Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 334_ภาษาไทย ป4 หน่วยที่4 การผจญภัยของสุดสาคร

334_ภาษาไทย ป4 หน่วยที่4 การผจญภัยของสุดสาคร

Published by krupom61, 2020-05-05 09:47:26

Description: 334_ภาษาไทย ป4 หน่วยที่4 การผจญภัยของสุดสาคร

Search

Read the Text Version

๑ หน่วยการเรียนรูท้ ี่ ๓ เรอ่ื ง การผจญภัยของสุดสาคร กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย รายวิชา ภาษาไทย รหสั ท๑๔๑๐๑ ช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๔ นางอรวรรณ ปานจำรญู ครูผูส้ อน โรงเรียนวดั พชื นิมติ (คำสวัสดิร์ าษฎรบ์ ำรงุ ) ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จงั หวัดปทุมธานี สำนกั งานเขตพื้นที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาปทมุ ธานี เขต ๑

๒ หน่วยการเรียนรู้ที่ ๔ เร่อื ง การผจญภยั ของสุดสาคร กลมุ่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย รายวิชา ภาษาไทย รหสั ท๑๔๑๐๑ ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี ๔ เวลา 6 ช่ัวโมง ๑. มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตัวชวี้ ัด สาระที่ ๑ การอา่ น มาตรฐานการเรียนรู้ ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิด เพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แกป้ ญั หา ในการดำเนนิ ชีวติ และมีนิสยั รักการอา่ น ตัวชี้วัด ท ๑.๑ ป. ๔/๑ อา่ นออกเสียงบทรอ้ ยแกว้ และบทร้อยกรองได้ถูกตอ้ ง ท ๑.๑ ป. ๔/๒ อธิบายความหมายของคำ ประโยค และสำนวนจากเรอื่ งท่อี า่ น ท ๑.๑ ป. ๔/๓ อ่านเรื่องส้นั ๆ ตามเวลาท่กี ำหนดและตอบคำถามจากเร่ืองทีอ่ า่ น ท ๑.๑ ป. ๔/๖ สรุปความร้คู วามคิดจากเร่ืองทอี่ า่ นเพ่ือนำไปใช้ในชีวติ ประจำวัน สาระที่๒ การเขยี น มาตรฐานการเรยี นรู้ ท ๒.๑ ใชก้ ระบวนการเขยี นสื่อสาร เขียนเรยี งความ ยอ่ ความและเขยี น เร่ืองราว ในรปู แบบต่างๆ เขยี นรายงานขอ้ มูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นควา้ อย่างมปี ระสิทธิภาพ ตัวชว้ี ัด ท ๒.๑ ป. ๔/๒ คัดลายมอื ตวั บรรจงเตม็ บรรทัดและคร่ึงบรรทดั ท ๒.๑ ป. ๔/๓ เขยี นส่ือสารโดยใช้ไดถ้ ูกต้อง ชัดเจน และเหมาะสม ท ๒.๑ ป. ๔/๔เขียนยอ่ ความจากเรอื่ งสน้ั ๆ ท ๒.๑ ป. ๔/๘ มีมารยาทในการเขยี น สาระที่ ๓ การฟัง การดู และการพูด มาตรฐานการเรียนรู้ ท ๓.๑ สามารถเลอื กฟงั และดูอย่างมีวิจารณญาณ และพดู แสดงความรู้ ความคิด และความรูส้ กึ ในโอกาสต่างๆ อยา่ งมีวจิ ารณญาณและสรา้ งสรรค์ ตัวชวี้ ัด ท ๓.๑ ป. ๔/๒ พูดสรุปความจากการฟังและดู ท ๓.๑ ป. ๔/๓ พูดแสดงความรู้ ความคิดเหน็ และความรู้สึกเกย่ี วกับเร่อื งที่ฟงั และดู ท ๓.๑ ป. ๔/๔ ตั้งคำถามและตอบคำถามเชิงเหตุผลจากเรอื่ งที่ฟังและดู ท ๒.๑ ป. ๔/๖ มีมารยาทในการฟงั การดู และการพดู สาระที่ ๔ หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐานการเรยี นรู้ ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลกั ภาษาไทย การเปล่ยี นแปลงของ ภาษา และพลงั ของภาษา ภมู ปิ ัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไวเ้ ป็นสมบตั ขิ องชาติ ตวั ช้ีวัด ท ๔.๑ ป. ๔/๕ แต่งบทร้องกรองและคำขวญั สาระท่ี ๕ วรรณคดแี ละวรรณกรรม มาตรฐานการเรียนรู้ ท ๕.๑ เขา้ ใจและแสดงความคิดเหน็ วจิ ารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอยา่ ง เห็นคณุ ค่า และนำมาประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ิตจริง ตัวชว้ี ัด ท ๕.๑ ป. ๔/๒ อธิบายข้อคิดจากการอา่ นเพื่อนำไปใชใ้ นชวี ติ จริง ท ๕.๑ ป. ๔/๔ ทอ่ งจำบทอาขยานตามทก่ี ำหนดและบทร้อยกรองทมี่ คี ณุ คา่ ตามความสนใจ

๓ ๒. สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด การอ่านออกเสยี งร้อยกรอง ตอ้ งอ่านออกเสยี งใหช้ ัดเจน ถกู ตอ้ งตามอักขรวธิ ีและถกู ต้องตามลักษณะ ของบทร้อยกรอง ถูกวรรคตอนและใช้น้ำเสียงได้เหมาะสม จะทำให้เข้าใจและแสดงคุณค่าได้ชัดเจน สรุปความร้แู ละขอ้ คิดจากเรอื่ งนำไปใช้ประโยชน์ในการดำเนนิ ชีวติ ได้ดี การเขียนยอ่ ความเป็นการเขียนส่ือสาร ที่มุ่งให้ผู้อ่านรับรู้ เข้าใจเรื่องราวโดยมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนในการสื่อสารจะทำให้การเขียนสื่อสาร มปี ระสิทธภิ าพ การแตง่ คำประพนั ธ์ทถ่ี กู ต้องตามฉนั ทลกั ษณ์ นับเปน็ การสอ่ื สารท่ีมีคุณคา่ น่าสนใจและการพูด เป็นการสื่อสารท่ีมีประสิทธิภาพในการทำความเข้าใจระหว่างทั้งผู้ส่งสารและรับสาร การท่องจำบทอาขยาน เป็นทำนองเสนาะช่วยให้บทอาขยานนั้นมีความไพเราะ ผู้ท่องเกิดความสนใจจดจำบทอาขยานได้ดีและ สนุกสนานยงิ่ ขึน้ ๓. สาระการเรยี นรู้ ความรู้ (K) ๑. การศึกษาคำศัพท์ ๒. การอา่ นจบั ใจความ ๓. การเขียนแผนภาพโครงเรื่อง ๔. การอา่ นออกเสยี ง ๕. การเขียนย่อความ ๖. การใชเ้ ครอ่ื งหมายวรรคตอน ๗. การแต่งกลอนส่ี ๘. การรำลกึ ถึงวันสุนทรภู่ ๙. บทอาขยาน ทกั ษะ/กระบวนการ (P) ๑. การอา่ น การเขยี นคำศัพท์ ๒. การอ่านจับใจความ ๓. การเขยี นแผนภาพโครงเรอ่ื ง ๔. การอา่ นออกเสียง ๕. การเขยี นยอ่ ความ ๖. การแต่งกลอนสี่ ๗. การทอ่ งบทอาขยาน เจตคติ (A) ๑. รักการอ่านการเขียน ๒. มีมารยาทในการอ่าน ๓. มีมารยาทในการเขียน ๔. มมี ารยาทในการฟัง ดพู ูด ๔. สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น ๑. ความสามารถในการส่อื สาร ๒. ความสามารถในการคิด - ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ ๓. ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ติ - กระบวนการทำงานกลมุ่ - กระบวนการปฏิบตั ิ

๔ ๕. คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ๑. รักความเปน็ ไทย ๒. ซ่ือสตั ยส์ จุ รติ ๓. ใฝ่เรยี นรู้ ๖.ช้นิ งาน/ภาระงาน ๑. สมุดภาพบทรอ้ ยกรอง ๒. ท่องจำบทอาขยาน ๗. การวัดและประเมนิ ผล วิธีการ เครอ่ื งมือ เกณฑ์ ผา่ นเกณฑ์ ร้อยละ ๖๐ - ทดสอบก่อนเรียน - แบบทดสอบ - ตรวจชิ้นงานสมุดภาพบทรอ้ ยกรอง - แบบประเมนิ ผลงานการเขียนบทร้อยกรอง - ประเมินท่องจำบทอาขยานบทหลกั - แบบประเมนิ ทอ่ งจำบทอาขยานบทหลกั ๘. กิจกรรมการเรยี นรู้ ช่วั โมงท่ี ๑ การผจญภัยของสุดสาคร(การศึกษาคำศัพท)์ จุดประสงค์การเรียนรู้ ๑. สามารถอา่ น เขยี นและบอกความหมายของคำศพั ท์ได้ กจิ กรรมการเรียนรู้ ขนั้ นำ ๑.นกั เรยี นทำแบบทดสอบก่อนเรียน หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี ๔ เรอ่ื ง การผจญภยั ของสุดสาคร ๒. นกั เรยี นดูภาพสดุ สาครกับม้านิลมังกร และอา่ นแผนภมู กิ ารอ่านเร่ือง การผจญภัยของสดุ สาคร จาก หนังสอื เรียนชดุ ภาษาเพ่ือชวี ติ วรรณคดีลำนำ หนา้ ๒๕ คอื ดูลิว่ ลว่ิ ปลิวต่ายไปตามคล่นื เหมอื นเดนิ พนื้ แผน่ ตลง่ิ วง่ิ หยอยหยอย ยงิ่ ลมกล้ามา้ โลดกระโดดลอย พระหน่อนอ้ ยนงั่ ชมยมนา ดูกว้างขวางว้างโวง้ ละโล่งลิว่ เห็นรว้ิ ริว้ เรียงรายท้ังซ้ายขวา ล้วนละเมาะเกาะใหญแ่ ตไ่ กลตา อุปมาเหมือนหน่ึงแหนแลลบิ ลิบ ฯ และกลา่ วถงึ ความสนุกสนานของบทอ่านนี้ วา่ ถ้านักเรยี นอ่านคำศพั ทไ์ ด้และเข้าใจความหมายจะทำใหเ้ ร่ืองนา่ สนุกมากขน้ึ และฝกึ ใหน้ กั เรยี นอา่ นคำศพั ท์ เช่น หยอยหยอย กระโดดลอย ยมนา วา้ งโว้ง และโล่งลิว่ เปน็ ต้น นกั เรยี นชว่ ยกนั อธิบายความหมายของคำเหล่านี้ ๓. ครูแจ้งจุดประสงค์การเรยี นรู้ให้นักเรียนทราบและแนะนำให้เข้าใจความสำคัญของการอ่านคำศัพท์ และเขา้ ใจความหมาย ขั้นสอน ๔. ครูนำบัตรคำศัพท์เรื่อง ผจญภัยของสุดสาคร ให้นักเรียนอ่านพร้อมกัน เน้นการอ่านออกเสียงท่ี ถูกตอ้ งชดั เจน ตามครู ๕. นกั เรียนแบ่งกลมุ่ อา่ นบัตรคำจนคลอ่ งใครอา่ นไม่ได้หรอื ไม่คล่องให้เพ่อื นชว่ ยแนะนำจนอ่านไดด้ ี ๖. ตวั แทนนกั เรียนอา่ นคำศพั ท์ใหเ้ พ่ือนอ่านตามคำละ ๒ คร้งั จากนัน้ ครูอธิบายความหมายของคำศัพท์ แตล่ ะคำใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจ

๕ ๗. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกนั ค้นหาความหมายของคำศัพท์ในบัตรคำจากพจนานกุ รมและเขียนบันทึก ลงสมดุ ๘. นักเรียนแต่ละกลุ่ม อ่านเนื้อเรื่องการผจญภัยของสุดสาครและค้นหาคำศัพท์จากหนังสือเรียน ชุดภาษาเพือ่ ชีวติ วรรณคดีลำนำ ชนั้ ประถมปีที่ ๔ เรอ่ื งการผจญภยั ของสดุ สาครจากพจนานุกรม ข้นั สรปุ ๙. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปถึงความสำคัญและประโยชน์ของการอ่าน การเขียนและการบอก ความหมายของคำ สอื่ และแหลง่ เรยี นรู้ ๑. แผนภูมกิ ารอ่านเร่ือง ผจญภยั ของสดุ สาคร หน้า ๒๕ ๒. หนงั สือเรียนชดุ ภาษาเพ่ือชีวิต วรรณคดลี ำนำ ชัน้ ประถมปีท่ี ๔ เรื่อง การผจญภยั ของสดุ สาคร ๓. พจนานุกรม ๔. บตั รคำศัพท์ การวดั ผลประเมนิ ผล เคร่ืองมอื เกณฑ์ วธิ ีการ แบบประเมินการอ่านออกเสียง เกณฑ์การประเมนิ การอา่ นออกเสียง ประเมินการอ่านออกเสียง และเขียนคำศัพท์ และเขียนคำศพั ท์ และเขยี นคำศพั ท์ ๑. คะแนน ๙ – ๑๒ ระดบั คุณภาพ ดี คะแนน ๕ – ๘ ระดับคุณภาพ พอใช้ คะแนนนอ้ ยกวา่ ๔ ระดบั คณุ ภาพ ปรบั ปรุง

๖ ชัว่ โมงท่ี ๒ การผจญภยั ของสุดสาคร (การอ่านจบั ใจความ) จุดประสงค์การเรยี นรู้ ๑. อา่ นเรื่องสน้ั ๆ ตามเวลาทก่ี ำหนดและตอบคำถามจากเรอื่ งท่ีอา่ นได้ ๒. สรปุ ความรแู้ ละข้อคิดจากเรือ่ งทอ่ี ่านได้ ๓. มีมารยาทในการอา่ น กจิ กรรมการเรยี นรู้ ข้นั นำ ๑. นักเรยี นอา่ น เรือ่ งพระคณุ แม่ บอกความหมายของคำจากบทร้อยกรองทีอ่ ่าน ๒. นักเรียนชว่ ยกนั สรุปใจความสำคญั จากเรอื่ งพระคณุ แม่ และบอกขอ้ คดิ จากเรอื่ งทอี่ ่าน ๓. ครูแจ้งประสงค์การเรียนว่าชั่วโมงนี้ นักเรียนจะได้อ่านเรื่อง ตอบคำถาม สรุปความรู้และข้อคิด จากการอา่ น ขัน้ สอน ๔. ครูอธิบายหลักการอ่านจับใจความให้นักเรียนเข้าใจว่าเมื่ออ่านข้อความหรือเรื่องใดแล้วต้องตั้ง คำถามและตอบคำถามได้ว่า ใคร ทำอะไร ท่ไี หน อย่างไร เม่อื ไร โดยเรยี งลำดบั เหตุการณต์ ่าง ๆจะทำให้เข้าใจ เรือ่ งราวต่าง ๆ ได้ดแี ละอธิบายเรอื่ งมารยาทในการอ่าน ทบทวนจากทีเ่ รียนมาแล้ว ๕. แบง่ กลมุ่ นกั เรียน กลุม่ ละ ๕- ๗ คน อ่านใบความรู้เรือ่ งการอ่านจับใจความ เพอ่ื ใหเ้ กิดความเข้าใจ มากข้ึน จากนนั้ ใหน้ ักเรียนอา่ นเรื่องการผจญภยั ของสุดสาคร จากหนงั สอื เรยี น ชดุ ภาษาเพอื่ ชีวติ วรรณคดีลำ นำ ต่อเนื่องกนั กลุม่ ละ ๑-๒ ย่อหน้า แล้วตั้งคำถาม ตอบคำถามในกลุ่ม เขียนบันทึกคำถามคำตอบลงในสมุด กลุ่มละ ๕ คำถาม ๖. แตล่ ะกลุ่มจะเล่าเร่อื งยอ่ จากเรือ่ งที่อ่านให้เพ่อื นทกุ กล่มุ ฟังพร้อมกนั ตามลำดับ ๗. นำคำถามแตล่ ะกลุม่ มารวมกัน แล้วแบ่งนักเรยี นออกเปน็ ๒ ฝา่ ยแต่ละฝ่ายจะสลับกันหยิบคำถาม แล้วชว่ ยกนั ตอบคำถาม ฝ่ายใดตอบถูกต้องมากกว่า เป็นฝา่ ยชนะ ๘.นักเรียนทั้ง ๒ ฝ่ายช่วยกันสรุปข้อคิด สรุปใจความสำคัญจากเรื่องการผจญภัยของสุดสาคร เป็นผลงานของแต่ละฝ่าย เขียนบนกระดาษชาร์ท พร้อมส่งตัวแทนนำเสนอผลงานให้เพือ่ นๆ ฟังอีกครั้งหนึง่ ครูแนะนำเพิ่มเติมเพอื่ ใหไ้ ด้ใจความสมบรู ณ์ ขั้นสรปุ ๙. นกั เรยี นและครรู ว่ มกนั สรุปหลักการอา่ นจบั ใจความและประโยชนข์ องการอา่ นจับใจความ ๑๐. ทุกคนเขียนบนั ทกึ สรปุ ใจความสำคัญจากเรอื่ งการผจญภยั ของสดุ สาคร เป็นช้นิ งาน สือ่ การเรียนรู้ ๑. แผนภมู ิการอา่ น เร่ืองพระคณุ แม่ ๒. ใบความรู้ เรอ่ื งการอา่ นจบั ใจความ ๓. หนงั สอื เรียน ชดุ ภาษาเพอ่ื ชวี ิต วรรณคดีลำนำ การวดั ผลประเมนิ ผล วธิ ีการ เครอื่ งมอื เกณฑ์ ประเมนิ การอา่ น แบบประเมินการอ่าน เกณฑก์ ารประเมิน จบั ใจความ จบั ใจความ ๙– ๑๒ คะแนน หมายถึง ดี ๕– ๘ คะแนน หมายถึง พอใช้ ๑ –๔ คะแนน หมายถงึ ปรับปรงุ

๗ ชวั่ โมงที่ ๓ การผจญภัยของสุดสาคร (การเขียนแผนภาพคดิ ) จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ๑. ต้ังคำถาม ตอบคำถามจากเรอื่ งที่อ่านได้ถกู ต้อง ๒. เขยี นแผนภาพความคิดไดถ้ ูกต้อง กจิ กรรมการเรียนรู้ ข้ันนำ ๑. นกั เรยี นดูภาพ ภาวะนำ้ ทว่ ม ๒. ฝึกตง้ั คำถาม ตอบคำถามจากภาพ เช่น บุคคลในภาพเปน็ ใคร เขากำลงั ทำอะไร สาเหตขุ องปัญหา เกิดจากอะไร ปญั หาในภาพคืออะไร นกั เรียนรูส้ กึ อยา่ งไร และการกระทำของบุคคลในภาพ สง่ ผลดอี ย่างไร ๓. ครรู ่วมตอบคำถามและอธิบายเพิม่ เติม ขน้ั สอน ๔. นกั เรียนอ่าน บทร้อยกรอง จากเร่อื ง การผจญภัยของสดุ สาคร ตั้งแต่ สว่ นผ้เู ฒา่ เจา้ อุบายกระต่ายแก่ รกู้ ระแสสมมาดปารถนา .................................................. ......................................... .................................................. ......................................... กระทบหนิ สิน้ แรงพล้ิวแพลงกาย ทรวงทะลายล้มซบสลบไป แล้วฝึกตั้งคำถาม ตอบคำถาม เช่น ในเรื่องน้ีมีใครบา้ ง เขากำลังทำอะไร เหตุการณ์น้ีน่าจะเกิดขึ้นที่ใด สาเหตุ ของปัญหาเกดิ จากอะไร นักเรียนรูส้ ึกอย่างไร และการกระทำของบุคคลในเรื่องสง่ ผลดีหรือรา้ ยอยา่ งไร เป็นตน้ ๕.แบง่ นกั เรยี น กลมุ่ ละ ๕ คน ทำใบงาน การเขียนแผนภาพความคดิ แล้วนำเสนอผลงาน ขั้นสรปุ ๖. ครแู ละนักเรียนรว่ มกันสรปุ วิธีการเขียนแผนภาพความคดิ ประโยชนข์ องการเขียนแผนภาพ ความคิด ๗. นกั เรียนเขยี นแผนภาพความคิด จากเรือ่ งการผจญภยั ของสดุ สาครเป็นการบา้ น สือ่ และแหล่งเรยี นรู้ ๑. แผน่ ภาพ ภาวะนำ้ ทว่ ม ๒. ใบงานการเขยี นแผนภาพความคิด ๓. หนงั สอื เรียน ชุด ภาษาเพือ่ ชีวิต วรรณคดีลำนำ

การวัดและประเมนิ ผล เคร่อื งมือ ๘ วิธีการ แบบประเมินการเขียน เกณฑ์ แผนภาพความคิด เกณฑก์ ารประเมนิ ประเมินการเขียนแผนภาพ ๙ – ๑๒ คะแนน หมายถึงดี ความคดิ ๔ – ๘ คะแนน หมายถึงพอใช้ ๑ – ๓ คะแนน หมายถึงปรับปรุง ชว่ั โมงที่ ๔ การผจญภยั ของสุดสาคร (การอา่ นออกเสียง) จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ๑. อ่านออกเสยี งบทรอ้ ยกรอง เรอื่ ง การผจญภัยของสุดสาคร ๒. มมี ารยาทการอ่าน กจิ กรรมการเรยี นรู้ ขน้ั นำ ๑. นักเรียนเขียนตามคำบอกจากเร่ืองการผจญภัยของสดุ สาคร ๒. เฉลยคำตอบนกั เรียนเปล่ียนกนั ตรวจคำตอบ แก้ไขคำผดิ ใหถ้ ูกตอ้ ง ๓. ครูอ่านบทกลอนเรอ่ื ง การผจญภัยของสุดสาคร หนา้ ๕ โดยอา่ นแบ่งวรรคการอา่ นเป็นตัวอย่าง และอา่ นทำนองเสนาะ นกั เรยี นอา่ นตาม ๓ รอบ จะกลา่ วถึงเงือกนอ้ ยกลอยสวาท ซ่งึ รองบาทพระอภยั เมือ่ ไกลสถาน อย่วู นวังหลังเกาะแก้วพสิ ดาร ประมาณกาลสิบเดอื นไมเ่ คล่อื นคลา ให้เจบ็ ครรภป์ น่ั ป่วนจวนจะคลอด ระทวยทอดลงกบั แท่นทีแ่ ผน่ ผา จะแลเหลยี วเปลี่ยวใจนยั นา ไม่เห็นหนา้ ผู้ใดท่ไี หนเลย ขั้นสอน ๔. ครูอธิบายวิธีการอ่านกลอนสุภาพเป็นทำนองเสนาะตามทำนองและลีลาที่ถูกต้อง พร้อมกับให้ นักเรยี นอ่านใบความรู้เรื่องการอ่านออกเสียงบทรอ้ ยกรอง การแบง่ วรรคการอ่านก่อนอ่านเป็นทำนอง และให้ นักเรยี นฝกึ อ่านพร้อมกนั ๕. แบ่งกลุ่มนักเรียน เป็น ๒-๓ กลุ่ม ฝึกอ่านบทร้อยกรอง จากเรื่องการผจญภัยของสุดสาครโดย กำหนดเนื้อหา เรียงตามลำดับ และให้นักเรียนฝึกแบ่งวรรคการอ่านในแต่ละวรรคให้ถูกต้องก่อน จึงฝึกอ่าน ทำนองเสนาะ ครูคอยสังเกตการอ่านของนกั เรยี นทุกกลุม่ เพ่ือแนะนำแกไ้ ขเม่อื พบวา่ นกั เรยี นอ่านไมถ่ ูกตอ้ ง ๖. หลังจากนักเรียนฝึกอ่านออกเสียงบทร้อยกรองตามเนื้อหาที่กำหนด จากเรื่องการผจญภัยของ สดุ สาคร เปน็ ทำนองเสนาะ จนคล่องแลว้ จงึ ใหน้ กั เรยี นแตล่ ะกล่มุ อ่านให้เพอ่ื นทัง้ ชั้นฟงั พรอ้ มกัน ๗. นักเรยี นฝกึ อา่ นพรอ้ มกันทัง้ ชัน้ ครูคอยสงั เกตการอา่ นของนกั เรียนเพ่ือชีแ้ นะและแก้ไข ขนั้ สรุป ๘. นกั เรยี นอ่านทำนองเสนาะจากเร่อื งการผจญภยั ของสดุ สาครเพิม่ เติม เป็นการบา้ น ๙. นักเรียนเลือกบทร้อยกรองตอนที่ชอบจากเรื่องการผจญภัยของสุดสาคร ๑ ย่อหน้า ลงกระดาษ A ส่ี และเขียนแบ่งวรรคการอ่านให้ถกู ตอ้ ง ๑๐. นักเรยี นและครรู ่วมกนั สรุปวิธีการอา่ นออกเสียงบทร้อยกรอง

ส่ือและแหลง่ เรียนรู้ ๙ ๑. แผนภูมิการอา่ นเรื่องการผจญภัยของสุดสาคร เกณฑ์ เกณฑก์ ารประเมินอ่านออกเสียง ๒. ใบความรู้ การอา่ นออกเสยี งบทร้อยกรอง ๙– ๑๒ คะแนน หมายถงึ ดี ๕– ๘ คะแนน หมายถึง พอใช้ ๓. หนงั สอื เรียน วรรณคดีลำนำ ๑ –๔ คะแนน หมายถึง ปรับปรุง การวัดผลประเมินผล วธิ กี าร เครือ่ งมือ ประเมินการอ่านออกเสยี ง แบบประเมินการอ่าน บทร้อยกรอง ออกเสียงบทรอ้ ยกรอง ช่วั โมงที่ 5 การผจญภัยของสุดสาคร (การใช้เคร่อื งหมายวรรคตอน) จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ๑. บอกความหมายของเคร่ืองหมายวรรคตอนได้ ๒. บอกชื่อเคร่อื งหมายวรรคตอนได้ถูกต้อง ๓. ใชเ้ คร่ืองหมายวรรคตอนไดถ้ กู ต้อง ๔. สังเกตการทำงานกลุ่ม กจิ กรรมการเรยี นรู้ ขนั้ นำ ๑. ครูกล่าวทักทายนักเรียน นักเรียนอ่านแผนภูมิ ข้อความที่มีเครื่องหมายวรรคตอนแล้วบอกว่า มเี คร่อื งหมายวรรคตอนใดบา้ ง เช่น - จิตงามจำไม่ไดห้ รอื แมส่ อนเราว่า “อย่าไว้ใจทาง อยา่ วางใจคน จะจนใจเอง” ปองสทิ ธิก์ ลา่ ว - พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยู่หวั (รัชกาลที่ ๕) - กรุงเทพฯ - ทลี ะนอ้ ย ๆ - อุปกรณใ์ นการเรยี นมี ดนิ สอ ยางลบ ไมบ้ รรทัด สมุด ฯลฯ ขั้นสอน ๒. ครูสนทนากบั นกั เรยี นถงึ ความหมายของเครอ่ื งหมายวรรคตอน นกั เรยี นบอกเครื่องหมายวรรคตอน ท่นี ักเรียนรู้จกั และไปเขียนบนกระดาน ๓. นกั เรยี นอ่านใบความรู้เร่ืองเครือ่ งหมายวรรคตอน ครูอธิบายเพ่ิมเตมิ พร้อมยกตวั อย่างเร่ืองการใช้ เครอ่ื งหมายวรรคตอน ใหน้ ักเรียนเขา้ ใจ ๔. แบ่งกลมุ่ นักเรยี น กล่มุ ละ ๕ คน ค้นหา ขอ้ ความทม่ี ีเครื่องหมายวรรคตอน จากเอกสารตา่ ง ๆ เพื่อ นำมาเขยี น รวบรวมไว้ โดยให้ศกึ ษาตอ่ ว่า เครือ่ งหมายวรรคตอนน้นั ชื่ออะไร นำไปใชไ้ ด้อย่างไร ๕. แตล่ ะกลุม่ นำเสนอผลงานจากการคน้ ควา้ เพื่อแลกเปลีย่ นเรยี นรู้ ๖. ใหน้ กั เรียนฝกึ เขยี นประโยค และข้อความ ทีม่ ีเครื่องหมายวรรคตอน เช่น

๑๐ ขน้ั สรปุ ๗. ครูและนกั เรียนรว่ มกนั สรปุ ความหมายของเคร่อื งหมายวรรคตอน วธิ ีการใช้และประโยชน์ของ เครอื่ งหมายวรรคตอน ๘. แบ่งกลมุ่ รวบรวม ประโยคและข้อความ ที่ใช้เคร่อื งหมายวรรคตอน จัดทำเปน็ เล่มสง่ ครู ส่ือและแหล่งเรยี นรู้ ใบความรู้เรอ่ื งเคร่ืองหมายวรรคตอน การวดั ผลประเมนิ ผล วิธีการ เครอ่ื งมือ เกณฑ์ ๑. ตรวจผลงาน ๑. แบบบันทึกคะแนน รอ้ ยละ ๖๐ ถือว่าผา่ น ๒. สังเกตการทำงานเปน็ กลมุ่ ๒. แบบสงั เกตการทำงานกลุม่ ๑๑ – ๑๕ คะแนน หมายถงึ ดี ๖ – ๑๐ คะแนน หมายถงึ พอใช้ ๑ – ๕ คะแนน หมายถึง ปรับปรงุ ช่วั โมงที่ 6 การผจญภยั ของสุดสาคร (การแต่งบทรอ้ ยกรอง กลอนส่ี) จุดประสงค์การเรยี นรู้ ๑. แตง่ บทร้อยกรอง กลอนส่ีไดถ้ ูกตอ้ ง ๒. มีมารยาทในการเขยี น กิจกรรมการเรยี นรู้ ขนั้ นำ ๑. ครทู กั ทายนักเรยี นดว้ ยกลอนส่ีแลว้ ถามนกั เรยี นวา่ “ครูทักทายนักเรียนดว้ ยกลอนอะไร จำไดไ้ หม วันน้ีดีใจ ได้พบนกั เรยี น ร่วมมืออา่ นเขยี น พากเพยี รทุกวัน ๒. นักเรียนทบทวนหรอื เสริมความรเู้ กี่ยวกบั กลอนส่ี ข้นั สอน ๓. นกั เรียนอา่ นแผนภมู ิบทรอ้ ยกรองกลอนส่ี แล้วหาคำสัมผัสคล้องจองระหวา่ งวรรค ทอ้ งฟ้าหนา้ หนาว สีขาวปนฟ้า มองดเู ย็นตา ชา่ งนา่ สุขใจ เสื้อผา้ กันหนาว สพี ราวสดใส มองเห็นแตไ่ กล ชน่ื ใจทุกคราว ๔. นกั เรยี นอา่ นใบความรู้เรอ่ื ง บทรอ้ ยกรอง กลอนส่ี ครอู ธิบายเพิม่ เติมให้นักเรียนเขา้ ใจลักษณะ บงั คับของกลอนสี่ การโยงคำสมั ผัสคลอ้ งจอง ๑ บท และ ๒ บท และอธิบายมารยาทในการเขียนเพ่ือทบทวน ความรู้เดิม

๑๑ ๕. แบ่งกลุ่มนักเรียนกลุ่มละ ๔-๖ คน เขียนแผนผังบทร้อยกรองกลอนสี่ จากตัวอย่างแผนภูมิ บทร้อยกรองกลอนสี่ ดงั น้ี เดก็ เอ๋ยเดก็ ไทย ต้งั ใจศกึ ษา เติบใหญ่ภายหน้า วิชาเลี้ยงตน แสงแหง่ ปญั ญา มีคา่ มากล้น ส่องทางใหค้ น พน้ ความลำเค็ญ ๖. ตรวจความถกู ต้องพร้อมกัน แสดงผลงานการการเขียนแผนผงั ทมี่ ุมแสดงผลงานของหอ้ งเรียน ๗. นักเรยี นแต่ละกลมุ่ ทำใบงาน โยงคำสัมผัสคลอ้ งจอง ช่วยกันคิดหาคำตอบ ครเู ฉลยพร้อมกนั ๘. นกั เรียนทำใบงาน แต่งกลอนส่ี เปน็ รายบุคคล และส่งเปน็ ช้ินงาน ขน้ั สรปุ ๙. ครแู ละนักเรียนร่วมกนั สรุปลกั ษณะของกลอนสแ่ี ละประโยชนใ์ นการนำไปใช้ ๑๐. นกั เรยี นเขียนบทร้อยกรองกลอนส่ี ตามความสนใจ ๑ เร่อื ง จำนวน ๒ บท สง่ ครตู รวจ สื่อและแหลง่ เรยี นรู้ ๑. แผนภูมิบทร้อยกรองกลอนส่ี ๒. ใบความรูเ้ รอ่ื งบทร้อยกรองกลอนส่ี ๓. ใบงาน โยงสัมผสั คำคลอ้ งจอง และใบงาน แต่งกลอนส่ี การวดั ผลประเมินผล วิธีการ เครือ่ งมือ เกณฑ์ ๑. ประเมินการแตง่ ๑.ประเมินผลงานการแต่งบท เกณฑ์การประเมนิ บทร้อยกรอง รอ้ ยกรอง ๘ –๑๐ คะแนน หมายถงึ ดี ๕– ๗ คะแนน หมายถึงพอใช้ ๑ – ๔ คะแนน หมายถงึ ปรับปรงุ

๑๒ ภาคผนวก

๑๓ หน่วยท่ี ๔ การผจญภัยของสดุ สาคร แบบทดสอบกอ่ นเรยี น หนว่ ยที่ ๔ การผจญภยั ของสดุ สาคร คำช้ีแจง เขียนเครอื่ งหมาย × ทับอักษรหนา้ คำตอบทีถ่ ูกต้องทีส่ ุด อ่านบทรอ้ ยกรองแล้วตอบคำถามข้อ ๑ เอกลักษณช์ าติไทยได้สรา้ งสรรค์ ควรช่วยกนั รกั ษาอยา่ ทำลาย ภาษาไทยไพเราะเสนาะนัก ภาษาแม่สบื มาแตค่ ราบรรพ์ ๑. ขอ้ ใดเปน็ ใจความสำคญั ของบทรอ้ ยกรองข้างตน้ (ความเข้าใจ) ๑. ความสำคญั ของภาษาไทย ๒. เราควรช่วยกนั รกั ษาภาษาไทย ๓. การสบื ทอดภาษาไทยแตโ่ บราณ ๔. ควรรว่ มสรา้ งเอกลกั ษณข์ องชาติไทย อา่ นบทรอ้ ยกรองแล้วตอบคำถามขอ้ ๒ – ๓ ไดร้ บั ขา่ วรา้ ย ตอนสายวนั นี้ จากนอ้ งและพี่ เกิดที่ชมุ ชน น้ำเสยี งตระหนก ตกใจเหลอื ล้น เรมิ่ พดู วกวน สบั สนด้วยซี ตอ้ งเร่ิมเลา่ ใหม่ พูดใหช้ ้าที ใกล้สางวนั น้ี เกิดมลี มฝน พดั บ้านเรือนพงั ทกุ ข์ยงั ไม่พ้น ขโมยมาปน แอบขนของไป วันเพ็ญ จนั ทรท์ อง ๒. จากขอ้ ความเหตุการณน์ ีเ้ กดิ ขึ้นเวลาใด (ความเข้าใจ) ๑. เวลาประมาณ ๐๔.๓๐ น.– ๐๕.๐๐ น. ๒. เวลาประมาณ ๐๕.๓๐ น. – ๐๖.๐๐ น. ๓. เวลาประมาณ ๐๖.๓๐ น. – ๐๗.๐๐ น. ๔. เวลาประมาณ ๐๓.๓๐ น. – ๐๔.๐๐ น. ๓. จากขอ้ ความขา้ งต้น เหตกุ ารณใ์ ด เกิดขน้ึ เป็นเหตกุ ารณแ์ รก (ประเมินคา่ ) ๑. รบั ขา่ วร้าย ๒. เกิดลมพายุ ๓. บ้านเรือนพัง ๔. ขโมยขนของไป

๑๔ ๑. เสียกาลเวลา ๒. หนงั สือคอื มติ ร ๓. อย่าปลอ่ ยเนิน่ ๔. ควรคิดเร่งอา่ น นาน ๔.จากขอ้ ความทกี่ ำหนด ข้อใดนำมาเรยี งร้อยได้ถกู ต้องตามฉันทลักษณ์คำประพันธ์( วเิ คราะห)์ ๑. ควรคดิ เร่งอ่าน เสียกาลเวลา อย่าปล่อยเนิ่นนาน หนังสอื คอื มิตร ควรคิดเร่งอา่ น ๒. หนงั สอื คือมติ ร อย่าปลอ่ ยเนน่ิ นาน เสยี กาลเวลา ๓. อย่าปลอ่ ยเน่ินนาน ควรคดิ เรง่ อ่าน หนงั สือคอื มติ ร เสยี กาลเวลา ๔. หนงั สอื คือมติ ร อย่าปล่อยเนิน่ นาน ควรคดิ เร่งอ่าน เสยี กาลเวลา ชวี ิตสดใสอยู่ในธรรมชาติ มบี รรยากาศสดชนื่ รื่นรมย์ ................................................. เชญิ เท่ยี วชมสัมผัสปา่ ไม้งาม ๕. ขอ้ ใดนำมาเตมิ บทร้อยกรองได้ถกู ต้องเหมาะสม(วิเคราะห์) ๑. มาพักผอ่ นใหม้ คี วามสขุ ๒. แขง็ แรงดีผิวพรรณงามสม ๓. ต่างสขุ สมอารมณเ์ บิกบาน ๔. พบความแจม่ ใสจิตใจรนื่ รมย์ ๖. ขอ้ ใดแบง่ วรรคการอ่าน กลอนสุภาพไม่ถกู ต้อง ๑. สนิ สมทุ ร/สุดแสน/สงสารแม่ ๒. ชำเลอื ง/แลดูหน้า/นำ้ ตาไหล ๓. จะเข้าใกล้/ทนู หวั /ลกู กลวั นัก ๔. จงึ กราบกราน/มารดา/ดว้ ยอาลยั ๗. ข้อใดอ่านออกเสยี งไม่ถูกต้อง ๑. กสิณ อา่ นวา่ กะ – สิน ๒. กษิรา อ่านว่า กะ – สิ – รา ๓. กฤดาการ อ่านวา่ กดิ – ดา – กาน ๔. กรรมฐาน อ่านวา่ กำ – มะ - ถาน ๘. ขอ้ ใดให้ความหมายของคำศพั ท์ไม่ถูกตอ้ ง ๑. ยมนา = แผ่นดิน ๒.ชุลีกร = การประนม ๓. มือโฉลก = โชคและโอกาส ๔. การุนัง = ความสงสารคดิ จะช่วย

๑๕ ๙. ขอ้ ใดเป็นประโยคในการยอ่ ความ ๑. พทุ ธชาดเปน็ ไม้เถาชนดิ หนึ่งดอกสขี าวมีกลน่ิ หอม ๒. “คุณแมอ่ ธิบายคุณประโยชนข์ องพุทธชาดดอกไมไ้ ทยที่มคี ณุ ค่า” ๓. พทุ ธชาด (ดอกไมไ้ ทย) สีสวยมคี ุณค่ามากเปน็ ยาสมุนไพรช่วยบำรงุ ร่างกาย ๔. วันนี้ลูกปลูกตน้ พุทธชาดหรอื ยังปลกู เปน็ แถวนะ เวลาออกดอกจะมีกลน่ิ หอม ๑๐. ขอ้ ใดไม่สามารถเปล่ยี นแปลงไดใ้ นการเขยี นย่อความ ๑. เน้ือความ ๒. คำราชาศัพท์ ๓. รูปแบบการเขียนย่อความ ๔. คำสรรพนามทม่ี ีในเนอ้ื ความ

๑๖ ชว่ั โมงท่ี ๑ ศึกษาคำศพั ท์ แผนภมู ิการอ่าน เร่อื งการผจญภัยของสุดสาคร ดูลวิ่ ลิ่วปลวิ ต่ายไปตามคล่นื เหมอื นเดนิ พนื้ แผ่นตล่งิ วง่ิ หยอยหยอย ยง่ิ ลมกล้าม้าโลดกระโดดลอย พระหน่อน้อยนง่ั ชมยมนา ดกู วา้ งขวางว้างโวง้ ละโล่งล่วิ เหน็ ร้วิ ริ้วเรียงรายท้งั ซ้ายขวา ลว้ นละเมาะเกาะใหญ่แตไ่ กลตา อปุ มาเหมือนหนึ่งแหนแลลิบลิบ ฯ

๑๗ ช่วั โมงท่ี ๒ อา่ นจับใจความ ใบความรู้ เรือ่ ง การอ่านจบั ใจความ การอ่านจับใจความ เป็นการคน้ หาสาระสำคัญหรือใจความสำคัญของเรอ่ื งทอี่ ่าน คือ ขอ้ ความที่มสี าระ ครอบคลุมข้อความอืน่ ๆ ในย่อหนา้ หรือเรอ่ื งนัน้ ขอ้ ความตอนหนง่ึ หรือเร่อื งหน่งึ จะมีใจความสำคัญท่ีสุดเพียง ใจความเดียว ประโยคที่เป็นใจความสำคัญของข้อความแต่ละข้อความ ถ้ารู้จักแยกใจความหลักออกจาก ใจความรองได้ กจ็ ะทำใหเ้ ข้าใจในสงิ่ ทอ่ี า่ นไดอ้ ยา่ งถูกต้อง ข้อควรปฏบิ ตั ใิ นการอา่ นจับใจความสำคัญ ๑. อ่านผ่านๆ โดยตลอด เพื่อให้รู้ว่าเร่ืองที่อ่านเปน็ เรื่องเก่ียวกับอะไร มีใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เม่ือไร โดยอ่านจากบนลงลา่ งแทนการอ่านจากซา้ ยไปขวาทีละตวั ๒. ฝกึ กวาดสายตาเปน็ ห้วง ๆ เพ่ือจะไดอ้ า่ นได้ทีละประโยค ๆ ซ่ึงจะชว่ ยใหอ้ า่ นได้รวดเรว็ ๓. เก็บใจความของแต่ละตอน โดยรู้จักแยกใจความสำคัญและใจความที่นำมาประกอบในแต่ละ ขอ้ ความออกจากกัน ๔. อา่ นให้ละเอยี ดอกี ครัง้ หน่ึง เพ่ือทำความเขา้ ใจเร่อื งท่อี า่ น ๕. ทบทวนโดยตงั้ คำถามในใจวา่ เรอื่ งทีอ่ ่าน นน้ั มใี คร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ทำไม เม่ือไร ๖. เขียนเรียบเรียงใจความสำคัญของเรื่องที่อ่านสั้น ๆ ด้วยสำนวนภาษาของตนเอง ที่สละสลวย กะทัดรดั และชดั เจน ๗. อ่านทบทวนเพื่อตรวจสอบความถกู ต้องอีกคร้งั หนึ่ง

๑๘ ชั่วโมงที่ ๓ แผนภาพความคดิ ส่ือข้นั นำเข้าส่บู ทเรียน การเขียนแผนภาพความคดิ จากภาพเหตุการณ์ คำช้ีแจง นกั เรียนเขียนแผนภาพความคิดจากภาพเหตกุ ารณ์ วา่ ใคร ทำอะไร ทไี่ หน ผลเปน็ อย่างไร เขากำลงั ทำอะไร การกระทำของบุคคลใน ............................................ ภาพ แสดงออกในเรือ่ งอะไร ............................................ ........................................... ............................................ ........................................... บุคคลในภาพ ........................................ ........................................... ..................................... ปญั หาในภาพน้คี ือ ..................................... .......................................... ..................................... .......................................... .ตงั้ ช่ือภาพน้ีว่า ......................................... ..................................... วธิ กี ารแกป้ ญั หาคือ สาเหตุของปัญหาเกิดจาก ..................................... อะไร ..................................... .......................................... ................................น..กั..เรยี นร้สู กึ อยา่ งไร .......................................... ................................................. .................................................... .......................................... ................................................. .................................................... ... .. การกระทำของบุคคลในภาพนี้ สง่ ผลดีอยา่ งไร ....................................................................................................................... ....................................................................................................................... ...................................น..ัก..เ..ร.ยี...น..เ..ข..ีย..น...เ.ร..อ่ื ..ง..จ..า..ก..ภ...า..พ...พ...ร..อ้ ..ม..ต...ั้ง.ช...ื่อ..เ.ร..ือ่...ง.................. ....................................................................................................................... .................................

๑๙ ใบงาน การเขยี นแผนภาพความคดิ จากภาพเหตกุ ารณ์ คำชี้แจง นักเรียนเขียนแผนภาพความคดิ จากภาพเหตุการณ์ ว่าใคร ทำอะไร ทีไ่ หน ผลเป็นอย่างไร บคุ คลในภาพน้คี ือใครบา้ ง ภาพนต้ี งั้ ชอ่ื วา่ ................................................. ....................................... ............................................ ....................................... นา่ จะเปน็ เวลาใด เด็กในภาพกำลงั ทำอะไร ....................................... .................................................. ....................................... .................................................. ................................................. ทำไมเด็กๆจึงทำส่งิ นี้ อยทู่ ีไ่ หน ...................................................... .......................................... ...................................................... ................................... ...................................................... การกระทำของบคุ คล นักเรียนมคี วามรู้สึก ในภาพส่งผลดีอย่างไร อยา่ งไรกบั ภาพน้ี ............................................ ............................................ ............................................ ............................................ ............................................ ............................................ ............................................ ............................................ ขอ้ คิดที่ไดจ้ ากภาพเหตุการณน์ ้คี อื ..................................................................................................... .....................................................................................................

๒๐ ใบงาน การเขยี นแผนภาพความคิด คำช้แี จง อา่ นเร่อื งใหเ้ ข้าใจแลว้ ทำกิจกรรมตามทกี่ ำหนด บวั หลวง ลักษณะของบัวหลวง ต้นบวั หลวง จัดเป็นไม้ล้มลุก ลำตน้ มที ัง้ เป็นเหง้าอยใู่ ตด้ ิน และเป็นไหลอยเู่ หนอื ดนิ ใตน้ ้ำ ลกั ษณะของเหง้าเป็นทอ่ นยาว ส่วนของไหลจะเป็นสว่ นเจริญไปเป็นต้นใหม่ เจรญิ เติบโตไดด้ ีในดินเหนียว และสามารถ ขยายพนั ธุด์ ว้ ยวิธกี ารใชเ้ มล็ดหรอื วธิ ีการแยกไหล ดอกบวั หลวง เปน็ ดอกเดยี่ ว มีสีขาว สีชมพู ดอกมกี ลน่ิ หอม ดอกมกี ลบี เลยี้ ง 4-5 กลีบ กลีบเลี้ยงมขี นาดเล็กและสีขาว อมเขยี วหรือเป็นสเี ทาอมชมพู ร่วงไดง้ ่าย สว่ นกลีบดอกเรยี งซอ้ นกันหลายช้ัน บวั หลวงมหี ลายพนั ธ์ุมชี ื่อเรียกตา่ งกนั ไป ตามขนาดและลกั ษณะชองดอกคอื ดอกเลก็ สีขาว เรยี ก บวั ปักกงิ่ ขาว บวั หลวงจนี ขาว บัวเข็มขาว ดอกเลก็ สีชมพู เรยี ก บัวปักกง่ิ ชมพู บัวหลวงจีนชมพู บัวเข็มชมพู ดอกสขี าว เรียก บณุ ฑริก ปุณฑรกิ ดอกสชี มพู เรยี ก ปทุม ปัทมา โกกระณต ดอกสน้ั ปอ้ มสขี าวกลีบซอ้ น เรียก บวั สัตตบุษย์ บัวฉัตรขาว ดอกสั้นปอ้ มสีชมพูกลีบซอ้ น เรียก บัวสตั ตบงกช บวั ฉตั รสีชมพู ฝกั บวั หลวง ในฝักมีผลออ่ นสีเขียวนวล ฝงั อย่ใู นส่วนทีเ่ ปน็ ฝักรปู กรวยในดอก มผี ลสีเขียวอ่อนฝงั อย่ใู นฝักรปู กรวยเป็น จำนวนมาก ผลบัวหลวง หรือ เมล็ดบวั หลวง ออกผลเปน็ กลมุ่ หรอื ที่เรยี กว่าฝกั ดีบวั หลวง คือ ส่วนของต้นออ่ นทอี่ ยใู่ นเม็ดบวั หลวง การใชป้ ระโยชน์ เปน็ ไม้ประดับ กา้ นใบและกา้ นดอก ทำกระดาษ และเส้นใยใช้ทำไส้ตะเกยี ง บูชาพระ เปลอื กเมล็ด บวั แหง้ และฝกั แก่ทำปยุ๋ ทำเครื่องสำอาง เป็นสมุนไพร และบรโิ ภค

๒๑ สรรพคณุ ทางยาและความเปน็ มงคล ดอกบัวหลวงมีสรรพคุณทางยา ดังน้ี - รากบวั นำไปต้มกบั นำ้ ตาลกรวดแก้ร้อนในระงับอาการทอ้ งร่วง - สายบัวกนิ เพอื่ แกอ้ าการท้องร่วง - ใบบวั นำมาห่ันฝอยๆชงดื่มแทนน้ำชาชว่ ยแกร้ ้อนในกระหายนำ้ ไดเ้ ป็นอย่างดี - เกสรบัวส่วนของเกสรสีเหลอื งสามารถใช้เข้าเครือ่ งยาทั้งไทยและจนี โดยเฉพาะยาลมยาหอมยาบำรงุ หวั ใจและยาขับปัสสาวะ - ดีบัวเปน็ สว่ นของตน้ อ่อนที่อยภู่ ายในเมด็ บัวมรี สขมจดั สามารถนำมาเปน็ ส่วนผสมของยาโบราณ มีฤทธ์ขิ ยายหลอดเลือดท่ีไปเลี้ยงกล้า ดอกบวั หลวงมคี ุณค่าทางความเป็นมงคล ดังน้ี บวั หลวงนบั ว่าเป็นสัญลกั ษณ์แหง่ ความดีงามในทางพระพุทธศาสนาซง่ึ นับตัง้ แตอ่ ดตี จนถึงปัจจุบนั คนไทยก็ยังนยิ มนำดอกบวั หลวงมาใช้บชู าพระซง่ึ บัวท่นี ิยมนำมาไหว้พระได้แก่บวั หลวงนอกจากดอกทม่ี ี คุณค่าแล้วส่วนอ่นื ๆของบัวหลวงกม็ ีคณุ คา่ ไมแ่ พ้ดอกซ่งึ แต่ละสว่ นก็ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ทัง้ ส้ิน

๒๒ ตอนท่ี ๑ อา่ นข้อความเร่อื ง บัวหลวง แล้วตั้งคำถาม ๕ คำถาม คำถามท่ี ๑ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… คำถามที่ ๒ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… คำถามที่ ๓ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… คำถามที่ ๔ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… คำถามที่ ๕ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

๒๓ ตอนท่ี ๒ อา่ นขอ้ ความเร่ือง บัวหลวง แล้วเขียนแผนภาพความคดิ ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… …………………………… ………………………………………………… …………………………………… …………………………………… บัวหลวง ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… …………………………………… …………………………… …………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………….. …………………………………………. ………………………………………………… สรรพคณุ ทางยา ………………………………………………… ………………………………………………… และความเป็นมงคล ………………………………………………… …………………………………………. …………………………………………. ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… …………………………………………. …………………………………………. ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………….

๒๔ ใบงาน การเขียนแผนภาพความคดิ คำชีแ้ จง อา่ นเรอ่ื งใหเ้ ข้าใจ แลว้ ทำกจิ กรรมตามท่กี ำหนด กล้วย ลักษณะของกล้วย กลว้ ยเป็นพืชล้มลุกมีลำต้นอยู่ใต้ดนิ เรยี กว่า เหง้า ส่วนลำตน้ บนดนิ เกดิ จากกาบใบมาหมุ้ ซอ้ นกนั เป็นลำตน้ ใบเปน็ ใบเดย่ี วขนาดใหญ่และยาว ผวิ ใบดา้ นบนเรยี บเป็นมนั ทอ้ งใบมสี ีนวล ดอกออกเป็นช่อเรยี กว่า หวั ปลี แต่ ละชอ่ ยอ่ ยประกอบด้วยใบประดับขนาดใหญม่ ีสมี ่วงแดงหุม้ อยู่ ผลรวมกันเปน็ เครอื แต่ละเครอื มีหลายหวี การขยายพนั ธ์ุ หนอ่ โดยใช้หน่อปลกู ในหลมุ ท่ีเตรียมไว้ สว่ นทีน่ ำมาเป็นยา ผล ปลี เหง้า ยางกล้วย สารเคมีทส่ี ำคัญ ประกอบดว้ ย สารแทนนิน และสารพวกโมโนเอมีน เชน่ สารซีโรโทนนิ สรรพคุณทางยาและวิธีใช้ ใช้รกั ษาอาการท้องเดนิ : โดยใช้กล้วยดิบท้งั เปลือก ฝานบาง ๆ ผง่ึ ลมให้แห้ง ใชร้ ับประทานคร้งั ละ ๑/๒ - ๑ผล ยาระบาย:ผลกลว้ ยสกุ งออมา่ รนบั ขป้อรคะวทามานเรกือ่ ่องนกนลอ้วนยคแร้ังลล้วะตง้ั ๒คผำลถาตมิด๕ตอ่ คกำันถาหมลายๆ วัน จะช่วยระบาย ยาแกท้ ้องเสยี :ผลกลว้ ยห่าม รับประทานคร้ังละ ๒ผล เมอื่ เกดิ อาการท้องเสียเล็กนอ้ ย หากถงึ ระดับท้องรว่ งท่ไี มไ่ ด้เกดิ จาก การติดเชอื้ ใหใ้ ช้กลว้ ยดิบ ๑ผล ห่นั เปน็ แวน่ ตากแห้ง บดเป็นผง ชงนำ้ ร้อนดื่ม หา้ มเลือด: ใชย้ างกลว้ ยจากก้านใบ หยอดลงใส่แผลห้ามเลือดได้ ขับปัสสาวะ: เหงา้ หรอื ลำตน้ ใต้ดนิ ของต้นกลว้ ย ใช้ ๑กำมือล้างน้ำให้ สะอาด นำมาตม้ กบั น้ำให้เดือด ๕ -๑๐นาที ด่ืมแต่ น้ำวนั ละ ๔ครง้ั โรคกระเพาะ: นำผลกลว้ ยดิบมาฝานเป็นแวน่ บาง ๆ ตากแดดให้แห้งบดเป็นผงชงดมื่ กบั นำ้ ตม้ สกุ รบั ประทานคร้ังละ ๑-๒ ช้อนโตะ๊ ก่อนอาหารครึง่ ชว่ั โมงและกอ่ นนอน บำรงุ นำ้ นม: ใช้หวั ปลี แกงเลียง รบั ประทานหลังคลอด

๒๕ ตอนท่ี ๑ อา่ นเร่อื งอยา่ งละเอียด แล้วตง้ั คำถาม คำถามที่ ๑ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… คำถามท่ี ๒ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… คำถามท่ี ๓ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… คำถามท่ี ๔ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… คำถามที่ ๕ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

๒๖ ตอนที่ ๒ อา่ นขอ้ ความเร่ือง กล้วย แล้วเขยี นแผนภาพความคิด ………………………………………………… กลว้ ย ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… …………………………………… …………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… …………………………………… …………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………….. …………………………………………. ………………………………………………… สรรพคณุ ทางยา ………………………………………………… ………………………………………………… และวธิ ใี ช้ ………………………………………………… …………………………………………. …………………………………………. ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………………… …………………………………………. …………………………………………. ………………………………………………… ………………………………………………… ………………………………………….

๒๗ ชว่ั โมงที่ ๔ อ่านออกเสียง แผนภมู ิการอา่ น เรือ่ งการผจญภยั ของสุดสาคร จะกลา่ วถงึ เงือกน้อยกลอยสวาท ซงึ่ รองบาทพระอภยั เมอื่ ไกลสถาน อยวู่ นวงั หลังเกาะแกว้ พสิ ดาร ประมาณกาลสิบเดอื นไม่เคล่อื นคลา ใหเ้ จ็บครรภป์ ่ันป่วนจวนจะคลอด ระทวยทอดลงกับแท่นที่แผ่นผา จะแลเหลียวเปล่ียวใจนยั นา ไมเ่ หน็ หนา้ ผูใ้ ดที่ไหนเลย

๒๘ ใบความรู้ การอา่ นออกเสียงบทรอ้ ยกรอง การอา่ นออกเสยี งรอ้ ยกรอง เป็นการอ่านทีม่ ุ่งให้เกดิ ความเพลิดเพลนิ ซาบซงึ้ ในรสของบทประพันธ์ซ่ึง จะตอ้ งอา่ นอยา่ งมีจังหวะ ลีลาและทว่ งทำนองตามลกั ษณะของคำประพนั ธ์แตล่ ะชนดิ ซง่ึ อา่ นได้ ๒ แบบ ดังนี้ ๑. อ่านออกเสียงธรรมดา เป็นการอา่ นออกเสียงพดู ตามปกตเิ หมือนการอา่ นรอ้ ยแก้วแต่ มีจงั หวะวรรคตอน มกี ารเนน้ สมั ผสั ตามลกั ษณะบังคบั ของคำประพนั ธแ์ ตล่ ะชนดิ ๒. อ่านทำนองเสนาะ เปน็ การอา่ นมสี ำเนียงสงู ต่ำ หนกั เบา ยาว สั้น เปน็ ทำนองเหมือน เสียงดนตรีมีการเอื้อนเสียง เน้นสัมผัสตามจังหวะ ลีลาและท่วงทำนองที่แตกต่างไปตามลักษณะบังคับของบท ประพันธช์ นิดต่างๆ ให้ชดั เจน ไพเราะ เหมาะสม ทำให้ผฟู้ ังเกิดอารมณ์คลอ้ ยตาม หลักเกณฑ์ในการอา่ น หลักทัว่ ไปของการอ่านออกเสยี งรอ้ ยกรองที่ควรคำนงึ ถงึ มีดังนี้ ๑. ศกึ ษาลกั ษณะบังคบั ของคำประพนั ธ์ เชน่ การแบง่ จงั หวะ จำนวนคำ สัมผัส ฯลฯ ๒. อา่ นให้ถูกต้องตามลกั ษณะบังคบั ของคำประพันธ์ชนิดน้ันๆ ๓. อา่ นออกเสยี งคำให้ชดั เจน ถูกต้อง โดยเฉพาะคำท่ีออกเสียง ร ล และคำควบกลำ้ ๔. อา่ นออกเสียงดงั พอสมควร ผู้ฟังได้ยนิ ทัว่ ถงึ ไมด่ ังหรือค่อยจนเกินไป ๕. อ่านมจี งั หวะวรรคตอน ร้จู กั ทอดจงั หวะ เอ้อื นเสียง หรือหลบเสยี ง ๖. คำท่รี ับสมั ผัสกัน ตอ้ งอ่านเน้นเสียงใหช้ ดั ถ้าสมั ผัสนอกต้องทอดเสียงยาวกว่าธรรมดา ๗. อา่ นเอ้ือสมั ผัสในเพื่อเพ่มิ ความไพเราะเช่น ข้าขอเคารพอภวิ นั ท์(อ่านวา่ อบ-พิ-วัน) ๘. คำทม่ี พี ยางค์เกินให้อ่านเรว็ และเบา เพื่อใหเ้ สยี งไปตกที่พยางค์ทต่ี อ้ งการ ๙. มศี ลิ ปะในการใช้เสียง ร้จู ักเอื้อนเสยี งให้ไพเราะ สอดแทรกอารมณต์ ามเนอ้ื ความ ๑๐.เมอ่ื อ่านถงึ ตอนจะจบตอ้ งเอ้อื นเสียงและทอดจงั หวะให้ชา้ ลง จนกระทงั่ จบบท ผู้อา่ นควรมคี วาม พรอ้ มท้ังดา้ นรา่ งกายและจติ ใจ มีสตมิ ั่นคง ไม่ตืน่ เตน้ หรอื ประหม่า

๒๙ ใบความรู้ เรือ่ งกลอนสุภาพ กลอนแปด เปน็ คำประพันธ์อีกชนดิ หน่ึงท่ีไดร้ ับความนิยมกันท่วั ไป เพราะเป็นรอ้ ยกรองชนิดที่มีความ เรียบเรียบง่ายต่อการสื่อความหมาย และสามารถสื่อได้อย่างไพเราะ ซึ่งกลอนแปดมีการกำหนดพยางค์และ สัมผสั มหี ลายชนดิ แต่ท่นี ิยมคอื กลอนสภุ าพ แผนผังกลอนแปด ลักษณะคำประพนั ธ์ กลอน ๑ บทมี ๔ วรรคและมีชอื่ เรียก ดังน้ี วรรคทีห่ นง่ึ เรยี กวรรคสดบั วรรคทส่ี องเรียกวรรครบั วรรคทสี่ ามเรียกวรรครอง วรรคทีส่ ่ีเรยี กวรรคสง่ แตล่ ะวรรคมีแปดคำ จงึ เรียกว่า กลอนแปด กลอนทกุ ประเภทจะกำหนดเสยี งคำท้ายวรรคเป็นสำคญั กำหนดได้ ดังนี้ คำทา้ ยวรรคสดับ กำหนดให้ใชไ้ ด้ทกุ เสียง คำท้ายวรรครบั กำหนดหา้ มใช้เสียงสามญั กับตรี คำทา้ ยวรรครอง กำหนดใหใ้ ช้เฉพาะเสียงสามญั กับตรี คำทา้ ยวรรคส่ง กำหนดให้ใช้เฉพาะเสียงสามญั กบั ตรี สมั ผสั นอกหรอื สมั ผสั ระหวา่ งวรรค เป็นสัมผัสบังคบั มีดังนี้ คำสดุ ท้ายของวรรคทหี่ นง่ึ (วรรคสดับ) สมั ผัสกับคำที่สามหรอื ทห่ี ้า ของวรรคทสี่ อง (วรรครบั ) คำสุดทา้ ยของวรรคที่สอง (วรรครับ) สมั ผสั กบั คำสดุ ทา้ ยของวรรคทสี่ าม (วรรครอง) คำท่ีสามหรือท่ีห้าของวรรคทสี่ ี่ (วรรคสง่ ) สมั ผสั ระหวา่ งบทคำสุดท้ายของวรรคที่สี่ (วรรคส่ง) เป็นคำส่งสมั ผัสบังคับให้บทตอ่ ไป

๓๐ ชวั่ โมงที่ 5 เครือ่ งหมายวรรคตอน ใบความรู้ เรือ่ ง การใช้เครื่องหมายวรรคตอน เครอื่ งหมายวรรคตอน คอื เคร่อื งหมายท่ีใช้เขยี นประกอบคำหรือข้อความให้สน้ั ลงและเดน่ ชัดเพ่อื ให้ อา่ นได้ถกู ต้อง และช่วยใหผ้ ู้อ่านเข้าใจความหมายไดช้ ัดเจนข้ึนแต่เวลาอา่ นตอ้ งอ่านเตม็ คำเพ่อื ให้เข้าใจ ความหมาย เครือ่ งหมายวรรคตอนในภาษาไทยท่ีควรร้จู ัก มดี ังน้ี นขลขิ ิตหรือวงเล็บ ( ) ใชค้ รอ่ มคำหรือข้อความทีข่ ยายใจความ หรืออธฺ บิ ายความของคำ หรือขอ้ ความข้างหนา้ เช่น พระสนุ ทรโวหาร (ภ)ู่ อญั ประกาศหรอื เครอ่ื งหมายคำพดู (“ก”) ใชก้ ำกับข้อความทีย่ กมาจากทอ่ี ่นื หรือกำกบั คำพูด เช่น“พจ่ี ะอา่ นตอนกำเนิดสุดสาคร”ตงั หวายบอก อัญประกาศใน หรืออัญประกาศเดี่ยว ( ‘.... ') ใชก้ รณที ่มี เี คร่อื งหมายอญั ประกาศอย่แู ลว้ หรือเป็นข้อความทซี่ อ้ นขอ้ ความ เชน่ “ฉนั ได้ยินเขาร้องวา่ ‘ช่วยด้วย' หลายครง้ั ” ยัตติภงั ค์ หรือเครือ่ งหมายขดี (-) ใช้แยกคำใหห้ ่างกนั แต่แสดงถงึ ความเปน็ คำเดยี วกนั หรอื เนอ้ื หาเดยี วกัน เชน่ ๑๐.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. ไมย้ มก (ๆ) ใช้เขียนแทนคำซ้ำ เช่น นางสุพรรณมัจฉา หรือเรยี กนางสัน้ ๆ ว่า นางมัจฉา จุลภาคหรือจุดลกู น้ำ (, ) ใช้ค่นั คำ ขอ้ ความ บอกเว้นวรรคตอนในประโยคเดยี วกนั เชน่ ชลาสินธุ์ หมายถงึ ทะเล, แม่นำ้ ใช้กบั จำนวนเลข เพือ่ คนั่ หลักทลี ะ ๓ หลัก เช่น ๑๒,๐๐๐๑๕๐,๐๐๐๑๐,๐๐๐,๐๐๐ ไปยาลน้อย ( ฯ) ใช้ละคำที่ร้จู ักกันดแี ลว้ หรือคำยาว เช่น โปรดเกล้าฯ อ่านว่า โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ไปยาลใหญ่ ( ฯลฯ) ใชล้ ะคำ หรือขอ้ ความสว่ นใหญ่ท่นี ำมาอธิบายร่วมกนั เชน่ ในน้ำมีปลาช่อน ปลาดกุ ปลาหมอ ฯลฯ และในส่วนก็มีทเุ รียน มังคุด ฯลฯ มหพั ภาค หรือจุด (.) ใชบ้ อกการจบประโยค หรือจบความ กำกับหวั ขอ้ กำกบั อกั ษรย่อ เชน่ ขอ้ ๑. ........ ข้อ ๒. ......... ก. .......... ข. .........

๓๑ ปรศั นี (?) ใช้เม่ือส้นิ สุดความหรอื ประโยคทเี่ ปน็ คำถาม เชน่ ทำไมเธอจึงชอบเลน่ กีฬา? อัศเจรีย์ (!) ใช้เขียนหลงั คำ วลี หรือประโยคทเี่ ปน็ คำอทุ าน เชน่ โอโ้ ฮ ! ดอกไม้สวยจงั เลย อนจิ จา! แหม ! ไชโย ! ใช้เขยี นหลังคำเลียนเสยี งธรรมชาติ เพ่อื ให้ผู้อา่ นทำเสียงไดเ้ หมาะสมกับเหตุการณ์ในเรอื่ งนั้น ๆ เช่น โครม !เปรี้ยง ! บุพสญั ญา (\") ใชแ้ ทนคำหรอื ขอ้ ความท่ีอยู่บรรทัดบนเพ่อื ไม่ตอ้ งเขยี นซ้ำอกี แต่เวลาอ่านตอ้ งอ่านซ้ำคำหรอื ขอ้ ความ ขา้ งบนนั้นด้วย เชน่ มจั ฉา หมายถึง ปลา วานร \" ลิง

๓๒ ชั่วโมงที่ 6 การแต่งกลอนส่ี ใบความรู้ บทร้อยกรอง กลอนส่ี กลอนสี่เปน็ คำประพันธ์ประเภทกลอน ใน ๑ บท มี ๒ บาท ๑ บาท มี ๒วรรค วรรคละ ๔ คำ สัมผสั บังคับของกลอนสี่ มี ๔ แหง่ ดงั นี้ คำท้ายวรรคแรก สมั ผัสคลอ้ งจองกบั คำท่ี ๒ ของวรรคท่ี ๒ คำสุดท้ายของวรรคท่ี ๒ สมั ผัสคลอ้ งจองกับคำสุดท้ายของวรรคที่ ๓ คำสุดท้ายของวรรคท่ี ๓ สัมผัสคลอ้ งจองกับคำที่ ๒ ของวรรคท่ี ๔ คำสุดทา้ ยของวรรคที่ ๔ ของบทแรก สมั ผสั คล้องจองกับคำสดุ ท้ายวรรคที่ ๒ ของบทถัดไป ตวั อยา่ งกลอนส่ี วอนไหวบ้ ชู า เทพาอารักษ์ ซง่ึ ทรงปกปัก พิทกั ษ์ผนื ปา่ พงไพรพนา บำรงุ พนั ธุ์ไม้ โปรดมาค้มุ ครอง อกี เจ้าภูผา

๓๓ สอ่ื ขัน้ นำเข้าสบู่ ทเรียน แผนภมู ิบทรอ้ ยกรองกลอนสี่ ท้องฟา้ หน้าหนาว สีขาวปนฟา้ มองดูเยน็ ตา ช่างน่าสขุ ใจ สีพราวสดใส เส้ือผ้ากันหนาว ช่นื ใจทุกคราว มองเหน็ แตไ่ กล คำสมั ผัส คล้องจองระหว่างวรรค ………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................ ………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................

๓๔ แผนภูมิ บทร้อยกรองกลอนสี่ เดก็ เอย๋ เด็กไทย ตัง้ ใจศึกษา เตบิ ใหญ่ภายหน้า วิชาเลีย้ งตน มีคา่ มากล้น แสงแห่งปญั ญา พ้นความลำเค็ญ สอ่ งทางให้คน OOOO แผนผังกลอนสี่ OOOO OOOO OOOO OOOO OOOO OOOO OOOO

๓๕ ใบงาน โยงคำสัมผสั คล้องจอง คำชแี้ จง โยงคำสัมผสั คล้องจองของกลอนสีใ่ ห้ถูกตอ้ งตามฉนั ทลักษณ์ ตวั อยา่ ง วยั เดก็ ศึกษา ใฝ่หาความรู้ เช่ือฟงั คุณครู เรยี นรจู้ ดจำ ทะเลสคี ราม งดงามสดช่ืน ๑ ยามเย็นรม่ รื่น เกลยี วคลื่นเป็นฟอง เมืองไทยเมืองทอง เมืองของคนดี ๒ รักสามัคคี ไมตรีกลมเกลยี ว รกั อา่ นรกั เขียน รักเรยี นเพียรรู้ ๓ รกั ค้นคว้าดู เรียนรตู้ รึกตรอง สามคั คกี นั รูร้ กั ไมตรี จติ ใจกลา้ หาญ วีรบรุ ุษไทย ตอ่ ตา้ นศัตรู ๔ ปกปอ้ งรกั บ้าน คดิ ดีทำดี ไมตรีมใี จ ๕ รูค้ ณุ ผูใ้ หญ่ เดก็ ไทยพงึ ทำ

๓๖ ใบงาน ฝึกแใตบง่ งกานลทอ่ีน๐ส๖่ี คำช้แี จง เลอื กคำทก่ี ำหนดให้เตมิ ในชอ่ งวา่ ง ให้ไดใ้ จความถกู ต้องตามฉนั ทลกั ษณ์ของกลอนส่ี บทที่ ๑ เลน่ ลม สุขสม นกน้อย ภริ มย์ บทที่ ๒ โผนผก แมกไม้ เพลนิ ใจ เปน็ นก ชีวิต........................................... บนิ ลอย..................................... สดช่นื .................................................... .....................................เพลนิ ใจ ฉันอยาก...........................................................................บนิ ไกล เท่ียวชม........................................................................................สขุ จรงิ เลือกคำมาเติม ให้ตรงกบั บททกี่ ำหนดใหน้ ะครับ

๓๗ ใบงาน การแต่งกลอนสี่ คำชีแ้ จง แตง่ กลอนส่ีใหส้ อดคล้องกบั ภาพและถูกต้องตามฉันทลักษณข์ องคำประพนั ธ์ ตวั อยา่ ง ฉนั ชอบอา่ นเขียน รเู้ รยี นเรื่องราว อยากเป็นนกั ขา่ ว บอกกล่าวความจริง สงกรานต์.................................... .................................................................... ................................................................... ................................................................... ผลไม.้ ................................................ ....................................................... ....................................................... ......................................................

๓๘ หน่วยท่ี ๔ การผจญภัยของสดุ สาคร แบบทดสอบหลังเรยี น หน่วยที่ ๔ การผจญภยั ของสดุ สาคร คำช้ีแจง เขียนเครอื่ งหมาย × ทับอักษรหน้าคำตอบทีถ่ ูกต้องทีส่ ุด อ่านบทรอ้ ยกรองแล้วตอบคำถามขอ้ ๑ เอกลักษณช์ าติไทยได้สรา้ งสรรค์ ควรช่วยกนั รกั ษาอยา่ ทำลาย ภาษาไทยไพเราะเสนาะนกั ภาษาแม่สบื มาแตค่ ราบรรพ์ ๑. ขอ้ ใดเปน็ ใจความสำคญั ของบทร้อยกรองข้างตน้ (ความเข้าใจ) ๑. ความสำคญั ของภาษาไทย ๒. เราควรช่วยกนั รักษาภาษาไทย ๓. การสืบทอดภาษาไทยแต่โบราณ ๔. ควรรว่ มสรา้ งเอกลกั ษณ์ของชาตไิ ทย อา่ นบทรอ้ ยกรองแล้วตอบคำถามข้อ ๒ – ๓ ได้รบั ขา่ วร้าย ตอนสายวันนี้ จากนอ้ งและพี่ เกดิ ที่ชมุ ชน น้ำเสยี งตระหนก ตกใจเหลอื ล้น เรมิ่ พดู วกวน สบั สนด้วยซี ตอ้ งเร่ิมเล่าใหม่ พูดให้ช้าที ใกล้สางวนั น้ี เกดิ มลี มฝน พดั บ้านเรอื นพงั ทกุ ข์ยงั ไม่พ้น ขโมยมาปน แอบขนของไป วันเพ็ญ จนั ทรท์ อง ๒. จากขอ้ ความเหตุการณน์ ีเ้ กดิ ข้นึ เวลาใด (ความเข้าใจ) ๑. เวลาประมาณ ๐๔.๓๐ น.– ๐๕.๐๐ น. ๒. เวลาประมาณ ๐๕.๓๐ น. – ๐๖.๐๐ น. ๓. เวลาประมาณ ๐๖.๓๐ น. – ๐๗.๐๐ น. ๔. เวลาประมาณ ๐๓.๓๐ น. – ๐๔.๐๐ น. ๓. จากขอ้ ความขา้ งต้น เหตกุ ารณ์ใด เกิดข้นึ เปน็ เหตกุ ารณแ์ รก (ประเมินค่า) ๑. รบั ขา่ วร้าย ๒. เกิดลมพายุ ๓. บ้านเรือนพัง ๔. ขโมยขนของไป

๓๙ ๔. ขอ้ ใดแบง่ วรรคการอ่าน กลอนสภุ าพไม่ถกู ต้อง ๑. สินสมุทร/สุดแสน/สงสารแม่ ๒. ชำเลือง/แลดูหนา้ /น้ำตาไหล ๓. จะเขา้ ใกล/้ ทนู หวั /ลูกกลวั นัก ๔. จึงกราบกราน/มารดา/ด้วยอาลยั ๑. เสียกาลเวลา ๒. หนงั สือคอื มติ ร ๓. อย่าปล่อยเน่นิ ๔. ควรคิดเร่งอา่ น นาน ๕. ขอ้ ใดให้ความหมายของคำศพั ท์ไม่ถกู ต้อง ๑. ยมนา = แผ่นดิน ๒.ชลุ กี ร = การประนม ๓. มือโฉลก = โชคและโอกาส ๔. การุนงั = ความสงสารคดิ จะชว่ ย ๖.จากข้อความท่กี ำหนด ขอ้ ใดนำมาเรยี งรอ้ ยไดถ้ ูกตอ้ งตามฉนั ทลกั ษณ์คำประพันธ์( วเิ คราะห)์ ๑. ควรคิดเรง่ อ่าน เสียกาลเวลา อย่าปล่อยเนิ่นนาน หนังสือคอื มติ ร ควรคิดเรง่ อา่ น ๒. หนังสอื คือมิตร อย่าปลอ่ ยเนนิ่ นาน เสียกาลเวลา ๓. อยา่ ปล่อยเนน่ิ นาน ควรคดิ เร่งอ่าน หนงั สอื คอื มติ ร เสยี กาลเวลา ๔. หนงั สือคอื มติ ร อย่าปลอ่ ยเนน่ิ นาน เสียกาลเวลา ควรคิดเรง่ อา่ น ชีวติ สดใสอย่ใู นธรรมชาติ มีบรรยากาศสดชื่นรนื่ รมย์ ................................................. เชิญเท่ยี วชมสมั ผัสป่าไม้งาม ๕. ข้อใดนำมาเตมิ บทร้อยกรองได้ถูกต้องเหมาะสม(วิเคราะห)์ ๑. มาพกั ผ่อนให้มีความสุข ๒. แข็งแรงดีผวิ พรรณงามสม ๓. ตา่ งสุขสมอารมณเ์ บิกบาน ๔. พบความแจม่ ใสจิตใจรนื่ รมย์ ๗. ข้อใดอา่ นออกเสียงไม่ถูกตอ้ ง ๑. กสณิ อา่ นว่า กะ – สิน ๒. กษิรา อ่านวา่ กะ – สิ – รา ๓. กฤดาการ อ่านวา่ กดิ – ดา – กาน ๔. กรรมฐาน อ่านวา่ กำ – มะ - ถาน

๔๐ ๙. ขอ้ ใดเปน็ ประโยคในการยอ่ ความ ๑. พทุ ธชาดเปน็ ไม้เถาชนดิ หนึ่งดอกสขี าวมีกลน่ิ หอม ๒. “คณุ แมอ่ ธิบายคุณประโยชนข์ องพุทธชาดดอกไมไ้ ทยที่มคี ณุ ค่า” ๓. พทุ ธชาด (ดอกไมไ้ ทย) สีสวยมคี ุณค่ามากเปน็ ยาสมุนไพรช่วยบำรงุ ร่างกาย ๔. วนั นีล้ ูกปลูกตน้ พุทธชาดหรอื ยังปลกู เปน็ แถวนะ เวลาออกดอกจะมีกลน่ิ หอม ๑๐. ขอ้ ใดไม่สามารถเปล่ยี นแปลงไดใ้ นการเขยี นย่อความ ๑. เน้ือความ ๒. คำราชาศัพท์ ๓. รปู แบบการเขียนย่อความ ๔. คำสรรพนามทม่ี ีในเนอ้ื ความ

๔๑ เกณฑ์การประเมินชิน้ งาน/ภาระงาน เกณฑป์ ระเมินการท่องบทอาขยาน ระดับคะแนน เกณฑก์ ารประเมนิ ๔ ๓ ๒ ๑ ทอ่ งไม่ถูกทำนอง ๑.ความถกู ตอ้ งของ ทอ่ งถูกทำนองและ ท่องถูกทำนองและ ท่องถกู ทำนองและลลี า และลลี าของคำ ประพนั ธ์ การท่องบทประพันธ์ ลีลาของคำประพนั ธ์ ลลี าของคำประพนั ธ์ ของคำประพันธ์ แต่ไม่ ออกเสยี งคำไม่ อย่างชัดเจนต้งั แตต่ น้ แตไ่ มส่ ม่ำเสมอ สม่ำเสมอ มเี สียงสะดุด ถูกตอ้ ง ๕ คำขนึ้ ไป เว้นจังหวะ จนจบ มเี สยี งสะดุด ๑-๒ ๓-๔ แหง่ วรรคตอนไมถ่ กู ตอ้ ง ๕ แหง่ แหง่ ระดับเสยี ง ราบเรยี บท่องไป ๒.การออกเสียงคำ ออกเสยี งคำถูกตอ้ ง ออกเสียงคำไม่ ออกเสยี งคำไมถ่ กู ตอ้ ง เรื่อยๆไม่มีนำ้ เสียง ที่แสดงอารมณ์ใดๆ ชัดเจนทกุ คำ ถกู ต้อง ๑-๒ คำ ๓-๔ คำ ๓. การเว้นจังหวะ เว้นจังหวะ เวน้ จงั หวะ เวน้ จังหวะ วรรคตอน วรรคตอนถกู ตอ้ ง วรรคตอนไมถ่ ูกต้อง วรรคตอนไม่ถูกตอ้ ง ทกุ วรรค ๑-๒ แหง่ ๓-๔ แหง่ ๔. การใชร้ ะดับเสยี ง ใชร้ ะดบั เสยี งแสดง ใชร้ ะดบั เสียงแสดง ใช้ระดบั เสยี งท่ี อารมณจ์ ากบท อารมณจ์ ากบท สอดแทรกอารมณ์ ประพนั ธไ์ ด้เหมาะสม ประพันธไ์ ด้ ได้เหมาะสมบ้าง ตามวยั ของผเู้ รยี น เหมาะสมเปน็ สว่ น เป็นบางส่วน ใหญ่ เกณฑก์ ารประเมิน ๑๑ – ๑๖ คะแนน หมายถึง ดี ๕ – ๑๐ คะแนน หมายถึง พอใช้ ๑ – ๔ คะแนน หมายถึง ปรับปรงุ

๔๒ เกณฑ์การประเมนิ ผลงานการแต่งบทร้อยกรอง ชั้นประถมศึกษาปที ่ี ๔ ประเด็น เกณฑก์ ารประเมนิ ๑. ความถูกตอ้ ง ตามฉนั ทลกั ษณ์ ๓คะแนน ๒คะแนน ๑ คะแนน ๒. ความคดิ มสี ัมผัสระหวา่ งวรรค ระหวา่ ง มสี มั ผสั ระหวา่ งวรรค ระหวา่ ง มีสมั ผสั ระหวา่ งวรรค ระหวา่ ง และเนือ้ หา ๓. กวีโวหาร บทถกู ต้องตามฉันทลักษณ์ บทไม่ถกู ต้องตาม บทไมถ่ กู ตอ้ งตาม ๔. อักขรวิธี ของกลอนสี่ สมบรู ณ์ทกุ ฉันทลกั ษณข์ องกลอนส่ี ๑ ฉนั ทลักษณ์ของกลอนสี่ ๒ ๕. เวลา ตำแหนง่ ตำแหน่ง ตำแหนง่ ข้ึนไป เนอื้ หาตรงประเดน็ ท่กี ำหนด เน้อื หาตรงประเด็นทีก่ ำหนด เน้ือหาไม่ตรงประเด็น หรือ สามารถส่ือสารได้เข้าใจ มี สามารถสื่อสารได้เข้าใจ แต่ ตรงเพียงบางสว่ น แนวคิดท่ีเป็นเหตุเปน็ ผล ขาดแนวคิดที่เปน็ เหตุ เปน็ ผล ขาดแนวคิดที่เปน็ เหตุ เปน็ ผล สมั ผสั ราบรน่ื ไพเราะมีสมั ผัส สมั ผสั ราบรื่นเป็นบางวรรค สมั ผสั ได้ แต่ไม่ราบร่ืนไพเราะ ภายในวรรคท้งั ทีเ่ ป็นสมั ผัส บางบทใช้คำมีความหมาย ใช้คำท่มี ีความหมาย ตรง ๆ สระและพยัญชนะ ใช้คำมี ลกึ ซึ้งบางส่วน ไม่ลึกซึง้ ความหมายลึกซงึ้ กนิ ใจ เขยี นสะกดคำ เขียนสะกดคำ เขียนสะกดคำ ถูกตอ้ งทกุ คำ ผดิ ๑-๓คำ ผดิ มากกว่า ๓คำ ผลงานเสรจ็ สมบูรณต์ ามเวลา ผลงานเสร็จชา้ กว่ากำหนดไม่ ผลงานเสร็จช้ากวา่ กำหนด ทกี่ ำหนด เกนิ ๕นาที เกนิ ๕นาที เกณฑ์การประเมนิ ๑๑–๑๕ คะแนน หมายถงึ ดี ๖– ๑๐ คะแนน หมายถงึ พอใช้ ๑ – ๕ คะแนน หมายถงึ ปรับปรุง

๔๓ แบบประเมินการอ่านออกเสยี งและเขียนคำศัพท์ กล่มุ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรยี น.................................... สำนักงานเขตพืน้ ท่ีการศกึ ษาประถมศึกษา........................................................ ภาคเรยี นท่ี............ปกี ารศึกษา..................วนั ท่ี…….........เดอื น.......................................พ.ศ.............................. คำช้ีแจง ครูประเมนิ พฤตกิ รรมของนกั เรียนในการอ่านออกเสียงและเขยี นคำ ให้คะแนนลงในชอ่ งทต่ี รงกบั พฤติกรรมของนักเรยี น ความ ูถกต้องในการอ่าน สรปุ ผล ุคณ ัลกษณะ รวม การประเมิน ( ีมความ ่ัมนใจในการใ ้ชภาษา ) เลขที่ ชอ่ื -สกุล การสะกดคำ ัศพ ์ท อธิบายความหมายของคำ ัศพ ์ท ๓ ๓ ๓ ๓ ๑๒ ดี พอใช้ ปรบั ปรงุ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ลงชอื่ ............................................................ผ้ปู ระเมนิ (.....................................................)

๔๔ เกณฑ์การให้คะแนนแบบประเมินการอ่านออกเสยี งและเขยี นคำศัพท์ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี ๔ ประเด็นการประเมิน เกณฑ์การให้คะแนน ๓ ๒๑ ๑. ความถกู ต้องในการอ่าน สามารถอ่านไดถ้ กู ตอ้ ง สามารถอ่านได้เกือบ พยายามอา่ นไดบ้ า้ ง ท้ังหมด ๒.คุณลักษณะ ถูกตอ้ งท้งั หมด ผดิ ไม่ ผิดมากกวา่ ๓คำ (มคี วามม่นั ใจในการอา่ น ) มคี วามม่นั ใจในการอ่าน ดี มีการเตรยี มตวั มา เกิน ๓ คำ ๓. การสะกดคำศพั ท์ อย่างดี มนั่ ใจตนเอง ๔. อธบิ ายความหมาย มคี วามม่นั ใจในการอา่ น ขาดความมัน่ ใจใน ของคำศัพท์ การสะกด คำศพั ท์ถกู ตอ้ ง พอใช้ เตรยี มตัวมาอยา่ ง ตนเอง เตรียมตัวมา อธิบายความหมายได้ ถกู ต้องสมบรู ณ์ ดี ยังประหมา่ บ้างแตไ่ ม่มากนัก การสะกด สะกดคำผิดมาก คำศพั ท์ผดิ เลก็ น้อย อธิบายความหมายได้ อธบิ ายความหมาย เกอื บถกู ตอ้ ง ไม่ได้ เกณฑ์การประเมนิ คะแนน ๙ – ๑๒ ระดับคุณภาพ ดี คะแนน ๕ – ๘ ระดบั คุณภาพ พอใช้ คะแนนนอ้ ยกวา่ ๔ ระดบั คุณภาพ ปรบั ปรงุ

๔๕ ประเดน็ การประเมนิ เกณฑ์การประเมนิ ความสามารถในการอา่ นจับใจความ เกณฑ์การให้คะแนน ๑. ตอบคำถามจาก เรอ่ื งท่ีอา่ น ดี (๓) พอใช(้ ๒) ปานกลาง(๑) ๒. บอกความสำคญั ของเรอ่ื งทีอ่ ่าน ตอบคำถามถกู ต้องทุกข้อ ตอบคำถามผิดไมเ่ กิน ๓ ตอบผดิ มากกว่า ๓ ข้อ ๓. บอกข้อคดิ จาก เรื่องทอี่ ่าน ขอ้ ใน ๕ ขอ้ ใน ๕ ข้อ ๔. แสดงความคิดเห็น จากเร่ืองทอ่ี า่ น บอกเนอื้ หาสาระถกู ต้องได้ บอกเน้ือหาสาระถกู ตอ้ ง บอกเนอื้ หาสาระได้บา้ ง ใจความต่อเนอื่ ง แต่วกวน บอกขอ้ คดิ ไดต้ รงประเดน็ บอกขอ้ คิดไดต้ รง บอกข้อคิดได้บา้ งแต่ สมบรู ณ์ ประเดน็ แต่ไม่ตอ่ เนือ่ ง วกวน เสนอความคิดเห็นด้วย เสนอความคิดเหน็ ได้ เสนอความคิดเหน็ แตไ่ ม่ เหตุผลและเป็นประโยชน์ อยา่ งมีเหตผุ ล แสดงเหตุผล เกณฑก์ ารประเมนิ ๙– ๑๒ คะแนน หมายถงึ ดี ๕– ๘ คะแนน หมายถงึ พอใช้ ๑ –๔ คะแนน หมายถงึ ปรับปรงุ

๔๖ เกณฑ์การประเมนิ การเขยี นแผนภาพความคิด ประเดน็ การ เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ประเมิน ๑.ประเดน็ หัวขอ้ ๔ ๓๒ ๑ ชดั เจน เขยี นแผนภาพได้ การเขยี นแผนภาพ เขียนแผนภาพโดย เขยี นแผนภาพโดย แต่รายละเอียด ๒.ความสอดคลอ้ ง ตา่ งๆปะปนกนั เปน็ เหตุเปน็ ผล โดยแยกประเด็นหวั ข้อ แยกประเดน็ หัวข้อ แยกรายละเอยี ด ไมเ่ รียงลำดบั หวั ข้อ ไม่มีหวั ขอ้ ๓.ระบขุ อ้ คดิ / ชดั เจนมรี ายละเอียดของ ชัดเจนมรี ายละเอียด ย่อยไมม่ หี ัวข้อ คุณค่า การนำไปใช้ เนื้อหาไมแ่ สดงถึง ในชีวิต แตล่ ะประเดน็ ครบถว้ น ของแตล่ ะประเด็น ชัดเจนแต่กม็ ี ความเป็นเหตุเป็น ผลและไม่มีการ รปู แบบและการใช้คำเขา้ ใจ พอสมควรรูปแบบ รปู แบบทท่ี ำให้ ยกตัวอย่างหรอื อา้ งองิ ประกอบ งา่ ย และใช้คำเขา้ ใจงา่ ย เข้าใจได้ บอกขอ้ คิด เนอ้ื เรือ่ งแสดงถึงความเป็น เน้อื เรื่องแสดงถึงความ เนอื้ เรือ่ งแสดงถงึ เรื่องที่อ่านได้ เหตเุ ป็นผลสนบั สนุนซง่ึ กนั เปน็ เหตุเปน็ ผล ความเป็นเหตุเป็น และกนั มีการยกตัวอยา่ ง สนับสนนุ ซ่งึ กันและ ผลสนบั สนนุ ซ่ึงกนั หรอื อ้างองิ ประกอบได้ กันมีการยกตวั อยา่ ง และกันมีการ สอดคล้อง หรืออา้ งองิ ประกอบได้ ยกตวั อย่างหรอื ค่อนข้างสอดคลอ้ ง อ้างอิงประกอบ แตไ่ ม่สอดคลอ้ ง สรปุ บอกขอ้ คิด อธบิ าย สรปุ บอกขอ้ คิด บอกข้อคิด และ คุณค่าของเรือ่ งทอ่ี า่ นได้ อธบิ ายคุณค่าของเรื่อง ประโยชนท์ ี่ไดเ้ ร่ือง ถูกต้องครบถ้วนสามารถ ทอี่ ่านได้ถกู ต้อง ท่อี า่ นได้ นำไปประยกุ ตใ์ ช้ใน ครบถ้วน ชวี ิตประจำวนั ได้ เกณฑก์ ารประเมนิ ๙ – ๑๒ คะแนน หมายถึงดี ๔ – ๘ คะแนน หมายถงึ พอใช้ ๑ – ๓ คะแนน หมายถงึ ปรับปรงุ

๔๗ เกณฑก์ ารประเมนิ การอา่ นบทรอ้ ยกรอง ประเดน็ การ เกณฑ์การใหค้ ะแนน ประเมนิ ๔ ๓ ๒ ๑ ๑.อักขรวิธี อ่านถูกต้องทกุ คำ อา่ นผดิ ไม่เกิน ๓ คำ อ่านผดิ ไม่เกิน ๕ คำ อ่านผดิ มากกวา่ ๕ คำ ออกเสียง ร ล ออกเสียง ร ล ออกเสยี ง ร ล ชดั เจน ชัดเจน ชัดเจน ๒.อ่านถกู ต้อง อ่านถกู ต้องตาม อ่านถกู ต้องตาม อา่ นถูกต้องตาม อ่านไม่ถกู ต้องตาม ตามฉันทลักษณ์ ลกั ษณะของ ลักษณะของ ลกั ษณะของคำ ลักษณะของคำ คำประพนั ธ์ คำประพนั ธ์ ประพนั ธ์ ประพันธ์ แบ่งวรรคตอน แบง่ วรรคตอน แบ่งวรรคตอน และแบง่ วรรคตอนผิด ถูกตอ้ งทุกวรรค ผิด ๑-๒ แห่ง ผิด ๓-๔ แหง่ มากกว่า ๔ แห่ง ๓.บุคลกิ ภาพ น่งั ในท่าทีเ่ หมาะสม นั่งในทา่ ที่เหมาะสม นั่งในท่าท่ี นงั่ ในทา่ ทไ่ี ม่เหมาะสม ท่าทางในการ ใชส้ ายตามองกวาด ใชส้ ายตามองกวาด ไมเ่ หมาะสมใช้สายตา ใช้นว้ิ ช้ีตามตัวอกั ษร อ่าน ตวั หนงั สือ ไมช่ ห้ี รือ ตัวหนงั สอื ถกู ตอ้ ง มองกวาดสา่ ยหน้าตาม และสา่ ยหน้าตาม สา่ ยหน้าตาม เป็นส่วนใหญ่ ตวั หนงั สอื ถกู ต้อง ตวั อกั ษร ตัวอกั ษร เปน็ สว่ นน้อย ๔.นำ้ เสียง นำ้ เสียงชัดเจน น้ำเสยี งชดั เจน นำ้ เสยี งชดั เจนขาด น้ำเสยี งไม่ชัดเจน ขาด ในการอ่าน นมุ่ นวลนา่ ฟงั น่มุ นวลน่าฟังเปน็ ความนมุ่ นวลหรอื ความมัน่ ใจในการอ่าน สอดคลอ้ งกับเร่อื งที่ ส่วนใหญ่ สอดคล้องกบั เรือ่ งท่ี อ่าน อ่าน เกณฑ์การประเมิน ๙– ๑๒ คะแนน หมายถงึ ดี ๕– ๘ คะแนน หมายถึง พอใช้ ๑ –๔ คะแนน หมายถงึ ปรบั ปรงุ

๔๘ แบบประเมนิ การนำเสนอผลงาน คำชีแ้ จง : ให้ ผ้สู อน ประเมนิ การนาเสนอผลงานของนักเรยี นตามรายการทก่ี าหนด แลว้ ขดี ✓ ลงใน ชอ่ งทต่ี รงกบั ระดบั คะแนน ลำดบั ที่ รำยกำรประเมิน ระดบั คะแนน 321 1 ความถกู ตอ้ งของเนอ้ื หา 2 ความคดิ สรา้ งสรรค์ 3 วธิ กี ารนาเสนอผลงาน 4 การนาไปใชป้ ระโยชน์ 5 การตรงตอ่ เวลา รวม เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ผลงานหรือพฤตกิ รรมสมบูรณช์ ัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรอื พฤติกรรมมีข้อบกพร่องบางสว่ น ให้ 2 คะแนน ผลงานหรอื พฤติกรรมมขี ้อบกพรอ่ งเปน็ สว่ นใหญ่ ให้1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคณุ ภาพ นน ระดับคณุ ภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ตำ่ กวา่ 8 ปรบั ปรุง

๔๙ เกณฑก์ ารสังเกตกระบวนการทำงานกล่มุ ประเดน็ เกณฑ์การใหค้ ะแนน การสังเกต ๓๒ ๑ ๑.การแบง่ งาน แบ่งงานกนั ไมช่ ดั เจน แบ่งงานกนั ชดั เจน แบง่ งานกนั แตไ่ มค่ รบถ้วน ๒.ความรบั ผดิ ชอบ ทุกคนมคี วามรบั ผิดชอบ มีความรับผิดชอบร่วมกนั เปน็ มีความรับผิดชอบร่วมกนั รว่ มกัน สว่ นใหญ่ นอ้ ยมาก ๓.ความรว่ มมือ มีความรว่ มมอื และสามคั คี มีความรว่ มมือและสามคั คี มคี วามรว่ มมือและ กนั ดมี าก กันเป็นส่วนใหญ่ สามัคคีกนั นอ้ ยมาก ๔.ความตง้ั ใจ มีความตงั้ ใจปฏิบตั ิงานดีมาก มีความต้ังใจปฏิบัตงิ านพอใช้ มีความตงั้ ใจปฏิบัตงิ าน นอ้ ยมาก ๕.กระบวนการ ปฏบิ ัติงานตามขัน้ ตอนดีมาก ปฏิบตั ิงานตามข้ันตอนพอใช้ ปฏิบตั งิ านตามขน้ั ตอน ทำงาน น้อยมาก เกณฑ์ ๑๑ – ๑๕ คะแนน หมายถงึ ดี ๖ – ๑๐ คะแนน หมายถงึ พอใช้ ๑ – ๕ คะแนน หมายถงึ ปรบั ปรงุ

๕๐ เกณฑก์ ารประเมนิ ผลงานการแต่งบทร้อยกรอง กลอนสี่ ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ ๔ ประเด็น ๓ คะแนน เกณฑ์การประเมนิ ๑ คะแนน ๒ คะแนน มีสัมผสั ระหว่างวรรค มสี มั ผัสระหวา่ งวรรค มสี ัมผัสระหว่างวรรค ๑. ความถูกตอ้ งตาม ระหวา่ งบทถูกต้องตาม ระหวา่ งบท ระหว่างบท ฉนั ทลกั ษณ์ ฉนั ทลักษณข์ องกลอนส่ี ไมถ่ ูกตอ้ งตาม ไมถ่ กู ต้องตาม สมบรู ณ์ทกุ ตำแหนง่ ฉันทลกั ษณข์ องกลอนสี่ ฉนั ทลักษณ์ของกลอนส่ี ๑ ตำแหนง่ ๒ ตำแหนง่ ขน้ึ ไป เนือ้ หาตรงประเด็นที่ เนื้อหาตรงประเด็นที่ เน้ือหาไม่ตรงประเดน็ ๒. ความคิดและเน้อื หา กำหนด สามารถส่ือสาร กำหนด สามารถส่อื สาร หรือตรงเพียงบางส่วน ได้เข้าใจ มีแนวคิดทเ่ี ป็น ไดเ้ ขา้ ใจ แต่ขาดแนวคดิ ขาดแนวคดิ ท่ีเป็นเหตุ เหตเุ ป็นผล ทเ่ี ป็นเหตุ เปน็ ผล เป็นผล สมั ผัสราบรน่ื ไพเราะมี สัมผสั ราบร่ืนเปน็ บางวรรค สมั ผัสได้ แต่ไม่ราบรนื่ ๓. กวโี วหาร สมั ผสั ภายในวรรคท้งั ท่ี บางบทใช้คำมีความหมาย ไพเราะใช้คำท่ีมี เป็นสัมผัสสระและ ลึกซึง้ บางส่วน ความหมาย ตรง ๆ พยัญชนะ ใชค้ ำมี ไม่ลึกซง้ึ ความหมายลึกซึง้ กนิ ใจ ๔. อักขรวธิ ี เขียนสะกดคำ เขยี นสะกดคำ เขียนสะกดคำ ถกู ตอ้ งทกุ คำ ผิด ๑-๓คำ ผิดมากกว่า ๓คำ ๕. เวลา ผลงานเสร็จสมบูรณ์ ผลงานเสรจ็ ช้ากวา่ กำหนด ผลงานเสรจ็ ช้ากว่ากำหนด ตามเวลาทีก่ ำหนด ไมเ่ กิน๕นาที เกิน ๕นาที เกณฑก์ ารประเมนิ ๑๑–๑๕ คะแนน หมายถงึ ดี ๖– ๑๐ คะแนน หมายถึง พอใช้ ๑ – ๕ คะแนน หมายถงึ ปรับปรงุ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook