Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore E-book จิตวิทยาสำหรับครู

E-book จิตวิทยาสำหรับครู

Published by wariya92606, 2022-10-23 16:01:59

Description: E-book จิตวิทยาสำหรับครู

Search

Read the Text Version

ทฤษฎีแรงจูงใจ 51 ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ มาสโลว์ แบ่งความต้องการพื้นฐานของมนุษย์เป็น 3 ระดับ ได้แก่ 1. ความต้องการทางร่างกาย เป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ เพื่อความอยู่รอด เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค อากาศ น้ำดื่ม การพักผ่อน เป็นต้น 2. ความต้องการความปลอดภัยและมั่นคง เมื่อมนุษย์สามารถตอบ สนองความต้องการทางร่างกายได้แล้ว มนุษย์ก็จะเพิ่มความต้องการใน ระดับที่สูงขึ้นต่อไป 3. ความต้องการความผูกพันหรือการยอมรับ (ความต้องการทาง สังคม) เป็นความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ซึ่งเป็นธรรมชาติ อย่างหนึ่งของมนุษย์

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ 52 2. สิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อม คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวมนุษย์ทั้งที่มีชีวิตและ ไม่มีชีวิต รวมทั้งที่เป็นรูปธรรม (สามารถจับต้องและมองเห็นได้) และนามธรรม(ตัวอย่างเช่นวัฒนธรรมแบบแผน ประเพณี ความ เชื่อ) มีอิทธิพลเกี่ยวโยงถึงกัน เป็นปัจจัยในการเกื้อหนุนซึ่งกันและ กัน ผลกระทบจากปัจจัยหนึ่งจะมีส่วนเสริมสร้างหรือทำลายอีก ส่วนหนึ่ง อย่างหลีกเลี่ยงมิได้ สิ่งแวดล้อมเป็นวงจรและวัฏจักรที่ เกี่ยวข้องกันไปทั้งระบบ

แนวคิดเชิงทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการจัดสภาพ 53 แวดล้อมการเรียนรู้ ประการที่หนึ่ง ได้แก่แนวคิดเชิงปรัชญาการศึกษา ปรัชญาการศึกษาจะเป็นสิ่งบ่งชี้นโยบายในการจัดการศึกษา การจัดสภาพ แวดล้อมการเรียนรู้จะต้องดำเนินไปให้สอนคล้องกับนโยบายนั้นๆ ประการที่สอง เป็นแนวคิดเชิงทฤษฎีทางด้านจิตวิทยา อันได้แก่ จิตวิทยาการเรียนรู้ จิตวิทยาพัฒนาการ จิตวิทยาสังคม ตลอดจนจิตวิทยาในการทำงาน หลักการต่าง ๆ ทางด้าน จิตวิทยานี้จะช่วยให้เข้าใจพัฒนาการของผู้เรียนในแต่ละวัย ประการที่สาม เป็นแนวคิดเชิงทฤษฎีการสื่อสาร เนื่องจากการเรียนการสอนนั้นเป็นกระบวนการติดต่อสื่อสารหรือเป็นการสื่อ ความหมายระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนหลักการต่าง ๆ ของการสื่อสารจะช่วย ในการตัดสินใจเลือกสื่อหรือจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม ประการที่สี่ เป็นแนวคิดเชิงเทคโนโลยีการศึกษา เป็นแนวคิดเกี่ยวกับระบบการเรียนการสอนที่ไม่เพียงแต่อาศัยสื่อประเภท วัสดุ อุปกรณ์เท่านั้น แต่ยังอาศัย เทคนิค วิธีการตลอดจนแนวคิดต่างๆ ประการที่ห้า แนวคิดเชิงเออร์โกโนมิกส์ ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสภาพแวดล้อมในการทำงาน

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ 54 3. ความแตกต่างระหว่างบุคคล ลักษณะของบุคคลแต่ละคน ซึ่งไม่เหมือนกัน แตกต่าง กัน มีลักษณะหรือแบบที่ไม่ซ้ำใคร และไม่เหมือนใครอาจ กล่าวได้ว่า ความแตกต่างอาจมีลักษณะเฉพาะที่คนแต่ละ คน ไม่สามารถกระทำหรือลอกเลียนแบบกันได้ ความไม่เหมือนกันของบุคคลซึ่งจะมีความเป็นเอกลักษณ์ เฉพาะของตน มีพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และพฤติกรรมเป็น ตัวทำให้บุคคลแตกต่างกัน

ประเภทของความแตกต่างระหว่าง 55 บุคคลออกเป็น 6 ประเภท คือ 1. ความแตกต่างทางด้านร่างกาย 2. ความแตกต่างทางด้านอารมณ์ 3. ความแตกต่างทางด้านสังคม 4. ความแตกต่างทางด้านเพศ 5. ความแตกต่างทางด้านอายุ 6. ความแตกต่างทางด้านสติปัญญา

56 บทที่ 6 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้

57 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ การเรียนรู้เกิดขึ้นได้จะต้องประกอบด้วยปัจจัยด้านผู้เรียน และปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมการที่จะทำให้การเรียนรู้เกิดขึ้น ได้อย่างมีประสิทธิภาพครูควรต้องศึกษาและทำความเข้าใจใน ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ให้ชัดเจนในปัจจัยด้านผู้เรียน ครูต้อง ทราบว่ามนุษย์มีความแตกต่างกันทั้งด้านรูปร่างหน้าตาสติ ปัญญา ความถนัด ความสนใจ รวมทั้งเจตคติอันจะส่งผลต่อ พฤติกรรมที่แตกต่างกันไปด้วย

ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับสติปัญญา 58 สติปัญญา คือ ความสามารถในการแก้ปัญหาในสภาพแวดล้อมต่างๆ ซึ่งขึ้น อยู่กับวัฒนธรรมของแต่ละแห่ง สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงเชาวน์ปัญญา อาจเป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ งานการเมือง ผีมือ รวมทั้ง ศักยภาพในการตั้งคำถาม เพื่อหาคำตอบ หาความรู้ใหม่ๆ โดยเชื่อ ว่าเชาวน์ปัญญานี้ เป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้

ทฤษฎีเกี่ยวกับสติปัญญา 59 ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของ เพียเจต์ มีสาระสรุปได้ดังนี้ พัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคล เป็นไปตามวัยต่างๆเป็นลำดับขั้น ดังนี้ 1. ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่ กับการเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่ 2. ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด เริ่มตั้งแต่อายุ 2-7 ปี แบ่งออกเป็นขั้นย่อยอีก 2 ขั้น คือ ขั้นก่อนเกิดสังกัปและขั้นการคิดแบบญาณหยั่งรู้ 3. ขั้นปฏิบัติการคิดด้านรูปธรรม เริ่มจากอายุ 7-11 ปี พัฒนาการทางด้านสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้ สามารถสร้างกฎเกณฑ์และตั้งเกณฑ์ในการแบ่งสิ่งแวดล้อมออกเป็นหมวดหมู่ได้ 4. ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยนามธรรม เริ่มจากอายุ 11-15 ปี ในขั้นนี้พัฒนาการทางสติปัญญาและความคิดของเด็ก วัยนี้เป็นขั้นสุดยอด คือเด็กในวัยนี้จะเริ่มคิดแบบผู้ใหญ่ ความคิดแบบเด็กจะ สิ้นสุดลง เด็กจะสามารถที่จะคิดหาเหตุผลนอกเหนือไปจากข้อมูลที่มีอยู่

60 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความจำ ความจำ คือ ความสามารถในการเก็บข้อมูลและเรียกข้อมูลออก มาใช้ ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่าถ้าจะเก็บข้อมูลอย่าง เดียวถือว่าไม่ใช่การจำ เป็นแต่เพียงการเก็บ การจำจึง ต้องนำออกมาใช้ในยามที่ต้องการได้เป็นอย่างดี ดังนั้น ความจำจึงกลายเป็นความสามารถในการทั้งเก็บและ นำข้อมูลออกมาใช้นั่นเอง

ความจำของคนเราแยกออกเป็น 3 ระบบคือ61 ระบบความจำการรู้สึกสัมผัส เป็นความทรงจำที่เกิดขึ้นเนื่องจากการรับรู้ เช่น ภาพ เสียง ซึ่งจะมีการจดจำได้ในระยะสั้น ความทรงจ ำระยะสั้น เป็นความทรงจำที่ได้รับการจัดเก็บไว้แล้ว และมีการนำกลับ มาใช้หรือไม่ก็ได้ กลายเป็นความทรงจำชั่วคราว ซึ่งระบบจะ ทำการลืมข้อมูลนี้ไปในระยะ 30 วินาที แต่จะมีการคงไว้ใน สมอง ซึ่งอาจดึงกลับมาในอนาคตได้ถ้ามีภาวะวิกฤติเกิดขึ้น เช่นการจดจำคำพูด ภาพโฆษณา ความทรงจ ำระยะยาว เป็นความทรงจำที่ได้รับการตีค่าว่ามีความหมาย ได้รับ การเรียนรู้ซ้ำๆ เกิดการจดจำอย่างต่อเนื่อง และ สามารถดึงกลับมาใช้ได้ หากมีสิ่งกระตุ้นความทรงจำที่ เหมาะสม เช่น การจดจำบทเรียน ภาพสถานที่ต่างๆ

62 ปัจจัยที่ส่งผลต่อด้านสรีระวิทยา ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งมีการสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ เพราะสรีระเป็นสิ่งจำเป็นหรือเป็นปัจจัยที่มีความ สำคัญต่อการเรียนรู้ เช่น การใช้ดวงตา มือ หู เป็นต้น หากสรีระของมนุษย์เป็นไปอย่างสมบูรณ์ ก็สามารถรับรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาะมากขึ้น

ทฤษฎีเกี่ยวกับความสามารถด้านสรีระวิทย6า3 ทฤษฎีความเครียดของ selye (Selye’Stress Theory) Selye (1974 อ้างถึงใน ประณิตา ประสงค์จรรยา, 2542: 34) ได้กล่าวถึงทฤษฎีความเครียดของ selye (Selye’Stress Theory) ว่า เมื่อร่างกายถูกสิ่งที่มาคุกคามจะทําให้เกิดความเครียด ซึ่งอาจ เป็นสิ่งที่ดีและไม่ดี จะทําให้ความสมดุลของร่างกายเปลี่ยนแปลงไป และจะเกิดการตอบสนองของบุคคลต่อตัวกระตุ้น ซึ่งการตอบสนอง นั้นจะแสดงออกไปในลักษณะของกลุ่มอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจงที่ เรียกว่า กลุ่มอาการปรับตัวโดยทั่วไป

สรีระที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ 64 ตา คือ ส่วนที่รับแสงสะท้อนของ ร่างกาย ทำให้สามารถมองเห็นและรับรู้ สิ่งต่างๆรอบตัวได้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ ในการเรียนรู้ เราจำเป็นต้องใช้ตาในการ มองดู หากขาดอวัยวะส่วนนี้ไปจะทำให้ เกิดการเรียนรู้ที่ลำบากกว่าคนอื่นๆ หู คือ ส่วนที่รับฟังสิ่งต่างๆ หาดหู หนวกทำให้เกิดการเรียนรู้ที่จะพูดได้ช้า หรือพูดไม่ชัดเจน จะต้องให้ผู้อื่นพูด ซ้ำๆหลายครั้ง หรือตอบคำถามได้ไม่ ชัดเจนเหมาะสม เนื่องจากฟังไม่ถนัด เมื่อเรียกแล้วไม่มีการตอบสนอง ลิ้น คือ ส่วนที่ใช้ใน การออกเสียงที่ชัดเจน แต่ถ้าหากลิ้นไก่สั้นก็จะพูดไม่ชัด พูดไม่ปกติ ทำให้สื่อสารกับผู้อื่นไม่เข้าใจ จนทำให้ไม่ อยากพูดหรือไม่กล้าที่จะพูดกับใคร

สรีระที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ 65 ปาก คือ ส่วนที่ใช้ในการพูด สื่อสาร หากปากแหว่งเพดาน โหว่ง ก็จะทำให้ลักษณะทางกายภาพที่จะเรียนรู้ ในการพูด สื่อสารกับผู้อื่นที่ยากลำบาก มือ คือ ส่วนที่ใช้เขียน ใช้จดบันทึกในการเรียนรู้ หาก ขาดอวัยวะส่วนนี้ไป จะทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ยากลำบาก ถึงว่าแม้จะมีตา หู แต่ถ้าหากไม่สามารถเขียนได้ ก็ส่งผล ต่อการเรียนรู้เช่นเดียวกัน

66 บทที่ 7 ทฤษฎีจิตวิทยาการเรียนรู้

67 ความหมายของจิตวิทการเรียนรู้ จิตวิทยาการเรียนรู้ (Psychology of learning) หมายถึง จิตวิทยาที่ใช้ใน การถ่ายทอดความรู้ โดยการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้นั้นต้องเกิดจากพฤติกรรมที่ เปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวรหรือเกิดจากการฝึกฝน ซึ่งกระบวนการเรียนรู้จะเกิดได้ จากขั้นตอนหลัก 4 ขั้นตอนคือตั้งใจจะรู้ กำหนดวิธีปฏิบัติเพื่อให้รู้ ลงมือปฏิบัติ และได้รับผลประจักษ์ สำหรับทฤษฎีการเรียนรู้นั้นจะพยายามศึกษาว่า กระบวนการเรียนรู้นั้นมีลักษณะอย่างไร ในงานวิจัยส่วนใหญ่นั้นจะทำการศึกษา แบบพฤติกรรมนิยมแบบพุทธินิยมและแบบ self-regulated learning โดยมี จิตวิทยาทางสื่อเป็นแนวการศึกษาใหม่ที่เพิ่มเข้ามา เนื่องจากเทคโนโลยีมีบทบาท ในการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้

ทฤษฎีการเรียนรู้ทางด้าน 68 จิตวิทยามี 3 กลุ่ม คือ 1. ทฤษฎีการเรียนรู้พฤติกรรมนิยม ความคิดพื้นฐานของทฤษฎีการเรียนรู้พฤติกรรมนิยม 1.พฤติกรรมทุกอย่า งเกิดขึ้นโดยการเรียนรู้ และสามารถจะสังเกตได้ 2.พฤติกรรมแต่ละชนิดเป็นผลรวมของการ เรียนที่เป็นอิสระหลายอย่าง 3.แรงเสริม (Reinforcement) ช่วยทำให้ พฤติกรรมเกิดขึ้นได้

ตัวอย่างทฤษฎีในกลุ่มพฤติกรรมนิยม 69 1. ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบคลาส สิก หรือแบบสิ่งเร้า ผู้ค้นพบการเรียนรู้ลักษณะนี้คือ อีวาน พาฟลอฟ (Ivan Pavlov, 1849–1936) นักสรีรวิทยาชาวรัสเซียที่มีชื่อเสียงมาก พาฟลอฟสนใจศึกษาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร โดยได้ทำการ-ทดลองกับสุนัข ระหว่างที่ทำการทดลอง พาฟลอฟสังเกตเห็น ปรากฏการณ์บางอย่างคือ ในบางครั้งสุนัขน้ำลายไหลโดยที่ยังไม่ได้รับอาหารเพียงแค่ เห็น ผู้ทดลองที่เคยเป็นผู้ให้อาหารเดินเข้ามาในห้องนั้น สุนัขก็น้ำลายไหลแล้ว จาก ปรากฏการณ์ดังกล่าวจุดประกาย ให้พาฟลอฟคิดรูปแบบการทดลองเพื่อหาสาเหตุให้ได้ ว่า เพราะอะไรสุนัขจึงน้ำลายไหลทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รับอาหาร 2. ทฤษฎีการเรียนรู้แบบการวาง เงื่อนไขแบบโอเปอแรนท์ ซึ่งมี สกินเนอร์ (B.F. Skinner) เป็นเจ้าของทฤษฎีสกินเนอร์ได้ทดลองการ วางเงื่อนไขแบบโอเปอแรนท์กับหนูและนกในห้องทดลอง จนกระทั้งได้หลักการ ต่าง ๆ มาเป็นแนวทางการศึกษาการเรียนรู้ของมนุษย์สกินเนอร์มีแนวคิดว่า การเรียนรู้เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขและสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม เพราะทฤษฎีนี้ ต้องการเน้นเรื่องสิ่งแวดล้อม สิ่งสนับสนุนและการลงโทษ โดยพัฒนาจาก ทฤษฎีของ พาฟลอฟ และธอร์นไดค์ โดยสกินเนอร์มองว่าพฤติกรรมของมนุษย์ เป็นพฤติกรรมที่กระทำต่อสิ่งแวดล้อมของตนเอง พฤติกรรมของมนุษย์จะคงอยู่ ตลอดไป จำเป็นต้องมีการเสริมแรง ซึ่งการเสริมแรงนี้มีทั้งการเสริมแรงทาง บวกและการเสริมแรงทางลบ

การประยุกต์ใช้ในด้านการ 70 เรียนการสอน 1. ในการสอน การให้การเสริมแรงหลังการตอบสนองที่เหมาะสม ของเด็กจะช่วยเพิ่มอัตรากาตอบสนองที่เหมาะสมนั้น 2. การเว้นระยะการเสริมแรงอย่างไม่เป็นระบบ หรือเปลี่ยนรูปแบบ การเสริมแรงจะช่วยให้การตอบสนองของผู้เรียนคงทนถาวร 3. การลงโทษที่รุนแรงเกินไป มีผลเสียมาก ผู้เรียนอาจไม่ได้เรียนรู้ หรือจำสิ่งที่เรียนรู้ไม่ได้ ควรใช้วิธีการงดการเสริมแรงเมื่อผู้เรียนมี พฤติกรรมไม่พึงประสงค์ 4. หากต้องการเปลี่ยนพฤติกรรม หรือปลูกฝังนิสัยให้แก่ผู้เรียน ควร แยกแยะขั้นตอนของปฏิกิริยาตอบสนองออกเป็นลำดับขั้น

2. ทฤษฎีการเรียนรู้พุทธิปัญญานิยม 71 ทฤษฎีการเรียนรู้พุทธิปัญญานิยม มีหลักการที่สำคัญว่า ในการ เรียนรู้ผู้เรียนจะต้องเป็นผู้กระทำ และสร้างความรู้ ความเชื่อพื้น ฐานของทฤษฎีการเรียนรู้พุทธิปัญญานิยม มีรากฐานมาจาก 2 แหล่ง คือจากทฤษฎีพัฒนาการของพีอาเจต์ และวิก็อทสกี้ ทฤษฎี การเรียนรู้พุทธิปัญญานิยม จึงแบ่งออกเป็น 2 ทฤษฎี คือ 1. Cognitive Constructivism หมายถึง ทฤษฎีการเรียนรู้พุทธิ ปัญญานิยม ที่มีรากฐานมาจากทฤษฎีพัฒนาการของพีอาเจต์ ทฤษฎีนี้ ถือว่าผู้เรียนเป็นผู้กระทำ (active) และเป็นผู้สร้างความรู้ขึ้นในใจเอง 2. Social Constructivism เป็นทฤษฎีที่มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีพัฒนาการ ของวิก็อทสกี้ ซึ่งถือว่าผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับ ผู้อื่น (ผู้ใหญ่หรือเพื่อน) ในขณะที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมหรืองาน ใน สภาวะสังคม ซึ่งเป็นตัวแปรที่สำคัญและขาดไม่ได้

ตัวอย่างทฤษฎีในกลุ่มพุ ทธิปัญญานิยม72 ทฤษฎีทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรุนเนอร์ บรุนเนอร์ (Bruner) เป็น นักจิตวิทยาที่สนใจเรื่องของพัฒนาการทางสติปัญญาต่อเนื่องจากเพียเจต์ บรุน เนอร์เชื่อว่ามนุษย์เลือกที่จะรับรู้สิ่งที่ตนเองสนใจ และการเรียนรู้เกิดจาก กระบวนการค้นพบด้วยตัวเอง แนวคิดที่สำคัญของ บรุนเนอร์มีดังนี้ 1.. การจัดโครงสร้างของความรู้ให้มีความสัมพันธ์และสอดคล้องกับ พัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก 2. การจัดหลักสูตรและการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับระดับความพร้อม ของผู้เรียน และสอดคล้องกับพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียน 3. การคิดแบบหยั่งรู้ เป็นการคิดหาเหตุผลอย่างอิสระที่สามารถพัฒนา ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้ 4. แรงจูงใจภายในเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จใน การเรียนรู้

การนำไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน 73 1. กระบวนการค้นพบการเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ดีมี ความหมายสำหรับผู้เรียน 2. การวิเคราะห์และจัดโครงสร้างเนื้อหาสาระการเรียนรู้ให้เหมาะสม เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำก่อนการสอน 3. การจัดหลักสูตรแบบเกลียว ช่วยให้สามารถสอนเนื้อหาหรือความคิด รวบยอดเดียวกันแก่ผู้เรียนทุกวัยได้ โดยต้องจัดเนื้อหาความคิดรวบยอด และวิธีสอน ให้เหมาะสมกับขั้นพัฒนาการของผู้เรียน 4. ในการเรียนการสอนควรส่งเสริมให้ผู้เรียนได้คิดอย่างอิสระให้มาก 5. การสร้างแรงจูงใจภายในให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนเป็นสิ่งจำเป็นในการจัด ประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน

3. ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มมนุษยนิยม 74 ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มมนุษยนิยม ให้ความสำคัญของการเป็นมนุษย์ และมอง มนุษย์ว่ามีคุณค่า มีความดีงาม มีความสามารถ มีความต้องการ และมีแรงจูงใจ ภายในที่จะพัฒนาศักยภาพของตน หากบุคคลได้รับอิสรภาพและเสรีภาพ มนุษย์ จะพยายามพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ นักจิตวิทยาคนสำคัญใน กลุ่มนี้คือ มาสโลว์(Maslow) รอเจอร์ส(Rogers) โคมส์(Knowles) แฟร์(Faire) อิลลิช(illich) และนีล(Neil) ยกตัวอย่างทฤษฎีการเรียนรู้ ของ รอเจอร์ส มนุษย์จะสามารถพัฒนาตนเองได้ดีหากอยู่ในสภาพการณ์ที่ผ่อนคลายและเป็น อิสระ การจัดบรรยากาศการเรียนที่ผ่อนคลายและเอื้อต่อการเรียนรู้(supportive atmosphere)และเน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง(student-centered teaching)โดยครูใช้วิธีการสอนแบบชี้แนะ(non-directive)และทำหน้าที่อำนวย ความสะดวกในการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน(facilitator) และการเรียนรู้จะเน้น กระบวนการ(process learning)เป็นสำคัญ

การนำไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน75 1.การจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนให้อบอุ่น ปลอดภัย ไม่น่าหวาด กลัว น่าไว้วางใจ จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี 2.ผู้เรียนแต่ละคนมีศักยภาพและแรงจูงใจที่จะพัฒนาตนเองอยู่แล้ว ครู จึงควรสอนแบบชี้แนะ(non-directive) โดยให้ผู้เรียนเป็นผู้นำทางใน การเรียนรู้ของตน(self- directive) และคอยช่วยเหลือผู้เรียนให้เรียน อย่างสะดวกจนบรรลุผล 3.ในการจัดการเรียนการสอนควรเน้นการเรียนรู้กระบวนการ(process learning) เป็นสำคัญ เนื่องจากกระบวนการเรียนรู้เป็นเครื่องมือสำคัญ ที่บุคคลใช้ในการดำรงชีวิตและแสวงหาความรู้ต่อไป

บทที่ 8การนำหลัศกัจกิตยวภิทาพยาคไวปาใมช้เใปน็นกคารรูพั ฒนา 76

77 ความหมายของหลักจิตวิทยาการศึกษา การศึกษาพฤติกรรมต่างๆ มนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์การเรียนการ สอน โดยเน้นทำความเข้าใจพฤติกรรมการเรียนรู้ และการพัฒนาความ สามารถของผู้เรียน แต่ละคน แต่ละช่วงวัยที่แตกต่างกัน รวมถึงการศึกษา กรณีศึกษาพิเศษต่างๆ เช่น วิธีการเรียนรู้ของเด็กที่มีพรสวรรค์ วิธีการเรียนรู้ ของเด็กพิการทางร่างกาย หรือ บกพร่องทางระบบประสาท เพื่อให้ครูผู้สอน เข้าใจพวกเขาเหล่านั้นมากขึ้น และสามารถรับมือกับสถานการณ์ใน ห้องเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จุดมุ่งหมายของจิตวิทยาการศึกษ7า8 กู๊ดวินและคลอส ไมเออร์ ได้กล่าวถึงจุดมุ่ง หมายที่สำคัญของการเรียนจิตวิทยา ไว้ดังนี้ 1. เป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ที่เป็นระบบทั้งด้านทฤษฎี หลัก การและสาระอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ของมนุษย์ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ 2. เป็นการนำความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ และตัวผู้เรียนให้แก่ครูและผู้เกี่ยวข้อง กับการศึกษานำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนการสอน 3. เพื่อให้ครูสอนสามารถนำเทคนิคและวิธีการการเรียนรู้ไปใช้ในการเรียน การสอน การแก้ไขปัญหาในชั้นเรียน ตลอดจนสามารถดำรงตนอยู่ในสังคม ได้อย่างมีความสุข

ลักษณะการเป็นครูที่ดีและมีประสิทธิภาพ79 ครูที่ดีและมีวิธีสอนอย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึงครูที่มีการสอนที่รับรองได้ว่า นักเรียนจะเกิดการเรียนรู้ นักจิตวิทยาการศึกษาหลายท่านได้ทำการวิจัยหรือ หาตัวแปรที่ทำให้การสอนมีประสิทธิภาพ ศาสตราจารย์ จอห์น แคร์รอล ได้ เขียนบทความจิตวิทยาการศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบการสอน เพื่อให้เกิดการ เรียนรู้ที่มีอิทธิพลมากที่สุด บทความนี้ชื่อว่า “A model of School Learning” แคร์รอลได้อธิบายความหมายของครูที่มีประสิทธิภาพว่า เป็นครูที่ สอนให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ให้เวลาแก่นักเรียนแต่ละคนได้เรียนรู้โดย พิจารณาความแตกต่างของบุคคล และวิชาที่สอน บางคนต้องการเวลามากแต่ บางคนต้องการเวลาน้อย ซึ่งขึ้นกับวิชาที่ครูสอน รวมทั้งจัดกิจกรรมและ ประสบการณ์เพื่อจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้

80 คุณลักษณะของนักเรียนมีส่วนให้นักเรียน เรียนรู้ในอัตราความเร็วแตกต่างกันด้วยคือ 1. ความถนัด (Aptitude) หมายถึง ความสามารถของ นักเรียนที่จะเรียนรู้ 2. ความสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่ครูสอน (Ability to Understand Instruction) 3. ความเพียรพยายาม นักเรียนใช้เวลาสำหรับการเรียนรู้ ซึ่งมัก จะเนื่องมาจากการที่นักเรียนมีแรงจูงใจที่จะเรียนรู้ 4. การมีโอกาส ครูให้เวลานักเรียนในการเรียนรู้สิ่งที่ครูสอน โดยคิดถึงความสามารถและความถนัดของนักเรียน

ความสำคัญของจิตวิทยาการศึกษาต่ออาชีพค8รู1 1.ช่วยให้ครูรู้จักลักษณะนิสัยของนักเรียนที่ครูต้องสอน โดยทราบหลักพัฒนาการ ทั้งทางร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม และบุคลิกภาพเป็นส่วนรวม 2.ช่วยให้ครูมีความเข่าใจพัฒนาการทางบุคลิกภาพบางประการของนักเรียน เช่นอัตมโนทัศน์ ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร และเรียนรู้ถึงบทบาทของครูในการที่ช่วย นักเรียนให้มีอัตมโนทัศน์ที่ดีและถูกต้องได้อย่างไร 3.ช่วยครูให้มีความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างบุคคล เพื่อจะได้ ช่วยนักเรียนเป็นรายบุคคลให้พัฒนาตามศักยภาพของแต่ละบุคคล 4.ช่วยให้ครูรู้วิธีจัดสภาพแวดล้อมของห้องเรียนให้เหมาะสมแก้วัยและขั้น พัฒนาการของนักเรียน เพื่อจูงใจให้นักเรียนมีความสนใจและมีความที่ อยากจะเรียนรู้ 5.ช่วยให้ครูทราบถึงตัวแปรต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของนักเรียน เช่นแรงจูงใจอัตมโนทัศ และการตั้งความคาดหวังของครูที่มีต่อนักเรียน

ทฤษฎีของนักจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับ82 การนำไปใช้พั ฒนาทางการศึกษา ทฤษฎีการพัฒนาการ ประกอบด้วย ทฤษฎีของ เพียเจท์ บรูนเนอร์ กีเซล ทฤษฎีพัฒนาการของเพียเจท์ ได้อธิบายว่าการ พัฒนาการสตปัญญาและความคิดของผู้เรียนนั้น เกิดจากการปรับตัวกับสิ่งแวดล้อม และผู้สอน ควรจะต้องจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนการ สอนให้สอดคล้องกับความพร้อมของผู้เรียนด้วย ทฤษฎีพัฒนาการของบรูเนอร์ ได้อธิบายการ ความพร้อมของเด็กสามารถจะปรับได้ซึ่ง สามารถจะเสนอเนื้อหาใดๆ แก่เด็กในอายุเท่าใด ก็ได้แต่จะต้องรู้จักการตัดเนื้อหาและวิธีการสอน ที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กเหล่านั้น ทฤษฎีพัฒนาการของกีเซล ได้อธิบายว่า พฤติกรรมของ บุคคลจะขึ้นอยู่กับพัฒนาการ ซึ่งจะเป็นไปตามธรรมชาติ และเมื่อถึงวัยก็จะสามารถกระทําพฤติกรรมต่างๆได้เอง ไม่จําเป็นต้องฝึกหรือเร่งเมื่อยังไม่พร้อมในการจัดการ เรียนการสอน ผู้สอนจะต้องคำนึงความพร้อม ความ สามารถ ความสนใจ และความตองการของผู้เรียน

83 บทที่ 9 จิตวิทยาแนะแนวและ การให้คำปรึกษา

84 ความหมายความสำคัญของการแนะแนว ปัจจุบันการแนะแนวได้เข้ามามีบทบาทในการศึกษามากขึ้น เนื่องจากการ แนะแนวมีจุดมุ่งหมายและหลักการที่สอดคล้องหรือเหมือนกันกับจุดมุ่งหมายของการ ศึกษา คือ การช่วยให้เยาวชนของชาติเป็นผู้ที่คิดเป็นทำเป็นและแก้ปัญหาเป็น โดย เน้นให้ผู้เรียนได้รับการส่งเสริมพัฒนาในทุกๆด้านมุ่งสนองความต้องการและความ สนใจของผู้เรียนการที่วิชาการแนะแนวหรือจิตวิทยาการแนะแนว เข้ามามีบทบาทใน การศึกษามากขึ้น เยาวชนเป็นผู้ที่มีความสำคัญต่อประเทศชาติ และจะเติบโตเป็น ผู้ใหญ่ในอนาคต ซึ่งต้องรับผิดชอบประเทศชาติต่อไป จึงสมควรได้รับการส่งเสริม พัฒนาทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคมและจิตใจ เพื่อช่วยให้เยาวชนเหล่านั้นสามารถปรับตัวอยู่ในสังคมที่มีความก้าวหน้าทาง เทคโนโลยีอยู่ตลอดเวลาได้อย่างมีความสุข และเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติเป็นที่พึง ประสงค์ของประเทศชาติ

ขอบเขตการแนะแนว 85 1.การแนะแนวการศึกษา การแนะแนวการศึกษาจะเริ่มตั้งแต่วันแรกของนักเรียนที่เข้าสู่สถานศึกษา และดำเนินไปจนถึงการสิ้นสุดการเรียน เพื่อไปประกอบอาชีพและการศึกษาต่อ ในระดับสูง ประกอบด้วยกิจกรรม 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ กิจกรรมช่วยเหลือ นักเรียนด้านการเรียน คือการให้ข้อสนเทศทางการเรียนการศึกษาต่อ ประการ ที่สอง คือ การช่วยเหลื่อนักเรียนด้านการปรับตัว 2. การแนะแนวอาชีพ การแนะแนวอาชีพเป็นการให้ความช่วยเหลือนักเรียนเกี่ยวกับการวางแผน และการตัดสินการเข้าใจเกี่ยวกับอาชีพที่เหมาะสมกับความสามารถความถนัด ความสนใจและสภาพร่างกายของตน 3. การแนะแนวส่วนตัวและสังคม การแนะแนวส่วนตัวและสังคมเป็นการช่วยเหลือให้มีชีวิต หรือ ความเป็นอยู่อย่างสมบูรณ์ มีความเจริญทั้งร่างกายและจิตใจ มีความ เข้าใจตนเองมีอารมณ์ที่มั่นคง มีความสามารถที่ปรับตัวให้เข้ากับสังคม ร่วมกันอย่างมีความสุข

ความหมายและความสำคัญ 86 ของการให้คำปรึกษา การให้คำปรึกษา คือ การสนทนาอย่างมีจุดมุ่งหมายของบุคคล สองคน ซึ่งมีความสัมพันธ์กันเชิงจิตวิทยาเฉพาะส่วนบุคคล โดย บุคคลหนึ่งเป็นผู้ให้บริการ ซึ่งต้องมีความรู้ความสามารถเฉพาะ ทางตลอดจนสามารถนำเทคนิคต่างๆในการให้คำปรึกษาไปใช้ เพื่อใช้ความช่วยเหลือแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีปัญหาให้เขา สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆในปัจจุบันได้อย่างฉลาดเหมาะสมและ มีทักษะในการแก้ปัญหาอื่นๆในอนาคตได้ด้วยตนเอง มีทักษะ และความสามารถในการตัดสินใจหรือแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง อย่างมีประสิทธิภาพ

คุณสมบัติของผู้ให้คำปรึกษา 87 1. ด้านความรู้ความสามารถ เนื่องจากการให้คำปรึกษา แนะนำ มีขอบข่ายกว้างขวาง ผู้ให้คำ ปรึกษาจำเป็นต้องรู้หลักการและเทคนิคในการให้คำปรึกษา ระเบียบ ข้อบังคับ ขั้นตอนการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากร 2. ดม้นาุษนยม์ นุษยสัมพันธ์ ตามแนวความคิดของมนุษยสัมพันธ์ เน้นในเรื่องความสำคัญของคน ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใคร และเห็นว่าการเข้าใจคนจะช่วยให้การบริหารงาน สำเร็จไปกว่าครึ่งหนึ่ง ดังนั้น ผู้ให้คำปรึกษาจะต้องมีมนุษยสัมพันธ์ เพราะเป็นงานที่ต้องติดต่อกับคน 3. ด้านจริยธรรม ผู้ให้คำปรึกษาแนะนำต้องรับรู้ปัญหาต่างๆของบุคคลอื่นเป็นจำนวนมาก ซึ่ง ในการปฏิบัติงานผู้ให้คำปรึกษาแนะนำจำเป็นต้องรักษาความลับของผู้ขอ คำปรึกษา และการให้คำปรึกษาก็ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักวิชาการไม่ นำเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวข้อง

จรรยาบรรณของผู้ให้คำปรึกษา 88 1. ต้องเคารพ และรักษาสวัสดิภาพของผู้ขอรับคำปรึกษาในทุกสถานการณ์ ไม่กระทำการใดๆที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ขอรับคำปรึกษา 2. ต้องรักษาข้อมูลส่วนตัวหรือรายละเอียดทุกชนิดที่ได้จาก การสัมภาษณ์ให้คำปรึกษาไว้เป็นความลับ 3. ต้องเคารพในสิทธิและยอมรับในความสามารถของผู้ขอรับคำปรึกษา ในการเลือกและตัดสินใจเรื่องต่างๆของตนเอง 4. ต้องช่วยให้ผู้ขอรับคำปรึกษาพัฒนาไปได้เต็มศักยภาพ ไม่สร้าง สัมพันธภาพที่ทำให้ผู้ขอรับคำปรึกษารู้สึกว่าต้องพึ่งพิงผู้ให้คำปรึกษาอยู่ ตลอดเวลาไม่สามารถรับผิดชอบตัวเองได้

89 เทคนิคและทฤษฎีการให้คำปรึกษา 1. การให้คำปรึกษาตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่าผู้รับคำปรึกษา ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตน 2. การให้คำปรึกษาตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่าผู้ให้คำปรึกษาต้องได้รับ การฝึกฝนเพื่อความชำนาญงานมาก่อน 3. การให้คำปรึกษาเป็นการช่วยให้ผู้รับคำปรึกษาสามารถพิจารณา ตนเองได้ดีเช่นเดียวกับความสามารถในการพิจารณาสิ่งแวดล้อมของ ตน จนเกิดการตัดสินใจได้ในที่สุด 4. การให้คำปรึกษา ยึดหลักความแตกต่างระหว่างบุคคล

ข้อพึ งตระหนักสำหรับการให้คำปรึกษาสำหรับคร9ู0 1. ให้ความสำคัญกับภาษาท่าทางของนักเรียนให้มาก หากพบว่าคำพูดกับ ท่าทางของนักเรียนขัดแย้งกัน ให้เชื่อภาษาท่าทางและสะท้อนกลับให้นักเรียน รับรู้ เพื่อให้นักเรียนเข้าใจตัวเองมากขึ้น เช่น “เธอบอกว่าเธอเสียใจกับเรื่องนี้ มาก แต่ขณะที่เธอพูดว่าเสียใจ ครูเห็นเธอยิ้ม จริงๆ แล้วเธอรู้สึกอย่างไร” 2. หลีกเลี่ยงการถามข้อมูลที่ละเอียดอ่อน หรือเจาะจงเกินไป เพราะ อาจทำให้นักเรียนอึดอัดใจ และไม่ให้ความร่วมมือในการปรึกษาได้ 3. หลีกเลี่ยงการแนะนำให้นักเรียนปฏิบัติตามความเห็นของครู เพราะนักเรียน อาจเคยปฏิบัติในสิ่งที่ครูแนะนำมาแล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จ หรืออาจเป็น คำแนะนำที่นักเรียนไม่ต้องการ 4. หลีกเลี่ยงการเกิดอารมณ์ร่วมและการเห็นชอบกับพฤติกรรมของนักเรียนที่ จะเป็นการเสริมแรงให้นักเรียนคิดและทำพฤติกรรมเหมือนเดิมทำให้นักเรียน ไม่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น 5. ไม่ควรรีบด่วนที่จะสรุปและแก้ปัญหา โดยที่นักเรียนไม่มีโอกาสได้ สำรวจปัญหา และสาเหตุมากพอ

91 ตัวอย่างทฤษฎีการ ให้คำปรึกษา

ทฤษฎีการให้การปรึกษาเชิง 92 บำบัดแนวเกสตัลท์ ทฤษฎีการให้การปรึกษาเชิงบำบัดแนวเกสตัลท์ เป็นการบำบัดทาง ประสบการณ์ ซึ่งส่วนใหญ่เน้นที่การมีสติหรือการตระหนักรู้ ถึงความ รู้สึกของตนเองที่เกิดขึ้นในขณะนั้น และการทำงานของกายกับใจที่ ควบคู่กันไป กล่าวคือเป็นการทำงานของความคิด ความรู้สึก และการ รับรู้ ที่รวมกันเป็นกระแสธาร ลักษณะของจิตบำบัดแนวเกสตัลท์จึง เป็นแบบ Holistic Approach ซึ่ง Perls เชื่อว่าจะทำให้เกิดบูรณา การได้มากกว่าที่จะแยกออกมาวิเคราะห์เป็นบางส่วน มีคำกล่าวเกี่ยวกับแนวความคิดของเกสตัลท์ว่า “จงอยู่กับปัจจุบัน อย่าอยู่กับอดีต และ อย่าเลื่อยลอยไปกับอนาคต”

จุดมุ่งหมายของการให้การปรึกษาแบบเกสตัลท9์3 1. ให้ผู้รับการปรึกษาเปลี่ยนพฤติกรรมจากการพึ่งพาผู้อื่น มาสู่การ พึ่งพาตนเอง รับผิดชอบต่อตนเองพัฒนาไปสู่การมีวุฒิภาวะ 2. ให้ผู้รับการปรึกษามีประสบการณ์เกี่ยวกับการเรียนรู้เกี่ยว กับตนเอง สามารถใช้ศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ 3. ช่วยให้ผู้รับการปรึกษาได้ใช้พลังงานของชีวิตอยู่กับปัจจุบัน รู้จักปล่อยวางอดีต โดยการทำความรู้สึกที่คั่งค้างให้สมบูรณ์ และ ไม่วิตกเกี่ยวกับอนาคต 4. ช่วยให้ผู้รับการปรึกษากล้าเป็นตัวของตัวเองที่แตกต่างไปจาก บุคคลอื่น เข้าใจในค่านิยมและกฎเกณฑ์ของสังคม

94 บทที่ 10 การศึกษารายกรณี (CASE STUDY)

95 ความหมายของการศึกษารายกรณี การศึกษารายกรณี หมายถึง การศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลอย่างลึกซึ้ง และวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ทำให้บุคคลมีพฤติกรรมเช่นนั้น หรือมีพฤติกรรมแปลก ไปว่ามีสาเหตุมาจากอะไร รวมทั้งแปลความหมายของพฤติกรรมนั้นๆ ว่ามี ความสัมพันธ์กับปัญหาและการปรับตัวของบุคคลนั้นอย่างไร (ลักขณา สริ วัฒน์,2543) ซึ่งสอดคล้องกับกมลรัตน์ หล้าสุวงษ์(2541) ที่กล่าวไว้ว่า การ ศึกษาบุคคลเป็นรายกรณีคือการศึกษารายละเอียดต่างๆที่สำคัญของหน่วยหนึ่ง ในสังคม เช่น บุคคลกลุ่ม ชุมชน สถาบัน ฯลฯ โดยเฉพาะในปัจจุบันมักเน้น ศึกษารายละเอียดของแต่ละบุคคล การศึกษารายละเอียดนี้จะต้องศึกษาต่อเนื่อง กันไปในระยะเวลาหนึ่งแล้วนำรายละเอียดที่ได้มาวิเคราะห์ ตีความ เพื่อให้ เข้าใจถึงสาเหตุของพฤติกรรม ซึ่งอาจเป็นพฤติกรรมที่เป็นปัญหาหรือไม่เป็น ปัญหาก็ได้ ได้แก่ พัฒนาการด้านต่าง ๆ ความสามารถพิเศษด้านใดด้านหนึ่ง หรือหลายๆด้าน

จุดมุ่งหมายของการศึกษารายกรณี96 1. เพื่อสืบค้นหาสาเหตุที่ทำให้นักเรียนมีพฤติกรรมผิดปกติ ซึ่งทางโรงเรียน จะได้ให้ความช่วยเหลือและแก้ไขได้อย่างถูกต้อง 2. เพื่อสืบค้นรูปแบบ (Pattern) ของพัฒนาการของนักเรียนทั้งทางด้าน ร่างกาย สติปัญญา อารมณ์สังคม และจิตใจ ซึ่งทางโรงเรียนจะได้ให้การส่ง เสริมพัฒนาได้อย่างเหมาะสม 3. เพื่อช่วยให้นักเรียนเกิดความเข้าใจตนเอง ยอมรับความจริงเกี่ยวกับ ตนเอง สามารถพัฒนาตนเองสามารถวางแผนชีวิต สามารถตัดสินใจเลือก แนวทางศึกษาต่อและเลือกอาชีพที่สามารถดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่าง มีความสุขและมีประสิทธิภาพ 4. เพื่อช่วยให้ผู้ปกครองเข้าใจเด็กของตนได้ดีขึ้น และให้ความร่วมมือกับ ทางโรงเรียนในการแก้ปัญหาของบุตรหลานของตน 5. เพื่อช่วยให้ขณะครูได้เข้าใจนักเรียนอย่างละเอียดลึกซึ้งถูกต้อง และนำ ผลของการศึกษารายกรณีไปใช้ในการปรับปรุงการเรียนการสอน การจัด กิจกรรม และการให้บริการต่างๆแก่นักเรียนได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับ ความต้องการของนักเรียน

97 ประโยชน์ของการศึกษารายกรณี 1. ประโยชน์ทางตรง คือประโยชน์ที่เกิดขึ้นแก่ผู้ศึกษาเอง ซึ่งแบ่งออกได้หลาย ประการคือ ทำให้ผู้ศึกษาได้เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลมากขึ้น เข้าใจสาเหตุของปัญหาได้กว้างขวาง ขณะเดียวกันก็ทำให้เป็นคนที่รู้จักใช้ เหตุผลในการพิจารณาสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นเป็นระบบระเบียบ 2. ประโยชน์ทางอ้อม คือประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับผู้ได้รับการศึกษา คือทำให้ผู้ ศึกษาเข้าใจพฤติกรรมของผู้รับการศึกษา ซึ่งสามารถให้การช่วยเหลือได้ถ้ก ต้องทันต่อเหตุการณ์และในขณะเดียวกัน ผู้รับการศึกษาก็จะเข้าใจตนเอง มากขึ้นและรู้จักวิธิีปฎิบัติตนเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาหรือส่งเสริมให้มีการ พัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น

ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษารายกรณี98 ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษารายกรณีนั้นไม่สามารถก าหนดให้เป็นที่ แน่นอนได้ว่าจะใช้เวลาเท่าใดอาจจะใช้เวลา 1 ภาคเรียน 1 ปี หรือ 3 ปี ก็ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความยากของ “รายกรณี” (Case) ที่ทำการ ศึกษา อย่างไรก็ตามแต่ละรายควรใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไป ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้ครูหรือผู้แนะแนวมีเวลาศึกษา รวบรวมข้อมูลได้อย่างกว้าง ขวางครอบคลุมเรื่องต่าง ๆ ที่ควร การเลือกนักเรียนเพื่ อทำการศึกษารายกรณี 1. นักเรียนที่ประสบผลสำเร็จในด้านการเรียนดีเยี่ยม 2. นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษบางอย่าง เช่น ศิลปะ ดนตรี ฯลฯ 3. นักเรียนที่มีปัญหามาก 4. นักเรียนที่มีความทะเยอทะยานมีกำลังใจเข้มแข็งที่จะเอาชนะอุปสรรค 5. นักเรียนที่เรียนอ่อนไม่สมารถที่จะทำงานในระดับที่เรียนอยู่ได้ 6. นักเรียนที่มีพฤติกรรมดีเด่นสมควรเอาเป็นตัวอย่าง 7. นักเรียนที่มีพฤติกรรมปกติธรรมดาทั่วๆไป

ปัญหาของนักเรียนที่ควรได้รับการศึกษารายกรณี ปัญหาต่างๆที่เกิด99 ขึ้นกับเด็กนักเรียนย่อมส่งผลให้มีนักเรียนมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ มีการ ปรับตัวที่ไม่เหมาะสม สมควรที่ครูและผู้แนะแนวจะได้สนใจเอาใจใส่ เพื่อจะได้ค้นหาสาเหตุและวินิจฉัยได้ถูกต้อง ปัญหาของนักเรียนพอจะจำแนกได้ดังนี้ 1. ปัญหาด้านการศึกษา 2. ปัญหาด้านอาชีพ 3. ปัญหาด้านร่างกายและบุคลิกภาพ 4. ปัญหาด้านบุคลิกภาพ 5. ปัญหาด้านเศรษฐกิจ

กระบวนการศึกษานักเรียนเป็นรายกรณ1ี00 ขั้นที่ 1 การเลือกนักเรียนเพื่อศึกษารายกรณี ขั้นที่ 2 การรวบรวมข้อมูลของนักเรียน ขั้นที่ 3 การวิเคราะห์ข้อมูล ขั้นที่ 4 การวินิจฉัย ขั้นที่ 5 การสังเคราะห์ข้อมูล ขั้นที่ 6 ให้ความช่วยเหลือ ขั้นที่ 7 การติดตามผล


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook