Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสารอยุธยาบ้านเธอ ปักษ์ใต้บ้านฉัน 4...

วารสารอยุธยาบ้านเธอ ปักษ์ใต้บ้านฉัน 4...

Published by Guset User, 2021-11-26 14:40:03

Description: วารสารอยุธยาบ้านเธอ ปักษ์ใต้บ้านฉัน 4...

Search

Read the Text Version

บทบรรณาธิการ “ความแตกต่างที่ไม่แตกแยกกัน เพราะเราคือพี่น้องมุสลิมเดียวกัน” หลายๆ คน อาจจะยังไม่คุ้นหูกันมาก หนัก เป็นประโยคง่ายๆ ที่อ่านแล้วมีคุณค่าทางจิตใจอย่างล้นหลาม วันนี้เป็นวันดี วันสุดท้ายของสัปดาห์ ได้ฤกษ์มา เบิกวารสาร \"อยุธยาบา้ นเธอ ปกั ษใ์ ต้บ้านฉนั \" วารสารเล่มนี้เป็นวารสารฉบับที่ 1 มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการนำเสนอถึงวิถีชีวิตของชาวมุสลิมภาคใต้และ อยุธยา ทั้งนี้เพื่ออยากให้คนที่สนใจ รวมถึงพี่น้องต่างศาสนิกชนได้รับรู้ถึงวิถีชีวิตของมุสลิม หากพูดถึง วิถีชีวิตมุสลิม ภาคใต้และอยุธยา ย่อมมีทั้งความแตกต่างและความเหมือนกัน เเต่ถึงอย่างไรก็ตามถึงจะแตกต่างกันแตกก็ไม่เคย แตกแยก เรายงั คงเชอื่ มความสัมพนั ธท์ ด่ี ีซงึ่ กนั และกันเสมอมา หนังสือวารสารเล่มนี้ว่าด้วยเรื่องของวิถีชีวิตชาวมุสลิม โดยมีเรื่องเล่าเเบบเล่าสู่กันฟัง ตั้งแต่ตาม รอยวิถีชีวิตมุสลิม ความเชื่อที่ต่างกัน มัสยิดบ้านเขาและบ้านเรา ตลอดจนให้ความรู้ทางภาษาเกี่ยวกับคำศัพท์ เรยี กไดว้ ่าวารสารเลม่ นมี้ เี นื้อหาท่ีครบครนั และชวนใหน้ ่าอา่ นเป็นอย่ายิง่ หวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะมีความสนุกเพลิดเพลิน และอยากกระซิบสักนิดว่า พวกเราตั้งใจทำวารสารฉบับน้ี เพราะทุกถ้อยคำท่ีถา่ ยทอดออกไปล้วนผา่ นการกลั่นกรองอยา่ งถ่ถี ้วนจากพวกเราทั้งน้นั อยากให้ผู้อ่านทีน่ า่ รักทุกคนท่ี เข้ามาอ่านมีความรู้สึกอินต่อทุกข้อความที่ได้นำเสนอไว้ ทางเราหวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะได้รับสาระ และความรู้อย่าง มากมาย สุดท้ายนี้ ทางเราของฝากวารสารฉบับแรกไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะ ทั้งน้ีถึงเเม้ว่ามุสลิมจะอยู่กันคนละ พื้นที่อยู่กันคนละแห่งหนบนโลกใบนี้ แต่สิ่งที่ยึดเหนี่ยวพี่น้องชาวมุสลิมให้อยู่ร่วมกันได้ คือการรู้จักยอมรับ และ ปรับตัวให้เขา้ กบั สังคม ชว่ งนอ้ี ากาศกเ็ เปรปรวน โควิดก็ระบาดหนกั ขน้ึ อย่าลมื ดเู เลสขุ ภาพ และห่างไกลโรคภยั ไข้เจ็บ กนั ทุกคนนะคะ บรรณาธิการ

www.pinterest.com 5

6

7

8

ที่มา: www.google.com เจ้าประคุณโต๊ะตะเกี่ย เป็นบุคคลสำคัญของชาวมุสลิม หากกล่าวถึงประวัติของเจ้าประคุณตะเก่ีย ในกรุงศรีอยุธยา ถือได้ว่าเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อศาสนิกชน ชื่อเต็มของท่านคือ “พระคุณตะเกี่ยโยคินราชมิสจินจา ที่นับถือเคารพท่านเป็นอย่างมาก หากกล่าวถึงชื่อ “เจ้า สยาม” ชาวบ้านทั่วไปมักเรียกกันว่า “เจ้าประคุณ ประคุณโต๊ะตะเกี่ย” หลายๆ คนอาจจะรู้จักว่าท่านเป็นบุคคล ตะเกี่ย” หรือ “โต๊ะตะเกี่ย”คำว่า ตะเกี่ย” เป็นภาษา ที่มีบทบาท และเป็นผู้นำที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาอิสลามใน เปอร์เซีย มาจากคำว่า “ตะกียะฮู” หมายถึง อยุธยา รวมถึงยังมีตำนานเลา่ ขานว่าท่านเป็นผู้ที่มวี ิชาความรู้ ที่สบอารมณ์ ที่พักของผู้สันโดษหรือสุสาน ต่อมา และมีเรื่องราวอิทธิปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับท่านมากมาย ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เชื่อว่าคงมีอีกหลายๆ ท่านที่ยังไม่ทราบถึงชีวประวัติ และ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตำนานตา่ งๆ ของโตะ๊ ตะเกยี่ ซง่ึ ชวี ประวัตแิ ละตำนานของโตะ๊ พระราชทานนามว่า “ตะเกี่ยโยคินราชมิสจนิ จาสยาม” ตะเกี่ยเป็นเรื่องราวที่น่าค้นหา และน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เจ้าประคุณตะเกี่ยเป็นชาวฮินดูเป็นนักแสวงบุญจาก เรียกไดว้ ่าทา่ นเป็นอีกหนง่ึ มุสลิมคนดงั ที่สำคญั และเป็นบรรพ อินเดีย และมีการสันนิษฐานว่าได้เข้ามายังกรุง บุรุษของพี่น้องมุสลิมในอยุธยาที่มีเรื่องราวเล่าขานที่แปลก ศรีอยุธยาใน พ.ศ.๒๑๕๓ สมัยพระเจ้าทรงธรรม บ้างก็ และน่าสนใจ อีกทั้งยังเป็นชาวมุสลิมที่สำคัญของ ว่าท่านเข้ามาในสมัยพระเจ้าทรงธรรม เมื่อปี พ.ศ.๒o กรุงศรีอยุธยา และเป็นที่รู้จักของมุสลิมที่นับถือเคารพท่าน ๙๔ ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ และพุทธศาสนิกชนอีกด้วย ในปัจจุบันนี้ทั้งชาวมุสลิมที่มี และสิ้นชีวิต เมื่อปี พ.ศ. ๒๒๒๔ ตรงกับรัชสมัยสมเด็จ ความเชื่อต่อท่าน รวมถึงชาวพุทธที่มีความเสื่อมใส และ พระมหาธรรมราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา ทั้งนี้ในส่วน ศรัทธาท่านก็ยังคงเคารพ และนับถือซึ่งมีให้เห็นอยู่เป็น ชีวประวัติของท่านยังคงเป็นข้อสันนิษฐานที่ยังหา จำนวนมาก เรียกได้ว่าท่านเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลทางจิตใจ ข้อสรุปไม่ได้ แต่เป็นที่รู้ว่าท่านเข้ามาเผยแผ่ศาสนา ความเชื่อ และยังเป็นที่ยึดเหนี่ยวเคารพบูชาของมุสลิมที่นับ อิสลามในประเทศไทย ถือมาตงั้ แตอ่ ดีตจนถงึ ปัจจบุ นั 9

ท่มี า:www.google.com โดยเรื่องราวอันเป็นตำนานของท่านเริ่มขึ้นใน วันหนึ่ง เมื่อท่านสมภารวัดเทพชุมพลกลับจากบิณฑบาตทาง นอกจากนี้ยังมีตำนานเล่าขานระหว่างเจ้าประคุณโต๊ะ เรือ พอมาถึงฝั่งตรงข้ามของวัดก็เห็นแขกอินเดียคนหนึ่งแต่ง ตะเกี่ยกับสมภารวัด ซึ่งตำนานเล่าขานในที่นี้เป็นความเช่ือ กาย ชุดขาว ท่าทางเหมือนโยคีจะขออาศัยข้ามฟากไปด้วย ส่วนบุคคลเท่านั้น ในศาสนาอิสลามจะมีข้อห้ามที่สำคัญ ท่านสมภารบอกว่า เรือท่านเล็กจะให้ลูกศิษย์ไปส่งท่านก่อน อย่างหนึ่ง คือห้ามเชื่อถือในไสยศาสตร์เวทย์มนตร์คาถา ทั้ง แล้วจะให้กลับมารับ แต่เมื่อสมภารข้ามไปถึงวัด ก็พบว่าโยคี ยังห้ามสร้างและนับถือรูปเคารพ เพราะการกระทำแบบนั้น ท่านนั้นหรือเจ้าประคุณตะเกี่ยมานั่งอยู่ที่ศาลาท่าน้ำแล้ว ด้วย เป็นการตั้งภาคีต่อผู้เป็นเจ้า (การชิริก) แต่ก็มีนักบวชท่าน เหตุที่ท่านสมภารเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องไสยศาสตร์แก่กล้าใน หนึ่งที่นำศาสนาอิสลามเข้ามาเผยแพร่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ด้านคาถาอาคม ก็รู้ว่าโยคีแขกผู้น้ีไม่ธรรมดาแน่ จึงแอบกระซิบ สามารถใช้อิทธิปาฏิหาริย์เอาชนะสมภารของวัดหนึ่งซ่ึง ให้ลูกศิษย์เอาหัวหมูไปแขวนไว้ที่กิ่งต้นจันทน์ แล้วชวนโยคีข้ึน เชี่ยวชาญในด้านไสยศาสตร์ได้ จนท่านสมภารที่แพ้พนัน ไปสนทนากันบนกุฏิ เมื่อโยคีเดินรอดหัวหมูเข้าไปแล้ว ท่าน ต้องหันไปนับถือศาสนาอิสลาม ต่อมาวัดของท่านสมภารก็ สมภารก็ถามว่า “เขาว่าแขกเกลียดหมูไมใ่ ช่หรือ ทำไมท่านเดิน กลายเป็นมัสยิด เมื่อทั้งสองท่านเสียชีวิต แม้ข้อห้ามทาง ลอดหัวหมูเข้ามาล่ะ” เจ้าประคุณตะเกี่ยก็บอกว่า “นั่นมัน ศาสนาจะไมม่ กี ารสร้างรูปเคารพของทา่ นไว้ แต่ศาสนสถาน หัวหมูที่ไหนล่ะ มันเป็นหัวแพะ” ท่านสมภารเดินกลับไปดูอีก ซึ่งเป็นสุสานของท่าน ก็มีทั้งผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม และ คร้งั ก็ปรากฏว่าหัวหมกู ลายเปน็ หัวแพะไปแลว้ นับถือศาสนาพุทธไปกราบไหว้ด้วยความเคารพศรัทธา ตง้ั แต่บัดนนั้ จนบัดน้ีเปน็ เวลากวา่ ๔๐๐ ปีโดยมเิ สื่อมคลาย เม่ือได้คู่ต่อสู้ที่ถูกอัธยาศัย ทั้งสองท่านก็สนทนากันใน เรื่องวิชาที่ตนสนใจตรงกัน แม้จะไม่มีอยู่ในทั้งสองศาสนาก็ตาม จนเกิดท้าประลองความรู้กันขึ้น โดยมีเดิมพันว่าถ้าใครเป็นฝ่าย แพ้ ต้องเปลี่ยนศาสนาไปตามผู้ชนะ ท่านสมภารเป็นผู้เริ่มก่อน ให้ลูกศิษยไ์ ปเอาไข่มากระจาดหนึง่ แล้วตั้งไข่เรียงขึน้ ไป ไข่ก็ตง้ั เรียงสูงขึ้นไปโดยไม่ล้ม เหมือนมีอะไรประคองไว้ ถึงคราวโยคี เจา้ ประคุณตะเกี่ยก็ชกั ไข่ออกลกู เว้นลูก แตไ่ ขท่ ่ีเหลือยังลอยอยู่ ได้ด้วยปาฏิหารยิ ์ เกมนที้ า่ นสมภารยอมรบั ว่าแพ้ เกมตอ่ ไปเป็น การเล่นซ่อนหา ท่านสมภารเริ่มด้วยการหายวับไปกับตา เจ้าประคุณตะเกี่ยก็เดินไปที่ท่าน้ำ แล้วร้องถามว่า “ท่านไปอยู่ ในฟองน้ำนั่นทำไม ขึ้นมาเถอะ” ต่อไปโยคีเป็นฝ่ายหายบ้าง ท่านสมภารหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ จนโยคีต้องเปิดเผยตัวออกมาว่า เป็นผงติดอยู่ที่ขนตาของท่านสมภารนั่นเอง สรุปว่าการท้า ประลองวิทยายุทธนี้ท่านสมภารเปน็ ฝ่ายแพ้ ต้องเปลี่ยนศาสนา ไปถืออิสลามมีชื่อเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า “ท่านดิหว่านเจ้า” และทั้งสองท่านก็พำนักอยู่ที่วัดเทพชุมพลด้วยกัน โดย เจ้าประคุณตะเกี่ยได้สร้างที่พักขึ้นบนฐานของพระอุโบสถ และ ได้รับความเคารพเลื่อมใสจากชาวมุสลิมและประชาชนทั่วไป จนต่อมาวัดเทพชุมพลได้กลายเป็นมัสยิด เจ้าคุณตะเกี่ยถึง อนิจกรรมใน พ.ศ.๒๒๒๔ ศพของท่านถูกฝังไว้ตรงที่เคยเป็นที่ อยู่ของท่าน ส่วนท่านดิหว่านเจ้าได้ดำเนินกิจการของมัสยิดต่อ จนอกี ๗ ปตี อ่ มาจึงถงึ อนจิ กรรมตามกันไปศพถูกฝงั ไว้คูก่ ัน 10

โดยผู้ที่เคารพศรัทธาได้สร้างอาคารครอบที่ทอดร่างของ เจ้าประคุณตะเกี่ยถึงอนิจกรรมใน พ.ศ.๒๒๒๔ ท่านทั้งสองไว้แม้มัสยิดท้ังหลายจะไม่มกี ารจดุ ธูปกราบไหว้ ปีที่ ๒๖ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ส่วนดิหว่านเจ้า แต่มัสยิดตะเกี่ยโยคินราชมิสจินจาสยาม ก็อนุโลมให้คน ถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. ๒๒๓๑ ปีเดียวกับที่สมเด็จพระ ต่างศาสนาจุดธูปบูชาที่นอนของท่านทั้งสองได้ ตาม นารายณ์มหาราชสวรรคต สำหรับชื่อมัสยิดมีที่มาจาก หลักฐานทางประวัติศาสตร์ปรากฏว่าในยุคนั้นมีบุคคล ชื่อเต็มของเจ้าประคุณโต๊ะตะเกี่ย ซึ่งมัสยิด สำคัญท่ีนำศาสนาอิสลามเข้ามาเผยแผ่ในประเทศไทยมี ๒ ในชื่อนี้ตั้งอยู่ท่ีตำบลคลองตะเคียน อำเภอเมือง ท่าน ท่านแรกคือ “เฉกอะหมัด” เป็นพ่อค้าชาวเปอร์เซีย พระนครศรีอยุธยา จังหวดั พระนครศรีอยุธยา นับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ได้เข้ามาในปลายสมัย สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เข้ารับราชการในสมัยพระเจ้า ปัจจุบันนี้มัสยิดแห่งนี้เป็นศาสนสถานที่ได้รับ ทรงธรรม และเป็นจุฬาราชมนตรีคนแรก ได้สร้าง ความเคารพศรัทธาจากศาสนิกชน ๒ ศาสนา คือ “กุฎีทอง” ขึ้น เพื่อใช้เป็นท่ีประกอบศาสนกิจเป็นแห่งแรก ศาสนาอิสลาม และศาสนาพุทธ ซึ่งทำให้เห็นว่า ในขณะที่เป็น “พระยาเฉกอะหมัดรัตนราชเศรษฐี” ถึงแม้ว่าจะนับถือศาสนา วัฒนธรรม สังคม ความเช่ือ เจ้ากรมท่าขวา ต่อมาได้เลื่อนขึ้นเป็น “เจ้าพระยาเฉก และสิ่งที่เคารพต่างกัน แต่กลับมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจที่ อะหมัดรัตนาธิบดี” ที่สมุหนายก อัครมหาเสนาบดีฝ่าย เหมือนกัน แสดงให้เห็นถึงความกลมกลืนระหว่าง เหนือ จึงได้สร้าง “กุฎีใหญ่เติกกี้” ขึ้น เพื่อให้เจ้าประคุณ ศาสนา และยังสื่อถึงความเป็นอันหนึ่งเดียวกันได้เป็น ตะเกี่ยใช้เป็นที่ประกอบศาสนกิจตามหลักศาสนาอิสลาม อย่างดีย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ ทั้งนี้ในปัจจุบันนี้ ส่วนเจ้าประคุณตะเกี่ย มีนามจริงว่า “การอมาร์ต ฮาฮิอัล ศาสนสถานแห่งนี้เป็นทั้งมัสยิดและเป็นสุสานฝั่งศพ เลาะฮ์ยาร์ค” เป็นชาวฮินดู (อินเดีย) นับถือศาสนาอิสลาม ของเจ้าประคุณตะเกี่ย และสมภารวัด เรียกได้ว่าเป็น นิกานสุหนี่ และมีโอกาสรับสนองพระเดชพระคุณสมเด็จ สถานท่ีนา่ สนใจ และน่าแวะไปเยีย่ มชมเป็นอยา่ งมาก พระเจ้าทรงธรรมเช่นกัน ด้วยการแสดงอภินิหาริย์ ช่วยเหลือในเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถ ทำได้ จนเป็นที่ทรงโปรดปราน ได้รับพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์รวมทั้งเขตอารามที่ตั้งสำนักให้เป็น กรรมสทิ ธิ์ ท่ีมา: www.google.com 11

12

13

14

ที่มา:www.google.com ห ลายต่อหลายคนเมื่อได้เดินทางตามเส้นทางเดิน จุดเริ่มของเส้นทางรถไฟสายใต้เริ่มต้นตั้งแต่สถานีรถไฟธนบุรี จังหวัดกรุงเทพมหานคร ผ่านจังหวัดนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี รถไฟสายใต้ก็มักจะได้เห็นชื่อสถานีรถไฟท่ีมีทั้งภาษาไทย ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานีนครศรีธรรมราช พัทลุง และภาษามลายู (ภาษาญาวี) ปะปนอยู่เป็นจำนวนมาก สงขลา ปัตตานี ยะลา และไปสุดปลายทางที่สถานีรถไฟสุไหงโกลก เส้นทางเดินสถานีรถไฟสายใต้มีหลากหลายสถานี จังหวัดนราธิวาส เป็นสถานีสุดเขตเส้นทางรถไฟของประเทศไทย ส่วนใหญ่แล้วเส้นทางเดินรถไฟสายใต้มีชื่อเรียกท่ี ทั้งนี้ในระหว่างการเดินทางนั้น เราอาจเจอบางสถานีรถไฟเป็น น่าสนใจและเป็นที่คุ้นเคยกันพอสมควรเเต่เชื่อว่าอาจมี ช่ือภาษาไทย แต่บางสถานมี ชี อื่ ภาษามลายอู ีกด้วย โดยสถานรี ถไฟที่ หลายๆ คน ที่อาจยังไม่เข้าใจถึงความหมายของแต่ละชื่อ มีการตั้งชื่อเป็นภาษามลายูนั้นมักตั้งตามชื่อของแต่ละตำบล อำเภอ สถานีรถไฟ ตลอดจนลักษณะของภูมิประเทศ อาทิ สถานีรถไฟปาดังเบซาร์ ตาเซะ สไุ หงโกลก บกู ิต ตนั หยงมสั และรามัน เปน็ ตน้ และที่มากไป กว่านั้นบางชื่อยังเป็นชื่อที่ติดหูติดปากของคนทั่วๆ ไป และคนใน พื้นที่อีกด้วย ทั้งนี้ทำให้เห็นถึงเสน่ห์ของภาษามลายูมากขึ้น และยังสะท้อนให้เห็นว่า ภาษามลายูเป็นภาษาที่เชื่อมโยง ความสมั พันธ์ของคนในสังคมจังหวดั ชายแดนใต้ 15 ที่มา: www.google.com

สำหรับคนทั่วๆ ไปที่ไม่ได้เข้าใจ 1.ตาเซะ 2.ยะลา เกี่ยวกับความหมายของชื่อสถานีรถไฟ ซึ่งในแต่ละสถานีรถไฟมีความหมายที่โดด เป็นชื่อตำบลหนึ่งของอำเภอเมือง คำว่า ยะลา เป็นคำที่มาจาก เด่น และแฝงไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง จังหวัดยะลา ซึ่งคำว่า \"ตาเซะ\" เป็น ภาษาพื้นเมืองเดิมใช้คำว่า “ยาลอ” ชวนให้น่าฟังและน่าจดจำ จนกลายเป็น ภาษามลายูท้องถิ่น แปลว่า ชื่อต้นไม้ เป็นชื่อที่เพี้ยนมาจากคำว่า “ยาโลร์” ชื่อที่คุ้นเคยกัน สำหรับวันนี้จะพาทุกคน ชนิดหนึ่งที่ตั้งอยู่ในบริเวณคลอง เป็นภาษามลายูท้องถิ่น แปลว่า “แห่” ไปเรียนรู้คำศัพท์และความหมายของชื่อ คือ “ต้นแซะ” ต่อมาผู้ที่พูดภาษามลายู ปัจจุบันเป็นทั้งชื่อของจังหวัดรวมทั้งยัง แต่ละสถานีรถไฟที่เราคุ้นเคยกันแต่เรา ท้องถิ่นได้พยายามพูด แต่เป็นสำเนียงท่ี ใช้เป็นชอื่ เรียกสถานีรถไฟ อาจยังไม่รู้จัก เรียกได้ว่าได้ทั้งความรู้และ เพีย้ นไปจะพูดวา่ ตาเซะ จึงใช้ชอ่ื ว่าตำบล เป็นการฝึกอ่านภาษามลายูภายในตัวไป ตาเซะและยงั ตัง้ เป็นชื่อสถานรี ถไฟ 3. รามัน อีกด้วย เริ่มที่สถานีแรก คือ“สถานีรถไฟ ตาเซะ” จังหวัดยะลา และสิ้นสุด เป็นชื่อของอำเภอหนึ่งในจังหวัด ปลายทางที่ “สถานีรถไฟปาดังเบซาร์” ยะลา คำว่า “รามัน” แปลว่า ชุมชน จังหวัดสงขลา ใหญ่ ซึ่งมาจากคำว่า “รามา” ปัจจุบัน เพี้ยนเป็นคำว่า “รามัน” ในปัจจุบันน้ี 5. รอื เสาะ 7. มะรือโบ ทม่ี า: www.google.com เป็นทั้งชื่อของอำเภอ อีกทั้งเป็นช่ือ เรยี กของสถานีรถไฟ คำว่า “รือเสาะ” มาจากภาษามลายู คำว่า “มะรือโบ” มาจากภาษา แปลว่า “ต้นสักน้ำ” เป็นพันธุ์ไม้ยืนต้น มลายู แปลวา่ ต้นไมช้ นดิ หนึ่งประเภท 4. บาลอ ชนิดหนึ่งซึ่งมีในทางภาคใต้ ทั้งนี้ใน ไม้เนื้อแข็ง และลักษณะของลำต้น ปัจจุบันคำว่า “รือเสาะ” ถูกตั้งเป็นชื่อ เป็นตน้ ไม้ที่สงู ใหญ่ ทัง้ นี้ในปัจจุบันถูก คำว่า “บาลอ” มาจากภาษามลายู ของอำเภอในจังหวดั นราธิวาส รวมท้ังยัง ตั้งเป็นชื่อของตำบลเจาะไอร้อง ซึ่งมีที่มาจากตำนานเล่าขานเรื่องกอง เป็นชื่อเรยี กของสถานีรถไฟ จังหวัดนราธวิ าส คาราวานช้างของเจ้าเมือง ซึ่งใช้ตำบล แห้งนี้เป็นทางผ่าน แต่ท้ายที่สุดไม่ 6.ลาโละ 8.ไอสะเตยี สามารถออกจากพื้นที่นี้ได้ ทำให้ต้อง ตั้งรกรากที่นี้ ทั้งนี้คำว่า “บาลอ” เป็นชื่อที่ได้มาจากชื่อต้นไม้ใหญ่ต้น เ ป ็ น ภ า ษ า ม ล า ย ู ท ้ อ ง ถ่ิ น แปลว่า เคราะห์หรือการได้รับการ หนึ่งที่ชื่อว่า “ต้นลาโละ” ปัจจุบันคำว่า “ไอ” แปลว่า น้ำ “สะเตีย” แปลว่า ลงโทษ “ลาโละ” ในปัจจุบันนี้ คำว่า “ลาโละ” เป็นต้นไม้ตระกูลเดียวกับต้นกระทอ้ น ถูกตั้งเป็นชื่อของตำบล และยังใช้ ผลเล็กๆ เนื้อขาว ซึ่งปัจจุบันใช้เรียก 9.บกู ิต เรียกชื่อสถานรี ถไฟ ท้งั ชื่อของตำบลและชอ่ื สถานีรถไฟ เป็นชื่อของตำบลหนึ่งในจังหวัด นราธิวาส ซึ่งในอดีตตำบลบูกิต มีช่ือ เรียกว่า “บ้านกือแย” แต่เพราะสภาพ ภูมิประเทศที่ส่วนใหญ่จะเป็นภูเขา ผู้คนในยุคนั้น จึงเรียกว่า \"บูกิต\" ซึ่งแปลว่า ภูเขาหรือเนินเขา และเรียก กันมาจนถึงทกุ วันน้ี 16

10. ตนั หยงมัส 13.สไุ หงปาดี 15.สไุ หงโกลก คำว่า “ตันหยง” มาจากภาษามลายู มาจากภาษามลายูท้องถิ่น คำว่า คำว่า \"สุไหงโก-ลก\" เป็นชื่อเรียก ท้องถิ่น คำว่า “ตันหยง” แปลว่าต้นพิกุล “สุไหง” แปลว่า คลอง ส่วนคำว่า ตามชื่อแม่น้ำที่กั้นเขตแดนระหว่าง และคำว่า “มัส” แปลว่า ทอง เมื่อนำทั้ง “ปาดี” แปลว่า ข้าวหรือข้าวเปลือก ไทยกับมาเลเซีย \"สุไหงโก-ลก\" เป็น สองคำมารวมกัน คือ คำว่า ตันหยง+มัส เมื่อนำคำทั้งสองมารวมกันหมายถึง ภาษามลายูท้องถิ่น คำว่า \"สุไหง\" จึงหมายถึง ต้นพิกุลทอง ปัจจุบันนี้ถูกต้ัง คลองขา้ วเปลือก ทง้ั นใี้ นปจั จบุ ันนถ้ี กู ตัง้ หมายถึง คลองหรือแม่น้ำ \"โก-ลก\" เป็นชื่อของตำบลในของอำเภอระแงะ เป็นชื่อของอำเภอในจังหวัดนราธิวาส หมายถึง มีดชนิดหนึ่งที่ชาวพื้นเมือง จงั หวดั นราธิวาส รวมทั้งถูกตั้งเป็นชื่อเรียกของสถานี นิยมใช้กันมีลักษณะปลายงอ รถไฟ เมื่อรวมทั้งสองคำเข้าด้วยกัน \"สุไหง 11. เจาะไอรอ้ ง โก-ลก\" หมายถึง \"แม่น้ำคด\" หรือ 14.ปาดงั เบซาร์ \"คลองคด\" ในปัจจุบันคำว่าสุไหงโกลก คำว่า “เจาะไอร้อง” มีที่มาจากคำ เป็นทั้งชื่อของอำเภอหนึ่งในจังหวัด วา่ “บือเจ๊าะไอร้อง” ซึง่ คำวา่ “บอื เจ๊าะ” เป็นชื่อตำบลของอำเภอสะเดา นราธิวาสรวมทั้งยังมีการตั้งเป็นช่ือ แปลว่า ธารน้ำ สายน้ำ ส่วนคำว่า จังหวัดสงขลา คำว่า “ปาดัง” แปลว่า เรียกของสถานีรถไฟ “ไอร้อง” แปลว่า คดเคี้ยว เมื่อนำคำสอง พื้นที่ราบ “เบซาร์” แปลว่า กว้างใหญ่ คำมารวมกัน จึงแปลว่า สายน้ำที่คดเคี้ยว เมื่อนำมารวมกัน ปาดัง+เบซาร์ แปลว่า ปัจจุบันนี้คำว่า “เจาะไอร้อง” ใช้เรียกท้ัง พืน้ ที่ราบกวา้ งใหญห่ รอื สนามใหญ่ ชื่อของอำเภอ รวมทั้งใช้เรียกชื่อสถานี รถไฟ ท้ังนี้หลังจากที่ได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับชื่อและความหมายแต่ละสถ านี รถไฟในบริบทของภาษามลายูไปแล้ว เห็นไหมว่า แต่ละชื่อมีความหมายที่โดด 12.โต๊ะเดง็ เด่นและไม่เหมือนกัน บางชื่อมีความหมายเกี่ยวกับลักษณะของพื้นที่ เรียกตาม อำเภอ ตำบล เป็นต้น แต่ทุกชื่อย่อมมีที่มาและมีความหมายท่ีน่าสนใจ รวมไป เป็นชื่อของตำบลหนึ่งในอำเภอระแงะ ถงึ ยังเป็นชือ่ ทเ่ี รยี กกันง่ายๆ เดินทางเข้าส่ชู ่วงทา้ ยกันแล้ว หวังวา่ ทุกคนจะเข้าใจ คำว่า \"โต๊ะเด็ง\" เป็นชื่อของผู้ริเริ่มบุกเบิก และได้ความรู้เกี่ยวกับชื่อและความหมาย สุดท้ายนี้สถานีที่คุ้นเคยแต่ไม่รู้จัก ป่าเขาเนื่องด้วยสภาพภูมิประเทศใน หวงั วา่ ทกุ คนท่กี ำลังเดินทางแลน่ ตามเส้นทางรถไฟสายใต้ แล้วในระหว่างทางได้ บริเวณนัน้ ส่วนใหญ่เป็นพ้ืนที่ปา่ เขา ผู้เขา เห็นชื่อสถานีรถไฟเป็นภาษามลายู หลังจากนี้คงเข้าใจและสามารถทราบถึง เริ่มอพยพเข้ามาเป็นจำนวน ซึ่งหนึ่งในน้ัน ความหมายของแตล่ ะชื่อสถานรี ถไฟได้เป็นอย่างดี คือ โต๊ะเด็ง และต่อมาเมื่อมีผู้มาอาศัยอยู่ มากจึงเรียกบรเิ วณนน้ั ว่า \"โตะ๊ เดง็ \" ตอ่ มา เลยตั้งชื่อเป็นชื่อ ตำบลโต๊ะเด็ง และนำมา เป็นช่อื เรียกของสถานีรถไฟ 17



19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

29



31

32

33

34



36

37

38

39

40



42

43

44

45

46

47






Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook