Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

P.6

Published by tipawan inpang, 2019-05-14 03:12:05

Description: P.6

Search

Read the Text Version

แผนการจัดการเรียนรู้ “รายวชิ าเพิ่มเติม การป้องกนั การทุจรติ ” ระดบั ประถมศกึ ษาชน้ั ปีท่ี 6 ชดุ หลกั สูตรตา้ นทจุ รติ ศึกษา (Anti - Corruption Education) สานักงานคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ ร่วมกบั สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2561

ก คานา ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 – 2564) ได้กาหนดยุทธศาสตร์ท่ี 1 สร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต อันมีกลยุทธ์ว่าด้วยเร่ืองของการปรับฐานความคิดทุก ช่วงวัยตั้งแต่ปฐมวัยให้สามารถแยกระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม ส่งเสริมให้มีระบบ และกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมเพ่ือต้านทุจริต ประยุกต์หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเครื่องมือ ต้านทุจริต เสริมพลังการมีส่วนร่วมของชุมชน (Community) และบูรณาการทุกภาคส่วนเพ่ือต่อต้านการทุจริต คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) จึงได้มีคาสั่งแต่งต้ัง คณะอนุกรรมการจัดทาหลักสูตรหรือชุดการเรียนรู้และส่ือประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกันการทุจริต ขึ้น เพื่อศึกษา วิเคราะห์ และรวบรวมข้อมูล กาหนดแนวทางและขอบเขตในการจัดทาหลักสูตร ยกร่างและจัดทา เนื้อหาหลักสูตรหรือชุดการเรียนรู้และสื่อประกอบการเรียนรู้ พิจารณาให้ความเห็นเพิ่มเติม กาหนดแผนหรือ แนวทางการนาหลักสูตรไปใช้ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และดาเนินการอ่ืนๆ ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมาย คณะอนุกรรมการจัดทาหลักสูตรหรือชุดการเรียนรู้และสื่อประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกันการ ทุจริตได้ร่วมกันสร้างหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา : Anti-Corruption Education ประกอบด้วย ๕ หลักสูตร ดังน้ี ๑. หลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) ๒. หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with good heart”) ๓. หลักสูตรตามแนวทางรับราชการ กลุ่มทหารและ ตารวจ ๔. หลักสตู รสร้างวิทยากรผู้นาการเปล่ียนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต และ ๕. หลักสูตรโค้ชเพื่อ การรู้คิดต้านทุจริต หลักสูตรดังกล่าวได้ผ่านกระบวนการนาไปทดลองใช้ เพ่ือปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพ สาหรับการใช้ในกลุ่มเป้าหมายต่อไป นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการจัดทาหลักสูตรหรือชุดการเรียนรู้และส่ือ ประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกันการทุจริตยังได้คัดเลือกส่ือการเรียนรู้ จากแหล่งต่างๆ ทั้งในประเทศและ ต่างประเทศ เพื่อประกอบการเรยี นการสอนต่อไป สานักงาน ป.ป.ช. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา : Anti-Corruption Education จะ สร้างความรู้ความเข้าใจและทักษะให้แก่ผู้เรียนหรือผู้ผ่านการอบรมในเรื่อง การคิดแยกแยะระหว่าง ผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม ความอายและความไม่ทนต่อการทุจริต STRONG : จิตพอเพียง ตา้ นทุจรติ และพลเมืองกับความรับผิดชอบต่อสังคม เพ่ือรว่ มกนั ปอ้ งกนั หรอื ต่อต้านการทุจริต มิให้มีการทุจริต เกิดขึ้นในสังคมไทย ร่วมสรา้ งสงั คมไทยทไี่ ม่ทนต่อการทจุ รติ ตอ่ ไป พลตารวจเอก (วชั รพล ประสารราชกจิ ) ประธานกรรมการ ป.ป.ช. 14 มีนาคม ๒๕๖๑

สารบญั หน้า โครงสร้างรายวชิ า 1 หนว่ ยท่ี 1 การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์ส่วนรวม 2 หน่วยท่ี 2 ความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ ริต 47 หน่วยที่ 3 STRONG / จิตพอเพยี งต่อต้านการทจุ ริต 90 หน่วยที่ 4 พลเมืองกับความรับผดิ ชอบต่อสงั คม 124 ภาคผนวก 147 คาสง่ั แตง่ ตง้ั คณะอนกุ รรมการจดั ทาหลักสตู รหรอื ชุดการเรียนรู้และ 148 ส่ือประกอบการเรยี นรู้ ด้านการป้องกันการทจุ รติ สานักงาน ป.ป.ช. รายชื่อคณะทางานจดั ทาหลกั สูตรหรือชดุ การเรียนรู้และสื่อประกอบการเรยี นรู้ 151 ด้านการป้องกนั การทจุ รติ กลุ่มการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน รายชอื่ คณะบรรณาธิการกจิ หลักสูตรหรอื ชดุ การเรยี นรแู้ ละสอื่ ประกอบการเรียนรู้ 154 ดา้ นการปอ้ งกันการทจุ ริต กลุ่มการศึกษาขนั้ พื้นฐาน รายช่ือคณะผปู้ ระสานงานการจัดทาหลักสูตรหรอื ชดุ การเรียนรแู้ ละสื่อประกอบการเรียนรู้ 156 ดา้ นการปอ้ งกนั การทุจรติ กลุ่มการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน สานกั งาน ป.ป.ช.

โครงสรา้ งรายวิชา ระดับประถมศกึ ษาชนั้ ปที ่ี 6 ลาดับ หน่วยการเรยี นรู้ เรื่อง รวมช่ัวโมง 1. การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ - การคิดแยกแยะ 14 สว่ นตนและผลประโยชน์ส่วนรวม - ระบบคดิ ฐาน 2 - ระบบคดิ ฐาน 10 - ความแตกต่างระหว่างจรยิ ธรรมและ การทุจรติ - ประโยชน์สว่ นตนและประโยชน์ ส่วนรวม - การขดั กันระหว่างประโยชน์สว่ นตน และผลประโยชนส์ ่วนรวม - ผลประโยชนท์ บั ซอ้ น - รูปแบบของผลประโยชน์ทับซ้อน 2. ความละอายและความไมท่ นต่อการ - การทาการบา้ น 10 ทจุ รติ - การทาเวร - การสอบ - การแต่งกาย - กจิ กรรมนักเรียน (ในห้องเรียน โรงเรียน ชุมชน สงั คม) - การเข้าแถว 3. STRONG / จิตพอเพยี งต่อตา้ นการ - การสร้างจติ สานกึ ควมพอเพยี ง 6 ทจุ ริต ต่อต้านการทุจริต - ความโปรง่ ใส - ความตน่ื รู้ / ความรู้ - ตา้ นทุจริต - มุ่งไปข้างหนา้ - ความเอื้ออาทร 4. พลเมอื งกับความรับผิดชอบต่อสงั คม - เรอ่ื งการเคารพสิทธิหน้าท่ีตอ่ ตนเอง 10 และผู้อืน่ ท่มี ีต่อประเทศชาติ - ระเบียบ กฎ กติกา กฎหมาย - ความรบั ผิดชอบ (ต่อประเทศชาติ) - ความเป็นพลเมือง รวม 40

-2- หนว่ ยที่ ๑ การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตน กับผลประโยชน์ส่วนรวม

-3- แผนการจดั การเรยี นรู้ หน่วยท่ี ๑ ช่ือหน่วย การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนกบั ผลประโยชน์สว่ นรวม ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๑ เรอื่ ง การคดิ แยกแยะ เวลา ๑ ชว่ั โมง ๑. ผลการเรียนรู้ ๑.๑ มีความรคู้ วามเขา้ ใจเกยี่ วกับการแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนกบั สว่ นรวม ๑.๒ สามารถคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและส่วนรวมได้ ๒. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ๒.๑ นกั เรยี นสามารถอธิบายความหมายของประโยชน์ส่วนตนได้ ๒.๒ นักเรยี นสามารถอธิบายความหมายของประโยชนส์ ่วนรวมได้ ๒.๓ นักเรียนสามารถคดิ แยกแยะผลประโยชนส์ ว่ นตนกับประโยชนส์ ่วนรวมได้ ๓. สาระการเรียนรู้ ๓.๑ ความรู้ ประโยชนส์ ว่ นตน หมายถึง การที่บุคคลท่ัวไปในสถานะเอกชนหรือเจ้าหน้าที่ ของรัฐไดัทากิจกรรม หรอื ไดก้ ระทาการตา่ งๆเพื่อประโยชนส์ ว่ นตน ครอบครัว ญาติ เพื่อน หรือ ของกลุ่มในสังคมท่ีมีความสัมพันธ์ กันในรูปแบบต่างๆ เช่น การประกอบอาชีพ การทาธุรกิจ การค้า การลงทุน เพ่ือหาประโยชน์ในทางการเงิน หรอื ในทางทรพั ย์สนิ ตา่ งๆ เปน็ ต้น ประโยชน์ส่วนรวม หมายถึง การท่ีบุคคลใดๆ ในสถานะท่ีเปนเจาหนาที่ของรัฐ (ผูดารงตาแหนง ทาง การเมือง ขาราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือเจาหนาท่ีของรัฐในหนวยงานของรัฐ) ไดกระทาการใดๆ ตาม หนาท่ี หรือไดปฏิบัติหนาท่ีอื่นเปนการดาเนินการ อีกส่วนหน่ึงท่ีแยกออกมาจากการดาเนินการตามหน้าท่ีใน สถานะของเอกชน การกระทาการใดๆ ตามหนาท่ีหรือการปฏิบัติหนาท่ีของเจาหนาที่ของรัฐจึงมีวัตถุประสงค หรือมีเปาหมายเพ่ือประโยชน์ของส่วนรวม หรือการรักษาประโยชนสวนรวมท่ีเป็นประโยชน์ของรัฐ การทา หน้าท่ีของเจาหนาที่ของรัฐจึงมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับอานาจหน้าท่ีตามกฎหมายและจะมีรูปแบบของ ความสัมพันธหรือมีการกระทาในลักษณะตางๆ กันท่ีเหมือนหรือคลายกับการกระทาของบุคคลในสถานะ เอกชน เพียงแตการกระทาในสถานะท่ีเปนเจาหนาที่ของรัฐกับการกระทาในสถานะเอกชน จะมีความแตกตาง กันทีว่ ัตถุประสงค์ ๓.๒ ทกั ษะ / กระบวนการ (สมรรถนะท่ีเกิด) ๑) ความสามารถในการเขียน ๒) ความสามารถในวเิ คราะห์แยกแยะ ๓.๓ คุณลกั ษณะที่พงึ ประสงค์ ๑) ใฝ่เรียนรู้ ๒) มุง่ มั่นในการทางาน ๔. กจิ กรรมในการเรยี นรู้ ๔.๑ ข้ันตอนการเรยี นรู้ ๑) ให้นกั เรียนดวู ดี ีทศั น์เรื่อง Animation Anti-Coruption by KPI ๒) ครถู ามนกั เรยี นถึงพฤติกรรมต่างๆที่อยใู่ นเกยี่ วกับวดี ที ัศนเ์ รื่อง Animation –Anti- Coruption by KPI ๓) ครอู ธิบายความหมายผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม

-4- ๔) นักเรยี นและครูร่วมกนั สนทนาเกยี่ วกบั พฤติกรรมใดเป็นผลประโยชนส์ ่วนตนกับ พฤติกรรมใดเปน็ ผลประโยชน์ส่วนรวม ๕) ครูให้นักเรียนแบ่งกลมุ่ เปน็ ๕ กลุม่ ๖) ใหน้ ักเรยี นสรปุ ความร้โู ดยการทาแผนผังความคดิ เร่ือง ผลประโยชนส์ ว่ นตน และ ผลประโยชน์สว่ นรวม ลงในกระดาษ 100 ปอนด์ ๗) ใหน้ กั เรียนสง่ ตัวแทนออกมานาเสนอหน้าห้องเรียนแลว้ นาผลงานไปจัดปา้ ยนิเทศ ๔.๒ สื่อการเรยี นรู้ / แหล่งเรียนรู้ ๑) กระดาษ 100 ปอนด์ ๒) กระดาษกาว ๓) สไี ม้ / สีเทียน ๔) วีดีทศั น์เรอื่ ง Animation Anti-Coruption by KPI ๕. การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ๕.๑ วิธกี ารประเมนิ ๑) สังเกตการตอบคาถาม ๒) ตรวจผลงาน ๓) สังเกตการทางานกล่มุ ๕.๒ เคร่ืองมอื ท่ใี ช้ในการประเมิน ๑) แบบสังเกตการตอบคาถาม ๒) แบบประเมินผลงาน ๓) แบบประเมนิ การทางานกลุม่ ๕.๓ เกณฑ์การตัดสนิ นักเรยี นผา่ นการประเมินระดับดี ขึน้ ไป ๖. บนั ทึกหลังการจัดการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่อื .......................................ครูผ้สู อน (.............................................)

-5- 7. ภาคผนวก คาช้ีแจง แบบสังเกตการตอบคาถาม ทาเคร่อื งหมาย  ลงในช่องระดับคะแนนพฤติกรรมท่นี ักเรียนปฏิบัติดงั น้ี ระดับ 3 หมายถึง แสดงพฤตกิ รรมใหเ้ หน็ มาก ระดับ 2 หมายถงึ แสดงพฤตกิ รรมให้เห็นปานกลาง ระดับ 1 หมายถึง แสดงพฤติกรรมให้เหน็ นอ้ ย พฤตกิ รรม/ สนใจและ ตอบคาถาม ตอบคาถาม การ ระดับคะแนน ตัง้ ใจฟงั ไดต้ รง อยา่ ง คาถาม ประเด็น รวม ประ สม่าเสมอ คะ 321 แนน ร้อย เมิน หมาย 321 เหตุ ลาดบั ละ ผล ท่ี ชอ่ื -สกุล 3 2 1 ผา่ น ไม่ ผา่ น 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. เกณฑก์ ารประเมิน คะแนน ๘ – 9 ระดับ ดีเยี่ยม คะแนน ๖ – ๗ ระดับ ดี คะแนน ๔ – ๕ ระดับ พอใช้ คะแนนต่ากวา่ ๔ ระดับ ปรับปรุง นักเรียนได้คะแนนระดับดีข้นึ ไปถือว่า ผา่ น

-6- แบบประเมนิ ผลงาน คาช้แี จง เร่อื ง ประโยชนส์ ว่ นตนกบั ประโยชน์ส่วนรวม ทาเครอ่ื งหมาย  ลงในช่องระดับคะแนนพฤติกรรมทีน่ ักเรียนปฏิบตั ดิ ังน้ี ระดับ 3 หมายถงึ ผลงานครบถ้วนตามเกณฑ์ ระดับ 2 หมายถึง ผลงานตามเกณฑ์ส่วนใหญ่ ระดบั 1 หมายถึง ผลงานครบตามเกณฑ์บางส่วน การ หัวขอ้ ประเมิน ความถกู ต้อง ความ ความคิด รวม ประ เรยี บร้อย สรา้ งสรรค์ คะ แนน ร้อย เมิน หมาย เหตุ ลาดบั ระดบั คะแนน ละ ผล ที่ ชอ่ื -สกลุ 3 2 1 3 2 1 3 2 1 ผ่าน ไม่ ผ่าน 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. เกณฑก์ ารประเมิน ดเี ย่ียม คะแนน ๘ – 9 ระดบั ดี คะแนน ๖ – ๗ ระดับ พอใช้ คะแนน ๔ – ๕ ระดับ ปรับปรงุ คะแนนต่ากวา่ ๔ ระดบั

-๗- แบบประเมินพฤตกิ รรมการทางานกล่มุ กลมุ่ .......................................................................................................... สมาชิกในกลุ่ม 1. 2....................................................................... ...................................................................... 3. 4....................................................................... ...................................................................... 5. 6....................................................................... ...................................................................... 7. 8....................................................................... ...................................................................... 9. 10....................................................................... ...................................................................... คาชแี้ จง: ใหน้ กั เรียนทาเครื่องหมาย  ลงในช่องที่ตรงกับความเปน็ จริง พฤติกรรมท่ีสังเกต คะแนน 32 1 1. มสี ่วนร่วมในการแสดงความคดิ เหน็ 2. มีความกระตอื รือรน้ ในการทางาน 3. มีความรบั ผดิ ชอบในงานทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย 4. มขี ัน้ ตอนในการทางานอย่างเปน็ ระบบ 5. ใชเ้ วลาในการทางานอยา่ งเหมาะสม รวม เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน พฤติกรรมท่ที าเปน็ ประจา ให้ 3 คะแนน พฤตกิ รรมท่ที าเปน็ บางคร้งั ให้ 2 คะแนน พฤตกิ รรมที่ทาน้อยคร้งั ให้ 1 คะแนน เกณฑก์ ารให้คะแนน คะแนน ๑๓ – ๑๕ ระดับ ดเี ยี่ยม คะแนน ๘ – ๑๒ ระดบั ดี คะแนน ๕ – ๗ ระดับ พอใช้ คะแนนต่ากว่า ๕ ระดับ ปรับปรงุ

-๘- แผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยที่ ๑ ชื่อหน่วย การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนกับผลประโยชน์สว่ นรวม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แผนการจัดการเรียนรูท้ ่ี ๒ เรือ่ ง ระบบคดิ ฐาน ๒ เวลา ๒ ชวั่ โมง ๑. ผลการเรียนรู้ ๑.๑ มคี วามรคู้ วามเข้าใจเกย่ี วกบั การแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนกบั ผลประโยชนส์ ว่ นรวม ๑.๒ สามารถคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์สว่ นรวมได้ ๒. จุดประสงค์การเรียนรู้ ๒.๑ นักเรียนสามารถแยกผลประโยชน์สว่ นตนออกจากผลประโยชน์ส่วนรวมได้ ๒.๒ นักเรียนสามารถตระหนักถึงผลประโยชนส์ าธารณะมาก่อนผลประโยชนส์ ว่ นตน ๓. สาระการเรียนรู้ ๓.๑ ความรู้ “การปฏิบัติงานแบบใชระบบคิดฐานสอง (Digital)” คือ การท่ีเจาหนาที่ของรัฐ มีระบบการคิดท่ี สามารถแยกเรื่องตาแหน่งหน้าท่ีกับเรื่องส่วนบุคคลออกจากกันได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิด ส่ิง ไหนทาไดสงิ่ ไหนทาไมไดสงิ่ ไหนคือประโยชนสวนบคุ คลสง่ิ ไหน คือประโยชนสวนรวม ไมนามาปะปนกัน ไม นาบุคลากรหรือทรพั ยสินของราชการมาใชเพือ่ ประโยชนสวนบุคคลไม่เบียดบงั ราชการ เห็นแก่ ประโยชน์ สวนรวมหรือของหน่วยงานเหนื่อกว่าประโยชน์ประโยชนของสวนบุคคล เครือญาติและพวก พอง ไม แสวงหาประโยชนจากตาแหนงหนาท่ีราชการ ไมรับทรัพยสินหรือประโยชนอื่นใดจากการปฏิบัติหนาที่ กรณีเกิดการขดั กนั ระหวา่ ง ประโยชนสวนบุคคลและประโยชนสวนรวม กจ็ ะยึดประโยชนสวนรวมเปนหลัก ๓.๒ ทกั ษะ / กระบวนการ (สมรรถนะทเ่ี กิด) ๑) ความสามารถในการส่อื สาร ๒) ความสามารถในวิเคราะห์แยกแยะ สรปุ ๓.๓ คณุ ลักษณะท่พี งึ ประสงค์ ๑) ใฝเ่ รียนรู้ ๒) มุง่ มนั่ ในการทางาน ๔. กจิ กรรมในการเรียนรู้ ๔.๑ ขัน้ ตอนการเรียนรู้ ชว่ั โมงท่ี ๑ ๑) ครูแบ่งนักเรียนเป็น ๖ กลุ่ม พร้อมแจกขอ้ ความเหตุการณ์ ๒) ครูอธบิ ายวา่ นักเรยี นแต่ละกลุ่มจะตอ้ งทาโครงเรือ่ ง 3 ฉาก ให้นักเรียน แต่ละกลุ่มคิดว่า จะเกิดอะไรตอ่ จากเหตกุ ารณ์ที่ กาหนดดังต่อไปน้ี กลุ่ม ๑ เหตุการณ์เกิดที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง นักเรียน ป. 6 กาลังด่ืมนมโรงเรียน มีนักเรียนคน หน่ึงมองดูท่ีกล่องนมแล้ว พูดว่า “นมหมดอายุแล้วน่ี” จะเกิดเหตุการณ์อะไรข้ึนต่อไป ให้นักเรียนใน กลุ่มช่วยกันคดิ กลุม่ ๒ เหตุการณเ์ กิดท่โี รงเรยี นแหง่ หน่ึง นักเรียน ป. 6 กลุ่มหน่ึงเดินผ่านห้อง น้อง ป. 5 ท่ี กาลังสอบกันอยู่และได้พบเห็นรุ่นน้องกาลังลอกข้อสอบ กันอยู่ จะเกิดเหตุการณ์อะไรข้ึนต่อไป ให้ นกั เรยี นในกลุ่มชว่ ยกันคดิ

-๙- กลุ่ม ๓ เหตุการณ์เกิดที่ส่ีแยกไฟแดงหน้าโรงเรียน ขณะท่ีนักเรียนกลุ่มหนึ่งกาลัง เดินข้าม ทางมา้ ลายเพ่อื ไปโรงเรียน ได้เหลือบไปเห็นรถคันหนึ่งฝ่าไฟแดง จนทาให้ตารวจเรียก นักเรียนกลุ่มน้ี จึงหยุดสังเกตและพบว่า คนที่ขับรถ ฝ่าไฟแดงกาลังย่ืนเงินให้แก่ตารวจ จะเกิดเหตุการณ์อะไรข้ึน ต่อไป ใหน้ ักเรียนในกลุม่ ชว่ ยกันคิด กลุ่ม ๔ เหตุการณ์เกิดที่ร้านสะดวกซ้ือแห่งหนึ่ง นักเรียนกลุ่มหนึ่งเข้าไปซ้ือของ ในร้าน เด็ก นักเรียนคนหนึ่งเห็นว่าไม่มีใครเข้ามาซ้ือของเลย จึงชวนเพื่อน แอบขโมยของในร้านแห่งน้ัน จะเกิด เหตุการณ์อะไรข้นึ ต่อไป ใหน้ กั เรียนในกลมุ่ ช่วยกนั คดิ กลุ่ม ๕ เหตุการณ์เกดิ ท่บี ้านนกั เรยี นคนหนึ่ง เมอ่ื นักเรยี นคนหนึ่งชวนเพอื่ น ๆ มาเท่ียวที่บ้าน ขณะที่กาลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน เหตการณ์ ที่ไม่คาดคิด ก็เกิดข้ึน นักเรียนคนหนึ่งทาแจกันใบละ หลายหม่ืนบาทแตก แต่กลับ ปฏิเสธว่าตนเองไม่ได้ทา แล้วกล่าวโทษเพื่อนอีกคน ท้ังที่เพ่ือนคนนั้น ไม่ไดเ้ ปน็ คนทา จะเกดิ เหตุการณอ์ ะไรขึ้นตอ่ ไป ให้นักเรียนในกลุ่มชว่ ยกันคดิ กลมุ่ ๖ เหตุการณ์เกิดท่ใี ต้สะพานลอยแห่งหนึ่ง นักเรียนกลุ่มหน่ึงกาลังรีบไป โรงเรียนเพราะ สายมากแลว้ ขณะน้นั นกั เรียนกลมุ่ น้กี าลังตัดสินใจว่าจะ เดินข้ึนสะพานลอยหรือวิ่งข้ามถนนโดยไม่ใช้ สะพานลอย และกระโดดข้าม แนวก้ันตรงเกาะกลางถนนเพื่อความรวดเร็ว จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ตอ่ ไป ใหน้ กั เรียนในกลุ่มช่วยกันคิด ๓.) ให้นักเรยี นสรา้ งเคา้ โครงเรอ่ื ง 3 ฉาก โดยมเี น้ือสาระ ดังนี้ ก. เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบา้ ง ข. สาเหตุของเหตกุ ารณ์ดงั กล่าว ค. ผลของเหตกุ ารณม์ ีอะไรบา้ ง ๔.) ให้แต่ละกลุ่มช่วยกันคิดว่า ถ้าจะแก้ไขไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ควรทา อย่างไร แล้ว เขียน โดยนาเสนอเป็นฉากบทบาทสมมติท่มี ีบทสนทนาไมเ่ กิน 3 ประโยค แลว้ นาเสนอหน้าชน้ั เรียน ๕.) ครูสรุปว่า การทุจริตคอร์รัปชันต่างๆ เช่น การซ้ือ นมหมดอายุให้นักเรียนกิน การลอก ข้อสอบ การให้เงินแก่เจ้าหน้าท่ี เป็นต้น เป็นการกระทาท่ีไม่ถูกต้อง และส่งผลต่อนักเรียนและคนอ่ืน ๆ อีกมากมาย ถ้าสังคมใดทม่ี กี ารทุจรติ คอร์รปั ชนั กันมาก จะทาให้คนในสงั คมเดือดร้อนและไม่สงบสุข สังคมน้ันจะเป็น อย่างไร จะมีแต่เด็กป่วยจากนมหมดอายุ เด็กได้ คะแนนดีแต่ลอกคนอ่ืนมา และ ความซื่อสัตย์ต่อการกระทาของตนเองดังกรณีเด็กที่ทาแจกันแตกก็ต้องยอมรับผิด และการข้ามถนน โดยไมใ่ ช้สะพานลอยทเ่ี กิดจากความมักง่าย ขาดระเบียบวนิ ัยที่ดีซ่ึงส่ิงเหล่าน้ีจะติดตัวนักเรียนไปเรื่อย ๆ เม่ือเติบโตเป็น ผู้ใหญ่เด็กเหล่าน้ีก็จะทาสิ่งท่ีไม่ดีอีก แต่ถ้าคนปฏิบัติตนอย่างถูกต้องและ ต่อต้าน การทุจริต ร่วมกันดูแลสังคมให้ปลอดจากการโกง สังคมก็จะมีแต่ ความสงบสุข ไม่มีการเอาเปรียบ และเบยี ดเบยี นซงึ่ กนั และกนั ๖) ครใู หน้ กั เรยี นหาขา่ วหรือเหตุการณเ์ ก่ยี วกบั การทุจรติ คอร์รัปชัน่ หรือการโกงคนละ ๑ ข่าว เพื่อทา กจิ กรรมในคร้ังต่อไป ชว่ั โมงท่ี ๒ 1) ครูให้นักเรียนดูโฆษณาเร่ือง ยักษ์กินเมือง เพ่ือสื่อให้นักเรียนเห็นถึงพลังท่ี สาคัญของ นักเรียนรุ่นใหม่ท่ีต้อต่านการทุจริตคอร์รัปชัน ครูอาจจะถาม นักเรียนว่า ยักษ์เปรียบได้กับอะไรบ้าง หรืออธิบายว่า ยักษ์เปรียบเสมือน เชื้อโรคร้ายแรงท่ีนักเรียนทุกคนต้องต่อสู้ด้วยการสร้างภูมิคุ้มกัน ใหแ้ ก่ตนเอง และสังคมเพื่อสร้างสังคมท่ีนา่ อยดู่ ว้ ยพลงั ของนักเรียนทุกคน 2) หลงั จากดโู ฆษณาเรื่อง ยักษ์กนิ เมือง ครูเลือกนกั เรียนบางคนเพ่ือเล่าข่าวทีน่ ามาให้เพ่ือนฟัง

- ๑๐ - 3) แบง่ นักเรียนเป็น ๕ กลุม่ หรือใชก้ ลุ่มเดมิ 4) นักเรียนแต่ละกลุ่มนาข่าวของตนเองติดลงบนกระดาษขนาดใหญ่ของกลุ่ม พร้อมตอบ คาถามตอ่ ไปน้ี ก. นักเรยี นแตล่ ะคนนาขา่ วอะไรบา้ งมาแลกเปลย่ี นกับเพื่อนในกล่มุ ข. ข่าวทีน่ กั เรียนแต่ละคนนามาสง่ ผลกระทบต่อใครบ้าง ค. นักเรยี นรู้สกึ อยา่ งไรตอ่ ข่าวท่นี ามา ง. วาดภาพชมุ ชนที่ต่อตา้ นการโกง พร้อมใหเ้ หตผุ ลวา่ ต่อตา้ นการโกง อยา่ งไรบ้าง 5) ให้นกั เรียนแต่ละกลมุ่ นาเสนอผลงาน 6) นักเรียนแต่ละกลุ่มแลกเปลี่ยนความคิดต่อว่า ถ้าจะเปลี่ยนแปลงจากคนที่โกง เป็นคนดี ควรปฏิบัติอย่างไรบ้างหรือสร้างจิตสานึกอย่างไร และถ้าปฏิบัติได้จริงจะเกิดผลอย่างไรต่อ สังคมบา้ ง 7) ครูอธิบายวาจะมีการรณรงคใหนักเรียนในโรงเรียน “เปล่ียนความคิด ชีวิต เปล่ียน” Change คือ การสรางคนดีท่ีไมโกง และรังเกียจการโกงไดอยางไรโดยคิด 1 แนวคิดตอ 1 กลมุ ทจ่ี ะใชรณรงคในโรงเรียน เชน หยุดการโกงเพื่อสังคมนาอยู หรือ ประเทศชาติเสียหายมากแลว เพราะ “การโกง” หรอื อยาเอาเปรียบกนั เลย โกงกันทาไม เปนตน 8) เมื่อนักเรียนแต ละกลุ มคิดเสร็จเรียบร อย ให แต ละกลุ มนาเสนอผลงาน 9) หลังจากน้นั ครใู หนักเรียนแตละกลุมวางแผนในการผลิตจัดทาโปสเตอรและแนวทางการ รณรงคในโรงเรยี น ลงในขนาดกระดาษ 100 ปอนด หรือตามทเี่ หมาะสม ส่ือการเรียนการสอน 1. ตวั อยางโครงเรอ่ื ง 3 ฉาก 2. วีดทิ ัศนโฆษณาเร่ือง ยกั ษกินเมอื ง https://www.youtube.com/watch?v=YrZZqR_xVPA ๓. กระดาษ ๑๐๐ ปอนด์ ๕. การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ๕.๑ วิธีการประเมิน ๑) สงั เกตจาการตอบคาถาม ๒) ตรวจผลงาน ๕.๒ เครื่องมอื ทีใ่ ชใ้ นการประเมิน ๑) แบบสังเกตการตอบคาถาม ๒) แบบประเมินผลงาน ๕.๓ เกณฑ์การตัดสนิ นกั เรียนผ่านการประเมินระดับดีข้นึ ไป ๖. บนั ทึกหลังการจัดการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ.......................................ครผู ้สู อน (.........................................)

7. ภาคผนวก - ๑๑ - ๓ ๒ ตวั อยา่ งฉากละคร ๓ ฉาก ๓ ฉาก ๑

- ๑๒ - แบบประเมินพฤตกิ รรมการทางานกลมุ่ กลมุ่ .......................................................................................................... สมาชกิ ในกลุ่ม 1. 2....................................................................... ...................................................................... 3. 4....................................................................... ...................................................................... 5. 6....................................................................... ...................................................................... 7. 8....................................................................... ...................................................................... 9. 10....................................................................... ...................................................................... คาชีแ้ จง: ให้นักเรยี นทาเคร่อื งหมาย  ลงในชอ่ งทต่ี รงกับความเปน็ จริง พฤติกรรมท่ีสังเกต คะแนน 32 1 1. มีสว่ นร่วมในการแสดงความคิดเหน็ 2. มคี วามกระตือรือรน้ ในการทางาน 3. มีความรบั ผดิ ชอบในงานทไ่ี ด้รบั มอบหมาย 4. มีข้ันตอนในการทางานอยา่ งเปน็ ระบบ 5. ใช้เวลาในการทางานอย่างเหมาะสม รวม เกณฑ์การให้คะแนน พฤติกรรมทที่ าเปน็ ประจา ให้ 3 คะแนน พฤตกิ รรมทีท่ าเป็นบางครั้ง ให้ 2 คะแนน พฤตกิ รรมทีท่ าน้อยครัง้ ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การให้คะแนน คะแนน ๑๓ – ๑๕ ระดบั ดีเยยี่ ม คะแนน ๘ – ๑๒ ระดบั ดี คะแนน ๕ – ๗ ระดบั พอใช้ คะแนนต่ากวา่ ๕ ระดบั ปรบั ปรุง

- ๑๓ - แบบประเมินผลงาน คาชแี้ จง เรอื่ ง ประโยชน์ส่วนตนกบั ประโยชน์สว่ นรวม ทาเคร่ืองหมาย  ลงในชอ่ งระดบั คะแนนพฤติกรรมทนี่ ักเรยี นปฏิบตั ดิ ังนี้ ระดับ 3 หมายถงึ ผลงานครบถว้ นตามเกณฑ์ ระดบั 2 หมายถึง ผลงานตามเกณฑส์ ว่ นใหญ่ ระดับ 1 หมายถงึ ผลงานครบตามเกณฑ์บางสว่ น การ หวั ขอ้ ประเมิน ความถกู ตอ้ ง ความ ความคดิ รวม ประ เรยี บรอ้ ย สร้างสรรค์ คะ แนน รอ้ ย เมิน หมาย เหตุ ลาดบั ระดับคะแนน ละ ผล ที่ ชื่อ-สกุล 3 2 1 3 2 1 3 2 1 ผ่าน ไม่ ผา่ น 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. เกณฑก์ ารประเมิน ดเี ยยี่ ม คะแนน ๘ – 9 ระดบั ดี คะแนน ๖ – ๗ ระดับ พอใช้ คะแนน ๔ – ๕ ระดับ ปรบั ปรงุ คะแนนต่ากว่า ๔ ระดบั

- ๑๔ - แผนการจดั การเรยี นรู้ หน่วยท่ี ๑ ช่อื หน่วย การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนกบั ผลประโยชน์สว่ นรวม ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 6 แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๓ เรื่อง ระบบคิดฐาน ๑๐ เวลา ๒ ชัว่ โมง ๒. ผลการเรียนรู้ ๑.๑ มคี วามรูค้ วามเข้าใจเกีย่ วกบั การแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม ๑.๒ สามารถคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวมได้ ๓. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ๒.๑ นักเรยี นสามารถแยกผลประโยชน์ส่วนตนออกจากผลประโยชน์ส่วนรวมได้ ๒.๒ นักเรียนสามารถตะหนักถงึ ผลประโยชนส์ าธารณะมาก่อนผลประโยชน์ส่วนตน ๔. สาระการเรยี นรู้ ๓.๑ ความรู้ การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐยังมีระบบการคิดที่นาประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวมมาปะปนกันไป หมด แยกแยะไม่ออกว่าสิ่งไหนคือประโยชน์ส่วนตน ส่ิงไหนคือประโยชน์ส่วนรวม นาส่ิงของราชการมาใช้ เพ่ือประโยชน์ส่วนตน เบียดบังราชการ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเหนือกว่าประโยชน์ส่วนรวมหรือของ หน่วยงาน จะคอยแสวงหาประโยชน์จากตาแหน่งหน้าท่ีราชการเพื่อตนเอง เครือญาติ หรือพวกพ้อง กรณี เกิดการขัดกันระหวา่ งประโยชน์ส่วนตนและประโยชนส์ ว่ นรวมจะยดึ ประโยชน์สว่ นตนเปน็ หลัก ๓.๒ ทักษะ / กระบวนการ (สมรรถนะทเี่ กดิ ) ๑) ความสามารถในการเขยี น ๒) ความสามารถในวิเคราะห์แยกแยะ สรปุ ๓.๓ คณุ ลกั ษณะที่พึงประสงค์ ๑) ใฝ่เรียนรู้ ๒) ม่งุ มั่นในการทางาน ๔. กจิ กรรมในการเรียนรู้ ๔.๑ ขนั้ ตอนการเรียนรู้ ชว่ั โมงท่ี ๑ (ครใู ห้นกั เรียนหาขา่ วหรือเหตกุ ารณ์เก่ียวกับการทุจติ คอร์รปั ชนั่ หรือกลโกง มาคนละ 1 ขา่ ว โดยใหค้ รูสง่ั ล่วงหนา้ ๑ สปั ดาห)์ 1) ครใู ห้นักเรียนดสู ื่อ ปปช. หนว่ ยที่ ๓ เร่ือง ปัญหาการทุจริตคอร์รปั ชน่ั 2) ครแู ละนักเรียนสนทนาเก่ียวกับ ปัญหาการทจุ ริตคอร์รัปชน่ั 3) ครูใหน้ กั เรียนนาขา่ วทีเ่ ตรียมมาทาลงในใบงาน และวเิ คราะห์ขา่ วตามประเด็นท่ี กาหนดให้ 4) ครูเลือกนักเรยี นออกมานาเสนอข่าวหน้าชนั้ เรยี นเพ่ือเป็นการแลกเปลี่ยนรู้กับเพอื่ นๆใน ชน้ั เรียน ช่ัวโมงท่ี ๒ 1) ครูแบง่ กลุ่มนักเรยี น ตอบคาถาม ข้อท่ี ๑-๔ ลงในกระดาษบรฟู ๑.นักเรยี นคดิ ว่า เพราะเหตใุ ดคนจงึ คิดทจุ ริต ถ้าเป็นนักเรียนจะคิดเช่นนนั้ หรอื ไม่เพราะ เหตุใด

- ๑๕ - ๒.ใหน้ กั เรียนเสนอแนวทางในการป้องกันการทุจรติ ๓.การทุจติ จะส่งผลต่อชาติ บ้านเมอื งอยา่ งไร ๔.ในฐานะของนักเรียนควรปฎบิ ัตติ นอย่างไรจึงจะมสี ว่ นร่วมในการดารงไวซ้ ึง่ ชาติไทย 2) ให้นักเรยี นแต่ละกลมุ่ ออกแบบวาดรูปภาพการต่อตา้ นการทจุ ริต และเขยี นคาขวญั เพอื่ รณรงค์และปลกู จติ สานกึ การปอ้ งกนั การทุจริต 3) ส่งตวั แทนนาเสนอผลงานแลว้ นาไปจดั ปา้ นนิเทศ ๔.๒ ส่อื การเรยี นรู้ / แหล่งเรียนรู้ ๑) ใบงานเรอ่ื ง การวิเคราะห์ขา่ ว ๒) สอื่ ปปช. หนว่ ยที่ ๓ ทจุ รติ ถนน และจราจรเรียกเงิน ๓) กระดาษบรูฟ ๕. การประเมินผลการเรียนรู้ ๕.๑ วธิ ีการประเมิน ๑) สังเกตตอบคาถาม ๒) ตรวจผลงาน ๕.๒ เครอื่ งมอื ทใี่ ชใ้ นการประเมิน ๑) แบบสังเกตตอบคาถาม ๒) แบบประเมนิ ผลงาน ๕.๓ เกณฑก์ ารตัดสิน นักเรยี นผา่ นการประเมินร้อยละ ๘๐ ข้นึ ไป หรือระดับดขี นึ้ ไป ๖. บันทกึ หลังการจดั การเรยี นรู้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………….......................... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงช่ือ.......................................ครูผูส้ อน (.........................................)

- ๑๖ - 7. ภาคผนวก ใบงาน เรื่อง การวิเคราะหข์ า่ ว ชือ่ -สกลุ ......................................................................................ชัน้ ................ เลขท่.ี ................ ติด ตดิ ข่าว ชือ่ ข่าว.................................................................................................................................................. แหล่งที่มา............................................................................................................................................. ประเด็นวเิ คราะห์ ๑. ขา่ วท่นี ักเรียนนามาส่งผลกระทบตอ่ ใครบ้าง ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๒. นกั เรยี นรสู้ กึ อยา่ งไรต่อข่าวที่นามา ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

- ๑๗ - แบบประเมินพฤติกรรมการทางานกลมุ่ กลมุ่ .......................................................................................................... สมาชิกในกลุ่ม 1. 2....................................................................... ...................................................................... 3. 4....................................................................... ...................................................................... 5. 6....................................................................... ...................................................................... 7. 8....................................................................... ...................................................................... 9. 10....................................................................... ...................................................................... คาชีแ้ จง: ให้นักเรยี นทาเคร่อื งหมาย  ลงในชอ่ งทต่ี รงกับความเป็นจริง พฤติกรรมท่สี ังเกต คะแนน 32 1 1. มีสว่ นร่วมในการแสดงความคิดเหน็ 2. มีความกระตือรือรน้ ในการทางาน 3. มีความรบั ผดิ ชอบในงานที่ไดร้ บั มอบหมาย 4. มขี ้ันตอนในการทางานอย่างเป็นระบบ 5. ใช้เวลาในการทางานอย่างเหมาะสม รวม เกณฑก์ ารให้คะแนน พฤติกรรมทีท่ าเปน็ ประจา ให้ 3 คะแนน พฤตกิ รรมท่ที าเป็นบางครง้ั ให้ 2 คะแนน พฤตกิ รรมท่ีทาน้อยครัง้ ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การให้คะแนน คะแนน ๑๓ – ๑๕ ระดบั ดเี ย่ยี ม คะแนน ๘ – ๑๒ ระดบั ดี คะแนน ๕ – ๗ ระดับ พอใช้ คะแนนต่ากวา่ ๕ ระดับ ปรบั ปรุง

- ๑๘ - แผนการจดั การเรียนรู้ หนว่ ยที่ ๑ ช่อื หนว่ ย การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนกบั ผลประโยชนส์ ่วนรวม ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ ๖ แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี ๔ เร่อื ง ความแตกต่างระหว่างจริยธรรมและการทุจรติ เวลา ๒ ชว่ั โมง ๑. ผลการเรยี นรู้ ๑.๑ นักเรียนมีความรู้ ความเขา้ ใจเกี่ยวกับการแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตน กบั สว่ นรวม ๒. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ๒.๑ นกั เรยี นสามารถบอกความหมายของจรยิ ธรรมได้ ๒.๒ นกั เรยี นสามารถบอกความหมายของการทุจริตได้ ๒.๓ นักเรียนสามารถบอกความแตกตา่ งระหวา่ งจรยิ ธรรมและการทุจริตได้ ๓. สาระการเรยี นรู้ ๓.๑ ความรู้ ความแตกต่างระหว่างจรยิ ธรรมและการทุจริต จริยธรรม หมายถึงแนวทางซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ในการประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม และ เป็นลักษณะท่สี งั คมตอ้ งการเปน็ สง่ิ ที่เกดิ ประโยชนต์ ่อตนเองและสงั คมสว่ นรวม บุคคลท่ีมีจริยธรรมอยู่ ในตนเอง ย่อมเปน็ ทยี่ อมรับนบั ถือของคนในสังคมและสามารถดาเนินชวี ิตไดอ้ ย่างเป็นปกติสุข เป็นคน ทม่ี ีคุณภาพและเปน็ ทย่ี อมรับของสังคมส่วนรวม การทุจริต คือ การคดโกง ไม่ซื่อสัตย์สุจริต การกระทาท่ีผิดกฎหมาย เพ่ือให้เกิดความ ได้เปรียบในการแข่งขัน การใช้อานาจหน้าที่ในทางท่ีผิดเพ่ือแสวงหาประโยชน์หรือให้ได้รับส่ิงตอบ แทน การให้หรือการรับสินบน การกาหนดนโยบายที่เอื้อประโยชน์แก่ตนหรือพวกพ้องรวมถึงการ ทจุ ริตเชงิ นโยบาย ความแตกตา่ งระหว่างจรยิ ธรรมและการทุจริต คือ จริยธรรมเป็นแนวทางซ่ึงเป็นกฎเกณฑ์ใน การประพฤตปิ ฏิบัติในส่ิงที่ถูกต้องดีงาม ส่วนการทุจริต คือ การคดโกง ไม่ซ่ือสัตย์สุจริต การกระทาท่ี ผดิ กฎหมาย ๓.๒ สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น ๑) ความสามารถในการส่อื สาร ๒) ความสามารถในการคิด ๓) ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวิต ๓.๓ คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ ๑) ซ่อื สัตย์สจุ ริต ๔. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ๔.๑ ขน้ั ตอนการเรยี นรู้ ชวั่ โมงที่ ๑ 1) ครใู หน้ กั เรยี นชมวดี ที ัศน์ เรอ่ื ง “ของหลวง” 2) ครใู หน้ กั เรยี นแบง่ กลมุ่ ออกเป็น ๕ กลุ่ม แล้วให้นักเรียนต้ังคาถามจากการชมวีดีทัศน์ โดยครู กาหนดคาถามใหใ้ ชค้ าว่า “ทาไม” “เพราะเหตุใด” “ผลเป็นอยา่ งไร” เช่น เพราะเหตุใดโดม จงึ พังลง เป็นต้น

- ๑๙ - 3) ครใู ห้นกั เรยี นศึกษาใบความรู้ เรื่อง “การทุจรติ ” จากนน้ั ครูอธบิ ายความหมายของการทจุ รติ ช่วั โมงท่ี ๒ 1) ครูให้นักเรียนยกตัวอย่างของเหตุการณ์หรือการกระทาท่ีแสดงถึงการทุจริตต่าง ๆ ใน สงั คมไทย 2) ครใู ห้นกั เรียนศึกษาใบความรู้ เร่อื ง จรยิ ธรรม จากนน้ั ครอู ธบิ ายความหมายของจริยธรรม 3) ครูให้นักเรียนยกตัวอย่างของเหตุการณ์หรือการกระทาท่ีแสดงถึงจริยธรรมต่าง ๆ ใน สงั คมไทย เช่น ขา้ ราชการไมร่ บั ของขวญั จากผ้มู าตดิ ต่อราชการ 4) ครใู ห้นักเรยี นเขยี นแยกการกระทาท่ีแสดงให้เห็นถึงการมีจริยธรรมและการกระทาท่ีแสดงให้ เห็นถึงการทุจริต ลงในใบงาน เรื่อง ความแตกตา่ งระหวา่ งจรยิ ธรรมและการทจุ ริต 5) ครแู ละนักเรยี นรว่ มกนั สรปุ ความแตกต่างระหวา่ งจริยธรรมและการทุจริต ดังน้ี จริยธรรม หมายถึงแนวทางซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ในการประพฤติปฏิบัติในสิ่งท่ีถูกต้องดีงาม และ เปน็ ลกั ษณะทีส่ ังคมต้องการเปน็ สงิ่ ทเี่ กิดประโยชนต์ ่อตนเองและสังคมสว่ นรวม บุคคลที่มีจริยธรรมอยู่ ในตนเอง ย่อมเปน็ ท่ยี อมรับนับถอื ของคนในสังคมและสามารถดาเนนิ ชีวติ ไดอ้ ยา่ งเป็นปกติสุข เป็นคน ทีม่ ีคุณภาพและเปน็ ที่ยอมรับของสังคมส่วนรวม การทุจริต คือ การคดโกง ไม่ซ่ือสัตย์สุจริต การกระทาท่ีผิดกฎหมาย เพ่ือให้เกิดความ ได้เปรียบในการแข่งขัน การใช้อานาจหน้าที่ในทางท่ีผิดเพื่อแสวงหาประโยชน์หรือให้ได้รับส่ิงตอบ แทน การให้หรือการรับสินบน การกาหนดนโยบายท่ีเอื้อประโยชน์แก่ตนหรือพวกพ้องรวมถึงการ ทุจรติ เชิงนโยบาย ความแตกต่างระหว่างจรยิ ธรรมและการทุจริต คือ จริยธรรมเป็นแนวทางซ่ึงเป็นกฎเกณฑ์ใน การประพฤตปิ ฏิบัติในสิ่งท่ีถูกต้องดีงาม ส่วนการทุจริต คือ การคดโกง ไม่ซ่ือสัตย์สุจริต การกระทาท่ี ผิดกฎหมาย ๔.๒ สื่อการเรียนรู้ ๑) วดี ที ัศน์ เรื่อง ของหลวง ๒) ใบความรู้ เรือ่ ง การทุจริต ๓) ใบความรู้ เรอ่ื ง จริยธรรม ๔) ใบงาน เรือ่ ง ความแตกตา่ งระหวา่ งจรยิ ธรรมและการทจุ ริต ๕. การประเมินผลการเรยี นรู้ ๕.๑ วิธกี ารประเมิน 1) ตรวจผลงานการทาใบงาน เร่ือง ความแตกต่างระหว่างจริยธรรมและการทุจรติ 2) สังเกตพฤตกิ รรมซือ่ สตั ย์สุจริต 5.2 เคร่อื งมอื ทใี่ ช้ในการประเมนิ 1) แบบให้คะแนนการตรวจผลงานใบงาน เรอ่ื ง ความแตกต่างระหว่างจรยิ ธรรมและการทจุ ริต 2) แบบสงั เกตพฤติกรรมซือ่ สัตย์สจุ รติ ๕.๓ เกณฑ์การตัดสนิ นกั เรียนผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ ร้อยละ ๘๐ ขึน้ ไป

- ๒๐ - ๖. บันทึกหลังการจดั การเรียนรู้ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชอื่ ................................................ ครูผูส้ อน (...........................................................)

- ๒๑ - 7. ภาคผนวก ใบความรู้ เรื่อง การทุจริต ปญั หาการทจุ ริต เป็นปญั หาที่สาคัญทัง้ ของประเทศไทยและประเทศอ่ืนๆ ท่ัวโลก ปัญหาการทุจริตจะ ทาให้เกิดความเสื่อมในด้านต่างๆ เกิดข้ึน ท้ังสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และนับวันปัญหาดังกล่าวก็จะรุนแรง มากขึ้น และมีรูปแบบการทุจริตท่ีซับซ้อน ยากแก่การตรวจสอบมากข้ึน จากเดิมที่กระทาเพียงสองฝ่าย ปัจจุบัน การทจุ รติ จะกระทากันหลายฝา่ ย ทั้งผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง เจ้าหน้าท่ีของรัฐ และเอกชน โดยประกอบด้วย สองสว่ นใหญๆ่ คือ ผู้ให้ผลประโยชน์กับผู้รับผลประโยชน์ ซึ่งทั้งสองฝ่ายน้ีจะมีผลประโยชน์ร่วมกัน ตราบใดที่ ผลประโยชน์สมเหตุสมผลต่อกัน ก็จะนาไปสู่ปัญหาการทุจริตได้ บางครั้งผู้ที่รับผลประโยชน์ก็เป็นผู้ให้ประโยชน์ ไดเ้ ชน่ กัน โดยผู้รบั ผลประโยชนแ์ ละผใู้ หผ้ ลประโยชน์ คอื ๑. ผู้รับผลประโยชน์ จะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งมีอานาจ หน้าที่ในการกระทา การดาเนินการต่างๆ และรับประโยชน์จะเป็นไปในรูปแบบต่างๆ เช่น การจัดซื้อจัดจ้าง การเรียกรับประโยชน์โดยตรง การกาหนด ระเบียบหรอื คุณสมบตั ิทีเ่ ออ้ื ตอ่ ตนเองและพวกพอ้ ง ๒. ผใู้ หผ้ ลประโยชน์ เชน่ ภาคเอกชน โดยการเสนอผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ เช่น เงิน สิทธิพิเศษ อื่นๆ เพื่อจูงใจให้นักการเมือง เจ้าหน้าท่ีของรัฐ กระทาการหรือไม่กระทาการอย่างใดอย่างหน่ึงในตาแหน่ง หน้าที่ ซ่ึงการกระทาดังกลา่ วเป็นการกระทาทฝี่ ่าฝืนต่อระเบยี บหรอื ผิดกฎหมาย เป็นต้น ทจุ ริต คอื อะไร คาวา่ ทุจริต มกี ารใหค้ วามหมายไดม้ ากมาย หลากหลาย ขึน้ อยู่กบั ว่าจะมกี ารให้ความหมายดังกล่าวไว้ ว่าอย่างไร โดยที่คาว่าทุจริตน้ัน จะมีการให้ความหมายโดยหน่วยงานของรัฐ หรือการให้ความหมายโดยกฎหมาย ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการให้ความหมายจากแหล่งใด เนื้อหาสาคัญของคาว่าทุจริตก็ยังคงมีความหมายท่ีสอดคล้องกันอยู่ นน่ั คอื การทจุ รติ เปน็ สง่ิ ท่ีไม่ดี มีการแสวหาหรือเอาผลประโยชน์ของสว่ นรวม มาเปน็ ของส่วนตัว ทง้ั ๆ ท่ีตนเอง ไมไ่ ดม้ สี ิทธใิ นสิ่งๆ นนั้ การยดึ ถือ เอามาดงั กล่าวจงึ ถือเป็นสงิ่ ที่ผดิ ทง้ั ในแง่ของกฎหมายและศีลธรรม ดังน้ัน การทจุ รติ คอื การคดโกง ไม่ซื่อสัตย์สุจริต การกระทาที่ผิดกฎหมาย เพ่ือให้เกิดความได้เปรียบ ในการแข่งขัน การใช้อานาจหน้าที่ในทางที่ผิดเพ่ือแสวงหาประโยชน์หรือให้ได้รับสิ่งตอบแทน การให้หรือการ รบั สินบน การกาหนดนโยบายท่ีเอ้อื ประโยชน์แกต่ นหรือพวกพอ้ งรวมถงึ การทจุ ริตเชงิ นโยบาย

- ๒๒ - ใบความรู้ เร่ือง จรยิ ธรรม ความดีงามทางสงั คม ถือเป็นกฎเกณฑแ์ ห่งความประพฤติ หรือหลักความจริงที่เป็นแนวทางแห่งความ ประพฤตปิ ฏิบัตใิ หม้ นุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเป็นสุข การศึกษาเร่ืองจริยธรรม จึงเป็นหน่ึงในวิชาปรัชญาท่ี ศึกษาเก่ยี วกับความดงี ามทางสงั คมมนุษย์ ความหมายของ จรยิ ธรรม จริยธรรม หมายถึง ส่ิงท่ีทาได้ในทางวินัยจนเกิดความเคยชินมีพลังใจ มีความตั้งใจแน่วแน่จึงต้อง อาศยั ปัญญา และปญั ญาอาจเกิดจากความศรัทธาเช่ือถือผู้อ่ืน ในทางพุทธศาสนาสอนว่า จริยธรรมคือการนา ความรู้ ความจริงหรือกฎธรรมชาตมิ าใชใ้ ห้เปน็ ประโยชนต์ ่อการดาเนนิ ชวี ติ ทด่ี งี าม (พระราชวรมนุ ี) พจนานกุ รมไทยฉบบั ราชบณั ฑติ สถาน (๒๕๔๖ ) ใหค้ วามหมายของจริยธรรมไว้ว่า หมายถึง ธรรมที่ เป็นข้อประพฤตปิ ฏิบตั ิ โคลเบิรก์ (Kohlberg ๑๙๗๒ : ๒๑๒) กล่าวถึงจริยธรรมว่า จริยธรรมเป็นความรู้สึกผิดชอบช่ัวดี เป็น กฎเกณฑ์และมาตรฐานของการประพฤติปฏิบัติในสังคมซึ่งบุคคลพัฒนาข้ึนจนกระทั่งมีพฤติกรรมเป็นของ ตนเอง โดยสังคมจะเปน็ ตัวตัดสินผลของการกระทา นน้ั วา่ เป็นการกระทา ทถี่ ูกหรือผดิ จากความหมายที่กล่าวมา สรุปได้ว่า จริยธรรม หมายถึงแนวทางซ่ึงเป็นกฎเกณฑ์ในการประพฤติ ปฏิบตั ิในสง่ิ ทถ่ี กู ต้องดงี าม และเป็นลักษณะที่สังคมตอ้ งการเปน็ สง่ิ ท่ีเกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคมส่วนรวม บุคคลท่ีมีจริยธรรมอยู่ในตนเอง ย่อมเป็นท่ียอมรับนับถือของคนในสังคมและสามารถดาเนินชีวิตได้อย่างเป็น ปกติสขุ เป็นคนที่มคี ุณภาพและเป็นทยี่ อมรับของสงั คมสว่ นรวม

- ๒๓ - ใบงาน เรอ่ื ง ความแตกต่างระหวา่ งจรยิ ธรรมและการทจุ ริต ช่ือ.............................................................................................................ช้นั ..........................เลขท่ี.................. คาชีแ้ จง ใหน้ ักเรยี นเขียนการกระทาท่ีแสดงใหเ้ หน็ ถึงจรยิ ธรรมและการระทาท่ีแสดงให้เห็นถงึ การทจุ รติ ลง ในแผนผังท่ีกาหนดให้ การ การทุจรติ กระทา ____________________________________ ____________________________________ ____________________________________ ____________________________________ ____________________________________ ____________________________________ จริยธรรม ____________________________________ ____________________________________ ____________________________________ ____________________________________ ____________________________________ ____________________________________

- ๒๔ - แบบสงั เกตพฤติกรรม เรอ่ื ง ซอ่ื สตั ย์ สจุ ริต คาช้แี จง การบันทกึ ใหท้ าเคร่ืองหมาย  ลงในชอ่ งทีต่ รงกบั พฤติกรรมท่เี กิดขนึ้ จริง รายการ รู้จกั แยกแยะ พดู ประโยชน์ สรุปผล เลขที่ ช่ือ - สกลุ ความ ไมล่ ัก ตรงไป ทาตวั ส่วนตน การประเมิน จรงิ ขโมย ตรงมา น่าเชอ่ื ถือ กบั ประโยชน์ สว่ นรวม ผ่าน ไม่ผา่ น เกณฑ์การประเมิน ผ้ปู ระเมนิ ผ่านต้ังแต่ ๓ รายการ ถอื ว่า ผา่ น ผ่าน ๒ รายการ ถือวา่ ไม่ผา่ น ) /// ลงชื่อ (

- ๒๕ - แผนการจัดการเรยี นรู้ หน่วยท่ี 1 ช่อื หน่วย การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตนกับผลประโยชนส์ ่วนรวม ชั้นประถมศึกษาปที ี่ ๖ แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ ๕ เรื่อง ประโยชนส์ ่วนตนกับประโยชนส์ ว่ นรวม เวลา ๒ ช่ัวโมง ๑. ผลการเรียนรู้ ๑.1 นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตน กับผลประโยชน์ ส่วนรวม ๒. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 2.1 นกั เรยี นสามารถบอกความหมายของผลประโยชน์สว่ นตนกบั ผลประโยชน์สว่ นรวมได้ 2.2 นกั เรียนสามารถบอกการกระทาที่เป็นผลประโยชน์ส่วนตนกับการกระทาท่ีเป็นผลประโยชน์ส่วนรวม ได้ ๓. สาระการเรยี นรู้ 3.1 ความรู้ ความหมายของประโยชน์สว่ นตนกบั ประโยชน์ส่วนรวม ประโยชนส์ ่วนตน หมายถึง การที่บคุ คลทั่วไปในสถานะเอกชนหรอื เจา้ หน้าทข่ี องรัฐได้ทากิจกรรมหรือ ไดก้ ระทาการต่างๆ เพื่อประโยชนส์ ว่ นตน ครอบครัว ญาติ เพอ่ื นหรือของกลมุ่ ในสงั คม ประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์สาธารณะ หมายถึง การท่ีบุคคลใด ๆ ในสถานะที่เป็นเจ้าหน้าท่ีของ รัฐ ได้กระทาการใด ๆ ตามหน้าที่หรือได้ปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นการดาเนินการในอีกส่วนหนึ่ง ที่แยกออกมา จากการดาเนินการตามหน้าท่ใี นสถานะของเอกชน 3.2 สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน 1) ความสามารถในการสื่อสาร 2) ความสามารถในการคิด 3.3 คุณลกั ษณะทพี่ งึ ประสงค์ 1) ซอ่ื สตั ย์สจุ ริต ๔. กจิ กรรมการเรียนรู้ 4.1 ข้ันตอนการเรียนรู้ ชว่ั โมงที่ ๑ ๑) ครูให้นักเรียนดูภาพเกี่ยวกับสาธารณะสมบัติ เช่น สวนสาธารณะ รถไฟสาธารณะ ห้องสมดุ เป็นต้น ๒) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สนทนาเกี่ยวกับภาพ ดังน้ี - ภาพนเี้ กย่ี วกบั อะไร - ภาพน้ีมกี จิ กรรมอะไรบา้ ง - สิ่งของในภาพนี้อะไรทีเ่ ปน็ ของสว่ นตวั - ส่งิ ของในภาพนอ้ี ะไรทเี่ ป็นของส่วนรวม ๓) ครูสรปุ ความหมายของคาวา่ “ผลประโยชน์ส่วนตน” กับ “ผลประโยชนส์ ว่ นรวม” ๔) ครูซกั ถามนกั เรียนเกยี่ วกบั ส่ิงของส่วนรวม ดงั น้ี - สง่ิ ของท่เี ป็นของส่วนรวมมีประโยชน์อยา่ งไร

- ๒๖ - - ใครเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากส่ิงของส่วนรวมนนั้ - ใครเปน็ ผดู้ ูแลรักษาส่ิงของส่วนรวม - มวี ิธีการดูแลรกั ษาสิ่งของส่วนรวมอยา่ งไร ครูซกั ถามนักเรยี นเก่ียวกบั สิ่งของสว่ นตน ดงั น้ี - สง่ิ ของทีเ่ ปน็ ของสว่ นตนมีประโยชน์อยา่ งไร - ใครเปน็ ผู้ไดร้ ับประโยชนจ์ ากสิง่ ของสว่ นตนน้นั - ใครเปน็ ผดู้ แู ลรกั ษาสิ่งของสว่ นตน - มีวธิ ีการดแู ลรกั ษาส่งิ ของส่วนตนอยา่ งไร ชัว่ โมงท่ี ๒ 1) ครูใหน้ กั เรียนทาใบงาน เรอ่ื ง ผลประโยชนส์ ว่ นตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม 2) ให้นักเรยี นนาเสนอผลงานหน้าชน้ั เรียน 3) นักเรยี นนาผลงานไปติดท่ีป้ายประชาสัมพนั ธ์ของโรงเรียน 4.2 สื่อการเรยี นรู้ 1) รูปภาพเก่ียวกับสาธารณะสมบัติ เช่น สวนสาธารณะ เปน็ ต้น ๒) ใบงาน เรือ่ ง ผลประโยชน์สว่ นตนกับผลประโยชนส์ ่วนรวม ๕. การประเมินผลการเรียนรู้ 5.1 วิธกี ารประเมิน 1) ตรวจผลงานการทาใบงาน เร่อื ง ผลประโยชนส์ ว่ นตนกับผลประโยชนส์ ว่ นรวม 2) สังเกตพฤตกิ รรม ซอื่ สตั ย์ สจุ รติ 5.2 เคร่อื งมือท่ีใชใ้ นการประเมิน 1) แบบให้คะแนนการตรวจผลงานใบงาน 2) แบบสังเกตพฤติกรรม ซ่อื สตั ย์สจุ ริต 5.3 เกณฑก์ ารตดั สิน นักเรยี นผา่ นเกณฑ์การประเมนิ รอ้ ยละ ๘๐ ข้ึนไป ๖. บนั ทกึ หลงั การจดั การเรียนรู้ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ลงชอ่ื ................................................ ครูผู้สอน (...........................................................)

- ๒๗ - 7. ภาคผนวก ใบงาน เรอ่ื ง ผลประโยชนส์ ว่ นตนกับผลประโยชนส์ ว่ นรวม ช่อื ............................................................................................................ชั้น..........................เลขที่.................. คาช้ีแจง ใหน้ ักเรยี นตอบคาถามดงั ต่อไปน้ี ๑. ผลประโยชน์ส่วนตน หมายถงึ อะไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๒. ผลประโยชนส์ ว่ นรวม หมายถงึ อะไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๓. จงยกตวั อยา่ งการกระทาที่เป็นผลประโยชน์ส่วนตน มา ๓ ขอ้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๔. จงยกตวั อยา่ งการกระทาท่ีเป็นผลประโยชนส์ ่วนรวม มา ๓ ข้อ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

- ๒๘ - แบบสังเกตพฤติกรรม เรอ่ื ง ซอ่ื สตั ย์ สจุ ริต คาช้แี จง การบันทกึ ใหท้ าเคร่ืองหมาย  ลงในชอ่ งทีต่ รงกบั พฤติกรรมท่เี กิดขนึ้ จริง รายการ รู้จกั แยกแยะ พดู ประโยชน์ สรุปผล เลขที่ ช่ือ - สกลุ ความ ไมล่ ัก ตรงไป ทาตวั ส่วนตน การประเมิน จรงิ ขโมย ตรงมา น่าเชอ่ื ถือ กบั ประโยชน์ สว่ นรวม ผ่าน ไม่ผา่ น เกณฑ์การประเมิน ผ้ปู ระเมนิ ผ่านต้ังแต่ ๓ รายการ ถอื ว่า ผา่ น ผ่าน ๒ รายการ ถือวา่ ไม่ผา่ น ) /// ลงชื่อ (

- ๒๙ - แผนการจดั การเรยี นรู้ หนว่ ยท่ี ๑ ช่อื หนว่ ย การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนกับผลประโยชน์สว่ นรวม ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ ๖ แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๖ เรื่องการขดั แย้งกนั ระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนกบั ผลประโยชน์ส่วนรวม เวลา 2 ชัว่ โมง ๑. ผลการเรยี นรู้ ๑.๑ นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับการแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตน กับผลประโยชน์ สว่ นรว๑.๒ สามารถคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตน กบั ผลประโยชนส์ ว่ นรวมได้ ๒. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ๒.๑ นกั เรียนสามารถอธบิ ายความหมายของคาวา่ “ขดั แย้งกนั ” ได้ ๒.๒ นักเรียนสามารถบอกผลกระทบจากการขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ สว่ นรวมได้ ๒.๓ นักเรียนสามารถบอกวิธีการแก้ไขความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ สว่ นรวมได้ ๓. สาระการเรียนรู้ ๓.๑ ความรู้ ความหมายของการขดั แยง้ ความขดั แยง้ กนั ระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม หมายถึง สถานการณ์ หรือการ กระทาท่ีบุคคลไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ พนักงานบริษัท หรือผู้บริหารมีผลประโยชน์ส่วนตัว มากจนมีผลต่อการตัดสินใจ หรือการปฏิบัติหน้าที่ในตาแหน่งหน้าท่ีท่ีบุคคลนั้นรับผิดชอบอยู่ และส่งผล กระทบต่อประโยชน์ส่วนรวม ซ่ึงการกระทานั้นอาจจะเกิดข้ึนอย่างรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ท้ังเจตนาและไม่ เจตนา และมีรูปแบบท่ีหลากหลาย จนกระท่ังกลายเป็นสิ่งท่ีปฏิบัติกันทั่วไป โดยไม่เห็นว่าเป็นความผิด เชน่ การรบั สนิ บน การจ่ายเงินใตโ้ ตะ๊ การจ่ายเงินตอบแทนเพื่อให้ตนเอง ๓.๒ สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน 1) ความสามารถในการสื่อสาร 2) ความสามารถในการคิด ๓.๓ คุณลกั ษณะทพ่ี ึงประสงค์ ซือ่ สัตย์สุจรติ ๔. กจิ กรรมการเรียนรู้ 4.1 ขน้ั ตอนการเรียนรู้ ช่ัวโมงที่ ๑ ๑) ครทู บทวนเรื่องผลประโยชนส์ ่วนตนกบั ผลประโยชนส์ ่วนรวม ๒) ครูเล่าเหตกุ ารณเ์ ร่อื ง “แม่ประนอมร้อง ถูกลกู สาว – ลูกเขย ฮุบกิจการน้าพริกเผา”

- ๓๐ - แม่ประนอมรอ้ ง ถกู ลกู สาว – ลกู เขย ฮบุ กิจการน้าพรกิ เผา แม่ประนอม\" ผู้ก่อตั้งธุรกิจน้าพริกเผาชื่อดัง ย่ืนหนังสือร้องเรียนถึง นายกฯ ขอความเป็นธรรม อ้างถกู \"ลกู สาว-ลกู เขย\" ยดึ กิจการ พรอ้ มใชเ้ งนิ แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เม่ือวันที่ 25 มี.ค. 59 ท่ี ศูนย์บริการประชาชน สานักปลัดสานักนายกรัฐมนตรี ทาเนียบรัฐบาล นางประนอม แดงสุภา ผู้ก่อตั้ง ธุรกิจน้าพริกเผาแม่ประนอม ในนามบริษัท พิบูลย์ชัยน้าพริกเผาไทยแม่ประนอม จากัด เดินทางเข้ายื่น หนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมโดยระบุว่า ถูก นางศิริพร แดงสุภา บุตรสาวคนโต และ นายสุชาติ ภาษาประเทศ บตุ รเขย ฮุบกิจการ ซ่งึ ท่ีผ่านมา นางศิริพร เป็นที่ไว้วางใจของคนในครอบครัวมาโดยตลอด จึงไดใ้ ห้ดแู ล และบริหารงานตา่ งๆ แทนครอบครวั คนเดียว จนตอ่ มา เมอ่ื ปี 2558 นางศิรพิ ร ไดฮ้ บุ กจิ การ โดยปลอมหนังสอื มอบอานาจจาก นายศริ ชิ ยั สามี ซง่ึ ถึงแก่กรรม เม่ือปี 2556 โอนท่ีดินกองมรดกมาเป็น ของตัวเอง ต่อมาจึงทราบว่า นางศิริพร และ นายสุชาติ ได้ฮุบกิจการน้าพริกเผาแม่ประนอมไปเป็นของ ตัวเองเรียบร้อย ซ่ึงได้เปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทใหม่ท้ังหมด โดยตัดชื่อ นายศิริชัย ตน และ บตุ รคนอ่ืนๆ ออกจากรายชื่อผู้ถือหุ้นท้ังหมด แล้วใส่ช่ือของตัวเองและบุตรเขยเข้าไปแทน จนต่อมาท้ัง 2 คน ก็ไดข้ ับไลต่ นออกจากบา้ นอีกดว้ ย ๓) ครูให้นักเรียนวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการกระทาของลูกสาวคนโตและแม่ประนอมว่า ถกู ต้องหรอื ไม่ อยา่ งไร ๔) ครอู ธิบายความหมายของคาว่าการขดั แย้งกนั - การขัดแย้งกัน หมายถึง ไม่ลงรอยกัน ไม่เห็นพ้องต้องกัน ทั้งในเร่ืองผลประโยชน์ส่วนตน และผลประโยชนส์ ่วนรวม ๕) ให้นักเรียนช่วยกันยกตัวอย่างกรณีที่บุคคลขัดแย้งกันในสังคมประมาณ ๔-๕ เร่ือง แล้ว เขยี นบันทึกลงในสมดุ ช่ัวโมงที่ ๒ 1) ครูให้นักเรียนบอกผลกระทบจากการขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับ ผลประโยชนส์ ว่ นรวม 2) ครูสนทนาซักถามนักเรียนว่า “ถ้านักเรียนพบเห็นการกระทาหรือเหตุการณ์ที่ขัดแย้งกัน เช่น เหตุการณ์นี้ นักเรียนจะมีวิธีการแก้ไขความขัดแย้งกันได้อย่างไร เช่น ไม่เห็นแก่ได้ ไม่โ ลภ ไม่ อยากได้ของผ้อู ่นื เป็นของตนเอง เปน็ ตน้ 3) ครูใหน้ ักเรยี นทาใบงาน เร่อื ง แท็กซ่ไี ลน่ ักท่องเทยี่ วออกจากรถอูเบอร์ 4) นกั เรียนนาเสนอเพอ่ื แลกเปลย่ี นเรียนร้แู ละติดป้ายนิเทศ 4.2 ส่อื การเรียนรู้ ๑) ขา่ ว “แม่ประนอมรอ้ ง ถกู ลูกสาว – ลูกเขย ฮบุ กจิ การนา้ พริกเผา” ๒) ใบงาน เร่อื ง แทก็ ซไ่ี ล่นกั ทอ่ งเทย่ี วออกจากรถอเู บอร์ ๕. การประเมินผลการเรียนรู้ 5.1 วิธีการประเมนิ ๑) สงั เกตพฤตกิ รรม ซื่อสตั ยส์ ุจรติ ๒) ตรวจผลงาน เรอ่ื ง แทก็ ซไี่ ลน่ กั ท่องเทยี่ วออกจากรถอเู บอร์

- ๓๑ - 5.2 เคร่ืองมอื ท่ใี ช้ในการประเมนิ ๑) แบบใหค้ ะแนนการตรวจใบงาน เร่ือง แทก็ ซี่ไลน่ ักท่องเที่ยวออกจากรถอูเบอร์ ๒) แบบสงั เกตพฤตกิ รรม ซ่ือสตั ยส์ ุจริต 5.3 เกณฑ์การตัดสิน นกั เรียนผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ ร้อยละ ๘๐ ข้ึนไป ๖. บันทกึ หลงั การจดั การเรยี นรู้ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ ................................................ ครูผสู้ อน (...........................................................)

7. ภาคผนวก - ๓๒ - ใบงาน เรื่อง แท็กซีไ่ ลน่ กั ท่องเทย่ี วออกจากรถอเู บอร์ ช่ือ............................................................................................................ช้ัน.......................เลขท่.ี ................. คาชแ้ี จง ให้นกั เรียนอา่ นข่าว แล้วตอบคาถามต่อไปนี้ หนุ่มโชเฟอร์อูเบอร์อดั คลปิ แจ้งตารวจจับกลุ่มแท็กซี่พัทยา หลังถูกล้อม และไล่นกั ท่องเท่ียวลงจากรถ สรา้ ง ความตกใจแก่ผู้โดยสารชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก โดยเป็นเหตกุ ารณท์ ีเ่ กิดขน้ึ ในชว่ งเยน็ วานนี้ (วนั ท่ี 17 พ.ค. 60) ขณะที่นายสรุ ศกั ดิ์ คูคา อายุ 29 ปี โชเฟอร์ รถแท็กซีอ่ เู บอร์ นารถจอดรบั ผโู้ ดยสารซ่ึงเป็นนกั ทอ่ งเท่ียวชาวตา่ งประเทศ โดยได้มกี ลุ่มคนขบั สหกรณ์แท็กซ่ีประมาณ 5-6 คน เขา้ มาปิดลอ้ มและไลใ่ หผ้ ู้โดยสารลงจากรถ สร้างความตกใจให้นักท่องเทยี่ วชาวตา่ งประเทศเปน็ อยา่ งมาก จากน้นั กลุ่มคนดังกลา่ วก็ยังไมย่ อมปล่อยใหร้ ถว่งิ ออกไป ยังพยายามปิดล้อมไว้ แลว้ เรยี กเจา้ หน้าทีต่ ารวจมายดึ ใบขับข่ี ไปเสียค่าปรบั ยงั สภ.เมืองพทั ยา เป็นเงนิ 1,000 บาท ๑. นักเรียนคิดวา่ การกระทาของกลมุ่ แท็กซพี่ ัทยาเปน็ การกระทาทเี่ หมาะสมหรือไม่ เพราะเหตุใด _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ ๒. ถ้านกั เรียนเปน็ โชเฟอรร์ ถแท็กซ่อี ูเบอรด์ ังกล่าว นกั เรียนจะแก้ไขปัญหาท่ีเกิดขนึ้ อย่างไร _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________

- ๓๓ - แบบสงั เกตพฤติกรรม เรอ่ื ง ซอ่ื สตั ย์ สจุ ริต คาช้แี จง การบันทกึ ใหท้ าเคร่ืองหมาย  ลงในชอ่ งทีต่ รงกบั พฤติกรรมท่เี กิดขนึ้ จริง รายการ รู้จกั แยกแยะ พดู ประโยชน์ สรุปผล เลขที่ ช่ือ - สกลุ ความ ไมล่ ัก ตรงไป ทาตวั ส่วนตน การประเมิน จรงิ ขโมย ตรงมา น่าเชอ่ื ถือ กบั ประโยชน์ สว่ นรวม ผ่าน ไม่ผา่ น เกณฑ์การประเมิน ผ้ปู ระเมนิ ผ่านต้ังแต่ ๓ รายการ ถอื ว่า ผา่ น ผ่าน ๒ รายการ ถือวา่ ไม่ผา่ น ) /// ลงชื่อ (

- ๓๔ - แผนการจัดการเรียนรู้ หนว่ ยท่ี ๑ ชื่อหน่วย การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม ช้ันประถมศึกษาปีที่ ๖ แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๗ เรือ่ ง ผลประโยชนท์ ับซอ้ น เวลา ๒ ชวั่ โมง ๗. ผลการเรยี นรู้ 1.1 มีความรู้ ความเข้าใจเกยี่ วกบั การแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม 1.2 สามารถคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์ส่วนรวมได้ 1.3 ตระหนกั และเหน็ ความสาคญั ของการต่อต้านและปอ้ งกนั การทุจริต 2. จุดประสงค์การเรยี นรู้ นกั เรียนสามารถ 2.1 อธิบายความหมายของผลประโยชน์ทับซอ้ นได้ 2.2 ยกตวั อยา่ งผลประโยชน์ทบั ซ้อนได้ 2.3 บอกวิธีการปฏบิ ตั ติ นเพื่อป้องกนั ผลประโยชน์ทบั ซอ้ น 3. สาระการเรยี นรู้ 3.1 ความรู้ ผลประโยชนท์ ับซอ้ น คือ คอื ผลประโยชนส์ ่วนตวั ของเจ้าหนา้ ท่รี ัฐไปขดั แย้งกับผลประโยชน์ ส่วนรวมแล้วต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ซ่ึงทาให้ตัดสินใจได้ยากในอันที่จะปฏิบัติหน้าท่ีให้เกิดความเป็นธรรม และปราศจากอคติ การทเี่ จา้ หนา้ ทข่ี องรฐั กระทาการใดๆตามอานาจหน้าท่ีเพื่อประโยชน์ส่วนรวม แต่กลับเข้าไปมี สว่ นได้เสียกบั กิจกรรมหรือ การดาเนินการทีเ่ ออื้ ผลประโยชน์ให้กบั ตนเองหรือพวกพ้อง ทาให้การใช้อานาจหน้าท่ี เป็นไปโดยไม่สจุ รติ ก่อให้เกดิ ผลเสยี ตอ่ ภาครัฐ สาเหตุการเกิด ผลประโยชนท์ บั ซอ้ น เกดิ จากเจา้ หน้าทีข่ องรฐั มีบทบาทท่ขี ดั แยง้ กนั 2 บทบาท ได้แก่ บทบาทท่ี ๑ คือบทบาททต่ี ดั สินใจตามหน้าทีค่ วามรับผดิ ชอบ บทบาทที่ ๒ คือบทบาททต่ี ัดสินใจตามผลประโยชน์ส่วนตัว ซง่ึ อาจจะไมผ่ ดิ กฎหมาย แต่เมื่อตดั สินใจไปแล้ว จะมผี ลกระทบต่อการตดั สินใจตามหน้าที่ทาใหเ้ กดิ ปัญหาหรือความผดิ ได้ 3.2 ทกั ษะ / กระบวนการ (สมรรถนะทเ่ี กิด) 1) ความสามารถในการอา่ นและตคี วามเรื่องผลประโยชน์ทบั ซอ้ น 2) ความสามารถในการคิดแยกแยะผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชน์สว่ นรวม 3) ความสามารถในการคดิ วิเคราะห์ผลเสยี ที่เกิดจากผลประโยชนท์ บั ซ้อน 3.3 คณุ ลักษณะทพี่ งึ ประสงค์ / คา่ นยิ ม ๑) มงุ่ มนั่ ในการทางาน ๒) ซือ่ สัตยส์ ุจรติ 4. กิจกรรมการเรยี นรู้ 4.1 ขน้ั ตอนการเรียนรู้ ช่วั โมงท่ี ๑

- ๓๕ - ๑) ใหน้ ักเรียนดูวดี ิทัศน์ เรื่อง นิมนตย์ ิม้ เดลี่ คนดไี มค่ อรร์ ปั ชัน ตอน รับไม่ได้ ซ่ึงเปน็ เรอ่ื ง เก่ยี วกับเจ้าหนา้ ทเี่ ข้าไปตรวจสอบสนิ คา้ แต่เจ้าของสนิ คา้ ไม่ให้ตรวจและจะมอบสนิ บนให้กับเจ้าหนา้ ที่ ซงึ่ เจ้าหนา้ ทคี่ นนั้นไม่ยอมรบั ของดังกลา่ ว ๒) ให้นักเรียนร่วมกนั อภปิ รายเร่ืองท่ีเกิดขน้ึ จากการดูวดี ิทัศน์ ตามประเด็นตอ่ ไปน้ี ๒.๑) เกดิ เหตกุ ารณ์อะไรขึ้น (เจา้ ของสนิ ค้าจะมอบสินบนใหเ้ จา้ หนา้ ท่เี พื่อแลกกับการไม่ต้องถูก ตรวจสอบสนิ ค้า) ๒.๒) เจา้ ของสินคา้ ทาอย่างไรเพื่อไม่ให้ถูกตรวจสอบ (จา่ ยเงนิ สินบนใหเ้ จ้าหนา้ ท่ี) ๒.๓) เจา้ หน้าที่ทาอย่างไร (ไมย่ อมรบั เงนิ สนิ บน) ๒.๔) นกั เรยี นคิดวา่ เจา้ หน้าที่ทาถูกหรือไม่ เพราะเหตุใด ( ทาถูกตอ้ ง เพราะ สามารถแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ ส่วนรวมได้ ) ๒.๕) ถา้ นักเรยี นเปน็ เจา้ หนา้ ท่นี ักเรยี นจะทาอย่างไร (ไมร่ ับเงนิ สนิ บนและจบั เจา้ ของสนิ คา้ ไปดาเนินคดี เพราะ การรับเงินสนิ บน เปน็ เร่อื งทีผ่ ิด และเป็นการจงใจหลีกเลี่ยงการปฏิบตั หิ น้าที่) ๒.๖) ผลสรปุ การกระทาของเจา้ หน้าทเ่ี ป็นอย่างไร ( เจ้าหน้าที่เลง็ เห็นผลประโยชน์สว่ นรวมมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัว และ สามารถแยกแยะสิง่ สองสง่ิ นี้ออกจากกนั ไดอ้ ยา่ งชดั เจน ทาใหก้ ารปฏบิ ตั ิ หนา้ ทีเ่ ปน็ ไปอย่างถูกต้องเหมาะสม ) ๓) ครใู ห้นักเรยี นจบั กลมุ่ ๆละ 3 คน เพื่อระดมความคิดในการหาผลเสยี ทีอ่ าจเกดิ ขึน้ หาก เจ้าหน้าท่ีของรฐั เห็นผลประโยชน์สว่ นตนมากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวม ๔) ใหน้ ักเรียนแตล่ ะกลุ่มออกมานาเสนอความคิดหน้าชนั้ เรียน ๕) ครูและนกั เรยี นรว่ มกนั วิเคราะห์หาสาเหตทุ ที่ าใหเ้ กดิ ผลประโยชน์ทับซอ้ นรว่ มกนั จากนั้นมอบหมายใหน้ ักเรยี นสรุปออกมาเปน็ แนวความคดิ ของตัวเอง ๖) ครูแจกใบความรู้ เร่ือง ผลประโยชน์ทับซอ้ น ให้นักเรยี นแตล่ ะคนศึกษา ๗) ครนู กั เรียนรว่ มกนั ตรวจสอบ ความถูกต้อง ของสาเหตุทีท่ าให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ช่วั โมงท่ี ๒ 1) ครอู ธบิ ายความหมายของผลประโยชนท์ ับซอ้ นวา่ เกิดจากการเจ้าหนา้ ทีข่ องรฐั มบี ทบาทที่ ขดั แย้งกนั 2 บทบาท ได้แก่ บทบาทท่ี ๑ คือบทบาททต่ี ัดสินใจตามหน้าท่คี วามรับผดิ ชอบ

- ๓๖ - บทบาทที่ ๒ คือบทบาทที่ตัดสินใจตามผลประโยชน์สว่ นตวั ซงึ่ อาจจะไมผ่ ิดกฎหมาย แต่ เมือ่ ตดั สินใจไปแล้วจะมผี ลกระทบต่อการตัดสินใจตามหน้าท่ที าให้เกดิ ปญั หาหรือความผิดได้ 2) ให้นักเรยี นสร้างผังมโนทศั น์เกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อน สาเหตทุ ท่ี าให้เกิดผลประโยชน์ ทบั ซอ้ น และผลเสียทีเ่ กดิ จากผลประโยชน์ทบั ซ้อน 3) ครูยกสถานการณ์ตัวอย่าง เช่น ครูสมพรนากระดาษของโรงเรียนกลับมาให้ลูกชายใช้ทา รายงาน 4) ครูและนกั เรยี นร่วมกนั วเิ คราะหส์ ถานการณ์ตวั อย่างและแยกแยะบทบาทที่ ๑ และบทบาทท่ี ๒ ของบคุ คลในสถานการณ์ ดงั นี้ บทบาทที่ ๑ : ครเู บกิ กระดาษมาใชใ้ นงานราชการ บทบาทที่ ๒ : แม่ท่ีตอ้ งจดั หาอปุ กรณก์ ารเรียนให้แก่ลกู 5) มอบหมายให้นักเรียนร่วมกันระดมความคิดจากสถานการณ์ตัวอย่าง การที่บทบาทที่ ๑ และ บทบาทท่ี ๒ เกดิ ความทับซอ้ นกัน ก่อใหเ้ กิดผลเสยี อยา่ งไร 6) ครมู อบหมายใหน้ ักเรียนทาใบกิจกรรม เรื่อง ความขดั แยง้ ของบทบาท 7) ให้นักเรียนระดมความคิดในการป้องกันตนเองจากผลประโยชน์ทับซ้อนและเขียนลงในใบงาน เรอ่ื ง การปฏิบัติตนเพ่อื ป้องกนั ผลประโยชนท์ ับซ้อน 4.2 ส่ือการเรยี นรู้ / แหล่งการเรยี นรู้ 1) วีดิทัศน์ เรื่อง นมิ นตย์ ้ิมเดลี่ คนดไี ม่คอร์รปั ชนั ตอน รับไมไ่ ด้ ๒) ใบความรู้ เรอ่ื ง ผลประโยชนท์ ับซ้อน ๓) ใบงาน เร่อื ง ความขดั แย้งของบทบาท ๔) ใบงาน เรอ่ื ง การปฏิบัติตนเพ่อื ป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน 5. การประเมินผลการเรียนรู้ 5.1 วิธกี ารประเมนิ ๑) ตรวจผลงานการทาใบงาน เรอ่ื ง ความขัดแย้งของบทบาท และการปฏิบัตติ นเพ่ือป้องกนั ผลประโยชนท์ ับซ้อน ๕.๒ เครือ่ งมอื ท่ใี ชใ้ นการประเมนิ ๑) แบบประเมินผลงานการทาใบกจิ กรรม เรื่อง ความขดั แยง้ ของบทบาท และการปฏิบตั ติ นเพื่อ ป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน 5.3 เกณฑก์ ารตดั สนิ ๑) นกั เรยี นผา่ นการประเมิน รอ้ ยละ ๘๐ ขนึ้ ไป 6. บนั ทึกหลังการจดั การเรียนรู้ ............................................................................................................................. ................................................. ...................................................................................................................................... ........................................ .......................................................................................... .................................................................................... ............................................................................................................................. ................................................. ลงชอ่ื ................................................ ครูผู้สอน (.................................................)

7. ภาคผนวก - ๓๗ - ใบความรู้ เรือ่ ง ผลประโยชน์ทบั ซอ้ น ชอื่ ...........................................................สกุล.......................................................... .เลขที่..............ช้นั ................ คอื ผลประโยชน์สว่ นตัวของเจา้ หน้าทีร่ ฐั ไปขัดแย้งกับผลประโยชน์ สว่ นรวมแล้วต้องเลอื กเอาอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ซงึ่ ทาใหต้ ดั สนิ ใจไดย้ าก ผลประโยชน์ทบั ซ้อน ในอันทจ่ี ะปฏบิ ัติหนา้ ท่ใี ห้เกิดความเปน็ ธรรมและปราศจากอคติ การท่ีเจ้าหน้าท่ีของรัฐกระทาการใดๆตามอานาจหน้าที่เพื่อ ประโยชน์สว่ นรวม แต่กลบั เขา้ ไปมีส่วนไดเ้ สียกบั กจิ กรรมหรือ การดาเนินการที่เอ้ือผลประโยชน์ให้กับตนเองหรือพวกพ้อง ทาให้การใช้อานาจหน้าท่ีเป็นไปโดยไม่สุจริต กอ่ ใหเ้ กิดผลเสียต่อภาครัฐ สาเหตกุ ารเกดิ เกดิ จากเจ้าหน้าท่ีของรัฐมีบทบาททขี่ ัดแยง้ กัน 2 บทบาท ไดแ้ ก่ ผลประโยชนท์ บั ซอ้ น บทบาทที่ ๑ คือบทบาทท่ตี ัดสนิ ใจตามหน้าที่ความรบั ผดิ ชอบ บทบาทที่ ๒ คือบทบาททต่ี ัดสนิ ใจตามผลประโยชนส์ ่วนตวั ซึ่งอาจจะไมผ่ ิดกฎหมาย แต่เมอ่ื ตัดสนิ ใจไปแล้วจะมผี ลกระทบต่อ การตดั สินใจตามหน้าที่ทาใหเ้ กิดปัญหาหรือความผดิ ได้ ครสู ง่ั ใหน้ กั เรยี นไปซื้อของสาหรับทางานประดิษฐใ์ นวิชาของตนเอง โดยของช้ินน้นั หาซอ้ื ได้ท่รี า้ นคา้ ของตนเองเทา่ นั้น บทบาทท่ี ๑ คือ สัง่ งานตามหนา้ ทข่ี องครู บทบาทท่ี ๒ คือ ต้องการหารายได้เขา้ กจิ การของตัวเอง ผลประโยชน์ทับซอ้ น คือ ครไู ด้รับผลประโยชนจ์ ากการสั่งใหน้ กั เรียน ซ้ือของที่รา้ นคา้ ของตนเอง ปลดั อาเภอจดั งานเลี้ยงต้อนรบั นายอาเภอท่ีมารบั หน้าทใ่ี หม่ โดยว่าจา้ งนอ้ งชายของภรรยาเป็นผู้จัดการ บทบาทท่ี ๑ คือ จัดงานตามหน้าทที่ ่ีไดร้ ับมอบหมาย บทบาทที่ ๒ คอื จดั หางานวา่ จา้ งใหก้ จิ การภายในครอบครัว ผลประโยชน์ทับซ้อน คือ อนุมัติโครงการที่มีประโยชน์ต่อธุรกิจ ของตนเองโดยทีโ่ ครงการนั้นอาจไมก่ ่อให้เกดิ ประโยชนต์ อ่ ส่วนรวม

- ๓๘ - ใบงาน เรอื่ ง ความขดั แย้งของบทบาท jช;’ือ่ ;l.’..........................................................สกุล.......................................................... .เลขท่ี..............ช้ัน................ จากสถานการณต์ วั อยา่ งท่ีกาหนดให้ จงเติมข้อความในช่องว่างให้สมบูรณ์ สถานการณต์ วั อย่าง ครูสมพรนากระดาษของโรงเรยี นกลับมาใหล้ ูกชายใชท้ ารายงาน บทบาทที่ ๑ : ครูเบิกกระดาษมาใชใ้ นงานราชการ บทบาทท่ี ๒ : แมท่ ต่ี ้องจัดหาอปุ กรณก์ ารเรียนใหแ้ กล่ ูก ผลประโยชน์ทบั ซ้อน : นาสมบตั ขิ องรัฐไปใช้ส่วนตวั สถานการณท์ ่ี ๑ ผ้อู านวยการโรงเรียนรบั หลานสาวเข้าทางานในตาแหนง่ ครูอัตราจ้าง บทบาทท่ี ๑ : …………………………………………………………………………………………………. บทบาทท่ี ๒ : …………………………………………………………………………………………………. ผลประโยชนท์ บั ซ้อน : …………………………………………………………………………………………………. ........................................................................................................................................................ สถานการณ์ที่ ๒ พยาบาลลัดควิ เข้าตรวจให้กบั คนไข้ท่ีคนุ้ เคย บทบาทที่ ๑ : …………………………………………………………………………………………………. บทบาทท่ี ๒ : …………………………………………………………………………………………………. ผลประโยชน์ทบั ซอ้ น : …………………………………………………………………………………………………. ........................................................................................................................................................ สถานการณ์ที่ ๓ ครนู าข้อสอบปลายภาคไปสอนให้นักเรียนที่เรยี นพิเศษกับครฝู ึกทาก่อนสอบ บทบาทที่ ๑ : …………………………………………………………………………………………………. บทบาทท่ี ๒ : …………………………………………………………………………………………………. ผลประโยชนท์ บั ซ้อน : …………………………………………………………………………………………………. ........................................................................................................................................................ สถานการณ์ท่ี ๔ ผ้สู มคั รรบั เลอื กต้ังเป็นผูใ้ หญบ่ ้าน นานโยบายของรัฐมาใช้ในการหาเสียง บทบาทที่ ๑ : …………………………………………………………………………………………………. บทบาทที่ ๒ : …………………………………………………………………………………………………. ผลประโยชน์ทับซ้อน : ………………………………………………………………………………………………….

- ๓๙ - ใบงาน เรือ่ ง การปฏิบัตติ นเพอ่ื ปอ้ งกนั ผลประโยชน์ทับซ้อน ช่อื ...........................................................สกลุ .......................................................... .เลขท.ี่ .............ชั้น................ จากสถานการณ์ที่กาหนดให้ จงบอกวธิ กี ารปฏิบัติตวั เพอ่ื หลกี เลย่ี งผลประโยชนท์ ับซ้อน ที่ สถานการณ์ ผลประโยชน์ทับซ้อนท่ีเกดิ ข้ึน แนวทางการปฏิบตั ติ ัวของนักเรียน นักเรยี นแซงคิวซ้อื ขนม นกั เรยี นไดซ้ ้ือขนมในขณะทีค่ นอื่น เขา้ แถวซื้อของใหเ้ รียบร้อย หน้าโรงเรยี น ตอ้ งเข้าควิ รอเปน็ เวลานาน ๑ ภผู าไมอ่ ่านหนงั สือเตรียม ........................................................ ........................................................ สอบจงึ ต้งั ใจลอกข้อสอบ ........................................................ ........................................................ เพือ่ น ........................................................ ........................................................ ๒ ครูใหม้ ณชี ว่ ยสอนการบ้าน ........................................................ ........................................................ เพ่ือน แต่มณีกลับเรยี ก ........................................................ ........................................................ เกบ็ ค่าสอนจากเพ่ือน ........................................................ ........................................................ ๓ สมชายไม่ช่วยเพือ่ นคน ........................................................ ........................................................ อื่นๆทาความสะอาด ........................................................ ........................................................ ห้องเรยี น ........................................................ ........................................................ ๔ เมธาสอบตกวิชาศิลปะจึง ........................................................ ........................................................ ซ้อื ขนมมาฝากครูผสู้ อน ........................................................ ........................................................ เพอื่ หวังให้ครูเพ่ิมคะแนน ........................................................ ........................................................ ให้ ๕ เมฆาไม่ชอบเรยี นวชิ า ........................................................ ........................................................ คณติ ศาสตรจ์ งึ แกล้งป่วย ........................................................ ........................................................ และไปนอนทหี่ ้องพยาบาล ........................................................ ........................................................ หมายเหตุ ในแต่ละข้อถ้านักเรยี นตอบถูก ๒ ชอ่ งจะได้ ๒ คะแนน แตถ่ า้ นกั เรยี นตอบถกู เพียง ๑ ช่องจะได้ ๑ คะแนน

- ๔๐ - แผนการจัดการเรยี นรู้ หนว่ ยที่ ๑ ช่ือหนว่ ย การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม ชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๖ แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๘ เรือ่ ง รูปแบบของผลประโยชนท์ ับซอ้ น เวลา ๑ ช่วั โมง ๑. ผลการเรียนรู้ 1.1 มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเก่ยี วกับการแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม 1.2 สามารถคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์ส่วนรวมได้ 1.3 ตระหนกั และเหน็ ความสาคญั ของการต่อต้านและปอ้ งกันการทุจรติ 2. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ นกั เรียนสามารถ 2.1 บอกรปู แบบของผลประโยชน์ทับซ้อนได้ 2.2 ยกตวั อยา่ งรูปแบบของผลประโยชน์ทับซ้อนได้ 3. สาระการเรยี นรู้ 3.1 ความรู้ รปู แบบของผลประโยชน์ทับซ้อน แบง่ ออกเปน็ 7 รูปแบบ ไดแ้ ก่ 1) การรับผลประโยชน์ตา่ งๆ คือ การรับสนิ บน หรือผลประโยชน์ในรปู แบบอ่ืนๆ ทไี่ ม่ เหมาะสม 2) การทาธรุ กจิ กับตวั เองหรือเป็นคู่สัญญา คือ สถานการณ์ท่ีเจา้ หน้าทขี่ องรัฐมสี ว่ นได้เสียใน สัญญาท่ที ากับหนว่ ยงานทตี่ นสงั กัด 3) การทางานหลังจากออกจากตาแหน่งสาธารณะหรือหลงั เกษียณ คือ การทบ่ี ุคลากรออก จากหน่วยงานของรัฐ และไปทางานในบรษิ ัทเอกชนที่ดาเนินธรุ กจิ ประเภทเดยี วกบั ท่ีตนเองเคยมีอานาจ ควบคมุ 4) การทางานพเิ ศษ เชน่ เจ้าหนา้ ทข่ี องรัฐตงั้ บริษทั ดาเนินธรุ กจิ ทเ่ี ป็นการแขง่ ขนั กับ หนว่ ยงานหรือองค์กรสาธารณะทตี่ นสงั กัด 5) การรบั ร้ขู ้อมลู ภายใน คอื สถานการณ์ทีผ่ ดู้ ารงตาแหน่งสาธารณะใชป้ ระโยชน์จากการรู้ ขอ้ มลู ภายในเพื่อประโยชน์ของตนเอง 6) การใช้ทรัพยส์ ินของหนว่ ยงานเพื่อประโยชนข์ องธรุ กิจส่วนตัว เชน่ การนาเคร่ืองใช้ สานักงาน ต่างๆกลับไปใช้ทบี่ า้ น การนารถยนต์ในราชการไปใช้เพ่ืองานส่วนตัว 7) การนาโครงการสาธารณะลงในเขตเลอื กตงั้ เพอื่ ประโยชน์ในทางการเมือง เช่น การที่ รฐั มนตรี อนมุ ัตโิ ครงการของกระทรวงไปลงในพน้ื ท่ีหรือบา้ นเกดิ ของตนเอง หรอื การใช้งบประมาณสาธารณะ เพอ่ื การ หาเสียงเลือกตั้ง 3.2 ทกั ษะ / กระบวนการ (สมรรถนะท่ีเกิด) 1) ความสามารถในการคดิ วเิ คราะหผ์ ลเสยี ทเ่ี กิดจากผลประโยชนท์ ับซ้อน ๒) ความสามารถในการอ่านและตีความเรื่องประเภทของผลประโยชนท์ ับซอ้ น 3.3 คณุ ลักษณะทพ่ี งึ ประสงค์ / ค่านิยม

- ๔๑ - ๑) ซอ่ื สตั ย์สุจริต ๒) มีจิตสาธารณะ 4. กจิ กรรมการเรียนรู้ 4.1 ขัน้ ตอนการเรียนรู้ ๑) ครแู จกใบความรู้ เร่ือง ประเภทของผลประโยชน์ทับซ้อน ให้นกั เรยี นแตล่ ะคนได้ศกึ ษาหา ความรู้ดว้ ยตนเอง ๒) ครูตั้งคาถามนักเรียนว่า ๓.๑) ประโยชนท์ บั ซอ้ นมีกปี่ ระเภท ๓.๒) ประโยชนท์ บั ซอ้ นมีอะไรบ้าง ๓) ครูให้นกั เรียนตรวจสอบคาตอบทีเ่ ขยี นไวก้ ับใบความรู้ถูกต้องตรงกนั หรือไมห่ ากไมถ่ ูกต้อง ให้แกไ้ ขใหถ้ ูกต้อง ๔) ครูมอบหมายให้นกั เรียนแต่ละคนสรา้ งผังมโนทัศน์ เรื่อง ประเภทของผลประโยชนท์ ับ ซ้อน ๕) ครูยกตวั อยา่ งสถานการณ์ท่ีตรงตามประเภทของผลประโยชน์ทับซ้อน เพื่อให้นักเรยี นเกดิ ความรู้ความเข้าใจมากยิ่งขึ้น ดงั ต่อไปน้ี ๕.๑) การรับผลประโยชนต์ ่างๆ เช่น หนว่ ยงานราชการรับเงินบรจิ าคจากบริษัทเพอื่ จัดซื้อจดั จ้างแลว้ เจา้ หน้าที่ได้รบั ของแถมหรือผลประโยชนอ์ ื่นตอบแทน ๕.๒) การทาธรุ กจิ กบั ตัวเองหรือเป็นคสู่ ญั ญา เชน่ การใช้ตาแหน่งหนา้ ที่ท่ีทาให้ หน่วยงานทาสญั ญาซื้อสนิ คา้ จากบริษทั ของตนเอง ๕.๓) การทางานหลงั จากออกจากตาแหน่งสาธารณะหรอื หลงั เกษยี ณ เช่น บุคลากร ออกจากหนว่ ยงานของรฐั และไปทางานในบริษทั เอกชนท่ีดาเนนิ ธุรกิจประเภทเดียวกับท่ีตนเองเคยมี อานาจควบคุม ๕.๔) การทางานพิเศษ เชน่ เจา้ หน้าทข่ี องรฐั ต้งั บริษทั ดาเนินธรุ กิจท่ีเปน็ การแขง่ ขนั กับหนว่ ยงานหรอื องค์กรสาธารณะท่ีตนสงั กดั ๕.๕) การรบั รู้ข้อมลู ภายใน เชน่ ทราบว่าจะมกี ารตัดถนนไปตรงไหนกร็ บี ไปซื้อที่ดิน โดยใสช่ ือ่ ภรรยา ๕.๖) การใช้ทรัพยส์ ินของหน่วยงานเพือ่ ประโยชน์ของธรุ กิจส่วนตวั เช่น การนา เคร่ืองใช้สานักงานต่างๆกลบั ไปใช้ทบี่ ้าน ๕.๗) การนาโครงการสาธารณะลงในเขตเลือกต้ังเพื่อประโยชน์ในทางการเมือง เช่น การใช้งบประมาณสาธารณะ เพอ่ื การหาเสยี งเลือกตั้ง ๖) ให้นักเรยี นแต่ละคนหาเหตกุ ารณใ์ นชวี ติ ประจาวันทเ่ี ก่ียวกับผลประโยชน์ทับซอ้ นจากข่าว ในหนังสอื พิมพ์หรืออินเทอร์เนต็ ตามประเภทของผลประโยชนท์ บั ซอ้ นให้ไดม้ ากทสี่ ุด ๗) ครแู ละนักเรียนร่วมกนั ตรวจสอบความถูกต้องของเหตุการณ์ที่เกย่ี วกับผลประโยชนท์ ับ ซอ้ นในแตล่ ะประเภทร่วมกัน

- ๔๒ - 4.2 ส่ือการเรียนรู้ / แหล่งการเรยี นรู้ 1) ใบความรู้ เร่อื ง ประเภทของผลประโยชนท์ ับซ้อน 2) ใบงาน เร่ือง การหาเหตุการณใ์ นชีวติ ประจาวนั ที่เก่ียวกบั ผลประโยชนท์ บั ซ้อน 5. การประเมินผลการเรยี นรู้ 5.1 วธิ ีการประเมิน ๑) ตรวจสอบผลงานการทาผังมโนทัศน์ ๒) ตรวจผลงานการทาใบงาน เร่อื ง การหาเหตุการณ์ในชวี ิตประจาวนั ท่เี ก่ยี วกับผลประโยชน์ทบั ซ้อน 5.2 เคร่ืองมือทีใ่ ช้ในการประเมิน ๑) แบบประเมนิ ผังมโนทัศน์ เร่อื ง ประเภทของผลประโยชน์ทับซอ้ น ๒) แบบตรวจผลงานการทาใบกิจกรรม เรื่อง ประเภทของผลประโยชน์ทบั ซ้อน 5.3 เกณฑก์ ารตดั สิน ๑) นกั เรียนผา่ นการประเมิน ระดับดขี นึ้ ไป ๒) นกั เรียนยกตวั อย่างประเภทของประโยชนท์ ับซ้อนได้ ๕ ประเภทขน้ึ ไป ถือว่าผ่าน 6 บนั ทกึ หลังการจดั การเรียนรู้ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ลงชอ่ื ................................................ ครูผูส้ อน (.................................................)

7. ภาคผนวก - ๔๓ - ใบความรู้ เรื่อง ประเภทของผลประโยชนท์ ับซอ้ น ชอ่ื .......................................................สกลุ .......................................................เลขที่..............ช้นั ................ รปู แบบของผลประโยชน์ทับซอ้ น แบง่ ออกเป็น 7 รูปแบบ ไดแ้ ก่ 1. การรับผลประโยชน์ตา่ งๆ คอื การรับสนิ บน หรอื ผลประโยชน์ในรูปแบบอื่นๆ ท่ีไม่เหมาะสมและมผี ลต่อการปฏิบตั งิ านของเจ้าหนา้ ท่ี เช่น หน่วยงานราชการรับเงินบริจาคสร้างสานักงานจากนักธุรกิจหรือบริษัทธุรกิจที่เป็นคู่สัญญากับหน่วยงาน การใช้งบประมาณ ของรัฐเพ่อื จดั ซื้อจดั จา้ งแล้วเจา้ หนา้ ท่ไี ดร้ ับของแถมหรือผลประโยชน์อืน่ ตอบแทน 2. การทาธุรกิจกับตัวเองหรอื เปน็ คู่สัญญา คอื สถานการณท์ ี่เจ้าหนา้ ที่ของรฐั มสี ว่ นไดเ้ สียในสัญญาท่ีทากับหน่วยงานที่ตนสังกัด เชน่ การใช้ตาแหน่งหน้าท่ีที่ทาให้หน่วยงานทาสัญญาซ้ือสินค้าจากบริษัทของตนเองหรือจ้างบริษัทของตนเอง เปน็ ทีป่ รกึ ษา หรอื ซือ้ ท่ีดิน ของตนเองในการจัดสร้างสานกั งาน 3. การทางานหลงั จากออกจากตาแหนง่ สาธารณะหรอื หลงั เกษียณ คือ การที่บุคลากรออกจากหน่วยงานของรัฐ และไปทางานในบริษัทเอกชนท่ีดาเนินธุรกิจประเภทเดียวกับ ท่ตี นเองเคยมีอานาจควบคมุ กากับ ดแู ล 4. การทางานพเิ ศษ เช่น เจ้าหน้าทีข่ องรฐั ต้ังบริษทั ดาเนนิ ธรุ กิจท่ีเปน็ การแข่งขนั กบั หนว่ ยงานหรอื องคก์ รสาธารณะที่ตนสังกัด หรือ การรับจ้างเป็นท่ีปรึกษาโครงการโดยอาศัยตาแหน่งในราชการสร้างความน่าเชื่อถือว่าโครงการของผู้ว่าจ้าง จะไม่มปี ญั หาติดขัด ในการพจิ ารณาจากหนว่ ยงานที่ตนสังกัดอยู่ 5. การรับรขู้ อ้ มูลภายใน คอื สถานการณท์ ่ีผดู้ ารงตาแหน่งสาธารณะใช้ประโยชนจ์ ากการรขู้ อ้ มูลภายในเพ่ือประโยชน์ของตนเอง เช่น ทราบว่าจะมีการตัดถนนไปตรงไหนก็รีบไปซ้ือที่ดินโดยใส่ช่ือภรรยา หรือทราบว่าจะมีการซื้อท่ีดินเพ่ือทา โครงการของรัฐก็รีบไปซื้อที่ดนิ เพ่อื เก็งกาไรและขายให้กบั รฐั ในราคาที่สงู ข้นึ 6. การใช้ทรัพย์สนิ ของหนว่ ยงานเพือ่ ประโยชน์ของธุรกจิ ส่วนตวั เชน่ การนาเครื่องใช้สานกั งานตา่ งๆกลับไปใช้ท่ีบ้าน การนารถยนตใ์ นราชการไปใช้เพอ่ื งานส่วนตัว 7. การนาโครงการสาธารณะลงในเขตเลอื กตงั้ เพื่อประโยชนใ์ นทางการเมือง เช่น การที่รัฐมนตรีอนุมัติโครงการของกระทรวงไปลงในพ้ืนที่หรือบ้านเกิดของตนเอง หรือการใช้งบประมาณ สาธารณะ เพอื่ การหาเสียงเลือกตัง้

- ๔๔ - ใบงาน เรอ่ื ง ประเภทของของผลประโยชน์ทับซอ้ น ชือ่ ...............................................................สกลุ ..............................................เลขที่...................ช้นั ............... จงยกตัวอย่างเหตุการณ์ผลประโยชนท์ บั ซ้อนทน่ี ักเรยี นเคยพบเหน็ ตามประเภทของผลประโยชนท์ บั ซ้อนท่ี กาหนดให้ถูกตอ้ งและเหมาะสม 1. การรับผลประโยชน์ตา่ งๆ ………………………………………………………… ………………………………………………………… ………………………………………………………… ………………………………………………………… 2. การทาธุรกิจกบั ตัวเอง ……………………………………………………… 7. การนาโครงการสาธารณะลงในเขต …… ……………………………………………………… เลอื กตง้ั เพ่ือประโยชนใ์ นทางการเมอื ง ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… …… ……………………………………………………… 3. การทางานหลังจากออกจาก ……………………………………………………… ……………………………………………………… ตาแหนง่ สาธารณะหรอื หลงั เกษียณ … ……………………………………………………… 6. การใช้ทรัพย์สินของหน่วยงานเพ่ือ ……………………………………………………… ประโยชน์ของธรุ กจิ ส่วนตวั ……………………………………………………… ………………………………………………………… ……………………………………………………. ………………………………………………………… ………. ………………………………………………………… …………………………………………………..…… 4. การทางานพิเศษ …… …………………………………………………………… 5. การรบั ร้ขู ้อมูลภายใน …………………………………………………………… ……………………………………………………………………… …………………………………………………………… ……………………………………………………………………… …………………………………………………………… ……………………………………………………………………… ….… …………………………………………………………………..… ……

เกณฑก์ ารให้คะแนน ที่ ชอ่ื -สกลุ คะแนน ๓๖ – ๔๐ 5 5 5 5 5 5 5 5 40 ผ่าน ไมผ่ ่าน เลอื กใช้ผังมโนทัศนเ์ หมาะสม - ๔๕ - คะแนน ๓๒ – ๓๕ ความสวยงามประณีตของผงั มโนทศั น์ แบบประเมนิ ผังมโนทศั น์ คะแนน ๒๐ – ๓๑ รายละเอยี ดเหมาะสม คะแนน ตา่ กว่า ๒๐ สาระถูกตอ้ ง การสะกดคา เครอ่ื งหมาย การใช้ภาษาถูกตอ้ ง ระดับ ดีเยยี่ ม องค์ประกอบของผงั มโนทศั น์ครบถว้ นตามที่ ระดับ ดี กาหนด ระดบั พอใช้ การนาเสนอข้อมูลดูง่ายนา่ สนใจ ระดบั ปรับปรุง ขอ้ มูลทน่ี าเสนอชดั เจนถูกตอ้ ง รวม ผลการประเมนิ

- ๔๖ - แบบบันทึกคะแนนใบงาน ที่ ช่อื -สกลุ จานวนข้อท่ี คะแนน ผลการประเมิน ถกู ต้อง ผ่าน ไมผ่ ่าน

- ๔๗ - หนว่ ยท่ี ๒ ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทจุ รติ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook