Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 03-puttanuputta

03-puttanuputta

Published by sarawut makdai, 2019-12-23 23:01:38

Description: 03-puttanuputta

Search

Read the Text Version

51 ปริเฉทที่ ๗ ว่าด้วยพระมหากสั สปะ และพระมหากจั จายนะออกบวช สถานะเดิมพระมหากสั สปะ พระมหากสั สปะ ชื่อเดิมวา่ ปิ ปผลิ บิดาชื่อวา่ กปิ ละ มารดาชื่อวา่ สุมนเทวี เกิดใน ตระกลู พราหมณ์ ท่ีหม่บู า้ นมหาติตถะ ต้งั อยใู่ นเมืองราชคฤห์ เม่ือบวชแลว้ ไดช้ ื่อวา่ พระ มหากสั สปะ เพราะเป็นเช้ือสายของกสั สปโคตร อายไุ ด้ ๒๐ ปี แต่งงานกบั นางภทั ทกาปิ ลานี ผมู้ ี อายไุ ด้ ๑๖ ปี มูลเหตุแห่งการออกบวช เมื่อบิดามารดาเสียชีวติ แลว้ เห็นโทษของการครองเรือนวา่ ตอ้ งคอยรับบาปจากการกระทา ของผอู้ ่ืน จึงตดั สินใจออกบวชพร้อมกบั นางภทั ทกาปิ ลานี มอบทรัพยส์ มบตั ิท้งั หมดใหแ้ ก่ญาติ และบริวาร ไดซ้ ้ือผา้ กาสาวพสั ตร์และบาตรดินเผาจากตลาด ต่างปลงผมใหก้ นั และกนั ครองผา้ กาสาวพสั ตร์สะพายบาตรลงจากปราสาทอยา่ งไม่มีความอาลยั ออกบวชอุทิศพระอรหนั ตใ์ นโลก เดินทางไปดว้ ยกนั ระยะหน่ึงกแ็ ยกจากกนั เกิดเหตุอศั จรรย์ คือแผน่ ดินไหว ปิ ปผลิเดินไป ทางขวา ส่วนนางภทั ทกาปิ ลานีเดินไปทางซา้ ยจนถึงสานกั ของภิกษุณี ขอบวชในสานกั ของ ภิกษุณีและปฏิบตั ิธรรมจนไดบ้ รรลเุ ป็นพระอรหนั ต์ บรรลธุ รรมเป็ นพระอรหันต์ ปิ ปผลิไดพ้ บพระพทุ ธองคท์ ี่ใตต้ น้ ไทรช่ือวา่ พหุปุตตนิโครธ ระหว่างเมอื งราชคฤห์กบั เมอื ง นาลนั ทา เมื่อไดเ้ ห็นพระพทุ ธองคแ์ ลว้ คิดวา่ ท่านผนู้ ้ีเป็นศาสดาของเรา เราจกั ขอบวชอทุ ิศพระ ศาสดาองคน์ ้ี ไดน้ อ้ มตวั เขา้ ไปหาทูลขอบวช ทรงประทานการบวชใหด้ ว้ ยวิธี โอวาท ปฏิคคหณูปสัมปทา คือบวชดว้ ยการรับโอวาท ๓ ขอ้ ดงั น้ี ๑. กสั สปะเธอพงึ ศึกษาวา่ เราจกั เขา้ ไปต้งั ความละอายและความยาเกรงไวใ้ นภิกษุท้งั ท่ีเป็น ผเู้ ฒ่า ผใู้ หม่และผปู้ านกลางอยา่ งแรงกลา้ ๒. เราจกั ฟังธรรมอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงซ่ึงประกอบดว้ ยกศุ ล เราจกั เง่ียหูฟังธรรมและพิจารณา เน้ือความแห่งธรรมน้นั ๓. เราจกั ไม่ละกายคตาสติ คือพิจารณาร่างกายเป็นอารมณ์ หลงั จากบวชแลว้ ท่านไดต้ ้งั ใจบาเพญ็ เพยี ร ในวนั ที่ ๘ กไ็ ดบ้ รรลุธรรมเป็นพระอรหนั ต์

52 งานประกาศพระศาสนา พระมหากสั สปะ เป็นกาลงั สาคญั ในการประกาศพระศาสนา คือ เป็นประธานในการทา สงั คายนาพระธรรมวนิ ยั คร้ังแรก เมื่อพระพทุ ธองคป์ รินิพพานแลว้ ได้ ๓ เดือน ท่านไดส้ งั่ สอน กลุ บุตรและกลุ ธิดาใหเ้ ล่ือมใสในพระศาสนาเป็นจานวนมาก คร้ังหน่ึงพระพทุ ธองคท์ รงแลกเปลี่ยนสงั ฆาฏิกบั ท่านไปใชส้ อย และทรงยกยอ่ งวา่ มีธรรม เป็นเคร่ืองอยเู่ สมอดว้ ยพระองค์ เป็นผมู้ กั นอ้ ยสนั โดษ มีจิตประกอบดว้ ยเมตตา กรุณา แสดง ธรรมแกผ่ อู้ ื่น ตาแหน่งเอตทคั คะ พระมหากสั สปะ เป็ นพระมกั น้อยสันโดษ ถือธุดงค์เป็ นวตั ร ๓ ข้อตลอดชีวิต คอื ๑. ทรงผา้ บงั สุกลุ เป็นวตั ร ๒. เที่ยวบิณฑบาตเป็นวตั ร ๓. อยปู่ ่ าเป็นวตั ร ท่านแสดงคณุ ของการถือธุดงค์แก่พระพทุ ธองค์ ๒ ข้อ คอื ๑. เป็นการอยเู่ ป็นสุขในปัจจุบนั ๒. เพ่ืออนุเคราะห์คนรุ่นหลงั จะไดถ้ ือปฏิบตั ิตาม พระพทุ ธองคท์ รงยกยอ่ งพระมหากสั สปะวา่ “เป็ นเลศิ กว่า ภกิ ษทุ ้งั หลายผู้ทรงธุดงค์” พระมหากสั สปะ เม่ือทาสงั คายนาพระธรรมวินยั คร้ังแรกเรียบร้อยแลว้ จาพรรษาอยทู่ ี่วดั เวฬุวนั นิพพานเมื่อมีอายไุ ด้ ๑๒๐ ปี ระหวา่ งภูเขาสามลกู ชื่อวา่ “กกุ กฏุ สัมปาตะ” ในกรุง ราชคฤห์ แควน้ มคธ สถานะเดิมพระมหากจั จายนะ พระมหากจั จายนะ ชื่อเดิมวา่ กญั จนะ คนท้งั หลายเรียกชื่อท่านตามโคตรวา่ กจั จายนะ และท่านมีผิวกายเหมือนทองคา บิดามารดาเลยต้งั ช่ือใหว้ า่ กญั จนะ บิดาช่ือวา่ วจั ฉพราหมณ์ มารดาไม่ปรากฏชื่อ เกิดในวรรณะพราหมณ์ ท่ีเมืองอชุ เชนี แควน้ อวนั ตี ตระกลู กจั จายนโคตร ศึกษาจบไตรเพทตามลทั ธิพราหมณ์ บิดาเป็นปุโรหิตของพระเจา้ จนั ฑปัชโชต เม่ือบิดาถึงแก่ กรรมแลว้ กไ็ ดร้ ับตาแหน่งเป็นปุโรหิตแทน

53 มูลเหตุของการออกบวช พระเจา้ จณั ฑปัชโชต ทรงทราบข่าวการอุบตั ิข้ึนของพระพทุ ธองค์ จึงมอบหมายใหก้ จั จายน ปุโรหิต พร้อมกบั ผตู้ ิดตามอีก ๗ คน ไปเขา้ เฝ้ าพระพทุ ธองคท์ ่ีวดั เชตวนั เมืองสาวตั ถี แควน้ โกศล ไดฟ้ ังธรรมแลว้ กบ็ รรลุธรรมเป็นพระอรหนั ต์ พร้อมกบั ผตู้ ิดตามอีก ๗ คน จึงทลู ขอบวช ทรง ประทานการบวชใหด้ ว้ ยวิธีเอหิภิกขอุ ปุ สมั ปทา งานประกาศพระศาสนา วนั หน่ึงท่านกราบอาราธนาพระพทุ ธองค์ เสดจ็ ไปโปรดพระเจา้ จณั ฑปัชโชต ท่ีเมือง อชุ เชนี พระพทุ ธองคม์ อบหมายใหท้ ่านและพระภิกษุอีก ๗ องคไ์ ปแทน เมื่อถึงเมือง อชุ เชนีแลว้ ไดแ้ สดงธรรมโปรดพระราชาและบริวารใหเ้ ลื่อมใสในพระรัตนตรัย ท่านและคณะ ประดิษฐานพระพทุ ธศาสนาในแควน้ อวนั ตีไดส้ าเร็จ ขณะที่ท่านจาพรรษาอยทู่ ี่เมืองกรุ ฆระ แควน้ อวนั ตี ซ่ึงเป็นเมืองชายแดนมีประชาชน เล่ือมใสมาก อุบาสกหน่ึงชื่อ โสณกฏุ กิ ณั ณะ มีความปรารถนาจะบวชแต่มีพระไม่ครบ ๑๐ รูป ตามที่ทรงอนุญาต บวชเป็นสามเณร ๓ ปี จึงไดบ้ วชเป็นพระภิกษุ เมื่อบวชแลว้ อยากจะไปเฝ้ า พระพทุ ธองค์ พระมหากจั จายนะจึงฝากความไปทูลพระพทุ ธองคเ์ พือ่ แกไ้ ขพระพทุ ธบญั ญตั ิ ๕ ขอ้ คือ ๑. การบวชในปัจจนั ตชนบท มีพระสงฆค์ รบ ๕ รูป กบ็ วชพระได้ ๒. พระที่อยใู่ นปัจจนั ตชนบท อนุญาตใหส้ วมรองเทา้ หลายช้นั ได้ ๓. พระท่ีอยใู่ นปัจจนั ตชนบท อนุญาตใหน้ ง่ั บนอาสนะหนงั สตั วไ์ ด้ ๔. พระที่อยใู่ นปัจจนั ตชนบท อนุญาตใหส้ รงน้าทุกวนั ได้ ๕. พระที่อยใู่ นปัจจนั ตชนบท รับจีวรท่ีทายกปวารณาถวายไวเ้ กิน ๑๐ วนั ได้ พระพทุ ธองคท์ รงอนุญาตตามที่ท่านขอ พระมหากจั จายนะไดแ้ สดงมธุรสูตร คือ พระสูตรที่กลา่ วถึงความไม่แตกต่างกนั ของ วรรณะ ๔ เหล่า คือ กษตั ริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศทู ร แก่พระเจา้ มธุรราช คร้ันฟังจบแลว้ ทรงเลื่อม ใสขอถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวติ ตาแหน่งเอตทคั คะ พระมหากจั จายนะ แตกฉานในปฏิสมั ภิทา ๔ คือ ๑. อตั ถปฏิสมั ภิทา แตกฉานในอรรถ ๒. ธมั มปฏิสมั ภิทา แตกฉานในธรรม

54 ๓. นิรุตติปฏิสมั ภิทา แตกฉานในภาษา ๔. ปฏิภาณปฏิสมั ภิทา แตกฉานในปฏิภาณ พระพทุ ธองคท์ รงยกยอ่ งท่านวา่ “เป็ นเลศิ กว่าภิกษุท้งั หลาย ผู้อธิบายเนอื้ ความย่อให้พสิ ดาร” หลงั จากที่พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพานแลว้ ท่านไดป้ ฏิบตั ิตามพระพทุ ธบญั ญตั ิ โดยเคร่งครัด เป็นกาลงั สาคญั ในการประกาศพระศาสนา ดารงอายสุ งั ขารพอสมควรแก่อตั ภาพแลว้ กน็ ิพพาน ศรัทธา ๔ ประเภท บุคคลในโลกผถู้ ือเอาคุณสมบตั ิต่างๆกนั เป็นเครื่องวดั ในการท่ีจะเกิดความเช่ือความ เลื่อมใส มี ๔ ประเภท คือ ๑. รูปัปปมาณกิ า พวกถือประมาณหรือเลื่อมใสในรูป ๒. โฆสัปปมาณกิ า พวกถือประมาณหรือเล่ือมใสในเสียง ๓. ลูขปั ปมาณกิ า พวกถือประมาณหรือเล่อื มใสในความเศร้าหมอง ๔. ธัมมปั ปมาณกิ า พวกถือประมาณหรือเลื่อมใสในธรรม พระมหากจั จายนะ เป็นท่ีต้งั แห่งความเล่ือมใสของพวกรูปัปปมาณิกา เพราะท่านมีรูป งามผวิ งาม พระโสณกฏุ ิกณั ณะ เป็นท่ีต้งั แห่งความเลื่อมใสของพวกโฆสปั ปมาณิกา เพราะท่านมีเสียง ไพเราะ พระโมฆราช เป็นที่ต้งั แห่งความเล่ือมใสของพวกลขู ปั ปมาณิกา เพราะท่านใชบ้ ริขาร หรือของใชท้ ่ีปอน พระสารีบุตร เป็นท่ีต้งั แห่งความเล่ือมใสของพวกธมั มปั ปมาณิกา เพราะท่านแสดงธรรม ไดล้ ึกซ้ึง ปัญหาและเฉลยปริเฉทที่ ๗ ๑.พระพทุ ธเจา้ ทรงเปลย่ี นสงั ฆาฏิกบั พระสาวกรูปใด ? ก.พระอานนท์ ข.พระมหากสั สปะ ค.พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ง.พระอรุ ุเวลกสั สปะ ๒.พระสาวกรูปใด เคยเป็นปุโรหิตของพระเจา้ จณั ฑปัชโชตมาก่อน ? ก.พระอุบาลี ข.พระกาฬุทายี

55 ค.พระมหากจั จายนะ ง.พระรัฐบาล ๓.พระสาวกรูปใด อปุ สมบทดว้ ยการรับพระโอวาท ๓ ขอ้ ? ก.พระอานนท์ ข.พระมหากสั สปะ ค.พระสารีบตุ ร ง.พระอนุรุทธะ ๔.พระมหากสั สปะบวชที่ไหน ? ก.พหุปุตตนิโครธ ข.ถ้าสตั ตบรรณคหู า ค.ถ้าสุกรขาตา ง.วดั เวฬุวนั ๕.พระเจา้ จณั ฑปัชโชตทรงสดบั ธรรมจากใคร เป็นคร้ังแรก ? ก.พระพทุ ธเจา้ ข.พระมหากจั จายนะ ค.พระมหาโมคคลั ลานะ ง.พระมหากสั สปะ ๖.พระมหากจั จายนะไดร้ ับเอตทคั คะดา้ นใด ? ก.แสดงธรรมไพเราะ ข.มีเสียงไพเราะ ค.อธิบายความยอ่ ใหพ้ สิ ดาร ง.เป็ นพหูสูต ๗.ปิ ปผลิมาณพและภทั ทกาปิ ลานี คิดอยา่ งไรเก่ียวกบั การครองเรือนจึงตดั สินใจออกบวช ? ก.เป็ นการสร้างบารมี ข.เป็ นการคอยรับบาป ค.เป็ นการสืบทอดมรดก ง.เป็นการสืบต่อสงั สารวฏั ๘.บุคคลในขอ้ ใดคือบิดาของพระมหากสั สปะ ? ก.วงั คนั ตะ ข.อชิตะ ค.กปั ปิ นะ ง.กปิ ละ ๙.พระมหากสั สปะเถระออกบวชเม่ือใด ? ก.บิดามารดาตายแลว้ ข.บิดาตายแลว้ มารดายงั อยู่ ค.มารดาตายแลว้ บิดายงั อยู่ ง.มารดาและบิดายงั อยทู่ ้งั สองคน ๑๐.พระมหากจั จายนะออกบวชพร้อมดว้ ยบริวารก่ีคน ? ก. ๔ คน ข. ๕ คน ค. ๖ คน ง. ๗ คน ๑๑.ปิ ปผลิมาณพ คือ พระเถระรูปใด ? ก.พระราธะ ข.พระสารีบตุ ร ค.พระมหากสั สปะ ง.พระปณุ ณมนั ตานีบุตร

56 ๑๒.พระสาวกที่บรรพชาเป็นสามเณรแลว้ ตอ้ งรอถึง ๓ ปี จึงอุปสมบทไดค้ ือใคร ? ก.พระมหากจั จายนะ ข.พระราธะ ค.พระโสณโกฬิวสิ ะ ง.พระโสณกฏุ ิกณั ณะ ๑๓.ใครเป็นพระอปุ ัชฌายข์ องพระโสณกฏุ ิกณั ณะ ? ก.พระราธะ ข.พระโสณโกฬิวสะ ค.พระมหากจั จายนะ ง.พระมหากสั สปะ ๑๔.ใครเป็นผสู้ ่งกจั จายนปุโรหิตไปทูลนิมนต์ พระพทุ ธองคไ์ ปประกาศศาสนาที่เมืองของตน ? ก.พระเจา้ พิมพสิ าร ข.พระเจา้ สุทโธทนะ ค.พระเจา้ จณั ฑปัชโชต ง.พระเจา้ อโศกมหาราช เฉลย ๑.ข ๒.ค ๓.ข ๔.ก ๕.ข ๖.ค ๗.ข ๘.ง ๙.ก ๑๐.ง ๑๑.ค ๑๒.ง ๑๓.ค ๑๔.ค

57 ปริเฉทที่ ๘ ว่าด้วยการโปรดมาณพ ๑๖ คน พทุ ธวธิ ใี นการตอบปัญหา เม่ือมีนกั บวชหรือประชาชนเกิดความสงสยั ในธรรมะมาทูลถามพระพุทธองค์ ทรงมี หลกั ในการตอบปัญหา ๔ ประการ คือ ๑. เอกงั สพยากรณ์ ทรงแกป้ ญหาน้นั โดยส่วนเดียว ๒. ปฏปิ จุ ฉาพยากรณ์ ทรงยอ้ นถามแลว้ จึงทรงแกป้ ัญหาน้นั ๓. วภิ ชั ชพยากรณ์ ทรงแยกปัญหาน้นั แกท้ ีละอยา่ ง ๔. ฐปนียพยากรณ์ ทรงระงบั ไม่แกป้ ัญหาน้นั มาณพ ๑๖ คน ๒. ตสิ เมตเตยยมาณพ ๑. อชิตมาณพ ๔. เมตตคูมาณพ ๓. ปณุ ณกมาณพ ๖. อปุ สีวมาณพ ๕.โธตกมาณพ ๘. เหมกมาณพ ๗. นันทมาณพ ๑๐. กปั ปมาณพ ๙.โตเทยยมาณพ ๑๒. ภัทราวธุ มาณพ ๑๑. ชตกุ ณั ณมี าณพ ๑๔. โปสาลมาณพ ๑๓. อทุ ยมาณพ ๑๖. ปิ งคยิ มาณพ ๑๕. โมฆราชมาณพ ประวตั ิและชาติภูมิ ประวตั ิความเป็นมาของมาณพท้งั ๑๖ คน คือท้งั หมดเป็นบุตรของตระกลู พราหมณ์ในกรุ ง สาวตั ถี แควน้ โกศล เม่ือมีอายพุ อสมควรแลว้ บิดามารดาของมาณพท้งั ๑๖ คน ไดส้ ่งไปเป็นศิษย์ ของพราหมณ์พาวรี ผเู้ คยเป็นปุโรหิตของพระเจา้ ปเสนทิโกศล แต่ไดล้ าออกจากตาแหน่งบวช เป็นชฎิล ประพฤติพรตตามลทั ธิพราหมณ์ ต้งั อาศรมอยู่ริมฝั่งแม่นา้ โคธาวารี ซ่ึงอยู่ระหว่าง เมอื งอสั สกะกบั เมอื งอาฬกะ ต้งั ตนเป็นอาจารยส์ อนไตรเพทแก่ศิษยม์ ากมาย

58 เหตุการณ์ก่อนออกบวช พราหมณ์พาวรีไดท้ ราบข่าววา่ เจา้ ชายสิทธตั ถะ พระราชโอรสของพระเจา้ สุทโธทนมหา ราช เสดจ็ ออกผนวชแลว้ ทรงปฏิญญาพระองคว์ า่ เป็นผตู้ รัสรู้ชอบดว้ ยพระองคเ์ อง ทรงแสดง ธรรมสงั่ สอนแก่มหาชน ทาใหม้ หาชนต่างเช่ือและเล่อื มใสยอมตวั เป็นสาวกปฏิบตั ิตามคาสงั่ สอน เป็ นจานวนมาก พราหมณ์พาวรีตอ้ งการทราบความจริง จึงผกู ปัญหาใหม้ าณพท้งั ๑๖ คน ไปทูลถาม พระพทุ ธเจา้ คนละหมวด มาณพท้งั ๑๖ คนซ่ึงมีอชิตมาณพเป็นหวั หนา้ กราบลาพราหมณ์พาวรี อาจารยข์ องตน เดินทางไปเขา้ เฝ้ าที่ปาสาณเจดียแ์ ลว้ กราบทูลขอโอกาสถามปัญหา โดยอชิต มาณพเป็นผถู้ ามปัญหาเป็นคนแรก และใหม้ าณพท่ีเหลือทูลถามปัญหาไปตามลาดบั ดงั น้ี ๑. อชิตมาณพ อชิตมาณพไดท้ ูลถามปัญหา ๔ ขอ้ วา่ ๑. โลกคือหมู่สตั ว์ ถกู อะไรปิ ดบงั ไว้ อะไรเป็นเหตุจึงไม่มีปัญญามองเห็น อะไรเป็นเครื่อง ฉาบไลใ้ หส้ ตั วโ์ ลกติดอยู่ และอะไรเป็นภยั ใหญ่ของสตั วโ์ ลกน้นั ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า อวิชชา คือความไม่รู้ปิ ดบงั ไว้ ตณั หาและความประมาทปิ ดก้นั ปัญญา ตณั หาคือความอยากฉาบไลส้ ตั วโ์ ลกใหต้ ิดอยู่ ทุกขเ์ ป็นภยั ใหญข่ องสตั วโ์ ลก ฯ ๒. อะไรเป็นเครื่องหา้ ม เคร่ืองปิ ดก้นั ความอยากซ่ึงเป็นดุจกระแสน้าหลงั่ ไหลไปในอารมณ์ ท้งั ปวง จะละความอยากไดด้ ว้ ยธรรมอะไร ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า สติ เป็นเคร่ืองหา้ ม ป้ องกนั ความอยาก และจะละความอยากได้ เพราะปัญญา ฯ ๓. ปัญญา สติ กบั นามรูปน้นั จะดบั ไป ณ ท่ีไหน ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า เพราะวญิ ญาณดบั ไปก่อน นามรูปจึงดบั ณ ท่ีน้นั ฯ ๔. ชนผเู้ ห็นธรรมแลว้ และผยู้ งั ตอ้ งศึกษาอยู่ สองพวกน้ียงั มีอีกมาก ขอกราบทลู ถามความ ประพฤติของปวงชนพวกน้นั ฯ พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า ภิกษุผเู้ ห็นธรรมแลว้ และผยู้ งั ศึกษาอยู่ เป็นคนไม่มีความ กาหนดั ยนิ ดีในกามคุณท้งั หลาย มีใจไม่ข่นุ มวั ฉลาดในธรรมท้งั ปวง มีสติอยทู่ ุกอิริยาบถ ฯ ๒. ติสสเมตเตยยมาณพ ติสสเมตเตยยมาณพไดท้ ลู ถามปัญหาเป็นคนที่ ๒ วา่ ๑. ใครช่ือวา่ เป็นผสู้ นั โดษในโลกน้ี ?

59 พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า ภิกษุผปู้ ระพฤติพรรมจรรย์ สารวมในกามท้งั หลายปราศจาก ความอยากแลว้ มีสติระลึกไดท้ ุกเมื่อ พจิ ารณาเห็นโดยชอบ ดบั เครื่องร้อนกระวนกระวายไดเ้ สีย แลว้ ช่ือวา่ ผสู้ นั โดษในโลกน้ี ฯ ๒. ใครไม่มีความอยาก ซ่ึงเป็นเหตุดิ้นรนทะเยอทะยาน ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า ภิกษุผไู้ ม่มีความทะยานอยาก (ภิกษุผเู้ ป็นพระอรหนั ต)์ ฯ ๓.ใครรู้ส่วนขา้ งปลายท้งั สอง (อดีต อนาคต) ดว้ ยปัญญาแลว้ ไม่ติดอยใู่ นส่วนกลาง (ปัจจุบนั ) ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า ภิกษุผเู้ ป็นพระอรหนั ตน์ นั่ แล ฯ ๔. ใครชื่อวา่ เป็นมหาบุรุษ ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า ภิกษุผเู้ ป็นพระอรหนั ตน์ นั่ แล ฯ ๕. ใครลว่ งพน้ ตณั หา เครื่องร้อยรัดในโลกได้ ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า ภิกษุผเู้ ป็นพระอรหนั ตน์ น่ั แล ฯ ๓. ปณุ ณกมาณพ ปุณณกมาณพไดก้ ราบทลู ถามปัญหาเป็นคนท่ี ๓ วา่ ๑. มวลมนุษยใ์ นโลกน้ี คือ ฤๅษี กษตั ริย์ และพราหมณ์จานวนมากอาศยั อะไร จึงบูชายญั บวงสรวงเทวดา ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า เพราะอยากไดข้ องที่ตนปรารถนา ที่อาศยั ชรา เป็นตน้ มาทาให้ แปรเปลี่ยน จึงบชู ายญั บวงสรวงเทวดา ฯ ๒. มนุษยเ์ หล่าน้นั ถา้ บชู ายญั อยเู่ ป็นประจา จะขา้ มพน้ ชาติและชราไดห้ รือไม่ ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า มนุษยเ์ หลา่ น้นั ยงั ปรารถนา ลาภ ยศ สรรเสริญ และยงั กาหนดั ยนิ ดีอยใู่ นภพ จึงขา้ มพน้ ชาติชราไปไมไ่ ด้ ? ๓. ผบู้ ูชายญั เหล่าน้นั ขา้ มพน้ ชาติชราไม่ได้ แลว้ ใครเลา่ จะขา้ มพน้ ได้ ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า ความอยากเป็นเหตุใหด้ ิ้นรนในทุก ๆ ชาติของผใู้ ดไมม่ ี เพราะ พิจารณาเห็นธรรมท่ียงิ่ และหยอ่ นในโลก ไม่มีกิเลสหมดความอยาก เราเรียกผนู้ ้นั วา่ ขา้ มพน้ ชาติชรา ไดแ้ ลว้ ฯ ๔. เมตตคูมาณพ เมตตคมู าณพ ไดก้ ราบทลู ถามปัญหาเป็นคนที่ ๔ วา่ ๑. ทุกขใ์ นโลกน้ี มีหลายประการลว้ นมีเหตุมาจากอะไร ?

60 พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า ทุกขท์ ้งั มวลลว้ นเกิดมาจากอุปธิคือกิเลส ผใู้ ดเขลาไม่รู้แลว้ ทา อุปธิน้นั ใหเ้ กิด ผนู้ ้นั ยอ่ มประสบทุกขบ์ ่อย ๆ เหตุน้นั เมื่อรู้วา่ อปุ ธิเป็นเหตุใหเ้ กิดทุกขแ์ ลว้ อยา่ ทา อุปธิใหเ้ กิด ๒. ทาอยา่ งไร ผมู้ ีปัญญาจึงจะขา้ มพน้ หว้ งทะเลใหญ่ คือชาติ ชรา และโสกปริเทวะได้ ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า เราจกั แสดงธรรมที่พงึ เห็นแจง้ ดว้ ยตนเองในอตั ภาพน้ี ท่ีบุคคล ทราบแลว้ จะเป็นผมู้ ีสติสามารถขา้ มความอยากอนั ใหต้ ิดอยใู่ นโลกได้ ฯ ๓. ขา้ พระองคย์ นิ ดีธรรมที่สูงสุดน้นั เป็นอยา่ งยงิ่ พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า ท่านรู้อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ในส่วนเบ้ืองบน (อนาคต) ในส่วน เบ้ืองต่า (อดีต) ในส่วนท่ามกลาง (ปัจจุบนั ) จงบรรเทาความเพลิดเพลิน ความยดึ มนั่ ในส่วน เหลา่ น้นั เสีย มีสติไม่เลินเลอ่ ละความถือมนั่ วา่ ของเราเสียแลว้ จะละทุกขค์ ือ ชาติ ชรา และโสก ปริเทวะในโลกน้ีไดฯ้ ๔.ธรรมอนั ไม่มีอปุ ธิ พระองคท์ รงทราบดี คงละทุกขเ์ สียไดเ้ ป็นแน่ แมพ้ ระสาวกของ พระองคก์ ค็ งเป็นเช่นน้นั ขา้ พระองคต์ ้งั ใจจะใหพ้ ระองคท์ รงสง่ั สอนขา้ พระองคอ์ ยา่ งน้นั บา้ ง? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า ผใู้ ดไม่มีกิเลสเครื่องกงั วล ไม่ติดขอ้ งอยใู่ นกามภพช่ือวา่ ผลู้ ว่ ง เหตุแห่งทุกขไ์ ด้ เม่ือน้นั ยอ่ มไม่มีกิเลสท่ีจะตรึงจิตสิ้นความสงสยั ไดช้ ื่อวา่ จบไตรเพทในศาสนาน้ี ท่านพึงศึกษาตามอยา่ งน้ี จะขา้ มพน้ จากชาติ ชรา เป็นตน้ เสียได้ ฯ ๕. โธตกมาณพ โธตกมาณพไดก้ ราบทลู ถามปัญหาเป็นคนท่ี ๕ วา่ ๑.ขา้ พระองคไ์ ดฟ้ ังพระสุรเสียงของพระองคแ์ ลว้ จะศึกษาขอ้ ปฏิบตั ิเครื่องดบั กิเลสของตน พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า ถา้ อยา่ งน้นั ท่านจงมีปัญญา มีสติทาความเพยี รในศาสนาน้ีเถิด ๒.ขา้ พระองคไ์ ดเ้ ห็นพระองคผ์ เู้ ป็นพราหมณ์ หากงั วลมิได้ เที่ยวอยใู่ นเทวโลกและ มนุษยโลก ขอพระองคจ์ งเปล้ืองขา้ พระองคจ์ ากความสงสยั เถิด ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า เราเปล้ืองใคร ๆ ในโลกผยู้ งั สงสยั อยไู่ ม่ได้ เม่ือท่านรู้ธรรมอนั ประเสริฐกจ็ ะขา้ มหว้ งทะเลใหญ่ คือกิเลสอนั น้ีเสียไดเ้ อง ฯ ๓.ขอพระองคจ์ งทรงแสดงธรรมอนั สงดั จากกิเลส ท่ีขา้ พระองคต์ รัสรู้ สงั่ สอนใหข้ า้ พระองคเ์ ป็นคนปลอดโปร่งระงบั กิเลสเสียได้ ไม่อาศยั สิ่งใดสิ่งหน่ึงเท่ียวอยใู่ นโลกน้ี ฯ พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า ถา้ ท่านรู้ความทะยานอยากเบ้ืองบน เบ้ืองต่า เบ้ืองกลาง เป็นเหตุ ใหต้ ิดขอ้ งอยใู่ นโลกน้ี ท่านอยา่ ทาความทะยานอยากเพอื่ จะเกิดในภพนอ้ ยภพใหญ่ ฯ

61 ๖. อปุ สีวมาณพ อุปสีวมาณพไดก้ ราบทูลถามปัญหาเป็นคนที่ ๖ วา่ ๑. ลาพงั ขา้ พระองคผ์ เู้ ดียวไม่ไดอ้ าศยั อะไร ไม่สามารถขา้ มหว้ งทะเลใหญ่ (กิเลส)ได้ ขอ พระองคต์ รัสบอกอารมณ์ที่หน่วงเหนี่ยวซ่ึงขา้ พระองคค์ วรจะอาศยั ขา้ มหว้ งน้าดว้ ยเถิดน้ี ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า ท่านจงเป็นผมู้ ีสติ เพง่ อากิญจญั ญายตนฌาน อาศยั อารมณ์วา่ ไม่ มี ๆ ขา้ มหว้ งทะเลใหญเ่ สียเถิด ท่านจงละกามท้งั หลายเสีย เป็นคนเวน้ จากความสงสยั เห็นความ หมดจดแห่งความทะยานอยากไดช้ ดั เจน ท้งั กลางวนั และกลางคืนเถิด ฯ ๒.ผใู้ ดปราศจากความกาหนดั ในกาม ล่วงฌานอื่นไดแ้ ลว้ อาศยั อากิญจญั ญายตนะ นอ้ มใจ ไปในอากิญจญั ญายตนะ ซ่ึงเป็นธรรมที่เปล้ืองสญั ญาอยา่ งประเสริฐ ผนู้ ้นั จะต้งั อยใู่ นอา กิญจญั ญายตนะไม่เส่ือมบา้ งหรือ ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า ผรู้ ู้พน้ แลว้ จากกองนามรูป ยอ่ มดบั ไมม่ ีเช้ือไม่ตอ้ งไปเกิดเป็น อะไร เหมือนไฟท่ีถกู กาลงั ลมเป่ าแลว้ ดบั ไป ไม่รู้ไปในทิศไหนฉะน้นั ฯ ๓.ผนู้ ้นั ดบั แลว้ หรือเป็นแต่ไม่มีตวั หรือวา่ จะต้งั อยยู่ ง่ั ยนื หาอนั ตรายมิได้ ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า เมื่อผนู้ ้นั ขจดั ธรรมท้งั หลาย (มีขนั ธ์เป็นตน้ ) ไดแ้ ลว้ กไ็ ม่ตอ้ ง กล่าวถึงวา่ ผนู้ ้นั จะไปเกิดเป็นอะไรอีก ฯ ๗.นันทมาณพ นนั ทมาณพไดก้ ราบทูลถามปัญหาเป็นคนท่ี ๗ วา่ ๑.ชนท้งั หลายกล่าววา่ มุนีมีอยใู่ นโลกน้ี ขอ้ น้ีเป็นอยา่ งไร เขาเรียกคนถึงพร้อมดว้ ยฌาน หรือการเล้ียงชีพวา่ เป็นมุนี ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า ผฉู้ ลาดไม่กลา่ วคนวา่ เป็นมนุ ีดว้ ยการเห็น การฟัง การรู้ เรา กล่าววา่ ผใู้ ดทาตนใหป้ ราศจากกองกิเลส หากิเลสมิได้ ผนู้ ้นั แลช่ือวา่ เป็นมุนี ฯ ๒.สมณพราหมณ์ท่ีกล่าวความบริสุทธ์ิดว้ ยการเห็น การฟัง ศีล พรต และวิธีอ่ืน ๆ แลว้ ประพฤติในวิธีน้นั ๆ ขา้ มพน้ ชาติ ชราไดแ้ ลว้ มีอยบู่ า้ งหรือไม่ ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า แมป้ ระพฤติเช่นน้นั เรากก็ ลา่ ววา่ ขา้ มพน้ ชาติ ชราไม่ได้ ฯ ๓.ถา้ เช่นน้ี ใครเล่าในเทวโลก มนุษยโลก ท่ีขา้ มพน้ ชาติ ชราไดแ้ ลว้ ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า เราไม่กลา่ ววา่ สมณพราหมณ์ถกู ชาติ ชรา ครอบงาแลว้ ทุกคน แต่เรากลา่ วสมณพราหมณ์ผลู้ ะอารมณ์ท่ีไดเ้ ห็น ไดฟ้ ัง ไดร้ ู้ และศีลพรตท้งั หมด กาหนดรู้ตณั หาวา่ เป็นโทษควรละแลว้ เป็นผหู้ าอาสวะมิได้ ขา้ มพน้ ชาติ ชราไดแ้ ลว้ ฯ

62 ๘.เหมกมาณพ เหมกมาณพไดก้ ราบทลู ถามปัญหาเป็นคนที่ ๘ วา่ ในปางก่อนแต่ศาสนาพระองค์ อาจารยไ์ ดย้ นื ยนั วา่ อยา่ งน้ีเคยมีมาแลว้ อยา่ งน้ีจกั มีต่อไป ลว้ นแต่จะทาความตรึกใหฟ้ ้ งุ มากข้ึน ขา้ พระองคไ์ ม่พอใจในคาน้นั เลย ขอพระองคต์ รัสบอกธรรม เป็นเหตุถอนตณั หาท่ีขา้ พระองคท์ ราบแลว้ จะพงึ เป็นคนมีสติ ลว่ งตณั หาที่ทาใหต้ ิดอยใู่ นโลกได้ ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า ชนเหลา่ ใดรู้วา่ พระนิพพานเป็นท่ีบรรเทาความกาหนดั ใน อารมณ์ท่ีรักซ่ึงไดเ้ ห็นแลว้ ไดฟ้ ังแลว้ ไดท้ ราบแลว้ เป็นตน้ และเป็นธรรมไม่เปลย่ี นแปลง เป็นคน มีสติดบั กิเลสไดแ้ ลว้ ชนเหลา่ น้นั ลว่ งตณั หาที่ทาใหต้ ิดอยใู่ นโลกได้ ฯ ๙.โตเทยยมาณพ โตเทยยมาณพไดก้ ราบทลู ถามปัญหาเป็นคนท่ี ๙ วา่ ๑.กามไม่มีในผใู้ ด ตณั หาของผใู้ ดไม่มี และผใู้ ดขา้ มความสงสยั ได้ ความพน้ ของผนู้ ้นั เป็น อยา่ งไร ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า ความพน้ ของผนู้ ้นั จะไมเ่ ปลี่ยนเป็นอยา่ งอื่นอีก คือผนู้ ้นั พน้ จาก กามตณั หา และความสงสยั แลว้ ความพน้ ของผนู้ ้นั เป็นอนั คงที่ ไม่แปรผนั เป็นอยา่ งอ่ืน ฯ ๒.ผนู้ ้นั เป็นคนมีความหวงั ทะเยอทะยานหรือไม่ เป็นคนมีปัญญาแทจ้ ริง หรือเป็นแต่ใช้ ปัญญาทาใหต้ ณั หาและทิฏฐิเกิดข้ึน ขา้ พระองคจ์ ะรู้จกั ท่านผเู้ ป็นมุนีน้นั ไดอ้ ยา่ งไร ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า ผนู้ ้นั เป็นคนไม่มีความหวงั ทะเยอทะยาน มีปัญญาแทจ้ ริง จะ ไม่ใชป้ ัญญาก่อตณั หาและทิฏฐิใหเ้ กิด ท่านจงรู้จกั มุนีวา่ เป็นผไู้ ม่มีกงั วล ไม่ติดอยใู่ นกามภพอยา่ งน้ี เถิดฯ ๑๐. กปั ปมาณพ กปั ปมาณพไดก้ ราบทลู ถามปัญหาเป็นคนท่ี ๑๐ วา่ ขอพระองคต์ รัสบอกธรรมเป็นที่พ่ึงของชนผชู้ รามรณะมาถึงรอบขา้ ง ดุจเกาะเป็นท่ีพานกั ของชนผอู้ ยกู่ ลางสมุทรเม่ือเกิดคล่ืนใหญท่ ่ีน่ากลวั แก่ขา้ พระองค์ อยา่ ใหท้ ุกขน์ ้ีมีไดอ้ ีก ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า เรากล่าววา่ นิพพานอนั ไม่มีกิเลสเคร่ืองกงั วล ไมม่ ีตณั หาเคร่ือง ถือมน่ั เป็นที่สิ้นแห่งชราและมรณะน้ีแลวา่ เป็นดุจเกาะ คนเหลา่ ใดรู้นิพพานน้นั แลว้ เป็นคนมีสติ เห็นธรรมแลว้ ดบั กิเลสไดแ้ ลว้ คนเหล่าน้นั ไม่ตอ้ งอยใู่ นอานาจของมาร ไม่ตอ้ งเดินตามทางของ มารเลย ฯ

63 ๑๑. ชตุกณั ณมี าณพ ชตุกณั ณีมาณพไดก้ ราบทูลถามปัญหาเป็นคนท่ี ๑๑ วา่ ขอพระองคต์ รัสบอกธรรมเคร่ืองละชาติ ชรา ในอตั ภาพน้ีแก่ขา้ พระองคด์ ว้ ยเถิด ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า ท่านจงกาจดั ความกาหนดั ในกามใหห้ มดสิ้น กิเลสเครื่องกงั วล ที่ท่านยดึ ไวด้ ว้ ยตณั หาและทิฏฐิ ควรสละเสียอยา่ ใหเ้ สียดแทงใจท่านไดอ้ ีก ท่านจงตดั กงั วลที่มีอยู่ ใหส้ งบ ระงบั เหือดแหง้ ไป อาสวะอนั เป็นเหตุถึงอานาจมจั จุราชของชนผปู้ ราศจากความกาหนดั ใน นามรูปโดยอาการท้งั ปวงกม็ ีไมไ่ ด้ ฯ ๑๒. ภัทราวุธมาณพ ภทั ราวธุ มาณพไดก้ ราบทลู ถามปัญหาเป็นคนที่ ๑๒ วา่ คนท่ีมาจากชนบทต่าง ๆ อยากฟังพระวาจาของพระองค์ คร้ันไดฟ้ ังแลว้ จะกลบั ไปจากท่ีน้ี ขอพระองคท์ รงแกป้ ัญหาเพือ่ ชนเหล่าน้นั เพราะวา่ ธรรมน้นั พระองคไ์ ดท้ ราบแลว้ ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า หม่ชู นเหลา่ น้ีควรนาตณั หาเป็นเหตุถือมนั่ ในส่วนเบ้ืองบน เบ้ือง ต่า และท่ามกลางใหห้ มดสิ้น เพราะเขาถือมนั่ สิ่งใด ๆ ในโลก มารยอ่ มติดตามเขาไดเ้ พราะสิ่งน้นั ๆ เหตุน้นั ภิกษุรู้อยเู่ ห็นหมู่สตั วผ์ ตู้ ิดอยใู่ นวฏั ฏะวา่ ติดอยเู่ พราะความถือมน่ั พึงมีสติไม่ถือมน่ั กงั วลใน โลกท้งั ปวง ฯ ๑๓. อทุ ยมาณพ อทุ ยมาณพไดก้ ราบทลู ถามปัญหาเป็นคนท่ี ๑๓ วา่ ๑.ขอพระองคท์ รงแสดงธรรมเคร่ืองพน้ (จากกิเลส) ท่ีควรรู้ทวั่ ถึงซ่ึงเป็นเคร่ืองทาลาย อวชิ ชาเสียฯ พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า เราเรียกธรรมเคร่ืองละความพอใจในกาม และโทมนสั บรรเทา ความง่วง หา้ มความราคาญ มีอเุ บกขากบั สติเป็นธรรมบริสุทธ์ิ มีความตรึกในธรรมเป็นเบ้ืองหนา้ วา่ เป็นธรรมเคร่ืองพน้ จากกิเลส ซ่ึงเป็นเคร่ืองทาลายอวิชชา ฯ ๒.โลกมีอะไรผกู พนั ไว้ อะไรเป็นเคร่ืองสญั จรของโลกน้นั ท่านกล่าววา่ นิพพาน ๆ ดงั น้ี เพราะละอะไรได้ ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า โลกมีความเพลิดเพลินผกู พนั ไว้ ความตรึกเป็นเคร่ืองสญั จรของ โลกน้นั ท่านกลา่ ววา่ นิพพาน ๆ ดงั น้ี เพราะละตณั หาเสียได้ ฯ ๓.บุคคลมีสติระลึกอยอู่ ยา่ งไร วญิ ญาณจึงจะดบั ขอใหพ้ วกขา้ พระองคไ์ ดฟ้ ังพระวาจาของ พระองคเ์ ถดิ ?

64 พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า เมื่อบุคคลไม่เพลิดเพลินในเวทนาท้งั หลายในภายนอกมีสติ ระลึกอยอู่ ยา่ งน้ี วิญญาณจึงจะดบั ฯ ๑๔. โปสาลมาณพ โปสาลมาณพไดก้ ราบทูลถามปัญหาเป็นคนท่ี ๑๔ วา่ ขา้ พระองคข์ อทูลถามถึงญาณของบุคคลผมู้ ีความกาหนดหมายในรูปแจง้ ชดั (คือไดบ้ รรลุ รูปฌานแลว้ ) ละรูปารมณ์ท้งั หมดไดแ้ ลว้ (คือบรรลุฌานสูงกล่ารูปฌานข้ึนไปแลว้ ) เห็นท้งั ภายใน และภายนอกวา่ ไมม่ ีอะไรเลย (คือบรรลอุ รูปฌาน) บุคคลเช่นน้นั จะควรแนะนา สัง่ สอนใหท้ า อยา่ งไรต่อไป ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า ตถาคตทราบภมู ิเป็นที่ต้งั แห่งวิญญาณท้งั หมด จึงทราบบุคคล เช่นน้นั แมย้ งั อยใู่ นโลกน้ีวา่ มีอธั ยาศยั นอ้ มไปในอากิญจญั ญายตนภพ มีความเพลิดเพลินยนิ ดีเป็น เครื่องประกอบ ต่อจากน้นั ยอ่ มพิจารณาเห็นสหชาตธรรมในอากิญจญั ญายตนฌานแจง้ ชดั โดย ลกั ษณะ ๓ อยา่ ง (คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตน) ขอ้ น้ีเป็นฌานอนั ถ่องแทข้ องบุคคลเช่นน้นั ผมู้ ี พรหมจรรยไ์ ดป้ ระพฤติจบแลว้ ฯ ๑๕. โมฆราชมาณพ โมฆราชมาณพไดก้ ราบทลู ถามปัญหาเป็นคนที่ ๑๕ วา่ ขา้ พระองคจ์ ะพิจารณาเห็นโลกอยา่ งไร มจั จุราชจึงจะไม่แลเห็น คือจะตามไม่ทนั ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า ท่านจงเป็นคนมีสติพจิ ารณาเห็นโลกโดยความเป็นของวา่ งเปลา่ ถอนความเห็นวา่ ตวั ของเราทุกเม่ือ ท่านจะขา้ มพน้ มจั จุราชเสียไดด้ ว้ ยอบุ ายอยา่ งน้ี เม่ือท่านพจิ ารณา เห็นโลกอยา่ งน้ีแล มจั จุราชจึงจะไม่แลเห็น คือตามไมท่ นั ฯ ๑๖. ปิ งคยิ มาณพ ปิ งคิยมาณพไดก้ ราบทูลถามปัญหาเป็นคนที่ ๑๖ วา่ ๑.ขา้ พระองคแ์ ก่แลว้ ขออยา่ ใหข้ า้ พระองคห์ ลงพบความเส่ือมเสียในระหวา่ งเลย ขอ พระองคต์ รัสบอกธรรมเคร่ืองละชาติชราในอตั ภาพน้ีแก่ขา้ พระองคเ์ ถิด ? พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า ท่านเห็นวา่ ชนท้งั หลายผปู้ ระมาทแลว้ ยอ่ มเดือดร้อน เพราะรูป เป็นเหตุ เพราะฉะน้นั ท่านจงเป็นคนไม่ประมาท ละความพอใจในรูปเสียจะไดไ้ ม่เกิดอีก ฯ ๒.ทิศใหญ่ส่ี ทิศนอ้ ยส่ี ทิศเบ้ืองบน และทิศเบ้ืองล่างท่ีพระองคไ์ ม่ไดเ้ ห็น ไม่ไดฟ้ ัง ไม่ ทราบ ไม่รู้แมห้ น่อยหน่ึงมิไดม้ ีในโลก ขอพระองคต์ รัสบอกธรรมเครื่องละชาติชราในชาติน้ี ?

65 พระพทุ ธเจ้าทรงวสิ ัชนาว่า เม่ือท่านเห็นวา่ มนุษยถ์ กู ตณั หาครอบงาแลว้ มีความเดือดร้อน เกิดข้ึน อนั ชราถึงรอบดา้ นแลว้ เหตุน้ี ท่านจงอยา่ ประมาท ละตณั หาเสีย จะไดไ้ ม่เกิดอีก ฯ หลงั จากไดฟ้ ังคาวสิ ชั นาปัญหาท่ีตนกราบทูลถามจากพระพทุ ธเจา้ แลว้ มาณพ ๑๕ คนคือ อชิตมาณพถึงโมฆราชมาณพ ไดร้ ู้แจง้ เห็นธรรม สาเร็จเป็นพระอรหนั ตท์ ้งั หมด ปิ งคิยมาณพซ่ึงไดท้ ลู ถามปัญหาเป็นคนสุดทา้ ย ในขณะท่ีกาลงั ฟังคาวิสชั นาปัญหาอยู่ มิจิต กระสบั กระส่ายฟ้ งุ ซ่านเพราะคิดถึงพราหมณ์พาวรีผเู้ ป็นลุงของตน อยากใหล้ งุ ไดฟ้ ังพระธรรม เทศนาที่ไพเราะดว้ ย จงึ ไม่บรรลธุ รรมเป็ นพระอรหันต์ สาเร็จเพยี งพระโสดาบนั เท่าน้นั ภายหลงั ไดฟ้ ังธรรมเทศนาและบรรลุธรรมเป็นพระอรหนั ต์ หลงั จากน้นั มาณพท้งั ๑๖ คน ไดท้ ูลขออปุ สมบทในพระธรรมวินยั พระพทุ ธเจา้ ประทานอนุญาตใหอ้ ุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพทุ ธศาสนา ในบรรดาพระภิกษุท้งั หมดน้นั พระ โมฆราชเป็ นผู้ยนิ ดใี นการครองจวี รเศร้าหมอง ฉะน้ันพระพทุ ธองค์ทรงยกย่องใว้ในตาแหน่ง เอตทคั คะว่า เป็ นผู้เลศิ กว่าภกิ ษุท้งั หลาย ผู้ทรงจวี รเศร้าหมอง ปัญหาและเฉลยปริเฉทที่ ๘ ๑.ปัญหาวา่ “อะไรเป็ นภัยใหญ่ของสัตว์โลก” พระพทุ ธเจา้ ตรัสตอบอชิตมาณพวา่ อยา่ งไร ? ก.ลาภเป็นภยั ใหญ่ ข.ทุกขเ์ ป็นภยั ใหญ่ ค.ยศเป็นภยั ใหญ่ ง.ความโกรธเป็นภยั ใหญ่ ๒.ศิษยข์ องพราหมณ์พาวรีใครไดร้ ับยกยอ่ งเป็นเอตทคั คะ ? ก.ปิ งคิยมาณพ ข.อชิตมาณพ ค.เมตตคมู าณพ ง.โมฆราชมาณพ ๓.ใครต้งั สานกั อยทู่ ี่ฝ่ังแม่น้าโคธาวารี ? ก.ชฎิล ๓ พีน่ อ้ ง ข.สญั ชยั ปริพาชก ค.อาฬารดาบส ง.พาวรีพราหมณ์ ๔.ขอ้ ใด เรียกวา่ ปฏิปุจฉาพยากรณ์ ? ก.ทรงยอ้ นถามแลว้ จึงแกป้ ัญหา ข.ทรงแยกปัญหาแกท้ ีละขอ้ ค.ทรงแกป้ ัญหาน้นั โดยส่วนเดียว ง.ทรงระงบั ไมแ่ กป้ ัญหาน้นั ๕.ในมาณพ ๑๖ คนน้นั ใครไดร้ ับเอตทคั คะ ? ก.โมฆราชมาณพ ข.ปิ งคิยมาณพ ค.อชิตมาณพ ง.ปุณณกมาณพ

66 ๖. “อะไรเป็นเครื่องหา้ มความอยากอนั ไหลไปสู่อารมณ์ต่าง ๆ และจะละไดเ้ พราะธรรมอะไร” เป็น ปัญหาของใคร ? ก.อชิตมาณพ ข.ปิ งคิยมาณพ ค.ติสสเมตเตยยมาณพ ง.ปุณณกมาณพ ๗.พระสาวกรูปใด ไม่ใช่ศิษยข์ องพราหมณ์พาวรี ? ก.พระโมฆราช ข.พระปิ งคิยะ ค.พระภทั ทิยะ ง.พระอทุ ยะ ๘.มาณพ ๑๖ คนไปเฝ้ าพระพทุ ธเจา้ เพอ่ื ทูลถามปัญหาท่ีไหน ? ก.ปาสาณเจดีย์ ข.อานนั ทเจดีย์ ค.ปาวาลเจดีย์ ง.ป่ ามหาวนั ๙. “อะไรเป็ นภยั ใหญ่ของสัตว์โลก” เป็นปัญหาของใคร ? ก.กจั จานปุโรหิต ข.อชิตมาณพ ค.ปิ งคิยมาณพ ง.อนาถปิ ณฑิกเศรษฐี ๑๐. “อะไรเป็ นเคร่ืองห้ามความอยากดุจกระแสนา้ ” เป็นคาถามของใคร ? ก.โมฆราชมาณพ ข.ปิ งคิยมาณพ ค.ติสสเมตเตยมาณพ ง.อชิตมาณพ ๑๑.จากขอ้ ความในขอ้ บนน้นั พระพทุ ธเจา้ ตรัสตอบอยา่ งไร ? ก.สติเป็นเคร่ืองหา้ มกระแสความอยาก ข.ขนั ติเป็นเครื่องหา้ มกระแสได้ ค.สมาธิเป็นเครื่องหา้ มกระแสน้าได้ ง.ปัญญาเป็นเครื่องหา้ มกระแสน้าได้ ๑๒.ใครทลู ถามพระพทุ ธเจา้ วา่ “ใครเล่าข้ามพ้นชาตแิ ละชราได้แล้ว” ? ก.นนั ทมานพ ข.เหมกมานพ ค.เมตตคมู านพ ง.โธเตยยมานพ ๑๓.อชิตมาณพทูลถามปัญหาเป็นคนแรก ปัญหาที่ถามมีก่ีขอ้ ? ก. ๑ ข.๒ ค.๓ ง.๔ ๑๔. “ปัญญา สติ กบั นามรูปน้ัน จะดบั ไป ณ ทไี่ หน” ปัญหาน้ีใครเป็นคนทูลถาม ? ก.อชิตมาณพ ข.ปุณณกมาณพ ค.เมตตคูมานพ ง.ติสสเมตเตยยมานพ ๑๕.ปัญหาในขอ้ ๑๔ น้นั พระพทุ ธองคท์ รงพยากรณ์วา่ นาม รูป ดบั ไป ณ ที่น้นั เอง เพราะ ...? ก.เพราะดบั อุปาทานได้ ข.เพราะดบั เวทนาได้

67 ค.เพราะดบั ตณั หาได้ ง.เพราะวญิ ญาณดบั ไปก่อน ๑๖.ปัญหาวา่ “โลกมอี ะไรผูกพนั ไว้” ใครเป็นผทู้ ูลถาม ? ก.โมฆราชมาณพ ข.อชิตมาณพ ค.ปิ งคิยมาณพ ง.อุทยมาณพ ๑๗.ปัญหาในขอ้ ๑๖ พระพทุ ธองคต์ อบวา่ อยา่ งไร ? ก.โลกมีความเพลิดเพลินผกู พนั ไว้ ข.โลกมีความยดึ มน่ั ผกู พนั ไว้ ค.โลกมีมารเป็นเคร่ืองผกู พนั ไว้ ง.โลกมีมิจฉาทิฏฐิผกู พนั ไว้ ๑๘.ขอ้ ใดที่อาจารยก์ ลบั เป็นศิษย์ ศิษยก์ ลบั เป็นอาจารย์ ? ก.พราหมณ์พาวรี กบั ปิ งคิยมาณพ ข.พระสารีบตุ รกบั ราธพราหมณ์ ค.พระมหากสั สปะกบั ปุณณมนั ตานีบุตรง.พระมหากจั จายนะกบั พระเจา้ มธุรราช ๑๙.ใครเป็นผตู้ ้งั ปัญหาใหม้ าณพท้งั ๑๖ คนท่ีไปทูลถามพระพทุ ธเจา้ ? ก.พราหมณ์พาวรี ข.สญั ชยั ปริพาชก ค.โทณพราหมณ์ ง.ครูวศิ วามิตร ๒๐.มาณพ ๑๖ คน ใครถือตวั วา่ มีปัญญาเหนือผอู้ ่ืน ? ก.อชิตมาณพ ข.ปิ งคิยมาณพ ค.โมฆราช ง.ปุณณกมาณพ ๒๑. “ท่านกล่าวว่านพิ พาน ๆ ดงั นี้ เพราะละอะไรได้” ปัญหาน้ีใครเป็นผถู้ าม ? ก.อุทยมาณพ ข.โปสาลมาณพ ค.โมฆราชมาณพ ง.ภทั ราวธุ มาณพ ๑.ข ๒.ง เฉลย ๔.ก ๕.ก ๖.ก ๗.ค ๓.ง ๙.ข ๑๐.ง ๑๑.ก ๑๒.ก ๘.ก ๑๔.ก ๑๕.ง ๑๖.ง ๑๗.ก ๑๓.ง ๑๙.ก ๒๐.ค ๒๑.ค ๑๘.ก

68 ปริเฉทที่ ๙ ว่าด้วยการอนุญาตญตั ตจิ ตตุ ถกรรมวาจา ญัตติจตุตถกรรมวาจา ญตั ติจตุตถกรรมวาจา หมายถึง การอุปสมบทดว้ ยญตั ติจตุตถกรรม (กรรมมีญตั ติเป็นที่สี่) เป็นวิธีอุปสมบทที่สงฆเ์ ป็นผกู้ ระทาอยา่ งท่ีใชใ้ นปัจจุบนั โดยภิกษุประชุมครบกาหนดในเขตพทั ธ สีมา แลว้ กลา่ วประกาศเรื่องความท่ีจะรับคนน้นั เขา้ หมู่ และไดร้ ับความยนิ ยอมจากภิกษุผเู้ ขา้ ประชุมเป็นสงฆน์ ้นั การอปุ สมบทดว้ ยวธิ ีน้ีมี ๒ ข้นั ตอนคือ ๑. ญตั ติ คือการประกาศชื่อของผอู้ ปุ สมบทใหส้ งฆท์ ราบ ๒. อนุสาวนา คือการประกาศใหส้ งฆท์ ราบวา่ สงฆไ์ ดใ้ หอ้ ปุ สมบทคนช่ือน้นั ๓ คร้ัง สมบตั ิ ๔ การอปุ สมบทน้ีเป็นสงั ฆกรรมอยา่ งหน่ึงที่บญั ญตั ิไวใ้ นพระวินยั และตอ้ งประกอบดว้ ย สมบตั ิ ๔ ไดแ้ ก่ ๑.วตั ถุสมบัติ คือวตั ถุถึงพร้อม เช่น ผอู้ ปุ สมบทเป็นชายอายคุ รบ ๒๐ ปี ๒.ปริสสมบตั ิ คือภิกษุผใู้ หอ้ ปุ สมบทประชุมกนั ครบตามจานวนที่กาหนด ๓.สีมาสมบัติ คือเขตชุมนุมถึงพร้อม เช่น สีมามีนิมิตถกู ตอ้ งตามพระวินยั และประชุมใน เขตสีมา ๔.กรรมวาจาสมบัติ คือกรรมวาจาถึงพร้อม สวดประกาศถกู ตอ้ งครบถว้ น สถานะเดิมพระราธะ พระราธะ ช่ือเดิมวา่ ราธะ บิดาและมารดาไม่ปรากฏช่ือ เกิดในวรรณะพราหมณ์ ท่ีเมือง ราชคฤห์ แควน้ มคธ ต่อมาไดแ้ ตง่ งานกบั หญิงสาวคนหน่ึง เพราะมีความยากจนพอแก่ตวั กถ็ กู ลกู เมีย รังเกียจ ขบั ไลอ่ อกจากบา้ น ไดไ้ ปอาศยั อยทู่ ี่วดั เชตวนั อปุ ัฏฐากพระภิกษแุ ละสามเณร ปัด กวาด เช็ดถเู สนาสนะเป็นอยา่ งดี จนเป็นท่ีรักของพระภิกษุและสามเณร มูลเหตุของการออกบวช วนั หน่ึงราธะอยากจะบวช แต่ไม่มีใครบวชให้ ท่านเสียใจจนร่างกายซูบผอม ผิวพรรณเศร้า หมอง พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ไปโปรดตรัสถามถึงความเป็นอยขู่ องราธะ คร้ันไดท้ ราบความจริงแลว้

69 ตรัสรับสง่ั ใหป้ ระชุมพระภิกษุ ไดต้ รัสถามท่ามกลางที่ประชุมวา่ ใครระลึกถึงอปุ การคุณของ พราหมณ์น้ีไดบ้ า้ ง พระสารีบุตรกราบทูลวา่ ขา้ พระองคร์ ะลึกได้ พราหมณ์น้ีเคยถวายขา้ วขา้ พระองคห์ น่ึงทพั พี ทรงอนุญาตใหพ้ ระสารีบุตรเป็นพระอปุ ัชฌายบ์ วชใหร้ าธะ พระสารีบุตรได้ บวชใหร้ าธะดว้ ยวธิ ี ญตั ตจิ ตตุ ถกรรมวาจา ซ่ึงพระราธะเป็ นคนแรกทบ่ี วชด้วยวธิ ีนี้ ในปัจจบุ นั นี้ พระภกิ ษทุ กุ รูปกบ็ วชด้วยวธิ นี ี้ บรรลธุ รรมเป็ นพระอรหันต์ หลงั จากบวชแลว้ พระราธะไดเ้ ขา้ เฝ้ าพระพทุ ธองค์ ทลู ขอใหแ้ สดงธรรมยอ่ ๆ พอเกิด กาลงั ใจในการบาเพญ็ เพียร จึงตรัสวา่ “ราธะ ส่ิงใดเป็ นมาร ท่านจงละความกาหนดั พอใจในส่ิง น้นั เสีย อะไรเล่าช่ือว่ามาร ขนั ธ์ ๕ คอื รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวญิ ญาณ ซ่ึงไม่เทยี่ ง เป็ น ทกุ ข์ เป็ นอนัตตา มคี วามสิ้นไปเส่ือมไป เกดิ ขนึ้ แล้วกด็ บั ไปเป็ นธรรมดา ชื่อว่ามาร เธอจงละ ความกาหนดั ความพอใจรักใคร่ในขนั ธ์ ๕ น้นั เสีย” ท่านรับโอวาทแลว้ จาริกไปกบั พระสารีบุตร ปฏิบตั ิตามพระโอวาทน้นั เป็นอยา่ งดี ต่อมาไม่นานกไ็ ดบ้ รรลธุ รรมเป็นพระอรหนั ต์ ตาแหน่งเอตทคั คะ พระราธะเป็นพระที่บวชเม่ือแก่แตเ่ ป็นผวู้ า่ นอนสอนงา่ ย ทาใหพ้ ระพทุ ธองคแ์ ละพระ อปุ ัชฌายเ์ ป็นตน้ มีความเมตตาสง่ั สอนท่านเสมอ จึงทาใหท้ ่านมีปัญญาแจ่มแจง้ ในเทศนา เพราะ ไดฟ้ ังธรรมะบ่อย ๆ พระพทุ ธองคท์ รงยกยอ่ งท่านวา่ “เป็ นเลศิ กว่าภกิ ษุท้งั หลาย ผู้มปี ฏภิ าณ คอื ความรู้แจ่มแจ้งในพระธรรมเทศนา” พระราธะเป็นกาลงั สาคญั ในการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาองคห์ น่ึง ท่านดารงอายสุ งั ขาร พอสมควรแก่อตั ภาพแลว้ กไ็ ดน้ ิพพานในท่ีสุด สถานะเดมิ พระปุณณมนั ตานีบุตร พระปุณณมนั ตานีบุตร ชื่อเดิมวา่ ปุณณะ บิดาไม่ปรากฏช่ือ มารดาชื่อวา่ นางมนั ตานี เกิดใน วรรณะพราหมณ์ ที่หม่บู า้ นโทณวตั ถุ ใกลเ้ มืองกบิลพสั ดุ์ มารดาของท่านเป็ นน้องสาวของ พระอญั ญาโกณฑัญญะ คนส่วนมากเรียกท่านวา่ ปุณณมนั ตานีบุตร เพราะวา่ เป็นบตุ รของนางมนั ตานี

70 มูลเหตุของการออกบวช พระปุณณมนั ตานีบุตรบวชในพระพทุ ธศาสนา โดยการชกั ชวนของพระอญั ญาโกณ ฑญั ญะซ่ึงเป็นหลวงลงุ มีหลวงลงุ เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อปฏิบตั ิตามคาสอนของพระอปุ ัชฌาย์ ไม่นาน กไ็ ดบ้ รรลุธรรมเป็นพระอรหนั ต์ ท่านต้งั มน่ั อยใู่ นคุณธรรม ๑๐ ประการ ซ่ึงเรียกวา่ กถา วตั ถุ ๑๐ งานประกาศพระศาสนา คร้ันบวชแลว้ ท่านกลบั ไปเมืองกบิลพสั ดุ์ สงั่ สอนประชาชนจนเกิดความเล่ือมใสใน พระพทุ ธศาสนาเป็นจานวนมาก และท่ีออกบวชกเ็ ป็นจานวนมาก โดยมีท่านเป็นพระอปุ ัชฌายใ์ ห้ พวกลกู ศิษยล์ ว้ นยดึ มนั่ ปฏิบตั ิในกถาวตั ถุ ๑๐ ประการ เหมือนพระอปุ ัชฌาย์ คือ ๑.อปั ปิ จฉกถา ถอ้ ยคาเรื่องความมกั นอ้ ย ๒.สนั ตุฏฐิกถา ถอ้ ยคาเร่ืองความสนั โดษ ๓.ปวเิ วกกถา ถอ้ ยคาเรื่องความสงดั ๔.อสงั สคั คกถา ถอ้ ยคาเร่ืองความไม่คลุกคลีดว้ ยหมคู่ ณะ ๕.วิริยารัมภกถา ถอ้ ยคาเร่ืองการปรารภความเพียร ๖.สีลกถา ถอ้ ยคาเร่ืองศีล ๗.สมาธิกถา ถอ้ ยคาเรื่องสมาธิ ๘.ปัญญากถา ถอ้ ยคาเร่ืองปัญญา ๙.วิมุตติกถา ถอ้ ยคาเร่ืองความหลดุ พน้ ๑๐.วิมุตติญาณทสั สนกถา ถอ้ ยคาเรื่องความรู้ความเห็นวา่ หลดุ พน้ และเมื่อคร้ังท่ีพระอานนทบ์ วชใหม่ ๆ ท่านสอนพระอานนทเ์ ร่ืองกถาวตั ถุ ๑๐ ทาใหพ้ ระ อานนทบ์ รรลุธรรมเป็นพระโสดาบนั สนทนาธรรมกบั พระสารีบุตร พระสารีบุตรไดฟ้ ังพระลกู ศิษยข์ องพระปณุ ณมนั ตานีบุตร พดู ถึงคุณธรรม ๑๐ ประการ ของพระอปุ ัชฌาย์ จึงอยากสนทนาธรรมดว้ ย เม่ือไดพ้ บแลว้ สนทนากนั เรื่องวสิ ุทธิ ๗ ประการ ๑. สีลวิสุทธิ ความหมดจดแห่งศีล ๒. จิตตวิสุทธิ ความหมดจดแห่งจิต ๓. ทิฏฐิวิสุทธิ ความหมดจดแห่งทิฏฐิ ๔. กงั ขาวติ รณวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็นเคร่ืองขา้ มพน้ ความสงสยั

71 ๕. มคั คามคั คญาณทสั สนวสิ ุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องวา่ ทางมิใช่ทาง ๖. ปฏิปทาญาณทสั สนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็นเคร่ืองเห็นทางปฏิบตั ิ ๗. ญาณทสั สนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณทสั สนะ ท่านอปุ มาวสิ ุทธิ ๗ เหมือนรถ ๗ ผลดั รับส่งมุ่งตรงต่อพระนิพพาน ต่างกย็ นิ ดีต่อธรรม ภาษิตของกนั และกนั เร่ืองวสิ ุทธิ ๗ อยู่ในรถวนิ ตี สูตร ตาแหน่งเอตทคั คะ พระปุณณมนั ตานีบุตร มีวาทะในการแสดงธรรมอนั ลึกซ้ึงดว้ ยอุปมาอปุ มยั และดารงมนั่ อยใู่ นกถาวตั ถุ ๑๐ ประการ เพราะฉะน้นั พระพทุ ธองคท์ รงยกยอ่ งท่านวา่ “เป็ นเลศิ กว่าภิกษทุ ้งั หลาย ผู้เป็ นพระธรรมกถึก” พระปุณณมนั ตานีบตุ ร เป็นกาลงั สาคญั ในการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาองคห์ น่ึง ท่านดารง อายขุ ยั พอสมควารแก่อตั ภาพแลว้ กไ็ ดน้ ิพพานในท่ีสุด ปัญหาและเฉลยปริเฉทท่ี ๙ ๑.พระสาวกรูปใด ไดร้ ับยกยอ่ งวา่ เป็นยอดพระนกั เทศน์ ? ก.พระราธะ ข.พระปุณณมนั ตานีบุตร ค.พระโสณกฏุ ิกณั ณะ ง.พระโสณโกฬิวสิ ะ ๒.ใครไดร้ ับการอุปสมบท เพราะอานิสงส์ถวายขา้ วเพยี งทพั พเี ดียว ? ก.พระราธะ ข.พระพาหิยะ ค.พระวกั กลิ ง.พระพากลุ ะ ๓.พระราธะอปุ สมบทดว้ ยวธิ ีใด ? ก.เอหิภิกขอุ ปุ สมั ปทา ข.โอวาทปฏิคคหณูปสมั ปทา ค.ติสรณคมนูปสมั ปทา ง.ญตั ติจตุตถกรรมอปุ สมั ปทา ๔.ใครเป็นพระอปุ ัชฌายข์ องพระปุณณมนั ตานีบุตร ? ก.พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ข.พระอสั สชิ ค.พระมหากสั สปะ ง.พระกาฬุทายี ๕.พระสาวกรูปใดต้งั อยใู่ นกถาวตั ถุ ๑๐ ประการ มีมกั นอ้ ย สนั โดษ เป็นตน้ ? ก.พระยมกะ ข.พระปุณณมนั ตานีบุตร ค.พระสารีบตุ ร ง.พระพากลุ ะ

72 ๖.ธรรมเปรียบดว้ ยรถ ๗ ผลดั ท่ีพระปุณณมนั ตานีบุตรสนทนากบั พระสารีบุตร วา่ ดว้ ยเรื่องอะไร ? ก.อริยสจั ๔ ข.วิสุทธิ ๗ ค.มรรค ๘ ง.โพชฌงค์ ๗ ๗.พระราธะ เป็นท่ีมาของเรื่องใด ? ก.การทาบุญตกั บาตร ข.ติสรณคมนุปสมั ปทา ค.เอหิภิกขอุ ปุ สมบท ง.ญตั ติจตุตถกรรมวาจา ๘. “ส่ิงใดเป็ นมาร เธอพงึ ละความพอใจส่ิงน้นั เสีย” ตรัสแก่ใคร ? ก.พระภทั ทวคั คีย์ ข.พระราธะ ค.พระนนั ทะ ง.พระอานนท์ ๙.ใครอุปสมบทดว้ ยญตั ติจตุตถกรรมวาจา เป็นรูปแรก ? ก.พระรัฐบาล ข.พระอานนท์ ค.พระราธะ ง.พระสุภทั ทะ ๑๐.พทุ ธานุพทุ ธประวตั ิปริเฉทที่ ๙ อา้ งอิงใครก่อน ? ก.พระสารีบุตรเถระ ข.พระราธเถระ ค.พระโมคคลั ลานเถระ ง.พระมหากสั สปเถระ ๑๑.ใครเป็นพระอปุ ัชฌายข์ องพระราธะ ? ก.พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ข.พระพทุ ธเจา้ ค.พระสารีบุตร ง.พระโมคคลั ลานะ ๑๒.พระเถระรูปใดไดร้ ับยกยอ่ งวา่ เป็นแบบอยา่ งท่ีดีของผมู้ ีความกตญั ญูกตเวที ? ก.พระราหุล ข.พระอสั สชิ ค.พระราธะ ง.พระสารีบุตร ๑๓.รถวินีตสูตร กล่าวถึงธรรมขอ้ ใด ? ก.สิกขา ๓ ข.ญาณ ๓ ค.อริยสจั ๔ ง.วิสุทธิ ๗ ๑.ข ๒.ก เฉลย ๕.ข ๖.ข ๗.ง ๓.ง ๔.ก ๑๐.ข ๑๑.ค ๑๒. ๘.ข ๙.ค ๑๓.ง

73 ปริเฉทท่ี ๑๐ ว่าด้วยการเสดจ็ เมืองกบลิ พสั ด์ุ พระเจ้าสุทโธทนะ หลงั จากท่ีพระมหาบุรษทรงตรัสรู้พระอนุตตรสมั มาสมั โพธิญาณแลว้ ขณะประทบั อยวู่ ดั ที่ พระเวฬุวนั มหาวหิ าร เมืองราชคฤห์ พระเจา้ สุทโธทนะมีพระประสงคจ์ ะสดบั พระธรรมเทศนา จึงรับสง่ั ใหอ้ ามาตยแ์ ละบริวาร ๑,๐๐๐ คน ไปทลู เชิญเสดจ็ มาสู่เมืองกบิลพสั ดุ์ อามาตยพ์ ร้อมดว้ ยบริวาร เม่ือไปถึงแลว้ กราบถวายบงั คม และฟังธรรมเทศนาจบแลว้ ท้งั หมดไดบ้ รรลุธรรมเป็นพระอรหนั ต์ พร้อมท้งั กราบทลู ขออปุ สมบทในพระพทุ ธศาสนา พระ พทุ ธองคป์ ระทานอนุญาตใหอ้ ปุ สมบทเป็นพระภิกษุท้งั หมด กาฬุทายอี อกบวช ฝ่ ายพระเจา้ สุทโธทนะ เม่ือไม่เห็นอามาตยค์ ณะท่ีส่งไปทูลอาราธนากลบั มา จึงไดส้ ่ง อามาตยพ์ ร้อมท้งั บริวารไปอีก แต่กเ็ ป็นไปในลกั ษณะเดิม เป็นอยา่ งน้ีถึง ๙ คณะ จนคร้ังสุดทา้ ยทรง รับสงั่ ใหก้ าฬุทายอี ามาตยไ์ ปกราบทลู กาฬุทายอี ามาตยถ์ ือโอกาสกราบทูลขออปุ สมบท เม่ือมาถึงพระเวฬุวนั มหาวหิ ารแลว้ ไดเ้ ขา้ เฝ้ าพระพทุ ธเจา้ ไดฟ้ ังพระธรรมเทศนาบรรลุ ธรรมเป็นพระอรหนั ตพ์ ร้อมท้งั บริวาร และไดท้ ลู ขออปุ สมบทในพระพทุ ธศาสนา หลงั จากอปุ สมบทแลว้ ไดก้ ราบทูลพระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ไปเมืองกบิลพสั ดุ์ ทรงรับคา อาราธนาของพระกาฬุทายี จึงไดเ้ สดจ็ พระราชดาเนินพร้อมดว้ ยพระสงฆส์ าวกประมาณสองหม่ืน รูปไปยงั เมืองกบิลพสั ดุ์ ซ่ึงมีระยะทางราว ๖๐ โยชน์ พระกาฬุทายไี ดไ้ ปแจง้ เหตกุ ารณ์เสดจ็ แด่พระ เจา้ สุทโธทนะทุกวนั เสด็จถึงเมอื งกบิลพสั ด์ุ คร้ันเสดจ็ ถึงเมืองกบิลพสั ดแุ์ ลว้ ประทบั ที่นิโครธารามซ่ึงพระประยรู ญาติไดส้ ร้างไวร้ อรับ เสดจ็ ในขณะน้นั เหลา่ พระประยรู ญาติถือวา่ ตวั มีอายมุ ากกวา่ ไม่ยกหตั ถน์ มสั การ พระพทุ ธองค์ ทรงทราบเหตุจึงทรงแสดงอิทธิฤทธ์ิเหาะข้ึนไปบนอากาศยงั ธุลีละอองพระบาทใหต้ กบนศีรษะของ เหลา่ ประยรู ญาติทาลายทิฏฐิจนหมดสิ้น และไดต้ รัสธรรมเทศนาช่ือ “พทุ ธวงศ์” พระเจา้ สุ ทโธทนะพร้อมดว้ ยพระประยรู ญาติไดป้ ระนมหตั ถถ์ วายนมสั การดว้ ยความช่ืนชมโสมนสั เป็นอยา่ ง ยงิ่

74 ฝนโบกขรพรรษตก ลาดบั น้นั ฝนโบกขรพรรษ ซ่ึงมีลกั ษณะเป็นสีแดงตกลงในท่ามกลางแห่งสมาคมพระ ประยรู ญาติเป็นที่น่าอศั จรรยใ์ จ สาหรับฝนโบกขรพรรษตกลงมาแลว้ ผถู้ กู ฝนตอ้ งการจะใหเ้ ปี ยกก็ เปี ยก ไม่ตอ้ งการใหเ้ ปี ยกกไ็ ม่เปี ยก เหมือนกบั น้าฝนที่ตกลงบนใบบวั ไม่เปี ยกใบบวั พวกภิกษุ เห็นเหตุอศั จรรยเ์ ช่นน้นั ต่างโจทยข์ านกนั ไปทว่ั พระพทุ ธเจา้ ตรัสแก่พวกภิกษุวา่ “ภิกษุท้งั หลาย ฝนโบกขรพรรษตกในกาลน้ีเท่าน้นั หามิได้ ในอดีตกาลเมื่อตถาคตเสวยพระชาติเป็นพระเวสสนั ดร ฝนโบกขรพรรษน้ีกเ็ คยตกมาแลว้ เช่นกนั ” จากน้นั ทรงแสดงเวสสันดรชาดก หลงั จากแสดงพระธรรมเทศนาจบ เหลา่ พระประยรู ญาติต่างก็ ทลู ลากลบั แต่ไม่มีใครกราบทลู อาราธนาใหเ้ สดจ็ ไปเสวยภตั ตาหารในพระราชวงั รุ่งข้ึนพระ พทุ ธองคไ์ ดเ้ สดจ็ บิณฑบาตในเมืองกบิลพสั ดุต์ ามลาดบั ตรอก เพื่อโปรดชาวเมืองตามประเพณีของ พระพทุ ธเจา้ ทุกพระองค์ พระพทุ ธบดิ าบรรลธุ รรม ขณะน้นั พระนางยโสธราสดบั วา่ พระพทุ ธองคก์ าลงั เสดจ็ รับบาตรจากชาวเมือง จึงพา ราหุลกมุ ารไปยนื ดูที่ช่องสีหบญั ชร (หนา้ ต่าง) เห็นพระพทุ ธองคท์ รงรุ่งเรืองดว้ ยพระ ฉพั พรรณรังสีจึงตรัสสรรเสริญ จากน้นั ไดก้ ราบทลู ใหพ้ ระเจา้ สุทโธทนะทรงทราบ พระเจา้ สุทโธทนะทรงสดบั เช่นน้ีแลว้ รีบเสดจ็ ไปประทบั ยนื เฉพาะพระพกั ตร์แลว้ ตรัส หา้ มไม่ใหบ้ ิณฑบาต เพราะเป็นการเส่ือมเสียเกียรติวงศต์ ระกลู พระพทุ ธเจา้ ตรัสตอบวา่ “มหาบพติ ร การออกบณิ ฑบาตเป็ นประเพณขี องพระพทุ ธเจ้าท้งั หลาย” จากน้นั ทรงแสดงธรรม เทศนาโปรดพระพทุ ธบิดาดว้ ยพระคาถาวา่ “ผู้ใดไม่ประมาทในบิณฑบาตอนั บุคคลพงึ ลกุ ขนึ้ ยนื รับ มอี ตุ สาหะประพฤตสิ ุจริตธรรม ผู้น้ันพงึ อยู่เป็ นสุขท้งั ในโลกนีแ้ ละโลกหน้า” คร้ันจบพระธรรม เทศนา พระเจา้ สุทโธทนะบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบนั ทรงอาราธนาพระพทุ ธเจา้ เสดจ็ เสวย ภตั ตาหารในพระราชวงั พระนางปชาบดีและพระพทุ ธบิดาบรรลธุ รรม เช้าวนั ทส่ี อง พระพทุ ธเจา้ ไดเ้ สดจ็ ไปเสวยภตั ตาหารในพระราชวงั ทรงแสดงเทศนาโปรด พระนางปชาบดีโคตมีดว้ ยพระคาถาวา่ “บุคคลใดประพฤตสิ ุจริตธรรม ไม่ประกอบทจุ ริต บุคคล น้นั ย่อมอยู่เป็ นสุขท้งั โลกนแี้ ละโลกหน้า” จบแลว้ พระนางปชาบดีโคตมีไดบ้ รรลธุ รรมเป็นพระ โสดาบนั ส่วนพระเจา้ สุทโธทนะไดบ้ รรลุธรรมเป็นพระสกทาคามี

75 และในวนั ทสี่ ามไดเ้ สดจ็ ไปเสวยภตั ตาหารในพระราชวงั อีก ตรัสมหาธรรมปาลชาดก จบ พระพทุ ธบิดาไดบ้ รรลธุ รรมเป็นพระอนาคามี พระนางพมิ พาบรรลโุ สดาบนั พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ไปเสวยภตั ตาหารในพระราชวงั เป็นเวลาถึงสามวนั แลว้ แต่พระนาง พิมพากย็ งั ไม่ไดเ้ สดจ็ มาเขา้ เฝ้ า วนั ทส่ี ี่พระเจา้ สุทโธทนะจึงรับสงั่ ใหน้ างสนมไปเชิญเสดจ็ แต่ พระนางกย็ งั ไมเ่ สดจ็ มาเขา้ เฝ้ า พระเจา้ สุทโธทนะจึงทลู อาราธนาขอใหพ้ ระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ไปเยยี่ ม พระพทุ ธองคจ์ ึงเสดจ็ พร้อมดว้ ยพระอคั รสาวกท้งั สอง พอไดเ้ ห็นพระพทุ ธองคเ์ ท่าน้นั พระนางพมิ พากท็ รงกนั แสงน้าพระเนตรท่วมพระพกั ตร์ แลว้ กม้ ศีรษะซบพระบาทของพระพทุ ธองค์ โอกาสน้นั พระเจา้ สุทโธทนะทูลแด่พระพทุ ธองคว์ า่ “ข้าแต่พระผู้มพี ระภาคเจ้า จะหาสตรีใดทเ่ี สมอได้ยากยงิ่ พระนางมคี วามจงรักภกั ดเี ป็ นทสี่ ุด จาเดมิ ต้งั แต่พระองค์เสดจ็ ออกบรรพชา พระนางมแี ต่ความระทมทุกข์ แม้จะนง่ั นอนยนื เดนิ กไ็ ม่ สาราญพระทยั มแี ต่ความทกุ ข์โศกมเิ หือดหาย และแม้พระประยูรญาตจิ ะรับกลบั ไปบารุงเลยี้ ง ดูพระนางกไ็ ม่ปรารถนา มคี วามต้งั ใจสวามภิ ักด์ซิ ่ือสัตย์เฉพาะต่อพระองค์เท่าน้ัน ขอพระองค์ ประทานชีวติ แก่พระนางผู้มคี วามจงรักภกั ดดี ้วยเถิด” พระพทุ ธเจา้ ตรัสวา่ “มหาบพติ ร พระนางพมิ พามจี ติ เสน่หาสวามภิ กั ด์ติ ่อเราตถาคตใน ชาตนิ เี้ ท่าน้นั หามไิ ด้ แม้ในอดตี ชาติ พระนางกม็ อี ปุ การคุณช่วยตถาคตบาเพญ็ บารมมี าเป็ น อเนกชตเิ ลยทเี ดยี ว” จากน้นั ทรงแสดงจนั ทกนิ รีชาดกโดยพิสดาร เพื่อบาบดั ความเศร้าโศกของ พระนางพมิ พาใหเ้ บาบางลง หลงั แสดงจบลงแลว้ พระนางไดบ้ รรลุธรรมเป็นพระโสดาบนั พระนันทกมุ ารออกบวช ในวนั ทห่ี ้า พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ไปรับบิณฑบาตในพระราชวงั ของนนั ทกมุ ารผเู้ ป็นพทุ ธอนุชา และวนั น้นั เป็นวนั ววิ าหมงคลของนนั ทกมุ ารกบั นางชนบทกลั ยาณี ทรงทาภตั กิจเสร็จแลว้ ประทาน บาตรใหน้ นั ทกมุ ารถือ จากน้นั ตรัสมงคลกถา จบแลว้ เสดจ็ ออกจากพระราชวงั ไปโดยมิไดร้ ับ บาตรจากนนั ทกมุ าร และนนั ทกมุ ารกไ็ มท่ ลู เตือนแต่ถือบาตรตามเสดจ็ ถึง นิโครธาราม พระพทุ ธเจา้ ตรัสวา่ “นันทะ เธอจะบวชหรือ” แมไ้ ม่อยากบวชแต่นนั ทกมุ ารกก็ ราบทลู รับวา่ “จะบวช” เพราะความเคารพนบั ถือในพระพทุ ธเจา้ และไดอ้ ุปสมบทในพระพทุ ธศาสนา

76 พระราหุลกมุ ารบรรพชา ในวนั ทเ่ี จด็ พระนางพิมพาจดั แจงประดบั ตกแต่งราหุลกมุ าร แลว้ ส่งไปหาพระพทุ ธเจา้ ซ่ึง กาลงั เสดจ็ บิณฑบาตพร้อมกบั ตรัสสงั่ วา่ “สมณะน้นั เป็ นบิดาของลูก ลกู จงทูลขอทรัพย์สมบตั ิ กบั พระองค์เถดิ ” คร้ันแลว้ ราหุลกมุ ารกลบั ช่ืนชมพระพทุ ธองค์ หลงั จากเสวยภตั ตาหารเสร็จ ทรงอนุโมทนาแลว้ เสดจ็ กลบั พระวิหาร ราหุลกมุ ารตามส่งเสดจ็ ไปถึงพระวิหารแลว้ ทลู ขอสมบตั ิ ทรงดาริวา่ ทรัพย์สมบตั เิ ป็ น ของทจี่ ะเวยี นไปในสังสารวฏั ดงั น้ันเราจกั ให้อริยทรัพย์แก่ราหุลกมุ าร แลว้ ตรัสกบั พระสารีบุตร วา่ “เธอจงบรรพชาให้ราหุลกมุ าร” พระสารีบุตรรับพทุ ธบญั ชาแลว้ บวชราหุลกมุ ารเป็นสามเณร สามเณรราหุลจึงไดช้ ่ือวา่ เป็ นสามเณรองค์แรกในพระพทุ ธศาสนา พระเจ้าสุทโธทนะขอพร พระเจา้ สุทโธทนะทราบข่าวการบวชของราหุลกมุ ารมีพระทยั โทมนสั เพราะทรงดาริวา่ จกั ใหส้ ิทธตั ถกมุ ารหรือนนั ทกมุ ารครองราชยส์ มบตั ิสืบแทน แต่ท้งั สองกอ็ อกบวชเสีย และทรงหวงั วา่ ราหุลกมุ ารจกั ครองราชยแ์ ทน แมร้ าหุลกมุ ารกอ็ อกบรรพชาอีกองคห์ น่ึง จึงเขา้ เฝ้ าพระพทุ ธเจา้ ที่ พระวิหาร ทลู ขอพรวา่ ต้งั แต่นีไ้ ปกลุ บุตรผู้ใคร่จะบวช ถ้าบดิ ามารดาไม่ยนิ ยอมอนุญาตให้บวช ขอจงอย่าบรรพชาอปุ สมบทให้กลุ บุตรผู้น้ัน พระพทุ ธองคท์ รงอนุมตั ิตามที่พระพทุ ธบิดาทูลขอทุก ประการ พระราหุลบรรลธุ รรมเป็ นพระอรหันต์ วนั หน่ึงพระพทุ ธองคต์ รัสสอนพระราหุลเรื่องปัญญาเปรียบดว้ ยกระจกเงา คือก่อนทางาน ดว้ ยกายวาจาและใจ ตอ้ งใชป้ ัญญาพจิ ารณาวา่ เดือดร้อนตวั เอง เดือดร้อนผอู้ ื่น เดือดร้อนท้งั ตวั เอง และผอู้ ่ืนไมค่ วรกระทา ตรัสสอนถึงธาตุ ๕ อยา่ ง คือธาตุดิน ธาตุน้า ธาตุลม ธาตุไฟ อากาศธาตุ วา่ ไม่ควรยดึ มน่ั ถือมน่ั พรหมวิหาร ๔ อสุภะ อนิจจสญั ญา ควรทาใหม้ ากเจริญใหม้ ากยอ่ มมี อานิสงส์ใหญ่ ต่อมาไดฟ้ ังเร่ืองอายตนะภายในและอายตนะภายนอก ท่านส่งใจไปตามพระธรรม เทศนาไดบ้ รรลธุ รรมเป็นพระอรหนั ต์ พระราหุลเป็นผใู้ คร่ในการศึกษาพระธรรมวินยั เป็นอยา่ งยงิ่ แต่ยงั เป็นสามเณร ดงั น้นั พระ พทุ ธองคจ์ ึงทรงยกยอ่ งไวใ้ นตาแหน่งเอตทคั คะวา่ เป็ นผู้เลศิ กว่าภิกษุท้งั หลาย ผู้ใคร่ในการศึกษา

77 ปัญหาและเฉลยปริเฉทท่ี ๑๐ ๑.ธรรมะเปรียบดว้ ยกระจกเงา ท่ีพระศาสดาตรัสแก่สามเณรราหุลวา่ ดว้ ยเร่ืองอะไร ? ก.การเสียสละ ข.ความมีเมตตา ค.การทางานดว้ ยปัญญา ง.การไม่กลา่ วเทจ็ ๒.วิวาห์ลม่ เกิดข้ึนแก่พระสาวกรูปใด ? ก.พระมหากสั สปะ ข.พระนนั ทะ ค.พระอานนท์ ง.พระอนุรุทธะ ๓.ฝนโบกขรพรรษท่ีตกลงในท่ามกลางสมาคมพระญาติของพระพทุ ธเจา้ มีสีอะไร ? ก.แดง ข.แดงเขม้ ค.ขาวใส ง.เหลือง ๔.ใครทลู เชิญพระศาสดาเสดจ็ ไปกรุงกบิลพสั ดไุ์ ดส้ าเร็จ ? ก.พระกาฬุทายี ข.พระอานนท์ ค.พระอบุ าลี ง.พระราหุล ๕.ใครทูลขอใหบ้ วชกลุ บุตรที่มารดาบิดาอนุญาตเสียกอ่ น ? ก.พระเจา้ พมิ พิสาร ข.พระเจา้ อชาตศตั รู ค.พระเจา้ สุทโธทนะ ง.พระเจา้ โกรัพยะ ๖.พระสาวกรูปใด ไดร้ ับเอตทคั คะทาตระกลู ใหเ้ ล่ือมใส ? ก.พระกาฬุทายี ข.พระโสภิตะ ค.พระพากลุ ะ ง.พระรัฐบาล ๗.พระศาสดา แสดงธรรมโปรดพระเจา้ สุทโธทนะคร้ังแรกที่ไหน ? ก.บุพพาราม ข.เวฬุวนาราม ค.นิโครธาราม ง.อมั พวนาราม ๘.ฝนโบกขรพรรษตก ในคราวเสดจ็ ไป ณ ท่ีใด ? ก.กรุงราชคฤห์ ข.กรุงกบิลพสั ดุ์ ค.กรุงเวสาลี ง.กรุงเทวทหะ ๙.พระเจา้ สุทโธทนะฟังธรรมอะไร จึงบรรลพุ ระอรหตั ? ก.อนุปุพพิกถา ข.อนิจจาทิปฏิสงั ยตุ ค.ธรรมปาลชาดก ง.เวสสนั ดรชาดก

78 ๑๐.สามเณรรูปแรกในพระพทุ ธศาสนาคือใคร ? ก.สามเณรสงั กิจจะ ข.สามเณรสานุ ค.สามเณรชยั เสนะ ง.สามเณรราหุล ๑.ค ๒.ข เฉลย ๔.ก ๕.ค ๖.ก ๗.ค ๓.ก ๙.ข ๑๐.ง ๘.ข

79 ปริเฉทท่ี ๑๑ ว่าด้วยศากยวงศ์ออกบวช ปรารภเหตุศากยวงศ์ออกบวช สมยั หน่ึง พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ จาริกสู่มหาชนบทประทบั อยทู่ ่ีอนุปิ ยอมั พวนั ซ่ึงเป็นสวนแห่ง หน่ึงต้งั อยใู่ นเขตอนุปิ ยนิคม แขวงมลั ลชนบท เมืองพาราณสี ในการน้นั เจา้ ศากยะพระนามวา่ มหานามะ ไดป้ รารภกบั นอ้ งชายคืออนุรุทธะวา่ ในตระกลู ของเราไมม่ ีใครออกบวชตามเสดจ็ พระบรมศาสดาเลย เราท้งั สองจกั ตอ้ งออกบวชผหู้ น่ึง เธอจกั บวช หรือเราจกั บวช อนุรุทธะทลู วา่ ขอใหเ้ จา้ พ่ีออกบวชเถิด ดงั น้ีแลว้ มหานามะไดแ้ นะนาเก่ียวกบั การ ทางานเล้ียงชีพมีกสิกรรมและพาณิชยกรรมเป็นตน้ เม่ือฟังจบแลว้ อนุรุทธะเกิดความทอ้ แทเ้ บื่อ หน่าย เห็นวา่ การงานเป็นเรื่องยงุ่ ยากไมม่ ีสิ้นสุดจึงตดั สินใจออกบวช คร้ันตกลงกนั เช่นน้นั แลว้ อนุรุทธะไดข้ ออนุญาตพระมารดาเพือ่ ออกบวช แต่พระมารดา ตรัสหา้ มถึง ๓ คร้ัง จนในท่ีสุดกจ็ ายอมอนุญาตวา่ ถา้ เจา้ ภทั ทิยราชกมุ ารออกบวช เจา้ กจ็ งออกบวช เถิด จึงไดไ้ ปชวนเจา้ ภทั ทิยะใหอ้ อกบวช ซ่ึงเจา้ ภทั ทิยราชกมุ ารตกลงบวชดว้ ยเช่นกนั เจ้าชายศากยะและโกลยิ ะท้งั ๖ ออกบวช จากน้นั เจา้ ชายศากยะ ๕ พระองค์ คือ เจ้าชายภทั ทยิ ะ เจ้าชายอนุรุทธะ เจ้าชายอานนท์ เจ้าชายภัคคุ เจ้าชายกมิ พลิ ะ และเจา้ ชายฝ่ ายโกลยิ ะ ๑ พระองค์ คือ เจ้าชายเทวทตั ไดช้ กั ชวนนายอุ บาลี ผเู้ ป็นช่างกลั บก (ช่างตดั ผม) ประจาราชสานกั ออกบวชดว้ ย รวมเป็น ๗ คน ไดพ้ ากนั เดินทางไปเขา้ เฝ้ าพระพทุ ธองคซ์ ่ึงประทบั อยทู่ ่ีอนุปิ ยอมั พวนั ถวายอภิวาทแลว้ ทูลขออปุ สมบทวา่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ท้งั หลายเป็ นกษตั ริย์ผู้มขี ตั ตยิ มานะแรงกล้า ขอพระองค์โปรด ประทานให้การอปุ สมบทแก่อบุ าลผี ู้เป็ นอามาตย์ตดิ ตามรับใช้ข้าพระพทุ ธเจ้าก่อน แล้วจงึ บรรพชาให้พวกข้าพระองค์ในภายหลงั เพอ่ื ทจ่ี ะได้ทาความเคารพกราบไหว้อบุ าลผี ู้บวชก่อน จกั บรรเทาเสียได้ซึ่งขตั ตยิ มานะให้เบาบางลงได้ พระพทุ ธองคป์ ระทานอุปสมบทใหแ้ ก่อุบาลีก่อน แลว้ บวชใหเ้ จา้ ศากยราชท้งั ๖ ตามความประสงคต์ ามลาดบั หลงั จากอปุ สมบทเป็นพระภิกษุในพระพทุ ธศาสนาแลว้ แต่ละท่านไดข้ วนขวายในการ บาเพญ็ เพียรตามกาลงั สติปัญญาของตน และไดบ้ รรลธุ รรมต่าง ๆ กนั ตามบุญบารมีท่ีไดส้ งั่ สมมา ดงั น้ี

80 พระอบุ าลี พระอบุ าลี เรียนกมั มฏั ฐานจากพระพทุ ธเจา้ แลว้ บาเพญ็ เพยี รอยา่ งยง่ิ ยวด จากน้นั ไม่นานก็ ไดบ้ รรลุธรรมเป็นพระอรหนั ต์ สาเร็จเป็นพระอริยบคุ คลในพระพทุ ธศาสนา นอกจากน้ีท่านยงั มี คุณสมบตั ิพิเศษกล่าวคือ เป็นผทู้ รงจาพระวินยั ปิ ฏกไดแ้ ม่นยา พระพทุ ธเจา้ ทรงยกยอ่ งไวใ้ น ตาแหน่งเอตทคั คะทางด้านเป็ นผู้ทรงจาพระวนิ ยั และในคราวทาสงั คายนาพระธรรมวินยั คร้ัง แรก ท่านไดร้ ับหนา้ ท่ีเป็นผวู้ ิสชั นาพระวนิ ยั พระภทั ทยิ ะ พระภทั ทิยะบาเพญ็ กมั มฏั ฐานอยา่ งยง่ิ ยวด แลว้ ไดบ้ รรลุธรรมเป็นพระอรหนั ตใ์ นพรรษา แรกเท่าน้นั เมื่ออยใู่ นป่ ากด็ ี อยใู่ ตร้ ่มไมก้ ด็ ี หรือในเรือนร้างกด็ ี มกั เปลง่ อทุ านวา่ สุขหนอ ๆ พวกภิกษุคิดวา่ ท่านอุทานถึงความสุขที่เคยไดร้ ับตอนเป็นเจา้ ชาย จึงกราบทลู แดพ่ ระพทุ ธองค์ ทรงเรียกท่านมาตรัสถาม ทราบความจริงวา่ ท่ีอุทานเช่นน้นั เพราะมีความสุขจากการบรรลธุ รรม จึงตรัสสรรเสริญท่านดว้ ยประการต่าง ๆ และยกยอ่ งไวใ้ นตาแหน่งเอตทคั คะทางเป็ นผู้มตี ระกลู สูง พระอนุรุทธะ พระอนุรุทธะบวชแลว้ เรียนกรรมฐานในสานกั ของพระสารีบุตร ไปบาเพญ็ เพียรอยทู่ ี่ปาจีน วงั สทายวนั แควน้ เจตี ตรึกถึงมหาปุริสวติ ก ๗ ขอ้ คือ ๑.ธรรมน้ีเป็นธรรมของผมู้ ีความปรารถนานอ้ ย ไม่ใช่ของผมู้ ีความมกั มาก ๒.ธรรมน้ีเป็นธรรมของผสู้ นั โดษยนิ ดีดว้ ยของที่มีอยู่ ไม่ใช่ของผไู้ ม่สนั โดษ ๓.ธรรมน้ีเป็นธรรมของผสู้ งดั แลว้ ไม่ใช่ของผยู้ นิ ดีในหม่คู ณะ ๔.ธรรมน้ีเป็นธรรมของผปู้ รารถนาความเพยี ร ไม่ใช่ของผเู้ กียจคร้าน ๕.ธรรมน้ีเป็นธรรมของผมู้ ีสติมน่ั คง ไม่ใช่ของคนหลง ๖.ธรรมน้ีเป็นธรรมของผมู้ ีใจมนั่ คง ไม่ใช่ของผมู้ ีใจไม่มน่ั คง ๗.ธรรมน้ีเป็นธรรมของผมู้ ีปัญญา ไม่ใช่ของผทู้ รามปัญญา พระพทุ ธองคท์ รงทราบวา่ ท่านลาบากในการตรึกมหาปุริสวติ กขอ้ ที่ ๘ จึงเสดจ็ ไปยงั ท่ีน้นั และตรัสอริยวงั สปฏิปทา วา่ ดว้ ยขอ้ ปฏิบตั ิของวงศพ์ ระอริยเจา้ คือความสนั โดษในปัจจยั ๔ และ ยนิ ดีในการเจริญกศุ ลธรรม แลว้ ตรัสขอ้ ท่ี ๘ วา่ ธรรมน้ีเป็นธรรมของผยู้ นิ ดีในธรรมท่ีไม่เน่ินชา้ ไม่ใช่ของผยู้ นิ ดีในธรรมที่เน่ินชา้ พระอนุรุทธะตรึกตรองตามพระโอวาท ต้งั ใจปฏิบตั ิธรรมดว้ ยความไม่ประมาทในท่ีสุดก็ ไดบ้ รรลุธรรมเป็นพระอรหนั ต์ ณ ที่น้นั

81 และเป็นผขู้ วนขวานในการเจริญสติปัฏฐาน ๔ นอกจากน้ีท่านยงั มีคุณสมบตั ิพิเศษ กลา่ วคือ มกั พิจารณาดูสตั วโ์ ลกดว้ ยตาทิพยอ์ ยเู่ สมอ ดว้ ยเหตุน้ีพระพทุ ธเจา้ จึงทรงยกยอ่ งไวใ้ น ตาแหน่งเอตทคั คะวา่ เป็ นเลศิ กว่าภิกษทุ ้งั หลายผู้มที พิ พจกั ขญุ าณ พระอานนท์ พระอานนทห์ ลงั จากบวชแลว้ ไดฟ้ ังโอวาทของพระปณุ ณมนั ตานีบุตรแลว้ ไดบ้ รรลุธรรม เป็นโสดาบนั ท่านเป็นผมู้ ีบทบาทหนา้ ท่ีสาคญั ในพระพทุ ธศาสนา คือหลงั จากพระพทุ ธองคต์ รัสรู้ และเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนามา ๒๐ ปี ไม่มีพระภิกษผุ ทู้ าหนา้ ท่ีอปุ ัฏฐากเป็นประจา ต่อมาพระภิกษุ สงฆเ์ ลือกพระอานนทเ์ ป็นอปุ ัฏฐาก ก่อนทาหนา้ ท่ีอุปัฏฐากท่านทูลขอพร ๘ ประการ คือ ๑.อยา่ ประทานจีวรอนั ประณีตแก่ขา้ พระองค์ ๒.อยา่ ประทานบิณฑบาตอนั ประณีตแกข่ า้ พระองค์ ๓.อยา่ โปรดใหข้ า้ พระองคอ์ ยใู่ นที่ประทบั ของพระองค์ ๔.อยา่ ทรงพาขา้ พระองคไ์ ปในที่นิมนต์ ๕.จงเสดจ็ ไปสู่ท่ีนิมนตท์ ี่ขา้ พระองคร์ ับไว้ ๖.ขอใหข้ า้ พระองคพ์ าบริษทั ซ่ึงมาเขา้ เฝ้ าแต่ที่ไกลไดเ้ ขา้ เฝ้ าในขณะที่มาไดท้ นั ที ๗.ถา้ ขา้ พระองคเ์ กิดความสงสยั ข้ึนเมื่อใด ขอใหเ้ ขา้ เฝ้ าทลู ถามไดเ้ มื่อน้นั ๘.ถา้ พระองคท์ รงแสดงธรรมเทศนาเรื่องใดในท่ีลบั หลงั ขา้ พระองค์ ขอพระองคท์ รง ตรัสพระ ธรรมเทศนาเร่ืองน้นั แก่ขา้ พระองค์ วตั ถุประสงค์ในการทูลขอพร พระอานนทท์ ูลขอพร ๔ ประการขา้ งตน้ น้นั เพื่อป้ องกนั คนภายนอกตาหนิวา่ อุปัฏฐาก เพือ่ ตอ้ งการลาภ ๓ ขอ้ เบ้ืองปลายเพ่อื ป้ องกนั ขอ้ ครหาวา่ อุปัฏฐากไปทาไมแมก้ ิจเพยี งแค่น้นั พระ พทุ ธองคย์ งั ไม่ทรงอนุเคราะห์ และขอ้ สุดทา้ ยเพือ่ ป้ องกนั ขอ้ ครหาวา่ เฝ้ าตามเสดจ็ อยดู่ ุจเงาตามตวั แมธ้ รรมน้ีกไ็ มร่ ู้วา่ พระพทุ ธองคท์ รงแสดงที่ไหนและเมื่อไร พระพทุ ธเจา้ ประทานอนุญาตตามที่ขอทุกประการ นอกจากน้นั ท่านยงั มีคุณสมบตั ิพเิ ศษ กล่าวคือ มีความพากเพยี รทรงจาพระวนิ ยั ไดแ้ ม่นยา และฉลาดในการแสดงธรรม ดว้ ยเหตุน้ี พระพทุ ธเจา้ จึงทรงยกยอ่ งไวใ้ นตาแหน่งเอตทคั คะทางดา้ นเป็ นพหูสูต มสี ติ มคี ติ มธี ติ ิ (มีความ เพยี ร) และ เป็ นพทุ ธอปุ ัฏฐาก

82 บรรลธุ รรมเป็ นพระอรหันต์ พระอานนทห์ ลงั จากที่พระพทุ ธองคด์ บั ขนั ธปรินิพพานแลว้ ได้ ๓ เดือน ก่อนทาปฐม สงั คายนาหน่ึงวนั ท่านทาความเพียรอยา่ งหนกั หวงั จกั สาเร็จเป็นพระอรหนั ตก์ ่อนทาสงั คายนา แต่ กไ็ ม่สาเร็จเพราะจิตใจฟ้ ุงซ่าน จึงหยดุ จงกรมนงั่ ลงบนเตียง เอียงกายลงดว้ ยประสงคจ์ ะพกั ผอ่ น พอ ยกเทา้ ข้ึนจากพ้นื ศีรษะยงั ไม่ทนั ถึงหมอน ตอนน้นั เองจิตของท่านกห็ ลดุ พน้ จากกิเลสอาสวะ บรรลุ ธรรมเป็นพระอรหนั ต์ ท่านองคเ์ ดียวเท่าน้นั ท่ีบรรลพุ ระอรหนั ตไ์ ม่อยใู่ นอิริยาบถ ๔ คือ ยนื เดิน นงั่ และนอน งานประกาศพระศาสนาท่ีสาคญั คือ ไดร้ ับคดั เลือกจากพระสงฆ์ ๕๐๐ องค์ ใหเ้ ป็นผู้ วสิ ชั นาพระธรรม คือ พระสุตตนั ตปิ ฎก และพระอภิธรรมปิ ฎก เมื่อคราวทาสงั คายนาคร้ังแรก ซ่ึง เป็นเหตุใหพ้ ระพทุ ธศาสนามน่ั คงถาวร เผยแผม่ าถึงปัจจุบนั น้ี พระภคั คุและพระกมิ พลิ ะ ส่วน พระภัคคุ และ พระกมิ พลิ ะ ไดข้ วนขวายในการบาเพญ็ เพียรไม่นานกไ็ ดบ้ รรลพุ ระ อรหตั ผล ท่านท้งั สองไดเ้ ป็นกาลงั สาคญั ในการประกาศพระศาสนาเป็นอยา่ งมาก พระเทวทตั น้อยใจ ในบรรดาเจา้ ชายศากยะที่ออกบวชพร้อมอบุ าลีน้นั พระเทวทตั สาเร็จเพยี งโลกิยฌาน ใน คร้ังที่พระพทุ ธเจา้ ประทบั ที่เมืองโกสมั พี ทรงไดร้ ับการสกั การบชู าจากมหาชนเป็นจานวนมาก พระเทวทตั เกิดความนอ้ ยใจคิดวา่ เรากเ็ ป็นขตั ติยราชเหมือนกนั ทาไมไมม่ ีใครนบั ถือเลย คร้ันแลว้ พิจารณาวา่ จกั ทาใหพ้ ระเจา้ อชาตศตั รูเล่อื มใสใหไ้ ด้ แลว้ เริ่มแผนการโดยไดเ้ นรมิตเป็นกมุ ารนอ้ ย พนั กายดว้ ยอสรพษิ แสดงแก่พระราชกมุ าร ทาใหเ้ จา้ ชายอชาตศตั รูตกพระทยั กลวั จึงปลอบโยน ใหห้ ายจากตกพระทยั แลว้ แสดงตนเป็นพระภิกษุ ฝ่ ายเจา้ ชายอชาตศตั รูเห็นปาฏิหาริยอ์ นั น่าอศั จรรยเ์ ช่นน้นั เกิดความเลื่อมใส นอ้ มถวายลาภ สกั การะมากมาย ต่อมาพระเทวทตั คิดอีกวา่ จกั ปกครองภิกษุสงฆแ์ ทนพระพทุ ธเจา้ จึงเขา้ ไปเฝ้ า พระพทุ ธเจา้ ที่พระเวฬุวนั มหาวหิ าร แลว้ กราบทลู วา่ “ข้าแต่พระผู้มพี ระภาคเจ้า บดั นพี้ ระองค์ ทรงชราภาพแล้ว จงพระสาราญในทฏิ ฐธรรมสุขวหิ ารเถดิ ขอพระองค์ทรงมอบภาระแห่งสงฆ์ ให้แก่ข้าพระองค์เถิด” พระพทุ ธเจา้ ไมท่ รงอนุญาต จึงเป็นเหตุใหพ้ ระเทวทตั ผกู อาฆาตในพระพทุ ธ องค์

83 เจ้าชายอชาตศัตรูปลงพระชนม์พระบิดา จากน้นั ไดป้ รึกษากบั เจา้ ชายอชาตศตั รูใหป้ ลงพระชนมพ์ ระบิดาแลว้ สถาปนาเป็นกษตั ริย์ ส่วนตนเองจะปลงพระชนมพ์ ระพทุ ธเจา้ แลว้ ปกครองคณะสงฆแ์ ทน พระราชกมุ ารเชื่อตามทาที่ พระเทวทตั ทูล จึงจดั การปลงพระชนมพ์ ระเจา้ พมิ พสิ ารผเู้ ป็นพระบิดาแลว้ สถาปนาตนเองข้ึนเป็น กษตั ริยแ์ ทน พระเทวทตั ทาอนันตริยกรรม พระเทวทตั ไดส้ มคบกบั เจา้ ชายอชาตศตั รูในการปลงพระชนมพ์ ระพทุ ธเจา้ ดว้ ยวิธีการต่าง ๆ กล่าว คือ คร้ังท่ี ๑ สงั่ นายขมงั ธนูไปปลงพระชนมพ์ ระพทุ ธองค์ แต่นายขมงั ธนูฟังธรรมแลว้ ไดบ้ รรลุ โสดาปัตติผล คร้ังท่ี ๒ ข้ึนไปบนภูเขาคิชฌกฏู กลิ้งศิลาลงมาเพื่อใหท้ บั พระพทุ ธองค์ แตด่ ว้ ยพระบารมี ของพระพทุ ธองค์ กอ้ นศิลาไดก้ ลิง้ ไปผิดทางกระทบพ้นื แตกกระจายมีเพยี งสะเกด็ หินกระเดน็ ไป กระทบพระบาททาใหห้ อ้ พระโลหิต คร้ังท่ี ๓ พระเทวทตั ปล่อยชา้ งนาฬาคีรีซ่ึงดรุ ้าย เพือ่ ปลงพระชนมใ์ นขณะท่ีพระพทุ ธองค์ กาลงั เสดจ็ บิณฑบาต แต่พระองคท์ รงทรมานชา้ งนาฬาคีรีจนหมดพยศในที่สุด ต้งั แต่น้นั มามหาชนต่างโจทยข์ านถึงพฤติกรรมของพระเทวทตั พระเจา้ อชาตศตั รูทรง สดบั ข่าวเช่นน้นั แลว้ ละอายพระทยั จึงรับสง่ั ใหเ้ ลิกจดั อาหารถวายพระเทวทตั และไม่เสดจ็ ไปหา พระเทวทตั เหมือนอยา่ งเคย ทูลขอวตั ถุ ๕ ประการ พระเทวทตั เมื่อกลบั กลายเป็นผเู้ ส่ือมจากลาภสกั การะ ท้งั จากพระเจา้ อชาตศตั รูและ ชาวเมือง จึงคิดหาวธิ ีการดารงชีพดว้ ยการหลอกลวงวา่ เป็นผเู้ คร่งครัด เขา้ ไปเฝ้ าพระพทุ ธเจา้ ทูลของ วตั ถุ ๕ ประการ แลว้ กลา่ วอีกวา่ ถา้ ภิกษุรูปใดจะถือขอ้ ใดใหถ้ ือปฏิบตั ิขอ้ น้นั โดยเคร่งครัดตลอดชีพ ไม่มีขอ้ ยกเวน้ แต่พระพทุ ธองคไ์ ม่ทรงอนุญาตโดยตรัสวา่ ควรปฏิบตั ิไดต้ ามแต่ศรัทธา เพราะทรง ดาริวา่ เป็นการยากแก่การปฏิบตั ิ ควรดาเนินทางสายกลางคือมชั ฌิมาปฏิปทา วตั ถุ ๕ ประการที่พระ เทวทตั ทูลขอ คือ ๑.ใหอ้ ยปู่ ่ าเป็นวตั ร (หา้ มจาพรรษาในบา้ น) ๒.ใหอ้ ยโู่ คนไมเ้ ป็นวตั ร (หา้ มอยใู่ นเสนาสนะท่ีเขาถวาย) ๓.ใหน้ ุ่งผา้ บงั สุกลุ เป็นวตั ร (หา้ มใชผ้ า้ ที่เขาถวาย)

84 ๔.ใหบ้ ิณฑบาตเป็นวตั ร (หา้ มรับกิจนิมนต)์ ๕.ใหเ้ วน้ การบริโภคเน้ือและปลา (ใหฉ้ นั มงั สวริ ัติ) ปรารภทาสังฆเภท พระเทวทตั เม่ือเห็นพระพทุ ธองคท์ รงปฏิเสธเช่นน้นั จึงกล่าวยกโทษพระพทุ ธองคว์ า่ คา สอนของตนประเสริฐกวา่ พวกภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป ผมู้ ีสติปัญญานอ้ ยหลงเช่ือตามคาสอนของ พระเทวทตั ยอมตนเป็นสาวกของพระเทวทตั ปรารภทาสงั ฆเภทจากพระพทุ ธเจา้ พระพทุ ธองคท์ รงทราบแลว้ ตรัสเรียกพระเทวทตั เขา้ เฝ้ าเพือ่ ตรัสถาม คร้ันทรงทราบความ จริงแลว้ ตรัสตกั เตือนมิใหพ้ ระเทวทตั ทาสงั ฆเภท แมก้ ระน้นั พระเทวทตั กไ็ ม่เอ้อื เฟ้ื อในพระดารัส ของพระพทุ ธเจา้ จึงพาบริวารออกไปจนถึงเมืองราชคฤห์ ในท่ีน้นั ไดพ้ บกบั พระอานนท์ กล่าวว่า “จาเดมิ แต่วนั นไี้ ป เราจกั เว้นจากพระพทุ ธเจ้าและภิกษุสงฆ์ท้งั ปวง ทาสังฆอโุ บสถเฉพาะพวกเรา เท่าน้นั ” เม่ือถึงวนั ทาอโุ บสถพระเทวทตั พาภิกษุบริวารประชุมทาสงั ฆกรรมแยกจากพระสงฆท์ ้งั มวล จากน้นั พาพวกภิกษุบริวารไปคยาสีสประเทศ พระพทุ ธองคร์ ับสงั่ ใหพ้ ระอคั รสาวกพาภิกษุ ท้งั หลายกลบั สานกั พระพทุ ธองคต์ ามเดิม พระเทวทตั ถูกแผ่นดนิ สูบ ขณะน้นั พระโกกาลิกะซ่ึงเป็นศิษยผ์ ใู้ หญข่ องพระเทวทตั เห็นพฤติการณ์เช่นน้นั จึงเดือด ดาลกลา่ วโทษและทาร้ายพระเทวทตั จนอาเจียนเป็นโลหิตอาพาธหนกั นานถึง ๙ เดือน ต่อมาคิดวา่ ชีวิตของตนคงจะไม่รอดแลว้ ตอ้ งการกราบทูลขอขมาต่อพระพทุ ธเจา้ จึงขอใหศ้ ิษยพ์ าไปเฝ้ า พระพทุ ธเจา้ คร้ันถึงสระโบกขรณีพระเทวทตั ประสงคจ์ ะสรงน้า พอเทา้ หอ้ ยแตะพ้ืนดินเท่าน้นั แผน่ ดินไดแ้ ยกออกเป็นช่องสูบเอาร่างพระเทวทตั จมลงจนถึงคอ ในขณะน้นั พระเทวทตั คิดวา่ วาระสุดทา้ ยของตนไดม้ าถึงแลว้ จึงกลา่ วคาถาบชู า พระพทุ ธเจา้ และถวายกระดูกคางเป็นเครื่องสกั การะวา่ “ขา้ พระองคข์ อถวายกระดูกคางและศีรษะ น้ีเป็นพทุ ธบชู าแด่พระสพั พญั ญูเจา้ และขอถึงพระองคเ์ ป็นสรณะ” คร้ันแลว้ กจ็ มหายไปในมหา ปฐพบี งั เกิดในอเวจีมหานรก พระพทุ ธองคพ์ ร้อมดว้ ยพระสาวกและพทุ ธบริษทั ไดแ้ ต่สงั เวชสลดใจ แลว้ ตรัสเทศนาวา่ “ภิกษุท้งั หลาย บุคคลผทู้ าความชวั่ ยอ่ มเดือดร้อนในโลกท้งั สอง คือท้งั ในโลกน้ี และโลกหนา้ คือไปสู่ทุคติแลว้ กย็ อ่ มเดือดร้อนยงิ่ ข้ึนไปดว้ ยคิดวา่ เราทาชว่ั แลว้ จึงไดเ้ สวยทุกข์ เช่นน้ี”

85 บุคคลทถ่ี ูกแผ่นดนิ สูบในสมยั พทุ ธกาล ในสมยั พทุ ธกาลมีบุคคลท่ีถกู แผน่ ดินสูบอยู่ ๕ คน คือ ๑. พระเจ้าสุปปพทุ ธะ เพราะโทษคือปิ ดทางบิณฑบาตของพระพทุ ธเจา้ ๒. พระเทวทตั เพราะโทษคือทาสงั ฆเภท ๓. นางจญิ จมาณวกิ า เพราะโทษคือใส่ร้ายพระพทุ ธเจา้ ดว้ ยอสทั ธรรม ๔. นันทมาณพ เพราะโทษคือข่มขืนภิกษุณีอบุ ลวรรณาเถรี ๕. นันทยกั ษ์ เพราะโทษคือประหารพระสารีบุตร ปัญหาและเฉลยปริเฉทท่ี ๑๑ ๑.เจา้ ศากยะและเจา้ โกลิยะท้งั ๖ ใหอ้ ุบาลีบวชก่อนเพราะเหตุใด ? ก.เพราะตอ้ งการละมานะความถือตวั ข.เพราะอบุ าลีมีอายมุ ากกวา่ ค.เพราะเคยมีอุปการคุณต่อกนั ง.เพราะเป็นพทุ ธประสงค์ ๒.ใครสอนวธิ ีทาการเกษตร แก่พระอนุรุทธศากยะ ? ก.พระเจา้ มหานามะ ข.พระเจา้ ภทั ทิยะ ค.พระเจา้ อมิโตทนะ ง.พระเจา้ สุกโกทนะ ๓.พระสาวกรูปใด บรรลพุ ระอรหนั ตใ์ นอิริยาบถแปลกกวา่ พระสาวกรูปอื่น ? ก.พระอานนท์ ข.พระอบุ าลี ค.พระอนุรุทธะ ง.พระสารีบุตร ๔.พระเถระรูปใด บวชก่อน ? ก.พระภคุ ข.พระกิมพิละ ค.พระอานนท์ ง.พระอบุ าลี ๕.พระอานนทไ์ ดบ้ รรลโุ สดาปัตติผล เพราะไดฟ้ ังธรรมจากใคร ? ก.พระพทุ ธเจา้ ข.พระสารีบุตร ค.พระปุณณมนั ตานีบุตร ง.พระอสั สชิ ๖. “ธรรมนเี้ ป็ นของผู้มสี ตติ ้งั มน่ั ไม่ใช่ของผู้มสี ตหิ ลงลมื ” เป็นความตรึกของพระเถระรูปใด ? ก.พระภทั ทิยะ ข.พระอานนท์ ค.พระอนุรุทธะ ง.พระอบุ าลี ๗.ใครทาหนา้ ที่วินิจฉยั อธิกรณ์ เรื่องมารดาของพระกมุ ารกสั สปะ ? ก.พระสารีบุตร ข.พระโมคคลั ลานะ

86 ค.พระสีวลี ง.พระอบุ าลี ๘.พระสาวกรูปใด ไดร้ ับยกยอ่ งใหเ้ ป็นนกั กฎหมายในพระศาสนา ? ก.พระอุบาลี ข.พระนทีกสั สปะ ค.พระอานนท์ ง.พระมหากสั สปะ ๙.พระเทวทตั ไม่ไดบ้ รรลมุ รรคผล เพราะสาเหตุใด ? ก.ถือตวั วา่ เป็นกษตั ริย์ ข.ถกู ลาภสกั การะครอบงา ค.ไม่ไดบ้ วชดว้ ยศรัทธา ง.มีปัญญาดว้ ยกวา่ ผอู้ ่ืน ๑๐.เพราะเหตุไร นายภษู ามาลาชื่ออุบาลีจึงไดบ้ วชก่อนเจา้ ชายท้งั ๖ ? ก.อบุ าลีมีอายมุ ากกวา่ ข.ตอ้ งการละมานะ ค.เคยมีอปุ การต่อกนั ง.เป็นพทุ ธประสงค์ ๑๑. “ความสงสัยเกดิ ขนึ้ เมอ่ื ใด ขอข้าพระองค์ทูลถามได้เมอ่ื น้ัน” เป็นคาพดู ของใคร ? ก.พระภทั ทิยะ ข.พระมหานามะ ค.พระอานนท์ ง.พระอนุรุทธะ ๑๒.พระอนุรุทธะออกบวช ขณะพระพทุ ธเจา้ ประทบั อยทู่ ี่ไหน ? ก.ป่ าอนั ธวนั ข.วดั เวฬุวนั ค.วดั เชตวนั ง.อนุปิ ยนิคม ๑๓.พระสาวกรูปใด ไม่ไดบ้ รรลพุ ระอรหตั ในอิริยาบถท้งั ๔ ? ก.พระสารีบุตร ข.พระอานนท์ ค.พระอบุ าลี ง.พระอนุรุทธะ ๑๔.มารดาของพระภทั ทิยศากยะคือใคร ? ก.นางกีสาโคตมี ข.นางปมิตา ค.นางกาฬีโคธา ง.พระนางปชาบดีโคตมี ๑๕.ผปู้ รารภใหช้ าวศากยะออกบวชตามพระพทุ ธองคค์ ือใคร ? ก.อนุรุทธศากยะ ข.อมิโตทนศากยะ ค.มหานามศากยะ ง.นนั ทศากยะ ๑๖.ใครท่ีบวชพร้อมกบั พระเทวทตั ? ก.พระโกณฑญั ญะ ข.พระอรุ ุเวลกสั สปะ ค.พระอานนท์ ง.พระภทั ทวคั คีย์

87 ๑๗.พระเทวทตั ไม่ไดบ้ รรลุมรรคผลเพราะอะไร ? ก.เพราะมีมานะวา่ เป็นกษตั ริย์ ข.เพราะไม่ไดบ้ วชเพราะศรัทธา ค.เพราะมีปัญญาดอ้ ยกวา่ ผอู้ ่ืน ง.เพราะถกู ลาภสกั การะครอบงา ๑.ก ๒.ก เฉลย ๔.ง ๕.ค ๖.ค ๗.ง ๓.ก ๙.ข ๑๐.ข ๑๑.ค ๑๒.ง ๘.ก ๑๔.ค ๑๕.ค ๑๖.ค ๑๗.ง ๑๓.ข

88 ปริเฉทท่ี ๑๒ ว่าด้วยพระโสณโกฬิวสิ ะและพระรัฐบาลออกบวช สถานะเดมิ พระโสณโกฬิวสิ เถระ พระโสณโกฬิวสิ ะ ชื่อเดิมวา่ โสณะ เพราะเป็นผมู้ ีพิวพรรณผดุ ผอ่ งเหมือนทองคา ส่วนโกฬิวสิ ะ เป็นช่ือแห่งโคตร บิดาชื่อว่า อสุ ภเศรษฐี อยทู่ ่ีเมืองจาปา แควน้ องั คะ มารดาไม่ ปรากฏชื่อ เกิดในวรรณะแพศย์ ท่านมีลกั ษณะพิเศษคือ ตอนท่ีท่านเกิดมีขนปรากฏที่ผา่ เทา้ ท้งั สอง ขา้ ง เป็นผชู้ านาญในการดีดพิณ ๓ สาย เป็นคนละเอียดออ่ น บิดาไดส้ ร้างปราสาท ๓ หลงั ใหพ้ กั ใน ๓ ฤดู มูลเหตุของการออกบวช พระเจา้ พมิ พสิ าร พระเจา้ แผน่ ดินแควน้ มคธ มีพระประสงคจ์ ะทอดพระเนตรขนที่ฝ่ าเทา้ ท้งั สองขา้ งของนายโสณะ จึงรับสงั่ ใหเ้ ขา้ เฝ้ า เม่ือไดท้ อดพระเนตรแลว้ ทรงรับสง่ั ใหโ้ สณะพร้อม ประชาชน ๘๐,๐๐๐ คน เขา้ เฝ้ าพระพทุ ธอง ค์ ซ่ึงประทบั อยทู่ ี่ภเู ขาคิชฌกฏู ใกลก้ รุงราชคฤห์ ไดฟ้ ัง อนุปุพพกิ ถาและอริยสจั ๔ เกิดความเลื่อมใส ทูลขอบวชในพระวนิ ยั เพราะเห็นวา่ การครองเรือน น้นั จะประพฤติพรหมจรรยใ์ หบ้ ริสุทธ์ิบริบูรณ์กระทาไดย้ าก ทรงประทานการบวชใหต้ ามประสงค์ บรรลุธรรมเป็ นพระอรหันต์ คร้ันบวชแลว้ ไปบาเพญ็ เพยี รอยทู่ ่ีป่ าสีตวนั เขตเมืองราชคฤห์ ท่านเดินจงกรมจนเทา้ แตก เลือดไหล เมื่อเดินไม่ไดจ้ ึงคลานดว้ ยเข่าและฝ่ ามือท้งั สองขา้ ง จนกระทงั่ เข่าและฝ่ ามือท้งั สองแตก อีก แมก้ ระน้นั กย็ งั ไม่ไดบ้ รรลมุ รรคผลอะไร เกิดความเบ่ือหน่ายอยากจะสึกไปครองเรือน พระพทุ ธ องคไ์ ดเ้ สดจ็ ไปสอนใหท้ ่านทาความเพยี รพอปานกลาง โดยยกพิณ ๓ สายเขา้ มาเปรียบเทียบ ท่าน ต้งั ใจปฏิบตั ิตามพระโอวาท เร่งบาเพญ็ เพยี รดว้ ยความไม่ประมาท ในท่ีสุดกไ็ ดบ้ รรลุธรรมเป็นพระ อรหนั ต์ งานประกาศพระศาสนา พระโสณโกฬิวสิ ะ เป็นตวั อยา่ งที่ดีสาหรับบุคคลผตู้ อ้ งการบรรลธุ รรม โดยการทาตวั เองให้ ลาบากจนเกินไป กไ็ ม่สามารถบรรลธุ รรมได้ ผทู้ ี่จะบรรลุธรรมไดน้ ้นั ตอ้ งบาเพญ็ เพียรในทางสาย

89 กลาง ไม่ตึงหรือยอ่ หยอ่ นจนเกินไปนกั หลงั จากการบรรลุธรรมเป็นพระอรหนั ต์ ท่านแสดง คุณสมบตั ิของพระอรหนั ตน์ ้นั นอ้ มจิตไปในคุณ ๖ ประการ คือ ๑.นอ้ มเขา้ ไปในบรรพชา ๒.นอ้ มเขา้ ไปในความสงดั ๓.นอ้ มเขา้ ไปในความสารวมไม่เบียดเบียน ๔.นอ้ มเขา้ ไปในความไม่ถอื มนั่ ๕.นอ้ มเขา้ ไปในความไมม่ ีความอยาก ๖.นอ้ มเขา้ ไปในความไม่หลง พระโสณโกฬิวสิ ะ คร้ังยงั ไม่บรรลธุ รรมเป็นพระอรหนั ต์ ไดบ้ าเพญ็ เพยี รอยา่ งแรงกลา้ พระ พทุ ธองคท์ รงยกยอ่ งท่านวา่ “เป็ นเลศิ กว่าภกิ ษุท้งั หลาย ผู้ปรารภความเพยี ร” พระโสณโกฬิวสิ ะ ไดช้ ่วยพระพทุ ธองคป์ ระกาศพระศาสนา ดารงอายสุ งั ขารพอสมควรแก่อตั ภาพแลว้ กน็ ิพพานใน ที่สุด สถานะเดมิ พระรัฐบาลเถระ พระรัฐบาล ชื่อเดิมวา่ รัฐบาล แปลวา่ ผรู้ ักษาแวน่ แควน้ เพราะตระกลู ของท่านไดช้ ่วยกอบกู้ แวน่ แควน้ ที่อยอู่ าศยั ซ่ึงลม่ สลายทางเศรษฐกิจเอาไวไ้ ด้ ท่านจึงไดช้ ื่ออยา่ งน้นั บิดาและมารดาไม่ ปรากฏนาม บิดาของท่านเป็นเศรษฐีหวั หนา้ หมู่บา้ น เกิดในวรรณะแพศย์ ในถลุ ลโกฏฐิตนิคม แควน้ กรุ ุ มูลเหตุของการออกบวช คร้ังหน่ึงเมื่อพระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ไปยงั โกฏฐิตนิคม แควน้ กรุ ุ บา้ นเกิดของท่าน ชาวกรุ ุเป็น จานวนมากไดม้ าฟังธรรม รัฐบาลกม็ าฟังธรรมดว้ ย หลงั จากประชาชนกลบั ไปแลว้ ไดเ้ ขา้ ไปเฝ้ า พระพทุ ธองคท์ ูลขอบวชทรงตรัสบอกใหไ้ ปขออนุญาตบิดาและมารดาก่อน เขากลบั ไปบา้ นขออนุญาตบิดาและมารดาบวช ท่านท้งั สองไมอ่ นุญาต จึงประทว้ งดว้ ยกา รอดอาหาร บิดาและมารดากลวั ลกู ชายจะตายจึงอนุญาตใหบ้ วช ท่านเขา้ ไปเฝ้ าพระพทุ ธองคท์ ลู ขอ บวช ทรงอนุญาตใหพ้ ระเถระรูปหน่ึงเป็นพระอปุ ัชฌายบ์ วชให้ บรรลธุ รรมเป็ นพระอรหันต์ หลงั จากบวชแลว้ ท่านไดต้ ามเสดจ็ พระพทุ ธองคไ์ ปพกั อยทู่ ี่วดั เชตวนั เป็นผไู้ ม่ประมาท ต้งั ใจบาเพญ็ เพยี ร ใชเ้ วลา ๑๒ ปี จึงบรรลธุ รรมเป็นพระอรหนั ต์

90 พระรัฐบาล มีความเลื่อมใสในธรรมะต้งั ใจจะออกบวช แต่กวา่ จะไดบ้ วชกย็ ากลาบาก ตอ้ งยอมอดอาหารเอาชีวติ เขา้ แลกจึงไดบ้ วช ดงั น้นั พระพทุ ธองคท์ รงยกยอ่ งท่านวา่ “เป็ นเลศิ กว่า ภกิ ษุท้งั หลาย ผู้บวชด้วยศรัทธา” งานประกาศพระศาสนา เม่ือบรรลธุ รรมเป็นพระอรหนั ตแ์ ลว้ ท่านกลบั ไปยงั แควน้ กรุ ุบา้ นเกิด โปรดโยมบิดาและ มารดาใหเ้ ล่ือมใสในพระพทุ ธศาสนา ท่านพกั อยทู่ ่ีสวนมิคจิรวนั พระราชอุทยานของพระเจา้ โกรัพ ยะ เจา้ เมืองแควน้ กรุ ุ อยมู่ าวนั หน่ึงพระราชาเสดจ็ ไปยงั พระราชอุทยาน ทอดพระเนตรเห็นท่านทรงจาได้ และได้ เขา้ ไปหาเพ่อื สนทนาธรรมดว้ ย ทรงตรัสถามถึงความเสื่อม ๔ ประการ ท่ีบคุ คลบางคนประสบเขา้ แลว้ จึงออกบวช คือ ๑.ความแก่ชรา ๒.ความเจบ็ ป่ วย ๓.ความสิ้นโภคทรัพย์ ๔.ความสิ้นญาติพี่นอ้ ง แต่ท่านไมไ่ ดเ้ ป็นอยา่ งน้นั ท่านรู้เห็นอยา่ งไรจึงไดอ้ อกบวช พระเถระไดท้ ลู ตอบถึง ธรรมทุ เทศ คือ หวั ขอ้ ธรรม ๔ ประการ ที่พระพทุ ธองคท์ รงแสดงไว้ อาตมาภาพรู้เห็นตามธรรมน้นั จึงออกบวช ธรรมุทเทศ ๔ ประการ คอื ๑.โลกคือหม่สู ตั ว์ อนั ชรานาเขา้ ไปใกลค้ วามตายไม่ยงั่ ยนื ๒.โลกคือหมู่สตั ว์ ไม่มีผปู้ ้ องกนั ไม่มีใครเป็นใหญ่เฉพาะตน ๓.โลกคือหม่สู ตั ว์ ไม่มีอะไรเป็นของ ๆ ตน จาตอ้ งละทิ้งสิ่งท้งั ปวงไป ๔.โลกคือหม่สู ตั ว์ พร่องอยเู่ ป็นนิตย์ ไม่รู้จกั อ่ิม เป็นทาสแห่งตณั หา พระเจา้ โกรัพยะทรงเล่ือมใสในธรรมะของท่าน ตรัสชมเชยแลว้ ทรงลากลบั ไป ปัญหาและเฉลยปริเฉทท่ี ๑๒ ๑.ขอ้ ใด ไม่จดั เขา้ ในความเสื่อม ๔ อยา่ ง ที่พระเจา้ โกรัพยะตรัสวา่ เป็นเหตุใหค้ นออกบวช ? ก.แก่ ข.เจบ็ ค.ผิดหวงั ง.สิ้นโภคทรัพย์ ๒.พระสาวกรูปใดยอมอดอาหาร เพราะไม่ไดร้ ับอนุญาตใหบ้ วช ? ก.พระรัฐบาล ข.พระอนุรุทธะ

91 ค.พระภทั ทิยะ ง.พระราธะ ๓.พระสาวกรูปใด อยใู่ นครรภม์ ารดานานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วนั ? ก.พระอุบาลี ข.พระสิวลี ค.พระวกั กลิ ง.พระโสภิตะ ๔.พระโสณโกฬิวสิ ะ ไดร้ ับเอตทคั คะดา้ นใด ? ก.ปรารภความเพยี ร ข.สวดเสียงไพเราะ ค.แสดงธรรมพสิ ดาร ง.มกั นอ้ ยสนั โดษ ๕.พระเจา้ จณั ฑปัชโชตทรงสดบั ธรรมจากใครเป็นคร้ังแรก ? ก.พระมหากจั จายนะ ข.พระโมคคลั ลานะ ค.พระมหากสั สปะ ง.พระพทุ ธเจา้ ๖.ใครกลา่ วา่ “พราหมณ์ถือตวั วา่ ประเสริฐบริสุทธ์ิเกิดจากพรหม”? ก.พระเจา้ จณั ฑปัชโชต ข.พระเจา้ มธุรราช ค.พระเจา้ โกรัพยะ ง.ปุณณกมาณพ ๗.ธรรมที่พระรัฐบาลเถระแสดงไวว้ า่ “โลกคอื หมู่สัตว์ พร่องอยู่เป็ นนิตย์ ไม่รู้จกั อม่ิ เป็ นทาสแห่ง ตณั หา”เรียกชื่อวา่ อยา่ งไร ? ก.ธรรมจกั ร ข.ธรรมจริยา ค.ธรรมุทเทศ ง.ธรรมจกั ษุ ๘.พระสาวกรูปใด บวชดว้ ยศรัทธา ? ก.พระราธะ ข.พระรัฐบาล ค.พระอนุรุทธะ ง.พระภทั ทิยะ ๙.ธรรมุทเทศ ๔ ใครแสดงแก่ใคร ? ก.พระสารีบุตรแสดงแก่พระเจา้ พิมพสิ าร ข.พระอานนทแ์ สดงแก่พระเจา้ ปเสนทิโกศล ค.พระรัฐบาลแสดงแก่พระเจา้ โกรัพยะ ง.พระมหากจั จายนะแสดงแก่พระเจา้ จณั ฑปัชโชต ๑๐.พระสาวกรูปใด เดินจงกรมจนเทา้ แตก ? ก.พระรัฐบาล ข.พระโสณกฏุ ิกณั ณะ ค.พระโสณโกฬิวิสะ ง.พระภทั ทิยะ ๑๑.พระรัฐบาลใชว้ ิธีใด จึงไดบ้ วชเป็นพระภิกษุ ? ก.หนีบวชซ่ึงหนา้ ข.อดอาหาร

92 ค.บวชตามเพือ่ น ง.ขอร้องบิดามารดา ๑๒.ธรรมุทเทศ ๔ ขอ้ ๑ คือความท่ีวา่ โลกคือหมู่สตั ว.์ ..? ก.ไม่มีผปู้ ้ องกนั ข.ถกู ชรานาไป ค.ไมม่ ีอะไรเป็นของตน ง.พร่องอยเู่ ป็นนิตยไ์ ม่รู้จกั อิ่ม ๑๓.พระเจา้ โกรัพยะตรัสถามพระรัฐบาลดว้ ยเรื่องอะไร ? ก.เหตุคือความเจริญของผอู้ อกบวช ข.เหตุคือความเส่ือมของผอู้ อกบวช ค.เหตุคือความเจริญที่จะใหค้ นออกบวช ง.เหตุคือความเส่ือมท่ีทาใหค้ นออกบวช ๑.ค ๒.ก เฉลย ๔.ก ๕.ก ๖.ข ๗.ค ๓.ข ๙.ค ๑๐.ค ๑๑.ข ๑๒.ง ๘.ข ๑๓.ง

93 ปริเฉทที่ ๑๓ ว่าด้วยการเสดจ็ โปรดพระบดิ า พระมารดาและการเสดจ็ ดบั ขนั ธปรินพิ พาน โปรดพระพทุ ธบดิ า พรรษาท่ี ๕ พระพทุ ธเจา้ ประทบั อยทู่ ่ีกฏู าคารศาลา ในป่ ามหาวนั ใกลเ้ มืองพาราณสี ทรง ทราบวา่ พระเจา้ สุทโธทนะประชวรหนกั พระพทุ ธองคพ์ ร้อมดว้ ยพระสงฆส์ าวกไดเ้ สดจ็ ไปเยย่ี ม ซ่ึงขณะน้นั พระเจา้ สุทโธทนะเสวยทุกขเวทนาอยา่ งแรงกลา้ พระพทุ ธองค์ทรงเหยยี ดพระหตั ถข์ วาแลว้ ทรงทาสตั ยาธิษฐานเพ่อื บาบดั โรคาพาธ และทรง ลบู พระเศียรของพระพทุ ธบิดา พระอานนท์ยกมือลบู ท่ีพระกรเบ้ืองขวา พระนนั ทะลบู พระพาหา เบ้ืองซา้ ย พระราหุลยกพระหตั ถล์ บู พระปฤษฎางค์ จนพระเจา้ สุทโธทนะทรงคลายจาก ทุกขเวทนาแลว้ ทรงลุกข้ึนประทบั นงั่ ถวายบงั คมพระพทุ ธเจา้ พระพทุ ธองคท์ รงพิจารณาเห็นวา่ พระพทุ ธบิดาจะมีพระชนมายดุ ารงอยไู่ ดเ้ พยี ง ๗ วนั เท่าน้นั ทรงพิจารณาถึงอปุ นิสยั แห่งมรรคผลแลว้ แสดงอนิจจาทิปฏิสงั ยตุ และอริยสจั ๕ ตลอด ท้งั กลางวนั และกลางคืน และในที่สุดพระพทุ ธบิดาทรงบรรลุธรรมเป็นพระอรหนั ตพ์ ร้อมดว้ ย ปฏิสมั ภิทาในวนั ที่ ๗ ส่วนพระเจา้ สุทโธทนะคร้ันทรงพิจารณาพระชนมายแุ ลว้ ดาริวา่ คงจะสิ้นสุดเพยี งเท่าน้ี จึง กราบทูลลาพระพทุ ธเจา้ เขา้ สู่นิพพาน พระนางปชาบดอี อกบวช พระนางปชาบดีผเู้ ป็นพระมารดาเล้ียงของพระพทุ ธองค์ มีพระทยั ฝักใฝ่ ในการบรรพชา ไดเ้ สดจ็ ไปเฝ้ าพระพทุ ธเจา้ ซ่ึงประทบั ที่นิโครธาราม แลว้ ทลู ของอนุญาตบรรพชาในพระธรรมวนิ ยั แต่พระพทุ ธเจา้ ไม่ทรงอนุญาต ทาใหพ้ ระนางเศร้าโศกเสียใจกนั แสงเสดจ็ กลบั พระราชวงั ขณะน้นั พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ประทบั ท่ีกฏู าคารศาลา พระนางปชาบดีปรารถนาจะออก บวชอยา่ งแรงกลา้ จึงปลงพระเกศาครองผา้ กาสาวพสั ตร์ แลว้ เสดจ็ พร้อมดว้ ยบริวารไปเมืองเวสาลี ทรงกนั แสงอยทู่ ่ีซุม้ ประตู ขณะน้นั พระอานนทเ์ ห็นเขา้ จึงเขา้ ไปถามทราบความจริงแลว้ พาเขา้ ไปเฝ้ าพระพทุ ธองคท์ ูล ขอใหท้ รงอนุญาตใหส้ ตรีออกบวชในพระธรรมวินยั ได้ พระพทุ ธองคต์ รัสวา่ “ ถ้าหากพระนาง ปชาบดโี คตมยี อมรับปฏบิ ตั คิ รุธรรม ๘ ประการ ข้อน้นั จงเป็ นการอปุ สัมปทาของพระนางเถิด ”

94 ครุธรรม ๘ ครุธรรม ๘ ประการท่ีผจู้ ะออกบวชตอ้ งประพฤติใหไ้ ด้ คือ ๑. ภิกษุณีแมบ้ วชมานบั ร้อยปี ตอ้ งกราบไหวภ้ ิกษแุ มบ้ วชในวนั น้นั ๒. ภิกษุณีตอ้ งจาพรรษาอยใู่ นวดั ท่ีมีภิกษุ ๓. ภิกษุณีตอ้ งไปถามวนั อุโบสถและรับฟังโอวาทจากภิกษุทุกก่ึงเดือน ๔. ภิกษุณีตอ้ งปวารณาในสงฆส์ องฝ่ ายหลงั จาพรรษาแลว้ ๕. ภิกษุณีตอ้ งประพฤติมานตั ในสงฆส์ องฝ่ ายเมื่อตอ้ งอาบตั ิหนกั ๖. ภิกษุณีตอ้ งเป็นสิกขมานา ๒ ปี จึงขออปุ สมบทในสงฆส์ องฝ่ ายได้ ๗. ภิกษุณีตอ้ งไม่บริภาษด่าวา่ ภิกษุไม่วา่ กรณีใด ๆ ๘. ภิกษุณีจะวา่ กลา่ วตกั เตือนภิกษุไม่ได้ แตภ่ ิกษุวา่ กล่าวตกั เตือนได้ พระอานนทน์ าครุธรรมท้งั ๘ ประการ ท่ีพระพทุ ธเจา้ ตรัสสอนแจง้ ใหแ้ ก่พระนางปชาบดี ทราบ พระนางทราบแลว้ ยนิ ดีรับปฏิบตั ิตามพระดารัสของพระพทุ ธองค์ ภายหลงั จึง ไดอ้ ปุ สมบทในพระพทุ ธศาสนา พร้อมดว้ ยเหล่านางกษตั ริยบ์ ริวาร ต้งั แต่น้นั มาไดม้ ีเหล่าสตรีที่มีจิตเล่ือมใสออกบวชในพระพทุ ธศาสนาแลว้ ไดบ้ รรลุธรรม เป็นพระอรหนั ต์ เป็นพระสาวกิ าผใู้ หญจ่ านวน ๑๓ รูปดงั น้ี ภิกษุณเี อตทคั คะ ๑๓ รูป ๑. พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี เอตทคั คะทางรัตตญั ญู ๒. พระเขมาเถรี เอตทคั คะทางมีปัญญามาก ๓. พระอบุ ลวรรณาเถรี เอตทคั คะทางมีฤทธ์ิมาก ๔. พระธรรมทินนาเถรี เอตทคั คะทางเป็นธรรมกถึก ๕. พระปฏาจาราเถรี เอตทคั คะทางผทู้ รงพระวนิ ยั ๖. พระสกลุ าเถรี เอตทคั คะทางผมู้ ีจกั ษุทิพย์ ๗. พระกีสาโคตมี เอตทคั คะทางมีจีวรเศร้าหมอง ๘. พระนนั ทาเถรี เอตทคั คะทางผยู้ นิ ดีในฌาน ๙. พระภทั ทากณุ ฑลเกสีเถรี เอตทคั คะทางรู้แจง้ ไดเ้ ร็ว ๑๐. พระภทั ทกาปิ ลานีเถรี เอตทคั คะทางระลึกชาติได้ ๑๑. พระโสณาเถรี เอตทคั คะทางปรารภความเพียร ๑๒. พระสิงคาลมาตาเถรี เอตทคั คะทางหลดุ พน้ ดว้ ยศรัทธา ๑๓. พระภทั ทากจั จานาเถรี (พิมพาหรือยโสธรา) เอตทคั คะทางบรรลมุ หาภิญญา

95 เศรษฐีอยากรุ้จกั พระอรหันต์ คราวหน่ึงพระพทุ ธเจา้ ประทบั อยู่ ณ พระเวฬุวนั มหาวหิ าร เมืองราชคฤห์ ขณะน้นั เศรษฐีผู้ หน่ึงตอ้ งการลงเลน่ น้าในแม่น้าคงคา จึงสงั่ ใหล้ กู นอ้ งขึงตาข่ายทาเป็นร้ัวลอ้ มเพอื่ ป้ องกนั อนั ตราย มี ไมจ้ นั ทนแ์ ดงท่อนหน่ึงลอยมาติดตาข่าย เศรษฐีคิดวา่ ชนท้งั หลายต่างกลา่ วอวดอา้ งวา่ ตนเป็นพระ อรหนั ต์ เรามิอาจรู้ไดว้ า่ ใครเป็นพระอรหนั ตท์ ี่ควรเคารพกราบไหว้ ดงั น้ีแลว้ จึงใหช้ ่างทาการกลึงไม้ จนั ทน์แดงใหเ้ ป็นบาตร แขวนไวท้ ี่ปลายไมไ้ ผซ่ ่ึงต่อกนั สูงถึง ๑๕ วา แลว้ กล่าววา่ หากผใู้ ดเหาะมา เอาบาตรไปได้ เราจะยอมรับนบั ถือผนู้ ้นั วา่ เป็นพระอรหนั ต์ และเราพร้อมท้งั บตุ รและภรรยาจะ เคารพนบั ถอื ผนู้ ้นั เป็นสรณะที่พ่งึ ตลอดชีวติ ต่อมาครูท้งั ๖ คือ ปูรณกสั สปะ มกั ขลโิ คสาล อชิตเกสกมั พล ปกทุ ธกจั จายนะ สัญชัยเวลฏั ฐ บุตร และนคิ รนถ์นาฏบุตร มีความตอ้ งการอยากไดบ้ าตรไมจ้ นั ทน์แดงของเศรษฐี จึงขอกบั เศรษฐี แต่เศรษฐีไม่ยอมให้ โดยกลา่ ววา่ ถา้ ใครอยากไดก้ จ็ งเหาะข้ึนไปเอาเถิด นิครนถ์นาฏบุตรแสดงท่าเหาะ ในวนั ท่ี ๖ นิครนถน์ าฏบุตรใชใ้ หศ้ ิษยบ์ อกเศรษฐีวา่ บาตรน้ีสมควรแก่อาจารยข์ องเรา อยา่ ใหท้ ่านแสดงอิทธิฤทธ์ิเหาะมาเพราะบาตรใบน้ีเลย จงมอบใหแ้ ก่อาจารยข์ องเราเถิด เศรษฐีกย็ นื ยนั เช่นเดิม นิครนถน์ าฏบุตรจึงเดินทางไปดว้ นตนเองโดยทาการนดั ศิษยว์ า่ ถา้ เราทาท่าวา่ จะเหาะ พวก เจา้ จงจบั มือและเทา้ ของเราไว้ แลว้ กล่าวหา้ มวา่ ทาไมท่านอาจารยถ์ ึงทาอยา่ งน้ี ท่านอยา่ ไดแ้ สดง คุณความเป็นอรหนั ตท์ ี่ปกปิ ดไวเ้ พยี งเพราะบาตรใบเดียวเลย แลว้ ไดไ้ ปขอบาตรกบั เศรษฐีอีก แต่เศรษฐีกย็ งั กล่าวเช่นเดิม นิครนถน์ าฏบุตรจึงทาทีท่าวา่ จะเหาะศิษยต์ ่างเขา้ ไปจบั ไวแ้ ลว้ กลา่ วหา้ มตามท่ีตกลงกนั ไว้ นิครนถน์ าฏบุตรกลา่ วกนั เศรษฐีวา่ เรา จะเหาะข้ึนไปเอาบาตร แต่ศิษยก์ ห็ า้ มไว้ ขอท่านจงใหบ้ าตรแก่เราเถิด ถึงกระน้นั เศรษฐีกย็ งั ไม่ยอม ใหเ้ ช่นเดิม พระอรหนั ต์มจี ริง รุ่งเชา้ ในวนั ที่ ๗ พระมหาโมคคลั ลานะและพระปิ ณโฑลภารทวาชะเตรียมตวั จะเขา้ ไป บิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ขณะที่กาลงั ยนื ห่มจีวรอยไู่ ดย้ นิ มหาชนกลา่ ววา่ “ครูท้งั ๖ ต่างกล่าวอา้ ง วา่ เป็นพระอรหนั ต์ บดั น้ียา่ งเขา้ วนั ที่ ๗ แลว้ ยงั ไม่มีใครเหาะมาเอาบาตรของเศรษฐี พระอรหนั ตค์ ง จะไม่มีในโลกแน่นอน” พระมหาโมคคลั ลานะไดฟ้ ังดงั น้นั จึงปรึกษากบั พระปิ ณโฑภารทวาชะวา่ “ท่านภารทวาชะ ท่านไดย้ นิ คาพดู ที่ดูหม่ินพระพทุ ธศาสนาหรือไม่ ท่านจงเหาะไปเอาบาตรมาเถิด” พระปิ ณโฑลภาร

96 ทวาชะจึงเขา้ จตุตถฌานสมาบตั ิ แสดงอิทธิฤทธ์ิเหาะข้ึนไปบนอากาศพร้อมแผน่ ศิลาที่ยนื อยู่ เหาะ เวียนรอบกรุงราชคฤห์แลว้ หยดุ อยทู่ ่ีหลงั คาเรือนของเศรษฐี บญั ญตั หิ ้ามพระสาวกแสดงปาฏหิ าริย์ เศรษฐีเห็นเหตุการณ์ดงั น้นั จึงนิมนตใ์ หพ้ ระเถระนาบาตรลงมาและบรรจุดว้ ยอาหารอนั ประณีต พระเถระรับแลว้ กลบั ยงั พระเวฬุวนั ตามเดิม ฝ่ายประชาชนที่เห็นอิทธิฤทธ์ิต่างแห่แหนตาม ขอร้องใหพ้ ระเถระแสดงฤทธ์ิอีก พระศาสดาทรงทราบจึงตาหนิพระเถระพร้อมกบั รับสงั่ ใหท้ าลาย บาตรน้นั แลว้ บดทาเป็นยาหยอดตา จากน้นั ทรงบญั ญตั ิหา้ มพระสาวกแสดงอทิ ธิปาฏิหาริย์ เดยี รถีย์ท้าแข่งปาฏหิ าริย์ พวกเดียรถียไ์ ดฟ้ ังดงั น้นั กพ็ ากนั ดีใจ ประกาศทา้ ว่าจกั ทาปาฏิหาริยแ์ ข่งกบั พระพทุ ธเจา้ ฝ่ าย พระเจา้ อชาตศตั รูทราบดงั น้นั จึงกราบทูลแด่พระพทุ ธเจา้ วา่ “ทราบวา่ พระองคท์ รงบญั ญตั ิหา้ มมิให้ พระสาวกแสดงปาฏิหาริย์ บดั น้ีพวกเดียรถียจ์ ะทาปาฏิหาริยแ์ ข่งกบั พระองค์ พระองคจ์ ะทาเช่นไร หรือ” พระพทุ ธเจา้ ตรัสตอบวา่ “มหาบพติ ร ตถาคตบญั ญตั ิหา้ มเฉพาะพระสาวกเท่าน้นั จะบญั ญตั ิ หา้ มตนเองหามิได”้ พระราชาทลู ถามต่ออีกวา่ “พระพทุ ธองคจ์ กั ทาปาฏิหาริยท์ ่ีไหน และเม่ือใด หรือ” พระพทุ ธองคต์ รัสวา่ “มหาบพติ ร เราจะทาปาฏิหาริยแ์ ต่น้ีไปอีก ๕ เดือน ในวาอาสาฬหปุรณ มี ที่โคนตน้ มะม่วง ใกลเ้ มืองสาวตั ถี” พวกเดียรถียท์ ราบข่าวจึงสง่ั ใหศ้ ิษยต์ ดั ตน้ มะม่วงในบริเวณ น้นั ทิ้งท้งั หมด ต้นคณั ฑามพฤกษ์ คร้ันถึงวนั เพญ็ เดือน ๘ อาสาฬหมาส พระพทุ ธเจา้ ไดเ้ สดจ็ ไปในกรุงสาวตั ถี ขณะน้นั นาย คณั ฑะคนเฝ้ าพระราชอทุ ยาน เห็นมะม่วงสุกผลหน่ึงจึงเกบ็ เพ่อื นาไปถวายแด่พระราชา แต่ไดพ้ บ พระพทุ ธเจา้ ก่อนจึงนอ้ มถวายแด่พระพทุ ธองค์ พระอานนทเ์ ถระรับมะม่วงทาน้าปานะถวายใหเ้ สวยแลว้ ทรงรับสงั่ ใหน้ ายคณั ฑะนาเมลด็ มะม่วงปลกู ลงพ้นื ดิน ทรงอธิษฐานเอาน้าลา้ งพระหตั ถร์ ดลงท่ีเมลด็ มะม่วงน้นั ดว้ ยพทุ ธานุภาพ มะม่วงแตกออกเป็นลาตน้ แลว้ แตกก่ิงกา้ นสาขาเป็นตน้ มะม่วงขนาดใหญ่ ผลิดอกออกผลบาน สะพรั่งมีนามวา่ คณั ฑามพฤกษ์

97 ทรงแสดงยมกปาฏหิ าริย์ ขณะน้นั พระพทุ ธเจา้ ทรงดาริวา่ บดั น้ีสมควรที่จะทาปาฏิหาริย์ แลว้ ไดเ้ สดจ็ ไปประทบั ท่ีตน้ มะม่วง พระสาวกและสาวิกาทราบดงั น้นั จึงกราบทูลขอทาปาฏิหาริยแ์ ข่งกบั พวกเดียรถยี แ์ ทน แต่ พระองคไ์ ม่ทรงอนุญาต ต่อมาทรงเริ่มทาปาฏิหาริย์ โดยทรงเขา้ จตุตถฌานสมาบตั ิอนั เป็นท่ีต้งั แห่งอภิญญา เหาะข้ึน ไปในอากาศแลว้ เสดจ็ จงกรมไปมา และทรงเนรมิตพระพทุ ธเนรมิตเหมือนพระองคอ์ ีกองคห์ น่ึง แสดงอริ ิยาบถสลบั กนั ไปมากล่าวคือ เม่ือพระองคป์ ระทบั ยนื พระพทุ ธเนรมิตประทบั นงั่ เป็นตน้ แลว้ เสดจ็ ลงจากอากาศประทบั นง่ั บนรัตนบลั ลงั ก์ ทรงแสดงธรรมแก่บริษทั ๔ ซ่ึงประชุมกนั ในที่ น้นั ทาใหไ้ ดบ้ รรลุมรรคผลตามสมควรแก่อปุ นิสยั ของแต่ละบคุ คลในท่ีน้นั เสด็จสวรรค์ช้ันดาวดงึ ส์ ลาดบั น้นั พระพทุ ธเจา้ ทรงดาริวา่ พระพทุ ธเจา้ แตป่ างก่อนหลงั จากแสดงยมกปาฏิหาริยแ์ ลว้ ไดเ้ สดจ็ ไปจาพรรษาที่ใด ทรงทราบวา่ พระพทุ ธเจา้ ปางก่อนทุกพระองค์ เมื่อทายมกปาฏิหาริยแ์ ลว้ ยอ่ มเสดจ็ ข้ึนไปจาพรรษาท่ีสวรรคด์ าวดึงส์ เพ่อื แสดงธรรมโปรดพระพทุ ธมารดาสนองพระคุณ ดว้ ยกตญั ญูกตเวทิตาธรรม แลว้ ทรงดาริวา่ จกั ดาเนินตามพทุ ธประเพณีน้นั จากน้นั ไดเ้ สดจ็ ลกุ ข้ึนจากรัตนบลั ลงั ก์ ซ่ึงต้งั อยเู่ หนือยอดคณั ฑามพฤกษ์ เสดจ็ ไปประทบั นงั่ บนบณั ฑกุ มั พลศิลาอาสนใ์ ตร้ ่มไมป้ าริชาติในสวรรคช์ ้นั ดาวดึงส์ ขณะน้นั ทา้ วสกั กะทรงทราบ วา่ พระบรมศาสดาเสดจ็ ประทบั ในเทวโลก ทรงปี ติโสมนสั ประนมหตั ถถ์ วายอภิวาทพระพทุ ธองค์ และขอประทานวโรกาสไปป่ าวประกาศใหเ้ หล่าเทพยดาชุมนุมกนั เพอื่ สดบั พระธรรมเทศนา แสดงพระอภิธรรมโปรดพระพทุ ธมารดา พระพทุ ธเจา้ มีพระประสงคจ์ ะแสดงธรรมแก่พระพทุ ธมารดา แต่ไม่ทอดพระเนตรเห็นจึง ตรัสถามทา้ วสกั กะวา่ “พระมารดาของตถาคตประทบั อยู่ทไ่ี หน” ทา้ วสกั กะทรงทราบพทุ ธ ประสงคแ์ ลว้ เสดจ็ ข้ึนไปทูลเชิญพระนางมหามายาเจา้ ซ่ึงจุติเป็นเทพบุตรสถิตอยใู่ นสวรรคช์ ้นั ดุสิต เม่ือเสดจ็ มาถึงพระพทุ ธองคต์ รัสประกาศพระคณุ ของพระมารดา จบแลว้ ทรงปรารภแสดง พระอภิธรรม ๗ คมั ภีร์ โปรดพทุ ธมารดาตลอดไตรมาส ๓ เดือน เหลา่ เทพยาซ่ึงมาประชุมฟัง ธรรมในสมาคมน้นั ไดบ้ รรลุมรรคผลตามสติปัญญาของตน ๆ เม่ือทรงแสดงคมั ภีร์มหาปัฏฐานซ่ึง เป็นคมั ภีร์ท่ี ๗ จบแลว้ พระพทุ ธมารดาไดบ้ รรลุธรรมเป็นพระโสดาบนั

98 มหาชนคร่าครวญถึงพระพทุ ธองค์ เม่ือพระบรมศาสดาทรงทาปาฏิหาริยแ์ ลว้ เสดจ็ ข้ึนไปจาพรรษาท่ีสวรรคช์ ้นั ดาวดึงส์มหาชน ที่สมาคมกนั ในท่ีน้นั ต่างสงสยั เศร้าโศกกนั วา่ พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ไปสู่ภเู ขาคิชฌกฏู หรือคนั ธมาทน์ เราท้งั หลายมิไดเ้ ห็นพระองคใ์ นกาลบดั น้ีแลว้ เขา้ ไปถามพระมหาโมคคลั ลานะวา่ “ขา้ แต่พระผเู้ ป็น เจา้ พระบรมศาสดาของเราท้งั หลายเสดจ็ ไปสถิตอยทู่ ่ีไหน” พระมหาเถระจึงกล่าววา่ “พวกท่านจง ถามท่านอนุรุทธะเถิด” มหาชนไดไ้ ปถามพระอนุรุทธะ พระเถระบอกวา่ พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ข้ึนไป จาพรรษาที่บณั ฑุกมั พลศิลาอาสน์ในดาวดึงส์เทวโลก เพ่อื ตรัสพระธรรมเทศนาอภิธรรม ๗ คมั ภีร์ โปรดพระพทุ ธมารดา คร้ันตรัสเทศนาพระอภิธรรมปิ ฎกถว้ นไตรมาสแลว้ พอถึงวนั มหาปวารณา จึงจะเสดจ็ มายงั มนุษยโลกน้ี เสดจ็ ลงจากสวรรค์ช้ันดาวดึงส์ มหาชนจึงกลา่ วกบั พระมหาโมคคลั ลานะวา่ ถา้ มิไดเ้ ห็นองคพ์ ระสพั พญั ญู ขา้ พเจา้ ท้งั หลาย จะไม่ไปจากที่น่ี แลว้ ชวนกนั พกั แรมอาศยั อยใู่ นที่น้นั เม่ือเหลือเวลาอีก ๗ วนั จะออกพรรษา มหาชนเขา้ ไปหาพระโมคคลั ลานะแลว้ กล่าววา่ “พระผเู้ ป็นเจา้ ควรท่ีจะรู้วนั ที่พระสพั พญั ญูจะเสดจ็ ลงจากเทวโลกใหแ้ น่นอน และพวกขา้ พเจา้ มิไดเ้ ห็นพระบรมศาสดาแลว้ จะไม่ไปจากที่นี่” พระมหา เถระจึงสาแดงฤทธ์ิเหาะข้ึนไปสู่ภพดาวดึงส์ ประคองอญั ชลีกราบทลู วา่ “พระพทุ ธองคจ์ ะเสดจ็ ลง จากเทวโลกในกาลใด” พระพทุ ธองคม์ ีพระดารัสวา่ “โมคคลั ลานะ ต่อน้ีไปอีก ๗ วนั จะถึงวนั มหา ปวารณา ตถาคตจะลงจากเทวโลกที่ใกลป้ ระตูเมืองสงั กสั สนคร ในวนั น้นั ผิวา่ มหาชนใคร่จะได้ เห็นตถาคตจงไปท่ีนนั่ เธอจงไปแจง้ แก่มหาชนตามคาของตถาคตน้ี” คร้ันแลว้ พระมหาโมคคลั ลานะ ไดก้ ลบั มาแจง้ ข่าวน้นั แก่มหาชน เสดจ็ ลงทป่ี ระตูเมอื งสังกสั สะ พอถึงวนั ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๑๑ พระบรมศาสดาทรงปวารณาออกพรรษาแลว้ ตรัสบอกแก่ ทา้ วสกั กะวา่ “ดูก่อนเทวราช ตถาคตจะลงไปสู่มนุษยโลกวนั นี”้ ทา้ วสกั กะจึงไดเ้ นรมิตบนั ได ทิพย์ ๓ บนั ได คือ บันไดทองอยู่เบอื้ งขวา บันไดเงนิ อยู่เบอื้ งซ้าย บันไดแก้วอยู่ท่ามกลาง เชิง บนั ไดท้งั ๓ ต้งั อยบู่ นพ้ืนปฐพีใกลป้ ระตูเมืองสงั กสั สะ หวั บนั ไดเบ้ืองบนจรดยอดภูเขาสิเนรุอนั เป็นที่ต้งั แห่งสวรรคช์ ้นั ดาวดึงส์ บันไดทองเป็ นทล่ี งของเหล่าเทวดา บันไดเงนิ เป็ นทลี่ งของพรหม ส่วนบันไดแก้วน้ันเป็ นทเ่ี สดจ็ ลงของพระพทุ ธเจ้า

99 เปิ ดภพสาม สมเดจ็ พระบรมศาสดาประทบั ยนื ท่ีฐานศีรษะบนั ได ในท่ามกลางเทพบริษทั ท้งั มวล คร้ัน แลว้ ไดท้ รงทาโลกวิวรณปาฏิหาริย์ บนั ดาลเปิ ดภพท้งั ๓ คือ สวรรค์ มนุษย์ และนรก ใหแ้ ลเห็นกนั ไม่มีสิ่งใดกีดก้นั เทวดามองเห็นมนุษย์ และนรก มนุษยม์ องเห็นเทวดาในสวรรค์ และสตั วใ์ นนรกก็ เห็นมนุษยต์ ลอดถึงเทวดาในสวรรค์ แลว้ ประทานพระธรรมเทศนา เมื่อจบพระธรรมเทศนาแลว้ ภิกษุ ๕๐๐ รูปซ่ึงเป็นสทั ธิวิหาริกของพระสารีบุตรกบ็ รรลุธรรมเป็นพระอรหนั ต์ พทุ ธบริษทั ท้งั ปวงไดด้ วงตาเห็นธรรมบรรุลมุ รรคผลเป็นจานวนมาก พระพทุ ธเจ้าประชวร หลงั จากท่ีพระมหาบรุ ุษตรัสรู้พระอนุตตรสมั มาสมั โพธิญาณแลว้ ทรงบาเพญ็ พทุ ธกิจเพ่ือ โปรดเวไนยชน โดยทรงบาเพญ็ พทุ ธกิจกลา่ วคือ กิจวตั รท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงบาเพญ็ ประจาวนั มี ๕ อยา่ ง คือ ๑. เวลาเช้าเสดจ็ บิณฑบาต ๒. เวลาเยน็ ทรงแสดงธรรม ๓. เวลาคา่ ประทานโอวาทแก่เหล่าพระภกิ ษุ ๔. เทย่ี งคนื ทรงตอบปัญหาเทวดา ๕. เวลาเช้ามดื ทรงตรวจดูสัตว์โลกทคี่ วรเสดจ็ ไปโปรด พระพทุ ธเจา้ ทรงบาเพญ็ พทุ ธกิจ ๕ ประการน้ีเป็นประจาตลอด ๔๕ พรรษา ในพรรษาที่ ๔๕ ซ่ึงเป็นพรรษาสุดทา้ ย ประทบั ท่ีบา้ นเวฬุวคาม เขตเมืองเวสาลี พระพทุ ธองคป์ ระชวรหนกั และทรงเยยี วยาดว้ ยอธิวาสนขนั ติ หลงั จากออกพรรษาแลว้ เสดจ็ ไปประทบั ที่วดั พระเชตวนั เมือง สาวตั ถี พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา พรรษาท่ี ๑ ประทบั จาพรรษาท่ีป่ าอิสิปตนมฤคทายวนั เมืองพาราณสี แสดงปฐมเทศนา โปรดพระปัญจวคั คีย์ พรรษาท่ี ๒,๓,๔ ประทบั จาพรรษาท่ีวดั พระเวฬุวนั มหาวหิ าร เมืองราชคฤห์ โปรดพระ เจา้ พมิ พสิ าร และไดพ้ ระอคั รสาวก พรรษาท่ี ๕ ประทบั จาพรรษาท่ีกฏู าคารศาลา ใกลเ้ มืองเวสาลี โปรดพระบิดาใหไ้ ด้ บรรลอุ รหตั ตผล เกิดภิกษุณีสงฆ์

100 พรรษาท่ี ๖ ประทบั จาพรรษาท่ีมกลุ บรรพต แควน้ มคธ ทรงทรมานอสูร เทวดา และ มนุษยใ์ หล้ ะพยศ พรรษาที่ ๗ ประทบั จาพรรษาที่บณั ฑกุ มั พลศิลาอาสน์ สวรรคช์ ้นั ดาวดึงส์ แสดงพระ อภิธรรมโปรดพระพทุ ธมารดา พรรษาที่ ๘ ประทบั จาพรรษาที่เภสกลามิคทายวนั (ป่ าไมส้ ีเสียด) เมืองสุงสุมารคีรี แควน้ ภคั คะ พบนกลุ บิดาและนกลุ มารดา พรรษาที่ ๙ ประทบั จาพรรษาที่โฆสิตาราม เมืองโกสมั พี พรรษาที่ ๑๐ ประทบั จาพรรษาที่ป่ าปาริเลยยกะ เมืองโกสมั พี คราวภิกษุชาวโกสมั พี ทะเลาะกนั พรรษาท่ี ๑๑ ประทบั จาพรรษาที่หมู่บา้ นเอกนาลา แควน้ มคธ พรรษาท่ี ๑๒ ประทบั จาพรรษาที่ร่มไมป้ ุจิมณั ฑพฤกษ์ เมืองเวรัญชา พรรษาที่ ๑๓ ประทบั จาพรรษาท่ีจาลิยบรรพต เมืองจาลิกา พรรษาท่ี ๑๔ ประทบั จาพรรษาท่ีวดั พระเชตวนั เมืองสาวตั ถี พรรษาที่ ๑๕ ประทบั จาพรรษาท่ีวดั นิโครธาราม เมืองกบิลพสั ดุ์ พรรษาท่ี ๑๖ ประทบั จาพรรษาท่ีอคั คาฬวเจดีย์ เมืองอาฬวี ทรงทรมานอาฬ วกยกั ษ์ พรรษาที่ ๑๗ ประทบั จาพรรษาท่ีวดั พระเวฬุวนั เมืองราชคฤห์ พรรษาที่ ๑๘, ๑๙ ประทบั จาพรรษาท่ีจาลิยบรรพต เมืองจาลิกา พรรษาท่ี ๒๐ ประทบั จาพรรษาท่ีวดั พระเวฬุวนั เมืองราชคฤห์ โปรดโจรองคุลิมาล พรรษาที่ ๒๑-๔๔ ประทบั จาพรรษาท่ีวดั พระเชตวนั และวดั บพุ พารามสลบั กนั พรรษาท่ี ๔๕ ประทบั จาพรรษาท่ีบา้ นเวฬุวคาม เมืองเวสาลี พระสารีบุตรทูลลาพระพุทธเจ้านิพพาน ขณะท่ีพระพทุ ธเจา้ ประชวร พระสารีบุตรไดถ้ วายการปรนนิบตั ิ และไดก้ ราบบงั คมทลู ลา พระพทุ ธเจา้ กลบั สู่ท่ีพกั แลว้ นงั่ ขดั สมาธิเขา้ สมาบตั ิแลว้ พิจารณาอายสุ งั ขารทราบวา่ จกั มีชีวติ อยไู่ ด้ อีกเพยี ง ๗ วนั เท่าน้นั และคิดต่อไปอีกวา่ เราจกั นิพพานในที่ไหนหนอ พระราหุลนิพพานที่ บณั ฑุกมั พลศิลาอาสน์ ส่วนพระอญั ญาโกณฑญั ญะนิพพานที่สระฉทั ทนั ต์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook