101 จากน้นั ไดป้ รารภถึงมารดาของท่านวา่ มารดาของเราเป็นมารดาของพระอรหนั ต์ ๗ องค์ แต่ กไ็ ม่มีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัยเลย อุปนิสยั แห่งมรรคและผลจะพงึ มีแก่มารดาของเราหรือไม่ หนอ กไ็ ดท้ ราบวา่ มารดาเป็นผมู้ ีอปุ นิสยั แห่งพระโสดาบนั จึงดาริที่จะไปนิพพานท่ีเรือนของมารดา พระสารีบุตรไดพ้ าภิกษุ ๕๐๐ รูป กราบบงั คมทูลลาพระพทุ ธองคว์ า่ “ขา้ แต่พระองคผ์ เู้ จริญ บดั น้ีชีวิตของขา้ พระองคเ์ หลือเพียง ๗ วนั เท่าน้นั ขา้ พระองคข์ อถวายบงั คมลาเพอ่ื นิพพาน” พระพทุ ธเจา้ ตรัสถามวา่ “ สารีบุตร เธอจกั นิพพานท่ีไหน ” ท่านกราบทลู วา่ “ ขา้ พระองคจ์ กั ไป นิพพานที่เรือนแห่งมารดาของขา้ พระองค์ พระเจา้ ขา้ ” พระสารีบุตรอาพาธ พระพทุ ธองคร์ ับสง่ั ใหท้ ่านแสดงธรรม พระเถระไดเ้ หาะข้ึนไปในอากาศแสดงธรรมแก่ ภิกษุท้งั มวล จากน้นั จึงลงจากอากาศกราบถวายบงั คมลาพระพทุ ธองคแ์ ลว้ ออกเดินทางไปยงั นาลนั ทาซ่ึงเป็นบา้ นเกิดของท่าน คร้ันถึงแลว้ มารดาของท่านทราบข่าวสง่ั ใหจ้ ดั แจงท่ีพกั แก่พระเถระและ ภิกษุบริวาร แลว้ ใชใ้ หอ้ ุปเรวตะผเู้ ป็นหลานชายนิมนตพ์ ระเถระเขา้ มาในบา้ น พวกภิกษุพกั ภายนอก ส่วนพระเถระพกั อยทู่ ่ีหอ้ งเดิมที่ท่านเกิด ในเวลาค่าพระเถระเจบ็ ป่ วยดว้ ยโรคาพาธอยา่ งแรงจนอาเจียนเป็นเลือด มารดาเห็นดงั น้นั เกิดกระวนกระวายใจนงั่ เฝ้ าดูพระเถระที่หนา้ ประตูหอ้ ง เทวดาและท้าวมหาพรหมมาเยยี่ ม ตอนดึกเทวดาและทา้ วมหาพรหมไดพ้ ากนั มาเยย่ี มพระเถระ มารดาของท่านเกิดความสงสยั จึงสอบถามพระเถระ ท่านกล่าววา่ ทา้ วมหาพรหมองคน์ ้ีเป็นผทู้ ี่นาตาข่ายมารองรับพระมหาบรุ ุษ และถวายการบารุงรักษาตลอดเวลา และในวนั ท่ีพระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ลงจากเทวโลกกไ็ ดก้ ้นั ฉตั รถวาย เหมือนกนั มารดาของท่านเม่ือไดฟ้ ังดงั น้นั กเ็ กิดอศั จรรยป์ ล้ืมปี ติเบิกบานในใจคิดวา่ บุตรของเรายงั มี อานุภาพมากเพียงน้ี พระพทุ ธเจา้ ซ่ึงเป็นพระบรมครูของบุตรเราจะมีอานุภาพที่ยงิ่ ใหญก่ วา่ น้ีเป็นแน่ จากน้นั พระเถระไดแ้ สดงธรรมพรรณนาพระรัตนตรัย คือ พระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์ จบ แลว้ มารดาของท่านไดบ้ รรลุธรรมเป็นพระโสดาบนั แลว้ เชิญออกไปขา้ งนอก
102 พระสารีบุตรนิพพาน ขณะน้นั พระสารีบุตรไดถ้ ามพระจุนทะวา่ ขณะน้ีเวลาเท่าไรแลว้ คร้ันทราบวา่ ใกลร้ ุ่งอรุณจึง สงั่ ใหพ้ วกภิกษุประชุมกนั กล่าววา่ “ ดูก่อนท่านผู้อาวุโส ท่านท้งั หลายได้ตดิ ตามเรามาถงึ ๔๔ พรรษาแล้ว กรรมใดทไ่ี ม่ชอบใจท่านท้งั หลายจะพงึ มี ท่านท้งั หลายจงอดโทษแก่เราด้วยเถดิ ” พวกภิกษุกลา่ วตอบวา่ “ข้าแต่พระเถระ ตลอดเวลาทพ่ี วกข้าพเจ้าตดิ ตามท่านมาไม่มกี รรม อนั ใดของท่านทไ่ี ม่ชอบใจแก่ข้าพเจ้าท้งั หลาย หากข้าพเจ้าท้งั หลายมคี วามประมาทสิ่งใดสิ่งหนึ่งใน ท่านแล้ว ขอให้ท่านกรุณาอดโทษให้แก่ข้าพเจ้าท้งั หลายด้วยเถิด” คร้ันเวลาอรุณรุ่งในวนั เพญ็ เดือน ๑๒ พระเถระกไ็ ดน้ ิพพาน จากน้นั พระจุนทะผเู้ ป็น นอ้ งชายไดท้ าพธิ ีฌาปนกิจถวายเพลิงสรีระของพระเถระ ทาการห่ออฐั ินาไปถวายพระพทุ ธเจา้ พระพทุ ธเจา้ ตรัสใหส้ ร้างพระเจดียบ์ รรลพุ ระอฐั ิธาตุที่ซุม้ ประตวู ดั พระเชตวนั เมืองสาวตั ถี พระมหาโมคคลั ลานะถูกโจรทุบ ส่วนพระมหาโมคคลั ลานะซ่ึงเป็นพระเถระผมู้ ีบทบาทท่ีสาคญั องคห์ น่ึง โดยเป็นพระอคั ร สาวกเบ้ืองซา้ ยและมีฤทธ์ิมาก ก่อนท่ีจะนิพพาน คร้ังหน่ึงท่านไดข้ ้ึนไปเที่ยวสวรรคแ์ ลว้ ลงไปเมือง นรก ไดน้ าข่าวสาส์นบอกแก่พวกญาติในเมืองมนุษย์ ทาใหม้ ีผหู้ นั มานบั ถือพระพทุ ธศาสนาเป็น จานวนมาก พวกเดียรถรี ์เห็นวา่ พระเถระเป็นกาลงั สาคญั ในการประกาศพระศาสนา จึงคิดกาจดั เสีย โดยจา้ งใหพ้ วกโจรฆ่า แตพ่ ระเถระกแ็ สดงฤทธ์ิหลบหนีไดถ้ ึง ๒ คร้ัง ในคร้ังที่ ๓ ท่านไดพ้ จิ ารณากรรมเก่าท่ีทาไวต้ ้งั แตอ่ ดีตชาติกลา่ วคือ ไดเ้ คยฆ่าบิดามารดา ของท่านเอง เห็นวา่ สมควรชดใชห้ น้ีกรรมจึงไม่หลบหนีไป ปล่อยใหโ้ จรทบุ ตีจนกระดูกหกั แตก ละเอียดทิ้งไวท้ ี่แห่งหน่ึง พระมหาโมคคลั ลานะนิพพาน พระมหาโมคคลั ลานเถระแมว้ า่ ท่านจุถกู ทุบตีจนร่างแหลกละเอยี ดเช่นน้นั ยงั ไม่นิพพาน ไดป้ ระสานร่างกายใหเ้ หมือนเดิมดว้ ยกาลงั แห่งฌาน แลว้ เหาะไปกราบถวายบงั คมทลู ลา พระพทุ ธเจา้ พระพทุ ธองคต์ รัสถามวา่ “โมคคลั ลานะ เธอจกั นิพพานท่ีไหน” พระเถระกราบทูลวา่ “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จะนพิ พาน ณ เมอื งกาฬศิลาในวนั นพี้ ระเจ้าข้า” จากน้นั รับสง่ั ใหพ้ ระเถระแสดงธรรมใหฟ้ ัง พระเถระจึงเหาะข้ึนไปในอากาศแสดงธรรม ถวายแด่พระพทุ ธเจา้ แลว้ ลงกราบถวายบงั คมทูลลา และนิพพานในวนั แรม ๑๕ ค่า เดือน ๑๒ หลงั จากพระสารีบุตรนิพพานได้ ๑๕ วนั
103 พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ พร้อมดว้ ยพระภิกษุสงฆท์ าพิธีฌาปนกิจสรีระของท่าน ขณะน้นั ดอกไม้ ทิพยไ์ ดต้ กลงมาบูชาประมาณหน่ึงโยชน์โดยรอบ ฝ่ ายมหาชนไดป้ ระชุมสกั การะอฐั ิธาตุ ๗ วนั แลว้ พระพทุ ธองคโ์ ปรดใหส้ ร้างพระเจดียบ์ รรจุอฐั ิที่ซุม้ ประตวู ดั พระเชตวนั เมืองสาวตั ถี ทรงปรารภชราธรรม ในขณะท่ีพระพทุ ธเจา้ ประทบั บนพทุ ธอาสนใ์ นวดั พระเชตวนั พระอานนทถ์ วายอภิวาท กราบทลู ถามถึงพระอาการประชวร พระพทุ ธองคต์ รัสตอบวา่ “อานนท์ ภกิ ษสุ งฆ์จะหวงั ได้ อะไรในตถาคตอกี เล่า ธรรมทตี่ ถาคตแสดงแล้วท้งั หมดกแ็ สดงอย่างเปิ ดเผยไม่ได้ปกปิ ดซ่อนเร้น ไว้เพอื่ แสดงแก่ใครอกี ความอาลยั ในหมู่ภกิ ษุกไ็ ม่มี บดั นตี้ ถาคตผ่านมามากมวี ยั ๘๐ ปี แล้ว ร่างกาย ของตถาคตปรากฏประหนง่ึ เกวยี นชารุดทซ่ี ่อมแซมไว้ด้วยไม้ไผ่พอใช้งานได้เท่าน้ัน ตถาคตอาศัย สมาธภิ าวนาเข้าคา้ ชูไว้จงึ มคี วามผาสุก พอเป็ นไปได้ พวกเธอจงมตี นและธรรมเป็ นทพ่ี ง่ึ ในทุก อริ ิยาบถเถดิ ” เสด็จเมอื งเวสาลี คร้ันรุ่งเชา้ พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ เขา้ ไปบิณฑบาตในเมืองสาวตั ถีพร้อมดว้ ยพระสาวกทรงทาภตั กิจเสร็จแลว้ เสดจ็ ไปเมืองเวสาลี ประทบั อยทู่ ่ีกฏู าคารศาลาในป่ ามหาวนั คราวน้นั กษตั ริยล์ ิจฉวี ทราบข่าวพาบริวารไปถวายสกั การะแลว้ ไดส้ ดบั พระธรรมเทศนาและอาราธนาพระพทุ ธองคร์ ับ บิณฑบาตในวนั รุ่งข้ึน พระพทุ ธองคท์ รงทาภตั กิจแลว้ เสดจ็ ออกจากเมืองเวสาลี ไดเ้ สดจ็ กลบั กฏู า คารศาลาตามเดิม เจริญอทิ ธิบาท ๔ เม่ือเสดจ็ ถึงรับสง่ั ใหพ้ ระอานนทเถระนาผา้ นิสีทนะตามเสดจ็ ไปยงั ปาวาลเจดีย์ คร้ันประทบั นงั่ แลว้ ตรัสวา่ “อานนท์ เมอื งเวสาลนี ีเ้ ป็ นสถานทรี่ ่ืนรมย์ทุกตาบล ถ้าบุคคลใดได้เจริญอทิ ธบิ าท ๔ ประการแล้วมคี วามปรารถนาจะดารงอายุอยู่กปั หนง่ึ หรือมากกว่าน้นั บุคคลน้ันกส็ ามารถดารงอายุ อยู่ต่อไปได้ดงั ปรารถนา” พระพทุ ธองคต์ รัสนิมิตโอภาสเสร็จแลว้ พระอานนทม์ ิไดก้ ราบทลู ใหด้ ารงพระชนมอ์ ยู่ ตลอดกปั เพราะถกู มารดลใจ แมท้ รงทานิมิตโอภาสถึง ๓ คร้ัง พระอานนทก์ น็ ่ิงเฉยอยเู่ ช่นเดิม พระ พทุ ธองคจ์ ึงรับสง่ั ใหพ้ ระอานนทไ์ ปจากที่น้นั
104 ทรงปลงอายสุ ังขาร หลงั จากพระอานนทห์ ลีกไปแลว้ พระยาวสั สวดีมารไดโ้ อกาสจึงเขา้ เฝ้ าพระพทุ ธองคก์ ราบ ทูลใหป้ รินิพพาน พระพทุ ธองคต์ รัสวา่ “ดูก่อนพญามาร ท่านจงขวนขวายน้อยเถดิ อย่าทุกข์ใจไป เลย ไม่ช้าแล้วตถาคตจกั ปรินิพพานกาหนดกาลแต่นไี้ ปอกี ๓ เดอื นเท่าน้นั ” พญามารสดบั พทุ ธดารัสเช่นน้นั กลบั มีจิตโสมนสั ยนิ ดีแลว้ อนั ตรธานไป การท่ีพระองค์ ทรงตดั สินพระทยั วา่ จะปรินิพพานเช่นน้ีเรียกวา่ ปลงอายุสังขาร และในวนั น้นั เป็นวนั มาฆปุรณมี เพญ็ เดือน ๓ เกิดเหตุมหศั จรรยค์ ือแผน่ ดินไหวไปทวั่ ปฐพี เหตุแห่งแผ่นดนิ ไหว พระอานนทเ์ ขา้ ไปกราบทูลถาม พระพทุ ธองคต์ รัสตอบวา่ “อานนท์ แผน่ ดินไหวดว้ ยเหตุ ๘ ประการ คือ ๑.ลมกาเริบ ๒.ท่านผมู้ ีฤทธ์ิบนั ดาล ๓.พระโพธิสตั วจ์ ุติจากดุสิตเทวโลกลงสู่พระครรภ์ ๔.พระโพธิสตั วป์ ระสูติ ๕.พระตถาคตตรัสรู้พระอนุตตรสมั มาสมั โพธิญาณ ๖.พระตถาคตทรงแสดงธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร ๗.พระตถาคตปลงอายสุ งั ขาร ๘.พระตถาคตปรินิพพานดว้ ยอนุปาทิเสสนิพพาน เม่ือไดฟ้ ังพระดารัสจบแลว้ พระอานนทไ์ ดส้ ติกราบทลู อาราธนาใหพ้ ระพทุ ธองคด์ ารงพระ ชนมช์ ีพอยตู่ ่อไป แต่พระองคก์ ลบั ตรัสวา่ “เราได้ทานิมติ โอภาสให้อาราธนาถงึ ๓ คร้ังและเธอก็ ไม่อาราธนา การทพี่ ระตถาคตรับคาอาราธนาของพญามารแล้ว จะให้กลบั คาเสียไม่สมควรเลย ทเี ดยี ว นิมติ โอภาส ๑๖ ตาบล เพื่อใหพ้ ระอานนทอ์ าราธนาพระ พระพทุ ธองคต์ รัสบอกสถานท่ีพระองคท์ านิมิตโอภาส ตถาคตใหด้ ารงอยตู่ ลอดกปั นบั ได้ ๑๖ ตาบล คือ ๑. ภเู ขาคิชฌกฏู ๒. โคตมนิโครธ
105 ๓. เหวที่ทิ้งโจร ๔. ถ้าสตั ตบรรณคูหาขา้ งภูเขาเวภารบรรพต ๕. ถ้ากาฬศิลาขา้ งภูเขาอิสิคิลิบรรพต ๖. ท่ีสปั ปิ โสณฑิกา ณ สีตวนั ๗. ตโปทาราม ๘. เวฬุวนั ๙. ชีวกมั พวนั ๑๐. มทั ทกจุ ฉิมิคทายวนั (๑๐ คร้ังนอี้ ยู่ทเี่ มอื งราชคฤห์) ๑๑. อุเทนเจดีย์ ๑๒. โคตมเจดีย์ ๑๓. สตั ตมั พเจดีย์ ๑๔. พหุปุตตเจดีย์ ๑๕. สารันทเจดีย์ ๑๖. ปาวาลเจดีย์ ( ๖ คร้ังนอี้ ยู่ทเ่ี มอื งเวสาล)ี เสด็จป่ ามหาวนั ประชุมภกิ ษสุ งฆ์ พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ไปยงั กฎู าคารศาลาป่ ามหาวนั เมืองเวสาลี มีดารัสสง่ั ใหพ้ ระอานนทเ์ รียก ประชุมภิกษุสงฆท์ ี่อยใู่ นเมืองเวสาลีท้งั หมด ณ อุปัฏฐานศาลาโรงฉนั พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ไป ประทบั นง่ั บนพทุ ธอาสนแ์ ลว้ ทรงแสดงอภิญญาเทสิตธรรมวา่ “ดูก่อนภิกษุท้งั หลาย ธรรมเหล่า ใดทเ่ี ราแสดงแล้วเพอื่ ความรู้ยง่ิ ธรรมเหล่าน้นั พวกเธอเรียนแล้วพงึ ส้องเสพ พงึ เจริญ พงึ กระทา ให้มาก โดยทพ่ี รหมจรรย์นพี้ งึ ยง่ั ยนื พงึ ดารงอยู่ได้นาน เพอ่ื ประโยชน์เพอ่ื ความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ ธรรมทเ่ี ราแสดงเพอื่ ความรู้ยงิ่ เป็ นไฉน คอื สตปิ ัฏฐาน ๔ สัมมปั ปธาน ๔ อทิ ธิบาท ๔ อนิ ทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมอี งค์ ๘ ( โพธปิ ักขยิ ธรรม ๓๗ ) ธรรมเหล่านี้ เราแสดงแล้วเพอื่ ความรู้ยงิ่ แก่พวกเธอ” ความไม่ประมาท ต่อจากน้นั ทรงแสดงธรรมวา่ “ดูก่อนภกิ ษุท้งั หลาย บัดนเี้ ราขอเตอื นพวกเธอว่า สังขาร ท้งั หลาย มคี วามเส่ือมไปเป็ นธรรมดา ขอท่านท้งั หลายจงยงั ความไม่ประมาทให้ถงึ พร้อมเถดิ ไม่ช้า ตถาคตจกั ปรินิพพาน จากนลี้ ่วงไปสามเดอื นตถาคตจกั ปรินพิ พาน”
106 รุ่งเชา้ พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ไปบิณฑบาตในเมืองเวสาลี เสดจ็ กลบั จากบิณฑบาตทอดพระเนตร เมืองเวสาลีเป็นนาคาวโลก แลว้ ตรัสกบั พระอานนทว์ า่ “อานนท์ การเห็นเมอื งเวสาลขี องตถาคต คร้ังนี้ เป็ นการเห็นคร้ังสุดท้าย มาเถิดอานนท์ เราจกั ไปบ้านภัณฑุคาม” เสด็จบ้านภณั ฑุคาม ลาดบั น้นั พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ถึงบา้ นภณั ฑุคามแลว้ เสดจ็ ประทบั อยทู่ ่ีบา้ นน้นั ทรงแสดง อริยธรรม คือ ธรรมอนั ประเสริฐ ๔ ประการวา่ “ดูก่อนภิกษทุ ้งั หลาย เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอด ธรรม ๔ คอื ศีล สมาธิ ปัญญา และวมิ ตุ ติ อนั เป็ นอริยะเราและพวกเธอจงึ เร่ร่อนท่องเทยี่ วไปในภพ สิ้นกาลนาน ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย เราได้รู้แจ้งแทงตลอด ศีล สมาธิ ปัญญา และวมิ ตุ ติ อนั เป็ นอริยะ แล้ว ภวตณั หาเราถอนเสียแล้ว ตณั หาอนั จะนาไปสู่ภพสิ้นแล้ว บัดนภี้ พใหม่ไม่มแี ล้ว” สิกขาท้งั ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นปฏิปทาแห่งวมิ ตุ ติ เป็นแก่นแห่งพระธรรมวินยั สาวกจะบรรลวุ มิ ุตติได้ กด็ ว้ ยทาใหบ้ ริบูรณ์ในไตรสิกขา เสดจ็ โภคนคร ต่อจากน้นั พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ไปบา้ นหตั ถีคาม อมั พคามและชมั พคุ าม ไปตามลาดบั จนถึง โภคนคร เสดจ็ ประทบั อยู่ ณ อานนั ทเจดยี ์ ทรงแสดงธรรม คอื ไตรสิกขาได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา และทรงแสดงมหาประเทศ ๔ ประการ เพื่อเป็นเคร่ืองวินิจฉยั พระธรรมวนิ ยั วา่ “ถ้ามพี ระภิกษมุ า อ้างพระศาสดา อ้างสงฆ์ อ้างคณะ อ้างบุคคล แล้วแสดงว่านีเ้ ป็ นธรรมเป็ นวนิ ยั เป็ นคาสอนของ พระศาสดา อย่าพงึ คดั ค้านหรือเชื่อตาม พงึ เรียนเอาคาพดู เหล่าน้นั จาให้ได้แล้ว พงึ สอบสวนใน พระสูตร เทยี บเคยี งในพระวนิ ยั ถ้าไม่ตรงกบั ในพระสูตรและพระวนิ ยั ไม่ควรเช่ือถือ ถ้าตรงกนั ไม่ผดิ ไม่คลาดเคลอื่ น พงึ สันนษิ ฐานว่านเี้ ป็ นพระดารัสของพระศาสดา ควรเชื่อถือได้” น้ีเป็น เน้ือความยอ่ ของมหาประเทศ ๔ ฝ่ ายพระสูตร เสด็จปาวานครโปรดนายจุนทะ ต่อจากน้นั พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ไปถึงเมืองปาวา เมืองหลวงอีกแห่งหน่ึงของแควน้ มลั ละ ประทบั อยทู่ ี่อมั พวนั สวนมะม่วงของนายจุนทะกมั มารบุตร (ผเู้ ป็นบุตรของนายช่างทอง) นายจุน ทะมาเขา้ เฝ้ ากราบทลู อาราธนาพระองคก์ บั พระภิกษุสงฆใ์ หไ้ ปฉนั ท่ีบา้ นในวนั รุ่งข้ึน เวลาเช้าขนึ้ ๑๕ คา่ เดอื น ๖ พระองค์เสดจ็ ไปบ้านนายจุนทะพร้อมท้งั ภิกษสุ งฆ์ นายจุนทะ น้อมถวายสุกรมทั ทวะ พระองคต์ รัสใหน้ ายจุนทะถวายสุกรมทั ทวะเฉพาะพระองค์ ส่วนภิกษุ
107 สงฆใ์ หถ้ วายโภชนะชนิดอืน่ เพราะวา่ บุคคลอื่นนอกจากพระพทุ ธองคแ์ ลว้ ไมส่ ามารถยอ่ ยอาหาร ชนิดน้ีได้ แลว้ ตรัสสงั่ ใหน้ าสุกรมทั ทวะไปฝังเสีย ต่อมาพระองคท์ รงอาพาธแลว้ ทรงประชวนลงพระโลหิต เกิดเวทนากลา้ พระองคม์ ีพระ สติสมั ปชญั ญะไม่ทรงทุรนทุราย ทรงอดกล้นั เวทนาน้นั ดว้ ยอธิวาสนขนั ติ โปรดปกุ กสุ ะบุตรช่างทอง ต่อจากน้นั พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ต่อไปยงั กรุงกสุ ินารา แควน้ มลั ละ ระหวา่ งทางทรงลาบากพระ วรกาย ทรงแวะพกั ใตต้ น้ ไมใ้ หพ้ ระอานนทป์ ผู า้ สงั ฆาฏิ ๔ ช้นั ถวายแลว้ ตรัสสง่ั ใหพ้ ระอานนทต์ กั น้ามาถวาย พระอานนทก์ ราบทูลวา่ น้าข่นุ เกวียน ๕๐๐ เล่มเพิ่งผา่ นไป กราบทลู ใหเ้ สดจ็ ต่อไปยงั แม่น้ากธุ านที มีน้าใสสะอาด พระองคต์ รัสถึง ๓ คร้ัง พระอานนทจ์ ึงไปตกั น้ามาถวายดว้ ยพทุ ธานุ ภาพน้ากลบั ใสสะอาดไม่ข่นุ มวั น่าอศั จรรย์ ณ ที่น้นั ปกุ กสุ ะ โอรสมลั ลกษตั ริย์ ซ่ึงเป็นศิษยข์ องอาฬารดาบส กาลามโคตร เดินทางไปยงั กรุงกสุ ินารา เขา้ ไปเฝ้ าพระพทุ ธองคท์ รงแสดงสันตวิ หิ ารธรรม เกิดศรัทธาเล่ือมใส น้อมถวายผ้า สิงควิ รรณ เนอื้ เกลยี้ งมสี ีดงั ทอง ๑ คู่ พระองคต์ รัสแนะใหถ้ วายพระองคผ์ นื หน่ึง ถวายพระอานนท์ ผนื หน่ึง ทรงแสดงธรรมใหป้ ุกกสุ ะร่ืนเริงในกศุ ลธรรมตามสมควร ปุกกสุ ะถวายอภิวาทแลว้ หลีก ไป ผวิ กายพระตถาคตผ่องใสยงิ่ ๒ กาล เม่ือปุกกสุ ะหลีกไปแลว้ พระอานนทถ์ วายผา้ สิงคิวรรณของตนแต่พระพทุ ธองค์ ทรงนุ่งผนื หน่ึงขณะน้นั พระกายของพระองคบ์ ริสุทธ์ิผดุ ผอ่ งยง่ิ นกั พระอานนทก์ ราบทูลวา่ “พระฉววี รรณ ของพระตถาคตบริสุทธ์ิผดุ ผ่องยงิ่ นกั เป็ นอศั จรรย์” พระพทุ ธองคต์ รัสวา่ ดูก่อนอานนท์ ในกาล ท้งั ๒ กายของตถาคตย่อมบริสุทธ์ิ ฉววี รรณผดุ ผ่องยงิ่ นกั คอื ๑. ในราตรีทต่ี ถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ๒. ในราตรีทต่ี ถาคตปรินพิ พานด้วยอนุปาทเิ สสนิพพาน บิณฑบาตทมี่ อี านิสงส์มาก ๒ คร้ัง ต่อจากน้นั พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ถึงแม่น้ากกุ ธานที เสดจ็ ลงสรงแลว้ ข้ึน เสดจ็ ไปประทบั ณ อมั พวนั พระจุนทเถรปลู าดสงั ฆาฏิ ๔ ช้นั ถวาย พระองคส์ าเร็จสีหไสยาสนโ์ ดยขา้ งเบ้ืองขวา ต้งั พระบาทใหเ้ หล่ือมกนั มีสติสมั ปชญั ญะ ทรงมนสิการอุฏฐานสญั ญา ความสาคญั ในพระทยั ที่จะ
108 ลกุ ข้ึน แลว้ ตรัสกบั พระอานนทว์ า่ ใครๆอยา่ ทาความเดือดร้อนใหน้ ายจุนทะเลยวา่ เสวยภตั ตาหาร ของนายจุนทะแลว้ ปรินิพพาน เพราะปิ ณฑบาตที่มีผลมากอานิสงส์มากมีผลเสมอกนั มี ๒ คร้ังคือ ๑. บณิ ฑบาตทเ่ี สวยแล้วได้ตรัสรู้ (นางสุชาดาถวาย) ๒. บณิ ฑบาตทเ่ี สวยแล้วปรินิพพาน (นายจุนทะถวาย) บรรทมอนุฏฐานไสยาสน์ ต่อจากน้นั พระพทุ ธองคก์ บั พระสงฆไ์ ดเ้ สดจ็ ขา้ มแม่น้าหิรัญญวดี ไปถึงสวนช่ือสาลวนั ใน เขตกรุงกสุ ินารา ของพวกมลั ลกษตั ริย์ ทรงตรัสสงั่ พระอานนทว์ า่ \"ดูก่อนอานนท์ เธอจงช่วยต้งั เตียงใหเ้ รา หนั ศีรษะไปทางทิศอุดร ระหวา่ งไมส้ าละท้งั คู่ เราเหนื่อยนกั จกั นอนระงบั ความ ลาบาก\" พระอานนทท์ าตามพทุ ธดารัสแลว้ พระองค์บรรทมสีหไสยาสน์ ตะแคงขวา มี สตสิ ัมปชัญญะ เหนือแท่นปรินิพพานระหว่างไม้สาละท้งั คู่ เป็นการบรรทมคร้ังสุดทา้ ย โดยไมค่ ิด จะลกุ ข้ึนอีก เรียกวา่ อนุฏฐานไสยาสน์ ทรงปรารภสักการะบูชา สมยั น้นั ไมส้ าละท้งั คู่ เผลด็ ดอกบานสะพรั่งนอกฤดูกาล ดอกมณฑาทิพย์ แมจ้ ุณแห่ง จนั ทร์อนั เป็นทิพย์ ตกลงมาจากอากาศโปรยปรายยงั พระสรีระขอพระพทุ ธองค์ แมด้ นตรีอนั เป็น ทิพย์ และสงั คีตอนั เป็นทิพย์ ยอ่ มดงั ไปในอากาศ เพื่อบชู าพระตถาคต พระพทุ ธองคต์ รัสวา่ ดูก่อน อานนท์ “เราไม่สรรเสริญการบูชาด้วยอามสิ เห็นปานนีว้ ่าเป็ นการดี ภิกษุ ภกิ ษณุ ี อบุ าสก อบุ าสิกา ผู้ใดแลเป็ นผู้ปฏบิ ตั ธิ รรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบตั ชิ อบยง่ิ เราสรรเสริญว่าเป็ นการดี ช่ือว่าบูชาเรา ด้วยการบูชาอย่างยงิ่ \" พระอปุ วาณเถระ สมยั น้นั พระพทุ ธองคท์ รงขบั ไล่พระอปุ วาณะ ผยู้ นื ถวายงานพดั อยเู่ ฉพาะพระพกั ตร์ใหห้ ลีก ไปเสีย พระอานนทเ์ ห็นวา่ พระอปุ วานะอปุ ัฏฐากพระพทุ ธองคม์ านาน ทาไมพระองคจ์ ึงขบั ออกไป ทลู ถามขอ้ สงสยั ของตน พระองคต์ รัสวา่ \"ดกู ่อน อานนท์ เทวดาท้งั หลายในหมื่นโลกธาตุ มา ประชุมกนั ในสาลวโนทยานโดยชอบ ๑๒ โยชน์ ที่วา่ งเท่ากบั จรดปลายขนทรายกไ็ ม่มี เตม็ แน่นไป ดว้ ยเทวดาผมู้ ีศกั ด์ิใหญม่ าเพ่อื เห็นพระตถาคต แต่พระอุปวานะยนื บงั เสีย เราจึงขบั ออกไป\"
109 พระอานนทท์ ลู ถามวา่ \"เทวดารู้สึกอยา่ งไร\" พระพทุ ธองคต์ รัสวา่ \"เทวดาบางพวกท่ีเป็น ปุถุชนคร่าครวญลม้ เกลือกกลิ้งไปมา ส่วนเทวดาที่เป็นพระอริยะ มีสติสมั ปชญั ญะ อดกล้นั โดย ธรรมสงั เวชวา่ \"สงั ขารท้งั หลายไม่เท่ียง ไม่เป็นไปตามปรารถนา\" สังเวชนียสถาน ๔ ตาบล คร้ังน้นั พระอานนทท์ ลู ถามวา่ ในกาลก่อนพระภิกษุเมื่อออกพรรษาแลว้ ยอ่ มมาเขา้ เฝ้ าพระ ตถาคต เม่ือพระองคล์ ่วงไปพระภิกษุจกั ทาอยา่ งไร พระองคจ์ ึงตรัสตอบวา่ \"สถานท่ี ๔ ตาบล เป็น ท่ีควรดคู วรเห็น ควรใหเ้ กิดสงั เวชแก่กลุ บุตรผมู้ ีศรัทธา คือ ๑. สถานทป่ี ระสูติ (ลมุ พนิ วี นั ) ๒. สถานทต่ี รัสรู้ (อลุ เุ วลาเสนานิคม) ปัจจบุ ันเรียกว่า พทุ ธคยา ๓. สถานทท่ี รงแสดงปฐมเทศนา (ป่ าอสิ ิปตนมฤคทายวนั ) ๔. สถานทปี่ รินิพพาน (สาลวโนทยาน) “ดูก่อน อานนท์ ชนเหลา่ ใดเที่ยวไปในสถานที่ ๔ ตาบลดว้ ยจิตศรัทธาเลื่อมใส ชนเหลา่ น้นั เบ้ืองหนา้ แต่ตายเพราะกายแตก จกั เขา้ ถึงสุคติโลกสวรรค”์ วธิ ีปฏบิ ตั ิต่อสตรี ลาดบั น้นั พระอานนทท์ ลู ถามวา่ \"จะปฏิบตั ิต่อสตรีท้งั หลายอยา่ งไร\" พระพทุ ธองคต์ รัสให้ ปฏิบตั ิต่อสตรี ๓ อยา่ ง คือ ๑. อยา่ ดู อยา่ เห็น เป็นการดี ๒. ถา้ จาเป็นตอ้ งดู ตอ้ งเห็น อยา่ พดู ดว้ ยเป็นการดี ๓. ถา้ จาเป็นตอ้ งพดู ควรพดู คาเป็นธรรม พึงต้งั สติใหด้ ี วธิ ปี ฏบิ ัตติ ่อพระพทุ ธสรีระ พระอานนทท์ ูลถามวา่ \"พวกขา้ พระองคจ์ ะปฏิบตั ิในพระสรีระของพระตถาคตอยา่ งไร\" พระพทุ ธองคต์ รัสวา่ \"ดกู ่อนอานนท์ พวกภิกษุอยา่ ขวนขวายเพอื่ บูชาสรีระของพระตถาคตเจา้ เลย พวกเธอจงตามประกอบในประโยชน์ตน ไมป่ ระมาทในประโยชนต์ น มีตนส่งไปแลว้ เถิด บาเพญ็ เพยี รมุ่งต่อท่ีสุดพรหมจรรยอ์ ยทู่ ุกอิริยาบถเถิด อานนท์ กษตั ริย์ พราหมณ์ คฤหบดี ผมู้ ีจิตศรัทธาใน พระตถาคตมีอยู่ เขาเหล่าน้นั จกั ทาการบูชาพระสรีระของตถาคตเอง\" พระอานนทท์ ลู ถามวา่ \"เขาเหลา่ น้นั จะถึงปฏิบตั ิต่อพระสรีระของพระตถาคตเจา้ อยา่ งไร\"
110 พระพทุ ธองคต์ รัสวา่ \"พึงปฏิบตั ิเช่นเดียวกบั สรีระของพระเจา้ จกั รพรรดิราช คือห่อดว้ ยผา้ ใหม่แลว้ ซบั ดว้ ยสาลี สลบั กนั โดยอบุ ายน้ี ๕๐๐ คู่ แลว้ เชิญลงในรางเหลก็ เตม็ ดว้ ยน้ามนั มีฝาเหลก็ ครอบ ทา จิตกาธารดว้ ยไมห้ อม ถวายพระเพลิงเสร็จแลว้ เก็บพระอฐั ิธาตุบรรจุไวใ้ นสถปู ท่ีถนนใหญ่ ๔ แพร่ง ถูปารหบุคคล ๔ จาพวก ดกู ่อนอานนท์ ถปู ารหบุคคล (คือบคุ คลที่ควรสร้างสถปู หรือเจดียไ์ วเ้ คารพ สกั การะ) ๔ จาพวกคือ ๑. พระอรหันตสัมมาสัมพทุ ธเจ้า ๒. พระปัจเจกพทุ ธเจ้า ๓. พระอรหันตสาวก ๔. พระเจ้าจกั รพรรดริ าช “ชนท้งั หลายยงั จิตใหเ้ ลื่อมใสในพระสถปู น้นั แลว้ เบ้ืองหนา้ แต่ตายเพราะกายแตก ยอ่ ม เขา้ ถึงสุคติโลกสวรรค”์ ประทานโอวาทแก่พระอานนท์ พระอานนทเ์ ขา้ ไปสู่วหิ ารเหน่ียวสลกั เพชรยนื ร้องไห้ ดว้ ยคิดวา่ เรายงั เป็นเสขบุคคลมีกิจที่ ตอ้ งทาอยู่ แต่พระพทุ ธองคผ์ อู้ นุเคราะห์เรา จกั ปรินิพพานเสียแลว้ พระพทุ ธองคท์ รงทราบตรัสเรียกใหเ้ ขา้ เฝ้ า แลว้ ตรัสวา่ \"อยา่ เลย อานนท์ เธออยา่ เศร้าโศกร่า ไรไปเลย การพลดั พรากจากของอนั เป็นที่รัก ของที่ชอบใจ สิ่งใดเกิดข้ึนแลว้ มีปัจจยั ปรุงแต่งแลว้ มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา สงั ขารไม่เที่ยง อานนท์ เธอไดอ้ ุปัฏฐากพระตถาคต ดว้ ยกายกรรม วจีกรรมและมโนกรรมอนั ประกอบดว้ ยเมตตา เธอไดท้ าบุญไวแ้ ลว้ จงประกอบความเพยี ร เธอจกั เป็นผไู้ ม่มีอาสวะโดยฉบั พลนั \" ตรัสสรรเสริญพระอานนท์ ลาดบั น้นั พระพทุ ธองคต์ รัสเรียกภิกษุท้งั หลายมาตรัสสรรเสริญพระอานนทว์ า่ ภิกษุผู้ อุปัฏฐากพระพทุ ธเจา้ ท่ีมาแลว้ ในอดีตแลว้ ที่จะมีมาในอนาคต อยา่ งยง่ิ เพยี งเท่าพระอานนท์ อานนทเ์ ป็นบณั ฑิตรู้กาลที่ควรจะจดั ให้ พทุ ธบริษทั ท้งั ๔ เขา้ เฝ้ า แลว้ ตรัสแสดงขอ้ อศั จรรย์ ๔ ประการของพระอานนท์ คือ บริษทั ๔ มีภิกษุ ภิกษุณี อบุ าสก อุบาสิกา ตอ้ งการเห็นพระอานนท์๑
111 ยนิ ดีที่ไดเ้ ห็น๑ ยนิ ดีในธรรมท่ีแสดง๑ ไม่อ่ิมในธรรมที่แสดง๑ ธรรมอนั อศั จรรยท์ ้งั ๔ น้ีมีอยใู่ นพระ เจา้ จกั รพรรดิราชเหมือนกนั เมอื งกสุ ินารา พระอานนทก์ ราบทลู วา่ ขา้ แต่พระองคผ์ เู้ จริญ ขอพระผมู้ ีพระภาคเจา้ อยา่ ปรินิพพานในเมือง กสุ ินาราน้ีซ่ึงเป็นเมืองเลก็ เมืองคอน เป็นก่ิงเมืองของพระองคเ์ สดจ็ ไปปรินิพพานในเมืองใหญ่ๆ เช่น กรุงจมั ปา กรุงราชคฤห์ กรุงสาวตั ถี เมืองสาเกต กรุงโกสมั พี กรุงพาราณสี แต่พระองคต์ รัส หา้ มวา่ “อานนท์ เธออยา่ ไดก้ ลา่ วอยา่ งน้นั กรุงกสุ ินาราในอดตี ช่ือว่า กสุ าวดี มีพระเจา้ จกั รพรรดิ ราช พระนามวา่ สุทสั สนะปกครอง เคยเป็นเมืองท่ีมง่ั คงั่ รุ่งเรือง ไม่เงยี บจากเสียงท้งั ๑๐ ท้งั กลางวนั กลางคืนคือ ๑. เสียงช้าง ๒. เสียงม้า ๓. เสียงรถ ๔. เสียงกลอง ๕. เสียงตะโบน ๖. เสียงพณิ ๗. เสียงกงั สดาล ๘. เสียงขบั ร้อง ๙. เสียงสังข์ ๑๐. เสียงชวนกนั บริโภคอาหาร” แจ้งข่าวปรินิพพานแก่มลั ลกษตั ริย์ พระพทุ ธองคต์ รัสใหพ้ ระอานนทไ์ ปแจง้ ข่าวการปรินิพพานแก่พวกมลั ลกษตั ริยว์ า่ “พระ ตถาคตจกั ปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งราตรีวนั น้ี” พวกท่านจะไม่เดือดร้อนในภายหลงั วา่ “พระ ตถาคตมาปรินิพพานในคามเขตของพวกเรา พวกเราไม่ไดเ้ ขา้ เฝ้ าเป็นคร้ังสุดทา้ ย” พระอานนทร์ ับ พทุ ธดารัสแลว้ เขา้ ไปบอกพวกมลั ลกษตั ริยใ์ นกลางท่ีประชุม ณ สณั ฐาคาร พวกกษตั ริยพ์ ร้อมท้งั พระโอรส พระสุนิสา และปชาบดี เสวยทุกขโทมนสั มีประการต่างๆ แลว้ เสดจ็ ไปสาลวนั พระ อานนทจ์ ดั ใหเ้ ขา้ เฝ้ าตามลาดบั สกลุ วงศเ์ สร็จในปฐมยาม ส่วนเบ้ืองตน้ แห่งราตรี โปรดสุภัททปริพาชก สมยั น้นั สุภทั ทะทราบวา่ พระพทุ ธเจา้ จกั ปรินิพพานในยามสุดทา้ ยคืนน้ี รีบเขา้ เฝ้ าทูลถามขอ้ สงสยั ของตน พระอานนทห์ า้ ม ๓ คร้ัง พระพทุ ธองคไ์ ดส้ ดบั คาเจรจาของพระอานนท์ จึงตรัส อนุญาตใหเ้ ขา้ เฝ้ าได้ เขาทลู ถามปัญหาวา่ ครูท้งั ๖ คือ ปรู ณกสั สปะ มกั ขลิโคศาล อชิตเกสกมั พล ปกทุ ธกจั จายนะ สญั ชยั เวลฏั ฐบุตร และนิครนถน์ าฏบุตร อา้ งตวั เองวา่ ไดต้ รัสรู้จริงหรือ พระพทุ ธองคต์ รัสหา้ มแลว้ ทรงแสดงวา่ \"ดูก่อนสุภทั ทะ อริยมรรคมีองค์ ๘ ไม่มีอยใู่ นธรรม วินยั ใด สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ท่ี ๓ ท่ี ๔ ไม่มีในธรรมวนิ ยั น้นั อริยมรรคมีองค์ ๘ มีอยแู่ ต่ในธรรมวนิ ยั ของตถาคตเท่าน้นั ลทั ธิอื่นนอกจากธรรมวินยั ของตถาคตไมม่ ี ดกู ่อนสุภทั ทะ ถา้ พระภิกษุยงั ปฏิบตั ิดีปฏิบตั ิชอบ โลกกไ็ ม่พึงสูญเปล่าจากพระอรหนั ต\"์
112 สุภทั ทะฟังธรรมจบแลว้ แสดงตนเป็นอบุ าสกและขอบรรพชาอุปสมบท พระองคต์ รัสวา่ “ดูก่อนสุภทั ทะ ผู้ทเี่ คยเป็ นอญั ญเดยี รถยี ์มาก่อน ต้องอยู่ปริวาส๔ เดอื นจงึ จะบรรพชาอปุ สมบท ได้\" สุภทั ทะกราบทูลวา่ \"ขา้ พระองคจ์ กั อยปู่ ริวาส ๔ ปี ต่อล่วง ๔ ปี แลว้ ภิกษุท้งั หลายมีจิตยนิ ดีพงึ ใหข้ า้ พระองคบ์ รรพชาอปุ สมบทเพ่ือเป็นภิกษุเถิด\" พระองคต์ รัสใหพ้ ระอานนทน์ าสุภทั ทะไปบรรพชา เม่ือบรรพชาเสร็จแลว้ พระอานนท์ นามาเขา้ เฝ้ าพระองคใ์ หส้ ุภทั ทะอปุ สมบทเป็นภิกษุ พร้อมท้งั ตรัสบอกกมั มฏั ฐาน พระสุภัททะได้ บาเพญ็ เพยี รสาเร็จเป็ นพระอรหันต์ในราตรีน้นั เป็ นปัจฉิมสาวก คอื สาวกองค์สุดท้าย ประทานโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์ ลาดบั น้นั พระพทุ ธองคต์ รัสกบั พระอานนทว์ า่ \"ดกู ่อนอานนท์ บางทีพวกเธอจะถึงมี ความคิดอยา่ งน้ีวา่ ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงไปแลว้ พระศาสดาของพวกเราไม่มี พวกเธอไม่พึง เห็นอยา่ งน้นั ธรรมกด็ ี วนิ ัยกด็ ี อนั ใดอนั เราแสดงแล้ว ได้บัญญตั ไิ ว้แล้วแก่เธอท้งั หลาย ธรรมและ วนิ ยั น้นั จกั เป็ นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา” คารวะโวหาร ในสมยั ก่อนพระภิกษุท้งั ผแู้ ก่กวา่ และออ่ นกวา่ เรียกกนั ดว้ ยคาวา่ \"อาวโุ ส\" เสมอเหมือนกนั หมด เมื่อพระองคล์ ว่ งลบั ไปตรัสใหภ้ ิกษุเรียกกนั โดยคารวะโวหาร ๒ ประการ คือ ๑. ภิกษุผแู้ ก่กวา่ พงึ เรียกภิกษุผอู้ อ่ นกวา่ โดยชื่อ โดยโคตร หรือดว้ ยคาวา่ \"อาวโุ ส\" (ผมู้ ีอาย)ุ ๒. ภิกษุผอู้ อ่ นกวา่ พงึ เรียกภิกษุผแู้ ก่กวา่ วา่ ภนั เต (ท่านผเู้ จริญ) อายสั มา (ผมู้ ีอาย)ุ ตรัสถงึ พระฉันนะ “ดกู ่อนอานนท์ ถา้ สงฆป์ รารถนาถอนสิกขาบทเลก็ นอ้ ยเสียบา้ ง จงถอนเถดิ โดยกาลลว่ งไป แห่งเรา” “ดูก่อนอานนท์ สงฆ์พงึ ลงพรหมทณั ฑ์แก่ฉันนะภกิ ษุ คอื ฉันนะปรารถนา เจรจาคาใด พงึ เจรจาคาน้ัน ภิกษุไม่พงึ ว่า ไม่พงึ โอวาท ไม่พงึ ส่ังสอน” เปิ ดโอกาสให้ซักถามความสงสัย ลาดบั น้นั พระพทุ ธองคต์ รัสกะภิกษุท้งั หลายวา่ \"ดกู ่อนภิกษุท้งั หลาย ความสงสยั ความ เคลือบแคลงในพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ มรรคหรือในขอ้ ปฏิบตั ิจะพงึ มีแมแ้ ก่ภิกษุหน่ึง พวก
113 เธอจงถามเถิด อยา่ ไดม้ ีความเดือดร้อนใจในภายหลงั วา่ พระศาสดาอยเู่ ฉพาะหนา้ เราแลว้ เรายงั มิ อาจทลู ถาม เม่ือพระผมู้ ีพระภาคเจา้ ตรัสอยา่ งน้ีแลว้ ภิกษุท้งั หลายพากนั น่ิงเสียท้งั ๓ คร้ัง พระ อานนทก์ ราบทูลแสดงความอศั จรรย์ พระองคต์ รัสวา่ \"อานนทค์ วามสงสยั จะไม่มีแมแ้ ก่ภิกษุรูป หน่ึง ในภิกษุท้งั ๕๐๐ รูป อยา่ งต่าท่ีสุดกเ็ ป็นพระโสดาบนั ไม่มีอนั ตกต่าเป็นธรรมดา เป็นผเู้ ที่ยง ท่ีจะตรัสรู้ในภายหนา้ \" พระปัจฉิมโอวาท ลาดบั น้นั พระพทุ ธองคต์ รัสกบั ภิกษุท้งั หลายวา่ \"ดูก่อนภกิ ษทุ ้งั หลาย บัดนี้ เราขอเตอื นเธอ ท้งั หลายว่า สังขารท้งั หลายมคี วามเสื่อมไปเป็ นธรรมดา พวกเธอจงยงั ความไม่ประมาทให้ถึง พร้อมเถดิ \" น้ีเป็นพระปัจฉิมวาจาของพระศาสดา ปรินิพพาน ต่อจากน้นั พระพทุ ธองคม์ ิไดต้ รัสอีกเลย ทรงเขา้ อนุปุพพวิหารสมาบตั ิท้งั ๙ โดยอนุโลมคือ เขา้ ฌานตามลาดบั ปฏิโลมคือเขา้ ฌานทวนลาดบั ขณะน้นั พระอานนท์ถามพระอนุรุทธะวา่ พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ปรินิพพานแลว้ หรือ พระอนุ รุทธะตอบวา่ พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ยงั ไมป่ รินิพพาน ทรงเขา้ สมาบตั ิถอยหลงั กลบั ไปจนถึงปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแลว้ เขา้ สมาบตั ิไปตามลาดบั อีกจนถึง จตุตถฌาน เมื่อออกจากจตุตถฌานแลว้ ทรง ดบั ขนั ธปรินิพพาน ณ ปัจฉิมยามแห่งราตรีวิสาขบชู านนั่ แล กล่าวสังเวคคาถา พร้อมกบั การปรินิพพานของพระพทุ ธองค์ ไดเ้ กิดแผน่ ดินไหวคร้ังใหญ่ เกิดความขนพอง สยองเกลา้ น่าสะพงึ กลวั ท้งั กลองทิพยก์ บ็ นั ลือข้ึน ขณะน้นั มีเทวดาและมนุษยก์ ลา่ วสงั เวคคาถา ดงั ต่อไปน้ี. ท้าวสหัมบดไี ดก้ ลา่ วคาถาวา่ “สัตว์ท้งั หลายท้งั ปวง จกั ต้องทอดทงิ้ ร่างกายไว้ในโลก แต่ พระตถาคตผู้เป็ นศาสดาเช่นน้นั หาบุคคลจะเปรียบเทยี บมไิ ด้ในโลก เป็ นพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า ทรงมพี ระกาลงั ยงั เสดจ็ ปรินพิ พาน” ท้าวสักกเทวราชไดก้ ลา่ วคาถาวา่ “สังขารท้งั หลายไม่เทยี่ งหนอ มคี วามเกดิ ขนึ้ และเส่ือมไป เป็ นธรรมดา ย่อมเกดิ และดบั ไป ความเข้าไปสงบสังขารเหล่าน้นั ได้เป็ นสุข”
114 พระอนุรุทธะไดก้ ลา่ วคาถาวา่ “ลมอสั สาสะปัสสาสะของพระมุนี ผู้มพี ระทยั ต้งั มน่ั คงทไี่ ม่ หวน่ั ไหว ปรารภสันตทิ ากาละมไิ ด้มแี ล้ว พระองค์มพี ระทยั ไม่หดหู่ ทรงอดกล้นั เวทนาได้แล้ว ความพ้นแห่งจติ ได้มแี ล้ว เหมอื นดวงประทปี ดบั ไปฉะน้นั ” พระอานนท์ไดก้ ล่าวคาถาวา่ “เมอ่ื พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า ประกอบด้วยอาการอนั ประเสริฐ ท้งั ปวง ปรินิพพานแล้ว ในคร้ังน้นั ได้เกดิ อศั จรรย์ น่าสะพงึ กลวั และเกดิ ความขนพองสยองเกล้า” แจ้งข่าวปรินิพพาน คร้ังพระพทุ ธองคป์ รินิพพานแลว้ แต่ยงั ไม่สวา่ ง พระอนุรุทธะกบั พระอานนทจ์ ึงแสดงธรรมี กถาเพื่อใหบ้ ริษทั คลายความเสียใจ พอสวา่ งแลว้ พระอนุรุทธะบอกใหพ้ ระอานนทไ์ ปแจง้ ข่าวการ ปรินิพพานแก่พวกมลั ลกษตั ริย์ ซ่ึงกาลงั ประชุมกนั อยู่ ณ สณั ฐาคาร เมื่อพวกมลั ลกษตั ริยท์ ราบข่าว ต่างเสียใจ มีความทุกขเ์ ป็นกาลงั และสงั่ ใหพ้ วกบุรุษประกาศข่าวการปรินิพพานทวั่ ท้งั พระนคร ใหต้ ระเตรียมดอกไมข้ องหอมต่างๆ และเคร่ืองดนตรีทุกชนิด พร้อมผา้ ๕๐๐ คู่ ไปยงั สาลวนั เพอื่ บูชาสกั การะสรีระของพระพทุ ธองค์ พวกมลั ลกษตั ริย์ ทาพทุ ธบูชาดว้ ยสกั การะอนั โอฬารลว่ งไป ๖ วนั วนั ที่ ๗ จึงปรึกษากนั วา่ \"เราจะเชิญพระบรมศพไปทางทิศทกั ษิณแห่งพระนคร ถวายพระ เพลิง ณ ภายนอกพระนครเถิด\" มกฏุ พนั ธนเจดยี ์ คร้ังน้นั มลั ลปาโมกขท์ ้งั ๘ มีกาลงั มาก สรงน้าดาเกลา้ นุ่งผา้ ใหม่พร้อมกนั เขา้ ไปอญั เชิญพระ บรมศพกไ็ ม่อาจใหเ้ คล่ือนจากที่ได้ พวกมลั ลกษตั ริยแ์ ปลกใจถามพระอนุรุทธะ (ผเู้ ลิศทางทิพยจ์ กั ษุ ญาณ) ท่านแสดงเหตุวา่ \" พวกเทวดามีความประสงคจ์ ะเชิญไปทางทิศอดุ รแห่งพระนคร แลว้ เขา้ สู่ พระนครโดยประตทู ิศอดุ ร เชิญไปท่ามกลางพระนคร ออกโดยประตทู ิศบรู พา ถวายพระเพลงิ พระสรีระของพระพทุ ธองค์ ณ มกฎุ พนั ธนเจดยี ์ ทางทศิ บูรพาแห่งพระนคร\" พวกมลั ลกษตั ริยท์ า ตามประสงคข์ องเทวดา จึงเคลื่อนพระบรมศพไปไดด้ ว้ ยดี ขณะน้นั ดอกมณฑารพของทิพย์ เทวดาบนั ดาลใหต้ กลงมาเพื่อเป็นพทุ ธบชู าทวั่ กรุงกสุ ินารา สูงประมาณเข่า เม่ือเคลื่อนพระบรมศพไปที่มกฎุ พนั ธนเจดียเ์ รียบร้อยแลว้ พระอานนทจ์ ึงบอกวธิ ี ปฏิบตั ิต่อพระพทุ ธสรีระ ใหพ้ วกมลั ลกษตั ริยท์ ราบทุกประการเหมือนนยั ที่ไดฟ้ ังมาเฉพาะพระ พกั ตร์ของพระองค์ เสร็จเรียบร้อยแลว้ เชิญพระบรมศพข้ึนบนเชิญจิตตกาธาน เตรียมจะถวายพระ เพลิง
115 ถวายพระเพลงิ ไม่ตดิ คร้ังน้นั มลั ลปาโมกข์ ๔ คน สรงน้าดาเกลา้ นุ่งห่มผา้ ใหม่ นาไฟเขา้ ไปจุดท้งั ๔ ทิศ ไฟไม่ติด พวกมลั ลกษตั ริยจ์ ึงตรัสถามพระอนุรุทธะ ท่านแสดงเหตุวา่ \"พวกเทวดาประสงคจ์ ะใหร้ อพระ มหากสั สปะมาถวายบงั คมพระพทุ ธบาทดว้ ยเศียรเกลา้ ก่อน จึงจะถวายพระเพลิงได\"้ สมยั น้นั พระมหากสั สปะ พร้อมดว้ ยภิกษุ ๕๐๐ รูป เดินทางมาจากปาวานครสู่เมืองกสุ ินารา พกั อยทู่ ่ีร่มไมแ้ ห่งหน่ึง เห็นอาชีวกถือดอกมณฑารพเดินมาจึงถามเขาวา่ \"ท่านไดท้ ราบข่าวพระ ศาสดาของเราบา้ งหรือ\" อาชีวกตอบวา่ \"เราทราบ พระสมณโคดมปรินิพพานได้ ๗ วนั เขา้ วนั น้ี ดอกมณฑารพน้ีเราถือมาจากท่ีน้นั \" พระสุภทั ทะกล่าวจ้วงจาบ ลาดบั น้นั พระภิกษุที่ยงั ไม่สิ้นอาสวะ ร้องไหเ้ กลือกกลิ้งไปมาราพนั ถึงพระพทุ ธองค์ ส่วน ภิกษุท่ีสิ้นอาสวะแลว้ อดกล้นั ดว้ ยธรรมสงั เวช มีภิกษแุ ก่รูปหน่ึงซ่ึงบวชเมื่อแก่ช่ือวา่ สุภทั ทะ หา้ ม วา่ \"อยา่ เลยผมู้ ีอายุ พวกท่านอยา่ เศร้าโศก อยา่ ร่าไรไปเลย เราพน้ ดีแลว้ ดว้ ยวา่ พระสมณะน้นั เบียดเบียนพวกเราอยวู่ า่ สิ่งน้ีควรแก่เธอ ส่ิงน้ีไม่ควรแก่เธอ กบ็ ดั น้ีพวกเราปรารถนาสิ่งใด กจ็ กั กระทาส่ิงน้นั ไม่ปรารถนาสิ่งใด กจ็ กั ไม่กระทาส่ิงน้นั \" พระมหากสั สปะไดฟ้ ังคาพดู เช่นน้นั คิดจะยกเป็นอธิกรณ์ทานิคคหกรรม เห็นวา่ ยงั ไมค่ วร ก่อน จึงพดู ใหภ้ ิกษุคลายความเศร้าโศกเสียใจ พาคณะเดินทางไปยงั เมืองกสุ ินารา เมื่อถึงมกฎุ พนั ธนเจดียแ์ ลว้ ประนมมือกระทาประทกั ษิณรอบจิตกาธาน ๓ รอบ เปิ ดทางส่วนพระบาทถวายบงั คม พระบาทดว้ ยเศียรเกลา้ ภิกษุ ๕๐๐ รูปกท็ าเช่นน้นั เพลงิ ทพิ ย์ลกุ โพลงขนึ้ พอพระมหากสั สปะและภิกษุ ๕๐๐ รูป ถวายบงั คมแลว้ ถอยออกมาเพลิงทิพยก์ ล็ กุ โพลงข้ึน เผาพระสรีระพร้อมท้งั ค่ผู า้ ๕๐๐ ชิ้น และหีบทองบนจิตกาธานจนหมดสิ้น แต่ยงั เหลือสิ่งท่ีเพลิงไม่ ไหม้ ๔ อยา่ งดว้ ยอานุภาพพทุ ธอธิษฐาน ซ่ึงเป็นท่ีน่าอศั จรรยย์ งิ่ ไดแ้ ก่ ๑. ผา้ ที่หุม้ พระบรมศพ (ช้นั ใน ๑ ผนื ช้นั นอก ๑ ผืน) ๒. พระเข้ียวแกว้ ท้งั ๔ ๓. พระรากขวญั (ไหปลาร้า) ท้งั ๒ ๔. พระอุณหิส (กรอบหนา้ ) วนั น้ีเรียกวา่ วนั อฏั ฐมบี ูชา คือวนั ถวายพระเพลิง ตรงกบั วนั แรม ๘ คา่ เดอื น ๖
116 ทูตมาขอพระบรมสารีริกธาตุ พวกมลั ลกษตั ริยน์ าพระบรมสารีริกธาตุไปประดิษฐาน ณ สณั ฐาคาร ภายในเมืองกสุ ินารา มี ทหารยนื ถือธนูรักษาโดยรอบพระนคร เพ่ือป้ องกนั ไม่ใหก้ ษตั ริยอ์ ื่นมาแยง่ ชิง ทาการสกั การะบชู า อยา่ งมากมายตลอด ๗ วนั ขณะน้นั กษตั ริยแ์ ละพราหมณ์ ท้งั ๗ นคร คือ ๑. พระเจา้ อาชาตศตั รู เมืองราชคฤห์ ๒. พระเจา้ ลิจฉวี เมืองเวสาลี ๓. พระเจา้ ศากยะ เมืองกบิลพสั ดุ์ ๔. ถลู ีกษตั ริย์ เมืองอลั ลกปั ปะ ๕. โกลิยกษตั ริย์ เมืองรามคาม ๖. มหาพราหมณ์ เมืองเวฏฐทีปกะ ๗. มลั ลกษตั ริย์ เมืองปาวา ไดท้ ราบข่าววา่ พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ไปปรินิพพานที่เมืองกสุ ินารา จึงส่งทตู ของตนไปขอแบ่ง พระบรมสารีริกธาตุ พร้อมท้งั ยกกองทพั ไปประชิดเมืองกสุ ินารา พวกมลั ลกษตั ริยเ์ ม่ือไดร้ ับสาสน์ แลว้ ตอบไปวา่ \"พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ มาดบั ขนั ธปรินิพพานในเขตของเรา เราจะไม่ใหพ้ ระบรม สารีริกธาตุ\" กษตั ริยท์ ้งั ๗ นครเตรียมบุกเขา้ ไปเพอ่ื แยง่ ชิงพระบรมสารีริกธาตุ โทณพราหมณ์ผู้ห้ามทพั มีพราหมณ์คนหน่ึงชื่อวา่ \"โทณพราหมณ์\" ซึ่งเป็ นอาจารย์สอนไตรเภทเป็ นทเ่ี คารพรักของ คนท้งั ชมพูทวปี เห็นวา่ จะเกิดสงครามใหญ่แยง่ ชิงพระบรมสารีริกธาตุ จึงกล่าวสุนทรพจน์วา่ \"คณานิกรเจ้าผู้เจริญ เชิญฟังวาจาของข้าพระองค์ พระพทุ ธเจ้าของเราท้งั หลายเป็ นขนั ติ วาที การรบกนั เพราะเหตแุ ห่งพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์น้ันไม่งามเลยข้าแต่กษตั ริย์ผู้เจริญ ท้งั เจ้านครเดมิ และต่างราชธานีจงช่ืนชมสามคั คกี นั แบ่งปันพระบรมสารีริกธาตอุ อกเป็ น ๘ ส่วน ให้เสมอกนั ทกุ พระนครเถิด ขอพระสถูปบรรจพุ ระบรมสารีริกธาตุ จงแพร่หลายทวั่ ทุกทศิ สถิต สถาพรเพอ่ื นกิ รสัตว์สิ้นกาลนานเถิด\" กษตั ริยแ์ ละพราหมณ์ท้งั ๘ นครไดส้ ดบั มธุรสุภาษิต เห็นชอบในสามคั คีธรรม จึงมอบให้ โทณพราหมณ์เป็นผแู้ บ่งพระบรมสารีริกธาตุ
117 แบ่งพระบรมสารีริกธาตุ โทณพราหมณ์พอไดโ้ อกาสหยบิ เอาพระเข้ียวแกว้ ขา้ งขวา ซ่อนไวใ้ นมวยผม แลว้ จดั การ ตวงพระบรมสารีริกธาตุดว้ ยทะนานทองแบ่งใหก้ ษตั ริย์ ๘ เมือง ๆ ละ ๒ ทะนาน รวมเป็น ๑๖ ทะนาน ขณะน้นั ทา้ วสกั กะทรงทราบวา่ โทณพราหมณ์ไดซ้ ่อนพระเข้ียวแกว้ ที่มวยผม ทรงดาริวา่ พระเข้ียวแกว้ เป็นของสูงส่ง โทณพราหมณ์ ไม่สามารถบชู าใหส้ มเกียรติยศได้ ควรนาไป ประดิษฐานในเทวโลกเพ่ือเป็นท่ีสกั การบูชาของเทวดาและพรหมท้งั มวลจะดีกวา่ แลว้ ไดแ้ ฝงกาย หยบิ เอาพระเข้ียวแกว้ อญั เชิญไปบรรจุในพระจุฬามณีเจดียช์ ้นั ดาวดึงส์ ส่วนโทณพราหมณ์เม่ืองแบง่ พระบรมสารีริกธาตแุ ลว้ คน้ หาพระเข้ียวแกว้ แลว้ ไม่พบก็ เสียใจ จะสอบถามกก็ ลวั เสียเกียรติของตน จึงขอทะนานทองไปบรรจุไวใ้ นเจดีย์ เรียกวา่ \"ตุมพ เจดีย\"์ ส่วนโมริยกษตั ริย์เมอื งปิ ปผลวิ นั ทราบข่าววา่ พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพานท่ีเมืองกุ สินารา ส่งทตู มาขอพระธาตุ พวกมลั ลกษตั ริยต์ รัสบอกวา่ \"พระธาตุไดแ้ จกไปหมดแลว้ ท่าน ท้งั หลายจงอญั เชิญพระองั คาร (ข้ีเถา้ ) ไปสร้างสถปู ทาสกั การะบูชาเถิด\" เรียกวา่ องั คารเจดยี ์ เจดีย์ ๔ ประเภท กษตั ริย์ และ พราหมณ์ ท้งั ๘ นครเมื่อไดร้ ับพระบรมสารีริกธาตุไปแลว้ ไดส้ ร้างเจดียบ์ รรจุ เพื่อเป็นท่ีสกั การะบชู า ๑. ธาตเุ จดยี ์ คือ เจดียท์ ี่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ๒. บริโภคเจดยี ์ คือเจดียท์ ่ีบรรจุเครื่องบริขาร เช่น บาตร จีวร เตียง ตง่ั กฏุ ิ วิหาร เป็นตน้ ๓. ธรรมเจดยี ์ คือเจดียท์ ี่บรรจุพระพทุ ธพจน์ ท่ีจารึกลงในใบลาน แผน่ ทอง แผน่ ศิลาเป็น ตน้ ๔. อทุ เทสิกเจดยี ์ คือเจดียท์ ่ีบรรจุพระปฏิมาพระพทุ ธรูปท่ีสร้างดว้ ย เงิน ทอง อิฐปนู ต่างๆ สาเหตุทพ่ี ระพทุ ธองค์เสดจ็ ดับขนั ธปรินิพพานทเ่ี มอื งกสุ ินารา ๑. เพื่อโปรดสุภทั ทะปริพาชก สาวกองคส์ ุดทา้ ย ๒. เพ่อื ไม่ใหเ้ กิดสงครามแยง่ ชิงพระบรมสารีริกธาตุแก่นครต่างๆ ๓. เพอื่ ใหพ้ ระบรมสารีริกธาตุแพร่หลายไปยงั เมืองต่างๆ เมื่อมีคนสกั การะบชู าดว้ ยความ ศรัทธาเล่ือมใส ละโลกไปแลว้ จะมีสุคติโลกสวรรคเ์ ป็นท่ีไป
118 อนั ตรธาน อนั ตรธาน หมายถึง ความเสื่อมสิ้นไปแห่งพระศาสนา ๕ ประการ บรรดาอนั ตรธานท้งั ๕ น้นั ปริยตั ิเส่ือมไปเป็นอนั ดบั แรก ต่อมาปฏิปัตติเส่ือมสิ้นไป เม่ือไม่เลา่ เรียน (ปริยตั ิ) และไม่นามา ประพฤติปฏิบตั ิ (ปฏิบตั ิ) ปฏิเวธกเ็ ส่ือมสิ้นไป คือ การบรรลมุ รรคผลไม่มี ต่อจากน้นั สมณเพศ ไม่มี หาผคู้ รองไตรจีวรมิได้ เพศสมณะสูญสิ้นไป และสุดทา้ ยธาตุอนั ตรธานความเสื่อมสิ้นไป แห่งพระบรมสารีริกธาตุอนั ตรธานสูญไปจากโลก เป็นการสิ้นสุดแห่งพระพทุ ธศาสนาในท่ีสุด อนั ตรธาน ๕ ประการ ไดแ้ ก่ ๑.ปริยตั ิอนั ตรธาน ความเสื่อมไปแห่งปริยตั ิ ๒.ปฏิปัตติอนั ตรธาน ความเส่ือมไปแห่งการปฏิบตั ิ ๓.ปฏิเวธอนั ตรธาน ความเสื่อมไปแห่งการบรรลมุ รรคผล ๔.ลิงคอนั ตรธาน ความเส่ือมไปแห่งสมณเพศ ๕.ธาตุอนั ตรธาน ความเส่ือมไปแห่งพระบรมธาตุ ความเป็ นมาของการสังคายนา หลงั จากพระราชพธิ ีถวายพระเพลิงพระสรีระของพระพทุ ธเจา้ เสร็จสิ้นแลว้ พระมหากสั ส ปะพร้อมดว้ ยเหล่าพระภิกษุสาวกของพระพทุ ธองค์ ไดป้ รึกษาเกี่ยวกบั ความเป็นไปของพระศาสนา ในอนาคตเมื่อพระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพานแลว้ ขณะน้นั ในที่ประชุมไดย้ กคากลา่ วจว้ งจาบพระธรรมวินยั ที่สุภทั ทวฒุ ฑบรรพชิต (ผบู้ วช เม่ือแก่) ข้ึนปรึกษากนั แลว้ ลงมติกนั วา่ จกั ทาการสงั คายนาเพอ่ื ร้อยกรองรักษาพระธรรมวนิ ยั ให้ ปรากฏสืบทอดแด่อนุชนตอ่ ไป โดยมอบใหพ้ ระมหากสั สปะเป็นประธานในการทาสงั คายนา ปัญหาและเฉลยปริเฉทท่ี ๑๓ ๑.พระสาวกรูปใด สนบั สนุนการบวชภิกษุณีคร้ังแรก ? ก.พระสารีบุตร ข.พระมหากสั สปะ ค.พระอบุ าลี ง.พระอานนท์ ๒.พระนางปชาบดี แสดงความต้งั ใจในการขอบวชอยา่ งไร ? ก.อดพระกระยาหาร ข.กล้นั ลมหายใจ ค.ตดั พระเมาลี ง.ยอมสิ้นพระชนม์ ๓.ภิกษุณีค่ใู ด เป็นอคั รสาวกิ าซา้ ย-ขวาของพระพทุ ธเจา้ ? ก.อบุ ลวรรณาเถรี-รูปนนั ทาเถรี ข.เขมาเถรี-อบุ ลวรรณาเถรี
119 ค.เขมาเถรี-ปฏาจาราเถรี ง.ธมั มทินนาเถรี-รูปนนั ทาเถรี ๔.พระเถรีรูปใด ที่ไดร้ ับยกยอ่ งวา่ เป็นผเู้ ลิศทางวนิ ยั ? ก.พระภทั ทากจั จานาเถรี ข.พระปชาบดีโคตมีเถรี ค.พระปฏาจาราเถรี ง.พระรูปนนั ทาเถรี ๕.พระนางปชาบดี บวชเป็นภิกษุณีดว้ ยวธิ ีใด ? ก.เอหิภิกขอุ ุปสมั ปทา ข.ติสรณคมนูปสมั ปทา ค.รับครุธรรม ๘ ง.ญตั ติจตุตถกรรม ๖.ภิกษุณีรูปแรกในพระพทุ ธศาสนา คือใคร ? ก.พระธรรมทินนาเถรี ข.พระปชาบดีโคตมีเถรี ค.พระเขมาเถรี ง.พระอบุ ลวณั ณาเถรี ๗.บิณฑบาตท่ีตรัสวา่ มีอานิสงส์มาก มีกี่คร้ัง ? ก.๒ คร้ัง ข.๓.คร้ัง ค.๔ คร้ัง ง.๕ คร้ัง ๘.พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงปัจฉิมโอวาทที่ไหน ? ก.อมั พวนั ข.สาลวโนทยาน ค.ป่ าอิสิปตนมฤคทายวนั ง.ลฏั ฐิวนั ๙.สงั เวชนียสถานท้งั ๔ แห่ง จดั เป็นเจดียป์ ระเภทใด ? ก.ธาตุเจดีย์ ข.บริโภคเจดีย์ ค.ธรรมเจดีย์ ง.อทุ เทสิกเจดีย์ ๑๐.โทณพราหมณ์แบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็นก่ีส่วน ? ก.๕ ส่วน ข.๖ ส่วน ค.๗ ส่วน ง.๘ ส่วน ๑๑.ขอ้ ใด ช่ือวา่ อริยธรรม ? ก.ทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรค ข.ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ ค.ศีล สมาธิ ปัญญา ง.สจั จะ ทมะ ขนั ติ ๑๒.พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงอภิญญาเทสิตธรรมที่ไหน ? ก.กฏู าคารศาลา ข.โภคนคร ค.อานนั ทเจดีย์ ง.ภณั ฑุคาม ๑๓.ใครเป็นผถู้ วายผา้ สิงคิวรรณ ? ก.ตปุสสะ ข.ปุกกสุ ะ
120 ค.ภลั ลิกะ ง.จุนทะ ๑๔.พระสุภทั ทพทุ ธปัจฉิมสาวกอปุ สมบทดว้ ยวิธีใด ? ก.เอหิภิกขอุ ปุ สมั ปทา ข.โอวาทปฏิคคหณูปสมั ปทา ค.ติสรณคมนูปสมั ปทา ง.ญตั ติจตุตกรรมอปุ สมั ปทา ๑๕.พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ทรงปลงอายสุ งั ขารในพรรษาท่ีเท่าไร ? ก.พรรษาที่ ๒๕ ข.พรรษาที่ ๓๔ ค.พรรษาที่ ๔๔ ง.พรรษาท่ี ๔๕ ๑๖.พระอานนทไ์ ม่ไดส้ ติเพอ่ื ทลู อาราธนาใหพ้ ระพทุ ธเจา้ ดารงอยอู่ ีกกปั หน่ึงหรือเกินกวา่ น้นั เพราะ สาเหตุใด ? ก.เพราะถกู มารดลใจ ข.เพราะถกู ขบั ไล่ ค.เพราะยงั ทาใจไม่ได้ ง.เพราะเป็นปุถชุ น ๑๗.สถานท่ีใด อยใู่ นจานวนที่ต้งั ของสงั เวชนียสถาน ๔ ตาบล ? ก.ลฏั ฐิวนั ข.ลมุ พนิ ีวนั ค.เชตวนั ง.ป่ ามหาวนั ๑๘.พระโอวาทท้งั ปวงที่ทรงประทานแลว้ ตลอดพระชนมช์ ีพ ประมวลลงเป็นหน่ึงเดียว คืออะไร ? ก.ความไม่ประมาท ข.ทางสายกลาง ค.ดวงตาเห็นธรรม ง.ความกตญั ญู ๑๙.เมื่อพระศาสดาเสดจ็ ปรินิพพานแลว้ เกิดความมหศั จรรยอ์ ะไร ? ก.เกิดลมพายุ ข.ฝนสีแดงตก ค.แผน่ ดินไหว ง.ฟ้ าปิ ดมืดมิด ๒๐.บุคคลในขอ้ ใด ควรบรรจุอฐั ิธาตุไวใ้ นสถปู เพือ่ สกั การบชู า ? ก.พระพทุ ธเจา้ ข.พระอรหนั ตสาวก ค.พระเจา้ จกั รพรรดิ ง.ถกู ทุกขอ้ ๒๑.ธรรมขอ้ ใดที่พระพทุ ธเจา้ แสดงวา่ เม่ือบคุ คลเจริญเตม็ ที่แลว้ จะต่ออายไุ ด้ ? ก.อริยสจั ๔ ข.จตุปาริสุทธิศีล ๔ ค.อิทธิบาท ๔ ง.สมั มปั ปทาน ๔ ๒๒.อภิญญาเทสิตธรรม คือขอ้ ใด ? ก.โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ข.มรรคมีองค์ ๘ ค.โพชฌงค์ ๗ ง.อริยสจั ๔
121 ๒๓.พระพทุ ธองคท์ รงแสดงมหาปเทส ๔ ที่ไหน ? ก.โภคนคร ข.อานนั ทเจดีย์ ค.กฏู าคารศาลา ง.ภณั ฑุคาม ๒๔.พระศาสดาเสดจ็ ปรินิพพานที่เมืองไหน ? ก.เมืองราชคฤห์ ข.เมืองกสุ ินารา ค.เมืองสาวตั ถี ง.เมืองพาราณสี ๒๕.ตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ จดั เป็นเจดียป์ ระเภทใด ? ก.ธาตุเจดีย์ ข.บริโภคเจดีย์ ค.ธรรมเจดีย์ ง.อทุ เทสิกเจดีย์ ๒๖.พระพทุ ธเจา้ ทรงจาพรรษานานท่ีสุด ณ เมืองใด ? ก.พาราณสี ข.เวสาลี ค.สาวตั ถี ง.กสุ ินารา ๒๗.ดอกไมช้ นิดใด เป็นเคร่ืองบง่ บอกวา่ พระศาสดาปรินิพพานแลว้ ? ก.ดอกบวั ข.ดอกสาละ ค.ดอกโศก ง.ดอกมณฑารพ ๒๘.ขอ้ ใด ไม่จดั เขา้ ในสงั เวชนียสถาน ๔ ? ก.สถานที่ประสูติ ข.สถานที่ตรัสรู้ ค.สถานท่ีปรินิพพาน ง.สถานที่ถวายพระเพลิง ๒๙.อุทเทสิกเจดีย์ หมายถงึ ขอ้ ใด ? ก.พระพทุ ธรูป ข.พระบรมสารีริกธาตุ ค.พระพทุ ธบริขาร ง.พระไตรปิ ฎก ๓๐.ขอ้ ใด ไม่จดั เขา้ ไปในถปู ารหบุคคล ๔ จาพวก ? ก.พระพทุ ธเจา้ ข.อรหนั ตสาวก ค.พระเจา้ จกั รพรรดิ ง.พระราชา ๓๑.พระพทุ ธสรีรังคาร คืออะไร ? ก.เถา้ ถา่ น ข.พระอฐั ิธาตุ ค.พระเข้ียวแกว้ ง.พระรากขวญั ๓๒.เจดียท์ ่ีบรรจุพระไตรปิ ฎก เป็นเจดียป์ ระเภทใด ? ก.ธาตุเจดีย์ ข.บริโภคเจดีย์ ค.ธรรมเจดีย์ ง.อทุ เทสิกเจดีย์
122 ๓๓.ครุธรรม ๘ ของภิกษุณี ขอ้ ๖ คือความในขอ้ ใด ? ก.ตอ้ งหาอุปสมั ปทาในสงฆส์ องฝ่ าย ข.ตอ้ งปวารณาในสงฆส์ องฝ่ าย ค.ตอ้ งประพฤติมานตั ในสงฆส์ องฝ่ าย ง.ตอ้ งฟังคาสอนในสงฆส์ องฝ่ าย ๓๔.พระพทุ ธเจา้ ทรงจาพรรษาสุดทา้ ยที่ใด ? ก.บา้ นกลั ลวาลมุตตคาม ราชคฤห์ ข.บา้ นเวฬุวคาม ไพสาลี ค.บา้ นภณั ฑุคาม ปาวา ง.บา้ นนาลนั ทาคาม มคธ ๓๕.นางสิกขมานาจะบวชเป็นภิกษุณี ตอ้ งรักษาศีล ๖ เคร่งครัดไม่ลว่ งละเมิดเลยเป็นเวลาก่ีปี ? ก.๑ ปี ข.๒ ปี ค.๓ ปี ง.๔ ปี ๑.ง ๒.ค เฉลย ๔.ค ๕.ค ๖.ข ๗.ก ๓.ข ๙.ข ๑๐.ง ๑๑.ข ๑๒.ก ๘.ข ๑๔.ง ๑๕.ง ๑๖.ก ๑๗.ข ๑๓.ข ๑๙.ค ๒๐.ง ๒๑.ค ๒๒.ก ๑๘.ก ๒๔.ข ๒๕.ข ๒๖.ค ๒๗.ง ๒๓.ข ๒๙.ก ๓๐.ง ๓๑.ก ๓๒.ค ๒๘.ง ๓๔.ข ๓๕.ข ๓๓.ก
123
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123