Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การศึกษาประสิทธิผลและความปลอดภัยของพืชกระท่อมในการรักษาโรค

การศึกษาประสิทธิผลและความปลอดภัยของพืชกระท่อมในการรักษาโรค

Description: การศึกษาประสิทธิผลและความปลอดภัยของพืชกระท่อมในการรักษาโรค

Search

Read the Text Version

การศึกษาประสทิ ธผิ ลและความปลอดภยั ของพชื กระทอ่ มในการรกั ษาโรค Efficacy and Safety of Mitragyna speciosa in Patient Treatment ประจาปงี บประมาณ 2558 จัดทาโดย สถาบนั วจิ ยั การแพทย์แผนไทย กรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสุข

ก กิตตกิ รรมประกาศ การศึกษาวิจัยฉบบั นสี้ าเร็จลุลวงไปด้วยดีเป็นผลมาจากการได้รับความร่วมมือจากหมอพนื้ บ้านภาคใต้ ท่ีได้อานวยความสะดวกและเป็นกันเองในการเข้าไปสัมภาษณ์ สังเกต ขอบคุณสานักงานสาธารณสุขจังหวัด ท้ัง 8 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดสตูล จังหวัดพัทลุง จังหวัดสงขลา จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดชุมพร จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดตรัง และจังหวัดกระบ่ี ท่ีได้ให้ข้อมูลและช่วยประสานพื้นท่ีในการเก็บข้อมูลในคร้ังน้ี นอกจากนี้ยังได้รับความอนุเคราะห์จากหมอพื้นบ้านที่ได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่การวิจัย และยังได้อานวย ความสะดวกในการลงพื้นที่เก็บข้อมูลในชุมชน และขอขอบคุณผู้ป่วยท่ีมารับบริการทุกท่าน ท่ียินดีให้ คณะผู้วิจัยได้สัมภาษณ์ข้อมูลส่วนตัว ความคิดเห็นต่อการมารับบริการ ผลการรักษาตลอดจนปัญหาสุขภาพ อ่นื ๆ ที่เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ต่องานวิจัย และประโยชน์ต่อประชาชนอ่ืนๆ ในอนาคต คณะผู้วิจัยขอขอบคุณ ทา่ นเป็นอยา่ งสงู สุดท้ายนี้งานวิจัยจะไม่สามารถดาเนินการไดถ้ ้าขาดการสนับสนุนงบดาเนินงานสถาบันวิจัยการแพทย์ แผนไทย จากกรมพัฒนาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลือก กระทรวงสาธารณสขุ คณะผวู้ จิ ยั 2558

ข บทคัดยอ่ การศึกษาประสิทธิผลและความปลอดภัยของพืชกระท่อมในการรักษาโรค โดยมีวัตถุประสงค์ศึกษา รวบรวมตารับยาไทยหรือตารับยาหมอพ้ืนบ้านภาคใต้ที่มีพืชกระท่อมเป็นส่วนประกอบ ในการรักษาโรค และประสบการณ์หมอพ้ืนบ้านท่ีใช้พืชกระท่อมในการรักษาโรค การศึกษาน้ีเป็นการวิจัยแบบผสม คอื การวิจัยเชิงคุณภาพโดยการรวบรวมตารับยาหมอพื้นบา้ นที่มีพชื กระทอ่ มเป็นสว่ นประกอบในการรักษาโรค ได้แก่ การศึกษาภาคสนามจากกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจง การสัมภาษณ์โดยแบบสอบถามท่ีกาหนดขึ้น การสมั ภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) และการสนทนากลมุ่ (Focus group discussion) และการศึกษา ข้อมูลจากหนังสือหรือเอกสาร โดยเก็บรวบรวมข้อมูลท่ีเก่ียวข้องกับการศึกษา การรายงานเร่ืองพืชกระท่อม เช่น งานวิจัยต่างๆ และทาการประมวลผลข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล สังเคราะห์เพื่อโต้แย้งหรือสนับสนุน ในประเด็นท่เี ก่ียวข้อง จากประสบการณ์การใช้พืชกระท่อมในการรักษาโรคของหมอพ้ืนบ้านท่ีมีการใช้พืชกระท่อมเป็นยา หรือตารับยารักษาโรคจริง จากพืน้ ที่ภาคใต้ 8 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดสตูล จังหวัดพัทลงุ จงั หวัดสงขลา จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดชุมพร จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดตรัง และจังหวัดกระบี่ โดยเลือกหมอ พ้ืนบ้านท่ีมีประสบการณ์ในการรักษาโรคมากกว่า 10 ปี ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้นจานวน 39 ราย (คน) พบวา่ จากการสารวจหมอพน้ื บ้านที่มีพืชกระท่อมเป็นสว่ นประกอบประเภทยาเด่ียว/ยาตารับ พบว่าประเภทยา เดี่ยวพบมากกว่ายาตารับ จาก 108 รายการ พบยาเดี่ยว 64 และยาตารับเพียง 44 รายการ แสดงให้เห็นว่า หมอพ้ืนบ้านท่ียังใช้ยาตารับที่มีพืชกระท่อมเป็นส่วนประกอบในการรักษาโรคยังมีอยู่จริงแต่ค่อนข้างน้อยกว่า ท่ีหมอพื้นบ้านจะใช้พืชกระท่อมในลักษณะยาเด่ียว นอกจากน้ันหมอพื้นบ้านยังใช้เพื่อช่วยลดระดับน้าตาล ในเลือด ท้องเสีย แก้ไอ ช่วยสมานแผล/ห้ามเลือด แก้ปวดท้อง แก้ปวดเม่ือย 6 อาการแรกท่ีกล่าวไว้ข้างต้น และหมอพ้ืนบ้าน 7 ราย (คน) มีข้อมูลท่ีแสดงให้เห็นว่าหมอพื้นบ้านมีทัศนคติคล้ายกันว่าพืชกระท่อมมีรสยา ที่มีลักษณะรสฝาด ซึ่งรสยาก็แปรผันไปตามสรรพคุณ ที่ใช้รักษาโรคของหมอพ้ืนบ้านแต่ละท่าน ท่านมคี วามเหน็ วา่ “กระท่อมถือเป็นพชื เสพตดิ ชนดิ หนึ่งก็จริง แต่ควรนำมำใช้ ในวงกำรทำงกำรแพทย์เท่ำนั้น ควรมีกำรควบคุมปริมำณ และพื้นท่ีกำรเพำะปลูกให้ชัดเจนมีกำรข้ึนทะเบียนให้ถูกต้อง” เน่ืองจากท่าน มีความเห็นว่า “พืชกระท่อมน้ันสำมำรถใช้แทนยำแก้ปวดในปัจจุบันได้” ในเร่ืองประสิทธิภาพการใช้สมุนไพร พืชใบกระท่อมในการรักษาโรคโรคต่างๆ หมอพื้นบ้านส่วนใหญ่เกือบ 100 % มีความพึงพอใจต่อการ ใชพ้ ืชกระท่อมอยูเ่ นือ่ งจากสามารถรักษาโรคดังกล่าวให้หายไดข้ ้ึนอยู่กบั ประสบการณ์ของแตล่ ะคนท่ไี ด้รับการ สบื ทอด

สารบญั ค เร่อื ง หน้า กิตตกิ รรมประกาศ ก บทคัดย่อ ข สารบัญ ค-ง บทที่ 1 บทนา 1 1.1 ความสาคญั และที่มาของปัญหา 3 1.2 วตั ถุประสงค์ 3 1.3 ระเบียบวธิ ีวิจัย 3 1.4 วิธกี ารดาเนินการวจิ ยั 3 1.5 ขอบเขตการศกึ ษาวจิ ัย 3 1.6 ประโยชนท์ คี่ าดวา่ จะได้รับ 4-6 บทท่ี 2 ทบทวนวรรณกรรมที่เก่ยี วข้อง 2.1 กระทอ่ ม 6-8 2.1.1 ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ 8-9 2.1.2 ประโยชนท์ างยา 9-12 2.1.3 สารสาคญั 13-15 2.2 กฎหมายพชื กระทอ่ ม 16-19 2.3 พืชกระทอ่ มในมิตวิ ฒั นธรรมและชุมชน 2.4 องค์ความรู้เก่ียวกับพืชกระทอ่ มจากตารายาไทยและแพทย์พื้นบ้าน 2.5 การใช้พชื กระทอ่ มในกลุ่มหมอพืน้ บ้านและแพทย์แผนไทย 2.6 การพัฒนาองค์ความรูเ้ กีย่ วกับพืชกระทอ่ มในงานวิจัย

ง สารบญั (ต่อ) เร่อื ง หนา้ บทที่ 3 วธิ ีการดาเนนิ การวจิ ัย 3.1 การเลือกลงพ้นื ทศี่ กึ ษา 20 3.2 ระยะเวลาในการศกึ ษา 20 3.3 ระเบยี บวิธีวิจัย 20 3.4 ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ งทศ่ี กึ ษา 20 3.5 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู 20 ตอนท่ี 1 องคค์ วามรู้วธิ ีการใช้พชื กระท่อมในการรักษาโรคจากหมอพื้นบา้ น 21-24 ตอนท่ี 2 ประสบการณ์การใช้พืชกระท่อมในการรกั ษาโรคจากหมอพื้นบา้ น 24-30 ตอนที่ 3 ประสบการณผ์ ้ปู ่วยที่ใชพ้ ืชกระท่อมในการรกั ษาโรคจากหมอพื้นบา้ น 30-31 บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล 32-35 บทที่ 5 สรปุ อภปิ รายผลและข้อเสนอแนะ 36 5.1 สรปุ ผลการวจิ ัย 37 5.2 ข้อเสนอแนะ 38-39 40-41 บรรณานุกรม 41-47 ภาคผนวก 48-59 ภาคผนวก ก ภาพกิจกรรม ภาคผนวก ข แบบสัมภาษณ์โครงการวจิ ัยการศึกษาประสทิ ธผิ ล และความปลอดภัยของพชื กระทอ่ มในการรกั ษาโรค ภาคผนวก ค การจดั กลุม่ องค์ความรูก้ ารใช้พชื กระทอ่ มในการรกั ษาโรค ของหมอพืน้ บ้าน 8 จงั หวดั ภาคใต้

1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ควำมสำคญั และที่มำของปญั หำ กระท่อมเป็นไม้ยืนต้นมีถ่ินกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพำะประเทศไทยมำลำยู จนถึงเกำะนิวกนี ี ประเทศไทยพบมำกในพื้นทภ่ี ำคใตท้ ี่พบมี 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดก้ำนเส้นใบสีแดง และชนิดก้ำน เส้นใบสีเขียว ซ่ึงมีอยู่ทั่วไปชอบขึ้นในบริเวณป่ำดิบชื้น ริมลำธำร โดยส่วนใหญ่ขึ้นเองตำมธรรมชำติ โดยประเทศไทยนับเป็นประเทศแรกทปี่ ระกำศควบคุมกำรใช้พืชกระท่อม โดยตรำพระรำชบญั ญัตพิ ืชกระท่อม พ.ศ.2486 ซึ่งระบุกำรห้ำมปลูกและกำรครอบครอง รวมทั้งห้ำมจำหน่ำยและเสพใบกระท่ อมตั้งแต่ปี พ.ศ.2486 เป็นต้นมำ และต่อมำปี 2522 กระท่อมได้ถูกจัดให้เป็นพื ชเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ตำมพระรำชบัญญัติยำเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 (สำวิตรี อัษณำงค์กรชัย,2548) ทั้งๆที่ในขณะน้ันยังไม่มี ข้อมูลทำงด้ำนวิทยำศำสตร์กำรแพทย์ท่ียืนยันชัดเจนว่ำพืชกระท่อม มีผลทำให้เกิดกำรเสพติดเท่ำกับกัญชำ พืชฝิ่นหรือใบโคคำหรือไม่ โดยกฎหมำยควบคุมพืชกระท่อมมีผลประกำศใช้ต้ังวันที่ 3 สิงหำคม 2486 ได้มีเหตุผลประกอบร่ำงพระรำชบัญญัติไว้ว่ำด้วยกระท่อมเป็นใบพฤกษชำติชนิดหน่ึง ใบมีรสมึนเมำคล้ำยฝิ่น ปรำกฏว่ำประชำชนไทย นิยมเสพกันอย่ำงแพร่หลำยมำก กำรเสพใบกระท่อมเป็นกำรให้โทษแก่ร่ำงกำย โดยทำให้เกดิ กำรเสพติดและเกิดอำกำรมึนเมำ ท้องอืด เบอ่ื อำหำร เป็นโรคหัวใจอ่อนและโรคประสำท ตื่นเต้น แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปว่ำพืชกระท่อมควรอยู่ในสถำนะใด ควรมีบทบัญญัติบังคับห้ำมกำรปลูก กำรมีไว้ใน ครอบครอง กำรพำเข้ำ และส่งออกซ่ึงใบกระท่อม และส่วนต่ำงๆ ของต้นกระท่อมหรืออย่ำงไร ท้ังน้ีเพ่ือ คุ้มครองป้องกันให้ควำมปลอดภัยแก่ประชำชนให้เกิดผลดีต่อไป ปัจจุบันผลของกำรประกำศให้พืชกระท่อม เป็นวัตถุเสพติดและมีพระรำชบัญญัติบทลงโทษต่อคดีเกี่ยวกับพืชกระท่อมซึ่งเป็นบทบัญญัติทำงกฎหมำยของ ภำครัฐ ในกำรมีอำนำจท่ีจะควบคุมต่อผู้ใช้หรือผู้ละเมิดก็ตำม จำกกำรศึกษำข้อมูลกำรบริโภคใบกระท่อมใน ประเทศไทย พบว่ำ กลับไม่ได้ลดน้อยลงไม่วำ่ ดว้ ยจุดประสงค์ใดก็ตำม แม้ว่ำปัจจุบันได้มีบทบัญญัติหรือข้อห้ำมต่ำงๆ ของกำรใช้พืชกระท่อมมำกมำย แต่ก็พบว่ำยังมีหมอ พื้นบ้ำนยังใช้พืชกระท่อมเพื่อเป็นยำสมุนไพร รักษำโรคโดยหมอพื้นบ้ำนในชุมชน ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้เรียนรู้ ระบบกำรรกั ษำโรคจำกประสบกำรณต์ รงได้รบั กำรยอมรับเช่ือถือจำกชุมชนใหเ้ ป็นผู้ดแู ลสุขภำพ แม้ว่ำปัจจบุ ัน กำรแพทย์แผนปจั จบุ ันมีบทบำทอย่ำงสงู ในกำรดูแลสขุ ภำพประชำชนกต็ ำม โดยสมัยโบรำณเห็นได้วำ่ กระท่อม เป็นพืชท่ีใช้เข้ำเป็นตัวยำในตำรับพวกประเภทยำแก้ท้องเสียในสูตรยำของหมอพ้ืนบ้ำนหรือหมอแผนโบรำณ เช่น ตำรับยำประสะกระท่อม ทำให้คนเกิดอำกำร เคลิบเคล้ิม คล้ำยฤทธิ์ของ Cocaine และยังพบว่ำช่วยให้ ทำงำนได้นำนขึ้น ทนแดด ผิวหนังแดง เพรำะเลือด ไปเล้ียงผิวหนังมำกขึ้น กระท่อมจัดเป็นพืชเสพติดให้โทษ

2 ถ้ำรับประทำนใบกระท่อมในปริมำณมำกๆ จะทำให้มึนงง และคลื่นไส้อำเจียน (เมำกระท่อม) ในบำงรำย รับประทำนเพียง 3 ใบ ก็ทำให้เมำได้ และถ้ำหำกรับประทำนติดต่อกันนำนๆ จะทำให้ปำกแห้งคอแห้ง ปัสสำวะบ่อย ท้องผูก อุจจำระแข็งเป็นก้อนเล็กๆ นอนไม่หลับ น้ำหนักลด ผิวหนังดำเกรียมโดยเฉพำะบริเวณ โหนกแก้มท้ัง 2 ข้ำง บำงรำยอำจมีสภำพจิตสับสน เกิดภำวะร่ำงกำยผอมเกร็งได้ เห็นได้ว่ำใบกระท่อมเป็นพืช สมุนไพรท่ีมีฤทธ์ิระงับปวดได้พอสมควร แต่อำจทำให้เสพติดได้เนื่องจำกมีฤทธิ์ทำงเภสัชวิทยำคล้ำยมอร์ฟีน และถ้ำหยุดรับประทำนใบกระท่อมจะเกิดอำกำรถอนยำ คือ น้ำตำไหล น้ำมูกไหล ก้ำวร้ำวปวดเมื่อยตำมตัว และกล้ำมเน้ือแขนขำกระตุก นอกจำกน้ียังมีรำยงำนว่ำสำมำรถยับยั้งกำรหล่ังของกรดในกระเพำะอำหำรได้ เช่นเดียวกับมอร์ฟีน ซ่ึงอำจเป็นปัจจัยหนึ่งท่ีทำให้ผู้ที่รับประทำน ใบกระท่อมไม่รู้สึกหิว (ไม่อยำกอำหำร) จึงทำงำนได้นำนขนึ้ และสง่ ผลให้นำ้ หนกั ตวั ลดลง อย่ำงไรก็ตำมบทบำทและกำรดำรงอยู่ของภูมิปัญญำท้องถิ่นด้ำนสุขภำพ สังคมไทยมีกำรก่อรูปใช้ ประโยชนส์ บื ทอดภูมิปัญญำทอ้ งถ่ินดำ้ นสุขภำพ กำรแพทย์พืน้ บ้ำนภำยใต้บริบททำงสงั คม วัฒนธรรม กำรดแู ล สุขภำพกับระบบอื่นๆ ตลอดเวลำ โดยภำครัฐ ได้ให้กำรสนับสนุนกำรแพทย์พ้ืนบ้ำนกลับมำมีบทบำทอีกครั้ง หนึ่งเห็นได้จำกกำรมีนโยบำยในแผนพัฒนำสำธำรณสุขแห่งชำติฉบับท่ี 4 (2521-2524) เป็นต้นมำจนถึง ปัจจุบันได้มีกำรกำหนดทิศทำงกำรพัฒนำแพทย์แผนไทยอย่ำงเป็นรูปธรรม และสอดคล้องกับแนวคิดกำร พัฒนำประเทศมำกขึ้นเร่ือยๆ เนื่องจำกกำรแพทย์แผนไทยถูกละเลยมำเป็นเวลำกว่ำ 100 ปี ทำให้องค์ควำมรู้ ต่ำงๆสูญหำยกระจัดกระจำยผู้ทรงควำมรู้ หมอพ้ืนบ้ำนที่มีควำมสำมำรถ มีควำมรู้ ควำมชำนำญเป็นท่ียอมรับ ของชุมชนมีเหลือไม่มำกนัก นอกจำกนี้ยังขำดผู้สืบทอดควำมรู้ด้วยสำเหตุท่ีกำรเป็นหมอพ้ืนบ้ำนไม่ว่ำจะเป็น ควำมรู้ในกำรรักษำโรค องค์ควำมรู้เก่ียวกับสมุนไพรท่ีผ่ำนกำรใช้ ทดลอง พิสูจน์จนเป็นภูมิปัญญำพื้นบ้ำนรับ ใช้ชุมชนมำยำวนำนจะค่อยๆสูญหำยไปจำกสังคมด้วย นอกจำกน้ีส่ิงท่ีปฏิเสธไม่ได้ คือ องค์ควำมรู้ และภูมิ ปัญญำในกำรรักษำโรคและตำรำยำของหมอพื้นบ้ำนเป็นข้อมูลเบ้ืองต้นที่เป็นประโยชน์อย่ำงยิ่งสำหรับ นักวิชำกำรในกำรตัดสินใจว่ำจะเลือกสมุนไพรชนิดใดมำทำกำรศึกษำทดลอง เพ่ือพัฒนำเป็นยำ วิธีกำรดูแล สุขภำพและรักษำโรคด้วยตำรับยำของหมอพ้ืนบำ้ นและแพทยแ์ ผนไทยท่ีมีสว่ นประกอบของพืชกระทอ่ มยังเป็น สิ่งท่ีต้องศกึ ษำค้นคว้ำ และพัฒนำเพ่อื ใหเ้ กิดควำมเหมำะสมกับพื้นที่ตำมสภำพควำมเปน็ อยทู่ ี่แท้จริงของผู้ปว่ ย ถกู ต้องต่อไปในอนำคตหำกตำรับยำสมุนไพรท่ีมีส่วนประกอบของพืชกระท่อมออกมำได้ผลดีในทำงกำรแพทย์ ก็สำมำรถนำมำประยุกต์ใช้หรือใช้ประโยชน์ในระบบบริกำรสุขภำพด้ำนกำรแพทย์แผนไทยได้ อีกทั้งช่วยลด กำรนำเข้ำยำจำกต่ำงประเทศ และเป็นกำรเพ่ิมคุณภำพชีวิตให้กับผู้ป่วยสำมำรถดำรงชีวิตต่อไปได้ จึงเป็นมูลเหตุจูงใจให้ผู้วิจัยประสงค์ที่จะศึกษำกำรใช้พืชกระท่อมในกำรรักษำโรคของหมอพ้ืนบ้ำนภำคใต้ เพื่อเป็นกำรสง่ เสริมกำรใช้สมุนไพรตำมภูมิปัญญำท้องถ่ิน และเป็นกำรรำยงำนเร่ืองพืชกระท่อม เช่น งำนวิจัย ตำ่ งๆ และทำกำรประมวลผลข้อมลู วิเครำะห์ขอ้ มลู สงั เครำะห์ เพือ่ โตแ้ ย้งหรือสนบั สนนุ ในประเดน็ ทีเ่ ก่ียวข้อง

3 1.2 วตั ถปุ ระสงค์ เพ่ือศึกษำรวบรวมตำรับยำไทยหรือตำรับยำหมอพื้นบ้ำนภำคใต้ท่ีมีพืชกระท่อมเป็นส่วนประกอบ ในกำรรักษำโรคและประสบกำรณห์ มอพ้ืนบ้ำนที่ใช้พชื กระท่อมในกำรรักษำโรค 1.3 ระเบียบวิธีวิจัย กำรศึกษำน้ีเป็นกำรวิจัยเชิงคุณภำพ เพ่ือรวบรวมตำรับยำไทยหรือตำรับยำหมอพื้นบ้ำนที่มีพืช กระทอ่ มเป็นสว่ นประกอบในกำรรกั ษำโรค 1.4 วธิ ีกำรดำเนินกำรวจิ ัย 1.4.1 ศึกษำภำคสนำม เก็บข้อมูลจำกกลุ่มเป้ำหมำยแบบเจำะจง โดยวิธีกำรสัมภำษณ์ โดย แบบสอบถำมที่กำหนดขึ้น กำรสัมภำษณ์ เชิงลึก (In-depth interview) และกำรสนทนำกลมุ่ (Focus group discussion) 1.4.2 ศึกษำข้อมูลจำกหนังสือหรือเอกสำรโดยเก็บรวบรวมข้อมูลท่ีเก่ียวข้องกับกำรศึกษำกำร รำยงำนเรื่องพืชกระท่อม เช่น งำนวิจัยต่ำงๆ และทำกำรประมวลผลข้อมูล วิเครำะห์ข้อมูล สังเครำะห์ เพ่ือ โต้แย้งหรอื สนบั สนนุ ในประเดน็ ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง 1.4.3 เขยี นรำยงำนกำรศึกษำ 1.5 ขอบเขตกำรศกึ ษำวิจัย รวบรวมตำรับยำและวิธีกำรใช้พืชกระท่อมในกำรรักษำโรคตำมแนวทำงของห มอพ้ืนบ้ำน ทีม่ ีประสบกำรณไ์ ม่น้อยกวำ่ 10 ปี และประสบกำรณก์ ำรใชพ้ ืชกระทอ่ มในกำรรกั ษำโรคของหมอพนื้ บ้ำน 1.6 ประโยชน์ทคี่ ำดวำ่ จะไดร้ บั 1.6.1 เป็นส่ือในกำรถ่ำยทอดองค์ควำมรู้ของหมอพื้นบ้ำนและแพทย์แผนไทยเก่ียวกับกำรใช้พืช กระท่อมในกำรรกั ษำโรคใหเ้ ปน็ ทแี่ พร่หลำยและรบั ร้ใู นวงกว้ำง 1.6.2 เป็นกำรเพิ่มทำงเลือกในกำรใช้พืชกระท่อมรักษำโรคซึ่งผ่ำนกำรสั่งสมและปรับเปลี่ยนให้ เหมำะสมกับสมำชิกในชมุ ชนนน้ั ๆ 1.6.3 เป็นแนวทำงในกำรพัฒนำกำรแพทย์แผนไทยและกำรแพทย์พื้นบำ้ นไทยในกำรใช้พชื กระท่อม ในกำรรักษำโรคและกำรดแู ลสขุ ภำพ

4 บทท่ี 2 ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง การศึกษาเรื่องพืชกระท่อมได้ทาอย่างเป็นระบบและครอบคลุมหลายมิติท้ังด้านกฎหมาย สังคม วฒั นธรรม ประวัติศาสตร์ และการแพทย์ พบลักษณะที่เป็นประโยชน์และโทษของพืชกระท่อม ซึ่งยังขาดการ มองในมิติด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์พ้ืนบ้านอย่างเป็นระบบ เนื่องจากยังมีตารับยาไทยท่ีนาใบ ก ร ะ ท่ อ ม ม า ใช้ ใน ก า ร รั ก ษ า โ ร ค ได้ แ ล ะ เป็ น อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ ส า คั ญ ใ น ต า รั บ ย า คั ม ภี ร์ แ พ ท ย์ แ ผ น ไท ย ดังน้ันสถานะของพืชกระท่อมจึงส่งผลต่อการพัฒนาภูมิปัญญาทางด้านการแพทย์แผนไทย เนื่องจากยังมีองค์ ความรสู้ มุนไพรการรักษาโรค และการพัฒนาการใชป้ ระโยชน์จากพืชกระท่อมในการศกึ ษาภมู ปิ ัญญาการใช้พืช กระท่อมในการรักษาโรคจากหมอพื้นบ้านมีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษารวบรวมวิธีการใช้พืชกระท่อมใน การรักษา โรคตารับยาหมอพื้นบ้านรวมถึงประสบการณ์การรักษาโรค เพื่อเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ และเป็นหลักฐานทาง วิชาการท่ีสามารถนามาสนับสนุน จนกระทั่งการนามาต่อยอดพัฒนายารักษาโรคในทางการแพทย์แผนไทย ได้การทบทวนวรรณกรรมน้ีจะนาเสนอให้เห็นถึงขอ้ มูลพ้ืนฐาน สถานะของพืชกระท่อมปัญหาและผลกระทบที่ เกิดขึ้นใน 4 มิติสาคัญ ได้แก่ กฎหมาย วัฒนธรรม และวิถีชุมชน การแพทย์แผนไทยและการแพทย์พื้นบ้าน และการศึกษาวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ ง 2.1 กระทอ่ ม ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Mitragyna speciosa Korth. ช่อื วงศ์ : Rubiaceae ช่อื ท้องถน่ิ : กระท่อม (Kratom) ภาคใต้เรยี กชือ่ ว่า “ทอ่ ม” อถี ่าง (ภาคกลาง) กระทุ่มโคก (อีสาน) เป็นต้น ประเทศมาเลเซีย เรียก เบยี๊ ะหรือเคอ ตมุ่ (Biak) 2.1.1 ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางสูง 10-15 เมตร ใบเป็นใบเด่ียวเรียงตัวเป็นคู่ตรงข้ามและมีหูใบ 1 คู่ (interpetiolarstipules) ใบมีรสขมเฝ่ือน แผ่นใบสีเขียว เป็นรูปไข่รีแกมขอบขนาน ปลายแหลมมีขนาด กว้าง x ยาวประมาณ 5-10 x 8-14 เซนติเมตร ปลายใบแหลม ขอบใบเรยี บ ฐานใบมน ก้านใบออกจากฐานใบ มีความยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตร เส้นใบเรียงตัวแบบขนนก เส้นกลางใบและเส้นแขนงใบมีสีแดงเร่ือ มีขน อ่อนส้ันๆ บริเวณเส้นใบท่ีอยู่ด้านท้องใบ มีเส้นแขนงใบ 1 0-15 คู่ ดอกออกเป็นช่อตุ้มกลม (head) ขนาด 3-5 เซนติเมตร ใน 1 ช่อประกอบด้วยดอกย่อยขนาดเล็กสีขาวอมเหลืองจานวนมาก ดอกย่อยสมบูรณ์

5 เพศ ผลเป็นรปู ไข่ขนาดเลก็ ประมาณ 5-7 มลิ ลเิ มตร กระท่อมพบได้ในบางจงั หวัดของภาคกลาง เช่น ปทุมธานี แต่จะพบมากในป่าธรรมชาติบริเวณภาคใต้ เช่น สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง สตูล พัทลุง สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และตอนบนของประเทศมาเลเซีย กระท่อมเป็นพืชเสพติดให้โทษประเภท 5 ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ภาพที่ 2.1.1 ลักษณะใบ กา้ นใบของกระท่อม และเอกลักษณ์ทางผงยา ทม่ี า : http://www.bangkokhealth.com วันที่ 8 ตุลาคม 2558 2.1.2 ประโยชน์ทางยา ใบกระท่อมมีรสขมเฝ่ือนเมา ใช้เป็นยาแก้ปวดท้อง แก้บิด ท้องเสีย แก้ปวดเมื่อยร่างกาย ระงับ ประสาทช่วยให้ทางานทนไม่หิวง่าย วิธีใช้ให้นาใบสด 3-4 ใบ มาลอกเอาก้านใบและเส้นใบออก เค้ียวให้ ละเอียด ด่ืมน้าอุ่นกลั้วกลืนลงไป หรือนาใบมาตากแดดให้แห้งบดเป็นผง รับประทานกับน้าอุ่นคร้ังละ 1 ช้อน กาแฟพูนๆ แก้ท้องเสีย บรรเทาอาการปวดเม่ือยกล้ามเน้ือ และทาให้เกิดอาการเคลิบเคล้ิมสบายตัวได้นาน ประมาณ 4-5 ช่ัวโมง การรบั ประทานใบกระทอ่ มชว่ ยใหท้ างานได้ทนเวลามีแสงแดดจัด แต่จะเกดิ อาการหนาว สั่นเวลาอากาศครึ้มฟา้ ครม้ึ ฝน ในอดีตกระท่อมถูกนามาใช้เพื่อให้ผู้ท่ีต้องทางานหนัก ทางานได้ทน ไม่เหนื่อย ต่อการทางานกลาง แดดเปน็ ระยะเวลานาน ตาราของหมอพ้ืนบ้านและหมอแผนไทยจึงมีการใช้กระท่อมมานานแล้ว หมอพ้ืนบ้าน

6 นิยมใช้กระท่อมเป็นยารักษาท้องร่วง เบาหวาน แก้ปวดเมื่อย ระบุ ใช้ร่วมกับชุมเห็ดเทศ กินแบบไม่เอาก้าน หา้ มกลนื กาก เท่าท่ีมีการสารวจ พบว่า หมอพื้นบ้านนิยมใช้กระท่อมรักษาอาการท้องร่วงมากที่สุด ร้อยละ 67.4 เบาหวานร้อยละ 63.3 แก้ปวดเม่ือยร้อยละ 32.7 รูปแบบท่ีใช้มากที่สุดคือ การใช้ใบเคี้ยวคายกากแล้ว ดื่มน้าตาม และมีข้อห้ามกับคนที่เป็นโรคหัวใจ ซึ่งกระท่อมในการรักษาโรคชนิดที่มีฤทธิ์ดี คือ ชนิดก้านแดง สว่ นอาการข้างเคียงทพ่ี บในกระท่อม คือ ท้องผูก กลัวฝน การใช้กระท่อมจึงนิยมใช้ร่วมกับใบชุมเห็ดเทศ และ วิธีการรับประทานกระท่อมไมใ่ หเ้ สพตดิ คือ รดู เอาแตใ่ บไมเ่ อาก้าน และเมื่อเคย้ี วห้ามกลนื กาก 2.1.3 สารสาคญั สารไมตราจัยนีนเป็นสารสาคัญที่พบในใบกระท่อม (Mitragynine) สารไมตราจัยนีนเป็นสาร จาพวกอัลคาลอยด์ มีฤทธ์ิกดประสาทส่วนกลาง คล้ายกับยาเสพติดพวก psilocybin และ LSD ทาให้รู้สึกชา กดความรู้สึกเม่ือยล้าขณะทางาน และทนต่อความร้อนมากขึ้น ทางานไม่รู้สึกเหน็ดเหน่ือย หายปวดเมื่อย มคี วามสุข ไม่หิว ทนแดดได้นาน แต่ไม่ชอบถูกฝน สารไมตราจัยนนี ช่วยทาให้ผู้ทใ่ี ช้ใบกระท่อมสามารถทางาน กลางแจง้ ได้ทนนานขึน้ 2.2 กฎหมายพชื กระทอ่ ม 2.2.1 งานศึกษาพืชกระท่อม สานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้จัดทา บทสรุปเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวกับพืชเสพติด ระบุว่าการควบคุมพืชดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทอง ปฐมกษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยา โดยเร่ิมจากกฎหมายการควบคุมฝ่ิน ซึ่งห้ามการซื้อ ขาย และเสพฝ่ิน แต่พืชกระทอ่ มยงั ไม่ถูกจดั ว่าเปน็ ส่ิงเสพติดผดิ กฎหมาย 2.2.2 ในสมัยรัชกาลท่ี 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นช่วงตรงกับที่ประเทศอังกฤษ นาฝิ่นจากอินเดียไปขายท่ีประเทศจีน ทาให้คนจีนติดฝิ่นมากข้ึน เม่ือคนจีนเข้ามาค้าขายในประเทศไทย และ ลักลอบนาฝนิ่ เข้ามาด้วย เป็นสาเหตุของการระบาดในประเทศมากยิง่ ขึ้น 2.2.3 ในสมัยรัชกาลท่ี 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราโชบายควบคุมฝ่ินแทน การปราบปราม โดยให้คนจนี ขออนุญาตคา้ ขายฝ่นิ ให้ถกู ตอ้ งตามกฎหมายและหา้ มคนไทยไม่ให้เสพฝิน่ แต่ก็ไม่ ไดผ้ ล 2.2.4 ในสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าการท่ีประชาชนเสพ/ ค้าฝ่ินเป็นภัยต่อความมั่นคงและอันตรายต่อสุขภาพ ทรงดาริยกเลิกการค้าและเสพฝ่ิน และให้มีการข้ึน ทะเบียนคนเสพฝิน่ เพือ่ ควบคมุ การใชใ้ นระดบั หนึง่ 2.2.5 ในสมัยรัชการท่ี 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้นาข้อมูลตกลงในสนธิสัญญา นครเฮก มาออกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2465 กฎหมายดังกล่าวเอื้อให้รัฐสามารถผูกขาดฝ่ินได้

7 ก่อให้เกิดภาษีรายได้เข้าสู่พระคลังในรูปของภาษีฝิ่นและใบอนุญาตต่างๆ อันเนื่องมาจากฝิ่นมากมาย แต่ก็ยัง ไมไ่ ดร้ ะบถุ งึ พชื กระทอ่ ม 2.2.6 ในสมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีเหตุการณ์ สาคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลให้มีการขึ้นทะเบียนคนเสพอีกครั้ง และได้กาหนดเพิ่มให้กัญชาเป็นยา เสพติดภายใต้สนธิ สัญญานครเฮก เม่ือเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพาในปี พ.ศ.2485 เกิดภาวะข้าวยากหมาก แพง ผู้ท่ีขึ้นทะเบียนเสพฝิ่นหันไปใช้พืชกระท่อมทาให้รายได้ของรัฐลดลง รัฐบาลจึงเปิดข้ึนทะเบียนรับคนเสพ เพิ่มเติมอีก ซ่ึงเป็นพระราชบัญญัติฉบับที่ 5 เพ่ือเป็นการเพิ่มรายได้ให้รัฐ แต่ไม่ประสบความสาเร็จ ดังนั้นในปี พ.ศ.2486 จึงได้ออกพระราชบัญญัติควบคุมพืชกระท่อมเป็นครั้งแรก แต่ยังอนุญาตให้ใช้พืชกระท่อมในการ ประกอบโรคศลิ ปะ จากกฎหมายดังกลา่ ว ประเทศไทยจงึ เป็นประเทศแรกท่ีประกาศควบคุมการใช้พชื กระทอ่ ม โดยตราพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ.2486 มีสาระสาคัญว่า พืชกระท่อมหมายความรวมตลอดถึงทุกส่วน ของพืชกระท่อมและห้ามมิให้ผู้ใดเสพ ปลูก มีซื้อ ขาย ให้หรอื แลกเปลี่ยนพืชกระท่อมเว้นแต่จะได้รับอนุญาต จากเจ้าพนักงาน เพ่ือประโยชน์ ในการประกอบโรคศิลปะหรือวทิ ยาศาสตร์ เม่ือพจิ ารณาได้ว่ารัฐยังยอมให้พืช กระท่อมใช้ประโยชน์ในการประกอบโรคศิลปะได้ โดยขออนุญาตเป็นกรณีๆ ไป ดังน้ัน พืชกระท่อมสามารถ นาไปใช้ไดห้ ากเกี่ยวข้องกับการกระทาเพื่อประกอบการรักษาโรค เนื่องจากในสงั คมด้ังเดิมมีการใชพ้ ชื กระท่อม เป็นยาสมุนไพร และรักษาโรคตามกฎกระทรวงสาธารณสุขออกตามความในพระราชบัญญัติพืชกระท่อมเป็น ยาสมุนไพรและรักษาโรคตามกฎกระทรวงสาธารณสุข และต่อมาในปี พ.ศ.2522 กระท่อมได้ถูกจัดให้เป็นพืช เสพติดใหโ้ ทษประเภท 5 ตามพระราชบญั ญตั ยิ าเสพตดิ ให้โทษ พ.ศ. 2522 พืชกระท่อมจึงถูกควบคุมในฐานะยาเสพติดให้โทษประเภท 5 โดยมีมาตรการท่ีเกี่ยวข้องเพียง 2 มาตรา คือ มาตรา 26 ห้ามมิให้ผู้ใดผลิต จาหน่าย นาเข้า ส่งออกหรือมีไว้ในครอบครอง ซึ่งยาเสพติด ให้โทษในประเภท 4 หรือประเภท 5 เว้นแต่รัฐมนตรีจะอนุญาต โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ เป็นรายๆ ไป ส่วนมาตรา 57 ห้ามมิใหผ้ ู้ใดเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 หรือประเภท 5 พระราชบัญญัติยา เสพตดิ ใหโ้ ทษ พ.ศ. 2522 (ฉบับท่ี 5) บทกาหนดโทษพืชกระทอ่ มจาแนกตามความผดิ ดงั นี้ 1) ผลิต นาเข้าหรอื สง่ ออก ต้องโทษจาคุกไม่เกิน 2 ปี และปรบั ไม่เกิน 200,000 บาท 2) ขาย มีครอบครองเพือ่ ขาย มีโทษสูงสุดจาคุกไมเ่ กิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท 3) มไี ว้ในครอบครอง มีโทษจาคุกไม่เกนิ 1 ปี หรอื ปรบั ไม่เกนิ 20,000 บาท หรือทัง้ จาทั้งปรับ 4) เสพ มีโทษจาคุกไมเ่ กนิ 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท ดังนั้น พืชกระท่อมถือเป็นยาเสพติดให้โทษ ที่มีท่ีมาต่างจากยาเสพติดประเภทอ่ืน การกาหนดเป็น ยาเสพติดให้โทษ น่าจะมีสาเหตุจากการลดลงของรายได้จากการเก็บ ภาษีฝ่ิน เน่ืองจากการตรา พระราชบัญญัติภาษีฝิ่น พ.ศ.2414 และการออกกฎหมายท่ีเก่ียวกับ ภาษีฝ่ินตามมาอีกใน พ.ศ.2434 ,

8 พ.ศ.2450, พ.ศ.2456 และ พ.ศ.2477 สร้างรายได้จากภาษีหรือค่าธรรมเนียมจากการค้าฝ่ิน และมูลฝ่ิน รวมทั้งคา่ ธรรมเนียมอนุญาตเสพฝ่ินให้รัฐบาลทาให้ฝิน่ มีราคาแพงขึน้ ประชาชนจึงหันไปหาพชื ชนิดอ่ืนทดแทน เพอ่ื ขจัดคแู่ ขง่ ของฝิ่นและใหค้ งรายไดเ้ ข้ารฐั จากภาษฝี น่ิ ทาใหร้ ัฐบาลต้องควบคุมพชื กระท่อม โดยทีม่ าของการ กาหนดใหพ้ ืชกระท่อมเปน็ ยาเสพติดให้โทษ จึงเป็นเรื่องการรักษาผลประโยชน์ของรัฐ มากกวา่ การปอ้ งกันโทษ ภัยคุกคามต่อสุขภาพและสังคม ก่อให้เกิดความพยายามทั้งจากนักการเมือง นักวิชาการ และผู้ท่ีเกี่ยวข้อง หลายคร้ังที่จะเสนอให้เอาพืชกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ดังน้ัน พืชกระท่อมถือเป็นยาเสพ ตดิ ให้โทษที่มที ่ีมาต่างจากยาเสพติดประเภทอื่น การกาหนดเป็นยาเสพติดใหโ้ ทษ น่าจะมีสาเหตุจากการลดลง ของรายได้จากการเก็บ ภาษีฝ่ิน เน่ืองจากการตราพระราชบัญญัติภาษีฝ่ิน พ.ศ.2414 และการออกกฎหมายที่ เก่ียวกับ ภาษีฝ่ินตามมาอีกใน พ.ศ.2434, พ.ศ.2450, พ.ศ.2456 และพ.ศ.2477 สร้างรายได้ จากภาษีหรือ ค่าธรรมเนียมจากการค้าฝ่ิน และมูลฝ่ิน รวมท้ังค่าธรรมเนียมอนุญาตเสพฝิ่นให้รัฐบาลทาให้ฝิ่นมีราคาแพงข้ึน ประชาชนจึงหันไปหาพืชชนิดอ่ืนทดแทน เพื่อขจัดคู่แข่งของฝิ่นและให้คงรายได้เข้ารัฐจากภาษีฝ่ิน ทาให้รฐั บาลต้องควบคุมพืชกระทอ่ ม โดยทีม่ าของการกาหนดให้พืชกระท่อมเป็นยาเสพติดให้โทษ จึงเปน็ เรื่อง การรักษาผลประโยชน์ของรัฐ มากกว่าการป้องกันโทษภัย คุกคามต่อสุขภาพและสังคม ก่อให้เกิดความ พยายามท้ังจากนักการเมือง นักวิชาการ และผู้ท่ีเก่ียวข้องหลายครั้งท่ีจะเสนอให้เอาพืชกระท่อมออกจากยา เสพติดใหโ้ ทษประเภท 5 2.3 พชื กระท่อมในมิติวฒั นธรรมและชมุ ชน พืชกระท่อมเป็นพืชท้องถิ่นท่ีข้ึนตาม ธรรมชาติมานาน และประชาชนในพื้นท่ีด้ังเดิมได้ใช้ใบ กระท่อมเพื่อช่วยในการทางาน ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่จะใช้กระท่อมในช่วงเช้า ช่วงบ่ายหรือเวลาท่ีเหนื่อยจากการ ทางาน บางคนใช้เพียงวันละ 1 คร้ัง ใช้กันมากในผู้ท่ีทางานเกษตรกรรม ทาให้ทางานได้นาน ทนร้อนทนแดด ไม่ปวดเม่ือย คนนิยมปลูกพืชกระท่อมไว้ใกล้บ้าน ตามสวนตามไร่ เน่ืองจากพืชกระท่อมยังใช้รับรองแขกท่ีมา เย่ยี มบ้านคล้ายกบั การรับรองด้วยหมากพลู รูปแบบการใชพ้ ชื ใบกระท่อมแบบดั้งเดิม จะใช้โดยการลอกก้านใบ ออกและเค้ียวเฉพาะส่วนท่ีเป็นเนื้อใบ เมื่อเคี้ยวจนจืดก็จะคายชานท้ิง โดยเค้ียวคร้ังละ 1-3 ใบ บางคนเค้ียว ทุกๆ 1 หรอื 2-3 ชั่วโมงต่อคา บางคนต้องเคย้ี วทงั้ วัน โดยปริมาณในการใช้แต่ละครงั้ น้ันข้ึนอยู่กับขนาดของใบ กระท่อมด้วย เช่น ถ้าใบใหญ่ก็ใช้ประมาณคร่ึงใบ ถ้าใบเล็กก็ประมาณ 1-2 ใบ กระท่อมท่ีชาวบ้านนิยมใช้ มี 2 ชนิด ได้แก่ กระท่อมก้านเขียวและก้านแดง โดยกระท่อมก้านแดงมีรสชาติที่ขมกว่า แต่กระท่อมก้าน เขียวจะออกฤทธิ์นานกวา่ ประมาณ 30 นาที เม่ือใช้ปรมิ าณเท่ากัน เนื่องจากการตัด ทาลายของเจา้ หน้าทสี่ ่งผล ให้กระท่อมก้านแดงลดลง อย่างไรก็ตามปัจจบุ นั กระท่อมกา้ นเขียวเปน็ ทน่ี ยิ มมากกวา่ กา้ นแดง เพราะมรี สชาติ ที่ขมน้อยกว่า นอกจากน้ียังมีกระท่อมที่กินไม่ได้ คือกระท่อมขี้หมูและกระท่อมนา กระท่อมนาใบจะเล็กกว่า

9 กระท่อมก้านเขียวและก้านแดง และจะมีขนอยู่หลังใบ เมื่อเคี้ยวเข้าไปจะมีอาการระคายคอ บางรายมีอาการ เมากระท่อมอย่างรุนแรงถึงข้ันอาเจียนออกมา การใช้พืชกระท่อมของชาวบ้านเพื่อรักษาอาการไอ ท้องร่วง เนื่องจากมิตรากัยนีนสามารถยับย้ังการหดตัวของกล้ามเน้ือเรียบในลาไส้เล็ก ซึ่งส่งผลให้การบีบตัวของลาไส้ เล็กลดลง ส่วนการที่ ใช้รักษา อาการปวดได้ เนื่องจากสารมิตรากัยนีนออกฤทธ์ิคล้ายกับสารฝิ่น ที่ระบบประสาทส่วนกลางทาให้การรับรู้ ความรูส้ ึกเจ็บปวดลดลง นอกจากนั้น ผลเสียจากการใช้พืชกระท่อม คนใชส้ ่วนใหญ่จะมีอาการเมาในการใช้ครง้ั แรกหรอื เคย้ี ว ใบกระท่อมในปริมาณที่มากติดต่อกัน เม่ือกินขณะท่ีท้องว่าง หรือใช้กระท่อมที่ทาให้เมา โดยอาการเมา กระท่อม ได้แก่ แขนขาอ่อนแรง เดินไม่ไหว หน้าแดงชาและตึง หูร้อน หูอ้ือและชา ง่วง ซึม ล้ินชา ตาลาย พร่ามัว มึนหัว ปวดหัว อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อยากอาเจียนแต่ไม่อาเจียน พะอืดพะอม บางรายมีอาการหนักถึง ขั้นเวียนหัวและอาเจียน มือส่ัน ตัวส่ัน แน่นหน้าอก ปวดปัสสาวะอุจจาระ แต่ไม่ถ่าย ร้อนไปทั้งตัว เหงื่อออก วิธีการรักษาอาการด้วยตนเอง เช่น นั่งหรือนอนพัก ทางานให้เหงื่อออก หรืออาบน้าเย็น กินน้าเย็น กินผลไม้ เปร้ียว หรอื กินอาหาร เปน็ ต้น 2.4 องค์ความรู้เกย่ี วกับพืชกระท่อมจากตารายาไทยและแพทย์พน้ื บ้าน การบันทึกตารายาแผนไทยมีทั้งสตู รตารบั ยาและสรรพคณุ ยา จาแนกเป็นความรูท้ ี่อยูใ่ นคมั ภรี แ์ พทย์ ไทยแผนโบราณและความรูเ้ กยี่ วกบั สรรพคณุ ของพืชกระท่อม ดงั น้ี 2.4.1 ตาราเวชศึกษ าของพ ระพิ ษณุ ประสาทเวช , คัมภีร์แผนไท ยของขุนโสภิตบรรณ ลักษณ์ เลม่ 3 2.4.1.1 ยาประสะกระท่อม เอาเทียนทั้ง 5 ฝางเสน 1 สน 1 ครั่ง 1 งาช้าง 1 สักขี 1 จันทร์ ทั้งสอง 1 ข่า 1 ใบเทียน 1 ใบทับทิม 1 ใบชิงช้าชาลี 1 เขากวาง 1 ใบมะลิซ้อน 1 ใบมะลิลา 1 ยาทั้งนี้เอาส่ิง ละ 1 สลึง กาลังวัวเถลิง 1 ขิงแห้ง 1 ขมิ้นชัน 1 การบูร 1 ยาท้ังนี้เอาส่ิงละเฟื้อง ขมิ้นอ้อย 1 สลึงเฟ้ือง กะทือ 2 สลงึ ไพลหมกไฟ 1 บาท ใบกระท่อม เท่ายาทงั้ หลาย ตาผงละลายนา้ สุรา แก้ปวดมวน น้ากานพลูต้ม ฯ ใบทับทิม ลูกทับทิมอ่อน เปลือกกรด ใบสะแก ชันย้อย ดินกิน กระเทียมกรอบ บดละลายน้าเปลือกคางกิน ถ้ามฟิ ังตายแลก (เลม่ 1 หน้า 162) 2.4.1.2 ยาแก้บิดหัวลูก เอาใบพลู 3 ใบ ใบกระท่อม ใบไม้ท้ัง 2 ชนิด ป้ิงให้เกรียม กระเทียมสุกบดแทรกฝิ่น ละลายนา้ ปนู ใส น้ากระชายกนิ (เล่ม 1 หนา้ 171) 2.4.1.3 ยาประสระกาฬแดง แก้ลงแดง เอารากช้าพลู สะค้าน รากเจตมูลเพลิง ขิง ดีปลี หัวแห้วหมู ลูกมะตูมอ่อน ลูกจันทน์ กานพลู พริกไทย โกฐท้ัง 5 เทียนท้ัง 5 เปลือกลูกทับทิม เอาส่ิงละ 1 บาท ลูกกระวาน 1 สลึง เบญกานี สีเสียดท้ัง 2 คร้ัง หมากข้ีไก่ เปลือกมังคุด เมล็ดตะบูน เปลือกข้ีอาย เอาส่ิง

10 ละ 4 บาท บดป้ันแท่ง แกล้ งท้อง ละลายน้าเปลอื กแคต้มกิน หรือละลายนา้ เปลือกสะเดา เปลอื กขอ้ี าย เทียน ดา ต้มกิน แก้บดิ ปวดมวน เอาฝร่ังทัง้ 5 เปลือกต้นไข่เนา่ ใบกระท่อม บอระเพด็ ขม้ินออ้ ย เทียนดา ใบเสนียด เอาส่ิงละ 1 บาท ข้ียาฝิ่น 2 สลึง ต้มเป็นกระสาย เวลาบดแทรกน้าเนื้อไม้ต้ม แทรกพิมเสนด้วย (เล่ม 1 หน้า 172) 2.4.2 ตารายาจารึกวดั พระเชตุพน (วดั โพธ์)ิ 2.4.2.1 ยาแก้ป่วงน้า เอาเปลือกสนุ่น เปลือกมะม่วงพรวน เปลือกกระทุ่มขี้หมู เปลือก กระท่อม ใบชา เทียนดา โกศสอ โกศพุงปลา โกศจุฬาลัมพา โกศหัวบัว กระดองเต่าเหลืองเผา กระดองปูนา เผา รากนางแย้ม รากมะนาว รากมะปราง ต้มด้วยน้าปูนใส แทรกพิมเสน ดีงู -ยาช่วยอดฝ่ิน เอาขี้ยาหนัก 2 สลงึ เถาวัลยเ์ ปรยี งพอประมาณ กัญชาคร่งึ กา ใบกระท่อม ให้มากกวา่ อืน่ 2.4.2.2 ยาต้มแก้โรคบิด (ขนานที่ 2 ) ส่วนประกอบ บอระเพ็ด ใบกระเพราะ ใบฝรั่ง ใบ กระท่อม ใบทับทิม ใบเทียนก่ิง ยา 6 ส่ิงน้ีเอาสิ่งละ 1 กามือ โกศหัวบัว 10 สลึง เทียนดา 3 บาท ขิงแห้ง 4 บาท กฤษณา 1 บาท ชะลูด 1 บาท อบเชย 2 บาท เปลือกสมุลแว้ง 3 บาท สรรพคณุ แกบ้ ดิ มกู เลือด 2.4.3 ตาราเวชศกึ ษาของพระยาพิศนปุ ระสาทเวช 2.4.3.1 ยาประสะกาฬแดง แก้พิษลงแดง แก้บิด เอารากชะพลู 1 สะค้าน 1 เจตมูลเพลิง 1 ขิง 1 ดีปลี 1 แห้วหมู 1 ลูก มะตูมอ่อน 1 ลูก ดอกจันทร์ 1 ยาทั้งน้ีส่ิงละ 1 ลูกกระวาน 1 สลึง กานพลู 1 พริกไทย 1 โกฐท้ังหา้ 1 เทียนทั้งหา้ 1 ยาทั้งนี้สิ่งละ 1 บาท ลูกเบญกานี 1 สีเสียดท้ังสอง 1 คร่ัง 1 หมากขี้ไก่ 1 เปลือกมงั คดุ 1 เม็ดกระบูน 1 เปลือกขี้อ้าย 1 ยาท้ังนี้เอาสิ่งละตาลึง เปลือกทับทิม 1 บาท แกล้ ง น้าเปลอื ก แค เปลือกสะเดา เปลือกขี้อ้าย เทียนดา แก้บิดปวดมวน ฝร่ังทั้ง 5 เปลือกไข่เน่า ใบกระท่อม บอระเพ็ด ขมิ้นอ้อย เทียนดา ใบเสนียด หนักส่ิงละบาท ขี้ยาฝิ่นหนัก 2 สลึง ต้มเป็นกระสาย เวลาจะบดแทรกเน้ือไม้ พมิ เสน 2.4.3.2 ยาประสะกระท่อม เอาเทียนท้ัง 5 ฝางเสน 1 คร่ัง 1 งาช้าง 1 สักขี 1 จันทร์ทั้งสอง 1 ข่า 1 ใบเทียน 1 2.4.4 จารกึ ตาราวดั ราชโอรสาราม 2.4.4.1 คาอ่านจารึกแผ่นท่ี 29 (แก้บิดลงเลือด)ขนานหน่ึง เอา ใบกระท่อม 1 ขมิ้นอ้อย 1 ไพล 1 พรรผกั กาษ 1 กะพังโหมทัง 2 ตาใส่กะบอกไมห้ ลาม ใหส้ ุกเอาเลา่ เปน็ กระสาย แทรกฝิน่ กินหาย ต่อไป 2.4.5 คัมภีร์แพทย์ไทยแผนโบราณ เล่ม 1-3 ที่เรียบเรียงโดยขุนโสภิตบรรลักษณ์ (อาพันกิตติขจร) มีสตู รยาทพี่ บ คือ 2.4.5.1 ยาประสระใบกระท่อม เอาเทยี นทงั้ 5 ฝางเสน แก่นสน ครงั่ งาช้าง สักขี แก่นจันทน์ ทั้ง 2 ขา่ ใบเทียน ใบทับทิม ใบชิงช้าชาลี เขากวาง ใบมะลซิ ้อน ใบมะลิลา เอาสิง่ 1 สลึง กาลังวัวเถลิง ขิงแห้ง

11 ขม้ินชัน การบูร เอาส่ิงละ 1 เฟ้ือง ขมิ้นอ้อย 1 สลึงเฟ้ือง กะทือ 2 สลึง ไพลหมกไฟ 1 บาท ใบกระท่อม เทา่ ยาทง้ั หลาย บดป้ันแท่งดว้ ยสรุ า แกป้ วดมวน ละลายกานพลูต้มกนิ (เล่ม 3 หนา้ 16) 2.4.5.2 ยาหนุมานจองถนนปิดมหาสมุทร เอาลูกเบญกานี ลูกกล้วยตีบ ใบกระท่อม ใบกระพังโหม ใบทับทิม 1 ใบชิงช้าชาลี 1 เขากวาง 1 ใบมะลิซ้อน 1 ใบมะลิลา 1 ยาทั้งน้ีเอาสิ่งละ 1 สลึง กาลังวัวเถลิง 1 ขิงแห้ง 1 ขม้ินชัน 1 การบูร 1 ยาทั้งนี้เอาสิ่งละเฟื้อง ขมิ้นอ้อย 1 สลึงเฟ้ือง กะทือ 2 สลึง พลหมกไฟ 1 บาท ใบกระท่อม เท่ายาทงั้ หลาย ตาผงละลายน้าสุรา แกป้ วดมวน นา้ กานพลตู ม้ 2.4.5.3 ยากล่อมอารมณ์ เอาผลกัญชาเทศ 1 ถ้ามิได้ผลเอาใบกัญชาเทศก็ได้ กฤษณา 1 กระลาพกั 1 ขอนดอก 1 ชะลูด 1 อบเชย 1 ชะเอมท้ัง 2 ดอกส้ม 8 ประการ ดอกขิง 1 ดอกขา่ 1 ดอกขมิน้ 1 ดอกกะทือ 1 ดอกไพล 1 เทียนท้ัง 5 โกฐสอ 1 ดอกพิกุล 1 ดอกบุนนาค 1 ดอกสารภี 1 ผลผักชีทั้ง 2 มหาหิงค์ุ 1 ใบกระท่อม 1 เทียม 1 ยาทั้งสิ่งน้ีเอาสิ่งละ 1 สลึง ดอกมะลิ 2 ตาลึง จันทน์ท้ัง 2 ส่ิงละ 2 สลึง พิมเสน 1 บาท 1 สลึง กานพลูกึ่งยาทั้งน้ัน การบูรเท่ายาทัง้ นน้ั 2.4.6 ตาราแพทยศาสตรส์ งเคราะห์ เลม่ 2, คัมภีร์แผนไทยของขุนโสภติ บรรณลักษณ์ เล่ม 2 2.4.6.1 ยาชอื่ กล่อมอารมณ์ แก้ลมปัจฉิมทีส่ ุด ลมตรีโทษหทัยวาตมาบังเกิดดุจหม้อขา้ วเดือด ช่ือว่าลมทักขิณคุณ ท่านให้เอาผลกัญชาเทศ 1 ถ้ามิได้ผลเอาใบกัญชาเทษก็ได้ กฤษณา 1 กระลาพัก 1 ขอน ดอก 1 ชะลูด 1 อบเชย 1 ชะเอมท้ัง 2 ดอกส้ม 8 ประการ ดอกขิง 1 ดอกข่า 1 ดอกขม้ิน 1 ดอกกะทือ 1 ดอกไพล 1 เทียนทั้ง 5 โกฐสอ 1 ดอกพิกุล 1 ดอกบุนนาค 1 ดอกสารภี 1 ผลผักชีท้ัง 2 มหาหิงคุ์ 1 ใบ กระท่อม 1 กระเทียม 1 ยาทั้งส่ิงนี้เอาส่ิงละ 2 สลึง ดอกมะลิ 2 ตาลึง จันทน์ทั้ง 2 ส่ิงละ 2 สลึง พิมเสน 5 สลงึ กานพลู ก่ึงยาท้ังนน้ั การบรู เท่ายาทงั้ นั้น น้าผึง้ เป็นกระสายคลา้ ย ปั้นเท่าผลหวาย น้ากระสายยักใช้ตาม โรคนน้ั เถิด 2.4.6.2 ยาสาหรับอดฝ่ิน ส่วนประกอบ ขี้ยาหนัก 2 สลึง เถาวัลย์เปรียงพอประมาณ กัญชา ครงึ่ กา ใบกระทอ่ ม ใหม้ ากกวา่ อน่ื สรรพคณุ ชว่ ยอดฝน่ิ 2.4.6.3 ยาต้มแก้โรคบิด (ขนานที่ 2 ) ส่วนประกอบ บอระเพ็ด ใบกระเพราะ ใบฝร่ัง ใบกระท่อม ใบทับทิม ใบเทียนกิ่ง ยา 6 สงิ่ น้ีเอาสิ่งละ 1 กามือ โกศหัวบัว 10 สลึง เทียนดา 3 บาท ขิงแห้ง 4 บาท กฤษณา 1 บาท ชะลดู 1 บาท อบเชย 2 บาท เปลอื กสมุลแว้ง 3 บาท สรรพคุณ แก้บดิ มกู เลอื ด 2.4.7 คมั ภรี ์แผนไทยของขนุ โสภติ บรรณลักษณ์เลม่ 3 2.4.7.1 ยาชื่อหมุนาณจิงถนนปิดมหาสมุทร เอาลูกเบญกานี ลูกกล้วยตีบ ใบกระท่อม ใบกระพังโหม ใบทับทิม ลูกทับทิมอ่อน เปลือกกรด ใบสะแก ชันอ้อย ดินกิน กระเทียมกรอบ บดละลายน้า เปลอื กคางกิน ถ้ามิฟงั ตายแล

12 2.4.7.2 ยาแก้บดิ ลงเป็นเลือด เอาใบกระท่อม ขมนิ้ อ้อย ไพล เมล็ดผักกาด กระพังโหมทั้ง 2 ตาใสก่ ระบอกไมส้ ีสกุ เอาสรุ าเป็นน้าหลามแทรกฝ่ินกิน 2.4.7.3 ยาแก้บิดหัวลูก เอาใบพลู 3 ใบ ใบกระท่อม ใบไม้ทั้ง 2 ชนิดป้ิงให้เกรียม กระเทียม สุกบดแทรกฝนิ่ ละลาย น้าปนู ใส น้ากระชายกิน 2.4.7.4 ยาทาให้อดฝ่ิน เอาขย้ี า 2 สลึง เถาวลั ย์เปรียงพอประมาณ กญั ชาครงึ่ กา ใบกระทอ่ ม เอาให้มากกว่ายาอย่างอ่ืนต้มกิน ให้กินตามเวลาท่ีเคยสูบฝ่ิน เมื่อกินไป 1 ถ้วยให้เติมน้า 1 ถ้วย ให้ทาดังน้ี จนกว่ายาจะจดื เมื่อกนิ น้าจนจดื แล้ว ยังไมห่ ายใหต้ ้มกินหมอ้ ใหม่ 2.4.8 ตารายาจารึกวัดพระเชตพุ น (วดั โพธ)์ิ 2.4.8.1 ยาแก้ป่วงน้า เอาเปลือกสนุ่น เปลือกมะม่วงพรวน เปลือกกระทุ่มข้ีหมู เปลือก กระท่อม ใบชา เทียนดา โกศสอ โกศพุงปลา โกศจุฬาลัมพา โกศหัวบัว กระดองเต่าเหลืองเผา กระดองปูนา เผา รากนางแยม้ รากมะนาว รากมะปราง ตม้ ด้วยนา้ ปูนใส แทรก พมิ เสน ดงี ู 2.4.9 ประมวลสรรพคุณยาไทย โดยสมาคมโรงเรียนแพทย์แผนโบราณ สานักวัดพระเชตุพนฯ เขียนถึงสรรพคุณของใบกระท่อมว่ารับประทานแก้ปวดท้อง แก้บิด แก้ท้องร่วง แต่หากรับประทาน มากเกินไปจะทาให้เมา อาเจยี น และคอแห้ง ในพ้ืนที่ ท่ีมีพืชกระท่อมเป็นไม้ประจาถ่ิน พบการนาใบกระท่อม มาใช้ในการรักษาโรคและสขุ ภาพ โดยใช้เป็นยาที่สาคญั ๆ ดงั นี้ 2.4.9.1 ขับพยาธิ ไสเ้ ดือนในเด็ก โดยใช้ใบกระทอ่ มคลงึ กับปูน มาทาทอ้ ง 2.4.9.2 แก้อาการเด็กนอนไม่หลับ กระวนกระวาย โดยเอาใบกระท่อมมาตาแล้วโปะ กระหม่อมเด็ก 2.4.9.3 ถอนพิษเริม งูสวัด โดยตาใบกระท่อมสดแล้วนามาหมักกับเหล้าทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ ใชท้ า 2.4.9.4 แก้โรคเบาหวาน โดยกินใบกระทอ่ มสดวนั ละ 3 ใบ ซ่งึ มีหลายตารับ จากคัมภีร์แพทย์แผนไทยและสรรพคุณยาไทยมีใบกระท่อมอยู่ในสูตรยา แต่ใบกระท่อมเป็นสิ่ง ท่ีต้องห้าม เนื่องจากเป็นสารเสพติดในประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติด พ.ศ. 2522 ทาให้ในทาง ปฏิบัติ ไม่สามารถเสนอขอข้ึนทะเบียนยาได้ ตารับยาเหล่าน้ีมีโอกาสท่ีจะสูญหายและถูกทาลายไป ในการ ควบคุมพืชกระท่อมจาเป็นต้องพิจารณาเรื่องการรักษาภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยไทย และประโยชน์ที่จะได้รับ โดยไม่ มงุ่ เนน้ ว่าเปน็ สารเสพติดให้โทษเทา่ น้นั

13 2.5 การใชพ้ ชื กระทอ่ มในกลุ่มหมอพน้ื บ้านและแพทย์แผนไทย รายงานการศึกษาผลกระทบต่างๆ ในการควบคุมพืชกระท่อมเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 โดยกองควบคุมวัตถุเสพติด สานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (2548) ได้รวบรวมข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์ของกลุ่มแพทย์แผนไทยและหมอพื้นบ้านในท้องถิ่นต่างๆไว้ สามารถนาสรุปการใช้ พชื กระท่อมในแต่ละกลุ่มดงั นี้ 2.5.1 กล่มุ แพทย์แผนไทยภาคใต้ เน่อื งจากในภาคใต้ พืชกระทอ่ มพบไดอ้ ย่างแพรห่ ลาย และสามารถซ้ือไดจ้ ากตลาดนัด ขายเป็นใบๆ และมัดขายเป็นกา ใบกระท่อมส่วนใหญ่มาจากอาเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช และจากอาเภอควนกา หลวง จงั หวัดสตูล ซึ่งมีมากท้ังชนดิ และปรมิ าณ สมัยก่อนใช้เคี้ยวรักษาอาการอดฝ่ิน เมื่อรักษาอาการหยุดฝิ่น ได้ ก็ไม่ติดกระท่อม ปัจจุบันใช้ประโยชน์หลายอย่างท่ีใช้ภายนอก เช่น เด็กเป็นพยาธิไส้เดือน เรียกพยาธิไช ท้อง วิธีใช้คือคลึง กับปูนทาท้อง ไม่ต้องกิน เด็กนอนไม่หลับ กระวนกระวาย ร้องงอแง เพราะเด็กปวดท้องใช้ วธิ ตี าและโปะกระหม่อมเด็ก ใชห้ ้ามเลือดก็ได้ โดยตาให้ละเอียดใส่เหล้าก็ได้ ไม่ใส่ก็ได้ เคยี้ วแลว้ พอก ทใ่ี ช้บ่อย คือ ใช้ถอนพิษเริม งูสวัด โดยวิธีตา และหมกั กับเหล้าไว้ 1 สัปดาห์ ใชท้ า นอกจากนี้ยังใช้ทาแก้แพ้ยาไดใ้ นการ แก้เบาหวาน ใช้กระท่อมแก้อาการถ่ายหนักเป็นเลือดสดๆ โดยเคี้ยวกระท่อมก้านแดงกับน้าตาลแว่น ใช้แก้ ความดัน แก้ท้องเสีย เน่ืองจากมีรสฝาด จึงเป็นยาฝาดสมานโดยเค้ียวแล้วคายกาก ดืม่ น้าตามลงไปใบแกท่ ่ีฝาด ใช้แก้ไอได้ ด้วยรสขมของใบกระทอ่ มช่วยลดความร้อนภายในได้ โดยท่ัวไป ชาวบ้านมีความรู้ในการใช้บรรเทา อาการไป ปวดบ้ันเอว โดยบดใบกระท่อมตากแห้งให้เป็นผง นาม าผสมกับน้าผ้ึง ป้ันเป็นลูกกลอน ใช้แก้โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง แผลเป่ือย น้ากัดเท้า ห้ามเลือด ปวดฟัน ใช้เป็นยาขับเหง่ือ แก้เริม โดยตาผสมเหล้า ค้ันเอาน้ามาทา นอกจากใช้ใบกระท่อมเป็นยา มีการใช้ท่ีไม่ได้หวังผลในการรักษา โดยชาวบ้านกินเพ่ือให้เกิดความสบาย กินแล้วทางานทน แต่ถ้าหยุดกินก็ไม่มีปัญหา การกินจะเอาก้านออก เคี้ยวและคายกากท้ิง แล้วดื่มน้าตาม กรณีที่กินแล้วเมาเพราะการกินไม่ถูกวิธี การกินใบกระท่อมเป็นที่นิยม โดยเฉพาะชาวบ้านที่ต้องลุกไปกรีดยางตั้งแต่ตี 2 จะกินกระท่อม 3 ใบ แล้วไม่อ่อนเพลีย และทนต่อแดด โดยคนที่กินกระท่อมเป็นประจาจะไม่เป็นโรคบิด โรคปวดเบ่ง โรคท้องร่วง และจะไม่มีอาการปวดเมื่อยตาม ร่างกาย ไม่มวนท้อง และจะนอนหลบั งา่ ย ข้อเสียของการใช้กระท่อมคือ ถ้าใช้ใบกระท่อมล้วนๆ จะท้องผูก ต้องใช้ยาระบายร่วมกัน ซึ่งมักใช้ชุมเห็ดเทศ บางตารับใช้ใบกระท่อมต้มกับ ลูกหมาก ในสัดส่วนที่เท่ากัน ใช้เนื้อในของหมากอ่อน ที่ยังเขียนอยู่หรือหมากดิบ เอามาต้ม ด่ืมคร้ังละประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ ถ้าด่ืมมากเกินไป จะเมา มึนหัว เมา หลับ วิงเวียน ซึม ดื่มนา้ สักพกั ก็หาย ตารบั กระท่อมต้มกับหมากแล้ว ทาให้เมานี้ แกโ้ ดยใส่เปลอื กลูกเหนียงลง ไปดว้ ย จะไม่เมา การแทรกเกลือเลก็ น้อย ก็ช่วยแก้เมาได้ ถา้ กินท้ังกากจะไม่ย่อย กินผ่านไปประมาณ 5 ปีข้ึน

14 ไป จะเกิดเป็นถุงก้อนกลมภายในกระเพาะเรียก “ถุงท่อม” หรือ “ถุงถ่อม” มีอาการปวด และทาให้ดื้อยา ตา่ งๆ บางคนเกดิ อาการกล้ามเนื้อสั่น/กระตุกเวลานอนหลับ สามารถแก้ไข โดยเอานกคุ่มไรไ่ ปเผาให้กรอบเอา มาบดเป็นผง กนิ กบั น้าซาวขา้ ว แบ่งเปน็ 3 เวลา กิน 3 วนั ก็หาย บางคนถา่ ยออกมาเหมอื นถงุ พลาสติก 2.5.2 กลุ่มแพทย์แผนไทยภาคกลาง แม้พืชกระท่อมจะไม่ได้ข้ึนท่ัวไป เช่นเดียวกับภาคใต้ แต่ก็มีรายงานการใช้กระท่อม ส่วนใหญ่เป็น พันธุ์ก้านแดง ก้านเขียว คนงานที่โรงสีนิยมกินกัน มีการซ้ือขายกันในราคาสามใบห้าบาท ใช้ทั้งใบสด และแห้ง ส่วนมากใช้ใบแห้ง ถ้าเคี้ยวกินเพ่ือแก้ปวดท้อง ให้กินแต่น้อยๆ ก่อน เริ่มจากคร่ึงใบแล้วก็ค่อยๆ เพิ่มขนึ้ ผสมนา้ แต่งรสด้วยนา้ ตาล ยังไม่พบวา่ มีผ้เู สพติดใบกระท่อม แต่คนที่ใชบ้ อกวา่ ทก่ี ินประจาเพราะช่วย ให้มีแรงในการทางาน ถ้ากินแล้วเมา จะแก้ไขโดยกินของ รสเปร้ียวตามเข้าไป ถ้ากินโดยไม่รูดก้านออก ใบกระทอ่ มจะออกฤทธแ์ิ รงเกนิ ไป 2.5.3 กลมุ่ หมอพ้นื บา้ นภาคใต้ การใช้พืชกระท่อมเป็นการใช้ตามตารา และการสืบทอดจากบรรพบุรุษ เป็นตารายาท่ัวไปที่มีสูตร ตารับจากหมอผู้เฒ่าบันทึกกันเองไว้ในสมุด แต่ยังไม่เคยพบท่ีเขียนไว้ในใบลาน ส่วนใหญ่ใช้บาบัดโรคท้องร่วง แก้อาการไอ ใช้รักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน สูตรยาได้จากการถ่ายทอดกันมาแบบปากต่อปากจากบรรพบุรุษ มักใช้เป็นสูตรตารับ ไม่ได้ใช้ใบกระท่อมอย่างเดียว เช่น กระท่อม กระเทียมต้น กระเทียมเถา และใบ อินทนิลน้า หมอพ้ืนบ้านมีประสบการณ์ในการใช้ใบกระท่อม เป็นยารักษาโรคท้องร่วงทุกคน จะกินได้ถึง 5 ใบ คร้ังละ 1 ใบ เช้า 1ใบ เย็น 1 ใบ จนกระทั่งหายจากอาการท้องร่วง เม่ือหายก็ให้หยุดใช้ทันที ไม่ต้องกินต่อ วิธีใช้คือ รูดเอาเฉพาะใบไม่เอาก้านและเส้นแขนงใบ ถ้าย่ิงกินจะย่ิงมึน กระท่อมมี 4 รสคือ ขม ฝาด มัน เย็น เช่ือว่าถ้าใช้เป็น จะให้คุณ ถ้าใช้ไม่เป็นจะให้โทษ ในการแก้อาการปวดเมื่อยตามบ้ันเอว จะนากระท่อมไปตาก แห้งแล้วบดเป็นผง นาไปผสมน้าผี้งรวง ปั้นเป็นลูกกลอน กินวันละ 1 เม็ด การใช้กระท่อมเพื่อบาบัดโรค เม่ือหายแล้วให้หยุดกิน จะไม่ติด แต่ถ้ากินเป็นประจาจะติด และเกิดอาการ ไม่พึงประสงค์ เช่น ท้องผูก ซ่ึงแก้โดยใช้ยาระบาย เช่น ชุมเห็ด แต่ถ้าต้องการระดับท่ีรุนแรงข้ึนให้ใช้ตีนเป็ดหรือหญ้ายาง หรือต้นนมสาว และท่ีสาคัญ คือ เม่ือกินกระท่อมจะต้องดื่มน้าตามมากๆ เป็นภูมิปัญญาที่บอกไว้ ชัดเจนในการป้องกันอาการ ท้องผูก บางคนที่ใช้เพื่อบารุงกาลัง จะนาใบกระท่อมแช่น้าร้อนชงแบบชา ใช้ช้อนคน 5-10 นาที แล้วทิ้งไว้ชั่ว ครู่เพื่อใหต้ ัวยาออกฤทธิ์ แลว้ กินเฉพาะน้าฤทธ์จิ ะน้อยกว่าเคี้ยวสด อันตรายจากการใช้กระท่อมเกิดจากการใช้กระท่อมอย่างผิดๆ คือ การกินประจาทุกวัน วันละหลายๆ มื้อ ตลอดท้ังวัน รวมทั้งการกินร่วมกับยาทันใจหรือเหล้า คนท่ีกินประจามีแต่เฉพาะคนที่ใช้ แรงงานเช่น คนกรีดยาง แบกหาม คนกลุ่มนี้มักใช้ ติดต่อกันนาน 5-10 ปี ทาให้กินอาหารได้น้อย ใน 1 วัน

15 จะกินอาหารประมาณ 1 มื้อตอนเช้า ตอนเที่ยงไม่ กิน ตอนเย็นจะรูดใบกระท่อมกินแทนข้าว ทาให้ผอม จะมี อาการกลัวฝน กลัวความเย็น แต่ทนความร้อน ถ้าไม่ได้ใช้ ก็จะมีอาการไข้ปวด ไข้เม่ือย ซึมเศร้า เหงาๆ จะอาเจยี น 2.5.4 กลุ่มหมอพื้นบา้ นภาคกลาง การใช้พืชกระท่อมไม่มีการซ้ือขาย แต่อาจพบได้บ้าง พืชกระท่อมใช้เป็นยาพื้นบ้านแก้อาการปวด ท้องและนามาใช้ในช่วงท่ีมีไข้หวัดนกระบาดค่อนข้างรุนแรง ชาวบ้านเอามาต้มให้ไก่กิน เพราะว่าไก่ขี้ขาว เท่าที่พบเห็นบ่อยคือ คนที่ติดยาเสพติดประเภทต่างๆ จะใช้กระท่อมอดยา ยังไม่เห็นที่เป็นอันตราย นอกจากหน้าดา คนที่ใช้มานานจนอายุ 90 ปี ในขณะนี้ยังกินทุกวัน พบว่าแข็งแรง ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ เชื่อว่าถ้ากินมาก็ทาให้เสพติดเหมือนกัน ไม่เคยพบว่าอดกระท่อมแล้วมีอาการลงแดง และไม่พบว่าเสพ กระท่อมแล้วมีอาการคลุ้มคล่ัง ชาวบ้านกินกระท่อมตอนทานา ช่วยให้มีแรง แต่ไม่ได้ใช้ก็ไม่เป็นอันตราย จะรู้สกึ เพยี งไมค่ อ่ ยสดช่นื กระปร้ีกระเปร่า 2.5.5 กลมุ่ แพทยแ์ ผนไทยในโรงเรยี นแพทย์แผนไทย การใช้กระท่อมพบในกลุ่มคนใช้แรงงาน ทาให้ทางานทน ถ้าไม่ได้กินจะไม่มีแรง แม้จะไม่ได้ทางาน ก็กินเพ่ือให้หลับง่าย คลายกังวลได้ และชาวบ้านยังใช้รักษาบิด ท้องร่วง ในตารับยา แผนโบราณ ก็มีประสระ กระท่อม แก้บิด มูกเลือด แผลในลาไส้ ทาให้นอนหลับง่าย ทาให้มีแรงทางาน ใช้แทนฝ่ินเพื่อป้องกันการลง แดงได้ ซึ่งเป็นความร้ทู ีส่ บื ทอดมาจากบรรพบุรษุ และตารายาแผนโบราณ การกนิ จะใชว้ ิธีเค้ียวใบสด และกินผง ท่บี ดจากใบแห้ง ใบกระท่อมสด 1 กิโลเมตร ตากแห้งและบดแล้ว จะเหลือประมาณ 2 ขีด ใบกระท่อมมีรสขม จะใช้แก้คร่ันเนื้อครั่นตัว ปวดเม่ือยได้ มีรสเฝ่ือน จึงใช้สมานแผลในลาไส้ แก้อักเสบได้ ใช้รสเมาของกระท่อม ฆ่าเชื้อโรคได้ เพ่ิมความดันโลหิตได้ นอกจากนี้ยังใช้รักษาเบาหวาน และโรคตับได้ ถ้ากินมากๆ ใบหน้าจะมีสี เขียว และเป็นโรคพยาธิใบไม้ตับได้ โดยอันตรายท่ีเกิดจากการเสพกระท่อม พบผิวดาเกรียมอย่างเดียว คนเสพกระท่อมแล้วขาดยา ก็ไม่เป็นอันตราย เพียงแต่หงุดหงิดเล็กน้อยเท่าน้ันคล้ายกับคนติดบุหร่ี ถ้าอยาก เสพแลว้ ไมไ่ ด้เสพจะมีอาการเพียงครัน่ เนื้อครนั่ ตัว ข้อมูลจากกลุ่มแพทย์แผนไทยและหมอพื้นบ้าน ทาให้เห็นว่ากระท่อมเป็นพืชสมุนไพรท่ีใช้ในการ รกั ษาโรค ซึ่งได้รับการบันทึกอยู่ในตาราการแพทย์แผนไทยและตารายาไทย ส่วนใหญ่ใช้เป็นสมุนไพรที่เข้าอยู่ ในตารับแก้บิดมวน แก้ท้องเสีย โดยในท้องถิ่นที่มีกระท่อมเป็นจานวนมาก เป็นยาพ้ืนบ้านรักษาอาการปวด ท้อง ทอ้ งเสยี ตลอดจนนามาใชแ้ ก้อาการอดฝ่นิ ใชใ้ นโรคเบาหวาน มีการใชใ้ นชีวิตประจาวัน เพ่ือใหร้ ู้สึกสดช่ืน กระปรี้กระเปร่า มีเรี่ยวแรงทางาน ผลเสียเกิดจากการกินท่ีผิดวิธี ขนาดที่กินมากเกิน และกินติดต่อเป็น เวลานาน แต่เมื่อหยุดกินก็ไม่ได้มีอาการอดยาเหมือนยาเสพติดประเภทอื่นอาจเพียงคร่ันคร่ันตัว อาการอยากจะรนุ แรงน้อยกวา่ เหล้าและบุหรี่

16 2.6 การพัฒนาองค์ความร้เู ก่ยี วกับพืชกระทอ่ มในงานวจิ ยั พืชกระท่อมเป็นที่สนใจของนักวิจัย เร่ิมต้นจากรายงานท่ีค้นพบว่าการใช้ใบและเปลือกของพืช กระท่อมรักษาอาการอดฝ่ินของคนท้องถิ่น ต่อมาได้พบสารอัลคาลอยด์จากใบพืชกระท่อม รายงานทางเภสัช วิทยาในปี พ.ศ.2515 พบว่า Mitragynine มีคุณสมบัติระงับปวด และการไอ เทียบเท่ากับโคเดอีน แตไ่ มท่ าให้อาเจยี น ในตัวสัตว์ทดลอง และไมพ่ บคุณสมบัติดา้ นการเสพติดเหมือนฝิ่น นอกจากน้ยี ังมกี ารคน้ พบ คุณสมบัติระงับการปวด มีกลไกออกฤทธ์ิในสมองท่ี opioid receptors เช่นเดียวกับอัลคาลอยด์จากยางฝิ่น เช่น มอร์ฟีน แต่มีความแรงน้อยกว่ามอร์ฟีนประมาณ 10 เท่า รวมถึงการค้นพบว่ามีฤทธ์ิลดการหล่ังกรดจาก กระเพาะอาหาร ในการศึกษาเรื่อง The effects on motor behaviour and short-term memory tasks in mice following an acute administration of Mitragyna speciosa alkaloid extract and Mitragynine โดย Mustapha และ Mansor (2001) ทาการศึกษาผลการได้รับสารสกัดใบกระท่อมและสาร Mitragynineแบบเฉียบพลัน (Acute administration) ต่อความจาระยะสัน้ (Short-term memory) ด้วยวิธี Y-maze test และพฤติกรรมการเคลื่อนไหว ด้วยวิธี Motor coordination test โดยทาการทดสอบในหนู ที่ได้รับสารสกัดใบกระท่อม และ Mitragynine ที่ความเข้มข้น 20,40,80 mg/kg ผ่านทางปาก ให้ก่อนทาการ ทดสอบเป็นเวลา 60 นาที สาหรับสารสกัดใบกระท่อมและ 30 นาที Mitragynine ส่วนกลุ่มควบคุมจะได้รับ Diazepam, Amphetamine และ Scopolamine ผ่านทาง Intraperitoneal ได้รับก่อนทาการทดสอบ 15 นาที การทดสอบด้วยวิธี Y-maze test ทาแบบจาลองเป็นรูปตัววาย พบว่าสารสกัดใบกระท่อม และสาร Mitragynine ไม่มีผลต่อพฤติกรรมตามธรรมชาติในการเลือกแขนของแบบจาลอง และการทดสอบ Motor coordination test พบว่าสารสกัด ใบกระท่อมและสาร Mitragynine ท่ีความเข้มข้น 20, 40, 80 mg/kg ไมม่ ีผลต่อ Motor coordination ด้านรายงานทางคลินิกยังมีการศึกษาค่อนข้างน้อย การศึกษาทางคลินิกช้ินแรกที่ทาข้ึนในปี พ.ศ. 2472 โดยรายงานการศึกษาผู้เสพติดกระท่อมในประเทศไทย โดย นายแพทย์สงัน สุวรรณเลิศ เป็น รายงานชิ้นท่ีสองทาการศึกษาชาย 29 หญิง 1 ภายหลังให้เค้ียวใบกระท่อม จะเห็นผลในเวลา 5-10 นาที จะ บ่งบอกอาการท่ีเป็นสุข มีความกระปร้ีกระเปร่า ต้องการจะทางานแม้ท่ามกลางแดดจัด ผู้ท่ีเสพนานจะเบ่ือ อาหาร นอนไมห่ ลับ น้าหนกั ลด อาการคล้ายผูป้ ่วยซึมเศรา้ หากใชต้ ิดต่อกันเวลานานจะทาให้ปากแห้ง คอแห้ง ปัสสาวะบ่อย ทอ้ งผูก อุจจาระแขง็ เป็นก้อนเล็กๆ นอนไม่หลับ น้าหนักลด ผิวหนังดาเกรียม ถ้าหยุดใช้จะเกิด อาการถอนยา คือ น้าตาไหล น้ามูกไหล หงดุ หงิด ปวดเมอื่ ยตามตัว เหงอ่ื ออกมาก นอนไมห่ ลับ รายงานการศึกษาเร่ือง A Case Report of InpatientDetoxification after Kratom (Mitragyna speciosa) Dependence ของ Morris L McWhirter (2010) ผู้ป่วยเพศชายอายุ 44 เข้ารับการรักษาด้วย อาการติดสุรา (Alcohol dependence syndrome) มีรายงานการใช้ cocaine ในทางที่ผิดรวมถึงอาการ

17 หดหู่ (depression) และภาวะวิตกกังวล (anxiety syndrome)ผู้ป่วยเริ่มมีการใช้กระท่อมได้จากการส่ัง ทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งผู้ป่วยคาดหวังว่าการกินใบกระท่อมนั้นจะทาให้อาการภาวะวิตกกังวลดีขึ้น ในการกินใบ กระท่อมจะผสมกับน้า หรือนมก่อนดื่ม ทานคร้ังแรก 4 กรัม ทาให้รู้สึกความสุข เคลิบเคล้ิม (Euphoria) ขยัน ทางาน (Industriousness) และผ่อนคลาย (Relaxation) หลังจากน้ัน 9 เดือนจึงเพ่ิมปริมาณขึ้นเป็น 8 กรัม และเป็น 12.5 กรัม 2 คร้ังต่อวัน ซึ่งโดยรวมแล้วในหนึ่งวันปริมาณสูงสุดท่ีผู้ป่วยเคยกินใบกระท่อมอยู่ที่ 40 กรัม ภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากน้ัน ผู้ป่วยจึงเร่ิมอยากที่จะถอนยาเพราะเกิดความรู้สึกกังวล อยากตาย เมื่อเข้ารับการรักษาจึงได้ทาการตรวจร่างกายอย่างละเอียด และพบว่ากระท่อมมีผลต่อ µ-opioid receptor agonist และ เป็นไปได้ว่า α-adrenoceptor agonist ถูกกระตุ้นจากใบกระท่อม ดังน้ันจึงรักษาโดยการให้ dihydrocodeine 60 มิลลกรัม 4 คร้ังต่อวัน และ lofexidine 0.2 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวัน ในช่วง 2 วันแรกที่ ทาการรักษาผู้ป่วยมีอาการกระวนกระวาย หนาวสั่น อ่อนเพลีย อาเจียน นอนหลับยาก ระคายเคือง และมีอาการส่ันตลอดเวลา เมื่อเข้าวันที่ 3 อาการดีขึ้นจึงลดปริมาณ dihydrocodeine เหลือ 30 มิลลิกรัม และคงปริมาณยา lofexidine ถึงวันท่ี 4 ผู้ป่วยมีอาการที่ดีขึ้นเกือบเหมือนปกติ และแพทย์อนุญาตให้กลับ บ้าน ซึ่งแพทย์ผู้ทาการรักษาให้ความเห็นว่ารายงานในครั้งน้ีจะเป็นประโยชน์ในการวินิจฉัยอาการ ผู้ตดิ กระทอ่ ม และยาที่สามารถชว่ ยถอนยาจากกระท่อมไดอ้ ีกดว้ ย รายงานเร่ือง A Drug Fatality Involving Kratom โดยนีมาน และคณะ (2013) พบผู้ป่วย ไม่รู้สึกตัวอยู่บนเตียงจึงนาตัวส่งโรงพยาบาล และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ผู้เสียชีวิตอายุ 17 ปี สภาพมีตอนถูก พบมีร่องรอยการอาเจียนออกมา และในบริเวณเดียวกันมีการพบซองบรรจุแคปซูลใบกระท่อม และใบกระท่อมชนิดของเหลว จากการสืบค้นประวัติผู้เสียชีวิตพบว่ามีภาวะเสพติดเฮโรอีน ป่วยด้วยโรคปวด หลังเรื้อรัง มีภ าวะซึมเศร้าและมีประวัติพยายามฆ่าตั วตาย เม่ือทาการชันสูตรศพผู้เสียชีวิต พบว่า มีภาวะ pulmonary congestion ภาวะอาการบวม รวมถึงการเกิด distended bladder เม่ือทาการ วิเคราะห์ผลเลือดผู้เสียชีวติ พบวา่ มปี ริมาณสาร Mitragynine 0.60 mg/L ซ่ึงพบในเลือดผเู้ สยี ชวี ติ มากท่ีสุด แพทย์จึงระบุได้ว่า สาเหตุการเสียชีวิตเกิดจากการได้รับสาร Mitragynine จากใบกระท่อมสูงเกินไปจึงส่งผล ต่อระบบไหลเวียนโลหิต และทางเดินหายใจนั้นเอง จึงมีความเป็นไปได้ว่าการได้รับใบกระท่อมในปริมาณ ที่สูงเกนิ ไปสง่ ผลความเปน็ พิษต่อรา่ งกาย และอาจทาให้เกิดการเสียชีวติ ได้ ร า ย ง า น เ รื่ อ ง Seizure and coma following Kratom (Mitragynina speciosa Korth) exposure ของเนลเซ็นและคณะ (2010) พบผู้ป่วยอายุ 46 ปี มีอาการหมดสติ และเกิดอาการชัก ซ่ึงก่อน หน้าที่จะมีอาการผู้ป่วยได้ดื่มชาท่ีมาจากใบกระท่อม และดอกลาโพงม่วง ผู้ป่วยมีประวัติเข้ารับการผ่าตัดลาไส้ มีอาการปวดเรื้อรัง และมีภาวะซึมเศร้า ได้รับการรักษาโดยให้ยา amitriptyline, oxycodone และ Kratom ติดสรุ า และสบู บุหร่ี เมื่อมาถึงโรงพยาบาลผปู้ ่วยยังไม่ร้สู ึกตัวและเกิดการชักคร้ังท่ี 2 แพทย์ผู้ทาการรักษาจึง

18 ได้ให้ยา lorazepam 2 มิลลิกรัม และ phenytoin 1 กรัม เม่ือผู้ป่วยฟื้นตัวจึงได้แจ้งแพทย์ว่าใช้กระท่อม ด้วยตนเองเป็นประจาเพ่ือรักษาอาการปวดเรื้อรัง และเมื่อทาการตรวจปัสสาวะของคนไข้ด้วยวิธี HPLC-ESI/MS/ MS พบปริมาณสาร Mitragynine 167±15 ng/ml ซึ่งสาเหตุของอาการชักและอาการไม่ รู้สึกตัว อาจเกิดจากที่สาร Mitragynine ไปจับหรือกระตุ้น adrenergic และหรือ serotonergic receptors ซึง่ มลี ักษณะคลา้ ยกบั Tramadol รายงานเรื่อง Self-treatment of opioid withdrawal using kratom (Mitragynia speciosa korth) โดยบอยเออร์และคณะ (2008) Boyer ทาการศึกษาผู้ป่วยอายุเข้ารับการรักษาอาการชักเกร็งกระตุก ท้ังตัว (Generalized tonic-clonic seizure) มีประวัติการปวดเรื้อรังจากกลุ่มอาการกดรัดหลอดเลือดและ เส้นป ระสาท บ ริเวณ ท างออกท รวงอก (Thoracic outlet syndrome) ทาการรักษ าโดยได้รับ ยา hydromorphone และเริ่มฉีดยาชนิดนี้ด้วยตัวเองโดยนายามาบดและฉีดเข้าใต้ผิวหนึ่ง หลังจากใช้ยาชนิดนี้ เป็นระยะเวลาหน่ึงต้องการถอนยาจึงใช้กระท่อม ทาในรูปชาด่ืม 4 ครั้งตอ่ วนั หลังจากน้นั ผู้ป่วยจึงทดลองผสม ยา 100 มิลลิกรัมระหว่าง modafinil และกระท่อม หลังจากน้ัน 20 นาทีผู้ป่วยจึงเร่ิมมีอาการชักเกร็งกระตุก ทั้งตัว เปน็ เวลานาน 5 นาที โดยผู้ปว่ ยระบุวา่ การใช้ใบกระทอ่ มน้ัน ใชใ้ นปริมาณนอ้ ย แตม่ ีประสิทธิภาพที่ดีใน การถอนยา แต่มีการออกฤทธิ์ท่ียาวนานกว่ายากลุ่มเดียวกัน เม่ือเทียบกับใบสั่งยาที่ได้รับ ซ่ึงสาเหตุเกิดจาก สาร Mitragynine เข้าจับกับ mu และ kappa-opioid receptors แต่การเพิ่มสารท่ีเป็นกลุ่ม receptor affinities จะยิง่ เพมิ่ ประสทิ ธิภาพของสาร Mitragynine มากขนึ้ รายงานเรือ่ ง Intrahepatic Cholestasis Following Abuse of Powdered Kratom (Mitragyna speciosa) โดย แคป์ปและคณะ (2011 ) พบผู้ป่วยเพศชายอายุ 25 ปี ส่ังกระท่อมจากอินเตอร์เน็ตชนิดแบบ ผง กินคร้ังละ 2 ช้อนชา 2 ครั้งต่อวัน (2.3-3.5 กรัม หรือเท่ากับ 8-9 ใบกระท่อมแบบแห้ง) ต่อเน่ืองเป็นเวลา 2 อาทิตย์จากน้ันผู้ป่วยได้เพ่ิมขนาดยาข้ึนเป็น 4-6 ช้อนชาต่อวัน โดยไม่ได้กินยาชนิดอ่ืน อาหารเสริมหรือ แอลกอฮอล์ร่วมด้วย ผู้ป่วยให้ข้อมูลว่าหลังจากการกินใบกระท่อมเข้ามีความรู้สึก สงบ ผ่อนคลาย เหน่ือย นอ้ ยลง ไมห่ วิ ต่อมาผปู้ ่วยไดห้ ยดุ การกินกระทอ่ มได้ 2 วนั มีอาการกลนื ลาบาก อาการเปน็ อยู่ 1 อาทิตย์ 5 วัน หลังจากที่หยุดกินใบกระท่อม ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายท้อง ในวันท่ี 8 หลังจากหยุดกินใบกระท่อม ผู้ป่วยปัสสาวะ ออกมาเป็นสีน้าตาล วันถัดมามีลักษณะอาการคล้ายโรคดีซ่าน และมีอาการผื่นคัน จึงเข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลและทาการตรวจร่างกายเพ่ือหาสาเหตุ แต่ผลจากการตรวจไม่พบส่ิงบ่งช้ีของการเป็นโรคดีซ่าน รวมถงึ การติดเช้อื การอกั เสบของกระเพาะปัสสาวะ เม่อื นาปัสสาวะไปตรวจไม่พบยาอย่ใู นปัสสาวะแต่พบสาร Mitragynine ในปัสสาวะจากการตรวจโดยใช้ GC-MS เมื่อนาตัดช้นิ เน้ือตับไปตรวจ พบวา่ ยาเป็นตัวเหนี่ยวนา ให้เกิดภาวะตับอักเสบจากการน้าดีคั่ง (cholestatic injury) โดยไม่พบเซลล์ตับถูกทาลาย นอกจากน้ีหลังจาก หยุดกินกระท่อมผู้ป่วยให้ข้อมูลว่ามีอาการอ่อนแรงและนอนไม่หลับ จากการเก็บข้อมูลผู้ป่วยในยัง

19 พบว่า หลังจากหยุดกินกระท่อมและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแล้ว สาร Mitragynine ยังถูกพบใน ปัสสาวะผู้ป่วยแม้ว่าจะเลิกกินกระท่อมไปแล้ว 2 อาทิตย์ ซึ่งสามารถอนุมานได้วา่ สาร Mitragynine มีค่าครึ่ง ชีวติ ที่ยาวนาน และอีกสาเหตุหนึ่งเกิดจากผูป้ ่วยกินกระทอ่ มในปรมิ าณทเ่ี กนิ ขนาด เปน็ ระยะเวลานานจึงทาให้ เกิดพยาธิสภาพทต่ี ับ รายงานการใช้และผลกระทบของพืชกระท่อมทางคลินิกเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ท่ีสาคัญต่อการใช้ ประโยชน์จากพืชกระท่อม เพื่อการป้องกันและรักษาโรค ตลอดจนอาการเจ็บป่วยต่างๆ แต่จาเป็นต้องมีการ เฝ้าระวัง กากับและควบคุมเพราะมีสารที่ก่อให้เกิดอันตรายและเกิดการเสพติดได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก ปัจจุบันพืชกระท่อมเป็นยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายยาเสพติด นับเป็นอุปสรรคในการทาการศึกษาพืช กระทอ่ มเช่นกรณีท่ีเกิดกับทีมวจิ ัยสังกัดมหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ทรี่ วมกลุ่มกันทาวจิ ัยกระทอ่ ม เน่ืองจาก เห็นว่าชาวบ้านในภาคใต้มีการใช้กระท่อมอย่างแพร่หลาย และสังคมยังขาดความรู้ที่ชัดเจนเก่ียวกับพืช กระท่อม โดยเฉพาะพิษภัยหรือสรรพคุณท่ีแท้จริง อีกท้ังยังต้องการพิสูจน์สรรพคุณในด้านการลดน้าตาลใน กระแสเลอื ด จะช่วยให้สังคมระดับครอบครัวและชุมชนที่มวี ัฒนธรรมใช้กระทอ่ มในชีวิตประจาวนั มคี วามสบาย ใจขึ้น แต่ไม่สามารถจัดหาวัตถุดิบใบพืชกระท่อมเพ่ือดาเนินการวิจัย นักวิจัยที่สนใจเรื่องพืชกระท่อมจึง พยายามเสนอให้ทบทวนการจัดกระท่อมเข้าไปอยู่ในบัญชีรายการยาเสพติดตามกฎหมายยาเสพติดให้โทษ โดยใหท้ าการศึกษาหาขอ้ มลู ใหแ้ น่ใจและมีขอ้ มลู สนับสนุนเพยี งพอวา่ กระท่อมทาใหเ้ กดิ การเสพติดหรือไม่

20 บทท่ี 3 วิธกี ารดาเนินการวิจัย การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ทาการสารวจหมอพ้ืนบ้านภาคใต้ของประเทศไทยจานวน 8 จงั หวดั พบวา่ หมอพ้นื บ้านที่มีการใช้พืชกระท่อมเปน็ ยาหรอื ตารับยารักษาโรคจรงิ 3.1 การลงพืน้ ทศี่ ึกษา เลือกพ้ืนที่ภาคใต้ 8 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดสตูล จังหวัดพัทลุง จังหวัดสงขลา จังหวัด นครศรีธรรมราช จังหวัดชุมพร จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดตรัง และจังหวัดกระบ่ี โดยเลือกหมอพื้นบ้านท่ีมี ประสบการณใ์ นการรกั ษา โรคมากกวา่ 10 ปี ได้กลุ่มตวั อยา่ งทง้ั สนิ้ จานวน 39 ราย (คน) 3.2 ระยะเวลาในการศกึ ษา ใชร้ ะยะเวลาในการศึกษา ตงั้ แต่วันที่ 1 ตุลาคม 2557 – 30 กันยายน 2558 3.3 ระเบียบวธิ ีวิจัย การศึกษาน้เี ป็นการวจิ ยั เชิงคุณภาพ 3.4 ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่างท่ศี ึกษา หมอพื้นบ้านท่ีมีประสบการณ์ไม่น้อยกว่า 10 ปี และประสบการณ์การใช้พืชกระท่อมในการรักษา โรคของหมอพน้ื บ้าน 3.5 การเก็บรวบรวมขอ้ มลู คณะผู้ศกึ ษาขอนาเสนอผลการศึกษาตามหวั ข้อดงั ต่อไปนี้ ตอนท่ี 1. องค์ความรวู้ ิธีการใช้พชื กระท่อมในการรักษาโรคจากหมอพืน้ บา้ น ตอนท่ี 2. ประสบการณก์ ารใช้พชื กระท่อมในการรกั ษาโรคจากหมอพ้ืนบ้าน ตอนที่ 3. ประสบการณผ์ ปู้ ่วยทใ่ี ชพ้ ืชกระทอ่ มในการรกั ษาโรคจากหมอพน้ื บ้าน

21 ตอนที่ 1 องค์ความรู้วิธีการใช้พืชกระท่อมในการรักษาโรคจากหมอพนื้ บา้ น หมอพื้นบ้านภาคใต้ 8 จังหวัด รวมจานวน 39 ราย (คน) ดังน้ี จังหวัดสตูล 9 ราย, จังหวัดชุมพร 6 ราย, จังหวัดพัทลุง 8 ราย, จังหวัดตรัง 2 ราย, จังหวัดสงขลา 7 ราย, จังหวัดกระบี่ 1 ราย, จังหวัด นครศรีธรรมราช 4 ราย, จงั หวดั สุราษฎร์ธานี 2 ราย 1.1 การจาแนกประเภทและวธิ กี ารใช้พชื กระทอ่ มในการรกั ษาโรคจากหมอพืน้ บ้าน การจาแนกประเภทยาสมุนไพรทม่ี ีพืชกระท่อมเป็นสว่ นประกอบ จานวน ยาเด่ยี ว 64 ยาสมุนไพรทีป่ ระกอบดว้ ยส่วนผสมชนดิ เดยี วซง่ึ ไมม่ ีสว่ นผสมของสมนุ ไพรชนดิ อนื่ อยูเ่ ลย ยาตารับ 44 ยาท่ีมีสูตรหรือส่วนผสมของยาสมุนไพรต้ังแต่ 2 ชนิดข้ึนไป ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว 108 ของแต่ละบุคคล ท่ีเป็นผู้ปรุงยาสมุนไพรชนิดน้ันข้ึนมา (สูตรลับหรือส่วนผสมของผู้ปรุง เอง) รวม ตารางท่ี 1 จากการศึกษาจาแนกประเภทวิธีการใช้พืชกระท่อมในการรักษาโรคจากหมอพื้นบ้าน 39 คน สามารถจาแนกแบง่ ไดอ้ อกเปน็ 2 ประเภท คอื ประเภทท่ี 1 คือ ยาเด่ียว ซง่ึ เป็นยาสมนุ ไพรท่ีประกอบไปด้วยส่วนผสมชนิดเดียวกัน ซ่ึงไมม่ ีส่วนผสม ของสมุนไพรชนิดอ่ืนอยเู่ ลย 64 รายการ

22 ประเภทท่ี 2 คือ ยาตารับ ซ่ึงเป็นยาที่มีสูตรหรือส่วนผสมของยาสมุนไพรตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป ซ่ึงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละบุคคลท่ีเป็นผู้ปรุงยาสมุนไพรชนิดน้ันขึ้นมา (สูตรลับหรือส่วนผสมของผู้ ปรุงเอง) 44 รายการ แสดงให้เห็นว่า จากการใช้พืชกระท่อมจานวน 108 ประเภทของหมอพ้ืนบ้าน พบวา่ ประเภทยาเดี่ยวมากกวา่ ยาตารับ ลาดบั ที่ ส่วนที่ใช้ (พชื กระท่อม) จานวน 1 ใบกระทอ่ ม 101 2 เปลือกต้น 5 3 เนอ้ื ไม้ 2 รวม 108 ตารางท่ี 2 จากการศึกษาส่วนท่ีใช้ของพืชกระท่อม สามารถจาแนกออกได้เป็น 3 ส่วน คือ 1) ใบกระท่อม 101 รายการ 2) เปลือกไม้ 5 รายการ 3) เนื้อไม้ 2 รายการ จากจานวนรายการ ทั้งส้ิน 108 รายการยาท่ีใช้พืชกระท่อมเป็นยาหรือส่วนประกอบในตารับ พบว่า หมอพ้ืนบ้านใช้ใบกระท่อม ในการปรุงยารักษาโรคสงู สุดเมอ่ื เทียบกบั เปลอื กต้นและเนื้อไม้ ตามลาดับ ลาดบั ที่ วิธกี ารเตรยี ม/ปรุงยา จานวน 1 ต้มน้า 49 2 กระท่อมสด 33 3 ตาพอละเอยี ด 10 4 บดผงป้ันลูกกลอน 7 5 บดผงละลายนา้ 5 6 ยาประสมมวนบุหรี่ 2 7 บดผงบรรจแุ คปซูล 1 8 ตม้ แลว้ คั่วไฟอ่อน 1 108 รวม ตารางท่ี 3 จากการศึกษาวิธีการเตรียม/ปรุงยา เห็นได้ว่าหมอพื้นบ้านใช้วิธีการปรุงยาที่หลากหลาย แบ่งออกได้เป็น 8 ประเภท ดังนี้ 1) ต้มน้า 49 รายการ 2) กระท่อมสด 33 รายการ 3) ตาพอละเอียด 10 รายการ 4) บดผงปั้นลูกกลอน 7 รายการ 5) บดผงละลายน้า 5 รายการ 6) ยาประสมมวนบุหรี่ 2 รายการ 7) บดผงบรรจุแคปซูล 1 รายการ 8) ต้มแลว้ ค่ัวไฟอ่อน 1 รายการ พบว่า หมอพื้นบ้านใช้วธิ กี ารเตรียม/ปรุงยา โดยวิธีการต้มน้าสูงที่สุด และรองลงมาคือกระท่อมสด ตาพอละเอียด บดผงปั้นลูกกลอน บดผงละลายน้า บดผงบรรจุแคปซลู ต้มแล้วควั่ ไฟออ่ น ตามลาดบั

23 ลาดบั ท่ี วิธีการใช้ จานวน 1 ดม่ื 54 2 เคี้ยวกลืนเอาแตน่ ้า 33 3 พอก 10 4 กลนื 8 5 สบู เอาควัน 2 6 ทาภายนอก 1 รวม 108 ตารางที่ 4 จากการศึกษาวิธีการใช้ในการรักษาต่อผู้ป่วย สามารถจาแนกวิธีการใช้เป็น 6 ประเภท ดังนี้ 1) ดื่ม 54 รายการ 2) เค้ียวกลืนเอาแต่น้า 33 รายการ 3) พอก 10 รายการ 4) กลืน 8 รายการ 5) สูบเอาควัน 2 รายการ และ 6) ทาภายนอก 1 รายการ พบว่า หมอพ้ืนบ้านใช้วิธีการดื่มยาต้มสูงที่สุด รองลงมา คอื เอาแต่น้า เคยี้ วกลนื พอก กลนื สูบเอาควนั และทาภายนอก ตามลาดับ ลาดับที่ สรรพคณุ จานวน 1 ชว่ ยลดระดับน้าตาลในเลือด 17 2 แก้ท้องเสีย 16 3 แก้ไอ 13 4 ชว่ ยสมานแผล/ห้ามเลือด 11 5 แกป้ วดท้อง 10 6 แก้ปวดเมื่อย 9 7 ช่วยลดความดันโลหิต 7 8 ช่วยลดไขมนั 3 9 แก้ปวดท่ัวไป 3 10 แกป้ วดศรี ษะ 3 11 ช่วยลดอาการหอบหืด 2 12 บารงุ กาลงั 2 13 บารงุ กาหนดั 2 14 แก้ท้องร่วง 2 15 แก้ปวดข้อ 2 16 ชว่ ยทาให้อาเจยี น 1 17 ช่วยรักษาแผลเบาหวาน 1 18 แกป้ วด บวม แดง รอ้ น 1

24 ลาดบั ท่ี สรรพคณุ (ต่อ) รายการ 19 แก้ปวดประจาเดือน 1 20 รักษามะเร็ง 1 21 แก้ไอเรือ้ รัง (มเี สมหะ) 1 22 แกเ้ จ็บคอ 1 23 แกผ้ เู้ สพตดิ กระทอ่ ม 1 รวม 108 ตารางท่ี 5 สรรพคุณที่ใช้พืชกระท่อมในการรักษาโรคเป็นส่วนประกอบในตารับยา/ยาเดี่ยว พบว่า ตารับยา/ยา พืชกระท่อมมีสรรพคุณแบ่งออกได้เป็น 23 รายการ ดังนี้ 1) ช่วยลดระดับน้าตาลในเลือด 17 รายการ 2) แก้ท้องเสีย 16 รายการ 3)แก้ไอ 13 รายการ 4) ช่วยสมานแผล/ห้ามเลือด 11 รายการ 5)แก้ปวดท้อง 10 รายการ 6) แก้ป วดเม่ือย 9 รายการ 7) ช่วยลดความดันโลหิ ต 7 รายการ 8) ช่วยลดไขมัน 3 รายการ 9) แก้ปวดทั่วไป 3 รายการ 10) แก้ปวดศีรษะ 3 รายการ 11) ช่วยลดอาการ หอบหืด 2 รายการ 12) บารุงกาลัง 2 รายการ 13) บารุงกาหนัด 2 รายการ 14) แก้ท้องร่วง 2 รายการ 15) แก้ปวดข้อ 2 รายการ 16) ช่วยทาให้อาเจียน 1 รายการ 17) ช่วยรักษาแผลเบาหวาน 1 รายการ 18) แก้ปวด บวม แดง ร้อน 1 รายการ 19) แก้ปวดประจาเดือน 1 รายการ 20) รักษามะเร็ง 1 รายการ 21) แก้ไอเรื้อรัง (แบบมีเสมหะ) 1 รายการ 22) แก้เจ็บคอ 1 รายการ และ 23) แก้ผู้เสพติดกระท่อม 1 รายการ พบว่า สรรพคุณที่หมอพื้นบ้านใช้สูงที่สุดคือ แก้ปวด รองลงมา คือ ช่วยลดระดับน้าตาลในเลือด แกอ้ าการทอ้ งเสีย แกไ้ อ และช่วยสมานแผล/หา้ มเลือด ฯลฯ ตามลาดบั ตอนท่ี 2 ประสบการณก์ ารใชพ้ ชื กระท่อมในการรกั ษาโรคจากหมอพ้นื บา้ น 2.1 แพทย์แผนไทย D01/Tr แพทย์แผนไทย จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ประกอบอาชีพรับราชการ ตาแหน่ง แพทย์แผนไทย สานักงานสาธารณสุขจังหวัดตรัง มีความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคความดันโลหิตสูงและโรคหอบหืด ประสบการณ์ในการรักษาโรคดว้ ยกระท่อม 10 ปี โดยไดร้ ับความรู้ ในการรกั ษาโรคด้วยพืชกรกะทอ่ มจากครูที่ เปน็ หมอพ้นื บ้าน และเกดิ จากการสะสมประสบการณ์ ดว้ ยตนเอง ด้านการนามาใช้ประสิทธิภาพและความปลอดภัย ท่านเห็นด้วยกับการใช้พืชกระท่อมในการรักษา โรค ซ่ึงแหล่งสมุนไพรพืชใบกระท่อมไดม้ าจากบ้านของประชาชนในหมู่บ้าน จากการสัมภาษณ์พืชใบกระท่อม สามารถนามารกั ษาโรคได้ 3 อาการ ตารบั ยา/ยาท่ใี ช้พืชกระท่อมในการรักษา สูตรที่ 1 ยาเบาหวาน กระท่อม 3-4 ใบ วิธีการใช้/ขนาดรับประทาน ใช้ใบสดเคี้ยวกลืนแต่น้า รับประทาน 2-3 ครง้ั /วนั ชว่ ยลดระดับน้าตาลในเลอื ด

25 สูตรท่ี 2 ยาหอบหืด (สูตร 3 คูณ 100) กระท่อม ใบยาสูบของอเมริกา (ยี่ห้อใบคุ่ม) ใบยาสูบของไทย (ยีห่ ้อดาว) วิธีการใช้/ขนาดรับประทาน ยาประสมแลว้ มวนบหุ ร่ี โดยนาส่วนผสมท้ังหมดมาซอยและตากใหแ้ ห้ง แล้วนามาสูบโดยใช้กระดาษสูบยาหรือใบจาก ห่อขนาดมวนเท่ากับด้ามปากกาหรือใหญ่กว่าก็ได้ อยู่ท่ีหาส่วนประกอบได้หรือหาไม่ได้สูบ 1-2 มวน/ครั้ง เช้า–เที่ยง-เย็น สูบหลังอาหารหรือยามว่าง ตอ้ งสูบอย่างตอ่ เนื่องไม่มผี ลข้างเคยี งจะชว่ ยลดอาการหอบหืดได้เป็นอย่างดี ชว่ ยลดอาการหอบหืด สูตรที่ 3 ยาหอบหืด (สูตร 4 คูณ 100) กระท่อม ใบชุมเห็ดเทศ ใบยาสูบของอเมริกา (ย่ีห้อใบคุ่ม) ใบยาสูบของไทย (ย่ีห้อดาว) ยาประสมแล้วมวนบุหรี่ สูบเอาควัน ช่วยลดอาการหอบหืด วิธีการใช้/ขนาด รับประทาน ยาประสมแล้วมวนบุหร่ี โดยนาส่วนผสมท้ังหมดมาซอยและตากให้แห้ง แล้วนามาสูบโดย ใช้กระดาษสูบยาหรือใบจาก ห่อขนาดมวนเท่ากับด้ามปากกาหรือใหญ่กวา่ กไ็ ด้ อยู่ที่หาสว่ นประกอบได้หรือหา ไม่ได้สูบ 1-2 มวน/คร้ัง เช้า–เท่ียง-เยน็ สูบหลังอาหารหรือยามว่าง ต้องสูบต่อเน่ืองไม่มีผลข้างเคียงจะช่วยลด อาการหอบหดื ได้เป็นอยา่ งดี ช่วยลดอาการหอบหืด ข้อควรระวัง สามารถรักษาร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบันได้ ควรระวังผลข้างเคียงของกระท่อมคือผู้ใช้ จะไม่สู้ฝนแต่จะทนต่อแดดร้อน ติดตามผลการรักษาโดยการสังเกต โดยหลังรับประทานห้ามอาบน้าฝนหรือ โดนฝน วิธีแก้ไขสาหรับในผู้ป่วยที่ต้องใช้ใบกระท่อม คือใช้ผสมกับส่วนประกอบอ่ืนๆเพ่ือหลีกเลี่ยงกฎหมาย พืชกระทอ่ มทีน่ ามาใชน้ ามาจากบา้ นของชาวบ้าน สายพนั ธุ์ก้านแดง ความเห็น/ทัศนคติท่ีมีต่อการใช้พืชกระท่อม กระท่อมถือเป็นพืชเสพติดแต่ควรนามาใช้ในวงการ แพทย์เท่านั้น ควบคุมปริมาณ และเห็นด้วยกรณีกระทรวงยุติธรรมจะแก้กฎหมายให้ยกเลิกพืชใบกระท่อมพ้น จากบัญชียาเสพติดหากนามาใช้ในวงการแพทยเ์ ท่านั้น ควรมีการใหพ้ นื้ ที่ปลกู ท่ีชัดเจนและมีการข้ึนทะเบียนให้ ถกู ตอ้ ง 2.2 หมอพืน้ บ้าน D02/Tr หมอพ้ืนบ้านมีความเช่ียวชาญในการนวดแผนไทย และใช้ยาสมุนไพร เช่น ธาตุพิการ ภูมิแพ้ ยาใส่แผล (แผลสด, แผลเปื่อย, แผลเบาหวาน, น้าร้อนลวก) มีประสบการณ์ในการรักษาโรคด้วยพืชกระท่อม มาแล้ว 50 ปี ได้รับการสืบทอดความรู้ในการรักษาจากบรรพบุรุษ ปัจจุบันได้ถ่ายทอดความรู้ให้กับบุตรสาว และบตุ รชาย ด้านการนามาใช้ประสิทธิภาพและความปลอดภัย ท่านเห็นด้วยกับการใช้พืชกระท่อมในการรักษา โรค สายพันธ์ุกระท่อมที่ใช้ในการรักษาใช้ทั้งก้านแดงและก้านขาว และท่านไม่ได้ปลูกต้นกระท่อมเองแต่ใช้วิธี ไปหาตามแหลง่ น้า แตป่ ลูกพืชสมนุ ไพรอ่นื ๆเพ่อื แนะนาผสู้ นใจในการรักษา ตารบั ยา/ยาทใี่ ชพ้ ืชกระทอ่ มในการรกั ษา ตารับยารักษาโรคกระเพาะอาหาร ฟ้าทะลายโจร 1 บาท ย่านาง 1 บาท กระท่อม 1 สลึง และ บอระเพ็ด 1 บาท

26 วิธีการใช้/ขนาดรับประทาน นาส่วนประกอบทั้งหมดตากแดดให้แห้งแล้วบดบรรจุแคปซูล รับประทาน 1-2 แคปซลู ก่อนอาหารเชา้ เยน็ ชว่ ยลดน้าย่อย (นา้ ดี) ไมใ่ หก้ ดั กระเพาะ ข้อควรระวัง ผู้ป่วยท่ีมารับการรักษาต้องหยุดยาแผนปัจจุบันแล้วทาการรักษากับหมอพื้นบ้านอย่าง เดียว ในแต่ละเดือนมีผู้ป่วยมารับการรักษา 15 คน/เดือน ผลจากการใช้พืชใบกระท่อมในการรักษา ใหผ้ ลดผี ปู้ ่วยอาการดีข้นึ ไมม่ ผี ลขา้ งเคียงในการรักษา ผู้ป่วยสามารถรบั ประทานอาหารได้ปกติ ความเหน็ /ทัศนคติตอ่ การใช้พชื กระท่อมกระท่อมถือควรนามาใชใ้ นวงการแพทย์เท่านั้น กระท่อมถ้า ใช้ปริมาณน้อย ใช้ถูกต้องจะเป็นยาถ้าใช้มากไปจะกลายเป็นพืชเสพติด เห็นด้วยกรณีกระทรวงยุติธรรมจะแก้ กฎหมายให้ยกเลิกใบกระท่อมพ้นจากบัญชียาเสพติดหากนามาใช้ในวงการแพทย์เท่าน้ัน ควรมีการควบคุม ปริมาณ พื้นท่ีปลูกให้ชัดเจนและมีการขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง และคิดว่ากระท่อมสามารถลดการใช้ยาแก้ ท้องเสีย แกป้ วด แทนยาแผนปัจจบุ นั ได้ 2.3 หมอพื้นบ้าน D08/Pl หมอพื้นบ้าน เป็นหมอแผนโบราณสาขาเภสัชกรรม มีความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคริดสีดวง 12 จาพวก จับเส้น เบาหวาน เก๊าท์ (จ่ายยาว่าน) แก้เป็นลม มะเร็งทุกจุด มีประสบการณ์ในการรักษาโรค มาแล้ว 10 ปี ไดร้ บั การสืบทอดความรู้จากบรรพบรุ ษุ ปัจจุบนั ทา่ นได้ถ่ายทอดความรใู้ หก้ บั ลกู พ่ลี กู น้อง ด้านการนามาใช้ประสิทธิภาพและความปลอดภัย ท่านเห็นด้วยกับการใช้พืชกระท่อมในการรักษา โรค พืชกระท่อมท่ีนามาใช้ในการรักษาปลูกเอง จานวน 1 ต้น สายพันธ์กระท่อมท่ีนิยมนามาใช้รักษาคือ กระท่อมก้านแดง ซ่ึงผู้ที่มารักษาสามารถรักษาร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบันได้ แต่ส่วนมากผู้ป่วยจะหยุดยาแผน ปัจจุบันเองจานวนผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาเฉล่ีย 10 คนต่อเดือน ผู้ป่วยส่วนใหญ่มารักษาด้วยโรคเบาหวาน ปวดท้องท้องเสีย ผลของการใช้พืชใบกระท่อมในการรักษาผู้ป่วยหาย 5 ใน 10 ข้ึนอยู่กับพฤติกรรมของผู้ป่วย เอง ไมม่ ผี ลขา้ งเคียงหลงั จากการใช้พืชกระทอ่ มเนื่องจากนามาใชเ้ ปน็ ยาในการรักษาและใชต้ ามขนาด ถกู วิธี ตารับยา/ยาทีใ่ ชพ้ ชื กระทอ่ มในการรักษา ตารับที่ 1 ยาเบาหวาน ประกอบด้วย กระท่อม ใบตองแห้ง (ไม่ใช่ใบกล้วย) หัวจาก หญ้าก้านธูป (ทง้ั 5) ปลาไหลเผือก (ท้งั 5) มว่ งกัน (กาฝาก) ฤาษีสม (ทัง้ 5) อยา่ งละ 1 กรัม วิธีการใช้/ขนาดรับประทาน นาไปตากให้แห้ง บดให้ละเอียดร่อนแล้วบรรจุแคปซูล รับประทานคร้ัง ละ 2 แคปซลู หลังอาหาร 2 เวลา เช้า-เย็น ตารับท่ี 2 ตารบั แก้ทอ้ งเสยี ประกอบด้วย กระทอ่ ม 1 ใบ วธิ ีการใช้/ขนาดรบั ประทาน ใบสดเคย้ี วกลืนเอาแตน่ า้ แกท้ อ้ งเสีย ขอ้ ควรระวงั หา้ มรบั ประทานของหมักดอง ความเห็น/ทัศนคติต่อการใช้พืชกระท่อม ท่านไม่คิดว่ากระท่อมเป็นพืชเสพติดเน่ืองจากคนโบราณ กินกันมานานเพ่ือใช้รักษาโรคและเห็นด้วยกรณีกระทรวงยุติธรรมจะแก้กฎหมายให้ยกเลิกพืชใบกระท่อมพ้น จากบัญชียาเสพติดแล้วนามาใช้ในวงการแพทย์เท่านั้น ควรมรการควบคุมปริมาณ พ้ืนท่ีปลูกให้ชัดเจน และมี การขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง ท่านคิดว่ากระท่อมสามารถลดการใช้ยาจาพวกแก้ท้องเสีย แก้ปวด ในปัจจุบันได้

27 ประสิทธิภาพในการใช้สมุนไพรพืชใบกระท่อมรักษาได้ผลดี และควรมีการเผยแพร่ความรู้ด้านการใช้กระท่อม เพื่อให้เยาวชนใช้ให้ถูกวิธี 2.4 หมอพนื้ บา้ น D30/Cp หมอพื้นบ้าน มีใบประกอบโรคศิลป์สาขาเวชกรรมไทย เมื่อปีพุทธศักราช 2552 มีบิดาเป็นหมอแผน โบราณที่ได้รับใบประกอบโรคศิลป์ มีความสามารถเป็นหมอท้ังหมอรักษาโรค หมอดู และหมอตาแย จึงได้รับการถ่ายทอดภูมิปัญญาความรู้ด้านแพทย์แผนไทยดังกล่าวจากบิดา ได้เสียสละบ้านเรือนและบริเวณ บ้านซ่ึงเป็นสวนสมุนไพรให้เป็นสถานที่รักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตเป็นเวลายาวนาน แม้มีอุปสรรคมากมายก็ยังคงทางานด้วยความอดทน ไม่ท้อถอย มีความมั่นคงในการเสียสละแรงกาย แรงใจ และกาลังทรัพย์ ทางานเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วย ด้วยความจริงใจ โดยยึดม่ันในสิ่งที่บิดาได้สั่งไว้ให้ทางาน เพื่อสงั คมไม่ให้ทาเพื่อธุรกิจและถ่ายทอดให้ศิษย์ และผู้สนใจทางด้านน้ีโดยไม่ปิดบัง ท้ังเป็นการช่วยหน่วยงาน ท่ีรับผิดชอบด้านการรักษาพยาบาล (โรงพยาบาล สถานีอนามัย) ทางอ้อมอีกด้วย ปัจจุบันความรู้ได้ทาหน้าที่ ถ่ายทอดให้แก่ศิษย์ และผู้สนใจโดยไม่ปิดบังทั้งในรูปแบบของการศึกษาในระบบ และนอกระบบและเป็น วทิ ยากรอบรมให้ความรู้ ดา้ นการนามาใชป้ ระสิทธภิ าพและความปลอดภยั ตารับท่ี 1 ยาบารุงกาลัง ประกอบด้วย ใบกระท่อม (ทุกสายพันธุ์) ใบข้ีเหล็ก 1 บาท (ช่วยให้นอน หลับ) ชุมเห็ดเทศ (ช่วยให้ถ่าย) ใบตาเสา (กันเกรา) ใบกระดูกไก่ขาว+กระดูกไก้ดา (กินไม่ได้นอนไม่หลับ) ใบสะเดาและใบมะกา (ยาถ่าย) อย่างละ 1 บาท วิธีการใช้/ขนาดรับประทาน นาสมุนไพรไปตากแดดให้แห้ง บดให้ละเอียด ละลายน้าผ้ึงทาเป็นยา ลูกกลอน กนิ เท่าเม็ดพทุ รา กอ่ นอาหาร เชา้ -เย็น ข้อควรระวัง ผลข้างเคียงอาการท้องผูก เนื่องจากกินใบกระท่อมร่วมกับกาแฟ ผู้ที่กินใบกระท่อม สว่ นใหญเ่ ป็นเพศชาย กนิ มากทาใหผ้ วิ คลา้ ท้องเฟ้อ ตารบั ที่ 2 โรคเรมิ ประกอบด้วย ใบกระทอ่ มใบแก่ ถา้ ใบเล็กใช้ 2-3 ใบ ใบใหญ่ 1-2 ใบ เหลา้ ขาว วิธีการใช้/ขนาดรับประทาน เค้ียวใบกระท่อม ผสมเหล้าขาว ท่องคาถาแล้วเป่า หรือตาใบกระท่อม ใสเ่ หล้าขาว แล้วเอามาทาบรเิ วณแผล เปา่ ติดตอ่ กัน 3 วัน แผลจะเรม่ิ แห้ง ข้อควรระวงั อาการอาการปวดแสบปวดร้อน ถ้าเป็นที่หัว หนา้ ผาก เรียก เริมหัวเสือ ห้ามเปน็ ขา้ มตา จะทาให้ตาบอดหรืออาจพิการถ้าเป็นที่ข้างลาตัว เรียกเริมสายฟ้าฟาด ห้ามให้เป็นบรรจบกัน อันตรายอาจ เสียชีวติ เน่ืองจากเชอื้ เข้าถึงทรวง ถา้ เปน็ ชว่ งเอวลงมาเรียก เริมตนี หมา ความเห็น/ทัศนคติต่อการใช้พืชกระท่อมท่านเห็นด้วยกับการใช้พืชกระท่อมในการรักษาโรค ควรควบคุมปริมาณการใช้พืชกระท่อมในการใช้ เนื่องจากปัจจุบันเด็กและเยาวชนได้นาไปใช้ในทางที่ผิดมาก ขนึ้ ควรใหเ้ หน็ ความสาคัญของประโยชนใ์ นทางการแพทยม์ ากข้ึน

28 2.5 หมอพืน้ บ้าน D34/Kb หมอพ้ืนบ้าน หมอแผนโบราณสาขาเภสัชกรรม เคยดารงตาแหน่งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒฝ่าย ผลิตยาจังหวัดกระบี่ ปี 2557 ท่านมีความเช่ียวชาญในการรักษาอาการปวดข้อเข่า ชามือชาแขน ยาเลือดสตรี ยารักษามดลูก ยาลดไขมัน เบาหวาน ไต มีประสบการณ์ในการรักษาโรคด้วยพืชกระท่อมมา 4-5 ปี ไดร้ ับความรสู้ บื ทอดมาจากบรรพบรุ ุษตง้ั แต่อายุ 13 ปี ดา้ นการนามาใช้ประสทิ ธิภาพและความปลอดภยั ท่านเห็นด้วยกับการใช้พืชกระท่อมในการรักษาโรค กระท่อมสามารถนามารักษาโรคเบาหวานได้ แหล่งที่มาของพืชกระท่อมได้มาจากบ้านของเพ่ือนบ้าน เพราะท่านไม่ได้ปลูกไว้เอง และถ้าไม่มีกระท่อม สามารถตัดกระท่อมออกจากตารับได้ แตถ่ ้าไม่มีกระทอ่ มจะทาให้หายช้า การรักษาเบาหวานควรจ่ายยาตารับ ท่ีรักษาไต ตับ ควบคู่กันไปร่วมด้วยและกรณีไม่มีพืชกระท่อมสามารถใช้ฟ้าทะลายโจรหรือใบข้ีเหล็กแทนได้ เนอ่ื งจากฟ้าทะลายโจรและใบข้ีเหล็กมรี สขม ตารับยาเบาหวาน ประกอบด้วย สารส้ม มะแว้งต้น(ท้ัง 5) มะแว้งเครือ (ท้ัง 5) มะเขือขื่น (ทัง้ 5) ใบกระทอ่ ม ทงั้ หมดหนกั เทา่ กนั วธิ ีการใช้/ขนาดรับประทาน นาสมุนไพรไปตากแห้งแล้วบด ละลายน้าผ้ึงทายาลูกกลอน รับประทาน ก่อนอาหาร เช้า-เย็น คร้ังละ 4-5 เม็ด ผู้ท่ีมารับการรักษาสามารถรักษาร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบันผู้ป่วยจะ ค่อยๆหยุดยาแผนปัจจุบันไปเอง จานวนผู้ป่วยที่มารับการรักษาโดยใช้พืชกระท่อมเฉลี่ย 2-3 คนต่อเดือน ติดตามผลการรักษาโดยผู้ป่วยจะมาบอกวา่ อาการดขี น้ึ ข้อควรระวงั ห้ามรับประทานอาหารรสหวานจัด ความเห็น/ทัศนคติต่อการใช้พืชกระท่อมท่านเห็นด้วยกับการใช้พืชกระท่อมในการรักษาโรค ความคิดเห็นเก่ียวกับพืชเสพติดท่านคิดว่ากระท่อมเป็นพืชเสพติด ในพ้ืนจังหวัดพบพืชกระท่อมค่อนข้างน้อย ถูกทางการโค่นทิ้ง ปัญหาท่ีเกิดขึ้นเนื่องจากเยาวชนนาไปใช้ผิดวิธี อดีตชาวบ้านใช้กระท่อมในการรักษาโรค และรับประทานเพ่ือนให้ทางานกลางแดดได้นาน ผลข้างเคียงถ้าไม่ท็อกท่อม(ภาษาถิ่น) จะมีอาการมือ ขากระตุกแต่ไมม่ ีอาการหลอน กรณีกระทรวงยตุ ิธรรมจะแก้กฎหมายให้ยกเลิกใบกระท่อมพ้นจากบัญชียาเสพ ตดิ ท่านเห็นด้วยหากนามาใช้ในวงการแพทย์เท่าน้นั ควรมกี ารควบคุมปรมิ าณ พ้นื ที่ปลูกใหช้ ัดเจนและมีการข้ึน ทะเบียนใหถ้ ูกตอ้ ง และคดิ ว่ากระท่อมสามารถลดการใช้ยาแก้ปวดในปจั จุบันได้แตไ่ มส่ ามารถใช้แทนยาจาพวก แกท้ ้องเสยี ไดเ้ พราะมตี วั ยาอื่นท่ีสามารถใชแ้ ทนกระท่อมได้ ปจั จุบนั ไม่ไดเ้ ผยแพร่และถา่ ยทอดความรู้ให้ใคร 2.6 หมอพ้นื บ้าน (D35/Sr) หมอพื้นบ้าน ได้รับใบประกอบโรคศิลป์สาขาเภสัชกรรมไทย ใบอนุญาตเลขที่ บภ. 20029 มีความ เชยี่ วชาญในการรกั ษาโรค ได้แก่ โลหิตพิการ อ่อนเพลยี ภูมิแพ้ เป็นหวดั ซางในเดก็ ซางเป่ือยพอง เป็นต่มุ ตาม ตวั ไดส้ ืบทอดความรู้ในการรกั ษาโรคมาจากบิดาต้ังแต่พทุ ธศักราช 2540 ด้านการนามาใช้ประสิทธิภาพและความปลอดภัย ท่านเห็นด้วยกับการใช้พืชกระท่อม ในการรักษาโรค เพราะใช้ในการรักษาโรคตานซาง เป่ือยพอง ได้ในตารับยาแก้ตานซางเปื่อยพอง สรรพคุณ ช่วยรักษาอาการเปื่อยพอง ทาให้แผลแห้ง หลังใช้ 1-2 วัน โดยผู้ป่วยคือเด็กช่วงอายุ 1-12 ขวบ มาพบหมอ

29 ด้วยอาการเปื่อยพองท่ัวตัว อาทิ แขน ขา บางคนมีไข้ ลักษณะตานซางจะพองเม็ดใหญ่เป็นน้าเหลือง ตา่ งจากโรคอีสุกอใี ส คอื ลักษณะโรคอสี ุกอีใสจะเมด็ เลก็ ผื่น น้าใส ฯลฯ ตารับยา/ยาที่ใช้พืชกระท่อมในการรักษา ตารับยาแก้ตานซางเป่ือยพอง ประกอบด้วย เปลือกกระทอ่ ม (กระทอ่ มบ้าน, กระท่อมนา ใช้ได้ทง้ั สองสายพันธ์ุ) แกน่ ฝาง แก่นแกแล หว่ งตาลโตนด เปลือก ตาลแดง ข้าวเย็นเหนือ กามะถันเหลอื ง ตน้ ยางนาทงั้ 5 ท้งั หมด อยา่ งละ 1 บาท วิธีการใช้/ขนาดรับประทาน นาสมุนไพรทั้งหมดตากแดดแห้ง และนามาต้มด่ืมหรือใช้ทาแผลหลัง อาบน้า ประมาณ 1-2 คร้ัง แผลจะเริ่มแห้ง ขนาดรับประทาน เด็กอายุ 1-3 ขวบ กิน 1 ช้อนชา เด็กอายุ 3-7 ขวบ กิน 1-2 ช้อนชา และเด็กอายุ 7-12 ขวบ กิน 1-2 ช้อนโต๊ะ โดยยา 1 หม้อ ใช้ได้ 10 วัน ผู้ป่วยสามารถ กลบั มารบั ยาหลังยาหมด ข้อควรระวัง เด็กบางคนสามารถรับประทานยาได้ แต่บางคนไม่ยอมรับประทานยาจะใช้การบังคับ โดยบีบจมูกใหก้ ิน ขอ้ หา้ มหรอื ของแสลง ได้แก่ ข้าวเหนยี ว ไกท่ อด ไกต่ ้ม ผลไม้ ลูกเงาะ เมือ่ รบั ประทานจะทา ให้มีน้าเหลืองออกมาและทาให้แผลหายช้า ผู้ป่วยเข้ามารับการรักษาโรคตานซางโดยใช้ตารับยานี้ ประมาณ 5-10 ตอ่ เดือน ความเห็น/ทัศนคติที่มีต่อการใช้พืชกระท่อมกระท่อมถือเป็นพืชเสพติดแต่ควรนามาใช้ในวงการ แพทย์เทา่ น้ัน ควรควบคุมปริมาณ และพื้นที่ปลูกใหช้ ัดเจน มกี ารข้นึ ทะเบยี นใหถ้ ูกต้อง พชื ใบกระท่อมสามารถ ลดการใช้ยาจาพวกแก้ท้องเสียในปัจจุบันได้ เพราะพืชใบกระท่อมมีรสฝาด พืชใบกระท่อมสามารถใช้แทนยา แก้ปวดในปัจจุบันได้ ในเร่ืองประสิทธิภาพในการใช้สมุนไพรพืชใบกระท่อมในการรักษาโรคโรคต่างๆ ทา่ นมีความพอใจเนื่องจากสามารถรกั ษาโรคดังกล่าวใหห้ ายได้ 2.7 หมอพน้ื บา้ น D36/Sr หมอพ้นื บ้าน มีความเช่ียวชาญโรคสตรี ระดูพกิ าร เบาหวาน และโรคความดนั เป็นหมอรักษาคนไข้มา นานเกือบ 20 ปี ได้รับการสืบทอดองค์ความรู้มาจากบรรพบุรุษ และได้เรียนเพิ่มเติมจากตารายาและหมอ พื้นบ้านที่อยู่ใกล้เคียง มีตารายาโบราณ เป็นสมุดข่อยของบรรพบุรุษสืบทอดประมาณ 2 เล่ม (หลวงปู่สุข) ปัจจุบนั รักษาผู้ปว่ ยโรคต่างๆ ดว้ ยสมุนไพรและมีการรักษาด้วยการนวดรกั ษา สาหรบั การสืบทอดยังไม่มผี ู้ทอด แตม่ ีผ้มู าศกึ ษา/การนวด/สมุนไพร/การทาของใชใ้ นครัวเรือนอยู่เปน็ ประจา ด้านการนามาใช้ประสิทธิภาพและความปลอดภัย ท่านเห็นด้วยกับการใช้พืชกระท่อมในการรักษา โรค เพราะบรรพบุรุษใช้มานาน พืชกระท่อมสามารถใช้ได้ทั้งสายพันธ์ก้านแดงและก้านขาวกระท่อมนอกจาก รักษายังสามารถป้องกันการเกดิ โรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตเพราะส่วนใหญ่คนท่ีรับประทานกระท่อม จะไม่คอ่ ยเป็นโรคเบาหวานและโรคความดันโลหติ โดยรับประทานเป็นลกั ษณะอาหาร ไม่แนะนาให้รับประทาน เป็นประจาเพราะจะทาให้ติดได้

30 ตารับยา/ยาที่ใช้พชื กระท่อมในการรักษา 1) ยาแกท้ อ้ งรว่ ง เปลอื กตม้ ดม่ื และใชต้ วั คมุ ด้วยสมนุ ไพรตัวอ่นื เช่น ลกู กระวาน เปลอื กมังคุด ฯลฯ 2) ยาแก้ปวดทอ้ ง อาการปวดบดิ มวน จะใช้เปลือกกระท่อม 1 ใบ กบั น้าตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะหรือถ้า ไม่มีให้กินคู่กับน้าตาลปี๊บเค้ียวแล้วกลืนตามกิน 1-2 คร้ังอาการก็จะหาย ถ้าพูดถึงตารับยาที่เข้าสมุนไพร กระท่อมคุณหมอใช้ตารับน้ีมานานกว่า 20 ปี โดยมีผู้ที่ใช้ตารับน้ี 10 คนต่อเดือนโดยประมาณ เครื่องยา ที่ประกอบในตารบั นม้ี ากกว่า 10 ตัวยา ขนาด 15-30 กรมั ตอ่ 1 หมอ้ ประกอบดว้ ยเครื่องยาดังน้ี 3) ตารับยาธาตุน้าแดง ประกอบด้วย การพลู 5 บาท กระท่อม การบูร สมุลแว้ง อบเชย ขิง ฝางเสน ชะพลู ดีปลี ดอกจันทร์ รากมะปราง-หวาน จันทร์แดง จันทร์ขาว ชะลูด แก่นขี้เหล็ก เจตมูลเพลิง ผลมะตูม ใบกระเพรา หนักส่ิงละ 2 บาท วิธีการใช้/ขนาดรับประทาน ต้มกินน้า แก้ปวดท้อง ท้องขึ้น ท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้ปวดท้อง เพราะธาตุพิการ หลังจากรับประทานแล้วคนท่ีมีอาการจุกเสียดแน่นหน้าอก หรือแพทย์ปัจจุบัน เรียกว่า กรดไหลย้อน (แพทย์แผนไทยเรียกว่า ธาตุพิการอาหารไม่ย่อย) โดยประวัติการใช้คือผู้ป่วยมาด้วยอาการกรด ไหลย้อนรักษากับแพทย์แผนปัจจบุ นั มาไมห่ าย เมื่อรับประทานยาตารบั นีอ้ าการกห็ ายลง ข้อควรระวงั ส่วนท่ีนามาเป็นยา คือ เปลือก ราก เน่ืองจากถ้าใช้ใบควรมีความรู้เพียงพอในการรักษา โรค ความเห็น/ทัศนคติต่อการใช้พืชกระท่อมกระท่อมถือเป็นพืชเสพติดควรนามาใช้ในวงการแพทย์ เท่านั้น ควรควบคุมปริมาณ และเอาไว้ที่บ้านหมอชาวบ้านเพราะเป็นสมุนไพรที่ใช้เป็นยารักษาโรค แต่ถ้า นามาใชใ้ นทางทีผ่ ิดก็ควรจะดาเนินตามกฎหมาย การใช้สมุนไพรพืชใบกระท่อมในการรกั ษาโรคโรคต่างๆ ทา่ น มคี วามพอใจเน่อื งจากสามารถรักษาโรคดังกล่าวใหห้ ายได้ ตอนท่ี 3 ประสบการณผ์ ู้ปว่ ยทใ่ี ชพ้ ืชกระท่อมในการรักษาโรคจากหมอพน้ื บา้ น กรณศี กึ ษาที่มารับการรักษาจากหมอพ้ืนบ้าน D34/Kb 3.1 ผู้ป่วยชายไทย อายุ 88 ปี อาการก่อนเข้ารับการรักษา ผู้ป่วยได้รับการตรวจจากแพทย์ปัจจุบัน พบว่าภาวะน้าตาลในเลือดสูง เคยรับการรักษาจากแพทย์แผนปัจจุบันมา 10 ปี ปัจจุบันมีโรคไตแทรกซ้อน ขาบวม เท้าบวม ชาท่ีมือและเท้า ช่วงแรกผู้ป่วยไม่เชื่อวา่ ยาสมุนไพรจะสามารถรักษาได้ลูกสาว จึงได้อธิบาย เก่ียวกับยาสมุนไพรว่า “ถ้าไม่ดีผู้ป่วยท่านอื่นท่ีรับประทานคงตายไปนานแล้ว” ผู้ป่วยจึงตัดสินใจมารับการ รักษาและรับประทานยาสมุนไพร โดยผู้ป่วยได้รับคาแนะนาจากลูกสาวให้มาพบหมอ คุณหมอจึงได้จ่ายยา รักษาช่ือตารับไตสะอาด (มีพืชกระท่อมเป็นส่วนประกอบ) เพื่อรักษาไตเป็นอันดับแรก ให้ไปรับประทานใน เบอ้ื งตน้ หลังจากรับประทานยาตารบั ไตสะอาดไป 1 เดอื น ผลการรักษาพบวา่ เท้าแห้งเปน็ ปกติ

31 3.2 ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 62 ปี อาการก่อนเข้ารับการรักษา ผู้ป่วยได้รับการตรวจจากแพทย์แผน ปัจจุบันพบว่า มีระดับน้าตาลในเลือดสูง 180-190 mg/dl เคยเข้ารับการรักษาจากแพทย์แผนปัจจุบันมา 2 ปี ช่วงแรกผู้ป่วยไม่ชอบรับประทานยาสมุนไพร และเคยจะเข้ารับการผ่าตัดข้อมือ โดยมีคนแนะนาซ่ึงเป็น คนร้จู กั กันและท่านเป็นหมอพนื้ บา้ นในพนื้ ที่นั้น เมื่อมาพบหมอจึงไมอ่ ยากให้ทาการผา่ ตดั อกี ท่านแนะนาให้มา นวดรักษาร่วมกับการรับประทานยาสมุนไพร เมื่อผู้ป่วยได้รับยามาในช่วงแรกๆเกิดความรู้สึกไม่อยาก รับประทาน เพราะไม่เชื่อว่าสามารถรักษาหายได้จริง เข้ามารับยาไปทั้งสิ้น 3 คร้ังแล้วโยนทิ้ง จนวันหนึ่งรู้สึก ว่าอยากหายจากการป่วย จึงตัดสินใจเริ่มรับประทานยา (ที่มีพืชกระท่อมเป็นส่วนป ระกอบ) หลังรับประทาน 1 เดือน พบว่า ระดับน้าตาลในเลือดเร่ิมลดเหลือ 103 mg/dl แต่ต้องรับประทานยาตอ่ เน่ือง และลดการรบั ประทานยาแผนปจั จบุ ัน

32 บทท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมลู จากการสารวจหมอพื้นบ้านภาคใต้ของประเทศไทย พบว่าหมอพ้ืนบ้านท่ีมีการใช้พืชกระท่อมเป็น ยา/ตารับยารักษาโรคจริงในพ้ืนที่ภาคใต้ 8 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดสตูล จังหวัดพัทลุง จังหวัดสงขลา จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดชุมพร จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดตรัง และจังหวัดกระบี่ ได้กลุ่มตัวอย่าง ทัง้ ส้นิ จานวน 39 ราย (คน) พบวา่ หมอพน้ื บ้านจงั หวดั สตูล 9 ราย (คน) แต่ละคนมีตารบั ยา/ยาเดี่ยวท่ีมีพืชกระท่อม เปน็ ส่วนประกอบ ในการรักษาโรค โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1-7 รายการยา พบว่า 1.) หมอพื้นบ้าน 2 คน มีรายการยาสูงสุด 7 รายการ 2.) หมอพ้ืนบ้านอีก 2 คน มีรายการยา 4 รายการ 3.) หมอพื้นบ้าน 1 คน มีรายการยา 3 รายการ 4.) หมอพื้นบา้ น 2 คน มีรายการยา 2 รายการ และ 5.) หมอพน้ื บ้านอีก 2 คน มีรายการยาเพยี ง 1 รายการ หมอพ้ืนบ้านจังหวัดพัทลุง 8 ราย (คน) แต่ละคนมีตารับยา/ยาเดี่ยวท่ีมีพืชกระท่อมเป็น สว่ นประกอบในการรักษาโรค โดยเฉล่ียอยู่ท่ี 1-3 รายการยา พบวา่ 1.) หมอพ้ืนบา้ น 3 คน มีรายการยาสงู สุด 3 รายการ 2.) หมอพื้นบ้านอีก 1 คน มีรายการยา 2 รายการ และ 3.) หมอพ้ืนบ้าน อีก 4 คน มีรายการยา เพยี ง 1 รายการ หมอพื้นบ้านจังหวัดสงขลา 7 ราย(คน) แต่ละคนมีตารับยา /ยาเด่ียวที่มีพืชกระท่อม เป็นส่วนประกอบในการรักษาโรค โดยเฉล่ียอยู่ท่ี 2-6 รายการยา พบว่า 1.) หมอพื้นบ้าน 2 คน มีรายการยา สูงสุด 6 รายการ 2.) หมอพ้ืนบ้านอีก 3 คน มีรายการยา 4 รายการ 3.) หมอพื้นบ้าน 1 คน มีรายการยา 3 รายการ และ 4.) หมอพ้นื บา้ น 1 คน มรี ายการยา 2 รายการ หมอพื้ นบ้านจังหวัดชุมพ ร 6 ราย(คน) แต่ละคนมีตารับยา /ยาเด่ียวท่ีมีพืชกระท่ อม เป็นส่วนประกอบในการรักษาโรค โดยเฉล่ียอยู่ที่ 1-4 รายการยา พบว่า 1.) หมอพื้นบ้าน 1 คน มีรายการยา สูงสุด 4 รายการ 2.) หมอพื้นบ้านอีก 2 คน มีรายการยา 3 รายการ 3.) หมอพ้ืนบ้าน 2 คน มีรายการยา 2 รายการ และ 4.) หมอพน้ื บา้ น 1 คน มรี ายการยา 1 รายการ หมอพ้ืนบ้านจังหวัดนครศรีธรรมราช 4 ราย (คน) แต่ละคนมีตารับยา/ยาเดี่ยวที่มีพืชกระท่อม เป็นส่วนประกอบในการรักษาโรค โดยเฉล่ียอยู่ท่ี 1-3 รายการยา พบว่า 1.) หมอพื้นบ้าน 2 คน มีรายการยา สงู สดุ 3 รายการ และ 2.) หมอพนื้ บา้ นอีก 2 คน มรี ายการยา 1 รายการ หมอพื้นบ้านจังหวัดตรัง 2 ราย (คน) แต่ละคนมีตารับยา/ยาเด่ียวท่ีมีพืชกระท่อมเป็นส่วนประกอบ ในการรักษาโรค โดยเฉล่ียอยู่ที่ 1-3 รายการยา พบว่า 1.) หมอพ้ืนบ้าน 1 คน มีรายการยาสูงสุด 3 รายการ และ 2.) หมอพืน้ บา้ นอีก 1 คน มรี ายการยาเพยี ง 1 รายการ หมอพื้นบ้านจังหวัดสุราษฎร์ธานี 2 ราย (คน) แต่ละคนมีตารับยา/ยาเดี่ยวที่มีพืชกระท่อมเป็น ส่วนประกอบในการรักษาโรค โดยเฉล่ียอยู่ท่ี 1-3 รายการยา พบวา่ 1.) หมอพื้นบา้ น 1 คน มีรายการยาสูงสุด 3 รายการ และ 2.) หมอพน้ื บา้ นอีก 1 คน มีรายการยาเพยี ง 1 รายการ หมอพ้ืนบ้านจังหวัดกระบี่ 1 ราย (คน) มีตารับยา/ยาเดี่ยวที่มีพืชกระท่อมเป็นส่วนประกอบในการ รักษาโรค อยทู่ ่ี 1 รายการยา พบว่า หมอพืน้ บา้ น 1 คน มรี ายการยาเพียง 1 รายการ

33 จากการสารวจหมอพื้นบ้าน ยาที่มีพืชกระท่อมเป็นส่วนประกอบ ประเภทยาเด่ียว/ยาตารับ พบว่าประเภทยาเดี่ยวพบมากกว่ายาตารับจาก 108 รายการ พบยาเด่ียว 64 และยาตารับเพียง 44 รายการยา แสดงให้เห็นว่าหมอพื้นบ้านที่ยังใช้ยาตารับท่ีมีพืชกระท่อมเป็นส่วนประกอบในการรักษาโรค ยังมีอยู่จริงแต่ คอ่ นข้างน้อยกว่าท่หี มอพ้นื บา้ นจะใช้พชื กระท่อมในลักษณะยาเด่ียว ประเภทยาเด่ียว จากการศึกษาลักษณะการใช้พืชกระท่อมเป็นส่วนประกอบในการรักษาโรคหมอพ้ืนบ้าน จะใช้ 1) พืชกระท่อมสดเพียงอย่างเดียว ตัวเดียวแต่ปริมาณท่ีใช้อาจแตกต่างกันในการรักษาโรค มีจานวนทั้งส้ิน 40 รายการยา ส่วนใหญ่ใช้ในการรักษาโรค ท่ีหลากหลายตามลาดับ ดังน้ี แก้ท้องเสีย 12 รายการยา รองลงมาคือ แก้ปวด (ปวดเมื่อย, ปวดท้อง, ปวดบวมแดงร้อน,ปวดศีรษะ) 10 รายการ ช่วยลดระดับน้าตาลในเลือด 5 รายการยา และช่วยสมานแผล/ห้ามเลือด 5 รายการยา, ชว่ ยลดความดันโลหติ สงู 4 รายการยา และอ่นื ๆ 2) พืชกระท่อมสดมีส่วนผสมอื่นร่วมด้วย จานวนท้ังส้ิน 24 รายการ ดังเช่น ส่วนประกอบ น้าตาลทราย แดง หมอพ้ืนบ้านใช้เป็นส่วนประกอบเยอะท่ีสุด รองลงมาคือ น้าผ้ึง เกลือ และน้าสุรา ตามลาดับ ส่วนใหญ่ใช้ใน การรักษาโรคที่หลากหลายตามลาดับ ดังนี้ แก้ไอ 10 รายการ แก้ปวด (ปวดท้อง, ปวดประจาเดือน, ปวดเมื่อย 9 รายการ และแกท้ ้องเสยี ชว่ ยสมานแผล/หา้ มเลือด ตามลาดับ ประเภทยาตารับ จากการศึกษาลักษณะการใช้พืชกระท่อมเป็นส่วนประกอบในการรักษาโรคหมอพื้นบ้าน จะใชส้ ว่ นประกอบทีแ่ ตกต่างหลากหลาย 44 ตารบั ยา พบวา่ ลาดบั ที่ รายการ/โรค ตารับ 1 ช่วยลดระดบั นา้ ตาลในเลอื ด 12 2 แกป้ วด (ปวดเม่ือย, ปวดขอ้ , ปวดศีรษะ, ปวดท้อง, ) 11 3 ช่วยลดความดันโลหติ 3 4 สมานแผล/ห้ามเลือด 3 5 ชว่ ยลดไขมนั ในเส้นเลือด 2 6 แกท้ อ้ งร่วง 2 7 บารงุ กาลงั 2 8 บารุงกาหนัด 2 9 แกห้ อบหืด 2 10 แก้ผู้ตดิ กระท่อม(ทาให้อาเจียน) 2 11 แก้ไอเรื้อรัง (แบบมีเสมหะ) 1 12 แกเ้ จ็บคอ 1 13 รกั ษามะเร็งผิวหนัง 1 38 รวม

34 จากการศึกษาวิธีการใช้ส่วนประกอบของพืชกระท่อมท่ีประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ใบ เปลือก และ เน้ือไม้ พบว่า ในประเภทของยาเด่ียว โดยส่วนมากแล้วจะใช้ใบกระท่อมเป็นยาท้ังหมด มีเพียง 1 ราย ที่ใช้เน้ือไม้ ส่วนประเภทยาตารับจะใช้ใบกระท่อมเป็นส่วนประกอบในตารับยาท้ังส้ิน 38 ตารับ รองลงมา คือ ใช้เปลือก 5 ตารับและ เน้ือไม้ 1 ตารบั รวมถงึ การศึกษาวิธีการเตรียมก็มีความแตกต่างกันออกไป จากการสารวจทัง้ ประเภทยา เดี่ยว /ยาตารับ จะให้วิธีการปรุงยาโดยวิธีการต้มมากที่สุด รองลงมา คือ ใช้กระท่อมสด และนามาตา ละเอียด ฯลฯ ตามลาดับ ส่วนการศึกษารูปแบบ วิธีการใช้ พบว่า ใช้วิธีการเคี้ยวกลืนเอาแต่น้ามากท่ีสุด รองลงมา คือ นายาท่ีต้มมาดื่มรับประทานในแต่ละวันและยาพอก ฯลฯ ตามลาดับ วิธีการเตรียมกับวิธีการใช้มีความ สมเหตุสมผลสอดคล้องกันในการใชร้ ักษาโรคหรือป้องกนั โรคแกผ่ ู้ป่วย จากการศึกษาสรรพคุณของยา/ตารับยาท่ีใช้พืชกระท่อมเป็นส่วนประกอบในการรักษาโรคโดยภาพรวม จากหมอพื้ นบ้าน 8 จังหวัด จานวน 108 รายการยา พบว่า มีความหลากหลาย แต่ท่ีหมอพื้นบ้าน ใชแ้ กอ้ าการมากท่ีสุด คอื 6 อาการ ตามลาดับ ดังนี้ 1.) แก้ปวด (ปวดเม่ือย ปวดข้อ ปวด บวม แดง รอ้ น ปวดศรี ษะ ปวดประจาเดือน) 29 รายการยา 2.) แก้ท้องเสีย/ท้องร่วง 18 รายการยา 3.) ชว่ ยลดระดับน้าตาลในเลอื ด 17 รายการยา 4.) แก้ไอ (หรือไอเรื้อรงั แบบมีเสมหะ) 14 รายการยา 5.) ช่วยสมานแผล/ห้ามเลือด 12 รายการยา 6.) ชว่ ยลดความดันโลหิต 7 รายการยา นอกจากนั้นหมอพ้ืนบ้านยังใช้เพื่อลดไขมัน ลดอาการหอบหืด บารุงกาลัง บารุงกาหนัด แก้เจ็บคอ รักษา มะเร็งผิวหนัง แก้ผู้เสพติดกระท่อม ช่วยทาให้อาเจียน แต่พบว่าการใช้ในอาการเหล่านี้ท่ีเกิดกับผู้ป่วยยังไม่มากเท่า 6 อาการแรก ที่กล่าวไว้ข้างต้น จากประสบการณ์การใช้พืชกระท่อมในการรักษาโรคจากหมอพื้นบ้าน 7 ราย (คน) มีข้อมูลท่ีแสดงให้เห็นว่า หมอพื้นบ้านมีทัศคติคล้ายกันว่าพืชกระท่อมมีรสยาท่ีมีลักษณะรสฝาด ซึ่งรสยา ก็แปรผันไปตามสรรพคุณ ที่ใช้รักษาโรคของหมอพื้นบ้านแต่ละท่าน ท่านมีความเห็นว่า “กระท่อมถือเป็นพืช เสพติดชนิดหน่ึงก็จริง แต่ควรนำมำใช้ในวงกำรทำงกำรแพทย์เท่ำน้ัน ควรมีกำรควบคุมปริมำณ และพื้นท่ีกำร เพำะปลูกใหช้ ัดเจนมีกำรข้ึนทะเบียนให้ถกู ต้อง” เน่ืองจากท่านมคี วามเห็นว่า “พืชกระท่อมนั้นสำมำรถใช้แทน ยำแก้ปวดในปัจจุบันได้” ในเร่อื งประสทิ ธิภาพในการใช้สมุนไพรพืชใบกระท่อมในการรกั ษาโรคโรคตา่ งๆ หมอ พ้ืนบ้านส่วนใหญ่เกือบ 100 % มีความพึงพอใจต่อการใช้พืชกระท่อมอยู่เนื่องจากสามารถรักษาโรคดังกล่าว ให้หายได้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละคนท่ีได้รับการสืบทอดและสะสมมาชัดเจน จึงต้องมีการศึกษา รายละเอยี ดมากขึ้นต่อไป นอกจากได้มีการศึกษาองค์ความรู้จากหมอพ้ืนบ้านที่ใช้พืชกระท่อมในการรักษา ผู้ป่วยแต่ละโรคแล้วยังมี กรณีศึกษาอีก 2 กรณีศึกษา ท่ีได้มีการสัมภาษณ์จากผู้ป่วยที่เคยใช้ยารักษาท่ีมีพืชกระท่อมในการรักษาอาการป่วย ต่างๆ พบว่า ผู้ป่วย 2 รายไปพบแพทย์แผนปัจจุบันด้วยภาวะน้าตาลในเลือดสูงเหมือนกัน แต่รักษากับการแพทย์ แผนปัจจุบันอาการไม่ดีขึ้น หรือดขี ้ึนบ้างเล็กน้อยในบ้างคร้ัง หรืออาการค่อนข้างคงท่ี ผู้ป่วยท้ัง 2 รายมีพ้ืนฐานเดิม ท่ี รู้สึกไม่ชอบทานยาสมุนไพรเหมือนกัน แต่มีการบอกเล่าต่อจากญาติ คนรจู้ ัก เพื่อนหรือบุคคลในละแวกหมู่บา้ นท่ี อาศัยเคยรับการรักษาจากหมอพื้นบ้าน เลยเข้าไปรับการรักษาดู พบว่า อาการดีข้ึนเรื่อยๆ โดยผู้ป่วยรายแรก

35 มีภาวะเบาหวานแทรกซ้อน มีแผลบริเวณเท้า หลังจากรับการรักษาเป็นระยะเวลา 1 เดือน พบว่า อาการแผลที่เท้า ค่อยๆ ดีข้ึนจนหายเท้าแห้งเป็นปกติ และผู้ป่วยอีก 1 ราย ภาวะน้าตาลในเลือดสูง ทานไปเร่ือยๆ จนครบ 1 เดือน จนสามารถลดยาแผนปัจจุบันได้ แต่ก็ยังไม่มีการสัมภาษณ์ ที่เจาะลึกมากนักอาจทาให้ได้ข้อมูลที่ยังไม่เป็นเชิง ประจักษม์ ากพอในการนามาเป็นตวั อย่างท่ี

36 บทที่ 5 สรปุ อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ 5.1 สรุป อภิปรายผล จากคัมภีรแ์ พทย์แผนไทยและสรรพคุณยาไทย พบว่ามีหลกั ฐานชัดเจนที่พบพืชกระท่อมอยใู่ นสูตรยา โดยในคัมภีรแ์ พทย์แผนไทยหรอื แผนไทยโบราณ ท่ีถือเป็นตารับยาของชาติซึ่งกระทรวงสาธารณสขุ รับรองใหใ้ ช้ อ้างอิงเพื่อใช้ทั้งตารับหรือใช้ในการระบุสรรพคุณเพื่อขอข้ึนทะเบียนยาได้ แต่ใบกระท่อมเป็นส่ิงที่ต้องห้าม เน่ืองจากเป็นสารเสพติดในประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติด พ.ศ. 2522 ทาให้ในทางปฏิบัติไม่ สามารถเสนอขอข้ึนทะเบียนยาได้ ตารับยาเหล่าน้ีมีโอกาสที่จะสูญหาย และถูกทาลายไป ในการควบคุมพืช กระท่อมจึงจาเป็นตอ้ งพิจารณาเร่ืองการรักษาภูมิปญั ญาแพทย์แผนไทยและประโยชน์ทีจ่ ะได้รับ โดยไม่มุ่งเน้น ว่าเป็นสารเสพติดให้โทษเท่าน้ัน ซ่ึงจะทาให้ไม่สามารถพัฒนาพืชกระท่อมมาใช้เป็นยาเพื่อเป็นประโยชน์กับ ประเทศได้ จากการศึกษาองค์ความรู้และประสบการณ์การใช้พืชกระท่อมของหมอพ้ืนบ้าน แสดงให้เห็นว่า กระท่อมเป็นพืชสมุนไพรท่ีใช้ในการรักษาโรคจริง โดยเฉพาะในพื้นท่ีภาคใต้กับหมอพื้นบ้านท่ีมีความรู้ โดยส่วนใหญ่ใช้เป็นสมุนไพรท่ีเป็นส่วนประกอบในยารักษาโรคทั้งยาเดี่ยว และยาตารับ จากการศึกษา พบว่า ยาแก้ปวด (ปวดเม่ือย ปวดข้อ ปวดบวม แดง ร้อน ปวดศีรษะ ปวดประจาเดือน) หมอพ้ืนบ้านจะใช้มากที่สุด และรองลงมาใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย ยาเบาหวาน ยาแก้ไอ ตามลาดับ ส่วนยาใช้ภายนอก พบว่าพืชกระท่อมสามารถ ใช้เป็นยาช่วยห้ามเลือดสมานแผลได้ดี เน่ืองจากเมื่อนามาวิเคราะห์ทางเภสัชกรรมไทยตามรสยา พบว่าเป็นยาท่ีมี รสติดฝาดจะช่วยในเร่ือง ของการสมานได้ดี ก็ต้องมีการศึกษาต่อยอดต่อไป เนื่องจากยังไม่พบงานที่มีการศกึ ษาการ รักษาแผลหรือแผลเบาหวาน โดยใช้พืชกระท่อมมาเป็นส่วนหนึ่งของตารับยาในการรักษา เมื่อนามาจัดกลุ่มแยก ประเภททาให้เห็นว่า 1) ประเภทยาเดี่ยว ที่หมอพื้นบ้านใช้นอกเหนือจากยาตารับนั้น คือ พืชกระท่อมสดเพียงอย่างเดียว จะใชแ้ ก้อาการทอ้ งเสียมากท่ีสุด ก็มงี านวจิ ัยทางวิทยาศาสตร์การแพทยท์ ี่สามารถมายืนยันได้ เนือ่ งจากมีสารมิ ตรากัยนีน สามารถยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบในลาไส้เล็ก ซ่ึงส่งผลให้การบีบตัวของลาไส้เล็กลดลง และรองลงมาคือใช้แก้ปวด แต่ถ้าใช้พืชกระท่อมร่วมกับน้ากระสายยา (น้าสุรา) หรือน้าตาลทรายแดงหรือ น้าผ้ึง พบว่า หมอพน้ื บ้านจะใชแ้ ก้ไอมากท่สี ุดเน่ืองจากทางการแพทย์แผนไทย นา้ ผ้งึ หรือน้าตาลทรายแดงในที่ ปรมิ าณพอเหมาะ สามารถเป็นยาผสมท่ชี ว่ ยในเรอ่ื งการสมานไดด้ เี หมาะ แก่การใช้แกอ้ าการไอ 2)ประเภทยาตารับ ซึ่งเป็นประเภทที่น่าสนใจเช่นกันที่ต้องนามาศึกษาต่อยอดต่อไปในทาง การแพทย์พบว่า หมอพ้ืนบ้านจะใช้ยาตารับในการรักษาโรคเบาหวานมากท่ีสุดเพ่ือช่วยลดระดับน้าตาลใน เลือด ซ่ึงสอดคล้องกับผลงานวิจัย ผลต่อระดับน้าตาลในเลือด สารสกัดน้า สารสกัดเมทานอลจาก ใบกระท่อม สารสกัดอัลคาลอยด์ในใบกระท่อม รวมถงึ มิตรากัยนีนสามารถเพ่ิมอัตราการนากลูโคสเข้าสู่ เซลล์ กล้ามเนื้อได้ ซ่ึงเปน็ ข้อยืนยนั กลับไปได้ว่ายงั มีหมอพื้นบ้านที่ใช้อยู่จรงิ และแกอ้ าการปวดต่างๆที่เหน็ ไดช้ ัดเจน นอกเหนือจากอาการอ่ืนๆ ที่ยังมีการใช้น้อย พบว่า ผลยังสอดคล้องกับงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์

37 เนอื่ งจากสารมิตรากัยนีนออกฤทธคิ์ ลา้ ยกับสารฝนิ่ ทรี่ ะบบประสาทส่วนกลางทาให้การรบั รู้ ความรสู้ กึ เจบ็ ปวด ลดลง นอกจากน้ัน ส่วนที่ใช้และวิธีการใช้ก็เป็นสิ่งท่ีสาคัญต่อประสิทธิผลของยาท่ีใช้รักษาผู้ป่วย ส่งผลต่อ การนามาพัฒนาต่อยอดด้านการนามาใช้หรือวิธีการปรุงยาแบบดั้งเดิม เพื่อพัฒนาเป็นยาสมัยใหม่ให้ใช้ได้ง่าย ข้ึน ข้อสังเกตจากการศึกษา พบว่า หมอพ้ืนบ้านจะใช้ 3 ส่วน ในการนาพืชกระท่อมมาปรุงยา คือ เปลือก เน้ือไม้ และใบกระท่อม ซ่ึงใช้มากที่สุด แต่เม่ือนามาวิเคราะห์ โดยใช้การสัมภาษณ์จากประสบการณ์หมอ พ้ืนบ้านบางท่าน พบว่าการใช้ใบกระท่อมต้องใช้อย่างถูกวิธีและระมัดระวังในการใช้อย่างมาก ท่านเลยหลีกเล่ียงหันมาใช้เปลือกหรือเน้ือไม้กระท่อมแทน เน่ืองจากประสิทธิผลของยาก็อาจไม่แตกต่างกัน มาก แต่ก็ยังไม่มีผลที่มายืนยันแน่ชัดว่า ใช้ส่วนไหนของพืชกระท่อมจะดีกว่ากัน และวิธีการเตรียม/ปรุงยาก็ พบว่าใช้วิธีการต้มสูงท่ีสุด และรองลงมาคือกระท่อมสดตาพอละเอียด บดผงป้ันลูกกลอน บดผงละลายน้า บดผงบรรจุแคปซูล ต้มแล้วคั่วไฟอ่อน ตามลาดับ แล้วแต่โรคหรืออาการท่ีใช้ ส่วนวิธีการนามารับประทาน พบข้อสังเกตอยู่วิธีหน่ึงคือ การรับประทานใบสด ซึ่งจะต้องเค้ียวกลืนเอาแต่น้า พบข้อควรระวังจากหมอ พ้ืนบ้านทุกราย คือ ห้ามกลืนกากกระท่อมลงไปเพราะจะทาให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย ซึ่งก็ยังสอดคล้องกับ งานวิจัยอ่ืนท่ีเคยมีนักวิจัยถอดบทเรียนจากประสบการณ์ผู้ป่วยที่ติด พืชกระท่อม เน่ืองจากได้เค้ียวกลืนกาก เข้าไปในร่างกายไปสะสมอยู่ในอวัยวะช่องท้อง จนต้องได้รับการผ่าตัดและการบาบัดรักษาในทางการแพทย์ แผนไทยปัจจุบนั แสดงให้เหน็ วา่ พชื กระท่อมยงั คงดารงอยใู่ นวิถีชวี ติ ท่มี กี ารใชจ้ รงิ ใน ชีวิตประจาวัน บางคนใช้ เพ่ือให้รสู้ ึกสดช่ืน กระปรี้กระเปรา่ มีเร่ยี วแรงทางาน แต่กย็ ังมีผลเสียท่ีเกิดจากการกินผดิ วิธี ผิดขนาด กินมาก เกิน และกินติดต่อเป็นเวลานาน แต่เมื่อหยุดกินน้ันพบว่า ก็ไม่ได้มีอาการอดยาเหมือนยาเสพติดประเภทอื่น อาจมีเพียงอาการคร่ันเน้ือคร่ันตัว (คล้ายอาการไข้) อาการอยากจะรุนแรงน้อยกว่าเหล้าและบุหร่ี ดังนั้น กระทอ่ มจึงอาจไม่ใช่พืชท่ีเป็นอนั ตรายและมีพิษภัย หากผ่านการศึกษาทดสอบ จนเกิดชดุ ความรู้ที่ถูกต้องรู้จัก วธิ ีใช้ ผลข้างเคียงท่ีอาจเกดิ ขน้ึ ได้ ถา้ ใช้ผดิ วธิ ีกอ็ าจทาใหเ้ กดิ ผลเสียต่อสุขภาพไดโ้ ดยตรง 5.2 ข้อเสนอแนะ 1.ค ว ร มี ก า ร เส น อ ใ ห้ พื ช ก ร ะ ท่ อ ม เป็ น ห น่ึ ง ใ น ส มุ น ไพ ร ที่ ต้ อ ง ได้ รั บ ก า ร ค ว บ คุ ม ม า ก ขึ้ น ต า ม พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 เช่น อนุญาตให้ปลูกได้แต่เพ่ือ ใช้ประโยชน์ใน การแพทย์ ใช้เป็นยา/ตารับยาในการรักษาโรคหรือการประกอบโรคศิลปะแผนไทย และการวจิ ัยดา้ นต่างๆ 2.ควรมีการนาภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้านจากหมอพื้นบ้าน ปราชญ์ชาวบ้านท่ีผ่านการศึกษาคัด กรอง พิสูจน์แล้วในเรื่องการรักษาโรค การใช้ยา/ตารับยา ในเชิงลึกมากขึ้น จนกระท่ังนามาพิสูจน์ต่อยอด ความถูกต้องของพันธ์ุพืชสมุนไพรอ่ืนในตารับยาว่า ถูกต้องตามหลักการใช้ หลักพฤกษศาสตร์หรือตามหลัก เภสัชกรรมไทยหรอื ไม่ จนมาสู่การทาวิจยั ในห้องปฏิบตั กิ ารทางวิทยาศาสตรต์ ่อไปในด้านอ่นื ๆ 3.ควรมีการถอดบทเรียนศึกษางานวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพจากผู้ป่วยหรือคนไข้ท่ีมารับการรักษาโรคจากหมอ พื้นบ้านท่ีใช้พืชกระท่อมเป็นส่วนประกอบในตารับยาจากการวินิจฉัยโรคตามแนวทางการแพทย์แผนไทยหรือ การแพทยพ์ ืน้ บ้าน เพอ่ื ยนื ยนั ผลการรกั ษาและสามารถนามาตอ่ ยอดงานในระดบั คลนิ กิ ได้

38 บรรณานกุ รม 1. Beckett, A.H., Shellard, E.J. and Tackie, A.N. 1965a. The Mitragyna species of Asia Part VI. The alkaloids of the leaves of Mitragyna speciosa Korth. Isolation of mitragynine and speciofoline. Planta Med., 13: 241-246. 2. Beckett, A.H., Shellard, E.J., Phillipson, J.D. and Lee, C.M. 1965b. Alkaloids from Mitragyna speciosa Korth. J. Pharm. Pharmacol., 17: 753-755. 3. Beckett, A.H., Shellard, E.J., Phillipson, J.D. and Lee, C.M. 1966a. The Mitragyna species of Asia Part VI. Oxindole alkaloids from the leaves of Mitragyna speciosa Korth. Planta Med., 14: 266-276. 4. Beckett, A.H., Shellard, E.J., Phillipson, J.D. and Lee, C.M. 1966b. The Mitragyna species of Asia Part VII. Indole alkaloids from the leaves of Mitragyna speciosa Korth. Planta Med., 14: 277-288. 5. Grewal, K.S. 1932. Observation on the pharmacology of mitragynine. J. Pharmacol. Exp. Ther., 46: 251-271. (Through Chem. Abstr. 27:137, 1933). Houghton, P.J. and Said, I.M. 1986. 3-Dehydromitragynine: an alkaloid from Mitragyna speciosa. Phytochemistry, 25: 2910-2912. 6. Jansen, K.L.R. and Prast, C.J. 1988. Ethnopharmacology of Kratom and the Mitragyna alkaloids. J. Ethnopharmacology, 23: 115-119. 7. Keawpradub, N. 1990. Alkaloids from the fresh leaves of Mitragyna speciosa. Master’s Thesis, Graduate School, Chulalongkorn University, Bangkok. Marcan, A. 1934. Report of the Government Laboratory of Siam: Physiological action of Kratom. Analyst, 59: 753-754. 8. Matsumoto, K., Mizowaki, M., Takayama, H., Sakai, S., Aimi, N. and Watanabe, H. 1997. Suppressive effect of mitragynine on the 5-methoxy-N,N-dimethyltryptamine- inducedhead-twitch response in mice. Pharmacol. Biochem. Behav., 57: 319-323. 9. Shellard, E.J., Houghton, P.J. and Resha, M. 1978a. The Mitragyna species of Asia Part XXXI. The alkaloids of Mitragyna speciosa Korth. from Thailand. Planta Med., 34: 26-36. 10. Shellard, E.J., Houghton, P.J. and Resha, M. 1978b. The Mitragyna species of Asia Part XXXII. The distribution of alkaloids in young plants of Mitragyna speciosa Korth. grown from seed obtained from Thailand. Planta Med., 34: 253-263. 11. Suwanlert, S. 1975. A study of Kratom eaters in Thailand. Bulletin on Narcotics, 27: 21-27.

39 12. Tohda, M., Thongpradichote, S., Matsumoto, K., Murakami, Y., Sakai, S., Aimi, N.,Takayama, H., Tongroach, P. and Watanabe, H. 1997. Effects of mitragynine on cAMP formation mediated by delta-opiate receptors in NG108-15 cells. Biol. Pharm. Bull., 20: 338- 340. 13. Tsuchiya, S., Miyashita, S., Yamamoto, M., Horie, S., Sakai, S., Aimi, N., Takayama, H. and Watanabe, K. 2002. Effect of mitragynine, derived from Thai folk medicine, on gastric acid secretion through opioid receptor in anesthetized rats. European J. Pharmacol.,443: 185-188. 14. Watanabe, K., Yano, S., Horie, S. and Yamamoto, L.T. 1997. Inhibitory effect of mitragynine,an alkaloid with analgesic effect from Thai medicinal plant Mitragyna speciosa, on electrically stimulated contraction of isolated guinea-pig ileum through the opioid receptor. Life Sci., 60: 933-942. 15. Yamamoto, L.T., Horie, S., Takayama, H., Aimi, N., Sakai, S., Yano, S., Shan, J., Pang, P.K., Ponglux, D. and Watanabe, K. 1999. Opioid receptor agonistic characteristics of mitagynine pseudoindoxyl in comparison with mitragynine derived from Thai medicinal plant Mitragyna speciosa. Gen. Pharmacol., 33: 73-81. 16. เสงี่ยม พงษบ์ ุญรอด, 2514. ไมเ้ ทศ เมอื งไทย. เกษมบรรณกจิ , กรงุ เทพฯ, หน้า 22-24. 17. สานักงานคณะกรรมการอาหารและยา, การศึกษาผลกระทบต่างๆ ในการควบคุมพืชกระท่อม เป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5, 2548. 18. จุไรทิพย์ หวังสินทวีกุล, ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ พฤกษเคมี พืชกระท่อม , สงขลา: คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์, 2558: 15-25. 19. สุรพร ชลสาคร, ปัญหายาเสพติดพืชกระท่อมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้กับการบาบัดรักษา ฟ้ืนฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด, ผลงานส่วนบุคคลในหลักสูตร “ผู้พิพากษาผู้บริหารในศาลชั้นต้น” รุ่นที่ 11 สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม สานักงานศาลยุติธรรม พ.ศ.2556, น.2-3. 20. สาวติ รี อัษณางค์กรชัย และอาภา ศิริวงศ์ ณ อยุธยา, “แบบแผนการใช้และผลกระทบต่อสุขภาพ ในผู้ใชพ้ ชื กระทอ่ มแบบพ้ืนบ้าน”, สงขลา: คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์ หาดใหญ่, 2558. 21. คณะกรรมมาธิการวิสามัญศึกษาผลดีและผลเสียของการบริโภคพืชกระท่อมเพื่อเป็นแนวทางใน การเสนอว่าควรยกเลิกพืชกระท่อมออกจากยาเสพตดิ ให้โทษประเภท 5 ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดหรือไม่: รายงานการศึกษาเรื่องผลดี และผลเสียของการบริโภคพืชกระทอ่ ม เพ่ือเป็นแนวทางในการเสนอว่าควรยกเลิก พชื กระท่อมออกจากยาเสพติดใหโ้ ทษประเภท 5 ตามกฎหมายว่าดว้ ยยาเสพติดให้โทษหรือใหม่, 2556.

40 ภาคผนวก ก ภาพกจิ กรรม ภาพที่ 1 ตำรับยำบำรุงกำลงั ภาพที่ 2 หมอพ้นื บำ้ นบำงทำ่ นยงั ใชพ้ ชื กระทอ่ มโดยอำ้ งอิงไดจ้ ำกตำรำแพทยศ์ ำสตร์สงเครำะห์ฯ ภาพที่ 3 หมอพ้ืนบำ้ นแนะนำกำรใชพ้ ืชสมุนไพร

41 ภาพที่ 4 ประชุมคดั กรองหมอพ้ืนบำ้ นที่ยงั ใชพ้ ืชกระท่อมเป็นส่วนประกอบในกำรรักษำโรคจริง ภาพที่ 5 ชุมชนสัมภำษณ์กรณีศึกษำที่มำรับกำรรักษำกบั หมอพ้ืนบำ้ น

42 ภาคผนวก ข แบบสัมภาษณ์ โครงการวจิ ยั การศึกษาประสทิ ธผิ ลและความปลอดภยั ของพืชกระท่อมในการรักษาโรค เลขที่.......................... แบบสัมภาษณ์ คาชี้แจง การสัมภาษณ์ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูลการรักษาของท่าน ขอให้ท่านตอบตามความ เป็นจริง และคาตอบของท่านไม่มีผลใดๆ ต่อตัวท่านหรือถ้าท่านไม่สบายใจที่จะตอบสามารถปฏิเสธได้ ผู้วิจัย จะนาเสนอเฉพาะข้อมลู ทท่ี ่านยนิ ยอมใหเ้ ปิดเผยเท่าน้นั ส่วนท่ี 1 ขอ้ มูลทว่ั ไป 1. เพศ ⃝ ชาย ⃝ หญงิ 2. อายุปจั จุบันของท่าน..................................ปี 3. ศาสนา ⃝ พทุ ธ ⃝ คริสต์ ⃝ อิสลาม ⃝ อนื่ ๆ (ระบุ)………………. ⃝ ไม่มี 4. สถานภาพสมรส ⃝ หม้าย ⃝ หยา่ /แยก ⃝ โสด ⃝ คู่ 5. การศกึ ษาในระบบโรงเรียนของท่าน (วฒุ กิ ารศกึ ษาสูงสดุ ) ⃝ ไม่ไดศ้ ึกษา ⃝ ประถมศึกษา ⃝ มธั ยมศึกษาตอนตน้ ⃝ มัธยมศึกษาตอนปลาย/ ปวช. ⃝ อนปุ ริญญา/ปวส. ⃝ ปรญิ ญาตรี หรอื เทยี บเท่า ⃝ สูงกว่าปรญิ ญาตรี 6. อาชพี หลกั ⃝ เปน็ หมอพืน้ บา้ น ⃝ แม่บา้ น ⃝ ทานา/ ทาสวน/ ทาไร่ ⃝ คา้ ขาย ⃝ รับราชการ ⃝ รฐั วสิ าหกิจ ⃝ ไม่ไดท้ างาน ⃝ รบั จา้ ง (ระบุ)………………………………………………….. ⃝ อน่ื ๆ (ระบุ) ……………………………………………….... ⃝ อาชพี เสรมิ อืน่ ๆ (ระบุ)...................................................

43 7.ภมู ลิ าเนาปัจจบุ นั ของทา่ น ⃝ จงั หวดั พทั ลุง ⃝ จงั หวัดสงขลา ⃝ จังหวดั อืน่ ๆ ระบ.ุ ...................................................... 8. รายไดเ้ ฉลีย่ ต่อเดือน ⃝ รายได้ต่ากวา่ 5,000 บาท ⃝ รายได้ 5,000-10,000 บาท ⃝ รายได้ 10,000-15,000 บาท ⃝ รายได้ 15,0000 บาทขึน้ ไป 9. สถานภาพของของทา่ น ⃝ หมอพื้นบ้าน ⃝ ชาวบ้าน ⃝ หมอแผนโบราณ (มใี บเลขที่……………….……) ⃝ พระ/ นักบวช ⃝ ผ้เู ชยี่ วชาญ ⃝ ครู/อาจารย์ ⃝ หน่วยงานตา่ งๆ................................................................................... สว่ นท่ี 2 ข้อมูลเกี่ยวกับโรค/อาการ 1. การซักประวัติความเจบ็ ปว่ ย ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... 2. ระยะเวลาการเกดิ โรค ...................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................... 3. ประวตั ิการเจบ็ ปว่ ย ⃝ โรคเบาหวาน ⃝ โรคอว้ น ⃝ โรคความดนั โลหติ สูง ⃝ ทอ้ งเสยี ⃝ อนื่ ๆ ระบุ...................................... ⃝ ไมแกรน 4. การรักษาในปจั จุบัน ⃝ การใชย้ าแผนไทย ⃝ การนวด ⃝ การใชย้ าแผนปจั จุบนั ⃝ การฝงั เข็ม ⃝ อ่ืนๆ ระบุ……………………………………… 5. ทา่ นมคี วามเชี่ยวชาญในการรกั ษาโรค/ อาการใดบา้ ง (6 โรคทใี่ หก้ ารรักษาบอ่ ยทีส่ ดุ ) ⃝ ........................................................... ⃝ ........................................................... ⃝ ........................................................... ⃝ ...........................................................

44 6. ความพึงพอใจเกยี่ วกบั การรกั ษาดว้ ยพืชใบกระท่อม ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... สว่ นที่ 3 เกี่ยวกับการรักษาด้วยพืชใบกระทอ่ ม 1.ท่านมปี ระสบการณ์ในการรกั ษาโรคดว้ ยพชื ใบกระท่อมมาแลว้ ...............................................ปี 2. ทา่ นได้รับความรูใ้ นการรกั ษาโรคดว้ ยพชื กระท่อมมาจากแหลง่ ใด ⃝ สบื ทอดมาจากบรรพบุรุษ หรอื ญาตทิ ี่เปน็ หมอพื้นบ้าน ⃝ ได้รบั การถ่ายทอดจากครูท่เี ปน็ หมอพื้นบา้ น (มอบตวั เปน็ ศิษย์แพทย์พ้นื บ้านจากคนอน่ื ที่ไมใ่ ช่ญาติหรือ บรรพบรุ ุษ) ⃝ ศึกษาจากตาราด้วยตัวเอง ระบุตารา..................................................... ชื่อตารับรบั ยา................................ ⃝ ไดร้ บั การอบรมหรอื เรยี นจากโรงเรยี นแพทย์แผนโบราณ ระบุ...................................................................... ⃝ เกดิ จากการสะสมประสบการณ์ด้วยตนเอง ⃝ มาจากหลายวธิ ีประกอบกัน ระบุ.................................................................................................................. ⃝ อื่น ๆ ระบ.ุ .................................................................................................................................................... 3.ท่านเห็นด้วยกับการใชพ้ ชื ใบกระท่อมนามาใชเ้ ป็นยารักษาโรคหรือไม่ ⃝ เห็นด้วย เพราะ............................................................................................................................. ⃝ ไม่เหน็ ด้วย เพราะ............................................................................................................................ 4.พชื ใบกระทอ่ มสามารถนามารกั ษาโรคใดไดบ้ า้ ง ⃝ ทอ้ งเสีย ⃝ ท้องผูก ⃝ เบาหวาน ⃝ ปวดเมื่อย ⃝ โรคบดิ ⃝ อ่นื ๆ ระบ.ุ .......................................................................................................... 5.แนวทางการวินิจฉัยโรคของทา่ นในการใช้พชื กระท่อมในการรกั ษา ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. .................................................

45 6.จานวนใบกระท่อมท่นี ามาใช้รักษาในแต่ละรายวธิ ีการนาพชื ใบกระท่อมมาใชร้ กั ษาโรค (บอกในแต่ละ โรคอย่างละเอียด ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................................................................. 7. ผูท้ ร่ี กั ษากับท่านมีการรักษารว่ มกับการแพทยแ์ ผนปัจจุบันหรอื ไม่ (ในรายที่ใชพ้ ืชกระทอ่ ม) ⃝ รกั ษารว่ มกบั การแพทย์แผนปจั จุบนั ⃝ รักษากบั หมอพืน้ บ้านอย่างเดยี ว ⃝ ไม่ทราบ ⃝ อื่นๆ ระบุ ............................................ 8. จานวนผู้ท่ีมารับการรักษากับทา่ นโดยใชพ้ ชื ใบกระท่อมรกั ษาเฉลยี่ ต่อเดือน .............................................................................................................................................................................. .......................................................................................................................................................................... .... ............................................................................................................................. ................................................. 9.ผลขา้ งเคยี งหลังจากการใช้พืชใบกระท่อม ............................................................................................................................. ................................................. .......................................................................................................................................................................... .... .............................................................................................................................................................................. 10.ท่านมีวิธกี ารตดิ ตามผลหรือการประเมนิ ผลการรกั ษาของทา่ นอย่างไร ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................................................... .......................................................... ....................................................................................................... ....................................................................... 11.ทา่ นใหค้ าแนะนา/ ขอ้ หา้ มสาหรบั ผู้ป่วย หรอื ไม่ อย่างไรเม่อื ใช้ใบกระท่อมในการรักษาแต่ละคร้ัง .......................................................................................... ................................................................................ .... ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. .................................................