ทป่ี รึกษา นายอนนั ต์ สวุ รรณรัตน์ อธบิ ดีกรมหม่อนไหม นางสุดารตั น์ วชั รคปุ ต์ เหลา่ วิชยา รองอธิบดีกรมหม่อนไหม คณะผู้จดั ท�ำ นางสาวศริ ิพร บญุ ชู ผู้อ�ำ นวยการส�ำ นกั อนรุ ักษ์และตรวจสอบ มาตรฐานหมอ่ นไหม นางสาวภคั วภิ า เพชรวิชิต นักวชิ าการเกษตรชำ�นาญการพิเศษ นางสาวกนกวรรณ คณุ าธรรม เศรษฐกรปฏบิ ตั ิการ พมิ พ์ที่ ชมุ นุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย พิมพ์ครงั้ ที่ 1 จำ�นวน 500 เล่ม สงิ หาคม 2557
บรรณานุกรม ชัชวาล สุนทรรงั สี. 2544. กฎหมายศลุ กากรท่ีสำ�คัญในการสง่ ออกและระเบียบการน�ำ เขา้ . เอกสารประกอบ การอบรม. กรุงเทพฯ : มลู นิธิพฒั นาอุตสาหกรรมเครอื่ งน่งุ ห่มไทย . นวลแข ปาลิวนชิ . 2542. ความรู้เรื่องผา้ . “ฉบับปรับปรงุ ” .กรุงเทพฯ : เม็ดทรายพริ้นตง้ิ . วีระศักดิ์ อดุ มกจิ เดชา. 2542. วทิ ยาศาสตร์เส้นใย. กรงุ เทพฯ : จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย. อัจฉราพร ไศลสูต. 2539. ความรเู้ รอ่ื งผา้ . กรงุ เทพฯ : ต้นไทรการพิมพ์. นฤมล ศิริทรงธรรม. 2555. การใช้สีและสารเคมีท่ีปลอดภัยสำ�หรับการฟอกย้อมไหม เอกสารประกอบการ ฝกึ อบรมเจา้ หนา้ ทตี่ รวจประเมนิ ตรานกยงู พระราชทานของกรมหมอ่ นไหม กรมสง่ เสรมิ อตุ สาหกรรม กรุงเทพฯ. 27 หน้า สชุ าดา อุชชนิ 1 รงั สมิ า ชลคปุ 1 วนดิ า ผาสุขด1ี และ ธีรดล รุ่งเรืองกจิ ไกร. 2548. การยอ้ มสีไหมใหท้ น ตอ่ การซกั ในหตั ถอตุ สาหกรรม (Silk dyeing for good wash fastness in cottage level) สถาบนั คน้ ควา้ และพฒั นาผลติ ผลทางการเกษตรและอตุ สาหกรรมเกษตร. มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ บางเขน. (ออนไลน์). เขา้ ถึงได้จาก : http://www. http://www. textileknowledge.com/?p=8 ศรันยา เกษมบญุ ญากร. 2554 โครงการอบรมการตรวจสอบผลติ ภณั ฑผ์ ้าตามหลกั มาตรฐาน เอกสารประกอบ การฝึกอบรม เร่อื ง กระบวนการเตรยี ม ยอ้ ม พมิ พ์ และการตกแต่งส่งิ ทอ ภาควชิ าคหกรรมศาสตร์ คณะเกษตร มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ . 38 หน้า (ออนไลน์). เขา้ ถึงไดจ้ าก : http://www. (ออนไลน)์ . เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : http://www. omeclub.nisit.ku.ac.th/.../doc_tc_homesyp_003
กรมหม่อนไหม ค ำ� น �ำ 1 หนังสือ “มาตรฐานหม่อนไหม” ได้จัดท�ำข้ึนโดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือรวบรวม มาตรฐานท่ีส�ำคัญที่ใช้ในการจ�ำแนกกระบวนการผลิตสินค้าเส้นไหมและผ้าไหมไทยในปัจจุบัน อีกทั้งสามารถใช้เปน็ เอกสารเผยแพรแ่ ละประชาสมั พันธ์ให้แกส่ าธารณะชนท่วั ไป หนังสอื “มาตรฐานหมอ่ นไหม” เลม่ นีป้ ระกอบด้วย ความรทู้ ัว่ ไปเรอ่ื งมาตรฐาน กระบวนการผลิตเสน้ ไหมและผ้าไหมไทย ซึ่งได้รวบรวมประวตั ศิ าสตร์ผ้าไหมไทย และข้ันตอน ในการผลิตผ้าไหมไทย นอกจากนี้ยังประกอบด้วยมาตรฐานเส้นไหม มาตรฐานผ้าไหม และ มาตรฐานการผลิตผ้าไหมภายใต้เคร่อื งหมายรบั รองตรานกยูงพระราชทานสที อง รวมถึงวธิ กี าร ตรวจสอบการตกสีผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย ตามข้อบังคับของกรมหม่อนไหมว่าด้วยการใช้ เครอื่ งหมายรบั รองผลติ ภณั ฑผ์ ้าไหมไทย พ.ศ. 2554 คณะผจู้ ดั ทำ� หวงั เปน็ อยา่ งยง่ิ วา่ หนงั สอื “มาตรฐานหมอ่ นไหม” เลม่ น้ี จะเปน็ สอื่ ทส่ี ามารถสรา้ งความรแู้ ละความเขา้ ใจในมาตรฐานทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ผลติ ภณั ฑห์ มอ่ น ไหม เสน้ ไหม และผ้าไหมไทย พร้อมท้ังสามารถส่งเสริมให้เกิดการน�ำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาสินค้า เสน้ ไหมและผา้ ไหมต่อไป คณะผจู้ ัดท�ำ กรมหมอ่ นไหม สิงหาคม 2557
มาตรฐานหม่อนไหม สารบญั บทท่ี 1 ความรู้ทวั่ ไปเรอ่ื งการมาตรฐาน 3 1. ค�ำศพั ท์และความหมาย 3 1.1 มาตรฐาน (Standard) 3 1.2 ประเภทของมาตรฐาน (Standard) 4 1.3 หนว่ ยงานดา้ นมาตรฐาน 5 1.4 ประเภทการรบั รองมาตรฐาน 6 1.5 เครื่องหมายในการรบั รองมาตรฐาน 7 บทท่ี 2 12 กระบวนการผลิตเส้นไหมและผา้ ไหมไทย 12 2 2.1 ประวตั ผิ ้าไหมไทย 12 2.2 ข้นั ตอนการผลติ ผ้าไหมไทย 17 บทท่ี 3 มาตรฐานเส้นไหม (Silk yarn standard) 3.1 เส้นไหม (Silk yarn) 42 บทที่ 4 51 มาตรฐานผ้าไหม 51 4.1 มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมผา้ ไหมไทยมาตรฐาน 52 เลขที่ มอก.179-2519 4.2 มาตรฐานผลิตภณั ฑช์ ุมชน (มผช) 56 4.3 เครื่องหมายรับรองผลิตภณั ฑ์ผา้ ไหมไทยตรานกยูงพระราชทาน 66 บทท่ี 5 มาตรฐานการผลิตผา้ ไหมภายใตเ้ ครื่องหมายรับรอง 72 ตรานกยงู พระราชทานสที อง 5.1 มาตรฐานวตั ถดุ ิบ(เสน้ ไหมไทย) 73 5.2 มาตรฐานการใชส้ ใี นการฟอกยอ้ มสไี หม 84 5.3. มาตรฐานกระบวนการทอผ้าไหม 84 ภาคผนวก 86 การตรวจสอบการตกส ี 86
กรมหมอ่ นไหม ความรทู้ ัว่ ไปเกี่ยวกับมาตรฐานสนิ ค้า (General information of Product Standard) 1. ค�ำศัพท์และความหมาย (Term and Definition) 3 1.1 มาตรฐาน (Standard) 1.1.1 ความหมาย พจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2525 ไดใ้ หค้ �ำนยิ ามของ มาตรฐาน วา่ มาตรฐาน คือ สิง่ ทถี่ ือเปน็ หลักสำ� หรบั เทียบก�ำหนด สำ� นกั งานมาตรฐานสนิ คา้ เกษตรและอาหารแหง่ ชาติ ไดใ้ หค้ วามหมายของ มาตรฐาน หมายถงึ ข้อก�ำหนดทางวิชาการในรูปของเอกสารวัตถุ ที่แพร่หลายแก่บุคคลท่ัวไป ก�ำหนดข้ึนโดยความร่วมมือ การยอมรับร่วมกันของผู้มีส่วนได้เสีย และผู้มีประโยชน์เก่ียวข้อง ซึ่งเป็นผลจากการพิจารณาร่วมกันโดย มุ่งประโยชน์สงู สุด ตามพระราชบัญญตั ิการมาตรฐานแห่งชาติ พ.ศ. 2551 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หมายถงึ ข้อก�ำหนดอยา่ งหนง่ึ อยา่ งใดหรือหลายอยา่ งซ่งึ เกี่ยวกับส่ิงตา่ ง ๆ ดังต่อไปน้ี 1) ผลิตภัณฑ์ วิธกี าร กระบวนการผลติ ส่วนประกอบ โครงสรา้ ง มติ ิ ขนาด แบบ รปู รา่ ง น้�ำหนัก ประสทิ ธภิ าพ สมรรถนะ ความทนทาน หรอื ความบรสิ ุทธขิ์ องผลติ ภัณฑ์ 2) หบี ห่อ การบรรจุหบี หอ่ การทำ� เครื่องหมาย หรอื ฉลาก 3) วธิ กี าร กระบวนการ คณุ ลักษณะ ประสิทธภิ าพ หรือสมรรถนะ ทีเ่ กยี่ วข้องกบั การบริการ 4) ระบบการบริหารหรือการจัดการเกย่ี วกับคุณภาพ สขุ อนามัย อาชวี อนามยั สงิ่ แวดลอ้ ม ความปลอดภัย หรอื ระบบอ่ืนใด 5) นยิ าม แนวทาง ขอ้ แนะนำ� หนว่ ยวดั การทดสอบ การสอบเทยี บ การทดลอง การวเิ คราะห์ การวิจยั การตรวจ การรบั รอง การตรวจประเมิน หรอื อืน่ ๆ ทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั การมาตรฐาน องคก์ ารระหว่างประเทศวา่ ด้วยการมาตรฐาน (International Organization for Standard- ization-ISO) ได้ให้นิยามศัพท์ของ มาตรฐาน หมายถึงเอกสารที่จัดท�ำขึ้นจากการเห็นพ้องต้องกัน และ ไดร้ บั ความเหน็ ชอบจากองคก์ รอนั เปน็ ทยี่ อมรบั กนั ทวั่ ไป เอกสารดงั กลา่ ววางกฎระเบยี บแนวทางปฏบิ ตั หิ รอื ลักษณะเฉพาะแห่งกิจกรรม หรอื ผลทเ่ี กิดข้นึ ของกิจกรรมนน้ั ๆ เพื่อให้เป็นหลกั เกณฑ์ใช้กันท่วั ไปจนเปน็ ปกติวิสัย โดยม่งุ ใหบ้ รรลุถึงความส�ำเรจ็ สูงสดุ ตามขอ้ กำ� หนดทีว่ างไว้
มาตรฐานหม่อนไหม 1.2 ประเภทของมาตรฐาน (Standard) 1.2.1 ประเภทของมาตรฐานจ�ำแนกตามวิธกี ารรับรองแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คอื 1.2.1.1 มาตรฐานระบบบริหารคุณภาพของกระบวนการ (Processes) เปน็ กจิ กรรม ต่าง ๆ ในการผลิต และหรือการบริการ เป็นมาตรฐานวิธีการท�ำงานท่ีจะต้องปฏิบัติตามโดยค�ำนึงถึง ขอ้ ก�ำหนด ซึง่ เปน็ พนั ธะระหว่างประเทศ เปน็ มาตรฐานระดับโลก ความเปน็ มาตรฐาน คือการสรา้ งความ เท่าเทียมของกระบวนการปฏิบัติงานภายในองค์กรให้เกิดความสม�่ำเสมอ มาตรฐานสามารถปรับปรุง เปลย่ี นแปลงใหท้ นั สมยั ไดอ้ ยา่ งตอ่ เนอ่ื ง โดยคำ� นงึ ถงึ ความตอ้ งการของลกู คา้ เปน็ หลกั สามารถนำ� ไปประยกุ ต์ ใช้กับธุรกิจทางด้านอุตสาหกรรมการผลิต และงานบริการโดยไม่จ�ำกัดขนาด มาตรฐานประเภทน้ี ได้แก่ ระบบบริหารคณุ ภาพ ISO 9000, ISO 14000 และ มอก. 18000 1.2.1.2 มาตรฐานผลิตภัณฑ์ (Products) เป็นมาตรฐานท่ีเป็นกฎเกณฑ์ทางเทคนิค ทก่ี ำ� หนดขน้ึ ไวส้ �ำหรับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม คอื ทางดา้ นผลผลติ (Output) ท่ีได้ระบลุ กั ษณะของผลิตภณั ฑ์ ความมีประสิทธิภาพ การนำ� ไปใช้งาน การทดสอบคณุ ภาพผลิตภัณฑ์ทเ่ี ป็นไปตามมาตรฐาน 1.2.2 ประเภทของมาตรฐานจำ� แนกตามการบังคบั ใช้ แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คอื 1.2.2.1 มาตรฐานบงั คบั คอื มาตรฐานทมี่ กี ฎกระทรวงกำ� หนดใหส้ นิ คา้ ตอ้ งเปน็ ไปตาม มาตรฐาน หากไม่มกี ารปฎบิ ัตติ ามมาตรฐาน มีบทลงโทษตามกฎหมาย 1.2.2.2 มาตรฐานท่ัวไป คือ มาตรฐานที่มีประกาศก�ำหนดเพ่ือส่งเสริมสินค้าให้ได้ 4 มาตรฐานไม่บงั คบั ใช้ หรือเปน็ มาตรฐานสมคั รใจ ไมม่ ีบทลงโทษ 1.3 หนว่ ยงานดา้ นมาตรฐาน หน่วยงานที่รับผิดชอบเก่ียวกับการก�ำหนดมาตรฐานสินค้าและบริการของประเทศไทยมีอยู่ หลายหน่วยงาน ขน้ึ อยูก่ ับประเภทของสนิ ค้า โดยมหี นว่ ยงานหลกั ดงั น้ี 1.3.1 ส�ำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ. Thai Industrial Standard Institute: TISI) กระทรวงอตุ สาหกรรม เปน็ หน่วยงานหลักทีม่ บี ทบาทความรบั ผิดชอบ ดงั นี้ 1.3.1.1) ก�ำหนดมาตรฐานระดับประเทศ เรียกว่ามาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ มอก.ตามความต้องการและการขยายตัวของเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งร่วมก�ำหนดมาตรฐาน ในระดับสากลกบั องคก์ รสำ� คญั ด้านมาตรฐานเชน่ องคก์ ารระหวา่ งประเทศวา่ ด้วยการมาตรฐาน หรอื ISO และคณะกรรมาธกิ ารระหว่างประเทศวา่ ด้วยมาตรฐานสาขาอเิ ล็กทรอนิกส์ หรอื IEC 1.3.1.2) รบั รองคณุ ภาพผลติ ภณั ฑด์ ว้ ยการอนญุ าตใหแ้ สดงเครอ่ื งหมายมาตรฐาน ไดแ้ ก่ เคร่อื งหมายมาตรฐานทวั่ ไปและเครือ่ งหมายมาตรฐานบงั คบั 1.3.1.3) การประสานความรว่ มมือกบั องคก์ รสำ� คัญระดบั สากลตา่ งๆ อาทิ องค์การ ระหวา่ งประเทศว่าดว้ ยการมาตรฐานหรือ ISO เกยี่ วกับการมาตรฐานเพอื่ ประโยชนท์ างดา้ นอตุ สาหกรรม และวิชาการ 1.3.1.4) เป็นศูนย์สนเทศด้านการมาตรฐาน ที่รวบรวมข้อมูลด้านการมาตรฐาน ทัง้ ในประเทศและต่างประเทศเป็นศูนย์กลางในการค้นคว้าขอ้ มลู ทเ่ี กีย่ วข้องกบั มาตรฐาน 1.3.1.5) ใหก้ ารรบั รองระบบการจัดการสำ� หรับ SMEs ไดแ้ ก่ ระบบคุณภาพ ISO 9001 ระบบการจัดการส่ิงแวดลอ้ ม ISO 14001 ระบบการจดั การอาชวี อนามยั และความปลอดภยั มอก. 18001 ระบบการจัดการความปลอดภยั ของอาหาร HACCP และ GMP
กรมหม่อนไหม 1.3.1.6) สง่ เสรมิ และพฒั นาดา้ นการมาตรฐาน เพอ่ื เสรมิ สรา้ งความรคู้ วามเขา้ ใจเกย่ี วกบั 5 มาตรฐานให้แกผ่ ้ปู ระกอบการครู อาจารย์ นักเรยี น นักศึกษา และประชาชนทัว่ ไป ให้มีการนำ� มาตรฐาน ไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์อยา่ งกว้างขวาง 1.3.1.7) พัฒนาระบบเศรษฐกิจชุมชน ด้วยการก�ำหนดและให้การรับรองมาตรฐาน ผลิตภัณฑช์ มุ ชนดว้ ยเคร่ืองหมาย มผช. เพื่อรับรองคณุ ภาพผลติ ภัณฑ์ หนึ่งต�ำบล หน่ึงผลติ ภณั ฑ์ (OTOP) ทัว่ ประเทศ 1.3.2 สำ� นักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแหง่ ชาติ (มกอช. National Bureau of Agricultural Commodity and Food Standards: ACFS) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปน็ หนว่ ยงาน รบั ผดิ ชอบมาตรฐานดา้ นเกษตร เปน็ ศนู ยก์ ลางในการประสานงานและพฒั นา มาตรฐานสนิ ค้าเกษตรของประเทศใหส้ อดคลอ้ งกับมาตรฐานสากล โดยรว่ มมอื กบั หน่วยงานตา่ งๆ ภายใน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มุง่ การให้บริการแบบเบ็ดเสร็จในการน�ำเขา้ และสง่ ออกสินค้าเกษตร บทบาท ความรบั ผดิ ชอบของสำ� นกั งานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแหง่ ชาติ มีดังน้ี 1.3.2.1 ก�ำหนดแผนยุทธศาสตร์ความปลอดภัยสินค้าเกษตรและอาหาร และเป็น หนว่ ยงานกลางในการกำ� หนดทา่ ทขี องประเทศ ดา้ นการมาตรฐานและการเจรจาดา้ นเทคนคิ และสขุ อนามยั สินคา้ เกษตรและอาหารทงั้ ระดบั ทวภิ าคีและพหุภาคี 1.3..2.2 กำ� หนดมาตรฐานสนิ ค้าเกษตรและอาหาร และระบบการตรวจสอบรับรองให้ สอดคล้องกบั สากล 1.3.2.3 เปน็ หน่วยงานกลางในการประสานงานกบั องคก์ ารมาตรฐานระหวา่ งประเทศ ความตกลงด้านสุขอนามัยและสขุ อนามัยพืชภายใต้องคก์ ารการค้าโลก 1.3.2.4 กำ� กบั ดแู ล ตรวจสอบ และควบคมุ ใหม้ กี ารปฏบิ ตั เิ ปน็ ไปตาม พ.ร.บ. มาตรฐาน สินคา้ เกษตร พ.ศ.2551 1.3.2.5 เป็นศนู ยก์ ลางข้อมลู ด้านการมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร การเตอื นภยั และการเชื่อมโยงขอ้ มลู ทั้งในประเทศ และระหว่างประเทศ 1.3.2.6 ส่งเสริมการน�ำมาตรฐานสนิ ค้าเกษตรและอาหารไปใชต้ ลอดหว่ งโซอ่ าหาร 1.3.2.7 วจิ ยั และพฒั นามาตรฐานสนิ คา้ เกษตรและอาหารทค่ี รอบคลมุ ตง้ั แตร่ ะดบั ฟารม์ ถงึ ผู้บรโิ ภค 1.4 เคร่ืองหมายในการรบั รองมาตรฐาน 1.4.1 เครอ่ื งหมายมาตรฐานส�ำหรบั ผลิตภณั ฑ์อตุ สาหกรรม (มอก.) ในการรบั รองคณุ ภาพผลติ ภณั ฑน์ นั้ ผรู้ บั รองจะออกใบรบั รองและใหแ้ สดงเครอื่ งหมายรบั รอง สำ� หรบั ของประเทศไทยสำ� นักงานมาตรฐานผลิตภณั ฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอตุ สาหกรรม เป็นหนว่ ยงาน รบั ผดิ ชอบให้การรับรองคณุ ภาพผลติ ภณั ฑต์ ามวิธีข้อ1.3.1.2 และขอ้ ที่ 1.3.1.5 ทจ่ี ดั เปน็ การรับรองคุณภาพ โดยบคุ คลที่ 3 โดยผา่ นการทดสอบแบบของผลติ ภณั ฑ์ ประเมนิ ระบบการควบคมุ คณุ ภาพของโรงงานทผ่ี ลติ รวมทั้งมีการติดตามผลและออกใบอนุญาตให้แสดงเครื่องหมายมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ที่แสดงเครื่องหมาย มาตรฐาน หมายถึง ผลิตภัณฑ์ท่ีผ่านการตรวจสอบและได้รับการรับรองจากสมอ.แล้วว่ามีคุณภาพได้ มาตรฐานที่กำ� หนด มีความปลอดภัยในการอปุ โภค บริโภค มปี ระสทิ ธิภาพในการใชง้ าน และมีคณุ ภาพสม ราคา ปัจจุบนั สมอ.ไดอ้ นญุ าตในแสดงเครอ่ื งหมายมอก. กบั ผลติ ภัณฑ์ 5 เครื่องหมาย คือ
มาตรฐานหม่อนไหม 1.4.1.1 เครื่องหมายมาตรฐานท่ัวไป เปน็ เครอ่ื งหมายรบั รองคณุ ภาพผลติ ภณั ฑท์ ี่ สมอ. กำ� หนดมาตรฐาน ของ ผลิตภัณฑ์นั้นไว้แล้วซึ่งผู้ผลิตสามารถยื่นขอการรับรองคุณภาพโดยสมัครใจ (มาตรฐานทั่วไป) เพ่ือการพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ให้เป็นไปตามเกณฑ์ ก�ำหนดในมาตรฐานและหลักประกันให้กับผู้บริโภคหรือผู้ซ้ือว่าผลิตภัณฑ์น้ัน มคี ณุ ภาพ มคี วามปลอดภัยคุ้มคา่ และเหมาะสมกับราคา เช่น ผลติ ภัณฑอ์ าหาร ภาพท่ี 1.1 แสดงเครื่องหมาย วสั ดุก่อสร้าง วสั ดุสำ� นกั งาน เคร่ืองใช้ไฟฟา้ เป็นต้น มาตรฐานท่ัวไปของ สมอ. 1.4.1.2 เคร่ืองหมายมาตรฐานบงั คบั เป็นเครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ที่กฎหมายก�ำหนดให้ต้องเป็นไปตาม มาตรฐาน (มาตรฐานบังคับ) ท้ังนี้เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคและป้องกัน ความเสียหายอันอาจจะเกิดต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยส่วนรวม โดยกฎหมาย บงั คบั ผผู้ ลติ ผนู้ ำ� เขา้ และผจู้ ำ� หนา่ ยจะตอ้ งผลติ นำ� เขา้ และจำ� หนา่ ยแตผ่ ลติ ภณั ฑ์ ที่เป็นไปตามมาตรฐานแล้วเท่าน้ัน ซ่ึงจะต้องมีเคร่ืองหมายมาตรฐานบังคับ ตดิ แสดงไวท้ กุ หนว่ ยเพอื่ แสดงวา่ ผลติ ภณั ฑน์ น้ั ไดผ้ า่ นการตรวจสอบรบั รองแลว้ 6 ภาพที่ 1.2 แสดงเครื่องหมาย ตามกฎหมาย เช่น ไม้ขดี ไฟ สายไฟฟา้ บัลลาสต์ ผงซักฟอก ท่อพวี ีซี ผลติ ภณั ฑ์ มาตรฐานบังคับของ เหล็ก ถังดบั เพลงิ ของเลน่ เด็ก หมวกกันน๊อค เปน็ ต้น สมอ. 1.4.1.3 เคร่ืองหมายมาตรฐานเฉพาะด้านความปลอดภยั เป็นเครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ที่ต้องมีความปลอดภัยในการใช้งาน ซง่ึ สำ� นกั งานฯ จะกำ� หนดมาตรฐานโดยเนน้ เฉพาะเรอ่ื งความปลอดภยั เปน็ สำ� คญั เพ่ือให้การคุ้มครองแก่ผู้บริโภคด้านความปลอดภัยในการใช้งาน เช่น เตารีด พดั ลมไฟฟา้ เป็นต้น เคร่ืองหมายที่มที ั้งแบบบงั คม และไม่บังคับ หากเป็นแบบ บังคับก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายท่ีต้องท�ำผลิตภัณฑ์ให้ได้ตามมาตรฐานที่ก�ำหนด ภาพที่ 1.3 แ ส ด ง เ ค ร่ื อ ง ห ม า ย ทงั้ ผูท้ �ำ ผ้นู �ำเขา้ และผ้จู �ำหน่าย มาตรฐานเฉพาะด้าน ความปลอดภยั ของ สมอ. 1.4.1.4 เคร่ืองหมายมาตรฐานเฉพาะดา้ นส่งิ แวดล้อม เป็นเครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติในการรักษาสิ่งแวดล้อม เชน่ การประหยดั นำ้� และการไมก่ อ่ ใหเ้ กดิ มลพษิ ในอากาศเพอ่ื พฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ทด่ี ีของประชาชน และการรกั ษาสิ่งแวดลอ้ มโดยรวมของประเทศ เชน่ เคร่ือง ซกั ผ้าประหยัดนำ้� ตเู้ ยน็ ท่ไี มใ่ ชส้ าร CFC เปน็ ตน้ เครือ่ งหมายน้มี ีท้ังแบบบงั คับ และไม่บังคับหากเป็นแบบบังคับก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายท่ีต้องท�ำผลิตภัณฑ์ ภาพที่ 1.4 แสดงเคร่ืองหมาย ใหไ้ ด้ตามมาตรฐานท่กี ำ� หนด ทัง้ ผูท้ ำ� ผูน้ ำ� เข้า และ ผจู้ �ำหนา่ ย มาตรฐานเฉพาะด้าน สง่ิ แวดลอ้ ม ของ สมอ.
กรมหมอ่ นไหม 1.4.1.5 เครอ่ื งหมายมาตรฐานเฉพาะดา้ นความเขา้ กนั ไดท้ างแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ เป็นเคร่ืองหมายรับรองผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติของความเข้ากันได้ทาง แม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ท่ีสามารถท�ำงานร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นหรือใช้ พร้อมกันได้และไม่ส่งคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าได้ในระดับหน่ึง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยีสารสนเทศ เชน่ โทรศัพท์ โทรสาร เคร่อื งรับ-สง่ วิทยุและเคร่ืองมือ ทางการแพทย์ เปน็ ต้ นเครื่องหมายนีม้ ที ้งั แบบบงั คับ และไม่บงั คบั หากเปน็ มาตรฐานบงั คับ ผผู้ ลติ ผนู้ �ำเขา้ และผ้จู �ำหน่ายจะตอ้ งผลติ น�ำเข้า และจ�ำหน่าย ภาพที่ 1.5 แสดงเคร่ืองหมาย แตผ่ ลติ ภณั ฑ์ทไี่ ด้มาตรฐานเทา่ น้นั มาตรฐานเฉพาะด้าน สงิ่ แวดลอ้ ม ของ สมอ. 1.4.2 เคร่ืองหมายมาตรฐานส�ำหรบั ผลติ ภัณฑ์ชมุ ชน (มผช.) เป็นเคร่ืองหมายในการรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชน(มผช.) หนว่ ยงานผรู้ บั รอง คอื สำ� นกั งานมาตรฐานผลติ ภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรม (สมอ.) เปน็ เคร่ืองหมายที่ให้การรับรองผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยชุมชนเพื่อช่วยพัฒนาและ ยกระดบั คณุ ภาพของผลติ ภณั ฑช์ มุ ชน ตามโครงการหนง่ึ ตำ� บลหนงึ่ ผลติ ภณั ฑข์ อง รัฐบาลส�ำหรับรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ในชุมชน โดยจะมีเงื่อนไขการรับรอง ไมย่ งุ่ ยากซบั ซอ้ น และตา่ งจากการใหก้ ารรบั รองเครอ่ื งหมายมาตรฐานผลติ ภณั ฑ์ ภาพที่ 1.6 แสดงเคร่ืองหมาย อุตสาหกรรม (มอก.) ซ่ึงผลิตภัณฑ์ท่ีได้รับการรับรองคุณภาพตามมาตรฐาน มาตรฐานเฉพาะด้าน ผลติ ภณั ฑช์ มุ ชนของสมอ. จะแสดงเครอ่ื งหมายมาตรฐานผลติ ภณั ฑช์ มุ ชน (มผช.) สงิ่ แวดลอ้ ม ของ สมอ. 7 ดงั ภาพด้านบนไว้ทผ่ี ลติ ภณั ฑ์ 1.4.3 เครือ่ งหมายรับรองสนิ คา้ เกษตร Q (Q Mark) เครอื่ งหมายรบั รองสนิ คา้ เกษตร Q (Q Mark) “Q” มาจากคำ� วา่ Quality หมายถงึ เครอื่ งหมายรบั รองมาตรฐานสนิ คา้ เกษตรและอาหาร ทหี่ นว่ ย งานในกระทรวงเกษตรและสหกรณใ์ ชใ้ นการใหก้ ารรบั รองระบบหรอื สนิ คา้ เกษตร และอาหารเพ่ือแสดงถึงความมีคุณภาพตามมาตรฐานและมีความปลอดภัย สืบเนื่องจากคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ได้มีมติ ในการประชมุ ครงั้ ท่ี 3/2546 วนั ท่ี 29 กรกฎาคม 2546 ใหห้ นว่ ยงานในกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ใช้เคร่ืองหมายรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร ใหเ้ ป็นเคร่อื งหมายเดยี วกัน คอื เครือ่ งหมาย “Q” เพ่อื ลดความซ�ำ้ ซอ้ นในการ ใช้เครื่องหมายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยการจัดท�ำบันทึกข้อตกลง ความรว่ มมอื (MOU) เรอื่ งการใชเ้ ครอ่ื งหมายรบั รองมาตรฐานสนิ คา้ เกษตรและ อาหาร โดยมีการลงนามวันท่ี 26 กันยายน 2546 รว่ มกับ 8 หนว่ ยงาน ไดแ้ ก่ กรมวชิ าการเกษตร กรมประมง กรมปศสุ ตั ว์ กรมสง่ เสรมิ การเกษตร กรมสง่ เสรมิ สหกรณ์กรมพฒั นาทีด่ ิน องคก์ ารตลาดเพอื่ เกษตรกร และส�ำนกั งานมาตรฐาน ภาพที่ 1.7 แสดงเครื่องหมาย สินค้าเกษตรและอาหารแหง่ ชาติ เพอ่ื ให้มีการน�ำเครอ่ื งหมายรับรอง “Q” ไปใช้ รับรอง Q โดย มกอช. ในแนวทางเดียวกัน โดยให้การรับรองตั้งแต่ระดับไร่นาจนถึงผู้บริโภค (From Farm to Table) ประเภทเคร่ืองหมาย Q มดี งั นี้
มาตรฐานหม่อนไหม 1.4.3.1 เครือ่ งหมายรับรอง Q มี 2 แบบ คอื หมายถึง เคร่ืองหมายรับรองที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกาศใชเ้ พอื่ แสดงถงึ การใหก้ ารรบั รองสนิ คา้ เกษตรและอาหาร วา่ เปน็ ไปตาม มาตรฐานท่ีประกาศโดยหรือได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการมาตรฐาน สินคา้ เกษตรและอาหารแห่งชาติ ในด้านความปลอดภยั อาหาร (food safety) และดา้ นคณุ ภาพทจ่ี ำ� เปน็ (essential quality) เครอื่ งหมายรบั รอง “Q” ลายเสน้ รูปตวั Q สีเขยี วเขม้ 1.4.4 เคร่ืองหมายรับรองตรานกยูงพระราชทาน (Royal Peacock Logo) เครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยตรานกยูงพระราชทาน เป็นเคร่ืองหมายรับรองคุณภาพมาตรฐานท่ัวไปหรือสมัครใจส�ำหรับผ้าไหมไทย ท่ีสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสญั ลกั ษณต์ รานกยงู ไทยใหเ้ ปน็ เครอื่ งหมายรบั รองคณุ ภาพมาตรฐาน ผลิตภัณฑผ์ า้ ไหมไทย (ส�ำนักอนรุ ักษ์และตรวจสอบมาตรฐานหมอ่ นไหม, 2554) โดยรบั รองคณุ ภาพวัตถุดบิ (ชนิดเส้นไหม) และกระบวนการผลติ ผา้ ไหม ภายใต้ การกำ� กบั ดแู ลของกรมหมอ่ นไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมหมอ่ นไหม 8 ภาพที่ 1.8 แสดงเครื่องหมาย จะตดิ ดวงตรานกยงู พระราชทานใหก้ บั ผา้ ไหมไทยทผี่ า่ นการตรวจสอบรบั รองตาม รั บ ร อ ง ต ร า น ก ยู ง ระเบียบข้อบังคับของกรมหม่อนไหม ท่ีได้จดทะเบียนเครื่องหมายรับรอง พ ร ะ ร า ช ท า น สี ท อ ง (Royal Thai Silk) ของกรมหมอ่ นไหม ผ้าไหมไทย ตามบทบัญญตั มิ าตรา 82 แหง่ พระราชบัญญตั ิเครอ่ื งหมายการค้า พ.ศ. 2534 กบั กรมทรัพย์สนิ ทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เครอ่ื งหมายรับรอง ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยตรานกยูงพระราชทานแบ่งเป็น 4 ชนิด คือ นกยูง พระราชทานสีทอง นกยูงพระราชทานสเี งิน นกยูงพระราชทานสีน้�ำเงิน และ น กยงู พร ะราชทานสีเขยี ว 1.4.5 เครอ่ื งหมายรบั รองมาตรฐานสากล 1.4.5.1 มาตรฐานสงิ่ แวดลอ้ มของสหภาพยโุ รป (EU Eco-label) มาตรฐานเคร่อื งหมาย EU Eco-label เปน็ มาตรฐานที่รบั รอง สนิ คา้ (สง่ิ ทอรวมถงึ ผา้ ไหม) ทม่ี คี ณุ ภาพและมาตรฐานทผี่ ลติ จากกระบวนการผลติ ที่ไม่ท�ำลายสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ แสดงถึงความรับผิดชอบ ตอ่ สังคม สิ่งแวดล้อม และการใชท้ รัพยากรอยา่ งมีคณุ คา่ และตระหนกั ถงึ สภาพ แวดลอ้ มโลกทต่ี อ้ งช่วยกันรกั ษาอย่างยง่ั ยืน ตามกระแสผบู้ ริโภคตอ่ สนิ ค้าที่เปน็ มติ รกบั สง่ิ แวดลอ้ มในสหภาพยโุ รป ทไี่ ดร้ บั การตอบสนองจากผบู้ รโิ ภคในสหภาพ ภาพท่ี 1.9 แสดงเคร่ืองหมาย ยโุ รปมานานกวา่ 10 ปี มาตรฐานสงิ่ แวดลอ้ มฉบบั นไ้ี มไ่ ดเ้ ปน็ มาตรการทใี่ ชบ้ งั คบั รั บ ร อ ง สิ่ ง ท อ ท่ี ไ ม่ ทำ� ล า ย สิ่ ง แ ว ด ล้ อ ม กล่าวคือ ผู้ประกอบการสามารถเลือกที่จะสมัครเพื่อให้ได้รับตราดังกล่าวหรือ Eco-label ของ ไม่กไ็ ด้ (Voluntary basis) ทัง้ นี้ หากสมคั รที่จะใช้ตราดงั กลา่ วกบั ผลติ ภณั ฑ์ สหภาพยโุ รป
กรมหม่อนไหม ของตน กจ็ ะต้องปฏบิ ตั ติ ามมาตรฐานหลกั (Core standard) ของสินค้าตามท่ี ก�ำหนด Eco Label เพือ่ ใชเ้ ปน็ สัญลกั ษณ์ หรือแจ้งใหผ้ ู้บรโิ ภคได้รบั ทราบว่า สินค้าท่ีมีตราดงั กล่าว จะเปน็ สนิ คา้ ทม่ี ีกระบวนการผลติ คุณสมบตั ิของสินคา้ การดำ� เนนิ การอนื่ ใดทเี กยี่ วขอ้ งกบั การผลติ สนิ คา้ จะไมเ่ ปน็ อนั ตรายตอ่ สง่ิ แวดลอ้ ม และ สขุ อนามยั ของประชาชน ทงั้ นี้ บทบญั ญตั ไิ ดก้ ำ� หนดตาม Regulation (EC) No 66/2010 of the European Parliament and of the Council of 25 November 2009 on the EU Eco-label ตราสัญลกั ษณไ์ ด้กำ� หนดใชต้ รา รปู ดอกไมเ้ ปน็ เครอ่ื งหมาย (สำ� นกั งานสง่ เสรมิ การคา้ ระหวา่ งประเทศ ณ กรงุ เฮก, 2555) ปจั จบุ นั บรษิ ทั ผลิตผ้าไหมไทยทีไ่ ดร้ ับการรบั รองมาตรฐานนี้ ได้แก่ บรษิ ทั กรีนวิลล์ เทรดด้งิ จำ� กัด (ธำ� รงรตั น์ และคณะ, 2550) 1.4.5.2 มาตรฐานส่งิ ทออินทรีย์ (Global organic textile standard : GOTS) เครื่องหมายมาตรฐานสงิ่ ทออนิ ทรีย์ (GOTS : Global organic textile standard) เปน็ มาตรฐานสมัครใจของสหภาพยุโรป สำ� หรับใชเ้ ปน็ เครือ่ งหมาย รับรองสิ่งทอซึ่งรวมถึงผ้าไหมด้านส่ิงแวดล้อมและความปลอดภัยจากสารเคมี ที่รับรองผ้าไหมและส่ิงทอท่ีมีกระบวนการผลิตตามมาตรฐานอินทรีย์ใน กระบวนการขอรับรองมาตรฐานสิ่งทออินทรีย์น้ันยังจ�ำเป็นต้องให้ความส�ำคัญ 9 กบั ปจั จยั ตา่ งๆ ไมว่ า่ จะเปน็ การปลกู หมอ่ น เลย้ี งไหม กระบวนการการผลติ เสน้ ใย การฟอกยอ้ ม การจัดการของเสียที่เกดิ ขน้ึ การเก็บรักษา การบรรจุ การขนสง่ ภาพท่ี 1.10 แสดงเคร่ืองหมาย รบั รองมาตรฐานสงิ่ ทอ และกระบวนการตรวจสอบสารตกค้างในผลิตภัณฑ์ ปัจจุบันมีผู้ผลิตผ้าไหมไทย อินทรีย์ (GOTS)l ของ ทีไ่ ดร้ บั การรับรองจากสหภาพยโุ รป จ�ำนวน 4 บรษิ ทั คือ บรษิ ัทจุลไหมไทย สหภาพยโุ รป บรษิ ทั สปนั ซลิ คเ์ วริ ด์ บรษิ ทั เรอื นไหมใบหมอ่ น และบรษิ ทั ไทยคอ๊ ตตอลแอนดซ์ ลิ ค์ (ศริ พิ ร และนศิ านาถ, 2556) 1.4.5.3 เครื่องหมายรับรองสิ่งบ่งช้ีทางภูมิศาสตร์(Geographical Indication) เครือ่ งหมายรบั รองส่งิ บ่งชี้ทางภูมศิ าสตร์(Geographical Indication : GI) หมายถึง เคร่ืองหมายท่ีรับรองสินค้าเกษตรและอาหารของสหภาพยุโรป เพือ่ แสดงวา่ สินค้าน้ันเปน็ สินค้าทเ่ี กิดจากแหล่งก�ำเนดิ ภูมศิ าสตร์นน้ั ๆเปน็ สนิ ค้า ที่มีคุณภาพ ชื่อเสียงหรือคุณลักษณะเฉพาะของแหล่งภูมิศาสตร์ดังกล่าว โดย สินค้าที่ได้รับการรับรองจะต้องมีกระบวนการผลิตโดยใช้ภูมิปัญญาท้องถ่ิน มีเอกลักษณ์ คุณภาพ และความเชอ่ื มโยงกบั แหลง่ ภมู ศิ าสตร์ กลา่ วคอื เปน็ เครอ่ื งหมายทสี่ ง่ เสรมิ ให้มีการน�ำสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐานเกิดจากภูมิปัญญา ของทอ้ งถนิ่ มาพฒั นาใหม้ มี าตรฐานตามแนวทางสากล ใหส้ ามารถสรา้ งงานและ รายได้ใหค้ นในแหล่งภูมศิ าสตรน์ ั้น ตามกฎ EC 1511/ 2012 (แกไ้ ขจาก EC
มาตรฐานหม่อนไหม 5011/2009 เดมิ ) เปน็ มาตรฐานสมัครใจ ส�ำหรับในประเทศไทย กรมทรพั ย์สิน ทางปญั ญา กระทรวงพาณชิ ย์ ได้ออกประกาศพระราชบญั ญัตคิ มุ้ ครองสิง่ บ่งชี้ ทางภูมิศาสตร์ พ.ศ. 2546 โดยให้กรมทรัพย์สินทางปญั ญาเป็นผ้รู บั ผดิ ชอบใน การขน้ึ ทะเบยี นและการควบคมุ เครอื่ งหมายสงิ่ บง่ ชท้ี างภมู ศิ าสตร์ โดยเรม่ิ ใหก้ าร รบั รองตง้ั แตป่ ี พ.ศ. 2547 เปน็ ตน้ มาจนถงึ ปจั จบุ นั มสี นิ คา้ ไทยทเี่ ปน็ สนิ คา้ เกษตร และสินค้าหัตถกรรม(รวมถึงผ้าไหมไทย) ท่ีได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทาง ภมู ศิ าสตร์ จำ� นวน 51 สนิ คา้ (กรมทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญา, 2556) ซงึ่ รวมถงึ สนิ คา้ ไหมไทย จ�ำนวน 4 ชนิด คือ ผา้ ไหมยกดอกลำ� พนู ผา้ ไหมแพรวากาฬสินธ์ุ ผา้ ไหมมัดหมชี่ นบท และเส้นไหมไทยพืน้ บ้านอีสาน (ศริ พิ ร บุญชู, 2556) 10 ภาพที่ 1.11 แสดงเครื่องหมาย รับรองส่ิงบ่งช้ีทาง ภู มิ ศ า ส ต ร์ ข อ ง สหภาพยุโรป(บน) และของไทย(ล่าง)
กรมหม่อนไหม กระบวนการผลิตเสน้ ไหมและผา้ ไหมไทย 2.1 ประวตั ผิ ้าไหมไทย 11 ผา้ ไหม ถือเปน็ ผา้ ทีไ่ ดจ้ ากเสน้ ใยธรรมชาติที่แข็งแรงทส่ี ุด เป็นผา้ ทีห่ รูหรา สวมใสส่ บาย ดดู ซึม น�้ำไดด้ ี เป็นเงามนั มคี วามนมุ่ นวล ท้งิ ตวั ดีทส่ี ดุ ไมส่ กปรกง่าย เชื้อราและแมลงไมช่ อบ สวมใสส่ บาย ทกุ ฤดูกาล(สนน่ั บญุ ลา, 2555) การนุ่งหม่ ด้วยผา้ ไหมมีมานานเพยี งใด ยงั ไมม่ ีใครท่จี ะสามารถสบื หาเรือ่ ง ได้ชัดเจน จนกระทั่งมีการพบหลักฐานยืนยันได้ว่า มนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์เมื่อ 2,500 – 3,500 (วาสนา, 2528, วิบูลย,์ 2530 และ Chessman ,1988) มกี ารทอผา้ ขน้ึ ใชโ้ ดยพบเศษผ้าท่ีติดอยู่กับก�ำไล ส�ำริดของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์บ้านเชียงและเศษผ้าไหมซ่ึงพบที่บ้านนาดี อ�ำเภอหนองหาน จังหวัด อดุ รธานี บง่ บอกวา่ ประเทศไทยไดม้ กี ารปลกู หมอ่ นเลย้ี งไหมและการทอผา้ มาเปน็ เวลานานประมาณ 3,000 ปี ซ่ึงอาจมีการสืบทอดอารยธรรมการปลูกหม่อนเล้ียงไหมและการทอผ้าไหม สืบต่อกันมาจากบรรพบุรุษ ทอี่ าศยั อยู่ในแถบนี้ มไิ ด้มีการอพยพหรือเคลอื่ นย้ายวฒั นธรรมจากแผ่นดินประเทศจีนแตอ่ ย่างใด ในขณะ ทหี่ ลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรย์ งั ไมแ่ จง้ ชดั หรอื ยนื ยนั ไดว้ า่ ไหมไทยมแี หลง่ กำ� เนดิ อยทู่ นี่ หี่ รอื ไดร้ บั การถา่ ยทอด จากทใี่ ด นกั วิทยาศาสตร์ โบราณคดี กพ็ ยายามเสาะแสวงหาหลกั ฐานหรือขอ้ สนั นษิ ฐานทางชีววทิ ยาและ ภูมิศาสตร์โดยต้ังข้อสังเกตว่าไหมไทยพันธุ์พื้นบ้านที่เลี้ยงกันมาตั้งแต่โบราณและยังคงมีเล้ียงกันอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนน้ั เป็นไหมทม่ี กี ารพกั ตวั ตามธรรมชาติ สามารถฟกั ออกเป็นตัวได้ ปีละหลายครั้ง รังไหมมรี ูปรา่ งเรยี วเล็ก หวั ท้ายแหลม สีเหลือง มีปยุ มาก ประมาณร้อยละ 20 จากหลักฐานยุคก่อนประวัติศาสตร์บ้านเชียง พบว่ามีการถักและทอผ้าจากเส้นใยพืชและไหม ข้ึนใช้แล้ว หรือจากข้อสันนิษฐานท่ีว่าจะมีการถ่ายทอดอารยธรรมและวัฒนธรรมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม สาวไหมและทอผ้ามาจากชนชาวจีนทางภาคใต้ตามล�ำน้�ำโขงมาก็ตาม แต่สมบัติอันล�้ำค่านี้ คงได้สืบทอด มาสู่ชีวิตและการเรียนรู้ของผู้คนจากยุคหนึ่งมาสู่ยุคประวัติศาสตร์อันเป็นยุคที่มีหลักฐานบันทึกถึงเรื่องราว ของไหมมากขน้ึ ผา้ ไหมไดเ้ ขา้ มามบี ทบาทในการดำ� รงชีวิต เศรษฐกจิ การเมอื งและสังคมของมนุษย์มากขนึ้ ในสมยั ทม่ี กี ารรวมตวั กนั เปน็ แวน่ แคว้ น อาณาจกั รกระจายอยใู่ นบรเิ วณทเ่ี ปน็ แผน่ ดนิ ไทยในปจั จบุ นั แตเ่ ปน็ ทนี่ ่าเสยี ดา้ ยยิ่งนักทศี่ ิลปวฒั นธรรมทบ่ี รรพบรุ ุษของเราได้สรา้ งสมมานบั พนั ๆ ปี นั้น มกี ารค้นพบหลกั ฐาน ทางโบราณคดนี ้อยมาก (ทรงศกั ดแิ์ ละซลี แมน, 2531)
มาตรฐานหม่อนไหม ในช่วงพทุ ธศตวรรษที่ 11 – 18 จนี เรมิ่ แผ่อทิ ธพิ ลมาสูส่ ามเหลยี่ มปากแม่น�ำ้ แดงทางดา้ นเหนอื ของเวียดนาม ทำ� ให้เกดิ การแบง่ ชาวไทยออกเปน็ กล่มุ ๆ คือ ไทยสยาม ไทยลาว ไทยแดง ไทยขาว ไทยดำ� ไทยเหนือและไทยใหญ่ได้อพยพมา หนีมาทางใต้ บางกลุ่มลงมาไกลถึงบริเวณประเทศลาว ประเทศไทย บริเวณลุ่มแมน่ ำ้� เจ้าพระยา และประเทศพมา่ ปัจจุบันยังพบว่า ชาวไทยล้ือ ชนกลุ่มใหญ่ในสิบสองปันนา มณฑลยูนานมีศิลปวัฒนธรรม คลา้ ยคลงึ กบั ชาวไทยลอื้ ในลาวและไทย (ดอด, 2525) ไดส้ ำ� รวจชาวไทยในจนี และสรปุ ไวท้ ำ� นองเดยี วกนั วา่ ถิ่นก�ำเนิดของชนชาติไทยอยู่ทางภาคใต้ของประเทศจีน ปัจจุบันในมณฑลกวางสีและกวางตุ้งยังคงมี ชนเผ่าไทยอาศัยอยู่ แม้นักวิชาการรุ่นใหม่ได้เสนอความคิดว่าชนชาติไทยไม่ได้อพยพมาจากไหนแต่เป็น เจ้าถ่ินลุ่มแม่น้�ำเจ้าพระยาเดิมอยู่แล้วแต่หลักฐานยืนยันมีน้อยมากจึงไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับกอปรกับมนุษย์ ในอาณาจักรทวาราวดปี ระเทศไทยตามจารกึ ทน่ี ครวดั เรยี กวา่ “สยาม” และในบนั ทกึ ของจนี เรยี ก “เสย่ี น” นนั้ มใิ ชช่ นชาตไิ ทย เปน็ พวกทม่ี ชี าติพนั ธ์มุ อญ – เขมร มผี ิวสีคล�ำ้ ส่วนชาวไทยมเี ช้อื สายมองโกลผวิ เหลอื ง ตั้งแต่พุทธศตวรรษท่ี 11 ท้ังในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางและบริเวณชายฝั่ง ตะวันออกเฉียงเหนือใต้ไปจนถึงบริเวณสุมาตรามีอาณาจักรท่ีมีความเจริญทางด้านอารยธรรมมีการติดต่อ แลกเปล่ียนศิลปวัฒนธรรมและวิทยาการซ่ึงกันและกันเร่ือยมา นักบวชและพ่อค้าจีนซ่ึงเดินทางมาถึง อาณาจักรเหล่านี้ได้บันทึกเรื่องผ้าและลักษณะต่าง ๆ ของผ้าในแต่ละอาณาจักร เช่น ผ้าไหม ผ้าแพร ผา้ ปาตี เปน็ ตน้ การลม่ สลายของอาณาจกั รนา่ นเจา้ ในพทุ ธศตวรรษท่ี 18 ตอ่ กบุ ไลขา่ น ทำ� ใหช้ าวไทยอพยพ มาตง้ั อาณาจักรใหม่ นามวา่ อาณาจกั รโยนกนครบรุ ีเชยี งแสน (เชียงแสน) อาณาจกั รหิรญั นครเงินยวง 12 (ดอยตุง เชยี งราย พะเยา) อาณาจกั รนครศรธี รรมราชและอาณาจกั รสโุ ขทยั สมัยสุโขทัย อาณาจักรสุโขทัยมีความเจริญรุ่งเรืองมาเป็นล�ำดับจากสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (พ.ศ. 1780) จนถึงสมยั พระมหาธรรมราชาที่ 4 (1762 – 1981) โดยเจรญิ สูงสุดในสมยั พอ่ ขนุ รามค�ำแหง มหาราช ราษฎรมคี วามเปน็ อยดู่ มี าก มเี สรภี าพในการดำ� เนนิ ชวี ติ มกี ารทอผา้ เปน็ อตุ สาหกรรมในครวั เรอื น จากบันทึกของโจวต้ากวานว่าในปี พ.ศ. 1839 ชาวเสียน (สยาม) ใช้ผ้าไหมทอแพรบาง ๆ สีด�ำเป็น เครอ่ื งนงุ่ หม่ ผหู้ ญงิ ชาวเลยี นนนั้ เยบ็ ชนุ เปน็ ยคุ นม้ี กี ารเชอ่ื มสมั พนั ธไมตรกี บั ประเทศจนี พบวา่ มกี ารคา้ ขาย ผา้ ไหมด้วย โดยนกั เดนิ เรอื ชาวจนี หวางตาหยวน (Wang Dayuan) ในราชวงศ์ยว่ นหรือหยวน (Yuan Dynasty พ.ศ. 1814 - 1911) ไดต้ ดิ ตอ่ ซื้อขายผ้าไหมพิมพเ์ ขียวกบั กรงุ สุโขทัย ขณะนัน้ ชาวจีนเรียกวา่ เซยี งโกว (Xianguo) นอกจากนนั้ ยงั มกี ารคา้ ผา้ ไหมกบั เมอื งอนื่ ๆ เชน่ ราชบรุ ี สพุ รรณบรุ ี สงขลา อาณาจกั ร ลา้ นนา (พุทธศตวรรษที่ 18 – 24 ) เจริญรุ่งเรืองในสมัยเดยี วกนั กับกรุงสโุ ขทัย ชนกลุ่มใหญ่ท่ีอาศัยอยใู่ น ดินแดนแถบนี้คือ ไทยวน (ไทโยนหรือไทโยนก) มีความรุ่งเรืองในด้านศิลปกรรมการทอผ้าฝ้ายและ ผา้ ไหม สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ เอกลกั ษณก์ ารแตง่ กายในอดตี ของชายหญงิ ชาวลา้ นนา จากจติ รกรรมฝาผนงั วหิ าร วัดภูมินทร์ อ�ำเภอเมือง จังหวัดน่านของชนเผ่าไทด้ังเดิมนับต้ังแต่สมัยพญาเม็งรายสร้างเมืองเชียงใหม่ เมือ่ พ.ศ. 1839 ในพทุ ธศตวรรษที่ 19 พญาเมง็ รายได้เจริญสัมพนั ธไมตรกี ับ พญาง�ำเมอื งแหง่ แคว้นพะเยา และพอ่ ขนุ รามค�ำแหง่ แห่งกรงุ สโุ ขทัย ทำ� ใหไ้ ทยไดม้ โี อกาสสรา้ งสรรค์ศลิ ปวฒั นธรรมทกุ สาขา สมัยอยุธยา ไทยยังได้มีสัมพันธไมตรีทางการค้ากับจีนอย่างต่อเนื่องจากสมัยสุโขทัยโดยเฉพาะ อย่างยงิ่ ในชว่ งปี พ.ศ. 1948 – 1976 เซ็ง ฮี (Zheng He) นกั เดนิ เรอื ชาวจนี ได้ทำ� การค้าขายผา้ ไหม และสินค้าอื่น ๆ กับประเทศไทยและประเทศต่างๆ ในเอเซียและอัฟริกาทุกวันน้ียังมีวัดส�ำเภาหรือ วัดพนัญเชิงวรวิหารทีส่ รา้ งไว้เพ่อื เตอื นความทรงจ�ำในการเดินทางมาของ เซ็ง ฮี นอกจากนน้ั ในมาเลเซยี และอินโดนเี ซียเมอื งท่ีเมอื ง เซง็ ฮี เคยตดิ ตอ่ คา้ ขาย ก็สรา้ งวัดสำ� เภาไวเ้ ป็นทีร่ ะลึกเช่นกัน
กรมหม่อนไหม สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2199 - 2231) นับเปน็ ยุคทองของการคา้ อาภรณ์ 13 อยา่ งกว้างขวาง พระองค์ถงึ กับทำ� การคา้ ผ้าดว้ ยพระองค์เองโดยควบคมุ การค้าผา้ ทมี่ าจากต่างประเทศและ ท่ีผลิตได้ในราชอาณาจักรมีคลังสินค้าตามหัวเมืองต่าง ๆ และยังเป็นศูนย์กลางการซื้อขายวัตถุดิบในการ ทอผ้าท้ังไหมและฝ้าย ผ้าเป็นเคร่ืองก�ำหนดต�ำแหน่งและฐานะตามสังคมของผู้ใช้ด้วย โดยใช้ชนิดของผ้า ลวดลายเปน็ ตวั กำ� หนด ซงึ่ ไดส้ บื ทอดมาถงึ สมยั รตั นโกสนิ ทร์ ผา้ ถกู ใชเ้ ปน็ เครอื่ งปนู บำ� เหนจ็ หรอื พระราชทาน ต่างเงินเดือนปีละหน เรียกว่า ผ้าหวัดรายปี ผ้าท่ีได้พระราชทานส่วนมากจะเป็นผ้าสองปักหรือสมปัก ซงึ่ เปน็ ผ้าไหมท่กี ลางผืนมีลวดลายต่างๆ หลายแบบ เช่น ผ้าสมปกั ปมู สมปกั ร่องจาน สมปักลาย สมปกั รวิ้ เปน็ ต้น (วบิ ลู ยแ์ ละคณะ, 2530) ผ้าไหมเปน็ สมบตั มิ คี า่ ท่พี ระมหากษตั ริยท์ รงใชเ้ ป็นเคร่ืองราชบรรณาการ ไปตา่ งประเทศดงั เอกสารเก่า ที่ ไมเคลิ สมิธส์ ไดเ้ ขียนไว้ในหนังสือ “The Siamese Embassy to the Sun King” ว่าพระบาทสมเดจ็ พระนารายณม์ หาราชสง่ คณะทูตชุดท่ี 3 ไปเจรญิ สมั พนั ธไมตรีกับฝรั่งเศส เม่อื วนั ท่ี 12 ธันวาคม 2228 โดยออกพระวสิ ตู รสนุ ทร (โกษาปาน) เปน็ ราชทูตได้เดนิ ทางไปถึงฝรงั่ เศสเมื่อ วันท่ี 18 มิถนุ ายน 2229 เข้าเฝ้าพระเจา้ หลยุ ส์ที่ 14 เพือ่ ถวายพระสาสน์ ซง่ึ ใส่ไวใ้ นหบี ทองค�ำบรรจุ ไว้ในหีบเงินที่ใหญ่กว่า และบรรจุในหีบไม้ลงรักปิดทองอีกช้ันหนึ่ง หีบไม้นั้นห่อด้วยผ้าไหมเน้ือดีท่ีปักเป็น ดอกไม้ทองท้ังผืน จะเห็นได้ว่าสมยั กรุงศรีอยุธยาผ้าไหมมบี ทบาทสำ� คัญอย่างย่ิงทั้งดา้ นวฒั นธรรมเศรษฐกจิ และสังคม สมัยธนบุรี เมือ่ กรุงศรอี ยุธยาถกู ท�ำลายลงในปี พ.ศ. 2310 สมเดจ็ พระเจ้าตากสนิ มหาราช ได้ทรงกอบกูเ้ อกราชและต้ังราชธานใี หม่ทก่ี รุงธนบรุ ี กรุงธนบรุ ีมีอายเุ พยี ง 15 ปี กอปรดว้ ยภาระสงคราม การทำ� ผ้าไหมในยุคนจี้ ึงซบเซา ต้องส่งั ซอ้ื จากตา่ งประเทศมากกวา่ ทีจ่ ะสง่ ไปขายทต่ี า่ งประเทศ ยังคงมีการ ท�ำผ้าข้ึนใช้เองในหัวเมืองท่ีปราศจากสงคราม เช่น เมืองนครศรีธรรมราช เจ้าพระยานครศรีธรรมราช ไดอ้ พยพชา่ งทอผา้ สตรีจากสงขลาไปไทรบุรแี ละมาสอนการทอผา้ ยกที่นครศรธี รรมราช จนท�ำใหเ้ ป็นแหลง่ ที่ผลติ ผ้ายกทมี่ ีชื่อเสียงมาจนทกุ วันน้ี (วบิ ลู ยแ์ ละคณะ, 2530) สมัยกรุงรตั นโกสินทร์ พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟา้ จฬุ าโลก รัชกาลท่ี 1 (พ.ศ. 2329- 2351) พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หล้านภาลยั รชั กาลที่ 2 (พ.ศ. 2352 - 2367) จนสมยั พระบาทสมเด็จ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ ัว รัชกาลท่ี 3 (พ.ศ. 2367 - 2394) กย็ งั มสี งครามกบั พม่าเป็นคร้ังคราวเป็นยุคทมี่ ี การฟน้ื ฟศู ลิ ปวฒั นธรรม ขนบธรรมเนยี มประเพณี สภาพจติ ใจและความเปน็ อยขู่ องประชาชนใหค้ นื สภู่ าวะ ปกติ ไมม่ คี วามแตกต่างจากสมัยกรุงศรอี ยธุ ยามากนัก รวมท้ังการแตง่ กายกย็ งั คงใช้ผ้าสมปกั ทท่ี อดว้ ยไหม ส�ำหรบั พระมหากษตั ริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ หรือข้าราชการเวลาเข้าเฝา้ พระเจ้าแผ่นดนิ ตอ่ มาในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี 4 (พ.ศ. 2394 - 2411) มกี าร ติดต่อกับต่างประเทศมากขึ้น เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมการแต่งกายมีการปฏิรูปบ้านเมือง ตามกระแสอิทธิพลของอารยธรรมตะวันตก ข้าราชบริพารจะสวมเส้ือกางเกงเข้าเฝ้า แต่ผ้าไหมก็ยังคง เปน็ ทนี่ ยิ ม และแสดงถงึ ยศและตำ� แหนง่ ของผสู้ วมใส่ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 5 (พ.ศ. 2411 - 2453) ยุคแห่งการฟนื้ ฟู สง่ เสริมและพฒั นาการปลกู หม่อนเลีย้ งไหม สาวไหมและทอผา้ จากรัฐบาลของพระองค์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาบ้านเมืองด้านอื่น ๆ ในสมัยรัชกาลท่ี 1 - 4 ราษฎรมีการปลูกหม่อนเล้ียงไหม เป็นอาชีพรองหลังเสร็จจากการท�ำนา การพัฒนาท�ำให้ราษฎรปลูกหม่อนเลี้ยงไหมกันทั่วไป เดิมท�ำกันใน เฉพาะเขตแมน่ ำ�้ โขง มมี ากทสี่ ดุ ทม่ี ณฑลอสี านและมณฑลอดุ ร ยกเวน้ บรเิ วณลมุ่ แมน่ ำ�้ เจา้ พระยาจะไมม่ กี าร ปลกู หมอ่ นเลย้ี งไหม สว่ นมณฑลนครราชสมี า และมณฑลอน่ื ๆ ในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื จะผลติ เสน้ ไหม ทอเปน็ ผ้าม่วงใช้ในครัวเรือน แตก่ ารเลี้ยง การสาว เป็นแบบโบราณ ทำ� ไดเ้ ส้นไหมหยาบและสนั้ ใชเ้ ป็น
มาตรฐานหม่อนไหม เสน้ พุง่ ได้อยา่ งเดียว เส้นไหมยืนตอ้ งส่ังซื้อจากต่างประเทศ พ.ศ. 2433 ได้มกี ารจ้างผเู้ ชยี่ วชาญดา้ นไหม จากญี่ปุ่นเข้ามาปรับปรุงคุณภาพไหมที่มีอยู่เดิมให้ดีพอท่ีจะเป็นสินค้าส่งออกได้และเป็นการเพิ่มพูนฝีมือ ใหก้ บั ราษฎรไทยไปพร้อมกัน โดยเร่มิ ที่พระราชวังดุสิตการฟืน้ ฟผู ้าไหมไดด้ �ำเนินการในสวนหงษ์ พระราช ต�ำหนักของสมเด็จพระศรีสวรนิ ทราบรมราชเทวี (พระยศในขณะนั้น) ไดต้ ัง้ เปน็ กองทอจนเป็นท่รี ู้จกั ภายใน พระราชวังวา่ เป็นแหลง่ ท่ีหาซ้อื ผา้ ไหมได้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นว่าถ้าไม่อุดหนุนการท�ำไหมและทอผ้า ของประเทศแลว้ จะต้องสั่งซ้อื ไหมจากตา่ งประเทศเพิ่มขึน้ ทุกปี (พ.ศ. 2440 สั่งซือ้ ไหมรวม 4,886,821 บาท จนกระทง่ั พ.ศ. 2444 ส่ังซ้ือรวม 7,209,010 บาท) พระองค์จึงให้กระทรวงเกษตราธิการเชญิ ดร.คาเมทา โร่ โทยาม่า (Dr. Kametaro Toyama) ผเู้ ชยี่ วชาญด้านไหมจากญี่ป่นุ มาเป็นทปี่ รกึ ษาด้านไหมเป็นเวลา นาน 3 ปี ตง้ั แต่ปี พ.ศ. 2445 (Yokoyama, 1972) ตอ่ มาอีก 1 ปี กระทรวงเกษตราธกิ ารไดใ้ ชท้ ี่ดนิ แหง่ หนงึ่ ณ ต�ำบลศาลาแดง กรงุ เทพฯ ซง่ึ เป็นบรเิ วณถนนหลังสวนในปัจจุบัน จำ� นวน 23,716 ตาราง เมตรเป็นท่ีท�ำการทดลองของแผนกไหม เพื่อเตรียมไว้สอนนักเรียนช่างไหม พ.ศ. 2447 พระองค์ทรง เล็งเห็นทางท่ีจะบ�ำรุงการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมให้เจริญย่ิงข้ึน จึงทรงให้แยกท่ีท�ำการแผนกไหมออกเป็น กรมการช่างไหม และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม (แต่คร้ัง ยังด�ำรงต�ำแหน่งพระยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงษ์) เป็นอธิบดีพระองค์แรก พ.ศ. 2448 กรมช่างไหมได้ต้ังสาขากองช่างไหมท่ีเมืองนครราชสีมา เพื่อเป็นแหล่งรักษาพันธุ์ไหม ส่งเสริ มใหร้ าษฎรจดั ทำ� แปลงสวนหมอ่ นและเลย้ี งไหมแบบใหม่ ฝกึ อบรมการสาวไหมดว้ ยเครอ่ื งและดดั แปลงเครอื่ ง ทอผ้าใหม้ ปี ระสิทธภิ าพดีขึน้ กรมการช่างไหมกรุงเทพฯ ได้สร้างพนั ธไุ์ หมลูกผสมระหว่างพันธุ์ไทยกบั พนั ธุ์ 14 ญ่ีปุ่น เพ่ือให้ได้พันธุ์ที่ดีกว่าเดิมแต่ก็ยังใช้พันธุ์ไทยพื้นบ้านด้วย โดยให้ราษฎรปรับปรุงวิธีการเลี้ยงให้ดีข้ึน พ.ศ. 2449 ขยายสาขากองช่างไหมขนึ้ อีกแหง่ ทเ่ี มอื งบุรีรัมย์ มีหน้าทเี่ ชน่ เดยี วกับกองช่างไหมนครราชสีมา พ.ศ. 2451 ขยายสาขาข้นึ อีกแห่งท่อี �ำเภอพทุ ไธสง แขวงเมอื งบุรีรมั ย์ มีหนา้ ทต่ี ่างจาก 2 สาขาแรก คือ มีหน้าทีฝ่ ึกหดั ให้ราษฎรกลับไปประกอบอาชพี เอง สว่ น 2 สาขา แรก ฝึกหัดให้ราษฎรเป็นครู พ.ศ. 2452 มีนักเรยี นกองกรงุ เทพฯ จบหลักสูตร 11 คน จงึ ขยายสาขาอกี 3 แหง่ คอื กองเมืองสุวรรณภมู ิ กองเมอื ง รัตนบุรี และกองเมืองอ�ำเภอพยัตฆภูมิพิสัย มีหน้าท่ีเช่นเดียวกับกองอ่ืน ๆ ในปีเดียวกัน กองกรุงเทพฯ ได้ย้ายที่ท�ำการกรมช่างไหม มารวมอยู่บริเวณกระทรวงเกษตราธิการ การทดลองเล้ียงไหมย้ายไปรวมกับ กองนครราชสีมา โรงเรียนช่างไหมย้ายไปรวมกับโรงเรียนของกรมแผนที่ ท่ีพระราชวังใหม่สระปทุมวัน กองนครราชสมี าไดเ้ พม่ิ การฝกึ หดั ทอผา้ ขนึ้ อกี อยา่ งหนง่ึ เพอื่ ใหค้ รบ 3 ประการ คอื การเลย้ี งไหม การสาวไหม และการทอผา้ การทอผา้ กรมช่างไหมได้จ้างชาวญ่ีปนุ่ 2 คน ชาย 1 คน หญิง 1 คน และได้ซือ้ เคร่อื ง ทอผ้าจากญ่ปี ุน่ รวม 10 เครอ่ื ง ช่างทอผา้ ญ่ีปุน่ เดินทางมาถึงประเทศไทย เม่อื เดือนสงิ หาคม พ.ศ. 2452 เครื่องทอผ้าถึงเมืองไทยเดือนกันยายน ในปีเดียวกัน แต่ช่างทอผ้าหญิงได้เสียชีวิตก่อน ช่างทอผ้าชาย ได้ฝกึ หดั ใหท้ อเฉพาะผ้าม่วงเพียงอยา่ งเดยี ว พ.ศ. 2453 กรมช่างไหมไดต้ ้ังสาขาขึ้นอกี 4 แห่งคือ กองเมอื ง รอ้ ยเอด็ กองเมืองศรีสะเกษ กองเมอื งชัยภูมิ และกองเมอื งจตุรสั รวมทัง้ ส้นิ 8 กอง อธบิ ดกี รมชา่ งไหม พระเจ้าลูกยาเธอหมืน่ พิไชยมหนิ ทโรดมได้บรหิ ารราชการมาจนถึง วนั ที่ 11 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2452 พระองคไ์ ด้ส้ินพระชนม์ลงดว้ ยพระชนมายุเพียง 29 ชันษาเท่าน้ัน พระบรม บามบำ� รงุ อธบิ ดกี รมทะเบยี นทดี่ นิ และกรมราชโลหกจิ ไดบ้ รหิ ารราชการกรมชา่ งไหมตอ่ มา (วงษานปุ ระพนั ธ,์ 2484) กอปรดว้ ยพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั ได้เสดจ็ สวรรคตเมือ่ วันที่ 23 ตุลาคม 2453 งานดา้ นไหมมอี นั ตอ้ งซบเซาลงแมจ้ ะมกี ารสานตอ่ บา้ งเพยี งเลก็ นอ้ ย และตอ้ งเลกิ ไปในทส่ี ดุ ในปี พ.ศ. 2456 ราษฎรกลับไปเล้ียงไหม ทอผา้ ตามวถิ ชี าวบ้านทส่ี บื กนั มาตามบรรพบรุ ษุ เช่นเดิม
กรมหม่อนไหม ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 (พ.ศ. 2453-2468) 15 มีการพัฒนา การทอผ้าจากก่ีธรรมดาเป็นก่ีกระตุก แล้วแพร่หลายสู่ชนบท ยุคน้ีเป็นช่วงเวลาของ การเปล่ียนแปลงสังคมของไทยตามรอยอารยธรรมประเทศ ตะวันออก เนื่องจากผู้น�ำและชนชั้นปกครอง ได้ไปศกึ ษามาจากประเทศตะวันตก เริม่ เปลี่ยนแปลงการแต่งกายในราชสำ� นกั ตามพระราชประสงค์ให้สตรี “นงุ่ ซน่ิ ฟนั ขาว และเกลา้ ผมมวย” สตรใี นราชสำ� นกั จงึ เปลย่ี นจากนงุ่ โจงกระเบนมาเปน็ ผา้ ซนิ่ สามญั กเ็ ปลยี่ น การแตง่ กายตามสตรใี นราชสำ� นกั ในเวลาตอ่ มา ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจา้ อยู่หวั รชั กาลท่ี 7 (พ.ศ. 2468 -2477) และสมัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั อนนั ทมหิดล รัชการที่ 8 (พ.ศ. 2477-2489) ยงั คงมกี ารเปล่ียนแปลงสังคม แบบก้าวกระโดดอย่างต่อเน่ือง สตรีสวมใส่ผ้าซ่ิน ข้าราชการเลิกนุ่งผ้าม่วง ในปี พ.ศ. 2478 เปลี่ยน มานงุ่ กางเกงแบบตะวนั ตก ในสมัยจอมพล ป. พิบลู สงคราม นโยบายรัฐนยิ ม (พ.ศ. 2482 - 2487) สตรี จะสวมหมวก นงุ่ กระโปรงใส่รองเทา้ มกี ารตดั เย็บผ้าแบบตะวันตก ท�ำให้การทำ� ไหมลงนอ้ ยลงและอยู่ใน วงจำ� กดั แตร่ าษฎรตามหวั เมอื งตา่ ง ๆ โดยเฉพาะในภาคอสี านกย็ งั เลย้ี งไหมและทอผา้ ไหมไวใ้ ชใ้ นครวั เรอื น และใชแ้ ทนเงนิ ตราแลกเปลีย่ นสนิ คา้ ปี พ.ศ. 2500 กรมกสกิ รรมไดโ้ อนแผนกสง่ เสรมิ การเลย้ี งไหมมาข้นึ อยกู่ บั กองการค้าคน้ คว้า และทดลอง มีหน้าที่ศึกษาวิจัยปรับปรุงพันธุ์หม่อนและพันธุ์ไหม ปัจจุบันคือสถาบันวิจัยหม่อนไหม กรมวิชาการเกษตร และปี พ.ศ. 2511 ได้มกี ารสถาปนากรมสง่ เสรมิ การเกษตรเปน็ กรมหนง่ึ ในกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ งานด้านการส่งเสริมการปลูกหม่อนเล้ียงไหมเป็นแผนกงานหนึ่งของกรมปัจจุบันคือ กลมุ่ สง่ เสริมการผลิตหมอ่ นไหม ส�ำนกั ส่งเสริมและจดั การสนิ คา้ เกษตรมีหน้าทีด่ �ำเนนิ การส่งเสรมิ การปลกู หมอ่ นเลย้ี งไหมและการตลาด ถา่ ยทอดเทคโนโลยดี า้ นการผลติ หมอ่ นไหมแบบครบวงจรใหแ้ กก่ ลมุ่ เกษตรกร ปัจจบุ ัน (2548) มเี กษตรกรประกอบอาชีพหม่อนประมาณ 140,000 ครัวเรอื น โดยมีความหนาแนน่ ของ จำ� นวนเกษตรกรอยใู่ นภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื วา่ รอ้ ยละ 90 นอกจากนย้ี งั มหี นว่ ยงานราชการอน่ื ทเี่ กย่ี วขอ้ ง กบั กจิ กรรมหมอ่ นไหมไทย คอื กระทรวงพาณชิ ย์ กระทรวงอตุ สาหกรรม รวมทงั้ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร สำ� หรบั ภาคเอกชนมีสมาคมไหมไทยเป็นศูนยร์ วมของเอกชนเพอื่ ประสานงานรว่ มในการพฒั นาอตุ สาหกรรมไหมไทย อย่างไรก็ตามเพื่อให้ด�ำเนินการพัฒนาไหมไทยโดยเฉพาะในส่วนของไหมพันธุ์ไทย ซ่ึงมี คุณลักษณะโดดเด่นเป็นพิเศษโดยเฉพาะ คือความนุ่มนวลและเลื่อมมัน รัฐบาลมีนโยบายในการส่งเสริม การผลติ ไหมไทยอยา่ งเปน็ ระบบเพอื่ อนรุ กั ษภ์ มู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ และจดั ตงั้ หนว่ ยงานใหมใ่ นกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ข้นึ โดยการรวมหน่วยงานท่ีด�ำเนนิ งานด้านหมอ่ นไหมของกรมส่งเสรมิ การเกษตรและกรมวชิ าการ เกษตรเขา้ ด้วยกนั ตามมตคิ ณะรฐั มนตรี เมอื่ วันที่ 3 สงิ หาคม 2547 และวนั ท่ี 31 สิงหาคม 2547 และ ไดร้ บั พระราชทานชอ่ื จากสมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนิ นี าถ “ สถาบนั หมอ่ นไหมแหง่ ชาตเิ ฉลมิ พระเกยี รติ สมเด็จพระนางเจา้ สิริกิต์ิ พระบรมราชินนี าถ ” และสถาปนา เปน็ กรมหมอ่ นไหม ภายใตก้ ระทรวงเกษตร และสหกรณ์ เมื่อวนั ท่ี 4 ธนั วาคม 2552 โดยให้มบี ทบาทหนา้ ทีก่ �ำกบั ดูแลงานดา้ นหม่อนไหมทง้ั ระบบคอื ศึกษา คน้ คว้า วเิ คราะห์ วจิ ัย สายพนั ธุ์ เทคโนโลยกี ารผลิต การแปรรูปผลิตภัณฑ์ การตลาด การอนุรกั ษ์ คุม้ ครองไหมไทย ตลอดจนท�ำการตรวจสอบออกใบรบั รองมาตรฐานผ้าไหมไทย(เฉลมิ ศรีและศิรพิ ร, 2553) 2.2 ขัน้ ตอนการผลติ ผา้ ไหมไทย การปลกู หมอ่ นเลยี้ งไหมและทอผา้ ไหมไทยเปน็ อาชพี ทมี่ กี ระบวนการผลติ ทซ่ี บั ซอ้ นและเกยี่ วขอ้ ง กับการผลิตหลายข้ันตอนและมีการกระจายการใช้แรงงานในครอบครัวได้ทุกวัย สำ�หรับข้ันตอนการผลิต เริ่มตัง้ แต่ การปลูกหมอ่ นเล้ียงไหม การสาวไหม และการทอผา้ ไหม ถอื เป็นอาชพี ทีน่ ำ�เอาภมู ิปญั ญาท้องถ่นิ
มาตรฐานหมอ่ นไหม มาใช้ในการผลิตเพอื่ สร้างมลู ค่าเพม่ิ สร้างเอกลกั ษณเ์ ฉพาะและความโดดเด่นใหแ้ กส่ ินคา้ ของแต่ละท้องถนิ่ ดังนั้นจึงเป็นอาชีพที่เหมาะสมกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคมและวิถีชีวิตของคนในชนบทโดยเฉพาะ อยา่ งย่ิงในชนบทภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือที่มคี รอบครัวขนาดใหญอ่ ยดู่ ้วยกัน ประกอบอาชพี การเกษตรเชน่ การทำ�นาหรอื ปลูกพืชไร่เปน็ อาชพี หลกั ปลูกหม่อนเลยี้ งไหมและทอผา้ ไหมเป็นอาชีพรองควบคู่กันไป ทำ�ให้ เกษตรกรมงี านทำ�ได้ทั้งปี กระบวนการผลิตผา้ ไหมไทยแบง่ การดำ�เนินงานเปน็ 5 ขั้นตอนการผลติ (กรม สง่ เสรมิ การเกษตร, 2538) ดงั นี้ 2.2.1 การปลูกหมอ่ น หม่อน (Morus alba L.) เป็นพชื ในตระกูล Moraceae หม่อนถือ เปน็ พชื มคี วามสำ� คญั อยา่ งยงิ่ ตอ่ การเลยี้ งไหมเพราะใบหมอ่ น เปน็ อาหารทส่ี ำ� คญั ของตัวหนอนไหมท่ีเล้ียงส�ำหรับผลิตเส้นไหมในเชิงการค้า (กรมส่งเสริม การเกษตร, 2538) ดังนั้นในขั้นตอนแรกของกระบวนการผลิตเส้นไหมจึงต้อง มกี ารปลกู และดแู ลตน้ หมอ่ นใหเ้ กดิ ใบทม่ี คี ณุ ภาพ เหมาะสมกบั การเลย้ี งหนอนไหม ในแต่ละวยั เพ่อื ใหไ้ ด้ผลผลติ รังไหม และเสน้ ไหมสูง ต้นหม่อนเป็นพืชท่ีขนึ้ งา่ ย และเจรญิ เตบิ โตโดยไม่ตอ้ งอาศัยน้�ำมากนัก พนั ธ์หุ มอ่ นทเี่ กษตรกรนยิ มใชป้ ลกู ได้แก่ บุรีรัมย์60 นครราชสีมา 60 หม่อนน้อย สกลนคร คุณไพ เป็นต้น โดยทว่ั ไปการเตรียมดนิ ก่อนการปลกู ควรไถดนิ ลกึ 40 เซนตเิ มตร ผึง่ แดดท้ิงไว้ 16 5-7 วันแล้วท�ำการไถพรวนพร้อมปรับพื้นที่ให้เสมอก่อนปลูก ใช้ระยะปลูก 0.70-0.75 เมตร x 1.5-2.5 เมตร หรือตามความเหมาะสมกบั ขนาดของเครอ่ื ง มือท่ีใช้ในการเขตกรรม ท่อนพนั ธ์ุท่ีนำ� มาปลูกควรอายุตั้งแต่ 4 เดือน ถงึ 1 ปี ตดั เปน็ ท่อนแตล่ ะทอ่ นมี 5-6 ตา ความยาวประมาณ 20-30 เซนตเิ มตร นยิ ม ปลกู ด้วยกัน 2 วิธี คอื การนำ� ท่อนพนั ธุ์ปลูกโดยตรงในแปลง และการปกั ช�ำ ทอ่ นพนั ธใ์ุ นแปลงเพาะชำ� กอ่ นแลว้ จงึ ยา้ ยปลกู ลงแปลง จากนน้ั ดแู ลใหน้ ำ้� กำ� จดั วชั พชื ใสป่ ยุ๋ หลงั จากปลกู หมอ่ นไปแลว้ ประมาณ 6-8 เดอื น ถา้ มกี ารดแู ลรกั ษา ทดี่ กี ส็ ามารถตัดใบไปเลย้ี งไหมได้ (สถาบันหมอ่ นไหมเฉลิมพระเกียรติ,2550) ภาพท่ี 2.1 แสดงต้นหม่อนและ ใบหมอ่ นพนั ธบ์ุ รุ รี มั ย์ 60 ทมี่ คี ณุ ภาพสำ�หรบั การ นำ�ไปเล้ยี ไหม 2.2.2 การเล้ยี งไหม (Silkworm rearing) ไหม (silkworm) ท่ีกินใบหม่อนเป็นอาหารมีช่ือวิทยาศาสตร์ว่า Bombyx mori อยู่ในวงศ์ Bombycidae ไหมเป็นแมลงทีม่ ีการเปล่ยี นแปลง รปู รา่ งแบบสมบรู ณ(์ Completely metamorphosis insect) แบง่ ระยะการเจรญิ เติบโตออกเป็น 4 ระยะ ไดแ้ ก่ ระยะไข่ ตวั หนอน ดักแด้ และผเี สอ้ื มีเพยี ง ระยะตวั หนอนเทา่ นน้ั ทก่ี นิ อาหารและอาหารของหนอนไหมกค็ อื ใบหมอ่ น หนอนไหม จะน�ำสารอาหารชนดิ ตา่ งๆ จากใบหม่อนไปสร้างความเจรญิ เติบโตโดยผ่านการ ยอ่ ยและดูดซมึ เป็นปรมิ าณ 1 ใน 3 ของสารอาหารทงั้ หมด ครึ่งหนงึ่ ของโปรตนี ภาพที่ 2.2 แสดงรังไหมพันธุ์ไทย ทด่ี ดู ซึมจากใบหมอ่ นจะถกู น�ำไปใช้ผลิตสารไหม เมื่อถงึ วยั 5 วันแรกตอ่ มไหม ลู ก ผ ส ม รั ง สี เ ห ลื อ ง (silk gland) จะหนักเพยี ง 6.36% ของน�ำหนักตัวไหม เมอ่ื ไหมสกุ ก่อนเขา้ และรงั ไหมลกู ผสมตา่ ง ทำ� รงั ตอ่ มไหมจะหนกั ถงึ 41.97% จะเหน็ วา่ ปลายวยั ท่ี 5 สารอาหารโดยเฉพาะ ประเทศรงั สขี าว
กรมหม่อนไหม โปรตนี เกอื บทง้ั หมดถกู เปลยี่ นไปเปน็ สารทใี่ ชช้ กั ใยทำ� รงั หรอื เสน้ ไหมนนั่ เอง พนั ธไ์ุ หมทใี่ ชเ้ ลย้ี งมที ง้ั ไหมพนั ธ์ุ 17 ไทย(Native Thai variety : Polyvoltine) พนั ธุไ์ ทยลกู ผสม(Thai hybrid variety)) และพันธุล์ ูกผสมตา่ ง ประเทศ(Foreign hybrid variety :Bivoltine) การเลย้ี งไหมโดยท่วั ไปไหมจะมี 5 วยั วัย 1-3 เรยี กว่าไหม วยั อ่อน(Young silkworm) และวยั 4-5 เรียกว่าไหมวยั แก่(Grown silkworm) เมอ่ื ไหมสุกจะท�ำรงั โดย การพน่ เสน้ ใยหอ่ หมุ้ คอื เสน้ ใยทพี่ น่ ออกมาจากปากของตวั หนอนไหมทโี่ ตเตม็ วยั เพอ่ื มาหอ่ หมุ้ ตวั ปอ้ งกนั ศตั รู ทางธรรมชาตใิ นขณะทห่ี นอนไหมลอกคราบจากหนอนไหมเปน็ ตัวดักแด้ และไม่สามารถเคล่อื นทไี่ ด้ หนอนไหมเป็นแมลงชนิดหน่ึงซ่ึงมกี ารเจรญิ เติบโตจากไข่ไหม และเป็นตัวหนอนไหม ในขณะท่ี เป็นตัวหนอนไหมจะเจริญเตบิ โตโดยการลอกคราบประมาณ 3-4 คร้ังในระยะเวลาประมาณ 20-22 วัน และจะมีนำ้� หนักตัวเพิม่ ขึน้ 10,000 เท่า โดยการกินอาหารเพียงอย่างเดียว คอื ใบหมอ่ น และเมื่อเจรญิ เติบโตเต็มที่แล้ว จะหยุดกินอาหาร แล้วพ่นเส้นใยออกมาห่อหุ้มตัวเอง ท่ีเราเรียกว่ารังไหม(Cocoon) ซงึ่ มลี กั ษณะกลมรคี ลา้ ยเมลด็ ถว่ั เกษตรกรผเู้ ลย้ี งไหมไทยจะเกบ็ รงั ไหมไวแ้ ลว้ รบี สาวเสน้ ไหมใหเ้ สรจ็ ภายใน 10 วัน(กรมส่งเสริมการเกษตร, 2538) กอ่ นทด่ี กั แด้ไหมจะกลายเปน็ ผีเส้อื และเจาะออกมาจากรงั ไหมท�ำให้ รงั ไหมเสยี หายเมอื่ นำ� ไปสาวจะไดเ้ สน้ ไหมทม่ี คี ณุ ภาพตำ�่ ผลผลติ รงั ไหมทไ่ี ดข้ องเกษตรกรมสี เี หลอื ง สว่ นใหญ่ ได้มาจากพนั ธุ์พน้ื เมืองและพนั ธุ์ไทยลกู ผสม วงจรชวี ติ “หนอนไหม” หนอนฟักออกจากไข่/ หนอนไหมวยั 1 หนอนไหมวัย 2 ไขไ่ หม ลอกคราบครั้งที่ 1 ผเี ส้ือวางไข่ หนอนไหมวยั 3 ลอกคราบครงั้ ท่ี 2 ผีเสอ้ื ผสมพันธ์ุ หนอนไหมวยั 4 ลอกคราบครั้งท่ี 3 ผีเสอ้ื เจาะออกจากรงั หนอนไหมวยั 5 ลอกคราบคร้งั ท่ี 4 ภาพท่ี 2.3 วงจรชีวิตหนอนไหม ดกั แด้ไหม ไหมสุก รงั ไหม
มาตรฐานหม่อนไหม 2.2.3 การสาวไหม (Silk reeling) การสาวไหม คือ การดึงเส้นไหมออกจากรังไหม เพื่อผลิตเส้นไหม ตามขนาดทตี่ อ้ งการสำ� หรบั การทอผา้ ไหม (สำ� นกั อนรุ กั ษแ์ ละตรวจสอบมาตรฐาน หมอ่ นไหม, 2554) การสาวไหมท�ำไดโ้ ดยการนำ� รงั ไหมมาต้มในน�้ำที่มีอณุ หภมู ิ ตั้งแต่ 70-80 องศาเซลเซียสเพ่ือท�ำให้กาวไหม (Sericin) อ่อนตัวและดึง เส้นไหมออกมาเป็นเส้นยาวได้ อุณหภูมิท่ีใช้ในการสาวไหมนั้นจะต้องต่�ำกว่า จุดเดือด ถา้ น้�ำทีต่ ม้ รอ้ นเกินไป จะสังเกตได้จากเส้นไหมที่สาวขึน้ มาจะเปื่อยยุ่ย และเป็นกระจุก แต่ถ้าอุณหภูมิของน้�ำต่�ำเกินไปน�้ำร้อนไม่พอก็จะไม่สามารถ สาวไหมขน้ึ มาได้ ความยาวของเส้นใยจะข้ึนอยกู่ บั สายพันธุแ์ ละการดูแลในช่วง ภาพที่ 2.4 แสดงการสาวไหม ทเี่ ปน็ หนอนไหม เมอื่ ไดร้ งั ไหมมาแลว้ กอ่ นทจ่ี ะนำ� รงั ไหมไปสาวจะตอ้ งคดั รงั ไหม รงั ไหมพนั ธไ์ุ ทยพน้ื บา้ น ท่ีเสียก่อนเพ่ือให้ได้เส้นไหมท่ีดีมีความสม่�ำเสมอ (ส�ำนักงานมาตรฐานสินค้า ด้วยพวงสาวไหมแบบ เกษตรและอาหารแห่งชาติ, 2550) การสาวไหมแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คอื พน้ื บ้าน 2.2.3.1 การสาวไหมดว้ ยมอื (Hand reeling) เป็นวิธีการดึงใยไหมออกมาจากรังไหมโดยใช้มือและอุปกรณ์การสาว อย่างง่ายท่ีเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น การสาวไหมส่วนใหญ่ของไทยส่วนใหญ่เป็น สาวดว้ ยมือ เครอ่ื งมือและอปุ กรณใ์ นการสาวไหมด้วยมอื มี 2 ชนิด คอื พวง สาวไหมแบบพนื้ บ้าน(Traditional reeling tool) และพวงสาวไหมแบบปรับปรงุ 18 2.2.3.2 การสาวไหมด้วยเครื่องสาวไหมขนาดเล็กระดับชุมชนท่ีมี หัวสาว 3-5 หวั สาว เป็นการสาวไหมโดยเคร่ืองสาวไหมที่ขับเคลื่อนด้วยกำ�ลังเคร่ืองจักร ในกระบวนการสาวท้ังหมดท่ีมีกำ�ลังรวมกันไม่เกิน 5 แรงม้า เหมาะสมกับ เกษตรกรท่เี ลีย้ งไหมพันธุ์ไทยลูกผสมในปรมิ าณมาก และไมส่ ามารถสาวไหมได้ ภาพท่ี 2.5 แสดงการสาวไหม ทันเวลาจะทำ�ให้หนอนไหมเจาะออกมาเป็นผีเส้ือทำ�ให้รังเสีย เม่ือนำ�ไปสาว เครื่องสาวไหมขนาด จะทำ�ให้เส้นไหมไม่มีคุณภาพ เนื่องจากในขณะสาวไหมเส้นไหมจะขาดบ่อย เล็กที่มี 3-5 หัวสาว และลักษณะเส้นไหม คร้ัง ทำ�ให้เส้นไหมเกิดปุ่มปม เกษตรกรจึงสามารถนำ�รังไหมไปจำ�หน่ายให้แก่ หนึ่งทส่ี าวได้ โรงสาวไหมชุมชนซ่ึงเกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มเกษตรกรเป็นกลุ่มสาวไหม โดยใชเ้ ครอื่ งสาวไหมทมี่ ขี นาดหวั สาว 3-5 หวั สาวตอ่ ชดุ ทำ�ใหป้ ระสทิ ธภิ าพการ สาวไหมดขี น้ึ และเรว็ ขน้ึ เสน้ ไหมมคี วามสำ่ �เสมอเนอ่ื งจากการสาวไหมทส่ี ามารถ ควบคมุ ขนาดเสน้ ไหมได้ในระดบั หน่ึง ภาพที่ 2.6 แสดงเส้นไหมน้อยท่ี ภาพท่ี 2.7 แสดงเส้นไหมสาว ภาพท่ี 2.8 แสดงเส้นไหมสามหรอื สาวด้วยมือจากรังไหม เลยที่สาวจากรังไหม ไหมเปลือก(ซ้าย)และ ชนั้ ในดว้ ยพวงสาวไหม ชั้นในและช้ันนอกรวม เส้นไหมแลง(ขวา)ท่ี พื้นบ้าน กันด้วยพวงสาวไหม สาวด้วยพวงสาวไหม พื้นบา้ น พืน้ บ้าน
กรมหม่อนไหม 2.2.3.3 การสาวไหมด้วยเครอื่ งจกั ร (Machine reeling) การสาวไหมโดยใชเ้ ครอื่ งจกั รอตั โนมตั (ิ Automatic reeling machine) ใชใ้ นการสาวไหมโดยใชร้ งั ไหมทม่ี เี ปอรเ์ ซน็ ตเ์ ปลือกรงั ไม่ตำ่� กว่า 19 เปอรเ์ ซน็ ต์ เพราะรังไหมท่ีมเี ปอรเ์ ซน็ ต์เปลือกรังต�่ำ เส้นไหมจะขาดบ่อย เนือ่ งจากการสาว ด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติและก่ึงอัตโนมัติจะมีความเร็วในการสาวสูง และใช้ แรงงานในการควบคุมการสาว สาวไหมเพียง 2-3 คน ต่อ ชุดหัวสาว(ประมาณ 200 หวั สาว) ดังน้นั ประสทิ ธิภาพการสาวสูงมาก จงึ ตอ้ งใช้รังไหมทีม่ คี ุณภาพดี ภาพท่ี 2.9 แสดงเคร่ืองจักรสาว และมเี สน้ ใยมาก เพ่อื ให้ไดเ้ ส้นไหมทีม่ คี ณุ ภาพสูง รงั ไหมท่ีใช้ในการสาวเป็นรัง ไหมอตั โนมตั ใิ นโรงงาน ไหมลูกผสมต่างประเทศสีขาว และพันธุ์ไทยลูกผสมสีเหลืองซึ่งโรงสาวไหม สาวไหมอุตสาหกรรม รับซื้อจากเกษตรกรเครอื ขา่ ยโดยการรบั ซอื้ ตามคณุ ภาพรงั ไหมทใ่ี ชเ้ สน้ ไหมที่สาว ไดเ้ ป็นเสน้ ไหมหนึ่งแต่จะมกี ารจำ� แนกช้นั คุณภาพ 7 ช้นั คุณภาพ ไดแ้ ก่ เสน้ ไหม ชนั้ B, A, 2A, 3A, 4A, 5A และ 6A ปจั จบุ นั โรงสาวไหมทใี่ ชเ้ ครอื่ งจักรในการ สาวไหมมปี ระมาณ 5 โรงงานทัว่ ประเทศ ไดแ้ ก่ 1) บริษทั จลุ ไหมไทย จังหวัดเพชรบรู ณ์ ภาพที่ 2.10 แสดงเส้นไหมที่สาว 2) บริษัทไหมไทยนา่ น จังหวัดน่าน โ ด ย เ ค ร่ื อ ง จั ก รใ น 3) บริษัทเรอื นไหมใบหม่อน จังหวดั สุรนิ ทร์ โรงงานสาวไหม 4) บรษิ ทั อตุ สาหกรรมไหมไทย(จมิ ทอมปส์ นั ) จงั หวดั นครราชสมี า อตุ สาหกรรม 19 5) บรษิ ัทจรญู ไหมไทย จงั หวดั สมทุ รสาคร 2.2.4 การฟอกยอ้ มสไี หม (Degumming and dyeing of silk yarn) ในการผลิตผ้าไหมไทยนยิ มท�ำการฟอกย้อมสเี ส้นไหมซง่ึ ถือเป็นเอกลักษณ์ของผา้ ไหมไทย ทีแ่ ตก ต่างจากผ้าไหมที่ผลิตจากทั่วโลกที่นิยมการย้อมสีผ้าผืน ซึ่งการฟอกและย้อมสีไหมเป็นกระบวนการผลิตท่ี ด�ำเนินการก่อนการน�ำเส้นไหมดิบท่ีได้จากการสาวไหมไปย้อมสีน้ันจะต้องน�ำเส้นไหมดิบไปฟอกเพื่อ ลอกกาวไหมเซรซิ นิ (Sericin)ออกกอ่ นซงึ่ ขน้ั ตอนในการลอกกาวไหมถอื เปน็ กระบวนการทส่ี ำ� คญั และมผี ลตอ่ คณุ ภาพมาตรฐานผา้ ไหมทขี่ อรบั การรบั รองมาตรฐานตา่ งๆ โดยเฉพาะตรานกยงู พระราชทาน เนอื่ งจากหาก การฟอกกาวไม่ดีไม่มีคุณภาพไม่สามารถฟอกกาวเซริซินออกจากเส้นไหมได้หมดจะท�ำให้การย้อมสีไหมเกิด ปัญหาด้านคุณภาพของการติดสีและเกิดการตกสีเวลาน�ำผ้าไหมไปซัก สารที่ใช้ในการฟอกเส้นไหมเป็นน�้ำ ด่างท่ีได้จากวัสดุจากธรรมชาติ และการใช้สารเคมี ส�ำหรับเส้นไหมพันธุ์ไทยท่ีมีสีเหลืองหลังการฟอกกาว ออกแล้วจะมสี ขี าวนวลเนอื่ งจากสเี หลอื งของเซรซิ นิ ถกู ลอกออกไป ตอ่ มานำ� เสน้ ไหมไปลา้ งในนำ้� เย็นจากนั้น นำ� เสน้ ไหมขน้ึ มาบดิ เพอื่ เอานำ�้ ออกแลว้ กระตกุ เสน้ ไหมใหย้ ดื และตงึ นำ� ไปตากในทล่ี มโกรกจนแหง้ เมอ่ื เสน้ ไหม ทฟี่ อกแหง้ สนทิ แลว้ กจ็ ะนำ� มายอ้ มสพี นื้ โดยนำ� เสน้ ไหมมาแชน่ ำ้� ใหเ้ ปยี กกอ่ นแลว้ ผสมสที ต่ี อ้ งการกบั นำ้� อนุ่ หลงั จากนนั้ นำ� เสน้ ไหมขน้ึ มาบดิ นำ้� ออก กระตกุ แลว้ นำ� กลบั ไปแชอ่ กี ทำ� เชน่ นไ้ี ปเรอ่ื ยๆจนครบ 3 ครงั้ หรอื จนกระทงั่ เห็นว่าสตี ดิ เส้นไหมสม่ำ� เสมอดแี ล้ว (จิตตภู, 2545) 2.2.4.1 การฟอกยอ้ มด้วยวสั ดุธรรมชาต(ิ Natural materials) ปจั จบุ นั การใชว้ สั ดจุ ากธรรมชาตสิ ำ� หรบั การฟอกและการยอ้ มสไี หมนน้ั มีความส�ำคัญมากยิ่งข้ึน เนอื่ งจากการตนื่ ตวั ของผบู้ รโิ ภคในตลาดทงั้ ในและตา่ งประเทศในดา้ นความปลอดภยั สขุ ภาพ และการรกั ษา สง่ิ แวดลอ้ มทางธรรมชาติ ดงั นน้ั กระแสความนยิ มของโลกจงึ มงุ่ เนน้ ใหค้ วามสำ� คญั กบั สนิ คา้ ทป่ี ราศจากการ
มาตรฐานหม่อนไหม ใช้สารเคมีท่ีเป็นอันตราย โดยการใช้สารจากวัสดุธรรมชาติมาเป็นทางเลือกในการผลิต จะเห็นได้จาก มาตรฐานการผลติ ผา้ ไหมและสงิ่ ทอของไทยและมาตรฐานนานาชาตทิ ไี่ ดจ้ ดั ทำ� มาตรฐานทเี่ ปน็ มาตรฐานทว่ั ไป (มาตรฐานสมัครใจ) ส�ำหรบั เปน็ ทางเลอื กผูบ้ รโิ ภคในตลาดเฉพาะ(Niche market) ได้แก่ มาตรฐานตรานก ยูงพระราชทาน ของกรมหม่อนไหม ที่ได้ออกประกาศในข้อก�ำหนดของมาตรฐานผ้าไหมตรานกยูง พระราชทานทุกชนิดจะต้องใช้สีที่ไม่ท�ำลายส่ิงแวดล้อม หรือการใช้สีธรรมชาติในการผลิตผ้าไหมไทย(กรม หม่อนไหม, 2554) และมาตรฐานสนิ คา้ ทเี่ ก่ยี วกบั สนิ คา้ ทเี่ ปน็ มติ รกบั สงิ่ แวดลอ้ ม (Eco label products) ของสหภาพยโุ รป สินคา้ ทีเ่ ปน็ มิตรกับสง่ิ แวดล้อมของสหภาพยโุ รป(EU) เป็นแนวมาตรการทีส่ หภาพยโุ รป เริ่มใชม้ าตั้งแต่ ปี 1998 และประเทศสมาชิกได้มกี ารหารอื เพือ่ จัดท�ำมาตรฐานกลาง ตามประเภทสนิ คา้ ตา่ งๆ เป็นระยะๆ ได้กำ� หนดตรามาตรฐานตรา EU Eco-label เปน็ มาตรการท่ัวไป (1) ข้ันตอนการลอกกาวไหมด้วยนำ้ �ด่างธรรมชาติในการลอก กาวไหมดว้ ยดา่ งธรรมชาติ มขี น้ั ตอนดงั นี้ 1.1) เตมิ นำ้ �ผสมนำ้ �ดา่ งทเี่ ตรยี มไว้ ถา้ น้ำ�ดา่ งเขม้ ขน้ มาก (pH ประมาณ 12 ขน้ึ ไป) อาจเตมิ นำ้ � 3 ถงึ 5 เทา่ ของนำ้ �ดา่ ง 1.2) นำ�เส้นไหมที่ทำ�ไจไหมดีแล้วแช่ลงในนำ้ �ด่าง ให้เส้นไหมจม ใตน้ ำ้ �ดา่ งทง้ั หมด ไมต่ อ้ งตง้ั ไฟ ระหวา่ งแชใ่ หก้ ลบั ไหมและหมน่ั สงั เกต เมอ่ื เสน้ ไหม 20 ออ่ นตวั นุ่ม มีลกั ษณะเปน็ เมือก ใหย้ กขึน้ แต่ถ้าแชเ่ สน้ ไหมเปน็ ระยะเวลานาน แลว้ เส้นไหมยงั ไม่อ่อนตวั หรอื น่มุ ใหย้ กเสน้ ไหมออกมาพกั ไว้ แลว้ นำ�นำ้ �ด่างไป ตง้ั ไฟใหพ้ ออนุ่ แลว้ จงึ ยกภาชนะนำ้ �ดา่ งนนั้ ลงมาแลว้ นำ�เสน้ ไหมลงแช่ จนกระทงั่ เส้นไหมออ่ นตัว ภาพท่ี 2.11 แเธนสสรำ้ ้�นรดมดไงห่ชขามา้ันงไตตทจิใอนยานลกกกงาแราวลรัชสนอ่ในดกำ�ุ 1.3) ตม้ น้ำ�ในภาชนะทเ่ี ปน็ สแตนเลสหรอื ภาชนะเคลอื บ เมอื่ น้ำ�เดอื ด พลา่ นใหน้ ำ�เสน้ ไหมทแี่ ชน่ ำ้ �ดา่ งไดท้ แ่ี ลว้ ลงไปลวก หมน่ั พลกิ เสน้ ไหมใหส้ มั ผสั กบั กาวไหม นำ้ �รอ้ นให้ท่วั กาวไหมจะละลายออกมาในน้ำ�เดือด จนกระท่ังเสน้ ไหมกลายเป็น สคี รีม (สีมันปู) 1.4) ลา้ งเสน้ ไหมในนำ้ �รอ้ นอกี ครง้ั หนง่ึ แลว้ ผง่ึ ใหเ้ ยน็ ลง 1.5) ลา้ งด้วยน้ำ�สะอาดอีก 2 - 3 ครง้ั แลว้ บดิ ให้พอหมาด กระตุก ให้เส้นไหมเรียงตัว นำ�ไปผ่ึงในท่ีร่มถ้าต้องการลอกกาวเส้นไหมเพ่ือย้อมสีอ่อน ให้ผสมสบูข่ าวในนำ้ �รอ้ นทลี่ ้างเส้นไหม (ตามขอ้ 1.4) จากนั้นลา้ งดว้ ยนำ้ �อนุ่ อีก ครัง้ ใหค้ ราบสบหู่ ลุดออก แลว้ จงึ ลา้ งดว้ ยน้ำ�จนสะอาด (2) ขน้ั ตอนการย้อมสีธรรมชาต ิ ประเทศไทยมวี สั ดธุ รรมชาตมิ ากมายทสี่ ามารถใชใ้ นการฟอกยอ้ มสไี หม ทเ่ี ปน็ ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ชนดิ แตท่ ไ่ี ดร้ บั ความนยิ ม และมคี ณุ ภาพดใี นการยอ้ มนนั้ สามารถจำ�แนกได้เปน็ 2 กลมุ่ คอื กลุม่ สีย้อมธรรมชาติที่เป็นสีย้อมเย็น และ ภาพท่ี 2.12 แสดงข้ันตอนการนำ� กลุ่มสีย้อมธรรมชาติท่ีเป็นสีย้อมร้อน ชนิดของสีและวิธีในการย้อมสีธรรมชาติ เสน้ ไหมตม้ (ลวก)ในนำ้ � มรี ายละเอียด ดงั น้ี ด่างจากวัสดธรรมชาติ ที่ตม้ ใหร้ อ้ นจนเดือด
กรมหม่อนไหม 2.1) สีและวิธกี ารยอ้ มเย็น วัสดุหรือพืชในธรรมชาติที่นำ�มาเป็นวัตถุดิบในการ ย้อมสีธรรมชาติ ที่สำ�คัญและเป็นที่นิยมในตลาดส่ิงทอและผ้าไหม ได้แก่ คราม และฮ่อม ให้ สีนำ้ �เงิน มะเกลือ (ให้สีดำ�) เปน็ ต้น ตัวอย่างวธิ กี ารยอ้ มสีธรรมชาตชิ นดิ ย้อมเย็นท่ีสำ�คญั ไดแ้ ก่ ตารางใสช่ ่ือพืช ชือ่ วทิ ยาศาสตร์ และสที ี่ยอ้ มได้ ตารางท่ี 2.1 แสดงชื่อสามัญ ช่อื วิทยาศาสตร์ และสีทไ่ี ด้ในการยอ้ มสธี รรมชาตโิ ดยวธิ ีการย้อมเยน็ ชอ่ื พืช ชอ่ื วงศ์ ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ ชอื่ สามญั ส่วนท่ีใชย้ ้อมส ี สีที่ได้ (Kingdom) (Scientific name) (Common Name) ฟ้าเขม้ คราม LEGUMINOSAE Indigofera tinctoria L. Indigo ใบและก่งิ - PAPILIONOIDEAE 2.1.1) การยอ้ มมะเกลือ มขี ั้นตอนและรายละเอียดท่สี ำ�คญั ดังน้ี • นำ�ผลมะเกลอื ดิบสเี ขยี วจำ�นวน 3 กิโลกรมั มาตำ�ให้ละเอยี ดจากนน้ั เตมิ นำ้ �จำ�นวน 20 ลติ ร ผสมใหเ้ ขา้ กนั แลว้ นำ�ไปกรองเอาแตน่ ำ้ �สี • นำ�เส้นไหมที่ลอกกาวแล้วลงย้อมในนำ้ �สีสกัดโดยนวดเส้นไหม 21 ในน้ำ�สีใหท้ ่วั ถึง • บดิ เสน้ ไหมให้หมาดแล้วนำ�ไปกระตกุ ตากแดดเป็นเวลา 1 วัน • เพิม่ ผลมะเกลอื ดิบอกี จำ�นวน 1 กโิ ลกรมั ตำ�ให้ละเอียดผสมลงไป ในน้ำ�มะเกลือสกดั สีเดิม แล้วนำ�ไปกรอง • นำ�เสน้ ไหมทย่ี อ้ มครง้ั ท่ี 1 แลว้ มายอ้ มในนำ้ �สสี กดั ครง้ั ท่ี 2 แลว้ นำ�ไป ตากแดดนาน 1 วนั • การย้อมสแี ลว้ ตากแดดในแตล่ ะครั้งจะทำ�ให้สีเขม้ ขน้ึ จากสีเขียวไป เป็นสีเทาไปเป็นสีนำ้ �ตาลและสดี ำ�ในทส่ี ดุ ซง่ึ การยอ้ มเยน็ เพยี งอยา่ งเดยี วใหไ้ ดส้ ดี ำ� สนทิ อาจจะตอ้ งใชเ้ วลายอ้ ม 5-7 ครง้ั เปน็ เวลา 5-7 วนั ภาพท่ี 2.13 การย้อมดว้ ยมะเกลือ 2.1.2) การย้อมคราม การย้อมครามมีหลกั การในการดำ�เนนิ งาน 3 ขั้นตอน คอื การทำ�เน้ือ คราม การก่อหม้อคราม และการยอ้ ม ดงั รายละเอียด ดงั น้ี ขน้ั ตอนที่ 1 การทำ�เนอื้ คราม • นำ�ต้นครามที่มีอายุ 3 เดือน มาหมักในน้ำ�เปล่านาน 1 วัน แล้วพลกิ กลบั ต้นครามจากดา้ นลา่ งขึ้นขา้ งบนแล้วหมักตอ่ อีก 1 วัน • สางและขยีต้ ้นครามในน้ำ�หมกั แลว้ เอาต้นครามออกไป • กรองเอาเศษตน้ ครามออกอีกคร้งั ด้วยตาขา่ ยสีเขียว ภาพที่ 2.14 แสดงขน้ั ตอนการยอ้ ม คราม เส้นไหม
มาตรฐานหม่อนไหม • ตนี ้ำ�ครามหมักให้เปน็ ฟอง จากนน้ั เตมิ ปูนขาวจำ�นวน 10 % ของ นำ้ �หนักต้นครามท่ีนำ�มาหมัก แล้วโจกหรือตีนำ้ �ครามอีกคร้ังให้เป็นฟองและตี ตอ่ ไปจนกระท่งั ฟองยุบตวั จนหมด ต้งั ทง้ิ ไว้นาน 1 คนื • นำ�มากรองเก็บเนื้อครามเปียกโดยรินน้ำ�ใสท้ิง แล้วนำ�ส่วนที่ ตกตะกอนไปกรองด้วยผา้ ดา้ ยดิบที่ผกู เหนอื พ้นื และมีภาชนะรองรับ ค่อย ๆ เตมิ เนือ้ ครามจนหมดแล้วตัง้ ทิ้งไว้นาน 1 วันแลว้ จงึ นำ�เนือ้ ครามเปียกเกบ็ ในภาชนะ ปดิ มดิ ชิดให้พ้นแสงเพ่ือเก็บไว้ใชก้ อ่ หม้อครามย้อมสี วิธกี ารทำ�เนอื้ คราม มี 5 ขัน้ ตอนดงั น้ี 1. เกี่ยวครามทโ่ี ตเตม็ ที่ ช่ังนำ้ �หนกั ครามสดและบันทกึ ขอ้ มูล จากนนั้ นำ�ตน้ ครามสด ใส่ในโอ่งให้เตม็ พร้อมบันทกึ นำ้ �หนักของครามในโอ่งและจงึ ปิดดว้ ยมุ้งเขยี ว 2. เตมิ น้ำ�ให้ทว่ มแล้วใช้ไมจ้ ดั เพ่ือใหต้ น้ ครามจมนำ้ � ทิ้งไว้ 24 ช่ัวโมง จะได้นำ้ �หมกั มีฟองและผิวหน้ามสี นี ้ำ�เงนิ เหลือบม่วงส่วนนำ้ �ครามมีสเี ขยี ว 3. เอาต้นครามออกเพื่อเก็บนำ้ �คราม ใช้กระชอนตักเศษต้นครามออกให้หมดแล้ว ใช้ไม้ตีครามใหข้ น้ึ ฟอง จากนนั้ จึงผสมปนู ขาว 10% ของน้ำ�หนักครามกบั น้ำ�หมัก 22 คราม เทน้ำ�ปูนโดยกรองลงในน้ำ�หมักครามและตีน้ำ�หมักครามและน้ำ�ปูนให้เข้ากัน จนขนึ้ ฟองสีนำ้ �เงนิ เข้ม 4. ตีน้ำ�ครามจนกระทั่งฟองยบุ ตัว แลว้ ท้งิ ไว้ข้ามคืนเพอ่ื ให้ตกตะกอนคราม 5. ดูดนำ้ �สีนำ้ �ตาลทง้ิ แล้วตกั ส่วนทต่ี กตะกอนใส่ในผ้ากรอง เนื้อครามท่ไี ดจ้ ากการก รองมีสนี ้ำ�เงนิ เก็บในรูปแบบครามเปยี กหรือปนั้ เป็นกอ้ นตากแห้ง ภาพที่ 2.15 วธิ ีการทำ�เนื้อคราม ขัน้ ตอนท่ี 2 การก่อหม้อครามเพ่อื การย้อมสี • นำ� เนอื้ ครามจำ� นวน 1 กโิ ลกรมั ผสมกบั นำ้� ดา่ งเขม้ ขน้ จำ� นวน 1 ลติ ร • เตมิ นำ�้ มะขามเปยี กทกี่ รองแลว้ โดยการผสมมะขามเปยี ก 1 กโิ ลกรมั ผสมกบั น�้ำจ�ำนวน 1 ลิตร กรองเอาแตน่ ำ�้ มาผสมกนั แล้วใชข้ ันตกั โจกขึน้ ลงให้ เกิดฟองเพอ่ื เปน็ การเตมิ อากาศลงในน้ำ� ยอ้ ม แลว้ ตงั้ ทง้ิ ไว้ 1 วนั ควรกอ่ หมอ้ ครามจำ� นวนหลายหมอ้ เพอื่ ย้อมสีให้เขม้ ขน้ึ ได้หลายระดบั สี • สังเกตฟองครามจากหม้อครามที่ก่อหม้อไว้ว่ามีการเปล่ียนสีม่วง เหลอื บแดงและนำ�้ ครามเปน็ สเี หลืองแล้ว • นำ� เสน้ ไหมลงยอ้ มโดยขยเี้ สน้ ไหมใหท้ ว่ั ถงึ ใตน้ ำ้� ยอ้ มประมาณ 2 นาที จนทั่ว หากนานไปอาจท�ำใหเ้ ส้นไหมเป่ือยยยุ่ ได้
กรมหม่อนไหม • บดิ เสน้ ไหมใหห้ มาดแลว้ นำ� มากระตกุ เสน้ ไหมเพอ่ื ใหส้ มั ผสั กบั อากาศเพอื่ ใหค้ รามทำ� ปฏกิ ริ ยิ า 23 กับออกซิเจนในอากาศ (oxidation) หากต้องการให้ได้สีท่ีเข้มขึ้นน�ำไปย้อมอีกครั้งในหม้อครามอีกใบท่ี เตรยี มไว้ แล้วทำ� เหมอื นในขอ้ 3 อกี ครัง้ ยอ้ มซำ�้ จนกว่าจะไดส้ เี ขม้ ตามความต้องการในน�้ำครามหมอ้ ใหม่ • เมือ่ ย้อมได้สีเขม้ ตามต้องการแล้วน�ำเส้นไหมมากระตกุ ตากพอใหห้ มาด ๆ แล้วนำ� ไปลา้ ง น้�ำเปลา่ ใหส้ ะอาดหมดเนอ้ื ปูน แล้วกระตกุ ตากแดดใหแ้ ห้ง • หม้อครามท่ีย้อมเสร็จแล้วให้เติมเน้ือครามและส่วนผสมอีกเท่าเดิมเพ่ือรักษาสภาพหม้อ ครามส�ำหรบั การน�ำไปใชค้ ร้ังต่อไป หมายเหตุ : รวมระยะเวลาการเตรียมและการยอ้ มเปน็ เวลา 6 วนั คอื การยอ้ มครามน้ีใช้เวลา 2 วนั ส่วนการเตรยี มเนือ้ ครามใชเ้ วลา 4 วัน 2.2) สีและวิธกี ารยอ้ มร้อน วัสดุหรือพืชในธรรมชาติท่ีนำ�มาเป็นวัตถุดิบในการย้อมสีธรรมชาติ ที่สำ�คัญและเป็นท่ีนิยม ในตลาดสง่ิ ทอและผ้าไหม ได้แก่ มะเกลอื (ให้สดี ำ�) คร่ัง (ใหส้ ีแดง) มะพดู หรอื ประโฮด และดอกดาวเรอื ง (ใหส้ ีเหลือง) 2.2.1) หลักการทัว่ ไปในการย้อมสธี รรมชาติแบบยอ้ มรอ้ น ในการยอ้ มสธี รรมชาตโิ ดยใชว้ ธิ กี ารยอ้ มรอ้ น มหี ลกั การในการดำ�เนนิ งานทใ่ี ชเ้ ปน็ กรรมวธิ กี ารผลิต ข้ันพื้นฐานและยดึ เปน็ หลกั การในทางปฏิบัติสำ�หรบั วัตถุดบิ ทกุ ชนดิ ดงั น้ี 2.2.1.1.) เตรยี มวัตถุดิบย้อมสตี ามอตั ราสว่ น เช่น ใบ ใชอ้ ตั ราส่วน 5-15 กิโลกรัมต่อการยอ้ ม เสน้ ไหมจำ�นวน 1 กิโลกรมั , เปลอื กหรือแก่นพชื ใช้ 3 กิโลกรัมตอ่ เสน้ ไหม 1 กโิ ลกรัม ส่วนครัง่ ใชจ้ ำ�นวน 3 กิโลกรัมตอ่ เส้นไหม 1 กิโลกรัม แลว้ นำ�มาตัด สบั หรอื ตำ�ใหล้ ะเอียดท่ีสุด 2.2.1.2.) นำ�วตั ถุดบิ ทใี่ ชใ้ นการยอ้ มสมี าต้มสกัดน้ำ�สนี านประมาณ 1 – 2 ช่วั โมง ยกเว้นครง่ั ใชก้ ารแชห่ รอื การใช้น้ำ�ร้อนนวดเพอื่ เอาน้ำ�สี 2.2.1.3.) กรองเอานำ้ �สีมาปรับปรมิ าตรให้ได้ 30 ลติ รต่อเส้นไหม 1 กโิ ลกรัม 2.2.1.4.) นำ�เสน้ ไหมแชน่ ำ้ �บดิ กระตกุ ใหเ้ รยี งเสน้ แลว้ นำ�มาแชใ่ นนำ้ �สยี อ้ มนานประมาณ 10 นาที 2.2.1.5.) ครบเวลายกเสน้ ไหมพกั ในภาชนะ นำ�น้ำ�สีขึน้ ต้ม 2.2.1.6.) เมือ่ น้ำ�สเี ดือดจึงเติมสารช่วยตดิ สีตามชนิดของวัตถดุ บิ - ครงั่ ใชม้ ะขามเปียก, สารส้ม - ประโหด ใชส้ ารส้ม - ใบไม้ เปลือกไมท้ ใ่ี หส้ นี ำ้ �ตาล ไมต่ ้องใชส้ ารช่วยตดิ สี 2.2.1.7.) นำ�เส้นไหมลงยอ้ มในนำ้ �ร้อนท่มี อี ุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียส นาน 1 ช่วั โมง 2.2.1.8.) ครบเวลานำ�เส้นไหมล้างในนำ้ �อุน่ จำ�นวน 2 คร้งั 2.2.1.9.) นำ�เสน้ ไหมไปลา้ งจนน้ำ�เปน็ สใี ส แล้วกระตุกตากเสน้ ไหมในทร่ี ่ม สำ�หรบั รายละเอยี ดมาตรฐานวธิ กี ารทเี่ ปน็ รายละเอยี ดสำ�หรบั พชื แตล่ ะชนดิ มเี ทคนคิ ขนั้ ตอนและ วิธีการย้อมสธี รรมชาตแิ บบยอ้ มรอ้ นของพชื บางชนดิ มดี ังน้ี (ดเิ รก สารพนั ธ,์ 2551)
มาตรฐานหมอ่ นไหม ตารางท่ี 2.2 แสดงช่อื สามัญ ชือ่ วิทยาศาสตร์ สว่ นพชื /สตั ว์ท่ีใช้ในการยอ้ ม และสีที่ได้จากวธิ กี ารยอ้ มธรรมชาติ แบบร้อน ลำ�ด ับ ชื่อพ ชื ชือ่ วงศ์ ช่ือวิทยาศาสตร ์ ชอื่ สามญั สว่ นทีใ่ ชย้ อ้ มส ี สที ่ไี ด้ (Kingdom) (Scientific name) (Common Name) 1 คร่งั LACCIFERIDAE Laccifer lacca Kerr Lac ครง่ั ทั้งตวั แดง 2 คำ�แสด BIXACEAE Bixa orellana L. Anatto tree เมลด็ ส้มสด 3 โพธิ ์ MORACEAE Ficus religiosa L. Pipal tree, เปลือกต้นดา้ นใน สม้ Sacred fig tree 4 ดาวเรอื ง COMPOSITAE Tagetes erecta L. African marigold ดอก เหลอื งทอง 5 ขนนุ MORACEAE Artocarpus Jack fruit tree แกน่ ต้น เหลอื ง heteorphyllus Lam. 6 มะมว่ งปา่ ANACARDIACEAE Mangifera caloneura Kurz Mango tree เปลอื กต้นด้านใน เหลืองอ่อน 7 มะพูด GUTTIFERAE Garcinia dulcis (Roxb.) Kurz Ma phut เปลือกต้น นำ้ �ตาล 8 มะกอกโอลีฟ OLEACEAE Olea europaea Linn. Oleave ใบ นำ้ �ตาลเขียว 9 เพกา BIGNONIACEAE Oroxylum indicum Pheka เปลอื ก เหลือง 10 ยอบา้ น RUBIACEAE Morinda citrifolia L. Indian Mulberry ราก แกน่ ยอ เหลอื งอมส้ม และใบ และเขยี วออ่ น 11 ยอปา่ RUBIACEAE Morinda coreia Ham. Yo pa ใบ เหลอื งเขียว 12 หกู วาง COMBRETACEAE Termimalia catappa Linn. Indianalmond, ใบ น้ำ�ตาลเขียว Umbrella tree 24 13 ขีเ้ หลก็ บ้าน LEGUMINOSAE- Senna siamea (Lam.) Cassod tree, CAESALPINIOIDEAE Irwin & Barneb Thai copper pod tree ใบ น้ำ�ตาลเขยี ว 14 หปู ลาชอ่ น EUPHORBIACEAE Acalypha wilkesiana Copperleaf,Beefsteak ใบ เขียวขีม้ า้ Mull. Arg. Plant,Fire Dragon Plant 15 โกสน EUPHORBIACEAE Codiaeum variegatum Garden Croton ใบ เขยี วเหลือง Blume 16 เล่ยี น MELIACEAE Melia azedarach L. Bead tree, White cedar ใบ เขยี วออ่ น 17 โมกมนั APOCYNACEAE Wrightiaarborea Ivory, Darabela เปลอื กตน้ ด้านใน เขยี วอ่อน (Dennst.) Mabb. 18 หม่อน MORACEAE Morus spp. Mulberry tree ผลหมอ่ น,ใบหมอ่ น เขยี วขีม้ ้า เหลอื งเขยี ว 19 พดุ ซ้อน RUBIACEAE Gardenia augusta (L.) Merr. Cape jasmine, Gardenia ใบ เขยี วออ่ น 20 สบู่แดง EUPHORBIACEAE Jatropha gossypifolia L. Bellyache bush ใบออ่ นสว่ นยอด เขียว,นำ้ �ตาล 21 สม้ ป่อย LEGUMINOSAE - Acacia concinna (Willd.) DC Som poi ใบ เขียวอ่อน, MIMOSOIDEAE นำ้ �ตาลออ่ น ครมี ,เหลอื งออ่ น 22 สนแผง CUPRESSACEAE Thuja orientalis L. Oriental Arbor-Vitae, ใบ เหลอื งเขียว Chinese arborvitae, Oriental arborvitae 23 สกั LABIATAE Tectona grandis L.f. Teak ใบ เขยี วข้ีม้า, เขยี วอมน้ำ�ตาล, น้ำ�ตาลอ่อน, เขยี วอ่อน 24 เทยี นทอง VERBENACEAE Duranta erecta L. Duranta erecta L. ใบ เขียวอ่อน
กรมหม่อนไหม ลำ�ด ับ ชอื่ พ ชื ช่อื วงศ์ ช่อื วทิ ยาศาสตร ์ ชอ่ื สามญั สว่ นทใ่ี ช้ย้อมสี สที ีไ่ ด้ (Kingdom) (Scientific name) (Common Name) 25 ตะขบควาย FLACOURTIACEAE Flacourtia jangomas (Lour.) East Indian plum ใบ นำ้ �ตาลเขียว, เขยี วข้ีมา้ 26 มังคุด GUTTIFERAE Garcinia mangostana L. Mangosteen เปลือก น้ำ�ตาล 27 ประด่ปู า่ LEGUMINOSAE - Pterocarpus macrocarpus Burma Padauk, เปลือก,แกน่ ต้น นำ้ �ตาลเข้ม PAPILIONOIDEAE Kurz Narva 28 กา้ นเหลือง RUBIACEAE Nauclea orientalis (L.) L. Kan lueang ใบ,เปลือก นำ้ �ตาลเหลือง 29 สะเดา MELIACEAE Azadirachta indica var. Siamese neem tree ใบ,เปลือก นำ้ �ตาล,นำ้ �ตาล siamensis Valeton เข้ม,นำ้ �ตาลออ่ น 30 อินทนลิ นำ้ � LYTHRACEAE Lagerstroemia speciosa (L.) Pride of India, Qreen’s เปลอื ก น้ำ�ตาล Pers. crape myrtlo 31 สีเสยี ดเหนอื LEGUMINOSAE - Acacia catechu (L.f.) Willd. Cateche tree, Cutch tree เปลอื กต้น น้ำ�ตาล MIMOSOIDEAE 32 กระถินบา้ น LEGUMINOSAE - Leucaena leucocephala Horse tamarind, เปลือก น้ำ�ตาล MIMOSOIDEAE (Lam.) de Wit Leucaena 33 ฝาง LEGUMINOSAE - Caesalpinia sappan L. Sappan tree แก่นตน้ ส้มออ่ น,นำ้ �ตาล CAESALPINIOIDEAE 34 ตะแบกนา LYTHRACEAE Lagerstroemia floribunda Jack Ta back na เปลอื ก น้ำ�ตาล,เทาดำ� 35 ตะโกนา EBENACEAE Diospyros rhodocalyx Kurz Ebony ผล นำ้ �ตาล 25 36 เทียนก่ิง LYTHRACEAE Lawsonia inermis L. Thian king ใบ นำ้ �ตาลออ่ น 37 หว้า MYRTACEAE Syzygium cumini (L.) Skeets Black plum. ผล เขยี วขม้ี า้ ,เขยี วทอง น้ำ�ตาลเขียว น้ำ�ตาลทอง 38 หญา้ งวงช้าง BORAGINACEAE Heliotropium indicum L. Ya nguang chang ใบ นำ้ �ตาล, นำ้ �ตาลอมเขยี ว, นำ้ �ตาลทอง, น้ำ�ตาลอ่อน 39 งิ้ว BOMBRACACEAE Bombax ceiba L. Kapok tree, Cotton tree, เปลอื กต้น เทามว่ ง,น้ำ�ตาล Red Cotton, Shaving brush, Slik 40 กลว้ ย MUSACEAE Musa sapientum L. Banana, กาบหมุ้ ลำ�ตน้ เทา Cultivated banana 41 คนทา SIMAROUBACEAE Harrisonia perforate (Blanco) Khontha ผล เทาม่วง Merr. 42 กระถินณรงค์ LEGUMINOSAE - Acacia auriculaeformis Wattle ใบ นำ้ �ตาล,เทาดำ� MIMOSOIDEAE A.Cunn.ex Benth 43 กระบก IRVINGIACEAE Irvingia malayana oliv. Krabok ผล เทา,เทาดำ� Ex A. Benn. 44 กระโดน LECYTHIDACEAE Careya sphaerica Roxb. Kradon เปลือกดา้ นใน นำ้ �ตาลดำ� 45 บัวสาย NYMPHAEACEAE Nymphaea lotus L. Water lily ก้านดอก เทา 46 มะเกลือ EBENACEAE Diospyros mollis Griff. Ebony tree ผล ดำ� 47 เงาะ SAPINDACEAE Nephrolepis lappaceum L. Rambutan เปลอื ก ดำ�
มาตรฐานหม่อนไหม • ฝาง ฝางเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง นยิ มนำ�แก่นมาสกัดทำ�เปน็ ยาสมุนไพร เมื่อนำ�มาตม้ จะได้ น้ำ�สีแดง นยิ มใชย้ อ้ มฝา้ ยและไหม (ดิเรก, 2530) ได้รายงานการทดลองหาวธิ ีการและขนั้ ตอนการย้อมสี ดว้ ยนำ้ �สกดั จากฝางทำ�ใหไ้ หมตดิ สแี ดงทคี่ งทนตอ่ แสงและการซกั ดี ซง่ึ พบวา่ การตม้ ยอ้ มนานครง้ั ละ 10 นาที ตดิ ตอ่ กนั 3 คร้ัง โดยย้อมดว้ ยนำ้ �สสี กดั ทีจ่ างซง่ึ เป็นนำ้ �ตม้ ฝางคร้งั ที่ 3 ก่อนแล้วจึงยอ้ มครง้ั ท่ี 2 และ 3 ดว้ ยน้ำ�สสี กดั เข้มขน้ ขน้ึ ตามลำ�ดบั คอื นำ้ � 2 และน้ำ�สเี ข้มทีส่ ุด (นำ้ � 1) การผสมน้ำ�ตม้ ใบเหมอื ดแอในนำ้ �สี อัตราสว่ น 1:1 โดยปริมาตร สำ�หรบั การยอ้ มแต่ละครัง้ จะชว่ ยทำ�ให้สีแดงตดิ คงทน เมอื่ ทดสอบซักดว้ ยสบู่ สีเปลี่ยนแปลงเพยี งเลก็ นอ้ ย ต่างจากการใช้สารสม้ ผสมน้ำ�สสี กัดจากฝาง ยอ้ มเสน้ ไหมได้สแี ดงอมสม้ และ สเี ปล่ียนแปลงมากเม่ือนำ�ไปซักทดสอบ • เข เขเปน็ พชื ประเภทไม้พุ่ม มหี นาม พบไดท้ ่ัวไปตามป่าทกุ ภาคของประเทศไทย ในอดตี นยิ ม ใช้ย้อมไหมและฝ้ายให้สีเหลืองเข้ม ในการสกัดสีมักต้มแก่นเขจำ�นวนมากจนนำ้ �เป็นสีเหลืองเข้ม ใช้ย้อม ไหม โดยย้อมครั้งแรกไหมจะติดสีเข้มนำ�ไปซักด้วยน้ำ�สะอาดเส้นไหมสีจะจางลง นำ�ไปต้มในนำ้ �สกัดจาก เขใหม่ ต้องตม้ ยอ้ มซ้ำ�ๆ กนั 3-4 ครงั้ จนสีตดิ ใชเ้ วลาตม้ ยอ้ มนานเป็นวัน จากการทดลองพบว่า การต้ม เคยี่ วแกน่ เข 100 กรัม กับน้ำ� 3 ลิตร โดยตม้ 3 ครงั้ ใหป้ รมิ าตรลดลงเหลอื 1/2,1/3 และ 1/4 จากนน้ั รวมนำ้ �สีที่สกดั ได้ท้งั หมดผสมน้ำ�ใบเหมอื ดแอ อตั รา 1:2 ย้อมเส้นไหมท่ีอุณหภมู ิ 95-100 องศาเซลเซียส นาน 105 นาที ทำ�ใหไ้ หมติดสเี หลอื งเข้ม สีคณุ ภาพดีตามมาตรฐานอุตสาหกรรม และยังพบว่าการเติม นำ้ �มะขามเปยี กในน้ำ�สีสกดั จากเข อตั รา1 : 1 ชว่ ยให้สคี งทนตอ่ แสงไดด้ ี และคงทนตอ่ การซักฟอกดีกว่า 26 การย้อมที่ใช้สารส้มเป็นสารช่วยย้อมทำ�ให้น้ำ�ครามมีค่าความเป็นกรดด่าง 9.7 ย้อมเส้นไหมติดสีดีกว่า เม่ือเปรยี บเทียบกับการย้อมดว้ ยน้ำ�ครามอนื่ ๆ 2.2.2) กลุ่มพชื ให้สีดำ�มดี ังน้ี • กระบก นำ้ �สที ค่ี น้ั จากผลกระบกสดกบั นำ้ � หรอื ตม้ ผลสดกบั นำ้ �ในอตั รา 1:1 เมอ่ื นำ�มายอ้ มเสน้ ไหม ดว้ ยวธิ ยี ้อมรอ้ น (อณุ หภมู ิ 90 องศาเซลเซียส) นาน 40 นาที แล้วแช่เสน้ ไหมในนำ้ �โคลนนาน 48 ชว่ั โมง หม่นั กลบั เส้นไหมให้แช่น้ำ�โคลนทว่ั ถึง หลงั จากน้ันนำ�ไปนึ่งไอนำ้ �นาน 20 นาที ทำ�ให้เส้นไหมเป็นสเี ทาดำ� สคี งทนต่อแสงและการซักระดบั ดตี ามมาตรฐานอุตสาหกรรม • คนทา ไม้พ่มุ กง่ึ เลอ้ื ยซงึ่ ใชผ้ ลเป็นวัตถุดบิ ใหส้ ี สกัดสีโดยต้มผลสดกับน้ำ�อตั รา 1:1 หรอื หมกั ผลสดนึง่ กบั นำ้ �นาน 1 ชวั่ โมง ย้อมเสน้ ไหมในนำ้ �สสี กดั โดยการยอ้ มรอ้ น แล้วแช่เสน้ ไหมในน้ำ�โคลนและ นึง่ ไอน้ำ� เช่นเดยี วกบั การยอ้ มดว้ ยน้ำ�สีจากผลกระบก ได้เสน้ ไหมสดี ำ�ประกายแดง คณุ ภาพสคี งทนตอ่ แสง และการซักดมี าก คือ สีไมซ่ ดี สไี มเ่ ปล่ียนและสีไมต่ ก • เปลือกเงาะโรงเรียน วัตถุดิบเหลือทิ้งนี้นำ�มาใช้ย้อมเส้นไหมได้สีดำ� สีคงทนต่อแสงและ การซกั ดีมาก การสกัดน้ำ�สีจากเปลอื กเงาะโรงเรยี น ตม้ เปลอื กผลสดกบั นำ้ �อตั รา 1:3 ย้อมเสน้ ไหมด้วยวธิ ี ยอ้ มรอ้ น แล้วแชเ่ ส้นไหมในนำ้ �โคลน ซึ่งใชเ้ ป็นสารชว่ ยตดิ สี จากนั้นนำ�เสน้ ไหมนึ่งดว้ ยไอน้ำ�ร้อนไดเ้ ส้นไหม สีดำ� คุณภาพสคี งทนต่อแสงและการซักผา่ นมาตรฐานอตุ สาหกรรมระดับดมี ากเปลือกมงั คดุ เมือ่ ต้มเปลือก มังคุดสดกับนำ้ �ผสมโซดาซักผ้า 3 เปอร์เซ็นต์ ได้นำ้ �สีม่วง ย้อมเส้นไหมแบบย้อมร้อน แล้วแช่เส้นไหม ในน้ำ�จุนสี ได้สีเขียวขี้ม้า สีไม่ซีดจางเม่ือถูกแสง มีระดับความคงทนต่อแสงระดับดีมาก สีไม่ตกและ สีไมเ่ ปลีย่ น เมือ่ ทดสอบการซกั
กรมหม่อนไหม 2.2.3) กลุม่ พืชใหส้ แี ดงหรอื แดงอมสม้ • รากยอบ้าน เมื่อนำ�มาสกัดสีและย้อมเส้นไหมได้สีนำ้ �ตาลอมแดงและแดงอมส้มพบว่าเมื่อ ต้มรากยอบ้าน (ทงั้ ราก) ซ่งึ หัน่ เป็นชิ้นเล็ก ๆ ใชร้ ากยอบา้ น 1 ส่วน กับน้ำ� 3 ส่วน ต้มนาน 3 ชว่ั โมง นำ�ไปย้อมเสน้ ไหมที่ 60 องศาเซลเซียส นาน 1 – 3 ช่วั โมง แลว้ แช่เส้นไหมในนำ้ �จุนสี 1 เปอร์เซ็นตห์ รอื นำ้ �มะขามเปยี กชว่ ยใหค้ ณุ ภาพสีทนต่อแสงดีข้นึ • ใบเทียนกิ่ง การยอ้ มเส้นไหมดว้ ยน้ำ�สสี กดั จากใบเทยี นกง่ิ พบวา่ การย้อมทอ่ี ณุ หภมู ิ 90 องศา เซลเซียส นาน 1ชั่วโมง ด้วยน้ำ�สีท่ีได้จากการต้มใบเทียนก่ิง เส้นไหมเป็นสีนำ้ �ตาลเหลืองอมส้ม มีการ ดดู ซับสีดที ่สี ุด และวิธีทีท่ ำ�ใหเ้ สน้ ไหมเป็นสีสม้ อมแดงมากท่ีสุด (เทยี บกบั วิธกี ารอน่ื ๆ ที่ทดลอง) คอื ย้อม เสน้ ไหมในน้ำ�สสี กดั ใบเทียนกิ่งที่ผสมนำ้ �สนมิ เหลก็ ย้อมท่ี 90 องศาเซลเซยี ส นาน 3 ชว่ั โมง 2.2.4.2 การฟอกยอ้ มด้วยเคมี 27 กระบวนการลอกหรอื ฟอกกาวไหมโดยสารเคมี สารเคมที ใี่ ช้ ไดแ้ ก่ สบู่ โซดาแอช และสบเู่ ทยี ม โดยใชอ้ ตั ราสว่ นน้ำ�ยาลอกกาวไหม 30 ลติ ร ตอ่ เสน้ ไหม 1 กโิ ลกรัม สัดส่วนทใ่ี ช้ สบู่หน่ั เป็นฝอย 18% หรือ 180 กรมั ต่อน้ำ� 30 ลติ ร (สำ�หรบั ไหมเหลอื ง) และสำ�หรบั เสน้ ไหมขาว(ลกู ผสมตา่ งประเทศ)ใชป้ รมิ าณสบู่ 90 – 100 กรมั ตอ่ น้ำ�ยอ้ ม 30 ลติ ร โซดาแอช 5% หรอื 50 กรมั ตอ่ นำ้ � 30 ลติ ร สบูเ่ ทียม 3% หรือ 30 ซีซี ต่อ น้ำ� 30 ลิตร หรือ 1 ซีซี ตอ่ น้ำ� ไหมเส้นใหญ่ (เสน้ ไหมสาวเลย หรอื ไหมลบื ) อาจใชโ้ ซดาแอช ไดถ้ งึ 6% และตอ้ งเพม่ิ สดั สว่ น ของสบเู่ ทยี มเพม่ิ ขนึ้ แตไ่ มใ่ ชเ้ กนิ กวา่ น้ี เพราะการใชโ้ ซดาแอชทมี่ ากเกนิ ไป ทำ�ให้ เสน้ ไหมแตกฟู และขาดงา่ ย ความยดื หยนุ่ และความเงางามของเสน้ ไหมลดลงดว้ ย ถ้าไม่สามารถหาสบู่เทียมได้ อาจผสมนำ้ �ยาเอนกประสงค์ชนิดไม่มีกล่ินแทนได้ ในอตั ราเดียวกนั (ศิริพร และคณะ, 2555) (1) วิธกี ารลอกกาวไหมดว้ ยดา่ งจากสารเคมี ในการลอกกาวไหมหรือการฟอกกาวไหมเพื่อให้ได้ผ้าไหมท่ีมีคุณภาพ มีแนวทางในการปฏิบตั ดิ งั นี้ 1.) แช่เส้นไหมในน�้ำเปล่า ประมาณ 10 นาที ใหก้ าวไหมออ่ นตัว ก่อนนำ� ลงในน้�ำยาลอกกาวอาจแชใ่ นนำ้� อนุ่ 2 – 3 นาที เพอ่ื ใหอ้ ณุ หภมู เิ สน้ ไหม ใกลเ้ คยี งกบั นำ้� ยาลอกกาว ผทู้ ลี่ อกกาวไหมชำ� นาญแลว้ อาจไม่ต้องแช่เส้นไหม กอ่ นลอกกาวก็ได้ 2.) ตวงนำ�้ ตามอตั ราสว่ นลงในหมอ้ ลอกกาว ผสมสารเคมที งั้ หมดดว้ ย น้�ำอุ่นแลว้ เทลงในหม้อกวนให้เข้ากัน แล้วนำ� ข้นึ ต้งั ไฟ 3.) ใสเ่ สน้ ไหมทแ่ี ชน่ ำ้� อนุ่ ไวล้ งในนำ้� ยาลอกกาวเมอื่ อณุ หภมู ิ 40 – 50 ภาพท่ี 2.16 แสดงภาพการฟอกกาว องศาเซลเซยี ส จากนัน้ ค่อยๆ เพิ่มความรอ้ น เมอื่ ได้อุณหภมู ิ 90 – 95 องศา เส้นไหมด้วยเคมีและ เซลเซยี ส ใหเ้ รมิ่ จบั เวลาการลอกกาวไหม ระหวา่ งลอกกาวใหห้ มน่ั กลบั ไหมบอ่ ยๆ การล้างเส้นไหมหลัง การฟอกกาวไหม
มาตรฐานหม่อนไหม 4.) เมอ่ื ครบเวลาการลอกกาว 30 – 45 นาที หรือ จนลอกกาวไหมไดเ้ พียงพอ ซง่ึ ทดสอบได้ โดยการราดน�้ำสะอาดเลก็ นอ้ ยบนเสน้ ไหมแลว้ จบั ดู ถา้ รสู้ กึ ฝดื มอื แสดงวา่ ลอกกาวออกดแี ลว้ จึงนำ� เสน้ ไหม ขนึ้ รีดน้ำ� ออก และล้างเส้นไหมในดว้ ยน้ำ� อุน่ จดั (80 องศาเซลเซยี ส) นานประมาณ 20 นาที จำ� นวน 2 รอบ แล้วจงึ ลา้ งดว้ ยน้�ำสะอาดจนกว่าน�ำ้ ทลี่ ้างจะไม่มีสีปนเป้อื นออกมา 5.) บิดเสน้ ไหมให้หมาด แลว้ นำ�ไปกระตกุ ใหไ้ หมเรยี งเส้น แล้วนำ�ไปผงึ่ ในทร่ี ่มจนแห้ง หรอื นำ�ไป ยอ้ มสีไดเ้ ลย (2) ชนดิ ของสีเคมี การใชส้ เี คมใี นการยอ้ มสไี หม สยี อ้ มทไ่ี ดจ้ ากการสงั เคราะหท์ นี่ ยิ มใชย้ อ้ มเสน้ ไหมไดแ้ ก่ สแี อสดิ (Acid) สีเบสคิ (Basic) และสีรีแอคทีฟ (reactive) ในปจั จบุ ันจะต้องคำ� นงึ ถึงประเด็นส�ำคญั ทง้ั ในดา้ น มาตรฐานความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และประเด็นด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม สีย้อมที่ปลอดภัย หมายถึง สียอ้ มทไี่ ดร้ บั การรับรองว่าไมม่ ีกลมุ่ แอมนี ทเ่ี ปน็ อันตราย 24 ตวั โดยผู้ผผู้ ลิตจะตอ้ งขอใบรับรองวา่ ไมม่ ีกลุ่ม แอมีนทเี่ ปน็ อันตราย(ไม่เกิน 30 มลิ ลิกรัมตอ่ กโิ ลกรัม) ในปี 2555 มีบรษิ ทั สียอ้ มทีไ่ ดร้ ับใบรบั รองสีย้อมที่ ปลอดภยั จากกรมสง่ เสริมอตุ สาหกรรม ได้แก่ สีย้อมจากบริษทั ทผ่ี ลติ ในยุโรป เชน่ บรษิ ัท ฮันส์แมน จำ� กดั บริษัท ไดสตาร์ไทย จ�ำกัด ส�ำหรบั สยี อ้ มท่ผี ลิตในประเทศไทย สยี ้อมทีต่ อ้ งขอใบรับรองวา่ ไม่มีกลุม่ แอมีน ทเี่ ป็นอนั ตราย สียอ้ มจากบรษิ ทั ทีผ่ ลติ /จ�ำหน่าย ในประเทศไทย เช่น บรษิ ทั พสิ ษิ ฐ์ อนิ เตอร์กรุ๊ป จำ� กัด บรษิ ัท ตงั้ ไท่ฮั้วเฮง จำ� กัด สยี ้อมตราสิงโต สีย้อมตราเคร่ืองบิน และตราหัววัว เปน็ ต้น เป็นตน้ (นฤมล 28 ศิรทิ รงธรรม, 2555) นอกจากดา้ นมาตรฐานความปลอดภยั ของสดี งั กลา่ วขา้ งตน้ แลว้ คณุ ภาพของสที ใ่ี ชม้ ผี ลตอ่ คณุ ภาพ ของผา้ ไหมทผ่ี ลิตโดยตรง ตามระบบมาตรฐานสากลเชน่ มาตรฐานเคร่อื งหมาย Serico ของประเทศอติ าลี Eco-lable ของสหภาพยโุ รป ในการตรวจสอบมาตรฐานผา้ ไหมดา้ นคณุ ภาพของสที ใี่ ชน้ น้ั จะตอ้ งมกี ารทดสอบ มาตรฐานความคงทนของสตี ่อปจั จัยตา่ ง ได้แก่ ความคงทนของสบี นผ้าตอ่ การซัก ความคงทนของสีบนผา้ ต่อเหงื่อ ความคงทนของสบี นผา้ ตอ่ การขัดถู(ศิริพร บุญช,ู 2554) ความคงทนของสบี นผ้าต่อแสง ซึ่งจะ ขน้ึ อยกู่ บั สมบตั ขิ องสนี น้ั ๆ และวธิ กี ารยอ้ ม ดงั นน้ั ในกระบวนการฟอกยอ้ มสไี หมผผู้ ลติ ผา้ ไหม จะตอ้ งควบคมุ สภาวะต่างๆ ให้ได้ตามคู่มือและวิธีการปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ได้ผ้าไหมที่มีคุณภาพมาตรฐานสูงและ ผา่ นมาตรฐานการรบั รอง ปจั จยั ทส่ี ำ� คญั ทตี่ อ้ งควบคมุ ในกระบวนการยอ้ มสไี หมใหม้ คี ณุ ภาพมาตรฐาน ไดแ้ ก่ • ปรมิ าณน้ำ� ท่ีใช้ยอ้ ม หรอื อัตราส่วนระหวา่ งวสั ดทุ ย่ี อ้ มกับปริมาณน�ำ้ ท่ีใช้ • อุณหภมู กิ ารย้อมท่เี หมาะสม • การหมุนเวียนของน้าย้อม • สารช่วยยอ้ มต่างๆ • เวลา • ความสะอาดของอุปกรณ์
กรมหมอ่ นไหม 2.2.5.1 ขนั้ ตอนที่ส�ำคญั ในการทอผ้าไหมดว้ ยมอื (1) การเดินเสน้ ยนื การเดินเส้นไหมยืน หรือการจูงไหมหรือการค้นเครือ กระท�ำได้ โดยการผูกปลายไหมไวท้ ีห่ ลักคลอ้ งไหมและคล้องท่ี “หลกั ขนัด”การคน้ เส้นยนื นี้ จะตอ้ งคำ� นวณตามขนาดของ “ฟืม” เช่น ขนาดของเบอร์ 80 (40 ช่องต่อนว้ิ ) มีช่องฟันหวี 1,680 ชอ่ ง รอ้ ยฟนั หวชี ่องละ 2 เสน้ เทา่ กบั 3,360 เส้น รมิ ผา้ เพิม่ อีกข้างละ 10 ชอ่ ง x 2 = 40 เสน้ รวมจ�ำนวนเสน้ ยืนท้งั หมด = 3,400 เส้น เม่ือได้จ�ำนวนเส้นยืนทั้งหมดแล้วก็น�ำมาค�ำนวณหาจ�ำนวนของหลอดที่ ใช้เดินเส้นยนื และจำ� นวนรอบท่จี ะใชใ้ นการเดนิ เส้นยนื จนครบจำ� นวนของเสน้ หลังจากนั้นน�ำหลอดเดินเส้นยืนมาตั้งท่ีราวตั้งหลอดตามจ�ำนวนที่ได้ค�ำนวณ ไว้ แลว้ จึงเดนิ เส้นยืนโดยดึงเส้นมาจากแตล่ ะหลอดแลว้ เก็บแต่ละเส้นแบบไขว้ กันเป็นเส้นบนเส้นล่างจนครบจ�ำนวนหลอดที่ต้ังแล้วจึงน�ำไปคล้องท่ีหลักขนัด ภาพท่ี 2.17 การทอผา้ ไหม เม่ือคน้ จำ� นวนเสน้ ยืนจนครบแล้ว ถักเสน้ ยนื เป็นลกู โซ่ (เพื่อใชใ้ นการขนึ้ กีแ่ ละ สือเขา้ ฟมื ) และเพ่อื เกบ็ เสน้ ยืน ปอ้ งกันการพนั กันของเส้นไหม หลกั การส�ำคัญ ในการเดนิ ดา้ ยยนื ทม่ี ผี ลตอ่ คณุ ภาพผา้ ไหมคอื ตอ้ งพยายามใหเ้ สน้ ดา้ ยตงึ สมำ่� เสมอ (สนั่น บญุ ลา, 2555) (2) การร้อยเสน้ ยนื เข้าฟนั หวี ภาพที่ 2.18 ชุดไทยพระราชนิยม 29 เป็นวิธีการร้อยเส้นไหมท่ีเป็นเส้นยืนเข้าสู่ฟันหวี โดยใช้ไม้รูปตะขอ จั ด แ ส ด ง ข้ึ น ใ น ง า น แบบบาง แบนและล่ืนหรืออาจใช้เหล็กร้อยตะกอสำ�หรับเก่ียวเส้นไหมทีละเส้น ฉลองครบรอบร้อยปี ผา่ นเขา้ ช่องฟันหวจี ำ�นวนช่องละ 2 เส้น ซง่ึ เปน็ เสน้ ล่างและเส้นบน ร้อยจน กาชาด ครบทุกช่อง แล้วนำ�มาผูกติดกับไม้ม้วนผ้า (ไม้คำ�พัน) เพื่อเตรียมขึงเส้นยืน เข้ากี่สนในการผลิตผ้าไหมให้มีคุณภาพการร้อยเส้นยืนเข้าฟันหวีควรระมัดระวัง อยา่ ใหเ้ สน้ ไหมไขว้ รอ้ ยซำ้ �กนั หรอื รอ้ ยขา้ ม จงึ ตอ้ งมน่ั ตรวจตราขณะปฏบิ ตั งิ าน (สนัน่ บุญลา, 2555) (3) การหวีและมว้ นเข้าใบพัดฆอ้ นไหม (หัวม้วนเสน้ ยนื ) เปน็ การจัดเตรียมเสน้ ยืนเขา้ สูก่ ี่ โดยจะขึงเส้นยืนให้ยาว และตรวจ สอบข้อผิดพลาด เช่นการร้อยฟันหวีข้ามกัน เส้นยืนไม่ได้อยู่คู่กันหรือไม่ก็ไขว้ ภาพที่ 2.19 แเสส้นดไหงมวยิ ธืนี ใกนาขร้ันเตดอิ นน กันอยู่ จากนัน้ ม้วนเสน้ ยืนเก็บไวใ้ นไมก้ ระดานม้วนหรอื ใบพดั ม้วนไหม การเตรยี มเสน้ ไหมยืน (4) การนำ�เสน้ ยืนไปตดิ ต้ังในกี่ นำ�เสน้ ยนื จากขอ้ (3) ทเ่ี ขา้ ฟมื และไมก้ ระดานมว้ นเขา้ ก่ี โดยการตดิ ตง้ั ไม้ม้วนผ้าท่ีช่องของไม้ม้วน แล้วคลี่เส้นยืนออกจากไม้กระดานม้วน ดึงเส้นให้ ตงึ พอดแี ลว้ จดั เรียงเสน้ ให้ถึงหวั ก่ี ตรวจสอบเสน้ ยืนอีกคร้งั (5) การคัดลายหรือการเกบ็ ตะกอ (Helding) การเก็บตะกอเป็นการคล้องเส้นยืนเอาไว้ นิยมใช้ “ไม้เต่าหรือ ภาพท่ี 2.2 แสดงวิธีการร้อยเส้น ไมก้ ้ามปู” เปน็ ตัวกำ�หนดความกว้างของตะกอหรอื เขา โดยพันเส้นตะกอไวก้ ับ ไหมยืนเข้าฟนั หวี
มาตรฐานหม่อนไหม “ไมเ้ รยี ว (ไมไ้ ผเ่ หลากลมขนาดเลก็ )” ทงั้ ดา้ นบนและลา่ ง โดยใหพ้ นั ดา้ นลา่ งกอ่ น เมอ่ื ทำ�ระยะตะกอเสร็จให้ดงึ ไม้เต่าออกจะเหลือเฉพาะไม้เรียว 2 อนั (เท่ากับ 1 ตบั ) สำ�หรบั การทอผา้ ชนดิ 2 ตะกอ จะมอี ยู่ 2 ตบั แตล่ ะตบั จะคลอ้ งเสน้ ยนื ไว้ 1 เส้น (จะมีตะกอบนและล่างในหน่งึ ชอ่ งฟมื ) ใชว้ ิธีการเหยยี บสลับจะเกดิ การ ยกตะกอขึ้นลงเอง เพื่อให้สอดกระสวยเส้นพุ่งเป็นการสานขัดให้เป็นเน้ือผ้า ส่วนเนื้อผ้าที่มีลวดลายนูนน้ันเกิดจากการใช้หลายตะกอในการยกเส้นยืนให้เกิด ลวดลาย เรยี กเทคนิคนี้ว่า “การยกดอก” (6) การผูกโยงตะกอและคล้องเท้าเหยียบ การผกู โยงตะกอและคลอ้ งเทา้ เหยยี บ เปน็ การผกู โยงตะกอกบั ไมล้ กู กลง้ิ และไมเ้ ทา้ เหยยี บตอ้ งทำ�เปน็ ไปตามลวดลายทก่ี ำ�หนด สามารถแบง่ เปน็ 2 ขน้ั ตอน ภาพที่ 2.21 แสดงวิธีการหวีและ คอื การม้วนเส้นไหมยืน เข้าใบพัดค้อนไหมหรือ หวั ม้วนเส้นยนื 6.1) การผกู โยงตะกอ เป็นการยึดตบั (ท้งั ดา้ นบน) กับเส้นไหมยืน โดยการร้อยเชือกกบั ไม้ไผ่กลมวางพาดบนก่ี 6.2) การโยงตะกอกบั เทา้ เหยยี บ ผกู ตะกอเขา้ กบั เทา้ เหยยี บเปน็ ขน้ั ตอน สุดท้ายเพ่ือให้เชื่อมโยงกันเม่ือเหยียบเท้าเหยียบจะเป็นการยกตะกอข้ึนเพ่ือเปิด ตะกอสำ�หรบั สอดกระสวยเสน้ พงุ่ ใหผ้ า่ นเสน้ ยนื ทงั้ หมดสลบั ไปมา ซงึ่ เปน็ กรรมวธิ ี 30 ในสว่ นหนึ่งของการสานขัดให้เปน็ เนือ้ ผ้าตามลวดลายทก่ี ำ�หนด ในข้ันตอนการผูกโยงตะกอและคล้องเท้าเหยียบเชือกท่ีใช้ในการโยง ตะกอและไม้เท้าเหยียบตอ้ งแขง็ แรงไม่ยดื และไม่ขาดง่าย (7) การเตรียมเส้นพุง่ (Weft preparation) เส้นพุ่ง คือ เส้นท่ีจะใช้ในการพุ่งโดยกระสวยตามแนวขวางของ เสน้ ยนื การเตรยี มดา้ ยเสน้ พงุ่ มี 3 ขน้ั ตอน (ศริ พิ ร บญุ ชู และคณะ, 2555) ดงั นี้ 7.1) การกรอเขา้ อกั การกรอเสน้ ไหมพงุ่ เขา้ อกั เพอ่ื เปน็ การจดั ระเบยี บ ภาพท่ี 2.22 แสสน้ ดไหงมวิธยีกืนาไรปนตำิด�หตัวั้งมใน้วนกี่ เสน้ ไหมใหไ้ ม่พนั กันและสะดวกกับการกรอเขา้ หลอด ทอผา้ 7.2) การกรอเส้นไหมพุ่งเข้าหลอด (Rewining) การกรอเสน้ พุ่งเขา้ หลอดใช้อปุ กรณท์ เี่ รยี กวา่ “ไน” หรอื หลา เปน็ ตัวหมนุ เสน้ ไหมเขา้ สหู่ ลอดขนาด เลก็ ทใ่ี ชใ้ สใ่ นกระสวยเสน้ พงุ่ ในการกรอเสน้ พงุ่ สง่ิ ทค่ี วรระวงั คอื การกรอเสน้ ไหม ต้องกรอเรียงกันแน่นไม่หลวมและเส้นไหมไม่ย้อนกลับไปมาเพราะจะมีผลต่อ คณุ ภาพของผา้ ไหม(สน่ัน บญุ ลา, 2555) 7.3) การบรรจกุ ระสวย การบรรจกุ ระสวย ทำ�ไดโ้ ดยการนำ�หลอดเสน้ พงุ่ ขนาดเลก็ ท่ีได้จากขอ้ 7.2 มาใส่ในช่องบรรจุกระสวยสำ�หรบั ทอ ต้องใช้กระสวย ทม่ี ีสภาพดไี ม่มีเสีย้ นเพราะจะมผี ลตอ่ คณุ ภาพเน้อื ผา้ ไหมทท่ี อ (8) การทอ (Weaving) การทอผ้าไหมมีเทคนิคและวิธีการทอท่ีแตกต่างกันหลายวิธี เช่น ภาพท่ี 2.23 แไหสมดยงนื วใิธนีกการระรบ้อวยนเกสา้นร การทอยก การทอขิด การจก เป็นต้น ซึ่งการทอโดยเทคนิคดังกล่าวข้างต้น เกบ็ ตะกอ เปน็ การเพม่ิ เสน้ พงุ่ พเิ ศษเขา้ มาในการทอผา้ ลายขดั สำ�หรบั วธิ ใี นการเพม่ิ เสน้ พงุ่
กรมหมอ่ นไหม พิเศษเข้ามาเพ่ือเพิ่มลวดลาย สีสันของผ้าไหมให้มีความสวยงามและซับซ้อน มากยง่ิ ขึ้น สำ�หรบั การทอผ้าลายขดั พน้ื ฐาน มีวธิ กี ารทำ�โดยการเหยยี บไม้เหยยี บ สลับกัน เมื่อเหยียบข้างหน่ึงแล้วเส้นยืนจะเปิดช่องข้ึนสำ�หรับใช้กระสวยพุ่ง เส้นพ่งุ เขา้ ไป จากนั้นกระทบฟมื เขา้ หาตวั ผู้ทอหน่ึงครัง้ แล้วจัดระเบยี บของเส้น ในเน้ือผ้าแล้วจึงเหยียบไม้เหยียบอีกอันเพ่ือปิดช่องเส้นพุ่ง กระทบฟืมอีกคร้ัง เพื่อปิดช่องให้เนื้อผ้าแน่นขึ้น แล้วพุ่งกระสวยอีกคร้ังเหยียบสลับไปมาจนกลาย เป็นเนื้อผ้า แล้วทอไปตามความยาวที่ต้องการแต่ต้องเหลือปลายเส้นยืนไว้ ประมาณ 50 ซ.ม. เพ่อื ใช้ในการตอ่ เส้นยนื ในครงั้ ต่อไป 2.3 ชนดิ ผา้ ไหมไทย การจำ�แนกชนิดผ้าไหมไทยมีการจำ�แนกที่แตกต่างกันไปข้ึนอยู่กับ วัตถุประสงค์และหลักเกณฑ์ท่ใี ช้ในการจำ�แนก จึงทำ�ให้ชนิดของผ้าไหมไทยท่ี ภาพที่ 2.24 แสดงการกรอด้าย ใชเ้ รยี กกนั มคี วามหลากหลายและแตกตา่ งกนั ไป รายละเอยี ดของแต่ละผ้าไหม เสน้ พงุ่ เข้าหลอด และ สรุปไดด้ งั นี้ ก า ร บ ร ร จุ ห ล อ ด ใ น 2.3.1 คณะกรรมการสง่ เสรมิ สนิ คา้ ไหมไทย (2528) ไดจ้ ำ�แนก กระสวย ประเภทของผา้ ไหมไทยเปน็ 2 ประเภท คอื ผา้ ไหมไทย เปน็ ผา้ ไหมทที่ อดว้ ยเสน้ ไหมแท้ท้ังหมด รวมถึงผ้าไหมแท้ที่มีสิ่งอื่นเป็นส่วนประกอบสำ�หรับการตกแต่ง และผา้ ไหมจรุ ี หมาถึงผ้าไหมที่ประกอบด้วยเส้นไหมแทต้ ง้ั แต่รอ้ ยละ 20 ข้นึ ไป ของน้ำ�หนักทั้งหมดของผา้ ไหม 31 2.3.2 กรมสง่ เสรมิ การเกษตรโดย โดย (ศริ พิ ร และคณะ, 2540) รายงานวา่ ผา้ ไหมไทยเปน็ การแสดงออกถึงศิลปะพื้นบ้านและเอกลักษณ์ของท้อง ภาพที่ 2.25 แสดงวธิ กี ารทอผา้ ไหม ถนิ่ ซ่ึงทำ�ให้ผ้าไหมมคี วามหลากหลาย รวมทง้ั ทางด้านกรรมวธิ ีการทอลวดลาย ด้วยกี่แบบพ้ืนบ้าน และรปู แบบของผา้ ซง่ึ เอกลกั ษณต์ า่ งๆเหลา่ น้ี สามารถใชเ้ ปน็ ตวั กำ�หนดถงึ แหลง่ ของการผลติ ได้ ประเภทของผา้ ไหมทท่ี อมอื และเกดิ จากภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ตา่ งๆ นน้ั สามารถแบง่ ประเภทของผา้ ไหมตามเทคนิคและวธิ ีการทอ เป็น 8 ชนิด ได้แก่ ผา้ ไหมพ้นื ผา้ ไหมมัดหมี่ ผา้ ไหมยกดอก ผา้ ไหมขิด ผ้าไหมแพรวา ผา้ ไหมจก และผ้าไหมบาตกิ 2.3.3 สำ�นกั งานมาตรฐานผลติ ภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรม (กระทรวง อสุ าหกรรม, 2546) ไดจ้ ดั ทำ�มาตรฐานผลติ ภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรม ในสว่ นทเ่ี กย่ี วขอ้ ง กบั ผา้ ไหมของชุมชนโดยจำ�แนกผ้าไหมทผ่ี ลติ โดยชุมชน จำ�นวน 12 ชนดิ ได้แก่ ผ้าไหมทอมือลายขัด(ผ้าไหมพ้ืน) ผ้าไหมทอลายน้ำ�ไหล ผ้าไหมมัดหม่ี ผ้าไหม ยกดอก ผ้าไหมขิด ผา้ ไหมแพรวา ผา้ ไหมกาบบวั ผา้ ไหมหางกระรอก ผา้ ไหม จก ผา้ ไหมยกมกุ ผา้ ไหมยก และผา้ ไหมบาตกิ 2.3.4 สถาบันอตุ สาหกรรมสง่ิ ทอ โดย สนั่น บญุ ลา (2555) ได้จำ�แนกชนิดผา้ ไหมตามวิธีการทอ ไดจ้ ำ�แนกผ้าไหมไทยเปน็ 14 ชนดิ ได้แก่ ผ้าไหมลายขัด ผ้าไหมขิด ผา้ ไหมหางกระรอก ผา้ ไหมมัดหมี่ ผา้ ไหมจก ผ้าไหม กาบบวั ธรรมดา ผา้ ไหมกาบบวั (จก) ผา้ ไหมกาบบวั (คำ�) ผา้ ไหมแพรวาลว่ ง ผา้ ไหม แพรวาจกดาว ผา้ ไหมทอลายนำ้ �ไหล ผา้ ไหมยกมุก ผ้าไหมยก ผา้ ไหมยกดอก
มาตรฐานหมอ่ นไหม ภาพที่ 2.26 แสดงผ้าไหมพ้ืนสีตา่ งๆ จากขอ้ มลู ขา้ งตน้ พบวา่ ชนดิ ของผา้ ไหมไทยมคี วามหลากหลาย และแตกตา่ งกนั ตามวตั ถปุ ระสงคข์ องแตห่ นว่ ยงานรายละเอยี ดของผา้ ไหมแตล่ ะ ชนดิ มดี งั นี้ 32 2.3.1 ผ้าไหมพื้น (Plane silk) เป็นผ้าไหมท่ีทอลายขัดโดยใช้ เส้นยืน และเส้นพุ่งธรรมดาสีเดียวตลอดกันท้ังผืน ผ้าท่ีออกมาจะเป็นผ้าสีพ้ืน เรยี บไม่มีลาย หรืออาจใชเ้ ส้นยนื และพุ่งต่างสีกันกไ็ ด้ เป็นผา้ ทนี่ ยิ มใช้กันทวั่ ไป ภาพที่ 2.27 แสดงผ้าไหมมัดหมี่ 2.3.2 ผ้าไหมมัดหมี่ (Mud-mee, Ekat) การทอผ้าไหมมัดหม่ี เป็นศิลปะการทอผ้าพื้นเมืองชนิดหนึ่งท่ีมีมานานแล้ว ทางภาคตะวันออกเฉียง เหนือของไทย และบางท้องที่ในเขตภาคกลาง เช่น สุพรรณบุรี อุทัยธานี กาญจนบรุ ี ลพบรุ ี และชยั นาท วธิ กี ารมดั หม่ี คอื การมดั ดา้ ยใหเ้ ปน็ ลาย ทเ่ี สน้ พงุ่ หรอื เสน้ ยนื ดว้ ยเชอื กแลว้ นำ�ไปยอ้ มสี เพอ่ื ใหไ้ ดส้ แี ละลายตามตอ้ งการแลว้ จงึ นำ�มาทอ เป็นผ้า ผ้าไหมมดั หมี่ในบ้านเราสว่ นใหญน่ ยิ มทอผ้าเสน้ พ่งุ แตบ่ างจังหวัดมกี าร มัดหม่ีเส้นยืน เช่น เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ราชบุรี และเพชรบุรี การทอ ผา้ ไหมมดั หม่ี คอื การทอผา้ ทม่ี ดั เสน้ ไหม เพอ่ื สรา้ งลวดลายกอ่ นการยอ้ ม ซง่ึ ผทู้ อ จะตอ้ งออกแบบลวดลายผา้ ไวก้ อ่ นถา้ ตอ้ งการหลายสกี ต็ อ้ งมดั และยอ้ มหลายครงั้ จนกวา่ จะไดส้ คี รบตามตอ้ งการจงึ นำ�ไปทอดว้ ยเทคนคิ การขดั สานธรรมดาลวดลาย บนผืนผ้าจะเกิดขึ้นตามรอยท่ีมัดย้อม ผ้าที่ได้จากการทอจะมีลักษณะเรียบ เหมอื นกนั ทงั้ 2 ด้าน ฟมื ที่ใช้ในการทอผา้ นนั้ มขี นาดประมาณ 42 ถึง 47 หลบ ซง่ึ จะไดผ้ า้ หนา้ กวา้ งประมาณ 1 เมตรพอดี สงิ่ สำ�คญั ของการทอผา้ ลายมดั หมน่ี นั้ ผู้ทอจะต้องทำ�การตรวจสอบลายให้ถูกต้องก่อนที่จะกระแทกฟืมทุกคร้ัง เพราะ ถา้ หากลายไมถ่ กู ตอ้ งตรงตามทมี่ ดั ไวก้ จ็ ะทำ�ใหผ้ า้ ไหมมดั หมนี่ น้ั ดอ้ ยคณุ ภาพลงไป ส่วนเนื้อผ้าไหมจะแน่นหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับแรงกระแทกของฟืมและจังหวะใน การเหยยี บไมห้ กู เพอื่ สอดกระสวย ผทู้ อจงึ ตอ้ งใชค้ วามชำ�นาญและประสบการณ์
กรมหม่อนไหม เพอ่ื ใหไ้ ดผ้ า้ ไหมทด่ี มี คี ณุ ภาพ (จติ ตภู สงิ คำ�มา, 2545) การทำ�ผา้ มดั หมม่ี ี 3 แบบ คือ มดั หมเี่ ส้นพงุ่ มัดหม่เี ส้นยนื และมดั หมเี่ ส้นพ่งุ และทางยีน หรือหมซ่ี อ้ นหรือ หมส่ี องทาง (สน่ัน บญุ ลา, 2555) 2.3.3 ผ้าไหมขิด (Khit) หมายถึงผ้าที่ทอโดยใช้เส้นไหมพุ่งเพิ่ม พิเศษสีเดียวโดยสอดตามลวดลายบนพ้นื ลายพ้นื ตลอดแนวตามความกว้างของ หนา้ ผา้ ซง่ึ ลวดลายซำ้ �และมสี เี ดยี วตลอดหนา้ ผา้ สว่ นตามความยาวผา้ อาจเปน็ ลายซำ้ � เหมือนหรือไม่ก็ได้ และสีมีสีเดียวหรือหลายสีก็ได้ การทอขิดผ้าไหมแบบ ภาพที่ 2.28 แสดงผา้ ไหมขดิ จงั หวดั ทอยกลายในตัว เรียกว่า“เก็บขิด”หมายถึง การเก็บตะกอลอยเพิ่มโดยใช้ไม้ไผ่ อดุ รธานี เรียกวา่ “ไมเ้ ก็บขดิ ” เปน็ ตัวยกเสน้ ยืนแต่ละแถว ใหเ้ ส้นพงุ่ พเิ ศษสอดผา่ นจาก ริมผ้าด้านหน่ึงไปสู่ริมผ้าอีกด้านหน่ึงเกิดเป็นลวดลายขิด ผ้าทอลายขิดสังเกต ดูได้จากลายซำ้ �ของเส้นพุ่งที่ขึ้นเป็นแนวสีเดียวกันตลอด อาจจะเหมือนกัน ทง้ั ผนื หรอื ไม่ก็แต่ตอ้ งมีลายซ้ำ�ทีม่ จี ุดจบ ผ้าไหมขิดเป็นที่นยิ มทวั่ ไปในภาคอีสาน บางจังหวัด ในภาคกลางและภาคเหนอื 2.3.4 ผ้ายก (Brocade) เป็นการทอผ้าไหมท่ีทอยกลายในตัวใช้ เสน้ พงุ่ พเิ ศษ เปน็ ดน้ิ เงนิ ดนิ้ ทอง โดยใชว้ ธิ กี ารเกบ็ ตะกรอเชน่ เดยี วกบั การทอขดิ ผา้ ยกเปน็ ผา้ ซนิ่ ไหมยกลายเฉพาะเชงิ ซน่ิ หรอื ยกลายตลอดทง้ั ซน่ิ และเชงิ ซน่ิ มที อ ภาพท่ี 2.29 แสดงผา้ ยกจากจงั หวดั กนั เปน็ ทแี่ พร่หลายในภาคเหนอื ทีเ่ ชียงใหม่และลำ�พูน ในภาคใต้ที่ สรุ าษฎรธ์ านี นครศรธี รรมราช 33 นครศรธี รรมราช และภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ทรี่ อ้ ยเอด็ 2.3.5 ผา้ ไหมยกดอก หมายถงึ ผา้ ไหมทท่ี อโดยการใชต้ ะกอ 3-10 ตะกอ หรอื มากกวา่ เพอื่ ให้เกดิ ลวดลายทมี่ ลี ักษณะลายขนาดเล็กตดิ ต่อซ้ำ�กนั ตามแนว เส้นไหมยืนเตม็ ผืนผา้ โดยไม่มเี สน้ พงุ่ พิเศษ 2.3.6 ผ้าจกไหม เป็นผ้าไหมท่ีมีลวดลายโดยใช้เทคนิคการทอเพ่ิม เส้นไหมพุ่งพิเศษหลายสีเป็นช่วงๆ เพื่อให้เกิดลวดลายบนลายพ้ืน โดยวิธีการ เกบ็ และทอเชน่ เดยี วกบั ผา้ ขดิ แตม่ กี ารทำ�ลวดลายดว้ ยการเพม่ิ เสน้ พงุ่ พเิ ศษเขา้ ไป ในช่วงๆ ไมต่ ดิ ต่อกนั ตลอดหนา้ กวา้ งของผ้า ทำ�ให้สามารถสลบั สแี ละลวดลาย ภาพท่ี 2.30 แสดงผา้ จกเมอื งรอง ได้ตา่ ง ๆ กนั จึงทำ�ใหล้ ักษณะผา้ จงึ มสี สี นั และลวดลายมากกว่าผา้ ขิด 2.3.7 ผ้าแพรวา เป็นผ้าทอที่มีลักษณะลวดลายผสมกันระหว่าง ลายขดิ และจกบนผนื ผา้ คำ�วา่ “แพรวา” มาจากความยาวของผา้ ทย่ี าวประมาณวา แพรวาเปน็ ผา้ ซึง่ ใชใ้ นงานพิธีตา่ ง ๆ ตามวัฒนธรรมของชาวภไู ท โดยเอกลักษณ์ ด้ังเดิมจะมีสีแดงเป็นพื้น ซ่ึงต่อมาได้มีการดัดแปลงลักษณะของผืนผ้าและ การใช้สสี นั เพ่อื นำ�มาใชป้ ระโยชน์ได้มากข้นึ ตามสมัยนิยม ผ้าไหมแพรวาทเ่ี ปน็ เอกลักษณม์ อี งคป์ ระกอบ ดงั นี้ (1) ลายดอกใหญ่ หรือลายหลกั เป็นลวดลายในกรอบสีเหล่ียมผนื ผา้ ภาพที่ 2.31 แสดงผ้าไหมแพรวา ซงึ่ ประกอบดว้ ยลายทมี่ ลี กั ษณะเปน็ สเ่ี หลยี่ มรปู ขนมเปยี กปนู จำ� นวนนอ้ ยหรอื มาก กาฬสินธ์ุ ข้ึนอยู่กับขนาดของลายนอกท่ีมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมท่ีอยู่ด้านบนและ
มาตรฐานหม่อนไหม 34 ด้านล่างของเส้นกรอบลาย และเครือลายเป็นลายสามเหลี่ยมอยู่หัวท้ายของ กรอบสเ่ี หลย่ี ม ทอ่ี ยหู่ วั ทา้ ยของกรอบสเ่ี หลย่ี ม โดยสว่ นของมมุ แหลมจะชเี้ ขา้ หา ภาพท่ี 2.32 แสดงผา้ ไหมบาตกิ จดุ กง่ึ กลางของแถวลาย (2) ลายคั่น เป็นลายขนาดเล็กเรียงกันเป็นแถวอยู่ภายในเส้นกรอบ ใช้เปน็ ลายสำ�หรับทอคั่นลายใหญท่ กุ ๆแถวในผืนผา้ (3) ลายเชงิ ผา้ เปน็ ลายทท่ี ออยทู่ งั้ สองดา้ นของสว่ นทเี่ ปน็ ลายทง้ั หมด ในผนื ผ้า(ปลายผา้ ) ผา้ ไหมแพรวาแบง่ เป็น 3 ชนดิ ตามลกั ษณะการทอ ดงั น้ี 2.3.7.1 ผ้าไหมแพรวาเกาะ 2.3.7.2 ผ้าไหมแพรวาล่วง เป็นผา้ ไหมแพรวาทม่ี ีลวดลายเชน่ เดียวกับแพรวาเกาะ แตใ่ ช้เสน้ ไหมพุง่ ทเ่ี พิม่ พเิ ศษเพียงสเี ดียวสอดตามลวดลาย บนลายพน้ื ตลอดความกวา้ งของหนา้ ผา้ แบบการทอขดิ 2.3.7.3 ผา้ ไหมแพรวาจกดาว เปน็ ผา้ ไหมแพรวาทท่ี อมลี วดลาย เหมือนผ้าไหมแพรวาล่วงแต่ใช้ปลายน้ิวจกเส้นไหมพุ่งเพิ่มพิเศษให้เป็นลายดอก ขนาดเลก็ หลายสบี นลายพน้ื เปน็ บางสว่ น หรอื ตลอดความกวา้ งของหนา้ ผา้ 2.3.8 ผา้ ไหมกาบบวั (ธรรมดา) หมายถงึ ผา้ ไหมทท่ี อโดยใชเ้ สน้ ไหมยนื อยา่ ง นอ้ ย 2 สี ทอเปน็ พน้ื ลายริว้ ตามลกั ษณะซน่ิ ทิวและใชเ้ สน้ ไหมพ่งุ ทอเป็นลายคัน่ เส้นไหมพงุ่ เปน็ เส้นหางกระรอก(ควบเส้น 2 ส)ี มัดหม่ี และขดิ 2.3.9 ผา้ ไหมกาบบวั (จก) หมายถงึ ผา้ ไหมทที่ อโดยใชเ้ สน้ ไหมยนื อยา่ ง น้อย 2 สี ทอเปน็ พื้นลายริ้วตามลักษณะซ่ินทวิ และเพ่ิมเส้นไหมพงุ่ พเิ ศษโดย การจกเป็นลวดลายกระจุกดาว หรือลายเกาะดาวโดยลักษณะลายอาจเป็นช่วง กลมุ่ หรอื กระจายทั่วท้งั ผืนผ้ากไ็ ด้ 2.3.10 ผา้ ไหมกาบบวั (คำ�) หมายถึงผา้ ไหมท่ีทอโดยไม่มลี ายริ้วกไ็ ด้ เปน็ ผ้าไหมทท่ี อยกหรอื ทอแบบขิดท่ใี ช้เสน้ ไหมพุง่ พเิ ศษ คือ ดิน้ ทอง หรือด้ินเงนิ หรอื เส้นไหมสตี า่ งๆ ไปตามลวดลายบนลายพน้ื และคน่ั ดว้ ยมดั หม่ี 2.3.11 ผา้ ไหมบาติก เป็นผา้ ไหมทนี่ ำ�มาเขียนลวดลายบนเน้อื ผ้าด้วย ขีผ้ งึ้ (WAX) แลว้ นำ�ไประบายหรอื ย้อมสีตามตอ้ งการ ผา้ ไหมพิมพ์ลายซง่ึ พมิ พ์ ลวดลายสสี ันลงบนผืนผ้าไหม ผ้าไหมมดั หม่ีซ้อนจากการมดั หมท่ี ง้ั เสน้ พุ่ง และ เสน้ ยนื ผา้ ไหมทม่ี กี ารออกแบบลวดลายหรอื เพม่ิ เทคนคิ ในการทอ เพอื่ ใหล้ วดลาย และรปู แบบของผนื ผา้ ท่แี ตกตา่ งออกไป
กรมหม่อนไหม มาตรฐานเส้นไหม (Silk yarn standard) 3.1 เส้นไหม (Silk yarn) 35 3.1.1 องคป์ ระกอบเส้นไหม เสน้ ไหมเป็นเสน้ ใยธรรมชาตทิ ม่ี อี งคป์ ระกอบ ดังนี้ 3.1.1.1 ไฟโบรอนิ (Fibroin) เปน็ โปรตนี ทเ่ี ปน็ องคป์ ระกอบหลกั ในเส้นไหม โดยท่วั ไปเส้นไหม มีไฟโบรอินเป็นองค์ประกอบร้อยละ 70-80 ขององค์ประกอบทั้งหมด ซ่ึงเป็นส่วนส�ำคัญในการทอเป็น ผนื ผา้ ไหม เนอ่ื งจากไฟโบรอนิ เปน็ สว่ นของโปรตนี ทไ่ี มล่ ะลายในนำ้� และจะยงั คงอยหู่ ลงั กระบวนการฟอกกาว ไหม ไฟโบรอนิ จงึ เป็นเสน้ ใยทใี่ ช้ในการทอผ้าไหม 3.1.1.2 เซรซิ ิน (Sericin) หรอื ทเ่ี รียกว่า กาวไหม เป็นโปรตีนทีเ่ ป็นองค์ประกอบส�ำคัญของ เสน้ ไหมอีกชนดิ หนง่ึ โดยในเส้นไหมมีเซรซิ นิ ปน็ องคป์ ระกอบร้อยละ 20-30 ขององค์ประกอบท้ังหมดของ เส้นไหม ทท่ี ำ� หนา้ ที่เปน็ กาวเคลอื บเส้นไฟโบรอินซ่งึ เปน็ เส้นใยตอ่ เนอ่ื ง จ�ำนวน 2 เส้นให้ยึดติดกัน โปรตนี ชนิดนล้ี ะลายในน�้ำ ดงั น้ันจึงถูกลอกออกไปในระหวา่ งการฟอก(ลอก)กาวไหม 3.1.1.3 อน่ื ๆ เสน้ ไหมนอกจากมอี งคป์ ระกอบหลกั ของโปรตนี สองชนดิ แลว้ ยงั มสี ว่ นประกอบ อื่นๆ อีก ไดแ้ ก่ ไขมันหรอื แวก็ ซ์ จำ� นวนรอ้ ยละ 0.4-0.8 สารไฮโดรคาร์บอน (Hydrocarbon) จ�ำนวน ร้อยละ 1.2 - 1.6 สีทีป่ รากฏตามธรรมชาติ (Pigment)จำ� นวนรอ้ ยละ 0.2 และเถ้าจำ� นวนรอ้ ยละ 0.7 3.1.2 ความหมาย เส้นไหม หมายถงึ เส้นใย (filament) ทีส่ าวออกจากรงั ไหมจ�ำนวนหน่งึ โดยการทำ� เกลยี ว ใหร้ วมเปน็ เสน้ เดยี วกนั ในขนั้ ตอนการสาวไหม และยงั ไมผ่ า่ นการตเี กลยี วหรอื ควบเกลยี ว และแยกเซรซิ นิ ออก ส�ำหรบั การจัดท�ำมาตรฐานเส้นไหมของไทยนนั้ จัดทำ� มาตรฐานของเสน้ ไหมดิบ(Raw silk) ซ่ึงเป็นเสน้ ไหม ทไ่ี ม่ผ่านกระบวนการควบตเี กลยี ว(Twist) และแยกเซริซินออก
มาตรฐานหมอ่ นไหม 3.2 การก�ำหนดมาตรฐาน ส�ำหรับมาตรฐานเส้นไหม เส้นไหมดิบของประเทศไทย ได้มีการก�ำหนดและประกาศใช้เป็น มาตรฐานทว่ั ไปหรอื มาตรฐานสมัครใจ จากหนว่ ยงานทเี่ กย่ี วข้อง 2 หนว่ ยงาน ไดแ้ ก่ ส�ำนกั งานมาตรฐาน สินคา้ เกษตรและอาหารแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซ่งึ เปน็ หนว่ ยงานหลกั ในการดูแลมาตรฐาน สนิ คา้ เกษตร และสำ� นกั งานมาตรฐานผลติ ภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรม กระทรวงอตุ สาหกรรม ทร่ี บั ผดิ ชอบมาตรฐาน ของสนิ คา้ อุตสาหกรรม มาตรฐานเสน้ ไหมของประเทศไทยทีป่ ระกาศใชแ้ ลว้ มีดังน้ี 3.2.1 มาตรฐานสนิ ค้าเกษตร มกษ. 8000–2555(Thai Agricultural Standard TAS 8000-2012) : เสน้ ไหมดิบ เล่ม 1 (Raw Silk Volume 1 : Hand Reeled Thai Silk Yarn) เส้นไหมไทยถือเป็นเส้นไหมท่ีเป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย เนื่องจากเกิดจากพันธุ์ไหมที่ ผลิตรังไหมสีเหลืองที่ถือเป็น พันธุ์ไหมไทยท่ีมีการเล้ียงมาต้ังแต่สมัยบรรพบุรุษ ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นใน การผลติ ตงั้ แตก่ ารเลยี้ งไหม และการสาวไหมดว้ ยมอื เพอ่ื ผลติ เสน้ ไหมไทยทเี่ รยี กวา่ เสน้ ไหมหตั ถกรรมทสี่ รา้ ง ผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่างของไหมไทยจากไหมท่ัวโลก สร้างชื่อเสียง ให้ไหมไทยเป็นที่รู้จักในด้านความ มเี อกลกั ษณเ์ ฉพาะ ปจั จบุ นั เสน้ ไหมไทยไดม้ กี ารกำ� หนดมาตรฐาน ภายใต้ มาตรฐานสนิ คา้ เกษตรโดยประกาศ คณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก�ำหนดมาตรฐาน สินคา้ เกษตรทเ่ี กย่ี วข้องกบั เสน้ ไหมไทย ก�ำหนดเป็นมาตรฐานเสน้ ไหม มกษ. 8000 – 2555 (ปรบั ปรุงจาก 36 มาตรฐาน มกอช 8000-2548 เดิม) เป็นมาตรฐานทั่วไป ตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551 โดยยกเลกิ ประกาศคณะกรรมการมาตรฐานสนิ คา้ เกษตรและอาหารแหง่ ชาติ เรอื่ ง กำ� หนดมาตรฐาน สินคา้ เกษตร : เสน้ ไหมไทย ลงวันท่ี 5 ตุลาคม 2548 เดิม มาตรฐานฉบบั น้ี ประกาศใชเ้ มอื่ วันที่ 2 ตุลาคม 2555 3.2.1.1 ขอบข่าย มาตรฐานฉบับน้ี ใช้ในการจัดชั้นคุณภาพ มาตรฐานครอบคลุมส�ำหรับเส้นไหมไทยท่ีได้จากรังไหมพันธุ์ไทยสีเหลืองจาก หนอนไหมทก่ี นิ ใบหมอ่ นเปน็ อาหาร (Bombyx mori) ทส่ี าวดว้ ยมอื ในประเทศไทย โดยพจิ ารณาจากปจั จยั ในดา้ นคณุ ภาพคอื ความเรยี บของเสน้ ไหม ความสมำ่� เสมอ ของขนาดเส้นไหมและสี การรวมตัวกันของเส้นใย และความสะอาด โดยที่ ได้ก�ำหนดให้ พนั ธ์ไุ หม ขนาดเสน้ รอบวง การท�ำไพ ในขอ้ กำ� หนดขนั้ ตน้ 3.2.1.2 วธิ กี ารตรวจสอบ ในการตรวจสอบมาตรฐานเสน้ ไหมไทย ตามมาตรฐานฉบบั นี้ ต้องตรวจสอบรายละเอียดดังน้ี พันธไ์ุ หมต้องเป็นพันธไุ์ ทย สเี หลือง เส้นไหมแท้ ขนาดเสน้ รอบวง การทำ� ไพ ช้ันคณุ ภาพ ขนาดเสน้ ไหม น้�ำหนักเข็ดไหม ให้เป็นไปตามรายละเอียดวิธีการท่ีก�ำหนดในมาตรฐาน มกษ. 8000 – 2555 3.2.1.3 การจำ� แนกมาตรฐาน ตามมาตรฐาน มกษ. 8000 – 2555 จ�ำแนกเส้นไหมไทยเป็น 3 ชนิด คือ ไหมหนึ่งหรือไหมยอดหรือไหมน้อย ไหม 2 หรอื ไหมสาวเลย และไหม 3 หรอื ไหมลบื หรอื ไหมแลง โดยมรี ายละเอยี ด ของเส้นไหมแตล่ ะชนิด ดงั น้ี
กรมหมอ่ นไหม (1) เส้นไหมหนง่ึ หรือไหมน้อย หรือไหมเครอื ภาพท่ี 3.1 แสดงลกั ษณะ เสน้ ไหมหนง่ึ หรอื ไหมนอ้ ย หรอื ไหมเครอื 1.1) คณุ ลกั ษณะเส้นไหม เส้นไหมชนิดน้ีเป็นเส้นไหมท่ีได้จากการสาวไหมจากส่วนเปลือกรังไหมช้ันใน เส้นไหมท่ีได้ จะมลี ักษณะเสน้ เรยี บ ขนาดสมำ่� เสมอ สีสมำ�่ เสมอ รวมตวั กลม สะอาดไมม่ ีสง่ิ ปลอมปน นุ่มมอื เมื่อสมั ผสั การจดั ชน้ั คณุ ภาพเสน้ ไหมหนงึ่ พจิ ารณาจากการตรวจสอบคณุ ลกั ษณะทเ่ี ปน็ ขอ้ บกพรอ่ ง จำ� นวน 5 ลกั ษณะ ได้แก่ เสน้ ไมเ่ รียบ ขนาดเสน้ ไมส่ ม่ำ� เสมอ เสน้ ไมร่ วมตวั สเี ส้นไมส่ มำ�่ เสมอ และเส้นไม่สะอาด เส้นไหม หนึง่ แบง่ ตามคะแนนคณุ ลักษณะท่ตี รวจสอบแบง่ เป็น 3 ชนั้ คณุ ภาพ คอื เสน้ ไหมหนง่ึ ชน้ั พิเศษ(Extra class) มีคะแนนคุณลักษณะรวมกัน มากกว่า 90 คะแนน เส้นไหมหนึ่งชั้นหน่ึง(Class I) มีคะแนน คุณลักษณะรวมกัน ไม่ต�่ำกว่า 80 คะแนน และเส้นไหมหน่ึงช้ันสอง(Class II) มีคะแนนคุณลักษณะ รวมกัน ไม่ตำ่� กว่า 65 คะแนน ตามมาตรฐานเสน้ ไหมไทยสาวมือ มกษ.8000-2555 แบง่ ขนาดเสน้ ไหมหนึง่ 37 เป็น 5 กลมุ่ ดงั นี้ 1.1.1) กลุ่ม 1 ขนาดน้อยกว่า 120 ดเี นียร์ 1.1.2) กลุม่ 2 ขนาด 121-150 ดีเนยี ร์ 1.1.3) กลมุ่ 3 ขนาด 151-200 ดีเนยี ร์ 1.1.4) กลมุ่ 4 ขนาด 201-250 ดีเนยี ร์ 1.1.5) กลมุ่ 5 ขนาดมากว่า 251 ดเี นยี ร์ (2) เสน้ ไหมสอง หรอื ไหมสาวเลย ภาพท่ี 3.2 แสดงลกั ษณะเสน้ ไหม สอง หรอื ไหมสาวเลย 2.1) คุณลกั ษณะเส้นไหม เสน้ ไหมสอง หรือไหมสาวเลย เปน็ เสน้ ไหมทไ่ี ดจ้ ากการสาวควบกนั ของเปลือกรังไหมช้นั นอก และชน้ั ในรวมกนั ลกั ษณะเสน้ ไหมไมเ่ รยี บ ขนาดสมำ�่ เสมอ รวมตวั กลม สะอาดไมม่ สี ง่ิ ปลอมปน สสี มำ่� เสมอ ลักษณะเส้นไหมท่ีสาวได้หยาบและเส้นใหญ่กว่าไหมหน่ึงหรือไหมยอด คุณภาพมาตรฐานเส้นไหมสอง
มาตรฐานหม่อนไหม พิจารณาจากการตรวจสอบคุณลักษณะข้อบกพร่อง จ�ำนวน 4 ลักษณะ ได้แก่ ขนาดเส้นไม่สม�่ำเสมอ เส้นไม่รวมตัว สีเส้นไม่สม่�ำเสมอ และเส้นไม่สะอาด การจัดช้ันคุณภาพมาตรฐานเส้นไหมสองแบ่ง ตามคะแนนคุณลกั ษณะทตี่ รวจสอบไดเ้ ป็น 3 ชนั้ คณุ ภาพ คอื เส้นไหมสองชั้นพเิ ศษ (คะแนนคณุ ลักษณะ รวมกนั ไมต่ �่ำกว่า 85 คะแนน) เสน้ ไหมสองช้นั หนงึ่ (คะแนนคณุ ลักษณะรวมกนั ไมต่ �่ำกวา่ 80 คะแนน) และเสน้ ไหมสองช้นั สอง(คะแนนคุณลักษณะรวมกัน ไมต่ ่ำ� กวา่ 60 คะแนน) ตามมาตรฐานเสน้ ไหมไทย มกษ. 8000-2555 แบง่ ขนาดเส้นไหมสองออกเปน็ 5 กลมุ่ ดังน้ี 2.1.1) กลุ่ม 1 เสน้ ไหมมขี นาดน้อยกวา่ 150 ดเี นียร์ 2.1.2) กลมุ่ 2 เสน้ ไหมขนาด 151-200 ดีเนยี ร์ 2.1.3) กลมุ่ 3 เสน้ ไหมขนาด 201-250 ดีเนยี ร์ 2.1.4) กล่มุ 4 เส้นไหมขนาด 251-300 ดีเนียร์ 2.1.5) กลมุ่ 5 เส้นไหมขนาดมากวา่ 301 ดเี นียร์ 38 ภาพท่ี 3.3 แสดงลักษณะเส้นไหม สามประเภทไหมหลบื (3) ไหมสาม หรอื ไหมลืบ และไหมแลง 3.1) คุณลกั ษณะทางกายภาพ เส้นไหมสาม หรือเส้นไหมหลืบ และเส้นไหมแลง เป็นเส้นไหมท่ีได้จากการสาวรังไหมสอง ลักษณะ คือ เส้นไหมสามหรอื ไหมหลบื เป็นเสน้ ไหมท่ไี ดจ้ ากการสาวไหมจากเปลือกรงั ไหมชัน้ นอกรวมท้งั ปุยไหม ส�ำหรับเส้นไหมสามชนิด ไหมแลงเป็นเส้นไหมที่ได้จากการสาวไหมจากช้ันในสุดของรังไหม ทีเ่ หลือจากการสาวไหมหน่งึ หรอื ไหมสองแล้ว เส้นไหมมีปมุ่ ปม ขนาดสมำ�่ เสมอ รวมตัวกลม สีสม�ำ่ เสมอ สะอาดไม่มีส่ิงปลอมปน คุณภาพเส้นไหมสามพิจารณาจากการตรวจสอบคุณลักษณะข้อบกพร่อง จ�ำนวน 4 ลักษณะ ได้แก่ ขนาดเส้นไม่สม่�ำเสมอ เส้นไม่รวมตัวสีเส้นไม่สม่�ำเสมอและเส้นไม่สะอาดการจัดชั้น คุณภาพโดยแบ่งตามคะแนนคุณลักษณะที่ตรวจสอบได้เป็น 3 ชั้นคุณภาพ คือ เส้นไหมสามชั้นพิเศษ มีคะแนนคุณลกั ษณะรวมกันมากกวา่ 85 คะแนน เส้นไหมสามชน้ั หนง่ึ มีคะแนนคุณลกั ษณะรวมกนั ไมต่ ำ่� กวา่ 80 คะแนน และเสน้ ไหมสามชนั้ สองมคี ะแนนคณุ ลกั ษณะรวมกนั ไมต่ ำ�่ กวา่ 60 คะแนน ตามมาตรฐาน เสน้ ไหมไทย มกษ. 8000-2555 แบง่ ขนาดเส้นไหมสามชนดิ ไหมลบื และไหมแลง เปน็ 4 กลมุ่ ดังนี้ 3.1.1) กลมุ่ 1 ขนาดนอ้ ยกวา่ 250 ดีเนียร์ 3.1.2) กลุ่ม 2 ขนาด 251-350 ดเี นยี ร์ 3.1.3) กลมุ่ 3 ขนาด 351-450 ดเี นียร์ 3.1.4) กลุ่ม 4 ขนาดมากว่า 451 ดเี นียร์ ภาพท่ี 3.4 แสดงลกั ษณะ เส้นไหมสามประเภท เสน้ ไหมแลง
กรมหม่อนไหม 3.2.1.4 คุณลกั ษณะสำ� หรับการตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานเส้นไหม 39 คุณลักษณะเส้นไหมไทยสาวมือ ภายใต้มาตรฐานฉบับน้ี ก�ำหนดให้มีการตรวจสอบลักษณะ ข้อบกพร่อง ตา่ งๆของเส้นไหม จำ� นวน 5 คุณลกั ษณะ ได้แก่ ความไม่เรียบ การไมร่ วมตวั กลม ความ ไม่สมำ่� เสมอ ความไมส่ มำ�่ เสมอสี และความไม่สะอาดของเสน้ ไหม โดยมรี ายละเอยี ดท่ีใช้ในการพิจารณา คณุ ลกั ษณะ ดงั น้ี 1) ลกั ษณะเส้นไหมไม่เรยี บ ไดแ้ ก่ - เสน้ ไหมมปี มุ่ ปม มลี กั ษณะเปน็ จดุ กลม และเปน็ รปู แบบอนื่ - เสน้ ไหมมีความหนามาก 2) ลักษณะเส้นไหมไมร่ วมตวั กลม ไดแ้ ก่ - เส้นไหมแตกตรงกลางเสน้ - เสน้ ไหมแตกท่ผี วิ เสน้ ไหม หรอื มีรูทะลุ - พบขนบางๆ บนเสน้ ไหม มีความยาวมากกว่า 1.5 เซนตเิ มตร 3) ลกั ษณะเสน้ ไหมไม่สมำ่� เสมอ ไดแ้ ก่ - การตอ่ เสน้ ไหมทข่ี าด แลว้ เสน้ ไหมไม่เทา่ กนั - เสน้ ไหมมีขนาดใหญ่ หรือเล็กกว่าขนาดเสน้ ไหมในภาพรวมมากกวา่ 1 มิลลเิ มตร 4) ลักษณะสีเสน้ ไหมไม่สม่�ำเสมอ ได้แก่ - เสน้ ไหมมีสีแตกต่างจากเสน้ ไหมอืน่ 5) ลกั ษณะเสน้ ไหมไมส่ ะอาด ได้แก่ - มดี นิ เศษดักแด้ เศษเปลอื กรังไหมช้นั ไหมช้ันนอกติดอยู่ - มีเส้นฝอยของไหม ติดอยู่ - มสี ีดำ� หรือสีอ่ืนตดิ อยู่ - มีกอ้ นเซรซิ ินยดึ จบั เป็นกอ้ นบนเสน้ ไหม 3.2.1.5 คณุ ลักษณะทางกายภาพในการตรวจสอบเสน้ ไหม ตามมาตรฐาน มกษ. 8000-2548 เสน้ ไหมไทย ได้กำ� หนดการตรวจสอบลักษณะทางกายภาพ ของเส้นไหมไทยดงั น้ี 1) เขด็ หรอื ไจ (Skein) ไหมไทย มกี ารกรอแบบสาน (Diamond cross) ยาวตดิ ต่อ กนั รวมเป็นวง มขี นาดเส้นรอบวง 135-155 เซนตเิ มตร มีน�้ำหนัก 80-100 กรมั 2) การท�ำไพ เข็ด หรอื ไจ โดยหน่งึ เขด็ แบง่ มดั (ทำ� ไพ) อย่างนอ้ ย 4 ชว่ ง เพ่อื รักษา รูปทรงเข็ด และมีช่วงมัดเง่ือนต้นเข็ดและปลายเข็ดให้เห็นอย่างชัดเจน โดยปลายเส้นด้ายที่ผูกมัดต้อง ยาวเกนิ กวา่ ความกวา้ งของเข็ด และเหลือเส้นด้ายยาวไมน่ ้อยกว่า 8 เซนติเมตร เพอื่ ไม่ใหเ้ สน้ ไหมกระจาย และพนั กันเม่ือลอกกาว 3.2.1.6 เกณฑค์ วามคลาดเคลอื่ น เสน้ ไหมไทยท่บี รรจุในแตล่ ะห่อ ก�ำหนดเกณฑ์ความคลาดเคลอื่ นทีย่ อมให้มไี ด้ ดังตอ่ ไปน้ี 1) เกณฑ์ความคลาดเคล่อื นเร่ืองขนาดรอบวงเข็ดไม่เกนิ 3% ทไ่ี มเ่ ปน็ ไปตามที่ระบุบนฉลาก 2) เกณฑ์ความคลาดเคลื่อนเร่ืองคณุ ภาพเสน้ ไหม มดี ังน้ี 2.1) ช้ันพิเศษ มีความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 5% ท่ีไม่เป็นไปตามข้อก�ำหนดคุณภาพ ของเส้นไหมชัน้ พเิ ศษ แตเ่ ป็นไปตามคณุ ภาพเสน้ ไหมช้ันหน่ึง
มาตรฐานหม่อนไหม 2.2) ชั้นหนึ่ง มีความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 10% ท่ีไม่เป็นไปตามข้อก�ำหนดคุณภาพ ช้นั หนง่ึ แตเ่ ปน็ ไปตามคุณภาพเสน้ ไหมชน้ั สอง 2.3) ชน้ั สอง มคี วามคลาดเคลอ่ื นไมเ่ กนิ 10% ทไ่ี มเ่ ปน็ ไปตามขอ้ กำ� หนดคณุ ภาพชน้ั สอง 3) เกณฑ์ความคลาดเคล่อื นเรื่องขนาด ไม่เกนิ 10% ทไี่ ม่เปน็ ไปตามท่รี ะบุบนฉลาก 3.2.2 มาตรฐานสินคา้ เกษตร การปฏบิ ตั ทิ ดี่ สี ำ� หรบั การผลติ เสน้ ไหมไทย มกษ. 5900 – 2550 (Thai Agricultural Standard TAS 5900-2007: Good Practices for Thai silk yarn production) มาตรฐานฉบับนี้ จดั ทำ� เพื่อ ประโยชนต์ อ่ การปรบั ปรงุ คณุ ภาพ การอำ� นวยความสะดวกทางการคา้ และการคมุ้ ครองผบู้ รโิ ภค โดยกำ� หนด องค์ประกอบในการผลิตเสน้ ไหมไทย ได้แก่ สถานทีส่ าวไหม เครอ่ื งมอื เคร่ืองจกั รและอุปกรณ์ การตรวจ คุณภาพรังไหม การต้มรังไหม วิธีการสาวไหม การตรวจคณุ ภาพเส้นไหม การกรอเสน้ ไหมเพอื่ ท�ำเข็ดไหม การเก็บรกั ษาเสน้ ไหม บรรจุภณั ฑ์ และการบันทกึ ขอ้ มูล เพอ่ื ใหก้ ารผลิตเสน้ ไหมไทยไดค้ ณุ ภาพมาตรฐาน เส้นไหมไทย มกษ. 8000 –2548 เดมิ หรือ มกษ.8000-2555 3.2.2.1 ขอบข่ายมาตรฐานการปฏิบัติที่ดีส�ำหรับการผลิตเส้นไหมไทย มกษ. 5900-2550 ฉบบั น้ี จดั ทำ� ขนึ้ เพอื่ กำ� หนดคำ� แนะนำ� แนวทางสำ� หรบั ผผู้ ลติ เสน้ ไหมไทยในการดำ� เนนิ การปฏบิ ตั ใิ หไ้ ดค้ ณุ ภาพ เสน้ ไหมตามมาตรฐานเส้นไหมไทย มกษ. 8000-2548 โดยจัดท�ำรายละเอยี ดขอ้ กำ� หนด เกณฑท์ กี่ �ำหนด และวิธีตรวจประเมิน ตามกระบวนการการผลิตเส้นไหมไทย รวมท้ังการบันทึกข้อมูล โดยมีรายละเอียด 40 ค�ำแนะนำ� การปฏบิ ตั ิที่ดสี ำ� หรบั การผลิตเสน้ ไหมไทยสาวมือ ดังนี้ 1) สถานทสี่ าวไหม ตามคำ� แนะนำ� กำ� หนดใหส้ ถานทต่ี งั้ ไมห่ า่ งจากชมุ ชนมากนกั และอยบู่ รเิ วณ ท่มี สี ภาพแวดล้อมทเี่ หมาะสม ไดแ้ ก่ โปร่งและอากาศถา่ ยเทไดด้ ี มีการแยกพนื้ ทก่ี ารผลิตในแตล่ ะกระบวน การผลติ เปน็ สดั สว่ นชดั เจน มแี สงสวา่ ง และนำ้� สะอาดเพยี งพอตอ่ การปฏบิ ตั งิ าน พรอ้ มมที ก่ี ำ� จดั นำ�้ เสยี หรอื วธิ กี ารกำ� จัดน้�ำเสียทเี่ หมาะสม 2) เครือ่ งมือ เคร่ืองจกั ร และอปุ กรณ์ ส�ำหรับการผลติ เส้นไหมตอ้ งมีเพยี งพอ จดั วางอยา่ ง เป็นระบบและสะดวกตอ่ การใชง้ าน ท�ำความสะอาดกอ่ นและหลังการใชง้ านโดยดแู ล รกั ษา และซอ่ มแซม ให้อยู่ในสภาพที่พร้อมต่อการใช้งาน และไม่น�ำเครื่องมือ อุปกรณ์ในการสาวไหมไปใช้ในการลอกกาวและ ยอ้ มสีเพราะคราบสกปรกอาจตกคา้ งและมผี ลตอ่ สีเส้นไหมได้ 3) การตรวจคณุ ภาพรงั ไหม รังไหมที่ใช้ควรเป็นพันธ์เุ ดียวกนั หรือมีขนาดและสสี ม่ำ� เสมอ การตรวจคณุ ภาพรงั ไหมพิจารณาจากเปอรเ์ ซน็ ตเ์ ปลือกรังและรังเสยี (รังบกพร่อง) ตามมาตรฐานข้างต้น 3.1) การคดั แยกรังไหม โดยการคัดแยกรังดี และรงั เสยี ออกจากกันโดยพจิ ารณาจาก ลักษณะรังเสีย(รงั บกพรอ่ ง) 11 ชนดิ ไดแ้ ก่ รังแฝด รงั เจาะ รงั เปอ้ื นภายใน รังเปื้อนภายนอก รงั บาง รงั หลวม รังบางหวั ทา้ ย รังผิดรูปร่าง รงั ตดิ ขา้ งจอ่ รงั บุบ รงั ข้ึนรา ขา้ งตน้ และแยกภาชนะบรรจุรังดแี ละ รงั เสีย และจดั เกบ็ แยกกนั อย่างชัดเจน 3.2) การเกบ็ รักษารังไหม การเก็บรักษารงั ไหมเพ่ือรอการสาวครง้ั ต่อไป ควรเกบ็ ไว้ใน ตแู้ ช่ หรอื ตู้เยน็ เพือ่ ชะลอการพัฒนาของดักแดก้ ลายเป็นผเี ส้ือ หรืออบรงั ไหมให้แห้งสมำ�่ เสมอทัง้ รังจะช่วย ในการเพิ่มประสิทธิภาพการสาวไหม รังไหมที่อบแล้วควรเก็บในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นต่�ำกว่าร้อยละ 70 ในภาชนะทสี่ มารถป้องกันการเขา้ ทำ� ลายจากแมลงและหนูได้
กรมหมอ่ นไหม 4) การต้มรงั ไหม สงิ่ ทตี่ ้องคำ� นึงถึงไดแ้ ก่ 41 4.1) น�ำ้ สำ� หรับต้มรังไหมทต่ี ้องจืด ใส สะอาด มคี ่าความเปน็ กรด-เบส อยู่ในระดับ ท่เี ปน็ กลาง และต้องเปลีย่ นถา่ ยน้ำ� เม่ือสนี �้ำเปลีย่ นหรือน�้ำมสี คี ล้�ำ เพ่อื ควบคมุ คุณภาพสขี องเส้นไหม 4.2) การตม้ รงั ไหม การตม้ รงั ไหมแบง่ เปน็ 2 วธิ สี ำ� หรบั อปุ กรณก์ ารสาวไหมทแี่ ตกตา่ งกนั ดังนี้ - สำ� หรับการสาวไหมโดยพวงสาวไหมแบบพื้นบ้าน หรือแบบปรบั ปรงุ โดยการตม้ แยก รังไหมสด และรังไหมอบแห้ง เกลี่ยรังไหมอย่างสม่�ำเสมอให้รังไหมสุกทั่วกันทุกรัง เม่ือรังไหมสุกแล้วให้ ลดอณุ หภูมิใหแ้ หลอื ประมาณ 60-70 องศาเซลเซียสแลว้ ดำ� เนนิ การสาวตอ่ ไป - ส�ำหรับการสาวไหมโดยเคร่ืององสาวไหมขนาดเล็กระดับชุมชน โดยการต้มแยก รงั ไหมสด และรงั ไหมอบแหง้ ควบคมุ รงั ไหมใหจ้ มนำ้� ทกุ สว่ นใหร้ งั ไหมสกุ ทวั่ กนั เมอื่ รงั ไหมสกุ แลว้ ยา้ ยรงั ไหม ไปพกั ในอา่ งพัก เพอ่ื รอการสาวเสน้ ไหมตอ่ ไป 5) วธิ กี ารสาวไหม 5.1) โดยพวงสาวไหมแบบพืน้ บ้าน หรอื แบบปรับปรงุ ควบคุมอุณหภมู นิ �ำ้ ในหมอ้ ตม้ สาวประมาณ 60-70 องศาเซลเซียส ถ้าหากอุณหภูมิน้�ำร้อนเกินไปจะท�ำให้เส้นไหมเกิดปุ่มปม หรือถ้า อุณหภมู ิน้�ำเย็นเกนิ ไปจะสาวยาก ขนึ้ อยู่กบั วา่ เป็นรังไหมสดหรือรงั ไหมอบแห้ง เติมรังไหมอยา่ งสมำ�่ เสมอ ใหม้ จี ำ� นวนใกลเ้ คยี งกบั เมอ่ื เรมิ่ ตน้ สาว ควบคมุ แรงตงึ ขณะสาวเสน้ ไหมใหส้ มำ�่ เสมอ โดยมน่ั เตมิ นำ้� หมอ้ สาว ให้อย่รู ะดบั ปากหมอ้ และเปลย่ี นถา่ ยน้�ำเมื่อสขี องนำ�้ เปล่ยี นเปน็ สีคล�ำ้ หรอื สกปรก เพื่อควบคุมสเี ส้นไหม 5.2) สาวไหมโดยเครอื่ งสาวไหมขนาดเลก็ ระดบั ชมุ ชน ควบคมุ อณุ หภมู นิ ำ�้ ในหมอ้ ตม้ สาว ประมาณ 35-40 องศาเซลเซียสขึ้นอยู่กับว่าเป็นรังไหมสดหรือรังไหมอบแห้ง ก�ำหนดรังไหมต่อหัวสาว ให้สอดคล้องกับขนาดรังไหมท่ีต้องการ เติมรังไหมอย่างสม่�ำเสมอให้มีจ�ำนวนใกล้เคียงกับเมื่อเริ่มต้นสาว ต้องสังเกตการณ์ท�ำงานของอุปกรณ์ควบคุมขนาดเส้นไหม เพ่ือตรวจสอบความสม่�ำเสมอของเส้นไหม หม่ันท�ำความสะอาดอุปกรณ์ควบคุมขนาดเส้นไหมด้วยสบู่และน�้ำอุ่นเพ่ือล้างกาวไหมออก และเติมน�้ำใน อา่ ง สาวไหมเม่ือน�ำ้ ลดจากขอบอา่ ง เปลี่ยนถา่ ยน�้ำเมื่อสีของน�ำ้ เปลี่ยนเปน็ สคี ล�้ำ หรอื สกปรกเพ่อื ควบคุม คณุ ภาพสีเสน้ ไหม 6) การตรวจคุณภาพเส้นไหม ในระหว่างกระบวนการผลิตเส้นไหม(สาวไหม) จะต้อง สุ่มตัวอย่างเส้นไหมที่สาวได้มาตรวจหาค่าขนาดเส้นไหมเฉลี่ยด้วยเคร่ืองมือมาตรฐาน และตรวจลักษณะ จากสายตาเพอ่ื ควบคุมขนาดเส้นไหมใหส้ มำ่� เสมอ 7) การกรอเส้นไหมเพื่อท�ำเข็ดไหม หากเก็บเส้นไหมไว้ในอักนานเกินไปจนเส้นไหมแห้ง ควรนำ� ไปแชน่ ำ�้ อนุ่ เพอ่ื ใหก้ าวไหมออ่ นตวั กอ่ นนำ� มากรอ กรอเสน้ ไหมแบบสาน(diamond cross) มเี สน้ รอบวง 135-155 เซนตเิ มตร มนี ำ้� หนกั เสน้ ไหม 80-100 กรมั ตอ่ เขด็ ทำ� ไพโดยแบง่ ใจไหมอยา่ งนอ้ ย 6 ชว่ ง เพอ่ื ชว่ ย ไม่ใหเ้ สน้ พันกนั เมอ่ื ลอกกาวและยอ้ มสี เข็ดไหมทท่ี ำ� เข็ดเสร็จแล้วนำ� ไปผึง่ ให้แหง้ ในทร่ี ม่ ก่อนน�ำไปเก็บ 8) การเกบ็ รกั ษา ต้องเก็บเสน้ ไหมไว้ในท่ีแห้ง สะอาด ปลอดภยั จากการเข้าท�ำลายของแมลง และหนไู ด้ พรอ้ มทงั้ ยงั สามารถควบคมุ สภาพแวดลอ้ ม ไดแ้ ก่ แสงแดด อณุ หภมู ิ และความชน้ื ได้ แยกประเภท และขนาดเสน้ ไหมให้เปน็ สดั ส่วนชัดเจน 9) บรรจภุ ณั ฑ์ เส้นไหมต้องบรรจใุ นวัสดุทีม่ ีคณุ ภาพปอ้ งกันการเขา้ ทำ� ลายของแมลง ทนทาน ตอ่ การขนสง่ และผลกระทบจากกลนิ่ สแี ละสง่ิ แปลกปลอมจากภายนอก และสามารถปอ้ งกนั ความเสยี หาย ที่อาจเกิดข้ึนระหวา่ งการขนส่ง
มาตรฐานหม่อนไหม 3.2.3 มาตรฐานเส้นไหมผลติ ภณั ฑ์ชมุ ชน เส้นไหม (มผช. 570/2547) มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนฉบับน้ีเป็นมาตรฐานสมัครใจท่ีประกาศโดยอาศัยอ�ำนาจตาม พระราชบญั ญตั มิ าตรฐานผลติ ภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรม พ.ศ. 2511 ซง่ึ แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั มิ าตรฐาน ผลติ ภณั ฑ์อตุ สาหกรรม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2548 เพอ่ื ให้เป็นมาตรฐานทีใ่ ช้ในการรบั รองเสน้ ไหมทีไ่ ด้จากการ สาวดว้ ยมอื หรอื ใชเ้ ครอ่ื งสาวไหมของเกษตรกรและชมุ ชนตามโครงการหนงึ่ ตำ� บลหนง่ึ ผลติ ภณั ฑ์ ตามประกาศ ของสำ� นกั งานมาตรฐานผลิตภณั ฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอตุ สาหกรรม 3.2.3.1 ประเภทของเสน้ ไหม ตามมาตรฐานผลติ ภัณฑ์ชุมชน (มผช. 570/2547) ฉบบั น้ี ไดแ้ บ่งประเภทของเสน้ ไหม ออกเปน็ 4 ประเภท ตามกรรมวิธีการผลิตเส้นไหม(การสาวไหม) ดังน้ี (1) เส้นไหมเปลือกนอก หมายถึง เส้นไหมท่สี าวจากเปลือกรงั ไหม อาจมขี ไี้ หมหรือ ป่มุ ปมตดิ อยบู่ า้ ง (2) เส้นไหมน้อย หมายถึง เส้นไหมที่สาวภายหลังการสาวไหมเปลือกนอกออกแล้ว และได้เสน้ ไหมขนาดเล็กเรียบอยา่ งสม่�ำเสมอ (3) เส้นไหมดักแด้ หมายถึง เส้นไหมที่สาวภายหลังการสาวไหมน้อยออกแล้วจนถึง ตวั ดกั แด้ และได้เส้นไหมท่อี าจมขี ้ไี หม หรอื ปุม่ ปมตดิ อยู่บา้ ง (4) เส้นไหมรวม หมายถงึ เสน้ ไหมท่ีสาวจากเปลือกรังไหมจนถงึ ตัวดกั แด 42 3.2.3.2 คุณลักษณะทวั่ ไป 1) เสน้ ไหมภายใต้การรบั รองมาตรฐาน มผช.570/2547 ตอ้ งอยูใ่ นสภาพทเี่ รียบรอ้ ย ตลอดท้งั ไจโดยมัดไจละไมน่ ้อยกว่า 4 จุด และมีความเหนยี วไมข่ าดงา่ ย เมอื่ ตรวจ สอบโดยคณะกรรมการตรวจสอบแลว้ ผลการตรวจสอบของผู้ตรวจสอบแต่ละคน ตอ้ งไม่มลี ักษณะใดลกั ษณะหน่งึ ไมผ่ ่าน 2) เสน้ ไหมตอ้ งเปน็ เสน้ ไหมแท้ 3) หากมกี ารบรรจุ ใหบ้ รรจเุ สน้ ไหมในหบี หอ่ ทสี่ ะอาด แหง้ เรยี บรอ้ ย สามารถปอ้ งกนั ความเสียหายที่อาจเกิดขนึ้ กบั เส้นไหมได้ 4) น�้ำหนกั สทุ ธิของเสน้ ไหมในแต่ละภาชนะบรรจตุ ้องไมน่ ้อยกว่าทร่ี ะบไุ ว้ที่ฉลาก 3.2.3.3 การทดสอบ 1) การทดสอบลักษณะทั่วไป ให้แต่งตั้งคณะผู้ตรวจสอบ ประกอบด้วยผู้ที่มีความ ช�ำนาญในการตรวจสอบเส้นไหมอย่างน้อย ๓ คนแต่ละคนจะแยกกันตรวจโดย อสิ ระ ผลการตรวจสอบของแตล่ ะลกั ษณะให้ตดั สนิ วา่ ผา่ นหรอื ไม่ผ่านเทา่ น้ัน 2) การทดสอบเส้นไหม เมื่อน�ำไปเผาไฟแล้วสังเกตผลที่เกิดตามรายละเอียดใน มาตรฐาน (ภาคผนวก..)
กรมหม่อนไหม มาตรฐานผา้ ไหม 43 ผ้าไหมไทยมีคุณค่ามากกว่าการเป็นสิ่งทอส�ำหรับเคร่ืองแต่งกาย หรือเป็นสินค้าท่ี ใช้ในการตกแต่งภายบ้าน เน่ืองจากกรรมวิธีในการผลิตผ้าไหมไทยนั้นเกิดจากภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ได้รับการสั่งสมกันมาหลายช่ัวอายุคนและได้ถ่ายทอดให้แก่ลูกหลานจากรุ่นสู่รุ่นมานานนับหลาย ร้อยปีซ่ึงภูมิปัญญาเหล่าน้ีเกิดจากประสบการณ์ของผู้ผลิตผสมผสานอย่างกลมกลืนกับประเพณี วฒั นธรรม และวถิ ีชีวติ ของคนในชมุ ชน จงึ ทำ� ใหผ้ า้ ไหมไทยถอื ได้ว่าเป็นงานหตั ถศลิ ปบ์ นผนื ผา้ ท่ี มคี วามงดงามและสามารถบง่ ชค้ี วามเปน็ มา และชาติพันธุข์ องชมุ ชนทีผ่ ลิตได้ ลักษณะผ้าไหมไทย ที่ผลิตกม็ ีความแตกต่างหลากหลาย ท้ังในดา้ นคณุ ภาพมาตรฐาน และความสวยงาม การจดั ชั้น คุณภาพผ้าไหมไทยเป็นสิ่งท่ีท้าทาย เนื่องจากในบางสถานการณ์ราคาผ้าไหมไทยที่ผู้บริโภคซื้อ ไม่สามารถสะท้อนคุณภาพของผ้าไหมได้โดยตรง ด้วยเหตุผลที่ผ้าไหมไทยมีคุณค่ามากกว่าส่ิงทอ ผู้บริโภคบางกลุ่มให้ความสนใจกับกรรมวิธีการผลิตที่เป็นภูมิปัญญาท้องถ่ิน กรรมวิธีการผลิต ทซ่ี บั ซอ้ นทำ� ใหส้ นิ คา้ มคี วามเปน็ เอกลกั ษณส์ งู ทำ� ใหค้ ณุ สมบตั เิ หลา่ นม้ี คี วามสำ� คญั มากกวา่ คณุ ภาพ มาตรฐานสินค้า อย่างไรก็ตามโดยท่ัวไปการจัดท�ำคุณภาพมาตรฐานผ้าไหมไทยยังมีความส�ำคัญ อยา่ งยงิ่ ในการทจี่ ะตอ้ งกำ� หนดเงอ่ื นไขและ คณุ สมบตั ขิ องผา้ ไหมไทยในแตล่ ะเงอื่ นไขและประเภท เพอ่ื ใหเ้ กดิ มาตรฐานกลางสำ� หรบั ใชเ้ ปน็ แนวทางในการปฏบิ ตั ขิ องผผู้ ลติ ในขณะเดยี วกส็ ามารถสรา้ ง ความเข้าใจท่ีตรงกันของผู้ผลิตและผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างในการส่งออกผ้าไหมไทยไปยังตลาด ต่างประเทศจ�ำเป็นอย่างยิ่งท่ีต้องมีการก�ำหนดและจัดชั้นคุณภาพผ้าไหมเพื่อให้เกิดความเข้าใจ อันดี และใช้เป็นเง่ือนไขและข้อก�ำหนดในการตรวจสอบเม่ือเกิดข้อพิพาทของท้ังสองฝ่าย อีกท้ัง ยังสรา้ งความมนั่ ใจให้แกล่ ูกค้าทีจ่ ะได้รับสนิ คา้ ตรงตามทตี่ กลงกันไว้
มาตรฐานหม่อนไหม การรับรองคุณภาพมาตรฐานผ้าไหมไทยนั้นมีความแตกต่างกันตามความต้องการของลูกค้า และวัตถุประสงค์ ชนิดผ้าไหมและหน่วยงานผู้ก�ำหนดคุณภาพมาตรฐาน ดังนั้นในการก�ำหนดคุณภาพ มาตรฐานแตล่ ะประเภทจะตอ้ งกำ� หนดคำ� นยิ ามศพั ทต์ า่ งๆทเี่ กยี่ วขอ้ งเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจตรงกนั เนอื่ งจาก ผา้ ไหมไทยอยู่ภายใต้สิง่ ทอ กอ่ นปี พ.ศ. 2552 การก�ำหนดคุณภาพมาตรฐานผ้าไหมอยู่ภายใต้การกำ� กบั ดแู ล ของกระทรวงอตุ สาหกรรม แตห่ ลงั จาก วนั ที่ 4 ธนั วาคม พ.ศ. 2552 กรมหมอ่ นไหมไดถ้ กู จดั ตงั้ ขน้ึ เปน็ หนว่ ย งาน ภายใตก้ ารกำ� กบั ดแู ลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใตพ้ ระราชดำ� รขิ องสมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ์ิ พระบรมราชินนี าถ เพือ่ ดูแลงานดา้ นหม่อนไหมทั้งระบบรวมถึง การอนุรกั ษ์ และการจดั ท�ำมาตรฐาน และ เป็นหน่วยงานที่ท�ำหน้าที่ในการก�ำหนดและควบคุมคุณภาพมาตรฐานผ้าไหมไทยอยู่ภายใต้การดูแลของ กรมหม่อนไหมเพิ่มขึ้นอีกหน่ึงหน่วยงาน คุณภาพมาตรฐานที่ใช้กับผ้าไหมไทยเป็นมาตรฐานสมัครใจ ซงึ่ มาตรฐานทีเ่ กย่ี วข้องกบั ผ้าไหมไทยมดี งั นี้ 4.1 มาตรฐานผลิตภณั ฑอ์ ุตสาหกรรมผา้ ไหมไทยมาตรฐาน เลขท่ี มอก.179-2519 4.2 มาตรฐานสินค้าหนึ่งตำ� บลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) 4.3 มาตรฐานเครือ่ งหมายรับรองผลติ ภณั ฑผ์ า้ ไหมไทยตรานกยงู พระราชทาน 4.1 มาตรฐานผลิตภณั ฑอ์ ุตสาหกรรมผ้าไหมไทยมาตรฐาน เลขท่ี มอก.179-2519 44 มาตรฐานผลติ ภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรมผา้ ไหมไทยมาตรฐาน มอก.179-2519 เป็นมาตรฐานท่ัวไป(สมัครใจ) ที่ประกาศโดยกระทรวงอุตสาหกรรม เม่ือ ปี พ.ศ. 2519 ท่ีประกาศโดยอาศัยอ�ำนาจตพระราชบัญญตั มิ าตรฐานผลติ ภณั ฑ์ อตุ สาหกรรม พ.ศ. 2511 ซงึ่ แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั มิ าตรฐานผลติ ภณั ฑ์ อตุ สาหกรรม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2548 มาตรฐานผ้าไหมฉบับนม้ี วี ตั ถุประสงค์หลัก เพ่ือใช้เป็นเคร่ืองหมายมาตรฐานรับรองผ้าไหมไทยส�ำหรับผ้าไหมท่ีส่งออก ของสมาคมไหมไทย และคณะกรรมการสง่ เสรมิ สนิ คา้ ไหมไทย มอก. 179-2519 4.1.1 ขอบขา่ ย ภาพที่ 4.1 แสดงตราสัญลักษณ์ ตามมาตรฐาน มอก.179-2519 ฉบับน้ี ใช้ในการกำ� หนดมาตรฐาน เคร่ืองหมายรับรอง ผา้ ไหมไทย มอก.179- เพื่อการรับรองผ้าไหมไทยท่ีทอด้วยมือและทอด้วยเครื่องจักร ซ่ึงเป็นมาตรฐาน 2519 ทั่วไป(สมัครใจ) ผ้าไหมไทยท่ีได้รับเครื่องหมาย มอก. 179-2519 แสดงถึง ผา้ ไหมน้นั มคี ณุ ภาพมาตรฐานตามข้อกำ� นดของผลิตภณั ฑ์นนั้ ๆ ท�ำใหผ้ า้ ไหมไทย ทไี่ ด้รับการรบั รองตามมาตรฐานนมี้ ีความได้เปรยี บกวา่ คูแ่ ขง่ ผ้าไหมทีไ่ ดร้ ับการ รบั รองตามมาตรฐานฉบบั นผี้ ผู้ ลติ จะตอ้ งมขี อ้ ความระบใุ หช้ ดั เจนถงึ กระบวนการ ทอผ้าไหมที่ริมผ้าทุกระยะหนึ่งเมตรตลอดท้ังผืนด้วยข้อความ ผ้าไหมไทย ทอดว้ ยมอื (Thai silk hand-woven in Thailand with 100 % pure silk) หรือ ผ้าไหมไทยทอดว้ ยเคร่อื งจกั ร (Thai silk machine-woven in Thailand with 100 % pure silk) ให้ชัดเจน
กรมหมอ่ นไหม 4.1.2 การจ�ำแนกมาตรฐานผ้าไหมไทย ภาพที่ 4.2 แสดงผ้าไหมทอด้วย มาตรฐาน มอก.179-2519 ฉบับนี้ได้จ�ำแนก เครอ่ื งจกั รตามมาตรฐาน คณุ ภาพมาตรฐานผ้าไหมไทยทง้ั สองชนดิ คอื ผา้ ไหมไทย มอก. 179-2519 ทท่ี อดว้ ยมอื และผา้ ไหมทท่ี อดว้ ยเครอื่ งจกั ร โดยการจำ� แนก คุณภาพมาตรฐานผ้าไหมไทยของคุณสมบัติเนื้อผ้าไหม ตามน้�ำหนักของผ้าไหม ผ้าไหมไทยที่ขอรับรองมาตรฐาน สว่ นใหญจ่ ะเปน็ ผ้าไหมท่ีทอดว้ ยเครือ่ งจักร สำ� หรับผ้าไหม ทอมอื จะเปน็ ผา้ ไหมทมี่ เี นอ้ื หนาและใชเ้ สน้ ไหมทส่ี าวดว้ ยมอื (ไหมไทยพน้ื เมอื ง) ตามมาตรฐานฉบบั นจ้ี �ำแนกมาตรฐาน ผ้าไหมไทย เปน็ 8 ชนดิ ตามน้ำ� หนักผา้ ไหมตอ่ หนงึ่ ตาราง เมตรและสว่ นประกอบของผ้าไหม โดยมรี ายละเอียด ดงั น้ี 4.1.2.1 ผ้าไหมไทยชนิดบางมากพิเศษ (Sheer weight) หมายถึง ผ้าไหมไทยท่ีทอ 45 โดยใชเ้ ส้นไหมยนื ท่มี ขี นาดระหวา่ ง 40 ถึงน้อยกวา่ 60 ดิเนียร์ โดยใช้เส้นยืนจำ� นวนไม่น้อยกว่า 34 เส้น ตอ่ เซนตเิ มตร น้ำ� หนกั ผ้าไหม ระหวา่ ง 20 ถึง 50 กรัมต่อหนึ่งตารางเมตร ตอ้ งเปน็ ไหมแท้ ท่มี ีความยาว ของผ้าแต่ละพับหรือแต่ละม้วนให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย แต่ต้องไม่น้อยกว่าท่ีระบุไว้ที่ผ้า ความกวา้ งของผา้ ใหเ้ ปน็ ไปตามขอ้ ตกลงระหวา่ งผซู้ อื้ กบั ผขู้ าย และความคลาดเคลอ่ื นตอ้ งเปน็ ไปตามทก่ี ำ� หนด ผ้าแต่ละพับหรือแต่ละม้วน ต้องไม่น้อยกว่าหรือไม่เกินร้อยละ ของขนาดท่ีระบุไว้ท่ีผ้า ผ้าทุกช้ินต้องอยู่ ในสภาพเรียบร้อย ไม่เปรอะเปือ้ น ไม่ชำ� รดุ และมสี ีสม�ำ่ เสมอตามสภาพหรอื ลกั ษณะของผ้าไหมไทยตลอด ทง้ั ผนื 4.1.2.2 ผ้าไหมไทยชนิดบางมาก (Light weight) หมายถึง ผ้าไหมไทยที่ทอ โดยใช้ เสน้ ไหมยนื ท่ีมีขนาดระหว่าง 51 ถึงน้อยกว่า 85 ดิเนียร์ โดยใช้เส้นยืนจ�ำนวนไม่น้อยกว่า 32 เส้น ต่อเซนตเิ มตร น้�ำหนกั ผ้าไหม ระหวา่ ง 60 ถงึ 70 กรัมต่อหนึ่งตารางเมตร ต้องเปน็ ไหมแท้ที่มคี วามยาว ของผ้าแต่ละพับหรือแต่ละม้วนให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างผู้ซ้ือผู้ขาย แต่ต้องไม่น้อยกว่าท่ีระบุไว้ท่ีผ้า ความกวา้ งของผา้ ใหเ้ ปน็ ไปตามขอ้ ตกลงระหวา่ งผซู้ อื้ กบั ผขู้ าย และความคลาดเคลอื่ นตอ้ งเปน็ ไปตามทก่ี ำ� หนด ผ้าแต่ละพับหรือแต่ละม้วน ต้องไม่น้อยกว่าหรือไม่เกินร้อยละของขนาดท่ีระบุไว้ท่ีผ้า ผ้าทุกชิ้นต้องอยู่ใน สภาพเรยี บรอ้ ย ไมเ่ ปรอะเปอ้ื น ไมช่ ำ� รดุ และมสี สี มำ�่ เสมอตามสภาพหรอื ลกั ษณะของผา้ ไหมไทยตลอดทง้ั ผนื 4.1.2.3 ผา้ ไหมไทยชนิดบาง (Medium weight) หมายถงึ ผา้ ไหมไทยท่ีทอโดยใช้เสน้ ไหม ยืนท่มี ขี นาดระหว่าง 60 ถึงนอ้ ยกวา่ 80 ดเิ นียร์ โดยใชเ้ สน้ ยนื จำ� นวนไม่นอ้ ยกว่า 32 เสน้ ตอ่ เซนติเมตร สำ� หรบั ไหมอตุ สาหกรรม และใชเ้ สน้ ไหมยืนทีม่ ขี นาดระหวา่ ง 120 ถงึ นอ้ ยกวา่ 200 ดเิ นียร์ โดยใชเ้ ส้นยนื จ�ำนวนไม่น้อยกวา่ 24 เส้นตอ่ เซนติเมตร ส�ำหรบั ผ้าไหมท่ใี ช้เส้นไหมสาวมือ(เส้นไหมไทยพ้นื บ้าน) โดยผ้า ทที่ อทกุ ชนดิ ตอ้ งมีนำ�้ หนกั ผา้ ไหมระหวา่ ง 86 ถงึ 120 กรมั ต่อหนึง่ ตารางเมตร ตอ้ งเปน็ ไหมแท้ ที่มีความ ยาวของผ้าแต่ละพับหรือแต่ละม้วนให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย แต่ต้องไม่น้อยกว่าที่ระบุ ไว้ท่ีผ้า ความกว้างของผ้าให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย และความคลาดเคล่ือนต้องเป็นไป ตามทก่ี �ำหนด ผ้าแต่ละพับหรือแต่ละมว้ น ต้องไมน่ อ้ ยกวา่ หรือไมเ่ กนิ ร้อยละ ของขนาดท่รี ะบุไวท้ ีผ่ ้า ผ้า ทกุ ชิน้ ตอ้ งอย่ใู นสภาพเรยี บรอ้ ย ไมเ่ ปรอะเปอ้ื น ไม่ชำ� รุด และมสี ีสมำ�่ เสมอตามสภาพหรอื ลกั ษณะของผ้า ไหมไทยตลอดท้งั ผืน
มาตรฐานหม่อนไหม 4.1.2.4 ผา้ ไหมไทยชนดิ หนา (Heavy weight) หมายถึง ผ้าไหมไทยที่ทอโดยใชเ้ ส้นไหมยืน ท่มี ขี นาดระหวา่ ง 80 ถึงนอ้ ยกว่า 120 ดเิ นียร์ โดยใชเ้ สน้ ยืนจ�ำนวนไม่น้อยกว่า 32 เส้นตอ่ เซนติเมตร ส�ำหรับไหมอุตสาหกรรม และ ใช้เส้นไหมยนื ท่ีมีขนาดไมน่ อ้ ยกวา่ 200 ดิเนียร์ โดยใช้เสน้ ยืนจำ� นวนไมน่ อ้ ย กวา่ 20 เสน้ ตอ่ เซนตเิ มตร สำ� หรบั ผา้ ไหมทใ่ี ชเ้ สน้ ไหมสาวมอื (เสน้ ไหมไทยพน้ื บา้ น) โดยผา้ ทที่ อทกุ ชนดิ ตอ้ ง มีนำ�้ หนกั ผา้ ไหมระหวา่ ง 121 ถงึ 179 กรมั ตอ่ หนงึ่ ตารางเมตร ตอ้ งเปน็ ไหมแท้ ทม่ี คี วามยาวของผา้ แตล่ ะพบั หรอื แตล่ ะมว้ นให้เป็นไปตามขอ้ ตกลงระหว่างผู้ซ้อื ผูข้ าย แตต่ ้องไม่นอ้ ยกวา่ ทร่ี ะบไุ ว้ท่ผี า้ ความกว้างของผา้ ให้เป็นไปตามขอ้ ตกลงระหวา่ งผซู้ ือ้ กับผู้ขาย และความคลาดเคลื่อนตอ้ งเป็นไปตามทกี่ ำ� หนด ผา้ แตล่ ะพับ หรอื แตล่ ะมว้ น ตอ้ งไมน่ อ้ ยกวา่ หรอื ไมเ่ กนิ รอ้ ยละ ของขนาดทร่ี ะบไุ วท้ ผ่ี า้ ผา้ ทกุ ชน้ิ ตอ้ งอยใู่ นสภาพเรยี บรอ้ ย ไมเ่ ปรอะเปอ้ื น ไมช่ �ำรุด และมีสสี ม่�ำเสมอตามสภาพหรอื ลกั ษณะของผ้าไหมไทยตลอดท้ังผืน 4.1.2.5 ผา้ ไหมไทยชนดิ หนามาก (Extra heavy weight) หมายถงึ ผา้ ไหมไทยที่ทอโดย ใชเ้ ส้นไหมยนื ท่ีมีขนาดระหว่าง 80 ถงึ นอ้ ยกวา่ 120 ดเิ นยี ร์ โดยใชเ้ ส้นยืนจำ� นวนไมน่ ้อยกว่า 32 เสน้ ต่อเซนตเิ มตรสำ� หรบั ไหมอตุ สาหกรรม และใชเ้ สน้ ไหมยนื ทม่ี ขี นาดระหวา่ ง 120 ถงึ นอ้ ยกวา่ 200 ดเิ นยี ร์ โดยใชเ้ ส้นยืนจ�ำนวนไม่น้อยกว่า 20 เส้นต่อเซนติเมตร ส�ำหรับผ้าไหมที่ใช้เส้นไหมสาวมือ(เส้นไหมไทย พ้นื บ้าน) โดยผ้าท่ที อทุกชนดิ ต้องมีน้ำ� หนักผ้าไหมระหวา่ ง 180 ถงึ 275 กรัมตอ่ หน่งึ ตารางเมตร ตอ้ งเป็น ไหมแทท้ มี่ คี วามยาวของผา้ แตล่ ะพบั หรอื แตล่ ะมว้ นใหเ้ ปน็ ไปตามขอ้ ตกลงระหวา่ งผซู้ อื้ ผขู้ าย แตต่ อ้ งไมน่ อ้ ย กวา่ ทรี่ ะบไุ วท้ ผี่ า้ ความกวา้ งของผา้ ใหเ้ ปน็ ไปตามขอ้ ตกลงระหวา่ งผซู้ อ้ื กบั ผขู้ าย และความคลาดเคลอ่ื นตอ้ ง เปน็ ไปตามท่กี ำ� หนด ผา้ แตล่ ะพบั หรือแต่ละมว้ น ตอ้ งไมน่ อ้ ยกวา่ หรอื ไม่เกินรอ้ ยละ ของขนาดท่ีระบุไว้ทีผ่ ้า 46 ผ้าทุกช้ินต้องอยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่เปรอะเปื้อน ไม่ช�ำรุด และมีสีสม่�ำเสมอตามสภาพหรือลักษณะ ของผ้าไหมไทยตลอดท้ังผืน 4.1.2.6 ผ้าไหมชนิดหนาพิเศษ (Drapery weight) หมายถึง ผา้ ไหมไทยท่ีทอโดยใชเ้ ส้นไหม ยนื ที่มขี นาดระหว่าง 80 ถงึ นอ้ ยกวา่ 120 ดิเนยี ร์ โดยใชเ้ ส้นยืนจำ� นวนไมน่ อ้ ยกว่า 20 เสน้ ต่อเซนติเมตร ผ้าทท่ี อต้องมนี ้ำ� หนกั ผ้าไหมระหว่าง 180 ถึง 275 กรัมตอ่ หนึง่ ตารางเมตร ต้องเปน็ ไหมแท้ ท่มี ีความยาว ของผ้าแต่ละพับหรือแต่ละม้วนให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างผู้ซ้ือผู้ขาย แต่ต้องไม่น้อยกว่าที่ระบุไว้ที่ผ้า ความกวา้ งของผา้ ใหเ้ ปน็ ไปตามขอ้ ตกลงระหวา่ งผซู้ อื้ กบั ผขู้ าย และความคลาดเคลอ่ื นตอ้ งเปน็ ไปตามทกี่ ำ� หนด ผ้าแต่ละพับหรือแต่ละม้วน ต้องไม่น้อยกว่าหรือไม่เกินร้อยละ ของขนาดที่ระบุไว้ที่ผ้า ผ้าทุกชิ้นต้อง อยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่เปรอะเปื้อน ไม่ช�ำรุด และมีสีสม�่ำเสมอตามสภาพหรือลักษณะของผ้าไหมไทย ตลอดทั้งผืน 4.1.2.7 ผ้าไหมชนิดหนามากพิเศษ (Upholstery weight) หมายถึง ผ้าไหมไทยที่ทอ โดยใช้เสน้ ไหมยืนที่มขี นาดระหวา่ ง 160 ถงึ นอ้ ยกว่า 200 ดิเนยี ร์ โดยใช้เส้นยืนจำ� นวนไม่น้อยกว่า 12 เส้น ต่อเซนตเิ มตร โดยผา้ ทที่ อดว้ ยเสน้ ไหมทส่ี าวดว้ ยมอื (ไหมพนื้ เมอื ง) ตอ้ งมนี ำ�้ หนกั ผา้ ไหมมากกวา่ 239 กรมั ตอ่ หนงึ่ ตารางเมตร ต้องเป็นไหมแท้ ที่มีความยาวของผ้าแต่ละพับหรือแต่ละม้วนให้เป็นไปตามข้อตกลง ระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย แต่ต้องไม่น้อยกว่าท่ีระบุไว้ที่ผ้า ความกว้างของผ้าให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อ กับผ้ขู าย และความคลาดเคลอ่ื นต้องเป็นไปตามที่ก�ำหนด ผา้ แตล่ ะพบั หรือแตล่ ะม้วน ต้องไมน่ ้อยกว่าหรอื ไมเ่ กนิ รอ้ ยละ ของขนาดทรี่ ะบไุ วท้ ผี่ า้ ผา้ ทกุ ชนิ้ ตอ้ งอยใู่ นสภาพเรยี บรอ้ ย ไมเ่ ปรอะเปอ้ื น ไมช่ ำ� รดุ และมสี ี สมำ�่ เสมอตามสภาพหรือลกั ษณะของผา้ ไหมไทยตลอดทง้ั ผนื
Search