Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย11

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย11

Description: รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย11

Search

Read the Text Version

ในการสรรหา ให้คณะกรรมการสรรหาปรึกษาหารือเพ่ือคัดสรรให้ได้ บุคคลซ่ึงมีความรับผิดชอบสูง มีความกล้าหาญในการปฏิบัติหน้าท่ี และมีพฤติกรรม ทางจริยธรรมเป็ นตัวอย่างท่ีดีของสังคม โดยนอกจากการประกาศรับสมัครแล้ว ให้ คณะกรรมการสรรหาดาเนนิ การสรรหาจากบุคคลที่มีความเหมาะสมทั่วไปได้ด้วย แต่ ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลน้นั มาตรา ๒๐๔ ผู้ได้รับการคัดเลือกหรือสรรหาเพ่ือแต่งต้ังให้ดารง ตาแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาด้วยคะแนน เสียงไม่น้อยกว่าก่ึงหนงึ่ ของจานวนสมาชิกท้งั หมดเท่าท่ีมีอยู่ของวฒุ ิสภา ในกรณีที่วุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการสรรหาหรือคัดเลือกรายใด ให้ดาเนินการสรรหาหรือคัดเลือกบุคคลใหม่แทนผู้น้ัน แล้วเสนอต่อวุฒิสภาเพ่ือให้ ความเห็นชอบต่อไป เมื่อผู้ได้รับการสรรหาหรือคัดเลือกได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาแล้ว ให้เลือกกันเองให้คนหนึ่งเป็ นประธานศาลรัฐธรรมนูญ แล้วแจ้งผลให้ประธานวุฒิสภา ทราบ ให้ประธานวุฒิสภานาความกราบบังคมทูลเพ่ือทรงแต่งต้ังประธานศาล รัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และเป็ นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราช โองการ มาตรา ๒๐๕ ผู้ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาให้เป็ นตุลาการศาล รัฐธรรมนูญโดยท่ียังมิได้พ้นจากตาแหน่งตามมาตรา ๒๐๒ (๖) (๗) หรือ (๘) หรือยัง ประกอบวิชาชีพตาม (๙) อยู่ ต้องแสดงหลกั ฐานว่าได้ลาออกหรือเลิกประกอบวิชาชีพ ตามมาตรา ๒๐๒ (๖) (๗) (๘) หรือ (๙) แล้ว ต่อประธานวุฒิสภาภายในเวลาที่ประธาน วุฒิสภากาหนด ซ่ึงต้องเป็ นเวลาก่อนที่ประธานวุฒิสภาจะนาความกราบบังคมทูลตาม

มาตรา ๒๐๔ วรรคส่ี ในกรณีทีไ่ ม่แสดงหลักฐานภายในกาหนดเวลาดงั กล่าว ให้ถือว่าผู้ น้นั สละสิทธิและให้ดาเนินการคดั เลือกหรือสรรหาใหม่ มาตรา ๒๐๖ ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๒๐๔ ถ้ามีผู้ ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาจานวนไม่น้อยกว่าเจ็ดคน ให้ผู้ได้รับความเห็นชอบ เลือกกันเองให้คนหนึ่งเป็ นประธานศาลรัฐธรรมนูญแล้วแจ้งผลให้ประธานวุฒิสภา ทราบโดยไม่ต้องรอให้มีผู้ได้รับความเห็นชอบครบเก้าคน และเม่ือโปรดเกล้าโปรด กระหม่อมแต่งต้งั แล้ว ให้ศาลรัฐธรรมนูญดาเนนิ การตามหน้าท่ีและอานาจต่อไปพลาง ก่อนได้ โดยในระหว่างน้ัน ให้ถือว่าศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วยตุลาการศาล รัฐธรรมนูญเท่าทมี่ อี ยู่ มาตรา ๒๐๗ ตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญมีวาระการดารงตาแหน่งเจ็ดปี นับ แต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งต้ัง และให้ดารงตาแหน่งได้เพียงวาระเดยี ว มาตรา ๒๐๘ นอกจากการพ้นจากตาแหน่งตามวาระ ตุลาการศาล รัฐธรรมนูญพ้นจากตาแหน่งเม่ือ (๑) ขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๒๐๑ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๐๒ (๒) ตาย (๓) ลาออก (๔) มอี ายุครบเจ็ดสิบห้าปี (๕) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้พ้นจากตาแหน่งด้วยคะแนนเสียงไม่น้อย กว่าสามในสี่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท้ังหมดเท่าที่มีอยู่เพราะเหตุฝ่ าฝื นหรือไม่ ปฏบิ ตั ติ ามมาตรฐานทางจริยธรรมของตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญ (๖) พ้นจากตาแหน่งเพราะเหตตุ ามมาตรา ๒๓๕ วรรคสาม

ประธานศาลรัฐธรรมนูญซึ่งลาออกจากตาแหน่ง ให้พ้นจากตาแหน่งตุลา การศาลรัฐธรรมนูญด้วย ในกรณีที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพ้นจากตาแหน่งตามวาระ ให้ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญท่ีพ้นจากตาแหน่งปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งต้ังตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญใหม่แทน ในกรณีที่มีปัญหาว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญผู้ใดพ้นจากตาแหน่งตาม (๑) หรือ (๓) หรือไม่ ให้เป็ นหน้าที่และอานาจของคณะกรรมการสรรหาตามมาตรา ๒๐๓ เป็ นผู้วนิ จิ ฉัย คาวินจิ ฉัยของคณะกรรมการสรรหาให้เป็ นท่สี ุด การร้องขอ ผู้มีสิทธิร้องขอ การพิจารณา และการวินิจฉัยตามวรรคสี่ ให้ เป็ นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวธิ พี จิ ารณาของศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๐๙ ในระหว่างที่ตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญพ้นจากตาแหน่งก่อน วาระและยังไม่มีการแต่งต้ังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแทนตาแหน่งที่ว่าง ให้ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญเท่าทีเ่ หลืออยู่ปฏบิ ตั ิหน้าทต่ี ่อไปได้ บทบัญญัติตามวรรคหน่ึงมิให้ ใช้ บังคับกรณีมีตุลาการศาลรั ฐธรรมนูญ เหลืออย่ไู ม่ถงึ เจ็ดคน มาตรา ๒๑๐ ศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าทแ่ี ละอานาจ ดังต่อไปนี้ (๑) พิจารณาวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายหรือร่าง กฎหมาย (๒) พิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้ าท่ีและอานาจของสภา ผ้แู ทนราษฎร วุฒิสภา รัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือองค์กรอิสระ (๓) หน้าท่ีและอานาจอ่ืนตามที่บญั ญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

การย่ืนคาร้องและเง่ือนไขการยื่นคาร้อง การพิจารณาวินิจฉัย การทาคา วินิจฉัย และการดาเนินงานของศาลรัฐธรรมนูญ นอกจากท่ีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ แล้ว ให้เป็ นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาล รัฐธรรมนูญ ให้นาความในมาตรา ๑๘๘ มาตรา ๑๙๐ มาตรา ๑๙๑ และมาตรา ๑๙๓ มา ใช้บงั คบั แก่ศาลรัฐธรรมนูญด้วยโดยอนุโลม มาตรา ๒๑๑ องค์คณะของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในการน่ังพิจารณา และในการทาคาวนิ จิ ฉัยต้องประกอบด้วยตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญไม่น้อยกว่าเจ็ดคน คาวนิ ิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ถือเสียงข้างมาก เว้นแต่รัฐธรรมนูญจะ บัญญตั ไิ ว้เป็ นอย่างอ่ืน เม่ือศาลรัฐธรรมนูญรับเร่ืองใดไว้พิจารณาแล้ว ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ใดจะปฏเิ สธไม่วนิ จิ ฉัยโดยอ้างว่าเร่ืองน้นั ไม่อย่ใู นอานาจของศาลรัฐธรรมนูญมิได้ คาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็ นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอสิ ระ และหน่วยงานของรัฐ มาตรา ๒๑๒ ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด ถ้า ศาลเห็นเองหรื อคู่ความโต้ แย้ งพร้ อมด้ วยเหตุผลว่ าบทบัญญัติแห่ งกฎหมายน้ันต้ อง ด้วยมาตรา ๕ และยังไม่มีคาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนท่เี กีย่ วกับบทบญั ญตั ิ น้ัน ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่าน้ันต่อศาลรัฐธรรมนูญเพ่ือวินิจฉัย ในระหว่างน้ัน ให้ ศาลดาเนินการพิจารณาต่อไปได้แต่ให้รอการพิพากษาคดีไว้ช่ัวคราวจนกว่าจะมีคา วินจิ ฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในกรณีท่ีศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าคาโต้แย้งของคู่ความตามวรรคหนึ่ง ไม่ เป็ นสาระอนั ควรได้รับการวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับเรื่องดงั กล่าวไว้พจิ ารณาก็ ได้

คาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีท้ังปวง แต่ไม่กระทบต่อคา พิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้ว เว้นแต่ในคดีอาญาให้ถือว่าผู้ซ่ึงเคยถูกศาลพิพากษา ว่ากระทาความผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าไม่ชอบ ด้วยมาตรา ๕ น้ัน เป็ นผู้ไม่เคยกระทาความผิดดังกล่าวหรือถ้าผู้น้ันยังรับโทษอยู่ก็ให้ ปล่อยตัวไป แต่ท้ังน้ไี ม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จะเรียกร้องค่าชดเชยหรือค่าเสียหายใด ๆ มาตรา ๒๑๓ บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพท่ีรัฐธรรมนูญ ค้มุ ครองไว้มสี ิทธิยื่นคาร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคาวินิจฉัยว่าการกระทาน้ันขัด หรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ท้ังนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขที่บัญญัติไว้ใน พระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวธิ พี ิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๑๔ ในกรณีที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา ๒๓๕ วรรคสาม และมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเหลืออยู่ไม่ถึงเจ็ดคน ให้ ประธานศาลฎีกาและประธานศาลปกครองสูงสุดร่วมกันแต่งต้งั บุคคลซ่ึงมีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้ามเช่นเดียวกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทาหน้าที่เป็ นตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญเป็ นการชั่วคราวให้ครบเก้าคน โดยให้ผู้ซ่ึงได้รับแต่งต้ังทาหน้าที่ใน ฐานะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้จนกว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่ีตนทาหน้าท่ีแทน จะปฏิบตั ิหน้าท่ีได้ หรือจนกว่าจะมกี ารแต่งต้ังผู้ดารงตาแหน่งแทน

หมวด ๑๒ องค์กรอิสระ ส่วนท่ี ๑ บททั่วไป มาตรา ๒๑๕ องค์กรอิสระเป็ นองค์กรท่ีจัดต้ังขึน้ ให้มีความอิสระในการ ปฏบิ ัติหน้าที่ ให้เป็ นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย การปฏิบัตหิ น้าทแี่ ละการใช้อานาจขององค์กรอสิ ระต้องเป็ นไปโดยสุจริต เที่ยงธรรม กล้าหาญ และปราศจากอคตทิ ้งั ปวงในการใช้ดุลพนิ ิจ มาตรา ๒๑๖ นอกจากคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามตามที่บัญญัติไว้ เป็ นการเฉพาะในส่วนทว่ี ่าด้วยองค์กรอิสระแต่ละองค์กรแล้ว ผู้ดารงตาแหน่งในองค์กร อสิ ระต้องมีคณุ สมบตั ิและไม่มีลักษณะต้องห้ามทั่วไปดงั ต่อไปนี้ด้วย (๑) มีอายุไม่ต่ากว่าส่ีสิบห้าปี แต่ไม่เกินเจด็ สิบปี (๒) มีคณุ สมบตั ติ ามมาตรา ๒๐๑ (๑) (๓) (๔) และ (๕) (๓) ไม่มลี ักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๐๒ มาตรา ๒๑๗ เมื่อมีกรณที ่จี ะต้องสรรหาผ้สู มควรได้รับการแต่งต้ังเป็ นผู้ ดารงตาแหน่งในองค์กรอิสระนอกจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้เป็ น หน้าท่ีและอานาจของคณะกรรมการสรรหาตามมาตรา ๒๐๓ ที่จะดาเนินการสรรหา เว้นแต่กรรมการสรรหาตามมาตรา ๒๐๓ (๔) ให้ประกอบด้วยบุคคลซ่ึงแต่งต้ังโดยศาล รัฐธรรมนูญและองค์กรอสิ ระทีม่ ิใช่องค์กรอสิ ระทต่ี ้องมีการสรรหา ให้นาความในมาตรา ๒๐๓ มาตรา ๒๐๔ มาตรา ๒๐๕ และมาตรา ๒๐๖ มาใช้บังคับแก่การสรรหาตามวรรคหนึ่งโดยอนุโลม

มาตรา ๒๑๘ นอกจากการพ้นจากตาแหน่งตามวาระ ผู้ดารงตาแหน่งใน องค์กรอสิ ระพ้นจากตาแหน่งเม่ือ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามท่ัวไปตามมาตรา ๒๑๖ หรือ ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามเฉพาะตามมาตรา ๒๒๒ มาตรา ๒๒๘ มาตรา ๒๓๒ มาตรา ๒๓๘ หรือตามมาตรา ๒๔๖ วรรคสอง และตามกฎหมายที่ตราขึน้ ตาม มาตรา ๒๔๖ วรรคส่ี แล้วแต่กรณี ให้นาความในมาตรา ๒๐๘ วรรคสอง วรรคสาม วรรคส่ี และวรรคห้า และมาตรา ๒๐๙ มาใช้บังคับแก่การพ้นจากตาแหน่งของผู้ดารงตาแหน่งในองค์กร อสิ ระโดยอนุโลม ในกรณีท่ีผู้ดาร งต าแหน่ งในองค์ กร อิส ระต้ องหยุดปฏิบัติหน้ าที่ต าม มาตรา ๒๓๕ วรรคสาม ถ้ามีจานวนเหลืออยู่ไม่ถงึ ก่ึงหน่ึง ให้นาความในมาตรา ๒๑๔ มาใช้บงั คบั โดยอนุโลม มาตรา ๒๑๙ ให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระร่วมกันกาหนด มาตรฐานทางจริยธรรมขึน้ ใช้บังคบั แก่ตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดารงตาแหน่งใน องค์กรอิสระ รวมท้ังผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาล รัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ และเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับ ได้ ท้ังนี้ มาตรฐานทางจริยธรรมดังกล่าวต้องครอบคลุมถึงการรักษาเกียรติภูมิและ ผลประโยชน์ของชาติ และต้องระบุให้ชัดแจ้งด้วยว่าการฝ่ าฝื นหรือไม่ปฏิบัติตาม มาตรฐานทางจริยธรรมใดมลี กั ษณะร้ายแรง ในการจัดทามาตรฐานทางจริยธรรมตามวรรคหนึ่ง ให้รับฟังความ คิดเห็นของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย และเม่ือ

ประกาศใช้บังคับแล้วให้ใช้บังคับแก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และ คณะรัฐมนตรีด้วย แต่ไม่ห้ามสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือคณะรัฐมนตรีที่จะ กาหนดจริยธรรมเพิ่มขึ้นให้เหมาะสมกับการปฏิบัติหน้าท่ีของตน แต่ต้องไม่ขัดหรือ แย้งกับมาตรฐานทางจริยธรรมตามวรรคหนึง่ และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา มาตรา ๒๒๐ ให้องค์กรอิสระแต่ละแห่ง นอกจากคณะกรรมการตรวจ เงินแผ่นดิน มีหน่วยงานที่รับผิดชอบงานธุรการ ดาเนินการ และอานวยความสะดวก เพ่ือให้องค์กรอิสระบรรลุภารกิจและหน้าที่ตามท่ีกาหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และเป็ นไปตามมติหรือแนวทางที่องค์กรอิสระกาหนด โดยให้มีหัวหน้าหน่วยงานคน หนึ่งซ่ึงแต่งต้ังโดยความเห็นชอบขององค์กรอิสระแต่ละองค์กรเป็ นผู้รับผิดชอบการ บริหารงานของหน่วยงานน้นั รับผิดชอบขนึ้ ตรงต่อองค์กรอิสระ ท้ังน้ี ตามท่ีกฎหมาย บญั ญตั ิ มาตรา ๒๒๑ ในการปฏิบัติหน้าท่ี ให้องค์กรอิสระร่วมมือและช่วยเหลือ กันเพ่ือให้บรรลุเป้าหมายในการปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละองค์กร และถ้าองค์กรอิสระใด เห็นว่ ามีผู้กระทาการอันไม่ ชอบด้ วยกฎหมายแต่ อยู่ในหน้ าที่และอานาจขององค์ กร อสิ ระอ่ืน ให้แจ้งองค์กรอิสระน้นั ทราบเพ่ือดาเนนิ การตามหน้าที่และอานาจต่อไป ส่วนที่ ๒ คณะกรรมการการเลือกต้ัง มาตรา ๒๒๒ คณะกรรมการการเลือกต้ังประกอบด้วยกรรมการจานวน เจด็ คนซ่ึงพระมหากษัตริย์ทรงแต่งต้ังตามคาแนะนาของวุฒสิ ภา จากบุคคลดงั ต่อไปนี้ (๑) ผ้มู ีความรู้ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาการต่าง ๆ ทจี่ ะยงั ประโยชน์แก่ การบริหารและจัดการการเลือกต้ังให้เป็ นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และมีความ

ซื่อสัตย์สุจริตเป็ นที่ประจักษ์ ซึ่งได้รับการสรรหาจากคณะกรรมการสรรหา จานวน ห้าคน (๒) ผู้มีความรู้ ความเช่ียวชาญ และประสบการณ์ด้านกฎหมาย มีความ ซ่ือสัตย์สุจริตเป็ นที่ประจักษ์และเคยดารงตาแหน่งไม่ต่ากว่าอธิบดีผู้พิพากษา หรือ ตาแหน่งไม่ต่ากว่าอธิบดีอัยการมาแล้วเป็ นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปี ซ่ึงได้รับการคัดเลือก จากท่ปี ระชุมใหญ่ศาลฎกี า จานวนสองคน ผู้ซ่ึงจะได้รับการสรรหาเป็ นกรรมการการเลือกต้ังตาม (๑) ต้องมี คุณสมบัติตามมาตรา ๒๓๒ (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) หรือ (๗) หรือเป็ นผู้ทางานหรือเคย ทางานในภาคประชาสังคมมาแล้วเป็ นเวลาไม่น้ อยกว่าย่ีสิบปี ท้ังน้ี ตามที่ คณะกรรมการสรรหาประกาศกาหนด มาตรา ๒๒๓ กรรมการการเลือกต้ังมีวาระการดารงตาแหน่งเจ็ดปี นับ แต่วนั ท่ีพระมหากษัตริย์ทรงแต่งต้ัง และให้ดารงตาแหน่งได้เพียงวาระเดยี ว ในระหว่างท่กี รรมการการเลือกต้ังพ้นจากตาแหน่งก่อนวาระ และยงั ไม่มี การแต่งต้ังกรรมการการเลือกต้ังแทนตาแหน่งท่ีว่าง ให้คณะกรรมการการเลือกต้ังเท่าที่ เหลืออยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ แต่ถ้ามีกรรมการการเลือกต้ังเหลืออยู่ไม่ถึงส่ีคนให้ กระทาได้แต่เฉพาะการทจี่ าเป็ นอันไม่อาจหลีกเลีย่ งได้ มาตรา ๒๒๔ ให้คณะกรรมการการเลือกต้ังมีหน้ าท่ีและอานาจ ดังต่อไปน้ี (๑) จัดหรือดาเนินการให้มีการจัดการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การเลือกสมาชิกวฒุ ิสภา การเลือกต้ังสมาชิกสภาท้องถ่นิ และผู้บริหารท้องถิน่ และการ ออกเสียงประชามติ

(๒) ควบคุมดแู ลการเลือกต้งั และการเลือกตาม (๑) ให้เป็ นไปโดยสุจริตและ เท่ียงธรรมและควบคุมดูแลการออกเสียงประชามติให้เป็ นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย เพ่ือการน้ี ให้มีอานาจสืบสวนหรือไต่สวนได้ตามทจ่ี าเป็ นหรือทีเ่ ห็นสมควร (๓) เม่ือผลการสืบสวนหรือไต่สวนตาม (๒) หรือเมื่อพบเห็นการกระทา ท่ีมีเหตุอันควรสงสัยว่าการเลือกต้ังหรือการเลือกตาม (๑) มิได้เป็ นไปโดยสุจริตหรือ เท่ียงธรรม หรือการออกเสียงประชามติเป็ นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ให้มีอานาจสั่ง ระงับ ยับย้งั แก้ไขเปลีย่ นแปลงหรือยกเลกิ การเลือกต้ังหรือการเลือก หรือการออกเสียง ประชามติ และส่ังให้ดาเนินการเลือกต้ัง เลือก หรือออกเสียงประชามติใหม่ในหน่วย เลือกต้ังบางหน่วย หรือทกุ หน่วย (๔) ส่ังระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกต้ังของผู้สมัครรับเลือกต้ังหรือ ผู้สมัครรับเลือกตาม (๑) ไว้เป็ นการช่ัวคราวเป็ นระยะเวลาไม่เกินหนึ่งปี เม่ือมีหลักฐาน อันควรเชื่อได้ว่าผู้น้ันกระทาการหรือรู้เห็นกับการกระทาของบคุ คลอ่ืน ทม่ี ลี ักษณะเป็ น การทจุ ริต หรือทาให้การเลือกต้ังหรือการเลือกมไิ ด้เป็ นไปโดยสุจริตหรือเทย่ี งธรรม (๕) ดูแลการดาเนินงานของพรรคการเมืองให้เป็ นไปตามกฎหมาย (๖) หน้าท่ีและอานาจอื่นตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ในการสืบสวนหรือไต่สวนตาม (๒) คณะกรรมการการเลือกต้ังจะ มอบหมายให้กรรมการการเลือกต้ังแต่ละคนดาเนินการ หรือมอบหมายให้คณะบุคคล ดาเนินการภายใต้การกากับของกรรมการการเลือกต้ังตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ี คณะกรรมการการเลือกต้ังกาหนดกไ็ ด้ การใช้อานาจตาม (๓) ให้กรรมการการเลือกต้ังแต่ละคนซึ่งพบเห็นการ กระทาความผดิ มีอานาจกระทาได้สาหรับหน่วยเลือกต้ังหรือเขตเลือกต้ังท่พี บเห็นการ กระทาความผดิ ท้ังน้ี ตามหลกั เกณฑ์ วธิ ีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการการเลือกต้ัง กาหนด

มาตรา ๒๒๕ ก่อนประกาศผลการเลือกต้ังหรือการเลือก ถ้ามีหลักฐาน อนั ควรเชื่อได้ว่าการเลือกต้ังหรือการเลือกน้ันมิได้เป็ นไปโดยสุจริตหรือเทีย่ งธรรม ให้ คณะกรรมการการเลือกต้ังมีอานาจส่ังให้มีการเลือกต้ังหรือการเลือกใหม่ในหน่วย เลือกต้ังหรือเขตเลือกต้ังน้ัน ถ้าผู้กระทาการน้ันเป็ นผู้สมัครรับเลือกต้ังหรือผู้สมัคร รับเลือก แล้วแต่กรณี หรือรู้เห็นกับการกระทาของบุคคลอื่น ให้คณะกรรมการการ เลือกต้ังสั่งระงับสิทธิสมัครรับเลือกต้ังของผ้นู ้นั ไว้เป็ นการชั่วคราวตามมาตรา ๒๒๔ (๔) คาส่ังตามวรรคหนึง่ ให้เป็ นท่สี ุด มาตรา ๒๒๖ เมื่อมีการดาเนินการตามมาตรา ๒๒๕ หรือภายหลังการ ประกาศผลการเลือกต้ังหรือการเลือกแล้ว มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้สมัครรับ เลือกต้ังหรือผู้สมัครรับเลือกผู้ใดกระทาการทุจริตในการเลือกต้ังหรือการเลือกหรือรู้ เห็นกับการกระทาของบุคคลอื่น ให้คณะกรรมการการเลือกต้ังยื่นคาร้องต่อศาลฎีกา เพ่ือสั่งเพิกถอนสิทธสิ มคั รรับเลือกต้ัง หรือเพกิ ถอนสิทธิเลือกต้งั ของผ้นู ้ัน การพิจารณาของศาลฎีกาตามวรรคหน่ึง ให้นาสานวนการสืบสวนหรือ ไต่สวนของคณะกรรมการการเลือกต้งั เป็ นหลักในการพิจารณา และเพ่ือประโยชน์แห่ง ความยุติธรรม ให้ศาลมีอานาจส่ังไต่สวนข้อเทจ็ จริงและพยานหลักฐานเพ่มิ เตมิ ได้ ในกรณีที่ศาลฎีกาพิพากษาว่าบุคคลตามวรรคหนึ่งกระทาความผิด ตามที่ถูกร้อง ให้ศาลฎีกาสั่งเพิกถอนสิทธิสมคั รรับเลือกต้ัง หรือเพิกถอนสิทธิเลือกต้ัง ของผู้น้ันเป็ นเวลาสิบปี ท้ังนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ เลือกต้งั สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือพระราชบัญญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ ได้มาซ่ึงสมาชิกวุฒิสภา แล้วแต่กรณี เมื่อศาลฎีกามีคาส่ังรับคาร้ องไว้พิจารณาแล้ว ถ้าผู้ถูกกล่าวหาเป็ น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา ให้ผู้น้ันหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาล ฎีกาจะพิพากษาว่าผู้น้ันมิได้กระทาความผิด และเม่ือศาลฎีกามีคาพิพากษาว่าผู้น้ัน

กระทาความผดิ ให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒสิ ภาผู้น้ัน สิ้นสุดลงนบั แต่วันทหี่ ยดุ ปฏบิ ัตหิ น้าท่ี มิให้ นับสม าชิ กสภาผู้แทนราษฎร หรื อสม าชิ กวุฒิส ภาซ่ึ งหยุ ด ป ฏิ บั ติ หน้าที่ตามวรรคสี่เป็ นจานวนสมาชิกท้ังหมดเท่าท่ีมีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรหรือ วุฒสิ ภา แล้วแต่กรณี ให้นามาตราน้ีไปใช้ บังคับแก่การเลือกต้ังสมาชิกสภาท้องถิ่นหรื อ ผ้บู ริหารท้องถิ่นด้วยโดยอนุโลม แต่ให้อานาจของศาลฎีกาเป็ นอานาจของศาลอุทธรณ์ และให้คาส่ังหรือคาพิพากษาของศาลอทุ ธรณ์เป็ นทสี่ ุด การพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาหรือศาลอุทธรณ์ตามมาตรานี้ ให้ เป็ นไปตามระเบียบของท่ีประชุมใหญ่ของศาลฎีกาซ่ึงต้องกาหนดให้ใช้ระบบไต่สวน และให้ดาเนินการโดยรวดเร็ว มาตรา ๒๒๗ ในระหว่ างที่พระราชกฤษฎีกาให้ มีการเลือกต้ัง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือการเลือกสมาชิกวุฒิสภา หรือเม่ือประกาศให้มีการออก เสียงประชามติ มีผลใช้บังคับ ห้ามมิให้จับ คุมขัง หรือหมายเรียกตัวกรรมการการ เลือกต้ังไปสอบสวน เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการการเลือกต้ัง หรือในกรณีที่ จับในขณะกระทาความผิด ในกรณีที่มีการจับกรรมการการเลือกต้ังในขณะกระทาความผิด หรือจับ หรือคุมขังกรรมการการเลือกต้ังในกรณีอื่น ให้รายงานต่อประธานกรรมการการ เลือกต้ังโดยด่วน และให้ประธานกรรมการการเลือกต้ังมีอานาจส่ังให้ปล่อยผู้ถกู จับได้ แต่ถ้าประธานกรรมการการเลือกต้ังเป็ นผู้ถูกจับหรือคุมขังให้เป็ นอานาจของ คณะกรรมการการเลือกต้งั เท่าที่มีอยู่เป็ นผ้ดู าเนนิ การ

ส่วนที่ ๓ ผ้ตู รวจการแผ่นดิน มาตรา ๒๒๘ ผู้ตรวจการแผ่นดินมีจานวนสามคนซ่ึงพระมหากษัตริย์ ทรงแต่งต้ังตามคาแนะนาของวุฒิสภา จากผู้ซึ่งได้รับการสรรหาโดยคณะกรรมการ สรรหา ผ้ซู ึ่งได้รับการสรรหาต้องเป็ นผ้มู ีความซ่ือสัตย์สุจริตเป็ นที่ประจกั ษ์ และ มีความรู้ ความเช่ียวชาญ และประสบการณ์เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินไม่ต่า กว่าอธบิ ดหี รือหวั หน้าส่วนราชการท่ีเทียบเท่าหรือหวั หน้าหน่วยงานของรัฐท่ีเทียบได้ ไม่ต่ากว่ากรมตามท่ีคณะกรรมการสรรหาประกาศกาหนด โดยต้องดารงตาแหน่ง ดังกล่าวเป็ นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปี จานวนสองคน และเป็ นผู้มีประสบการณ์ในการ ดาเนินกิจการอันเป็ นสาธารณะมาแล้วไม่น้อยกว่ายีส่ ิบปี จานวนหนึง่ คน มาตรา ๒๒๙ ผู้ตรวจการแผ่นดินมีวาระการดารงตาแหน่งเจ็ดปี นับแต่ วันที่พระมหากษตั ริย์ทรงแต่งต้ัง และให้ดารงตาแหน่งได้เพียงวาระเดียว มาตรา ๒๓๐ ผ้ตู รวจการแผ่นดนิ มหี น้าทแี่ ละอานาจ ดงั ต่อไปนี้ (๑) เสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐท่ีเก่ียวข้องเพื่อให้มีการปรับปรุง กฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ หรือคาส่ัง หรือข้ันตอนการปฏิบัติงานใด ๆ บรรดาท่ี ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือความไม่เป็ นธรรมแก่ประชาชน หรือเป็ นภาระแก่ ประชาชนโดยไม่จาเป็ นหรือเกินสมควรแก่เหตุ (๒) แสวงหาข้อเท็จจริงเมื่อเห็นว่ามีผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือความ ไม่เป็ นธรรมอันเนื่องมาจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือปฏิบัตินอกเหนือหน้าที่ และอานาจตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าทีข่ องรัฐ เพื่อเสนอแนะต่อ

หน่วยงานของรัฐท่ีเกี่ยวข้องให้ขจัดหรือระงับความเดือดร้อนหรือความไม่เป็ นธรรม น้นั (๓) เสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ทราบถึงการท่ีหน่วยงานของรัฐยังมิได้ ปฏิบัติให้ถกู ต้องครบถ้วนตามหมวด ๕ หน้าท่ขี องรัฐ ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐท่ีเก่ียวข้องไม่ดาเนินการตามข้อเสนอแนะ ของผู้ตรวจการแผ่นดินตาม (๑) หรือ (๒) โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ให้ผู้ตรวจการ แผ่นดนิ แจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบเพื่อพจิ ารณาส่ังการตามทเี่ ห็นสมควรต่อไป ในการดาเนินการตาม (๑) หรือ (๒) หากเป็ นกรณีท่ีเก่ียวกับการละเมิด สิ ทธิมนุษยชนให้ ผู้ตรวจการแผ่ นดินส่ งเร่ื องให้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่ งชาติ ดาเนนิ การต่อไป มาตรา ๒๓๑ ในการปฏิบัติหน้าท่ีตามมาตรา ๒๓๐ ผู้ตรวจการแผ่นดิน อาจเสนอเร่ืองต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองได้เมื่อเหน็ ว่ามกี รณี ดังต่อไปนี้ (๑) บทบัญญัติแห่ งกฎหมายใดมีปัญหาเก่ียวกับความชอบด้ วย รัฐธรรมนูญ ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และให้ศาล รัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้ า ท้ังน้ี ตามพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธพี จิ ารณาของศาลรัฐธรรมนูญ (๒) กฎ คาสั่ง หรือการกระทาอื่นใดของหน่วยงานของรัฐหรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐ มีปัญหาเก่ียวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ให้เสนอ เรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครองและให้ศาลปกครองพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ ชักช้า ท้ังนี้ ตามกฎหมายว่าด้วยการจดั ต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดปี กครอง

ส่วนท่ี ๔ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ มาตรา ๒๓๒ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประกอบด้วยกรรมการจานวนเก้าคน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งต้ังตามคาแนะนา ของวุฒิสภาจากผู้ซ่ึงได้รับการสรรหาโดยคณะกรรมการสรรหา ผู้ซึ่งได้รับการสรรหาต้องเป็ นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็ นท่ีประจักษ์ มี ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ด้านกฎหมาย บัญชี เศรษฐศาสตร์ การ บริหารราชการแผ่นดิน หรือการอ่ืนใดอันเป็ นประโยชน์ต่อการป้องกันและปราบปราม การทุจริต และต้องมคี ุณสมบตั ิอย่างหนึง่ อย่างใด ดงั ต่อไปนี้ด้วย (๑) รับราชการหรือเคยรับราชการในตาแหน่งไม่ต่ากว่าอธิบดีผู้พิพากษา อธิบดีศาลปกครองช้ันต้น ตุลาการพระธรรมนูญหัวหน้าศาลทหารกลาง หรืออธิบดี อยั การมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี (๒) รับราชการหรือเคยรับราชการในตาแหน่งไม่ต่ากว่าอธิบดีหรือ หวั หน้าส่วนราชการที่เทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี (๓) เป็ นหรือเคยเป็ นผ้ดู ารงตาแหน่งผู้บริหารสูงสุดของรัฐวสิ าหกิจ หรือ หน่วยงานอื่นของรัฐท่ไี ม่เป็ นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกจิ มาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี (๔) ดารงตาแหน่งหรือเคยดารงตาแหน่งศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยใน ประเทศไทยมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี และยังมีผลงานทางวิชาการเป็ นท่ปี ระจักษ์ (๕) เป็ นหรือเคยเป็ นผู้ประกอบวิชาชีพที่มีกฎหมายรับรองการประกอบ วิชาชีพโดยประกอบวิชาชีพอย่างสม่าเสมอและต่อเนื่องมาเป็ นเวลาไม่น้อยกว่ายี่สิบปี นับถึงวันท่ีได้รับการเสนอชื่อ และได้รับการรับรองการประกอบวิชาชีพจากองค์กร วชิ าชีพน้นั

(๖) เป็ นผู้มีความรู้ความชานาญและประสบการณ์ทางด้านการบริหาร การเงิน การคลัง การบัญชี หรือการบริหารกิจการวิสาหกิจในระดับไม่ต่ากว่าผู้บริหาร ระดับสูงของบริษทั มหาชนจากัดมาแล้วไม่น้อยกว่าสิบปี (๗) เคยเป็ นผู้ดารงตาแหน่งตาม (๑) (๒) (๓) (๔) หรือ (๖) รวมกันไม่ น้อยกว่าสิบปี การนบั ระยะเวลาตามวรรคสอง ให้นบั ถึงวันท่ีได้รับการเสนอชื่อหรือวัน สมคั รเข้ารับการสรรหา แล้วแต่กรณี มาตรา ๒๓๓ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมี วาระการดารงตาแหน่งเจ็ดปี นับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งต้ัง และให้ดารง ตาแหน่งได้เพียงวาระเดียว ในระหว่างทกี่ รรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติพ้นจาก ตาแหน่งก่อนวาระและยังไม่มีการแต่งต้ังกรรมการแทนตาแหน่งที่ว่าง ให้กรรมการ เท่าทเ่ี หลืออยู่ปฏิบตั ิหน้าทตี่ ่อไปได้ เว้นแต่จะมีกรรมการเหลืออย่ไู ม่ถึงห้าคน มาตรา ๒๓๔ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีหน้าทแ่ี ละอานาจ ดังต่อไปน้ี (๑) ไต่สวนและมีความเห็นกรณีมีการกล่าวหาว่าผู้ดารงตาแหน่งทาง การเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดารงตาแหน่งในองค์กรอิสระ หรือผู้ว่าการตรวจ เงินแผ่นดิน ผู้ใดมีพฤติการณ์ร่ารวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าท่ี หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่ าฝื นหรือไม่ ปฏิบตั ิตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง เพื่อดาเนินการต่อไปตามรัฐธรรมนูญ หรือตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริต

(๒) ไต่สวนและวินิจฉัยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐร่ารวยผิดปกติ กระทา ความผิดฐานทุจริตต่อหน้าท่ี หรือกระทาความผิดต่อตาแหน่งหน้าที่ราชการ หรือ ความผิดต่อตาแหน่งหน้าท่ีในการยุติธรรมเพื่อดาเนินการต่อไปตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกนั และปราบปรามการทุจริต (๓) กาหนดให้ผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ ดารงตาแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และเจ้าหน้าท่ขี องรัฐย่ืนบัญชี ทรัพย์สินและหน้ีสินของตน ค่สู มรส และบตุ รท่ียงั ไม่บรรลุนิตภิ าวะ รวมท้ังตรวจสอบ และเปิ ดเผยผลการตรวจสอบทรัพย์สินและหน้ีสินของบุคคลดังกล่าว ท้ังนี้ ตาม พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริต (๔) หน้าทแี่ ละอานาจอ่ืนท่ีบัญญัตไิ ว้ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ในการปฏิบัติหน้ าที่ตาม (๑) (๒) และ (๓) ให้ เป็ นหน้ าที่ของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติท่ีจะต้องจัดให้มีมาตรการ หรือแนวทางท่ีจะทาให้การปฏิบัติหน้าที่มีประสิทธิภาพเกิดความรวดเร็ว สุจริต และ เท่ียงธรรม ในกรณีจาเป็ นจะมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐท่ีมีหน้าท่ีและอานาจ เก่ียวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตดาเนินการแทนในเรื่องท่ีมิใช่เป็ น ความผิดร้ายแรงหรือท่ีเป็ นการกระทาของเจ้าหน้าท่ีของรัฐบางระดับหรือกาหนดให้ พนักงานเจ้าหน้าที่ของหน่วยธุรการของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริตแห่งชาติเป็ นผู้ดาเนินการสอบสวนหรือไต่สวนเบื้องต้นตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขท่บี ญั ญัตไิ ว้ในพระราชบัญญตั ิประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทจุ ริตก็ได้ มาตรา ๒๓๕ ภายใต้บังคับมาตรา ๒๓๖ ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัย หรื อมีการกล่าวหาว่าผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองเฉพาะ ที่บัญญัติไว้ใน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดารงตาแหน่งในองค์กรอิสระ หรือผู้ว่าการตรวจเงิน

แผ่นดินผู้ใดมีพฤติการณ์ตามมาตรา ๒๓๔ (๑) ให้คณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติไต่สวนข้อเท็จจริง และหากมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่ น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการท้ังหมดเท่าท่ีมีอยู่เห็นว่าผู้น้ันมีพฤติการณ์หรือกระทา ความผิดตามทไ่ี ต่สวนให้ดาเนินการดงั ต่อไปนี้ (๑) ถ้าเป็ นกรณีฝ่ าฝื นหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม อย่างร้ายแรง ให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัย ท้ังน้ี ให้นาความในมาตรา ๒๒๖ วรรคเจด็ มาใช้บงั คับแก่การพจิ ารณาพิพากษาของศาลฎีกาโดยอนุโลม (๒) กรณอี ื่นนอกจาก (๑) ให้ส่งสานวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุดเพื่อ ดาเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง หรือ ดาเนินการอ่ื นต าม พระราชบัญญั ติปร ะ กอบรั ฐ ธร ร ม นู ญว่ าด้ วยก าร ป้ องกั น แ ล ะ ปราบปรามการทุจริต การไต่สวนข้อเท็จจริงและมีมติตามวรรคหน่ึง คณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติต้องดาเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาท่ี กาหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต เมื่อศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดารงตาแหน่งทาง การเมืองประทับรับฟ้องให้ผู้ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบตั ิหน้าท่ีจนกว่าจะมีคาพิพากษา เว้น แต่ศาลฎกี าหรือศาลฎีกาแผนกคดอี าญาของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองจะมีคาสั่งเป็ น อย่างอื่น ในกรณีที่ศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดารงตาแหน่งทาง การเมืองมีคาพิพากษาว่ าผู้ถูกกล่ าวหามีพฤติการ ณ์ หรื อกร ะทาความผิดตาม ท่ีถู ก กล่าวหา แล้วแต่กรณี ให้ผู้ต้องคาพิพากษาน้ันพ้นจากตาแหน่งนับแต่วันหยุดปฏิบัติ หน้าท่ี และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกต้ังของผู้น้ันและจะเพิกถอนสิทธิเลือกต้ังมี กาหนดเวลาไม่เกินสิบปี ด้วยหรือไม่กไ็ ด้ ผู้ใดถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกต้ังไม่ว่าในกรณีใด ผู้น้ันไม่มีสิทธิ สมัครรับเลือกต้ังหรือสมัครรับเลือกเป็ นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา

สมาชิกสภาท้องถ่ินหรือผู้บริหารท้องถิ่นตลอดไป และไม่มีสิทธิดารงตาแหน่งทาง การเมืองใด ๆ ในกร ณีที่ศ าลฎีกาแ ผนกคดี อา ญาข อ งผู้ด าร งต าแ หน่ งท า งก าร เ มื อ ง พิพากษาว่าผู้ถูกกล่าวหามีความผิดฐานร่ารวยผิดปกติหรือทุจริตต่อหน้าที่ ให้ริบ ทรัพย์สินที่ผู้น้ันได้มาจากการกระทาความผิด รวมท้ังบรรดาทรัพย์สินหรือประโยชน์ อื่นใดท่ไี ด้มาแทนทรัพย์สินน้นั ตกเป็ นของแผ่นดิน ก า ร พิ จ า ร ณ า ข อ ง ศ า ล ฎี ก า แ ล ะ ศ า ล ฎี ก า แ ผ น ก ค ดี อ า ญ า ข อ ง ผู้ ด า ร ง ตาแหน่งทางการเมือง ให้นาสานวนการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเป็ นหลักในการพิจารณา และเพ่ือประโยชน์แห่งความ ยตุ ธิ รรม ให้ศาลมอี านาจไต่สวนข้อเทจ็ จริงและพยานหลกั ฐานเพมิ่ เตมิ ได้ ให้นามาตราน้ีมาใช้บังคับแก่กรณีท่ีบุคคลตามมาตรา ๒๓๔ (๓) จงใจไม่ ย่ืนบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหน้ีสิน หรือจงใจย่ืนบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน หรือหน้ีสินอันเป็ นเท็จหรือปกปิ ดข้อเท็จจริงท่ีควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อัน ควรเชื่อได้ว่ามเี จตนาไม่แสดงทมี่ าแห่งทรัพย์สินหรือหนีส้ ินน้นั ด้วยโดยอนุโลม มาตรา ๒๓๖ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒสิ ภา หรือสมาชิกของ ท้ังสองสภาจานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจานวนสมาชิกท้ังหมดเท่าที่มีอยู่ของท้ัง สองสภาหรือประชาชนผู้มีสิทธิเลือกต้ังจานวนไม่น้อยกว่าสองหมื่นคน มีสิทธิเข้าช่ือ กล่ าวหาว่ ากรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริ ตแห่ งชาติผู้ใดกระทาการต าม มาตรา ๒๓๔ (๑) โดยยื่นต่อประธานรัฐสภาพร้อมด้วยหลักฐานตามสมควร หาก ประธานรัฐสภาเหน็ ว่ามีเหตุอนั ควรสงสัยว่ามีการกระทาตามทถ่ี ูกกล่าวหา ให้ประธาน รัฐสภาเสนอเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาเพื่อต้ังคณะผู้ไต่สวนอิสระจากผู้ซ่ึงมีความ เป็ นกลางทางการเมืองและมีความซ่ือสัตย์สุจริตเป็ นที่ประจักษ์ เพ่ือไต่สวนหา ข้อเท็จจริง

คุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม หน้าที่และอานาจ วิธีการไต่สวน ระยะเวลา การไต่สวนและการดาเนินการอ่ืนที่จาเป็ นของคณะผู้ไต่สวนอิสระ ให้เป็ นไปตามท่ี กฎหมายบัญญตั ิ มาตรา ๒๓๗ เมื่อดาเนินการไต่สวนแล้วเสร็จ ให้คณะผู้ไต่สวนอิสระ ดาเนินการดงั ต่อไปน้ี (๑) ถ้าเห็นว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูลให้สั่งยุติเร่ือง และให้คาส่ังดังกล่าวเป็ น ที่สุด (๒) ถ้าเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาฝ่ าฝื นหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทาง จริยธรรมอย่างร้ายแรงให้เสนอเร่ืองต่อศาลฎีกาเพ่ือวินิจฉัย โดยให้นาความในมาตรา ๒๓๕ วรรคสาม วรรคสี่ และวรรคหกมาใช้บงั คบั โดยอนุโลม (๓) ถ้าเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหามีพฤติการณ์ตามที่ถูกกล่าวหา และมิใช่กรณี ตาม (๒) ให้ส่งสานวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุดเพ่ือดาเนินการฟ้องคดตี ่อศาลฎีกา แผนกคดอี าญาของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง และให้นาความในมาตรา ๒๓๕ วรรค สาม วรรคส่ี และวรรคห้า มาใช้บงั คับโดยอนุโลม ส่วนที่ ๕ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน มาตรา ๒๓๘ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินประกอบด้วยกรรมการ จานวนเจ็ดคนซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งต้ังตามคาแนะนาของวุฒิสภา จากผู้ซ่ึง ได้รับการสรรหาโดยคณะกรรมการสรรหา ผู้ซ่ึงได้รับการสรรหาต้องเป็ นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็ นท่ีประจักษ์ มี ความรู้ ความเช่ียวชาญ และประสบการณ์เก่ียวกับการตรวจเงินแผ่นดิน กฎหมาย การ

บัญชี การตรวจสอบภายใน การเงินการคลัง และด้านอ่ืนท่ีเป็ นประโยชน์ต่อการตรวจ เงินแผ่นดิน ท้ังนี้ เป็ นเวลาไม่น้อยกว่าสิบปี มาตรา ๒๓๙ กรรมการตรวจเงินแผ่นดินมีวาระการดารงตาแหน่งเจด็ ปี นับแต่วันท่ีพระมหากษตั ริย์ทรงแต่งต้ัง และให้ดารงตาแหน่งได้เพียงวาระเดียว มาตรา ๒๔๐ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินมีหน้าท่ีและอานาจ ดงั ต่อไปนี้ (๑) วางนโยบายการตรวจเงินแผ่นดิน (๒) กาหนดหลักเกณฑ์มาตรฐานเกี่ยวกบั การตรวจเงนิ แผ่นดิน (๓) กากบั การตรวจเงนิ แผ่นดินให้เป็ นไปตาม (๑) และ (๒) และกฎหมาย ว่าด้วยวนิ ัยการเงนิ การคลังของรัฐ (๔) ให้คาปรึกษา แนะนา หรือเสนอแนะเก่ียวกับการใช้จ่ายเงนิ แผ่นดินให้ เป็ นไปตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ รวมท้ังการให้คาแนะนาแก่ หน่วยงานของรัฐในการแก้ไขข้อบกพร่องเก่ยี วกบั การใช้จ่ายเงนิ แผ่นดนิ (๕) สั่งลงโทษทางปกครองกรณีมีการกระทาผิดกฎหมายว่าด้วยวินัย การเงินการคลังของรัฐ การดาเนินการตามวรรคหนึ่ง ให้เป็ นไปตามพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงนิ แผ่นดนิ ผู้ถูกสั่งลงโทษตาม (๕) อาจอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดได้ภายในเก้า สิบวันนับแต่วันที่ได้รับคาสั่งในการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุดต้องคานึงถึง นโยบายการตรวจเงินแผ่นดินและหลักเกณฑ์มาตรฐานเกี่ยวกับการตรวจเงินแผ่น ดิน ตาม (๑) และ (๒) ประกอบด้วย

มาตรา ๒๔๑ ให้มีผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนหน่ึงซ่ึงพระมหากษตั ริย์ ทรงแต่งต้ังตามคาแนะนาของวุฒิสภาโดยได้รับการเสนอช่ือจากคณะกรรมการตรวจ เงนิ แผ่นดนิ ผู้ว่ าการตรวจเงินแผ่ นดินต้ องมีคุณสมบัติและไม่ มีลักษณะต้ อ งห้ าม เช่นเดียวกบั กรรมการตรวจเงนิ แผ่นดนิ ผู้ได้รับการเสนอชื่อเพ่ือแต่งต้ังเป็ นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ต้องได้รับ ความเห็นชอบจากวุฒิสภาด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหน่ึงของสมาชิกวุฒิสภา ท้ังหมดเท่าท่ีมีอยู่ และให้นาความในมาตรา ๒๐๔ วรรคหน่ึง วรรคสอง และวรรคส่ี และมาตรา ๒๐๕ มาใช้บังคับแก่การแต่งต้งั ผู้ว่าการตรวจเงนิ แผ่นดินด้วยโดยอนุโลม การสรรหา การคัดเลือก และการเสนอช่ือผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินให้ เป็ นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดนิ มาตรา ๒๔๒ ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินปฏิบัติหน้าที่โดยเท่ียงธรรม เป็ นกลาง และปราศจากอคติท้ังปวงในการใช้ ดุลพินิจ โดยมีหน้าที่และอานาจ ดังต่อไปนี้ (๑) ตรวจเงินแผ่นดินตามนโยบายการตรวจเงินแผ่นดินและหลักเกณฑ์ มาตรฐานเกีย่ วกบั การตรวจเงนิ แผ่นดินที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดนิ กาหนด และ ตามกฎหมายว่าด้วยวนิ ยั การเงินการคลังของรัฐ (๒) ตรวจผลสัมฤทธ์ิและประสิทธิภาพในการใช้จ่ายเงินของหน่วยงาน ของรัฐ (๓) มอบหมายให้เจ้าหน้าทีด่ าเนินการตาม (๑) และ (๒) (๔) กากับและรับผดิ ชอบในการปฏิบตั ิหน้าท่ีของเจ้าหน้าทตี่ าม (๓)

มาตรา ๒๔๓ ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินมีความเป็ นอิสระในการ ปฏบิ ตั หิ น้าทโ่ี ดยรับผิดชอบต่อคณะกรรมการตรวจเงนิ แผ่นดิน และเป็ นผู้บังคบั บัญชา สูงสุดของหน่วยธุรการของคณะกรรมการตรวจเงนิ แผ่นดิน วาระการดารงตาแหน่ง การพ้นจากตาแหน่ง และการปฏิบัติหน้าที่ของ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ให้เป็ นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การตรวจเงินแผ่นดิน มาตรา ๒๔๔ ในกรณีท่ีมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการใช้ จ่ายเงิน แผ่นดินมีพฤตกิ ารณ์อันเป็ นการทุจริตต่อหน้าที่ จงใจปฏิบตั หิ น้าทีห่ รือใช้อานาจขัดต่อ บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรืออาจทาให้การเลือกต้ังมิได้เป็ นไปโดย สุจริตหรือเที่ยงธรรม และเป็ นกรณีท่ีผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินไม่มีอานาจจะ ดาเนินการใดได้ ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินแจ้งคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการการเลือกต้ัง หรือหน่วยงานอื่นที่ เก่ียวข้อง แล้วแต่กรณี เพื่อทราบและดาเนินการตามหน้าที่และอานาจต่อไป ในการดาเนินการของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ คณะกรรมการการเลือกต้ัง หรือหน่วยงานอื่นตามท่ีได้รับแจ้งตามวรรคหนง่ึ ให้ถือว่าเอกสารและหลักฐานที่ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบหรือจัดทาขึน้ เป็ น ส่ วนหน่ึงของสานวนการสอบสวนของคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการ ทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการการเลือกต้ัง หรือของหน่วยงานอื่นน้นั แล้วแต่กรณี มาตรา ๒๔๕ เพ่ือประโยชน์ในการระงับหรือยับย้ังความเสียหายที่อาจ เกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐ ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเสนอผลการตรวจสอบ การกระทาที่ไม่เป็ นไปตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐและอาจ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่การเงินการคลังของรัฐอย่างร้ายแรง ต่อคณะกรรมการตรวจ เงินแผ่นดนิ เพื่อพิจารณา

ใ น ก ร ณี ท่ี ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร ต ร ว จ เ งิ น แ ผ่ น ดิ น เ ห็ น พ้ อ ง ด้ ว ย กั บ ผ ล ก า ร ตรวจสอบดังกล่าว ให้ ปรึกษาหารื อร่ วมกับคณะกรรมการการเลือกต้ังและ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หากที่ประชุมร่วมเห็นพ้อง กับผลการตรวจสอบน้ัน ให้ร่วมกันมีหนังสือแจ้งสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และ คณะรัฐมนตรีเพ่ือทราบโดยไม่ชักช้า และให้เปิ ดเผยผลการตรวจสอบดังกล่าวต่อ ประชาชนเพ่ือทราบด้วย ส่วนท่ี ๖ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มาตรา ๒๔๖ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติประกอบด้วย กรรมการจานวนเจด็ คนซ่ึงพระมหากษัตริย์ทรงแต่งต้ังตามคาแนะนาของวุฒิสภาจาก ผ้ซู ึ่งได้รับการสรรหา ผู้ซ่ึงได้รับการสรรหาต้องมีความรู้และประสบการณ์ด้านการคุ้มครอง สิทธแิ ละเสรีภาพของประชาชนเป็ นกลางทางการเมือง และมคี วามซื่อสัตย์สุจริตเป็ นท่ี ประจกั ษ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีวาระการดารงตาแหน่งเจ็ดปี นับแต่ วันทีพ่ ระมหากษตั ริย์ทรงแต่งต้ัง และให้ดารงตาแหน่งได้เพียงวาระเดียว คุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม การสรรหา และการพ้นจากตาแหน่งของ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้เป็ นไปตามพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ท้ังนี้ บทบัญญัติเก่ียวกับ การสรรหาต้ องกาหนดให้ ผู้แทนองค์ กรเอกชนด้ านสิ ทธิมนุษยชนมีส่ วนร่ วมในการ สรรหาด้วย

มาตรา ๒๔๗ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาตมิ ีหน้าทีแ่ ละอานาจ ดังต่อไปน้ี (๑) ตรวจสอบและรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเก่ียวกับการละเมิดสิทธิ มนุษยชนทุกกรณีโดยไม่ล่าช้าและเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางทีเ่ หมาะสมในการ ป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมท้ังการเยียวยาผู้ได้รับความเสียหาย จากการละเมดิ สิทธิมนุษยชนต่อหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนท่ีเกย่ี วข้อง (๒) จัดทารายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของ ประเทศเสนอต่อรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี และเผยแพร่ต่อประชาชน (๓) เสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิ มนุษยชนต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เก่ียวข้อง รวมตลอดท้ังการแก้ไข ปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบยี บ หรือคาสั่งใด ๆ เพื่อให้สอดคล้องกบั หลักสิทธมิ นุษยชน (๔) ชี้แจงและรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องโดยไม่ชักช้าในกรณีที่มีการ รายงานสถานการณ์เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยโดยไม่ถูกต้องหรือไม่เป็ น ธรรม (๕) สร้างเสริมทุกภาคส่วนของสังคมให้ตระหนักถึงความสาคัญของ สิทธิมนุษยชน (๖) หน้าที่และอานาจอ่ืนตามท่ีกฎหมายบัญญตั ิ เม่ือรับทราบรายงานตาม (๑) และ (๒) หรือข้อเสนอแนะตาม (๓) ให้ คณะรัฐมนตรีดาเนินการปรับปรุงแก้ไขตามความเหมาะสมโดยเร็ว กรณีใดไม่อาจ ดาเนินการได้หรือต้องใช้เวลาในการดาเนินการ ให้แจ้งเหตุผลให้คณะกรรมการสิ ทธิ มนุษยชนแห่งชาติทราบโดยไม่ชักช้า ในการปฏิบัติหน้าท่ี คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติต้องคานึงถึง ความผาสุกของประชาชนชาวไทยและผลประโยชน์ส่วนรวมของชาตเิ ป็ นสาคญั ด้วย

หมวด ๑๓ องค์กรอยั การ มาตรา ๒๔๘ องค์กรอัยการมีหน้าท่ีและอานาจตามท่ีบัญญัติไว้ใน รัฐธรรมนูญและกฎหมาย พนักงานอัยการมีอิสระในการพิจารณา สั่ งคดีและการปฏิบัติหน้ าท่ีให้ เป็ นไปโดยรวดเร็ว เทย่ี งธรรม และปราศจากอคตทิ ้งั ปวง และไม่ให้ถือว่าเป็ นคาส่ังทาง ปกครอง การบริหารงานบุคคล การงบประมาณ และการดาเนินการอ่ืนขององค์กร อัยการให้มีความเป็ นอิสระโดยให้มรี ะบบเงินเดือนและค่าตอบแทนเป็ นการเฉพาะตาม ความเหมาะสมและการบริหารงานบุคคลเกี่ยวกับพนักงานอัยการต้องดาเนินการโดย คณะกรรมการอัยการ ซ่ึงอย่างน้อยต้องประกอบด้วยประธานกรรมการซ่ึงต้องไม่เป็ น พนักงานอัยการ และผู้ทรงคุณวุฒิบรรดาที่ได้รับเลือกจากพนักงานอัยการ ผู้ทรงคุณวุฒิดังกล่าวอย่างน้อยต้องมีบุคคลซึ่งไม่เป็ นหรือเคยเป็ นพนักงานอัยการมา ก่อนสองคน ท้ังน้ี ตามทกี่ ฎหมายบัญญตั ิ กฎหมายตามวรรคสาม ต้องมีมาตรการป้องกันมิให้พนักงานอัยการ กระทาการหรือดารงตาแหน่งใดอันอาจมีผลให้การสั่งคดีหรือการปฏิบัติหน้าที่ไม่ เป็ นไปตามวรรคสอง หรืออาจทาให้มีการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ท้ังน้ี มาตรการ ดงั กล่าวต้องกาหนดให้ชัดแจ้งและใช้เป็ นการทว่ั ไป โดยจะมอบอานาจให้มีการพิจารณา เป็ นกรณี ๆ ไปมไิ ด้

หมวด ๑๔ การปกครองส่วนท้องถิน่ มาตรา ๒๔๙ ภายใต้บังคบั มาตรา ๑ ให้มกี ารจัดการปกครองส่วนท้องถ่ิน ตามหลักแห่งการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถ่ิน ท้ังน้ี ตาม วธิ กี ารและรูปแบบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทีก่ ฎหมายบัญญัติ การจัดต้ังองค์กรปกครองส่ วนท้องถ่ินในรูปแบบใดให้ คานึงถึง เจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถ่ินและความสามารถในการปกครองตนเองใ นด้ าน รายได้ จานวนและความหนาแน่นของประชากร และพื้นท่ีที่ต้องรับผิดชอบ ประกอบ กัน มาตรา ๒๕๐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่และอานาจดูแลและ จัดทาบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะเพ่ือประโยชน์ของประชาชนในท้องถ่ิน ตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมท้ังส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาให้แก่ ประชาชนในท้องถ่ิน ท้ังนี้ ตามท่ีกฎหมายบญั ญัติ การจัดทาบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะใดที่สมควรให้เป็ น หน้าที่และอานาจโดยเฉพาะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละรูปแบบ หรือให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็ นหน่วยงานหลักในการดาเนินการใด ให้ เป็ นไปตามที่ กฎหมายบัญญัติซ่ึงต้ องสอดคล้ องกับรายได้ ขององค์ กรปกครองส่ วนท้องถิ่นตาม วรรคส่ี และกฎหมายดังกล่าวอย่างน้อยต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับกลไกและข้ันตอนใน การกระจายหน้าที่และอานาจ ตลอดจนงบประมาณและบุคลากรที่เกี่ยวกับหน้าที่และ อานาจดังกล่าวของส่วนราชการให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ ด้วย ในการจัดทาบริการสาธารณะหรือกิจกรรมสาธารณะใดท่ีเป็ นหน้าทแี่ ละ อานาจขององค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่น ถ้าการร่ วมดาเนินการกับเอกชนหรือ หน่วยงานของรัฐหรือการมอบหมายให้เอกชนหรือหน่วยงานของรัฐดาเนินการ จะ

เป็ นประโยชน์แก่ประชาชนในท้องถิ่นมากกว่าการท่ีองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินจะ ดาเนินการเอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะร่วมหรือมอบหมายให้เอกชนหรือ หน่วยงานของรัฐดาเนินการน้ันกไ็ ด้ รัฐต้องดาเนนิ การให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินมีรายได้ของตนเองโดย จัดระบบภาษีหรือการจัดสรรภาษีท่ีเหมาะสม รวมท้ังส่งเสริมและพัฒนาการหารายได้ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ท้ังน้ี เพื่อให้สามารถดาเนินการตามวรรคหน่ึงได้ อย่างเพียงพอ ในระหว่างที่ยังไม่อาจดาเนินการได้ ให้รัฐจัดสรรงบประมาณเพ่ือ สนบั สนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ ไปพลางก่อน กฎหมายตามวรรคหน่ึงและกฎหมายที่เกี่ยวกับการบริหารราชก ารส่ วน ท้องถิ่น ต้องให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอิสระในการบริหาร การจัดทาบริการ สาธารณะ การส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษา การเงินและการคลัง และการ กากับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซ่ึงต้องทาเพียงเท่าที่จาเป็ นเพื่อการคุ้มครอง ประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นหรือประโยชน์ของประเทศเป็ นส่วนรวม การ ป้องกันการทจุ ริต และการใช้จ่ายเงนิ อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคานึงถงึ ความเหมาะสม และความแตกต่างขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินแต่ละรูปแบบ และต้องมบี ทบัญญัติ เก่ยี วกับการป้องกนั การขัดกันแห่งผลประโยชน์ และการป้องกนั การก้าวก่ายการปฏิบัติ หน้าทข่ี องข้าราชการส่วนท้องถ่ินด้วย มาตรา ๒๕๑ การบริหารงานบุคคลขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินให้ เป็ นไปตามที่กฎหมายบัญญัติซึ่งต้องใช้ ระบบคุณธรรมและต้องคานึงถึงความ เหมาะสมและความจาเป็ นของแต่ละท้องถ่ินและองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินแต่ละ รูปแบบ การจัดให้มีมาตรฐานท่ีสอดคล้องกันเพื่อให้สามารถพัฒนาร่วมกันหรือการ สับเปลยี่ นบคุ ลากรระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ ด้วยกันได้

มาตรา ๒๕๒ สมาชิกสภาท้องถ่นิ ต้องมาจากการเลือกต้ัง ผู้บริหารท้องถ่นิ ให้มาจากการเลือกต้ังหรือมาจากความเห็นชอบของสภา ท้องถิ่นหรือในกรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินรูปแบบพิเศษ จะให้มาโดยวิธีอื่นกไ็ ด้ แต่ต้องคานึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนด้วย ท้ังน้ี ตามท่ีกฎหมายบญั ญตั ิ คุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกต้ังและผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกต้ัง และ หลักเกณฑ์และวธิ กี ารเลือกต้งั สมาชิกสภาท้องถิ่นและผ้บู ริหารท้องถนิ่ ให้เป็ นไปตามที่ กฎหมายบัญญัติ ซ่ึงต้องคานึงถึงเจตนารมณ์ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ตามแนวทางทบ่ี ัญญัตไิ ว้ในรัฐธรรมนูญด้วย มาตรา ๒๕๓ ในการดาเนินงาน ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สภา ท้องถิ่น และผ้บู ริหารท้องถนิ่ เปิ ดเผยข้อมูลและรายงานผลการดาเนินงานให้ประชาชน ทราบ รวมตลอดท้ังมีกลไกให้ประชาชนในท้องถ่ินมีส่ วนร่ วมด้วย ท้ังนี้ ตาม หลกั เกณฑ์และวธิ กี ารทีก่ ฎหมายบัญญัติ มาตรา ๒๕๔ ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกต้ังในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินมี สิทธเิ ข้าช่ือกันเพ่ือเสนอข้อบัญญตั ิหรือเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหาร ท้องถิน่ ได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขที่กฎหมายบญั ญตั ิ หมวด ๑๕ การแก้ไขเพ่มิ เตมิ รัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๕๕ การแก้ไขเพ่ิมเติมรัฐธรรมนูญท่ีเป็ นการเปลี่ยนแปลงการ ปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็ นประมุข หรือเปล่ียนแปลง รูปแบบของรัฐ จะกระทามิได้

มาตรา ๒๕๖ ภายใต้บังคับมาตรา ๒๕๕ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ให้กระทาได้ตามหลกั เกณฑ์และวธิ ีการ ดังต่อไปนี้ (๑) ญัตติขอแก้ไขเพมิ่ เติมต้องมาจากคณะรัฐมนตรี หรือจากสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจานวนไม่น้อยกว่าหน่ึงในห้าของจานวนสมาชิกท้ังหมดเท่าท่ีมีอยู่ของ สภาผู้แทนราษฎร หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาจานวนไม่ น้ อยกว่ าหน่ึงในห้ าของจานวนสมาชิ กท้ังหมดเท่ าท่ีมีอยู่ของท้ังสองสภาหรื อจา ก ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกต้ังจานวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนตามกฎหมายว่าด้วยการ เข้าช่ือเสนอกฎหมาย (๒) ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องเสนอเป็ นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพ่ิมเติม ต่อรัฐสภาและให้รัฐสภาพิจารณาเป็ นสามวาระ (๓) การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่หน่ึงข้ันรับหลักการ ให้ใช้วิธี เรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิ ดเผยและต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการแก้ไข เพิ่มเติมน้ัน ไม่น้อยกว่ากึ่งหน่ึงของจานวนสมาชิกท้ังหมดเท่าท่ีมีอยู่ของท้ังสองสภา ซึ่งในจานวนนี้ต้องมีสมาชิกวุฒิสภาเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าหน่ึงในสามของจานวน สมาชิกท้งั หมดเท่าทีม่ ีอย่ขู องวฒุ ิสภา (๔) การพิจารณาในวาระท่ีสองข้ันพิจารณาเรียงลาดับมาตรา โดยการ ออกเสียงในวาระที่สองนี้ ให้ถือเสียงข้างมากเป็ นประมาณ แต่ ในกรณีที่เป็ นร่าง รัฐธรรมนูญแก้ไขเพ่ิมเติมท่ีประชาชนเป็ นผู้เสนอต้องเปิ ดโอกาสให้ผู้แทนของ ประชาชนที่เข้าชื่อกันได้แสดงความคิดเห็นด้วย (๕) เมื่อการพิจารณาวาระที่สองเสร็จสิ้นแล้ว ให้รอไว้สิบห้าวัน เม่ือพ้น กาหนดนแี้ ล้วให้รัฐสภาพิจารณาในวาระท่สี ามต่อไป (๖) การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สามข้นั สุดท้าย ให้ใช้วิธีเรียกช่ือและ ลงคะแนนโดยเปิ ดเผยและต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการท่ีจะให้ ออกใช้เป็ น รัฐธรรมนูญมากกว่ากึ่งหนง่ึ ของจานวนสมาชิกท้งั หมดเท่าทีม่ อี ย่ขู องท้ังสองสภา โดย ในจานวนน้ีต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคการเมืองท่ีสมาชิกมิได้ดารง

ตาแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าร้อยละย่ีสิบของทุกพรรคการเมืองดังกล่าวรวมกัน และมี สมาชิกวฒุ ิสภาเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าหนงึ่ ในสามของจานวนสมาชิกท้ังหมดเท่าที่มี อยู่ของวฒุ ิสภา (๗) เมื่อมีการลงมติเห็นชอบตาม (๖) แล้ว ให้รอไว้สิบห้าวัน แล้วจึงนา ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิม่ เติมขึน้ ทลู เกล้าทูลกระหม่อมถวาย และให้นาความในมาตรา ๘๑ มาใช้บงั คับโดยอนุโลม (๘) ในกรณีร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพมิ่ เติมเป็ นการแก้ไขเพิ่มเตมิ หมวด ๑ บทท่ัวไป หมวด ๒ พระมหากษัตริย์ หรือหมวด ๑๕ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หรือเร่ืองที่เกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดารงตาแหน่งต่าง ๆ ตาม รัฐธรรมนูญ หรือเรื่องทเ่ี กยี่ วกบั หน้าทีห่ รืออานาจของศาล หรือองค์กรอสิ ระ หรือเรื่อง ที่ทาให้ศาลหรือองค์กรอิสระไม่อาจปฏิบัติตามหน้าที่หรืออานาจได้ ก่อนดาเนินการ ตาม (๗) ให้จดั ให้มกี ารออกเสียงประชามตติ ามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ถ้าผลการออกเสียงประชามติเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม จึงให้ ดาเนินการตาม (๗) ต่อไป (๙) ก่อนนายกรัฐมนตรีนาความกราบบังคมทูลเพื่อทรงลงพระ ปรมาภไิ ธยตาม (๗) สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎร หรือสมาชิกวฒุ สิ ภา หรือสมาชิกท้ังสอง สภารวมกัน มีจานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของสมาชิกท้ังหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละ สภา หรือของท้ังสองสภารวมกัน แล้วแต่กรณี มีสิทธิเข้าช่ือกันเสนอความเห็นต่อ ประธานแห่งสภาทีต่ นเป็ นสมาชิกหรือประธานรัฐสภา แล้วแต่กรณี ว่าร่างรัฐธรรมนูญ ตาม (๗) ขัดต่อมาตรา ๒๕๕ หรือมีลักษณะตาม (๘) และให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับ เรื่องดงั กล่าวส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ และให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้แล้ว เสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วนั ที่ได้รับเรื่อง ในระหว่างการพิจารณาวินิจฉัยของศาล รัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีจะนาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวขึน้ ทูลเกล้า ทูลกระหม่อมถวายเพ่ือพระมหากษตั ริย์ทรงลงพระปรมาภไิ ธยมิได้

หมวด ๑๖ การปฏิรูปประเทศ มาตรา ๒๕๗ การปฏิรูปประเทศตามหมวดนี้ต้องดาเนินการเพื่อบรรลุ เป้าหมาย ดังต่อไปน้ี (๑) ประเทศชาติมีความสงบเรียบร้อย มีความสามัคคีปรองดอง มีการ พัฒนาอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และมีความสมดุลระหว่าง การพฒั นาด้านวตั ถกุ ับการพฒั นาด้านจติ ใจ (๒) สังคมมีความสงบสุข เป็ นธรรม และมีโอกาสอันทัดเทียมกันเพื่อ ขจดั ความเหล่ือมลา้ (๓) ประชาชนมีความสุข มีคณุ ภาพชีวติ ทด่ี ี และมีส่วนร่วมในการพฒั นา ประเทศและการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็ น ประมขุ มาตรา ๒๕๘ ให้ดาเนินการปฏิรูปประเทศอย่างน้อยในด้านต่าง ๆ ให้ เกิดผล ดงั ต่อไปน้ี ก. ด้านการเมือง (๑) ให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจท่ีถูกต้องเกี่ยวกบั การปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็ นประมุข มีส่วนร่วมในการดาเนิน กิจกรรมทางการเมืองรวมตลอดท้ังการตรวจสอบการใช้อานาจรัฐ รู้จักยอมรับใน ความเห็นทางการเมืองโดยสุจริตท่ีแตกต่างกัน และให้ประชาชนใช้สิทธิเลือกต้ังและออก เสียงประชามตโิ ดยอสิ ระปราศจากการครอบงาไม่ว่าด้วยทางใด (๒) ให้การดาเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองเป็ นไปโดยเปิ ดเผยและ ตรวจสอบได้ เพ่ือให้พรรคการเมืองพัฒนาเป็ นสถาบันทางการเมืองของประชาชนซึ่ง มีอุดมการณ์ทางการเมืองร่วมกัน มีกระบวนการให้สมาชิกพรรคการเมืองมีส่วนร่วม

และมคี วามรับผิดชอบอย่างแท้จริงในการดาเนินกิจกรรมทางการเมืองและการคัดเลือก ผู้มีความรู้ความสามารถ ซื่อสัตย์สุจริต และมีคุณธรรมจริยธรรม เข้ามาเป็ นผู้ดารง ตาแหน่งทางการเมืองทชี่ ัดเจนและเป็ นรูปธรรม (๓) มีกลไกที่กาหนดความรับผิดชอบของพรรคการเมืองในการ ประกาศโฆษณานโยบายท่ีมิได้วิเคราะห์ผลกระทบ ความคุ้มค่า และความเสี่ยงอย่าง รอบด้าน (๔) มกี ลไกท่ีกาหนดให้ผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองต้องปฏิบัติหน้าท่ี ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและรับผิดชอบต่อประชาชนในการปฏบิ ัติหน้าทข่ี องตน (๕) มีกลไกแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองโดยสันติวิธีภายใต้ การปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอนั มีพระมหากษตั ริย์ทรงเป็ นประมุข ข. ด้านการบริหารราชการแผ่นดนิ (๑) ให้มีการนาเทคโนโลยีท่ีเหมาะสมมาประยุกต์ใช้ในการบริหาร ราชการแผ่นดินและการจัดทาบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการ แผ่นดนิ และเพ่ืออานวยความสะดวกให้แก่ประชาชน (๒) ให้มีการบูรณาการฐานข้อมูลของหน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงาน เข้าด้วยกัน เพ่ือให้เป็ นระบบข้อมูลเพ่ือการบริหารราชการแผ่นดินและการบริการ ประชาชน (๓) ให้มีการปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างและระบบการบริหารงาน ของรัฐและแผนกาลังคนภาครัฐให้ทนั ต่อการเปล่ียนแปลงและความท้าทายใหม่ ๆ โดย ต้องดาเนนิ การให้เหมาะสมกับภารกิจของหน่วยงานของรัฐแต่ละหน่วยงานทแ่ี ตกต่าง กัน (๔) ให้มกี ารปรับปรุงและพฒั นาการบริหารงานบุคคลภาครัฐเพื่อจูงใจ ให้ผู้มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงเข้ามาทางานในหน่วยงานของรัฐ และสามารถ เจริญก้าวหน้าได้ตามความสามารถและผลสัมฤทธ์ิของงานของแต่ละบุคคล มีความ ซ่ือสัตย์สุจริต กล้าตัดสินใจและกระทาในส่ิงที่ถูกต้องโดยคิดถึงประโยชน์ส่วนรวม

มากกว่าประโยชน์ส่วนตัว มีความคิดสร้างสรรค์และคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ เพ่ือให้ การปฏิบัติราชการและการบริหารราชการแผ่นดินเป็ นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และมี มาตรการคุ้มครองป้องกันบุคลากรภาครัฐจากการใช้อานาจโดยไม่เป็ นธรรมของ ผ้บู งั คบั บญั ชา (๕) ให้มีการปรับปรุงระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้มีความ คล่องตวั เปิ ดเผย ตรวจสอบได้ และมีกลไกในการป้องกันการทุจริตทกุ ข้ันตอน ค. ด้านกฎหมาย (๑) มีกลไกให้ดาเนินการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือข้อบังคับ ต่าง ๆ ท่ีใช้บังคับอยู่ก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญน้ีให้สอดคล้องกับหลักการตาม มาตรา ๗๗ และพัฒนาให้สอดคล้องกับหลักสากล โดยให้มีการใช้ระบบอนุญาตและ ระบบการดาเนินการโดยคณะกรรมการเพียงเท่าที่จาเป็ นเพื่อให้การทางานเกิดความ คล่องตัว โดยมีผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน และไม่สร้างภาระแก่ประชาชนเกินความจาเป็ น เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และป้องกันการทุจริตและประพฤติมิ ชอบ (๒) ปฏิรูประบบการเรียนการสอนและการศึกษาอบรมวิชากฎหมาย เพื่อพฒั นาผ้ปู ระกอบวิชาชีพกฎหมายให้เป็ นผู้มคี วามรอบรู้ มนี ติ ิทัศนะ และยดึ มนั่ ใน คณุ ธรรมและจริยธรรมของนักกฎหมาย (๓) พัฒนาระบบฐานข้อมูลกฎหมายของรัฐโดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลกฎหมายได้สะดวก และสามารถเข้าใจเนื้อหาสาระของ กฎหมายได้ง่าย (๔) จัดให้มีกลไกช่วยเหลือประชาชนในการจัดทาและเสนอร่ าง กฎหมาย ง. ด้านกระบวนการยตุ ิธรรม (๑) ให้ มีการกาหนดระยะเวลาดาเนินงานในทุกข้ันต อนของ กระบวนการยตุ ิธรรมท่ชี ัดเจนเพ่ือให้ประชาชนได้รับความยตุ ิธรรมโดยไม่ล่าช้า และมี

กลไกช่วยเหลือประชาชนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ให้เข้าถึงกระบวนการยตุ ิธรรมได้ รวม ตลอดท้ังการสร้างกลไกเพ่ือให้มีการบังคับการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อล ด ความเหลื่อมลา้ และความไม่เป็ นธรรมในสังคม (๒) ปรับปรุงระบบการสอบสวนคดีอาญาให้มีการตรวจสอบและ ถ่วงดุลระหว่างพนักงานสอบสวนกับพนักงานอัยการอย่างเหมาะสม กาหนด ระยะเวลาในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าท่ีที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ ายให้ชัดเจนเพ่ือมิให้คดี ขาดอายุความ และสร้างความเช่ือมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวนและ พนักงานอัยการในการสอบสวนคดีอาญา รวมท้ังกาหนดให้การสอบสวนต้องใช้ ประโยชน์จากนิติวิทยาศาสตร์ และจัดให้มีบริการทางด้านนิติวิทยาศาสตร์มากกว่า หนึ่งหน่วยงานท่ีมีอิสระจากกันเพ่ือให้ประชาชนได้รับบริการในการพสิ ูจน์ข้อเท็จจริง อย่างมที างเลือก (๓) เสริมสร้างและพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรขององค์กรต่าง ๆ ท่ี เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมให้ม่งุ อานวยความยตุ ิธรรมแก่ประชาชนโดยสะดวก และรวดเร็ว (๔) ดาเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแก้ไข ปรับปรุงกฎหมายเกีย่ วกบั หน้าท่ี อานาจ และภารกิจของตารวจให้เหมาะสม และแก้ไข ปรับปรุงกฎหมายเก่ียวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการตารวจให้ เกิด ประสิทธภิ าพ มหี ลักประกนั ว่าข้าราชการตารวจจะได้รับค่าตอบแทนท่ีเหมาะสมได้รับ ความเป็ นธรรมในการแต่งต้ัง และโยกย้าย และการพิจารณาบาเหน็จความชอบตาม ระบบคณุ ธรรมที่ชัดเจน ซ่ึงในการพจิ ารณาแต่งต้ังและโยกย้ายต้องคานึงถึงอาวุโสและ ความรู้ ความสามารถประกอบกันเพื่อให้ ข้ าราชการตารวจสามารถปฏิบัติหน้ าที่ได้ อย่างมีอิสระ ไม่ตกอยู่ใต้อาณัติของบุคคลใด มีประสิทธิภาพและภาคภูมิใจในการ ปฏิบตั ิหน้าท่ขี องตน

จ. ด้านการศึกษา (๑) ให้สามารถเร่ิมดาเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อน เข้ารับการศึกษาตามมาตรา ๕๔ วรรคสอง เพ่ือให้เด็กเล็กได้รับการพัฒนาร่างกาย จติ ใจ วินัย อารมณ์ สังคมและสตปิ ัญญาให้สมกับวยั โดยไม่เกบ็ ค่าใช้จ่าย (๒) ให้ดาเนนิ การตรากฎหมายเพื่อจัดต้ังกองทุนตามมาตรา ๕๔ วรรคหก ให้แล้วเสร็จภายในหนงึ่ ปี นับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญน้ี (๓) ให้มีกลไกและระบบการผลิต คัดกรองและพัฒนาผู้ประกอบ วิชาชีพครูและอาจารย์ให้ได้ผู้มีจิตวิญญาณของความเป็ นครู มีความรู้ความสามารถ อย่างแท้จริง ได้รับค่าตอบแทนท่ีเหมาะสมกับความสามารถและประสิทธิภาพในการ สอน รวมท้ังมีกลไกสร้างระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคลของผู้ประกอบ วชิ าชีพครู (๔) ปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนทุกระดับเพ่ือให้ผู้เรียนสามารถ เรียนได้ ตามความถนัดและปรับปรุงโครงสร้ างของหน่ วยงานท่ีเกี่ยวข้ องเพื่อบรร ลุ เป้าหมายดังกล่าว โดยสอดคล้องกันท้งั ในระดับชาติและระดับพืน้ ท่ี ฉ. ด้านเศรษฐกิจ (๑) ขจัดอุปสรรคและเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของ ประเทศเพ่ือให้ ประเทศชาติและประชาชนได้ รั บประโยชน์ จากการเข้ าร่ วมกลุ่ม เศรษฐกิจต่าง ๆ อย่างยงั่ ยืน โดยมีภมู คิ ้มุ กนั ทีด่ ี (๒) สร้างกลไกเพ่ือส่งเสริมและสนับสนุนการนาความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีทท่ี ันสมยั มาใช้ในการพฒั นาเศรษฐกจิ ของประเทศ (๓) ปรับปรุงระบบภาษีอากรให้มีความเป็ นธรรม ลดความเหลื่อมล้า เพิ่มพูนรายได้ของรัฐด้านต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ และปรับปรุงระบบการจัดทา และการใช้จ่ายงบประมาณให้มปี ระสิทธิภาพและสัมฤทธผิ ล (๔) สร้างกลไกเพ่ือส่งเสริมสหกรณ์และผ้ปู ระกอบการแต่ละขนาดให้มี ความสามารถในการแข่งขันอย่างเหมาะสม และส่งเสริมการประกอบวิสาหกิจเพ่ือ

สังคมและวิสาหกิจที่เป็ นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมท้ังสร้างกลไกเพิ่มโอกาสในการ ทางานและการประกอบอาชีพของประชาชน ช. ด้านอ่ืน ๆ (๑) ให้มีระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้าท่ีมีประสิทธิภาพ เป็ นธรรม และยั่งยืนโดยคานึงถึงความต้องการใช้น้าในทุกมิติ รวมท้ังความเปล่ียนแปลงของ สภาพแวดล้อมและสภาพภูมอิ ากาศประกอบกนั (๒) จัดให้มีการกระจายการถือครองท่ีดินอย่างเป็ นธรรม รวมท้ังการ ตรวจสอบกรรมสิทธ์ิและการถือครองทดี่ ินท้ังประเทศเพ่ือแก้ไขปัญหากรรมสิทธ์ิและ สิทธิครอบครองท่ดี นิ อย่างเป็ นระบบ (๓) จัดให้มีระบบจัดการและกาจัดขยะมูลฝอยท่ีมีประสิทธิภาพ เป็ น มิตรต่อส่ิงแวดล้อม และสามารถนาไปใช้ให้เกดิ ประโยชน์ด้านอื่น ๆ ได้ (๔) ปรับระบบหลักประกันสุขภาพให้ประชาชนได้รับสิทธิและ ประโยชน์จากการบริหารจัดการและการเข้าถึงบริการท่ีมคี ุณภาพและสะดวกทัดเทยี ม กนั (๕) ให้มีระบบการแพทย์ปฐมภูมิที่มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวดูแล ประชาชนในสัดส่วนท่เี หมาะสม มาตรา ๒๕๙ ภายใต้บังคับมาตรา ๒๖๐ และมาตรา ๒๖๑ การปฏิรูป ประเทศตามหมวดนี้ให้เป็ นไปตามกฎหมายว่าด้วยแผนและข้ันตอนการดาเนินการ ปฏิรูปประเทศซึ่งอย่างน้อยต้องมีวธิ ีการจัดทาแผน การมีส่วนร่วมของประชาชนและ หน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง ข้ันตอนในการดาเนินการปฏิรูปประเทศ การวัดผลการ ดาเนินการ และระยะเวลาดาเนินการปฏิรูปประเทศทุกด้าน ซ่ึงต้องกาหนดให้เริ่ม ดาเนินการปฏิรูปในแต่ละด้านภายในหน่ึงปี นับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญน้ีรวม ตลอดท้ังผลสัมฤทธ์ทิ คี่ าดหวงั ว่าจะบรรลุในระยะเวลาห้าปี

ให้ดาเนินการตรากฎหมายตามวรรคหนึ่ง และประกาศใช้บังคับภายใน หน่งึ ร้อยย่สี ิบวนั นบั แต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ในระหว่างที่กฎหมายตามวรรคหน่ึงยังไม่มีผลใช้บังคับ ให้หน่วยงาน ของรัฐดาเนนิ การปฏริ ูปโดยอาศัยหน้าทแี่ ละอานาจทม่ี อี ยู่แล้วไปพลางก่อน มาตรา ๒๖๐ ในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายตามมาตรา ๒๕๘ ง. ด้าน กระบวนการยุติธรรม (๔) ให้มีคณะกรรมการคณะหน่ึงซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งต้ัง ประกอบด้วย (๑) ผู้ทรงคุณวุฒิซ่ึงมีความรู้ความซ่ือสัตย์สุจริตและเที่ยงธรรมเป็ นที่ ประจักษ์และไม่เคยเป็ นข้าราชการตารวจมาก่อน เป็ นประธาน (๒) ผู้เป็ นหรือเคยเป็ นข้าราชการตารวจซึ่งอย่างน้อยต้องมีผู้บัญชาการ ตารวจแห่งชาตริ วมอยู่ด้วยมีจานวนตามทคี่ ณะรัฐมนตรีกาหนด เป็ นกรรมการ (๓) ผู้ทรงคุณวุฒิซ่ึงมีความรู้ความซ่ือสัตย์สุจริตและเที่ยงธรรมเป็ นท่ี ประจักษ์และไม่เคยเป็ นข้าราชการตารวจมาก่อน มีจานวนเท่ากับกรรมการตาม (๒) เป็ นกรรมการ (๔) ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวง ยตุ ธิ รรม เลขาธกิ ารสานักงานศาลยตุ ิธรรม และอยั การสูงสุด เป็ นกรรมการ ให้คณะกรรมการตามวรรคหนึ่งดาเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปี นบั แต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เม่ือครบกาหนดเวลาตามวรรคสองแล้ว ถ้าการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ ให้การแต่งต้ังโยกย้ายข้าราชการตารวจดาเนินการตามหลัก อาวโุ สตามหลักเกณฑ์ท่ีคณะรัฐมนตรีกาหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา มาตรา ๒๖๑ ในการปฏิรูปตามมาตรา ๒๕๘ จ. ด้านการศึกษา ให้มี คณะกรรมการที่มีความเป็ นอิสระคณะหนึ่งที่คณะรัฐมนตรีแต่งต้ังดาเนินการศึกษา

แ ล ะ จัด ทา ข้อ เ ส น อ แ น ะ แ ล ะ ร่ า ง ก ฎ ห ม า ยท่ี เก่ียวข้ อ งในก ารด าเนิน การ ให้ บ ร ร ลุ เป้าหมายเพ่ือเสนอคณะรัฐมนตรีดาเนนิ การต่อไป ให้คณะรัฐมนตรีแต่งต้ังคณะกรรมการตามวรรคหนึ่งให้แล้วเสร็จภายใน หกสิบวันนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญน้ี และให้คณะกรรมการดาเนินการศึกษา แ ละจัดทาข้อเสนอแ นะแ ละร่ าง ก ฎหม า ยให้ แ ล้ วเสร็ จแ ละเสนอต่ อคณะรั ฐ ม นต รี ภายในสองปี นบั แต่วันท่ไี ด้รับการแต่งต้ัง บทเฉพาะกาล มาตรา ๒๖๒ ให้คณะองคมนตรีซึ่งดารงตาแหน่งอยู่ในวันก่อนวัน ประกาศใช้รัฐธรรมนูญนเี้ ป็ นคณะองคมนตรีตามบทบัญญตั ิแห่งรัฐธรรมนูญนี้ มาตรา ๒๖๓ ในระหว่างที่ยังไม่มีสภาผู้แทนราษฎรและวฒุ ิสภาตาม รัฐธรรมนูญนี้ ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติท่ีต้ังขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ยังคงทาหน้าที่รัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาต่อไป และให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติซึ่งดารงตาแหน่งอยู่ในวัน ก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญน้ี ทาหน้าท่ีเป็ นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิก วุฒิสภา ตามลาดับ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ และให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสมาชิกสภานติ บิ ญั ญตั แิ ห่งชาติสิ้นสุดลงในวันก่อนวันเรียกประชุมรัฐสภาคร้ังแรก ภายหลังการเลือกต้งั ทวั่ ไปทจ่ี ดั ขึน้ ตามรัฐธรรมนูญน้ี สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ นอกจากจะต้องมีคุณสมบัติและไม่มี ลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับช่ัวคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แล้ว ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม รวมท้ังเหตุแห่งการสิ้นสุด สมาชิกภาพตามที่บัญญัติไว้สาหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาตาม รัฐธรรมนูญน้ี ดังต่อไปนี้ด้วย

(๑) มาตรา ๙๘ ยกเว้น (๓) (๑๒) (๑๓) (๑๔) และ (๑๕) (๒) มาตรา ๑๐๑ ยกเว้น (ก) กรณตี าม (๖) เฉพาะในส่วนทีเ่ กยี่ วกับมาตรา ๙๘ ยกเว้น (๓) (๑๒) (๑๓)(๑๔) และ (๑๕) (ข) กรณีตาม (๗) เฉพาะในกรณที ส่ี มาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็ น เจ้าหน้าที่ของรัฐทปี่ ฏิบัติการตามหน้าที่และอานาจตามกฎหมายหรือคาสั่งทช่ี อบด้วย กฎหมาย และในส่วนท่ีเก่ียวกับ มาตรา ๑๘๔ (๑) (๓) มาตรา ๑๐๘ ยกเว้น ก. คุณสมบัติตาม (๓) และ (๔) และ ข. ลักษณะ ต้องห้ามตาม (๑) (๒) และ (๗) แต่เฉพาะกรณีตาม (๑) น้นั ไม่รวมส่วนทเี่ ก่ียวกบั มาตรา ๙๘ (๓) และ (๑๕) มิให้นามาตรา ๑๑๒ มาใช้บังคับแก่การดารงตาแหน่งรัฐมนตรีของ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดที่ห้ามมิให้บุคคลดารงตาแหน่งทางการเมือง มใิ ห้นามาใช้บงั คับแก่การดารงตาแหน่งรัฐมนตรีตามมาตรา ๒๖๔ ข้าราชการการเมือง ทต่ี ้งั ขนึ้ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัตหิ น้าท่ขี องคณะรัฐมนตรีตามมาตรา ๒๖๔ หรือเพื่อ ประโยชน์ในการปฏบิ ัติหน้าที่ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติตามมาตรา ๒๖๕ หรือ สมาชิกสภานิติบญั ญัตแิ ห่งชาตติ ามมาตราน้ี ในระหว่างท่ีสภานิติบัญญัติแห่งชาติทาหน้าที่รัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ตามวรรคหนึ่ง ให้อานาจของประธานรัฐสภา ประธานสภา ผู้แทนราษฎร หรือประธานวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญนหี้ รือกฎหมายเป็ นอานาจของ ประธานสภานิติบัญญัตแิ ห่งชาติ ในระหว่างที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติทาหน้าที่ตามวรรคหน่ึง หากมี ตาแหน่งว่างลง หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะนาความกราบบังคมทูลเพื่อ ทรงแต่งต้ังผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามวรรคสอง เป็ นสมาชิกสภานิติ บญั ญตั แิ ห่งชาติแทนกไ็ ด้

เมื่อมีการเลือกต้ังท่วั ไปคร้ังแรกภายหลังจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญน้ี สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติจะสมคั รรับเลือกต้ังเป็ นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมไิ ด้ เว้นแต่จะได้พ้นจากตาแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญตั แิ ห่งชาตภิ ายในเก้าสิบวันนับแต่วัน ประกาศใช้รัฐธรรมนูญน้ี มาตรา ๒๖๔ ให้คณะรัฐมนตรีทบี่ ริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวัน ประกาศใช้รัฐธรรมนูญน้ีเป็ นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญน้ี จนกว่า คณะรัฐมนตรีทตี่ ้งั ขึน้ ใหม่ภายหลังการเลือกต้ังท่ัวไปคร้ังแรกตามรัฐธรรมนูญนจี้ ะเข้า รับหน้าที่ และให้นาความในมาตรา ๒๖๓ วรรคสาม มาใช้บังคับแก่การดารงตาแหน่ง รัฐมนตรีด้วยโดยอนุโลม รั ฐ ม นต รี ต าม วร ร คห น่ึ งน อ กจ า กต้ อ งมี คุณ สม บั ติ แ ละ ไม่ มีลั ก ษ ณ ะ ต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แล้ว ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามท่ีบญั ญตั ิไว้สาหรับรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๖๐ ยกเว้น (๖) เฉพาะในส่วนท่ีเก่ียวกับมาตรา ๙๘ (๑๒) (๑๓) (๑๔) และ (๑๕) และต้องพ้นจาก ตาแหน่งตามมาตรา ๑๗๐ ยกเว้น (๓) และ (๔) แต่ในกรณีตาม (๔) เฉพาะในส่วนที่ เก่ียวกับมาตรา ๙๘ (๑๒) (๑๓) (๑๔) และ (๑๕) และยกเว้นมาตรา ๑๗๐ (๕) เฉพาะใน ส่วนทเี่ กี่ยวกบั การดาเนินการตามมาตรา ๑๘๔ (๑) การดาเนินการแต่งต้ังรัฐมนตรีในระหว่างเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้ ดาเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ซ่ึงแก้ไขเพ่ิมเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑) พุทธศักราช ๒๕๕๘ และรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบบั ช่ัวคราว) พทุ ธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๕๕๙ แต่ต้องไม่มลี กั ษณะต้องห้ามตามวรรคสองด้วย

ให้นาความในมาตรา ๒๖๓ วรรคเจด็ มาใช้บังคับแก่การสมัครรับเลือกต้ัง เป็ นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของรัฐมนตรีตามวรรคหน่ึงและวรรคสามด้วยโดย อนุโลม มาตรา ๒๖๕ ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติท่ีดารงตาแหน่งอยู่ในวัน ก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ยังคงอยู่ในตาแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่า คณะรัฐมนตรีทีต่ ้ังขึน้ ใหม่ภายหลงั การเลือกต้ังทั่วไปคร้ังแรกตามรัฐธรรมนูญนจ้ี ะเข้า รับหน้าท่ี ในระหว่างการปฏิบัติหน้าท่ีตามวรรคหนึ่ง ให้หัวหน้าคณะรักษาความ สงบแห่งชาติและคณะรักษาความสงบแห่งชาติยังคงมีหน้าที่และอานาจตามท่บี ัญญตั ิ ไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย (ฉบับช่ัวคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ซ่ึงแก้ไข เพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพมิ่ เติม (ฉบับที่ ๑) พุทธศักราช ๒๕๕๘ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับช่ัวคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๕๕๙ และให้ถือว่าบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยดังกล่าวในส่ วนที่ เก่ียวกับอานาจของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรักษาความสงบ แห่งชาตยิ งั คงมผี ลใช้บงั คบั ได้ต่อไป ให้นาความในมาตรา ๒๖๓ วรรคเจ็ด มาใช้บงั คบั แก่การสมัครรับเลือกต้ัง เป็ นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ดารงตาแหน่งในคณะรักษาความสงบแห่งชาติด้วย โดยอนุโลม มาตรา ๒๖๖ ให้สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป พลางก่อนเพ่ือจดั ทาข้อเสนอแนะเกย่ี วกบั การขบั เคลื่อนการปฏริ ูปประเทศ จนกว่าจะมี กฎหมายว่าด้วยแผนและข้ันตอนการดาเนินการปฏิรูปประเทศที่ตราขึ้นตามมาตรา ๒๕๙

เพื่อประโยชน์ในการขับเคล่ือนการปฏิรูปประเทศ หัวหน้าคณะรักษา ความสงบแห่งชาติจะปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือวิธีการทางานของสภาขับเคลื่อนการ ปฏิรูปประเทศเพ่ือให้การปฏิรูปประเทศตามหมวด ๑๖ การปฏิรูปประเทศ มี ประสิทธิภาพมากขึน้ กไ็ ด้ ให้นาความในมาตรา ๒๖๓ วรรคเจด็ มาใช้บงั คับแก่การสมคั รรับเลือกต้ัง เป็ นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้วยโดย อนุโลม มาตรา ๒๖๗ ให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญท่ตี ้ังขนึ้ ตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ซ่ึงแก้ไขเพิ่มเติมโดย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย (ฉบับช่ัวคราว) พทุ ธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพ่มิ เติม (ฉบับท่ี ๑) พุทธศักราช ๒๕๕๘ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับ ชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี ๒) พุทธศักราช ๒๕๕๙ อยู่ ปฏิบัติหน้ าที่ต่ อไปเพ่ือจัดทาร่ างพระราชบัญญัติประกอบรั ฐธรรมนูญดังต่ อไปน้ีให้ แล้วเสร็จ และเสนอต่อสภานิติบัญญัตแิ ห่งชาตเิ พ่ือพจิ ารณาให้ความเห็นชอบต่อไป (๑) พระราชบัญญัติประกอบรั ฐธรรมนูญว่ าด้ วยการเลื อกต้ัง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (๒) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซ่ึงสมาชิก วุฒิสภา (๓) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการ เลือกต้ัง (๔) พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (๕) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาล รัฐธรรมนูญ

(๖) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญา ของผ้ดู ารงตาแหน่งทางการเมือง (๗) พระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน (๘) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทจุ ริต (๙) พระราชบัญญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงนิ แผ่นดิน (๑๐) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิ มนุษยชนแห่งชาติ การดาเนินการตามวรรคหน่ึง คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจะจัดทา ร่างพระราชบัญญตั ิประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวขึน้ ใหม่หรือแก้ไขเพ่มิ เตมิ ก็ได้ ท้ังนี้ เพ่ือให้สอดคล้องกับบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และต้องมุ่งหมาย ให้มีการขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบทกุ รูปแบบและต้องทาให้แล้วเสร็จภายใน สองร้อยสี่สิบวันนับแต่วนั ประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ และเมื่อสภานิติบัญญตั แิ ห่งชาติได้ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญท่ีเสนอตามวรรคหนึ่งเสร็จแล้ว ให้ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเป็ นอันพ้นจากตาแหน่ง แต่ต้องไม่ช้ากว่าวันพ้นจาก ตาแหน่งของสมาชิกสภานติ ิบญั ญัตแิ ห่งชาติตามมาตรา ๒๖๓ เพื่อประโยชน์ในการดาเนินการตามวรรคหน่ึงและวรรคสอง ให้เกิด ประสิทธิภาพและรวดเร็ว คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจะขอให้หัวหน้าคณะรักษา ความสงบแห่งชาตแิ ต่งต้ังกรรมการร่างรัฐธรรมนูญตามวรรคหนง่ึ เพม่ิ ขึน้ ก็ได้ แต่รวม แล้วต้องไม่เกินสามสิบคน ในการพิจารณาร่ างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามวรรคหน่ึง เม่ือได้รับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญจากคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ แล้ว สภานิติบัญญัติแห่งชาตติ ้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในเวลาหกสิบวันนับแต่วันท่ี ได้รับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ ในกรณีที่สภานิติบัญญัติ แห่งชาติพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญใดไม่แล้วเสร็จภายในเวลา

ดังกล่ าวให้ ถือว่ าสภานิติบัญญัติแห่ งชาติเห็นชอบกับร่ างพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญฉบับน้ันตามท่คี ณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเสนอ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาร่ างพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ ให้ส่ งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญน้ันให้ศาล รั ฐธรรมนูญหรื อองค์ กรอิสระท่ีเก่ียวข้ องและคณะกรรม การร่ างรั ฐธรรมนู ญ เพื่ อ พิจารณา ถ้าศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระท่ีเกี่ยวข้องหรือคณะกรรมการร่าง รัฐธรรมนูญ เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวไม่ตรงตาม เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ให้แจ้งให้ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบภายใน สิบวันนับแต่วันท่ีได้รับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญน้ัน และให้สภานิติ บั ญญั ติ แ ห่ ง ช า ติ ต้ั ง ค ณ ะ ก ร ร ม า ธิ ก า ร วิ ส า มั ญขึ้ น ค ณ ะ ห นึ่ ง มี จ า น ว น สิ บ เ อ็ ด ค น ประกอบด้วยประธานศาลรัฐธรรมนูญหรือประธานองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องและ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และกรรมการร่างรัฐธรรมนูญซ่ึงคณะกรรมการร่าง รัฐธรรมนูญมอบหมายฝ่ ายละห้าคน เพื่อพิจารณาแล้วเสนอต่อสภานติ ิบญั ญตั ิแห่งชาติ ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแต่งต้ังเพ่ือให้ความเห็นชอบ ถ้าสภานิติบัญญัติ แห่งชาติมีมติไม่เห็นชอบด้วยคะแนนเสียงเกินสองในสามของจานวนสมาชิกท้ังหมด เท่าทม่ี อี ย่ขู องสภานติ ิบัญญัตแิ ห่งชาติ ให้ร่างพระราชบัญญตั ิประกอบรัฐธรรมนูญน้ัน เป็ นอันตกไป ในกรณที ีส่ ภานติ บิ ัญญตั แิ ห่งชาตมิ มี ตไิ ม่ถึงสองในสามดังกล่าว ให้ถือว่า สภานิตบิ ัญญัติแห่งชาตใิ ห้ความเห็นชอบตามร่างท่ีคณะกรรมาธิการวิสามัญเสนอ และ ให้ดาเนนิ การต่อไปตามมาตรา ๘๑ เพ่ือประโยชน์ แห่ งการขจัดส่ วนได้เสีย ห้ ามมิให้ กรรมการร่ าง รัฐธรรมนูญดารงตาแหน่งทางการเมืองภายในสองปี นับแต่วันท่ีพ้นจากตาแหน่งตาม วรรคสอง

มาตรา ๒๖๘ ให้ดาเนินการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตาม รั ฐธรรมนู ญนี้ให้ แล้ วเสร็ จภายในหนึ่งร้ อยห้ าสิ บวันนับแต่ วันที่พระราชบัญ ญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๖๗ (๑) (๒) (๓) และ (๔) มีผลใช้บังคับแล้ว มาตรา ๒๖๙ ในวาระเร่ิมแรก ให้วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจานวนสอง ร้อยห้าสิบคนซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งต้ังตามท่ีคณะรักษาความสงบแห่งชาติถวาย คาแนะนา โดยในการสรรหาและแต่งต้ังให้ดาเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดงั ต่อไปนี้ (๑) ให้มีคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาคณะหน่ึงซ่ึงคณะรักษา ความสงบแห่งชาตแิ ต่งต้ังจากผ้ทู รงคุณวุฒิซ่ึงมีความรู้และประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ และมีความเป็ นกลางทางการเมืองจานวนไม่น้อยกว่าเก้าคนแต่ไม่เกินสิบสองคน มี หน้าที่ดาเนินการสรรหาบุคคลซ่ึงสมควรเป็ นสมาชิกวุฒิสภาตามหลักเกณฑ์และ วธิ ีการ ดังต่อไปนี้ (ก) ให้คณะกรรมการการเลือกต้ังดาเนินการจัดให้มีการเลือกสมาชิก วุฒสิ ภาตามมาตรา ๑๐๗ จานวนสองร้อยคนตามพระราชบัญญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการได้มาซ่ึงสมาชิกวุฒิสภา โดยให้ดาเนินการให้แล้วเสร็จก่อนวันที่มีการ เลือกต้ังสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรตามมาตรา ๒๖๘ ไม่น้อยกว่าสิบห้าวันแล้วนารายชื่อ เสนอต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (ข) ให้คณะกรรมการสรรหาสมาชิกวฒุ ิสภา คัดเลือกบคุ คลผู้มีความรู้ ความสามารถท่ีเหมาะสมในอันจะเป็ นประโยชน์แก่การปฏิบัติหน้าที่ของวุฒิสภาและ การปฏริ ูปประเทศมีจานวนไม่เกินส่ีร้อยคน ตามวิธีการท่ีคณะกรรมการสรรหาสมาชิก วุฒิสภากาหนดแล้วนารายช่ือเสนอต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ท้ังน้ี ต้อง ดาเนนิ การให้แล้วเสร็จไม่ช้ากว่าระยะเวลาทีก่ าหนดตาม (ก) (ค) ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติคัดเลือกผู้ได้รับเลือกตาม (ก) จาก บัญชีรายช่ือทไ่ี ด้รับจากคณะกรรมการการเลือกต้ัง ให้ได้จานวนห้าสิบคน และคดั เลือก

รายชื่อสารองจานวนห้าสิบคนโดยการคัดเลือกดังกล่าวให้คานึงถึงบุคคลจากกลุ่มต่าง ๆ อย่างท่ัวถึง และให้คัดเลือกบุคคลจากบัญชีรายช่ือที่ได้รับการสรรหาตาม (ข) ให้ได้ จานวนหนึ่งร้ อยเก้าสิบส่ีคนรวมกับผู้ดารงตาแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้ บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหาร อากาศ และผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติ เป็ นสองร้อยห้าสิบคน และคัดเลือกรายช่ือ สารองจากบัญชีรายชื่อที่ได้รับการสรรหาตาม (ข) จานวนห้าสิบคน ท้ังนี้ ให้แล้วเสร็จ ภายในสามวันนับแต่วันประกาศผลการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา ๒๖๘ (๒) มิให้นาความในมาตรา ๑๐๘ ข. ลักษณะต้องห้าม (๖) ในส่ วนที่ เกย่ี วกับการเคยดารงตาแหน่งรัฐมนตรีมาใช้บังคับแก่ผ้ดู ารงตาแหน่งสมาชิกวฒุ ิสภาซ่ึง ได้รับสรรหาตาม (๑) (ข) และมิให้นาความในมาตรา ๑๐๘ ข. ลักษณะต้องห้าม (๒) มาตรา ๑๘๔ (๑) และมาตรา ๑๘๕ มาใช้บังคับแก่ผู้ซึ่งได้รับแต่งต้ังให้เป็ นสมาชิกวุฒิสภา โดยตาแหน่ง (๓) ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาตินารายชื่อบุคคลซ่ึงได้รับการคัดเลือก ตาม (๑) (ค) จานวนสองร้อยห้าสิบคนดังกล่าวขึน้ กราบบังคมทูลเพ่ือทรงพระกรุณา โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งต้ังต่อไป และให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็ นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ (๔) อายุของวุฒิสภาตามมาตราน้ีมีกาหนดห้าปี นับแต่วันที่มีพระบรม ราชโองการแต่งต้ังสมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาเร่ิมต้ังแต่วันที่มีพระบรมราช โองการแต่งต้ัง ถ้ามตี าแหน่งว่างลง ให้เลื่อนรายช่ือบุคคลตามลาดับในบัญชีสารองตาม (๑) (ค) ขนึ้ เป็ นสมาชิกวุฒสิ ภาแทน โดยให้ประธานวุฒสิ ภาเป็ นผู้ดาเนนิ การและเป็ นผู้ ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ สาหรับสมาชิกวุฒิสภาโดยตาแหน่งเม่ือพ้นจาก ตาแหน่งท่ีดารงอยู่ในขณะได้รับแต่งต้ังเป็ นสมาชิกวุฒิสภาก็ให้พ้นจากตาแหน่ง สมาชิกวุฒิสภาด้วย และให้ดาเนินการเพ่ือแต่งต้ังให้ผู้ดารงตาแหน่งน้ันเป็ นสมาชิก

วุฒิสภาโดยตาแหน่งแทน ให้สมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับแต่งต้ังให้ดารงตาแหน่งแทน ตาแหน่งทว่ี ่าง อยู่ในตาแหน่งเท่าอายขุ องวฒุ ิสภาทีเ่ หลืออยู่ (๕) ในระหว่างที่ยังไม่มีพระบรมราชโองการแต่งต้ังบุคคลในบัญชี รายช่ือสารองขึ้นเป็ นสมาชิกวุฒิสภาแทนตาแหน่งที่ว่างตาม (๔) หรือเป็ นกรณีท่ีไม่มี รายชื่อบุคคลเหลืออย่ใู นบญั ชีสารอง หรือไม่มผี ้ดู ารงตาแหน่งทเี่ ป็ นสมาชิกวุฒสิ ภาโดย ตาแหน่ง ไม่ว่าด้วยเหตใุ ด ให้วฒุ ิสภาประกอบด้วยสมาชิกวุฒสิ ภาเท่าท่ีมีอยู่ (๖) เม่ืออายุของวุฒิสภาสิ้นสุดลงตาม (๔) ให้ดาเนินการเลือกสมาชิก วุฒิสภาตามมาตรา ๑๐๗ ต่อไป และให้นาความในมาตรา ๑๐๙ วรรคสามมาใช้บังคับ โดยอนุโลม มาตรา ๒๗๐ นอกจากจะมีหน้าที่และอานาจตามที่บัญญัติไว้ใน รัฐธรรมนูญแล้ว ให้วุฒิสภาตามมาตรา ๒๖๙ มีหน้าท่ีและอานาจติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏริ ูปประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามหมวด ๑๖ การปฏิรูปประเทศ และการจดั ทาและดาเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ ในการน้ี ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งความ คืบหน้าในการดาเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศต่อรัฐสภาเพื่อทราบทุกสามเดือน ร่างพระราชบัญญัติที่จะตราขึ้นเพื่อดาเนินการตามหมวด ๑๖ การ ปฏิรูปประเทศ ให้เสนอและพิจารณาในทีป่ ระชุมร่วมกนั ของรัฐสภา ร่างพระราชบัญญัติใดท่ีคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็ นร่างพระราชบัญญัติท่ี จะตราขึ้นเพื่อดาเนินการตามหมวด ๑๖ การปฏิรูปประเทศ ให้แจ้งให้ประธานรัฐสภา ทราบพร้อมกบั การเสนอร่างพระราชบัญญัตนิ ้ันในกรณที คี่ ณะรัฐมนตรีมิได้แจ้งว่าเป็ น ร่างพระราชบัญญัติที่จะตราขึน้ เพ่ือดาเนินการตามหมวด ๑๖ การปฏิรูปประเทศ หาก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติน้ันเป็ นร่าง พระราชบัญญัติท่ีจะตราขึ้นเพ่ือดาเนินการตามหมวด ๑๖ การปฏิรูปประเทศ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาจานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของแต่ละ สภา อาจเข้าช่ือกันร้องขอต่อประธานรัฐสภาเพื่อให้วินจิ ฉัย การย่ืนคาร้องดังกล่าวต้อง

ยื่นก่อนท่ีสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา แล้วแต่กรณี จะพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ น้นั แล้วเสร็จ เมื่อประธานรัฐสภาได้รับคาร้องตามวรรคสาม ให้ประธานรัฐสภาเสนอ เร่ืองต่อคณะกรรมการร่ วมซ่ึงประกอบด้วยประธานวุฒิสภาเป็ นประธาน รอง ประธานสภาผู้แทนราษฎรคนหน่ึง ผู้นาฝ่ ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ผู้แทน คณะรัฐมนตรีคนหนึ่ง และประธานคณะกรรมาธิการสามัญคนหนึ่งซึ่งเลือกกันเอง ระหว่างประธานคณะกรรมาธิการสามัญในวุฒิสภาทุกคณะเป็ นกรรมการ เพื่อ วินิจฉัย การวินิจฉัยของคณะกรรมการร่วมตามวรรคส่ีให้ถือเสียงข้างมากเป็ น ประมาณ คาวินิจฉัยของคณะกรรมการร่วมดังกล่าวให้เป็ นท่ีสุด และให้ประธานรัฐสภา ดาเนนิ การไปตามคาวนิ จิ ฉัยน้ัน มาตรา ๒๗๑ ในวาระเร่ิมแรกภายในอายขุ องวุฒิสภาตามมาตรา ๒๖๙ การ พจิ ารณาร่างพระราชบัญญตั ิท่ีวุฒิสภาหรือสภาผู้แทนราษฎรยับย้ังไว้ตามมาตรา ๑๓๗ (๒) หรือ (๓) ให้กระทาโดยที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ถ้าร่างพระราชบัญญัติน้ัน เกีย่ วกับ (๑) การแก้ไขเพิ่มเติมโทษหรือองค์ประกอบความผิดต่อตาแหน่งหน้าที่ ราชการหรือต่อตาแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือความผิดของพนักงานในองค์การ หรือหน่วยงานของรัฐ เฉพาะเม่ือการแก้ไขเพิ่มเติมน้ันมีผลให้ผู้กระทาความผิดพ้น จากความผดิ หรือไม่ต้องรับโทษ (๒) ร่างพระราชบัญญัติท่ีวุฒิสภามีมตดิ ้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสอง ในสามของจานวนสมาชิกวุฒิสภาท้ังหมดเท่าที่มีอยู่ว่ามีผลกระทบต่อการดาเนิน กระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง

มตขิ องทป่ี ระชุมร่วมกนั ของรัฐสภาที่ให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ ตามวรรคหน่ึง ต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจานวนสมาชิกท้ังหมด เท่าทม่ี ีอย่ขู องรัฐสภา มาตรา ๒๗๒ ในระหว่างห้าปี แรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตาม รัฐธรรมนูญน้ี การให้ความเหน็ ชอบบุคคลซ่ึงสมควรได้รับแต่งต้ังเป็ นนายกรัฐมนตรี ให้ดาเนินการตามมาตรา ๑๕๙ เว้นแต่การพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๕๙ วรรคหน่ึง ให้กระทาในท่ีประชุมร่วมกันของรัฐสภา และมติท่ีเห็นชอบการแต่งต้ัง บุคคลใดให้เป็ นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๕๙ วรรคสาม ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่า ก่ึงหนึง่ ของจานวนสมาชิกท้ังหมดเท่าทม่ี อี ยู่ของท้ังสองสภา ในระหว่างเวลาตามวรรคหน่ึง หากมีกรณที ี่ไม่อาจแต่งต้ังนายกรัฐมนตรี จากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ ไม่ว่าด้วยเหตุใด และสมาชิกของท้ังสองสภารวมกันจานวนไม่น้อยกว่ากึ่งหน่ึงของจานวนสมาชิก ท้ังหมดเท่าที่มีอยู่ของท้ังสองสภาเข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภาขอให้รัฐสภามีมติ ยกเว้นเพ่ือไม่ต้องเสนอช่ือนายกรัฐมนตรีจากผ้มู ีชื่ออยู่ในบญั ชีรายชื่อทพ่ี รรคการเมือง แจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ ในกรณีเช่นน้ัน ให้ประธานรัฐสภาจัดให้มีการประชุมร่วมกัน ของรัฐสภาโดยพลัน และในกรณที ีร่ ัฐสภามมี ติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสาม ของจานวนสมาชิกท้ังหมดเท่าที่มีอยู่ของท้ังสองสภาให้ยกเว้นได้ ให้ดาเนินการตาม วรรคหนง่ึ ต่อไป โดยจะเสนอชื่อผ้อู ยู่ในบัญชีรายชื่อท่พี รรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ หรือไม่ก็ได้ มาตรา ๒๗๓ ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดารงตาแหน่งในองค์กร อิสระ และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งดารงตาแหน่งอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้ รัฐธรรมนูญน้ียังคงอยู่ในตาแหน่งเพ่ือปฏิบัติหน้าท่ีต่อไป และเม่ือพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญที่เก่ียวข้องที่จัดทาขึน้ ตามมาตรา ๒๖๗ ใช้บังคับแล้ว การดารง