Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พ่อผมเป็นมหา

พ่อผมเป็นมหา

Published by Library13001, 2020-09-22 04:43:09

Description: พ่อผมเป็นมหา

Search

Read the Text Version

พอ่ ผมเป็นมหา อ. วศนิ อนิ ทสระ



www.kanlayanatam.com Facebook : Kanlayanatam

คํ  า  อ  น ุ โ  ม  ท  น  า ชมรมกัลยาณธรรมโดยทันตแพทย์หญิงอัจฉรา  กลิ่นสุวรรณ์  ผู้เป็น  ประธานชมรมฯ  ได้ขออนุญาตพิมพ์คตินิยายเรื่อง  “พ่อผมเป็นมหา”  ซงึ่ ไดพ้ มิ พค์ รงั้ แรกเมอ่ื ป ี ๒๕๑๓ โดยสำ� นกั พมิ พบ์ รรณาคาร ขา้ พเจา้   อนญุ าตดว้ ยความยินดียงิ่ คตนิ ยิ ายเรอ่ื งน ี้ เนน้ หนกั ไปในทางใหเ้ หน็ ความส�ำคญั ของธรรม  เพอ่ื ความสขุ ของปจั เจกชน ครอบครวั  และสงั คม ตามพระพทุ ธพจนท์ ว่ี า่   “ดูก่อน  วาเสฏฐะและภารัทวาชะ  ธรรมน้ันแลประเสริฐท่ีสุดในหมู่ชน  ท้งั ในปจั จบุ นั และภายหน้า” (อคั คัญญสูตร) พระพทุ ธองคย์ ังตรสั ไวอ้ ีกว่า “พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทงั้ ในอดตี  อนาคต และปจั จบุ นั ทรงเคารพ  ธรรม ขอ้ นเี้ ปน็ ธรรมดาของพระพทุ ธเจา้ ทงั้ หลาย เพราะฉะนน้ั  บคุ คล  ผรู้ กั ตน หวงั ความเปน็ ผยู้ งิ่ ใหญโ่ ดยคณุ ธรรม  เมอ่ื ระลกึ ถงึ คำ� สอนของ  พระพทุ ธเจา้ ทัง้ หลายอยู่ จึงควรเคารพธรรม” (องั คตุ ตรนิกาย จตกุ กนิบาต พระไตรปิฎกฉบับบาลี  เลม่  ๒๑ หนา้  ๒๗) “เมอื่ บคุ คลใหส้ งิ่ ทใ่ี หไ้ ดย้ ากอย ู่ ทำ� สง่ิ ทท่ี ำ� ไดย้ ากอย ู่ อสตั บรุ ษุ   ท�ำตามไม่ได้  เพราะว่าธรรมของสัตบุรุษท�ำตามได้ยาก  เพราะฉะน้ัน  สัตบรุ ุษกับอสตั บุรษุ เมอ่ื จากโลกน้ไี ปแลว้  จึงมีคติตา่ งกนั

พ่ อ ผ ม เ ป็ น ม ห า 4 อสตั บุรษุ ไปนรก สัตบรุ ษุ ไปสวรรค ์ ธรรมและอธรรมทง้ั สองน ี้ มีผลไมเ่ หมอื นกนั  อธรรมนำ� ไปส่นู รก แตธ่ รรมนำ� ไปสสู่ วรรค”์ (ขุททกนิกายชาดก ทุกนิบาต พระไตรปฎิ กฉบบั บาลี  เลม่  ๒๗ หน้า ๖๓) “ธรรมยอ่ มรกั ษาผปู้ ระพฤตธิ รรม ธรรมทป่ี ระพฤตดิ แี ลว้ น�ำสขุ   มาให ้ นเี่ ปน็ อานสิ งสใ์ นธรรมทบ่ี คุ คลประพฤตดิ แี ลว้  ผปู้ ระพฤตธิ รรม  ย่อมไม่ไปสู่ทุคต”ิ (ขทุ ทกนกิ ายชาดก ทกุ นบิ าต พระไตรปฎิ กบาลเี ลม่   เลม่  ๒๗ หนา้  ๒๙๐) ดว้ ยเหตดุ งั กลา่ วมาน ี้ บคุ คลจงึ ควรเคารพธรรม ใหเ้ กยี รตธิ รรม  ประพฤติธรรมตามสมควรแก่ฐานะของตนๆ  เพ่ือประโยชน์สุขของ  ตนเองและสังคมส่วนรวม  บัณฑิตบางท่านได้กล่าวไว้อย่างหนักแน่น  และมน่ั ใจวา่  “แมค้ นทงั้ หลายจะทอดทงิ้ เราไปหมดแลว้  เรากจ็ ะไมท่ งิ้   ธรรม” คำ� ใดทจี่ ะพงึ กลา่ วนอกจากน ี้ ไดบ้ อกเลา่ ไวแ้ ลว้ ในคำ� นำ� ของการ  พิมพ์ครั้งท่ี  ๑  ซึ่งได้น�ำมารวมพิมพ์ไว้ในที่นี้ด้วยแล้ว  ขออนุโมทนา  ต่อกุศลเจตนาของชมรมกัลยาณธรรม  และขอให้ท่านผู้อ่านประสบ  ความสุขความส�ำเร็จในชีวิตตามสมควรแก่ธรรมที่ได้ประพฤติดีแล้ว  ทัว่ หนา้ กัน ด้วยความปรารถนาดอี ยา่ งย่งิ     ๘ มถิ นุ ายน ๒๕๕๘

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 5 คํ า น ํ า ข อ ง ช  ม  ร  ม  กั  ล  ย  า  ณ  ธ  ร  ร  ม ทา่ นทไ่ี ดต้ ิดตามผลงานของทา่ นอาจารยว์ ศนิ  อนิ ทสระ คงจะได้เห็น  อัจฉริยภาพของท่านในความเป็นพหูสูตผู้รอบรู้ทางธรรมแห่งยุค  ที่ได ้ สะสมบม่ เพาะปญั ญาบารมมี าแตเ่ ยาวว์ ยั  มใี จรกั ในงานศกึ ษาหาความร้ ู ทางธรรมอยา่ งดม่ื ดำ�่ ในมหาสมทุ รแหง่ นานารตั นะ จนถอื ไดว้ า่  “ธรรม”  เป็นดุจชีวิตเลือดเน้ือจิตวิญญาณของท่าน  ท่านมีความกตัญญูต่อ  อุปการคุณของพระศาสนาและฆราวาสญาติโยมผู้อุปถัมภ์บ�ำรุงพระ  ศาสนาและตวั ทา่ นมาตงั้ แตย่ งั ปฐมวยั  ทา่ นจงึ มปี ณธิ านทม่ี นั่ คงในการ  รับใช้พระธรรมด้วยจิตวิญญาณของ  “ครู”  ท�ำงานเผยแผ่ธรรมมา  อย่างต่อเน่ืองตลอดชีวิตจวบจบบัดนี้  โดยท่านมีพรสวรรค์ในการ  นำ� เสนอสาระแหง่ ธรรมทถี่ กู ตรงไดห้ ลากหลายรปู แบบ ทงั้ การอธบิ าย ขยายความหลักธรรมที่ลึกซึ้งให้กลายเป็นเร่ืองท่ีท�ำความเข้าใจง่าย  ตงั้ แตใ่ นระดบั ทค่ี นทว่ั ไปนำ� ไปใชเ้ ปน็ ประโยชนป์ ฏบิ ตั ดิ ำ� เนนิ ชวี ติ ไดต้ าม  หลกั ธรรม ไปจนถงึ ในระดบั ทนี่ กั การศกึ ษาและครบู าอาจารยไ์ ดอ้ าศยั   แนวอธิบายหลักธรรมของท่านเป็นหลักอ้างอิงในการศึกษาธรรมท่ ี ลกึ ซง้ึ ได ้ ทง้ั ในรปู แบบวรรณกรรมและบรรยายธรรมกม็ คี วามสามารถ  อย่างยอดเย่ียมไม่แพ้กัน  นับได้ว่าท่านเป็นปูชนียบุคคลทางพระพุทธ  ศาสนาผู้ร้รู อบรูล้ ึกทีห่ าได้ยากยง่ิ ในยุคน้ี

พ่ อ ผ ม เ ป็ น ม ห า 6 ชมรมกัลยาณธรรมมีโอกาสได้เผยแผ่ผลงานของท่านอาจารย์  ให้เข้าถึงสาธุชนได้กว้างขวางขึ้นตามก�ำลังและโอกาสที่ท�ำได้  ทั้งใน  ระดบั วรรณกรรมทโ่ี ลกยกยอ่ ง พระอานนท ์ พทุ ธอนชุ า จนถงึ ผลงาน  ใหมๆ่  อนั ทรงคณุ คา่  เชน่  พทุ ธอทุ าน, ความสขุ จากการไมเ่ หน็ แกต่ วั ,  สง่ิ ทค่ี วรท�ำความเข้าใจกนั ใหมเ่ พือ่ ความถกู ตอ้ ง และ สนทนาธรรมกบั อาจารยว์ ศนิ  อนิ ทสระ เปน็ ตน้  แตไ่ มว่ า่ เราจะไดเ้ ผยแผผ่ ลงานหนงั สอื   และเสียงบรรยายเรื่องใดอันยอดเย่ียมทั้งหมดแล้วนั้น  ก็คงไม่มีเรื่อง  ไหนพเิ ศษเทา่ เลม่ ทท่ี า่ นถอื อยใู่ นมอื น ี้ พอ่ ผมเปน็ มหา เปน็ ความภมู ใิ จ  อยา่ งยง่ิ ของคณะศษิ ยท์ ไี่ ดร้ บั โอกาสจดั พมิ พเ์ ลม่ นใ้ี หมอ่ กี ครง้ั  หลงั จาก  ขาดตลาดไปนานและส�ำนักพิมพ์บรรณาคารได้ปิดตัวลงแล้ว  บัดน้ี  ความฝนั ของพวกเราไดเ้ ปน็ ความจรงิ  สำ� เรจ็ ตามความตงั้ ใจ ทา่ นจงึ ได ้ ถือหนังสืออย่ใู นมือขณะน้ีแล้ว ท่านที่ไม่มีโอกาสได้รู้จัก  ใกล้ชิดท่านอาจารย์  อาจจินตนาการ  ไม่ออกว่าหนังสือเล่มนี้มีความส�ำคัญและพิเศษอย่างไร  แต่ส�ำหรับ  ขา้ พเจา้ ทม่ี บี ญุ วาสนาไดร้ บั ใชใ้ กลช้ ดิ ทา่ นอาจารยบ์ า้ งตามโอกาส และ  ไดร้ บั ความเมตตาจากทา่ นอาจารยเ์ ปรยี บประดจุ บดิ าทหี่ ว่ งใยบตุ รสาว  คนหนึ่ง  ข้าพเจ้าจึงได้เห็น  ได้สัมผัส  ได้ซึมซับ  ทั้งบุคลิกลักษณะ  ท่วงท่า  น้�ำเสียงการพูดจา  จริยาภายนอก  และแนวคิด  คุณธรรม  อุดมคติภายในของท่านบ้างพอประมาณ  เมื่อได้อ่านเรื่อง พ่อผม- เปน็ มหา แลว้  กเ็ กดิ ความรสู้ กึ วา่  “นไี่ ง ทา่ นละ่ ” หนงั สอื เลม่ นเ้ี หมอื น  เป็นส่ือแทนสิ่งท่ีท่านอยากบอก  อยากสอน  ให้ลูกทุกคนได้น�ำไปใช้  อยากให้คนรู้จักและจดจ�ำความเป็นท่านไว้  ข้าพเจ้าจึงรู้สึกซาบซึ้ง  และประทับใจเห็นคุณค่าของงานวรรณกรรมน้ีอย่างมาก  เพราะนี้คือ  ส่ิงหนึ่งที่แทนอัตลักษณ์บางส่วนของท่านท่ีจะอยู่ต่อไปในโลกน้ี 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 7 ข้าพเจ้าจึงรู้สึกประดุจก�ำลังนั่งสนทนาอย่างอบอุ่นกันเอง  สบายๆ  ในส่ิงอันเป็นประโยชน์แก่ชีวิต  กับบิดาที่รักยิ่ง  ผู้ทรงคุณธรรมความรู ้ และเปย่ี มดว้ ยเมตตา ถงึ แมใ้ นค�ำนำ�  ทา่ นกอ็ อกตวั กอ่ นวา่  เรอ่ื งนเี้ ปน็   เรื่องสมมติและไม่เก่ียวอะไรกับเร่ืองจริง ทั้งส่วนตัวและครอบครัว  ของท่าน แต่ข้าพเจ้าขอแอบเฉลยความจรงิ และยืนยันวา่  วรรณกรรม  เรื่องน้ี คือตวั แทนทา่ นอาจารยว์ ศนิ  อินทสระ ในส่วนท่ีเปน็ ธรรมชาติ  แบบบุคคลธรรมดาๆ  คนหน่ึง  ที่มีตัวตนเสมือนจริงไม่ใช่วรรณกรรม  แบบองิ บรรยากาศสมยั พทุ ธกาลเหมือน ผสู้ ละโลก ไม่ใช่วรรณกรรม  แบบอิงหลักธรรมโดยสมมติตัวละครเจ้าหญิงเจ้าชาย  เช่น  ชีวิตน้ี มอี ะไร หรอื  ภาพจำ� ลองชวี ติ  ...แตน่ ค่ี อื  “พอ่ ยม้ิ ” (ซง่ึ ยม้ิ ยากเหมอื น  ท่านอาจารย์)  ผู้ผ่านการบวชเรียนจนมีฉายาว่า “มหา” เป็นผู้ทรง  ภูมิธรรมคุณธรรมความรู้ที่กว้างขวางและเปี่ยมด้วยอาทรเมตตา  ปราณีตอ่ เพื่อนมนษุ ย์ รักความยุตธิ รรม มีความสมถะ ถ่อมตน เปน็   ผู้มีฉายาอันเย็น  และมีชีวิตอยู่ด้วยธรรม  สิ่งเหล่าน้ีถอดแบบจ�ำลอง  ความเป็นท่านอาจารยม์ าไม่ใช่นอ้ ยเลย การด�ำเนินเรื่องของวรรณกรรม  พ่อผมเป็นมหา  แสดงให้เห็น  อัจฉริยภาพในการน�ำเสนอหลักธรรมด้วยบทสนทนาและการด�ำเนิน  เรอ่ื งทแ่ี ยบคาย ชวนตดิ ตาม อา่ นสบายๆ เพลนิ ในธรรม ไมห่ นกั เกนิ   ไป โดยม ี “พอ่ ยม้ิ ” เปน็ ตวั แทนคนรนุ่ เกา่ ทไ่ี มล่ า้ สมยั  และม ี “กตญั ญ”ู   ลูกชายผู้ใฝ่รู้  เป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่  การน�ำเสนอประเด็นต่างๆ  ใน  แต่ละบทล้วนน่าสนใจและท่านยังสามารถเลือกประเด็นท่ีควรจะเป็น  ค�ำถามให้กตัญญูถามพ่อย้ิมได้อย่างเหมาะสม  เป็นประโยชน์และ  ตรงใจผอู้ า่ นไดอ้ ยา่ งนา่ อศั จรรย ์ ซง่ึ ตามทท่ี า่ นเลา่ ไวน้ น้ั  เวลาทา่ นเขยี น  เรอ่ื งวรรณกรรมตา่ งๆ ทา่ นจะไมม่ พี ลอ๊ ตเรอ่ื งไวล้ ว่ งหนา้  แตจ่ ะคดิ ไป 

พ่ อ ผ ม เ ป็ น ม ห า 8 เขียนไป แต่เขียนอะไรแล้ว ไม่เคยต้องแกไ้ ขหรอื ลบขดี ฆา่  ทา่ นมคี ติ  ว่า  “ค่อยๆ  ท�ำ  แต่ท�ำทีเดียวให้งานจบไปเลย”  นับว่าท่านเป็นผู้ม ี พรสวรรค์ทางงานเขียนวรรณกรรมที่ถึงพร้อมด้วยความแตกฉาน  ในธรรมอย่างหาทเ่ี ปรยี บไดย้ ากยง่ิ ชมรมกลั ยาณธรรมขอมอบวรรณกรรมองิ คตธิ รรม พอ่ ผมเปน็ มหา เปน็ ธรรมบรรณาการรบั ศกั ราช ๒๕๕๙ แดส่ าธชุ นทกุ ทา่ น และ  ขอนอ้ มบูชาอาจริยคุณแด่ทา่ นอาจารยว์ ศิน อนิ ทสระ ปยิ าจารยผ์ เู้ ป็น  ท่ีเคารพรักอย่างสูง  ธรรมใดอันพระศาสดาได้ถึงแล้ว  ขอธรรมน้ัน  จงบังเกิดแด่ท่านอาจารย์  ดุจมโนปณิธานอันประเสริฐที่ท่านได้สละ  เวลาเกอื บทงั้ ชวี ติ เพอ่ื เปน็ แนวหนา้ ทางงานเผยแผธ่ รรม มธี รรมเปน็ ธง  มีธรรมเป็นตรา  มีธรรมเป็นใหญ่  ตลอดชีวิตท่ีผ่านมา  บุญกุศลใดพึง  บงั เกดิ จากงานเผยแผธ่ รรมอนั ทา่ นอาจารยแ์ ละคณะศษิ ยท์ งั้ หลายไดม้  ี ส่วนนอ้ ยใหญ่ร่วมสรา้ งสรรคก์ ันมา จงมาเปน็ พลงั กุศลบารมคี มุ้ ครอง  อภิบาลรักษาท่านอาจารย์  ให้สมดั่งตั้งปรารถนาไว้ในธรรม  ทุกข์ภัย  อุปสรรคปัญหาทั้งหลายอย่ามาแผ้วพาน  ขอท่านอาจารย์อยู่มนสิการ  ธรรมอย่างเป็นสุขทุกวันคืนจนถึงที่สุดแห่งทุกข์คือพระนิพพานโดย  เร็วพลัน  และข้าพเจ้าหวังว่าสาธุชนทุกท่านจะเปิดใจพร้อมรับธรรม-  บรรณาการอันพิเศษสุดนี้ไว้เป็นมงคลแก่ชีวิตในศักราชใหม่นี้ อย่างม ี สาระและร่นื รมย์ และบัดนี้ได้เวลาแดดร่มลมเย็นแล้วล่ะ  ขอเชิญทุกท่านล้อมวง  เข้ามา สนทนาธรรมกบั  “พ่อยมิ้ ” ของพวกเราไดเ้ ลย กราบอนุโมทนาและกราบสวัสดปี ีใหม ่ ๒๕๕๙ ทพญ.อจั ฉรา กลน่ิ สุวรรณ์ ประธานชมรมกัลยาณธรรม

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 9 คํ า นํ า ใ น ก า ร พิ ม พ์ ค ร้ั ง แ ร ก เรื่อง  “พ่อผมเป็นมหา”  นี้  ข้าพเจ้าเขียนข้ึนเพื่อเปรียบเทียบให้เห็น  ความแตกต่างทางความคิดของบุคคลสองวัย  และมีภูมิหลังแห่งการ  ศึกษาท่ีไม่เหมือนกัน  คือลูกซึ่งอยู่ในมหาวิทยาลัย  และพ่อซึ่งเป็น  เปรียญ อนงึ่  แมจ้ ะมอี ายพุ อกนั  แตอ่ ปุ นสิ ยั อนั เปน็ ทนุ เดมิ ตา่ งกนั  กย็ อ่ ม  จะมีความเห็นและความเข้าใจต่างกันไปได้  เช่น  เพ่ือนของยิ้ม  คือ  นายนวล ความจรงิ แลว้  “มหา” นนั้ เปน็ ไดเ้ ฉพาะพระ, ฆราวาสเปน็ ไมไ่ ด้  เพราะ “มหา” เปน็ สมณศกั ด ์ิ คอื  เปน็ ศกั ดส์ิ �ำหรบั พระ แมพ้ ระเองที่  ถกู ถอดยศ ลดตำ� แหนง่ แลว้  และเปน็ พระราชาคณะชนั้ สงู  แตค่ งเหลอื   แต่  “พระ  ก  เปรียญ”  หรือ  “พระ  ข  เปรียญ”  เท่านั้น  ไม่ต้องพูด  ถงึ ทส่ี กึ ออกมาเปน็ ฆราวาสแลว้  ความเปน็ มหายอ่ มสนิ้ สดุ ลงพรอ้ มกบั   การเปลื้องผ้าเหลืองออกจากกาย  แต่คนท้ังหลายท่ียังเรียก  “มหา”  อยู่ก็ด้วยความเคยชิน  แต่ส่วนมากไม่ได้เรียก  มักเรียก  “คุณ”  ตาม  สมยั นยิ ม และดพู อจะเปน็ ทพี่ อใจของผทู้ เี่ คยเปน็  “มหา” มามากกวา่   บางคนใครเรียกมหาก็ถึงกับโกรธเอาทีเดียว  มนุษย์ที่เข้าใจในมนุษย์  สัมพันธ์ด ี เม่ือร้วู ่าสง่ิ ใดเขาไม่ชอบ เรียกอยา่ งใดเขาไม่ชอบ กง็ ดเว้น  การเรยี กอยา่ งนน้ั เสยี  เรอ่ื งอะไรจะตอ้ งไปสรา้ งศตั รโู ดยไมจ่ ำ� เปน็  ยงั   มีคำ� อ่ืนเรียกอกี มากมาย

พ่ อ ผ ม เ ป็ น ม ห า 10 เม่ือขา้ พเจ้าเดินทางไปอินเดยี  ไปพบนกั ศกึ ษาจากประเทศลาว  หลายท่านซึ่งเปน็ เปรยี ญจากประเทศลาวสึกแล้วไปศกึ ษาตอ่ ในอนิ เดีย  นิยมใช้ค�ำว่า  M.  น�ำหน้าช่ือเสมอ  เช่น  M.C.  บ้าง  M.K.  บ้าง  แล้ว  ต่อด้วยนามสกุล  ตัวอย่าง  M.C.  Thepavong  หมายถึงมหาจันทร ์ เทพาวงศ์  เม่ือถามเขา  เขาบอกว่าในประเทศลาวนิยมใช้กัน  และคน  ทั้งหลายยกย่องให้เกียรติผู้ท่ีมี  M.  น�ำหน้าชื่อ  เขาภูมิใจในความเป็น  M. ของเขา ฟงั แล้วช่นื ใจดีเหมอื นกัน เปน็ การแนน่ อนวา่  ทรรศนคตขิ องโลกชาวเมอื งนนั้  ยอ่ มมอี ทิ ธ-ิ   พลต่อความรู้สึกนึกคิดของปัจเจกชน  มากหรือน้อยแล้วแต่ก�ำลังใจ  ก�ำลังความคิดของปัจเจกชนนั้น  คนส่วนมากยอมนอบน้อมให้แก่มต ิ ของชาวเมือง  ชาวเมืองนิยมยกย่องสิ่งใด  ปัจเจกชนก็มักพอใจท�ำตน  เป็นอย่างน้ัน  ท้ังนี้เพราะสัญชาตญาณเรื่อง  “ความกระหายให้ผู้อื่น  ยกย่อง”  น่ันเอง ข้าพเจ้าได้คุ้นเคยกับนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยในเมืองไทย  เปน็ อนั มาก รวมทง้ั คนหนมุ่ ซง่ึ มไิ ดศ้ กึ ษาในมหาวทิ ยาลยั ดว้ ย เดก็ หนมุ่   เหลา่ นม้ี คี วามสนใจทางศาสนา ตอ้ งการทพี่ ง่ึ ทางใจ แตเ่ นอื่ งจากชวี ติ   ของเขาเพิ่งเริ่มต้น  จึงเต็มไปด้วยความสงสัยในสิ่งต่างๆ  มากมาย  และเน่ืองจากมีประสบการณ์ในชีวิตยังน้อยอยู่  จึงมักทุ่มเทความเชื่อ  ให้กับหลักการและค�ำสอนอันเขายกย่องว่าเป็น  Scientific  (ศาสตร์  ท่ีมีเหตุผล)  โดยมิยอมยืดหยุ่นให้กับอะไรเลย  ตัวอย่างเช่นสมณศักด์ิ  ของพระสงฆใ์ นเมอื งไทย เขาเหน็ วา่ ไมจ่ ำ� เปน็  เพราะเมอื่ สมยั พทุ ธกาล  ไม่มสี มณศักด ์ิ ดงั นเี้ ป็นต้น ความคดิ เหน็ ของกตญั ญ ู บตุ รชายของยมิ้ ในเรอื่ งน ้ี เปน็ ท�ำนอง เดียวกับความคดิ เหน็ ของนิสิตนกั ศกึ ษาทั่วไป

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 11 อาจมผี สู้ งสยั วา่  เรอ่ื งนค้ี งมสี ว่ นพวั พนั กบั เกย่ี วขอ้ งกบั ครอบครวั   ของข้าพเจ้าบ้าง  ข้าพเจ้าขอปฏิเสธ  เพราะขณะข้าพเจ้าเขียนค�ำน�ำนี้  บุตรชายคนแรกของขา้ พเจา้ เพ่ิงมอี ายไุ ด้ ๓ เดอื นกบั  ๒๘ วนั เท่านนั้ ข้าพเจ้าขออุทิศความดีงามทั้งปวงแห่งหนังสือเร่ืองน้ีแก่ท่าน  ผู้เป็นเปรียญท่ัวราชอาณาจักรไทย  ซึ่งได้อาศัยร่มเงาแห่งพระพุทธ  ศาสนา  แล้วได้ช่วยส่งเสริมสนับสนุนพระพุทธศาสนา  โดยการปฏิบัต ิ ชอบบา้ ง โดยการเผยแผค่ ำ� สอนของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ บา้ ง และขอ  ไดโ้ ปรดไดร้ บั ความเคารพนบั ถอื จากขา้ พเจา้ โดยทว่ั กัน อนึ่ง  ส�ำหรับท่านผู้อ่านทั่วไป  หากเห็นว่าข้อความในหนังสือ  เรื่องน้ีตอนใดขัดหูขัดตาท่าน  ก็ขอได้โปรดอภัยแก่ข้าพเจ้าด้วย  อาจ  เป็นเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์  หรือหย่อนความรู้ในเร่ืองน้ันก็ได้  ทกี่ ลา้ แสดงออกกด็ ว้ ยเชอ่ื วา่ ตนมเี จตนาดแี ละบรสิ ทุ ธต์ิ อ่ บคุ คลทกุ ฝา่ ย  และขอได้โปรดทักท้วงในข้อบกพร่อง  เพ่ือความสมบูรณ์ในโอกาส  ตอ่ ไป  ๒๕ สงิ หาคม ๒๕๑๓

ส า ร บั ญ ตอนที่ ๑ ๑๔ ตอนที่ ๒ ๒๓ ตอนที่ ๓ ๓๑ ตอนที่ ๔ ๔๑ ตอนที่ ๕ ๔๘ ตอนที่ ๖ ๕๗ ตอนท่ี ๗ ๖๕ ตอนท่ี ๘ ๗๑ ตอนท่ี ๙ ๗๙ ตอนท่ี ๑๐ ๘๗ ตอนท่ี ๑๑ ๙๔ ตอนท่ี ๑๒ ๑๐๑ ตอนท่ี ๑๓ ๑๐๘ ตอนที่ ๑๔ ๑๑๗ ตอนที่ ๑๕ ๑๒๕ ตอนที่ ๑๖ ๑๓๒ ตอนที่ ๑๗ ๑๔๑ ตอนที่ ๑๘ ๑๔๙ ตอนท่ี ๑๙ ๑๕๗ ตอนท่ี ๒๐ ๑๖๓ ตอนท่ี ๒๑ ๑๗๑ ตอนท่ี ๒๒ ๑๗๙ ตอนท่ี ๒๓ ๑๘๕ ตอนท่ี ๒๔ ๑๙๓ ตอนท่ี ๒๕ ๒๐๓

ตอนท่ี ๒๖ ๒๑๓ ตอนท่ี ๒๗ ๒๒๑ ตอนท่ี ๒๘ ๒๓๔ ตอนที่ ๒๙ ๒๔๓ ตอนที่ ๓๐ ๒๕๑ ตอนที่ ๓๑ ๒๕๘ ตอนที่ ๓๒ ๒๖๗ ตอนที่ ๓๓ ๒๗๖ ตอนที่ ๓๔ ๒๘๗ ตอนท่ี ๓๕ ๒๙๕ ตอนท่ี ๓๖ ๓๐๗ ตอนท่ี ๓๗ ๓๑๗ ตอนที่ ๓๘ ๓๒๙ ตอนท่ี ๓๙ ๓๓๗ ตอนที่ ๔๐ ๓๔๙ ตอนที่ ๔๑ ๓๕๘ ตอนที่ ๔๒ ๓๖๙ ตอนที่ ๔๓ ๓๗๙ ตอนที่ ๔๔ ๓๘๙ ตอนท่ี ๔๕ ๓๙๙ ตอนท่ี ๔๖ ๔๐๗ ตอนท่ี ๔๗ ๔๑๕ ตอนที่ ๔๘ ๔๒๗ ตอนที่ ๔๙ ๔๓๕ ตอนที่ ๕๐ ๔๔๗

ต อ น ที่ ๑ ๑ต อ น ที่ พอ่ ผมเปน็ มหา เมอื่ ผมยงั เดก็ อาย ุ ๖-๗ ขวบ ผมจำ� ความได ้ แตผ่ มไมร่  ู้ วา่  “มหา” นน้ั หมายความอยา่ งไร  พอ่ ของเพอื่ นๆ ผมไดย้ นิ เขาเรยี กชอ่ื   เฉยๆ บา้ ง มคี ณุ นำ� หนา้ บา้ ง แตพ่ อ่ ผมใครๆ กเ็ รยี ก “มหา” นำ� หนา้ ชอ่ื พอ่ ผมชอ่ื  “ยมิ้ ” คนในละแวกนนั้ จงึ เรยี กทา่ นวา่  มหายมิ้  เฉยๆ  บ้าง  บางคนเรียก  พ่ีมหายิ้ม  ลุงมหาย้ิม  แล้วแต่ศักด์ิหรืออายุของผู้ เรียก เมอื่ ผมเตบิ โตขน้ึ เรยี นหนงั สอื แลว้  อายปุ ระมาณ ๑๕-๑๖ ผมกร็ ้ ู และเข้าใจความหมายแหง่ คำ� นำ� หนา้ ชอื่ พอ่ ผมเป็นอยา่ งดี เพราะความรอู้ นั น ้ี ทำ� ใหผ้ มละอายทพ่ี อ่ ผมเปน็ มหา ผมไมอ่ ยาก 



ต อ น ที่ ๑ พ่ อ ผ ม เ ป็ น ม ห า 16 ใหใ้ ครเรยี กพอ่ ผมอยา่ งนน้ั  แตก่ เ็ หลอื ทจ่ี ะหา้ มไดเ้ สยี แลว้  เพราะเรยี ก  กนั ตัง้ แตร่ ุน่ คุณยายคณุ ตาลงมา จนถงึ รุ่นผมและเด็กทีอ่ อ่ นกว่าผม ผมรสู้ กึ วา่  พอ่ ของคนอน่ื เขาเปน็ คนมเี กยี รต ิ มหี นา้ มตี า บางคน  จบจากมหาวิทยาลัยท่ีเขาภาคภูมิใจท่ีสุดในเมืองไทย  บางคนได้รับ  ปริญญามาจากอังกฤษ อเมริกา มาทำ� งานในเมืองไทยอย่างเชิดหน้า  ชูตามาก  เป็นหัวหน้ากอง  หัวหน้าแผนก  เป็นหัวหน้าหมวดวิชา  เป็น  อาจารย์ในมหาวิทยาลัย  เป็นนายร้อย  นายพัน  ฯลฯ  ลูกๆ  เขาพูดถึง  พอ่ แมเ่ ขาดว้ ยความนยิ มชมชน่ื  เขาบอกวา่ เขาจะเรยี นอยา่ งพอ่ เขา เขา  จะทำ� งานอยา่ งพอ่ เขา  และเขาจะเอาอย่างพ่อเขา เพอ่ื นๆ ทส่ี นทิ ถามผมเสมอวา่ พอ่ ผมเปน็ อะไร ท�ำงานอยทู่ ไ่ี หน เมอื่ ตอนแรกๆ ผมไมค่ อ่ ยรเู้ รอื่ งกบ็ อกเพอื่ นวา่  พอ่ ผมเปน็ มหา  เพอ่ื นๆ จึงจำ� กันไดว้ ่า พ่อผมเปน็ มหา ผมเคยถามพ่อว่า  ท�ำไมพ่อไม่เลือกเรียนอย่างอ่ืน  เช่นท่ีมหา  วทิ ยาลยั จฬุ าฯ หรอื ธรรมศาสตร ์ หรอื วทิ ยาลยั คร ู หรอื อนื่ ๆ ท�ำไมพอ่   ถึงเรยี นท่ีส�ำเร็จออกมาเป็นมหา พอ่ ของผมชอ่ื ยม้ิ  แตท่ า่ นไมค่ อ่ ยยมิ้ บอ่ ยนกั  นานๆ ผมจงึ จะเหน็   ทา่ นยม้ิ สกั ทหี นง่ึ  แตท่ กุ ครงั้ ทผ่ี มถามปญั หานกี้ บั ทา่ น ทา่ นจะยม้ิ หนอ่ ย  หนง่ึ พลางพดู วา่ “เปน็ มหาเสียเกียรตินกั หรอื ลกู  ?” เมอื่ ทา่ นพดู อยา่ งน ้ี ผมกไ็ มร่ จู้ ะถามทา่ นอยา่ งไรตอ่ ไป จงึ ไดแ้ ต ่ นง่ิ  ระหวา่ งทผ่ี มนงิ่ อยนู่ นั้  ทา่ นจะพดู อะไรตอ่ ไปอกี นดิ หนอ่ ยเปน็ ตน้ วา่ “เกียรติของคนอยู่ท่ีความดีนะลูกจ�ำไว้  คุณค่าของคนอยู่ท ่ี ผลงาน มนษุ ยเ์ ราจะมคี วามสขุ หรอื ทกุ ขอ์ ยทู่ ใี่ จของเราเอง ไมใ่ ชอ่ ยทู่ ี ่ คนท้งั หลายนกึ ” ซึ่งผมรู้เร่ืองบ้างไม่รู้บ้าง  แล้วท่านก็บอกให้ไปดูหนังสือ  หรือ 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 17 อาบน้�ำหรือเข้านอน  แล้วแต่เวลาอันควร  อย่างไรก็ตาม  ผมรู้สึกว่า  พอ่ ของผมพดู สง่ิ ทคี่ นอนื่ เขาไมค่ อ่ ยพดู กนั  ผมอยากขดั คอพอ่ เหมอื นกนั   แต่หาจงั หวะไมค่ อ่ ยได้ ทส่ี ำ� คัญคือไมร่ ้วู า่ จะขัดท่านอย่างไร ผมเตบิ โตขน้ึ ทกุ วนั  เรยี นเลอ่ื นชนั้ ทกุ ป ี รา่ งกายและจติ ใจของผม  ก็เปลี่ยนแปลงไปมาก  แต่พ่อยังคงเป็นคนเดิม  พูดน้อย  ย้ิมน้อย  แต ่ ดเู หมอื นทา่ นจะทำ� งานมาก พอ่ ไมค่ อ่ ยมเี วลาวา่ งเลย นอกจากเวลาทา่ น  อบรมสัง่ สอน แตก่ ็ไม่บ่อยนัก เมอ่ื ผมอาย ุ ๑๘ และไดเ้ ขา้ มหาวทิ ยาลยั ปแี รก ผมรสู้ กึ ภาคภมู ใิ จ  อยา่ งเหลอื เกนิ ทไี่ ดเ้ ปน็ สมาชกิ ของมหาวทิ ยาลยั  ผมนกึ ดถู กู พอ่ อยใู่ นใจ  เหมอื นกนั ที่พ่อผมไมเ่ คยเหยียบย่างเขา้ ไปศึกษาในมหาวทิ ยาลยั ตอนนผ้ี มเถยี งพอ่ เปน็  ผมมเี หตผุ ลมาก ผมเหน็ พอ่ เปน็ คนลา้ หลงั   ไม่ทันสมัย  ผมอยากให้พ่อผมเป็นอย่างพ่อของเพ่ือนๆ  ผมหลายคนที ่ โก้หรูอยู่ในสังคม ท่าทางปราดเปรียว ทันสมัย เต้นรำ� เก่ง วางท่าโก้  ขับรถคนั งาม กนิ อาหารภตั ตาคารหรูๆ สัปดาหล์ ะ ๒ ครั้ง เพอื่ นๆ เขาพดู กนั ถงึ สงิ่ เหลา่ น ี้ และผมกเ็ หน็ วา่ เขาเปน็ อยา่ งนนั้   จรงิ ๆ  นายพันเอกนริ นั ดร ์ พอ่ ของวิเชยี ร หัวหนา้ กองประมขุ พอ่ ของปราโมช นายสุรยี ์ พอ่ ของสรุ ตั น์ ลว้ นแต่เปน็ คนโก ้ ทันสมัย สังคมยกย่อง ผมเองกม็ ีความรสู้ กึ   อยา่ งนนั้ เหมอื นกัน แตพ่ อ่ ผม พอผมนกึ ถงึ พอ่  ผมใจคอผมหอ่ เหย่ี ว พอ่ ผมไมม่ อี ะไร  ท่ีจะอวดใครได้  นอกจากนี้พ่อผมยังติดข้างท่ีเรียกกันสมัยนี้ว่า  “เชย”  เสียอกี ด้วย ผมนึกประหลาดใจว่าอะไรท�ำให้แม่ผมมาแต่งงานกับพ่อผมได้ 

ต อ น ที่ ๑ พ่ อ ผ ม เ ป็ น ม ห า 18 ผมสงั เกตด ู รสู้ กึ วา่ แมผ่ มรกั พอ่ ผมด ี ผมไมเ่ คยไดย้ นิ พอ่ กบั แมเ่ ถยี งกนั วันเสาร์อาทิตย์  ผมเห็นพ่อผมน่ังอ่านนอนอ่านหนังสือธรรมะ  วางเลม่ นจ้ี บั เลม่ โนน้ อยเู่ รอ่ื ย บางทผี มเหน็ แลว้ รำ� คาญ จงึ แกลง้ ถามพอ่   วา่ “พอ่ อา่ นหนังสือพวกนีไ้ ดอ้ ะไรข้นึ มาบ้าง” “ไดซ้ ลิ ูก” พ่อตอบ ถอดแว่นลงวางตรงหน้า “ได้อะไรครับพอ่ ” “ได้ความร”ู้ “พอ่ ไดค้ วามรอู้ ยา่ งไรครบั  ? เวลาพอ่ วางหนงั สอื ไว ้ ผมเคยหยบิ   ขนึ้ มาอา่ นไมเ่ หน็ รเู้ รอื่ งเลย” ผมพดู ทำ� นองวา่  เมอื่ นกั ศกึ ษาชน้ั ผมอา่ น  ไมร่ ู้เรื่อง พอ่ จะอา่ นร้เู ร่อื งอะไร พ่อมองหนา้ ผมแวบหนง่ึ เหมือนสำ� รวจอะไรบางอยา่ งแลว้ พดู วา่ “ไดค้ วามรู้ว่าคนท่ีมคี วามรนู้ ้อย มักทะนงตนว่าเปน็ คนรู้มาก” “หนงั สอื ธรรมะมีเรือ่ งท�ำนองนี้ด้วยหรอื ครบั พ่อ ?” พ่อไม่ตอบค�ำถามผม  แต่กลับบอกให้ผมน่ังลง  แล้วท่านก็เล่า  นทิ านใหฟ้ งั ว่า “นานมาแลว้ มีลาตวั หนึ่ง มันได้ยินคนพูดถึงทะเลอยู่เสมอ เขา พูดกันว่าทะเลน้ันกว้าง นำ้� ทะเลก็เค็ม มันอยากเห็นทะเล และอยาก  ดม่ื น้ำ� ทะเล เพราะมนั เปน็ สตั วท์ ีด่ อน มนั ไมเ่ ชือ่ วา่ จะมนี ้�ำอะไรเค็มใน  โลกน้ี เพราะน�้ำทก่ี ินอย่ปู ระจำ� นัน้ จืด “มันจึงขอร้องเจ้าของให้น�ำมันไปเที่ยวทะเลบ้าง  และลองน�ำ  นำ้� ทะเลมาใหม้ นั ดื่มบ้าง มนั รบเรา้ อยู่ทกุ วนั จนเจ้าของรำ� คาญ” “วนั หนง่ึ เจา้ ของไปธรุ ะตา่ งตำ� บล เมอื่ กลบั มาลากข็ อรอ้ งวงิ วอน  อย่างเดิมอีก  เจ้าของจึงบอกว่าวันน้ีเขาไปเท่ียวทะเลมา  และได้น�ำ  น�้ำทะเลมาให้ด้วย”

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 19 “ลาดใี จกระโดดโลดเตน้ เปน็ การใหญ ่ เมอ่ื ดมื่ นำ�้ ทะเลแลว้ กเ็ ทยี่ ว  ไปคยุ กบั เพอื่ นลาดว้ ยกนั วา่  มนั เกง่ กวา่ ใครหมด เพราะไดด้ ม่ื นำ้� ทะเล  ทพี่ วกลาดว้ ยกนั ไมเ่ คยดมื่ มาเลย มนั คยุ เขอ่ื งทบั ถมเพอ่ื นมนั ตลอดเวลา  วา่ เก่งไม่เท่ามนั ” “ความจริงนำ�้ ท่ีมันด่ืมเข้าไปน้ันไม่ใช่นำ้� ทะเล” พ่อผมสรุปตอน  ท้าย “น�้ำอะไรพ่อ ?”  ผมถาม “นำ้� เกลอื ” พอ่ ตอบ “เจา้ ของลาเกดิ รำ� คาญขนึ้ มา จงึ เอานำ�้ เกลอื   ใสอ่ ่างให้มันกิน ผสมสีเขียวลงนิดหนอ่ ย หลอกลามัน” “แต่นทิ านของพ่อมนั เปน็ ไปไม่ได้ เป็นเรื่องทเี่ ป็นไปไมไ่ ด”้ ผมพดู  มองพ่ออยา่ งเย้ยหยนั “เรอื่ งอะไรเป็นไปไมไ่ ด ้ ?” พอ่ ถาม “มอี ย่างทไี่ หนลาพูดได้” ผมว่า นกึ วา่ พอ่ ตอ้ งจนแน่ “ลาจะพูดได้หรือไม่ได้น่ะไม่ส�ำคัญดอกลูก”  พ่อว่า  “แต่คนที่  คล้ายลาตวั นน้ั มอี ย่มู ากในเมอื งเรา” “ผมไม่คอ่ ยเข้าใจครับ พ่อ” “อีกหน่อยลูกก็จะเข้าใจ” พ่อพูด “ลูกจำ� นิทานของพ่อไว้ก็แล้ว  กัน” ตกลงผมไมไ่ ดร้ บั ความรแู้ จม่ แจง้ นกั  แตผ่ มกจ็ ำ� นทิ านของพอ่ ได ้ แมจ้ ะเปน็ นทิ านทผ่ี มรสู้ กึ วา่ เชย ผมคดิ อยา่ งคนสมยั ใหมว่ า่  นทิ านนกพดู   ได ้ ลาพดู ได ้ และนทิ านชาดกทง้ั หลายนน้ั เปน็ เรอ่ื งเหลวไหลหลอกลวง  ไร้สาระไม่น่าจะน�ำมาเล่าประกอบในสมัยน้ี  แต่พ่อผมก็ชอบเล่าเสมอ  แมผ่ มชอบฟงั , ผมร�ำคาญ ผมอยากใหพ้ อ่ ผมทนั สมยั  แตผ่ มมาไมท่ นั   พอ่ ผมยงั เดนิ ตอ๊ กแตก๊ อยใู่ นบรรยากาศอนั สะลมึ สะลอื ดว้ ยปรชั ญาเกา่ ๆ  สมยั  ๓ พันป ี  พ่อผมไม่มีความรูส้ มยั ใหม่

ต อ น ที่ ๑ พ่ อ ผ ม เ ป็ น ม ห า 20 มีห้องอยู่ห้องหนึ่ง  พ่อไม่ยอมให้ใครเข้าไป  เม่ือพ่อเข้าไปแล้ว  ก็ปิดประตูเงียบอยู่คนเดียว  วันละหลายช่ัวโมง  เมื่อออกมาพ่อก็ใส่  กญุ แจแขง็ แรง ในหอ้ งนนั้ แมแ้ ตแ่ มก่ เ็ ขา้ ไปยงุ่ ไมไ่ ด ้ การทำ� ความสะอาด  พ่อก็ท�ำเอง ผมไมร่ วู้ า่ เปน็ หอ้ งอะไรของพอ่  ผมคดิ วา่ อาจเปน็ หอ้ งทพี่ อ่ หลบ  เข้าไปนอน  บางวันคุณพ่ออยู่ในห้องนั้นครึ่งวัน  หรือเกือบเต็มวันก็ม ี ผมคดิ ว่าผมจะพยายามลักลอบเขา้ ไปดูหอ้ งน้ใี หไ้ ดส้ ักวนั หนงึ่ พอ่ ไมค่ อ่ ยพดู กบั ผมบอ่ ยนกั  กบั แม ่ พอ่ กไ็ มค่ อ่ ยพดู  แตพ่ อ่ เปน็   คนใจดีคนหนึ่งเท่าที่ผมได้พบมา  เวลาผมถามอะไรพ่อก็ตอบให้ด้วย  ความยินดีเสมอ  ที่ส�ำคัญที่สุดผมไม่เคยเห็นพ่อโกรธใครเลย  ผมได้  เรยี นรมู้ าจากมหาวทิ ยาลยั ของผมวา่  มนษุ ยเ์ รา มโี ลภ โกรธ หลง ภาษา  ของนักการศึกษาตะวันตกว่าอารมณ์โลภ  อารมณ์โกรธ  อารมณ์หลง  ผมไมร่ วู้ า่ พอ่ ผมเปน็ มนษุ ยช์ นดิ ไร จงึ ไมเ่ คยเหน็ โกรธ ผมรแู้ ตว่ า่ พอ่ ผม  เปน็ มหา ผมจะตอ้ งหาเพอ่ื นทพ่ี อ่ เปน็ มหาเหมอื นกนั  เพอ่ื จะไดท้ ดสอบ  ดวู า่  พอ่ ผมกบั พอ่ ของเพอื่ นผมจะมอี ะไรๆ เหมอื นกนั หรอื ไม ่ ถา้ เหมอื น กนั สกั  ๒-๓ คน ผมกจ็ ะถอื เปน็ ยตุ วิ า่ ทเ่ี ขาเรยี กกนั วา่  “มหา” นน้ั เปน็   อยา่ งนเ้ี อง คอื ทท่ี า่ นเปน็ อยา่ งนน้ั  เพราะทา่ นเปน็ มหาโดยแท ้ ถา้ ตา่ งกนั   ก็แสดงว่าเปน็ เพราะอุปนิสยั ของแตล่ ะคน วนั หนง่ึ เปน็ วนั อาทติ ยผ์ มเหน็ พอ่ งว่ นอยกู่ บั งาน ผมจงึ ถามพอ่ วา่   ท�ำไมพ่อจึงไม่ไปเที่ยวเสียบ้าง  คนส่วนมากพอเย็นวันศุกร์เขาก็ออก  เท่ียวกันแล้ว  คนม่ังมีหน่อยก็ไปไกล  คนปานกลางก็เข้าโรงหนัง  โรง  ละคร เสาร์อาทติ ยเ์ ขากพ็ ักผอ่ นกนั เป็นล�่ำเปน็ สัน “พอ่ อายคนจนี ” พ่อวา่ “มนั เก่ยี วอะไรกันครบั พ่อ ?” ผมถาม “ถา้ ลกู สงั เกตจะเหน็ วา่ เวลาน ี้ จนี เตม็ เมอื งไทยแลว้  คนชาตจิ นี  

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 21 ขยันขันแข็ง  ท�ำงานไม่มีเสาร์อาทิตย์  ปีหน่ึงหยุดเพียง  ๓  วัน  เฉพาะ  ตรษุ จนี  แตพ่ วกเราหยดุ สปั ดาหล์ ะ ๒ วนั  บางสปั ดาห ์ ๓-๔ วนั กม็  ี ลกู   ลองคิดดูปีหน่ึงเราหยุดเท่าไร  เรื่องการสร้างเน้ือสร้างตัวเราจึงสู้เขา  ไมไ่ ด ้ แลว้ เรายงั มวั หลงตวั เองหลบั ไหลอยอู่ ยา่ งน ี้ หาทางจา่ ยเงนิ อยา่ ง  ฟุ่มเฟือยสัปดาห์ละ  ๒  วันอยู่อย่างน้ี  พ่อคิดว่าอีกไม่นานนักคนจีนจะ  ปกครองเมอื งไทย เราไมม่ ที างหนแี ลว้ ลกู  ไมม่ ที างไปแลว้ ถา้ จนี มอี ำ� นาจ  เหนอื เราข้ึนมา เรากต็ อ้ งยอมเปน็ ขขี้ า้ เขาอย่างแนน่ อน” “เมื่อตรุษจีนที่ผ่านมาไม่ก่ีวันนี้  เม่ือเดือนที่แล้วนี่เองลูกเห็น  หรอื ไม ่ รถในกรงุ เทพฯ วา่ งอยา่ งผดิ ตา ไปถนนไหนรถกไ็ มม่ ตี ดิ  เพราะ  คนจีนออกไปเที่ยวต่างจังหวัดกันมาก  มิฉะนั้นก็เข้าโรงหนัง  แต่พอ  จวนค�่ำหรือย�่ำค�่ำ  ทางสะพานพุทธฝั่งธนบุรี  รถติดต้ังแต่วงเวียนใหญ่  มาถงึ สะพานพทุ ธ คนจนี เขากลบั จากเทย่ี วกนั  เขาเทย่ี วกนั ปลี ะ ๓ วนั   เทา่ นัน้ “ลกู ไดค้ วามคดิ หรอื ไมว่ า่  รถยนตส์ ว่ นตวั ทเี่ ขาวง่ิ ขวกั ไขวอ่ ยใู่ น  กรุงเทพฯ  เวลานี้  ถนนจอแจไปหมดเหมือนจะเดินบนหลังคารถได้นั้น  สว่ นใหญเ่ ปน็ รถของคนจนี  พอคนจนี ออกไปเทย่ี วขา้ งนอกกนั เสยี ถนน  จงึ วา่ ง พอ่ เหน็ เดก็ ไทยอาย ุ ๑๖-๑๗ ป ี นง่ั ทำ� ทห่ี นบี ตวั๋ รถเมลอ์ ย ู่ ๒-๓  คน  พ่อดีใจท่ีคนไทยรู้จักท�ำมาหากิน  แต่พอเหลือบตาดูท่ีโต๊ะ  ผู้ท่ี  นั่งแปน้ บญั ชางานอยเู่ ป็นคนจีน ใจคอของพอ่ ห่อเห่ียว” “คนไทยเปน็ ชา่ งตดั ผม คนเกบ็ เงนิ เปน็ คนจนี  คนไทยขบั แทก๊ ซ ี่ เจ้าของรถเป็นคนจีน  คนไทยเป็นกรรมกรท�ำงานก่อสร้าง  นายจ้าง  รบั เหมาเปน็ คนจนี  เจา้ ของรา้ นโออ่ า่ หรหู ราตามยา่ นการคา้ ตา่ งๆ เปน็   คนจนี  แมค่ า้ ไทยไดแ้ ตเ่ พยี งอาศยั วางหาบขายหนา้ รา้ นแอบๆ เอา ลกู   นกึ เอาเองบา้ ง อยา่ ให้พ่อตอ้ งจาระไนเลย” “ผมวา่  ทค่ี นไทยตอ้ งเปน็ อยา่ งนกี้ เ็ พราะพระพทุ ธศาสนามสี ว่ น 

ต อ น ที่ ๑ พ่ อ ผ ม เ ป็ น ม ห า 22 สำ� คญั อยดู่ ว้ ย พระพทุ ธศาสนามสี ว่ นท�ำใหค้ นไทยเกยี จครา้ น อาจารย์  บางท่านของผมที่มหาวิทยาลัยยังบอกอย่างนี้  อาจารย์ผมได้ไปเรียน  เมอื งนอกมาแลว้  เคยไปเทยี่ วรอบโลกไดร้ เู้ หน็ อะไรทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ ง ยงั   พูดอยา่ งนี้เลยพ่อ” พอ่ ผมนง่ิ , เหมอ่ มองออกไปนอกหนา้ ตา่ ง ทา่ ทางทา่ นหมน่ หมอง  ในที่สดุ ท่านกลา่ วข้ึนว่า “ไม่ดอกลูก,  คนเข้าใจผิดไปเอง  ลูกเห็นพ่อเป็นคนเกียจคร้าน  หรอื  ?” “ไมเ่ ลย พอ่ ” ผมตอบ “พอ่ เปน็ คนขยนั ทสี่ ดุ คนหนง่ึ เทา่ ทผี่ มได ้ เหน็ มา” “พอ่ นบั ถอื พระพทุ ธศาสนามใิ ช่หรอื  ?” ผมได้คิด,  พ่อผมย้อนถามผมแบบตรรกวิทยาไม่มีผิดเลย  ผม  สงสัยว่าพ่อผมโต้ตอบปัญหาแบบตรรกวิทยาได้อย่างไร  ผมเช่ือว่า  พ่อผมไม่ได้เรียน  ถ้าผมพูดว่า  “ตรรกวิทยา” ให้พ่อได้ยิน พ่ออาจ  ถามผมวา่  เปน็ สนิ คา้ จากญ่ปี ุน่ หรอื ฝร่ังเศสเป็นแน ่ ผมจึงนิ่งเสยี วันหลงั ผมจะเล่าเร่อื งพอ่ ผมให้ฟังอีก

๒ต อ น ท่ี ผมยงั ไมไ่ ดบ้ อกท่านวา่  ผมชื่ออะไร นามสกุลอะไร ผมขอถอื โอกาส  บอกเสียเลยว่า  ผมช่ือ  กตัญญู  พุทธรัต  ท้ังช่ือและนามสกุลผมมี  ความหมายไปในทางพระพุทธ  พระธรรม  พ่อผมเป็นคนรักพระรัตน-  ตรัยอยา่ งสุดยอด แมจ้ ะตง้ั ชอ่ื ลกู กต็ ัง้ ใหม้ ีความหมายในทางธรรม ผมไมร่ กั ทงั้ ชอ่ื และนามสกลุ  แตก่ ไ็ มถ่ งึ กบั เกลยี ดเพยี งแตเ่ ฉยๆ  เทา่ นนั้  ผมอยากใหช้ อ่ื และนามสกลุ ผมกระเดยี ดๆ ไปทางฝรง่ั หนอ่ ยๆ  ผมรู้สึกโก้ แต่พ่อผมไม่ชอบทำ� อะไรอย่างฝร่ัง นอกจากกรณีที่จำ� เป็น  จรงิ ๆ เทา่ นน้ั  พอ่ ผมไมช่ อบผกู เนคไทใสเ่ สอื้ นอก ทา่ นบอกวา่ รอ้ น เปน็   เครอื่ งแตง่ กายของคนเมอื งหนาว แตท่ า่ นยอมใสเ่ หมอื นกนั เมอื่ จ�ำเปน็

ต อ น ที่ ๒ พ่ อ ผ ม เ ป็ น ม ห า 24 พ่อผมท�ำงานอยู่กรมประชาสงเคราะห์  นิสัยท่านเหมาะมาก  สำ� หรบั ทำ� งานในกรมน ้ี เรอื่ งการสงเคราะหค์ น ชว่ ยเหลอื คนแลว้  พอ่ ผม  เปน็ อดใจไมไ่ ด ้ ญาตพิ ่ีนอ้ งมายมื เงนิ ทองพ่อไม่เคยขัด เหน็ เพอ่ื นหนา้   เศรา้ ๆ มาน่งั คุย พอ่ ผมทายใจถกู  ถามว่าเงินพอใชต้ ลอดเดอื นไหม ?  เพ่ือนพ่อได้โอกาสจึงออกปากยืม  ๒๐๐-๓๐๐  พ่อผมให้ทันที  พอเขา  เอาเงนิ มาคนื ให ้ พอ่ ผมถามวา่ ไมเ่ ดอื ดรอ้ นหรอื  ? พอไดย้ นิ เขาบอกวา่   หากนั แทบแยก่ วา่ จะครบจำ� นวนมาคนื ใหต้ ามกำ� หนดวนั ทพ่ี ดู ไว ้ พอ่ ยงั ให้  เขาไปฟรีๆ  ๒๐  บาท  ๔๐  บาท  พร้อมท้ังขอบใจเขาที่อุตส่าห์เอาเงิน  มาคืนให้  เร่ืองขอทานแล้วพ่อไม่เคยขัด  บางทีให้เสียจนขอทาน  ประหลาดใจ พอ่ เหน็ เดก็ วงิ่ ขายดอกไมข้ ายหนงั สอื พมิ พ ์ ชอบใจนกึ วา่   มนั รจู้ กั ท�ำมาหากนิ ชว่ ยพอ่ ชว่ ยแม ่ บางทใี หส้ ตางคแ์ กเฉยๆ โดยไมร่ บั   หนงั สือพมิ พ์ เรอื่ งทง้ั หมดน ้ี ผมเหน็ วา่  พอ่ ทำ� อะไรมากเกนิ ไป ผมไมเ่ หน็ วา่ ด ี ถา้ คนสว่ นใหญเ่ ปน็ อยา่ งพอ่ ผม คนเกยี จครา้ นในเมอื งไทยกส็ บาย เพยี ง  แต่คอยแบมือขอก็พอกินพอใช้  นานเข้าอาจรวยกว่าคนให้เสียอีก  ผม  เคยคยุ กบั พอ่ ในเรอื่ งน ี้ ผมบอกพอ่ วา่ พอ่ ท�ำไมถ่ กู  แทนทพ่ี อ่ จะโกรธผม  วา่ สรู่ ู้เกนิ ผู้ใหญ ่ พอ่ ผมกลับพดู เรยี บๆ วา่ “คนที่เขาบากหน้ามาขอความช่วยเหลือจากเราน้ัน  เขาต้อง  เดอื ดรอ้ น, ลกู เคยเหน็ คนมง่ั มศี รสี ขุ มาขอความชว่ ยเหลอื จากเราบา้ ง  หรือ ?   การช่วยปัดเป่าความเดือดร้อนของเพื่อนมนุษย์น้ันเป็นบุญ  เวลาเราเดือดรอ้ นบ้างกค็ งมคี นช่วยเหลือเหมอื นกนั ” “ผมไมเ่ คยเหน็ ใครมาชว่ ยเหลอื เรา” ผมเถยี งพอ่ “กเ็ พราะเรายังไม่เดือดรอ้ นซิลูก” พ่อตอบ นงิ่ กันไปครหู่ นง่ึ  พอ่ จึงพดู ตอ่ ไปว่า “ลกู เกดิ มาทหี ลงั ลกู อาจไมร่  ู้ ชวี ติ พอ่ นน้ั เปน็ ตวั เปน็ ตนขนึ้ มาได้ 



ต อ น ที่ ๒ พ่ อ ผ ม เ ป็ น ม ห า 26 อยา่ งนก้ี เ็ พราะความชว่ ยเหลอื ของคนเปน็ จำ� นวนมาก โดยตรงบา้ ง โดย  ออ้ มบา้ ง คนทพ่ี ดู วา่ เจรญิ เตบิ โตขนึ้ มาโดยไมม่ ใี ครชว่ ยเหลอื นนั้ โกหก  เชอ่ื ไมไ่ ด ้ คนเราตอ้ งมคี รบู าอาจารย ์ ตอ้ งมผี อู้ ปุ การะมากหรอื นอ้ ยเปน็   คนๆ ไป คนทอี่ ยใู่ นสงั คมคนเปน็ แสนเปน็ ลา้ น ไมม่ ใี ครชว่ ยเหลอื เลยก ็ แสดงว่าเปน็ คนท่ไี ม่มใี ครตอ้ งการคบ “มีคนไม่น้อยชอบพูดอย่างภาคภูมิว่า  เขาดีขึ้นมาประสบผล  ส�ำเร็จข้ึนเองไม่มีใครช่วยเหลือ  ที่เขาพูดเช่นน้ันก็ด้วยเห็นว่าเป็นเรื่อง  ขา้ งโก้เกง่   แตผ่ ูร้ ู้จะมองเหน็ วา่ ผ้นู ั้นไม่รู้จกั คุณคน” “ถา้ อยา่ งนน้ั พระพทุ ธเจา้ เองกไ็ มร่ จู้ กั คณุ คน เพราะใครถามทไี ร  กต็ รสั ตอบวา่  ตรสั รเู้ อง ไมม่ ใี ครเปน็ ครอู าจารย”์  ผมทะลกุ ลางปลอ้ ง  ขน้ึ มา พ่อไม่ตอบโดยตรง  แต่กลับถามผมว่า  ใครเป็นคนค้นพบสูตร  ปรมาณ ู  ผมตอบวา่ ไอนส์ ไตน์ “ไอน์สไตน์ เคยเรยี นวิทยาศาสตรก์ บั อาจารยอ์ ืน่ ๆ หรือไม่ ?” “เคยเรียนมาต้ังแตเ่ ดก็ ๆ” ผมตอบ “ความรูเ้ ร่ืองสตู รปรมาณูน้นั  ใครสอนไอน์สไตน์ ?” “ไม่มี”  ผมตอบ “แลว้ ไอนส์ ไตน์รไู้ ด้อย่างไร ?” พอ่ ถาม ผมงงอยพู่ กั หนง่ึ  แลว้ ตอบพอ่ วา่  “ไอนส์ ไตนป์ ระมวลเอาความร ู้ ตา่ งๆ ทเ่ี คยศกึ ษามาเอามาเปน็ พนื้ ฐาน  แลว้ คน้ พบสง่ิ ใหมซ่ งึ่ ไมเ่ คยม ี ใครพบมาก่อนเลย” “เมอ่ื ลกู เขา้ ใจเรอ่ื งของไอนส์ ไตนไ์ ด ้ ลกู กค็ วรจะเขา้ ใจเรอื่ งการ  ตรสั รขู้ องพระพทุ ธเจา้ ได ้ จรงิ อยพู่ ระพทุ ธเจา้ เคยศกึ ษาในสำ� นกั อาจารย์  ตา่ งๆ เหมอื นกนั  แตค่ วามรทู้ จ่ี ะทำ� ใหพ้ ระองคเ์ ปน็ พระพทุ ธเจา้ นน้ั  มไิ ด ้ ทรงศกึ ษาจากใคร ทรงคน้ พบเอง จงึ ไมท่ ราบจะอา้ งใครวา่ เปน็ ศาสดา

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 27 “ข้อท่ีแสดงให้เห็นว่า  พระพุทธเจ้ามิใช่คนไม่รู้คุณคน  แต่ทรง  หนกั แนน่ ในกตญั ญกู ตเวท ี มมี ากมายหลายเรอื่ ง เชน่  เรอื่ งทรงปรารภ  จะเสดจ็ ไปโปรดทา่ นดาบสทง้ั สอง คอื อาฬาระ และอทุ ทกะ, เสดจ็ ไป  โปรดปัญจวัคคีย์  เสด็จไปโปรดพระพุทธบิดา  และอ่ืนๆ  อีกมากมาย  พรรณนาไม่หมดสน้ิ ” ผมยอมแพ้พ่อในประเด็นน้ี  ไม่รู้จะเถียงพ่ออย่างไร  แต่ผมยัง  ไม่เห็นด้วยกับการที่พ่อผมใจดีกับคนเกินไป  ผมจึงวกกลับมาหาเร่ือง เดิมอกี “ผมวา่  ถา้ เราลำ� บากจะไมม่ ใี ครชว่ ยเรา” ผมพดู , “ผมเชอ่ื อยา่ ง  นน้ั จรงิ ๆ ผมมองไมเ่ หน็ หนา้ ไหนจะยนื่ มอื เขา้ มาชว่ ยเหลอื เราได ้ มแี ต่  คนเอาตวั ไม่รอด และเหน็ แกต่ ัว” “ลกู ดถู กู นำ้� ใจคนมากเกนิ ไป” พอ่ วา่  “พอ่ เชอ่ื พระพทุ ธเจา้  พระ  พทุ ธเจา้ ตรสั วา่  คนทช่ี ว่ ยคนทคี่ วรชว่ ย เมอ่ื ถงึ คราวล�ำบาก ยอ่ มจะได ้ สหาย  คือไดค้ นช่วยเหมอื นกัน” “ถ้าอย่างน้ัน  ผมสงสัยว่าพ่อท�ำความดีช่วยเหลือคนอื่นด้วยใจ  เสียสละจริงๆ หรอื พ่อหวงั ผลตอบแทนเพอ่ื ใหค้ นอืน่ ช่วยพอ่ บ้าง ?” “ทงั้ สองอยา่ งแหละลกู ” พอ่ ตอบ “พอ่ หวงั ผลตอบแทนบา้ งเหมอื น  กนั  หากเขาตอบแทนไมไ่ ดก้ แ็ ลว้ ไป เขาจะตอบแทนไดห้ รอื ไมไ่ ด ้ เราก็  ตอ้ งช่วยคนทีค่ วรช่วยอยนู่ ้นั เอง” “แลว้ จะมผี ลดอี ย่างไร ?” ผมถาม พอ่ ไมค่ อ่ ยตอบปญั หาตรงๆ พ่อเลา่ นิทานใหผ้ มฟงั ว่า ดังนี้ สมยั หนงึ่  พระราชาแหง่ โกศล ทรงเปน็ ทพ่ี ง่ึ พำ� นกั ของผไู้ รญ้ าติ  ขาดมติ ร และยากจนคน่ แคน้  พระทยั ของพระองคเ์ ปย่ี มดว้ ยพระกรณุ า  หาท่ีสดุ มิได้ แม้ประชาชนชาวกาสีก็ยังเคารพยกย่องราชาแห่งโกศลยิ่งกว่า 

ต อ น ที่ ๒ พ่ อ ผ ม เ ป็ น ม ห า 28 พระราชาแหง่ กาสเี อง ขอ้ นท้ี ำ� ใหพ้ ระราชาแหง่ กาสเี กดิ รสู้ กึ รษิ ยา คดิ จะกำ� จดั พระเจา้   โกศลเสยี  จงึ รบั สง่ั ใหจ้ ดั กองทพั เพอื่ รบแควน้ โกศล พระองคท์ รงประกาศ  ว่า ดาบเทา่ นน้ั จะพิสูจนไ์ ด้ว่า ใครยงิ่ ใหญก่ วา่ กัน การรบพุ่งได้สิ้นสุดลงภายในเวลามิช้ามินานนัก  พระราชาแห่ง  โกศลเปน็ ฝา่ ยแพ ้ ทรงหนเี ขา้ ปา่ ไป ผชู้ นะประกาศวา่  “ผมู้ อี �ำนาจทาง  อาวุธเท่านนั้ ที่จะพึงทำ� ตนเปน็ คนใจบุญสนุ ทานได้” ประชาชนทงั้ ประเทศพากนั เศรา้ สลด เพราะเหน็ วา่ ผมู้ ศี ลี ธรรม  กลบั ตอ้ งได้รบั ภัยพิบตั ิต่างๆ พระราชาแหง่ กาสซี งึ่ บดั นไ้ี ดค้ รองโกศลอกี แควน้ หนง่ึ  ทรงทราบ  ถงึ ความอาลยั ของประชาชนทมี่ ตี อ่ พระเจา้ โกศลแลว้ ทรงไมพ่ อพระทยั   มากข้ึน  จึงประกาศไปทั่วนครว่าใครสามารถจับพระราชาแห่งโกศลที ่ หนีไปได้ จะไดร้ ับรางวัลเหรียญทองหนง่ึ ร้อยเหรยี ญ แต่ประชาชนต่างพากนั ปดิ หูปิดตา ไมใ่ หค้ วามรว่ มมอื เลย พระราชาแห่งโกศลผู้พ่ายแพ้  ต้องระหกระเหินใช้ชีวิตอยู่ในป่า  ในรูปของนกั พรตผ้พู อใจในวเิ วก วันหนึ่งมีคนเดินทางผู้หน่ึงมาพบพระองค์เข้า  แต่ไม่รู้ว่าผู้น้ีคือ  อดีตราชาแห่งโกศล  เขาถามถึงทางที่จะไปสู่ราชธานีแห่งโกศลคือ  สาวตั ถี “ทา่ นตอ้ งการไปสนู่ ครนน้ั ดว้ ยเหตใุ ดฤๅสหาย ?” พระเจา้ โกศล  ตรัสถาม คนเดินทางน้ันตอบว่า  “ข้าพเจ้ามีอาชีพเป็นพ่อค้าทางเรือ  เรือ  ของขา้ พเจา้ อปั ปางลงในทะเลลกึ  ขา้ พเจา้ สนิ้ เนอ้ื ประดาตวั  ตอ้ งเทยี่ ว  เรร่ อ่ นขอทานเขากนิ  ขา้ พเจา้ ทราบมาวา่  พระราชาแหง่ โกศลทรงเปน็   ที่พ่ึงของผู้ไร้ญาติขาดมิตร  พระองค์คงจักช่วยข้าพเจ้าได้บ้างไม่มาก  กน็ อ้ ย”

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 29 นกั พรตฝนื ยมิ้ ออกมาเพอื่ กลบซอ่ นนำ้� ตาของตนมใิ หใ้ ครสงั เกต  ได ้ ครนุ่ คดิ อยคู่ รหู่ นงึ่  ถอนใจใหญ ่ แลว้ พดู วา่  “มา, ไปกบั เราเถดิ  เรา  จะพาทา่ นไปหาผทู้ ี่พอจะชว่ ยท่านได้” นักพรตน้ันน�ำชายผู้สิ้นเน้ือประดาตัวเข้าสู่ราชฐาน  ค้อมศีรษะ  ให้แก่พระเจ้ากาสีแล้วพดู วา่ “อาตมภาพคอื ราชาแหง่ แควน้ โกศล มหาบพติ รไดเ้ คยทรงสญั ญา  ไว้ว่า  จะพระราชทานเงินหนึ่งร้อยเหรียญทองแก่ผู้ท่ีน�ำอาตมภาพ  มาถวายได้  บัดน้ีขอพระองค์จงพระราชทานรางวัลนั้นแก่สหายผู้น ้ี ของอาตมภาพดว้ ยเถิด” พระราชากาสที รงจอ้ งมองดนู กั พรตแปลกหนา้ อยคู่ รใู่ หญ ่ แลว้   ประทบั ยืนขึ้นจากราชบลั ลังก์ ทรงพระสรวลกอ้ ง “เราจะท�ำลายความหวงั อนั เพรศิ พรายของทา่ นเสยี วนั น ี้ เราจะ  ต้องชนะท่าน”  ทรงหยุดนดิ หนงึ่  แลว้ รับสั่งตอ่ ไปว่า “ราชัน!  ได้โปรดรับแคว้นโกศลของพระองค์กลับคืนไปเถิด  และขอไดร้ บั ดวงใจของขา้ พเจา้ ไปพรอ้ มกับดินแดนแห่งนี้ด้วย” รับส่งั เสรจ็  ทรงจบั พระหัตถ์ทง้ั สองของนกั พรต ทรงจูงด�ำเนิน  ไปยงั ราชบลั ลงั กแ์ ลว้ ทรงสวมมงกฎุ ประดบั เพชรไวบ้ นเศยี รของนกั พรต  ผ้ซู งึ่ ขณะน้ันแปดเปื้อนไปด้วยฝุ่นละออง “พ่อเล่าเรอ่ื งน้ีเพ่อื ใหผ้ มไดร้ ับคติขอ้ ไหน ?” “ข้อว่า  การช่วยเหลือคนท่ีควรช่วยน้ัน  ย่อมจะได้รับผลดีเสมอ  ผทู้ เี่ ราชว่ ยอาจชว่ ยเราตอบแทนไมไ่ ด ้ เพราะกำ� ลงั นอ้ ย แตบ่ ญุ กศุ ลยอ่ ม  ชักน�ำให้ผู้ที่มีก�ำลังพอช่วยเหลือเราได้มาช่วยเรา  พระเจ้าโกศลได้รับ  แควน้ คนื เพราะพระทยั อนั เปย่ี มดว้ ยเมตตาตอ่ ผยู้ ากไร ้ ใครเปน็ คนชว่ ย  เหลอื พระเจ้าโกศลให้ไดร้ ับรชั สมบัตคิ ืน ? ลกู ลองคดิ ด”ู พอ่ ผมมคี วามเชอ่ื เรอ่ื งอยา่ งนม้ี าก พอ่ เชอ่ื เรอ่ื งบญุ บาป เรอ่ื งผฆู้ า่  

พ่ อ ผ ม เ ป็ น ม ห า 30 ยอ่ มไดร้ บั การฆา่ ตอบ ผบู้ ชู ายอ่ มไดร้ บั การบชู าตอบ หรอื ผทู้ �ำความดี  ยอ่ มไดร้ บั ผลด ี ทำ� ความชว่ั ยอ่ มไดร้ บั ผลชวั่   ความเชอ่ื ของพอ่ ในเรอ่ื งนี ้ มอี กี มาก ผมเหน็ วา่  พอ่ ควรจะดกู าลเทศะและสมยั บา้ ง  สมยั นค้ี นทำ� ดี  เกนิ ไปกม็ กั ไดช้ ว่ั  สว่ นคนทำ� ชว่ั  หากทำ� ใหเ้ หมาะๆ กจ็ ะไดด้  ี  ผมนกึ วา่   เพราะพ่อผมเป็นมหา  เชื่อตามต�ำราเก่าๆ  ที่คนเมื่อพันสองพันปีก่อน  แตง่ ไว ้ ความเชอื่ ของพอ่ จงึ ไมเ่ ขา้ กบั กาลเทศะ ยดึ สจุ รติ เปน็ ทางด�ำเนนิ   ชีวิตจนกลายเป็นคนโง่ในสังคม   แต่พอผมพูดถึงเรื่องนี้ทีไร  พ่อผมก็  พดู อยู่อยา่ งเดียววา่  “แกตอ้ งการใหค้ นอ่นื ประพฤตทิ จุ ริตต่อแกหรอื  ? ถ้าแกต้องการให้คนอ่ืนสุจริตต่อแก  ท�ำไมแกจึงไม่ท�ำสิ่งที่แกต้องการ ให้คนอนื่ ท�ำกบั แก” ต อ น ที่ ๒

๓ต อ น ที่ “ถา้ ไมห่ วงั อะไรจากเขา กค็ บคนไดท้ กุ คน” พอ่ ผมพดู คำ� นเี้ สมอ เมอื่   ใครมาพดู ใหพ้ อ่ ไดย้ นิ วา่  คนนนั้ คบไดค้ นนคี้ บไมไ่ ด ้ ค�ำพดู หรอื คตนิ ยิ ม  ของพอ่ ผมวา่ ไมค่ อ่ ยถกู นกั  เพราะคนเราทค่ี บกนั กต็ อ้ งหวงั พงึ่ พาอาศยั   กันทางใดทางหนึ่ง  แต่พ่อผมบอกว่าคนท่ีเลิกคบกันก็เพราะหวังมาก  เกินไป  คือหวังว่าเขาควรจะเป็นอย่างน้ันกับเรา  เขาควรช่วยเหลือเรา  พอเขาไม่ช่วยเหลือสมตามท่ีเราหวัง  เราก็โทมนัสเห็นว่าเขาเป็นคนท ่ี คบไมไ่ ด ้  กอ่ นทเ่ี ขาจะคบเรา เราจะคบเขา เขากไ็ มไ่ ดบ้ อกวา่  เขาเปน็   คนคบได ้ หรือคบไมไ่ ด ้ เราไปคบเขาเอง พ่อผมเลยสอนผมตอ่ ว่า



อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 33 “อยา่ เหลยี วหาทพ่ี ง่ึ ใหบ้ อ่ ยนกั  จงหดั พง่ึ ตวั เองจนสดุ ความสามารถ  เสยี กอ่ น คนอืน่ เห็นความพยายามของเราแลว้  หากเขาเห็นสมควรก ็ จะโอบอุ้มช่วยเหลอื เอง” เพราะพอ่ ผมมอี ดุ มคตอิ ยา่ งน ี้ พอ่ ผมจงึ ไมร่ ำ่� รวยเทา่ ทค่ี วรจะรวย  ตามธรรมดาคนท่ีจะอาศัยร่มไม้จะต้องเดินเข้าไปหาต้นไม้  แต่พ่อผม  ไมท่ ำ� อยา่ งนนั้  ซงึ่ เปน็ การผดิ กฎธรรมดา พอ่ ผมไมเ่ ดนิ เขา้ ไปหาตน้ ไม้  แต่พ่อมักประสบผลส�ำเร็จในเรื่องนี้  โดยที่ต้นไม้เดินเข้ามาให้ความ  รม่ เยน็ แกพ่ อ่ เอง  พอ่ บอกวา่  “ทำ� หนา้ ทไี่ ป ความสำ� เรจ็ จะมมี าเอง” ฟงั   ดเู ปน็ คำ� พดู ของคนเชอ่ื มน่ั ในตวั เองเสยี จรงิ   เรอื่ งนพ้ี อ่ ผมเกง่ มาก ผม  ยอมชมพอ่ ในเร่ืองน้ี แมผ่ มเปน็ คนไมม่ ปี าก ไมม่ เี สยี ง พอ่ วา่ อยา่ งไร กอ็ ยา่ งนนั้  แม ่ ผมเปน็ คนดีจริงๆ คนหน่งึ  แต่เหตุการณ์ในชวี ติ แม่ มกั ชักจูงไปให้แม่  ตอ้ งพบจงั หวะชีวติ ทีต่ ้องลำ� บากทั้งกายและใจอยู่เนืองๆ  เมอื่ คบั ใจเรอื่ งใด แมก่ ห็ นั เขา้ หาน�้ำตาเปน็ เครอื่ งปลอบใจ บาง  คราวพ่อผมอยากจะบ�ำเพ็ญตนเป็นฤๅษีไม่พูดกับแม่เสียเฉยๆ  ต้ังวัน  สองวนั  แมถ่ ามกไ็ มพ่ ดู  ใครถามกไ็ มพ่ ดู  แขกมากไ็ มย่ อมพดู  เขาถาม  อะไร อยากรู้อะไร เขยี นใส่กระดาษใหอ้ า่ น บางทแี มผ่ มขดั ใจรอ้ งไห ้ แตไ่ มว่ า่ อะไรพอ่ สกั คำ� เดยี วทงั้ ตอ่ หนา้   ลับหลงั “ความล�ำบากเป็นสมบัติประจ�ำชีวิตมนุษย์”  พ่อผมพูดกับแม่  หลังจากไม่พดู มา ๒-๓ วันแล้ว “รอ้ งไห้เสยี บา้ งกด็  ี น�้ำตาเปน็ เคร่อื ง  ระบายความอึดอัดคับแค้นชนิดเดียวที่ธรรมชาติได้ให้มาส�ำหรับแก้  ปัญหาหวั ใจเมือ่ คับขัน” ผมนึกว่า  ถ้าผมเป็นแม่  ผมจะหยิกพ่อให้แขนเขียวไปท้ังสอง  แขน  มอี ยา่ งทไ่ี หนคนรอ้ งไห ้ แทนทจ่ี ะปลอบ กลบั บอกวา่ รอ้ งไหเ้ สยี  

ต อ น ที่ ๓ พ่ อ ผ ม เ ป็ น ม ห า 34 บ้างก็ด ี แตแ่ มผ่ มยนื ฟังพอ่ พดู อย่างสำ� รวมเหมือนพสกนิกรยืนต่อหนา้   พระราชาอันเป็นท่ีรักของตน พ่อเป็นคนมีเพ่ือนมาก  รู้สึกเพื่อนๆ  ของท่านจะถือพ่อเป็นจุด  ศูนย์กลางในการพบปะ  แต่ไม่มีใครสักคนท่ีสนิทสนมกับพ่อผมเป็น  พิเศษแบบที่คนท่ัวๆ  ไปมักจะมี  ทุกคนอยู่ในระดับท่ีเสมอๆ  กัน  ไม่ม ี เพ่ือนคนใดที่สนิทขนาดพูดอ๊ัว  ล้ือ  มึง  กูกับพ่อ  ผมเคยถามพ่อใน  เร่ืองนี้เหมือนกัน  แต่พ่อไม่ตอบ  เม่ือพ่อไม่ตอบ  ผมก็ต้องสันนิษฐาน  วา่  ผมเขา้ ใจวา่ อาจเปน็ ดว้ ยเหต ุ ๒ ประการคอื  ประการแรก พอ่ ผม  ไมป่ ระพฤตอิ ยา่ งนนั้ กบั ใคร ไมว่ า่ เพอื่ นหรอื คนใช ้ หรอื เสมยี นทท่ี ำ� งาน  ประการที่สอง  ผมสังเกตว่า  คนรุ่นเดียวกับพ่อก็นับถือพ่อเสียอีก  คน  รุ่นใหญ่กว่าพ่อก็เกรงใจพ่อ  พ่อเองก็ไม่ชอบเฮฮาปาร์ตี้  จึงหาเพ่ือนที ่ สนทิ ชนดิ  มงึ  กไู มไ่ ด ้ แตด่ พู อ่ กไ็ มเ่ ดอื ดรอ้ นในเรอื่ งน ี้ ไมเ่ พยี งเรอ่ื งน้ี  เรื่องเดียวเท่านั้น  เร่ืองอะไรๆ  พ่อดูไม่เดือดร้อนทั้งนั้น  บางทีแม่วิตก  กงั วลเรอ่ื งอะไร พอ่ กบ็ อกวา่  “อยา่ ใหท้ กุ ขม์ นั กนิ เปลา่  เวลาทกุ ขจ์ รงิ ๆ คนมีปัญญายังหาความสุขได ้ เร่ืองอะไรจะต้องมาทุกข ์ แม้ในเวลาท่ี ไมค่ วรจะทกุ ข ์ หมนั่ ทำ� ความด ี หมน่ั ทำ� ใจใหผ้ อ่ งใส ความทกุ ขม์ นั กลวั ” แมผ่ มเปน็ คนวา่ งา่ ยกเ็ ลยเลกิ ทกุ ข ์ มอี ะไรขา้ งหนา้ คอ่ ยแกป้ ญั หา  กนั ไป แตผ่ มเชอื่ วา่ พอ่ และแมผ่ มไมใ่ ชเ่ ปน็ คนไมม่ โี ครงการในการดำ� เนนิ   ชวี ิต  ผมสังเกตดทู ุกอยา่ งเปน็ ไปตามโครงการตามระยะเวลาอนั ควร ผมคยุ กบั พอ่ วา่  ผมเหน็ คนอน่ื ๆ ทเ่ี ปน็ ผใู้ หญ ่ เมอื่ พดู กบั ผนู้ อ้ ย  เช่น  หัวหน้ากองพูดกับเสมียน  หรือนายทหารพูดกับพลทหาร  หรือ  นายสบิ กม็ กั พดู  อว๊ั  ลอื้  มงึ  ก ู เพราะเหน็ วา่ คนพวกนน้ั เปน็ คนต�่ำ แต่  คนพวกนน้ั จะพดู อว๊ั  ลอ้ื  มงึ  ก ู กบั ทา่ นเหลา่ นนั้ ไมไ่ ด ้ แตผ่ มไมเ่ หน็ พอ่   พดู กับใคร พอ่ ตอบผมวา่

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 35 “เสมียนบางคนแก่คราวพี่คราวน้าของหัวหน้ากอง  นายสิบ  หรือจ่าบางคนแก่คราวพ่อของนายทหารสัญญาบัตร  ท�ำไมเราจะ  ให้เกียรติในวัยวุฒิเขาบ้างไม่ได้  มนุษย์เราเสมอกันโดยความเป็น  มนุษย์  เกียรติแห่งความเป็นมนุษย์น้ัน  ใครจะเหยียบย่�ำไม่ได้  นาย  บางคนดา่ ลกู นอ้ งซง่ึ เปน็ ชน้ั เสมยี น นายสบิ วา่  “สง่ั อะไรเหมอื นสงั่ ควาย,  พูดกับหมายังรู้เรื่องกว่า”  นายคนใดพูดอย่างนี้  นายคนน้ันถ้าไม่เป็น  ควายกเ็ ป็นหมา เพราะใครท่จี ะสามารถพูดกบั หมารูเ้ ร่อื งดีได้เท่าพวก  หมาดว้ ยกนั เองเปน็ ไมม่  ี ไมร่ ปู้ กครองคนอยา่ งไร ปกครองไปๆ กลาย  เป็นควายเป็นหมาไปหมด  สงสัยว่านายคนนั้นต้องเป็นควายเป็นหมา  มากอ่ น พอมาปกครองคนเขา้ กเ็ หน็ วา่ ไหนๆ ไดน้ ายเปน็ ควายเปน็ หมา  แล้วก็พยายามปรับตัวให้เข้ากับนายได้  ผู้ปกครองคนควรจะต้องเห็น  ผอู้ ยใู่ ตป้ กครองเปน็ ผคู้ วรสงเคราะห ์ ควรเอน็ ด ู ควรเมตตากรณุ า แลว้   กท็ ำ� พดู คดิ ดว้ ยเมตตากรณุ าผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชา เหน็ คณุ ความดขี องนาย  แล้วพากันยกยอ่ งด้วยน�้ำใสใจจรงิ  พร้อมที่จะปฏบิ ัติตนเป็นคนดี “มนุษย์เราต้องเห็นใจกัน ให้เกยี รตกิ ัน จึงจะอยู่ร่วมกันไดโ้ ดย  ผาสกุ ” พดู เรอ่ื งทำ� นองนท้ี ไี ร พอ่ ผมเปน็ ตอ้ งพดู ยาวทกุ ท ี ดเู หมอื นทา่ น  จะมีปมอะไรส�ำคัญอยู่อย่างหนึ่งฝังอยู่ในใจ  ท่านอาจเคยได้รับความ  อยุติธรรม  การถูกทอดท้ิง  และการถูกดูหม่ินเหยียดหยามมาก่อน  สง่ิ นนั้ ทบั ถมอยใู่ นจติ ใจของพอ่ ผม อาจนานจนทา่ นรสู้ กึ เกลยี ดชงั ความ  อยุติธรรม การดูหมิน่ เหยยี ดหยามผู้อนื่ อย่างมาก ตามปกติ  พ่อผมเป็นคนมีเมตตากรุณา  แต่แววแห่งความโหด  ร้ายของท่านจะฉายออกมาทุกทีที่ท่านได้เห็นหรือได้ฟังเร่ืองความ  อยตุ ธิ รรม ไมว่ า่ สงิ่ นนั้ จะเกดิ ขน้ึ กบั ใคร ผมสงั เกตเวลาทา่ นดมู วยปล้�ำ  ทางทวี  ี ถา้ คตู่ อ่ สทู้ งั้ สองฝา่ ยตอ่ สกู้ นั อยา่ งยตุ ธิ รรม รวมทงั้ กรรมการก็ 

ต อ น ที่ ๓ พ่ อ ผ ม เ ป็ น ม ห า 36 ใหค้ วามเปน็ ธรรม ทา่ นจะนง่ั ดเู ฉยๆ หรอื อยา่ งมากกเ็ พยี งพดู วา่  “ท�ำ  กนั แรงๆ อย่างนี้น่าตาย”  ร้สู ึกวา่ ทา่ นจะสงสารมาก ถ้าคู่ใดท่ีฝ่ายหน่ึงเอาเปรียบฝ่ายหนึ่งอย่างชัดแจ้ง  กรรมการก ็ พลอยเปน็ ไปดว้ ย รสู้ กึ อารมณข์ องทา่ นเปลย่ี นเปน็ เครยี ดทนั ท ี พอคน  ทถ่ี กู เอาเปรยี บฟน้ื ตวั ขนึ้ มาไดแ้ ละฟาดเอาคปู่ รปกั ษบ์ า้ ง ทา่ นสาสมใจ  และพูดเสมอว่า “เอาให้ตาย เอาใหต้ าย” นเ่ี ปน็ เพยี งตวั อยา่ งหนงึ่ ทผี่ มยกมา ยงั มเี รอื่ งอน่ื ๆ อกี มาก ผม  เชอ่ื วา่ พอ่ ผมไมใ่ ชค่ นโหดรา้ ย แตท่ า่ นไมช่ อบความอยตุ ธิ รรมเอามากๆ  และผมเชอ่ื วา่ ทา่ นจะกลายเปน็ คนอกี คนหนง่ึ  หากไดร้ บั ความอยตุ ธิ รรม  สิ่งเหนี่ยวรั้งนิสัยโหดเหี้ยมของพ่อผมที่พลุ่งข้ึนมาเป็นครั้งคราวไว้ได้  นัน้  คงจะต้องเป็นพระธรรมของพระพทุ ธเจ้าอยา่ งแน่นอน ไมม่ ใี ครเขา้ ใจพอ่ ผมไดด้ เี ทา่ แม ่ ดเู หมอื นแมผ่ มจะอา่ นพอ่ ออก  ทกุ อยา่ ง แมผ่ มเปน็ คนมคี วามอดทนและเชอื่ ฟงั พอ่ เสมอ พอ่ บอกอะไร  ก็เช่ือ  ปรึกษาอะไรพ่อ  พอพ่อบอกว่าให้ท�ำอย่างนั้นอย่างน้ีแม่ก็ท�ำ  ไม่เคยโต้แย้ง  รู้สกึ แมจ่ ะมคี วามเช่ือมนั่ ในตัวพ่อมาก วา่ งๆ สว่ นมากเปน็ เสารห์ รอื อาทติ ย ์ ผมไปหาเพอื่ นผมคอื วเิ ชยี ร  ลูกนายพันเอกนิรันดร์  ปราโมชลูกหัวหน้ากองประมุข  หรือสุรัตน์  ลกู นายสุรยี พ์ ่อค้าใหญ่ ผมชื่นชมยินดีกับความใหญ่โตโอ่โถงของบ้านของเพ่ือนผม  ห้องรับแขกท่ีมีเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง  ตู้โชว์ท่ีมีเหล้าชนิดต่างๆ  วาง  เรยี งราย และเครอ่ื งอำ� นวยความสะดวกอื่นๆ อกี มาก แต่ส่ิงหน่ึงซึ่งผมไม่ช่ืนชมเลย  คือการทะเลาะเบาะแว้งของ  เจ้าของบ้านซ่ึงมีอยู่เสมอ  ผมนึกว่าคนท่ีม่ังค่ังพรั่งพร้อมอย่างพ่อแม่  ของเพ่อื นผม ไมน่ า่ จะมีปัญหาอะไร แต่กห็ วงั ไม่ได้ มาในระยะหลงั  เมอื่ สรุ ตั น ์ วเิ ชยี ร และปราโมชเตบิ โตขนึ้ อยใู่ น 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 37 ระดบั มหาวทิ ยาลยั  รจู้ กั คดิ แลว้  ดเู หมอื นเขาจะเหอ่ พอ่ นอ้ ยลง ไมเ่ คย  พดู อีกเลยว่า เขาจะเอาอย่างพอ่  ท�ำงานอยา่ งพ่อ เพราะ พอ่ ของสรุ ตั นเ์ จา้ ชมู้ าก มเี มยี เกบ็ ไวม้ ากมายจนไมร่ เู้ กบ็ ไวท้ ไ่ี หน  บา้ ง  ตามประสาคนมีเงินส่วนมากในเมืองไทย พอ่ ของวเิ ชยี ร เทย่ี วมาก เมามาก เลน่ มาก ทรพั ยส์ มบตั เิ ทา่ ท ี่ มอี ยู่น้นั เปน็ มรดกตกทอดมา พ่อของปราโมชไม่เอาใจใส่ต่อลูกเต้าเลย  จะอยู่อย่างไร  กิน  อยา่ งไร เรยี นอะไรแล้วแต่แม ่ ลูกเจ็บไขไ้ ม่สบายกไ็ ดแ้ ตถ่ ามวา่  ค่อย  ยงั ชัว่ แล้วยัง หายแล้วยัง ผมไดย้ นิ  ไดเ้ หน็  และไดร้ บั รเู้ รอื่ งเหลา่ นอ้ี ยเู่ สมอจากเพอ่ื นผม  แลแลว้ ผมก็ยอ้ นกลบั มามองครอบครัวของผม พ่อผมไม่ได้เป็นพอ่ ค้าใหญ่ แตพ่ อ่ ผมก็ไมไ่ ดเ้ ปน็ คนเจ้าชู้ พ่อผมไมไ่ ด้เปน็ พนั เอก แต่พ่อผมก็ไม่เทย่ี ว ไม่เมา ไมเ่ ลน่ พ่อผมไม่ได้เป็นหัวหน้ากอง  แต่พ่อผมก็ไม่เป็นคนเฉยเมย  ไม่  เอาใจใส่ต่อลกู เต้า พ่อแม่ผมไม่ร่�ำรวย  แต่ท่านก็ไม่เคยทะเลาะกัน  โกรธเคืองกัน  พ่อแม่ผมครองชีวิตอย่างเสงี่ยมเจียมตัวและราบเรียบ  เรียบเสียจน  ผมรู้สึกว่า  บ้านผมเงียบเหงาวังเวง  แต่พอคุ้นกับสภาพนั้นเข้าก็กลาย  เปน็ ความสงบสขุ “ความสงบสขุ นนั้ เปน็ พรอนั ประเสรฐิ ของชวี ติ ” พอ่ ผมพดู อยา่ ง  นเี้ สมอ “ความมง่ั คง่ั  ความมยี ศสงู  การมชี อื่ เสยี ง มหี นา้ มตี า ถา้ ปราศจาก  ความสงบสุขเสยี แลว้  จะมไี ปทำ� ไมให้อายนกอายกามนั ” ผมว่า  พ่อผมเป็นนักจิตนิยมจัดเกินไป  น่ันคือความคิดของผม  สมยั เมอ่ื ผมอยใู่ นวยั หนมุ่ และเรยี นอยมู่ หาวทิ ยาลยั  แตพ่ อผมเปน็ ผใู้ หญ่  ขน้ึ บา้ ง มหี นา้ ทต่ี อ้ งปกครองคน ตอ้ งอบรมสง่ั สอนคนอน่ื  ผมจงึ ไดร้ วู้ า่  

ต อ น ที่ ๓ พ่ อ ผ ม เ ป็ น ม ห า 38 สขุ ภาพจติ นน้ั มคี วามส�ำคญั เพยี งใด ถา้ สขุ ภาพจติ เสอ่ื มเสยี แลว้  ความ  ม่ังคงั่ ก็ตาม การมยี ศสงู และมชี ่อื เสียงก็ตาม จะชว่ ยอะไรไม่ได้เลย “คนทกี่ �ำลงั ปวดท้องขนาดหนัก จะแตง่ กายใหส้ วยอย่างไรก็คง  ไมร่ สู้ กึ สขุ ” พอ่ ผมวา่ อยา่ งน ี้ “สขุ ภาพจติ กบั สง่ิ ภายนอกกท็ ำ� นองเดยี ว  กนั ” พ่อผมเคารพนบนอบต่อพระสงฆ์เสมอต้นเสมอปลาย  เคารพ  มากดว้ ย ใครไปวา่ พระเขา้ ทา่ นกอ็ อกรบั แทน ทา่ นวา่ พวกเราชาวบา้ น  ศีล ๕ ก็ยงั รกั ษาใหค้ รบยาก จะไปว่าพระท่านท�ำไม แตเ่ รอื่ งนผี้ มไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั พอ่  ผมไปเหน็ พระทำ� อะไรไมเ่ ขา้ เรอ่ื ง  ผมนำ� มาเลา่ ใหพ้ อ่ ฟงั แลว้ ผมกต็ เิ ตยี น ถา้ พอ่ ไมม่ ที างเถยี งพอ่ กเ็ ฉยเสยี   หากมที างสกั หน่อยพ่อเป็นแกแ้ ทนทันที ผมไปกุฏิท่านเจ้าคุณองค์หนึ่ง  ไปกับเพื่อนผม  ท่านเอาน�้ำแช่  ตเู้ ยน็ มาเลย้ี งพวกเรา ทา่ นมตี เู้ ยน็  ผมวา่ ทา่ นมขี องฟมุ่ เฟอื ยไมส่ มควร “พระฉนั น�ำ้ เย็นไดห้ รือเปล่า ?” พ่อผมถาม “ไดค้ รับ” ผมตอบ “นำ�้ แข็งละ่  ?” “ไดเ้ หมือนกนั ” “เมอ่ื ทา่ นจำ� เปน็ ตอ้ งฉนั นำ้� เยน็  นำ้� แขง็ อยเู่ ปน็ ประจำ�  การมตี เู้ ยน็   จะเสยี หายอะไร หากทา่ นไมม่  ี ทา่ นกต็ อ้ งรบกวนเดก็ ใหว้ งิ่ ซอื้ โอเลย้ี ง,  นำ�้ แขง็  เวลามแี ขกกว็ นุ่ วาย อยา่ นกึ วา่ เปน็ พระแลว้ ไมต่ อ้ งตอ้ นรบั ใคร  การเคารพในปฏิสันถารนั้นเป็นสิริมงคลแก่ผู้ท�ำ  แก่สถานที่อยู่  และ  พระพทุ ธเจา้ ทรงสรรเสรญิ ” “ถา้ อยา่ งนนั้  เมอื่ พระจำ� เปน็ ตอ้ งฉนั ขา้ ว พระกค็ วรทำ� นา เมอ่ื   ทา่ นจ�ำเปน็ ต้องมีลูกศษิ ย์ พระกค็ วรมีเมยี  อย่างนน้ั ซพี อ่ ” ผมเถียง “ลกู กจ็ ำ� เปน็ ตอ้ งกนิ ขา้ วเหมอื นกนั  ทำ� ไมลกู ไมท่ ำ� นาละ่  ?” พอ่ ผม 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 39 ปฏปิ จุ ฉาทนั ที ผมน่ิง พอ่ ผมพดู ต่อไปว่า “ลกู คิดมากเกินไป คิดไม่เข้าเร่ือง ลูกมีข้อ  บกพรอ่ งเยอะแยะ ลกู ไมพ่ ดู ถงึ ตวั เอง แตพ่ ระทำ� อะไรผดิ หผู ดิ ตาหนอ่ ย  กค็ อ่ นขอดอยา่ งนน้ั อยา่ งน ี้ ตวั เราเองนะ่ เปน็ พทุ ธศาสนกิ ทดี่ พี อควรแลว้   หรือ ?” พระมีตูเ้ ย็นผิดวินยั ข้อไหน ?” “ผมเหน็ มที ีวีดว้ ยพอ่ ”



๔ต อ น ท่ี พ่อผมไม่พูดอะไร  ท่านน่ิงอยู่ครู่หนึ่ง  ผมก็ชักใจไม่ดีเหมือนกันเกรง  ทา่ นจะหาวา่ ผมกา้ วรา้ วไมเ่ ขา้ เรอื่ ง ทา่ นถอนใจใหญแ่ รงเหมอื นระบาย  ความหนักใจออก  ในท่สี ุดทา่ นพูดวา่ “การส�ำรวมเป็นหน้าท่ีของพระ  การท�ำบุญเป็นหน้าท่ีของผู ้ ต้องการบญุ  เราแบง่ หน้าที่กนั แล้ว” “ผมอยากไดบ้ ญุ เหมอื นกนั พอ่ ” ผมวา่  “แตพ่ ระไมเ่ ครง่  ผมวา่   ท�ำบญุ กไ็ มไ่ ดบ้ ุญ เสียข้าวเสยี ของเปล่า” “ลูกว่าใหข้ องกินขอทานขีเ้ รอื้ นขาดว้ นได้บุญไหม ?” พ่อถาม “ได้ซิพ่อ” “พระทไี่ มเ่ ครง่ ยงั ดกี วา่ ขอทาน แมจ้ ะเสยี วนิ ยั ไปบางขอ้  แตก่ ย็ งั   รกั ษาได้มาก มากกว่าลูกด้วย”

ต อ น ที่ ๔ พ่ อ ผ ม เ ป็ น ม ห า 42 “แต่พระมที วี  ี ผมวา่ ไมเ่ หมาะ” ผมพูดต่อไป “ลูกก็เลือกท�ำบุญกับองค์ท่ีไม่มีทีวีเสียซิ  เลือกไหว้เอาเฉพาะ  องคท์ ไี่ มม่ ที วี  ี ลกู พบพระพบเจา้ จะไหวส้ กั ทตี อ้ งเขา้ ไปถามทา่ นเสยี กอ่ น  วา่  มที วี หี รอื เปลา่  พอทา่ นตอบวา่ ไมม่ แี ลว้ จงึ คอ่ ยไหว”้  พอ่ พดู ประชด ผม “ผมอยากให้พระเครง่ น่ะพ่อ” ผมพดู “ลกู ไมต่ อ้ งปฏบิ ตั เิ องน ่ี กอ็ ยากเอาตามสบาย” พอ่ วา่ ผม “คนที ่ เคร่งวินัยเป็นท่ีหนึ่งก็คือชาวบ้านน่ีแหละ  รองลงมาก็เด็กวัด  แล้วเณร  ทเี่ ครง่ เอาไดก้ เ็ พราะไมต่ อ้ งปฏบิ ตั เิ อง เครง่ เอาแตป่ าก รองลงไปกพ็ ระ  บวชใหม่  ๓  เดือน  เพราะมีเวลาปฏิบัติน้อย  เหมือนทหารใหม่  หรือ  ทหารทยี่ นื นง่ิ เพยี ง ๓ นาท ี กด็ ทู ำ� ไดด้  ี ถา้ จะใหย้ นื นงิ่ ถงึ  ๘-๙ ชวั่ โมง  ก็นา่ จะตอ้ งลอบกระดุกกระดิกบา้ ง “พ่อว่า  แม้แต่พระช้ันเลวท่ีสุดก็ยังดีกว่าฆราวาสเป็นส่วนมาก”  พ่อพดู สรุป “ทำ� ไมพอ่ ว่าอย่างนัน้  ?” ผมถาม “ลูกว่าเด็กเก่งท่ีสุดช้ัน  ป.๗  กับเด็กอ่อนท่ีสุดชั้นมหาวิทยาลัย  เอามาสอบแข่งกัน  ใครจะได้คะแนนมากกว่า  ใครจะเก่งกว่า”  พ่อ  ปฏปิ ุจฉา ผมเข้าใจค�ำตอบของพ่อโดยแจ่มแจ้ง  พ่อผมมักมีวิธีถามย้อน  (ปฏิปจุ ฉา) ให้ผมตอ้ งยอมจำ� นน พรอ้ มทัง้ เขา้ ใจเรอื่ งราวได้ดเี สมอ เนอ่ื งจากผมกบั พอ่ ตดิ พนั กนั อยเู่ รอื่ งทำ� บญุ ทำ� ทาน  พอมปี ระกาศ  ว่าส�ำนักอบรมธรรมแห่งหน่ึงจะมีอภิปรายเรื่องวิธีทำ� บุญอย่างไรจึงจะ  ไดบ้ ุญ พ่อจงึ ชวนผมไปฟังทนั ท ี วันน้ันเปน็ วนั เสาร์กลางเดือนมีนาคม ขณะที่ผมและพ่อไปถึง  มีคนฟังอยู่เพียง  ๙-๑๐  คน  ที่น่ัง  โหรงเหรง  แต่พอถึงเวลาผู้ด�ำเนินการก็จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 43 แล้วคณะผู้อภิปรายก็เข้าประจ�ำท่ี  ผู้ท�ำหน้าท่ีเป็นหัวหน้าคณะได้พูด  ปรารภเป็นเชิงน้อยใจว่ามีคนมาฟังน้อย  และตัวเขาเองก็ไม่อยากมา  เพราะร้อน นอนอยู่บา้ นสบายกว่า แตค่ นคอ่ ยๆ ทยอยกนั เขา้ มาเรอื่ ยๆ จนมากพอควร คอื ประมาณ  ๕๐-๖๐  คน  ผู้อภิปรายค่อยมีก�ำลังใจขึ้นและดูพูดฉะฉานข้ึนไม่เนือย  เหมือนตอนต้นๆ  คณะอภิปรายพูดเหมือนซักซ้อมกันมาแล้วคือพูด  เหมือนๆ กันทงั้  ๓ คน สาระสำ� คญั มวี า่  คนเดยี๋ วนท้ี ำ� บญุ ไมเ่ ปน็  คอื ชาวบา้ นทำ� บญุ อยา่ ง  เห็นแก่ตัว  ท�ำบุญนิดหน่อยอยากได้ผลบุญมากๆ  อยากข้ึนสวรรค ์ อยากมีความสุขในชาติหน้า  ซึ่งชาติหน้าจะมีจริงหรือไม่ก็ไม่รู้  ไม่ใช่ ท�ำบุญให้  แต่เป็นการท�ำบุญเอา  มีความโลภ  ไม่ใช่เสียสละ  ท�ำบุญ  อย่างน้ีไม่ได้บุญ  ถ้าจะท�ำบุญให้ได้บุญ  ต้องท�ำโดยไม่หวังอะไร  ไม ่ หวงั ผลตอบแทนเลย ทางวดั กช็ กั ชวนคนใหท้ ำ� บญุ ผดิ ทาง มกี ารแจกเครอ่ื งรางของขลงั   แลกกบั เงิน คนทที่ �ำบญุ อย่างนัน้ ก็ไมไ่ ด้บญุ พดู กนั ไป ๒ ชั่วโมง ก็มีสาระสำ� คัญอยา่ งน้ี ผมและพอ่ กลบั มาถงึ บา้ น อาบนำ้� กนั เสรจ็ แลว้  ดม่ื นำ้� เยน็ พอชมุ่   คอชมุ่ ใจแลว้  ผมกเ็ รมิ่ คยุ ถงึ เรอ่ื งทฟ่ี งั มาทเี ดยี ว พอ่ ผมครงึ่ นง่ั ครงึ่ นอน  อยูบ่ นเก้าอีโ้ ยก “คณะอภิปรายพูดอร่อย  ผมเห็นด้วย  ผมว่าเขาควรปฏิวัติวิธ ี ทำ� บญุ กนั เสียทีแลว้ ” ผมเริม่ คุย “พอ่ เห็นดว้ ยไหม ?” “ปฏิวตั ิอยา่ งไร ?” พอ่ ถาม “คือถ้าจะทำ� บญุ ก็ไม่ควรหวงั อะไรตอบแทน” ผมวา่ “แม้แต่ผลบุญน่ะหรือ ?” พอ่ ถาม ผมงง !

ต อ น ที่ ๔ พ่ อ ผ ม เ ป็ น ม ห า 44 “คอื ไมค่ วรท�ำชนดิ หวา่ นพชื หวงั ผล หรอื ท�ำกำ� อยากไดก้ อบ ท�ำ  ๑๐  อยากได้ผล  ๑๐๐  ผล  ๑๐๐๐” “มนั กต็ รงตามกฎธรรมชาตแิ ล้วมใิ ช่หรอื  ?” พ่อวา่ “อย่างไรครับพ่อ ?” “ข้าวหนงึ่ เมล็ด มันออกเปน็ รวงใชห่ รือไม่ ?” “ใชค่ รับพ่อ” ผมเรมิ่ จนตรอกพ่ออีกตามเคย “ลกู ปลกู มะมว่ งลงในดนิ หนงึ่ เมลด็  เวลามนั ออกลกู  มนั ออกมา  ลูกเดียวหรือ ?” “ออกเปน็ พนั ๆ ครบั พ่อ” “ถา้ ขา้ วเปลอื กทท่ี ำ� พนั ธห์ุ นงึ่ เมลด็ ทเ่ี ราหวา่ นลงไปในนามนั ออก  มาหนงึ่ เมลด็ เทา่ เดมิ  หรอื มะมว่ งหนงึ่ เมลด็ มนั ออกลกู ๆ เดยี วแลว้ ลกู จะ  ปลกู ขา้ ว ปลกู มะมว่ งใหม้ นั เหนอื่ ยแรงท�ำไม เกบ็ ไวก้ นิ ไมด่ กี วา่ หรอื  ?” “ท�ำไมผลมันจงึ ไม่สมดลุ กับเหตลุ ่ะพ่อ ?” “สมซิ”  พ่อว่า “สมอยา่ งไรครบั  ขา้ วเปลอื กหนงึ่ เมลด็ ออกมาเปน็ รวง มะมว่ ง  หนง่ึ ผล ออกมาเปน็ รอ้ ยเป็นพนั ” “ลกู ไมค่ ดิ คา่ แรงบา้ งหรอื  ? คา่ เสยี เวลาละ่  ? ความตง้ั ใจละ่  คร ู บางคนสอนลกู เพยี ง ๒ ป ี ลกู นบั ถอื ครไู ปตลอดชวี ติ  อาจจะ ๔๐-๕๐  ปีก็ได้,  คนบางคนพูดจาให้ลูกเจ็บใจเพียง  ๒  นาที  ลูกเจ็บไป  ๖๐  ป ี นนั่ มันอะไร ?” “ผมงงใหญแ่ ลว้ ครบั พอ่ ” ผมพดู  พอ่ สรปุ ใหผ้ มสน้ั ๆ ดกี วา่ ครบั ” “ทกุ อยา่ งทคี่ นทำ� ลงไป ยอ่ มมผี ล ๒ อยา่ งเสมอ คอื  ผลโดยตรง  และผลโดยอ้อม” พ่ออธบิ าย “ขอตวั อย่าง ?” “ลูกเรียนหนังสือจนได้ปริญญา  ผลโดยตรงคือความรู้  ผลโดย 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 45 ออ้ ม คอื เกยี รต ิ ความนบั หนา้ ถอื ตา ความภาคภมู ใิ จอกี แยะ นกึ เอาเอง  บ้าง “คนทำ� บญุ  ผลโดยตรงคอื ความสขุ ใจ วา่ ตนไดท้ ำ� ด,ี  ผลโดยออ้ ม  คอื  ความเจรญิ รงุ่ เรอื ง ความเปน็ ทไี่ วว้ างใจของเพอ่ื นบา้ น ลาภ และ  ช่ือเสียง ถงึ ไม่หวงั มนั ก็ได้ แมห้ วัง ถา้ ยงั ไม่ถงึ คราวกไ็ มไ่ ด้” “แลว้ พ่อวา่ อยา่ งไร เรอื่ งท�ำบุญที่ไมไ่ ดบ้ ุญ” “ท�ำบุญก็ต้องได้บุญซิลูก  จะได้มากหรือน้อยน่ันอีกเรื่องหนึ่ง  ตา่ งหาก แลว้ แตอ่ งคป์ ระกอบ ตวั กรรมมนั บอกชดั แจง้ อยแู่ ลว้ วา่  “บญุ ”  เม่ือตัวการกระทำ� มนั เปน็ บุญ ผลมนั จะเปน็ อย่างอืน่ ไปไม่ได้” “แล้วถ้าทำ� บญุ เพื่อเอาหน้าล่ะครบั  ?” ผมถาม “กย็ งั ดกี วา่ คนไมท่ �ำบญุ ” พอ่ ตอบทนั ท ี “เดก็ ทอ่ี าบน้�ำ หรอื ท�ำ  การบ้านเพ่ือให้ผู้ใหญ่ชม  ก็ยังดีกว่าเด็กท่ีไม่ท�ำ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ย่อมดีกว่าคนทำ� ชั่วอย่างแนน่ อน “การท�ำ  ‘เพื่ออะไร’  ยังส�ำคัญน้อยกว่า  ‘การท�ำอะไร‘  ถ้าท�ำ  ชั่ว  ถึงจะท�ำเพ่ืออะไรมันก็ช่ัวอยู่น่ันเอง  ท�ำดีก็เหมือนกัน  จะท�ำเพื่อ  อะไรก็ขอใหท้ �ำไวก้ อ่ น” “แล้วที่เขาว่า ถ้าท�ำบุญเพื่อหวังผลในชาติหน้า  แล้วไม่ได้บุญ  หรือไม่เป็นบุญ  และเขาว่าชาติหน้าจะมีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้  พ่อว่า อยา่ งไร ?” พ่อนง่ิ อยู่ครหู่ นงึ่  แล้วตอบผมสัน้ ๆ วา่ “พ่อเชอื่ พระพทุ ธเจ้า ลกู จะเชอ่ื ใครก็ตามใจ” “พระพทุ ธเจา้ ยืนยันหรือครับว่าชาตหิ น้ามีจรงิ  ?” “ยืนยนั ซิ” พอ่ ตอบ “ได้ยินเขาอ้างกาลามสูตรว่า  พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ยืนยัน  แนน่ อน พระองคเ์ พยี งแตต่ รสั วา่  ถา้ ชาตหิ นา้ มจี รงิ กจ็ ะไดไ้ มเ่ ดอื ดรอ้ น 

ต อ น ที่ ๔ พ่ อ ผ ม เ ป็ น ม ห า 46 เพราะท�ำชั่วไว้  ถ้าชาติหน้าไม่มีก็ได้ชื่อว่าบริหารตนให้บริสุทธ์ิ  ม ี ความสขุ และความปลอดภยั  ไมม่ ีเวร ไม่มีภัยอยูใ่ นชาตินี้” “เขาอ้างถูก”  พ่อว่า  “พ่อก็เช่ือพระพุทธเจ้า  แต่ท่ีพระพุทธเจ้า  ตรัสยืนยันไว้ในที่อื่นมากมายท่ัวพระไตรปิฎก  ท�ำไมเขาจึงไม่หยิบยก  ข้ึนมาอ้างบา้ ง” วา่ แลว้ พอ่ กเ็ ปดิ ขอ้ ความในพระไตรปฎิ กมากมายใหผ้ มด ู ผมได ้ เห็นด้วยตาตนเอง  เพราะเป็นพระไตรปิฎกท่ีแปลเป็นภาษาไทยแล้ว  ผมอ่านออก  และเห็นว่าข้อความท่ียืนยันเร่ืองชาติหน้า  และเร่ืองนรก  สวรรคน์ น้ั  พระพุทธเจา้ ได้ตรสั ไว้จรงิ “ในกาลามสตู ร พระพทุ ธเจา้ สอนไมใ่ หเ้ ชอื่ ต�ำรา, มใิ หอ้ า้ งตำ� รา  มใิ ชห่ รือพอ่  ?” ผมดนั ทุรงั ตอ่ ไปอกี ผมคดิ วา่ คราวน ้ี พอ่ ตอ้ งตดิ , มฉิ ะนนั้ กต็ อ้ งอธบิ ายยดื ยาวตอ้ งหา  เหตผุ ลมาอธบิ ายผม แบบชกั แมน่ ำ�้ ทง้ั หา้  กไ็ มพ่ ออยา่ งแนน่ อน แตท่ ไี่ หน  ได ้  พ่อถามย้อนผมคำ� เดียว ผมกง็ งเป็นไก่ตาแตก “กาลามสตู รเป็นตำ� ราหรอื ไม ่ ?” พ่อถาม “เปน็ ซพิ อ่ ” ผมตอบ “แลว้ เขาอา้ งทำ� ไมละ่  ?” พอ่ วา่  หวั เราะหหึ ใึ นลำ� คอ  “เขาควรจะ  ไม่เชื่อกาลามสตู รดว้ ย” ได้โอกาสพ่อจึงอธิบายให้ผมฟังต่อไปว่า  การที่เรารับเชื่อส่ิงใด  ส่ิงหน่งึ นนั้ ดว้ ยเหตหุ ลายประการ เชน่ ๑.  เราได้รู้เอง  เห็นเอง  ได้ยินเอง,  คนพอดีพอร้ายมาบอกว่า  ลูกขโมยสตางค์คุณยายขายขนมข้างบ้านเรา  ๕  บาท  พ่อไม่เช่ือ  พ่อ  ตอ้ งไดเ้ หน็ เองจึงเชื่อ เพราะคนอย่างลกู  พ่อไม่เชือ่ วา่ จะขโมยสตางค์  ๕ บาทของคณุ ยายได้ ๒. พยาน คอื คำ� บอกเลา่ ของคนทพ่ี อเชอ่ื ถอื ได ้ เชน่  พระผมู้ ศี ลี  

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 47 มีธรรมพูดว่า  ท่านได้เห็นขณะที่ลูกขโมยสตางค์คุณยายอยู่  พยาน  ขนาดนีถ้ ้าพอ่ ไมเ่ ชอ่ื อีก พอ่ ก็หลงลูกเต็มทน ๓. หลกั ฐาน คือร่องรอยแห่งการกระทำ�  หรือต�ำราคมั ภรี ์ทาง  ศาสนา หลักวิชาอันไดพ้ ิสจู นม์ าแลว้ มากมาย ๔. อนมุ าน คอื การคาดคะเน จากผลไปหาเหต ุ เชน่ เหน็ หนา้ ลกู   ยิ้มแย้มเบิกบานก็อนุมานเอาว่าลูกคงมีความสุขเพราะสอบได้  หรือ  เพราะแม่สาวตอบรับรักลูกเข้าแล้ว  จากเหตุไปหาผล  เช่นเห็นใคร  คนหน่ึงเล่นการพนันทุกชนิด  หรือเห็นลูกกินเหล้าหามรุ่งหามค่�ำ  ก็  คาดคะเนได้วา่  ไม่ช้าคนนั้น หรอื ลกู ตอ้ งฉบิ หาย รวมความว่า  ความรู้  หรือส่ิงท่ีเราต้องรับเช่ือนั้นมากจากสอง  ประการ คอื โดยตรง หรอื โดยออ้ ม โดยตรง คอื ประการทหี่ นงึ่  ทนี่ กั   วิชาการเขาเรยี กกันว่า ความรูป้ ระจกั ษ ์ โดยออ้ ม ได้แก ่ ๓ ประการ หลงั คนเราเกิดมาอายุก็ส้ัน  เวลาก็น้อย  จะให้รู้อะไรเองเสียหมด  ทกุ อยา่ ง เวลามนั ไมพ่ อ จงึ ตอ้ งอาศยั การคาดคะเนเอาบา้ ง พยานบา้ ง  หลกั ฐานบา้ ง บรรดาพยานที่พอจะเช่ือถือได้ทั้งหลาย  พระพุทธเจ้าทรงเป็น  ยอด  พอ่ เชื่อพระพุทธเจ้า และเชอ่ื ตำ� ราทางพระพุทธศาสนา มนษุ ยไ์ ดพ้ สิ จู นม์ านกั แลว้  ไดค้ วามรแู้ นช่ ดั วา่  สงิ่ ใดพระพทุ ธเจา้   ตรัสว่ามี  ส่ิงน้ันมีจริง  ส่ิงใดพระองค์ตรัสว่ามีคุณส่ิงนั้นเป็นคุณจริง  ส่งิ ใดตรสั วา่ เป็นโทษ ส่งิ นน้ั ใครทำ� เขา้ ได้รบั อนั ตรายจริง เรายิ่งมองเห็นธรรมมากขึ้นเพียงไร  เราก็จะยิ่งเข้าใจถึงพระ  ปัญญาคณุ อนั อยู่ในระดับสงู ย่ิงของพระพุทธเจา้ มากขึน้ เพียงนนั้

ต อ น ที่ ๕ ๕ต อ น ที่ ผมเปน็ คนสมยั ใหม ่ เชอ่ื ในวชิ าการสมยั ใหม ่ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ทฝ่ี รง่ั   ยอมรับ  อะไรที่ฝรั่งยังไม่ยอมรับ  ผมก็ลังเลด้วยเหมือนกัน  ผมเช่ือว่า  ฝรง่ั เปน็ ชนชาตทิ ฉ่ี ลาดทส่ี ดุ  เกง่ ทส่ี ดุ  มฉิ ะนน้ั แลว้ เขาจะเจรญิ กา้ วหนา้   อย่างใหญ่หลวงได้อย่างไร   ผมมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าผมจะไป  เรยี นตอ่ เมอื งฝรง่ั  องั กฤษหรอื อเมรกิ าใหไ้ ด ้ ถา้ พอ่ ผมยนิ ยอม  ผมจะ  ไปดูเบื้องหลังแห่งความยิ่งใหญ่ของมนุษย์พวกน้ี  ท่ีคนอ่ืนพูดให้ฟังก็  ไมเ่ หมอื นได้เห็นดว้ ยเอง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook