอยางไร จะผลิตเม่อื ใดซง่ึ ขอมูลเหลานี้จะมีประโยชนต่องานธุรกจิ ใชใ้ นการ วางแผน
๗ 2.1.3 งานการเงินและบัญชีเปน็ การวางแผนเก่ยี วกับรายไดและรายจ่ายเพอ่ื ใหใช้จายเงินได้เพยี งพอ กบั รายไดและมีเงินออมไวใชจายในอนาคต ประโยชน์ของการทำบญั ชี - เจาของกิจการทราบวาธรุ กจิ มีกําไรหรอื ขาดทนุ - ทราบเก่ยี วกบั ราคาสิ่งของทซ่ี ้อื และราคาขายผลผลิต - เปนขอมลู การทําธุรกิจในครงั้ ตอไป - งายตอการตรวจสอบเน่ืองจากเปนการบันทึกรายการทงั้ รายรับ-รายจายตามลาํ ดบั เหตุการณ์กอน-หลงั 2.3 อาชีพที่เกี่ยวของกับงานธรุ กิจทุกอาชีพท่กี ลาวมาสวนหน่ึงของการดําเนินงานคอื งานธรุ กิจ 2.3.1 ธุรกิจการเกษตร เปนธุรกิจทเี่ กย่ี วของกบั การเกษตร 2.3.2.ธุรกจิ อุตสาหกรรมเป็นธรุ กจิ ทเ่ี กี่ยวกับงานชางเชนธุรกจิ ผลติ เคร่ืองใช้ไฟฟาธรุ กจิ ผลิตรถยนต์ 2.3.3 ธุรกิจอุตสาหกรรมการทองเทีย่ ว เปนธรุ กิจจัดการทอ่ งเท่ียว เชนบริษัทจัดทวั รมีการ บรกิ ารการเดินทาง ทพี่ กั อาหารมมี ัคคเุ ทศกเ์ ปนการบรกิ ารอยา่ งครบวงจร 2.3.4. ธุรกิจการกอสรางเชน ธุรกจิ รบั กอสรางบานอาคาร 2.3.5. ธุรกิจการเงิน เชนธรุ กิจการธนาคาร 2.3.6.ธุรกิจใหบรกิ าร เชนธุรกิจรานเสรมิ สวย ธรุ กิจนวดแผนโบราณ 2.3.7.ธุรกิจซอ้ื มาขายไป เปนกจิ การท่ีซ้ือขายสนิ คาทั้งขายสงและขายปลีก โดยไมใชผูผลติ เช นหางสรรพสินคา รานขายผลไม 3. สหกรณ์ เปนองคกรธรุ กจิ รูปหนึ่งที่ประกอบดวยบุคคลมารวมกนั โดยวิธีการชวยเหลือ ซง่ึ กันและกนั อยางมี วตั ถุประสงค์เพ่อื สงเสรมิ ผลประโยชนทางเศรษฐกิจของสมาชิกการประกอบธุรกจิ ระบบสหกรณ์เปน การจดั การ ไมมงุ คากําไรยดึ หลักการชวยเหลือซ่งึ กันและกันของสมาชกิ ปองกนั มิใหถกู เอาเปรยี บจากพอคา คนกลางหรือ บคุ คลอืน่ ๆ 3.1 ลกั ษณะของสหกรณ์ 3.1.1เปนองคกรท่มี ีการรวมกลมุ บุคคลท่ีมวี ตั ถปุ ระสงคและความสนใจเหมือนกัน 3.1.2 องคกรมจี ดหมายหลักในการสงเสริมผลประโยชนทางเศรษฐกจิ แกสมาชิก 3.1.3 การจัดองคกรยดึ รปู แบบประชาธิปไตยโดยใหทุกคนมสวนรวมในการจัดการการกํากับดแู ล การจดั หาทุนและรบั ผิดชอบ 3.2 หลกั การของสหกรณ์ 3.2.1 การเปนสมาชิกสหกรณ์ตองเขามาดวยความสมัครใจ ยอมรับระเบียบกฎเกณฑ์ของสหกรณ์ ตามหลักเสรีภาพ 3.2.2 สมาชิกทกุ คนมสี ทิ ธิเทาเทยี มกันตามหลักประชาธปิ ไตย 3.2.3 การมผี ลกําไรตองมีความยตุ ธิ รรม 3.2.4 การดาํ เนนธรุ กจิ ถือหลักวาเงินสวนเกินหรอื ผลกาํ ไรเปนของสมาชิกทุกคน 3.2.5 สงเสรมิ ใหบ้ คุ ลากรมีความรูความสามารถในการดาํ เนนิ งานสหกรณ์และสนับสนนุ ใหสมาชิก ไดฝก ศึกษาหาความรูในการประกอบอาชีพของตน
๘ 3.2.6มีความรวมมือระหวางสมาชิกสหกรณ์เพ่อื ใหบรรลเุ ปาหมายของการอยูดีกินดีและมีสุขของ สมาชิกในประเทศไทยมีพระราชบัญญตั สิ หกรณพ.ศ.2511เป็นกฎหมายรองรับการดาํ เนินงานของสหกรณ์ ประเภทของสหกรณ์ระบุไววามี2ประเภทคือสหกรณจํากัดและไม่จํากัดแตในการปฏิบัตสิ หกรณในประเทศไทย แบงได้6ประเภท คือ สหกรณการเกษตร สหกรณการประมงสหกรณ์นิคม สหกรณรานคา สหกรณออมทรัพย์ สหกรณบริการ 4. วสิ าหกิจชมุ ชน วสิ าหกิจชมุ ชนคือ การประกอบการโดยชุมชนท่ีมีสมาชิกชุมชนเปนเจาของปจจยั การผลติ การคาและ การเงิน เพ่อื ใหเกิดประโยชนท้ังดานเศรษฐกจิ คือการสรางรายได้และอาชีพดานสังคม คือการยึดโยง รอยรดั ความเปนครอบครัวและชมุ ชนใหรวมคิดรวมทํารวมรบั ผิดชอบแบงทุกขปนสขุ ซ่งึ กนั และกันวิสาหกิจชุมชนจะเป นเครอื่ งมอื ในการสรางฐานรากทางเศรษฐกิจและสงั คมใหเขมแข็งตลอดจนพึ่งพาตนเองไดในท่ีสดุ 4.1 หลกั การวสิ าหกิจชมุ ชน 4.1.1ชมุ ชนหรอื องคกรชุมชนเปนเจาของปจจยั การผลติ และทรพั ยากรธรรมชาติ 4.1.2 เคารพหลกั การและเปาหมายการดาํ รงชีวิตรวมกนั แบงปนกนั พงึ่ พงิ กนั ภายในชุมชนอยาง เสมอภาคและเคารพหลักการอยรู วมกันของชมชนกับสง่ิ แวดลอมระบบนิเวศน์แบบปฏิสัมพันธาพ 4.1.3 มีการทํางานแบบมสี วนรวมของชมุ ชนจดั การและวางแผนแมบทพฒั นาชุมชนดวยตนเอง 4.1.4 สรางทุนของชมุ ชนหือกองทุนของชุมชนหลากหลายรปู แบบเป็นหลกั ประกนั ความเสมอภาค ทาง เศรษฐกิจและสทิ ธมิ นษุ ยช์ น 4.1.5 วิสาหกจิ ชุมชนเปนหลกั การมีสวนรวมและกระจายผลประโยชนควบคูไปกับการสรางสงั คม สวัสดกิ ารทเ่ี กดิ จากสมาชิกชมุ ชนรวมมือขน้ึ มาเรียกวาสวัสดิการ 4.1.6 เศรษฐกจิ ชุมชนมาจากฐานการผลติ ท่ีหลากหลายเปนองคกรรวมดานปจจัยตอบสนองตลาด ในชมุ ชนกอน วิสาหกิจชุมชน เปนแนวคิดที่มุงผลติ หรือบริการโดยสมาชิกในชุมชนเพ่อื การบริโภคและสรางรายไดให ชมุ ชนจากผลผลติ ท่หี ลากหลายในชุมชนท้งั ในดานการบริโภคแบบพึง่ พาตนเอง การเก็บหรือถนอม อาหารไวกิน ในครอบครวั ในชุมชนจะชวยลดรายจายของครอบครัว และเสริมสร้างสขุ ภาพสังคมสุขภาพอนามัยท่ีดี มีคุณธรรมไมเห็นแกประโยชนดานกาํ ไรสงู สดุ 4.2 การจดั ตงั้ วิสาหกิจชมุ ชนจงึ ตงั้ อยูบนกระบวนการคิดและปฏิบตั ดิ ังนี้ 4.2.1 จุดเรมิ่ ตนของการแปรรปู หรอผลิตสินคาของชุมชนสมาชิกชุมชนตองมีเปาหมายเพ่อื บริโภค อุปโภคของตนเองเปนหลักดานการผลิตสนิ คาหลายชนิดหลายประเภท เพือ่ การพึง่ พาตนเองลดรายจ่ายที่เสยี ไป จากการซอื้ ปองกันไมให้เงนิ ไหลออกไปจากชุมชนจะสงผลใหการหมนุ เวียนและแพรสะพดั อยูในชมุ ชน 4.2.2 สมาชิกในชุมชนผลิตสินค้าเปนระบบอุตสาหกรรมเพื่อลดรายจายของตนเองหรือเปนหลัก พง่ึ พิงตนเองไดแลว จึงคอยขยบั ขยายการผลติ ออกไปสชู ุมชน เพื่อนบานเพือ่ ลดภาวะการซื้อของแพงแกชุมชน เพอื่ นบาน 4.2.3 การเริ่มตนดาํ เนินการวิสาหกจิ ชุมชนตองคํานึงถึงการลงทุนต่ำอุปกรณงายๆการใชแรงงานใน ชุมชนและการรจู กั พัฒนาจากภูมิปญญาดัง้ เดมิ มาใช้
๙ ใบความรู้ท่ี 3 ทิศทางการประกอบอาชีพ การเลือกอาชีพ (Choosing a Vocation) การตัดสินใจเลือกประกอบอาชีพเป็นเร่ืองสำคัญท่ีสุด สำหรับทุกคน บุคคลที่กำลังศึกษา และกำลังมองหางาน จะก้าวเดินไปในทิศทางใดจึงประสบความสำเร็จใน การศึกษา และประกอบอาชีพได้ ควรปฏบิ ัติดงั นี้ 1. วเิ คราะหต์ นเอง ก่อนท่ีจะตัดสินใจเลือกอาชีพ จะต้องมีความเข้าใจในตนเองอย่างลึกซึ้งโดยวิเคราะห์ตนเองว่ามีความ ถนัดเก่ียวกับงานลักษณะใด ซึ่งดูได้จากผลงานที่ทำ ความสนใจและความสามารถในการทำงาน ความ กระตอื รือร้นทจ่ี ะประกอบอาชพี เงินทุน อปุ นิสยั ใจคอ บคุ ลกิ ภาพและสขุ ภาพอนามัย ด้วยการวิเคราะห์จุด ด้อยจุดเด่นของตนเองได้ เพ่ือให้รู้ว่าอาชีพใดมีความเหมาะสมกับตนเองมากท่ีสุด ซ่ึงจะเป็นแนวทางในการ เลือกอาชพี ในอนาคตไดเ้ ป็นอย่างดี 2. วิเคราะห์อาชีพ หลังจากการวิเคราะห์ตนเองทำให้รู้จักตนเองดีแล้ว ข้ันต่อไปจะต้องมีความรู้อย่างกว้างขวางเกี่ยวกับ งานอาชีพ เพ่ือให้เกดิ ความรู้ความเขา้ ใจเกี่ยวกับอาชีพต่าง ๆ ลักษณะของอาชีพและเตรียมความพร้อมก่อนเข้า สอู่ าชพี เวลาและค่าใช้จ่ายในการเตรียมตวั ก่อนประกอบอาชีพโอกาสของงานอาชพี ความกา้ วหนา้ และความ ต้องการของตลาดแรงงาน ซ่ึงเป็นปัจจัยที่จะส่งเสริมให้เกิดความสำเร็จใจอาชีพ ความก้าวหน้าของงานอาชีพ พจิ ารณาไดจ้ าก 1. ประสบการณใ์ นงานอาชีพ 2. โอกาสเกีย่ วกับงานอาชพี 3. การเลือกประกอบอาชีพ 4. การเตรียมตวั เพื่อประกอบอาชีพ 5. การเข้าทำงาน 6. การปรับตวั ใหเ้ ข้ากบั งาน การวิเคราะห์อาชีพเพื่อต้องการแบ่งแยกหน้าที่ความรับผิดชอบในการทำงาน และประโยชน์ในการ บริหารงาน กำหนดขอบข่ายการทำงานเป็นการแบ่งงานกันทำตามความรู้ความสามารถ ราได้หรือ ค่าตอบแทน เช่น ช่างอุตสาหกรรม แบ่งเป็นตำแหน่งวิศวกร ช่างเทคนิค ช่างกึ่งฝีมือและช่างไร้ฝีมือ 3. การตดั สินใจเลือกอาชีพ เมื่อวิเคราะห์ตนเองและวิเคราะห์อาชีพจะได้ข้อมูลเพียงพอท่ีจะนำไปสู่การตัดสินใจเลือกอาชีพท่ี เหมาะสม ซง่ึ จะต้องพิจารณาประเภทของงานอาชีพให้สอดคลอ้ งกบั ผลการวิเคราะห์ตนเองและวเิ คราะหอ์ าชพี
๑๐ รายละเอียดของอาชีพ อาชีพการทำผ้าหุ้มกล่องกระดาทิชชู่ดว้ ยผ้าทอพ้ืนเมือง เป็นอีกผลิตภัณฑ์หนง่ึ ที่เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับ ผลติ ภณั ฑท์ ้องถนิ่ เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถหาวัสดุในทอ้ งถ่นิ ได้ง่าย ราคาไมแ่ พงมากนัก ใช้ใสท่ ิชชู่สำหรบั ไวใ้ นรถ ที่ทำงาน ห้องนอน ของตกแต่งเพื่อให้เกิดความสวยงาม หรือซื้อไปเป็นของชำร่วย ของฝาก ของขวัญในโอกาส ต่างๆ คุณสมบัติของผ้ปู ระกอบอาชพี 1. มสี ุขภาพรา่ งกายดี 2. มคี วามขยนั อดทน 3. มีความรักในงานฝีมือ 4. มีความซ่ือสตั ย์ 5. มคี วามคดิ สร้างสรรค์ 6. มีความพยายาม แนวทางพฒั นาอาชีพ 1. กลมุ่ อาชพี การทำผ้าหมุ้ กลอ่ งกระดาทชิ ชดู่ ว้ ยผา้ ทอพน้ื เมือง 2. เจา้ ของกจิ การจำหน่ายผา้ หุม้ กลอ่ งกระดาทิชชู่ดว้ ยผา้ ทอพ้นื เมือง 3. อ่ืน ๆ
๑๑ ใบงานที่ 1 1. ให้ผู้เรียนบอกความสำคัญของการประกอบอาชีพ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. ปัจจยั ท่ีจะส่งเสรมิ ให้เกดิ ความสำเร็จในอาชีพพจิ ารณาไดจ้ ากข้อใด ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ให้ผเู้ รียนบอกขั้นตอนการตดั สินใจเลอื กประกอบอาชพี ใหป้ ระสบความสำเรจ็ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 4. ใหผ้ ู้เรียนบอกคณุ สมบัติของผูป้ ระกอบอาชพี ทด่ี ี ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 5. ให้ผูเ้ รยี นบอกเหตุผลการตัดสินใจเลอื กประกอบอาชพี การทำผลิตภัณฑจ์ ากผา้ ลายขิด ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
๑๒ เฉลยใบงานท่ี 1 1. ให้ผู้เรยี นบอกความหมายและความสำคัญของการประกอบอาชพี อาชีพ (Occupation) หมายถึงการทำมาหากินจากการทำงานหรือกิจกรรมใดๆท่ีก่อให้เกิดผลผลิตและ รายได้เปน็ งานท่ีสุจรติ ไม่ผดิ ศลี ธรรมเปน็ ท่ยี อมรบั ของสงั คม 2. ปัจจยั ทจี่ ะส่งเสรมิ ให้เกิดความสำเร็จในอาชีพพจิ ารณาไดจ้ ากข้อใด 1. ประสบการณใ์ นงานอาชีพ 2. โอกาสเกยี่ วกบั งานอาชพี 3. การเลือกประกอบอาชีพ 4. การเตรยี มตัวเพอื่ ประกอบอาชพี 5. การเข้าทำงาน 6. การปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั งาน 3. ให้ผเู้ รยี นบอกขัน้ ตอนการตดั สนิ ใจเลือกประกอบอาชีพให้ประสบความสำเร็จ 1. วิเคราะห์ตนเอง 2. วเิ คราะหอ์ าชพี 3. การตัดสินใจเลือกอาชพี 4. ให้ผูเ้ รียนบอกคณุ สมบัติของผู้ประกอบอาชพี ทด่ี ี 1. มสี ขุ ภาพร่างกายดี 2. มคี วามขยนั อดทน 3. มีความรักในงานฝมี ือ 4. มีความซอื่ สตั ย์ 5. มีความคิดสร้างสรรค์ 6. มคี วามพยายาม 5. ให้ผูเ้ รียนบอกเหตุผลการตัดสินใจเลือกประกอบอาชีพการผลติ ภัณฑจ์ ากผ้าลายขิด ขึน้ อยูก่ ับดุลยพินิจของครผู ้สู อน
๑๓ บทที่ 2 ทักษะการประกอบอาชีพการทำผลิตภณั ฑ์จากผา้ ลายขดิ สาระสําคญั ทกั ษะการประกอบอาชีพ ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินการในอาชีพที่ตนเลอื กให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งการจัดการประกอบอาชีพจะประสบความสำเร็จได้ จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเร่ือง ทักษะการประกอบ อาชพี เชน่ ความรพู้ ้ืนฐาน เทคนิคกระบวนการในการผลิตแต่ละรูปแบบ เปน็ ต้น ผลการเรียนทค่ี าดหวัง 1. บอกความหมายและความเป็นมาของผลติ ภณั ฑ์จากผา้ ลายขิดได้ 2. บอกวสั ดุ อปุ กรณ์ในการทำผลติ ภณั ฑจ์ ากผ้าลายขดิ ได้ 3. บอกขั้นตอนการทำผลติ ภณั ฑจ์ ากผา้ ลายขิดได้ 4. ผเู้ รียนสามารถสร้างแบบและทำหมอนรปู แบบต่างๆจากผา้ ลายขิดได้ ขอบขายเน้ือหา เร่ืองที่ 1 ความรเู้ บือ้ งต้นเก่ยี วกับผา้ ลายขิด - ความเปน็ มาของผา้ ลายขดิ - ความสำคญั ของผา้ ลายขิด - การดแู ลรักษาผ้าลายขิด เร่ืองที่ 2 ขนั้ เตรยี มการผลติ - การเตรยี มวัสดุ อุปกรณ์ - การสรา้ งแบบการออกแบบหมอนรูปแบบต่างๆ เรอ่ื งที่ 3 ขัน้ ตอนการทอผา้ ลายขดิ - การทอผา้ ขดิ - การทำหมอนรปู แบบต่างๆ สื่อการเรียนรู้ 1. ใบงาน 2. ใบความรู้ 3. หนังสือเรียน
๑๔ ใบความร้ทู ่ี 1 ความรเู้ บ้อื งต้นเก่ียวกับผา้ ลายขิด ความเปน็ มาของผา้ ลายขิด การทอผ้าซ่ึงเป็นงานหัตถกรรมท่ีสำคญั ของชาวอีสานที่มีความผกู พันกับคตคิ วามเช่ือของชาวอสี านมาช้า นาน ดังจะเห็นได้จาก “ผ้าขิด” ซ่ึงเป็นวัตถุดิบในการทำหมอนขิด เป็นผ้าที่มีช่ือเป็นท่ีรู้จักกันดีของคนท่ัวไป ผ้าขิดเป็นผ้าที่ต้องใช้ฝีมือและความสามารถในการทอสูงกว่าผ้าชนิดอื่น ช่างอีสานถือว่าผ้าขิดเป็นของสูง จึง มกั จะทอใช้ในโอกาสท่ีเป็นมงคลหรืองานพิธี หมอนขิด เป็นภมู ิปัญญาสั่งสม ที่มีมาตั้งแต่ในอดีต ซ่ึงเป็นการรักษา วฒั นธรรมทางหัตถกรรมของภาคอีสานไว้ได้อย่างดีเย่ียมและยังได้นำมา ประยุกต์เข้ากับศิลปะปัจจุบันตลอดจน ประโยชน์ใช้สอยได้อย่างกลมกลืนตามสมัยนิยม ชาวอีสานในอดีตประกอบอาชีพหลัก ทางการเกษตร มีการปลูก ข้าวเพื่อยังชีพ เลี้ยงสัตว์เป็นอาหาร ถ้าว่างจากการทำไร่ ทำนา ผู้ชายจะสานตะกร้า บุ้งก๋ี กระบุง ฯลฯ ไว้ใช้ใน ครัวเรือน หรือเอาไว้ใช้ในฤดูกาลทำนา ทำไร่ในปีต่อไป ส่วนผู้หญิงก็จะเย็บปักถักร้อย มีการปลูกฝ้ายเก็บดอก ฝ้ายมาป่ันทำผ้าห่ม ปลูกหม่อนเล้ียงไหม นำมาทอเป็นผืนผ้าไหมเพ่ือได้นุ่งห่ม มีท้ังทอผ้าพ้ืนสำหรับตัดเส้ือผ้า หรือทำที่นอน ทอผ้าขาวม้า ทอผ้าลายมัดหมี่ และทอผ้าลายขิด สำหรับผ้าลายขิดจะใช้ทำหมอน ซึ่งการทำ หมอนขิด เกิดขึ้นมาพร้อมกับวิถีชีวิตของชาวนาชนบท โดยเฉพาะชาวอิสานซ่ึงเป็นวิถีชีวิตและภูมิปัญญาที่สืบ ทอดกันมาต้ังแต่บรรพบรุ ุษ ซ่ึงในปัจจุบันชาวบ้านยังคงรักษาวัฒนธรรม ดั้งเดิมเอาไว้ โดยเฉพาะศิลปะในการทอ ผ้าเพ่ือใช้สอยในครัวเรือน ท้ังเส้ือผ้าและเครื่องใช้ ที่นอน หมอน ผ้าห่ม ผู้หญิงส่วนใหญ่ ได้รับการถ่ายทอดจาก พ่อแม่ ปู่ย่าตายายหรือญาติผู้ใหญ่ การทอผ้าลายขิด เป็นศิลปวัฒนธรรมท่ีสืบทอดกันมาเป็นเวลานาน จากคำ บอกเล่าของผ้เู ฒ่าผูแ้ ก่ “ขดิ ” เป็นภาษาพืน้ บา้ นของภาคอีสานหรือภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ มาจากคำว่า สะกิด หมายถึงงัดช้อนขึ้นหรือสะกิดขึน้ สันนิษฐานวา่ มาจาก ภาษาบาลีคำว่า ขจิด แปลวา่ ทำให้งดงาม ในสมัยโบราณ ผ้าขิดเป็นผ้า ท่ีมีคุณค่าสูง ใช้ห่อพระไตรปิฎกซึ่งเป็นท่ีเคารพศรัทธาใน พุทธศาสนา ต่อมา ชาวบ้านได้นำผ้าขิด มาทำเป็นหมอนสามเหล่ียม ซ่ึงเดิมเรียกว่าหมอนหน้าม้า ตามลักษณะรูปทรงสามเหล่ียมคล้ายหน้าม้าเป็น ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าใชส้ ำหรับถวายพระภิกษุสงฆ์ช้ันผู้ใหญ่ หรอื มอบแด่เจ้าเมืองท่ีเคารพนบั ถือ ซ่ึงการทอผ้าลาย ขดิ และการทำหมอนขดิ ไดถ้ ่ายทอดให้ลกู หลานจนถึงปจั จบุ ัน ๑๕ ใบความรูท้ ี่ 2 ขน้ั เตรียมการผลิต
การเตรยี มวสั ดุ อปุ กรณ์ 1. ผา้ ทอลายขดิ 2. ผ้าใยสงั เคราะห์ 3. ผ้าขาว/ผ้าสเี ย็บหนา้ หมอน 4. กระดาษสรา้ งแบบ 5. ลูกกล้งิ 6. เขม็ หมุด 7. กรรไกร 8. จักรเย็บผ้า/เข็มเย็บผ้า 9. ดา้ ย 10.สายวัด 11.ไม้บรรทัด การสร้างแบบหมอนขิด 1. จัดหาผ้าลายขดิ ทีม่ ีในชุมชนและตามความตอ้ งการของกลมุ่ เปา้ หมาย 2. นำกระดาษสร้างแบบรูปท่ีเตรียมไว้มาวดั ขนาดกบั ผา้ ลายขิดแล้วนำลูกกลิง้ มากดทบั ใหเ้ ป็นรอยสนี ำ้ เงนิ /สีดำ 3. ตดั ผ้าตามรอยแบบหมอนรปู แบบ หมอนขดิ หมอนรปู หัวใจ หมอนสีเ่ หลี่ยม หมอนมะละกอ หมอน รองคอในรถยนต์ เบาะรองนัง่ ในรถยนต์ ก็จะได้หมอนตามความต้องการ ๑๖ ใบความรู้ท่ี 3 ข้นั ตอนการทำผลติ ภัณฑจ์ ากผา้ ลายขดิ
ขั้นตอนและวิธีการทำหมอนขิด รูปแบบตา่ งๆ ๑. คดั เลือกผา้ ทจี่ ะทำเปน็ ตัวหมอน ตัดผ้าตามชนดิ หรอื ขนาดของหมอน เชน่ หมอนขดิ หมอนสามเหลย่ี ม หมอนอิง หมอนรปู หวั ใจ หมอนมะละกอ หมอนส่ีเหลย่ี ม หมอนรองคอในรถยนต์ ๒. ตัดผา้ อีกส่วนที่จะเผบ็ เป็นไสห้ มอน สำหรบั หมอนสามเหลยี่ ม ไสห้ มอนจะมี 6 ช่อง หรือ 10 ชอ่ ง หรือ 15 ชอ่ ง แลว้ แตช่ นดิ ของหมอน ๑๗ ๓. เยบ็ เปน็ รปู หมอน คือ นำตวั หมอนกับไส้หมอนมาเย็บ เขา้ ลูก กัน
๔. นำหมอนทเี่ ย็บเปน็ ลูกหมอนแลว้ มาสอยปดิ หนา้ ดา้ นหนึ่ง ๕. แล้วมายดั นุ่น ใสฟ่ างเพ่ือเป็นแกนไส้หมอน เพิม่ ความมั่นคง และคงรูป ๑๘ ๖. ข้ันตอนสุดท้ายก็มาสอยปดิ หนา้ หมอนอกี ดา้ นหน่ึง
หมอนลูก (ส่เี หลีย่ ม สองหน้า) ๑๙ หมอนสามเหลีย่ ม(หมอนหน้ามา้ ) หมอนหกเหลยี่ ม(หมอนมะเฟือง) หมอนองิ หมอนไข่
หมอนขดิ รูปหัวใจ หมอนรองคอลายไทย หมอนมะละกอ ๒๐ ใบงาน ทกั ษะการประกอบอาชพี การทำผลติ ภัณฑจ์ ากผ้าลายขดิ
1.ให้ผ้เู รียนบอกความเป็นมาของผา้ ลายขิดมาพอสงั เขป ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ใหผ้ ูเ้ รยี นบอกวัสดุ อปุ กรณท์ ่ใี ชใ้ นการทำหมอนจากผ้าลายขดิ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3.ให้ผู้เรยี นบอกขนั้ ตอนการทำหมอนจากผา้ ลายขิด …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. ให้ผู้เรียนบอกประโยชนท์ ่ีไดจ้ ากการทำหมอนผา้ ลายขิด ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๒๑ เฉลยใบงาน ทักษะการประกอบอาชีพ การทอผา้ ลายขิด
1.ใหผ้ เู้ รยี นบอกความเปน็ มาของผ้าทอพ้ืนเมืองมาพอสังเขป ขน้ึ อยกู่ ับดลุ ยพินจิ ของครูผู้สอน ๒.ให้ผู้เรยี นบอกวสั ดุ อุปกรณ์ทีใ่ ชใ้ นการทอผ้าลายขิด การเตรยี มวัสดุ อปุ กรณ์ 1. ผา้ ทอลายขดิ 2. ผา้ ใยสังเคราะห์ 3. ผ้าขาว/ผ้าสเี ย็บหนา้ หมอน 4. กระดาษสร้างแบบ 5. ลกู กลง้ิ 6. เขม็ หมุด 7. กรรไกร 8. จักรเย็บผา้ /เขม็ เย็บผ้า 9. ดา้ ย 10.สายวัด 11.ไม้บรรทดั 3.ให้ผเู้ รียนบอกข้นั ตอนการทำหมอนจากผา้ ลายขดิ ขน้ึ อยกู่ ับดลุ ยพนิ ิจของครูผู้สอน 4. ใหผ้ ้เู รียนบอกประโยชน์ท่ไี ด้จากการทอผ้าขาวม้า ขนึ้ อยูก่ ับดลุ ยพินจิ ของครูผูส้ อน ๒๒ บทท่ี 3 การบริหารจดั การในการประกอบอาชีพ การทำผลติ ภัณฑจ์ ากผา้ ลายขดิ
สาระสําคญั การบริหารจดั การในการประกอบอาชพี จะต้องคำนึงถึงส่งิ สำคญั มากมาย เช่น การเลอื กทำเล ทตี่ ัง้ การวิเคราะหก์ ลุ่มลกู คา้ และการแสวงหากลมุ่ ลกู ค้า การกำหนดราคาและการทำบัญชกี ารพัฒนารปู แบบสินค้า การบริหารความเสยี่ ง เพ่ือที่จะทำให้การประกอบอาชีพนั้นประสบความสำเร็จ ไม่มภี าวะความเสี่ยงเกี่ยวกับการ ขาดทนุ และภาคภมู ใิ จในอาชพี ของตนเอง ผลการเรียนทค่ี าดหวัง 1. สามารถอธิบายการวเิ คราะห์กลุ่มลูกคา้ และการแสวงหากลุ่มลกู คา้ ได้ 2. สามารถอธบิ ายการกำหนดราคาและการทำบัญชีได้ ขอบขายเนอื้ หา การบริหารจัดการในการประกอบอาชีพการทำหมอนดว้ ยผ้าทอลายขิด เรอ่ื งท่ี 1 การเลือกทำเลท่ตี ้งั ร้านและการจัดตกแต่งหน้ารา้ น เรื่องท่ี 2 การวางแผนการตลาด การวเิ คราะห์กลุ่มลกู ค้าและการแสวงหาลูกค้า เรือ่ งที่ 3 การกำหนดราคาและการทำบญั ชรี า้ นค้า เรอ่ื งที่ 4 การพฒั นารปู แบบสินค้า สอื่ การเรยี นรู้ 1. ใบงาน/ใบความรู้ 2. หนังสอื เรียน ๒๓ ใบความรู้ การบรหิ ารจัดการในการประกอบอาชีพ การทำผลิตภัณฑจ์ ากผา้ ลายขิด
การเลอื กทำเลท่ตี ั้งร้านและการจดั ตกแตง่ หนา้ รา้ น การเลือกทำเลท่ีต้ังสถานประกอบธุรกิจ หมายถึง การจัดหาหรือสรรหาสถานท่ีสำหรับประกอบธุรกิจ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยคำนึงถึง กำไร ค่าใช้จ่าย พนักงานความสัมพันธ์กับลูกค้าความสะดวก ตลอดจน สภาพแวดลอ้ มตา่ ง ๆท่ดี ีตลอดระยะเวลาทีป่ ระกอบธุรกิจน้นั ความสำคญั ในการเลือกทำเลทีต่ งั้ สถานประกอบธุรกิจ การเลือกทำเลที่ตั้งสถานประกอบธุรกิจ มีความสำคัญต่อความสำเร็จขององค์การธุรกิจกล่าวคือหาก เลือกทำเลที่ไม่เหมาะสม จะทำให้องค์การธุรกิจ ประสบปัญหาอ่ืน ๆ ตามมาเช่น ค่าขนส่งสูง เนื่องจากสถาน ประกอบธุรกิจอยู่ไกลจากแหล่งวัตถุดิบ และตลาดนอกจากนี้ อาจขาดแคลนแรงงานท่ีมีคุณภาพ ขาดแคลน วตั ถุดิบ รวมไปถึงปัจจยั อ่ืน ๆซ่งึ เปน็ อุปสรรคต่อการผลติ และการปฏิบัตงิ านขององค์การธุรกิจโดยทั่วไปลักษณะ ของทำเล จะไม่มีลักษณะใด ที่ดีกว่ากันอย่างชัดเจนแต่จะเกิดจากการพิจารณาลักษณะดีของแต่ละทำเล นำมา ประกอบกันเพ่ือการตัดสินใจเลือกท่ีใช้ต้ัง สถานประกอบธุรกิจ ที่อาจก่อให้เกิดปัญหาในอนาคตให้น้อยที่สุดการ เลอื กทำเลที่ต้ังสถานประกอบธุรกิจต่าง ๆโดยทั่วไปมักจะพยายามหาแหล่ง หรือทำเลท่ีทำให้ตน้ ทุนรวม ของการ ผลิตสินค้าและบริการท่ีต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แต่ลักษณะของการประกอบธุรกิ จและสถานที่ประกอบกิจการ ย่อมแตกต่างกันในเร่ืองของชนิดสินค้าค่าใช้จ่ายและการลงทุน ดังนั้นการพิจารณาเลือกทำเลจึงต้องคำนึงถึง ปัจจัยต่าง ๆหลายประการเพราะการเลือกทำเลท่ีตั้ง มีความสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์การธุรกิจต่าง ๆ เช่น การวางแผนระบบการผลติ การวางผังโรงงานการลงทนุ และรายได้ เป็นตน้ ปจั จยั ในการเลือกทำเลที่ตั้งสถานประกอบธุรกิจ 1.แหลง่ วตั ถุดบิ และทรัพยากรธรรมชาติ การต้ังสถานประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะองค์การธุรกิจประเภทอุตสาหกรรมส่งท่ีนำมาใช้ในการผลิตคือ วัตถุดิบ เช่นโรงงานผลิตสับปะรดกระป๋อง วัตถุดิบ คืออะไห่และช้ินส่วนต่าง ๆ ของรถยนต์ โรงงานผลิต เฟอร์นิเจอร์ วัตถุดิบ คือ ไม้ ฯลฯดังน้ันในการจัดตั้งสถานประกอบการธุรกิจ จึงต้องคำนึงถึง แหล่งวัตถุดิบท่ี นำมาใช้ในการผลิต ควรจะอยู่ในแหล่งวัตถุดิบหรืออยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบเพื่อสะดวกในการจัดหาวัตถุดิบราคา วัตถุดิบ และค่าขนส่งย่อมลดลง เช่นโรงงานผลิตปลากระป๋อง ควรต้ังอยู่ใกล้ ชายฝั่งทะเลจะได้วัตถุดิบราคาถูก คุณภาพดีแต่ถ้าโรงงานผลิตปลากระป๋อง ตั้งอยู่ไกลจากชายฝั่งทะเลมากวัตถุดิบท่ีจัดหาอาจไม่มีหรือมีจำนวน น้อยทำให้วัตถุดิบราคาสูง คุณภาพไม่ดีและต้องเสียค่าขนส่งสูง เป็นต้น นอกจากนั้ น ต้องคำนึงถึง ทรัพยากรธรรมชาติด้วย เช่นน้ำ อากาศ เนื่องจากในการผลิต ส่วนประกอบท่ีสำคัญทใี่ ชใ้ นการผลิตส่วนใหญ่ต้อง อาศยั น้ำ กิจการประเภทโรงงานอตุ สาหกรรมส่วนใหญ่ จึงต้ังอยู่ ใกลแ้ ม่นำ้ หรือแหล่งนำ้ ต่าง ๆ เพอ่ื สะดวกในการ นำน้ำมาใช้ในการผลติ ในการต้ังสถานท่ีประกอบการใกล้แม่น้ำต้องคำนงึ ถึงความรับผิดชอบต่อสภาพแวดลอ้ มด้วย เช่น ในการ ผลิตจะมีของเสียจากการผลิตโรงงานอุตสาหกรรม จะต้องมีระบบในการกำจัดน้ำเสียไม่ถ่ายเทน้ำเสยี ลงในแม่น้ำ ลำคลองหรือเปล่ียนสภาพจากน้ำเสียใหเ้ ป็นนำ้ ดีก่อนทีจ่ ะถ่ายเทลงในแม่นำ้ คลอง กรณที ี่โรงงานอุตสาหกรรมเม๒ื่อ๔ ทำการผลติ แลว้ มีฝุ่นละอองหรือควันเสีย จะต้องทำการปอ้ งกันมิให้อากาศเป็นพิษด้วยการประกอบการธุรกจิ ไม่ ว่าจะเป็น ประเภท พาณิชยกรรมหรือประเภทอุตสาหกรรมการเลือกทำเลท่ีต้ังสถานท่ีประกอบการจะต้อง คำนึงถึงแหล่งจัดซื้อ เพื่อให้การจัดซื้อได้สินค้า หรือวัตถุดิบราคา ที่เหมาะสมเสียค่าใช้จ่ายในการจัดซ้ือต่ำ คุณภาพสนิ คา้ หรือวตั ถุดิบเป็นตาม ทต่ี ้องการและได้ทนั เวลาทีม่ ีความต้องการของตลาด หรือการผลติ 2. แหล่งแรงงาน แรงงาน หมายถงึ สงิ่ ทีไ่ ดจ้ ากความสามารถของมนษุ ยท์ ั้งแรงงานที่ไดจ้ ากแรงกายและแรงงาน ท่ี
ได้จากความคิด เพื่อนำมาใช้ในการผลิตสินค้า และบริการตามที่ต้องการ แรงงานท่ีผู้ประกอบการต้องการ แบ่ง ออกเปน็ 2 ประเภท คอื 2.1แรงงานท่ีมฝี ีมอื หรือแรงงานท่ีมีความชำนาญ (Skilled Labour) 2.2 แรงงานไร้ฝีมอื หรอื แรงงานท่ัวไป (Unskilled Labour) ผูป้ ระกอบการจะมคี วามต้องการแรงงานประเภทใดจะรูไ้ ด้โดยการจัดทำรายละเอียดหน้าที่ของตำแหน่ง งานแต่ละตำแหน่งต้องการแรงงานจำนวนเท่าใด และเมื่อใด โดยการเสนอจากแต่ละหน่วยงานในองค์การธุรกิจ ในการจัดหาสถานท่ีประกอบการ ต้องคำนึงถึง แหล่งแรงงานที่ธุรกิจมีความต้องการซ่ึงควรจะเป็นแหล่งที่จัดหา แรงงานได้ง่าย อัตราค่าจ้างต่ำและมีคุณภาพตามที่ต้องการเช่น ในการดำเนินกิจการโรงงานผลิตปลากระป๋อง แรงงานท่ีต้องการใช้ส่วนใหญ่เป็นประเภทแรงกาย แรงงานไร้ฝีมือสถานท่ีประกอบการตั้งในต่างจังหวัดจะหา แรงงานได้ง่าย และอัตราค่าจ้างต่ำแต่ถ้าเป็นโรงงานผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตที่ทันสมัยแรงงานท่ีใช้ เปน็ ประเภทแรงงานที่ใช้ ความคดิ แรงงานท่ีมีความชำนาญสถานท่ีประกอบการควรต้ังในเมืองใหญ่หรือใกลเ้ มอื ง ใหญจ่ งึ จะหาแรงงานไดต้ ามท่ตี อ้ งการ 3. คา่ ใช้จ่ายในการขนสง่ การเลอื กสถานทป่ี ระกอบการ จะตอ้ งคำนึงถึงคา่ ใช้จา่ ยในการขนส่ง ดังน้ี 3.1 ค่าขนส่งวัตถุดิบไปยังโรงงานเพ่ือทำการผลิตวัตถุดิบท่ีใช้ผลิตส่วนใหญ่จะมีน้ำหนักมาก และต้องใช้ในปรมิ าณท่ีสูงการเลือกสถานท่ีประกอบการจึงควรอย่ใู กล้แหล่งวัตถุดิบเพือ่ เสียค่าขนสง่ ในอัตราท่ีถูก แต่ถ้าไม่ต้ังสถานที่ประกอบการใกล้แหล่งวัตถุดิบก็ควรพิจารณาระบบการขนส่งท่ีเหมาะสม เพ่ือให้วัตถุดิบไปยัง โรงงานอย่างมีประสิทธิภาพและเสยี ค่าใชจ้ ่ายตำ่ 3.2 ค่าขนสง่ สินค้าไปเพ่ือเก็บรักษาเมือ่ ผลติ สินค้าเสร็จก่อนนำออกจำหน่ายสินค้าจะต้องไดร้ ับ การดูแลรักษาในสภาพท่ีเหมาะสมเพื่อคุณภาพที่ดีของสินค้าสถานที่ประกอบการควรอยู่ใกล้คลังเก็บสินค้าเพ่ือ สะดวกในการขนสินคา้ จากโรงงานไปเกบ็ รกั ษาในคลังสินคา้ และเสยี ค่าใชจ้ า่ ยต่ำ 3.3 คา่ ขนสง่ สินค้าออกจำหน่าย เพือ่ ความสะดวกของผู้บริโภคการเลอื กสถานทป่ี ระกอบการ ควรตั้งใหใ้ กลแ้ หล่งผ้บู ริโภค และประหยัดค่าใช้จ่าย 4. สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆการเลือกทำเลท่ีตั้งสถานประกอบการ ควรคำนึงถึงสิ่งอำนวยความ สะดวก ดงั น้ี 4.1 สาธารณูปโภคการเลือกสถานท่ีประกอบการควรคำนึงถึงระบบการให้บริการด้านการ ประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์และการส่งไม่ว่าจะประกอบกิจการประเภท โรงงานอุตสาหกรรม หรือประเภทซ้ือขาย สิ น ค้ า เพ ร า ะ เค ร่ื อ ง อ ำ น ว ย ค ว า ม ส ะ ด ว ก ดั ง ก ล่ า ว มี ส่ ว น ท ำ ใ ห้ ก า ร ป ร ะ ก อ บ ธุ ร กิ จ มี ค ว า ม ค ล่ อ ง ตั ว สู ง 4.2 สถานพยาบาล สถานีตำรวจสถานีดับเพลิง การเลือกสถานท่ีประกอบการควรคำนึงถึงสิ่ง เหลา่ น้เี พอื่ ความปลอดภยั และสะดวกในการขนสง่ ในการเดินทาง ๒๕ 5. แหล่งลกู คา้ สำหรับการประกอบกิจการประเภทโรงงานอุตสาหกรรมการจำหน่ายสินค้าจะจำหน่ายครั้งละเป็น จำนวนมาก ผู้มาซ้ือคือ ผู้ค้าคนกลางดังน้ันจึงไม่จำเป็นต้อง เลือกสถานที่ต้ังใกล้ผู้บริโภคโดยตรงแต่ถ้าเป็นการ ประกอบกิจการประเภทผู้ค้าคนกลางท่ีต้องจำหน่ายสินค้าแก่ผูบ้ ริโภคโดยตรง ควรเลือกสถานที่ต้ัง ใกล้ผู้บริโภค เพ่อื ความสะดวกในการจำหนา่ ยและเสียคา่ ขนส่งต่ำ 6. กฎหมาย ระเบยี บและข้อบังคบั
การเลือกสถานท่ีประกอบการจะต้องศึกษากฎหมาย ระเบียบและข้อบังคับต่าง ๆของสถานที่ ประกอบการ เพื่อไม่ให้การประกอบการ นั้นขัดต่อกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับหรอื ประเพณีอันดีงามของสถานท่ี นั้น เช่น ในประเทศไทยพ้ืนที่สีเขียวจะกำหนดไว้สำหรับการประกอบการ เกษตร จะต้ังโรงงานอุตสาหกรรมใน พ้นื ทส่ี ีเขียวไม่ได้ เปน็ ตน้ 7. แหลง่ เงินทนุ การเลือกสถานท่ีประกอบการต้องคำนึงถงึ เงินทุนที่ต้องใช้ ได้แก่ ราคาท่ดี ิน อัตราค่าแรงงาน เครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ต่าง ๆ ค่าธรรมเนียมและภาษีที่ต้องจ่ายให้องค์การของรัฐใน การดำเนินการจัดต้ังสถานที่ ประกอบการซ่ึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เหล่าน้ีขึ้นอยู่กับการเลือกสถานท่ีประกอบการท้ังสิ้นจากปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าว ข้างต้น มีผลกระทบตอ่ การตัดสินใจเลือกสถานท่ีประกอบการโดยผู้ประกอบการควรคำนึงถึงผลตอบแทน ท่ีคาด ว่าจะไดร้ ับจากการตดั สินใจเลอื กสถานทใี่ ดเป็นสถานที่ประกอบ โดยคำนงึ ถึงส่ิงตา่ ง ๆ ต่อไปน้ี 7.1 ต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายรวมต่ำสุดการตัดสินใจเลือกสถานที่ใดเป็นสถานท่ีประกอบการต้อง คำนึงถึงต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายท่ี เกิดขึ้นในการเลือก สถานที่น้ันเป็นสถานประกอบการ เช่น การประกอบการ โรงงานผลิตไม้แปรรูปวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตไม้แปรรูป คือ ซุงซ่ึงเป็นวัตถุดิบมีน้ำหนักมากการขนส่งค่อนข้าง ยุ่งยากและเสียค่าใชจ้ า่ ยสูง ส่วนสินค้าสำเร็จรปู คอื ไมแ้ ปรรูปมีน้ำหนกั เบากว่าวัตถุดิบ การขนส่งค่อนขา้ งสะดวก และเสียค่าใช้จ่ายต่ำกว่าสถานท่ีประกอบการโรงงานผลิตไม้แปรรูป จึงควรตั้งใกล้แหล่งวัตถุดิบมากกว่าต้ังใกล้ ผู้บริโภค เพราะจะทำให้เสียค่าขนส่งท่ีถูกกว่ากรณีหาสถานท่ีประกอบการในแหล่งวัตถุดิบ ไม่ได้ก็ควรหาสถาน ที่ตั้งใกล้แม่น้ำเนื่องด้วยการขนส่ง ซุงสามารถใช้วิธีล่องซุงมาตามแม่น้ำ ทำให้เสียค่าขนส่งต่ำนอกจากต้นทุนค่า ขนส่งแล้ว ตน้ ทุนหรอื ค่าใชจ้ ่ายที่จะต้องนำมาประกอบการตัดสินใจเลือกสถานท่ีประกอบการ ได้แก่ ค่าแรงงาน อตั ราภาษี คา่ บรกิ ารตา่ ง ๆ 7.2 กำไรที่สงู สดุ การตดั สินใจเลอื กสถานที่ใดเป็นสถานที่ประกอบการนอกจากคำนึงถึงตน้ ทุน หรือค่าใช้จ่ายที่ต่ำที่สุดแลว้ ควรคำนงึ ถงึ รายรับประกอบการตัดสินใจด้วย หากสามารถต้ังสถานประกอบการ ใน แหลง่ ทตี่ น้ ทุนหรือค่าใช้จ่ายรวมต่ำกว่า ก็จะมีโอกาสหา รายรับไดม้ ากกว่าคู่แข่ง จะทำให้ได้เปรียบคือ กำไรสูงสุด 7.3 การเรียนลำดับปัจจัยต่าง ๆ ตามความสำคัญเน่ืองจากปัจจัยแต่ละปัจจัยมีความสำคัญ แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของการประกอบการแต่ละประเภทดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องจัดลำดับ ความสำคัญและรวมคะแนนแลว้ จึงตดั สินใจเลือกสถานท่ีประกอบธุรกจิ จากการพิจารณาคะแนนท่สี ูงสดุ ๒๖ การวางแผนการตลาด การวเิ คราะหก์ ลุ่มลูกคา้ และการแสวงหาลกู ค้า การวางแผนการตลาด วตั ถุประสงค์เพ่ือให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากทรพั ยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดและ ให้เป็นที่พอใจแก่ความต้องการของลูกค้าความหมายของทรัพยากรในท่ีนี้รวมหมายถึงส่ิงอำนวยความสะดวกใน การผลิตเชน่ เคร่ืองจักรและอปุ กรณแ์ รงงานและวัตถดุ บิ แผนการตลาด (Marketing Plan) ท่ีสมบูรณ์นอกจากต้องระบุถึงเหตุผลหรือข้อมูลท่ีนำไปสู่การ ตัดสินใจเลือกกลยุทธ์หรือกจิ กรรมทางการตลาดท่ีควรปฏิบตั ิแลว้ ยังต้องกำหนดวิธกี ารตรวจสอบรวมถงึ ผลลัพธ์ท่ี
คาดหวังในแต่ละกลยุทธ์เพ่ือประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลของกลยุทธ์ทางการตลาดอีกทั้งเพื่อนำไป ปรับเปลย่ี นหรือแกไ้ ขยุทธวธิ ีหากผลท่ไี ด้จากกลยทุ ธห์ รือกจิ กรรมทางการตลาดไมเ่ ปน็ ไปตามท่ีคาดหวัง สภาพปัญหาและแนวทางการปรับปรงุ ระบบการวางแผนการผลิต ในการดำเนินการผลิตจริงน้ันผู้ที่มีหน้าท่ีรับผิดชอบระบบการวางแผนการผลิตมักจะพบว่าต้องมีการ ปรับเปล่ียนแผนการผลิตอยู่ตลอดเวลาแผนงานท่ีเคยวางไว้ไม่สามารถนำไปใช้ได้จริงเม่ือเกิดความคลาดเคลื่อน ระหว่างแผนการผลิตและความต้องการท่ีเกิดขึ้นจริงซึ่งส่งผลให้กระบวนการผลิ ตท่ีดำเนินงานตามแผนงาน ดังกล่าวเป็นกระบวนการท่ีไม่มีประสิทธิภาพตามไปด้วยถึงแม้ว่าทรัพยากรผลิตทางด้านต่างๆเช่นแรงงาน เครื่องจักรหรือวัตถุดิบจะมีความพร้อมเพียงใดก็ตามดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการพิจารณาสภาพปัญหาท่ีเกิดขึ้นใน ระบบการวางแผนการผลติ เพอ่ื กำหนดแนวทางในการปรับปรุงต่อไป 1. การเตรียมวัตถุดิบ การเตรียมวัตถุดิบก่อนเข้าสู่กระบวนการผลิตเป็นกระบวนการสำคัญเพ่ือเตรียมวัตถุดิบให้พร้อม อาจ ประกอบด้วยหลายขนั้ ตอน ขนึ้ อยกู่ บั ชนิดของวัตถุดิบ อยู่ในสภาพท่เี หมาะสม ไดแ้ ก่ - การทำความสะอาดวตั ถดุ ิบ (raw material cleaning) - การคดั แยก (sorting) - การคัดเกรด (grading) 2. การสำรวจความต้องการของตลาด - ตอบสนองความต้องการของลูกค้าท่ีประมาณการไว้ในแต่ละช่วงเวลาท้ังในและนอก ฤดูกาล - รกั ษาการผลติ ให้มอี ัตราคงทส่ี ม่ำเสมอเพ่ือรักษาระดบั การว่าจ้างแรงงานให้สม่ำเสมอ - ป้องกันการเปลี่ยนแปลงราคาและผลกระทบจากเงินเฟ้อเม่ือสินค้าในท้องตลาดมี ราคาสูงขน้ึ - ป้องกันของขาดมือด้วยเมื่อของท่ีส่ังเกิดส่งมาล่าช้าหรือบังเอิญได้คำส่ังเพ่ิมข้ึน กะทนั หัน การวเิ คราะห์กลุม่ ลูกค้าและการแสวงหากลุ่มลูกค้า การวเิ คราะห์ลูกคา้ (Customer Analysis) 1. ลูกค้าเป็นใครหรือใครคือลูกค้า (Who) เป็นการกำหนดหากลุ่มลูกค้าเป้าหมาย หรือเราต้องการ นำเสนอขายสินค้าและบริการให้ลูกค้ากลุ่มไหน ซ่ึงการวิเคราะห์ลักษณะของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (Occupants) ช่วยให้ทราบถึงพฤตกิ รรมในการซื้อและการใช้ของกลุม่ ลกู คา้ เป้าหมายทีแ่ ท้จรงิ นักขายตรงจะต้อง กำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายท่ีชดั เจนและต้องวเิ คราะห์ถงึ ลักษณะความเป็นไปได้ของกลุ่มลูกค้าเปา้ หมายดังกล่าว ท่ีจะนำไปสู่ความสำเร็จในธุรกิจขายตรงโดยในการวิเคราะห์และกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายนักขายตรงจะต้อง๒ม๗ี การแบ่งส่วนตลาดอย่างชัดเจนท่ีสามารถวัดเชิงปริมาณได้ และง่ายต่อการเข้าถึง เพราะผู้บริโภคท้ังหมดอาจจะ ไมใ่ ช่ลูกค้าเปา้ หมายเสมอไปและถ้าหากไม่มีการแบง่ ส่วนตลาดจะทำให้ยากต่อการวิเคราะห์ถงึ ความต้องการของ ลูกค้าทแี่ ท้จรงิ จนทำให้ไมส่ ามารถนำเสนอในรูปแบบทีส่ ร้างความพงึ พอใจใหก้ บั ลกู คา้ ได้ 2. ลูกค้าต้องการซื้ออะไร (What) เป็นการวิเคราะห์ถึงส่ิงที่ลูกค้าซ้ือ (Objects) เพ่ือให้ทราบถึงความ ต้องการท่ีแท้จริงซึ่งลูกค้าต้องการจากผลิตภัณฑ์หรือธุรกิจขายตรงเม่ือมีการแบ่งส่วนตลาดที่ดีและเลือกกลุ่ม ลูกค้าเป้าหมายได้อย่างเหมาะสม ชัดเจนก็จะทำให้ง่ายต่อการศึกษาถึงความต้องการของลูกค้าจากส่ิงท่ีเขาซื้อ เช่นลกู ค้าบางคนซื้อสนิ ค้าของธุรกิจเพราะคุณภาพของสินค้าและบริการหรอื บางคนซื้อสินค้าเพราะความเกรงใจ
เนื่องจากเป็นญาติกับนักขายตรงหรือบางคนซ้ือเพราะความสะดวกในด้านช่องทางการจำหน่ายหรือบางคนซ้ือ เพราะต้องการรายได้จากการส่งเสรมิ การขายซึ่งการวิเคราะห์ถึงส่ิงท่ีลูกค้าต้องการ ต่างๆเหล่าน้ีจะทำให้นักขาย ตรงเข้าใจลูกคา้ ไดม้ ากขึน้ 3. ทำไมลูกค้าถึงซ้ือ (Why) เป็น การวิเคราะห์ถึงวัตถุประสงค์ของการซ้ือ (Objectives) จะช่วยให้ ทราบว่าทำไมลูกค้าตัดสินใจซ้ือสินค้าเพ่ือสามารถนำมาเป็นแนวทางในการวางแผนนำเสนอและจูงใจกลุ่มลูกค้า เป้าหมาย ให้สามารถตอบสนองเหตุผลที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซ้ือหรือสมัครสมาชิกธุรกิจขายตรงได้ ซง่ึ วตั ถปุ ระสงค์การซื้อของลกู คา้ สำหรับธุรกจิ ขายตรงสามารถแบ่งได้เปน็ 2 ประเดน็ หลักๆ คือ ประเด็น แรก ซ้ือสินค้าเพ่ือใช้เองหรือใช้ในครอบครัว และประเด็น ท่ี 2 คือซื้อสนิ ค้าเพื่อทำธุรกิจขายตรงเป็น อาชีพหลัก หรืออาชีพเสริมดังน้ันนักขายตรงจะต้องนำเสนอในรูปแบบที่แตกต่างกันและจำเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องให้ ความสำคัญกับลกู ค้าทงั้ 2 กลุ่มเพือ่ เป็นการบริหารทมี งานและยอดขายของเครือข่ายขายตรงทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพ 4. ลูกคา้ ซือ้ สนิ ค้าเม่ือไร (When) เปน็ การวิเคราะหโ์ อกาสที่จะซ้อื ของลูกค้า (Occasions) ซ่ึงลูกค้าจะ มีพฤติกรรมในการบริโภคหรือตัดสินใจซ้ือสินค้าและบริการในแต่ละประเภทแตกต่างกันตามโอกาสที่จะใช้หรือ ซือ้ และปัจจัยเรื่องช่วงเวลาก็มีผลให้ความต้องการของลูกคา้ ต่างออกไป ดังน้ันการวิเคราะห์โอกาสในการซ้ือของ ลูกค้าจะช่วยให้นักขายตรงสามารถวางแผนการนำเสนอในรูปแบบและในช่วงเวลาที่เหมาะสมซ่ึงบางคร้ังการ กำหนดช่วงเวลาในการนำเสนอรูปแบบและผลิตภัณฑ์ขายตรงสำหรับลูกค้าที่ทำงานประจำกจ็ ะต้องเป็นช่วงของ เวลาหลังเลิกงานหรอื วันหยุดโดยจะขึ้นอยู่กบั ความพอใจของลูกค้าดงั กลา่ วเปน็ หลกั 5.ลกู คา้ ซื้อท่ีไหน (Where) เป็นการทำความเข้าใจกับพฤติกรรมการซ้ือของลูกค้าว่านิยมซือ้ สินคา้ ชนิด นน้ั ๆ ที่ไหน (Outlets) หรือสะดวกในการรบั รู้ถึงการ นำเสนอรูปแบบขายตรงท่ีไหน อาจจะเป็น ท่ีบ้านที่ทำงาน ร้านอาหาร หรือสถานที่อืน่ ๆซ่งึ ต้องเป็นการบรหิ ารชอ่ งทางการนำเสนอที่เหมาะสมกับความตอ้ งการของลูกค้าแต่ ละกลุ่มนอกจากนี้ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและการรับรู้ข้อมูลสารสนเทศที่รวดเร็วก็อาจทำให้นัก ขายตรงต้องอาศัยเคร่ืองมือทางอิเล็กทรอนิกส์ติดต่อหรือเสนอขายผ่านทางระบบอินเตอร์เน็ต เพื่อให้สอดคล้อง กบั สถานการณ์ท่ีเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลาและสามารถอำนวยความสะดวก จนสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า ไดม้ ากยงิ่ ข้นึ 6.ใครมีส่วนร่วมในการตัดสินใจซ้ือ (Who) เป็นการวิเคราะห์เกี่ยวกับผู้มีบทบาท ในการซ้ือ (Organizations) ซึ่งการตดั สินใจซ้ือหรือสมัครสมาชิกของธุรกิจขายตรงอาจมีบุคคลอื่นทม่ี สี ่วนร่วมหรือมอี ิทธิพล ตอ่ การตดั สินใจซื้อเพราะผูท้ ีท่ ำหน้าทซ่ี ื้ออาจไม่ใช่ผ้ใู ช้สนิ ค้าโดยตรงหรือบางคร้งั คนตดั สินใจซ้ือไม่ได้มีแค่คนเดยี ว อาจใช้ร่วมกันหลายคนผู้ซื้ออาจไม่มีความรู้หรือความเช่ือม่ันเกี่ยวกับสินค้ามากนักจำเป็นต้องใช้ผู้รู้หรือ ผู้เช่ียวชาญหรือใช้กลุ่มลูกค้าท่ีเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับสินค้านั้นๆเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจการศึกษา และวิเคราะห์ถึงผู้มีส่วนร่วมก็เพื่อใช้เป็นขอ้ มูลในการจัดทำโปรแกรมการนำเสนอขายให้สามารถชว่ ยกระตุ้นการ ตดั สินใจของลูกค้าได้อย่างรวดเรว็ และงา่ ยขนึ้ ดงั นั้นนักขายตรงต้องพิจารณา ว่าจะใช้กลุ่มอ้างอิงใดในการเข๒้าถ๘ึง กลมุ่ ผู้ใช้แตล่ ะประเภทหรือสามารถเขา้ ถงึ กลมุ่ ผู้มีส่วนรว่ มทแ่ี ตกตา่ งกันได้อยา่ งไร 7.ลูกค้าซ้ืออย่างไร(How) เป็นการศึกษาและวิเคราะห์ถึงวิธีการซื้อ (Operations) ซึ่งลูกค้าแต่ละคน อาจจะมีกระบวนการตดั สนิ ใจซ้ือที่แตกตา่ งกันออกไปโดยนักขายตรงจะต้องทราบถึงข้ันตอนการซอ้ื ของลูกค้า ว่า มีการรับรู้ปัญหาอย่างไรเก่ียวกับการตอบสนองของสินค้าหรือบริการแล้วลูกค้าทำการค้นหาข้อมูลเพื่อแก้ไข ปัญหาดังกล่าวอย่างไรเพื่อท่ีจะประเมินทางเลือกที่ดีท่ีสุดในการแก้ปัญหาและนำไปสู่การตัดสินใจซ้ื อได้อย่างไร ขอ้ มูลทั้งหมดเหล่านี้จะช่วยให้นักขายตรงสามารถวางแผนในการนำเสนอและจูงใจให้ลูกค้ารับรู้ได้ในทุกข้ันตอน ของกระบวนการตัดสินใจซ่ึงต้องมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้ามากท่ีสุดนอกจากน้ี
ถ้าหากทราบความรู้สึกของลูกค้าหลังจากซ้ือสินค้าหรือบริการก็จะช่วยให้สามารถปรับปรุงรูปแบบการนำเสนอ และพฒั นาสินคา้ หรือบรกิ ารใหต้ อบสนองต่อความต้องการของลกู ค้าได้ดียิ่งข้นึ การศึกษาและวิเคราะห์ถงึ กลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพ่ือการดำเนินธุรกิจขายตรง ถือเป็นส่ิงสำคัญมากโดยนัก ขายตรงทุกคนจะต้องให้ความสำคัญกับความต้องการหรือ ปัญหาของลูกค้าเพราะคงไม่มีธุรกิจใดที่ประสบ ความสำเร็จได้โดยไม่อาศัยลูกค้า ซ่ึงถ้าหากนักขายตรงทำความรูจ้ ัก เข้าใจในความต้องการหรือปัญหาและเรยี นรู้ ถึงประสบการณ์ของลูกค้าอย่างแท้จริง สม่ำเสมอก็จะทำให้มีความสุขในการประกอบอาชีพขายตรงและ ความสำเร็จในอาชีพขายตรงก็จะอยู่ไม่ไกลเกินฝันการจัดทำแผนการตลาดประกอบด้วยกระบวนการวิเคราะห์ วิจยั ขอ้ มลู และสถานการณ์ทางการตลาดเพอ่ื พฒั นากลยุทธ์และกจิ กรรมทางการตลาด การกำหนดราคาและการทำบญั ชีรา้ นคา้ การบญั ชี (Accounting) หมายถึงงานศลิ ปะของการนำรายงานและเหตุการณท์ างการเงนิ มาจดบันทึก จดั หมวดหมูส่ รปุ ผล และวิเคราะห์ ตีความอย่างมหี ลกั เกณฑ์ การทำบัญชี (Bookkeeping) หมายถึงงานประจำท่ีเก่ียวข้องกับการบันทึกและรวบรวมข้อมูล ประจำวันเพื่อให้สามารถจัดทำงบการเงินได้ การทำบัญชีเป็นงานย่อยส่วนหนึ่งของการบัญชีบุคคลผู้ปฏิบัติงาน เกี่ยวกับการบัญชีเรียกว่า นักบัญชี (Accountant) ส่วนผู้ท่ีมีหน้าที่บันทึกและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเงิน ประจำวัน เรียกวา่ ผทู้ ำบญั ชี (Bookkeeper) ประโยชนแ์ ละวัตถุประสงคข์ องการบัญชี 1. ชว่ ยให้เจา้ ของกิจการสามารถควบคุมรกั ษาสนิ ทรัพย์ของกจิ การได้ 2. ช่วยให้ทราบผลการดำเนินงานของกิจการ ในรอบระยะเวลาใดเวลาหนึ่งว่าผลการดำเนินงาน ทผ่ี า่ นมา กิจการมกี ำไรหรือขาดทนุ เปน็ จำนวนเทา่ ใด 3. ช่วยให้ทราบฐานะการเงินของกิจการ ณ วันใดวันหนึ่งว่า กิจการในสินทรัพย์ หน้ีสินและ ทุน ซ่งึ เปน็ สว่ นของเจา้ ของกจิ การเป็นจำนวนเทา่ ใด 4. การทำบัญชีเป็นการรวบรวมสถิติอย่างหนึ่งที่ช่วยในการบริหารงานและให้ข้อมูลอันเป็น ประโยชน์ในการวางแผนการดำเนินงาน และควบคุมกิจการให้ประสบผลสำเร็จตามความมุ่งหมาย 5. เพื่อบันทึกรายการค้าท่ีเกิดข้ึนตามลำดับก่อนหลังและจำแนกตามประเภทของรายการค้าไว้ 6. เพือ่ ใหถ้ กู ต้องตามพระราชบัญญตั วิ ่าด้วยการทำบัญชีของกจิ การตา่ งๆ ๒๙ การพฒั นารูปแบบสินค้า ขั้นการพัฒนาสินค้า ข้ันนเี้ ปน็ ขน้ั ทสี่ ำคญั ของขบวนการพฒั นาสินค้า เพราะ 1. เป็นความพยายามครั้งแรกในการที่จะผลิตสินค้าออกมาเป็นของจริง ซึ่งก่อนถึงขั้นน้ีเป็นเพียง ความคดิ หรอื อาจจะเป็นภาพวาด หรือรูปจำลอง
2. เป็นการลงทุนอย่างมาก ซ่ึงบริษัทต้องเสียงทั้งเวลาและเงินจำนวนมากในการใช้กรรมวิธีทางเทคนิค ผลติ สนิ คา้ ออกมา 3. ขั้นนจี้ ะไดค้ ำตอบว่า ความคิดสนิ ค้านจ้ี ะสามารถผลติ เปน็ สินค้าได้หรอื ไม่ หรอื เพื่อการขายไดห้ รอื ไม่ ถ้าปรากฏว่าถึงขั้นนี้แล้ว ความคิดสินค้านี้ไม่ได้ผล การลงทุนของบรษิ ัทก็จะสูญเปล่า นอกจากว่าบริษัทได้ข้อมูล เก่ยี วกบั ผลพลอยไดข้ องสนิ คา้ (by product) ในขบวนการพฒั นาสินคา้ การพัฒนารูปแบบและการทดสอบผู้บริโภค (Prototype development and consumer testing) งานข้ันแรกของผ่ายวิจัยและพัฒนา ก็คือสร้างแบบสินค้าที่มีคุณลักษณะตามแนวความคิดสินค้า และ เพ่ือดูว่ามีข้อยุ่งยากในการผลิตหรือไม่ เช่น บริษัทแห่งหนึ่ง มีวิศวะกรและนักออกแบบพยายามทำต้นแบบ (prototype) ของเคร่ืองผสมของท่ีดูดฝุ่นและท่ีขัดพื้นไฟฟา้ ฝา่ ยวจิ ัยและพัฒนาได้ทดลองประกอบสินคา้ ตน้ แบบ น้ีขั้นมา 8 เครื่อง และได้นำไปใช้ทดสอบกับแม่บ้าน 50 คน ให้ลองใช้ ส่วนฝ่ายวิจัยและพัฒนาก็ได้ทำการ ทดสอบสนิ ค้าต่อไป ซึ่งก็พบกับปัญหาอีกคือ อายกุ ารใช้งานของมอเตอร์ไม่ทน ถุงใส่ฝนุ่ ยังไม่พอเหมาะและการถู พ้ืนก็ยังไม่ถูกวิธี เช่นเดียวกับการทดสอบกับผู้บริโภค แม่บ้านหลายคนไม่พอใจ เพราะเครื่องหนักเกินไป การดูด ฝนุ่ ไม่ไดผ้ ลดีเท่าท่ีควร การถูพน้ื ก็ไม่ดีและถูได้ไม่สะอาด การทดสอบกับผบู้ ริโภคทำพรอ้ ม ๆ ไปกับการพฒั นาตัว ต้นแบบสินค้า มีวิธีการต่าง ๆ เพื่อใช้ในการทดสอบความชอบของต้อนแบบสินค้าต่าง ๆ กัน เช่นวิธีการ เปรยี บเทียบคู่ (paired comparisions) และวธิ ดี ำเนนิ การจัดลำดับ (ranking procedures) การต้ังชอื่ ตราสนิ คา้ (Brand naming)การตงั้ ช่อื ตราสินคา้ ทด่ี ีควรจะ 1. เปน็ การบอกเกี่ยวกบั ประโยชน์ของสินคา้ เช่น นาฬิกาโอเรยี นทค์ อมพวิ เตอร์ 2. เป็นการบอกเก่ยี วกับคุณภาพของสินค้า เชน่ การกระทำ สี หรอื อะไรก็ตาม 3. ต้องออกเสยี งงา่ ย และจำได้ง่าย การใช้ชื่อส้ัน ๆ อาจจะช่วยได้ 4. ควรเป็นช่อื ทีแ่ ปลก หรือแตกตา่ ง เชน่ วโี ต้ หรอื ผงซกั ฟอกตราเปาบ้นุ จิน้ การหบี หอ่ (Packaging) การหีบห่อควรจะให้เข้ากับแนวความคิดสินค้า เป้าหมายใหม่ของการหีบห่อนอกเหนือจากเป็นการ ปกป้องสินค้าแล้ว ยังเพื่อเป็นการให้ความสะดวกสบายแก่ผู้ซ้ือด้วย การหีบห่อควรจะให้ง่ายในการเปิดใช้ด้วย และการบรรจหุ บี ห่อใช้เป็นการสง่ เสริมการขายดว้ ย ๓๐ ใบงาน การบริหารจัดการในการประกอบอาชีพ
การทำผลิตภัณฑจ์ ากผ้าลายขดิ 1. ให้ผ้เู รียนบอกความหมายและความสำคัญของการเลือกทำเลทต่ี ั้งในการประกอบธรุ กิจ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ใหผ้ เู้ รยี นอธบิ ายการวิเคราะหก์ ล่มุ ลกู คา้ และการแสวงหากลมุ่ ลกู ค้ามาพอสงั เขป ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ให้ผู้เรยี นบอกประโยชน์และวตั ถุประสงคข์ องการบัญชี ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 4. ให้ผเู้ รยี นบอกหลกั การตั้งชือ่ ตราสินคา้ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ๓๑ เฉลยใบงาน การบริหารจัดการในการประกอบอาชีพ การทำผลิตภณั ฑจ์ ากผา้ ลายขดิ
1. ใหผ้ เู้ รียนบอกความหมายและความสำคัญของการเลอื กทำเลทต่ี งั้ ในการประกอบธุรกิจ การเลือกทำเลที่ตั้งสถานประกอบธุรกิจ หมายถึง การจัดหาหรือสรรหาสถานที่สำหรับประกอบธุรกิจ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยคำนึงถึง กำไร ค่าใช้จ่าย พนักงานความสัมพันธ์กับลูกค้าความสะดวก ตลอดจน สภาพแวดล้อมตา่ ง ๆทด่ี ตี ลอดระยะเวลาท่ปี ระกอบธรุ กิจนนั้ ความสำคญั ในการเลือกทำเลทตี่ งั้ สถานประกอบธรุ กจิ การเลือกทำเลที่ต้ังสถานประกอบธุรกิจ มีความสำคัญต่อความสำเร็จขององค์การธุรกิจกล่าวคือหาก เลือกทำเลท่ีไม่เหมาะสม จะทำให้องค์การธุรกิจ ประสบปัญหาอื่น ๆ ตามมาเช่น ค่าขนส่งสูง เนื่องจากสถาน ประกอบธุรกิจอยู่ไกลจากแหล่งวัตถุดิบ และตลาดนอกจากนี้ อาจขาดแคลนแรงงานท่ีมีคุณภาพ ขาดแคลน วัตถุดิบ รวมไปถึงปัจจยั อืน่ ๆซ่ึงเป็นอปุ สรรคต่อการผลติ และการปฏบิ ัติงานขององค์การธุรกิจโดยทั่วไปลักษณะ ของทำเล จะไม่มีลักษณะใด ท่ีดีกว่ากันอย่างชัดเจนแต่จะเกิดจากการพิจารณาลักษณะดีของแต่ละทำเล นำมา ประกอบกันเพื่อการตัดสินใจเลือกท่ีใช้ตั้ง สถานประกอบธุรกิจ ท่ีอาจก่อให้เกิดปัญหาในอนาคตให้น้อยท่ีสุดการ เลือกทำเลท่ีตั้งสถานประกอบธุรกิจต่าง ๆโดยทั่วไปมักจะพยายามหาแหล่ง หรือทำเลท่ีทำให้ต้นทุนรวม ของการ ผลิตสินค้าและบริการที่ต่ำท่ีสุดเท่าท่ีจะเป็นไปได้แต่ลักษณะของการประกอบธุรกิจและสถานท่ีประกอบกิจการ ย่อมแตกต่างกันในเร่ืองของชนิดสินค้าค่าใช้จ่ายและการลงทุน ดังนั้นการพิจารณาเลือกทำเลจึงต้องคำนึงถึง ปัจจัยต่าง ๆหลายประการเพราะการเลือกทำเลท่ีต้ัง มีความสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์การธุรกิจต่าง ๆ เช่น การวางแผนระบบการผลติ การวางผงั โรงงานการลงทนุ และรายได้ เปน็ ตน้ 2. ให้ผู้เรยี นอธบิ ายการวเิ คราะหก์ ลุ่มลกู ค้าและการแสวงหากลุ่มลูกค้ามาพอสงั เขป การวเิ คราะหก์ ลมุ่ ลูกค้าและการแสวงหากลุ่มลูกคา้ การวิเคราะห์ลูกค้า (Customer Analysis) 1. ลกู คา้ เปน็ ใครหรือใครคือลูกค้า (Who) 2. ลกู คา้ ตอ้ งการซื้ออะไร (What) เปน็ การวิเคราะหถ์ งึ ส่ิงที่ลกู คา้ ซ้อื (Objects) 3. ทำไมลูกคา้ ถึงซ้อื (Why) 4. ลกู คา้ ซอื้ สนิ คา้ เม่ือไร (When) 5.ลกู คา้ ซื้อที่ไหน (Where) เป็นการทำความเขา้ ใจกับพฤติกรรมการซือ้ ของลูกค้าว่านิยมซ้อื สินคา้ ชนิด น้นั ๆ ท่ีไหน (Outlets) 6.ใครมสี ่วนรว่ มในการตดั สนิ ใจซอ้ื (Who) 7.ลกู ค้าซ้ืออย่างไร(How) ๓๒ 3. ให้ผู้เรยี นบอกประโยชน์และวตั ถุประสงคข์ องการบัญชี ประโยชนแ์ ละวตั ถปุ ระสงค์ของการบญั ชี 1. ชว่ ยใหเ้ จา้ ของกิจการสามารถควบคมุ รกั ษาสินทรัพย์ของกิจการได้
2. ช่วยให้ทราบผลการดำเนินงานของกิจการ ในรอบระยะเวลาใดเวลาหนึ่งว่าผลการดำเนินงาน ที่ผ่านมา กิจการมกี ำไรหรือขาดทุนเป็นจำนวนเทา่ ใด 3. ช่วยให้ทราบฐานะการเงินของกิจการ ณ วันใดวันหนึ่งว่า กิจการในสินทรัพย์ หน้ีสินและ ทนุ ซงึ่ เปน็ สว่ นของเจ้าของกิจการเปน็ จำนวนเทา่ ใด 4. การทำบัญชีเป็นการรวบรวมสถิติอย่างหนึ่งท่ีช่วยในการบริหารงานและให้ข้อมูลอันเป็น ป ร ะ โ ย ช น์ ใ น ก า ร ว า ง แ ผ น ก า ร ด ำ เนิ น ง า น แ ล ะ ค ว บ คุ ม กิ จ ก า ร ใ ห้ ป ร ะ ส บ ผ ล ส ำ เร็ จ ต า ม ค ว า ม มุ่ ง ห ม า ย 5. เพื่อบันทึกรายการค้าที่เกิดข้ึนตามลำดับก่อนหลังและจำแนกตามประเภทของรายการค้าไว้ 6. เพ่ือให้ถูกตอ้ งตามพระราชบัญญตั ิว่าดว้ ยการทำบญั ชีของกจิ การต่างๆ 4. ให้ผเู้ รียนบอกหลักการต้ังช่ือตราสนิ ค้า 1. เป็นการบอกเก่ยี วกับประโยชน์ของสินคา้ เช่น นาฬกิ าโอเรยี นท์คอมพวิ เตอร์ 2. เป็นการบอกเกี่ยวกับคุณภาพของสินคา้ เช่น การกระทำ สี หรอื อะไรกต็ าม 3. ตอ้ งออกเสียงงา่ ย และจำไดง้ ่าย การใชช้ อ่ื สั้น ๆ อาจจะชว่ ยได้ 4. ควรเป็นชื่อทแี่ ปลก หรือแตกตา่ ง เช่น วโี ต้ หรือผงซักฟอกตราเปาบนุ้ จิน้ ๓๓ บทท่ี 4
โครงการอาชีพ การทอผา้ ลายขดิ สาระสำคัญ เข้าใจเก่ียวกับการเขียนโครงการประกอบอาชีพและการวางแผนเพ่ือนำไปสู่การปฏิบัติจริง สามารถ ตรวจสอบความเป็นไปได้ของโครงการ การประเมินโครงการและการปรบั ปรงุ โครงการเพ่ือที่จะได้นำมาปรับปรุง แก้ไขการดำเนินงานการประกอบอาชีพที่ประสบความสำเร็จ ไม่เส่ียงต่อภาวการณ์ขาดทุนในการประกอบอาชีพ เกดิ การพฒั นาอาชีพใหม้ ีความม่นั คง ผลการเรยี นทค่ี าดหวัง 1. สามารถบอกความรเู้ บอ้ื งตน้ เก่ยี วกับการเขยี นโครงการประกอบอาชพี ได้ 2. สามารถเขยี นโครงการประกอบอาชพี ได้ 3. สามารถเขียนแผนเพือ่ นำไปสูก่ ารปฏิบตั ิจริงได้ ขอบขายเนอ้ื หา เรือ่ งท่ี 1 ความรูเ้ บ้อื งต้นเกยี่ วกบั การเขียนโครงการประกอบอาชีพและการวางแผนเพ่อื นำไปสู่การ ปฏบิ ตั ิจรงิ เรื่องท่ี 2 การตรวจสอบความเป็นไปได้ของโครงการ การประเมินโครงการและการปรับปรงุ โครงการ สอื่ การเรียนรู้ 1. ใบงาน/ใบความรู้ 2. หนังสอื เรยี น ๓๔ ใบความรู้
โครงการประกอบอาชพี ความรู้เบ้อื งต้นเก่ียวกับการเขียนโครงการประกอบอาชพี และการวางแผนเพือ่ นำไปสู่การปฏิบัติจริง 1. หลกั การเขียนโครงการ คำว่า โครงการ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Project ซึ่งหมายถึง แผนงานย่อยท่ีประกอบด้วยกิจกรรม หลายกิจกรรม หรืองานหลายงานท่ีระบุรายละเอียดชัดเจน อาทิ วัตถุประสงค์ เป้าหมาย ระยะเวลาดำเนินการ วิธกี ารหรอื ขั้นตอนในการดำเนินงาน พ้ืนทใ่ี นการดำเนินงาน งบประมาณท่ใี ช้ในการดำเนินงานตลอดจนผลลพั ธท์ ี่ คาดว่าจะได้รับ 2. ลกั ษณะสำคญั ของโครงการ โครงการหนง่ึ ๆจะต้องประกอบด้วยคณุ ลักษณะสำคัญ คือ 1. ประกอบดว้ ยกิจกรรมยอ่ ยๆทเี่ ก่ียวขอ้ งพ่ึงพิงและสอดคล้องกนั ภายใตว้ ตั ถุประสงค์เดียวกัน 2. มีการกำหนดวัตถุประสงค์ ท่ีชัดเจน วัดได้ และปฏิบัติได้ ทั้งน้ีเพ่ือเป็นแนวทางในการ ดำเนินงานและติดตามประเมินผลได้ โครงการหนึ่งๆอาจมีมากกว่าหน่ึงวัตถปุ ระสงคก์ ็ได้ กล่าวคือมวี ัตถุประสงค์ หลัก และวตั ถุประสงคร์ องและต้องกำหนดวตั ถุประสงค์ที่สมารถปฏิบัติได้ มใิ ชว่ ัตถปุ ระสงค์ทีเ่ ล่ือนลอย / เพ้อฝัน หรือเกินความเปน็ จรงิ 3. มีการกำหนดจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของกิจกรรม การเขียนโครงการโดยท่ัวไปจะต้องมีการ กำหนดระยะเวลาว่าจะเร่ิมต้นเมื่อไร และส้ินสุดเม่ือไรถ้าหากมีการดำเนินกิจกรรมไปเร่ือยๆไม่มีการกำหนด ขอบเขตของเวลา ไวจ้ ะไมถ่ ือวา่ เป็นงานโครงการ เพราะมีลักษณะเป็นงานประจำหรืองานปกติ 4. มีสถานท่ีต้ังของโครงการ ผู้เขียนโครงการต้องระบุให้ชัดเจนว่าโครงการนี้พ้ืนที่ดำเนินการ หรือหัวงานอยู่ท่ีใด เพ่ือสะดวกในการดำเนินงาน ถ้าเลือกสถานที่ต้ังโครงการไม่เหมาะสมแล้วย่อมทำให้เสีย ค่าใช้จ่ายหรือลงทุนมาก ผลประโยชน์ตอบแทนท่ีได้อาจไม่คุ้มค่า การติดตามและการประเมินผลโครงการก็อาจ ทำไดย้ าก 5. มีบุคลากรหรือองค์กรท่ีเฉพาะเจาะจงงานโครงการจะต้องมีหน่วยงานหลักรับผิดชอบ ส่วน หน่วยงานอ่ืนถือวา่ เป็นหน่วยงานเสริมหรือร่วมมือดำเนินงานเท่านั้น และควรระบุบุคลากรผู้รับผิดชอบโครงการ นนั้ ให้ชัดเจน เพื่อเปน็ หลักประกันวา่ บุคคล/ องคก์ รนนั้ จะปฏบิ ัติอยา่ งจรงิ จงั และจรงิ ใจ 6. มกี ารใชท้ รัพยากรใหเ้ กดิ ประโยชน์ การเขียนโครงการจะตอ้ งระบแุ หล่งทรพั ยากรโดยเฉพาะ แหล่งงบประมาณให้ชัดเจน เช่น งบประมาณแผ่นดิน หรือเงินกู้ หรือเงินทุนสำรอง หรือเงินบริจาค ฯลฯ และ จะต้องระบุเงินท่ีใช้ว่าเป็นหมวดวัสดุ หมวดค่าใช้สอย หมวดค่าตอบแทน หมวดค่าครุภัณฑ์ หมวดค่าท่ีดินและ สิ่งก่อสร้าง ฯลฯ ท้ังนี้จะทำให้ง่ายในการดำเนินการและควบคุมตรวจสอบการใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์ สงู สดุ ได้ ๓๕ 3.โครงการที่ดีจะตอ้ งมีลกั ษณะดังน้ี 1. สามารถแก้ไขปัญหาของหน่วยงานหรอื องคก์ รไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ
2. สามารถสนองตอบต่อความต้องการของกลุ่ม ชุมชน นโยบายของหน่วยงานและนโยบาย ของประเทศชาติไดด้ ี 3. รายละเอยี ดของโครงการต้องเขา้ ใจง่ายมกี ารใช้ภาษาทเี่ ขา้ ใจกันทว่ั ไป 4. มีวัตถปุ ระสงคแ์ ละเปา้ หมายที่ชัดเจน และมีลกั ษณะเฉพาะเจาะจง 5. รายละเอียดของโครงการต้องเกย่ี วเนอ่ื งสมั พนั ธก์ นั ต้ังแต่ประเด็นแรกถึงประเดน็ สุดทา้ ย 6. กำหนดการใชท้ รพั ยากรอยา่ งชดั เจน และเหมาะสม 7. มวี ธิ กี ารติดตาม และประเมินผลทชี่ ัดเจน 4. โครงสร้างของโครงการ การเขียนโครงการจะต้องรู้และเข้าใจโครงสร้างของโครงการเสียก่อนว่าประกอบไปด้วยส่วนใดบ้าง ซึ่ง โดยทัว่ ไปโครงสรา้ งของโครงการประกอบด้วย 1.ชื่อโครงการ ส่วนใหญ่มาจากงานที่ต้องการปฏิบัติ โดยจะต้องมีความชัดเจนเหมาะสมเฉพาะเจาะจง กะทัดรัด และ สื่อความหมายได้อย่างชดั เจน 2.หลักการและเหตผุ ล เป็นการกล่าวถึงปัญหาและสาเหตุและความจำเป็นที่ต้องมีการจัดทำโครงการ โดยผู้เขียน โครงการจะต้องพยายามพรรณนาความ โดยหาเหตุผล หลักการ ทฤษฎี แนวทางนโยบายของรัฐบาล นโยบาย ของกระทรวง / กรม ตลอดจนความต้องการในการพัฒนาทั้งนี้เพ่ือแสดงข้อมูลที่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือและให้เห็น ความสำคัญของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมีการอ้างอิงแหล่งท่ีมาของข้อมูลด้วยเพื่อที่ผู้อนุมัติโครงการจะได้ ตดั สินใจสนบั สนุนโครงการตอ่ ไป 3.วตั ถปุ ระสงค์ เป็นการระบุถึงเจตจำนงในการดำเนินงานของโครงการ โดยแสดงให้เห็นถึงผลท่ีต้องการจะ บรรลุไว้อย่างกว้างๆมีลักษณะเป็นนามธรรม แต่ชัดเจนและไม่คลุมเครือ โดยโครงการหนึ่งๆอาจมีวัตถุประสงค์ มากกว่า1 ขอ้ ก็ได้ คือ มีวตั ถุประสงค์หลกั และวัตถุประสงค์รองหรือวตั ถุประสงค์ท่ัวไป และวตั ถุประสงค์เฉพาะ กไ็ ด้ 3.1 หลกั การเขยี นวตั ถุประสงคท์ ี่ดีซึ่งในท่นี ีจ้ ะเรียกวา่ หลกั ดงั น้ี 1. ต้องมีความเป็นไปได้และมคี วามเฉพาะเจาะจงในการดำเนินการโครงการ 2. ตอ้ งสามารถวัดและประเมนิ ผลระดบั ของความสำเรจ็ ได้ 3. ต้องระบถุ ึงการกระทำท่ีสามรถปฏิบัติได้ มิใช่ส่ิงเพอ้ ฝนั 4. ต้องระบุให้มีความเปน็ เหตุเปน็ ผล และสอดคล้องกบั ความเปน็ จรงิ 5. ต้องมกี ารกำหนดขอบเขตของเวลาทีจ่ ะกระทำให้สำเร็จได้อย่างชดั เจน 3.2การเขียนวตั ถุประสงคย์ งั ตอ้ งคำนึงถงึ สิ่งต่อไปนี้ คือ 1. ใชค้ ำกริยาท่ีแสดงถงึ ความต้งั ใจจริง เชน่ เพือ่ เพม่ิ เพื่อลดเพอ่ื ส่งเสรมิ เพือ่ ปรับปรงุ เพอ่ื ขยายเพ่ือรณรงคเ์ พ่ือเผยแพร่เปน็ ตน้ 2. ระบุผลผลติ หรือระบผุ ลลัพธ์ท่ตี อ้ งการใหเ้ กดิ ขึน้ เพยี งประการเดียวในวตั ถุประสงค์ หนง่ึ ข้อถา้ เขยี นวตั ถุประสงค์ไวห้ ลายขอ้ ข้อใดทำไม่สำเรจ็ เราสามารถประเมินผลได้ ซึง่ อาจ กำหนดเป็นวตั ถปุ ระสงคห์ ลกั 1 ขอ้ และวตั ถปุ ระสงค์รอง โดยมีเง่ือนไขวา่ ถา้ บรรลุ วตั ถปุ ระสงคห์ ลกั แต่ไมบ่ รรลวุ ตั ถุประสงคร์ อง ควรทำต่อไป ถา้ บรรลวุ ตั ถุประสงคร์ องแต่ไม่ บรรลุวัตถปุ ระสงค์หลัก อาจยุติโครงการ
๓๖ 3. กำหนดเกณฑม์ าตรฐานของความสำเรจ็ ที่วดั ไดใ้ นเชงิ ปรมิ าณ และเชงิ คุณภาพ 4. กำหนดชว่ งเวลา พน้ื ที่ หรือกลุ่มเป้าหมาย 4. เปา้ หมาย หมายถึง ระบุถึงผลลัพธ์สุดท้ายที่คาดว่าจะได้จากการดำเนินโครงการ โดยจะระบุทั้งผลที่เป็น เชิงปริมาณและผลเชิงคณุ ภาพ เป้าหมายจึงคล้ายกับวัตถุประสงค์แต่มีลักษณะเฉพาะเจาะจงมากกว่า มีการระบุ สงิ่ ท่ีต้องการทำไดช้ ดั เจนและระบเุ วลาที่ต้องการจะบรรลุ 5. วิธกี ารดำเนินงาน เป็นการให้รายละเอียดในการปฏิบัติ โดยปกติจะแยกเป็นกิจกรรมย่อยๆหลายกิจกรรม แต่เป็น กิจกรรมเด่นๆ ซง่ึ จะแสดงใหเ้ ห็นความเด่นชัดตั้งแต่กิจกรรมเร่มิ ต้นจนถึงกิจกรรมสุดท้ายว่ามกี จิ กรรมใดที่ต้องทำ บา้ ง ถ้าเปน็ โครงการท่ีไม่ซับซอ้ นมากนกั ก็มักจะนยิ มใชแ้ ผนภมู แิ กนทห์ รือแผนภูมแิ ท่ง 6. งบประมาณ เป็นการระบุค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการดำเนินกิจกรรมขั้นต่างๆ โดยทั่วไปจะแจกแจงเป็นหมวด ยอ่ ยๆ เช่น หมวดค่าวัสดุ หมวดค่าใช้สอย หมวดค่าตอบแทน หมวดค่าครภุ ัณฑ์ ซึ่งการแจกแจงงบประมาณจะมี ประโยชน์ในการตรวจสอบความเป็นไปได้และตรวจสอบความเหมาะสมในสถานการณ์ต่างๆ นอกจากนั้นควร ระบุแหล่งท่ีมาของงบประมาณด้วยว่าเป็นงบประมาณแผ่นดิน งบช่วยเหลือจากประเทศต่างประเทศ เงินกู้ หรือ งบบริจาค เป็นต้น 7. แผนการใชง้ บประมาณ การวางแผนกเ็ หมือนกับกระบวนการบริหารงานอน่ื ๆตรงทีไ่ ม่สามารถขจดั ปัญหาให้กับบคุ คล หรือองคก์ รได้ทงั้ หมดท้งั นี้ข้นึ อยู่กับข้อมลู ทใ่ี ชใ้ นการวางแผนคุณภาพของงานจากการท่ีได้ปฏิบัติตามแผนขึน้ อยู่ กับข้อมลู ทใ่ี ชใ้ นการวางแผน ถ้าข้อมลู ทใ่ี ช้เปน็ ขยะผลของงานทีอ่ อกมากต็ ้องเป็นขยะ อย่างไรก็ตามแม้การ วางแผนจะมีข้อมูลที่ดแี ตก่ ารวางแผนนนั้ ก็อาจไม่มีประสิทธิภาพได้ถา้ การวางแผนน้นั ยังคงเขยี นไว้บน แผน่ กระดาษและไม่เคยออกนำไปปฏบิ ตั เิ ลยการวางแผนที่ดนี ัน้ จะต้องนำไปใช้อยา่ งต่อเน่ืองและได้รบั การ ปรับปรุงแก้ไขในสว่ นที่เป็นปัญหาอปุ สรรคข้อจำกดั ของการวางแผนอาจเกดิ จากสาเหตดุ ังต่อไปนี้ 1) ความยากลำบากในการหาข้อมูลและสมมตฐิ านทถี่ ูกตอ้ งแมน่ ยำ 2) ปญั หาการเปลีย่ นแปลงทางสังคมอยา่ งรวดเร็ว 3) ความไมแ่ น่นอนของปจั จัยภายในองค์การ เชน่ บุคคลภายในหน่วยงานนโยบายของ หน่วยงานและจำนวนของเงนิ ลงทนุ 4) ความไมแ่ นน่ อนของปจั จัยภายนอกขององค์การ ซ่ึงเป็นปัจจัยที่ยากแก่การควบคมุ เช่น บคุ คลภายในหน่วยงานนโยบายของหน่วยงานและจำนวนของเงินลงทนุ 5) เวลาและคา่ ใช้จ่ายในการวางแผนและการดำเนินงานตามแผน 8. ผรู้ บั ผดิ ชอบโครงการ เป็นการระบุว่าใครหรือหน่วยงานใดเปน็ ผู้รบั ผิดชอบและมีขอบเขตความรับผดิ ชอบอย่างไรบ้าง ท้ังน้ีเพื่อว่ามีปัญหาจะได้ติดต่อประสานงานได้ง่าย สถานท่ีดำเนินการเป็นการระบุสถานท่ีต้ังของโครงการหรือ ระบุว่ากิจกรรมน้ันจะทำ ณ สถานที่แห่งใด เพ่ือสะดวกต่อการจัดเตรียมสถานที่ให้พร้อมก่อนท่ีจะทำกิจกรรม น้นั ๆ ๓๗ 9. เครอื ขา่ ย เป็นการระบุถึงหน่วยงานที่มีความสัมพันธ์กับโครงการ ทั้งภาครัฐและเอกชนที่ให้ความ ช่วยเหลอื หรือเขา้ รว่ มในโครงการทุกหน่วยงานและบคุ คล
10.โครงการทีเ่ ก่ยี วข้อง ความสัมพันธ์ของโครงการกบั โครงการอ่ืนหรือมีความสัมพันธ์กบั โครงการของหน่วยงานอน่ื ไม่ ว่าจะโดยตรงหรอื โดยอ้อม 11. ผลประโยชน์ทคี่ าดว่าจะไดร้ บั เปน็ การระบุถงึ ผลที่คาดว่าจะได้รบั จากการดำเนนิ โครงการประกอบด้วยผลทางตรงและผล ทางอ้อมนอกจากนัน้ ต้องระบุด้วยวา่ ใครจะได้รับประโยชน์จากโครงการบา้ ง ได้รับประโยชนอ์ ยา่ งใด ระบุท้ังเชงิ ปรมิ าณ และเชิงคณุ ภาพ 12. ดัชนชี วี้ ัดผลสำเร็จ เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์ของการดำเนินงานให้ชัดเจน ว่างานนี้กระทำเพ่ืออะไรกำหนด เป้าหมายในการดำเนินงานที่ชดั เจน เป้าหมายควรระบุเปน็ ตวั เลข กำหนดดัชนชี ้ีวัดความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ และเปา้ หมายท่ีกำหนดไว้มีความสัมพันธ์กบั ภารกจิ วตั ถปุ ระสงค์และเป้าหมายขององค์กรสอดคลอ้ งกบั ปัจจยั ท่ีมี ผลตอ่ ความสำเรจ็ มีหน่วยเปน็ ร้อยละ อัตราสดั ส่วน จำนวน ความถี่ 13. การประเมนิ ผลโครงการ เป็นการแสดงรายละเอียดว่าจะมีวิธีการควบคุมติดตามและประเมินผลโครงการอย่างไร ใช้ เคร่ืองมืออะไรในการประเมินผล ระยะเวลาในการประเมินผลและใครเป็นผู้ประเมินผล ฯลฯ ดัชนีชี้วัด ความสำเรจ็ ของโครงการคอื อะไร - วธิ ปี ระเมนิ ผลโครงการ - ระยะเวลาประเมนิ ผลโครงการ - ผู้ประเมนิ ผลโครงการ การตรวจสอบความเป็นไปได้ของโครงการ การประเมนิ โครงการและการปรับปรงุ โครงการ 1.การประเมนิ โครงการ การประเมินโครงการนับว่าเป็นขั้นตอนท่ีสำคัญท่ีสุดของการดำเนินโครงการ เพราะการประเมิน โครงการหมายถึง กระบวนการท่ีก่อให้เกิดสารนิเทศในการปรับปรุงโครงการ และสารนิเทศในการตัดสิน ผลสมั ฤทธ์ิของโครงการ การจดั การประเมินโครงการเพ่ือให้ทราบว่า โครงการน้นั บรรลผุ ลตามเป้าหมายทก่ี ำหนด ไว้เพียงใด มปี ัญหาอปุ สรรคอย่างไร จะได้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงโครงการ 2. ประโยชน์ของการประเมินโครงการ 1. ทำให้มีการกำหนดวตั ถปุ ระสงคห์ รือมาตรฐานในการดำเนินการที่ชดั เจน 2. ทำใหม้ ีการใช้ทรัพยากรให้เกดิ ประโยชนเ์ ตม็ ท่ีและคมุ้ ค่า 3. ทำใหแ้ ผนงานบรรลุตามวัตถุประสงค์ คือ เรมิ่ จากการวางแผนดำเนนิ การตามแผนและ ประเมนิ ผล 4. ทำใหเ้ กิดการควบคมุ คุณภาพของงาน วเิ คราะหท์ ุกส่วนของโครงการเพอื่ ไม่ใหเ้ กิดปญั หา 5. เพอ่ื ทราบปัญหาอุปสรรค ข้อดี ข้อเสีย ตลอดจนแนวทางการปรับปรุงแก้ไข เพ่อื ผบู้ ริหารจะ ไดม้ ขี ้อมลู ประกอบในการตัดสนิ ใจวา่ จะดำเนนิ การขยายหรอื ยตุ โิ ครงการ ๓๘ 3. การประเมนิ ก็จะแบ่งเปน็ 4 ประเภท 1. ประเมินกอ่ นดำเนนิ โครงการ จุดมุ่งหมายจะวิเคราะห์ข้อมูลกอ่ น คอื สำรวจความต้องการ และศึกษาหาความเปน็ ไปได้ คือ พจิ ารณาสภาพความพร้อมในการดำเนินโครงการ
2. ประเมินระหว่างดำเนินการ เพือ่ ศึกษาหาความกา้ วหนา้ ของโครงการ เพือ่ ทราบปญั หา อุปสรรคแตล่ ะชว่ ง และนำข้อมลู มาปรับปรงุ 3. การประเมนิ เสรจ็ ส้ินโครงการ เพื่อดวู ่าบรรลุวัตถุประสงค์เปา้ หมายมากน้อยเพียงใด เน้น ผลทเี่ กิดจากโครงการ 4. การประเมินหลงั เสรจ็ สิน้ โครงการ คอื การตดิ ตามงานเป็นขั้นสดุ ทา้ ยของการประเมิน โครงการ ดสู ภาพความสำเร็จ ความลม้ เหลวของโครงการ ผลท่เี กิดจากโครงการ 4.สรุปประเภทการประเมนิ โครงการ ประเภทดำเนินการ โครงการทีเ่ หมาะสม โครงการทไี่ ม่เหมาะสม ก่อนดำเนนิ การ โครงการสำคัญ งบประมาณมากความเสีย่ งสูง โครงการนโยบาย โครงการเร่งด่วน ระหว่างดำเนนิ งาน ระยะเวลานานพอสมควร(2 สัปดาห์/1 เดอื น) ระยะเวลาสัน้ (3 วนั ) เสร็จสน้ิ ดำเนินงาน ระยะเวลาสั้น วดั ทักษะ/เจตคติ หลงั เสรจ็ สน้ิ โครงการ วดั ทกั ษะ/เจตคติ ระยะเวลาส้นั 5. ความสำคัญของการประเมนิ โครงการ 1.เปน็ กลไกสำคัญของระบบการบรหิ ารแบบยึดผลงานหรือแบบมุง่ สมั ฤทธผิ ล 2. ชว่ ยลดความเส่ยี งในการลงทนุ และการตัดสนิ ใจดำเนินการสำคญั 3. ชว่ ยตรวจสอบความจำเป็นความพอเพียง และความเหมาะสม (กบั พืน้ ท่ปี ฏบิ ัตหิ รอื บรบิ ท) 4. เป็นข้อมูลสำหรบั การแก้ปัญหา การวางแผนดำเนนิ การ และการขยายผลรวมทัง้ การพัฒนา/ แกไ้ ขปรับปรงุ โครงการ 5. เป็นข้อมูลสว่ นหน่ึงที่สะท้อนถึงระดับความสำเร็จของแผนงานหรือนโยบายการบรหิ าร 6. เปน็ วธิ กี ารวิจยั รูปแบบหนง่ึ ซ่งึ เรียกว่า “การวิจยั เชงิ ประเมิน (Evaluation Research) ซง่ึ สามารถดำเนินการใหไ้ ดค้ ำตอบเกย่ี วกบั คุณค่าของโครงการในแงม่ ุมต่างๆ 7. เป็นส่วนหนง่ึ ของการบริหารโครงการอย่างเป็นระบบซึ่งประกอบด้วย 1. การวางแผนโครงการ 2. การดำเนินการ 3. การกำกบั ติดตาม 4. การประเมนิ โครงการ 8. ผู้บริหารควรมุ่งการปฏิบัติและพัฒนางานอย่างจริงจัง ต้ังใจ ต่อเน่ือง จนประสบ ผลดี แล้ว จงึ ทำผลงานไม่ควรตอ้ งการขอผลงานจงึ ตงั้ ใจทำงาน 9. สะท้อนถึงศักยภาพเชิงบริหารจัดการของผู้บริหารหรือแสดงถึงความชำนาญการ เชี่ยวชาญในการพัฒนา/การบริหารงาน ขยายผลได้ 10. ควรเป็นผลงานที่ดำเนินการและจัดการอย่างเป็นระบบชัดเจน เป็นต้นแบบ หรือ๓น๙ำไป 11. การรายงานผลงาน..ชัดเจนเข้าใจง่าย ใช้ภาษา(เป็นวิชาการ) รัดกุม และมีความ สมเหตุสมผล 12. ผลงาน “ประเมินโครงการ” ทำอย่างเป็นขน้ั ตอน 1. คิด-กำหนดโครงการ
2. เขยี นโครงการ 3. ดำเนินโครงการ (1) วางแผน (2) ปฏบิ ัตแิ ละติดตาม (3) ประเมนิ โครงการ 4. รายงานผลโครงการ 6. ปัญหาของการประเมนิ โครงการ การประเมินโครงการมีลักษณะคล้ายกับการทำการวิจัยกล่าวคือประกอบด้วยกระบวนการในการ เก็บรวบรวมข้อมูลการวเิ คราะหข์ ้อมูลและการนำข้อมูลไปใช้ให้เกดิ ประโยชนต์ ามท่ีตอ้ งการดังน้นั ปัญหาของการ ประเมินโครงการกับปัญหาการวิจัยจึงอาจมีส่วนที่คล้ายคลึงกันอยู่บ้างอย่างไรก็ดีหาก จะพิจารณาใน ส่วนประกอบของการประเมินโครงการว่าจะประกอบไปด้วยข้อมูลนำเข้ากระบวนการและผลงานแล้วอาจกล่าว ได้ว่าแต่ละส่วนประกอบมีส่วนท่ีทำให้เกิดปัญหาได้และปัญหาท่ีเกิดข้ึนอาจมีผลทำให้โครงการท่ีดำเนินอยู่ หยดุ ชะงักลม้ เหลวหรอื มผี ลทำให้โครงการทีส่ ำเรจ็ แล้วนนั้ ไดผ้ ลโดยไมเ่ ปน็ ทย่ี อมรับได้ ๔๐ ใบงาน โครงการประกอบอาชพี
1.ใหผ้ เู้ รียนบอกข้ันตอนในการเขียนโครงการอาชพี ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ๔๑ เฉลยใบงาน โครงการประกอบอาชีพ
1.ให้ผเู้ รียนบอกข้ันตอนในการเขียนโครงการอาชีพ แบบโครงการอาชพี 1. ชือ่ โครงการอาชีพ ลักษณะเดน่ 2. ช่อื ผู้รบั ผิดชอบโครงการ (ลงชอ่ื ) 3. ทป่ี รึกษา 1. 4. หลกั การและเหตุผล. 2. 5. วตั ถุประสงค์ 3. 6. เป้าหมาย ด้านปรมิ าณ ดา้ นคณุ ภาพ 7. ข้ันตอนและแผนการดำเนนิ งาน การเตรียมการ การเตรยี มสถานที่ การดำเนนิ งาน 8. ระยะเวลาดำเนินโครงการ 9. สถานท่ีประกอบการ 10. รปู แบบผลิตภัณฑ์/บริการ ผลติ ภัณฑ์/บริการ 1. 2. 3. 11. การวางแผนบริหารจดั การ แผนการตลาด แผนการผลิต แหลง่ วัตถุดบิ แผนบริหารจัดการ 12. ประมาณการต้นทนุ การผลติ และการกำหนดราคาจดั จำหนา่ ย ผลิตภัณฑ์/บรกิ าร ตน้ ทุน ราคาขาย ราคาขายของค่แู ข่ง(ถ้ามี) 1. 1. 1. 1. 2. 3. 2. 2. 2. ๔๒ 3. 3. 3. บาท 13. ประมาณการรายรับและรายจา่ ยในการประกอบอาชีพตอ่ เดือน รายรบั บาท ราคาจา่ ย จากยอดขาย คา่ เช่าสถานท่ี จากรายได้อ่นื คา่ วัตถดุ ิบ/วัสดุเพื่อผลติ
ค่าแรงงาน ค่าสาธารณูปโภค (ค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์) คา่ ใช้จ่ายอ่นื ....... 14.ทรพั ยากร/งบประมาณ ทรัพยากร งบประมาณ 15. แผนการปฏิบตั งิ าน กิจกรรมดำเนนิ งาน มค. กพ. มีค. เมย. พค. ปี พ.ศ. สค. กย. ตค. พย. ธค. หมายเหตุ มยิ . กค. 16. ผลทีค่ าดว่าจะไดร้ บั (ลงชอ่ื ) ผ้เู สนอโครงการ 1) () 2) วนั ท่ี เดือน พ.ศ. 17. ปญั หา / อุปสรรค /ขอ้ เสนอแนะ 18. การประเมินผล (ตนเองของผู้เรียน) ความเหน็ ของอาจารย์ที่ปรึกษา (ลงชื่อ) อาจารย์ท่ปี รึกษา () วนั ที่ เดือน พ.ศ. ๔๓ ความเหน็ ของการตรวจสอบโครงการ
ผลการพจิ ารณาโครงการ (ลงช่ือ) ผู้วิเคราะหโ์ ครงการ ( ) อนมุ ตั ิใหด้ ำเนนิ การได้ () วนั ท่ี เดอื น พ.ศ. ( ) อนุมตั ใิ นหลักการ ลงช่อื ...........................................ผวู้ ิเคราะห์โครงการ ( .........................................) ผอู้ ำนวยการ กศน. อำเภอ.....................................
ภาคผนวก
หลกั สตู รการทำผล หลักสตู รอา เรอื่ ง จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ เน้ือหา 1. 1.ช่องทางการ 1.อธิบายความหมาย - ความหมาย ความสำคญั ของกา ประกอบ อาชีพ ความสําคัญ วิเคราะห ประกอบอาชีพ ลักษณะงาน ขอบขายการ - ความเปน็ ไปไดใ้ นการประกอบ งานอาชีพในชมุ ชนสงั คม อาชพี เพือ่ การเขาสอู าชีพได้ 2.อธบิ ายเหตุ ปจจยั ความ - อาชีพในชมุ ชน จาํ เปนในการตดั สนิ ใจเลือก - การวิเคราะห์อาช อาชีพท่ีเหมาะสมกับ ศกั ยภาพของตนได้ ในชมุ ชน 3.ยอมรับและเห็นคณุ คาใน - งานธรุ กิจ อาชีพทตี่ ดั สินใจเลอื ก - ระบบสหกรณ์ 4.ปฏิบัตการวเิ คราะห - วสิ าหกิจชมุ ชน ตัดสินใจเลือกอาชีพได้ - ทิศทางการประกอบอาชพี การ ผ้าหุ้มกล่องกระดาทิชชู่ดว้ ยผา้ ท พ้นื เมือง
Search