Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore E-book จิตวิทยาสำหรับครู

E-book จิตวิทยาสำหรับครู

Published by wariya92606, 2022-10-23 16:01:59

Description: E-book จิตวิทยาสำหรับครู

Search

Read the Text Version

แหล่งข้อมูลในการศึกษารายกรณี101 1. ระเบียนสะสม ได้ข้อมูลที่เปนหลักฐานสำหรับนำไปใช้ในการวางแผนการ ดูแล ช่วยเหลือและพัฒนาผู้เรียน 2. แบบสัมภาษณ์ ได้ข้อเท็จจริงเปนข้อมูลพฤติกรรมของผู้ถูกสัมภาษณ์ เป็นข้อมูลตรง 3. แบบสังเกต ได้ข้อมูลที่สมบูรณ์ ละเอียด ชัดเจน ถูกต้อง 4. แบบสำรวจ ได้ข้อมูลที่ต้องการรู้ตามจุดประสงค์ที่วางไว้ เพื่อการรู้จักผู้ เรียนและสิ่งแวดล้อมของผู้เรียน 5. แบบสอบถาม ได้ข้อมูลในประเด็นที่ครูต้องการทราบ สามารถใช้กับผู้ เรียนคราวละมากๆและประหยัดเวลา 6. อัตชีวประวัติ ได้ข้อมูลของผู้เรียนเกี่ยวกับความคิด ความรู้สึก ความต้องการ สัมพันธภาพของผู้เรียน ผู้เกี่ยวข้องที่ผ่านกระบวนการคิดวิเคราะห์แล้ว 7. สังคมมิติ ได้รู้ถึงความสัมพันธ์ของผู้เรียนในห้องเรียน เพื่อจัดกลุ่มการเรียนรู้ หรือให้ความช่วยเหลือผู้เรียนได้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปนอยู่ 8. แบบบันทึกการเยี่ยมบ้าน ได้รู้จักและเข้าใจถึงสภาพแวดล้อม สภาพครอบครัว เจตคติ และฐานะทางเศรษฐกิจของผู้เรียนตามสภาพที่เปนจริง 9. แบบระเบียนพฤติการณ์ ได้รับรู้พฤติกรรมของผู้เรียนในหลายสถานการณ์ และจากบุคคลหลายคนที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียน 10. การเขียนบันทึกประจำวัน ได้ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้เรียนในแต่ละวัน 11. แฟ้มสะสมงาม ได้ข้อมูลที่ครูจะใช้ประเมินการทำงาน และผลงานของผู้ เรียน ซึ่งนำมาเพื่อจัดการส่งเสริมปองกัน ช่วยเหลือ

แนวทางการเขียนรายงานการศึกษารายกร1ณ0ี2 รายงานการศึกษานักเรียนเปนรายกรณีเปนเอกสารที่สรุป และรายงานผลการศึกษา ช่วยเหลือส่งเสริม และพัฒนา นักเรียนต่อผู้เกี่ยวข้องเป็นระบบ (สำนักวิชาการและ มาตรฐานการศึกษา, 2559) ประกอบด้วย 1. ชื่อนักเรียน ระดับชั้นที่กำลังศึกษา 2. ผู้ศึกษา (ครูประจำชั้น/ครูที่ปรึกษา ครูแนะแนว) 3. ระยะเวลาในการศึกษา 4. สาเหตุของการศึกษา 5. เครื่องมือและเทคนิคที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล 6. ข้อมูลที่ได้จากการสังเคราะห์ข้อมูล ข้อมูลส่วนตัวและครอบครัว ข้อมูลสุขภาพ (สุขภาพกาย สุขภาพจิต) ข้อมูลด้านการเรียน ข้อมูลด้านสังคม ความสนใจ งานอดิเรก และประสบการณ์ในด้านต่างๆ เปาหมายและความคาดหวังในอนาคต ความภาคภูมิใจ ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินชีวิต 7. การวิเคราะห์และวินิจฉัยปญหา 8. การช่วยเหลือ ส่งเสริม และพัฒนา 9. การติดตามผล 10. ข้อเสนอแนะ

ตัวอย่างการเขียนรายการงานการศึกษารายกรณ1ี03 1. ชื่อนักเรียน ระดับชั้นที่กำลังศึกษา นายณัฐวุฒิ แสงศรี (นามสมมุติ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 2. ผู้ศึกษา นางสาววริยา หลีหมันสา ครูประจำชั้น 3. ระยะเวลาในการศึกษา วันที่ 16 มิถุนายน 2565 ถึงวันที่ 17 กันยายน 2565 รวมเวลา 3 เดือน 4. สาเหตุของการศึกษา ไม่สนใจเรียน และก่อกวนเพื่อนขณะเรียน 5. เครื่องมือและเทคนิคที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล 5.1 ระเบียนสะสม 5.2 การสังเกต 5.3 การสัมภาษณ์ 5.4 การให้คำปรึกษา 5.5 แบบสอบถามใครเอ่ย 5.6 แบบสำรวจเจตคติที่มีต่อตนเอง 5.7 แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์(EQ) 5.8 การเยี่ยมบ้าน 6. ข้อมูลที่ได้จากการสังเคราะห์ข้อมูล 6.1 ข้อมูลส่วนตัว เกิดวันที่ 12 ตุลาคม 2532 ปัจจุบันอายุ 15 ปี เชื้อชาติไทย สัญชาติไทย ศาสนา พุทธ มีผิวขาวรูปร่างสูง ส่วนสูง 169 ซ.ม. น้ำหนัก 75 กิโลกรัม ปัจจุบันอาศัยอยู่กับ บิดาและมารดา ได้ค่าใช้จ่ายมาโรงเรียนวันละ 60 บาท บ้านอยู่ใกล้โรงเรียน ไม่เคยได้ รับทุนการศึกษา ไม่เคยหางานพิเศษท มีเพื่อนสนิทในห้องหลายคน ไม่สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า บ้างบางครั้งถ้าเข้าสังคมกับเพื่อน

6.2 ข้อมูลครอบครัว 104 บิดาชื่อนายสมคิด แสงศรี (นามสมมุติ) อายุ 51 ปี จบชั้นประถมศึกษา อาชีพเปิดร้านซ่อม รถ และบริการรับ – ส่ง นักเรียนอนุบาลใกล้บ้าน รายได้ประมาณ 6,000 บาท/เดือน มารดาชื่อนางดวงแก้ว แสงศรี (นามสกุล) อายุ 44 ปี จบชั้นประถมศึกษา อาชีพแม่บ้าน มี พี่น้อง 3 คน เป็นผู้ชายทั้งหมด ณัฐวุฒิเป็นลูกคนกลางครอบครัวมีสมาชิก 5 คน คือ ณัฐ วุฒิ พ่อ แม่ พี่ชายและน้องชาย ความสัมพันธ์ในครอบครัวอบอุ่น มีการทะเลาะกันบ้าง ที่ อยู่อาศัยเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ค่อนข้างเก่า คนที่ณัฐวุฒิไว้ใจมากที่สุดคือแม่ 6.3 ข้อมูลสุขภาพ 1) สุขภาพกาย เป็นคนสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว ช่วงปิดภาคเรียนชั้น ม.3 เคยถูกแทงที่ใกล้ราวนมเนื่องจากขับรถรวดเร็ว เสียงดังทำให้ผู้อื่นไม่พอใจ 2) สุขภาพจิต เป็นคนสนุกสนานร่าเริง จากการทำแบบประเมินความฉลาดทาง อารมณ์ (EQ) พบว่า มีความรับผิดชอบ และการควบคุมตนเองอยู่ในระดับต่ำ 6.4 ข้อมูลด้านการเรียน ผลการเรียนเมื่อจบชั้น ป.6 อยู่ในเกณฑ์พอใช้ เคยเป็นนักกีฬาของโรงเรียน ผลการ เรียนเมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้ 1.54 ขณะเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นมีพฤติกรรม ขาดเรียน หนีเรียน ไม่นำสมุด หรืออุปกรณ์การเรียนมาเป็นประจำ และเมื่อเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 ได้ผลการเรียนเฉลี่ย 1.02 6.5 ข้อมูลด้านสังคม 1) ทางบ้าน ณัฐวุฒิไม่ค่อยสนิทกับพี่น้อง จะคุยด้วยเมื่อจำเป็น มักเอาแต่ใจตนเอง บิดา มารดามักจะตำหนิและเปรียบเทียบกับพี่ชายเสมอทำให้ณัฐวุฒิรู้สึกน้อยใจ ไม่ชอบอยู่บ้าน มักเที่ยวเตร่กับเพื่อนๆ กลับบ้านดึกเป็นประจำ ไม่เชื่อฟังคำตักเตือนของบิดามารดา 6.6 ความสนใจ งานอดิเรก และประสบการณ์ในด้านต่างๆ 1) ชายมีความสนใจเกี่ยวกับการแข่งรถ การเที่ยวเตร่ และการคบเพื่อนต่างเพศ 2) งานอดิเรกชอบขับรถเล่น และเล่นกีฬาฟุตบอล 3) ประสบการณ์ในด้านต่างๆ เคยเป็นตัวแทนนักกีฬาของโรงเรียนเข้าแข่งขันในระดับกลุ่ม โรงเรียน เคยฝึกซ่อมเครื่องรถยนต์กับบิดาช่วงปิดภาคเรียน

6.7 เป้าหมาย และความคาดหวังในอนาคต 105 1) อยากเป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถ 2) อยากมีบ้านเป็นของตนเอง 6.8 ความภาคภูมิใจ ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินชีวิต 1) ความภาคภูมิใจเป็นที่ยอมรับของกลุ่มเพื่อน 2) ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินชีวิตพ่อแม่ไม่รัก 7. การวิเคราะห์และวินิจฉัยปัญหา นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่่ำมาตลอด เนื่องจาก 1) ขาดแรงกระตุ้น และกำลังใจจากครอบครัว ทำให้นักเรียนขาดแรงจูงใจในการเรียน และหันไปสนใจกิจกรรมอื่นๆทดแทน 2) นักเรียนมีพฤติกรรมการเรียนที่ไม่เหมาะสม เช่น ไม่ตั้งใจเรียน ก่อกวนชั้นเรียน ขาดความรับผิดชอบในการส่งงานที่ได้รับมอบหมาย ไม่นำอุปกรณ์การเรียนมาเรียน 8. การช่วยเหลือ ส่งเสริม และพัฒนา 1) ผู้ศึกษาให้การปรึกษาแก่นักเรียนเพื่อสร้างแรงจูงใจในการเรียน 2) ผู้ศึกษาพูดคุยกับผู้ปกครอง เพื่อทำความเข้าใจในการสื่อสารกับนักเรียนและ เสริมสร้างกำลังใจ 3) ผู้ศึกษาขอความร่วมมือกับผู้สอนในการปรับพฤติกรรมการเรียนของนักเรียน 9. การติดตามผล 1) จากการสัมภาษณ์ผู้ปกครองของนักเรียนเกี่ยวกับพฤติกรรมการเรียนของนักเรียนเมื่ออยู่ที่ บ้านพบว่า นักเรียนเริ่มมีพฤติกรรมการเรียนที่ดีขึ้น แต่การเที่ยวเตร่และกลับบ้านดึกยังคงเดิม 2) จากการให้การปรึกษา พบว่า นักเรียนให้ความร่วมมือดีในการตอบคำถาม และได้นำวิธีการ ต่างๆไปใช้เพื่อแก้ปัญหาของตน 3) จากการสังเกตและสัมภาษณ์ครูผู้สอนพบว่า นักเรียนมีพฤติกรรมการเรียนดีขึ้นมีความรับผิด ชอบต่อตนเอง สังเกตจากการนำสมุดงานในรายวิชาต่างๆมาให้ดูพบว่านักเรียนทำงาน เรียบร้อยพอใช้แม้ว่าจะยังไม่ครบทุกวิชาแต่ก็ถือว่าได้ปรับปรุงตนเอง

10. ข้อเสนอแนะ 106 1) เนื่องจากนักเรียนถูกเลี้ยงดูแบบตามใจมาตั้งแต่เล็ก ไม่เคยถูกฝึกให้รับผิดชอบงาน ต้องการอะไรทางบ้านจะหามาให้ เนื่องจากทางบ้านมีฐานะพอที่จะดูแลได้ ซึ่งมีส่วน ทำให้นักเรียนขาดความรับผิดชอบต่อตนเอง ดังนั้น พ่อแม่ควรให้เวลาและเอาใจใส่ นักเรียนมากขึ้นโดยการพูดคุย และมอบหมายงานบ้านที่นักเรียนพอจะทำได้ ให้กำลังใจ เมื่อนักเรียนทำได้สำเร็จ รวมทั้งคอยติดต่อประสานงานกับครูในโรงเรียนอย่างใกล้ชิดทั้ง ในเรื่องการเรียนและความประพฤติ 2) ครูแนะแนวควรหาโอกาสพูดคุยกับนักเรียน คอยให้กำลังใจและสนับสนุนในด้าน ต่างๆ เน้นการจัดการเรียนการสอนแบบกิจกรรมกลุ่มหรือจัดโปรแกรมเพื่อฝึกให้นักเรียน รับผิดชอบต่อตนเอง และติดตามผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้นักเรียนดูแล ตนเองอย่างมีคุณภาพ 3) ครูประจำวิชาควรช่วยดูแล สังเกต กระตุ้น และจูงใจให้นักเรียนเข้าร่วม กิจกรรมต่างๆภายในห้อง โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความสามารถ มอบ หมายงานให้รับผิดชอบและชื่นชมเมื่อทำอะไรได้สำเร็จ ไม่ควรตำหนิการกระทำ ของนักเรียนต่อหน้าเพื่อนให้เกิดความอับอาย แต่ใช้การตักเตือนเป็นส่วนตัวกับ นักเรียน และไม่ให้ความสนใจกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม 4) ครูประจำชั้นมีความสำคัญมากในการที่จะช่วยเหลือนักเรียนเนื่องจากเป็นบุคคล ที่ใกล้ชิด และได้รับความไว้วางใจ ดังนั้นครูประจำชั้นควรทำหน้าที่ในการประสาน งานกับผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด โดยขอความร่วมมือจากครูแนะแนว ครูผู้สอน และครอบครัวในการแก้ปัญหา

สรุป 107 การศึกษารายกรณี เป็นกระบวนการศึกษาบุคคลอย่างต่อเนื่องโดยใช้เท คนิคหลายๆแบบ เพื่อเก็บข้อมูล และวินิจฉัยเพื่อเข้าใจถึงสาเหตุหรือ ที่มา อันจะนำไปสู่การให้ความช่วยเหลือ แก้ไข ป้องกันปัญหา และส่ง เสริมพัฒนากระบวนการศึกษารายกรณีมีขั้นตอน ได้แก่ การเลือก นักเรียน การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ และการสังเคราะห์ข้อมูล การ วินิจฉัย การดำเนินการให้การช่วยเหลือและการติดตามผล ครูและ นักเรียน ต้องร่วมมือกันตั้งเป้าหมายและวางแผนแก้ไขปัญหาโดยการให้ คำปรึกษาเชิงจิตวิทยา การประชุมรายกรณีหรือการส่งต่อ โดยการเขียน รายงานการศึกษารายกรณี ควรเขียนหลังจากที่ได้รวบรวมข้อมูลครบทุก ด้านจนเห็นภาพโดยรวมของนักเรียนและสามารถวินิจฉัยปัญหา สาเหตุ ของปัญหารวมทั้งได้แนวทางในการให้ความช่วยเหลือได้แล้ว ผู้ที่ทำการ ศึกษารายกรณีและผู้ที่จะนำผลการศึกษาไปใช้ประโยชน์ ควรระมัดระวัง ในเรื่องความยินยอมจากนักเรียน การได้มาซึ่งข้อมูลต่างๆของนักเรียน ต้องได้รับการยินยอม ควรปกปิดข้อมูลของนักเรียนเป้นความลับ

THANK YOU


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook