Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 200264 การเรียนรู้เชิงรุกเสริมสมรรถนะด้วยวิธีและเทคนิคการสอนหลากหลาย 20 ก.พ.

200264 การเรียนรู้เชิงรุกเสริมสมรรถนะด้วยวิธีและเทคนิคการสอนหลากหลาย 20 ก.พ.

Published by อรอุมา บวรศักดิ์, 2021-03-21 08:39:31

Description: 200264 การเรียนรู้เชิงรุกเสริมสมรรถนะด้วยวิธีและเทคนิคการสอนหลากหลาย 20 ก.พ.

Search

Read the Text Version

มลมู นนิธิน ออดุ มพร-สมศักศ ดนิด์ (เซียซ่ งใชช) ศกัศ ดินดพ์ รทรพัศ ยย ประวัศตกิน ารกอช ตตั้งศ มลูม นนธิ ศิน ศกั ดนิดพ์ รทรัพศ ยย์เร่มิรน ดดดำเนนนิ กดำรครรศั้งแรกใบปีป พ.ศ.๒๕๔๙ โดยสมดำชกนิ ครอบครศัว “ศศักดิ์ดพน รทรัศพย์ย” อัศนประกอบดดว้ ย นดำยสมศักศ ด์ิดน ศกศั ดนพิด์ รทรพศั ยย์ นดำงอุดอ มพร ศกศั ดพิน์ด รทรศัพย์ย นดำยวิเน ชชียร ศกัศ ดิดน์พรทรศัพยย์ น.ส.จศันทรส์ย ินรนิ ศกัศ ดนิพ์ด รทรพัศ ยย์ นดำยวิศน ดำล ศกัศ ดิพ์นด รทรัพศ ยย์ น.ส.ศุกอ ร์ยสินรนิ ศกัศ ดพ์ดิน รทรพัศ ย์ย วนสิ ยัศ ทัศศ นย “พัศฒนดำกดำรศกศึ ษดำไทย เพรอ่ิพ ตอบแทนคอุณแผน่ผ ดินนเกดนิ และผดู้มม พีช ระคุอณ” กดำรศึศกษดำ คอพ ควดำมมศัรนิ่ คงของชดำตนิ ครมู คพอ แม่พผ ิมน พย์ของชดำติน จินตวิญน ญดำณครมู คอพ พลศังขศับเคลรพอ่ิ นของชดำติน เยดำวชน คอพ อนดำคตของชดำติน ปณธิน าน มูมลนธิน ิน ออดุ มพร-สมศัศกดิน์ด (เซ่ชยีริ งใช่ผ) ศศักดพิ์นด รทรัศพย์ย เปน็ป องค์ยกรท่ิรีชมงผอุ่ เน้ดนเพพ่ิรอยกระดศับกดำรศศึกษดำไทย ทส่ิรีช บพ สดำนเจตนดำรมณขย์ องบอุพกดำรชใี นกดำรทดด ำ ควดำมดชี เพพอ่ริ ตอบแทนสังศ คมอยดผ่ ำงต่ผอเนพอิ่ร งและยงศั่ิร ยพน เปป้าหมาย ๑. พัฒศ นาศศักยภาพครูมผผูมส้ อน บคอุ ลากรทางการศึกศ ษา ในระดบัศ ชนศั้ร ปฐมวยัศ ประถมศกึศ ษดำและ มศัธยมศศึกษดำ ใหด้มีคช วดำมรดูมค้ วดำมชดด ำนดำญทดำง วินชดำกดำร ๒. พฒศั นาศัศกยภาพบุอคลากรทางการศศึกษาและผมูผ้บรินหารสถานศศกึ ษา ให้ดมคชี วดำมรมดู้ควดำมชดดำนดำญ ทดำงวนิชดำกดำรและกดำรบรนิหดำรท่มิรชี ชี ประสทนิ ธนภิ ดำพ ๓. จศัดตงตั้ศ คลงัศ ความรู้ผม (Knowledge Center) ท่ิจีชร ศัดรวบรวมเนรัพ้อหดำจดำกกดำรอบรมในหลศกั สมตู ร ตด่ผ ำง ๆ เขดด้ ำเป็ปนหมวดหมูผแ่ม บ่งผ ตดำมสดำระกดำร เรียช นร้ดูม รวบรวมขด่ผ ำวสดำรต่ผดำง ๆ ทัรง้ศ ของภดำครฐศั และ เอกชนทีชเิร่ ป็นป ประโยชน์ยต่อผ กดำรศกึศ ษดำ ตลอดจนจดัศ ทดด ำ E-learning ตศั้งร แตช่ผ นร้ัศ ปฐมวศัย ประถมศึศกษดำ มัศธยมศกศึ ษดำ อดำชีชวศศกึ ษดำ และอดอุ มศกศึ ษดำ โดยเบัร้พองตดน้ จะทดด ำกดำรพัศฒนดำ E-learning สดดำหรัศบชนรศั้ ปฐมวัศยและประถมศึศกษดำกอผ่ น ๔. มอบทอนุ การศกศึ ษา “วาช ทคีซ่ รูไม ทยสถมชู ี่นนซิ กกาเนดนิ ” มูลม นนิธนิอุอดมพร-สมศัศกดิดน์ (เซย่ิรีช งใช่ผ) ศกศั ดดพ์นิ รทรศัพยย์ รว่ผ มกบัศ บรษิน ทศั เอสเอสยูมพชี (ประเทศไทย) จดด ำกดัศ ผ้มูดผลิตน เคร่รพอิ งสดด ำอดำงภดำยใต้ดแบรนดย์ Oriental Princess มอบทุอนกดำรศึกศ ษดำตลอดหลกศั สูมตร จดด ำนวน ๗๗ ทนุอ ใหกด้ บศั นัศกเรยีช นทีช่ิรมีคช ะแนนสอบเข้ดด ำเปป็นอนศั ดบัศ ท่ิรีช ๑ ในคณะครศุอ ดำสตร์ย หรอพ ศึศกษดำศดำสตรย์ จงัศ หวดศั ละ ๑ ทอนุ ในปกปี ดำรศึกศ ษดำ ๒๕๖๑ และจะมอบให้ทด ุกอ ปจปี นกวด่ผ ำจะมกีช ดำรเปลรี่ิชยนแปลง ๕. มอบทนุอ การศึกศ ษา “พยาบาลคนืค ถนน่ิีซ กกาเนนดิ ” มลมู นินธนอิ ุดอ มพร-สมศกัศ ดิดน์ (เซ่ิรีชยงใชผ่) ศศักดพ์ดนิ รทรศพั ยย์ รผ่วมกับศ บริษน ศทั เอสเอสยูมพีช (ประเทศไทย) จดด ำกัดศ ผูมผ้ด ลิตน เครอ่ิรพ งสดดำอดำงภดำยใตแด้ บรนด์ย Cute Press มอบทอนุ กดำรศึศกษดำตลอดหลกัศ สตมู ร จดด ำนวน ๗๗ ทุอน ใหด้กับศ นศกั เรยีช นพยดำบดำลที่ชิรผ่ผดำนกดำรคดัศ เลพอกเขด้ด ำศึศกษดำในวทิน ยดำลยัศ พยดำบดำล/วินทยดำลยศั พยดำบดำลบรมรดำชชนนีช สถดำบศนั พระบรมรดำชชนก ทริช่มี ชคี ะแนนสอบเข้ดดำเป็นป อศันดัศบทิรีช่ ๑ จังศ หวัศดละ ๑ ทุอน เร่นมิร ปกีป ดำรศศึกษดำ ๒๕๖๒ และจะมอบให้ด ทอุกปปีจนกวด่ผ ำจะมชกี ดำรเปลย่ิชรี นแปลง หมายเหตุอ • ทอุกโครงกดำร ทุกอ กจิน กรรม มมูลนินธนิ อดอุ มพร-สมศักศ ดดิน์ (เซรชีย่ิ งใช่ผ) ศศกั ดพ์ิดน รทรัพศ ยย์ ใหก้ด ดำรสนศบั สนุอนโดยไมคผ่ ดนิ มูลม คดผ่ ำ • มูลม นนิธนิ ออุดมพร-สมศศักดิด์น (เซรีชยิ่ งใช่ผ) ศัศกดพิด์น รทรพัศ ย์ย ไมผร่ บศั บรจิน ดำคท้ัรศงเงินน และสน่ิรงของ อชกี ทงรั้ศ สิ่งนร ตอบแทนใด ๆ ทกอุ กรณีช • กดำรอบรมทอุกครรงศ้ั มชกี ดำรถผด่ ำยทอด Online ทดำง YouTube Live เพิรอพ่ ให้ดครูมและผ้ดมูสนใจทัศิวร่ ประเทศสดำมดำรถเรีชยนไปพรอ้ด มกบศั ครูมในหด้องเรยชี น • ทดำยดำททกุอ รอผุ่นของผ้ดมูก่ผอต้ังศร มูมลนธิน นิ ฯ จะถอพ หลกศั ปฏบนิ ัศตตนิ ดำมปณธนิ ดำนทิีร่ชไดดต้ งรัศ้ ไวต้ด ลอดไป ๒๓/๒/๖๒

บดิ าและมารดา เปน ผใู หช วี ติ กบั เรา อบรมสง่ั สอนเลย้ี งดู ทมุ เท ใหท กุ สรรพสง่ิ กบั เรา ดงั นน้ั จงปฏญิ าณกบั ตนเองวา ในชวี ติ นต้ี อ งตอบแทนบญุ คณุ บดิ าและมารดา ใหบ ดิ าและมารดาภาคภมู ใิ จวา มลี กู คนน้ี ใหพ น่ี อ งมคี วามภาคภมู ใิ จวา มญี าตพิ น่ี อ งคนน้ี ใหเ พอ� นฝงู มคี วามภาคภมู ใิ จวา มเี พอ� นคนน้ี ใหค นไทยมคี วามภาคภมู ใิ จวา มคี นไทยคนน้ี ใหผ บู งั คบั บญั ชามคี วามภาคภมู ใิ จวา มลี กู นอ งคนน้ี ใหผ ใู ตบ งั คบั บญั ชามคี วามภาคภมู ใิ จวา มหี วั หนา คนน้ี มนษุ ยต อ งมเี ปา หมายชวี ติ ตอ งซอ� สตั ย ตอ งรบั ผดิ ชอบ ตอ งมงุ มน่ั กบั เปา หมาย อปุ สรรค คอื ทม่ี าของประสบการณ ปญ หา คอื ทม่ี าของปญ ญา ความมงุ มน่ั คอื ความสำเรจ็ บรรลเุ ปา หมาย ชวี ติ คอื การตอ สู ชวี ติ คอื การเสาะแสวงหาโอกาส ถา ละเลยเปน การทำลายโอกาสของชวี ติ และครอบครวั ความเกง กาจเกดิ จากการเรยี นรู ความชำนาญเกดิ จากการฝก ฝน หนทางอยทู ก่ี ารเสาะแสวงหา ความสำเรจ็ อยทู ค่ี วามมงุ มน่ั เราเลอื กเกดิ ไมได แตเ รามงุ มน่ั ใหเ กดิ สง่ิ ทเ่ี ราตอ งการได มนษุ ยท กุ คนมโี อกาส เปน ทง้ั คนมง่ั มี และคนจน เปน ทง้ั เจา ของกจิ การ และลกู จา ง เปน ทง้ั คนมกี ารศกึ ษาดี และไมม กี ารศกึ ษา เปน ทง้ั คนทผ่ี อู น� ชน� ชม และไมช น� ชม เราตอ งการอะไรจากผอู น� ...ตอ งทำสง่ิ นน้ั ใหก บั ผอู น� กอ น เชน ตอ งการใหค นอน� ยม้ิ ...เราตอ งยม้ิ ใหก อ น ตอ งการใหค นอน� พดู จาด.ี ..เราตอ งพดู จาดกี อ น ตอ งการใหค นอน� กรยิ ามารยาทด.ี ..เราตอ งทำใหก อ น ตอ งการใหค นอน� ชน� ชอบเรา...เราตอ งมนี ำ้ ใจใหก อ น

เราไมช อบสง่ิ ใด ตอ งไมท ำสง่ิ นน้ั กบั คนอน� เชน เราไมช อบคนไมซ อ� สตั ย. ..เราตอ งซอ� สตั ย เราไมช อบคนอวดดอี วดเกง ...เราตอ งนอบนอ มถอ มตน เราไมช อบคนโกหกมดเทจ็ ...เราตอ งไมโ กหกมดเทจ็ เราไมช อบคนขาดความรบั ผดิ ชอบ...เราตอ งมคี วามรบั ผดิ ชอบ จงยดึ มน่ั ในจรยิ ธรรม คณุ ธรรม ศลี ธรรม เมตตาธรรม และนติ ธิ รรม ในการดำรงชวี ติ ครอบครวั และหนา ทก่ี ารงาน จะมคี วามผาสกุ และเจรญิ รงุ เรอื ง ทกุ สรรพสง่ิ นน้ั คนเองเปน ตน เหตทุ ง้ั สน้ิ การเดนิ ทาง ตอ งศกึ ษารอบคอบกอ น จงึ คอ ยเรม่ิ ตน คำพดู ตอ งคดิ รอบคอบกอ น จงึ คอ ยพดู การงาน ตอ งวางแผนชดั เจนกอ น จงึ คอ ยลงมอื ทำ ขอ มลู ขา วสาร ตอ งพสิ จู นก อ น จงึ คอ ยเชอ� เพอ� นฝงู ตอ งศกึ ษาอยา งรอบคอบกอ น จงึ คอ ยคบ นำ้ ใจ...มคี ณุ คา มากกวา ...เงนิ ทอง คณุ ธรรม...มคี ณุ คา มากกวา ...นำ้ ใจ ภาพลกั ษณ. ..มคี ณุ คา มากกวา ...ชวี ติ จรยิ ธรรม...มคี ณุ คา มากกวา ...ภาพลกั ษณ หากพอเพยี ง พอใจ ในสง่ิ ทม่ี อี ยจู ะเกดิ ความสขุ หากไมพ อใจในสง่ิ ทม่ี อี ยจู ะเกดิ ความทกุ ข มนษุ ยท กุ คนเกดิ มามแี ตร า งกาย เวลาสน้ิ บญุ เหลอื แตก ระดกู ความดี และศกั ดศ์ิ รี เปน คณุ คา ทส่ี ำคญั ของมนษุ ย 1 นาท.ี ..สามารถซอ้ื ทองไดไ มจ ำกดั แตท องไมจ ำกดั ไมส ามารถซอ้ื ...1 นาที ได วนั น้ีใชจ า ยสง่ิ ของท่ีไมจ ำเปน ตอ ชวี ติ วนั ขา งหนา ตอ งขายสง่ิ ทจ่ี ำเปน ตอ ชวี ติ อาหารนำ้ ดม� เปน สง่ิ จำเปน ตอ ชวี ติ นำ้ ดม� และ อาหาร ถา ไมศ กึ ษาอยา งถอ งแท กจ็ ะเปน พษิ ตอ รา งกาย โรคภยั ไดเ จบ็ มาจากนำ้ ดม� อาหาร และสง่ิ แวดลอ ม มนษุ ยม หี นา ทต่ี อ งดแู ลสขุ ภาพดว ยตนเอง กอ นทจ่ี จะไปใหห มอรกั ษา เมอ� สขุ ภาพไมด ี ทำใหเ ครอื ญาตเิ ปน หว ง กงั วล เปน ภาระ มลู นธิ ศิ กั ดพ์ิ รทรพั ย 06/2557

การเรยี นรู้เชงิ รุกเสรมิ สมรรถนะ ดว้ ยวธิ ีและเทคนคิ การสอนหลากหลาย รองศาสตราจารย์ ดร.พมิ พันธ์ เดชะคปุ ต์ รองศาสตราจารยพ์ เยาว์ ยินดสี ุข คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั

การเรียนร้เู ชงิ รกุ เสรมิ สมรรถนะด้วยวธิ แี ละเทคนิคการสอนหลากหลาย | 1 รศ.ดร.พมิ พันธ์ เดชะคุปต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดีสุข สารบญั บทนา หนา้ 1. นโยบายการศึกษาของชาติและกรอบสมรรถนะ 2 2. สมรรถนะกับการสรา้ งสมรรถนะ 4 3. การเรยี นร้เู ชิงรกุ 9 4. การเตรยี มการจัดการเรียนรู้ 13 5. กรณีตวั อยา่ งการจดั การเรยี นร้ดู ้วย Co-5STEPs 15 32 6. วิธีและเทคนคิ การสอนหลากหลาย 53 7. กรณีตวั อย่างการออกแบบการเรยี นการสอนตามแนว LOE 55 8. การวิเคราะห์ และการนาเสนอ 61 9. ประวัตวิ ิทยากร 63

การเรียนร้เู ชงิ รกุ เสรมิ สมรรถนะดว้ ยวธิ ีและเทคนิคการสอนหลากหลาย | 2 รศ.ดร.พมิ พันธ์ เดชะคปุ ต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดสี ขุ บทนา ทักษะ 7C1 ของครูมืออาชีพในยุค 4.0 ไม่เพียงพอ ครูมืออาชีพต้องมีทักษะการนิเทศเชิงรุกเพ่ิมหรือ ครูอาชีพในยคุ 4.0 ต้องมีทักษะ 8C ดังน้ี ทักษะ 8C ดังกลา่ วเมือ่ นามาจัดกลุ่มใหม่ ผู้เขยี นได้นามาจดั แบ่งเป็น 3 กลุม่ ดังนี้

การเรียนร้เู ชงิ รุกเสริมสมรรถนะด้วยวิธแี ละเทคนคิ การสอนหลากหลาย | 3 รศ.ดร.พมิ พนั ธ์ เดชะคุปต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดีสขุ ทักษะ 8C ของครูมืออาชีพกบั ตวั ชว้ี ัดของความเป็นครูมอื อาชีพ 3 กลมุ่ ทกั ษะ ตัวช้ีวัด กลุ่มที่ 1 พฒั นา หรอื สร้างหลกั สตู รระดบั รายวชิ า C1 1) การสรา้ งและพัฒนาหลกั สตู ร ทกั ษะการพัฒนาและสร้างหลกั สตู ร กลุ่มท่ี 2 การจัดการเรยี นรู้เชงิ รกุ แบบรวมพลงั 2) การจดั การเรียนรู้ C2 การจัดการเรยี นรู้เน้นผเู้ รยี นเปน็ สาคญั 2.1 การออกแบบหน่วยการเรยี นรู้ C3 2.2 การเตรียมการจัดการเรียนรู้ การใชน้ วตั กรรมการสอน C4 1) การวิเคราะหผ์ ้เู รียน การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 2) การออกแบบการเรียนการสอนผ่านเนอ้ื หาสาระ C5 การวจิ ัย ทเ่ี น้นองคค์ วามรู้ (Body of knowledge) C6 การจดั การชน้ั เรยี น 3) การเขียนแผนการจัดการเรยี นรู้โดยใชน้ วัตกรรม C7 การพัฒนาคณุ ลักษณะและคา่ นิยมของครแู ละเดก็ การสอนอย่างหลากหลาย กลุม่ ท่ี 3 การนเิ ทศเชงิ รกุ C8 4) เตรยี มการจดั การช้ันเรียน การนเิ ทศเชิงรกุ 2.3 การประเมินผลการเรยี นรขู้ องผู้เรียน 2.4 การวิจัยปฏบิ ัตกิ ารในช้นั เรยี นเพ่อื สรา้ งนวตั กรรม สรุป การปฏิบตั ิงานของครูมอื อาชีพ 1. การพัฒนาตนเองดา้ นวิชาการ และท่ไี ม่ใช่วิชาการ คือ คณุ ธรรม และจริยธรรมของความเปน็ ครู 2. การพัฒนาวิชาชีพอย่างตอ่ เน่ือง ทัง้ ด้านวิชาการและ ไม่ใช่วิชาการผ่านการนิเทศเชิงรกุ การสอนงานแบบพี่ เลย้ี งโดยชุมชนแหง่ การเรยี นรูท้ างวิชาชพี (PLC) เป็น การพัฒนาครูเน้นระเบิดใน (inside-out) แทนการบอก เล่า สัง่ ให้ทา ใหป้ ฏบิ ตั ิ ซ่ึงเรียกง่าย ๆ วา่ แบบ outside-in ด้านที่ 1 ด้านการจัดการเรียนรูแ้ ละการจดั การชน้ั เรยี น หลกั ฐานสาคัญ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ทใี่ ช้จดั การเรียนรู้ 2) วีดิทัศน์ทแี่ สดงให้เห็นถงึ สภาพปญั หา ท่ีมาหรอื แรงบนั ดาลใจในการจดั การเรยี นรตู้ ามขอ้ 1 ดา้ นที่ 2 ด้านผลลัพธก์ ารเรยี นรู้ของผ้เู รียน พิจารณาจากผลสมั ฤทธก์ิ ารเรียนรู้ และผลผลิต/ผลงาน/ ช้นิ งานทไ่ี ด้จากการประยุกต์

การเรยี นรู้เชิงรุกเสรมิ สมรรถนะด้วยวธิ ีและเทคนคิ การสอนหลากหลาย | 4 รศ.ดร.พมิ พนั ธ์ เดชะคปุ ต์รศ.พเยาว์ ยินดีสุข 1. นโยบายการศึกษาของชาติและกรอบสมรรถนะ 1.1 มาตรฐานการศกึ ษาของชาติในรปู แบบของผลลพั ธท์ ีพ่ งึ ประสงค์ ผลลัพธ์ท่ีพึงประสงค์ของการศึกษา ( Desired Outcomes of Education: DOE Thailand) หมายถึง คุณลักษณะของคนไทย 4.0 ที่ตอบสนองวิสัยทัศน์การพฒั นาประเทศสู่ ความม่ันคง ม่ังคั่ง ย่ังยืน โดยคนไทย 4.0 จะต้อง ธารงความเป็นไทย และแข่งขันได้ในเวทีโลก น่ันคือเป็นคนดี มีคุณธรรม ยึดค่านิยมร่วมของ สังคมเปน็ ฐานในการพฒั นาตนใหเ้ ปน็ บุคคลทมี่ ีคุณลักษณะ 3 ดา้ น โดยเปน็ คณุ ลกั ษณะข้นั ต่าดังต่อไปนี้ 1) ผเู้ รยี นรู้ เป็นผู้มคี วามเพียร ใฝเ่ รยี นรู้ และมที กั ษะการเรียนรตู้ ลอดชีวติ เพอ่ื กา้ วทนั โลกยุคดจิ ิทลั และ โลกในอนาคต และมีสมรรถนะ (competency) ที่เกิดจากความรู้ ความรอบรู้ด้านต่าง ๆ มีสุนทรียะ รักษ์ และ ประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาไทย มีทักษะชีวิตเพื่อสร้างงาน หรือสัมมาอาชีพ บนพ้ืนฐานของความพอเพียง ความ ม่นั คงในชวี ิต และคุณภาพชีวติ ทดี่ ี ตอ่ ตนเอง ครอบครัว และสงั คม 2) ผ้รู ว่ มสร้างสรรคน์ วัตกรรม เป็นผู้มีทักษะทางปัญญา ทักษะศตวรรษที่ 21 ความฉลาดดิจิทัล (digital intelligence) ทักษะ การคดิ สรา้ งสรรค์ ทักษะข้ามวฒั นธรรม สมรรถนะการบรู ณาการข้ามศาสตร์ และมคี ณุ ลักษณะของความเป็น ผู้ประกอบการ เพ่ือร่วมสร้างสรรค์ และพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยี หรือสังคม เพ่ือมโอกาสและมูลค่า ใหก้ บั ตนเอง และสงั คม

การเรียนร้เู ชิงรกุ เสริมสมรรถนะดว้ ยวิธแี ละเทคนคิ การสอนหลากหลาย | 5 รศ.ดร.พิมพันธ์ เดชะคุปต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดีสขุ 3) พลเมอื งท่ีเขม้ แข็ง เป็นผู้มีความรักชาติ รักทอ้ งถ่นิ รู้ถูกผิด มจี ติ สานึกเปน็ พลเมืองไทย และพลโลก มีจติ อาสา มี อุดมการณ์ และมีส่วนร่วมในการพัฒนาชาติ บนหลักการประชาธิปไตย ความยุติธรรม ความเท่าเทียม เสมอภาค เพื่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดล้อมท่ีย่ังยืน และการอยู่ร่วมกันในสังคมไทย และ ประชาคมโลกอย่างสนั ติ การพฒั นาเด็กไทย เยาวชนไทย คนไทย ใหผ้ ลลพั ธ์ท่พี งึ ประสงคข์ องการศกึ ษาให้เป็นผมู้ ีผลลพั ธ์ ดงั น้ี 1.ผู้เรียนรู้ 2. ผู้ร่วมสร้างนวัตกรรม 3. เป็นพลเมืองเข้มแข็ง กอรปด้วยค่านิยมร่วม 4 ประการ คือ 1. ความ เพยี รอนั บริสุทธ์ิ 2. ความพอเพียง 3. วิถีประชาธปิ ไตย 4. ความเทา่ เทยี ม 1.2 แนวทางการนามาตรฐานการศกึ ษาของชาตสิ ู่การปฏบิ ตั ิ 1) เชือ่ มโยงมาตรฐานการศกึ ษาส่กู ารกาหนดนโยบายการศึกษาของชาติไทย (DOE) 2) เช่อื มโยงสู่การพฒั นาหลักสตู รเป็นหลักสตู รเนน้ สมรรถนะ และทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ในการ จัดกิจกรรมการเรยี นการสอน เน้นการเรียนการสอนอิงสมรรถนะ การเรียนรแู้ บบเชิงรุกด้วยการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศ และดิจิทัล ส่วนการประเมินผลอิงมาตรฐาน และการให้ข้อมูลย้อนกลับในการพัฒนาสมรรถนะ ผ้เู รียน 3) เชื่อมโยงสู่การประกันคุณภาพการศึกษา โดยมีระบบการประกันคุณภาพทั้งภายใน และ ภายนอก โดยการประกนั คณุ ภาพภายในดาเนนิ การโดยสถาบนั การศึกษาเอง แตก่ ารประเมินคุณภาพภายนอก มีหนว่ ยงานทรี่ ับผิดชอบโดยตรง สาหรับการดาเนินการจัดการศึกษาในประเทศไทย โดยเฉพาะเร่ืองการประกนั คุณภาพการศึกษา ระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน และเมื่อพิจารณาการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของสถานศึกษาได้มีการ กาหนดมาตรฐาน และประเด็นการพิจารณา ในที่นขี้ อนาเสนอ 3 มาตรฐาน ดงั น้ี มาตรฐานที่ 1 คณุ ภาพของผู้เรยี น มาตรฐานท่ี 2 กระบวนการบริหารและการจดั การ มาตรฐานที่ 3 กระบวนการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นผูเ้ รียนเปน็ สาคัญ โดยมรี ายละเอียดประเด็นการพจิ ารณาในแตล่ ะมาตรฐาน ดังน้ี

การเรยี นรู้เชงิ รุกเสรมิ สมรรถนะด้วยวธิ ีและเทคนิคการสอนหลากหลาย | 6 รศ.ดร.พิมพันธ์ เดชะคปุ ต์รศ.พเยาว์ ยินดีสขุ มาตรฐานที่ 1 คณุ ภาพของผ้เู รียน 1.1 ผลสมั ฤทธ์ิทางวิชาการของผเู้ รยี น 1) มีความสามารถในการอา่ น การเขยี น การส่อื สาร และการคดิ คานวณ 2) มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ อภิปรายแลกเปล่ียนความ คิดเห็น และแก้ปัญหา 3) มีความสามารถในการสร้างนวตั กรรม 4) มคี วามสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ และการสื่อสาร 5) มีผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นตามหลักสูตรสถานศกึ ษา 6) มีความรู้ ทักษะพนื้ ฐาน และเจตคติทด่ี ีตอ่ งานอาชพี 1.2 คุณลักษณะทพี่ งึ่ ประสงคข์ องผู้เรียน 1) มีคุณลกั ษณะ และค่านยิ มทดี่ ีตามท่ีสถานศึกษากาหนด 2) ความภาคภูมใิ จในทอ้ งถ่ิน และความเปน็ ไทย 3) การยอมรบั ทจี่ ะอยู่รว่ มกันบนความแตกต่าง และหลากหลาย 4) สขุ ภาวะทางร่างกาย และจิตสงั คม มาตรฐานท่ี 2 กระบวนการบรหิ าร และการจดั การ 2.1 มีเป้าหมายวิสัยทัศน์ และพนั ธกจิ ท่สี ถานศึกษากาหนดชัดเจน 2.2 มีระบบบริหารจดั การคุณภาพของสถานศึกษา 2.3 ดาเนินงานพัฒนาวิชาการท่ีเน้นคุณภาพผู้เรียนรอบด้านตามหลักสูตรสถานศึกษา ทุก กล่มุ เป้าหมาย 2.4 จดั สภาพแวดลอ้ มทางกายภาพ และสงั คมท่เี อื้อต่อการจดั การเรียนร้อู ยา่ งมคี ณุ ภาพ 2.5 จดั ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพอ่ื สนบั สนุนการบริหารจดั การ และการจัดการเรียนรู้ มาตรฐานท่ี 3 กระบวนการจดั การเรยี นการสอนที่เน้นผเู้ รียนเป็นสาคญั 3.1 จัดการเรยี นรผู้ ่านกระบวนการคิด และปฏบิ ัติจริง และสามารถนาไปประยุกต์ใช้ในชีวติ ได้ 3.2 ใช้สือ่ เทคโนโลยีสารสนเทศ และแหล่งเรยี นรู้ท่ีเอื้อต่อการเรียนรู้ 3.3 มกี ารบริหารจัดการชัน้ เรียนเชิงบวก 3.4 ตรวจสอบ และประเมินผ้เู รยี นอยา่ งเปน็ ระบบ และนาผลมาพัฒนาผเู้ รยี น 3.5 มีการแลกเปลยี่ นเรียนรู้ และใหข้ ้อมูลสะทอ้ นกลับเพ่อื พัฒนา และปรับปรงุ การจัดการเรียนรู้ เมื่อพิจารณาประเด็นพิจารณาตามมาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2561 ประเด็นพิจารณาน่าจะ เป็นดังนี้ (แนวคิดของรศ.ดร.พิมพันธ์ เดชะคปุ ต,์ 2563)

การเรียนรเู้ ชิงรกุ เสรมิ สมรรถนะด้วยวธิ แี ละเทคนิคการสอนหลากหลาย | 7 รศ.ดร.พิมพนั ธ์ เดชะคุปต์รศ.พเยาว์ ยินดสี ขุ 1. คณุ ภาพของผู้เรยี น 1.1 ผลลพั ธ์การเรยี นรขู้ องผู้เรียน  เนน้ การเป็นผ้เู รยี นรู้  เปน็ ผู้ร่วมสร้างนวัตกรรม  เปน็ ผูม้ สี มรรถนะตามหลักสูตรอิงสมรรถนะกาหนด 1.2 คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ของผ้เู รียน  การเป็นพลเมืองเขม้ แขง็  การเป็นผมู้ คี ่านยิ มรว่ มตามกาหนด 2. กระบวนการบริหารและการจัดการ  การพัฒนาครดู ว้ ยกระบวนการนิเทศแนวใหม่ เชน่ ชมุ ชนแห่งการเรยี นรู้ทางวชิ าชพี  การพัฒนาคุณภาพผูเ้ รียนให้มสี มรรถนะตามหลักสูตรสถานศกึ ษา  การบรหิ ารจัดการบรรยากาศการเรยี นรู้  การบริหารจดั ระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ จดั เตรยี มแหล่งเรยี นรู้  พัฒนานวตั กรรมการบรหิ ารของสถานศึกษา 3. กระบวนการจัดการเรียนร้เู ชงิ รกุ แบบรวมพลงั  การออกแบบและจัดการเรยี นรเู้ ชิงรกุ บนฐานสมรรถนะ  การจัดการเรยี นรเู้ น้นความเทา่ เทยี มและเสมอภาค  การบริหารบรรยากาศช้นั เรยี นเชิงบวก  เปน็ ผู้สร้างนวตั กรรมการศึกษา 1.3 สมรรถนะการออกแบบและเขียนแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุกแบบรวมพลัง (Design and Writing Collaborative Active Learning Lesson Plan Competency) คือ ความเชี่ยวชาญท่ีครูในสถานศึกษาแสดงออกทางพฤติกรรมโดยมีการประยุกต์ หรือบูรณาการ ระหว่างความรู้เรื่องการจัดการเรียนรู้เชิงรุกแบบรวมพลังกับทักษะ ซ่ึงเป็นความชานาญการในการจัดการ เรียนรู้เชิงรุก การออกแบบ และการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุกแบบรวมพลัง รวมท้ังคุณลักษณะ และ นิสัยพร้อมความม่งุ มั่นในการเตรียม และปฏิบัติการจัดการเรียนรู้ด้วยจติ วิญญาณครู ซ่ึงเป็นความเช่ียวชาญท่ี สามารถออกแบบฯ เขียนแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุกแบบรวมพลังในสถานการณ์ใหม่ ในบริบทใหม่ใน สถานการณแ์ ละบรบิ ททซี่ บั ซ้อนมากขน้ึ การพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีสมรรถนะ จงึ ต้องทาอยา่ งตอ่ เนื่อง และทาไดด้ ีมีคุณภาพก็ควรตอ้ งทาผ่าน ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ มีการพัฒนาต้ังแต่มีความสามารถจนมีทักษะ หรือความชานาญการ และ พฒั นาเป็นผ้มู สี มรรถนะ หรือความเช่ียวชาญ ดังผังตอ่ ไปนี้

การเรียนรู้เชิงรกุ เสรมิ สมรรถนะด้วยวธิ ีและเทคนคิ การสอนหลากหลาย | 8 รศ.ดร.พมิ พนั ธ์ เดชะคุปต์รศ.พเยาว์ ยินดสี ขุ ผงั การพัฒนาการมีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรกุ แบบรวมพลงั 1.4 กรอบสมรรถนะ กรอบสมรรถนะหลักผู้เรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จะนาเสนอต่อไปนี้ เป็นผลงานสว่ นหนงึ่ ของโครงการวิจยั และพฒั นากรอบสมรรถนะหลกั (สกศ, 2562)

การเรยี นร้เู ชิงรุกเสรมิ สมรรถนะดว้ ยวธิ แี ละเทคนคิ การสอนหลากหลาย | 9 รศ.ดร.พมิ พันธ์ เดชะคปุ ต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดสี ุข สมรรถนะหลัก 10 สมรรถนะ 1. ภาษาไทยเพื่อการสอ่ื สาร 6. ทักษะอาชพี และการเปน็ ผูป้ ระกอบการ 2. คณติ ศาสตรใ์ นชวี ิตประจาวัน 7. ทักษะการคดิ ขัน้ สงู และนวัตกรรม 3. การสบื สอบทางวทิ ยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ 8. การรู้เทา่ ทันส่อื สารสนเทศ และดจิ ทิ ลั 4. ภาษาองั กฤษเพ่อื การส่อื สาร 9. การทางานแบบรวมพลังเป็นทีมและมีภาวะผ้นู า 5. ทักษะชีวิตและความเจรญิ แห่งตน 10. การเป็นพลเมอื งท่เี ข้มแขง็ /ตืน่ รทู้ ่ีมสี านึกสากล 2. สมรรถนะกบั การสร้างสมรรถนะ 2.1 เหตุใดคนไทยต้องมสี มรรถนะ เป้าหมายของการพัฒนาคนไทยเป็นผู้มีสมรรถนะเพื่อให้เป็นผู้มีขีดความสามารถ มีศักยภาพ ความเช่ียวชาญในการจัดการชีวิตแห่งตน ให้สามารถปฏิบัติงานอย่างมีคุณภาพ ได้ผลงานได้นวัตกรรม ใน การประกอบสมั มาอาชพี อยแู่ บบอยดู่ ี มีสขุ (well being) ในสังคมยคุ 4.0 หรือยุคสังคมเปลยี่ นแปลง 2.2 สภาพปัจจบุ นั ของเดก็ ไทย-คนไทย

การเรียนรเู้ ชิงรกุ เสรมิ สมรรถนะดว้ ยวิธแี ละเทคนคิ การสอนหลากหลาย | 10 รศ.ดร.พมิ พันธ์ เดชะคปุ ต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดสี ขุ 2.3 สมรรถนะ คืออะไร สมรรถนะ คือ ขีดความสามารถ ศักยภาพ ความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติงานได้สาเร็จ โดยมี การบรู ณาการความรู้ (K) ความสามารถ ทักษะ และเจตคติ นสิ ัย แรงจูงใจ และแรงบนั ดาลใจ และอตั มโนทัศน์ เขา้ ด้วยกัน เปน็ ศักยภาพท่สี ามารถปฏิบตั ิไดใ้ นสถานการณใ์ หม่จนถงึ สถานการณท์ ซ่ี บั ซ้อนได้ 2.4 องค์ประกอบของสมรรถนะ มอี ะไรบา้ ง 2.5 องคป์ ระกอบของสมรรถนะ องค์ประกอบของสมรรถนะ รายละเอยี ด สงั เกตไดช้ ัดเจน 1. ความรู้ ความรทู้ เี่ ปน็ แก่นของความร้ทู ่ตี อ้ งรูแ้ บบเข้าใจ คอื ความรู้ 6 ประเภท ได้แก่ 2. ความสามารถ ทักษะ 1. ขอ้ เทจ็ จรงิ 2. ค่านิยม 3. ความคดิ สาคญั 4. หลกั การ 5. กฎ 6. ทฤษฎี สงั เกตไดย้ าก/ลกั ษณะทีซ่ ้อนเรน้ 3. คุณลักษณะทพ่ี งึ ประสงค์และ ทกั ษะจาแนกตามกลมุ่ สาระการเรียนรู้ เช่น เจตคติ 1. ทกั ษะการสอ่ื สาร 2. ทกั ษะกระบวนการวทิ ยาศาสตร์ 3. ทกั ษะกระบวนการคณิตศาสตร์ 4. ทกั ษะทางสงั คมและประชาธิปไตย 5. ทกั ษะกระบวนการการสร้างงานศิลปวัฒนธรรม 6. ทักษะชีวิตและการจัดการตนเอง เป็นต้น คุณลกั ษณะพึงประสงค์ ค่านยิ ม คุณธรรม นิสัย อัตมโนทัศน์ แรงจูงใจ และแรง บนั ดาลใจ เจตคติ เปน็ ต้น

การเรียนรเู้ ชิงรกุ เสรมิ สมรรถนะดว้ ยวธิ ีและเทคนคิ การสอนหลากหลาย | 11 รศ.ดร.พิมพนั ธ์ เดชะคปุ ต์รศ.พเยาว์ ยินดีสขุ 2.6 การสร้างสมรรถนะ ผงั การบูรณาการ K, P, A ในสถานการณใ์ หม่ และสถานการณ์ซบั ซอ้ น 2.7 แนวคิดการจัดการเรยี นการสอนทีไ่ ม่สร้างสมรรถนะ และสร้างสมรรถนะผู้เรียน 2.8 รปู แบบ วธิ ี และแนวการสอนทใี่ ชเ้ พอื่ สร้างสมรรถนะ แบบทัว่ ไป ดา้ นศลิ ปะ ด้านวทิ ย์-คณิต ทุกศาสตร์ (2W 3P) ขัน้ ทา 1. Warm Up (5E Learning Cycle Model) (Co-5STEPs) ขัน้ สอน 2. Presentation + การประยุกต์ 3. Practice 1. Engagement 1. เสนอสิง่ เรา้ และรวมพลงั ระบคุ าถามสาคญั ขนั้ สรุป 4. Product 5. Wrap Up 2. Exploration 2. รวมพลงั แสวงหาสารสนเทศและวเิ คราะห์ 3. Explanation 3. รวมพลงั อภปิ รายและสร้างความรู้ 4. Elaboration 4. รวมพลังสอื่ สารและคิดสะทอ้ น 5. Evaluation 5. รวมพลังประยกุ ต์และตอบแทนสงั คม

การเรยี นรูเ้ ชงิ รกุ เสรมิ สมรรถนะด้วยวิธีและเทคนิคการสอนหลากหลาย | 12 รศ.ดร.พิมพันธ์ เดชะคปุ ต์รศ.พเยาว์ ยินดีสขุ 2.9 รูปแบบ วธิ ี และแนวการสอนที่ใช้เพ่อื สรา้ งสมรรถนะ แนวทางพัฒนาครูให้มีสมรรถนะครูมืออาชีพ เพ่ือสามารถจัดการเรียนรู้เน้นการเรียนรู้เชิงรุก เพื่อ เสรมิ สรา้ งสมรรถนะของนกั เรียนด้วยการต้องใช้ PLC อนั เป็นกลยุทธก์ ารนิเทศแนวใหม่

การเรียนรเู้ ชิงรุกเสริมสมรรถนะด้วยวธิ ีและเทคนคิ การสอนหลากหลาย | 13 รศ.ดร.พิมพันธ์ เดชะคปุ ต์รศ.พเยาว์ ยินดีสขุ 3. การเรียนรู้เชงิ รกุ (Active Learning) การเรียนรู้ (Learning) หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ (Learning Process) กับผลการเรียนรู้ (Learning Outcome) การเรียนรู้เชงิ รุก (Active Learning) คือ การท่ีผู้เรียนใช้กระบวนการเรียนรูอ้ ย่างตื่นตัว แล้วมีการ สร้างความรู้จนทาให้เกิดผลลัพธ์การเรียนรู้กับผู้เรียน กระบวนการเรียนรู้ที่ใช้ประกอบด้วยกระบวนการคิด การปฏิบัติ กระบวนการกลุ่ม และกระบวนการบ่มเพาะนิสัย จนเกิดผลลัพธ์การเรียนรู้อันประกอบด้วย ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นรู้ และมีการประยกุ ต์ได้ผลผลิต/ภาระงาน ซึ่งแสดงความมสี มรรถนะ เป้าหมายของการเรียนรู้เชิงรุกเป็นการเรียนรู้อย่างตื่นตัว มีชีวิตชีวาสู่การพัฒนาทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสตปิ ญั ญา

การเรียนรเู้ ชงิ รุกเสรมิ สมรรถนะด้วยวธิ ีและเทคนคิ การสอนหลากหลาย | 14 รศ.ดร.พิมพันธ์ เดชะคปุ ต์รศ.พเยาว์ ยินดีสุข ตัวชว้ี ดั ของการจดั การเรยี นการสอน 1) การเรียนการสอนเน้นครูเปน็ ศูนยก์ ลาง หมายถึง กระบวนการที่ครเู ป็นผู้นาเสนอ ถ่ายทอด ความรโู้ ดยตรง โดยผ้เู รยี นเปน็ ผู้รับ หรือผ้ฟู งั 2) การเรียนรู้เชิงรุก หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ที่เน้นการลงมือปฏิบัติอย่างต่ืนตัว และสร้าง ความรู้ดว้ ยตัวเอง จากนั้นมีการนาความรูไ้ ปสร้างผลผลติ แบบมีชวี ติ ชวี า ตัวชี้วัด 1. มีการใชก้ ระบวนการเรยี นรู้ เช่น วธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ 2. มีการลงมือปฏบิ ตั ิ (Learning by Doing) และมีการวเิ คราะห์ผ่านใบกจิ กรรมอย่างตนื่ ตัว 3. มกี ารสร้างความรู้ดว้ ยตนเอง 4. ร่วมกนั มีการนาความรู้ไปสร้างผลงาน แบบมีชีวิตชีวาอันสะทอ้ นความมีสมรรถนะ 3) การเรียนรู้เชิงรุกแบบรวมพลัง หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ที่เน้นการลงมือปฏบิ ัติของกลมุ่ อย่างตื่นตัว และสร้างความรดู้ ้วยตนอ้ ง จากนน้ั มกี ารนาความรู้ไปร่วมกันสรา้ งผลผลิตแบบมีชีวิตชวี า ตวั ชีว้ ัด 1. กลุ่มมกี ารใช้กระบวนการเรียนรู้ เช่น วิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ 2. กลุ่มมีการลงมือปฏิบัติ (Learning by Doing) และมีการวิเคราะห์ผ่านใบกิจกรรมอย่าง ตนื่ ตวั 3. กลุ่มมีการสรา้ งความรู้ด้วยตนเอง 4. กล่มุ รว่ มกันมกี ารนาความรูไ้ ปสรา้ งผลงาน แบบมชี วี ติ ชีวาอันสะทอ้ นความมสี มรรถนะ 4) กระบวนการเรียนรู้เชิงรุกแบบรวมพลัง (5STEPs Collaborative Learning Process: Co-5STEPs) คือ แนวการสอนแนวหน่ึงของการเรียนรู้เชิงรกุ แบบรวมพลัง ท่ีเน้นกระบวนการจัดการเรียนรู้ การสอน 5 ข้ันมีการลงมือปฏิบัติโดยกลุ่มอย่างต่ืนตัวจนสรา้ งความรไู้ ด้ จากนั้นกลุ่มร่วมกนั นาความรไู้ ปสรา้ ง ผลผลิตแบบมีชีวติ ชวี า ตวั ชี้วัด 1. กลุ่มมกี ารใช้กระบวนการเรยี นรู้ เช่น วิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ 2. กลุ่มมีการลงมือปฏบิ ตั ิ และมกี ารวเิ คราะห์ผ่านใบกจิ กรรมอยา่ งตืน่ ตัว 3. กล่มุ มกี ารสร้างความร้ดู ว้ ยตนเอง 4. กลุ่มรว่ มกนั สร้างผลงานแบบมีชีวิตชวี าอนั สะท้อนการมีสมรรถนะ

การเรยี นรเู้ ชิงรุกเสริมสมรรถนะด้วยวิธแี ละเทคนคิ การสอนหลากหลาย | 15 รศ.ดร.พมิ พนั ธ์ เดชะคุปต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดสี ขุ ความหมายของแผนการจัดการเรยี นรู้เชิงรุกตามตวั ชวี้ ดั แผนการจัดการเรียนรู้ตามตัวชี้วัด คอื ผลของการวางแผนล่วงหน้าทัง้ 4 องคป์ ระกอบของแผนต้อง เน้นตัวชี้วัดของมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตร คือ 1) วัตถุประสงค์การเรียนรู้ 2) สาระการเรียนรู้ 3) กิจกรรมการเรียนรู้ 4) ประเมินผลการเรียนรู้ โดยทกุ องคป์ ระกอบของแผนตอ้ งเนน้ การเรียนรู้ และต่างต้อง มีความสอดคล้องตอ้ งกนั 4. การเตรยี มการจดั การเรยี นรู้ ในการเตรียมการจัดการเรยี นรูส้ ู่การจัดการเรียนร้ใู นสภาพจรงิ ควรเร่มิ ตน้ ดังนี้ 2.1 ออกแบบการเรียนการสอนตรงตามตวั ช้วี ดั ตามแนว BwD 2.2 เขยี นแผนการจดั การเรียนรู้ใหค้ รบองคป์ ระกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.3 ออกแบบการจดั การชน้ั เรียน 2.3.1 บรรยากาศทางกายภาพ 1) การจดั โตะ๊ เรียนเป็นกลุ่ม (4 คน/กลมุ่ ) 2) การจัดทน่ี ง่ั เด็กมีการคละเพศ คละความสามารถ / คละความถนัด 3) การวางแผนใชก้ ระดาน

การเรยี นรเู้ ชิงรกุ เสริมสมรรถนะดว้ ยวิธีและเทคนิคการสอนหลากหลาย | 16 รศ.ดร.พิมพนั ธ์ เดชะคปุ ต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดสี ขุ 2.3.2 บรรยากาศทางจิตใจ คอื การสรา้ งเด็กดี มีวนิ ัยเชงิ บวก ครดู ี และบรรยากาศหอ้ งเรียน เปน็ บรรยากาศแห่งความสุข 2.1 การออกแบบการเรียนการสอนตรงตามตัวชวี้ ดั ตามแนวการออกแบบยอ้ นกลับ 2.1.1 การเรยี นรู้เชิงรุกดว้ ยการใช้ Co-5STEPs ปี 2556 (ค.ศ. 2013) คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นาเสนอ 4 จุดเน้นต่อ กระทรวงศึกษาธิการ 1 ในจดุ เนน้ คือ แนวการสอน 5 STEPs ผงั ข้นั ตอนกระบวนการเรียนรู้ 5 ขนั้ ตอน

การเรยี นรเู้ ชงิ รกุ เสรมิ สมรรถนะด้วยวิธีและเทคนิคการสอนหลากหลาย | 17 รศ.ดร.พิมพันธ์ เดชะคปุ ต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดีสขุ ปี 2559 (ค.ศ. 2016) มกี ารปรบั แนวการสอน 5 STEPs กระบวนการเรียนรแู้ บบรวมพลงั 5 ขัน้ ตอน (Co-5STEPs) 3 ขั้นตอน ชือ่ ข้นั ตอน พฤติกรรมการเรียน พฤติกรรมการเรียน การสอนสืบสอบ การสอนโครงงาน 1. ขัน้ นา 1. เสนอสิ่งเรา้ และรวมพลังระบุ 1.1 เสนอส่งิ เร้า 1.1 ตงั้ คาถามโครงงาน คาถามสาคัญ (สคส) 1.2 ระบุคาถามสาคัญ 1.3 คาดคะเนคาตอบ 2.1 ดาเนินการทาโครงงาน 2. ข้นั สอน 2. รวมพลังแสวงหาสารสนเทศ 2.1 รวบรวมข้อมลู จากแหลง่ 2.2 วิเคราะหข์ ้อมลู และวเิ คราะห์ (สว) ต่าง ๆ 2.2 วเิ คราะห์ข้อมูล 3.1 แปลความหมาย 3. รวมพลงั อภิปรายและสร้าง 3.1 นาเสนอและอภิปราย 3.2 สรปุ การทาโครงงานไดส้ ร้าง ความรู้ (อส) 3.2 สรา้ งความรู้ นวตั กรรม 4.1 เขยี นรายงานโครงงาน 4. รวมพลังส่ือสารและ คิด 4.1 เลา่ เรื่องรสู้ ู่กันฟัง สะท้อน (สสค) 4.2 สะท้อนคิดขอ้ ดี ข้อบกพร่อง 5.1 นาเสนอเผยแพร่ผลงาน และบทเรยี นท่ีได้ 5. รวมพลงั ประยกุ ต์และตอบ 5.1 นาความรู้ไปใชป้ ระยกุ ต์ใน + แทนสังคม (ปตท) สถานการณ์ใหม่ สรปุ 5.2 เผยแพรผ่ ลงาน 3. ขัน้ สรปุ + สรปุ + สรุป 2.1.2 การออกแบบการเรียนการสอนของแผน 3 ประเภท 1) แผนระยะยาวใชแ้ นวของ Tyler’s Model 1. O กาหนดวตั ถุประสงค์ 2. L กาหนดหัวขอ้ เรื่อง และการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ 3. E กาหนดวิธกี ารประเมินผล

การเรียนร้เู ชิงรุกเสรมิ สมรรถนะดว้ ยวธิ ีและเทคนิคการสอนหลากหลาย | 18 รศ.ดร.พิมพนั ธ์ เดชะคปุ ต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดสี ขุ 2) แผนรายหนว่ ยใชแ้ นวการออกแบบยอ้ นกลบั แบบ OEL ผงั การเขยี นแผนรายหน่วยแนว OEL 3) การออกแบบการเรยี นการสอนแบบการจดั การเรยี นรู้รายวันตามแนว LOE ผงั ออกแบบการเรียนการสอนตามแนว BwD (พิมพันธ์ เดชะคปุ ต์, 2563)

การเรยี นรูเ้ ชิงรกุ เสริมสมรรถนะด้วยวธิ แี ละเทคนิคการสอนหลากหลาย | 19 รศ.ดร.พมิ พนั ธ์ เดชะคปุ ต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดสี ุข 2.1.3 แนวทางการออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรูเ้ ชงิ รุกอย่างแท้จรงิ องคค์ วามรู้ แนวทางการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ ความสอดคลอ้ งกับระดับช้นั ของนกั เรยี น 1. ข้อเทจ็ จริง 1. ใช้แนวทางแสวงหาสารสนเทศโดยอา่ น ฟัง ป.6 ดู จากแหล่งต่าง ๆ เช่น หนงั สือตาราข้อมูล ม.1-3 ฐานคอมพวิ เตอร์ หรอื อาจใชใ้ บความรู้ ม.ปลาย มากกวา่ 1 แหล่ง ระดับมหาวทิ ยาลยั 2. ใชห้ ลกั การอุปนัยจากตัวอยา่ ง ย่อย ๆ 2. คานิยาม หลาย ๆ ตัวอย่าง และสรปุ เปน็ ขอ้ เท็จจรงิ 3. ความคดิ สาคญั นยิ าม ความคิดสาคัญ หลกั การ กฎ เปน็ ตน้ 4. หลกั การ คอื หลัก Specific To General ในการอปุ นยั 5. กฎ/สูตร อาจใช้วิธีการตอ่ ไปนี้ 6. ทฤษฎี 1)ส่อื การเรียนรู้ท้ัง 2 มติ ิ และ 3 มิติ 2)วัสดุ อปุ กรณ์ เครอ่ื งมอื ทุกระดับชน้ั 3)แหล่งการเรยี นรู้ตามสภาพจรงิ ตง้ั แตป่ ฐมวยั ถึง ระดบั มหาวทิ ยาลัย 4)ขอ้ มูลที่ได้จาก 4.1การทดลอง 4.2เกม 4.3สถานการณจ์ าลอง 4.4บทบาทสมมตุ ิ 4.5ละคร เป็นต้น 2.2 หลักการเขยี นแผนการจัดการเรยี นรู้บูรณาการ ในการวางแผนงานใดก็ตาม องค์ประกอบท่ีต้องคานึงในการวางแผน คือ 5W 2H เช่น ในการวาง แผนการสอนใชหลกั 5W 2H ดงั น้ี W1 (Why) สอนไปทาไม (วตั ถุประสงค์การเรยี นร)ู้ W2 (What) สอนอะไร (เนอื้ หา/สาระ) W3 (Who) ใครสอน (Who) สอนใคร (Whom) W4 (Where) สอนท่ีไหน W5 (When) สอนเมอ่ื ใด H1 (How) สอนอยา่ งไร (กจิ กรรมการเรียนร้)ู H2 (How) ประเมินอย่างไร (ประเมนิ การเรียนรู้)

การเรียนรเู้ ชงิ รกุ เสริมสมรรถนะดว้ ยวธิ แี ละเทคนคิ การสอนหลากหลาย | 20 รศ.ดร.พมิ พันธ์ เดชะคุปต์รศ.พเยาว์ ยินดีสขุ เมอื่ พจิ ารณาองคป์ ระกอบหลกั ในการวางแผนการจดั การเรยี นรู้ท่ีผ้สู อนตอ้ งคานงึ คือ 1. วัตถปุ ระสงคก์ ารเรียนรู้ 2. สาระ/เน้ือหา 3. กิจกรรมการเรยี นรู้ ประกอบดว้ ย 3.1 ขั้นตอนการเรยี นการสอน 3.2 สือ่ การเรยี นร้/ู แหล่งการเรยี นรู้ 4. การประเมนิ การเรยี นรู้ 1. วัตถุประสงค์การเรียนรู้ วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอน ในระดับที่จะนาไปใช้กาหนด แนวทางในการจัดการเรียนการสอน มีหลกั สาคญั ในการเขียน ดงั นี้ 1) เขียนในลกั ษณะที่บ่งบอกการกระทาหรือพฤติกรรมของผู้เรยี นทีส่ ามารถสงั เกตและวดั ผลได้ 2) ตอ้ งเขียนสตู่ วั ชีว้ ัด 3) พยายามเขียนให้ครบทั้งด้านความรู้ (Knowledge : K) ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (Attribute : A) และดา้ นทกั ษะกระบวนการ (Process : P) 4) ลาดบั การเขยี นพฤตกิ รรมของผูเ้ รยี นในวตั ถปุ ระสงคส์ ามารถทาได้หลายแบบ เช่น แบบที่ 1 เขยี นเรียงลาดับโดยเริ่มจากด้านความรู้ ดา้ นทกั ษะกระบวนการและด้านคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ตามลาดับดังนี้ 1. ............................................................... (ดา้ นความรู้, K) 2. ............................................................... (ด้านความรู้, K) 3. ............................................................... (ด้านความรู้, K) 4. ............................................................... (ดา้ นทกั ษะกระบวนการ, P) 5. ............................................................... (ด้านคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์, A) แบบที่ 2 เขียนโดยแยกประเภทของวัตถปุ ระสงคท์ างการศึกษา ดังน้ี 1. ดา้ นความรู้ 1.1 ………………………………………………… 1.2 ………………………………………………… 1.3 …………………………………………………

การเรยี นรู้เชิงรกุ เสรมิ สมรรถนะด้วยวธิ แี ละเทคนคิ การสอนหลากหลาย | 21 รศ.ดร.พิมพนั ธ์ เดชะคุปต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดสี ขุ 2. ดา้ นทักษะกระบวนการ 2.1 ………………………………………………… 2.2 ………………………………………………… 2.3 ………………………………………………… 3. ดา้ นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 3.1 ………………………………………………… 3.2 ………………………………………………… 3.3 ………………………………………………… แบบท่ี 3 เขียนเรียงลาดับพฤติกรรมการเรยี นตามขั้นตอน สะท้อนให้เห็นว่ามีการเรียนรู้ท่เี นน้ ผู้เรียน เป็นศูนยก์ ลาง หรอื การเรยี นร้เู ชงิ รกุ และสร้างความรู้ดว้ ยตนเอง ดังนี้ 1. ........................................... (ด้านทักษะกระบวนการ, P) กิจกรรมการเรียนรู้ (activity) 2. ……………………………………. (ดา้ นทกั ษะกระบวนการ, P) 3. ........................................... (ดา้ นความรู้, K) ผลของการสรา้ งความรู้ 4. ……..................................... (ดา้ นความรู้, K) 5. ........................................... (ด้านทักษะกระบวนการ, P) ปฏบิ ตั ิในข้นั ประยกุ ตค์ วามรู้ 6. ........................................... (ด้านคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์, A) แบบที่ 4 เขียนสะทอ้ นใหเ้ หน็ ว่าเปน็ การจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รุกแบบรวมพลงั บนฐานสมรรถนะ 1. ………………………………………………… (ดา้ นความรู้, K) 2. ………………………………………………… (ด้านทักษะกระบวนการปฏบิ ัติการตามใบกิจกรรมแบบ รวมพลังบรู ณาการลักษณะนิสัย, Pทา, Pทมี และ A) 3. ………………………………………………… (ดา้ นการฝึกตามตวั ชี้วดั , Pฝกึ , Pตวั ชีว้ ดั ) 4. ………………………………………………… (ด้านสมรรถนะ มีการสร้างผลงาน และตามตัวช้ีวดั , Pผลติ ) 5. ………………………………………………… (ด้านคณุ ลักษณะและค่านยิ ม, A) ในการเขียนวัตถุประสงค์การเรียนรู้ นิยมเขียนเป็นวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ซ่ึงผู้สอนสามารถวัด และสังเกตได้ เพ่ือให้สะดวกในการนาคากริยาแสดงพฤติกรรมของผลการเรียนรู้ในแต่ละด้าน ดังแสดงไว้ใน ตาราง ต่อไปนี้

การเรียนรู้เชงิ รกุ เสริมสมรรถนะดว้ ยวธิ แี ละเทคนิคการสอนหลากหลาย | 22 รศ.ดร.พิมพนั ธ์ เดชะคุปต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดสี ุข ตาราง แสดงคากริยาเชงิ พฤติกรรมตามผลการเรยี นรทู้ ้ัง 3 ดา้ น ผลการเรียนรู้ คาแสดงกรยิ าเชงิ พฤติกรรม 1. ความรู้ (K) บอก เลา่ อธิบาย บรรยาย ระบุ ยกตวั อยา่ ง ฯลฯ 2. กระบวนการ (P) 2.1 กระบวนการคดิ จาแนก จดั กลมุ่ เปรยี บเทยี บ นาไปใช้ ประยุกต์ วิเคราะห์ สงั เคราะห์ ประเมิน ตดั สนิ ใจ แก้ปญั หา คิดเป็นระบบ ฯลฯ 2.2 กระบวนการกลมุ่ ทางานเป็นกลมุ่ ทางานเปน็ ทมี แสดงบทบาทหวั หนา้ บทบาทเลขานกุ าร บทบาทสมาชกิ ฯลฯ 2.3 การปฏบิ ัติ ทดลอง ทากิจกรรม ประดิษฐ์ สรา้ ง ออกแบบ คานวณ ผลติ พฒั นา ใช้อุปกรณ์ ใช้เครอ่ื งมอื ใชว้ ัสดุ ฯลฯ 2.4 กระบวนการสอ่ื สาร ฟัง พูด อา่ น เขยี น ดู ฯลฯ 2.5 กระบวนการสงั คม ทางานรว่ มกับผอู้ ่นื มปี ฏิสมั พนั ธ์กบั ผู้อ่ืน โต้แยง้ อยา่ งมเี หตุผล ลดความขดั แยง้ ขจัดความขัดแยง้ ยอมรับฟงั ฯลฯ 3. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) ตระหนกั ใฝร่ ู้ รับผดิ ชอบ ตรงเวลา รกั การอ่าน ม่งุ มั่น จติ อาสา 2. สาระ/เนื้อหา/สาระการเรยี นรู้ การเขียนสาระ/เนือ้ หา/สาระการเรยี นรู้ มีหลักการสาคัญ ดงั นี้ 1) การเลอื กใช้ชื่อหัวเร่ือง 1.1) ถา้ ใช้ชอ่ื หวั เรอ่ื ง สาระ/เนอ้ื หา การเขียนจะเนน้ เฉพาะด้านความรู้ (K) 1.2) ถ้าใช้ช่ือหัวเร่ือง สาระการเรียนรู้ การเขียนจะต้องครบด้านความรู้ (K) คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ (A) และทกั ษะกระบวนการ (P) 2) ผู้สอนจะต้องศกึ ษาสาระที่ถกู ตอ้ งจากแหลง่ เรยี นรู้ที่เช่อื ถือได้ แลว้ เขียนให้ส้ันกะทดั รดั และชดั เจน 3) ประเภทของสาระประกอบด้วย 3.1) ข้อเทจ็ จรงิ (fact) 3.2) ความหมาย/คานิยาม 3.3) ความคิดสาคัญ 3.4) หลักการ (principle) 3.5) กฎ (Law) 3.6) ทฤษฎี (theory) ตวั อย่าง 1) เนื้อหาประเภทข้อเท็จจริง เช่น รุ้งมี 7 สี พยัญชนะไทยมี 44 ตัว ลูกเป็นส่วนหน่ึงของครอบครัว ใบไมม้ สี ีเขียว

การเรยี นรเู้ ชงิ รกุ เสริมสมรรถนะดว้ ยวิธีและเทคนิคการสอนหลากหลาย | 23 รศ.ดร.พมิ พันธ์ เดชะคุปต์รศ.พเยาว์ ยินดสี ุข 2) เนื้อหาประเภทมโนทัศน์ ซ่ึงมีทั้งมโนทัศน์ที่เป็นคาจากัดความ และมโนทัศน์ที่เป็นความคิดหลัก เชน่ องค์ประกอบ ชนิด ประเภท ประโยชน์ โทษ ลกั ษณะ ลองพิจารณาสาระต่าง ๆ เป็นองคค์ วามรปู้ ระเภทใด คาคุณศพั ท์ (adjective) คือ คาทีไ่ ปทาหน้าที่ขยายคานาม หรอื สรรพนามเพ่ือบอกลักษณะ ปรมิ าณ จานวน ฯลฯ ใหม้ ีความชัดเจนยิ่งขึ้น เลขยกกาลงั คอื การคณู ตวั เลขนัน้ ๆ ไปตามจานวนของเลขชี้กาลัง องค์ประกอบสาคญั ของการเขียนเรียงความ 1. คานา เปน็ ข้อความนาเรื่องเพือ่ ใหผ้ ้อู ่านเกิดความสนใจในเรื่องนั้นอาจขน้ึ ด้วยบทกลอน ภาษิต คาคม ปริศนาคาทาย หรือเหตกุ ารณ์ท่สี าคญั ตา่ ง ๆ 2. เนอื้ เรื่อง เปน็ ข้อความแสดงสาระสาคญั ของเนือ้ เรอ่ื งให้สอดคลอ้ งกับชื่อเร่อื ง การเขยี น เน้ือ เรอ่ื งอาจมีหลายยอ่ หนา้ 3. สรุป เป็นขอ้ ความสุดทา้ ยของเน้ือเร่อื งเพอ่ื ให้ผู้อ่านเขา้ ใจอย่างชดั เจนถงึ ความคดิ เห็น ความตอ้ งการของผู้เขียน ตลอดจนข้อเสนอแนะที่นา่ สนใจ ในบทสรปุ น้ีอาจจบดว้ ยบทกลอน สภุ าษิต คา คม ทีน่ ่าประทับใจ หม่อู าหาร อาหารแบ่งออกเปน็ 5 หมู่ ดงั นี้ สารอาหาร คอื โปรตนี หมู่ท่ี 1 เน้อื สัตว์ นม ไข่ และถว่ั เมล็ดแห้ง สารอาหาร คือ คารโ์ บไฮเดรต หมู่ท่ี 2 ข้าว แปง้ น้าตาล เผอื ก มนั สารอาหาร คือ เกลอื แร่ หม่ทู ่ี 3 ผกั ชนิดต่าง ๆ สารอาหาร คือ วิตามนิ หมู่ท่ี 4 ผลไมช้ นิดต่าง ๆ สารอาหาร คือ ไขมัน หมทู่ ี่ 5 นา้ มนั จากพชื หรอื สตั ว์ เนย ไขมนั จากสัตว์ ประโยชนข์ องการเลน่ เกมท่มี ผี ลต่อสขุ ภาพ 1. สรา้ งความสนกุ สนาน เพลิดเพลิน 2. ทาให้รา่ งกายแข็งแรง สมบูรณ์ 3. ทาใหอ้ ารมณ์สดชืน่ แจม่ ใสร่าเริง 4. สร้างความสามัคคีในหมู่คณะ 5. เปน็ พืน้ ฐานในการเลน่ กฬี าต่าง ๆ 6. ฝกึ ความเป็นผนู้ าและสร้างความมั่นใจในตนเอง

การเรยี นรู้เชงิ รุกเสรมิ สมรรถนะด้วยวธิ แี ละเทคนคิ การสอนหลากหลาย | 24 รศ.ดร.พิมพนั ธ์ เดชะคปุ ต์รศ.พเยาว์ ยินดสี ุข 3) เนื้อหาประเภทหลักการ เป็นหลักการท่ัวไป ไวยากรณ์ไทย และไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เช่น หลักการเขียนเรียงความ หลกั การใช้คาคณุ ศัพท์ หลกั การเขียนเรยี งความ 1. ต้งั จดุ ประสงค์ให้ชัดเจนว่าจะเขยี นเรอื่ งนัน้ ไปในแนวใด ใหใ้ ครอา่ น 2. วางโครงเรือ่ งให้สอดคลอ้ งกับจดุ ประสงค์ 3. เขยี นโครงเรอ่ื งตามลาดบั ขั้นตอนอยา่ งตอ่ เน่ืองสอดคลอ้ งตงั้ แต่ต้นจนจบ 4. เขยี นเปดิ เรื่องหรือคานาให้ติดตามแล้วจงึ เข้าสู่เน้อื เรื่องทไี่ ดท้ ้งั สาระความรู้ ความคิด และ ความรูส้ กึ ทถ่ี ่ายทอดอย่างมีระบบ 5. เขียนสรปุ เนือ้ หาสาคญั ฝากข้อคิด ข้อเสนอแนะให้น่าตดิ ตาม หลักการใชค้ าคณุ ศัพท์ 1. ใช้ประกอบหนา้ นาม ที่มนั ขยาย เชน่ She is a beautiful girl. 2. ใชเ้ ป็นสว่ นของกริยา โดยอยูต่ ามหลัง verb to be เม่อื adjective นั้น ขยาย noun หรอื pronoun ทอ่ี ยู่หนา้ verb to be เช่น The girl is beautiful. 4) เน้อื หาประเภทกฎ เป็นเน้ือหาประเภทหลกั การท่เี ขียนเปน็ สมการใช้สญั ลักษณ์แทนได้ เช่น กฎของโอหม์ คือ V = R I 5) เนื้อหาประเภททฤษฎี เป็นกรอบมโนทัศน์ (conceptual framework) ท่ีใช้อธิบายปรากฏการณ์ ตา่ ง ๆ ทเ่ี ป็นปรากฏการณท์ ่ีไมส่ ามารถอธบิ ายด้วยมโนทศั น์ หลักการ และกฎใด ๆ 3. กิจกรรมการเรียนรู้ 3.1 ข้ันตอนการเรียนการสอน ในการจดั การเรียนการสอน ส่งิ ทผ่ี ู้สอนตอ้ งคานงึ ถงึ มดี งั นี้ 1) ใช้รูปแบบการเรียนการสอน วิธีสอน และเทคนิคการสอนได้หลากหลาย แต่ให้เหมาะสม กบั เน้อื หา เหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียน รวมทงั้ บริบทของแหล่งท่จี ดั การเรยี นการสอน

การเรยี นรูเ้ ชิงรุกเสริมสมรรถนะด้วยวธิ ีและเทคนิคการสอนหลากหลาย | 25 รศ.ดร.พิมพันธ์ เดชะคุปต์รศ.พเยาว์ ยินดสี ขุ 2) กจิ กรรมเน้นตวั ช้วี ัดอย่างน้อย 4 ประการ ดังน้ี 2.1) การสร้างความรู้ใหม่ (construction of the new knowledge) 2.2) การมีปฏสิ ัมพนั ธ์ (interaction) 2.3) กระบวนการเรียนรู้ (process of learning) และการวิเคราะห์ 2.4) การสรา้ งผลงาน/ชิ้นงาน (production) 3) จัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับความแตกต่างระหว่างบุคคล เช่น ผู้เรียนมีความสามารถ ต่างกัน คือ เก่ง ปานกลาง และอ่อน ความสนใจแตกต่างกัน คือ สนใจเรื่องประเด็นต่างกัน ถนัดด้าน วิทยาศาสตร์ ถนัดด้านงานศิลปะ ถนัดด้านดนตรี ถนัดทางเขียนบทความ ถนัดด้านคานวณ ถนัดการเป็น ผู้ประสานงาน วธิ กี ารจัดกิจกรรมใหส้ อดคลอ้ งตามความแตกตา่ งของผเู้ รียน 2.3 องคป์ ระกอบของแผนการจัดการเรยี นรแู้ ละการเขยี นแผนฯ เน้นการใช้ Co-5STEPs 2.3.1 แบบฟอร์มการเขียนแผนการจดั การเรยี นรดู้ ้วย Co-5STEPs มาตรฐานการเรียนร.ู้ .......................................... ตวั ช้ีวดั .............................................................. 1. วตั ถุประสงคก์ ารเรยี นรู้ นกั เรยี นสามารถ 1.1 อธบิ ายความหมาย.............ได้ 1.2 อธบิ ายประเภทของ...........ได้ 1.3 ปฏบิ ตั ติ ามใบกิจกรรมเรอื่ ง.......แบบรวมพลงั ด้วยความรบั ผดิ ชอบได้ 1.4 สรา้ ง..... (ช้ินงาน) และเผยแพร่ได้ 1.5 เป็นผมู้ คี วามรับผิดชอบตอ่ ตนเองและงานกลมุ่ 2. สาระการเรยี นรู้ 2.1 ความรู้ (K) 2.2 กระบวนการ/ทกั ษะ (P) 2.3 คุณลักษณะและค่านิยม (A) 2.4 สมรรถนะ 3. กิจกรรมการเรยี นรู้ 3.1 ขัน้ ตอนการเรียนการสอน ขนั้ 1 เสนอสงิ่ เร้าและรวมพลังระบคุ าถามสาคัญ 1) เสนอส่ิงเรา้ ......แล้วให้นักเรยี นสังเกตเพ่อื สงสยั 2) ครแู ละนกั เรียนรว่ มกนั ระบุคาถามสาคญั

การเรียนรเู้ ชิงรุกเสริมสมรรถนะดว้ ยวธิ แี ละเทคนคิ การสอนหลากหลาย | 26 รศ.ดร.พิมพันธ์ เดชะคปุ ต์รศ.พเยาว์ ยินดสี ุข 1. ............. คืออะไร/หมายถึงอะไร 2. ประเภทของ........มอี ะไรบ้าง 3) ใหก้ ลุม่ (4 คน/กลมุ่ ) คาดคะเนคาตอบของคาถามข้างตน้ ขน้ั 2 รวมพลงั แสวงหาสารสนเทศและวเิ คราะห์ 1) ใหก้ ลุ่มปฏบิ ัตงิ านตามใบกิจกรรมช่อื ........แบบรวมพลงั ดว้ ยความรบั ผิดชอบ 2) จากนนั้ ให้วเิ คราะห์ข้อมลู แล้วนาเสนอดว้ ยผงั กราฟิกทีเ่ หมาะสม ข้นั 3 รวมพลังอภปิ รายและสรา้ งความรู้ 1) ใหก้ ลมุ่ ทกุ กล่มุ นาเสนอผลการวเิ คราะห์ จากนนั้ ครอู ภปิ รายดว้ ยคาถามสูก่ ารสรุป (ใหร้ ะบุ คาถาม...................................) 2) กลมุ่ แต่ละกลมุ่ สรุปความรู้ แลว้ มีการนาสรปุ มาแลกเปลี่ยนกันจนกล่มุ สามารถสรุป หรอื สร้าง ความร้ไู ด้สอดคล้องกบั มโนทศั นท์ ่ีครกู าหนด 3) ให้นกั เรียนแต่ละคนทาแบบฝึกหัด (ถา้ มี) ข้นั 4 รวมพลังสอ่ื สารและคิดสะทอ้ น 1) ให้กลมุ่ เล่าเรอ่ื งท่ีไดเ้ รียนรู้ส่กู ันฟัง (สือ่ สาร) 2) กลุ่มมีการสะทอ้ นคิดถึงจดุ เดน่ จุดบกพร่อง และสิง่ ใคร่รู้ หรอื คาถามใหม่ ขนั้ 5 รวมพลังประยุกตแ์ ละตอบแทนสงั คม 1) ครูให้กลุ่มนาความรไู้ ปประยุกตส์ รา้ งผลงาน 2) นาผลงานไปเผยแพร่ที.่ ................................ 3.2 สือ่ การเรียนร/ู้ แหลง่ การเรียนรู้ 4. ประเมนิ การเรียนรู้ 4.1 ประเมนิ ความรแู้ ละความเขา้ ใจ เรอื่ ง.............ดว้ ยแบบสอบ 4.2 ประเมินการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมแบบรวมพลงั ด้วยความรับผิดชอบด้วยแบบประเมิน 4.3 ประเมนิ ผลงาน................ดว้ ยแบบประเมนิ 4.4 ประเมนิ ความรบั ผดิ ชอบดว้ ยแบบสังเกต

การเรียนรู้เชงิ รุกเสริมสมรรถนะด้วยวิธีและเทคนคิ การสอนหลากหลาย | 27 รศ.ดร.พมิ พันธ์ เดชะคุปต์รศ.พเยาว์ ยินดสี ขุ 2.3.2 การเขียนแผนฯ เนน้ ให้ 4 องค์ประกอบสอดคล้องกนั 2.3.3 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ การประเมินผลการเรียนรูต้ ามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐานพทุ ธศาสนา 2551 นาเสนอในตารางขา้ งลา่ ง คาสาคัญ ความหมาย 1. การเรียนการสอน (instruction) การเกดิ การเรยี นรูท้ ้ังกระบวนการเรียนของผ้เู รียนและกระบวนการสอน ของครูร่วมกัน 2. การเรยี นรู้ (learning) การมคี วามรู้ ความสามารถ ทกั ษะ และ ความประพฤติชอบของผเู้ รยี น ซง่ึ เป็นการเปลย่ี นพฤติกรรมผเู้ รยี น โดยใชก้ ระบวนการเรียนรูท้ ่มี คี รูเปน็ ผู้ จัดประสบการณเ์ รยี นร้ใู ห้ 3. การประเมินผลการเรียนรู้ กระบวนการท่กี ่อให้เกิดสารสนเทศ เพ่ือการเรยี นรโู้ ดยการประเมิน (learning assessment) 1. ประเมนิ กระบวนการเรียนรู้ เปน็ การประเมินขณะเรยี นรู้ 2. ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ของผเู้ รยี น 4. การประเมินผลการเรยี นรู้ การรวบรวมขอ้ มูลท้ังเชิงปรมิ าณและคุณภาพจากความรู้ กระบวนการ (learning outcome assessment) ทางาน การปฏบิ ัติงานและผลผลติ ทไ่ี ด้จากกระบวนการเรียนรู้ หรอื ประเมนิ ผลสมั ฤทธ์กิ ารเรยี นร้เู พื่อการตคี า่ 5. การประเมินผล (evaluation) การตดั สนิ คณุ คา่ ส่งิ ใดส่งิ หนง่ึ จากข้อมลู ท้ังเชงิ ปรมิ าณและคณุ ภาพที่ได้ จากการวัดส่ิงท่ตี ้องการประเมนิ

การเรยี นรเู้ ชงิ รกุ เสริมสมรรถนะดว้ ยวิธแี ละเทคนิคการสอนหลากหลาย | 28 รศ.ดร.พิมพันธ์ เดชะคุปต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดีสขุ การประเมินผลการเรียนรู้ (learning outcome assessment) ส่ิงใด ส่ิงหนึ่งอาจไม่จาเป็นต้อง ตดั สนิ คุณคา่ หรือประเมนิ ผล (evaluation) แตก่ ารประเมนิ ผล หรอื ตดั สนิ คุณคา่ สง่ิ ใดสงิ่ หนงึ่ จาเปน็ ต้องมีการ ประเมินผลการเรียนรู้ดังนั้น ข้อมูลท่ีได้จากการประเมินผลการเรียนรู้นั้นจึงมีความสาคัญ ถ้าการประเมินผล การเรียนรู้มีคุณภาพก็ทาให้การประเมินผลมีคุณภาพ ถ้าการประเมินผลการเรียนรู้ผิดพลาดการตัดสินผลก็ ผิดพลาด หรืออาจกล่าวว่า การตัดสินผลที่มีความเท่ียงตรงนั้น ได้มาจากการประเมินผลการเรียนรู้ท่ีมีความ ถูกต้องและสมบูรณ์ ในการวางแผน ดาเนินการ และจัดการการประเมนิ ผลการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ผู้ประเมินต้องมี ความรแู้ ละเขา้ ใจในประเด็นต่อไปน้ี 1. พฤติกรรมหรอื การปฏบิ ตั กิ ารของนกั เรียนทต่ี ้องประเมินมอี ะไรบ้าง 2. กระบวนการหรือวธิ ีการประเมนิ มีอะไรบา้ ง 3. เป้าหมายของการประเมินผลการเรียนร้คู อื อะไร 4. จดุ เน้นที่ต้องประเมนิ การเรียนรู้คืออะไร 5. ผมู้ หี นา้ ทป่ี ระเมินการเรยี นร้มู ีใครบ้าง การประเมนิ ผลการเรียนรู้เป็นการประเมนิ ผลการเรยี นรตู้ ามสภาพจริงซงึ่ มีการประเมนิ ในเรอ่ื งตอ่ ไปน้ี 1. ผลการเรียนด้านวิชาการ คอื ความรู้ ความเข้าใจในสาระ 2. การใช้กระบวนการคิด คือ การใช้กระบวนการแก้ปัญหา การใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ การใช้ กระบวนการสร้างความรู้ 3. ทักษะ เช่น ทักษะการนาเสนอ ทักษะการเขียน ทักษะการทางานเป็นทีม ทักษะการวิจัย ทักษะ การจัดระบบและวิเคราะห์ข้อมูล ทกั ษะการใช้เทคโนโลยี ทกั ษะการทางานดว้ ยความอดทนและฝ่าฟนั อปุ สรรค ทักษะ การแกป้ ญั หาความขัดแยง้ ทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 4. คณุ ลกั ษณะท่ีพึงประสงค์ เช่น การพฒั นาเจตคติตอ่ การเรยี น การรกั เรยี น ความเปน็ พลเมอื งดี ใฝ่รู้ ใฝเ่ รยี น เป็นนักอา่ น อัตมโนทศั น์ ความรกั ธรรมชาติ คุณลกั ษณะพงึ ประสงค์ คา่ นิยมรว่ ม 5. นิสัยการทางาน เช่น การทางานได้สาเร็จตรงตามเวลา ใช้เวลาอย่างมีค่า ความรับผิดชอบ ความ อดทนเพอื่ ใหไ้ ดง้ านมคี ณุ ภาพ การทางานอย่างตอ่ เนอื่ ง

การเรยี นรเู้ ชิงรุกเสริมสมรรถนะดว้ ยวิธแี ละเทคนิคการสอนหลากหลาย | 29 รศ.ดร.พมิ พันธ์ เดชะคุปต์รศ.พเยาว์ ยินดีสุข ตาราง การประเมินผลการเรยี นรู้ ประเมนิ อะไร ประเมนิ อย่างไร ใครประเมิน ประเมนิ ประเมิน เวลาใด ทีไ่ หน เคร่ืองมอื วิธีประเมนิ โรงเรียน K บ้าน  ความรู้ แบบสอบความรู้ สอบ แหล่ง  ความเข้าใจ แบบสัมภาษณ์ สัมภาษณ์ ต่าง ๆ ท่ี เกีย่ วข้อง  มโนทัศน์ แบบสังเกต สังเกต Pคดิ วัด กอ่ นเรียน  ทักษะการคดิ (วิเคราะห์ แบบวัด ครู สังเคราะห์สอ่ื สาร) แบบสังเกต สงั เกต ระหวา่ งเรียน Pทา ประเมิน  ทกั ษะการทางานกลมุ่ แบบประเมนิ  การปฏิบตั กิ ารทดลอง แบบสงั เกต สังเกต  ทกั ษะทางสงั คม แบบสมั ภาษณ์ สัมภาษณ์  ทักษะปฏิบัติ แบบประเมินตนเอง ประเมิน Pผลติ แบบประเมินชิน้ งาน ประเมนิ ครู หลังเรียน สรา้ งชนิ้ งาน แบบประเมิน เพอื่ นนกั เรียน นอกเวลาเรยี น สรา้ งภาระงาน นกั เรยี นเอง ผ้ปู กครอง สมรรถนะ ผู้เก่ยี วขอ้ ง A แบบประเมนิ พฤตกิ รรม ประเมนิ คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ โดยใช้เกณฑ์แบบมติ ิ คณุ ภาพ (rubrics และเจตคติ scoring) แบบประเมินตนเอง ประเมิน K และ แบบทดสอบ Pคดิ ผลสัมฤทธ์กิ าร ทดสอบ เรียนรู้ 1.3 การประเมนิ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรเู้ ปน็ การประเมินผลทีเ่ กิดขนึ้ จากการจัดการเรยี นการสอน สอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงค์การศกึ ษาตามแนว Benjamin Bloom บลูมไดจ้ าแนกวัตถปุ ระสงคก์ ารเรยี นการสอนซึ่งมุ่งหวังให้เกดิ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นร้ไู ว้ 3 ด้าน 1. ด้านพทุ ธพิ สิ ยั (cognitive domain) เป็นวัตถุประสงค์มงุ่ พัฒนาการเรยี นของนกั เรียนดา้ น ปัญญา คอื ความรแู้ ละการคิด เรียงตามลาดับดงั น้ี ดา้ นความจา ความเข้าใจ การนาไปใช้ การวิเคราะห์ การ สังเคราะห์ และการประเมินค่า

การเรียนรู้เชิงรกุ เสรมิ สมรรถนะด้วยวิธีและเทคนคิ การสอนหลากหลาย | 30 รศ.ดร.พมิ พนั ธ์ เดชะคปุ ต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดสี ุข 2. ดา้ นจติ พิสัย (affective domain) เป็นวตั ถุประสงค์มงุ่ พัฒนาการเรยี นของนกั เรียนด้านความ รสู้ ึกตัว ความสนใจ เจตคติ ความซาบซง้ึ การปรับตวั เปน็ ตน้ 3. ดา้ นทักษะพสิ ยั (psychomotor domain) เป็นวตั ถปุ ระสงค์มุ่งพัฒนาการเรยี นของนักเรียน ด้านทักษะ คอื ความชานาญในการปฏบิ ตั ิ และดาเนินงาน เชน่ การใช้อุปกรณ์ และเครอื่ งมือตา่ ง ๆ ได้อย่าง ถกู ตอ้ ง รวดเร็ว และแมน่ ยา การประเมินผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ นอกจากจะจดั ประเภทตามแนวพทุ ธพิ สิ ยั ดังกล่าวขา้ งตน้ แล้วยัง สามารถจัดประเภทโดยใชเ้ กณฑ์ความเปน็ วิชาการ ดงั น้ี 1. ผลสัมฤทธ์ิการเรยี นร้ดู ้านวชิ าการ (Academic Learning Achievement) เป็นผลสัมฤทธ์ิ ความรู้ และความเข้าใจ (K) และประเมนิ การนาความรู้ไปใช้ การวิเคราะห์ การประเมิน และการริเรมิ่ ซึง่ รวม เรียกวา่ ทกั ษะการคดิ หรอื Pคดิ (Thinking Process) 2. ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนรู้ด้านไม่เป็นวิชาการ (Non-academic learning achievement) เปน็ ผลสมั ฤทธิด์ ้านกระบวนการปฏิบตั ิการลงมือทา เรยี กว่า ทักษะการปฏบิ ตั ิ หรอื การทา Pทา(Performance Process) รวมทั้ง ผลสัมฤทธิด์ ้านคุณลกั ษณะนิสยั ตัวอย่างแบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรูด้ ้วยพุทธพิสัย 1. สิ่งสาคัญที่ช่วยในการดารงชวี ติ ของพชื คอื ขอ้ ใด ก. นา้ อาหาร วิตามิน ข. น้า เกลือแร่ วิตามนิ ค. น้า แสงแดด อากาศ (วัดการจา) 2. ข้อใดแสดงลาดับการเจรญิ เตบิ โตของต้นถั่วทถี่ ูกตอ้ งท่ีสดุ ก. ข. ค. (วัดการเข้าใจ)

การเรียนรู้เชิงรกุ เสริมสมรรถนะดว้ ยวธิ แี ละเทคนคิ การสอนหลากหลาย | 31 รศ.ดร.พิมพันธ์ เดชะคปุ ต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดสี ขุ 3. ภาพต่อไปนแ้ี งการปลกู เมลด็ ถั่วเขียวในถว้ ยกระดาษ ถา้ ทา่ นวางด้านข้างของถว้ ยกระดาษลงใน แนวราบ รากของเมล็ดถั่วจะเจริญเติบโตในทิศทางใด ก. ข. ค. (วัดการเข้าใจ) 4. จากการทดลองเผาเชอ้ื เพลงิ 3 ชนิดไดผ้ ลดงั นี้ ตาราง แสดงผลการสังเกตเม่ือเผาเชอ้ื เพลงิ ชนดิ ตา่ ง ๆ ชนิดของเช้อื เพลิง ผลการสงั เกต ชนิดที่ 1 ติดไฟยาก มเี ขม่ามาก ชนิดที่ 2 ตดิ ไฟงา่ ย ให้เปลวไฟสวา่ ง ไม่มเี ขมา่ ชนดิ ที่ 3 ตดิ ไป ให้เปลวไฟริบหร่ี ดบั เองง่าย ขอ้ ใดเรียงลาดบั ขีดติดไฟของเชอื้ เพลงจากตา่ ไปหาสูงได้ถูกตอ้ ง ก. ชนิดท่ี 1 ชนิดท่ี 2 ชนิดที่ 3 ข. ชนดิ ท่ี 2 ชนดิ ที่ 3 ชนดิ ที่ 1 ค. ชนิดที่ 3 ชนิดที่ 2 ชนดิ ที่ 1 (วัดการวเิ คราะห์) จงสงั เกตเมล็ดพืชชนิดต่าง ๆ ดงั ภาพขา้ งลา่ งตอ่ ไปน้ี แล้วให้ผลการสงั เกตตอบคาถามขอ้ 5 ชนดิ ท่ี 1 ชนดิ ท่ี 2 ชนิดที่ 3 ชนดิ ที่ 4 ชนิดท่ี 5 ชนิดท่ี 6 ชนดิ ที่ 7 5. ถ้าจาแนกเมล็ดพืชชนิดที่ 1 และ 4 ให้อยู่ในพวกเดียวกัน ส่วนเมล็ดพืชชนิดอื่น ๆ จัดให้อยู่ในอีกพวกหนึง่ นักเรียนจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการจาแนก ก. ขนาดของเมลด็ ข. รปู ร่างของเมล็ดพืช ค. ลวดลายทีอ่ ยูบ่ นเปลือกห้มุ เมลด็ (วัดการวิเคราะห)์

การเรียนรเู้ ชิงรุกเสริมสมรรถนะด้วยวธิ ีและเทคนคิ การสอนหลากหลาย | 32 รศ.ดร.พมิ พันธ์ เดชะคปุ ต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดีสขุ 5. กรณตี ัวอยา่ งการเตรียมการจดั การเรยี นร้ดู ว้ ย Co-5STEPs 3.1 รายวชิ าพน้ื ฐานตามแนว LOE

การเรียนร้เู ชงิ รกุ เสรมิ สมรรถนะด้วยวิธีและเทคนคิ การสอนหลากหลาย | 33 รศ.ดร.พิมพนั ธ์ เดชะคุปต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดีสขุ กรณีตัวอยา่ ง กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย* สาระที่ 1 การอา่ น มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพ่ือนาไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาใน การดาเนินชีวิต และมีนสิ ัยรกั การอา่ น ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรู้ มาตรฐานด้านเนอื้ หา มาตรฐาน ค่านยิ มหลัก แกนกลาง ด้านกระบวนการ 12 ประการ และเจคติ ท 1.1 ม.2/2 การอา่ นจับใจความจาก 1) ความหมายการอ่าน 1) อธิบายความหมาย 1) มสี มาธิ จับใจความสาคัญ สรปุ สอื่ ตา่ ง ๆ เช่น จบั ใจความ การอา่ นจับใจความ 2) เปน็ ผคู้ ดิ ริเร่ิม ความ และอธบิ าย วรรณคดีใน (Definition) 2) อธบิ ายวธิ กี ารอา่ นจบั รายละเอียดจากเรอ่ื งที่ บทเรียน 2) วิธีการอา่ นจบั ใจความจากสอ่ื ต่าง ๆ อ่าน บทความ ใจความจากสื่อต่าง ๆ 3) ระบตุ ัวอย่างส่อื ต่าง ท 1.1 ม.2/3 บนั ทกึ เหตุการณ์ เขียนผังความคดิ เพื่อ บทสนทนา (Main idea) ๆ ทสี่ ามารถอา่ นจบั 3) ตัวอย่างส่อื ต่าง ๆ ท่ี ใจความ แสดงความเข้าใจใน บทโฆษณา สามารถอา่ นจับ 4) อธบิ ายรายละเอยี ด บทเรยี นตา่ ง ๆ ทอ่ี ่าน ใจความ ไดแ้ ก่ จากเรอ่ื งที่อา่ น วรรณคดีในบทเรยี น 5) จบั ใจความสาคญั จาก บทความ บันทึก เรอ่ื งทอี่ า่ น เหตกุ ารณ์บทสนทนา 6) เขียนผงั ความคดิ เพอ่ื บทโฆษณา ความเข้าใจจากเร่ือง (Main idea) ทอ่ี า่ น * ออกแบบโดบ อาจารยพ์ ชั รี น้อยธิ (อาจารยผ์ เู้ ช่ียวชาญ โรงเรียนเมืองพัทยา11) องค์ประกอบสาคญั 4 ประการของการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้รายวนั สอนดว้ ย 5 STEPs 1. วัตถปุ ระสงคก์ ารเรียนรู้ นกั เรียนสามารถ 1) อธบิ ายความหมายของการอา่ นจบั ใจความได้ (K) 2) อธบิ ายวิธกี ารอา่ นจับใจความจากสอ่ื ตา่ ง ๆ ได้ (K) 3) ระบตุ ัวอย่างสื่อตา่ ง ๆ ท่สี ามารถอา่ นจบั ใจความได้ (K) 4) อธิบายรายละเอยี ดจากเรอ่ื งที่อา่ นได้ (K) 5) ปฏบิ ัติกจิ กรรมอา่ นจับใจความแบบรวมพลงั อยา่ งมีสมาธิ (Pทา) 6) ฝกึ จบั ใจความสาคัญจากเรือ่ งทอี่ า่ นได้ (Pคิด) 7) เขยี นผังความคดิ บันทกึ ผลการอ่านจบั ใจความเรื่องทสี่ นใจได้ (Pผลิต) 8) เปน็ ผู้มีสมาธแิ ละคิดรเิ ริ่ม (A) 2. สาระการเรยี นรู้ 2.1 ความรู้

การเรยี นร้เู ชิงรกุ เสริมสมรรถนะดว้ ยวิธีและเทคนคิ การสอนหลากหลาย | 34 รศ.ดร.พิมพันธ์ เดชะคุปต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดสี ุข 1) การอา่ นจบั ใจความ คอื การคน้ หาความคดิ สาคญั ของข้อความ หรอื เรือ่ งทอี่ า่ น 2) วธิ กี ารอ่านจบั ใจความจากสอ่ื ตา่ ง ๆ 2.1 พิจารณาทลี ะย่อหน้า หาประโยคใจความสาคญั ของแต่ละย่อหนา้ 2.2 ตัดส่วนที่เป็นรายละเอียดออกได้ เช่น ตัวอย่าง สานวน โวหาร อุปมาอุปไมย (การ เปรียบเทียบ) ตัวเลข สถิติ ตลอดจนคาถาม หรือคาพูดของผู้เขียนซึ่งเป็นส่วนขยาย ใจความสาคญั 2.3 สรุปใจความสาคัญด้วยสานวนภาษาของตนเอง 3) ตัวอย่างส่ือต่าง ๆ ท่ีสามารถอ่านจับใจความ เช่น วรรณคดีในบทเรียน บทความ บันทึก เหตกุ ารณ์ บทสนทนา บทโฆษณา เปน็ ตน้ 2.2 กระบวนการ 1) ความสามารถในการส่อื สาร  การอ่าน การฟัง การเขียน 2) ความสามารถในการคิด  วเิ คราะห์ และจับใจความสาคัญ 3) ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ิต  การทางานและการอยรู่ ว่ มกนั 4) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี 2.3 ค่านยิ มหลกั 12 ประการ 1) มสี มาธิ 2) เป็นผู้คดิ ริเรม่ิ 3. กจิ กรรมการเรียนรู้ 3.1 ข้นั ตอนการเรยี นการสอน 1) ขน้ั ระบคุ าถาม ครูนานกั เรียนให้เกดิ ความสงสัย หรอื ระบุคาถามสาคัญ พร้อมคาดคะเนคาตอบของคาถามดงั นี้ 1.1 การอ่านจับใจความสาคัญคืออะไร 1.2 นักเรียนมวี ธิ ีการอา่ นจบั ใจความสาคญั อยา่ งไร 2) ข้ันแสวงหาสารสนเทศ 2.1 ครูให้แต่ละกลุ่มปฏิบัติกิจกรรมตามคาช้ีแจงในใบกิจกรรม โดยครูทบทวนเร่ืองแบบผัง ความคิดใหน้ ักเรียนกอ่ นปฏิบัตกิ จิ กรรม 2.2 กลมุ่ วิเคราะห์และเขยี นนาเสนอ

การเรียนร้เู ชงิ รกุ เสริมสมรรถนะด้วยวิธีและเทคนิคการสอนหลากหลาย | 35 รศ.ดร.พิมพันธ์ เดชะคปุ ต์รศ.พเยาว์ ยินดสี ุข 3) ขั้นสร้างความรู้ 3.1 ครใู ห้นกั เรยี นแตล่ ะกล่มุ นาเสนอผลการอา่ นจบั ใจความสาคัญ 3.2 ครตู ัง้ ประเด็นคาถามนาการอภปิ รายเพือ่ สรา้ งความรู้ ดงั นี้ (1) กลุ่มของนักเรียนอ่านจับใจความสาคัญจากส่ือประเภทใด ฉะน้ัน การอ่านจับ ใจความสาคัญสามารถอ่านส่อื ใดไดบ้ ้าง (2) กลุ่มทจ่ี บั คกู่ ันมีวธิ กี ารอา่ นจบั ใจความสาคัญแตกต่างกันหรอื ไม่ อยา่ งไร (3) กลุม่ ทจ่ี บั คู่กนั ได้สาระ หรอื ใจความท่ไี ด้เหมือน หรือแตกต่างกนั หรือไม่ อย่างไร แต่ ละกลุ่มจบั ใจความไดส้ าระทค่ี รบถ้วน สมบรู ณห์ รอื ไม่ และควรปรับปรงุ แก้ไขอย่างไร 3.3 ครูให้กลุ่มท่ีจับคู่กันร่วมกันสรุปวิธกี ารจับใจความแล้วแลกเปล่ียนเรยี นรู้ประเด็นวิธกี าร จบั ใจความกบั กลุ่มอื่น ๆ ท่ีอา่ นจบั ใจความจากสอื่ ท่แี ตกต่างกัน 3.4 ครใู ห้แต่ละกลมุ่ สรปุ ความหมายของการอา่ นจับใจความสาคญั และตัวอยา่ งสื่อทสี่ ามารถ นามาอ่านจับใจความสาคัญ 3.5 ครเู ชือ่ มโยงกับความรทู้ คี่ รูเตรยี มมาเพ่ือให้นกั เรียนไดข้ อ้ สรปุ ท่ถี กู ตอ้ งครบถ้วน 4) ข้ันส่ือสาร ครใู ห้นกั เรียนแต่ละกลุ่มเขียนผงั ความคิดนาเสนอองค์ความรู้ที่ได้เรียนในคร้งั น้ีเพอ่ื แลกเปล่ียนกัน และกนั 5) ข้นั ตอบแทนสงั คม ครูให้นักเรียนเลือกเร่ืองที่เป็นประเด็นที่น่าสนใจในสังคมจากสื่อต่าง ๆ จานวน 1 แหล่ง ตาม ความสนใจและความถนัด ใหอ้ า่ นจบั ใจความสาคญั แล้วเขียนผังความคิดเพ่อื นาเสนอความเข้าใจ โดยเผยแพร่ ผา่ นเวบ็ ไซต์ เช่น เฟสบุ๊ค เป็นตน้ 3.2 สือ่ /แหลง่ เรียนรู้ ใบกิจกรรม เรือ่ ง การอา่ นจบั ใจความสาคัญ 4. ประเมินผลการเรยี นรู้ 4.1 ประเมนิ ความรู้เร่ืองการอ่านจบั ใจความสาคัญด้วยแบบสอบ 4.2 ประเมินกระบวนการกลุ่มด้วยแบบประเมิน 4.3 ประเมนิ ความสามารถในการอา่ นจับใจความและเขียนผังความคิดด้วยแบบประเมนิ 4.4 ประเมินคา่ นิยมดว้ ยแบบประเมิน

การเรียนร้เู ชิงรกุ เสรมิ สมรรถนะดว้ ยวิธแี ละเทคนิคการสอนหลากหลาย | 36 รศ.ดร.พิมพนั ธ์ เดชะคุปต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดีสขุ 2.4 การจดั การชน้ั เรียนเพอ่ื การจัดการเรยี นร้เู ชงิ รกุ แบบรวมพลัง 2.4.1 การจดั โตะ๊ และตาแหนง่ ที่นงั่ ของนักเรียนเป็นกล่มุ 4 คนต่อกล่มุ 2.4.2 การวางแผนใชก้ ระดาน 2.4.2 เตรียมสรา้ งบรรยากาศทางจติ ใจ เด็กดี : เตรยี มบม่ เพาะเด็กให้เป็นเดก็ ดีมวี ินัย ครูดี : เตรียมสอนดีด้วยบคุ ลกิ ภาพดี มีปยิ วาจา และพฒั นาตนเสมอ บรรยากาศดี : เปน็ บรรยากาศสขุ ท่เี ด็กมีอิสระคิด ทา และร่วมพลงั พฒั นาต่อ

การเรียนร้เู ชิงรุกเสริมสมรรถนะด้วยวิธแี ละเทคนคิ การสอนหลากหลาย | 37 รศ.ดร.พิมพันธ์ เดชะคปุ ต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดีสขุ 5.2 รายวชิ าเพ่ิมเติม การออกแบบการเรยี นการสอนตามแนว LOE ผงั การออกแบบการเรยี นรูต้ ามแนว BwD แผนการจดั การเรียนรเู้ นน้ การเรียนรเู้ ชิงรกุ แบบรวมพลงั แผนการจดั การเรยี นรูเ้ นน้ การเรียนร้เู ชงิ รกุ แบบรวมพลงั 1. วตั ถุประสงค์การเรียนรู้ 1) อธิบายหลักการจับมือแบบ ASEAN และข้อคดิ ทไี่ ด้อยา่ งถูกตอ้ ง (K) 2) ปฏิบตั ติ ามใบกจิ กรรม เรอ่ื ง การจับมือแบบ ASEAN อยา่ งรวมพลังดว้ ยนสิ ัยรักการอ่านได้ (P1) 3) ทาโครงงานสารวจความคิดเห็นท่ีมีต่อการประชุม ASEAN ในไทย พ.ศ. 2562 ของ นักเรียนชั้น ม.2 ด้วยการมคี ่านิยมรว่ ม (P2) 4) ความม่งุ มนั่ และรบั ผิดชอบ (A) และเขา้ ใจวฒั นธรรมขา้ มชาติ

การเรียนรู้เชงิ รุกเสรมิ สมรรถนะดว้ ยวธิ แี ละเทคนคิ การสอนหลากหลาย | 38 รศ.ดร.พิมพนั ธ์ เดชะคปุ ต์รศ.พเยาว์ ยินดสี ุข 2. สาระการเรยี นรู้ 2.1 ความรู้ 1) หลกั การจบั มือแบบ ASEAN (1) ใชม้ ือซ้ายจับมือขวาของตนเอง (2) แล้วใชม้ อื ขวาจบั ขอ้ มอื ซ้ายของเพอ่ื นสมาชกิ ทาไปตามลาดบั จนครบทุกคน 2) ขอ้ คดิ จากการจบั มอื แบบ ASEAN  จงชว่ ยเหลอื ตนเองให้มน่ั คงแลว้ จงึ ช่วยผู้อน่ื  จงรวมพลงั ชว่ ยกันและกันระหว่างประเทศใน ASEAN 2.2 กระบวนการ 1) สามารถสอ่ื สาร ( อา่ น ฟงั พดู เขียน ) 2) สามารถคดิ วเิ คราะห์ สรปุ ริเริ่ม 3) สามารถแกป้ ัญหา () 4) สามารถใชท้ กั ษะชีวติ (ทางานกล่มุ ) 5) สามารถใช้ ICT (สืบคน้ จาก Internet) 2.3 คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ มุ่งมัน่ และรับผดิ ชอบ และเขา้ ใจวฒั นธรรมขา้ มชาติ 2.4 สมรรถนะ การทาโครงงานสารวจความคิดเห็นที่มีต่อการประชุม ASEAN ในไทย พ.ศ. 2562 ของ นักเรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 ดว้ ยการมคี ่านิยมร่วม 3. กิจกรรมการเรียนรู้ 3.1 ข้ันตอนการจดั การเรียนรู้ 1) เสนอสิง่ เร้าและระบคุ าถามสาคญั (สคส) 1.1 เสนอส่งิ เรา้ การประชุม ASEAN 1.2 เดก็ ๆ อยากรู้อะไรเกี่ยวกับ ASEAN 1.3 การจับมอื แบบ ASEAN มหี ลักการอยา่ งไร 1.4 ให้คาดคะเนคาตอบของคาถามสาคัญโดยลองปฏิบัติโดยใช้การทางานแบบรวมพลัง Think- Pair-Share ( 5 นาที ) 2) รวมพลงั แสวงหาสารสนเทศและวิเคราะห์ (สว) 2.1 ใหก้ ลุ่มทาใบกิจกรรม การจับมอื แบบ ASEAN แบบรวมพลงั อยา่ งร่วมมอื กันและมนั่ ใจ 2.2 เม่ือวิเคราะห์แล้วใหป้ ระเมนิ ผลงานให้ประเมินผลจากการวเิ คราะห์

การเรียนรู้เชิงรกุ เสริมสมรรถนะดว้ ยวธิ ีและเทคนคิ การสอนหลากหลาย | 39 รศ.ดร.พิมพันธ์ เดชะคุปต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดสี ขุ 3) รวมพลังอภปิ รายและสร้างความรู้ (อส) 3.1 ใหก้ ล่มุ นาเสนอผลงาน แล้วนาผลงานตดิ บนกระดานใหค้ รบทกุ กลุม่ 3.2 ครนู าอภิปราย 1) แตล่ ะกล่มุ มีวธิ กี ารจับมอื กนั อยา่ งไร 2) กลมุ่ ใดเหมอื นกัน กลุม่ ใดต่างกนั อยา่ งไร 3) กลุ่มมีขอ้ คดิ จากการจับมือแบบ ASEAN อยา่ งไรบ้าง กลุ่มใดนา่ สนใจที่สดุ 4) กลุ่มสรุปสร้างความรู้ นาเสนอดว้ ยผงั กราฟิก 5) กลุ่มปรบั ผลงาน 3.3 ครูเชอื่ มโยงความรูไ้ ปยงั สาระทีเ่ ตรียม 3.4 ให้กลุ่มลองฝึกทาในเวลาอันสั้น 4) รวมพลังสื่อสารและสะทอ้ นคดิ (สสค) 4.1 ใหก้ ลุม่ เล่าเรอื่ งท่เี รียนรูส้ ู่กันฟงั 4.2 ให้กลุ่มสะท้อนคดิ • จุดเดน่ มอี ะไรบา้ ง • จุดต้องแกไ้ ขมอี ะไรบ้าง • มคี าถามใหมอ่ ะไรอกี บา้ ง • ไดบ้ ทเรียนอะไร 5) ประยุกตแ์ บบรวมพลังและตอบแทนสงั คม (ปตท.) 4. ประเมินผลการเรียนรู้ 4.1 ประเมนิ ความรดู้ ้วยแบบสอบ 4.2 ประเมินการปฏบิ ัตกิ ิจกรรมดว้ ยแบบประเมิน 4.3 ประเมินโครงงานดว้ ยแบบประเมิน 4.4 ประเมินความม่งุ มั่นและความรับผิดชอบดว้ ยแบบสงั เกต

การเรียนร้เู ชิงรุกเสรมิ สมรรถนะด้วยวิธีและเทคนคิ การสอนหลากหลาย | 40 รศ.ดร.พิมพนั ธ์ เดชะคปุ ต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดีสขุ ใบกิจกรรมเสรมิ สรา้ งสมรรถนะ การจับมอื แบบ ASEAN วัสด/ุ อปุ กรณ์ 1. ภาพการจบั มือแบบอาเซียน 2. กระดาษ A4 3. ปากกาเมจิกสี 4. Mobile Phone ขนั้ ที่ 2 รวมพลงั แสวงหาสารสนเทศและวิเคราะห์ (สว) 1. ให้กลุ่ม (4คนต่อกลุ่ม) ศึกษารูปภาพจับมือแบบ ASEAN และค้นคว้า Internet โดยการทางานแบบ รวมพลงั แบบคนเดียว-คิดค-ู่ คิดทมี 2. จากนนั้ วเิ คราะหเ์ พือ่ สรุปเป็นหลกั การและระดมสมอง ขอ้ คดิ ทีไ่ ด้จากการจบั มอื ขา้ งตน้ 3. เขยี นนาเสนอผลงานจากการทางานในแบบ 1) ความเรียง หรือ 2) ผงั GOs หรือ วาดรูป หรือ 3) ผสมผสานระหวา่ งความเรียงกับผงั GOs 4. จากนนั้ ตกแต่งใหส้ วยงาม ขนั้ ท่ี 5 รวมพลงั ประยุกตแ์ ละตอบแทบสังคม (ปตท) ตอนที่ 1 ให้ gang of 4 รว่ มกนั จบั มือแบบอาเซียน และร้องเพลงที่เหมาะสมอันแสดง ความร่วมมอื รวมพลัง ตอนที่ 2 ให้กลุ่มทา Poster ประชาสมั พนั ธ์รูปการจับมอื แบบ ASEAN พรอ้ มแต่งคาขวัญห รื อ ก ล อ น สะท้อนขอ้ คิดเก่ยี วกับการรวมพลงั ระหว่างชาวประชาคม ASEAN ตอนท่ี 3 โครงงานสารวจความคดิ เหน็ ความรูส้ กึ ที่มตี ่อการประชมุ ASEAN ในไทย (พ.ศ. 2562) ครั้ง ล่าสุดของเพ่อื นนักเรยี น ม.2/2 โรงเรยี นแสนสขุ จงสรา้ งความเขา้ ใจและชน่ื ชมวัฒนธรรมข้ามชาติ

การเรียนร้เู ชงิ รุกเสริมสมรรถนะด้วยวธิ ีและเทคนิคการสอนหลากหลาย | 41 รศ.ดร.พิมพันธ์ เดชะคปุ ต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดสี ขุ 5.3 กรณตี วั อย่างของการจัดกจิ กรรมเสริมประสบการณ์ในระดับปฐมวยั ตัวอยา่ ง การออกแบบการจดั กิจกรรมเสริมประสบการณ์ ระดับอนุบาลปที ี่ 2 เรื่อง สว่ นประกอบของต้นไม้ตามแนว LOE

การเรยี นรเู้ ชงิ รุกเสริมสมรรถนะดว้ ยวธิ แี ละเทคนิคการสอนหลากหลาย | 42 รศ.ดร.พิมพนั ธ์ เดชะคุปต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดีสขุ ตัวอย่าง แผนการจดั ประสบการณก์ จิ กรรมเสริมประสบการณ์ ตามกระบวนการเรยี นรแู้ บบรวมพลงั 5 ข้ันตอน (Collaborative 5 STEPs) ระดบั อนุบาลปที ี่ 2 เรอ่ื ง “สว่ นประกอบของต้นไม้” วตั ถุประสงคก์ ารเรยี นรู้ เพอ่ื ให้เดก็ สามารถ 1. ระบุส่วนประกอบสาคัญของตน้ ไมไ้ ด้ 2. ปฏบิ ัตติ ามใบกิจกรรมการสืบสอบความรู้ เรอ่ื ง ศกึ ษาสว่ นประกอบสาคัญของตน้ ไม้ได้ 3. ทาภาพปะตดิ ตน้ ไมจ้ ากวัสดุเหลือใชไ้ ด้ 4. มคี วามใฝเ่ รียนรู้ และซอื่ สัตย์ สาระการเรียนรู้ 1. สาระทคี่ วรเรยี นรู้ สว่ นประกอบสาคญั ของต้นไม้ ไดแ้ ก่ 1) ราก 2) ลาตน้ 3) กง่ิ ก้าน 4) ใบ 2. ประสบการณส์ าคัญ 2.1 ดา้ นรา่ งกาย – ใชก้ ลา้ มเนอื้ และมอื 2.2 ดา้ นอารมณจ์ ติ ใจ 1) ความใฝ่เรียนรู้ 2) ความซอ่ื สัตย์ 2.3 ดา้ นสงั คม การทากจิ กรรมรว่ มกบั ผอู้ ืน่ 2.4 ด้านสติปญั ญา ได้แก่ 1) การสังเกต และการอธิบายความเหมอื น ความต่างของสิ่งต่าง ๆ 2) การคาดคะเนส่ิงตา่ ง ๆ 3) การสืบคน้ ขอ้ มูล 4) การอธิบายสง่ิ ต่าง ๆ ดว้ ยวธิ ีการท่ีหลากหลาย

การเรยี นรเู้ ชิงรกุ เสริมสมรรถนะดว้ ยวิธแี ละเทคนคิ การสอนหลากหลาย | 43 รศ.ดร.พมิ พันธ์ เดชะคปุ ต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดีสขุ ขั้นตอนการจัดประสบการณ์ ขน้ั ที่ 1 การเสนอสิ่งเร้าและระบคุ าถามสาคญั (Stimulating and Key Questioning Collaboratively) 1.1 ครูนาสนทนาเกี่ยวกับต้นไม้ท่ีเด็ก ๆ รู้จัก และชวนเด็กออกไปสารวจต้นไม้บริเวณสวนหย่อมของ โรงเรียน (สงั เกต) 1.2 เดก็ ระบคุ าถามท่ีสงสยั เกย่ี วกับต้นไม้ (คาถามสาคญั คือ ต้นไม้มสี ่วนประกอบอะไรบา้ ง) (ต้งั คาถาม) 1.3 ครใู ห้เด็กแตล่ ะคนคาดคะเนคาตอบของคาถามสาคญั โดยการวาดรปู (ตั้งสมมตฐิ าน) ขัน้ ท่ี 2 การแสวงหาสารสนเทศและวิเคราะหอ์ ย่างรวมพลัง (Searching and Analyzing Collaboratively) ครูให้เด็กแต่ละกลุ่มศึกษาภาพต้นไม้ 3 ต้นท่ีครูเตรียมไว้ในใบกิจกรรม เร่ือง ศึกษาส่วนประกอบของ ต้นไม้ (ในภาคผนวก) โดยใหเ้ ดก็ สังเกตส่วนต่าง ๆ ของตน้ ไม้ จากนน้ั ให้เด็กแยกแยะเปรยี บเทียบสว่ นที่เหมือน และส่วนท่ีแตกต่างของต้นไม้ แล้ววงกลมล้อมรอบส่วนประกอบร่วมของต้นไม้ 3 ต้น (สังเกต แยกแยะ เปรยี บเทยี บ) ขน้ั ที่ 3 การรวมพลงั อภปิ รายและสรา้ งความรู้ (Discussing and Constructing Collaboratively) 3.1 ครูให้เด็กแต่ละกลุ่มนาเสนอผลงาน จากน้ันครูนาสนทนาแลกเปลี่ยนกับเด็ก ๆ ทั้งชั้นเรียน โดยใช้ คาถามดังน้ี 1) ตน้ ไม้ทีเ่ ด็ก ๆ ศึกษามีต้นอะไรบา้ ง พร้อมทงั้ ตดิ ภาพตน้ ไมเ้ หลา่ นัน้ บนกระดาน (ลงข้อสรปุ ) 2) ต้นไม้ที่เด็ก ๆ ศึกษาทุกต้นมสี ว่ นใดแตกต่างกัน (เปรยี บเทยี บ) 3) ตน้ ไม้ท่เี ดก็ ๆ ศึกษาทกุ ต้นมีส่วนใดเหมอื นกนั (เปรยี บเทียบ) 4) สว่ นประกอบสาคญั ท่ตี ้นไมท้ ุกต้นมีคอื อะไร (สรปุ ผล) 3.2 ครใู หเ้ ดก็ อภิปรายวา่ คาตอบของเด็ก ๆ ถกู ตอ้ งหรอื ไม่ ถ้าไม่ถกู ต้องจะแกไ้ ขอยา่ งไร (ประเมิน) 3.3 ครูนาตน้ ถ่วั ทีป่ ลกู ไว้ในห้องเรียนมาให้เดก็ แต่ละกลมุ่ สังเกตส่วนประกอบสาคญั ของตน้ ถ่ัวและบันทึก การสารวจโดยการวาดภาพ เพ่ือให้เห็นส่วนของรากชัดเจนย่ิงขึ้น ตามใบกิจกรรม เรื่อง ศึกษา ส่วนประกอบของตน้ ถ่วั (ในภาคผนวก) (ส่อื สารด้วยภาพ) 3.4 เด็ก ๆ ชว่ ยกนั แกไ้ ขคาตอบที่ผดิ จนถูกต้องครบทุกส่วนประกอบสาคญั ของตน้ ไม้ (ประเมิน) 3.5 ครแู ละเดก็ ๆ ช่วยกันสรปุ สว่ นประกอบสาคัญของต้นไม้ (สรุปผล) 3.6 ครูให้เด็กทาแบบฝกึ หัด โดยให้พจิ ารณารปู ต้นไผ่ว่าเป็นต้นไม้หรือไม่ เพราะเหตใุ ด (ลงขอ้ สรุป)

การเรยี นรู้เชงิ รุกเสริมสมรรถนะดว้ ยวธิ ีและเทคนคิ การสอนหลากหลาย | 44 รศ.ดร.พมิ พนั ธ์ เดชะคุปต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดีสขุ ข้นั ที่ 4 การสอื่ สารและสะทอ้ นคิดอยา่ งรวมพลงั (Communicating and Reflecting Collaboratively) ครูให้เด็กแต่ละกลุ่มวาดภาพต้นไม้ท่ีมีครบทุกส่วนประกอบสาคัญ ออกมาเล่าหน้าชั้นเรียน (สื่อสาร) และครใู ชค้ าถามให้เด็กสะท้อนคิดเพ่ือหาจดุ ดี จุดบกพรอ่ ง และข้อสงสัยเพม่ิ เติม ดงั น้ี (สะทอ้ นคิด) 1) วนั น้ีเด็ก ๆ ไดท้ ากิจกรรมอะไรบา้ ง 2) เดก็ ๆ ชอบกจิ กรรมวนั น้หี รือไม่ ชอบกิจกรรมใดบา้ ง 3) เดก็ ๆ ได้เรยี นเรือ่ งอะไรบา้ ง ข้ันที่ 5 การรวมพลงั ประยกุ ตแ์ ละตอบแทนสงั คม (Applying and Serving Collaboratively) ครใู ห้เด็ก ๆ ทาโครงการประดษิ ฐภ์ าพปะตดิ ต้นไมจ้ ากวัสดุเหลือใช้ ตามใบคาสงั่ โดยให้เดก็ สังเกตภาพ หรือแบบจาลองต้นไม้ชนดิ ต่าง ๆ จากนั้นครูนาถามคาถาม “ถ้าเราจะประดิษฐ์ภาพปะติดต้นไม้ที่เด็ก ๆ ชอบ จะประดิษฐ์อย่างไร และใช้วัสดุอะไร” แล้วให้เด็กแต่ละกลุ่มเลือกต้นไม้ท่ีชอบมา 1 ชนิดเพื่อทาโครงการ (แกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรค์) สือ่ อปุ กรณ์การเรียนรู้ / แหล่งเรยี นรู้ ภาพต้นไม้ตา่ ง ๆ เช่น ต้นชมพู่ ต้นมะม่วง ตน้ จามจรุ ี / บริเวณสนามหญา้ ของโรงเรยี น ประเมินผลการเรยี นรู้ 1. ประเมนิ ความรเู้ รอ่ื งสว่ นประกอบของตน้ ไม้จากการตอบคาถาม 2. ประเมินการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมดว้ ยแบบสังเกต 3. ประเมนิ ชนิ้ งานภาพวาดต้นไมด้ ้วยแบบประเมิน 4. ประเมินความใฝ่เรียนร้แู ละความซื่อสตั ยด์ ว้ ยแบบประเมิน ภาคผนวก 1. ใบกิจกรรม - ใบกจิ กรรม เร่อื ง ศึกษาส่วนประกอบของตน้ ไม้ - ใบกจิ กรรม เรอื่ ง ศึกษาส่วนประกอบของต้นถั่ว 2. แบบประเมินผลการเรยี นรู้ - แบบสงั เกตการปฏิบัติกจิ กรรม - แบบประเมนิ ชิน้ งานภาพวาดตน้ ไม้ - แบบประเมนิ ความใฝเ่ รียนรู้ - แบบประเมนิ ความซือ่ สัตย์

การเรยี นรเู้ ชงิ รกุ เสรมิ สมรรถนะด้วยวธิ ีและเทคนิคการสอนหลากหลาย | 45 รศ.ดร.พิมพันธ์ เดชะคปุ ต์รศ.พเยาว์ ยนิ ดสี ุข ใบกจิ กรรม เรอื่ ง ศกึ ษาส่วนประกอบของต้นไม้ (ส่อื การเรียนรู้ ข้นั ที่ 2 การแสวงหาสารสนเทศและวเิ คราะห์อย่างรวมพลงั ) คาชี้แจง ใหน้ ักเรยี นแต่ละกลมุ่ ปฏบิ ัตกิ จิ กรรม ต่อไปนี้ 1. สงั เกตส่วนตา่ ง ๆ ของตน้ ไมจ้ ากภาพ 2. แยกแยะและเปรียบเทียบสว่ นทเ่ี หมือนและส่วนทแี่ ตกต่างของตน้ ไม้ 3. วงกลมล้อมรอบสว่ นประกอบทเ่ี หมือนกันของตน้ ไม้ 3 ต้น จงเปน็ ผใู้ ฝ่เรียนรู้ สอ่ื การเรยี นรู้ รูปภาพใชป้ ระกอบกิจกรรม เร่ือง ศึกษาสว่ นประกอบของต้นไม้ เช่น 