แนวคดิ เกย่ี วกบั จิตวทิ ยา พฒั นาการ จิตวทิ ยาพฒั นาการ (development psychology) เป็นจิตวทิ ยาแขนงหน่ึงที่มุ่ง ศึกษามนุษยท์ ุก วยั ต้งั แตป่ ฏิสนธิจนกระทง่ั วาระสุดทา้ ยของชีวติ ในทุก ๆ ดา้ น ท้งั ดา้ นการเจริญเติบโตทางร่างกาย ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก เจตคติ พฤติกรรมการแสดงออก สังคม บุคลิกภาพ
-1- หน่วยที่ 1 แนวคดิ เกยี่ วกบั จิตวทิ ยาพฒั นาการ (Concepts of Developmental Psychology) จิตวิทยาพฒั นาการชีวิตทุกช่วงวยั ของมนุษยเ์ ป็ นศาสตร์ที่มีความสลบั ซับซ้อน จากการท่ีตอ้ งศึกษาการเปลี่ยนแปลงของมนุษยใ์ นดา้ นต่าง ๆ ในลกั ษณะองคร์ วม ท้งั ท่ีสามารถมองเห็นไดง้ ่าย ชดั เจน และมองเห็นไดย้ ากไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้ในเรื่องจิตวิทยาพฒั นาการถือเป็ นเรื่องสาคญั และมีความจาเป็ นอย่างยิ่งต่อการศึกษา ช่วยใหผ้ ศู้ ึกษาเกิดความรู้ ความเขา้ ใจลกั ษณะธรรมชาติของมนุษย์ ลาดบั ข้นั พฒั นาการชีวติ ในช่วงวยั ต่างๆ ต้งั แตป่ ฏิสนธิจนกระทง่ั วาระสุดทา้ ยของชีวติ และทราบถึงองคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ที่มีอิทธิพลตอ่ พฒั นาการในแต่ละช่วงวยั ส่งผลให้ผูศ้ ึกษาเกิดการยอมรับ เขา้ ใจตนเองและผูอ้ ่ืน เขา้ ใจการเปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึนและยอมรับความแตกต่างระหวา่ งบุคคล สามารถปรับตวั ให้เขา้ กบั บุคคลในวยั ต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ตลอดจนสามารถช่วยเหลือบุคคลวยั ต่าง ๆ ในแนวทางท่ีเหมาะสมยงิ่ ข้ึน ลกั ษณะทวั่ ไปของจิตวทิ ยาพฒั นาการ จิตวทิ ยาพฒั นาการ (development psychology) เป็นจิตวทิ ยาแขนงหน่ึงท่ีมุง่ ศึกษามนุษยท์ ุก วยั ต้งั แต่ปฏิสนธิจนกระทงั่ วาระสุดทา้ ยของชีวติ ในทุก ๆ ดา้ น ท้งั ดา้ นการเจริญเติบโตทางร่างกาย ความคิด อารมณ์ความรู้สึก เจตคติ พฤติกรรมการแสดงออก สังคม บุคลิกภาพ ตลอดจนสติปัญญาของบุคคลในวยั ตา่ งกนั เพือ่ ให้ทราบถึงลกั ษณะพ้ืนฐาน ความเป็นมา จุดเปล่ียน จุดวกิ ฤตในแต่ละวยั กล่าวคือช่วยใหท้ ราบถึงกระบวนการเปล่ียนแปลงของบุคคลในวยั ต่าง ๆ กนั จิตวทิ ยาพฒั นาการจึงถือเป็นรากฐานของจิตวทิ ยาแขนงอื่น ๆ การศึกษาจิตวทิ ยาพฒั นาการของมนุษยจ์ ึงมีความสาคญั อยา่ งยงิ่ ที่ช่วยใหผ้ ศู้ ึกษาเกิดความเขา้ ใจบุคคลในลกั ษณะองคร์ วมท้งั ที่เป็นส่วนบุคคลและการอยรู่ วมกนั เป็ นกลุ่มสงั คม เพ่อื ใหเ้ ขา้ ใจถึงสาเหตุของพฤติกรรมปัญหาเขา้ ใจถึงระดบั สติปัญญา ลกั ษณะอารมณ์ ความตอ้ งการของบุคคลแต่ละวยั นอกจากน้ีการเขา้ ใจธรรมชาติของบุคคลแต่ละวยั ช่วยใหเ้ กิดการประสานงานกนั อยา่ งราบร่ืน และช่วยใหบ้ ุคคลปรับตวั เขา้ กนั ไดด้ ีข้ึน ความหมายของพฒั นาการ นกั วชิ าการหลายทา่ นใหค้ วามหมายของคาวา่ พฒั นาการ (development) ดงั น้ี สุชา จนั ทร์เอม (2540 : 1) กล่าววา่ พฒั นาการ หมายถึง ลาดบั ของการเปล่ียนแปลงหรือกระบวนการเปล่ียนแปลง (process of change) ของมนุษยท์ ุกส่วนที่ต่อเนื่องกนั ไปในระยะเวลาหน่ึง ๆ ต้งั แต่แรกเกิดจนตลอดชีวติการเปลี่ยนแปลงน้ีจะกา้ วหนา้ ไปเร่ือย ๆ เป็ นข้นั ๆ จากระยะหน่ึงไปสู่อีกระยะหน่ึงเพือ่ ที่จะไปสู่วฒุ ิภาวะ ทาใหม้ ีลกั ษณะและความสามารถใหม่ ๆ เกิดข้ึน ซ่ึงมีผลทาใหเ้ จริญกา้ วหนา้ ยงิ่ ข้ึนตามลาดบั ทิพยภ์ า เชษฐเ์ ชาวลิต (2541 : 1) ไดใ้ หค้ าจากดั ความของพฒั นาการวา่ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปอยา่ งมีระเบียบแบบแผน มีข้นั ตอน เกิดข้ึนอยา่ งต่อเนื่องท้งั ในดา้ นเจริญเติบโตงอกงามและถดถอย และเป็นการเปล่ียนแปลงท่ีเป็นผลรวมของวฒุ ิภาวะและประสบการณ์ ศรีเรือน แกว้ กงั วาล (2540 : 21) กล่าววา่ พฒั นาการเป็นการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดข้ึนอยา่ งสม่าเสมอและต่อเน่ืองท้งั ท่ีสงั เกตไดง้ ่าย ชดั เจน และมองเห็นไดย้ าก ไม่ชดั เจน ต้งั แตเ่ ร่ิมปฏิสนธิจนกระทงั่ วาระสุดทา้ ยของชีวติ
-2- จากความหมายดงั กล่าวสรุปไดว้ า่ พฒั นาการเป็ นกระบวนการพฒั นาของมนุษยใ์ นทุก ๆ ดา้ นของชีวติต้งั แต่จุดเริ่มตน้ ของชีวิตจนกระทง่ั วาระสุดทา้ ยของชีวติ การเปลี่ยนแปลงดงั กล่าวเป็นไปอยา่ งต่อเนื่องท้งั ในลกั ษณะของการเจริญงอกงามและการถดถอย ข้ึนอยกู่ บั ประสบการณ์ที่ไดร้ ับ ซ่ึงนาไปสู่ความมีวฒุ ิภาวะ จุดมุ่งหมายของการศึกษาพัฒนาการของมนุษย์ 1. เพื่อใหเ้ กิดแรงจูงใจในการที่จะเขา้ ใจลกั ษณะของพฒั นาการในระยะเวลาต่างๆวา่ เป็นอยา่ งไร และจะมีส่วนช่วยในการแกไ้ ขและเขา้ ใจปัญหาที่เกิดข้ึน ตามความเหมาะสมของแต่ละอายุ ท้งั น้ีเพราะวา่ ในการท่ีเราจะเขา้ ใจลกั ษณะต่างๆ ไดน้ ้นั จะตอ้ งอาศยั ปัจจยั หลายอยา่ งช่วยกนั เช่น ประสบการณ์ในชีวิต การไดม้ ีโอกาสพบปะพดู คุยกบั บุคคลตา่ งๆ 2. เพื่อให้สามารปรับตวั ให้เขา้ กบั ความยากลาบากของการพฒั นาการในแต่ละช่วงอายวุ า่ มีความแตกต่างกนั ได้เป็นอยา่ งดี เช่น ในวยั ชรา คนชราจะไดร้ ับอิทธิพลและปัญหาต่างๆ หล่อหลอมบุคลิกภาพ ความรู้สึกนึกคิด มาต้งั แต่แรกเกิด ดงั น้นั ประสบการณ์ท่ีแต่ละคนไดร้ ับน้นั จะแตกต่างกนั ออกไป ส่ิงสาคญั ยงิ่ คือ ประสบการณ์ท่ีแต่ละคนไดร้ ับตจะเป็ นตวั หล่อหลอมให้บุคคลน้นั มีบุคลิกภาพและความเป็ นเอกลกั ษณ์เป็ นของตนเองและจะไม่เหมือนบุคคลอ่ืน ซ่ึงจดั วา่ การท่ีบุคคลมีการยอมรับและเขา้ ใจตนเอง(Self actualization) น้นั ยอ่ มมีความแตกตา่ งกนั ด้วยเหตุน้ีจุดมุ่งหมายของการศึกษาวิชาจิตวิทยาพฒั นาการ จึงมีจุดมุ่งหมายท่ีสอดคล้องกับหลักการทางวทิ ยาศาสตร์อ่ืนๆนน่ั คือ 1. เพื่อการบรรยาย (Description) ในการบรรยายน้ีจะเป็ นการเสาะแสวงหาความรู้เพื่อให้สามารถท่ีจะบอกเล่ากนั ต่อๆไปได้ อนั เป็ นความรู้ และเพื่อจะไดน้ าเอาความรู้น้นั ไปใช้ให้เป็ นประโยชน์ต่อไป ซ่ึงลกั ษณะดงั กล่าว จะเป็นการบอกเล่าวา่ ใคร ทาอะไร ทไี่ หน 2. เพื่อการอธิบาย (Explanation)เพ่ือเป็ นการเสาะแสวงหาความรู้และเขา้ ใจในเรื่องใดเร่ืองหน่ึง อนั สามารถอธิบายปรากฏการณ์ในสิ่งท่ีเราไม่รู้ จึงมีความจาเป็ นอย่างยิ่งที่จะตอ้ งพยายามอธิบาย หรือให้ความกระจ่างว่าปรากฏการณ์น้นั เกิดไดอ้ ยา่ งไร มีอะไรเป็นสาเหตุ ผลท่ีตามมาควรจะประกอบดว้ ยส่ิงใดบา้ ง 3. เพ่ือการทานาย (Prediction)เป็ นการพยากรณ์ ซ่ึงมีความสาคญั ย่งิ กวา่ การอธิบาย ท้งั น้ีเพราะ การทานายน้นัจะเป็ นการทานายเพื่อตอ้ งการอธิบายในส่ิงท่ียงั ไม่เกิดข้ึน อนั เป็ นการบอกกล่าวล่วงหนา้ วา่ เมื่อไหร่จะมีเหตุการณ์เกิดขึน้ เมื่อเกิดข้ึนแลว้ ผลจะเป็ นอยา่ งไร เวลาไหน ซ่ึงการท่ีเราสามารถทานายไดน้ ้ีนบั วา่ มีประโยชน์ตอ่ มนุษยเ์ ป็ นอนั มาก 4. เพ่ือการควบคุม (Control) เป็ นการที่ผูร้ ู้จะสามารถนาเอาความรู้น้นั ไปใช้ให้เกิดประโยชน์อยา่ งสูงสุดโดยการปรับปรุงธรรมชาติ สภาพทางสังคม และบุคคลให้อยู่ในตามแนวทางที่ตนปรารถนา การควบคุมดงั กล่าวจึงนบั วา่ มีความสาคญั ไม่นอ้ ย หลกั การพฒั นาการของมนุษย์ (รายละเอยี ดในเอกสารประกอบการสอน) วธิ ีศึกษาพฒั นาการของมนุษย์(รายละเอยี ดในเอกสารประกอบการสอน) วุฒิภาวะ (รายละเอียดในเอกสารประกอบการสอน) การแบ่งวยั (รายละเอยี ดในเอกสารประกอบการสอน)
-3- หน่วยท่ี 2 ปัจจัยทม่ี ีอทิ ธิพลต่อพฒั นาการ (Basic Forces in Human Development)คาจากดั ความ ความหมายของจิตวทิ ยา พฒั นาการ และจิตวทิ ยาพฒั นาการ (Lefrancois, 1996, p. 8) Psychology (จิตวทิ ยา) คือศาสตร์สาขาที่ศึกษาเก่ียวกบั ความคิดและพฤติกรรมของมนุษย์ Developmental (พฒั นาการ) หมายถึง การเจริญเติบโต (Growth) คือการเปลี่ยนแปลงทางดา้ นร่างกาย การมีวฒุ ิภาวะ (Maturation) คือการเปลี่ยนแปลงท่ีทาใหบ้ ุคคลมีความสามารถพอที่จะกระทากิจกรรมอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงอยา่ งเหมาะสมในแตล่ ะวยั และการเรียนรู้ (Learning) คือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมซ่ึงเป็นผลมาจากประสบการณ์ Developmental psychology (จิตวทิ ยาพฒั นาการ) คือสาขาหน่ึงของจิตวทิ ยาที่ศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงกระบวนการเปล่ียนแปลง และอิทธิพลท่ีทาใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงที่เกิดข้ึนตลอดเวลาในพฒั นาการของมนุษย์ระยะพฒั นาการ พฒั นาการของมนุษยแ์ บ่งตามช่วงอายไุ ดเ้ ป็น 8 ระยะ ดงั น้ี (สุชา จนั ทนเ์ อม, 2536, น. 2-3) ระยะก่อนเกดิ ( Prenatal stage ) คือต้งั แต่เร่ิมปฏิสนธิจนถึงระยะคลอด 1. วยั ทารก เร่ิมต้งั แตเ่ กิดจนถึงอายุ 2 ปี 2. วยั เดก็ เริ่มต้งั แต่อายุ 2 – 12 ปี 3. วยั ยา่ งเขา้ สู่วยั รุ่น ปกติหญิงเฉลี่ยมีอายุ 12 ปี ชายเฉลี่ยมีอายุ 14 ปี 4. วยั รุ่น ต้งั แต่อายุ 14 – 21 ปี 5. วยั ผใู้ หญ่ ต้งั แต่อายุ 21 – 40 ปี 6. วยั กลางคน ต้งั แต่อายุ 40 – 60 ปี 7. วยั สูงอายุ ต้งั แต่อายุ 60 ปี ข้ึนไป ในทุกช่วงอายมุ นุษยม์ ีการเปลี่ยนแปลงอยา่ งตอ่ เน่ือง นอกจากการเปล่ียนแปลงทางดา้ นร่างกาย ซ่ึงเป็นการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของมนุษย์ การที่อวยั วะมีการเจริญเติบโต มีการพฒั นาโครงสร้าง และหนา้ ท่ีตา่ ง ๆของอวยั วะเหล่าน้นั แลว้ ยงั มีปัจจยั อ่ืนที่มีอิทธิพลต่อการเปล่ียนแปลง ซ่ึงมีผลทาให้มนุษยม์ ีความแตกตา่ งกนั ท้งัรูปร่าง หนา้ ตา ความรู้สึกนึกคิด และพฤติกรรมที่แสดงออกปัจจัยทมี่ ีอทิ ธิพลต่อพฒั นาการ (Basic Forces in Human Development) บุคคลแต่ละคนมีความแตกต่างกนั ท้งั ดา้ นการเจริญเติบโตของร่างกาย การมีวุฒิภาวะในแต่ละวยั และการเรียนรู้ ส่งผลใหบ้ ุคคลมีพฤติกรรมที่แตกตา่ งกนั ซ่ึงความแตกตา่ งกนั ข้ึนอยกู่ บั ปัจจยั 4 ประการ ดงั น้ี (Kall andCavanaugh,1996 ; สุชา จนั ทนเ์ อม, 2536 ; ศรีเรือน แกว้ กงั วาล, 2538)
-4- 1. ปัจจัยด้านชีวภาพ (Biological Forces) ปัจจยั ทางชีวภาพท่ีมีอิทธิพลต่อพฒั นาการของมนุษยต์ ้งั แต่ในระยะก่อนคลอดคือ พนั ธุกรรมและปัจจยั ท่ีสมั พนั ธ์กบั สุขภาพ 1.1 พนั ธุกรรม (Genetic) คือการถ่ายทอดลกั ษณะต่างๆ จากคนรุ่นหน่ึงสู่คนอีกรุ่นหน่ึงในครอบครัวเดียวกนั หรือในเช้ือสายเดียวกนั เช่น สีของนยั น์ตา สีผม ลกั ษณะรูปร่างหนา้ ตา รวมถึงความผดิ ปกติหรือโรคตา่ ง ๆ ที่ถ่ายทอดทางพนั ธุกรรม เช่น ตาบอดสี โรคธาลสั ซีเมีย เป็นตน้ 1.2 ปัจจยั ที่สมั พนั ธ์กบั สุขภาพ (Health - Related factors) โดยเฉพาะสภาวะแวดลอ้ มที่เกี่ยวขอ้ งกบัสุขภาพท่ีมีผลตอ่ พฒั นาการของทารกในครรภม์ ารดาเช่นพบความผดิ ปกติของสมองของทารกในครรภม์ ารดาที่เรียกวา่ คูรู (Kuru) ในประชากรของหมู่เกาะแห่งหน่ึงในมหาสมุทรแปซิฟิ คตอนใต้ การใชย้ าของมารดาขณะต้งั ครรภท์ ่ีมีผลต่อทารก การติดเช้ือโรคของมารดาขณะต้งั ครรภ์ เช่น เช้ือไวรัสหดั เยอรมนั เป็นตน้ ปัจจยั ดา้ นชีวภาพทาใหท้ ารกในครรภม์ ารดาหรือในวยั ก่อนคลอดมีความผิดปกติไดเ้ ช่น การมีโรคทางพนั ธุกรรม หรือมีความผิดปกติของการเจริญเติบโตของทารกในครรภอ์ นั เน่ืองมาจากการใชย้ า หรือจากการติดเช้ือโรคตา่ งๆ ของมารดา และสภาวะแวดลอ้ มที่ไมเ่ หมาะสม ส่งผลใหพ้ ฒั นาการของทารกทางดา้ นร่างกายผดิ ปกติและอาจส่งผลไปสู่ความผดิ ปกติของพฒั นาการดา้ นอื่น ๆ ต่อไป 2. ปัจจัยด้านจิตใจ (Psychological Forces) ปัจจยั ดา้ นจิตใจของบุคคลที่มีผลต่อกระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในช่วงอายนุ ้นั ๆ มี 4 ปัจจยั ดงั น้ี 2.1 ปัจจยั การรับรู้ภายในตนเอง (Internal perceptual factors) เช่น การรับรู้เร่ืองเพศของตนเองในระยะ5 – 6 ปี เด็กชายหรือเด็กหญิงเริ่มมีการรับรู้บทบาทของเพศที่แตกตา่ งกนั 2.2 ปัจจยั ดา้ นความคิด (Cognitive factors) มีผลมาจากการเล้ียงดูต้งั แต่ในวยั ทารก และวยั เด็ก การให้ความรักความอบอุน่ การใชเ้ หตุผลในการอบรมเล้ียงดู การเล่นของเล่นเพื่อส่งเสริมพฒั นาการดา้ นความคิดจะส่งผลตอ่ พฒั นาการทางดา้ นความคิดและสติปัญญาของเดก็ ตอ่ ไปในอนาคต 2.3 ปัจจยั ดา้ นอารมณ์ (Emotional factors) การไดร้ ับความมน่ั คงทางอารมณ์จากบิดามารดาต้งั แต่ในวยั ทารกจะมีผลใหเ้ ด็กมีพฒั นาการทางอารมณ์เป็ นไปอยา่ งเหมาะสม 2.4 ปัจจยั ดา้ นบุคลิกภาพ (Personality factors) การเป็นตน้ แบบดา้ นบุคลิกภาพที่ดีของบิดามารดาจะทาใหเ้ ด็กมีพฤติกรรมที่เหมาะสม ปัจจยั เหล่าน้ีมีผลใหบ้ ุคคลมีพฒั นาการที่แตกตา่ งกนั ทาใหเ้ กิดความเป็นเอกลกั ษณ์หรือ ลกั ษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล เช่น การเป็ นคนที่มีลกั ษณะสนุกสนานร่าเริงเน่ืองจากมีการพฒั นาความนึกคิด และอารมณ์ท่ีเป็ นไปในดา้ นบวกอยเู่ สมอ การมีความเชื่อมน่ั ในความสามารถของตวั เอง หรือการมีพฤติกรรม เบ่ียงเบนทางเพศซ่ึงมีปัจจยั เนื่องมาจากภาวะจิตใจในวยั เดก็ เป็นตน้ 3. ปัจจัยด้านสังคมและวฒั นธรรม (Sociocultural Forces) ปัจจยั ดา้ นสังคมและวฒั นธรรม ประกอบดว้ ย4 ปัจจยั ดงั น้ี 3.1 ปัจจยั สมั พนั ธภาพระหวา่ งบุคคล (Interpersonal factors) เร่ิมต้งั แตภ่ ายในครอบครัวมีสัมพนั ธภาพที่ดีต่อกนั ปฏิบตั ิต่อกนั ดว้ ยความรัก ความเอ้ืออาทร ความห่วงใย เด็กจะรู้สึกมน่ั ใจในการปรับตวั กบั สังคมภายนอกและมีทศั นคติท่ีดีต่อบุคคลทวั่ ๆ ไป
-5- 3.2 ปัจจยั ดา้ นสังคม (Societal factors) ต้งั แต่ในวยั เด็กการอบรมเล้ียงดูส่งเสริมใหเ้ ด็กมีการปรับตวั กบัสิ่งแวดลอ้ มในสังคม โดยเปิ ดโอกาสและกระตุน้ ใหเ้ ดก็ ไดซ้ กั ถามเรื่องราวของสังคมภายนอกบา้ นและอธิบายใหเ้ ขา้ใจความแตกตา่ งของสังคมภายนอกบา้ นของเดก็ ตามความสามารถการรับรู้ในแตล่ ะวยั ปลูกฝังคา่ นิยมที่ดีงามใหก้ บัเดก็ เดก็ จะเร่ิมมีการพฒั นาความสามารถในการปรับตวั ไดด้ ีข้ึน 3.3 ปัจจยั ดา้ นวฒั นธรรม (Cultural factors) มีผลทาใหพ้ ฒั นาการของแต่ละบุคคลแตกต่างกนั ไป เช่นเด็กไทยส่วนใหญ่มีลกั ษณะไม่กลา้ แสดงความคิดเห็นขดั แยง้ กบั ผใู้ หญเ่ น่ืองจากถูก อบรมใหเ้ ช่ือฟังและปฏิบตั ิตามที่ผใู้ หญไ่ ดแ้ นะนาสั่งสอนแตกตา่ งจากวฒั นธรรมตะวนั ตกซ่ึงส่งเสริมใหเ้ ดก็ กลา้ แสดงความคิดเห็น มีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถแสดงความคิดเห็นขดั แยง้ กบั ผใู้ หญไ่ ดอ้ ยา่ งมีเหตุผล 3.4 ปัจจยั ดา้ นมนุษยว์ ทิ ยา (Ethnic factors) ลกั ษณะท่ีแตกต่างกนั ของกลุ่มชนท่ีอยรู่ ่วมกนั มีอิทธิพลตอ่พฒั นาการของมนุษย์ เช่น ความแตกตา่ งดา้ นลกั ษณะรูปร่าง การดารงชีวิตของคนผวิ ดาในประเทศอเมริกา ทาใหม้ ีคนอเมริกนั บางกลุ่มรังเกียจคนผวิ ดา ความแตกต่างในการนบั ถือศาสนาของประชาชนชาวอินเดียทาใหม้ ีการแบ่งชนช้นั ในสงั คม หรือความแตกตา่ งในการดารงชีวติ ของบุคคลในครอบครัว เช่น ครอบครัวท่ีมีมารดาเป็ นคนไทยแต่มีบิดาเคร่งครัดในขนบธรรมเนียมประเพณีจีน ยอ่ มส่งผลใหบ้ ุตรหลานตอ้ งยดึ ถือและปฏิบตั ิตามประเพณีของจีนดว้ ยเช่นกนั 4. ปัจจัยทเ่ี กย่ี วข้องกบั วงจรชีวติ (Life-cycle forces) ความหมายของวงจรชีวิต (Life-cycle forces) หมายถึงการที่บุคคลจะแปลความหมายของเหตุการณ์ใดๆวา่ มีผลอยา่ งไรต่อตนเองน้นั ข้ึนอยกู่ บั ความคิดและประสบการณ์เดิมของบุคคล ประกอบกบั เวลาท่ีเกิดข้ึนของเหตุการณ์น้นั ๆ (Kall and Cavanaugh, 1996) คือในสถานการณ์เดียวกนั บุคคลแตล่ ะคนอาจจะแปลความหมายของสถานการณ์น้นั ๆ ไมเ่ หมือนกนั เน่ืองจากความแตกต่างระหวา่ งบุคคล เช่น การต้งั ครรภข์ องผหู้ ญิงท่ีมีอายุเหมาะสม มีวฒุ ิภาวะและมีความพร้อมดา้ นสภาพครอบครัวโดยท่ีสามีและตนเองวางแผนท่ีจะมีบุตรภายหลงั การแต่งงาน กบั การต้งั ครรภข์ องหญิงวยั รุ่นท่ีอยใู่ นวยั เรียนและมีความสมั พนั ธ์ไมย่ ง่ั ยนื กบั คู่นอน จากสถานการณ์ขา้ งตน้ มีการแปลความหมายของการต้งั ครรภแ์ ตกต่างกนั ระหวา่ งผหู้ ญิงท้งั สองคน หญิงวยั รุ่นอาจแปลความหมายของการต้งั ครรภว์ า่ เป็นสถานการณ์ที่ไมอ่ ยากจะใหเ้ กิดข้ึนอาจมีความตอ้ งการทาลายทารกในครรภใ์ นขณะที่ผหู้ ญิงท่ีมีความตอ้ งการบุตรก็จะแปลสถานการณ์ดงั กล่าววา่ เป็นสิ่งท่ีน่าช่ืนชมยนิ ดีทาใหค้ รอบครัวมีความสุข เป็ นตน้ สรุปไดว้ า่ ปัจจยั วงจรชีวิตน้ีไดร้ ับอิทธิพลมาจากปัจจยั ทางดา้ นชีวภาพ ปัจจยั ทางดา้ นจิตใจ และปัจจยัทางดา้ นสังคมและวฒั นธรรมนนั่ คือความแตกต่างระหวา่ งบุคคลมีพ้ืนฐานมาต้งั แต่ระดบั ของพนั ธุกรรมสิ่งแวดลอ้ มและการอบรมเล้ียงดูจากครอบครัว เม่ือมีสถานการณ์ใด ๆ เกิดข้ึนบุคคลจึงใหค้ วามหมายของสถานการณ์น้นั ๆแตกตา่ งกนั ไปตามความคิดและประสบการณ์ของแตล่ ะบุคคล
-6- ความสัมพนั ธ์ระหว่างปัจจัยทม่ี ีอทิ ธิพลต่อพฒั นาการของมนุษย์ปัจจยั ดา้ นชีวภาพปัจจยั ดา้ นจิตใจ ปัจจยั วงจรชีวติ บุคคล ปัจจยั ดา้ นสงั คมและวฒั นธรรม รูปท่ี 1 แสดงความสัมพนั ธ์ระหว่างปัจจัยทมี่ อี ทิ ธิพลต่อพฒั นาการของมนุษย์ (Kall and Cavanaugh, 1996) ปัจจัยด้านชีวภาพ ปัจจยั ด้านจิตใจ ปัจจัยด้านสังคมและวฒั นธรรมและปัจจยั วงจรชีวิต ส่งผลต่อพฒั นาการของมนุษย์ บุคคลแต่ละคนมีพฒั นาการท่ีแตกต่างกนั เริ่มต้งั แต่ในครรภม์ ารดา การถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม ปัจจยั ต่างๆท่ีมีผลต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของมารดาขณะต้งั ครรภ์ และเม่ือมีการเจริญเติบโตข้ึนมีการพฒั นาทางดา้ นร่างกายขณะเดียวกนั ก็มีการพฒั นาการทางดา้ นจิตใจ สติปัญญา สังคมและวฒั นธรรมประเพณีซ่ึงได้รับอิทธิพลมาจากส่ิงแวดลอ้ มในครอบครัว สัมพนั ธภาพของบุคคลในครอบครัว และการประเมินตดั สินสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดข้ึนในช่วงชีวติ ส่ิงเหล่าน้ีจึงมีความสาคญั อย่างยงิ่ ในการศึกษาวชิ าจิตวิทยาพฒั นาการ ผู้ศึกษาต้องเข้าใจและตระหนักถึงความสาคัญของปัจจยั ต่าง ๆ เหล่าน้ีเพื่อเป็ นพ้ืนฐานในการทาความเข้าใจการเปล่ียนแปลงของมนุษยใ์ นแต่ละช่วงวยั ตอ่ ไป
-7- หน่วยที่ 3 ทฤษฎีทเี่ กยี่ วข้องกบั พฒั นาการของมนุษย์ แนวคิดทฤษฎีพฒั นาการมีความสาคญั อยา่ งย่ิงต่อการศึกษามนุษยใ์ นลกั ษณะองคร์ วม เนื่องจากทฤษฎีจะช่วยอธิบายและวิเคราะห์พฒั นาการดา้ นต่าง ๆ ของมนุษย์ ท้งั ด้านความคิด ลกั ษณะอารมณ์ และพฤติกรรม เป็ นพ้ืนฐานที่บ่งบอกลกั ษณะปกติและผิดปกติท่ีพบในพฒั นาการแต่ละข้นั แต่ละวยั ช่วยให้เกิดความเขา้ ใจชดั เจนในการศึกษา เกิดทิศทางการแกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง ตรงประเด็น ตลอดจนช่วยในการส่งเสริมพฒั นาการและการปกป้ องไม่ให้เกิดความผิดปกติในพฒั นาการข้นั ต่าง ๆ สาหรับแนวคิดทฤษฎีพฒั นาการของมนุษย์มีแนวคิดที่หลากหลายแตกต่างกนั ไปตามความเชื่อพ้ืนฐานเดิมและการมองมนุษยใ์ นแง่มุมต่าง ๆ ซ่ึงแต่ละทฤษฎีก็จะมีจุดเด่นและมุมมองท่ีแตกต่างกนั สามารถเลือกใชต้ ามความเหมาะสม ในที่น้ีจะขอกล่าวถึงทฤษฎีท่ีใชก้ นั อยา่ งกวา้ งขวางดงั น้ี 1. ทฤษฎี Psychosexual developmental stage ของฟรอยด์ ซิกมนั ต์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) เป็ นนกั จิตวิทยาชาวยวิ เป็ นผทู้ ี่สร้างทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (PsychoanalyticTheory) ซ่ึงเป็ นทฤษฎีทางดา้ นการพฒั นา Psychosexual โดยเช่ือว่าเพศหรือกามารมณ์ (sex) เป็ นสิ่งท่ีมีอิทธิพลต่อการพฒั นาของมนุษย์ แนวคิดดงั กล่าวเกิดจากการสนใจศึกษาและสังเกตผปู้ ่ วยโรคประสาทดว้ ยการให้ผปู้ ่ วยนอนบนเกา้ อ้ีนอนในอิริยาบทที่สบายที่สุด จากน้นั ให้ผปู้ ่ วยเล่าเรื่องราวของตนเองไปเร่ือย ๆ ผรู้ ักษาจะนงั่ อยดู่ า้ นศีรษะของผูป้ ่ วย คอยกระตุน้ ให้ผปู้ ่ วยไดพ้ ูดเล่าต่อไปเร่ือย ๆ เท่าที่จาได้ และคอยบนั ทึกส่ิงที่ผปู้ ่ วยเล่าอยา่ งละเอียด โดยไม่มีการขดั จงั หวะ แสดงความคิดเห็น หรือตาหนิผปู้ ่ วย ซ่ึงพบวา่ การกระทาดงั กล่าวเป็ นวิธีการที่ช่วยใหผ้ รู้ ักษาได้ขอ้ มูลท่ีอยใู่ นจิตใตส้ านึกของผูป้ ่ วย และจากการรักษาด้วยวิธีน้ีเองจึงทาให้ฟรอยด์เป็ นคนแรกที่สร้างทฤษฎีจิตวเิ คราะห์ ฟรอยดเ์ ช่ือวา่ มนุษยม์ ีสัญชาตญาณติดตวั มาแต่กาเนิด พฤติกรรมของบุคคลเป็ นผลมาจากแรงจูงใจหรือแรงขบั พ้ืนฐานที่กระตุน้ ใหบ้ ุคคลมีพฤติกรรม คือ สญั ชาตญาณทางเพศ (sexual instinct) 2 ลกั ษณะคือ 1. สัญชาตญาณเพอื่ การดารงชีวติ (eros = life instinct) 2. สัญชาตญาณเพอื่ ความตาย (thanatos = death instinct) ฟรอยดอ์ ธิบายวา่ สัญชาตญาณท้งั 2 ลกั ษณะมีความตอ้ งการทางเพศเป็ นแรงผลกั ดนั ซ่ึงบุคคลไม่กลา้ แสดงออกมาโดยตรง จึงเก็บกดไวใ้ นระดบั จิตไร้สานึก (unconscious mind) และไดต้ ้งั สมมติฐานวา่ มนุษยม์ ีพลงั งานอยู่ในตวั ต้งั แต่เกิดเรียกวา่ “Libido” ซ่ึงทาให้บุคคลอยากมีชีวิต อยากสร้างสรรคแ์ ละอยากมีความรัก มีแรงขบั ทางดา้ นเพศหรือกามารมณ์ (sex) เป็ นเป้ าหมายคือความสุขและความพอใจ โดยมีอวยั วะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายท่ีไวต่อความรู้สึก เช่น บริเวณปาก ทวารหนกั อวยั วะสืบพนั ธุ์ เรียกวา่ อีโรจีเนียส โซน (erogenous zone) ซ่ึงความพงึ พอใจในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจะเป็ นไปตามวยั เร่ิมต้งั แต่แรกเกิดจนถึงวยั ผูใ้ หญ่ ฟรอยด์จึงแบ่งข้นั ตอนพฒั นาการบุคลิกภาพของมนุษยอ์ อกเป็น 5 ข้นั ดงั น้ี 1. ข้ันปาก (oral stage) มีอายุอยใู่ นช่วงแรกเกิดถึง 18 เดือนหรือวยั ทารก ความพึงพอใจของวยั น้ีจะอยู่ที่บริเวณช่องปาก ทารกพึงพอใจกบั การใชป้ ากทากิจกรรมต่าง ๆ เพอ่ื ใหเ้ กิดความสุข เช่นการดูด กลืน กดั เค้ียว แทะ
-8-กิน เป็ นตน้ ส่วนใหญ่ทารกจะใช้ปากในการดูดนมแม่ นมขวด ดูดนิ้วมือหรือสิ่งของ ทารกจะพึงพอใจเมื่อความตอ้ งการดงั กล่าวไดร้ ับการตอบสนองท่ีเหมาะสม ซ่ึงจะทาให้เขาโตข้ึนอย่างยอมรับตนเอง สามารถรักตนเองและผอู้ ่ืนได้ ในทางตรงขา้ ม หากความตอ้ งการของทารกไม่ไดร้ ับการตอบสนองที่เหมาะสม เช่น เมื่อหิวร้องไห้จนเหน่ือยแต่ไม่ได้นมเลย ไดร้ ับนมไม่เพียงพอ ไม่มีคนสนใจ หรือถูกบงั คบั ให้หยา่ นมเร็วเกินไป ก็จะส่งผลให้เกิดความคบั ขอ้ งใจ (frustration) เกิดภาวะ “การติดตรึงอยกู่ บั ท่ี” (fixation) ได้ และก่อใหเ้ กิดปัญหาทางดา้ นบุคลิกภาพเรียกวา่ “Oral Personality” คือจะเป็ นผทู้ ี่มีความตอ้ งการท่ีจะหาความพึงพอใจทางปากอยา่ งไม่จากดั มีลกั ษณะพูดมาก ชอบดูดนิ้ว ดินสอ หรือปากกาเสมอโดยเฉพาะเวลาท่ีมีความเครียด นอกจากน้ียงั ชอบนินทาว่าร้าย ถากถางเหน็บแนม เสียดสีผอู้ ่ืน กา้ วร้าว พดู มาก กินจุบกินจิบ ติดเหลา้ บุหร่ี เค้ียวหมากฝรั่งเป็ นประจา อยา่ งไรก็ตามคนที่มีOral Personality อาจเป็ นผูท้ ี่มองโลกในแง่ดีมากเกินไปจนไม่สามารถยอมรับความจริงของชีวิต หรืออาจแสดงตนวา่ เป็นคนเก่ง ไม่กลวั ใคร และใชป้ ากเป็นเคร่ืองมือ 2. ข้ันทวารหนัก (anal stage) มีอายุอยู่ในช่วง 18 เดือน ถึง 3 ปี วยั น้ีจะได้รับความพึงพอใจจากการขบั ถ่าย การท่ีพ่อแม่เขม้ งวดในการฝึ กหัดให้เด็กใช้กระโถนและการควบคุมให้ขบั ถ่ายเป็ นเวลาตามความตอ้ งการของพ่อแม่ซ่ึงไม่ตรงกบั ความต้องการของเด็ก จะทาให้เกิดความขดั แยง้ จนเป็ น fixation ทาให้เกิดบุคลิกภาพท่ีเรียกว่า “Anal Personality” คือเป็ นคนเจา้ ระเบียบ เขม้ งวด ไม่ยืดหยุ่น ตระหน่ี หึงหวงคู่สมรสมากเกินไป และมีอารมณ์เครียดตลอดเวลาเม่ือโตข้ึนเป็ นผูใ้ หญ่ หรืออาจมีบุคลิกภาพตรงขา้ ม คือ อาจเป็ นคนใจกวา้ ง สุรุ่ยสุร่าย ไม่เป็นระเบียบ รกรุงรัง 3. ข้ันอวัยวะเพศ (phallic or oedipal stage) อายุอยู่ระหว่าง 3 ถึง 5 ปี ความพึงพอใจของเด็กวยั น้ีอยู่ที่อวยั วะสืบพนั ธุ์ เด็กจะสนใจอวยั วะเพศของตน และแสดงออกด้วยการจบั ตอ้ งลูบคลาอวยั วะเพศ สนใจความแตกต่างระหวา่ งเพศหญิงและเพศชาย เด็กผชู้ ายจะมีปมเอด็ ดิปุส (oedipus complex) ซ่ึงเกิดจากการท่ีเดก็ ผชู้ ายวยั น้ีจะติดแม่ ตอ้ งการเป็ นเจา้ ของแม่เพียงผเู้ ดียว ขณะเดียวกนั ก็ทราบวา่ แม่และพ่อรักกนั จึงพยายามเก็บกดความรู้สึกที่อยากเป็ นเจา้ ของแม่แต่เพียงผูเ้ ดียว และพยายามทาตวั เลียนแบบพ่อ ซ่ึงเป็ นกระบวนการที่เรียกว่า “Resolusion ofOedipal Complex” ส่วนเด็กผูห้ ญิงจะมีปมอีเล็คตรา (electra complex) ซ่ึงเกิดจากเด็กผหู้ ญิงมีความรักพ่อแต่รู้วา่ ไม่สามารถแย่งพ่อจากแม่ได้จึงเลียนแบบแม่ คือ ถือแม่เป็ นแบบฉบับพฤติกรรมของผูห้ ญิง ในข้ันน้ีการยอมรับปรากฏการณ์ทางเพศของพ่อแม่ต่อเด็กวยั น้ีเป็ นเรื่องสาคญั หากพอ่ แม่ไม่เขา้ ใจ เขม้ งวดเกินไปจะทาใหเ้ ด็กรู้สึกผิดโตข้ึนจะมีปัญหาในเรื่องการรักเพศตรงขา้ ม ไม่ยืดหยุ่น ขดั แยง้ ในตนเองอยา่ งรุนแรง ตาหนิตนเอง ตีค่าตนเองต่าไมก่ ลา้ คิดสิ่งใหม่ ๆ และไม่กลา้ ถาม 4. ข้นั แฝงหรือข้ันพัก (latency stage) มีอายอุ ยใู่ นช่วง 6 ถึง 12 ปี ฟรอยด์กล่าววา่ เด็กวยั น้ีจะมุ่งความสนใจไปที่พฒั นาการดา้ นสังคมและดา้ นสติปัญญา เป็ นวยั ท่ีพร้อมจะเรียนรู้การมีเหตุผล รู้ผดิ ชอบชว่ั ดี สนใจสิ่งแวดลอ้ มรอบตวั เรียนรู้ที่จะมีค่านิยม ทศั นคติ ตอ้ งการเตรียมพร้อมที่จะปรับตวั และเตรียมตวั เขา้ สู่วยั ผใู้ หญต่ ่อไป เดก็ จะเก็บกดความตอ้ งการทางเพศ จะเล่นหรือจบั กลุ่มกบั เพศเดียวกนั เริ่มมีเพ่ือนสนิทกบั เพศเดียวกนั สนใจบทบาททางเพศของตน
-9- 5. ข้ันสนใจเพศตรงข้าม (genital stage) วยั น้ีเป็ นวยั รุ่นเร่ิมต้งั แต่อายุ 12 ปี ข้ึนไป เด็กเร่ิมสนใจเพศตรงขา้ ม มีแรงจูงใจที่จะรักผอู้ ื่น มีความตอ้ งการทางเพศ ความเห็นแก่ตวั ลดลง ตอ้ งการเป็ นอิสระจากพ่อแม่ เป็ นระยะเริ่มตน้ ของวยั ผใู้ หญ่ ตอ้ งการความสนใจ การยอมรับจากสงั คม และมีการเตรียมตวั เป็นผใู้ หญ่ โครงสร้างบุคลกิ ภาพ (The personality structure) ฟรอยด์ เช่ือวา่ โครงสร้างบุคลิกภาพของบุคคลมี 3 ประการ คือ 1. ตนเบอื้ งต้น (id) คือ ตนท่ีอยใู่ นจิตไร้สานึก เป็นพลงั ที่ติดตวั มาแตก่ าเนิด มุ่งแสวงหาความพงึ พอใจ(pleasure seeking principles) และเป็นไปเพื่อตอบสนองความตอ้ งการของตนเองเทา่ น้นั โดยไมค่ านึงถึงเหตุผลความถูกตอ้ ง และความเหมาะสม ประกอบดว้ ยความตอ้ งการทางเพศและความกา้ วร้าว เป็นโครงสร้างเบ้ืองตน้ ของจิตใจ และเป็นพลงั ผลกั ดนั ให้ ego ทาในส่ิงตา่ ง ๆ ตามท่ี id ตอ้ งการ 2. ตนปัจจุบนั (ego) คือพลงั แห่งการใชห้ ลกั ของเหตุและผลตามความเป็นจริง (reality principle) เป็นส่วนของความคิด และสติปัญญา ตนปัจจุบนั จะอยใู่ นโครงสร้างของจิตใจท้งั 3 ระดบั 3. ตนในคุณธรรม (superego) คือส่วนท่ีควบคุมการแสดงออกของบุคคลในดา้ นของคุณธรรม ความดีความชว่ั ความถูกผดิ มโนธรรม จริยธรรมท่ีสร้างโดยจิตใตส้ านึกของบุคคลน้นั ซ่ึงเป็ นผลที่ไดร้ ับจากการเรียนรู้ในสงั คมและวฒั นธรรมน้นั ๆ ตนในคุณธรรมจะทางานอยใู่ นโครงสร้างของจิตใจท้งั 3 ระดบั การทางานของตนท้งั 3 ประการจะพฒั นาบุคลิกภาพของบุคคลใหเ้ ด่นไปดา้ นใดดา้ นหน่ึงของท้งั 3ประการน้ี แต่บุคลิกภาพท่ีพึงประสงค์ คือ การที่บุคคลสามารถใชพ้ ลงั อีโกเ้ ป็นตวั ควบคุมพลงั อิด และซูเปอร์อีโก้ใหอ้ ยใู่ นภาวะที่สมดุลได้ 2. ทฤษฎี Psychosocial developmental stage ของอริ ิคสัน ทฤษฎี Psychosocial development ของ Erik H. Erikson อธิบายถึงลกั ษณะของการศึกษาไปขา้ งหนา้ โดยเนน้ ถึงสังคม วฒั นธรรม และส่ิงแวดลอ้ มที่มีผลตอ่ การพฒั นาบุคลิกภาพของคน ซ่ึงในแตล่ ะข้นั ของพฒั นาการน้นัจะมีวกิ ฤติการณ์ทางสังคม (social crisis) เกิดข้ึน การที่ไม่สามารถเอาชนะหรือผา่ นวกิ ฤติการณ์ทางสงั คมในข้นั หน่ึงๆ จะเป็นปัญหาในการเอาชนะวกิ ฤติการณ์ทางสังคมในข้นั ต่อมา ทาใหเ้ กิดความบกพร่องทางสงั คม (socialinadequacy) และเป็นปัญหาทางจิตใจตามมาภายหลงั ทฤษฎีพฒั นาการทางบุคลิกภาพตามแนวคิดของ Erikson แบ่งพฒั นาการดา้ นจิตสังคมของบุคคลเป็น 8 ข้นั ดงั น้ี ข้นั ที่ 1 ระยะทารก (Infancy period) อายุ 0-2 ปี :ข้นั ไว้วางใจและไม่ไว้วางใจผ้อู น่ื (Trust vs Mistrust) ในระยะขวบปี แรกทารกจะตอ้ งพ่ึงพาอาศยั ผอู้ ื่นในการดูแลเอาใจใส่ทุกดา้ น ตลอดจนความรัก และสอนใหท้ ารกพบกบั สิ่งเร้าใหม่ ๆ กอดรัดสัมผสั พดู คุยเล่นดว้ ยตลอดเวลา โดยเฉพาะในวยั น้ีทารกจะมีความรู้สึกไวมากท่ีบริเวณปาก เม่ือได้ดูดนม ไดอ้ าหาร ไดร้ ับสัมผสั อนั อ่อนโยน อบอุน่ ไดร้ ับความรักความพอใจท้งั ทางร่างกายและอารมณ์แลว้ ทารกก็เรียนรู้ท่ีจะไวว้ างใจในส่ิงแวดลอ้ มอนั ไดแ้ ก่แม่ของตนเองเป็นคนแรก ในทางตรงขา้ ม ถา้ หากความตอ้ งการไม่ไดร้ ับการตอบสนองแลว้ ทารกจะมีอาการหวนั่ กลวั ไมไ่ วว้ างใจผใู้ ดหรือสิ่งของใด ๆ ท้งั สิ้น ท้งั น้ีรวมท้งั ไมไ่ วว้ างใจตนเองดว้ ย
- 10 - ข้นั ท่ี 2 วยั เริ่มต้น (Toddler period) อายุ 2-3 ปี : ข้นั ทม่ี คี วามเป็ นอสิ ระกบั ความละอายและสงสัย(Autonomy vs Shame and doubt) ข้นั น้ีเด็กเร่ิมเรียนรู้ท่ีจะทากิจกรรมต่าง ๆ ดว้ ยตนเอง หากไดร้ ับการสนบั สนุนและกระตุน้ ใหเ้ ด็กไดก้ ระทาสิ่งตา่ ง ๆ ดว้ ยตนเองตามสมควร เด็กจะมีการพฒั นาตวั เองไปในลกั ษณะที่มีโอกาสเลือกลอง และอยใู่ นระเบียบวนิ ยั ไปในตวั ในทางตรงขา้ มถา้ พอ่ แม่เคร่งครัด เจา้ ระเบียบ ใหเ้ ด็กอยใู่ นระเบียบตลอดเวลาหรือเล้ียงดูแบบปกป้ องมากเกินไป (over protective) ไม่ยอมรับสิ่งที่เด็กทาข้ึนมาดว้ ยตนเอง เดก็ จะพฒั นาตวั เองไปในรูปแบบท่ีไมแ่ น่ใจในตนเองหรือไมก่ ลา้ ท่ีจะทาอะไรดว้ ยตนเองอยตู่ ลอดเวลา ข้นั ที่ 3 ระยะก่อนไปโรงเรียน (Preschool period) อายุ 3-6 ปี : ข้นั มีความคิดริเริ่มกบั ความรู้สึกผดิ(Initiative vs Guilt) เป็นระยะที่เดก็ มีการเรียนรู้อยา่ งกวา้ งขวาง มีความสัมพนั ธ์กบั เพือ่ นที่โรงเรียน เพ่ือนบา้ นญาติพน่ี อ้ ง มีความอยากรู้อยากเห็น ชอบลองอะไรใหม่ ๆ ชอบเล่นก่อสร้างอะไรข้ึนมาตามความคิดของตน และในข้นั น้ีเดก็ จะยา่ งข้ึนสู่ความรู้สึกไวในบริเวณอวยั วะสืบพนั ธุ์ ฉะน้นั เดก็ จะติดอยทู่ ี่ปมออดิปุส ถา้ เดก็ ไดร้ ับความรักความเขา้ ใจและไดร้ ับการสนบั สนุนในการทากิจกรรมตา่ ง ๆ จากท้งั พอ่ และแม่ เดก็ ยอ่ มมีความมน่ั ใจในตนเอง กลา้ซกั ถาม มีความคิดริเริ่ม แสดงความแยบคายในการแกป้ ัญหาและพร้อมท่ีจะเผชิญกบั สิ่งตา่ ง ๆ ตรงกนั ขา้ ม ถา้ พอ่ แม่เขม้ งวดควบคุมความประพฤติตลอดเวลา เดก็ จะเกิดความรู้สึกวา่ ตนเองทาผดิ เม่ือพยายามทาอะไรดว้ ยตวั ของตวั เอง ข้นั ท่ี 4 ระยะเข้าโรงเรียน (School period) อายุ 6-12 ปี : ข้นั เอาการเอางานกบั ความมีปมด้อย (Industryvs Inferiority) ระยะน้ีเด็กเรียนรู้ท่ีจะสร้างสรรค์ มีความคิดและพยายามทากิจกรรมดว้ ยตวั เอง หากไดร้ ับการสนบั สนุนกย็ อ่ มทาใหเ้ ดก็ มีการพฒั นาบุคลิกภาพและมีความมานะเพียรพยายามท่ีจะแสวงหาสิ่งท่ีทา้ ทายความสามารถ สติปัญญา แต่หากเหตุการณ์เป็นไปในทางตรงกนั ขา้ ม จะทาใหเ้ ด็กมีความรู้สึกต่าตอ้ ยดอ้ ยคา่ อาจตอ้ งถอยกลบั ไปสู่วยั ทารกอีกเพอ่ื หลีกเลี่ยงภาระอนั ตอ้ งรับผดิ ชอบ ข้นั ท่ี 5 ระยะวยั รุ่น (Adolescent period) อายุ 12-20 ปี : ข้นั การเข้าใจอตั ลกั ษณะของตนเองกบั ไม่เข้าใจตนเอง (Identity vs role confusion) เป็นระยะที่เร่ิมสนใจเร่ืองเพศ เขา้ ไปผกู พนั กบั สงั คมและตอ้ งการตาแหน่งทางสงั คม ความรู้สึกเป็นอิสระและเป็นตวั ของตวั เอง เขา้ ใจอตั ลกั ษณะของตวั เอง รู้วา่ ตวั เองตอ้ งการอะไร มีความเชื่ออยา่ งไร และตนเองเป็นใคร หากไมส่ ามารถรวบรวมประสบการณ์ในอดีตได้ กจ็ ะไม่สามารถเขา้ ใจตวั เอง เกิดความสบั สน และความขดั แยง้ ข้ันที่ 6 ระยะต้ นของวัยผู้ใหญ่ (Early adult period) อายุ 20-40 ปี : ข้ันความใกล้ชิดสนิทสนมกับความรู้สึกเปล่าเปล่ียว (Intimacy vs Isolation) ระยะน้ีเร่ิมมีการนดั หมาย การแต่งงาน และชีวิตครอบครัว หรือทางานกบั ผูอ้ ื่นได้ หากสามารถบรรลุอตั ลกั ษณ์ของตนเอง ก็จะสามารถสร้างและแลกเปล่ียนความสัมพนั ธ์อยา่ งสนิทสนมกบั บุคคลอื่น หากไม่สามารถประสบความสาเร็จในการแสวงหาแนวทางแห่งตนก็จะไม่สามารถสร้างความสมั พนั ธ์อยา่ งแน่นแฟ้ นกบั บุคคลอื่น ๆ ได้ มกั จะรู้สึกเหงา เปล่าเปล่ียว ไมร่ ู้จะพ่งึ พาใคร ข้นั ที่ 7 ระยะผ้ใู หญ่ (Adult period) อายุ 40-60 ปี : ข้ันการอนุเคราะห์เกอื้ กลู กบั การพะว้าพะวงแต่ตวั เอง(Generativity vs Self-Absorption) เป็นระยะท่ีบุคคลหนั มาสนใจกบั โลกภายนอก ริเร่ิมสร้างสรรคง์ านตา่ ง ๆ เพ่ือสังคม คิดถึงผอู้ ื่น ไม่โลภหรือเห็นแก่ไดฝ้ ่ ายเดียว บุคคลท่ีไมส่ ามารถทาเช่นน้ีไดจ้ ะมีความรู้สึกคิดถึง หมกมุน่ อยกู่ บัตนเอง เป็นคนที่เอาตนเองเป็ นศูนยก์ ลาง มีชีวติ อยา่ งไร้ความสุข
- 11 - ข้นั ท่ี 8 ระยะวยั สูงอายุ (Aging period) อายุประมาณ 60 ปี ขนึ้ ไป : ข้นั ความมัน่ คงทางจิตใจกบั ความสิ้นหวงั (Integrity vs Despair) วยั น้ีเป็นวยั สุขมุ รอบคอบ ฉลาด บุคคลจะยอมรับความเป็นจริงของชีวิต ระลึกถึงความทรงจาในอดีต หากประสบความสาเร็จในอดีตกจ็ ะรู้สึกไวว้ างใจผอู้ ่ืนและตนเอง มีความมนั่ คงทางจิตใจ ภูมิใจต่อการบอกเล่าเกี่ยวกบั ประสบการณ์ในชีวติ ใหบ้ ุตรหลานฟัง ตรงกนั ขา้ มหากบุคคลตอ้ งประสบกบั ความลม้ เหลวและความผดิ หวงั ในอดีต จะเกิดความรู้สึกทอ้ แทส้ ิ้นหวงั ในชีวติ รู้สึกคบั ขอ้ งใจ และไมส่ ามารถดาเนินชีวติ ไดอ้ ยา่ งมีความสุข 3. ทฤษฎพี ฒั นาการทางความคิด (Cognitive Theories) ของเพยี เจท์ จีน เพยี เจท์ (Jean Piaget) เป็นนกั ชีววทิ ยาชาวสวสิ เซอร์แลนด์ แต่มีความสนใจศึกษาทางดา้ นจิตวทิ ยาโดยเฉพาะในดา้ นกระบวนการพฒั นาทางสติปัญญาของเด็กต้งั แต่วยั แรกเกิดจนถึงวยั รุ่น เป็นบุคคลแรกท่ีไดร้ ับการยอมรับวา่ เป็ นผศู้ ึกษาพฒั นาการดา้ นความคิดมนุษยอ์ ยา่ งเป็นระบบระเบียบ เพียเจทเ์ ชื่อวา่ โดยธรรมชาติแลว้ มนุษยท์ ุกคนมีความพร้อมท่ีจะมีปฏิสัมพนั ธ์และปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบัสิ่งแวดลอ้ มต้งั แตเ่ กิด เพราะมนุษยท์ ุกคนหลีกเล่ียงไม่ไดท้ ่ีจะตอ้ งมีปฏิสมั พนั ธ์กบั สิ่งแวดลอ้ มซ่ึงตอ้ งมีการปรับตวัอยตู่ ลอดเวลา ผลจากกระบวนการดงั กล่าวจะทาใหม้ นุษยเ์ กิดพฒั นาการของเชาวน์ปัญญา จากความเช่ือดงั กล่าวเพียเจทจ์ ึงไดศ้ ึกษาพฒั นาการดา้ นสติปัญญาของเด็กอยา่ งละเอียดดว้ ยการสร้างสถานการณ์เพื่อสงั เกตพฤติกรรมของบุตรสาว 3 คนของเขาเป็ นระยะเวลานาน และไดท้ าบนั ทึกไวอ้ ยา่ งต่อเน่ือง ทาใหไ้ ดข้ อ้ สรุปวา่ ธรรมชาติของมนุษยม์ ีพ้ืนฐานติดตวั ต้งั แต่กาเนิด 2 ชนิด คือ 1. การจดั และรวบรวม (organization) เป็ นการจดั และรวบรวมกระบวนการตา่ ง ๆ ภายใน ใหเ้ ป็ นระบบระเบียบอยา่ งต่อเนื่อง พร้อมกบั มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเพื่อใหเ้ กิดภาวะสมดุลยจ์ ากการมีปฏิสัมพนั ธ์กบัส่ิงแวดลอ้ ม 2. การปรับตวั (adaptation) เป็นการปรับตวั เพ่ือใหอ้ ยใู่ นภาวะสมดุลยก์ บั ส่ิงแวดลอ้ ม ซ่ึงประกอบดว้ ยกระบวนการ 2 อยา่ งคือ 2.1 การซึมซาบหรือดูดซึมประสบการณ์ (assimilation) หมายถึง การที่มนุษยม์ ีการซึมซาบหรือดูดซึมประสบการณ์ใหม่เขา้ สู่โครงสร้างของสติปัญญา (cognitive structure) หลงั จากมีปฏิสัมพนั ธ์กบั ส่ิงแวดลอ้ ม 2.2 การปรับโครงสร้างทางเชาวนป์ ัญญา (accomodation) หมายถึง การปรับเปล่ียนโครงสร้างของเชาวน์ปัญญาท่ีมีอยแู่ ลว้ ใหเ้ ขา้ กบั ส่ิงแวดลอ้ มใหมท่ ่ีไดเ้ รียนรู้เพิ่มข้ึน เพียเจทก์ ล่าววา่ การพฒั นาสติปัญญาและความคิดของมนุษยจ์ ะตอ้ งอาศยั ท้งั การจดั รวบรวมและการปรับตวัดงั กล่าว ซ่ึงลกั ษณะพฒั นาการท่ีเกิดข้ึนจะดาเนินอยา่ งค่อยเป็นค่อยไป ซ่ึงจะแตกต่างกนั ในแต่ละบุคคล โดยมีองคป์ ระกอบสาคญั ท่ีเสริมพฒั นาการทางสติปัญญา 4 องคป์ ระกอบคือ (สุรางค์ โคว้ ตระกลู , 2541, น. 50) 1. วุฒิภาวะ (maturation) คือการเจริญเติบโตทางดา้ นสรีรวิทยามีส่วนสาคญั อย่างย่งิ ต่อการพฒั นาสติปัญญาและความคิด โดยเฉพาะเส้นประสาทและต่อมไร้ท่อ 2. ประสบการณ์ (experience) ประสบการณ์เป็ นปัจจยั ที่สาคญั ต่อการพฒั นาด้านสติปัญญา เพราะเป็ นสิ่งท่ีเกิดข้ึนทุกคร้ังท่ีบุคคลมีปฏิสัมพนั ธ์กบั สิ่งแวดลอ้ ม ท้งั ประสบการณ์ท่ีเกิดจากการมี ปฏิสัมพนั ธ์กบั สิ่งแวดลอ้ มตาม
- 12 -ธรรมชาติและประสบการณ์เก่ียวกับการคิดหาเหตุผลและทางคณิ ตศาสตร์ ซ่ึงสามารถนามาใช้แก้ปัญหาในชีวติ ประจาวนั 3. การถ่ายทอดความรู้ทางสังคม (social transmission) คือการที่บุคคลไดร้ ับการถ่ายทอด ความรู้ดา้ นต่าง ๆจากบุคคลรอบขา้ ง เช่น พอ่ แม่ ผปู้ กครอง ครู เป็นตน้ 4. กระบวนการพฒั นาสมดุลย์ (equilibration) คือการควบคุมพฤติกรรมของตนเองซ่ึงอยใู่ นตวั ของแตล่ ะบุคคลเพ่อื ปรับสมดุลยข์ องพฒั นาการทางสติปัญญาและความคิดไปสู่ข้นั ที่สูงกวา่ข้นั พฒั นาการเชาว์ปัญญา เพียเจทไ์ ดแ้ บง่ ข้นั พฒั นาการของเชาวนป์ ัญญาออกเป็น 4 ข้นั คือ 1. ข้นั ใช้ประสาทสัมผสั และกล้ามเนือ้ (sensorimotor period) อายุ 0- 2 ปี เป็นข้นั พฒั นาการทางความคิดและสติปัญญาก่อนระยะเวลาที่เด็กจะพดู เป็ นภาษาได้ การแสดงถึงความคิดและสติปัญญาของเด็กวยั น้ีจะเป็ นในลกั ษณะของการกระทาหรือการแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ซ่ึงส่วนใหญ่จะข้ึนอยกู่ บั การเคล่ือนไหว เป็ นลกั ษณะของปฏิกิริยาสะทอ้ น เช่น การดูด การมอง การไขวค่ วา้ มีพฤติกรรมนอ้ ยมากท่ีแสดงออกถึงความเขา้ ใจ เพราะเดก็ ยงั ไม่สามารถแยกตนเองออกจากสิ่งแวดลอ้ มได้ ตวั ตนของเด็กยงั ไม่ไดพ้ ฒั นาจนกวา่ เด็กจะไดร้ ับประสบการณ์ ทาใหไ้ ด้พฒั นาตวั ตนข้ึนมาแลว้ เด็กจึงสามารถแยกแยะส่ิงต่าง ๆ ไดจ้ นกระทงั่ เด็กอายปุ ระมาณ 18 เดือน จึงจะเริ่มแกป้ ัญหาดว้ ยตนเองไดบ้ า้ ง และรับรู้เท่าที่สายตามองเห็น 2. ข้นั เริ่มมคี วามคิดความเข้าใจ (pre-operational period) อายุ 2-7 ปี เดก็ วยั น้ีเป็ นวยั ก่อนเขา้ โรงเรียนและวยั อนุบาล ยงั ไมส่ ามารถใชส้ ติปัญญากระทาส่ิงต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ี ความคิดของเด็กวยั น้ีข้ึนอยกู่ บั การรับรู้เป็นส่วนใหญ่ ไมส่ ามารถใชเ้ หตุผล อยา่ งลึกซ้ึงได้ วยั น้ีเร่ิมเรียนรู้การใชภ้ าษา และสามารถใชส้ ญั ลกั ษณ์ตา่ ง ๆ ได้พฒั นาการวยั น้ีแบง่ ไดเ้ ป็ น 2 ข้นั คือ 2.1 ข้นั กาหนดความคิดไว้ล่วงหน้า (preconceptual thought) อายุ 2-4 ปี ระยะน้ีเด็กจะมีพฒั นาดา้ นการใชภ้ าษา รู้จกั ใชค้ าสัมพนั ธ์กบั สิ่งของ มีความคิดรวบยอดเก่ียวกบั ส่ิงตา่ ง ๆ ไดแ้ ต่ยงั ไมส่ มบรู ณ์ ไมม่ ีเหตุผล คิดเอาแตใ่ จตวั เอง อยใู่ นโลกแห่งจินตนาการ ชอบเล่นบทบาทสมมติตามจินตนาการของตนเอง 2.2 ข้นั คดิ เอาเอง (intuitive thought) อายุ 4-7 ปี ระยะน้ีเด็กสามารถคิดอยา่ งมีเหตุผลข้ึน แตก่ ารคิดยงั เป็นลกั ษณะการรับรู้มากกวา่ ความเขา้ ใจ จะมีพฒั นาการรับรู้อยา่ งรวดเร็ว สามารถเขา้ ใจสิ่งตา่ ง ๆ ไดเ้ ป็นหมวดหมู่ ท้งั ที่มีลกั ษณะคลา้ ยคลึงและแตกตา่ งกนั ลกั ษณะพเิ ศษของวยั น้ีคือ เชื่อตวั เองโดยไม่ยอมเปลี่ยนความคิดหรือเชื่อในเรื่องการทรงภาวะเดิมของวตั ถุ (conservation) ซ่ึงเพยี เจทเ์ รียกวา่ principle of invaiance 3. ข้นั ใช้ความคดิ อย่างมเี หตุผลเชิงรูปธรรม (concrete operational period ) อายุ 7-11 ปี ระยะน้ีเดก็ จะมีพฒั นาการทางความคิดและสติปัญญาอยา่ งรวดเร็ว สามารถคิดอยา่ งมีเหตุผล แบง่ แยกส่ิงแวดลอ้ มออกเป็ นหมวดหมู่ลาดบั ข้นั จดั เรียงขนาดส่ิงของ และเร่ิมเขา้ ใจเร่ืองการคงสภาพเดิม สามารถนาความรู้หรือประสบการณ์ในอดีตมาแกป้ ัญหาเหตุการณ์ใหม่ ๆ ได้ มีการถ่ายโยงการเรียนรู้ (transfer of learning) แตป่ ัญหาหรือเหตุการณ์น้นั จะตอ้ งเกี่ยวขอ้ งกบั วตั ถุหรือส่ิงท่ีเป็ นรูปธรรม ส่วนปัญหาท่ีเป็ นนามธรรมน้นั เด็กยงั ไม่สามารถแกไ้ ด้ 4. ข้ันใช้ความคิดอย่างมีเหตุผลเชิงนามธรรม (formal operational period) อายุ 11-15 ปี ข้นั น้ีเป็นข้นัสูงสุดของพฒั นาการทางสติปัญญาและความคิด ความคิดแบบเดก็ ๆ จะสิ้นสุดลง จะเร่ิมคิดแบบผใู้ หญ่ สามารถ
- 13 -คิดแกป้ ัญหาที่เป็นนามธรรมดว้ ยวธิ ีการหลากหลาย รู้จกั คิดอยา่ งเป็นวทิ ยาศาสตร์ สามารถต้งั สมมติฐาน ทดลอง ใช้เหตุผล และทางานท่ีตอ้ งใชส้ ติปัญญาอยา่ งสลบั ซบั ซอ้ นได้ เพียเจทก์ ล่าววา่ เดก็ วยั น้ีเป็นวยั ท่ีคิดเหนือไปกวา่ สิ่งปัจจุบนั สนใจท่ีจะสร้างทฤษฎีเก่ียวกบั ทุกส่ิงทุกอยา่ ง และมีความพอใจที่จะคิดพิจารณาเกี่ยวกบั ส่ิงท่ีไม่มีตวั ตนหรือส่ิงที่เป็ นนามธรรม นกั จิตวทิ ยาเชื่อวา่ การพฒั นาความเขา้ ใจจะพฒั นาไปเร่ือย ๆ จนกระทงั่ เขา้ สู่วยั ชรา เพียเจท์เช่ือว่าพฒั นาการของเชาวน์ปัญญามนษุ ย์จะดาเนินไปเป็นลาดบั ขน้ั เปล่ียนแปลงหรือข้ามขนั้ ไม่ได้ 4. ทฤษฎพี ฒั นาการทางจริยธรรมของโคลเบอร์ก โคลเบอร์ก ได้ศึกษาจริยธรรมตามแนวทฤษฎีของเพียเจท์ และพบความจริงว่า มนุษยม์ ีพฒั นาการทางจริยธรรมหลายข้นั ตอน ทฤษฎีของโคลเบอร์กเป็ นทฤษฎีที่มีประโยชน์ในการเขา้ ใจพฒั นาการทางจริยธรรมได้ลึกซ้ึงที่สุดในปัจจุบนั โคลเบอร์กไดแ้ บ่งจริยธรรมของบุคคลออกเป็ น 3 ระดบั แต่ละระดบั แบ่งออกเป็ น 2 ข้นั ตอนดงั น้ี คือ 1. ระดับก่อนกฎเกณฑ์ (Preconventional Level) ระดบั น้ี เด็กจะสนองตอบตามเกณฑ์ภายนอก ซ่ึงมกัเก่ียวขอ้ งกบั ร่างกาย เช่น การลงโทษ การใหร้ างวลั หรือเปลี่ยนแปลงความพงึ พอใจ เด็กจะดูผลท่ีไดร้ ับเป็นเกณฑใ์ นการประเมินจริยธรรม ซ่ึงอาจสรุปได้วา่ ถา้ ตนเองถูกลงโทษแสดงว่าการกระทาของตนเองไม่ดี และตนเองไดร้ ับรางวลั แสดงว่าตนเองทาดี ซ่ึงผูม้ ีอานาจเหนือกว่าเป็ นผูก้ าหนดว่าสิ่งใดเลวส่ิงใดดี ส่วนมากเด็กมีอายุ 4-10 ปีแบ่งออกเป็น 2 ข้นั ดงั น้ี ข้นั ที่ 1 มุ่งไมใ่ หต้ นเองถูกลงโทษทางกาย เพราะกลวั ความเจบ็ ปวดท่ีจะไดร้ ับและยอมทาตามคาสั่งของผใู้ หญท่ ่ีมีอานาจเหนือตน โดยไม่เอาใจใส่ความหมายหรือคุณค่าใด ๆ ข้ันที่ 2 ยินยอมทาเพื่อให้ไดร้ างวลั หรือให้ไดร้ ับสิ่งที่พอใจ ตลอดจนแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กนั แต่เด็กระดบั น้ีจะตีความเก่ียวขอ้ งทางร่างกายเทา่ น้นั มิใช่คา่ นิยม ความกตญั ญูหรือความยตุ ิธรรม 2. ระดับตามกฎเกณฑ์ (Conventional Level) ระดับน้ี คนเราจะยอมรับความมุ่งหวงั กฎเกณฑ์ทางครอบครัว กลุ่ม และประเทศชาติวา่ เป็ นส่ิงที่มีคุณค่า มีความถูกตอ้ งและจะพยายามปฏิบตั ิให้เหมาะสมกบั บทบาทของตนเองในกลุ่ม ในการกระทาความดีละเวน้ ความชวั่ บุคคลจะถูกควบคุมโดยกลุ่มสังคมจริยธรรมระดบั น้ี จะเกิดกบั บุคคลอายุ 11-16 ปี แบ่งเป็นข้นั ต่อเน่ือง 2 ข้นั กบั ระดบั ก่อนดงั น้ี คือ ข้นั ท่ี 3 เกณฑ์เด็กดี บุคคลยงั ไม่เป็ นตวั ของตวั เอง คลอ้ ยตามการชกั จงู ของผอู้ ื่น เช่น การทาใหผ้ อู้ ื่นพอใจการช่วยเหลือผอู้ ่ืน และทาใหผ้ อู้ ื่นพอใจ ซ่ึงก็จะตรงกบั ความคิดเห็นส่วนใหญ่ หรือยนิ ยอมทาตามเพ่ือหลีกเลี่ยงการไม่เห็นดว้ ยหรือความไมเ่ ห็นชอบจากบุคคลอ่ืน ข้ันท่ี 4 บุคคลรู้ถึงหน้าที่การใช้ระเบียบ การกระทาตามระเบียบของสังคมพฤติกรรมท่ีถูกตอ้ งจะประกอบดว้ ยการปฏิบตั ิตามหนา้ ท่ี การแสดงความเคารพต่ออานาจหนา้ ท่ีทาตามกฎเกณฑ์ตา่ ง ๆ ทางสังคมกาหนดคล้อยตามเพ่ือหลีกเลี่ยงการถูกประณามจากสังคม ยินยอมทาตามเพ่ือหลีกเล่ียงการตาหนิจากผูท้ ่ีมีอานาจตามกฎหมาย 3. ระดับเหนือกฎเกณฑ์ (Postconventional Level) เป็ นระดบั ที่การตดั สินขดั แยง้ ดา้ นจริยธรรม ข้ึนอยู่กบั ตนเองมากที่สุด การตดั สินจริยธรรมจะใชห้ ลกั แห่งเหตุผลกระทาตนให้สอดคลอ้ งกบั มาตรฐานสากล ไม่ขดั กบัสิทธิอนั พึงไดข้ องผอู้ ื่น มีความเชื่อมน่ั ในตนเองแยกตวั ออกจากอิทธิพลของกลุ่มเม่ือมีเหตุผล โดยไม่คลอ้ ยตามถา้
- 14 -ผอู้ ่ืนไม่มีเหตุผลพอระดบั น้ีเป็ นจริยธรรมข้นั สูงสุดจะปรากฏในบุคคลท่ีเป็ นผูใ้ หญ่ อายุประมาณ 16 ปี ข้ึนไป แบ่งระดบั น้ีไดเ้ ป็น 2 ข้นั ตอ่ เน่ืองกบั ข้นั ก่อน ๆ เช่นกนั คือข้นั ที่ 5 บุคคลจะทาตามคามนั่ สัญญาและการกระทาท่ีถูกตอ้ งโดยทว่ั ไปที่เห็นกบั คนหมมู่ าก ควบคุมตนเองได้ คานึงถึงคุณคา่ ทางความคิดเห็นที่สัมพนั ธ์กบั ส่วนบุคคลและส่วนรวม เช่น เก่ียวกบั รัฐธรรมนูญ ประชาธิปไตยจะหาขอ้ ยตุ ิธรรมโดยคานึงถึงผลทางคุณค่าและความคิดเห็นทางสติปัญญา ท่ีจะออกมาเป็ นกฎหมายที่เป็ นประโยชน์ของสงั คมข้นั ท่ี 6 ยนิ ยอมทาตามเพ่ือหลีกเลี่ยงการติเตียนตนเอง เป็นข้นั การตดั สินตามเหตุผลของการรับผดิ ชอบสร้างคุณธรรมประจาท่ีนอกเหนือกฎเกณฑท์ างสงั คม จริยธรรมเป็นนามธรรม ไมใ่ ช่กฎเกณฑท์ างศาสนา แตเ่ ป็ นอุดมคติสากลของสังคมส่วนรวม ยอมรับสิทธิเทา่ เทียมกนั ของมนุษยท์ ี่มีศกั ด์ิและสิทธิเท่าเทียมกนั ทุกคน ควรนบัถือซ่ึงกนั และกนั (D.P. Asubel, E.V. Sullivan. 1970 : 142-144)ตาราง 1 เหตุผลเชิงจริยธรรม 6 ข้นั แบ่งออกเป็ น 3 ระดบั ตามทฤษฎพี ฒั นาการทางจริยธรรมของโคลเบอร์ก ระดบั จริยธรรม ข้นั การใช้เหตุผลเชิงจริยธรรม1. ระดบั ก่อนมีจริยธรรมอยา่ งแน่นอนของตน 1. ระดบั จริยธรรมของผอู้ ื่น (Pre conventional Level) (Heteronomous Morality) (2-7 ปี )2. ระดบั มีจริยธรรมตามกฎเกณฑ์ 2. ผลประโยชนข์ องตนเป็นส่วนใหญ่ (Conventional Level) (Individualism and Instrumental Purpose3. ระดบั มีจริยธรรมอยา่ งมีวิจารณญาณ and Exchange) (7-10 ปี ) (Post Conventional Level) 3. การยอมรับของกลุ่ม (Mutujal Interpersonal Expectations 5. ทฤษฎีวฒุ ิภาวะของกีเซลล์ Relationships and Interpersonal Conformity) 6. ทฤษฎีพฒั นาการของ (10-13 ปี ) 4. ระเบียบของสงั คม (Social System and Conscience) (13-16 ปี ) 5. สญั ญาสังคม (Social Contract) (16 ปี ข้ึนไป) 6. คุณธรรมสากล (Universal Ethical Principle) (ผใู้ หญ่)
- 15 - หน่วยที่ 4 จิตวทิ ยาพฒั นาการวยั ก่อนคลอด (Prenatal Development) วยั ก่อนคลอดเริ่มต้งั แต่มีจุดกาเนิดของชีวิตเกิดข้ึนคือไซโกต (zygote) ซ่ึงเป็ นเซลล์ที่ผสมระหว่างเซลล์สืบพนั ธุ์ของเพศชายเรียกว่าสเปอร์ม (spermatozoa) กบั เซลล์สืบพนั ธุ์ของเพศหญิงเรียกว่าไข่ (ovum) และมีการพฒั นาเกิดข้ึนอยา่ งต่อเนื่องจนกระทงั่ คลอด ซ่ึงใชร้ ะยะเวลาประมาณ 280 วนั หรือ 40 สปั ดาห์การปฏิสนธิ (fertilization) การปฏิสนธิจะเกิดข้ึนได้ ตอ้ งอาศยั องคป์ ระกอบดงั น้ี 1. การมีวฒุ ิภาวะ (maturation) เป็นกระบวนการท่ีโครโมโซมมีการแบง่ เซลลเ์ พ่ิมข้ึน จาก 1 เป็น 2 และแบ่งเซลลต์ อ่ ไปอีกเร่ือย ๆ เซลลท์ ่ีมีวฒุ ิภาวะจะประกอบดว้ ยโครโมโซม 23 คู่ การแบ่งเซลลข์ องท้งั เพศหญิงและเพศชายเกิดข้ึนในระยะ puperty ในเพศชาย อสุจิ 1 ตวั จะแบง่ ออกเป็น 4 เซลล์ และท้งั 4 เซลลท์ ่ีมีการแบง่ ตวั และมีวฒุ ิภาวะจะสามารถผสมกบั ไขไ่ ดท้ ุกตวั ส่วนในเพศหญิงจะมีการแบ่งตวั ของไขเ่ ช่นเดียวกบั อสุจิ คือ โครโมโซมจานวน 1 คู่จะมีการแบง่ ตวั เป็น 4 เซลล์ มีจานวน 3 เซลลท์ าหนา้ ที่ช่วยในการแบง่ ตวั ตอ่ ไป มีเพยี ง 1 เซลลเ์ ท่าน้นั ท่ีสามารถผสมกบั อสุจิได้ หากไข่ไม่ไดร้ ับการผสมก็จะถูกขบั ออกมาเป็นประจาเดือนของเพศหญิง 2. กระบวนการตกไข่ (ovulation) เป็ นช่วงเวลาหน่ึงของการมีประจาเดือน ในรังไข่ของเพศหญิงต้งั แต่แรกเกิดจะมีไข่ประมาณ 30,000 ใบ แต่จะมีไข่ประมาณ 400 ใบเท่าน้นั ที่มีวุฒิภาวะในระยะเวลาท่ีอวยั วะเพศเริ่มทางาน ซ่ึงเร่ิมต้งั แต่อายุประมาณ 13 ปี จนกระทงั่ ประจาเดือนหมดซ่ึงมีอายุประมาณ 40-50 ปี ระยะวยั รุ่น รังไข่ทางานไดด้ ีที่สุดและช่วยสร้างฮอร์โมนให้เพศหญิง ทาใหเ้ พศหญิงมีลกั ษณะเปล่ียนแปลงไป เช่น มีประจาเดือน มีรูปร่างหนา้ ตาสวยข้ึน เป็นตน้ รังไข่ท้งั 2 ขา้ งจะทาหนา้ ท่ีสลบั กนั ตามวฏั จกั รของการมีประจาเดือน หลงั จากท่ีรังไข่ไดป้ ล่อยให้ไข่ตกไปแล้ว ไข่จะเดินทางเคล่ือนที่ไปตามความยาวของท่อนาไข่โดยเซลล์ท่ีเป็ นขนย่ืนออกมาจากท่อนาไข่ (cilia)ของเหลวท่ีมีฮอร์โมน estrogen จากถุงรังไข่ (ช่วยเสริมสร้างให้กลา้ มเน้ือมดลูกแข็งแรงหรือช่วยซ่อมผนังมดลูกหลงั จากท่ีประจาเดือนมาแลว้ ) น้าเมือก (mucus) จากผนงั ท่อนาไข่ และดว้ ยการบีบตวั ของผนงั ท่อนาไข่ ปกติประจาเดือนของเพศหญิงจะเกิดข้ึนทุก 28 วนั บางคนอาจเกิดข้ึนทุก 25-35 วนั และการตกไข่จะเกิดข้ึนประมาณวนั ที่ 14 ของการมีประจาเดือน องค์ประกอบท้งั สองอย่างจะช่วยให้การปฏสิ นธิเกดิ ขึน้ ได้ดงั นี้ การปฏิสนธิ (fertilization) เกิดจากการผสมกนั ระหวา่ งเซลลส์ ืบพนั ธุ์เพศชาย (sperm) และเซลลส์ ืบพนั ธุ์ของเพศหญิง (ovum) ขณะที่มีเพศสัมพนั ธ์ (sexual intercourse) โดยที่เซลลส์ ืบพนั ธุ์ของเพศชายซ่ึงมีประมาณ 350ลา้ นตวั จะผา่ นเขา้ ทางช่องคลอดของเพศหญิง แต่จะมีเพียงเซลลเ์ ดียวเทา่ น้นั ที่แขง็ แรงท่ีสุดท่ีสามารถเขา้ ไปผสมกบัไขข่ องเพศหญิงท่ีสุกพอดีซ่ึงกาลงั เคล่ือนท่ีอยใู่ นทอ่ นาไข่ กระบวนการดงั กล่าวจะเกิดข้ึนภายใน 12-36 ชวั่ โมง และ
- 16 -มกั จะเกิดข้ึนในช่วงที่ไขต่ กเขา้ สู่ทอ่ นาไขภ่ ายใน 24 ชวั่ โมง หลงั จากท่ีอสุจิสามารถผสมกบั ไขท่ ่ีท่อนาไข่ (fallopaintube) แลว้ ผวิ นอกของไขจ่ ะมีการเปลี่ยนแปลงเพือ่ ป้ องกนั ไมใ่ หอ้ สุจิตวั อ่ืนเขา้ ไปผสมไดอ้ ีก ไขท่ ่ีถูกผสมแลว้ จะประกอบดว้ ย 46 โครโมโซม ซ่ึงจะมีการแตกกระจายออกไปและเริ่มแบง่ ตวั หนาแน่น ระยะน้ีเรียกวา่ Morula มีลกั ษณะคลา้ ยนอ้ ยหน่า ส่วนดา้ นนอกเรียกวา่ Trophoblast ซ่ึงจะพฒั นากลายเป็นสิ่งห่อหุม้ และป้ องกนั ตวั อ่อน ส่วนช้นั ในเรียกวา่ Inner cell ไขท่ ่ีผสมแลว้ ไม่นานจะกลายเป็น zygote มีขนาด 1/50 นิ้ว มีการแบ่งเซลลไ์ ปเรื่อย ๆ และจะเขา้ ไปฝังตวั ท่ีผนงั มดลูก ใชเ้ วลาประมาณ 3-4 วนั บางราย 7 วนั จากน้นั จะมีการเปลี่ยนแปลงเป็น embryo และตวั อ่อน (fetus) ต่อไปพฒั นาการวยั ก่อนคลอด พฒั นาการในระหวา่ งการต้งั ครรภแ์ บง่ ไดเ้ ป็ น 3 ระยะ ดงั น้ี (ทิพยภ์ า เชษฐเ์ ชาวลิต, 2541, น. 26-30 ; สุชาจนั ทน์เอม, 2540, น. 50-57) 1. ระยะไซโกตหรือระยะทไ่ี ข่ผสมแล้ว (period of the zygote or ovum) นบั เร่ิมต้งั แตก่ ารปฏิสนธิจนถึงสัปดาห์ที่ 2 หลงั จากท่ีมีการปฏิสนธิเกิดข้ึนจะไดไ้ ซโกตซ่ึงเป็นเซลลผ์ สม มีลกั ษณะเป็นกอ้ นกลม ไซโกตจะค่อย ๆ เคล่ือนที่ไปตามทอ่ นาไข่ไปฝังตวั ท่ีผนงั มดลูกการเคลื่อนที่ดงั กล่าวใชเ้ วลาประมาณ 1 สปั ดาห์ ระหวา่ งการเคล่ือนท่ี ไซโกตจะมีการแบ่งตวั แบบไมโตซิส (mitosis) ตลอดเวลาในช่วง 2-3 วนั แรก คือจะแบ่งตวั จาก 1 เป็ น 2 จาก 2 เป็ น 4 จาก 4เป็น 8 ไปเรื่อย ๆ 4-5 วนั ตอ่ มาจะมีการแบง่ ตวั แบบไมโอซิส (meiosis) ทาให้มีเซลลต์ า่ งชนิดเกิดข้ึนจนกระทง่ั มาถึงมดลูก ในขณะที่ไซโกตกาลงั เคลื่อนที่มา มดลูกก็มีการเตรียมพร้อมท่ีจะรับไซโกตไวเ้ ช่นกนั โดยมีการเพิ่มจานวนเม็ดเลือด ปรับผนังของมดลูกให้หนานุ่มข้ึนเพ่ือเป็ นแหล่งอาหารและปรับให้เหมาะกับการฝังตัวของไซโกตนอกจากน้นั ยงั มีการหลงั่ ฮอร์โมนเอสโทรเจนและโปรเจสเตอโรนที่ผลิตจากรังไข่ไปบงั คบั ให้มดลูกซ่ึงปกติมีการหดตวั เป็นจงั หวะให้หยดุ หดตวั เพื่อช่วยใหไ้ ซโกตสามารถฝังตวั เกาะติดกบั ผนงั มดลูกและเจริญเติบโตไดด้ ีข้ึน เมื่อไซโกตเคลื่อนท่ีมาถึงมดลูก น้าในโพรงมดลูกจะซึมผ่านผนังของ ไซโกตเขา้ มา ทาให้ไซโกตมีการแยกตวัออกเป็ นสองส่วน คือเน้ือเยื่อช้นั นอกและเน้ือเย่ือช้นั ใน เมื่อไซโกตเคลื่อนท่ีมาถึง ผนังมดลูกก็จะสลายผนงั ของตวั เอง แลว้ ไซโกตก็จะฝังตวั ท่ีผนงั มดลูก (implantation) เรียกเซลลผ์ สมในระยะน้ีวา่ บลาสโตซีส (blastocyst) ปกติการฝังตวั จะเกิดข้ึนภายใน 10 วนั นบั ต้งั แต่เร่ิมปฏิสนธิ การเตรียมพร้อมของมดลูกจะเป็นอยทู่ ุกเดือน หากภายใน 13วนั หลงั ไข่สุกไม่มีการปฏิสนธิเกิดข้ึน ผนงั มดลูกจะลอกตวั และถูกขบั ออกจากร่างกายเป็นประจาเดือน 2. ระยะตวั อ่อน (the embryo) เร่ิมต้งั แต่ zygote เคล่ือนตวั มาเกาะท่ีผนงั มดลูก (implantation)ประมาณสปั ดาห์ที่ 2 จนกระทงั่ ถึงสัปดาห์ท่ี 8 หลงั จากไซโกตฝังตวั ที่ผนงั มดลูกแลว้ ก็จะเจริญเติบโตเป็ นตวั อ่อนต่อไป โดยมีการแบ่งเซลล์แบบไมโอซีสตลอดเวลา ทาให้เซลล์ในบลาสโตซีสเกิดข้ึนเป็ นจานวนมาก กลุ่มของเซลล์ท่ีสร้างข้ึนจะกระจายเป็ นแผ่น(embryonic plate) ประมาณ 95% ของส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเริ่มมีการแบ่งแยกในระยะน้ี การเปล่ียนแปลงเกิดข้ึนโดยเน้ือเยื่อช้นั นอกจะพฒั นาเป็ นเย่ือหุ้มรกดา้ นแม่ (chorion) เยื่อหุ้มรกดา้ นลูก (amnion) รก (placenta) และสายสะดือ (umbilical cord) ส่วนเน้ือเย่ือช้ันในจะพฒั นาเป็ นตวั อ่อน (embryo) ภายในเยื่อหุ้มรกด้านลูกจะมีน้าใส ๆ
- 17 -เรียกวา่ น้าคร่า (amniotic fluid) การเปล่ียนแปลงดงั กล่าวจะเป็ นไปเร่ือย ๆ จนถึงระยะเวลาคลอดซ่ึงมีรายละเอียดดงั น้ี สัปดาห์ที่ 2 เซลลข์ องตวั อ่อนจะแบง่ ตวั ออกเป็น 2 ช้นั คือช้นั ectoderm และช้นั endoderm ตวั อ่อนระยะน้ีมีขนาดเส้นผา่ นศูนยก์ ลาง 2-3 มม. สัปดาห์ที่ 3-4 เซลลข์ องตวั ออ่ นเจริญเติบโตอยา่ งรวดเร็วเป็ นเน้ือเยอ่ื (tissue) ตวั อ่อนเร่ิมเป็ นรูปร่างยาวประมาณ 1/5 นิ้ว และมีขนาดเป็น 40,000 เท่าของขนาดไข่ที่มีการปฏิสนธิ อวยั วะแรกที่สร้างคือระบบประสาทส่วนกลาง ต่อมาจะมีการสร้างสมอง หวั ใจ ศีรษะ ใบหนา้ หู จมูก ตา แขน ขา จานวนปลอ้ งของลาตวั จะพฒั นาเป็ นตบั หวั ใจซ่ึงมีร่องแบง่ ก้นั ชดั เจน นอกจากน้ียงั มีส่วนของกระบงั ลม และช่องทอ้ ง สัปดาห์ที่ 5-8 ตวั อ่อนจะยาวประมาณ 1-2 นิ้ว น้าหนกั 2.25 กรัม เริ่มมีลกั ษณะใกลเ้ คียงกบั มนุษยม์ ากข้นึอวยั วะต่าง ๆ เริ่มพฒั นาข้ึน รูปร่างภายนอกเร่ิมปรากฏชดั ข้ึน ช่วงปลายสปั ดาห์ท่ี 8 ระบบทางเพศมีการพฒั นามากข้ึนแต่ยงั ไม่สามารถแยกเพศทารกไดช้ ดั เจน ระยะน้ีถือเป็นระยะสาคญั ท่ีสุดของทารกในครรภ์ ตวั อ่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงอยา่ งรวดเร็วและชดั เจนอวยั วะและระบบการทางานในร่างกายจะพฒั นาข้ึน เช่น ระบบประสาท ระบบหายใจ ระบบทางเดินอาหาร และอวยั วะต่าง ๆ สุขภาพของมารดาขณะต้งั ครรภเ์ ป็ นสิ่งท่ีมีความสาคญั มากท่ีสุดในระยะน้ี ท้งั ในเรื่องของการฝากครรภ์ การดูแลตนเองในขณะต้งั ครรภ์ สภาพจิตใจ อารมณ์ของมารดา โรคต่าง ๆ ที่เกิดข้ึน สารพิษ ยา หรืออาหารท่ีมารดารับประทานจะส่งผลตอ่ พฒั นาการของทารกหรืออาจทาใหท้ ารกท่ีจะเกิดมาพกิ ารได้ ระยะน้ีจึงถือเป็นระยะวกิ ฤต หากเดก็ ไมส่ ามารถปรับตวั มีชีวติ อยใู่ นครรภไ์ ด้ ก็จะถูกขบั ออกมาหรือที่เรียกวา่ เกิดการแทง้ 3. ระยะชีวติ ใหม่หรือระยะทเี่ ป็ นตัวเด็ก (fetus period) เริ่มต้งั แต่สปั ดาห์ท่ี 8 จนกระทง่ั คลอด ระยะน้ีเป็นระยะที่เปลี่ยนจากตวั อ่อน (embryo) มาเป็นทารก (fetus) มารดาจะรู้สึกวา่ มีทารกอยใู่ นครรภ์ โดยจะเริ่มรู้สึกวา่ทารกมีการเคล่ือนไหวในสัปดาห์ท่ี 16 เป็นระยะที่ใชเ้ วลานานท่ีสุด สดั ส่วนโครงสร้างของร่างกาย อวยั วะและระบบต่าง ๆ ของร่างกายสมบูรณ์ยง่ิ ข้ึน การเจริญเติบโตจะเป็นไปอยา่ งรวดเร็วประมาณ 20 เทา่ ของตอนเป็นตวั อ่อนเริ่มมีการสร้างขน ผม เล็บ และอวยั วะสืบพนั ธุ์ภายนอก กระดูกจะแขง็ แรงข้ึน ช่วงน้ีมารดาตอ้ งบารุงร่างกายดว้ ยการรับประทานแคลเซียมใหม้ ากกวา่ เดิม เพราะทารกจะเอาแคลเซียมจากมารดามาสร้างกระดูกของตนเอง การเคลื่อนไหวของลาไส้จะพฒั นาข้ึนเร่ือย ๆ จนกระทงั่ สปั ดาห์ท่ี 38 จะมีความสมบรู ณ์เตม็ ที่พร้อมจะออกจากครรภ์มารดา โดยสรุปพฒั นาการของระยะน้ีคือ เดอื นที่ 3 ทารกมีน้าหนกั ประมาณ 20-30 กรัม ยาวประมาณ 3 นิ้ว อวยั วะทุกส่วนของร่างกายพฒั นาข้ึนสามารถหายใจกลืนน้าคร่าเขา้ ออกในปอดได้ เร่ิมเห็นเพศชดั เจนวา่ เพศชายหรือหญิง ระบบสืบพนั ธุ์จะสร้างไข่และสเปอร์ม สามารถตอบสนองต่อส่ิงเร้าที่มากระตุน้ ไดม้ ากข้ึน สามารถเคล่ือนไหว ขา เทา้ หวั แม่มือ ศีรษะ อา้และหุบปากได้ เดอื นที่ 4 ความยาวของทารกประมาณ 8-9 นิ้ว น้าหนกั ประมาณ 180 กรัม ระยะน้ีสายสะดือจะยาวข้ึน รกพฒั นาเตม็ ที่ ทารกสามารถดิ้นได้ มองเห็นอวยั วะเพศชดั ข้ึน เร่ิมดูดนิ้วและกามือได้ สามารถดูดกลืนได้ กระดูกพฒั นามากข้ึน
- 18 -เดอื นท่ี 5 น้าหนกั ประมาณ 360 กรัมถึง 1 ปอนด์ ความยาวประมาณ 10-12 นิ้ว เริ่มมีผมและเล็บเกิดข้ึนผวิ หนงั มีไขมนั ปกคลุม หวั ใจเตน้ ประมาณ 120-160 คร้ังต่อนาที ทารกจะมีการเคล่ือนไหวหรือพกั ตวั ในทา่ ที่ชอบเดือนที่ 6 น้าหนกั ประมาณ 600 กรัม ยาวประมาณ 14 นิ้ว ตาจะมีการพฒั นาอยา่ งสมบรู ณ์ สามารถเปิ ดปิ ดตา และร้องไหไ้ ด้ หายใจไดต้ ลอดเวลา ใตผ้ วิ หนงั จะมีช้นั ไขมนั เกิดข้ึน มีต่อมเหงื่อ ต่อมรับรส หากคลอดช่วงน้ีทารกจะสามารถหายใจได้ หากไดร้ ับการดูแลจากแพทยผ์ เู้ ชี่ยวชาญ ทารกอาจมีชีวติ รอด 1 ใน 10 คนเดือนท่ี 7 น้าหนกั ประมาณ 3-5 ปอนด์ ยาวประมาณ 16 นิ้ว พฒั นาการดา้ นปฏิกิริยาตอบสนองเป็นไปได้อยา่ งเตม็ ที่ ทารกสามารถร้องไห้ หายใจ ดูดกลืนได้ ระบบประสาท ระบบไหลเวยี น ระบบหายใจสมบูรณ์ยงิ่ ข้ึนอวยั วะทุกส่วนพฒั นาเตม็ ท่ี ทารกที่คลอดในระยะน้ีหากไดร้ ับการดูแลจากผเู้ ช่ียวชาญอาจมีชีวติ อยรู่ อดไดโ้ ดยการเล้ียงในตจู้ นกวา่ ทารกจะแขง็ แรงพอที่จะออกมาอยภู่ ายนอกได้เดอื นที่ 8 น้าหนกั ประมาณ 5-7 ปอนด์ สามารถสงั เกตการเคล่ือนไหวทารกไดจ้ ากภายนอก มีการสร้างไขมนั ปกคลุมร่างกายเพอ่ื ใหส้ ามารถปรับตวั ให้เขา้ กบั อุณหภูมิภายนอกได้ ทารกจะตอบสนองต่อเสียงและส่ิงแวดลอ้ มได้เดอื นท่ี 9-10 น้าหนกั ประมาณ 7 ปอนด์ ความยาวประมาณ 20 นิ้ว เพศชายมกั มีน้าหนกั และความยาวมากกวา่ เพศหญิง เป็ นระยะครบกาหนดคลอด ทารกจะพฒั นาสมบรู ณ์เตม็ ที่การส่งเสริมพฒั นาการและการปรับตวัการส่งเสริมสุขภาพจิตและการปรับตวั ของหญิงต้งั ครรภม์ ีความจาเป็นอยา่ งยง่ิ อนั จะส่งผลตอ่ พฒั นาการและการปรับตวั ของทารกในครรภ์ โดยมีแนวทางดงั น้ี1. สุขภาพร่างกายของมารดา1.1 แนะนาเรื่องการดูแลรักษาสุขภาพร่างกายใหแ้ ขง็ แรง เพราะความเจบ็ ป่ วยทางร่างกายบางโรคจะส่งผลต่อทารกในครรภไ์ ด้ เช่น โรคหดั เยอรมนั (rubilla) หากมารดาป่ วยในช่วง 12 สปั ดาห์แรกท่ีต้งั ครรภอ์ าจทาให้ทารกพกิ าร แทง้ หรือตายได้ โรคซิฟิ ลิส (syphilis) อาจทาใหเ้ กิดการแทง้ คลอดก่อนกาหนด หรืออาจทาใหพ้ ิการเช่นหูหนวก ตาบอด หวั ใจพิการ เป็นตน้ ดงั น้นั การฝากครรภแ์ ละรักษาในระยะแรกจะช่วยได้ คูแ่ ต่งงานควรมีการตรวจร่างกายก่อนแตง่ งานและหลงั แต่งงาน เมื่อต้งั ครรภอ์ อ่ น ๆ ควรตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะท้งั ของบิดาและมารดาเพ่ือรักษาโรคไปพร้อมกนั และควรไปพบแพทยต์ ามนดั ทุกคร้ัง1.2 ใหค้ วามรู้ดา้ นโภชนาการของมารดา ซ่ึงเป็นพ้ืนฐานสาคญั ของการพฒั นาทางร่างกายของทารกหากมารดาไดร้ ับอาหารท่ีมีคุณค่าในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยใหท้ ารกในครรภส์ ามารถนาสารอาหารไปใชเ้ พื่อการเจริญเติบโตของร่างกายไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพยงิ่ ข้ึน1.3 หลีกเล่ียงการใชย้ าท่ีเป็นอนั ตรายและสารเสพยต์ ิดตา่ ง ๆ ซ่ึงจะเป็นอนั ตรายต่อทารกในครรภ์ เช่นยาแกแ้ พ้ มารดาท่ีมีอาการแพท้ อ้ ง 2-3 เดือนแรก มกั จะใชย้ าแกแ้ พเ้ พื่อลดอาการคล่ืนไส้ อาเจียน ซ่ึงยาบางชนิดก็ควรจะตอ้ งระวงั เช่น ธาลิโดไมด์ (thalidomide) ซ่ึงจะทาลายเซลล์ ทาใหท้ ารกท่ีออกมามีแขนขาลีบหรือดว้ น และอาจทาใหท้ ารกมีศีรษะโตผดิ ปกติร่วมดว้ ย นอกจากน้ีมารดาควรหลีกเล่ียงสารเสพยต์ ิดทุกชนิดเช่น ฝ่ิ น กญั ชาบุหร่ี เหลา้ ชา กาแฟ ซ่ึงอาจทาใหท้ ารกพิการหรือแทง้ ได้2. ด้านจิตใจและอารมณ์ของมารดา
- 19 - 2.1 กระตุน้ ใหม้ ารดาไดร้ ะบายความรู้สึก ความคิด และความวติ กกงั วลจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึนพร้อมกบั รับฟัง 2.2 ส่งเสริมทศั นคติที่ดีต่อการมีบุตร ทศั นคติที่ดีจะส่งผลต่อวฒุ ิภาวะทางอารมณ์ นาไปสู่การปฏิบตั ิตนท่ีเหมาะสมในระหวา่ งต้งั ครรภ์ 2.3 ส่งเสริมสุขภาพจิตของมารดาดว้ ยการใหม้ ารดาพกั ผอ่ น หรือทาในส่ิงท่ีผอ่ นคลายความตึงเครียดเช่น อ่านหนงั สือที่ชอบ ดูภาพที่ทาใหเ้ กิดความรู้สึกผอ่ นคลาย ฟังเพลง เป็นตน้ 2.4 ส่งเสริมใหบ้ ิดาและบุคคลในครอบครัวใหค้ วามเอาใจใส่ดูแลมารดาขณะต้งั ครรภใ์ หม้ ากข้ึน ให้ความรู้เก่ียวกบั สภาพการเปล่ียนแปลงที่เกิดข้ึนขณะต้งั ครรภ์ โดยเฉพาะบิดาควรใหเ้ วลากบั มารดาขณะต้งั ครรภใ์ ห้มากข้ึนกวา่ ปกติ 3. ด้านสังคมของมารดา 3.1 แนะนาใหม้ ารดาขณะต้งั ครรภพ์ ดู คุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกบั ผอู้ ่ืน โดยเฉพาะกบั ผทู้ ี่เคยต้งั ครรภ์มาก่อน ซ่ึงจะช่วยใหเ้ ขา้ ใจ และคลายความวติ กกงั วลตอ่ การเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนได้ 3.2 ให้คาแนะนาเกี่ยวกับแหล่งบริการที่เป็ นประโยชน์และสามารถให้ความช่วยเหลือได้ เช่นสถานพยาบาลใกลเ้ คียง สถานีอนามยั พยาบาลชุมชน นกั สังคมสงเคราะห์ เป็นตน้สรุป วยั ก่อนคลอด เป็นวยั ที่เริ่มจากเซลลผ์ สม (zygote) ระหวา่ งเซลลส์ ืบพนั ธุ์ของเพศชาย (spermatozoa) กบัเซลลส์ ืบพนั ธุ์ของเพศหญิง (ovum) จนกระทงั่ เจริญเติบโตเป็ นทารกที่มีอวยั วะทุกส่วนสมบูรณ์เตม็ ที่ พร้อมที่จะออกมาสู่โลกภายนอกได้ วยั ก่อนคลอดถือเป็นวยั สาคญั มาก เป็นพ้ืนฐานของการพฒั นาอวยั วะระบบตา่ ง ๆ ของร่างกาย การใหก้ ารดูแลทารกต้งั แต่ต้งั ครรภอ์ ยา่ งเหมาะสมดว้ ยการใหค้ าแนะนาแก่มารดาอยา่ งเหมาะสมในการปฏิบตั ิตวั ดา้ นต่าง ๆ เช่น การดูแลตนเองขณะต้งั ครรภ์ การทาจิตใจใหแ้ จม่ ใส การใชย้ าขณะต้งั ครรภ์ เป็นตน้ ส่ิงตา่ ง ๆ เหล่าน้ีจะช่วยใหพ้ ฒั นาการของทารกในครรภเ์ ป็ นไปไดอ้ ยา่ งสมบรู ณ์ยงิ่ ข้ึน
- 20 - หน่วยท่ี 5 จิตวทิ ยาพฒั นาการวยั ทารก (Infancy and Babyhood) วยั ทารกแรกเกิดเป็นวยั ต้งั แต่แรกคลอดจากครรภม์ ารดาจนกระทงั่ สองสัปดาห์หลงั คลอด เป็นช่วงสาคญัและวกิ ฤตสาหรับทารก เน่ืองจากเป็นช่วงของการปรับตวั คือทารกตอ้ งปรับตวั อยา่ งมาก จากการท่ีตอ้ งเผชิญกบัส่ิงแวดลอ้ มท่ีเปล่ียนแปลงไปจากภายในครรภม์ ารดาสู่ภายนอกครรภม์ ารดา ตอ้ งปรับตวั ทุกเรื่องท้งั ดา้ นการปรับอุณหภูมิของร่างกายท่ีเปล่ียนแปลงไปเพอื่ ใหไ้ ดร้ ับความอบอุน่ การหายใจ การขบั ถ่าย การดูดกลืนและการยอ่ ยอาหาร เป็นตน้พฒั นาการวยั ทารกแรกเกดิ พฒั นาการทางกาย ทารกแรกเกิดจะมีน้าหนกั ตวั โดยเฉล่ีย 3,000 กรัม ลาตวั ยาวประมาณ 45-50 เซนติเมตร น้าหนกั และความยาวของลาตวั ทารกเพศชายจะมากกวา่ ทารกเพศหญิงเล็กนอ้ ย ระยะน้ีเป็ นช่วงของการปรับตวั น้าหนกั ของทารกจะลดลงเล็กนอ้ ย แต่จะเพม่ิ ข้ึนเม่ือทารกเร่ิมปรับตวั เขา้ กบั ส่ิงแวดลอ้ มได้ สัดส่วนร่างกายของทารกยงั ไมด่ ีนกั การเคลื่อนไหวจะมีลกั ษณะเป็นปฏิกิริยาสะทอ้ น (reflex) เช่น การจาม การดูด หรือการหาวนอน เป็นตน้ ระยะแรกทารกไมอ่ าจควบคุมกลา้ มเน้ือได้ สายตาทางานไม่ประสานกนั การมองเห็นส่ิงต่าง ๆ เป็นไปอยา่ งไร้จุดหมาย ไม่สามารถจบั จอ้ งสิ่งใดไดจ้ นกวา่ จะมีอายุ 7 วนั ต่อมน้าตายงั ไมท่ างานในระยะแรก เวลาทารกร้องไห้จึงยงั ไม่มีน้าตาออกมา การไดย้ นิ เสียงจะเกิดข้ึนก่อนการมองเห็นสีต่าง ๆ การลิ้มรส ทารกจะตอบสนองต่อรสหวานในทางบวกและตอบสนองรสเคม็ ขม เปร้ียวในทางลบ ระยะเวลาส่วนใหญข่ องทารกจะใชใ้ นการนอนหลบั ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ต่ืนเพียง 1-2 ชวั่ โมงต่อวนั สายสะดือท่ีตดั ไวจ้ ะค่อย ๆ แหง้ และหลุดออกไปเองภายใน 7-10 วนั พฒั นาการทางอารมณ์ ระยะแรกคลอดทารกจะมีอารมณ์ตื่นเตน้ เพียงอยา่ งเดียว จากน้นั จะมีพฒั นาการทางอารมณ์ดงั น้ี (Hurlock,1982 อา้ งถึงในทิพยภ์ า เชษฐเ์ ชาวลิต, 2541, น. 38-39) 1. อารมณ์พอใจ แจ่มใส ดีใจ จะเกิดเมื่อทารกถูกสัมผสั ตวั เบา ๆ เม่ือไดร้ ับความอบอุ่นดว้ ยการกอดเมื่อได้ ดูดนม หรือไดร้ ับการเห่ไกว เป็นตน้ 2. อารมณ์ไม่พอใจ จะเกิดข้ึนเม่ือทารกถูกจบั ไม่ใหเ้ คล่ือนไหว ถูกเปล่ียนท่าอยา่ งรวดเร็ว ไม่ไดร้ ับการอุม้ ชู ไดย้ นิ เสียงดงั ทนั ที หรือเมื่อมีความเจบ็ ป่ วย เป็ นตน้ อารมณ์ท้งั สองลกั ษณะของทารกจะเกิดข้ึนสลบั กนั ไป ข้ึนอยกู่ บั ประสบการณ์การเล้ียงดูที่ไดร้ ับ หากไดร้ ับ การเล้ียงดูที่เหมาะสม จะช่วยใหท้ ารกมีความรู้สึกมนั่ ใจ อบอุ่น มีอารมณ์แจม่ ใส และมองโลกในแง่ดีตอ่ ไป พฒั นาการทางสังคม
- 21 - การส่ือสารของทารกวยั น้ีคือการร้องไห้ ระดบั เสียงและรูปแบบการร้องไหจ้ ะบ่งบอกถึงความรู้สึกและความตอ้ งการของทารก เช่นเสียงร้องไหท้ ี่ดงั และหยดุ เป็ นระยะ สม่าเสมอ หรือร้องไหจ้ า้ หมายถึง หิวหรือไมส่ ุขสบาย ถา้ มีการขยบั ตวั ขณะร้องไห้ หมายถึงร้องเพราะไม่สุขสบายจากการเปี ยกปัสสาวะ เสียงร้องไหท้ ี่แผดแหลมหมายถึงการไม่ไดร้ ับการตอบสนอง เสียงร้องครวญครางสลบั กบั แผดแหลมหมายถึงความเจบ็ ปวด เช่น ปวดทอ้ ง อ่อนเปล้ีย เป็นตน้ (ทิพยภ์ า เชษฐเ์ ชาวลิต, 2541, น. 39) ลกั ษณะท่ีสาคญั ของทารกวยั น้ีคือความไวต่อความรู้สึก ดว้ ยการกระตุน้ ทางประสาทสมั ผสั เช่น เมื่อไดร้ ับสัมผสั ทางร่างกาย หรือไดย้ นิ เสียงทารกจะเงียบและฟังอยา่ งสนใจ ระยะน้ีการใหก้ ารสมั ผสั ท่ีอบอุ่นอยา่ งเหมาะสมจะช่วยใหเ้ ดก็ มีความรู้สึกท่ีละเอียดอ่อน มีความเขา้ ใจ เห็นใจ และเขา้ ร่วมกลุ่มกบั ผอู้ ่ืนไดด้ ียงิ่ ข้ึน พฒั นาการทางสติปัญญา วยั น้ีทารกจะสามารถรับรู้และมีปฏิกิริยาตอบสนองตอ่ สิ่งเร้าท่ีเขา้ มากระตุน้ ได้ สามารถแยกลกั ษณะของเสียงท่ีแตกตา่ งกนั ได้ ชอบฟังเสียงท่ีนุ่มนวล ไพเราะ เช่น เมื่อไดย้ นิ เสียงเพลงหรือเสียงเห่กล่อม ทารกจะเงียบฟังและพกั หลบั ได้ นอกจากน้ีทารกสามารถมองตามของเล่นที่มีสีสดใส เช่น สีแดง สีเหลือง สีเขียว ในระยะ 8 นิ้วท่ีอยู่กลางลานสายตาได้การส่งเสริมพฒั นาการและการปรับตวั การส่งเสริมพฒั นาการและการปรับตวั ของทารกช่วงน้ีมีความสาคญั ต่อการพฒั นาบุคลิกภาพของบุคคลมากโดยมีแนวทางการเล้ียงดูดงั น้ี 1. ผเู้ ล้ียงดูควรมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตท่ีดี มนั่ คง ซ่ึงจะส่งผลต่อปฏิกิริยาการเล้ียงดูท่ีเป็นไปอยา่ งสม่าเสมอ สมั ผสั ของผเู้ ล้ียงดูจะช่วยใหท้ ารกรับรู้ไดถ้ ึงอารมณ์ ความอ่อนโยน และความรู้สึกปลอดภยั 2. ผเู้ ล้ียงดูควรตอบสนองความตอ้ งการของทารกอยา่ งเหมาะสมท้งั ดา้ นร่างกาย จิตใจ และสังคม คือ การใหไ้ ดร้ ับอาหารเม่ือทารกหิว ใหห้ ลบั นอน พกั ผอ่ นในบรรยากาศท่ีบริสุทธ์ิ ไดร้ ับความสุขสบาย ไดร้ ับฟังเสียงท่ีสุนทรี ไดร้ ับความอบอุน่ จากการกอดรัด อุม้ ชู หรือการพดู คุยจากผเู้ ล้ียงดู 3. ผเู้ ล้ียงดูควรไดร้ ับความรู้ความเขา้ ใจในเรื่องการดูแลทารกแรกเกิด เช่นพฒั นาการดา้ นตา่ ง ๆ ของทารกปฏิกิริยาท่ีเกิดข้ึนในแต่ละช่วง รวมท้งั การเล้ียงดูเพอื่ ส่งเสริมพฒั นาการใหเ้ หมาะสม โดยเฉพาะผเู้ ล้ียงดูหรือพอ่ แม่ท่ีมีบุตรคนแรก เพ่อื ใหค้ ลายความรู้สึกกงั วล มน่ั ใจต่อการเล้ียงดู และสามารถปรับตวั กบั บทบาทของการเป็ นพอ่ แม่ท่ีดีได้สรุป ทารกแรกเกิดเป็นวยั แห่งการพ่งึ พาผอู้ ื่นโดยสิ้นเชิง ไมส่ ามารถช่วยเหลือหรือตอบสนองความตอ้ งการของตนเองไดใ้ นทุกเร่ือง ไมส่ ามารถสื่อสารไดโ้ ดยตรง จะกระทาดว้ ยการร้องไห้ หากวยั น้ีไดร้ ับการตอบสนองความตอ้ งการทุกดา้ นอยา่ งเหมาะสมจากผเู้ ล้ียงดู จะช่วยใหท้ ารกเกิดความรู้สึกอบอุ่น มนั่ คง มน่ั ใจในความปลอดภยั และไวว้ างใจต่อส่ิงแวดลอ้ มรอบตวั ส่งผลตอ่ การพฒั นาบุคลิกภาพท่ีเหมาะสมในวยั ตอ่ ไป
- 22 - หน่วยท่ี 6 จิตวทิ ยาพฒั นาการวยั ทารกตอนปลาย วยั น้ีมีอายอุ ยใู่ นช่วง 2 สัปดาห์หลงั คลอดถึง 2 ขวบ เป็นวยั ท่ีมีความสาคญั ต่อการเสริมสร้างบุคลิกภาพของบุคคล ท้งั ในดา้ นพฤติกรรมการแสดงออก ความคิด ทศั นคติ และสติปัญญา โดยการเรียนรู้ของทารกวยั น้ีจะเป็ นไปไดอ้ ยา่ งรวดเร็วทุกดา้ น และสามารถมองเห็นการเปล่ียนแปลงท้งั ทางดา้ นร่างกายและจิตใจไดอ้ ยา่ งชดั เจนพฒั นาการวยั ทารกตอนปลาย พฒั นาการทางกาย วยั ทารกตอนปลายจะมีพฒั นาการดา้ นโครงสร้างของร่างกายและการทาหนา้ ท่ีของอวยั วะตา่ ง ๆเจริญเติบโตดาเนินไปอยา่ งรวดเร็วในช่วง 6 เดือนแรก โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ระบบกลา้ มเน้ือและระบบประสาทสัมผสัในขวบปี แรกน้าหนกั ของทารกจะเพ่มิ ตามสดั ส่วนมากกวา่ ความสูง ในระยะปี ที่สองความสูงจะเพม่ิ มากกวา่ สดั ส่วนของน้าหนกั โดยมีแบบแผนลกั ษณะพฒั นาการทางกายของวยั ทารกตอนปลายดงั น้ี 1. นา้ หนัก (weight) อายุ 1 เดือนน้าหนกั ของทารกจะเพิ่มประมาณ 1 กิโลกรัม โดยช่วง 1 เดือนแรกน้าหนกั ทารกจะเพิ่มวนั ละ 30 กรัม ในเดือนท่ี 2 จะเพ่ิมประมาณวนั ละ 25 กรัม ช่วงอายุ 4 เดือนน้าหนกั ตวั ทารกจะเพม่ิ เป็น 2 เท่า อายุ 2 ขวบจะมีน้าหนกั เป็น 3 เทา่ ของแรกเกิด สาหรับการเพิม่ ของน้าหนกั เน่ืองจากเน้ือเยอื่ ไขมนั ที่ไดส้ ะสมจากน้านมที่ทารกดูดกลืนเขา้ ไป 2. ส่วนสูง (height) การเพิ่มความสูงของทารกในช่วงขวบปี แรกจะชา้ กวา่ น้าหนกั แต่เมื่ออายุ 2 ขวบการ เพม่ิ ความสูงจะเป็นไปอยา่ งรวดเร็ว อายุ 4 เดือนจะสูงประมาณ 23-24 นิ้ว อายุ 8 เดือนจะสูง 26-28 นิ้ว อายุ 1 ขวบจะสูง 28-30 นิ้ว อายุ 2 ขวบจะสูง 32-34 นิ้ว และหลงั อายุ 2 ขวบไปแลว้ จะสูงข้ึนประมาณปี ละ 5 เซนติเมตร 3. สัดส่วนของร่างกาย (body proportions) สดั ส่วนทางกายจะเห็นไดช้ ดั เจนเม่ือทารกอายุ 6 เดือน รูปร่างทารกจะบางข้ึนแตจ่ ะเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบชา้ ๆ โดยที่ศีรษะจะเจริญเติบโตอยา่ งรวดเร็วในเดือนท่ี 2 แลว้ ดงั น้นัในช่วงเดือนที่ 6 จึงเจริญชา้ กวา่ ลาตวั แขน ขา ส่วนตา่ ง ๆ ของใบหนา้ เริ่มพฒั นา โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ บริเวณขากรรไกรซ่ึงจะเร่ิมมีฟันและขากรรไกรจะไดส้ ัดส่วนกบั ใบหนา้ และจมูกเริ่มพฒั นาไดส้ ัดส่วนและมีรูปร่างเพิ่มมากข้ึน 4. กระดูก (bones) ลกั ษณะการพฒั นาจะเป็ นเช่นเดียวกบั การเจริญเติบโตดา้ นขนาด กระดูกจะมีการเจริญเติบโตอยา่ งรวดเร็วในระยะขวบปี แรกของชีวติ จานวนกระดูกจะเพิม่ ข้ึนในวยั ทารกซ่ึงเป็นผลมาจากร่างกายของทารกวยั น้ีประกอบดว้ ยกระดูกและมีเน้ือเยอ่ื ในร่างกาย โครงสร้างกระดูกของทารกวยั น้ีจะยงั ไมส่ มบรู ณ์ จะ
- 23 -สมบรู ณ์เตม็ ที่เมื่อเขา้ สู่ระยะวยั รุ่น ส่วนบุ๋มบนกระโหลกศีรษะจะปิ ดเกือบสนิท ประมาณ 50% เม่ืออายุ 8 เดือน และจะปิ ดบริบูรณ์เมื่ออายปุ ระมาณ 2 ขวบ 5. ฟัน (teeth) ฟันน้านมจะเร่ิมงอกเมื่ออายุ 6-8 เดือน มีท้งั หมด 20 ซี่ ลกั ษณะของฟันท่ีงอกจะหนาและแขง็ เน่ืองจากทารกจะใชฟ้ ันในการกดั แทะสิ่งต่าง ๆ ระยะน้ีทารกอาจเจบ็ เหงือกหรือมนั เข้ียว การแกไ้ ขโดยให้ทารกกดั เล่นห่วงยางท่ีสะอาดและแขง็ พอควร 6. ระบบประสาท (nervous system) ระยะ 3-4 ปี แรก ระบบประสาทอตั โนมตั ิจะมีการเจริญอยา่ งรวดเร็วน้าหนกั สมองของทารกจะเป็ น ½ ของผใู้ หญเ่ มื่ออายุ 9 เดือน และเม่ืออายุ 2 ขวบจะมีน้าหนกั สมอง ¾ ของผใู้ หญ่ 7. โครงสร้างทางกาย ในช่วง 2 ปี แรกขณะที่สัดส่วนร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง ทารกจะมีแนวโนม้ ท่ีจะมีลกั ษณะเฉพาะโครงสร้างทางกาย 3 ประเภทคือ 1) ectomophic คือ สูงยาวและบอบบาง 2) endomophic คือ กลมและอว้ น และ 3) mesomophic คือ หนกั แขง็ แรง และใหญ่แบน 8. พฒั นาการของอวยั วะสัมผสั (organ development) มีลกั ษณะดงั น้ี -หู ทารกจะมีความสามารถในการไดย้ นิ เสียงอยา่ งฉบั พลนั โดยเฉพาะเมื่ออายุ 2 เดือน จะตอบสนองต่อเสียงแหลมมาก ๆ มากกวา่ เสียงอ่ืน ๆ เช่น เสียงเป่ านกหวดี ผวิ ปาก ปรบมือ แต่เม่ืออายุ 2 เดือนไปแลว้ ทารกจะมีการตอบสนองต่อเสียงทุกอยา่ งได้ -ตา จะมีพฒั นาการที่รวดเร็วมาก โดยเฉพาะในเดือนที่ 3 จะมีพฒั นาการในการประสานกนั ของกลา้ มเน้ือตา ทารกจะมองเห็นไดช้ ดั เจนและมองเห็นความแตกต่างของส่ิงตา่ ง ๆ ได้ -จมูกและการลมิ้ รส การไดก้ ล่ินและการลิ้มรสมีการพฒั นาต้งั แต่แรกเกิดและจะมากข้ึนเร่ือย ๆ สังเกตได้จากทารกจะปฏิเสธอาหารที่มีกล่ินและรสที่ตนไม่ชอบ -การสัมผสั ทารกจะมีปฏิกิริยาโตต้ อบเม่ือมีสิ่งเร้าอยา่ งมาก และจะแสดงออกตอ่ สิ่งเร้าเกินความเป็นจริงเน่ืองจากผวิ หนงั ของทารกประกอบดว้ ยอวยั วะท่ีทาหนา้ ท่ีเก่ียวกบั ความรู้สึกอยา่ งมาก 9. ความต้านทานโรค ช่วง 6 เดือนแรกทารกจะมีความตา้ นทานโรคไดด้ ีเพราะไดร้ ับมาจากมารดาระหวา่ งอยใู่ นครรภ์ หลงั จากน้ีอาจมีการเจบ็ ป่ วยไดบ้ า้ ง บิดามารดาควรนาเด็กไปฉีดวคั ซีนป้ องกนั โรคตา่ ง ๆ เมื่อถึงเวลา 10. พฒั นาการด้านการเคลอื่ นไหว พฒั นาการดา้ นน้ีในเพศชายจะเป็นไปไดด้ ีกวา่ เพศหญิง ในช่วงแรกการเคลื่อนไหวจะเป็นปฏิกิริยาสะทอ้ น และจะค่อยหายไปเมื่อทารกอายุ 6 เดือน จากน้นั จะเป็นการเคลื่อนไหวที่มีจุดหมาย พฒั นาการของกลา้ มเน้ือจะเร่ิมจากบริเวณศีรษะ ลาตวั แขน ขา และนิ้วมือ ตามลาดบั พฒั นาการทางอารมณ์ อารมณ์ของวยั น้ีเป็นพ้นื ฐานสาหรับการพฒั นาอารมณ์ของวยั ต่อไป ทารกจะมีการพฒั นาอารมณ์มากข้ึนตามลาดบั ของวุฒิภาวะและประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีไดร้ ับจากการเล้ียงดู ลกั ษณะอารมณ์ท่ีพฒั นาข้ึนในระยะน้ีมีดงั น้ี (สุชา จนั ทน์เอม, 2540, น. 102-104) 1. อารมณ์โกรธ เกิดจากการท่ีทารกไม่ไดร้ ับการตอบสนอง หรือถูกขดั ขวางความตอ้ งการ อารมณ์โกรธพบไดบ้ อ่ ยและปรากฏชดั เจนเมื่ออายุ 6 เดือน จะแสดงออกดว้ ยการส่งเสียงร้องอยา่ งไม่สบอารมณ์ ร้องกรี๊ด นอนบนพ้ืน ถีบขาไปมา ขวา้ งปาทาลายขา้ วของ ทาร้ายตนเอง อารมณ์โกรธอาจเกิดจากการเลียนแบบพอ่ แม่ หรือผเู้ ล้ียงดู หากอารมณ์โกรธเกิดสม่าเสมอ ทารกจะพฒั นาเป็นบุคคลท่ีมีบุคลิกลกั ษณะกา้ วร้าว รุนแรง
- 24 - 2. อารมณ์กลวั เกิดข้ึนไดเ้ ม่ืออายุ 6 เดือน เกิดจากการเรียนรู้ ทารกวยั น้ีจะกลวั คนแปลกหนา้ สถานท่ีแปลกใหม่ สิ่งท่ีมีเสียงดงั กลวั สัตวแ์ ปลก ๆ ที่ยงั ไมเ่ คยเห็น ความมืด ความสูง จะแสดงออกดว้ ยการหลบหลีกร้องไห้ หนั หนา้ หนี การแอบหลงั ผใู้ หญ่ บางคร้ังความกลวั อาจเป็ นสิ่งกระตุน้ ใหท้ ารกเกิดความอยากรู้อยากเห็นได้ 3. อารมณ์อจิ ฉาริษยา เกิดจากการรวมเอาอารมณ์โกรธและกลวั เขา้ ดว้ ยกนั มกั เกิดไดง้ ่าย เม่ือมีนอ้ งและพอ่ แมเ่ อาใจใส่นอ้ งเป็ นพิเศษ ทาใหต้ นขาดวามสาคญั นอกจากน้ีอาจเกิดจากการท่ีพ่อแม่ไมไ่ ดอ้ ธิบายใหบ้ ุตรเขา้ ใจภึงสภาพเป็นจริง และทาใหท้ ารกขาดความอบอุน่ ก็เป็นได้ 4. อารมณ์อยากรู้อยากเห็น มกั พบเสมอใน 2-3 เดือนแรก ระยะน้ีหากทารกไดร้ ับสิ่งเร้าที่รุนแรงก็จะรู้สึกสนใจข้ึนมา ทารกมกั จะอยากเห็นส่ิงแปลก ๆ ใหม่ ๆ ความกลวั ก็เป็นลกั ษณะหน่ึงที่ช่วยใหท้ ารกเกิดความอยากรู้อยากเห็นได้ 5. อารมณ์ดใี จ เป็นอารมณ์แห่งความร่ืนรมย์ มีความสุข มกั เกิดข้ึนกบั ทารกที่มีสุขภาพดี ในระยะ 2-3 เดือนหลงั คลอด ทารกจะรู้จกั ยมิ้ หรือหวั เราะเม่ือมีความพอใจ เม่ือทารกอายไุ ดป้ ระมาณ 2 ปี จะรู้จกั ยมิ้ กบั ผอู้ ื่น หรือร่วมหวั เราะไปกบั ผอู้ ่ืนไดเ้ ม่ือรู้สึกพอใจ 6. อารมณ์รัก ทารกจะแสดงความรักดว้ ยการกอดรัด ความรักจดั เป็ นอารมณ์ที่ร่ืนรมยส์ าหรับทารกท่ีไดร้ ับการเอาใจใส่อยา่ งดี ทารกจะเร่ิมรักตวั เองก่อน ต่อมาจึงจะเริ่มรักผอู้ ่ืน ส่ิงของของตน หรือรักสตั วเ์ ล้ียงกไ็ ด้ พฒั นาการทางสงั คม วยั น้ีจะมีพฒั นาการดา้ นสงั คมมากข้ึนเม่ือเทียบกบั วยั ทารกตอนตน้ ทารกจะมีความสามารถในการเรียนรู้การช่วยเหลือตนเองในการปฏิบตั ิกิจกรรมตา่ ง ๆ มากข้ึนตามระยะเวลาท่ีผา่ นไป เช่น เริ่มเรียนรู้ท่ีจะเคลื่อนไหวหยบิ ถือส่ิงของ แปรงฟัน อาบน้า แต่งตวั รับประทานอาหารเอง พดู ภาษาไดบ้ า้ ง และพยายามส่ือภาษากบั ผเู้ ล้ียงดูหรือบุคคลรอบขา้ งแมว้ า่ ภาษาท่ีพดู จะไม่ถูกตอ้ งสมบูรณ์มากนกั วยั น้ีจะรู้จกั เล่นกบั ผอู้ ่ืน พฒั นาการดา้ นน้ีจะพฒั นาควบคูไ่ ปกบั พฒั นาการดา้ นอื่น ๆ เป็นระยะของการวางรากฐานพฤติกรรมสาคญั ของชีวติ เช่น การมีทศั นคติต่อตนเองและผอู้ ื่น ลกั ษณะการแสดงอารมณ์ นิสัยส่วนตวั เมื่อสิ้นสุดระยะน้ีผเู้ ล้ียงดูสามารถมองเห็นลกั ษณะบุคลิกภาพเฉพาะตวั ของทารกไดช้ ดั เจนมากข้ึน พฒั นาการทางสติปัญญา วยั น้ีระบบประสาทและสมองมีการเจริญเติบโตมากข้ึน น้าหนกั สมองของทารกจะเพิ่มมากข้ึนกวา่ ร้อยละ50 ของน้าหนกั สมองผใู้ หญ่ ทารกจะเรียนรู้ส่ิงแวดลอ้ มรอบตวั ไดด้ ี เช่น เรียนรู้การใชป้ ระสาทสัมผสั การเคล่ือนไหว การแสดงความรู้สึกพอใจหรือไมพ่ อใจ การใชภ้ าษาหรือการแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ เพอื่ ส่ือความหมายและจะพยายามสื่อความหมายท่ีตนเองตอ้ งการ เขา้ ใจความหมายของคามากข้ึน เช่น เขา้ ใจความหมายของคาวา่ อยา่ไม่ ไหว้ รู้จกั หาวธิ ีการแสดงใหผ้ อู้ ่ืนทราบถึงความตอ้ งการตนเอง เช่น การพดู หม่า ๆ เมื่อหิว การช้ีหรือเอ้ือมมือดึงผา้ ปูโตะ๊ เพ่ือจะเอาของเล่นท่ีอยบู่ นโตะ๊ การมองหาส่ิงของที่ตอ้ งการ นอกจากน้ียงั มีความอยากรู้อยากเห็นสิ่งตา่ ง ๆท่ีอยรู่ อบตวัการส่งเสริมพฒั นาการและการปรับตัว 1. ด้านร่างกาย
- 25 - -ดูแลสุขภาพร่างกาย ใหพ้ กั ผอ่ นอยา่ งเพยี งพอ รักษาความสะอาดร่างกาย และการดูแลฟันซ่ึงฟันน้านมจะข้ึนเม่ือทารกอายุ 6-7 เดือน นาทารกไปตรวจสุขภาพอยา่ งสม่าเสมอ นาไปรับวคั ซีนครบถว้ นตามระยะเวลาท่ีกาหนดของโรงพยาบาล สังเกตอาการผดิ ปกติของทารก รวมท้งั ตรวจสอบพฒั นาการของทารกที่เปล่ียนแปลงไป -ดูแลใหท้ ารกไดร้ ับนมและอาหารเสริมท่ีเหมาะสมตามวยั และเพียงพอกบั ความตอ้ งการของร่างกายลกั ษณะอาหารควรเป็นอาหารอ่อนเค้ียวและยอ่ ยง่าย มีคุณค่าครบ 5 หมู่ ในช่วงที่เปลี่ยนชนิดหรือลกั ษณะของอาหาร ควรใหเ้ วลาทารกไดม้ ีการปรับตวั ไม่ใจร้อนเกินไป จากน้นั เริ่มลดปริมาณนมลงทีละนอ้ ย จนนมกลายเป็นอาหารเสริมแทนอาหารม้ือหลกั -ส่งเสริมใหท้ ารกมีการใชก้ ลา้ มเน้ือมดั ใหญ่ มดั เล็ก ในการทากิจกรรมตา่ ง ๆ เช่น การเดิน การเล่นตอ่บล็อก เล่นรถไฟ การใชม้ ือหยบิ จบั ส่ิงของ เป็นตน้ 2. ด้านสังคม -ส่งเสริมใหท้ ารกมีการช่วยเหลือตนเองและสงั คมอยา่ งเหมาะสม ใหเ้ วลาในการปฏิบตั ิกิจกรรมตา่ ง ๆท้งั ของตนเองและของผอู้ ื่น ใหค้ าชมเชยเม่ือสามารถทาได้ รวมท้งั สนบั สนุนใหม้ ี สมั พนั ธภาพกบั บุคคลอื่นรอบขา้ งไดอ้ ยา่ งเหมาะสม -การฝึกใหท้ ารกมีระเบียบวนิ ยั ดว้ ยการฝึกใหม้ ีการรอคอยในระยะส้ัน ๆ เช่น การรอเปลี่ยนเส้ือผา้ รออาหาร หลีกเลี่ยงการบงั คบั อยา่ งไมม่ ีเหตุผล ใหท้ ารกไดม้ ีโอกาสและเวลาในการตดั สินใจเม่ือตอ้ งมีกฏเกณฑก์ บัตวั เอง 3. ด้านอารมณ์ -ให้ความรัก ความเขา้ ใจ และความสนใจ ทารกท่ีไดร้ ับการเล้ียงดูอยา่ งอบอุ่นและเหมาะสมจะรับรู้ไดถ้ ึงอารมณ์ที่ออ่ นโยนของผเู้ ล้ียงดู ซ่ึงจะช่วยใหร้ ู้สึกมนั่ ใจ เชื่อใจในความปลอดภยั เรียนรู้ท่ีจะใหแ้ ละรับไดอ้ ยา่ งเหมาะสม -การจดั สภาพแวดลอ้ มท่ีเหมาะสม เช่น การเปิ ดเพลงเพราะ ๆ เบา ๆ ขณะท่ีใหท้ ารกไดเ้ ล่นหรือหยอกลอ้ กบั ผอู้ ื่น 4. ด้านสติปัญญา -ส่งเสริมพฒั นาการการใชภ้ าษาและการไดย้ นิ ดว้ ยการฝึ กการฟัง การพดู การอา่ น การเขียน เช่น การสอนใหร้ ้องเพลง เล่านิทาน เล่าเร่ืองที่น่าสนใจ เป็นแบบอยา่ งที่ดีในการพดู -ใหท้ ารกไดเ้ ล่นเกมส์เพ่อื พฒั นาเชาวน์ปัญญา เช่น เกมส์ท่ีตอ้ งใชก้ ารแกป้ ัญหา การใหแ้ สดงความคิดเห็นต่อส่ิงที่ไดพ้ บเห็นพร้อมท้งั ชมเชยเมื่อสามารถทาได้ การส่งเสริมพัฒนาการทุกด้านจะต้องทาควบคู่กันไป การให้ความรู้แก่ผูเ้ ล้ียงดูในเร่ืองการส่งเสริมพฒั นาการและการปรับตวั อยา่ งเหมาะสม ช่วยให้เด็กไดเ้ รียนรู้ประสบการณ์ท่ีดี และมีการปรับตวั ไดเ้ หมาะสมกบัวยั ไดม้ ากข้ึนสรุป
- 26 - วยั ทารกตอนปลายเป็ นวยั ท่ีมีความสาคัญอย่างย่ิง ถือเป็ นวยั พ้ืนฐานของการหล่อหลอมและพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคล ทารกจะมีการเปลี่ยนแปลงท้งั ทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญาอย่างรวดเร็ว มีความพร้อมต่อการเรียนรู้ส่ิงแวดลอ้ มรอบตวั หากไดร้ ับการเล้ียงดูท่ีเหมาะสมจะช่วยส่งเสริมใหท้ ารกได้เรียนรู้และมีแบบแผนพฒั นาการท่ีสมวยั และส่งผลดีต่อพฒั นาการวยั ต่อไป หน่วยที่ 7 จิตวทิ ยาพฒั นาการวยั เดก็ ตอนต้น (Early Childhood) วยั เด็กตอนตน้ (early childhood) หรือวยั ก่อนเรียน (pre-school age) เป็ นวยั ที่มีอายุอยู่ในช่วง 2-6 ปี วยั น้ีพฒั นามาจากวยั ทารก เด็กเริ่มรู้จักบุคคล สิ่งแวดล้อม ส่ิงของ สามารถใช้อวยั วะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้หลากหลาย เริ่มเข้าใจลักษณะการส่ือสาร และสามารถใช้ภาษาได้มากข้ึน จากส่ิงท่ีได้เรียนรู้ใหม่และการมีความสามารถดังกล่าวกระตุ้นให้เด็กต้องการแสดงความสามารถท่ีมีอยู่วยั น้ีจึงมีลักษณะเด่นคือชอบแสดงความสามารถ ชอบอาสาช่วยเหลือ ช่างประจบ ซุกซน อยากรู้อยากเห็น ช่างถาม มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ชอบปฏิเสธ ค่อนขา้ งด้ือ ตอ้ งการมีอิสระ เป็ นตวั ของตวั เอง เร่ิมรู้จกั พ่ึงพาตนเอง และไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากผใู้ หญ่ โดยเฉพาะในการปฏิบตั ิกิจวตั รประจาวนั การทากิจกรรม การเรียนรู้เหตุผล ส่ิงใดผดิ ถูก การเรียนรู้วธิ ีแกไ้ ขปัญหาดว้ ยตนเอง นอกจากน้ีเด็กจะแสดงความรู้สึกนึกคิดของตนจากการพูดคุย การแสดงออก ความเฉลียวฉลาดซ่ึงจะเป็นเอกลกั ษณ์ของเด็กแต่ละคนดว้ ย ดงั น้นั จึงพบวา่ เดก็ วยั น้ีจะมีการเปล่ียนแปลงดา้ นบุคลิกภาพและมีพฒั นาการดา้ นจริยธรรมอยา่ งชดั เจนพฒั นาการของวยั เด็กตอนต้น พฒั นาการทางกาย พฒั นาการทางกายของเด็กวยั น้ีจะเป็นไปอยา่ งชา้ ๆ เมื่อเปรียบเทียบกบั วยั ทารก การเจริญเติบโตจะเป็นไปในลกั ษณะเพื่อใหอ้ วยั วะตา่ ง ๆ สามารถทางานไดเ้ ตม็ ที่ตามหนา้ ท่ี โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ อตั ราการเจริญเติบโตทางดา้ นน้าหนกั และส่วนสูง การเพิม่ ของน้าหนกั เกิดจากการเจริญเติบโตของกระดูกและกลา้ มเน้ือ ซ่ึงตา่ งจากวยั ทารกท่ีการเพิม่ น้าหนกั เกิดจากเน้ือเยอ่ื ไขมนั ประกอบกบั เดก็ วยั น้ีจะรับประทานอาหารไดน้ อ้ ย และเลือกรับประทานอาหารเฉพาะท่ีชอบเทา่ น้นั ลกั ษณะร่างกายและสดั ส่วนของวยั น้ีจะเปล่ียนแปลงจากลกั ษณะทารกอยา่ งชดั เจน กล่าวคือ ช่องทอ้ งบางลง หนา้ อกและไหล่กวา้ งและใหญ่ข้ึน แขนขายาวออกไป ศีรษะไดข้ นาดกบั ลาตวั มือและเทา้ ใหญ่ข้ึน โครงกระดูกแขง็ ข้ึน กลา้ มเน้ือเติบโตแขง็ แรงข้ึน มีการเพิ่มความสูงอยา่ งสม่าเสมอ 3 นิ้วตอ่ ปี และน้าหนกั เพมิ่ สม่าเสมอปี ละ1.5-2 กิโลกรัม และในช่วงปลายของวยั น้ีจะมีฟันแทข้ ้ึน 1-2 ซี่ เด็กวยั น้ีเริ่มมีทกั ษะการเคลื่อนไหวและสามารถใชอ้ วยั วะส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกายไดด้ ีข้ึน ระบบกลา้ มเน้ือและประสาทสมั ผสั ทาหนา้ ที่ไดส้ มบรู ณ์ยง่ิ ข้ึน ดงั น้นั เด็กจะชอบช่วยเหลือตนเองในการปฏิบตั ิกิจวตั รประจาวนัเช่น การป้ อนขา้ วเอง แตง่ ตวั ใส่รองเทา้ อาบน้า หวผี ม เขียนหนงั สือ การหยบิ จบั ต่าง ๆ ชอบเล่นกบั กลุ่มเพอ่ื น ๆ
- 27 -สามารถเดิน วงิ่ กระโดด ห้อยโหนอยา่ งคล่องแคล่ว และไม่รู้จกั เหนื่อย เพราะการไดเ้ ล่นกบั เพ่อื นจะช่วยใหเ้ ดก็รู้สึกอบอุน่ ไมถ่ ูกทอดทิ้ง พฒั นาการทางอารมณ์ เด็กวยั น้ีจะมีพฒั นาการการแสดงออกดา้ นอารมณ์ท่ีชดั เจน เปิ ดเผย อิสระ ท้งั อารมณ์พึงพอใจและไม่พงึพอใจ มกั จะเป็นคนเจา้ อารมณ์ เอาแตใ่ จตวั เอง ด้ือร้ัน หงุดหงิด โมโหร้าย ชอบปฏิเสธ อารมณ์ในทางลบท่ีเด็กแสดงออกจะค่อย ๆ ลดลงเมื่อเด็กตอ้ งเขา้ สังคมในกลุ่มเพอ่ื น อยา่ งไรก็ตาม เด็กวยั น้ีสามารถสร้างความรักและความผกู พนั กบั บุคคลอื่นได้ เช่น เพอ่ื นสนิท ผเู้ ล้ียงดู เพ่ือใหเ้ กิดความรู้สึกปลอดภยั ทางอารมณ์ สาหรับลกั ษณะอารมณ์เด่น ๆ ท่ีมกั เกิดข้ึนในเดก็ วยั น้ีคือ 1. อารมณ์โกรธ เดก็ วยั น้ีจะโกรธง่ายจากการตอ้ งการเป็นตวั ของตวั เอง บางคร้ังอาจโกรธตวั เองหรือโกรธบุคคลท่ีเก่ียวขอ้ ง อารมณ์โกรธเกิดเม่ือเด็กไมไ่ ดร้ ับการตอบสนองในส่ิงท่ีตอ้ งการ แสดงออกโดยการร้องไห้ดิ้นกบัพ้นื เสียงดงั ทิ้งตวั ลงนอน กร๊ีด ทุบตีสิ่งของตา่ ง ๆ ทาร้ายตวั เอง เป็นตน้ 2. อารมณ์รัก เดก็ วยั น้ีจะรักบุคคลท่ีใหก้ ารตอบสนองในสิ่งที่เขาตอ้ งการ แสดงอารมณ์รักอยา่ งเปิ ดเผย เช่นการกอดจบู บุคคลหรือสิ่งของท่ีรัก 3. อารมณ์กลวั อารมณ์กลวั เกิดจากการไดพ้ บส่ิงแปลกใหม่ หรือกลวั ในส่ิงที่จินตนาการไปเอง เช่น กลวัความมืด กลวั ผี และมกั เลียนแบบความกลวั จากผใู้ หญท่ ่ีใกลช้ ิด จะแสดงออกโดยการหลบซ่อน วงิ่ หนี วงิ่ เขา้ หาผใู้ หญ่ และจะค่อยลดลงหากไดร้ ับการอธิบายและใหเ้ ด็กเกิดความรู้สึกคุน้ เคยกบั สิ่งน้นั ๆ 4. อารมณ์อยากรู้อยากเห็น วยั น้ีจะเป็ นวยั ช่างซกั ถาม เด็กจะสงสยั ทุกเรื่องและถามไดต้ ลอดเวลา ไมส่ ิ้นสุดจะต้งั คาถามมากจนตอบไมห่ มด หากเด็กไม่ไดร้ ับการตอบสนองท่ีถูกตอ้ งจะทาใหค้ วามอยากรู้อยากเห็นลดลงนอ้ ยกวา่ เด็กวยั เดียวกนั 5. อารมณ์อจิ ฉาริษยา มกั จะเกิดข้ึนเม่ือรู้สึกวา่ ตนดอ้ ยกวา่ ผอู้ ่ืน หรือกาลงั สูญเสียความสนใจท่ีตนเคยไดร้ ับถูกแบ่งปันใหบ้ ุคคลอื่น เช่น การมีนอ้ งใหม่ อิจฉาพ่นี อ้ งคนอ่ืน มกั แสดงออกคลา้ ยกบั อารมณ์โกรธ หรืออาจแสดงภาวะถดถอยกลบั ไปสู่ความเป็นทารกอีกคร้ัง เช่น ปัสสาวะรดที่นอนบ่อย การดูดมือ ด้ือดึง ร้องไหง้ ่าย งอแง เป็ นตน้ 6. อารมณ์ร่าเริง ดีใจหรือสนุกสนาน อารมณ์ดงั กล่าวเกิดข้ึนเม่ือเดก็ ไดร้ ับการตอบสนองตามที่ตนตอ้ งการทนั เวลา สม่าเสมอ หรือประสบความสาเร็จในการทากิจกรรมต่าง ๆ แสดงออกดว้ ยการหวั เราะ ส่งเสียงดงั ยมิ้ปรบมือ กระโดดโลดเตน้ เป็ นตน้ พฒั นาการทางอารมณ์ของเด็กวยั น้ีข้ึนอยกู่ บั ลกั ษณะการเล้ียงดูของพอ่ แม่ และมีความสาคญั ต่อการพฒั นาความรู้สึกมน่ั คงของเด็กต่อไป และความรู้สึกท่ีมนั่ คงทางอารมณ์จะช่วยพฒั นาใหเ้ ด็กมีการพฒั นาความเจริญงอกงามดา้ นจิตใจ และสามารถเผชิญกบั สถานการณ์ใหม่ ๆ ดว้ ยความเตม็ ใจและมนั่ ใจยงิ่ ข้ึน พฒั นาการทางสังคม พฒั นาการทางสังคมของวยั เด็กตอนตน้ จะเป็นไปอยา่ งรวดเร็ว ชดั เจน เด็กจะชอบการเขา้ สังคม การพบปะพดู คุยกบั ผคู้ น การมีเพือ่ น การเล่นรวมกลุ่มกบั เพ่ือนท้งั เพศเดียวกนั และต่างเพศ เดก็ จะมีความคิดและการเล่นท่ีอิสระ ไม่ชอบกฎเกณฑ์ ดงั น้นั จึงไม่สามารถรักษากฎเกณฑข์ องกลุ่มเพ่อื นไดน้ าน จะเป็นลกั ษณะตา่ งคนตา่ งเล่น แต่
- 28 -จะเล่นอยใู่ นบริเวณเดียวกนั ตอ่ มาถึงจะพฒั นาการเล่นท่ีมีลกั ษณะคลา้ ย ๆ กนั โดยสามารถเล่นรวมกลุ่มกบั เพ่ือนได้ต้งั แต่เร่ิมตน้ จนจบ ชอบเขา้ สงั คมกบั กลุ่มเพื่อนบ่อยข้ึน เป็นสมาชิกในกลุ่มเพ่ือนได้ โดยพยายามปรับตวั ให้เป็นท่ียอมรับของกลุ่มซ่ึงอาจแสดงออกโดยการแบ่งปันส่ิงของใหก้ บั ผอู้ ่ืน ใหค้ วามร่วมมือ ยอมรับฟัง แสดงออกถึงความเป็นผนู้ า ชอบเล่นบทบาทสมมติ เป็นพอ่ -แม่ คุณครู–นกั เรียน ตระหนกั ถึงความแตกตา่ งระหวา่ งเพศ พยายามช่วยเหลือตนเองและช่วยเหลืองานบา้ น เช่น ซกั ผา้ เกบ็ ของ ลา้ งจาน ปิ ด-เปิ ดไฟ พดั ลม โทรทศั นไ์ ดจ้ ากการสังเกตผใู้ หญ่และลองกระทาเอง นอกจากน้ีเด็กวยั น้ีจะเรียนรู้การเขา้ สังคมในกลุ่มท่ีมีอายตุ า่ ง ๆ กนั รู้จกั ปฏิสมั พนั ธ์กบัผอู้ ่ืนท้งั วยั เดียวกนั และวยั ต่างกนั เรียนรู้มารยาทการไหวท้ กั ทาย การพดู คุย เดก็ จะพยายามเรียนรู้ที่จะเป็นส่วนหน่ึงของสงั คม ตลอดจนเรียนรู้ที่จะระมดั ระวงั คนแปลกหนา้ อยา่ งไรก็ตาม การปรับตวั ของเด็กจะเป็นไปไดด้ ีเพยี งใดข้ึนอยกู่ บั ประสบการณ์การเล้ียงดูท่ีเดก็ ไดร้ ับจากครอบครัว เด็กที่ไดร้ ับการเล้ียงดูอยา่ งมีอิสระจะมีความเชื่อมน่ั ในตนเองมากกวา่ เดก็ ที่ถูกเล้ียงแบบเขม้ งวดตลอดเวลา นอกจากน้ีสมั พนั ธภาพในครอบครัวถือเป็ นส่ิงสาคญั เช่นกนัเด็กที่เติบโตมาจากครอบครัวที่มีความสมั พนั ธ์ท่ีดีตอ่ กนั จะมีความรู้สึกกลา้ และมน่ั ใจในการเขา้ สงั คมนอกบา้ นมากกวา่ เด็กที่เติบโตจากครอบครัวที่มีปัญหาดา้ นสมั พนั ธภาพ พฒั นาการทางสตปิ ัญญา วยั น้ีเป็นวยั ที่ชอบแกป้ ัญหาตามความคิดและวธิ ีการของตนเอง ชอบอิสระ แสวงหาวธิ ีการต่าง ๆ จากการทดลองปฏิบตั ิผดิ ถูก การซกั ถาม การเปรียบเทียบ การคิด การเจริญงอกงามทางสติปัญญาสามารถสงั เกตได้จากลกั ษณะพฤติกรรมการแสดงออกทางการเล่น การสามารถจาส่ิงของหรือบุคคลตา่ ง ๆ อยา่ งถูกตอ้ ง สามารถบอกความเหมือน ความตา่ ง มีความคิดสร้างสรรค์ กลา้ แสดงออก การนาเอาส่ิงที่มีอยมู่ าสัมพนั ธ์กนั ประกอบกบั เดก็ วยั น้ีสามารถใชภ้ าษาไดด้ ีข้ึน เขา้ ใจภาษา ความหมายของคาใหม่ ๆ อ่านและเขียนไดด้ ีข้ึน การส่งเสริมพฒั นาการดา้ นสติปัญญาที่เหมาะสมจากการเล้ียงดูของพอ่ แมจ่ ะช่วยใหเ้ ดก็ มีวธิ ีคิด การเรียนรู้ท่ีเหมาะสม และก่อใหเ้ กิดทางเลือกและวธิ ีแกป้ ัญหาท่ีดีท่ีสุด ซ่ึงจะช่วยพฒั นาต่อพฒั นาการในวยั ตอ่ ไปสรุป วยั เด็กตอนตน้ หรือวยั ก่อนเรียน เป็นวยั ท่ีมีพฒั นาการและมีการเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ ดา้ น โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในดา้ นบุคลิกภาพซ่ึงจะเด่นชดั ท่ีสุด กล่าวคือเดก็ วยั น้ีจะมีความตอ้ งการเป็ นตวั ของตวั เองสูง ชอบช่วยเหลือตนเองใหม้ ากท่ีสุด ปฏิเสธความช่วยเหลือจากผอู้ ื่น ขณะเดียวกนั เดก็ วยั น้ีจะเร่ิมเรียนรู้ในการมีเหตุผล และมีความสามารถในการคิดทางดา้ นคุณธรรม จริยธรรม ดงั น้นั การเล้ียงดูท่ีเหมาะสมสาหรับเด็กวยั น้ีจะช่วยใหเ้ ดก็ มีพฒั นาการและมีวฒุ ิภาวะท่ีเหมาะสมต่อไป
- 29 - หน่วยท่ี 8 จิตวทิ ยาพฒั นาการวยั เดก็ ตอนปลาย (Late Childhood) วยั เด็กตอนปลาย มีอายอุ ยใู่ นช่วง 6-12 ปี วยั น้ีจะคาบเกี่ยวกบั ระยะก่อนวยั รุ่น ลักษณะพัฒนาการสาคัญที่เกิดข้ึนในวยั น้ีคือ “การเตรียมตวั ” เพื่อเติบโตเป็ นเด็กวยั รุ่นและวยั ผูใ้ หญ่ท่ีพร้อมจะเผชิญและรับผดิ ชอบต่อตนเองในทุก ๆ ดา้ น วยั น้ีต่อมต่าง ๆ ของร่างกายจะทางานเต็มท่ี จะพบการเปล่ียนแปลงในดา้ นโครงสร้างกระดูกและสัดส่วนของร่างกายเกิดข้ึน เด็กวยั น้ีจะใช้ชีวิตส่วนใหญ่กบั สังคมนอกบา้ น จะให้ความเป็ นเพ่ือนกบั ผูอ้ ื่น สร้างมิตรภาพกับกลุ่ม เริ่มเรียนรู้ค่านิยมทางสังคมจากกลุ่มเพ่ือน และบุคคลรอบข้าง สามารถพฒั นาความคิดเชิงวิเคราะห์สังเคราะห์ได้ นอกจากน้ีเด็กวยั น้ียงั พฒั นาการรู้จกั ตนเอง เริ่มมองเห็นตนเองตามท่ีเป็ นจริง ยอมรับความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล ตลอดจนสามารถเรียนรู้เอกลกั ษณ์ในกลุ่มของตนเองได้พฒั นาการของวยั เดก็ ตอนปลาย พฒั นาการทางกาย การเจริญเติบโตดา้ นร่างกายของเด็กวยั น้ีมีลกั ษณะค่อยเป็ นค่อยไปอยา่ งชา้ ๆ สม่าเสมอ มีการเปล่ียนแปลงของกลา้ มเน้ือและระบบประสาทซ่ึงทางานประสานกนั ไดด้ ีข้ึน การเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของอวยั วะภายในเกือบทุกระบบ การเปลี่ยนแปลงดา้ นน้าหนกั การเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน และการขยายออกของร่างกายซ่ึงเปลี่ยนไปในดา้ นส่วนสูงมากกวา่ ส่วนกวา้ ง โดยความสูงจะเพม่ิ ข้ึน 2-3 นิ้วต่อปี สัดส่วนร่างกายใกลเ้ คียงผใู้ หญ่มากข้ึน เด็กผูห้ ญิงจะมีการเจริญเติบโตท้ังด้านร่างกายและวุฒิภาวะเร็วกว่าเด็กผูช้ ายประมาณ 1-2 ปี โดยมีการเปลี่ยนแปลงของท้งั สองเพศซ่ึงอธิบายไดด้ งั น้ี เด็กผู้หญงิ ช่วงอายุ 8-12 ปี จะมีลกั ษณะเพศข้นั ท่ีสองปรากฏข้ึน ไดแ้ ก่ ตะโพกขยายออก ทรวงอกขยายโตข้ึน มีขนข้ึนท่ีบริเวณรักแร้และอวยั วะเพศ นอกจากน้ีเด็กวยั น้ีจะเริ่มมีประจาเดือนคร้ังแรกซ่ึงเกิดข้ึนในช่วงอายุ 11-12 ปี การเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนทาใหเ้ ดก็ รู้สึกวติ กกงั วลกบั ภาพลกั ษณ์ของตน ความคิดและความสนใจจะจดจ่อกบัลกั ษณะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึน เดก็ ผ้ชู าย จะมีการเปลี่ยนแปลงดา้ นร่างกาย ไดแ้ ก่ ไหล่กวา้ งข้ึน มือและเทา้ ใหญ่ข้ึน มีขนข้ึนท่ีรักแร้และอวยั วะเพศ และมีการหลงั่ อสุจิเริ่มเกิดข้ึนคร้ังแรกในช่วงอายุ 12-16 ปี ซ่ึงแสดงถึงการมีวฒุ ิภาวะทางเพศเจริญเต็มที่ จากลกั ษณะการเจริญเติบโตทางดา้ นร่างกายดงั กล่าว ทาใหเ้ ดก็ วยั น้ีเริ่มใหค้ วามสนใจกบั รูปร่างหนา้ ตา มีความอยากรู้อยากเห็นในเร่ืองราวทางกายของเพศตรงขา้ ม อยา่ งไรก็ตามการเจริญเติบโตที่เกิดข้ึนทุกดา้ นของเดก็ วยัน้ีข้ึนอยกู่ บั ปัจจยั หลายประการ เช่น ลกั ษณะทางพนั ธุกรรม การเล้ียงดูเอาใจใส่ท้งั จากครอบครัว และตวั เด็กเอง เช่น
- 30 -รูปแบบการรับประทานอาหาร การออกกาลงั กายท่ีเหมาะสม การมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตท่ีสมบรู ณ์แขง็ แรงเป็ นตน้ พฒั นาการทางอารมณ์ พฒั นาการทางอารมณ์ของเด็กวยั น้ีจะมีลกั ษณะเป็นกลาง ๆ คือ ไมด่ ีหรือร้ายจนเกินไป เด็กวยั น้ีมีความคิดที่ละเอียดออ่ นมากข้ึน สามารถเขา้ ใจอารมณ์ของตนเองและผอู้ ื่นไดด้ ีข้ึน ควบคุมอารมณ์ของตนได้ เรียนรู้ท่ีจะแสดงอารมณ์ไดเ้ หมาะสมในรูปแบบท่ีสังคมยอมรับได้ ดงั น้ี (ทิพยภ์ า เชษฐเ์ ชาวลิต, 2541, น. 81-82 ; สุชา จนั ทน์เอม, 2540, น. 131-132) 1. อารมณ์โกรธ เด็กวยั น้ีสามารถควบคุมและระงบั ความโกรธไดด้ ีข้ึน ไมโ่ กรธง่ายและหายเร็วนกั พฒั นาการการแสดงออกจะเปล่ียนไป จากเดิมที่แสดงออกด้วยการร้องไห้ดิ้นกับพ้ืนเสียงดงั ทิ้งตวั ลงนอนเมื่อได้รับการตอบสนองในส่ิงท่ีต้องการ ก็จะเปล่ียนเป็ นการคิดแก้แค้นในใจแต่ไม่ทาจริงดังท่ีคิด หรือการหลีกเล่ียงจากสถานการณ์ท่ีไมพ่ ึงใจในทนั ที ไม่มีพฤติกรรมแบบต่อสู้โดยใชก้ าลงั 2. อารมณ์รัก เด็กวยั น้ีจะแสดงออกในดา้ นความรักดว้ ยการมีน้าใจช่วยเหลือผอู้ ่ืน ร่าเริงแจ่มใส อารมณ์ดี จะระมดั ระวงั ไม่ทาให้ผอู้ ่ืนเสียใจหรือกระทบกระเทือนใจ โดยเฉพาะขณะอยใู่ นกลุ่มเพ่ือน สังคม ตอ้ งการความรักความอบอุน่ มน่ั คงในครอบครัวและหมู่คณะ 3. อารมณ์ กลัว เด็กวัยน้ีจะเลิกกลัวสิ่ งท่ีไม่มีตัวตน พิสูจน์ไม่ได้ อารมณ์กลัวของเด็กวัยน้ีเกิดจากประสบการณ์ การเรียนรู้ที่ไดร้ ับมา ส่ิงท่ีเด็กวยั น้ีกลวั มากที่สุดคือ กลวั ไม่เป็ นที่ยอมรับของกลุ่ม กลวั ไม่มีเพ่ือน ไม่ชอบการแข่งขนั ไม่ตอ้ งการเด่นหรือดอ้ ยกวา่ กลุ่ม ชอบการยกยอ่ งแต่ไม่ชอบการเปรียบเทียบ นอกจากน้ีเด็กยงั กลวัอนั ตรายต่าง ๆ ท่ีจะเกิดข้ึนกบั ตนและบุคคลที่รัก การตอบสนองความกลวั จะเป็ นลกั ษณะ การต่อสู้ การถอยหนีและการทาตวั ใหเ้ ขา้ กบั ส่ิงน้นั ๆ ความกลวั ของเด็กจะเริ่มลดลงเรื่อย ๆ พร้อมกบั การเปล่ียนแปลงดา้ นร่างกาย เด็กจะเปลี่ยนจากความกลวั เป็ นความกงั วลเรื่องรูปร่างของตนเองแทน คือ กงั วลจากความตอ้ งการให้ตนมีรูปร่างที่แขง็ แรงสวยงาม อยา่ งไรกต็ าม เดก็ วยั น้ีจะมีการเปล่ียนแปลงความรู้สึกท่ีเกิดข้ึนเร็ว บางคร้ังทาตวั เป็นผใู้ หญ่ บางคร้ังทาตวัเป็นเด็ก ความขดั แยง้ ทางอารมณ์จึงเกิดข้ึนไดเ้ สมอ พฒั นาการทางอารมณ์ของเด็กวยั น้ีจึงข้ึนอยกู่ บั ลกั ษณะการเล้ียงดูของพอ่ แม่ ซ่ึงสาคญั อยา่ งยงิ่ ต่อการพฒั นาความรู้สึกมน่ั คงของเดก็ ต่อไป พฒั นาการทางสังคม พฒั นาการทางสงั คมของเด็กวยั น้ีเด่นชดั มาก เดก็ จะใหค้ วามสาคญั ต่อสัมพนั ธภาพระหวา่ งบุคคล ท้งั ต่อบุคคลใกลช้ ิดและบุคคลอื่น ท้งั วยั เดียวกนั และตา่ งวยั กนั เด็กวยั น้ีตอ้ งการเพือ่ นมาก เด็กจะแสวงหาเพือ่ นที่มีความคลา้ ยคลึงกนั ในดา้ นของบุคลิกลกั ษณะ ความชอบ และเป็นเพอ่ื นท่ีสามารถไวว้ างใจได้ เขา้ ใจกนั มกั ยดึ มน่ั กบั กลุ่มเพ่อื น สังคมรอบขา้ ง มีความรู้สึกผกู พนั เป็นเจา้ ของและซ่ือสัตยต์ ่อกลุ่ม มีพฤติกรรมการแสดงออกทางกายวาจา และการแตง่ กายที่เหมือนกลุ่ม สงั คมของเพ่ือนในเดก็ วยั น้ีมกั เป็ นสงั คมเฉพาะของเพื่อนเพศเดียวกนั และเดก็ ผชู้ ายจะรักษาความสนใจท่ีมีตอ่ กลุ่มไดม้ ากกวา่ เด็กผหู้ ญิง
- 31 - จากการใหค้ วามสาคญั ตอ่ กลุ่มทางสังคมของเด็กวยั น้ี การส่งเสริมใหเ้ ดก็ ไดร้ ับการเรียนรู้ และการฝึกฝนทกั ษะการมีสัมพนั ธภาพที่ดีกบั กลุ่มเพื่อนและกลุ่มบุคคลรอบขา้ งในชีวติ ประจาวนั จะเป็นส่ิงท่ีช่วยใหเ้ กิดการพฒั นาดา้ นสงั คมที่เหมาะสมสาหรับเด็กวยั น้ี พฒั นาการทางสติปัญญา เดก็ วยั น้ีสามารถคิด วเิ คราะห์ และแกป้ ัญหาไดช้ ดั เจนมากข้ึน รู้จกั การใชเ้ หตุผลในการแกป้ ัญหารับผดิ ชอบและตดั สินใจไดด้ ว้ ยตนเอง รับฟังคนอื่นมากข้ึน กระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้จากแหล่งต่าง ๆเพ่อื ใหไ้ ดข้ อ้ มูลสาหรับเพียงพอตอ่ การแกป้ ัญหา การเสนอความคิดเห็นและการมีบทบาทในการช่วยเหลือกลุ่มตลอดจนสร้างสรรคส์ ิ่งใหม่ ๆ ใหเ้ กิดข้ึน พฤติกรรมดงั กล่าวจะนามาซ่ึงความรู้สึกเช่ือมน่ั และภาคภมู ิใจในตนเองสาหรับความสนใจของเด็กวยั น้ีจะสนใจในเรื่องของธรรมชาติ การท่องเที่ยวสถานท่ีตา่ ง ๆ ดูภาพยนตร์ เล้ียงสัตว์โดยทว่ั ไปเดก็ ผชู้ ายจะสนใจเรื่องการพิสูจน์ ทดลอง ไดแ้ ก่ คณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ส่วนเพศหญิงจะสนใจเรื่องการครัว เยบ็ ปักถกั ร้อย การอา่ นหนงั สือต่าง ๆ ท่ีใหค้ วามรู้สึกอ่อนโยน เป็นตน้การส่งเสริมพฒั นาการของวัยเด็กตอนปลาย ด้านร่างกาย 1. แนะนาในเร่ืองการออกกาลงั กาย การเล่นกีฬา การใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ กิดประโยชน์เพ่ือใหม้ ีสุขภาพร่างกายท่ีแขง็ แรง 2. แนะนาเร่ืองการรับประทานอาหารท่ีเป็นประโยชน์ เพราะอาหารมีความสาคญั ตอ่ การเจริญเติบโตของเดก็ วยั น้ี เด็กจะตอ้ งไดร้ ับสารอาหารครบทุกหมู่ในปริมาณท่ีเพยี งพอ โดยเฉพาะวยั น้ีมกั สนใจการเล่นกบั กลุ่มเพื่อนมากกวา่ การรับประทานอาหาร ด้านจิตใจ 1. แนะนาเร่ืองการรู้จกั ตนเอง การมองตนเองตามความเป็ นจริง ดว้ ยการบริหารจิตใจ การทาสมาธิ การเสียสละเพอื่ ผอู้ ื่นอยา่ งเหมาะสม 2. ฝึกการผอ่ นคลายความเครียดในลกั ษณะตา่ ง ๆ เช่น การผอ่ นคลายกลา้ มเน้ือทุกส่วนของร่างกายจินตภาพบาบดั หรือการทางานอดิเรกท่ีชอบ เช่น ฟังเพลง เล่นดนตรี อา่ นหนงั สือท่ีชอบ วาดภาพ เป็นตน้ ด้านสังคม 1. แนะนาเรื่องการปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั เพ่ือนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ใหร้ ู้จกั การยดื หยนุ่ รู้จกั การแพ้ ชนะ และให้อภยั เขา้ ใจความแตกต่างระหวา่ งบุคคลตามสภาพความเป็ นจริง เพอื่ ลดความคาดหวงั จากผอู้ ่ืนในทุก ๆ ดา้ น 2. ฝึกพฤติกรรมการแสดงออกอยา่ งเหมาะสมในสถานการณ์ต่าง ๆ ท้งั พฤติกรรมทางดา้ นร่างกาย และคาพดู การจดั ใหม้ ีการแสดงบทบาทสมมติสถานการณ์ตา่ ง ๆ เพอ่ื ใหเ้ กิดทกั ษะนาไปสู่การปฏิบตั ิต่อไปสรุป วยั เด็กตอนปลายเป็นวยั เตรียมพร้อมท่ีจะเขา้ สู่วยั รุ่นและวยั ผใู้ หญ่ การเจริญเติบโตดา้ นร่างกายของเด็กวยั น้ีจะชา้ แตเ่ ป็นไปอยา่ งสม่าเสมอ มีการเปล่ียนแปลงโครงร่าง ส่วนสูงและน้าหนกั ใกลเ้ คียงวยั ผใู้ หญ่มากข้ึน เดก็ ผหู้ ญิงจะโตเร็วกวา่ เด็กผชู้ าย เด็กวยั น้ีจะเขา้ ใจอารมณ์ของตนเองและผอู้ ่ืนดีข้ึน รู้จกั ควบคุมอารมณ์ตนเอง การให้ความรู้
- 32 -และคาแนะนาที่เหมาะสมเกี่ยวกบั พฒั นาการและการเปลี่ยนแปลงของเด็กวยั น้ี จะช่วยให้เด็กเกิดความเขา้ ใจเตรียมพร้อมตอ่ การดาเนินชีวิตที่เหมาะสมและกา้ วไปสู่วยั อ่ืนอยา่ งเหมาะสมต่อไป หน่วยที่ 9 จิตวทิ ยาพฒั นาการวยั รุ่น (Adolescence) วยั รุ่นเป็ นวยั ท่ีมีการเปล่ียนแปลงอยา่ งมากท้งั ทางดา้ นร่างกายและจิตใจ สังคมปัจจุบนั เป็ นยุคข่าวสารไร้พรมแดน ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความรู้สึกนึกคิดของวยั รุ่นมากข้ึนดว้ ย ในระยะวยั รุ่นเป็ นระยะหัวเล้ียวหวั ต่อของชีวติ เป็ นวยั วกิ ฤต (critical period) หรือวยั พายบุ ุแคม (strom and stress) เน่ืองจากมีการปรับเปล่ียนการดาเนินชีวติ อยา่ งมาก มีปัญหาและมีความยากลาบากในการปรับตวั วยั รุ่น (Adolescence) เป็ นวยั ที่มีพฒั นาการปรับเปลี่ยนจากวยั เด็กเขา้ สู่วยั ผใู้ หญ่ เร่ิมต้งั แต่ช่วงอายุประมาณ12 หรือ 13 ปี จนกระทงั่ ถึงอายุประมาณ 20 ปี มีการเปล่ียนแปลงทางดา้ นร่างกายเป็ นสัญญาณสาคญั ท่ีบอกถึงการพน้ ระยะการเป็ นเด็ก คือการเปล่ียนแปลงร่างกายภายนอกและการมีวุฒิภาวะทางเพศ เช่น ความสูง น้าหนกัการเริ่มมีลกั ษณะทางเพศ ไดแ้ ก่ การมีหนา้ อกในวยั รุ่นหญิง การมีหนวดและการเปลี่ยนแปลงของเสียงในวยั รุ่นชาย ขณะเดียวกันก็มีการเปล่ียนแปลงในพัฒนาการด้านอื่น ๆ ด้วย เช่น ความสนใจในเพศตรงข้าม การเปล่ียนแปลงทางอารมณ์และสังคม เป็ นตน้ (Papalia and Olds, 1995 ; ศรีเรือน แกว้ กงั วาล, 2538) มีการแบ่งระยะของวยั รุ่น ออกเป็น 3 ระยะดงั น้ี (Cole อา้ งถึงใน สุชา จนั ทนเ์ อม, 2536) 1. วยั รุ่นตอนตน้ (early adolescence) เด็กหญิงมีอายรุ ะหวา่ ง 13 – 15 ปี เด็กชายมีอายรุ ะหวา่ ง 15 – 17 ปี 2. วยั รุ่นตอนกลาง (middle adolescence) เดก็ หญิงมีอายรุ ะหวา่ ง 15 – 18 ปี เดก็ ชายมีอายรุ ะหวา่ ง 17 – 19 ปี 3. วยั รุ่นตอนปลาย (late adolescence) เด็กหญิงมีอายรุ ะหวา่ ง 18 – 21 ปี เดก็ ชายมีอายรุ ะหวา่ ง 19 – 21 ปี ในการเรียนการสอนน้ีจะไม่แบ่งวยั รุ่นออกเป็ น 3 ระยะ ดงั กล่าวขา้ งตน้ เน่ืองจากพฒั นาการในวยั รุ่นมีการเปลี่ยนแปลงเหล่ือมล้ากนั คอ่ นขา้ งมาก การเปลี่ยนแปลงอาจไม่เป็ นไปตามอายุที่กาหนดไว้ จึงจะบรรยายเป็ นภาพรวมตามลกั ษณะพฒั นาการ พฒั นาการทางด้านร่างกายการเปล่ียนแปลงของร่างกาย เร่ิมจากการพฒั นาลกั ษณะทางเพศอยา่ งชดั เจน ไดแ้ ก่ การมีประจาเดือนคร้ังแรกในเดก็ หญิง และการหลง่ั อสุจิในคร้ังแรกของเดก็ ชายPrimary / Secondary เพศหญงิ เพศชายSex Characteristic
- 33 -Primary Sex Characteristic รังไข่ อณั ฑะ ทอ่ นาไข่ องคชาติ มดลูก ถุงอณั ฑะ ช่องคลอด ต่อมลูกหมากSecondary Sex Characteristic การเจริญเติบโตของเตา้ นม มีขนบริเวณหวั หน่าว รักแร้ มีขนบริเวณหวั หน่าว รักแร้ มีหนวด เครา สะโพกขยาย เอวคอด ไหล่กวา้ งข้ึน เสียงทุม้ นุ่มนวล เสียงหา้ ว แตกพร่า ผวิ หนงั เรียบ ละเอียดออ่ น ผวิ หนงั หยาบข้ึนตารางท่ี 1 แสดงการเปรียบเทียบพฒั นาการทางกายของวยั รุ่นหญิงชาย (Papalia E.D. and Olds W. E., 1995)Secondary Sex Characteristic (ลกั ษณะทางเพศหรือลกั ษณะทุติยภมู ิทางเพศ) คือลกั ษณะที่แบ่งแยกความเป็นชายหนุ่ม ความเป็นหญิงสาวท่ีเพิ่งเร่ิมเจริญเติบโตเตม็ ที่ในวยั แรกรุ่น การเจริญเติบโตของลกั ษณะทางเพศมีพฒั นาการ 3 ข้นั ตอน ไดแ้ ก่ (ศรีเรือน แกว้ กงั วาล, 2538)1. Pre–pubescence เป็นระยะลกั ษณะทางเพศส่วนตา่ ง ๆ เร่ิมพฒั นา เช่น สะโพกเริ่มขยาย เตา้ นมของเดก็ หญิงเร่ิมเจริญ เสียงของเด็กชายเริ่มแตกพร่า แตอ่ วยั วะสืบพนั ธุ์ (Productive organs) ยงั ไม่เร่ิมทาหนา้ ที่2. Pubescence เป็ นระยะที่ลกั ษณะทางเพศส่วนต่าง ๆ ยงั คงมีการเจริญต่อไป อวยั วะสืบพนั ธุ์เริ่มทาหนา้ ท่ีแต่ยงั ไม่สมบรู ณ์ เดก็ หญิงเร่ิมมีประจาเดือน เด็กชายเริ่มสามารถผลิตเซลลส์ ืบพนั ธุ์ได้3. Post-pubescence หรือ Puberty เป็นระยะท่ีลกั ษณะทางเพศทุกส่วนเจริญเติบโตเตม็ ที่ อวยั วะสืบพนั ธุ์ทาหนา้ ที่ได้ มีวฒุ ิภาวะทางเพศสามารถมีบุตรได้ จึงถือเป็นระยะที่เดก็ ยา่ งเขา้ สู่วยั รุ่นท่ีแทจ้ ริงการเร่ิมเขา้ สู่ระยะต่าง ๆ ขา้ งตน้ อายขุ องเดก็ แต่ละคนจะไมเ่ ท่ากนั ในบางคนอาจเริ่มเขา้ สู่วยั รุ่นในระยะPuberty คอ่ นขา้ งเร็ว ในบางคนมีพฒั นาการค่อนขา้ งชา้ ได้การเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดข้ึนมีผลมาจากการทางานของระบบต่อมไร้ท่อซ่ึงผลิตฮอร์โมนหลายชนิดท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การเปล่ียนแปลงของร่างกายในวยั รุ่นคือ1. Growth hormone หรือ Somatotrophic hormone มีหนา้ ท่ีควบคุมการเจริญเติบโตของ ร่างกาย2. Gonadotrophic hormone ประกอบดว้ ยฮอร์โมนสาคญั 2 ชนิด2.1 Follical stimulating hormone หนา้ ท่ีในเพศหญงิ กระตุน้ การเติบโตของ Follical ในรังไข่ เม่ือ Follical เจริญเติบโตมากก็จะสร้างEstrogen และกระตุน้ ใหเ้ กิดการตกไข่ในเพศชาย กระตุน้ การสร้างตวั อสุจิ และกระตุน้ การเจริญเติบโตของหลอดอสุจิ(Seminiferous tube)2.2 Lutinizing hormone หนา้ ท่ีในเพศหญิง กระตุน้ ใหเ้ กิดการตกไขแ่ ละสร้าง Copus luteum ในรังไข่ และกระตุน้ ให้ Copusluteum สร้างและหลง่ั Estrogen และ Progesterone
- 34 - ในเพศชาย กระตุน้ ใหต้ วั อสุจิเติบโตเตม็ ที่และกระตุน้ interstitial cells ในอณั ฑะใหส้ ร้างและหลงั่Testosterone 3. Testosterone ทาหนา้ ท่ีควบคุมลกั ษณะเพศชาย 4. Estrogen ทาหนา้ ท่ีควบคุมลกั ษณะเพศหญิง 5. Progesterone ทาหนา้ ท่ีร่วมกบั Estrogen เพ่อื ช่วยสร้างเน้ือเยอ่ื ช้นั ในของมดลูกใหห้ นาข้ึนสาหรับเตรียมรับไขท่ ่ีถูกผสมมาฝังตวั รวมท้งั กระตุน้ ใหต้ ่อมน้านมขยายตวั ถา้ ไข่ไมผ่ สม Copus luteum จะสลายตวั พร้อมกบัหยดุ สร้าง Progesterone ทาใหม้ ีประจาเดือนปัญหาความเปลยี่ นแปลงทางด้านร่างกาย ปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางดา้ นร่างกายของวยั รุ่น มี 2 ประการดงั น้ี 1. การเติบโตทางกายไมส่ มวยั เช่น ตวั เล็กกวา่ ปกติ ตวั สูงใหญ่กวา่ ปกติ หรืออว้ นเกินไป 2. ความผดิ ปกติทางพฒั นาการระบบสืบพนั ธุ์ ไดแ้ ก่ วยั รุ่นท่ีมีพฒั นาการทางเพศชา้ (delayed puberty)หรือมีพฒั นาการทางเพศเร็วก่อนวยั (precocious puberty) เช่น ภาวะ premature thelarche หรือ ภาวะpremature pubasche เป็นตน้ สรุปไดว้ า่ ปัญหาความเปล่ียนแปลงทางดา้ นร่างกายท่ีสาคญั คือรูปร่างที่มีลกั ษณะไมพ่ ึงประสงค์ เช่นรูปร่างอว้ นเกินไป ผอมเกินไป มีพฒั นาการทางเพศไมเ่ ป็นไปตามวยั หรือที่วยั รุ่นคิดวา่ ตวั เองไม่เหมือนเพอื่ น เด็กวยั รุ่นที่มีความคิดวติ กกงั วลในเร่ืองรูปร่างลกั ษณะอยา่ งมากน้ีอาจนาไปสู่โรค Anorexia Nervosa หรือ โรคBulimia Nervosa ได้ ปัญหาความเปลี่ยนแปลงทางดา้ นร่างกายน้ีเป็ นปัญหาที่ละเอียดอ่อนมากเป็ นพิเศษสาหรับเด็กวยั รุ่น เนื่องจากเป็นระยะเวลาท่ีเดก็ กาลงั แสวงหาความภาคภมู ิใจในตนเอง ความช่ืนชอบจากเพื่อน จากสงั คมจากเพศตรงขา้ ม ปัญหาในเรื่องน้ีจึงเป็นเรื่องท่ีก่อใหเ้ กิดผลกระทบทางอารมณ์และจิตใจของวยั รุ่นอยา่ งมาก การช่วยเหลือวยั รุ่นท่ีมีปัญหาในเรื่องการเปล่ียนแปลงของร่างกายน้ี ผปู้ กครอง ครู– อาจารย์ ควรใหค้ วามเขา้ ใจ ใหค้ วามอบอุ่นทางดา้ นจิตใจ ช่วยส่งเสริมให้เดก็ ในวยั น้ีมีความเขา้ ใจในการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย แนะนาการดูแลสุขภาพอนามยั ของร่างกาย ส่งเสริมใหเ้ ดก็ มีกิจกรรมที่ตนถนดั เช่น เล่นกีฬาเพอื่ เบี่ยงเบนความวติ กกงั วลเร่ืองรูปร่างหนา้ ตา ไม่วพิ ากษว์ จิ ารณ์ลกั ษณะดอ้ ยของเด็กต่อหนา้ บุคคลอื่น เป็นตน้ พฒั นาการทางอารมณ์ ทฤษฎีจิตวเิ คราะห์ของฟรอยด์ วยั รุ่นอยใู่ นข้นั พอใจในการรักเพศตรงขา้ ม (genital stage) ความพงึ พอใจและความสุขต่างๆ เป็นแรงขบั มาจากวฒุ ิภาวะทางเพศ เร่ิมสนใจเพศตรงขา้ ม มีแรงจงู ใจท่ีจะรักผอู้ ื่น ตอ้ งการอิสระจากพอ่ แมม่ ากข้ึน เด็กชายจะเลียนแบบพอ่ เด็กหญิงจะเลียนแบบแม่ (ทิพยภ์ า เชษฐเ์ ชาวลิต, 2541) อารมณ์ของวยั รุ่นเป็ นอารมณ์ท่ีเปล่ียนแปลงง่าย ออ่ นไหวง่าย เจา้ อารมณ์ มีอารมณ์รุนแรง การควบคุมอารมณ์ยงั ไม่สู้ดี บางคร้ังเก็บกด บางคราวมนั่ ใจสูง บางคร้ังพลุ่งพล่าน ลกั ษณะอารมณ์เหล่าน้ีเรียกกนั วา่ พายบุ ุแคม (Strom and stress) ( สุชา จนั ทนเ์ อม, 2536 ; ศรีเรือน แกว้ กงั วาล, 2538) เพราะลกั ษณะอารมณ์แบบน้ีจึงมีความคิดเห็นขดั แยง้ กบั ผใู้ หญไ่ ดง้ ่าย ทาใหว้ ยั รุ่นจึงคิดวา่ ผทู้ ี่เขา้ ใจตนเองดีท่ีสุดคือเพื่อนในวยั เดียวกนั เน่ืองจากมี
- 35 -ความคิดเห็นที่เป็นไปทางเดียวกนั ยอบรับกนั และกนั การเปล่ียนแปลงทางอารมณ์ท่ีเกิดข้ึนน้ีมีผลมาจากหลายปัจจยั ประกอบกนั เช่น การปรับตวั กบั การเปล่ียนแปลงทางดา้ นร่างกาย การปรับพฤติกรรมการแสดงออกจากการเป็นเดก็ เขา้ สู่การเรียนรู้บทบาทของการเป็ นผใู้ หญ่ สงั คมที่มีการเปล่ียนแปลงอยา่ งรวดเร็ว เป็นตน้ปัญหาทางอารมณ์ การเปล่ียนแปลงทางดา้ นร่างกายมีผลกระทบตอ่ อารมณ์ของเดก็ วยั รุ่นอยา่ งมาก เน่ืองจากมีการเปลี่ยนแปลงอยา่ งรวดเร็วประกอบกบั การเปลี่ยนแปลงของสงั คมและภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบนั ทาใหพ้ อ่ แม่ผปู้ กครองมีภาระกิจอ่ืนๆค่อนขา้ งมากจนลืมไปวา่ บุตรหลานกาลงั เร่ิมเขา้ สู่วยั รุ่น ทาใหไ้ ม่มีการเตรียมตวั มาก่อนล่วงหนา้ เดก็ บางคนมีพฒั นาการทางเพศเร็วก่อนวยั หรือบางคนอาจชา้ กวา่ วยั ความคิดของเดก็ เองท่ีคิดวา่ ตวั เองมีความแตกต่างจากเพ่ือนมีปมดอ้ ยเรื่องรูปร่างหนา้ ตา ทาใหเ้ ดก็ ยอมรับตวั เองไม่ได้ ส่งผลเกิดปัญหาทางดา้ นอารมณ์ มีภาวะเครียด เกิดพฤติกรรมซึมเศร้า และอาจก่อใหเ้ กิดปัญหาอ่ืน ๆ ตามมาไดเ้ ช่น ปัญหาการฆ่าตวั ตายในวยั รุ่น เป็นตน้ การส่งเสริมวฒุ ิภาวะทางอารมณ์ ทาไดโ้ ดยที่ผปู้ กครองตอ้ งใหเ้ วลาและมีความอดทนเพอื่ ที่จะทาความเขา้ ใจวยั รุ่น เป็นตวั อยา่ งของผทู้ ี่มีอารมณ์มนั่ คง แนะนาและส่งเสริมใหเ้ ดก็ เรียนรู้การควบคุมอารมณ์ และแนะนาวธิ ีระบายความเครียดท่ีเหมาะสม พฒั นาการทางความคดิ สติปัญญาและพฒั นาการด้านเหตุผลเรื่องศีลธรรมจรรยา (Moral reasoning ) พฒั นาการทางความคิดสตปิ ัญญา เด็กวยั รุ่นมีการเจริญเติบโตของสมองอยา่ งเตม็ ท่ี พฒั นาการทางดา้ นความคิดสติปัญญาเป็นไปอยา่ งรวดเร็วสามารถเขา้ ใจเร่ืองที่เป็ นนามธรรมได้ มีความคิดกวา้ งไกล พยายามแสวงหาความรู้ใหม่ๆ มีจินตนาการมาก มีความเชื่อมน่ั ในความคิดของตนอยา่ งมาก พฒั นาการทางความคิดตามแนวคิดของเพยี เจท์ (Piaget, 1958 cited in Lefrancois, 1996) เด็กวยั รุ่นพฒั นาความคิดจากความคิดแบบรูปธรรม (concrete) มาจากวยั เด็กมาสู่กระบวนการพฒั นาความคิดแบบเป็ นเหตุผล เป็ นรูปแบบชดั เจน (Cognitive thought phase หรือ Formal operation period ) ซ่ึงมีลกั ษณะเด่นคือ สามารถคิดอยา่ งมีเหตุผลโดยไม่ใชว้ ตั ถุเป็นสื่อ มีการคิดแบบใชต้ รรกจากเง่ือนไขท่ีกาหนด การคิดแบบใชเ้ หตุผลเชิงสดั ส่วน การคิดแบบแยกตวั แปรเพ่ือสรุปผล การคิดแบบใชเ้ หตุผลสรุปเป็ นองคร์ วม คาดการณ์อนาคตไดโ้ ดยมองยอ้ นอดีต (ศรีเรือน แกว้ กงั วาล,2538 ; ทิพยภ์ า เชษฐ์เชาวลิต, 2541) ความคิดแบบตวั เองเป็ นศูนยก์ ลางในวยั รุ่น (Adolescent egocentrism) คือจะคิดวา่ พฤติกรรมของตนถูกเฝ้ ามองจากบุคคลอื่น ใหค้ วามใส่ใจอยา่ งมากตอ่ คาวพิ ากษว์ ิจารณ์ของบุคคลอื่น (The Imagination Audience)โดยเฉพาะในเร่ืองการแต่งกาย ทรงผม และรูปร่างของตน วยั รุ่นมกั คาดหวงั วา่ ส่ิงที่ตนแสดงออกวา่ สนใจ ชอบบุคคลอ่ืนจะตอ้ งรู้สึกเช่นน้นั ดว้ ย และวยั รุ่นมีความคิดฝัน มีจินตนาการวา่ ตนเป็นคนเก่ง (hero) และมีโลกส่วนตวั(The Personal Fable ) พฒั นาการด้านเหตุผลเร่ืองศีลธรรมจรรยา ( Moral reasoning ) ทฤษฎีพฒั นาการดา้ นศีลธรรมจรรยาของโคลเบริกซ์ (Kohlberg’s Level of Morality) (Kohlberg 1969 ;1980 cited in Lefrancois, 1996 ; ศรีเรือน แกว้ กงั วาล, 2538) ระดบั การพฒั นาการดา้ นศีลธรรมจรรยามี 3 ระดบัแต่ละระดบั แบ่งเป็ น 2 ข้นั ตอน ดงั น้ี
- 36 - ระดับท่ี 1 ก่อนมีศีลธรรมจรรยา (Preconventional) ข้นั ตอนท่ี 1 เช่ือฟัง ทาสิ่งท่ีดี ทาตามกฎเกณฑเ์ พราะกลวั ถูกลงโทษ ข้นั ตอนท่ี 2 ทาส่ิงท่ีดี ทาตามกฎเกณฑเ์ พือ่ หวงั ไดร้ ับรางวลั และการช่ืนชม ระดบั ท่ี 2 มีศีลธรรมจรรยา (Conventional) ข้นั ตอนท่ี 3 เป็นเด็กดี ไดร้ ับการยอมรับจากบิดามารดา ครู กลุ่มเพอ่ื น และสงั คม ข้นั ตอนที่ 4 ทาตามกฎเกณฑข์ องสงั คม ระดบั ท่ี 3 หลงั มีศีลธรรมจรรยา (Postconventional) ข้นั ตอนท่ี 5 ตระหนกั ถึงสิทธิของบุคคล กฎระเบียบ หรือกฎเกณฑต์ า่ ง ๆ ในสังคม ข้นั ตอนท่ี 6 ปฏิบตั ิตามหลกั ศีลธรรม วยั รุ่นถูกจดั อยใู่ นพฒั นาการระดบั ท่ี 2 ข้นั ตอนท่ี 3 ถึงข้นั ตอนท่ี 4 คือมีศีลธรรมจรรยาซ่ึงพฒั นามาจากในวยั เด็ก โดยเด็กวยั รุ่นจะเป็ นเด็กดี “Good – boy , nice –girl” เพ่ือไดร้ ับการยอมรับจากบิดามารดา ครู กลุ่มเพ่ือนและสังคม จะพฒั นาศีลธรรมเขา้ สู่วยั ผใู้ หญ่ต่อไป เด็กวยั รุ่นบางคนอาจมีพฒั นาการดา้ นศีลธรรมจรรยากา้ วหน้าไปอีกในข้นั ตอนที่ 5 กไ็ ด้ ท้งั เด็กและผใู้ หญ่มีพฒั นาการทางศีลธรรมจรรยาในระดบั ท่ีแตกต่างกนั บางคนแมเ้ ป็นผใู้ หญ่ก็อาจพฒั นาไดเ้ พียงระดบั ตน้ เท่าน้นัปัญหาด้านความคดิ สติปัญญา ในวยั รุ่นช่วงอายุประมาณ 12 – 13 ปี เด็กอาจตอ้ งมีการเปล่ียนยา้ ยห้องเรียนหรือเปลี่ยนโรงเรียนจากระดบั ประถมศึกษาเป็ นระดบั ช้นั มธั ยมศึกษา พบวา่ ในวยั รุ่นหญิงมีปัญหาเรื่องการปรับตวั มากกวา่ ในวยั รุ่นชายเนื่องจากเด็กหญิงเขา้ สู่การเป็นวยั รุ่นเร็วกวา่ เด็กชาย ทาใหม้ ีการติดกบั กลุ่มเพ่ือนเดิมมากกวา่ ส่งผลใหว้ ยั รุ่นหญิงมีความเครียด มีความเปราะบางเกี่ยวกบั สัมพนั ธภาพระหวา่ งเพ่ือนมากกวา่ วยั รุ่นชาย ทาใหม้ ีผลกระทบต่อการเรียนได้ (Papalia and Olds, 1995) วยั รุ่นช่วงอายปุ ระมาณ 17 – 19 ปี เป็ นช่วงปรับเปล่ียนการเรียนในระดบั มธั ยมศึกษาสู่การเรียนระดบั อุดมศึกษา วยั รุ่นท้งั หญิงและชายมกั มีปัญหาเร่ืองการปรับตวั เรื่องการเรียน เรื่องเพ่ือนเพศเดียวกนัและเพ่ือนต่างเพศ และการใชช้ ีวติ ในมหาวทิ ยาลยั ทาใหม้ ีความเครียดส่งผลให้การเรียนตกต่าลงได้ และในวยั รุ่นบางกลุ่มมีพฤติกรรมชอบฝ่ าฝื นกฎระเบียบ ไม่ทาตามกฎเกณฑ์ของสังคม ไม่ชอบเขา้ เรียน ชอบก่อกวน อาจเน่ืองจากเด็กอาจมีปัญหาเร่ืองสัมพนั ธภาพในครอบครัวหรืออิทธิพลกลุ่มเพื่อน ส่งผลให้การเรียนตกต่าลงได้เช่นกนั และอาจทาใหเ้ กิดการสูญเสียความภาคภมู ิใจในตนเอง มีปัญหาทางอารมณ์ตามมาเช่น อบั อายเพ่อื นฝงู ครูอาจารย์ และถูกแรงกดดนั จากพอ่ แม่อีกดว้ ย (ศรีเรือน แกว้ กงั วาล, 2538) พฒั นาการทางสังคม ทฤษฎีพฒั นาบุคลิกภาพของอิริคสัน วยั รุ่นอยใู่ นข้นั พฒั นาการข้นั ท่ี 5 คือ ความมีเอกลกั ษณ์ประจาตวั หรือความสับสนในบทบาทของตนเอง (identity vs. identity diffusion) เป็ นวยั ที่พัฒนาเอกลักษณ์ของตนเอง มีจุดมุ่งหมายในชีวิตของตนเอง สังคมของเด็กคือกลุ่มเพ่ือน จะยึดแบบจากกลุ่มเพ่ือนและบุคคลที่ตรงกบั อุดมคติอาจจะเกิดความขดั แยง้ ด้านสัมพนั ธภาพกบั ผูใ้ หญ่ และเกิดความสับสนทางจิตใจ หากไม่สามารถแกไ้ ขความสบั สนน้ีได้ เด็กจะเป็นคนที่มีบุคลิกภาพสับสน ไม่มน่ั คง
- 37 - ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งเพ่ือน วยั รุ่นมีความตอ้ งการในการท่ีจะเป็ นที่ยอมรับของเพื่อนและสังคมรอบ ๆ ตวัมีการรวมกลุ่มเพ่ือนรุ่นเดียวกนั ซ่ึงส่วนใหญ่มีความคิดหรือทาอะไรคลา้ ย ๆ กนั ช่วยเหลือกนั มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซ่ึงกนั และกนั เมื่ออยู่ในกลุ่ม กลุ่มเพื่อนน้ีจะมีอิทธิพลมากต่อทศั นคติ ความสนใจ และพฤติกรรมการแสดงออกของวยั รุ่น วยั รุ่นมกั มีความคิดว่าความคิดเห็นของคนอื่น ๆ ไม่มีความสาคญั เท่ากบั ความเห็นของกลุ่ม และมีความตอ้ งการใหผ้ ใู้ หญ่ยอมรับกลุ่มเพ่ือนของตนดว้ ย ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งเพื่อนต่างเพศ เมื่อเด็กอายุประมาณ 13 –14 ปี เด็กหญิงเริ่มสนใจเด็กชายและพยายามที่จะเรียกร้องความสนใจจากเด็กชาย แต่เด็กชายยงั ไม่มีความรู้สึกน้ี เมื่อเด็กชายอายุประมาณ 14–16 ปี จะเริ่มสนใจเพศตรงขา้ มและบางคนเริ่มแยกตวั ไปสนิทสนมกบั เพศตรงขา้ ม วยั รุ่นหญิงจะพิถีพิถนั เร่ืองการแต่งกายอยา่ งมาก เอาใจใส่เร่ืองรูปร่างความสวยงามของหนา้ ตาเช่นเดียวกนั วยั รุ่นชายกม็ ีพฤติกรรมที่มุ่งใหว้ ยั รุ่นหญิงสนใจตนเอง เช่น แซวหรือหยอกลอ้ วยั รุ่นหญิง ในวยั รุ่นที่มีรูปร่างหนา้ ตาสวย เป็ นที่ยอมรับของกลุ่มเพื่อนมกั จะไม่มีปัญหา แต่ในวยั รุ่นที่มีความคิดว่าตนเองแตกต่างจากเพ่ือน มีปมด้อยเรื่องรูปร่างหน้าตา มักจะต้องแสดงพฤติกรรมอ่ืนให้เป็ นที่น่าสนใจของเพศตรงขา้ มเม่ือวยั รุ่นชายและหญิงมีความสนใจซ่ึงกนั และกนั ท้งั สองฝ่ ายเร่ิมให้ความสาคญั ต่อการแสดงออกของบทบาททางเพศ ความสนใจและความสนิทสนมกบั เพื่อนต่างเพศน้ีอาจยง่ั ยืนไปจนกระทงั่ มีการแต่งงานเกิดข้ึนในวยั ผใู้ หญต่ อ่ ไปปัญหาทางด้านสังคมของวยั รุ่น ปัญหาการขดั แยง้ ในครอบครัว วยั รุ่นคิดวา่ ผใู้ หญม่ ีความคิดเห็นแตกต่างจากตนเองโดยเป็นความคิดเห็นที่ไม่เขา้ กบั ยคุ สมยั ของตน วยั รุ่นยอมรับไม่ไดท้ ่ีผใู้ หญ่ตาหนิส่ิงท่ีตนและกลุ่มเพื่อนคิดวา่ ถูกตอ้ ง และจากการท่ีวยั รุ่นมกั มีอารมณ์รุนแรง มีพฤติกรรมกา้ วร้าว ทาใหเ้ กิดความขดั แยง้ กบั บุคคลในครอบครัวอยา่ งมาก วยั รุ่นจึงมกั อยกู่ บั กลุ่มเพอ่ื นซ่ึงวยั รุ่นคิดวา่ มีความเขา้ ใจซ่ึงกนั และกนั อยา่ งมาก มีความสุขเม่ือไดอ้ ยดู่ ว้ ยกนั ไมช่ อบอยบู่ า้ นเน่ืองจากบุคคลในครอบครัวไม่เขา้ ใจ ปัญหาการต้งั ครรภใ์ นวยั รุ่น จากความสัมพนั ธ์ระหวา่ งเพ่ือนต่างเพศวยั รุ่นที่มีความสนใจซ่ึงกนั และกนั อาจมีประสบการณ์การมีเพศสัมพนั ธ์โดยไม่มีการป้ องกนั ทาใหเ้ กิดปัญหาการต้งั ครรภใ์ นวยั รุ่นซ่ึงยงั ไม่มีความพร้อมในการเล้ียงดูบุตรท่ีจะเกิดมาเน่ืองจากยงั อยใู่ นวยั เรียน จึงทาใหเ้ กิดปัญหาการทาแทง้ ผดิ กฎหมายเกิดข้ึน และส่งผลให้เกิดอนั ตรายตอ่ สุขภาพของหญิงวยั รุ่นได้ ถึงแมไ้ ม่มีการทาแทง้ เกิดข้ึน วยั รุ่นหญิงกไ็ ดร้ ับผลกระทบทางดา้ นจิตใจอยา่ งสูงเนื่องจากเป็ นการกระทาท่ีสังคมไม่ยอมรับและทาใหว้ ยั รุ่นหญิงไมส่ ามารถศึกษาอยา่ งตอ่ เน่ืองต่อไปได้ ปัญหาโรคทางเพศสมั พนั ธ์ เช่นเดียวกนั กบั ปัญหาการต้งั ครรภใ์ นวยั รุ่น การมีประสบการณ์การมีเพศสัมพนั ธ์โดยไม่มีความรู้ในการป้ องกนั ตนเองจากการต้งั ครรภห์ รือการป้ องกนั โรคติดตอ่ ทางเพศสมั พนั ธ์ ทาให้วยั รุ่นชายและหญิงมีโอกาสเป็นโรคได้ เช่น โรคหนองในแท้ หนองในเทียม โรคซิฟิ ลิส หรือการติดเช้ือ H.I.Vเป็ นตน้ ปัญหาโสเภณีเด็กวยั รุ่น วยั รุ่นบางคนหรือบางกลุ่มมีความตอ้ งการทางดา้ นวตั ถุหรือเงิน อาจดว้ ยความตอ้ งการท่ีจะตอ้ งเหมือนเพ่ือนถึงแมฐ้ านะทางเศรษฐกิจทางครอบครัวไมเ่ อ้ืออานวย มีความตอ้ งการสารเสพติดการเป็นวยั รุ่นขาดรัก การประชดชีวติ ทาใหต้ อ้ งกลายเป็นหญิงหรือชายอาชีพพิเศษได้
- 38 - ปัญหาการใชส้ ารเสพติด จากการท่ีวยั รุ่นมีความขดั แยง้ กบั บุคคลในครอบครัว อิทธิพลของกลุ่มเพือ่ นความอยากลอง อยากเท่ห์ หรืออยากท่ีจะปฏิบตั ิตามผใู้ หญ่ท่ีตนนิยมชมชอบ ฯลฯ ส่งผลใหว้ ยั รุ่นมีการใชส้ ารเสพติด เช่น บุหร่ี สุรา จนกระทงั่ กลายเป็นการใชส้ ารเสพติดที่มีอนั ตรายต่อตนเองอยา่ งมากและผิดกฎหมายอยา่ งเฮโรอีนได้ ในโลกของวยั รุ่นปัจจุบนั นิยมการจดั การสงั สรรคใ์ นกลุ่มเพอ่ื นและมีการใชส้ ารเสพติด เช่น ยาอี ทาใหข้ าดการควบคุมตนเอง เกิดปัญหาการมีเพศสมั พนั ธ์โดยไมม่ ีการคาดคิดมาก่อนหรือไมม่ ีการป้ องกนั ซ่ึงส่งผลใหเ้ กิดปัญหาการต้งั ครรภท์ ่ีไม่พงึ ประสงค์ การติดโรคทางเพศสัมพนั ธ์ การเป็ นหญิงชายอาชีพพิเศษ หรือปัญหาอาชญากรรมตามมาได้คาแนะนาในการส่งเสริมพฒั นาการและการปรับตวั ในวยั รุ่น การส่งเสริมพฒั นาการและการปรับตวั ในวยั รุ่น ผทู้ ี่เป็นวยั รุ่นเอง บิดา มารดา อาจารย์ และผทู้ ่ีมีส่วนเก่ียวขอ้ งท้งั หมดควรร่วมมือเพือ่ ช่วยเหลือกนั ใหว้ ยั รุ่นไทยสามารถมีพฒั นาการและการปรับตวั ท่ีดี สามารถใชช้ ีวติในวยั รุ่นไดอ้ ยา่ งดีและพร้อมที่จะเติบโตเป็ นผใู้ หญท่ ่ีดีต่อไป(พรพิมล เจียมนาครินทร์, 2538 ; Lefrangois, 1996 ; Santrock, 1996) 1. สถาบันครอบครัว สถาบนั ครอบครัวมีบทบาทในการประคบั ประคอง สนบั สนุนใหม้ ีการเจริญเติบโตท้งั ทางดา้ นร่างกาย และจิตใจ ปัจจยั ของสถาบนั ครอบครัวที่มีอิทธิพลตอ่ พฒั นาการวยั รุ่นคือ ใหก้ ารดูแลพฒั นาการทางดา้ นร่างกาย ให้วยั รุ่นไดร้ ับอาหารท่ีเป็ นประโยชน์ มีการพกั ผอ่ นนอนหลบั ตามความตอ้ งการของร่างกาย มีการออกกาลงั กายท่ีเหมาะสม และไดป้ ระกอบกิจกรรมต่างๆ ท่ีเดก็ สนใจ ดา้ นจิตใจ สภาพแวดลอ้ มในครอบครัวมีผลโดยตรงต่อการพฒั นาการดา้ นต่างๆ ของวยั รุ่น บิดา มารดา และผปู้ กครองที่มีบุตรหลานซ่ึงกาลงั มีการเจริญเติบโตเขา้ สู่วยั รุ่นควรใหค้ วามสนใจ เขา้ ใจการเปลี่ยนแปลง และแบง่ เวลาใหก้ บั เดก็ มากข้ึน สัมพนั ธภาพท่ีดีในครอบครัวจะเป็นพ้ืนฐานท่ีดีในการส่งเสริมใหว้ ยั รุ่นสามารถใชช้ ีวติ ในสังคมไดอ้ ยา่ งมีความสุข 2. สถานศึกษา โรงเรียนหรือสถานศึกษา ครูอาจารยม์ ีบทบาทสาคญั ในการสร้างส่ิงแวดลอ้ มที่ดีและเหมาะสมในการมีสงั คมร่วมกนั ของวยั รุ่น การส่งเสริมความรักในหมคู่ ณะ การเลือกคบเพือ่ นท่ีดี การเคารพในกฎเกณฑข์ องสังคมรู้จกั การให้อภยั การควบคุมอารมณ์รุนแรงดว้ ยวธิ ีท่ีเหมาะสม รวมท้งั การใหค้ วามรู้เรื่องเก่ียวกบั การเปลี่ยนต่างๆ ที่เกิดข้ึนกบั วยั รุ่น ทาใหเ้ ด็กมีความเขา้ ใจเกี่ยวกบั ตนเองอยา่ งถูกตอ้ ง 3. สถาบันในชุมชน ชุมชนมีบทบาทในการเป็ นแหล่งประโยชน์ท่ีดีของวยั รุ่น เช่น สถาบนั ศาสนาสามารถลดอารมณ์ท่ีรุนแรงและแปรปรวนง่ายของวยั รุ่น โดยครอบครัว โรงเรียน และวดั ควรจดั ใหม้ ีกิจกรรมร่วมกนั เพื่อช่วยเหลือและส่งเสริมใหว้ ยั รุ่นไดม้ ีกิจกรรมต่างๆ เช่น การอุปสมบถหมู่ การเรียนพทุ ธศาสนาในวดั สาหรับศาสนาพทุ ธ หรือการ
- 39 -เรียนพระคมั ภีร์ในศาสนาคริสตแ์ ละอิสลาม เป็นตน้ ในโรงพยาบาล การจดั กิจกรรมโดยการใหน้ กั เรียนไดเ้ ขา้ ไปสังเกตการทางานในลกั ษณะการช่วยเหลือเพอื่ นมนุษย์ การไดม้ ีส่วนร่วมในการช่วยเหลือ จะส่งเสริมใหว้ ยั รุ่นได้รู้จกั การช่วยเหลือบุคคลอ่ืนที่มีความเดือดร้อนได้ รวมท้งั อาจทาใหว้ ยั รุ่นชายไดต้ ระหนกั เห็นความรุนแรงท่ีเกิดข้ึนจากการขบั ข่ีรถท่ีไมป่ ลอดภยั และการแกป้ ัญหาโดยใชค้ วามรุนแรง เป็ นตน้ 4. ส่ือสารมวลชน บทบาทของสื่อมวลชนในโลกปัจจุบนั มีมากมาย การเลือกส่ือที่เหมาะสมสาหรับวยั รุ่น ควรไดม้ ีการพิจารณาอยา่ งดี การสร้างภาพยนตร์ท่ีมีความรุนแรง ภาพยนตร์ที่มีการใชส้ ิ่งเสพติดของบุคคลท่ีอยใู่ นความสนใจของวยั รุ่นภาพยนตร์หรือเพลงท่ีมีการยวั่ ยทุ างกามารมณ์ ทา่ เตน้ ต่าง ๆ ที่มีลกั ษณะล่อแหลม ฯลฯ ส่ิงเหล่าน้ีผผู้ ลิตส่ือควรให้ความสาคญั และตระหนกั ถึงวยั รุ่นท่ีดูสื่อเหล่าน้ีวา่ จะเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมในทางที่ไมเ่ หมาะสมดว้ ย สื่อสารมวลชนยงั สามารถจดั กิจกรรมที่ผอ่ นคลายความเครียดได้ เช่น มีการจดั กิจกรรมท่ีสนุกสนานส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการทากิจกรรมของสมาชิกในครอบครัว การทากิจกรรมเหล่าน้ีจะส่งเสริมใหเ้ กิดความรักความเอาใจใส่ดูแลกนั ในครอบครัว เป็ นการส่งเสริมสมั พนั ธภาพอนั ดีในครอบครัวต่อไปสรุป วยั รุ่นเป็ นวยั ที่มีการเปลี่ยนแปลงดา้ นการเจริญเติบโตทางร่างกายอยา่ งรวดเร็ว มีการเจริญเติบโตของสมองอยา่ งเตม็ ท่ี มีวฒุ ิภาวะทางเพศ มีพลงั ในตวั เองมาก มีอารมณ์ที่เปล่ียนแปลงอยา่ งรวดเร็ว รักกลุ่มเพอื่ น สิ่งตา่ งๆเหล่าน้ี บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวขอ้ งควรใหค้ วามเขา้ ใจ และช่วยกนั ส่งเสริมใหว้ ยั รุ่นไดม้ ีพฒั นาการสมวยั และใหค้ วามช่วยเหลือในการปรับตวั กบั ปัญหาและอุปสรรคตา่ งๆ อยา่ งเตม็ ท่ี เพื่อใหว้ ยั รุ่นสามารถเจริญเติบโตต่อไปอยา่ งมีคุณภาพชีวติ ที่ดี และเป็นกาลงั ของสังคมต่อไปในอนาคต
- 40 - หน่วยที่ 10 จิตวทิ ยาพฒั นาการวยั ผู้ใหญ่ตอนต้น (Early adulthood) เม่ือผา่ นระยะพฒั นาการของวยั รุ่น บุคคลจะเขา้ สู่ระยะวยั ผใู้ หญ่ (Adulthood) คือช่วงอายอุ ายุ 21 ถึง 60ปี ซ่ึงเป็นระยะเวลาท่ียาวมาก นกั จิตวทิ ยาจึงมกั แบ่งช่วงระยะพฒั นาการวยั ผใู้ หญต่ ามอายปุ ฏิทินออกเป็น วยั ผใู้ หญ่ตอนตน้ (Early adulthood) ต้งั แต่อายุ 20 ถึง 40 ปี วยั กลางคน (Middle age หรือ Middle adulthood) คือช่วงอายุ40 – 60 ปี (สุชา จนั ทนเ์ อม, 2536) นอกจากการแบ่งวยั ตามอายปุ ฏิทิน นกั จิตวทิ ยาบางท่านไดแ้ บ่งตามขอ้ บ่งช้ีกวา้ งๆ ท่ีระบุวา่ บุคคลเขา้ สู่วยั ผใู้ หญค่ ือการเปล่ียนแปลงบทบาท (role transition) เน่ืองจากในวยั น้ีมีหนา้ ท่ีและความรับผดิ ชอบมากข้ึน และนกั สงั คมวทิ ยาใหข้ อ้ สังเกตที่แสดงถึงการเริ่มตน้ การปรับเปล่ียนจากวยั รุ่นสู่วยั ผใู้ หญ่คือ การสาเร็จการศึกษา มีอาชีพประจา การแตง่ งาน และการเป็ นบิดามารดา (Hogan and Astone, 1986 cited in Kalland Cavanaugh, 1996)พฒั นาการด้านต่างๆ ของวยั ผู้ใหญ่ตอนต้น พฒั นาการทางร่างกาย บุคคลในวยั ผใู้ หญต่ อนตน้ มีการพฒั นาทางร่างกายอยา่ งเต็มที่ท้งั เพศหญิงและเพศชาย ร่างกายสมบูรณ์ มีการพฒั นาความสูงมาจากวยั รุ่นและจะมีความสูงท่ีสุดในวยั ผใู้ หญ่ตอนตน้ น้ี รวมท้งั กลา้ มเน้ือและเน้ือเยอ่ื ไขมนั มีการพฒั นาอยา่ งเตม็ ที่เช่นกนั เมื่อเพศชายอายปุ ระมาณ 20 ปี ไหล่จะกวา้ ง มีการเพม่ิ ขนาดของตน้ แขนและมีความแขง็ แรงของกลา้ มเน้ือมากข้ึน ในเพศหญิงเตา้ นมและสะโพกมีการเจริญเตม็ ท่ี ในวยั น้ีร่างกายจะมีพลงั คล่องแคล่ววอ่ งไว การรับรู้ต่าง ๆ จะมีความสมบรู ณ์เตม็ ที่ เช่น สายตา การไดย้ นิ ความสามารถในการดมกลิ่น การลิ้มรสจนกระทง่ั เขา้ สู่วยั กลางคนความสามารถตา่ ง ๆ เหล่าน้ีจะลดลง พฒั นาการด้านอารมณ์ วยั ผใู้ หญ่จะมีการควบคุมอารมณ์ไดด้ ีข้ึน มีความมนั่ คงทางจิตใจดีกวา่ วยั รุ่น คานึงถึงความรู้สึกของผอู้ ่ืนรู้สึกยอมรับผอู้ ื่นไดด้ ีข้ึน มีพฒั นาการดา้ นอารมณ์รัก (Love) ไดใ้ นหลายรูปแบบ เช่น รักแรกพบ (Infatuation) หรือรักแบบโรแมนติก (Romantic love) ในวยั ผใู้ หญ่ตอนตน้ น้ีจะมีความรู้สึกแตกตา่ งจากในวยั รุ่น โดยจะมีความรู้สึกท่ีจะปรารถนาใชช้ ีวติ คูด่ ว้ ยกนั (Sternberg, 1985 cited in Papalia and Olds, 1995) มีการใชก้ ลไกทางจิตชนิดฝันกลางวนั (Fantacy) การเกบ็ กด (Impulsiveness) นอ้ ยลง แตจ่ ะใชก้ ารตอบสนองดว้ ยเหตุผลท้งั กบั ตนเองและผอู้ ื่นมากข้ึน (ทิพยภ์ า เชษฐเ์ ชาวลิต, 2541)
- 41 - พฒั นาการด้านสังคม ทฤษฎีพฒั นาบุคลิกภาพของอิริคสนั วยั ผใู้ หญ่ตอนตน้ อยใู่ นข้นั พฒั นาการข้นั ที่ 6 คือความใกลช้ ิดสนิทสนมหรือการแยกตวั (intimacy and solidarity vs. isolation) สังคมของบุคคลวยั น้ีคือ เพอ่ื นรัก คูค่ รอง บุคคลจะพฒั นาความรัก ความผกู พนั แสวงหามิตรภาพที่สนิทสนม หากสามารถสร้างมิตรภาพไดม้ น่ั คง จะเป็นผใู้ หญท่ ี่มีความสัมพนั ธ์กนั อยา่ งไวเ้ น้ือเช่ือใจและนบั ถือซ่ึงกนั และกนั ตรงขา้ มกบั ผใู้ หญ่ที่ไม่สามารถสร้างความสนิทสนมจริงจงั กบั ผหู้ น่ึงผใู้ ดไดจ้ ะมีความรู้สึกอา้ งวา้ งเดียวดาย (isolation) หรือเป็นคนท่ีหลงรักเฉพาะตนเอง (narcissism) วยั น้ีจะใหค้ วามสาคญั กบั กลุ่มเพ่ือนร่วมวยั ลดลง จานวนสมาชิกในกลุ่มเพื่อนจะลดลง แต่สัมพนั ธภาพในเพ่ือนท่ีใกลช้ ิดหรือเพ่ือนรักยงั คงอยแู่ ละจะมีความผกู พนั กนั มากกวา่ ความผกู พนั ในลกั ษณะของคูร่ ักและพบวา่ มกัเป็นในเพื่อนเพศเดียวกนั (Papalia and Olds, 1995) การสัมพนั ธ์กบั บุคคลในครอบครัวจะเพม่ิ ข้ึน เนื่องจากเป็นวยัท่ีเริ่มใชช้ ีวติ ครอบครัวกบั คู่ของตนเอง และเกิดการปรับตวั กบั บทบาทใหม่ พฒั นาการทางสตปิ ัญญา พฒั นาการทางความคิดตามแนวคิดของเพียเจท์ (Piaget’ s theory) (Papalia and Olds, 1995) กล่าววา่ วยัผใู้ หญม่ ีพฒั นาการทางความคิดสติปัญญาอยใู่ นระดบั Formal operations ซ่ึงเป็นข้นั สูงที่สุดของพฒั นาการ มีความสามารถทางสติปัญญาสมบรู ณ์ท่ีสุดคือคุณภาพของความคิดจะเป็นระบบ มีความสัมพนั ธ์กนั และมีความคิดรูปแบบนามธรรม (Abstract logic) ผใู้ หญ่จะมีความคิดเปิ ดกวา้ ง ยดื หยนุ่ มากข้ึน และรู้จกั จดจาประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ ทาใหส้ ามารถปรับตวั เขา้ กบั สถานการณ์ต่างๆ ไดด้ ี และไดม้ ีผสู้ ารวจศึกษาหลายคนท่ีเห็นวา่ ความคิดของผใู้ หญ่ นอกจากจะเป็นความคิดในการแกไ้ ขปัญหาดงั ท่ีเพียเจทก์ ล่าวไวแ้ ลว้ ยงั มีลกั ษณะของความคิดสร้างสรรค์และคน้ หาปัญหาดว้ ย (พรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย,์ 2530 อา้ งถึงในทิพยภ์ า เชษฐเ์ ชาวลิต, 2541) จึงมีผวู้ จิ ารณ์อยา่ งมากวา่ อาจจะอยใู่ นระดบั postformal thought มากกวา่ ทาใหม้ ีผเู้ ช่ือวา่ แนวคิดของเพียเจทไ์ มน่ ่าจะเป็นท่ียอมรับอีกตอ่ ไป (ศรีเรือน แกว้ กงั วาล, 2538 ) การปรับตวั กบั บทบาทใหม่ ชีวติ การทางาน เมื่อเขา้ สู่วยั ผใู้ หญต่ อนตน้ บุคคลส่วนใหญ่จะอยใู่ นช่วงของการศึกษาระดบั อุดมศึกษา หรือใกลท้ ่ีจะสาเร็จการศึกษา จะมีการวางแผนในการเลือกอาชีพ ประกอบอาชีพที่ตนมีความรัก ความพึงพอใจในงานและการไดพ้ จิ ารณาแลว้ วา่ มีความเหมาะสมกบั ตนเอง ยอ่ มทาใหช้ ีวติ การทางานมีความสุข มีความพร้อมท่ีจะปรับตวั กบั เพื่อนร่วมงาน และพร้อมท่ีจะเผชิญปัญหาและการแกไ้ ขปัญหาต่อไป ชีวติ คู่ ในวยั รุ่นอาจเร่ิมตน้ การมีสมั พนั ธภาพกบั เพือ่ นต่างเพศจนพฒั นามาเป็นความรักในวยั ผใู้ หญ่ หรือบางคนเริ่มตน้ มีความสนใจเร่ืองความรักอยา่ งจริงจงั สร้างสมั พนั ธภาพกบั คนตา่ งเพศรูปแบบถาวรในวยั ผใู้ หญ่ตอนตน้ โดยมีลกั ษณะคิดที่อยากจะใชช้ ีวติ ร่วมกนั อยากท่ีจะสร้างครอบครัวใหม่ เมื่อบุคคลสองคนตกลงใจใช้ชีวติ ร่วมกนั จึงตอ้ งมีการปรับตวั กบั บทบาทใหมท่ ี่เกิดข้ึน ไดแ้ ก่ บทบาทของการเป็ นสามีหรือภรรยา มีความรับผดิ ชอบในบทบาทใหมท่ ่ีตนไดร้ ับ โดยการเป็นสามีท่ีดี ภรรยาที่ดี มีความรักความเอาใจใส่ซ่ึงกนั และกนั มีความอดทน ร่วมกนั ประคบั ประคองชีวติ คู่ รวมท้งั ใหก้ ารดูแลครอบครัวเดิมของแตล่ ะคน ในระยะแรกของการใชช้ ีวติ คู่อาจตอ้ งมีการปรับตวั อยา่ งมากจนกระทง่ั ปรับตวั ไดด้ ี ชีวติ คู่กจ็ ะมีความสุขและจะส่งเสริมใหช้ ีวติ ในดา้ นอื่นมีความสุขดว้ ย
- 42 - บทบาทการเป็นบิดามารดา ผใู้ หญ่ตอนตน้ มีความปรารถนาที่จะเป็นผมู้ ีความสามารถในการปกป้ อง ดูแลผู้ที่อ่อนแอกวา่ เม่ือมีชีวติ คูจ่ ึงมีความตอ้ งการที่จะมีบุตรเพ่อื ทาหนา้ ท่ีดงั กล่าวประกอบความตอ้ งการท่ีจะมีทายาทเมื่อมีบุตรชีวิตครอบครัวจะตอ้ งมีการปรับเปล่ียนบทบาทอีกคร้ังโดยการเพิ่มเติมบทบาทของการเป็ นบิดามารดาโดยเฉพาะในผหู้ ญิงที่เม่ือแต่งงานแลว้ แยกครอบครัวออกจากครอบครัวเดิมของตน หรือการเป็ นครอบครัวเดี่ยวภายหลงั การแตง่ งาน การทางานนอกบา้ นกบั การเพิ่มหนา้ ท่ีของการเป็ นมารดาอาจทาใหป้ ระสบกบั ความยากลาบากในการปรับตวั ในระยะแรก สามีจึงจาเป็นตอ้ งมีบทบาทในการเป็นผชู้ ่วยมารดาในการเล้ียงดูบุตร การมีบุตรน้ีทาใหท้ ้งั สามีและภรรยาไดม้ ีการเรียนรู้ถึงความรักอีกชนิดหน่ึงคือความรักท่ีมีแตก่ ารใหโ้ ดยไม่หวงั สิ่งใดตอบแทน ชีวติ โสด ในสังคมปัจจุบนั พบวา่ มีคนจานวนไมน่ อ้ ยมีความสุขกบั ชีวติ โสดซ่ึงอาจมีสาเหตุมาจากการอุทิศเวลาใหก้ บั งาน มีความภาคภมู ิใจในตนเองอยา่ งมาก ไมต่ อ้ งการท่ีจะมีชีวติ คู่ หรือมีทศั นคติที่ไมด่ ีต่อการมีชีวติ คู่คนโสดตอ้ งมีการปรับตวั เช่นกนั เนื่องจากกลุ่มเพอื่ นสนิทต้งั แต่ในวยั รุ่น เพื่อนร่วมงานมกั มีครอบครัว คนโสดจึงตอ้ งหาเพื่อนใหมท่ ่ีเป็นโสดเช่นเดียวกนั ตอ้ งมีการปรับตวั กบั เพอ่ื นใหม่ หรือเล้ียงสตั วเ์ ล้ียงเพอื่ เป็นเพ่ือนและตอบสนองความตอ้ งการท่ีจะปกป้ อง ดูแลผทู้ ี่อ่อนแอกวา่ นนั่ เองปัญหาทพี่ บในวยั ผ้ใู หญ่ตอนต้น ปัญหาที่พบในวยั น้ีคือปัญหาสุขภาพ เน่ืองมาจากลกั ษณะการดารงชีวติ (The Lifestyle) เช่น การสูบบุหร่ีการด่ืมเหลา้ การรับประทานอาหารไขมนั สูง ไมม่ ีกากใยอาหาร วธิ ีการจดั การกบั ความเครียดท่ีไม่เหมาะสมและการตดั สินปัญหาดว้ ยการใชอ้ าวธุ สิ่งเหล่าน้ีบน่ั ทอนสุขภาพเป็นอยา่ งมาก และนาไปสู่โรคท่ีเกิดจากพฤติกรรมสุขภาพ เช่น โรคถุงลมโป่ งพอง โรคกลา้ มเน้ือหวั ใจขาดเลือด โรคมะเร็ง รวมท้งั การเสียชีวติ จากอุบตั ิเหตุการใชอ้ าวธุ ปื น เป็นตน้ (Papalia and Olds, 1995) ประกอบกบั ในวยั น้ีมีการปรับบทบาทใหม่อยา่ งมาก ปัญหาที่เกิดข้ึนจึงเป็ นปัญหาท่ีเกิดจากการไม่สามารถปรับเขา้ สู่บทบาทใหม่ เช่น มีปัญหาในการทางาน มีปัญหากบั เพ่ือนร่วมงาน - การเปล่ียนงาน การผดิ หวงั ในความรัก การสิ้นสุดการหม้นั - การสมรส ความผิดหวงั จากการแทง้ บุตรความผดิ หวงั เกี่ยวกบั เพศของบุตร เป็นตน้
- 43 - หน่วยที่ 11 จิตวทิ ยาพฒั นาการวยั กลางคน วยั กลางคน (Middle age หรือ Middle adulthood) คือช่วงอายุ 40 – 60 ปี เป็ นช่วงระยะเวลาท่ียาวนานในการกาหนดบุคคลเขา้ สู่วยั กลางคนน้นั มกั จะพิจารณาสถานการณ์ท่ีเกิดข้ึนในช่วงอายเุ หล่าน้ีมากกวา่ จะพจิ ารณาจากอายปุ กติจริง ๆ (ทิพยภ์ า เชษฐเ์ ชาวลิต, 2541) พฒั นาการทางร่างกาย ในวยั กลางคนน้ี ท้งั เพศชายและเพศหญิงร่างกายจะเริ่มมีความเส่ือมถอยในเกือบทุกระบบของร่างกายผิวหนงั จะเร่ิมเหี่ยวยน่ หยาบ ไม่เต่งตึง ผมเร่ิมร่วงและมีสีขาว น้าหนกั ตวั เพ่ิมข้ึนจากการสะสมไขมนั ใตผ้ ิวหนงัมากข้ึน ระบบสัมผสั ไดแ้ ก่ ความสามารถในการมองเห็นเปล่ียนแปลงส่วนใหญ่สายตาจะยาวข้ึน บางคนจะมีอาการหูตึงเนื่องจากความเสื่อมของเซลล์ การลิ้มรสและการไดก้ ล่ินเปลี่ยนแปลงไป อวยั วะภายในร่างกาย เช่นผนงั เส้นเลือด หวั ใจ ปอด ไต และสมอง มีความเสื่อมลงเช่นกนั ( ศรีเรือน แกว้ กงั วาล, 2538 ; ทิพยภ์ า เชษฐเ์ ชาวลิต, 2541) พฒั นาการทางอารมณ์ ในบุคคลท่ีประสบกบั ความสาเร็จในชีวติ การทางานจะมีอารมณ์มนั่ คง รู้จกั การใหอ้ ภยั ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน มีความพึงพอใจในชีวติ ที่ผา่ นมา ลกั ษณะบุคลิกภาพค่อนขา้ งคงที่ บางคนจะมีอารมณ์เศร้าจากการที่บุตรเริ่มมีครอบครัวใหม่ การสูญเสียบุคคลอนั เป็นท่ีรัก เช่น บิดา มารดา หรือคู่สมรส หรือผดิ หวงั จากบุตรเป็ นตน้ พฒั นาการทางสังคม ทฤษฎีพฒั นาบุคลิกภาพของอิริคสัน วยั กลางคนอยใู่ นข้นั พฒั นาการข้นั ท่ี 7 คือการบารุงส่งเสริมผอู้ ่ืนหรือการพะวงเฉพาะตน (generativity vs. self absorption) บุคคลท่ีมีพฒั นาการอยา่ งสมบูรณ์ในวยั น้ี จะแบ่งปัน เผือ่ แผ่เอ้ืออาทรต่อบุคคลอ่ืนๆ โดยเฉพาะกบั บุคคลที่เยาวว์ ยั กวา่ สร้างสรรคผ์ ลงานใหม่ ก่อใหเ้ กิดความปลาบปล้ืมใจเห็นคุณค่าของตนเอง ตรงขา้ มกบั วยั กลางคนที่พะวงแตต่ น จะเห็นแก่ตวั ไม่แบ่งปัน เผอื่ แผต่ ่อบุคคลอื่น ชอบแสดงอานาจ หรือเป็ นคนเฉื่อยชา ขาดความกระตือรือร้นในงาน สังคมของบุคคลในวยั กลางคนส่วนใหญ่คือที่ทางานและบา้ น กลุ่มเพื่อนที่สาคญั ไดแ้ ก่ เพือ่ นร่วมงานหรือเพอ่ื นบา้ นใกลเ้ คียง ความสัมพนั ธ์ในครอบครัวเป็นในลกั ษณะเฝ้ าดูความสาเร็จในการศึกษา และความกา้ วหนา้
- 44 -ในหนา้ ที่การทางานของบุตร ในบุคคลที่เป็นโสดกลุ่มเพอื่ นท่ีสาคญั คือเพ่ือนสนิทท่ีผกู พนั ต้งั แต่ในวยั รุ่นหรือวยัผใู้ หญ่ตอนตน้ ระยะปลายของวยั น้ี ส่วนใหญเ่ ขา้ สู่วยั ใกลเ้ กษียณอายกุ ารทางาน บางคนสามารถปรับตวั ไดด้ ี บางคนไม่สามารถปรับตวั ได้ รู้สึกทอ้ แท้ รู้สึกตวั เองดอ้ ยคุณคา่ อาจมีอาการซึมเศร้า (Lefrangois, 1996) พฒั นาการทางสติปัญญา ในระยะวยั กลางคนน้ีจะมีพฒั นาการทางสติปัญญาใกลเ้ คียงกบั ในวยั ผใู้ หญต่ อนตน้ มีความคิดเป็นเหตุผลรู้จกั คิดแบบประสานขอ้ ขดั แยง้ และความแตกต่าง จะสามารถรับรู้สิ่งที่เป็นขอ้ ขดั แยง้ ต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว มีความอดทนและมีความสามารถในการจดั การกบั ขอ้ ขดั แยง้ น้นั ๆ ดงั น้นั จึงมีความเขา้ ใจเรื่องการเมือง เล่นการเมืองรู้จกั จดั การกบั ระบบระเบียบของสังคมและรู้จกั จดั การกบั เรื่องความสมั พนั ธ์ระหวา่ งบุคคลอยา่ งมีวฒุ ิภาวะ (ศรีเรือนแกว้ กงั วาล, 2538 )การปรับตวั กบั การเปลยี่ นแปลง วกิ ฤติชีวติ ครอบครัว ปัญหาการหยา่ ร้าง เม่ือเกิดวกิ ฤติชีวติ ครอบครัวและไมส่ ามารถแกป้ ัญหาไดม้ กั จะมีการหยา่ ร้างตามมา การหยา่ ร้างเป็นภาวะเครียดระดบั สูงมาก และเป็นเร่ืองของความสูญเสียอยา่ งรุนแรงถึงข้นั เป็นภาวะวกิ ฤตทางอารมณ์(ฉววี รรณ สัตยธรรม, 2532) ในครอบครัวท่ีไมม่ ีบุตรปัญหาจากการหยา่ ร้างอาจไม่เกิดข้ึนเลย หรือเกิดข้ึนนอ้ ยมากอาจเป็ นปัญหาเกี่ยวกบั การเงิน การหยา่ ร้างของครอบครัวท่ีมีบุตรมกั จะพบปัญหาผทู้ ่ีจะดูแลบุตรต่อไป บุตรอาจเป็นท่ีตอ้ งการของท้งั บิดามารดา กรณีน้ีจะมีการตกลงกนั ไมไ่ ดเ้ นื่องจากความตอ้ งการที่จะเล้ียงดูบุตรของท้งั บิดามารดา บุตรที่บิดาและมารดาไมต่ อ้ งการจะมีปัญหาตกลงกนั ไมไ่ ดเ้ ช่นกนั สาหรับบุตรที่เป็นที่ตอ้ งการของฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึงจะสามารถตกลงกนั ได้ อยา่ งไรก็ตามปัญหาที่เกิดข้ึนคือความรู้สึกของเด็กท่ีบิดามารดาแยกจากกนั การมีครอบครัวใหมท่ ่ีขาดบิดาหรือมารดา และอาจเป็นครอบครัวใหมท่ ี่มีบุคคลอื่นทาหนา้ ที่บทบาทแทนบิดาหรือมารดาของตน จะส่งผลกระทบตอ่ จิตใจของเดก็ อยา่ งมาก วยั หมดประจาเดอื น ( Menopause ) ผหู้ ญิงในวยั หมดประจาเดือนจะมีการเปล่ียนแปลงทางดา้ นร่างกายอนั เน่ืองมาจากการเปล่ียนแปลงของระดบั ของฮอร์โมนในร่างกาย อาการท่ีพบไดบ้ อ่ ยคือผวิ หนงั บริเวณลาตวั และใบหนา้ แดง ปวดศีรษะ เนื่องมาจากเส้นเลือดท่ีผวิ หนงั ขยายตวั อ่อนเพลีย เจบ็ ตามขอ้ ตา่ ง ๆ หวั ใจเตน้ แรง เป็นตน้ และอาจมีสาเหตุจากความวติ กกงั วลเรื่องกลวั สามีจะทอดทิ้ง ไมม่ ีความสุขทางเพศ จึงพบวา่ มีการเปล่ียนแปลงทางอารมณ์ร่วมดว้ ย ที่พบไดบ้ ่อยคือโรคเศร้าในวยั ต่อ (involutional melancholia) (ทิพยภ์ า เชษฐ์เชาวลิต, 2541) มีอาการเจา้ อารมณ์ อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่ายหงุดหงิด ต่ืนเตน้ ตกใจง่าย วยั เปลย่ี นชีวติ ในเพศชาย (Male menopause) เพศชาย เมื่ออายปุ ระมาณ 45 - 50 ปี จะมีอาการเช่นเดียวกบั ผหู้ ญิง เช่น รู้สึกหงุดหงิด โกรธง่ายฉุนเฉียว คิดเล็กคิดนอ้ ย เน่ืองจากฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนลดจานวนลง ทาใหส้ มรรถภาพทางเพศของชายค่อย ๆลดลงดว้ ย ส่งผลใหม้ ีความกลวั วา่ ตนเองกาลงั จะหมดสมรรถภาพทางเพศ กลวั ความสามารถทางเพศจะลดลง เกิดเป็นความกงั วลเก่ียวกบั ตนเอง เช่น อว้ น หนา้ ทอ้ งใหญ่ ผมบางลง เหน่ือยง่าย หมดแรงเร็ว ปวดเมื่อยกลา้ มเน้ือ
- 45 -เป็นตน้ (สุชา จนั ทน์เอม, 2536) บางรายจะสามารถปรับตวั และยอมรับกบั การเปลี่ยนแปลงได้ ในบางรายจะแสวงหายาต่าง ๆ เช่น ไวอะกร้า เพอ่ื ให้เพม่ิ ความมน่ั ใจใหก้ บั ตนเองการเตรียมตวั เป็ นผ้สู ูงอายุ เม่ือเขา้ สู่ในระยะปลายของวยั กลางคน ใกลเ้ กษียณอายกุ ารทางาน บุคคลจะเร่ิมเขา้ สู่วยั ผสู้ ูงอายุ ในบางคนแมอ้ ายตุ ามปี ปฏิทินจะเขา้ สู่วยั ผสู้ ูงอายแุ ลว้ แตด่ ว้ ยการดูแลร่างกายท่ีดีมาต้งั แต่ในวยั รุ่น วยั ผใู้ หญต่ อนตน้ และวยั กลางคน จะทาใหก้ ารเปลี่ยนแปลงดา้ นความเสื่อมของร่างกายปรากฏใหเ้ ห็นนอ้ ยมาก หรือล่าชา้ ออกไปอีกหลายปี ดา้ นจิตใจกเ็ ช่นกนั บางคนยงั ดูกระฉบั กระเฉง สดชื่นอยเู่ สมอ ดงั น้นั จึงควรมีการเตรียมตวั ท้งั ทางดา้ นร่างกายและจิตใจเพื่อเขา้ สู่วยั ผสู้ ูงอายอุ ยา่ งมีคุณภาพตอ่ ไปการเตรียมตัวเป็ นผ้สู ูงอายุ ควรปฏบิ ตั ติ นดงั นี้ 1. สุขภาพกาย การออกกาลังกาย การออกกาลงั กายอย่างเหมาะสมกบั ภาวะสุขภาพ และเหมาะสมกบั ภาวะการมีโรคประจาตวั เช่น โยคะ การวิ่งเหยาะ ฯลฯ การออกกาลงั กายเป็ นประจาอย่เู สมอจะทาให้กลา้ มเน้ือมีการทางานยืดหยุน่ ตวั อยูเ่ สมอ กลา้ มเน้ือหัวใจแข็งแรงข้ึน ถา้ ไม่ได้ออกกาลงั กายทาให้กลา้ มเน้ือลีบ เกิดการอ่อนแรงของกลา้ มเน้ือ การพักผ่อน การพกั ผ่อนอยา่ งเต็มท่ีและมีคุณภาพคือ การนอนหลบั อย่างเพียงพอ เหมาะสมกบั ความตอ้ งการของร่างกาย เฝ้ าระวงั ปัญหาสุขภาพหรือเอาใจใส่สงั เกตอาการผดิ ปกติของโรคประจาตวั ปฏิบตั ิตามคาแนะนาของแพทย์ 2. สุขภาพจิต มีความเข้าใจและมีการเตรียมจิตใจเพ่ือยอมรับความเปล่ียนแปลงที่จะเกิดข้ึนในชีวิต มีการเตรียมเรื่องการเงิน ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เรื่องท่ีอยู่อาศยั และการใช้ชีวิตต่อไปในวยั ผสู้ ูงอายุ รู้จกั การทาจิตใจให้เป็ นสุข ปล่อยวางในเร่ืองท่ีตนเองไม่สามารถจดั การไดอ้ ีกต่อไป เช่น การดาเนินชีวิตของบุตรหลาน เขา้ ร่วมกิจกรรมของการเตรียมพร้อมในการเขา้ สู่วยั ผสู้ ูงอายตุ ่าง ๆ เช่น เขา้ ฟังบรรยายพิเศษเรื่อง การเตรียมตวั เขา้ สู่วยั เกษียณอายุ เขา้ ร่วมโครงการวยั ทอง เป็นตน้คาแนะนาในการส่งเสริมพฒั นาการและการปรับตวั ในวยั ผ้ใู หญ่คาแนะนาในการส่งเสริมพฒั นาการและการปรับตวั ในวยั ผใู้ หญ่ มีดงั น้ี 1. การปฏิบตั ิตนในวยั ผใู้ หญ่ บุคคลในวยั ผใู้ หญค่ วรมีความเขา้ ใจในการส่งเสริมสุขภาพของตนเอง มีความเขา้ ใจในการเปล่ียนแปลงของบทบาท สามารถปรับตวั ไดก้ บั บทบาทท่ีเปลี่ยนแปลงไป หรือกบั บทบาทท่ีเพมิ่ ข้ึนเช่น ปรับตวั ใหเ้ หมาะสมกบั การประกอบอาชีพ ปรับตวั กบั ชีวติ โสด ปรับตวั กบั บทบาทของการเป็ นคูส่ มรส ให้การดูแลคู่สมรสของตน มีวธิ ีการในการป้ องกนั การเกิดภาวะวกิ ฤติในชีวติ คู่ เขา้ ใจในการเปลี่ยนแปลงของคูส่ มรสในการเขา้ สู่วยั หมดประจาเดือน หรือวยั เปลี่ยนชีวติ ในระยะวยั กลางคน ปรับตวั กบั บทบาทของการเป็ นบิดามารดาเขา้ ใจการดาเนินชีวติ ของบุตรวยั รุ่น ทาหนา้ ท่ีเป็นผทู้ ี่ใหค้ าแนะนาที่ดี เป็นผสู้ นบั สนุนและช่วยเหลือเมื่อบุตรมีปัญหา และมีการเตรียมพร้อมท้งั ทางดา้ นสุขภาพกายและสุขภาพจิตในการเขา้ สู่วยั ผสู้ ูงอายตุ ่อไป
- 46 - 2. สงั คมและชุมชน เช่น โรงพยาบาลควรมีการบรรยายพิเศษและจดั กิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกบั การส่งเสริมการดูแลตนเองในดา้ นสุขภาพกายและจิตของบุคคลในวยั ผใู้ หญต่ อนตน้ และวยั กลางคนรวมท้งั การเขา้ สู่วยั ผสู้ ูงอายุอยา่ งมีคุณภาพ โดยจดั ในวนั หยดุ ราชการ หรือการใหค้ าปรึกษาเก่ียวกบั ปัญหาชีวิตสมรส ปัญหาการเล้ียงดูบุตรวยั รุ่น ปัญหาก่อนการหยา่ ร้างและการปรับตวั ในการสูญเสียบุคคลอนั เป็นท่ีรัก เป็นตน้สรุป วยั ผใู้ หญ่ตอนตน้ ร่างกายมีความสามารถสูงสุด มีวฒุ ิภาวะทางอารมณ์มากข้ึน กลุ่มเพอื่ นลดนอ้ ยลง มีการปรับเปล่ียนบทบาทมากมาย ปัญหาที่เกิดข้ึนในวยั น้ีท่ีสาคญั คือ ความผดิ หวงั ในความรัก การไม่สามารถปรับตวักับบทบาทใหม่ ในวยั กลางคน ร่างกายมีการเปล่ียนแปลงไปในทางท่ีเส่ือมลง เร่ิมมีปัญหาเก่ียวกับสุขภาพโดยเฉพาะในเพศหญิงการเขา้ สู่วยั หมดประจาเดือน อาจก่อให้เกิดปัญหาครอบครัวตามมาได้ ในวยั น้ีส่วนใหญ่บุคคลจะมีบุคลิกภาพและอารมณ์มนั่ คง มีความพึงพอใจกบั ชีวติ ที่ผา่ นมา และควรไดม้ ีการเตรียมพร้อมในการเขา้สู่วยั ผสู้ ูงอายตุ ่อไป
- 47 - หน่วยที่ 12 จิตวทิ ยาพฒั นาการวยั สูงอายุ ท่ีประชุมสมชั ชาโลกว่าดว้ ยผสู้ ูงอายุ (World Assembly on Aging) ไดก้ าหนดให้ผูท้ ่ีมีอายุต้งั แต่ 60 ปี ข้ึนไป ถือว่าเป็ นผูส้ ูงอายุ (Elderly) แต่ความสูงอายุหรือความชราภาพ (Aging) ซ่ึงเป็ นกระบวนการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดข้ึนตามธรรมชาติจะเกิดข้ึนไม่เท่ากนั ในแต่ละคน โดยมีหลกั เกณฑ์ในการพิจารณาความเป็ นผูส้ ูงอายุไวใ้ น4 ลกั ษณะคือ (สุรกุล เจนอบรม, 2534 อา้ งถึงในวภิ าวรรณ ชะอุ่ม, 2536) 1. พจิ ารณาจากอายจุ ริงท่ีปรากฏ (Chrological aging) หมายถึง การสูงอายทุ ่ีเป็นไปตามอายขุ ยั ของมนุษย์ ดูท่ีจานวนปี หรืออายทุ ี่ปรากฏจริง 2. พจิ ารณาจากลกั ษณะการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย (Biological aging) ดูไดจ้ ากการ เปล่ียนแปลงทางร่างกายท่ีเกิดข้ึน ซ่ึงการเปลี่ยนแปลงจะเพ่มิ มากข้ึนตามอายทุ ่ีเพม่ิ ข้ึนในแต่ละปี 3. พิจารณาจากลกั ษณะการเปลี่ยนแปลงทางดา้ นจิตใจ (Psycho-logical aging ) นบั รวมไปถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงดา้ นสติปัญญาดว้ ย โดยมีการเปลี่ยนแปลงในหนา้ ท่ีของการรับรู้ ระบบความจา การเรียนรู้ ความคิดตลอดจนบุคลิกภาพตา่ ง ๆ เป็ นตน้ 4. พิจารณาจากลกั ษณะบทบาททางสงั คม ( Social aging ) จะมีการเปล่ียนแปลงบทบาทหนา้ ท่ี สถานภาพของบุคคลในระบบสงั คม รวมไปถึงครอบครัว เพื่อนฝงู การเปลี่ยนแปลงในวยั สูงอายจุ ะมีการเปล่ียนแปลงและพฒั นาการแบบเสื่อมถอยลง แตจ่ ะไม่เทา่ กนั ในแต่ละบุคคล ซ่ึงการเปลี่ยนแปลงดงั กล่าวเกิดจากสาเหตุ ซ่ึงไดม้ ีผอู้ ธิบายไวใ้ นทฤษฎีการเปล่ียนแปลงในวยั สูงอายุหรือทฤษฎีชราภาพ (Theories of Biological Aging) เน้ือหาของทฤษฎีแบง่ เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ ทฤษฎีการถูกกาหนด (Programmed change theories) คือการเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงชีวิตไดถ้ ูกกาหนดไวล้ ่วงหน้าในยีนส์(gene) และทฤษฎีการถูกทาลาย (Random damage, Unprogrammed theories) คือส่วนของร่างกายคอ่ ยๆถูกทาลายเป็นคร้ังคราวจากสิ่งแวดลอ้ ม ทฤษฎีท่ีสาคญั คือ ( พรรณวดี พุธวฒั นะ, 2539 ; Lefrangois, 1996 ; Kall and Cavanaugh,1996 ) 1. ทฤษฎโี มเลกลุ ( Molecular theories ) กล่าววา่ อายขุ ยั ของส่ิงมีชีวติ เกิดจากปฎิสมั พนั ธ์ระหวา่ งยนี ส์กบัสิ่งแวดลอ้ ม สารพนั ธุกรรมในยนี ส์ถ่ายทอดทาง RNA กาหนดการสร้างโปรตีน ไดแ้ ก่ คอลลาเจน เคอราติน หรือโปรตีนทาหนา้ ที่เช่น เอนไซม์ ตวั อยา่ งทฤษฎีในกลุ่มน้ีคือ
- 48 - 1.1 ทฤษฎวี ่าด้วยพนั ธุกรรม ( Genetic Theory ) การเจริญเติบโตของเซลลม์ ีขีดจากดั เมื่อมีการเจริญเติบโตก็จะมีการฝ่ อและการตาย การเปลี่ยนแปลงของเซลล์ เช่ือวา่ มีความสมั พนั ธ์กบั พนั ธุกรรมของแตล่ ะครอบครัว เช่นประวตั ิการเป็นโรคมะเร็งของบุคคลในครอบครัว 1.2 ทฤษฎกี ารกลายพนั ธ์ุ ( Somatic mutation theory ) ในช่วงการแบ่งตวั ของเซลลอ์ าจมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของ DNA จานวนการกลายพนั ธุ์ที่เพม่ิ ข้ึนมีผลร้ายต่อยีนส์และโครโมโซม ทาให้จานวนยนี ส์ท่ีทาหนา้ ท่ีปกตินอ้ ยลงจนถึงจุดวกิ ฤต 1.3 ทฤษฎีความผิดพลาด ( Error catatrophe) มีการสะสมของข้อผิดพลาดในข้ันตอนของการสร้างโปรตีนในเซลล์ เช่น การส่งข่าวสารการถ่ายทอด การแปลขา่ วสาร อาจใชก้ รดอะมิโนไม่ถูกตอ้ งในการสงั เคราะห์โปรตีน เกิดความผดิ พลาดในการแปลรหสั ( Codon ) เพิม่ ข้ึนเร่ือยๆ 1.4 ทฤษฎกี ารเปลยี่ นแปลงการจับตัวของโปรตนี กบั DNA คือมีการจบั ตวั กนั แน่นข้ึนระหวา่ ง DNA กบัHistone จึงรบกวนการแปลรหสั มีผลตอ่ การสร้างโปรตีน 2. ทฤษฎเี ซลล์ ( Cellular theories ) กล่าวถึงการเปล่ียนแปลงของโครงสร้างและการทาหนา้ ที่ของเซลลเ์ ม่ือเวลาผา่ นไป มีผลต่อการสร้างสารต่าง ๆ จากเซลล์ เช่น พบวา่ มีรงควตั ถุ ( lipofuscin, aging pigment ) ในเซลล์ 3. ทฤษฎีอนุ มูลอิสระ ( The free rsdicals theory ) อธิ บายการชราภาพโดยมุ่งเน้นกระบวนการเปล่ียนแปลงภายในเซลล์ กล่าวว่าการเผาพลาญของเซลล์ตามปกติจะเกิดสารที่เป็ นอนุมูลอิสระ คือมีอิเลคตรอนเด่ียว มีคุณสมบตั ิที่มารถจบั กบั สารประกอบในบริเวณใกลเ้ คียง เช่นไขมนั โปรตีน DNA เกิดปฏิกิริยาที่สาคญั คือlipid peroxidation ทาใหร้ ่างกายมีการทาลายเย่อื หุ้มต่าง ๆ สะสมมากข้ึนเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผา่ นไป กระบวนการน้ีสามารถกระตุน้ ให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ท่ีที่ว่องไวข้ึนไดม้ ากจากส่ิงแวดลอ้ มภายนอก เช่น การไดร้ ับรังสี สารเคมีอื่น ๆ หรือจากส่ิงแวดลอ้ มภายใน เช่น กระบวนการทางานตามปกติของเซลล์ การที่เซลล์เม็ดเลือดขาวทาลายแบคทีเรียหรือส่ิงแปลกปลอม เช่ือว่าเป็ นตวั การสาคญั ของกระบวนการชราและการเกิดโรค เช่น มะเร็ง สมองเส่ือม 4. ทฤษฎบี ุคคล ( Organismic and systemic theories ) กล่าวถึงกระบวนการชราวา่ เป็ นการเส่ือมสภาพการทาหนา้ ท่ีของระบบท่ีเป็นตวั สงั่ การสาคญั ในร่างกาย เช่น ระบบประสาท ระบบต่อมไร้ท่อ ระบบภมู ิคุม้ กนั การเปล่ียนแปลงของระบบหน่ึงมีผลตอ่ ร่างกายท้งั หมด เชื่อวา่ การกาหนดในยีนส์อาจเกิดไดต้ ้งั แตป่ ฏิสนธิและหลงั จากน้นั ส่ิงแวดลอ้ มและการปฏิบตั ิตวั จึงสามารถปรับเปลี่ยนกระบวนการชราภาพได้พฒั นาการด้านต่างๆ พฒั นาการด้านร่างกาย จากทฤษฎีชราภาพขา้ งตน้ แสดงใหเ้ ห็นวา่ ในวยั สูงอายรุ ่างกายเกิดการเปล่ียนแปลงในทุกระบบในลกั ษณะเส่ือมถอย การเปล่ียนแปลงภายนอกคือ ผมเปลี่ยนเป็ นสีขาวมากข้ึน หรือท่ีเรียกวา่ ผมหงอก มีรอยเหี่ยวยน่ บนใบหนา้ หลงั โกง กลา้ มเน้ือหยอ่ นสมรรถภาพ เคล่ือนไหวร่างกายชา้ ลง การทรงตวั ไม่ดี การไดย้ นิ เสื่อมลง การเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายที่สาคญั คือ ความยดื หยนุ่ ตวั ของเส้นเลือดลดลง มีการเปล่ียนแปลงของเซลลต์ ่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงของระดบั ฮอร์โมนในร่างกาย เป็นตน้ พฒั นาการทางด้านอารมณ์
- 49 - อารมณ์ของผสู้ ูงอายยุ งั คงมีอารมณ์รัก ในบุคคลอนั เป็ นท่ีรักโดยเฉพาะสมาชิกในครอบครัว ไดแ้ ก่ คู่สมรสบุตร หลาน และเมื่อเกิดการสูญเสีย ผูส้ ูงอายุจะมีความเศร้าโศกอย่างมาก จะมีผลกระทบต่อจิตใจ สุขภาพกายและพฤติกรรมของผูส้ ูงอายุค่อนขา้ งมาก (ศรีเรือน แก้วกงั วาล, 2538) มีอารมณ์เหงา วา้ เหว่ บางรายอาจรู้สึกว่าคุณค่าของตนเองลดลงเนื่องจากต้องพ่ึงพาบุตรหลานในเรื่องการประกอบกิจวตั รประจาวนั ค่าใช้จ่าย ค่ารักษาพยาบาล รู้สึกวา่ ตนเองเป็นภาระของคนอ่ืน มกั แสดงอาการหงุดหงิด นอ้ ยใจ ต่อบุตรหลาน พฒั นาการทางด้านสังคม ทฤษฎีพฒั นาบุคลิกภาพของอิริคสนั ผสู้ ูงอายอุ ยใู่ นข้นั พฒั นาการข้นั ที่ 8 คือความมน่ั คงและความหมดหวงั ( integrity vs. despair ) เป็นวยั ท่ีสุขมุ รอบคอบ ฉลาด ยอมรับความจริง ภูมิใจในการถ่ายทอดประสบการณ์ใหบ้ ุตรหลาน และคนรุ่นหลงั มีความมนั่ คงในชีวติ ตรงขา้ มกบั ผสู้ ูงอายทุ ่ีลม้ เหลวจะไม่พอใจในชีวติ ที่ผา่ นมา ไม่ยอมรับสภาพที่เปล่ียนไป รู้สึกคบั ขอ้ งใจทอ้ แทใ้ นชีวิต (ทิพยภ์ า เชษฐเ์ ชาวลิต, 2541) สงั คมของผสู้ ูงอายคุ ือสังคมในครอบครัวหรือเพื่อนร่วมวยั แตจ่ ากการท่ีกลุ่มเพื่อนมีการตายจากกนั หรือต่างคนตา่ งอยใู่ นครอบครัวของตน หรือจากปัญหาสุขภาพกาย ทาใหไ้ มส่ ามารถติดต่อกนั ได้ กิจกรรมของผสู้ ูงอายจุ ึงมกั เป็นกิจกรรมการเล้ียงดูหลาน ดูแลบา้ นใหก้ บั บุตรหลาน บางรายจะไปทากิจกรรมที่วดั ทาบุญ ฟังธรรม บางรายเขา้ ร่วมกิจกรรมในชุมชน เช่น เป็นสมาชิกชมรมผสู้ ูงอายุ เป็นตน้ พฒั นาการทางด้านสติปัญญา เมื่อเขา้ สู่วยั ผสู้ ูงอายุ สมองจะฝ่ อและมีน้าหนกั ลดลง เลือดมาเล้ียงสมองไดน้ อ้ ย มีภาวะความดนั โลหิตสูงเซลลป์ ระสาทตายเพม่ิ ข้ึนและจานวนเซลลล์ ดลงตามอายุ ทาใหส้ มองเสื่อมหรือถูกทาลายไป โดยเฉพาะส่วนที่เรียกวา่ Gray Matter มกั พบอาการความจาเสื่อมโดยเฉพาะความจาในเหตุการณ์ปัจจุบนั (recent memory) และความจาเฉพาะหนา้ (immediate memory) แต่ความจาในอดีต (remote memory) จะไมเ่ สีย (ศรีธรรม ธนะภูมิ,2535 ; อมั พร โอตระกลู , 2538 อา้ งถึงใน ทิพยภ์ า เชษฐเ์ ชาวลิต, 2541 ; สาทิศ อินทรกาแหง, 2539)ปัญหาในวยั สูงอายุ ปัญหาที่พบในวยั สูงอายทุ ี่สาคญั คือ ปัญหาสุขภาพกายและสุขภาพจิต และปัญหาของสมาชิกในครอบครัวต่อผสู้ ูงอายุ ปัญหาด้านสุขภาพกาย วยั สูงอายเุ ป็นที่มีความเส่ือมถอยของร่างกายทุกระบบ ปัญหาสุขภาพจึงเป็ นปัญหาสาคญั ของบุคคลในวยัสูงอายุ มกั เกิดการเจบ็ ป่ วยไดง้ ่าย รุนแรงข้ึน มีภาวะแทรกซอ้ นไดง้ ่าย และกระบวนการหายหรือการฟ้ื นคืนสภาพคอ่ นขา้ งชา้ ปัญหาที่พบบ่อยไดแ้ ก่ (พรรณวดี พุธวฒั นะ, 2539) - อาการทางสมองแบบเฉียบพลนั อาจเกิดจากสาเหตุทางกาย เช่นภาวะกลา้ มเน้ือหวั ใจตาย จากสาเหตุทางจิตใจ เช่น ความตื่นเตน้ สบั สน อาการทางสมองแบบเร้ือรัง คือหลอดเลือดแดงท่ีเล้ียงสมองแขง็ ตวั - โรคหวั ใจและหลอดเลือด ท่ีพบบ่อยคือ โรคหลอดเลือดแดงอุดตนั (Atherosclersis) โรคหลอดเลือดหวั ใจ (Coronary heart disease) ความดนั โลหิตสูง (Hypertention)
Search