Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สัปดาห์ที่ 7 พลเมืองดีภายใต้หลักธรรมของศาสนา

สัปดาห์ที่ 7 พลเมืองดีภายใต้หลักธรรมของศาสนา

Published by sutdhirak, 2023-07-10 08:50:54

Description: สัปดาห์ที่ 7 พลเมืองดีภายใต้หลักธรรมของศาสนา

Search

Read the Text Version

บทเรียนโมดูล วิชาหน้าที่พลเมืองและศีลธรรม เรื่อง พลเมืองดีภายใต้หลักธรรมของศาสนา จัดทำโดย นายสุทธิรักษ์ เชื้อดี แผนกวิชาสามัญ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม(สยามเทค) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ

คำนำ หลักการและเหตุผล การสร้างบทเรียนโมดูล นี้ ประกอบด้วยเนื้อหา 2 ตอน ได้แก่ หลักธรรม ของพระพุทธศาสนา และการบริหารจิต มุ่งให้ผู้ เรียนได้เรียนรู้ถึงการนำวัฒนธรรมมาพัฒนาสังคม ไทยและเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข โดยการผ่านการเรียนรู้ ต้องศึกษาเอกสาร ประกอบการเรียนรู้ ทำแบบทดสอบระหว่างการ เรียนรู้เรียน และแบบทดสอบหลังเรียนได้ถูกต้อง ตามลิงก์/แอปพลิเคชันในแต่ละบทเรียน โดยการ สแกนคิวอาร์โค้ด/เข้าไปที่แอปฯ เพื่อตอบปัญหา และได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ของแบบ ทดสอบระหว่างเรียน และแบบทดสอบหลังเรียน กรณีที่ได้ไม่ถึงเกณฑ์ให้นักศึกษากลับเข้าไปตอบ คำถามซ้ำได้จนกว่าจะผ่านเกณฑ์ ผู้เรียน จำเป็นต้องมีพื้นฐานความรู้เรื่อง หลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา มาบ้าง

สารบัญ 1 2 คำนำ 3 สารบัญ 6 คำชี้แจง 12 จุดประสงค์การเรียนรู้ 20 แบบทดสอบก่อนเรียน 21 หลักธรรมของพระพุทธศาสนา 22 การบริหารจิตและการเจริญ แบบทดสอบระหว่างเรียน คลิปวิดีโอ แบบทดสอบหลังเรียน

คำชี้แจง การใช้บทเรียนโมดูล เรื่อง พลเมืองดีภายใต้หลัก ธรรมของศาสนา 1. อ่านคำชี้แจงและคำแนะนำสำหรับนักศึกษาให้ เข้าใจก่อนลงมือศึกษาชุดกิจกรรม 2. นักศึกษารับlink กิจกรรมทาง Line หรือ google classroom 3. ทําแบบทดสอบก่อนเรียนด้วยการสแกนคิวอาร์ โค้ด พิมพ์ชื่อ เลขที่ แล้วตอบคำถาม 4. ศึกษาเนื้อหาในชุดกิจกรรม ตามขั้นตอนที่ระบุไว้ ในคำชี้แจงทุกข้อในกิจกรรมท้ายบทเรียน 5. ทำแบบทดสอบระหว่างเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 6. ทําแบบทดสอบหลังเรียน ด้วยการเข้าไปที่ แอป พลิเคชัน edpuzzle ดูความก้าวหน้าในการเรียนของ นักศึกษา หลังจากศึกษาบทเรียนและทํากิจกรรมท้าย บทเรียนเรียบร้อยแล้ว ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 7. ในการทำกิจกรรมทุกชุดกิจกรรม ขอให้นักศึกษา ทําด้วยความตั้งใจ ให้ความร่วมมือ มีความซื่อสัตย์และ รับผิดชอบต่อตนเองให้มากที่สุด หากนักศึกษาไม่เข้าใจบทเรียนเนื้อหาตอนใด ให้ ถามครูผู้สอนเพื่ออธิบายเพิ่มเติม และสามารถเข้าไปที่ google classroom เพื่อศึกษานอกเวลาได้

อ ธิ บ า ย ก า ร ป ร ะ ย ก ต์ ใ ช้ ห ลั ก ธ ร ร ม ใ น ชี วิ ต ไ ด้ ป ฏิ บั ติ ส ม า ธิ ภ า ว น า ใ น ชี วิ ต ป ร ะ จำ วั น ไ ด้

แบบทดสอบก่อนเรียน มองกล้องอะทำเผลอ แต่มองเธออะ เราตั้งใจ

บทนำ ก า ร ที่ บุ ค ค ล จ ะ ป ร ะ พ ฤ ติ ต น เ ป็ น ค น ดี ได้นั้น ต้องมีความตระหนักรู้ข้อศีล ธรรมจรรยา ซึ่งเป็นผลมาจากการ ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุ ทธ ศาสนา ในสังคมไทยพระพุ ทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ สาระของพุ ทธ ธรรมจึงมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตชาว พุ ทธ ดังนั้น พลเมืองดี ภายใต้หลัก ธ ร ร ม ข อ ง ศ า ส น า ย่ อ ม ห ม า ย ถึ ง บุ ค ค ล ผู้ศึกษาพระธรรมคำสอน ได้แก่ โอวาทปาติโมกข์ หลักการของ พระพุ ทธศาสนาและหลักธรรมหัวข้อ อริยสัจ 4 ปฏิจจสมุปบาท กฎแห่ง กรรม ไตรลักษณ์ เพื่ อเป็นหลักการ ในการดำรงตน และนำหลักการนั้นมา ปฏิบัติ ด้วยการบริหารจิตและการ เจริญปัญญาจนเกิดสติพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นปกติใน ชีวิตประจำวัน นำพาสู่การเป็น พลเมืองดีของประเทศชาติ

พลเมืองดีเป็นกำลังสำคัญที่ จะนำพาชาติบ้านเมืองไปสู่ ความเป็นอารยะ ปัจจัย ภายนอกที่หล่อหลอม ชนชาว ไทยให้ดำรงตนเป็นพลเมืองดี คือ กระบวนการสังคมประกิต จ า ก ค ร อ บ ค รัว แ ล ะ ชุ ม ช น แวดล้อม ส่วนปัจจัยภายใน เกิดจากความตระหนักรู้ในคำ สอนของศาสนา โดยเฉพาะ พระพุ ทธศาสนา ซึ่งเป็น ศาสนาBทีO่อOยูK่คูN่สOังWคมไทย ได้ หล่อหลอมจิตใจคนไทยให้มี ความเมตตา กรุณา และรู้จัก ประสานประโยชน์

1. หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเพื่อ การประยุกต์ใช้ในชีวิต มนุษย์ล้วนเกิดมาท่ามกลางความทุกข์ พระสัมมาสัมพุ ทธเจ้าทรงตรัสว่า หากนำ น้ำตาของทุกชีวิตใน ทุกภพชาติมารวม กัน น้ำในมหาสมุทรยังมีปริมาณน้อยกว่า น้ำตาของสรรพสัตว์ พระพุ ทธองค์ได้ตรัสแนะวิธีปฏิบัติ กาย วาจา ใจ ตั้งรับกับความทุกข์ที่ต้องประสบด้วยการรู้ และปฏิบัติหลักอริยสัจ 4 บนพื้ นฐานของการดำรงตน ด้วยไตรสิกขาตามหลักโอวาทปาติโมกข์ ซึ่งเป็นหลักการ ของพระพุ ทธศาสนา 1.1 โอวาทปาติโมกข์ หลักการของ พระพุ ทธศาสนา เรียกว่า พุ ทธโอวาท 3 อยู่ใน โอวาทปาติโมกข์ที่ทรง แสดงในวันเพ็ญเดือน 3 เรียกว่า วันมาฆบูชา มีใจความสำคัญดังนี้ 1) สพฺ พปาปสฺส อกรํไม่ทำความชั่ว ทั้งปวง 2) กุสลสฺสูปสมฺปทาทำแต่ความดี ทำความดีให้ถึงพร้อม 3) สจิตฺตปริโยทปนํชำระใจของตน ให้สะอาดบริสุทธิ์ การปฏิบัติตามหลักการของพระพุ ทธศาสนา เริ่มจากการเว้นอกุศลกรรมบถ 10 พัฒนา กายด้วยศีล พัฒนาจิตด้วยสมาธิ จนเกิด ปัญญารู้แจ้งเรียกว่านิพพาน

1.2 อริยสัจ 4 เป็นธรรม สำคัญที่พระพุ ทธเจ้าทรงแสดงใน ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ณ ป่าอิสิป ตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพา ราณสี แก่ปัญจวัคคีย์ภายหลังการ ตรัสรู้ อริยสัจ 4 มีเนื้ อหาสาระแสดงเหตุและผลของชีวิต ให้คน ทั่วไปพ้นจากทุกข์ ในพระวินัยปิฎกบันทึกว่า “อริยสัจ 4 ประกอบด้วย ความจริงในเรื่องทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และวิธีปฏิบัติเพื่ อให้บรรลุ ความดับทุกข์ นั้น” อธิบายได้ดังนี้ 1) ทุกข์ คือ สภาพอันทนได้ยาก ทำให้บุคคลนั้นมี ความเดือดร้อน ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ทุกข์ มี 2 ประเภท คือ ทุกข์ประจำ หมายถึง ความทุกข์ตามสภาพเป็นไปโดย ธรรมชาติ ได้แก่ ทุกข์จากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และ ความตาย และทุกข์จร หมายถึง ความ ทุ ก ข์ ป ลี ก ย่ อ ย ที่ บุ ค ค ล ป ร ะ ส บ เ ป็ น ค รั้ง คราวใน ช่วงชีวิต ได้แก่ ทุกข์จากความ ผิดหวัง จากการเจ็บไข้ สุขภาพไม่ดี การพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ

2) สมุทัย คือ เหตุ แห่งทุกข์ เป็นสิ่งที่มีผลให้ บุคคลไม่สบายกาย ไม่ สบายใจ โดยอาจมีสาเหตุ เพียง ประการเดียวหรือ หลายประการก็ได้ ถ้าบุคคล รู้สาเหตุแห่งความทุกข์ และ กำจัดสาเหตุที่เกิดได้ก็ระงับ ทุกข์จนถึง ดับทุกข์ได้ 3) นิโรธ คือ ความดับ ทุกข์ เมื่ อรู้สาเหตุของความ สาเหตุแห่งทุกข์ คือ ความ ทุกข์ และดับสาเหตุนั้นได้ก็ บรรลุความดับทุกข์ได้ เมื่ อ ทะยานอยากของใจ เรียกว่า กำจัดตัณหาได้แล้ว บุคคลนั้น ตัณหา มี 3 ย่อมเข้าถึงนิโรธ คือ บรรลุ ตัณหา เป็น นิพพาน ความอยากในสิ่งที่น่า 4) มรรค คือ วิถีซึ่งมี องค์ประกอบ 8 ประการ ที่นำ เพลิดเพลิน น่าพอใจทาง บุ ค ค ล ไ ป สู่ ค ว า ม พ้ น ทุ ก ข์ ห รือ นิพพาน เรียกว่า มัชฌิมา ประสาทสัมผัส ภวตัณหา ปฏิปทา ประกอบด้วย มรรคมี องค์ 8 ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ (ความ เป็นความอยากที่อยากเป็น เห็นชอบ) สัมมาสังกัปปะ (ดําริ ชอบ) สัมมาวาจา (เจรจาชอบ) สิ่งใด ก็ตามตลอดไป และ สัมมากัมมันตะ (กระทำชอบ) สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ) วิภวตัณหา คือ ความไม่ สัมมาวายามะ (ความพยายาม ชอบ) สัมมาสติ (ระลึกชอบ) อยากมีไม่อยากเป็น ทำให้ และสัมมาสมาธิ (ตั้งใจชอบ) เกิดทุกข์ในชีวิต

1.3 ปฏิจจสมุปบาท เป็นกฎแห่งการเกิดขึ้น อย่างอิงอาศัยกันของสิ่งทั้งหลาย เริ่มจากจิตของ บุคคลที่มี ความหลง ไม่รู้ เรียกว่า อวิชชา (ความไม่รู้ จริง) เป็นเหตุให้เกิดสังขาร (ความคิดปรุงแต่ง) สังขารเป็นเหตุให้เกิด วิญญาณ (ธาตุรู้ เช่น รู้ว่า ได้ยินได้กลิ่น) วิญญาณเป็นเหตุให้เกิดนามรูป (สภาวะทางจิตและทางวัตถุ) นามรูป เป็นเหตุให้เกิด สฬายตนะ (อายตนะทั้ง 6 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) สฬายตนะเป็นเหตุให้ เกิดผัสสะ (การ สัมผัสกระทบกาย ใจ) ผัสสะเป็นเหตุให้เกิด เวทนา (ความรู้สึก) เวทนาเป็นเหตุให้ เกิดตัณหา (ความ ทะยานอยาก) ตัณหา เป็นเหตุให้เกิดอุ ปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่น) อุ ปาทาน เป็นเหตุให้เกิดภพ (ความเป็นไป ความมีอยู่) ภพเป็นเหตุให้เกิดชาติ (ความเกิด) ชาติเป็นเหตุให้ เกิดชรา มรณะ และอื่ น ๆ อันเป็นทุกข์หมุนเป็นวัฏจักร

1.4 กฎแห่งกรรม คือ กฎของ การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา หาก ไม่มีเจตนาก็ไม่ถือว่าทำกรรม ดัง ปรากฏพุ ทธพจน์ในพระไตรปิฎกว่า “ภิกษุ ทั้งหลาย เจตนานั้นเอง เราเรียก ว่ากรรม บุคคลจงใจแล้วจึงกระทำ ด้วย กาย ด้วยวาจา ด้วยใจ” กฎแห่งกรรม จำแนกเป็นประเภทได้หลายลักษณะ คือ จำแนกกรรมตามมูลเหตุ จำแนกกรรม ตามวิธีที่แสดง และจำแนกกรรมตาม วิบากหรือการให้ผล กรรมที่จำแนกตามมูลเหตุ คือ กุศล กรรมเกิดจากมูลเหตุที่ดี และอกุศล กรรมเกิดจากความโลภโกรธ หลง กรรมที่จำแนกตามวิธีที่แสดง คือ การทำกรรมด้วยกาย วาจา ความ คิด เรียกว่า กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม พระพุ ทธศาสนาถือว่า มโนกรรมสำคัญที่สุด เนื่ องจากความ คิ ด แ ล ะ จิ ต ใ จ เ ป็ น ต้ น เ ค้ า ห รือ มู ล เ ห ตุ ของกรรม ปรากฏในพระไตรปิฎกว่า “ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็น ใหญ่ สำเร็จด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจเสีย หาย แล้วจะพู ดก็ตาม จะทำก็ตาม ความ ทุกข์ย่อมติดตามเขาไป เหมือนล้อที่ หมุนตามโคลากเกวียน ถ้าบุคคลนั้นมี จิตใจผ่องใสแล้ว จะพู ดก็ตาม จะทำ ก็ตาม ความสุขย่อมติดมา เหมือนดัง เงาที่ติดตามตัวเราฉะนั้น\"

กรรมที่จำแนกตามวิบากหรือการให้ผล มี 4 ประเภท คือ กรรมชั่ว ให้ผลชั่ว กรรมดี ให้ผลดี กรรมที่ชั่วบ้างดีบ้าง ให้ผล ชั่วบ้างดีบ้าง กรรมที่ไม่ชั่วไม่ดี เป็นกรรมที่มีเจตนาเพื่อยุติ กรรม ได้แก่ การปฏิบัติตามธรรมที่นำไปสู่การรู้แจ้ง บรรลุเป้า หมายของ พระพุทธศาสนา คือ นิพพาน 1.5 ไตรลักษณ์ คือ ลักษณะของสรรพสิ่ง ประกอบด้วย อนิจจา ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ทุกข์ ไม่คงสภาพ ไม่ทนต่อ การถูกบีบคั้น และอนตฺตา ไม่มีตัวตนให้ยึดถือได้ เมื่อสรรพสิ่ง มีลักษณะเช่นนี้ ย่อมหมดความอยาก ความต้องการครอบ ครอง ยึดมั่นถือมั่น จิตใจ ย่อมเป็นอิสระ มีปัญญาเข้าถึงความ จริง และบรรลุความพ้นทุกข์ได้ ในที่สุด การน้อมนำหลักธรรมคำสอนมาใช้ในชีวิตของบุคคลจะช่วย แก้ปัญหาสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะคนดีสังคมย่อม ดีโดยอัตโนมัติ

2. การบริหารจิตและการเจริญ ปัญญาแนวพุทธการบริหารจิต และการเจริญปัญญาเป็นกิจที่ พุทธศาสนิกชนพึงปฏิบัติเพื่อการ มีชีวิตที่สงบเย็น 2.1 ความหมายและความ สำคัญของการบริหารจิตและการ เจริญปัญญา ความหมายของ การบริหารจิตและการเจริญ ปัญญา การบริหารจิต หมายถึง การ พัฒนาจิตใจให้เข้าถึงความสงบ เพื่อการเกิดปัญญา เป็นศาสตร์ และศิลป์ ในการดำเนินชีวิตของ มนุษย์ กิริยาอาการบริหารจิตเพื่อ ลดละกิเลสตัณหา เรียกว่า กัมมัฏ ฐาน (กรรมฐาน) การเจริญ ปัญญา หมายถึง การใช้จิตที่ผ่าน การอบรม พิจารณาสิ่งที่มา กระทบจนรู้แจ้งสภาวธรรมตาม ความเป็นจริง ในเรื่องไตรลักษณ์ เห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ความเป็นทุกข์ และความไม่ใช่ตัว ตนที่ถาวรของทุกสิ่ง วิธีการ เจริญปัญญานี้ เรียกว่า วิปัสสนา กัมมัฏฐาน

ความสำคัญของการบริหารจิตและการเจริญปัญญา เนื่องจากการบริหารจิตและการเจริญปัญญาของบุคคล เป็นการฝึกอบรมจิตใจให้มีความสงบจนเกิดปัญญารู้แจ้งใน ไตรลักษณ์ จึงมีความสำคัญต่อมนุษย์ทั้งในภพปัจจุบันและ ภพเบื้องหน้า เพราะ เป็นวิถีปฏิบัติ เพื่อการพ้นจากทุกข์ใน ชีวิตในภพนี้ และพ้นจาก การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร หากมีความเพียรฝึกปฏิบัติจนสิ้นอาสวกิเลส 2.2 วิธีการบริหารจิตและการเจริญปัญญา การฝึกฝนอบรมตนตามหลักพระพุทธศาสนา ต้องกระทำไป พร้อม ๆ กัน ได้แก่ ปริยัติธรรม เป็นการศึกษาพระไตรปิฎกที่เป็นทฤษฎี ปฏิบัติธรรม เป็นการลงมือปฏิบัติตามหลักธรรมที่ได้ ศึกษามาแล้ว ปฏิเวธธรรม เป็นการได้รับประโยชน์จากการนำหลัก ธรรมหรือทฤษฎีไปปฏิบัติด้วยการภาวนาจิต ดำเนินชีวิตด้วย ความไม่ประมาท วิธีการฝึกฝนอบรมตน จึงเป็นการบริหารจิตให้มีความ สงบ และเจริญปัญญาเพื่อรู้เท่าทันโลก ในพระไตรปิฎกได้ กำหนดการเจริญสมาธิภาวนาไว้เป็นแบบแผน 3 ประการ ดังนี้

1) การเจริญสมาธิอย่างเป็นแบบแผนตามหลัก พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ วิสุทธิมรรค ประกอบด้วย การรักษากาย วาจา ให้สงบด้วยศีล มีผลให้จิตใจ ปลอดโปร่งไม่ฟุ้งซ่าน มี 5 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การตัดปลิโพธ หมายถึง การตัดใจจากสิ่งที่ผูกพัน 10 ประการ เพื่อมิให้จิตห่วงกังวล ได้แก่ ที่อยู่อาศัย วงศ์ตระกูล ญาติ ลาภ สักการะ หมู่คณะ การงาน กิจ ธุระ อาการป่วยไข้ของตนและญาติ การเล่าเรียน และฤทธิ์ของปุถุชน (ข้อนี้เป็นปลิโพธสำหรับผู้บำเพ็ญ วิปัสสนา) ขั้นตอนที่ 2 การเข้าหา กัลยาณมิตร ผู้ประกอบด้วย กัลยาณมิตรธรรม 7 ประการ ได้แก่ มีความน่ารัก น่าเคารพ มี ความรู้จริง รู้จักพูดให้ได้ผล พร้อม ที่จะรับฟังคำปรึกษา ชี้แจงเรื่องล้ำ ลึกได้ และ ไม่ชักจูงไปในทางที่ เสื่อม โดยเลือกผู้มีความรู้ดีและ ปฏิบัติเหมาะสมเพื่อเรียนกัมมัฏ ฐาน

ขั้นตอนที่ 4 การอาศัยอยู่ในสถานที่ที่เหมาะสม เกื้อกูลแก่การปฏิบัติสมาธิตามจริตของบุคคล ขั้นตอนที่ 5 ปฏิบัติสมาธิภาวนา 3 ขั้น ได้แก่ บริกรรมภาวนา โดยกำหนดบริกรรมนิมิตจิตจะ เป็นสมาธิ ขั้นต้น เรียกว่า ขณิกสมาธิ ต่อมาเป็นการเจริญสมาธิขั้น อุปจารภาวนา มีนิวรณ์สงบระงับจิต ตั้งมั่น เป็นอุปจาร สมาธิเป็นขั้นสูงสุดของกามาวจรสมาธิจนบรรลุปฐมฌาน เป็นการเจริญสมาธิขั้นอัปปนาภาวนา ต้องหลีกเร้นไปในที่ สงัดเพื่อประโยชน์แก่การเจริญภาวนา

2) การเจริญสมาธิด้วยจิต แน่วแน่จนจิตประณีตเป็นฌาน การ ภาวนาจิตจะมีความประณีตเป็น ระดับขั้น จากจิตที่หยาบไปจนถึงจิต ที่ละเอียด เกิดภาวะที่จิตเพ่ง อารมณ์แน่วแน่ เรียกว่า ฌาน มี 2 ลักษณะ คือ การเพ่งอารมณ์จนได้ สมาบัติ 8 เกิดสภาวะสงบประณีตใน จิต กับการเพ่งลักษณะด้วยการ พิจารณาจนได้ วิปัสสนาและ มรรคผล เกิดภาวะจิตที่สงบ ประณีต จัดเป็นสมาธิที่เข้มข้น สิ่งที่ ขวางกั้นสมาธิ คือ นิวรณ์ 5 ได้แก่ ความยินดีในกามคุณ จิตเศร้า หมองด้วยกิเลส พยาบาท ความ ง่วงเหงา ความไม่สงบของจิต และ การลังเลสงสัย วิธีกำจัดนิวรณ์ ต้องอาศัยฌาน เพื่อกำหนดให้จิตรู้ แล้วปล่อยวางไม่ยึดติดจนพ้นจาก ทุกข์ทั้งปวงในชีวิต 3) นิโรธสมาบัติ หมายถึง สมาบัติที่ดับสัญญาและเวทนาใน กายและจิต ผู้จะเข้านิโรธสมาบัติได้ จะ มีเฉพาะพระอนาคามีและพระ อรหันต์ โดยมีการอธิษฐานจิตก่อน เข้านิโรธสมาบัติ

2.3 วิธีการบริหาร จิตและการเจริญปัญญา สำหรับผู้เรียนการบริหารจิต และการเจริญปัญญา เรียกว่า การปฏิบัติกัมมัฏฐาน ในพระพุทธ ศาสนา มี 2 วิธีการ คือ สมถกัมมัฏฐาน และวิปัสสนากัมมัฏฐาน ซึ่งมีวิธีปฏิบัติที่ แตกต่างกันและมีผลต่างกันมาก 1) สมถกัมมัฏฐาน มุ่งความสงบ ทางโลกเพื่อให้ได้โลกียอภิญญา 2) วิปัสสนากัมมัฏฐาน มุ่งความสงบที่เป็นโลกุตตระ มุ่ง หมายพระนิพพานเป็นที่สุดของการพัฒนากายและจิต สำหรับผู้เรียนวิธีที่เหมาะสม คือ การปฏิบัติสมถกัมมัฏฐาน คือ แบบบริกรรม (ภาวนา) และแบบพิจารณา (1) แบบบริกรรม ด้วยการน้อมจิตระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยการบริกรรมว่า พุท-โธ ซึ่งเป็นพระนาม ของ พระพุทธเจ้า หายใจเข้าว่า พุท หายใจออกว่า โธ จนเกิด ความสงบ (2) แบบพิจารณา ด้วยการพิจารณาคุณของ พระพุทธเจ้า พิจารณาคุณของพระธรรม พิจารณาคุณ ของพระ สงฆ์ พิจารณาสภาพอารมณ์ที่มากระทบจิต พิจารณาสภาพธรรม อื่นๆ ที่ปรากฏ การพิจารณานี้ เรียกว่า การเจริญสติจนจิตรู้ทัน ในปัจจุบันธรรมที่ปรากฏ เห็นจริงตามธรรม จิตจะคลายความ ยึดถือไม่เป็นทุกข์ มีชีวิตสงบเย็น

ปัจจุบันในประเทศไทยใช้รูปแบบการปฏิบัติกัมมัฏฐานมี 5 แนวทาง มีการจัดอบรมในวัดและสถานที่ปฏิบัติธรรมทุก จังหวัดทั่วประเทศแล้วแต่ความสนใจของประชาชน แนวทาง การปฏิบัติ ประกอบด้วย (1) แนวทางการปฏิบัติแบบบริกรรม พุท-โธ ตาม ลมหายใจเข้าออก (2) แนวทางการปฏิบัติแบบกำหนดอาการ พอง ยุบที่ท้อง ตามลมหายใจเข้าออก (3) แนวทางการปฏิบัติแบบเคลื่อนไหวใช้สติกำกับ ดูอาการเคลื่อนไหวอิริยาบถทางกาย (4) แนวทางการปฏิบัติแบบธรรมกายด้วย บริกรรมนิมิตเป็นดวงกลมใส (5) แนวทางการปฏิบัติแบบอานาปานสติ รู้จักลม หายใจ สังเกตลมหายใจด้วยสติ ผลการฝึกเป็นกิจวัตรจะทำให้ ผู้เรียนรู้จักการฝึกสติ พิจารณาตนเอง เป็นผู้มีสติปัญญาดี ไม่หลงลืมและไม่ขาดสติทำในสิ่งที่ชั่ว

2.4 ประโยชน์ของการ บริหารจิตและการเจริญปัญญา การบริหารจิตและการเจริญ ปัญญาด้วยการฝึกสมาธินั้น พบ ว่ามีการปฏิบัติในชมพูทวีปราว 5,730 ปีมาแล้วจนถึงพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้ศึกษาและนำมา บำเพ็ญเพียรดับทุกข์ ประโยชน์ จากการบริหารจิต มีดังนี้ 1) ผู้ปฏิบัติจะอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน จิตของตนจะประณีตไป ตามลำดับเริ่มจากปฐมฌานไปจนถึง นิโรธสมาบัติ 2) การได้ญาณทัสสนะ ใจสงบปราศจากนิวรณ์ 5 ฝึกฝนจิต ให้เป็นจิตที่มีความสว่าง 3) การเกิดสติสัมปชัญญะ เกิดการตามดู รู้ทันความรู้สึก นึกคิดที่เกิดดับไปในชีวิตประจำวันของตน 4) ความสิ้นอาสวะ คือ การใช้สมาธิเพื่อประโยชน์ทาง ปัญญา ใช้ปัญญาพิจารณาการเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับไปของรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นองค์ประกอบในการเจริญ วิปัสสนา เพื่อบรรลุ จุดสูงสุด คือ อาสวักขยญาณ จิตเป็นวิมุตติ การปฏิบัติสมาธิภาวนาต้องมีสติปัญญากำกับ ผู้ฝึกสม่ำเสมอ ย่อม พบควCาoมnสงtaบcสัtนUติsในชีวิต เมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้แล้ว มีพุทธอุทานด้วยวิมุตติสุข ว่า ตัณหา กิเลส อุปาทาน ไม่สามารถ เข้ามาในจิตของพระองค์เพราะ ใช้สติกำหนดรู้เท่าทันสรรพสิ่งว่าเป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตHInนesauคlrtahวnาcมeทุกข์จึง หมดสิ้นไป เป็นชีวิตที่สงบเย็น แม้ยังมีชีวิตอยู่ในโลกก็ปฏิบัติหน้าที่ไป ตามกระแสความเป็นไปในโลกโดยปราศจากทุกข์

แบบทดสอบระหว่างเรียน อย่าเรียกว่าขึ้นคาน ให้เรียกว่าผู้เชี่ยวชาญในการเลือกแฟน

ดูคลิปวิดีโอ ได้ทางไลน์นร๊าาา โ ต ม า ถึ ง ไ ด้ รู้ ว่ า ชิ น จั ง ไ ม่ ใ ช่ ก า ร์ ตู น แ ต่ เ ป็ น ค ว า ม รู้ สึ ก

แบบทดสอบหลังเรียน ความสวยไม่คงที่ แอปที่ว่าดีเลยต้องโหลดมาใช้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook