Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สื่อการสอนวิชาพระพุทธศาสนา 1 หน่วยที่ 5-7

สื่อการสอนวิชาพระพุทธศาสนา 1 หน่วยที่ 5-7

Description: สื่อการสอนวิชาพระพุทธศาสนา 1 หน่วยที่ 5-7

Search

Read the Text Version

1.1 ประโยชน์ของการบริหารจิต 1) ประโยชน์ของการบรหิ ารจิตระดับชีวติ ประจาวนั ▪ ทาจิตใจให้สบายหายเครียด ▪ หายจากความวิตกหวาดกลวั ▪ มีความเพียรพยายามแน่วแน่ในจุดมุ่งหมาย 2) ประโยชน์ของสมาธิในการพฒั นาบคุ ลิกภาพ ▪ ทาให้มีบุคลิกเขม้ แข็ง ▪ มีความสงบเยอื กเย็น ▪ มีความมั่นคงทางอารมณ์ 3) ประโยชน์ของสมาธิที่เปน็ จุดหมายของศาสนา ▪ สมาธิแน่วแน่ สมาธิระดับฌาน (อปั ปนาสมาธิ) ▪ สามารถระงับกิเลสทีป่ ิดกน้ั จิตมิให้พฒั นาสงู ข้ึน (นิวรณ)์

1.2 การบริหารจิตตามหลักสติปฏั ฐาน 1) ความหมายของสติปัฏฐาน คอื การใช้สติกากบั 4 เรื่อง 1.1 กายานุปัสสนา คอื การพิจารณากาย ได้แก่ อานาปานสติ กาหนดอิริยาบถ สัมปชญั ญะ ปฏกิ ลู มนสิการ ธาตมุ นสิการ นวสีวถกิ า 1.2 เวทนานุปสั สนา คอื พิจารณาเวทนา ให้รู้ทนั อาการที่เปน็ อยู่นั้น 1.3 จิตตานุปสั สนา คอื พิจารณาดูจิตของตนในขณะนน้ั ๆ 1.4 ธัมมานุปัสสนา คอื พิจารณาธรรมะต่าง ๆ ได้แก่ 1.4.1 นิวรณ์ เช่น มีกามฉันทะ พยาบาท 1.4.2 ขนั ธ์ คอื กาหนดรู้ขนั ธ์ห้าแต่ละอย่างคอื อะไร 1.4.3 อายตนะ คอื รู้ชัดอายตนะภายใน อายตนะภายนอกแต่ละอย่าง 1.4.4 โพชฌงค์ คอื องคป์ ระกอบแห่งการตรสั รู้ 1.4.5 อริยสจั คอื ความเปน็ จริงของอริยสจั สีแ่ ต่ละอย่าง

2) วธิ ีการบรหิ ารจิตตามหลกั สติปฏั ฐาน วิธีนง่ั กาหนด 2 ระยะ 2.1 การนั่งกาหนด คอื การนั่งสมาธิ คากาหนด: พองหนอ-ยบุ หนอ 1. นง่ั ขัดสมาธิตามแบบที่ตนชอบ ต้ังตัวตรง หลงั ตรง วิธีนง่ั กาหนด 2 ระยะ ศีรษะตรง 2. หลบั ตา มือขวาทบั มือซ้าย วางซ้อนกนั ไว้ทีห่ น้าตัก 3. ส่งสติไปทีห่ น้าท้อง ตรงในกลางสะดอื 4. ขณะท้องพองขนึ้ สติกาหนดรู้อาการพอง กาหนดวา่ พอง เมื่อส้นิ สดุ อาการพองแล้ว กาหนดวา่ หนอ โดยกาหนดรู้ อาการเคลื่อนไหวของท้อง

2.2 การเดินจงกรม คอื การปฏบิ ัตกิ รรมฐานตามแบบสติปฏั ฐานในหมวดอิริยาบถปพั พะ

3) การบรหิ ารจิตเพื่อการเรียนรู้ คุณภาพชีวิต และสังคม 1. ช่วยให้ความจาดี 2. ช่วยให้เรียนหนงั สือดี 3. ช่วยให้มีคณุ ภาพในการเรียนรู้สิง่ ต่าง ๆได้ดี 4. ช่วยให้เปน็ คนมีความสขุ ง่าย มีทกุ ขย์ าก 5. ช่วยให้เป็นคนมีอารมณ์มน่ั คง หนักแน่น 6. สร้างความสวัสดีปลอดภยั ให้กับตนเอง 7. สร้างสรรคส์ ังคม มองอะไรชดั เจนข้ึน เก้ือกูลต่อการใช้ปญั ญา

2.การเจริญปัญญาตาม หลักโยนิโสมนสิการ

2.1 คิดแบบรู้เท่าทนั ธรรมดา (คิดแบบสามัญลักษณะ) คิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา คือ คิดแบบไตรลักษณ์ “ไตรลักษณ์” คือ ลกั ษณะสามอาการที่เปน็ เครื่องกาหนด หมายให้รู้ถึงความจริงของสภาวธรรมทั้งหลายทีเ่ ปน็ อย่างน้ัน ๆ 3 ประการ ไดแ้ ก่ อนิจจงั ทกุ ขัง อนตั ตา วธิ คี ิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา แบ่งออกเป็น 2 ข้ันตอน ดังนี้ 1. ยอมรบั ความจริง คือ ใหย้ อมรับวา่ ความจริงมนั เปน็ เชน่ น้ี 2. แก้ไขไปตามเหตุปจั จยั คือ รู้ว่าเปน็ จริงอย่างนั้นกป็ ฏิบตั ิให้ สอดคล้องกับการเปลีย่ นแปลง

โยนโิ สมนสกิ าร โยนิโสมนสิการ คอื การคดิ อย่างวิเคราะหว์ จิ ารณ์อยา่ งรอบคอบ ทาให้เกิดปัญญาแตกฉาน มี 10 วธิ ี ดงั นี้ 1. วธิ ีคดิ แบบสืบสาวเหตปุ จั จยั คือ คิดแบบมีเหตุผล เช่นพระพทุ ธเจ้าทรงตรัสรโู้ ดยใชว้ ิธีการคิดแบบสืบสาวหาเหตุจากปัจจัย พระองค์ต้ังคาถามขนึ้ มาเกี่ยวกับ เวทนา ได้แก่ ความรู้สึกสุขทกุ ข์ โดยทรงพิจารณาว่าเวทนาทีเ่ ป็นสขุ เป็นทุกข์นเี้ กิดขึน้ โดยมีอะไรเป็นปจั จยั แล้วพระองค์กส็ ืบสาวไปก็ทรงค้นพบว่า มีผสั สะ เป็นต้น 2. วธิ ีคดิ แบบแยกแยะ ส่วนประกอบ คือ การคิดจาแนกแยกแยะองค์รวมของสิง่ ต่าง ๆ ออกเปน็ องค์ย่อย ๆ ทาให้มองเห็นความและความสมพนั ธ์ของ องค์ประกอบย่อยเหล่าน้ันว่ามีความเกี่ยว กับเนือ่ งกนั เปน็ เหตเุ ป็นผลและพึง่ พาอาศัยกนั อย่างไร จึงประสานสอดคล้องกันเปน็ องค์รวม วิธีคิดแบบนี้จะทาให้เรารู้ และเข้าใจสิง่ ต่าง ๆ ตามสภาพความเป็นจริง 3. วธิ ีแบบสามัญลกั ษณะ คือ คิดแบบไตรลกั ษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนตั ตา) คือคิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา ชีวติ ของคนเราก็เปน็ เช่นนี้เปน็ อนิจจังไม่เทีย่ งแท้ ทุกขงั มี แต่ความทุกข์อนัตตาไม่มีตวั ตนที่แน่นอน 4. วธิ ีคดิ แบบอริยสจั หรือ วธิ ีคดิ แบบแก้ปัญหา คือ การพิจารณาปัญหามีอะไรบ้าง (ทุกข์) สาเหตอุ ยู่ทีใ่ ด (สมทุ ยั ) แนวทางและเป้าหมายของการแก้ปัญหาทตี่ ง้ั ไว้ (นิโรธ) พิจารณาวีการ ดาเนินงานเพื่อบรรลเุ ป้าหมาย (มรรค) ซึ่งเราสามารถใชเ้ ป็นหลักยึดในการพิจารณาถึงความเปน็ จริงและนาไปสกู่ ารคิด ตาม กระบวนการนี้

5. วธิ ีคดิ แบบอรรถธรรมสมั พันธ์ คิดตามหลักการและความมุ่งหมาย เป็นการคิดแบบสุตบรุ ุษ หรือสปั ปรุ สิ ธรรมอันเป็นคณุ สมบตั ิของคนดี คือ รู้จักเหตุ รู้จกั ผล รู้จักตน รู้จกั ประมาณ รู้จกั บคุ คล รู้จกั ชุมชน 6. วิธีคิดแบบเห็นคุณ – โทษและทางออก คือ มองในเชิงคุณค่าวา่ สิ่งน้ัน ๆ มีคณุ ในแง่ไหน มีโทษในแง่ไหน มองท้ังคณุ และโทษ แล้วก็หาทางออกที่จะแกไ้ ข 7. คิดแบบคุณคา่ แท้- คุณคา่ เทยี ม รู้จกั แยกแยะสิ่งดีช่ัวได้อย่างมีเหตผุ ล 8. วธิ ีคดิ แบบปลกุ เรา้ คณุ ธรรม คิดแบบปลกุ เร้าคุณธรรมหรือชุดความดี หมายถึง การบาเพ็ญความดี ซึ่งจะต้องกระทาให้ถึงทีส่ ดุ 9. วิธีคิดแบบเป็นอยใู่ นขณะปจั จุบัน คือ คิดอยู่ในปัจจุบัน แนวนตี้ ้องบมีวปิ สั สนากรรฐานเปน็ เครื่องมือ 10. วธิ ีคดิ แบบวภิ ชั ชวาท (แบบจาแนก) คือ คิดแบบรอบด้าน แยกแยะ มองสิ่งต่าง ๆในหลาย ๆ มมุ อย่างละเอยี ดรอบคอบ

2.2 คิดแบบเป็นอย่ใู นขณะนัน้ 1. เข้าใจหลกั อนัตตา คือ ภาวะที่ไร้ตวั ตน กล่าวคือ เข้าใจ ว่าเมอ่ื เกิดดับ ๆ อยู่อย่างนีต้ ลอด แล้วจะหาตัวตนได้ทีไ่ หน 2. คิดในขณะทีก่ าลงั เกิดขึน้ คือ มสี ติตามทนั สิง่ ทีร่ ับรู้ เกีย่ วข้อง

อา้ งอิง วิทย์ วิศทเวทย์ และ เสฐียรพงษ์ วรรณปก. (2553). หนงั สือเรียน รายวิชาพ้ืนฐาน พระพุทธศาสนา ม. 4 : ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 4. พิมพ์ครง้ั ที่ 7. กรงุ เทพฯ: อกั ษรเจริญทัศน์. อา้ งอิงสื่อ ขอบคณุ ข้อมลู ภาพประกอบทกุ ภาพจากสือ่ อนิ เทอร์เน็ต (ใช้เพ่อื จดั กาเรียนการสอน)