Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓

พระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓

Description: พระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓

Search

Read the Text Version

ราชกิจจานเุ บกษา พระราชบญั ญัติ ให้ใช้พระธรรมนญู ศาลยุตธิ รรม พ.ศ. ๒๕๔๓

พระราชบญั ญัติ ใหใ้ ช้พระธรรมนูญศาลยตุ ธิ รรม พ.ศ. ๒๕๔๓ ภมู พิ ลอดลุ ยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันท่ี ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ เปน็ ปีท่ี ๕๕ ในรัชกาลปัจจบุ นั พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มพี ระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ใหป้ ระกาศวา่ โดยท่ีเปน็ การสมควรปรบั ปรงุ พระธรรมนูญศาลยตุ ธิ รรม จึงทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบญั ญตั ิข้ึนไว้โดยคาแนะนาและ ยนิ ยอมของรฐั สภา ดังตอ่ ไปน้ี มาตรา ๑ พระราชบญั ญัตินเี้ รียกวา่ “พระราชบญั ญัติใหใ้ ช้พระธรรมนญู ศาล ยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓” มาตรา ๒[๑] พระราชบญั ญตั ินี้ใหใ้ ช้บงั คับตั้งแต่วันถัดจากวนั ประกาศในราชกจิ จา นเุ บกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัตใิ ห้ใชพ้ ระธรรมนญู ศาลยุติธรรม พุทธศกั ราช ๒๔๗๗ และพระธรรมนญู ศาลยุติธรรมซึ่งไดใ้ ช้บงั คับโดยพระราชบญั ญัติดังกล่าว มาตรา ๔ ให้ใชบ้ ทบญั ญตั ิทา้ ยพระราชบัญญตั นิ ้ีเปน็ พระธรรมนูญศาลยตุ ิธรรม

มาตรา ๕ พระธรรมนูญศาลยตุ ิธรรมท้ายพระราชบญั ญตั ินใ้ี หใ้ ชบ้ ังคับแกบ่ รรดา คดที ่ีได้ยนื่ ฟอ้ งในวันทพ่ี ระธรรมนญู ศาลยตุ ธิ รรมท้ายพระราชบัญญัตนิ ี้ใช้บังคบั เปน็ ต้นไป ไม่วา่ มูล คดไี ด้เกดิ ข้ึนก่อนหรอื ในวนั ท่พี ระธรรมนูญศาลยุติธรรมท้ายพระราชบัญญตั ิน้ใี ชบ้ งั คบั บรรดาคดีที่ได้ย่ืนฟอ้ งก่อนวันท่ีพระธรรมนูญศาลยุติธรรมท้ายพระราชบัญญัตินีใ้ ช้ บังคับ ใหบ้ งั คับตามกฎหมายซึ่งใช้อยู่ก่อนวนั ที่พระธรรมนูญศาลยุตธิ รรมทา้ ยพระราชบญั ญตั ินี้ใช้ บังคับจนกวา่ คดีจะถึงท่ีสดุ เว้นแตม่ าตรา ๒๘ มาตรา ๒๙ มาตรา ๓๐ และมาตรา ๓๑ แห่งพระ ธรรมนูญศาลยตุ ธิ รรมทา้ ยพระราชบญั ญัติน้ี ให้ใชบ้ งั คบั แกค่ ดีในลกั ษณะดังกล่าวนบั แตว่ ันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๖ ใหผ้ ู้ทด่ี ารงตาแหนง่ รองประธานศาลฎกี า และรองอธบิ ดผี ู้พพิ ากษาศาล ชัน้ ต้น เฉพาะทีม่ ีอาวุโสถดั จากรองประธานศาลฎีกา และรองอธิบดผี ู้พพิ ากษาศาลชนั้ ต้น คนท่ีสาม และรองอธิบดผี พู้ พิ ากษาภาคอยู่ในวันทพ่ี ระธรรมนูญศาลยตุ ธิ รรมท้ายพระราชบญั ญัติน้ีใช้บงั คบั คงดารงตาแหน่งดังกล่าวได้ต่อไปจนกวา่ จะได้รบั แต่งตง้ั ใหไ้ ปดารงตาแหนง่ อ่ืน แตต่ อ้ งไมเ่ กินวันท่ี ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ ใหผ้ ู้ท่ีดารงตาแหน่งรองอธบิ ดีผู้พิพากษาศาลอทุ ธรณ์ และรองอธบิ ดผี พู้ พิ ากษา ศาลอุทธรณ์ภาค เฉพาะที่มอี าวุโสถดั จากรองอธิบดีผพู้ พิ ากษาศาลอุทธรณ์ และรองอธิบดีผู้ พพิ ากษาศาลอทุ ธรณภ์ าคคนทห่ี น่งึ อย่ใู นวันทพ่ี ระธรรมนูญศาลยุตธิ รรมทา้ ยพระราชบัญญัตินีใ้ ช้ บงั คบั คงดารงตาแหนง่ ดังกล่าวไดต้ อ่ ไปจนกว่าจะไดร้ บั แตง่ ตั้งใหไ้ ปดารงตาแหนง่ อนื่ แตต่ ้องไม่ เกินวันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ ใหผ้ ทู้ ดี่ ารงตาแหน่งอยูต่ ามวรรคหน่งึ และวรรคสอง มีหน้าทีช่ ่วยประธานศาลฎีกา ประธานศาลอทุ ธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค อธิบดีผพู้ ิพากษาศาลชัน้ ตน้ และอธบิ ดีผู้พิพากษา ภาค ตามทปี่ ระธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอทุ ธรณ์ภาค อธบิ ดผี พู้ ิพากษาศาล ชน้ั ตน้ และอธิบดีผูพ้ พิ ากษาภาคมอบหมาย แลว้ แต่กรณี มาตรา ๗ บรรดาพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ระเบียบราชการฝ่ายตลุ าการ ระเบยี บ ขอ้ บังคับ และบรรดาคาสง่ั ตา่ ง ๆ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมที่ตรา หรือออก โดยอาศัยอานาจตามพระธรรมนูญศาลยุตธิ รรมซ่งึ ไดใ้ ชบ้ ังคบั โดยพระราชบัญญตั ใิ หใ้ ชพ้ ระ ธรรมนูญศาลยุติธรรม พทุ ธศกั ราช ๒๔๗๗ ก่อนวันที่พระธรรมนญู ศาลยตุ ิธรรมทา้ ยพระราชบัญญัติ นี้ใชบ้ ังคับ ใหค้ งใชบ้ ังคับไดต้ ่อไปจนกวา่ จะมปี ระกาศ ระเบียบ หรอื คาสั่ง ตามพระธรรมนญู ศาล ยุติธรรมท้ายพระราชบญั ญัตนิ อี้ อกใช้บังคับแทน

มาตรา ๘ ให้ประธานศาลฎกี ารกั ษาการตามพระราชบญั ญัติน้ี ผรู้ บั สนองพระบรมราชโองการ ชวน หลีกภัย นายกรฐั มนตรี พระธรรมนญู ศาลยุตธิ รรม หมวด ๑ บทท่วั ไป มาตรา ๑[๒] ศาลยุติธรรมตามพระธรรมนูญนี้มีสามช้ัน คอื ศาลชน้ั ตน้ ศาลช้ัน อทุ ธรณ์ และศาลฎกี า เวน้ แตจ่ ะมกี ฎหมายบญั ญัตไิ ว้เป็นอยา่ งอนื่ มาตรา ๒[๓] ศาลช้ันต้น ได้แก่ ศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งตล่ิง ชัน ศาลแพง่ ธนบรุ ี ศาลแพ่งพระโขนง ศาลแพง่ มีนบรุ ี ศาลอาญา ศาลอาญากรงุ เทพใต้ ศาลอาญา ตลง่ิ ชนั ศาลอาญาธนบุรี ศาลอาญาพระโขนง ศาลอาญามีนบุรี ศาลจังหวัด ศาลแขวง และศาล ยุติธรรมอื่นท่ีพระราชบัญญัตจิ ดั ตง้ั ศาลนั้นกาหนดให้เปน็ ศาลชัน้ ตน้ มาตรา ๓[๔] ศาลช้ันอทุ ธรณ์ ไดแ้ ก่ ศาลอทุ ธรณ์ ศาลอทุ ธรณ์ภาค และศาลยุติธรรม อืน่ ทพี่ ระราชบัญญัตจิ ดั ตง้ั ศาลนัน้ กาหนดให้เป็นศาลชั้นอทุ ธรณ์ มาตรา ๔[๕] ศาลฎกี า ศาลช้ันอทุ ธรณ์ และศาลชั้นตน้ อาจแบง่ ส่วนราชการเป็น แผนกหรือหนว่ ยงานทเี่ รียกช่อื อย่างอนื่ และจะใหม้ อี านาจในคดีประเภทใดหรอื คดใี นท้องทใ่ี ด ซ่งึ

อยู่ในเขตอานาจของแต่ละศาลนั้นแยกตา่ งหากโดยเฉพาะกไ็ ด้ โดยให้ออกเป็นประกาศคณะ กรรมการบริหารศาลยุติธรรม ศาลชน้ั ต้นอาจเปิดทาการสาขาในทอ้ งท่ีอืน่ ใด และจะใหม้ อี านาจในคดปี ระเภทใด หรือคดีในทอ้ งท่ีใด ซ่งึ อยู่ในเขตอานาจของศาลนน้ั แยกตา่ งหากโดยเฉพาะกไ็ ด้ โดยใหอ้ อกเปน็ ประกาศคณะกรรมการบรหิ ารศาลยตุ ิธรรม การกาหนดและการเปลีย่ นแปลงสถานทต่ี งั้ ของศาล ให้ออกเปน็ ประกาศคณะ กรรมการบริหารศาลยุติธรรม ประกาศคณะกรรมการบรหิ ารศาลยตุ ธิ รรมท่ีออกตามความในมาตรานี้เมือ่ ประกาศในราชกิจจานเุ บกษาแล้ว ให้ใช้บงั คับได้ มาตรา ๕[๖] ให้ประธานศาลฎีกามีหนา้ ทว่ี างระเบียบราชการฝา่ ยตลุ าการของศาล ยุตธิ รรมเพือ่ ใหก้ ิจการของศาลยุติธรรมดาเนินไปโดยเรียบรอ้ ยและเปน็ ระเบียบเดียวกนั และให้ ประธานศาลฎกี ามีอานาจให้คาแนะนาแกผ่ ู้พพิ ากษาในการปฏิบตั ติ ามระเบยี บวิธีการต่าง ๆ ที่ กาหนดข้นึ โดยกฎหมายหรอื โดยประการอนื่ ให้เป็นไปโดยถกู ต้อง มาตรา ๖ ให้เลขาธิการสานักงานศาลยตุ ธิ รรมโดยความเหน็ ชอบของ คณะกรรมการบรหิ ารศาลยตุ ธิ รรมมีอานาจเสนอความเห็นเกย่ี วกบั การจัดต้งั การยุบเลกิ หรือการ เปลี่ยนแปลงเขตอานาจศาลของศาลยตุ ธิ รรมตอ่ คณะรฐั มนตรีเพอื่ พิจารณาดาเนนิ การ ทง้ั นี้ โดย คานงึ ถึงจานวน สภาพ สถานท่ตี ัง้ และเขตอานาจศาลตามท่ีจาเปน็ เพ่อื ใหก้ ารอานวยความยตุ ิธรรม แกป่ ระชาชนเปน็ ไปโดยเรียบรอ้ ยตลอดราชอาณาจกั ร มาตรา ๗ ให้คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมกาหนดจานวนผู้พพิ ากษาในศาล ยตุ ิธรรมใหเ้ หมาะสมตามความจาเป็นแหง่ ราชการ มาตรา ๘ ใหม้ ปี ระธานศาลฎีกาประจาศาลฎีกาหน่ึงคน ประธานศาลอุทธรณ์ ประจาศาลอทุ ธรณ์หน่ึงคน ประธานศาลอุทธรณ์ภาคประจาศาลอทุ ธรณ์ภาค ศาลละหนึ่งคน และ ใหม้ อี ธิบดีผู้พิพากษาศาลช้ันต้นประจาศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งตลิ่งชัน ศาลแพ่ง ธนบุรี ศาลแพ่งพระโขนง ศาลแพ่งมีนบุรี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาตลิ่งชนั ศาล อาญาธนบุรี ศาลอาญาพระโขนง ศาลอาญามนี บรุ ี และศาลยตุ ธิ รรมอืน่ ทพ่ี ระราชบญั ญตั ิจัดต้ังศาล นั้นกาหนดให้เปน็ ศาลชน้ั ต้น ศาลละหนึง่ คน กับใหม้ ีรองประธานศาลฎีกาประจาศาลฎีกา รอง

ประธานศาลอทุ ธรณป์ ระจาศาลอทุ ธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาคประจาศาลอทุ ธรณ์ภาค และรองอธิบดผี ู้พิพากษาศาลชนั้ ตน้ ประจาศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรงุ เทพใต้ ศาลแพ่งตลิ่งชนั ศาลแพง่ ธนบรุ ี ศาลแพ่งพระโขนง ศาลแพง่ มีนบรุ ี ศาลอาญา ศาลอาญากรงุ เทพใต้ ศาลอาญาตล่งิ ชัน ศาล อาญาธนบุรี ศาลอาญาพระโขนง ศาลอาญามีนบุรี และศาลยุติธรรมอ่ืนที่พระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลน้ันกาหนดให้เป็นศาลชนั้ ต้น ศาลละหน่งึ คน และในกรณีที่มคี วามจาเปน็ เพ่ือประโยชน์ในทาง ราชการ คณะกรรมการบริหารศาลยตุ ิธรรมโดยความเหน็ ชอบของประธานศาลฎกี าจะกาหนดให้มี รองประธานศาลฎกี ามากกว่าหนึ่งคนแต่ไม่เกินหกคน รองประธานศาลอทุ ธรณ์ รองประธานศาล อุทธรณ์ภาค หรือรองอธบิ ดีผู้พพิ ากษาศาลชั้นตน้ มากกว่าหนึ่งคนแตไ่ มเ่ กนิ สามคนกไ็ ด้[๗] เมือ่ ตาแหน่งประธานศาลฎีกา ประธานศาลอทุ ธรณ์ ประธานศาลอุทธรณภ์ าค หรอื อธิบดีผพู้ ิพากษาศาลชนั้ ตน้ ว่างลง หรอื เมอ่ื ผู้ดารงตาแหน่งดงั กล่าวไม่อาจปฏิบตั ริ าชการได้ให้รอง ประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอทุ ธรณ์ รองประธานศาลอทุ ธรณ์ภาค หรอื รองอธิบดีผ้พู พิ ากษา ศาลช้ันต้น แล้วแต่กรณี เป็นผู้ทาการแทน ถ้ามีรองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอทุ ธรณ์ภาค หรอื รองอธิบดผี ู้พิพากษาศาลช้นั ตน้ หลายคน ใหร้ องประธานศาล ฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอทุ ธรณ์ภาค หรอื รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชนั้ ต้น ทมี่ อี าวโุ สสูงสุดเปน็ ผู้ทาการแทน ถ้าผทู้ ี่มอี าวโุ สสูงสดุ ไมอ่ าจปฏบิ ตั ริ าชการได้ ให้ผ้ทู ม่ี ีอาวุโสถัดลง มาตามลาดบั เป็นผูท้ าการแทน ในกรณีทไ่ี ม่มผี ู้ทาการแทนประธานศาลฎกี า ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาล อทุ ธรณ์ภาค หรืออธิบดีผูพ้ ิพากษาศาลช้นั ต้นตามวรรคสอง หรือมแี ต่ไม่อาจปฏิบตั ิราชการได้ ให้ผู้ พพิ ากษาที่มีอาวุโสสงู สุดในศาลนนั้ เป็นผ้ทู าการแทน ถา้ ผ้ทู ี่มีอาวุโสสูงสดุ ไม่อาจปฏบิ ัติราชการได้ ให้ผู้พิพากษาท่ีมีอาวโุ สถัดลงมาตามลาดับเป็นผทู้ าการแทน ในกรณีทีไ่ ม่มีผ้ทู าการแทนตามวรรคสาม ประธานศาลฎีกาจะสั่งให้ผู้พิพากษาคน หนึง่ เป็นผทู้ าการแทนก็ได้ ผู้พพิ ากษาอาวุโสหรือผู้พิพากษาประจาศาลจะเปน็ ผู้ทาการแทนในตาแหน่งตาม วรรคหนงึ่ ไมไ่ ด้ มาตรา ๙ ในศาลจงั หวัดหรือศาลแขวง ใหม้ ีผพู้ พิ ากษาหวั หน้าศาล ศาลละหน่งึ คน เมอื่ ตาแหนง่ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจงั หวดั หรอื ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงวา่ งลง หรือเมอื่ ผู้ดารงตาแหนง่ ดังกล่าวไม่อาจปฏิบัตริ าชการได้ ใหผ้ พู้ ิพากษาท่ีมีอาวุโสสงู สุดในศาลนนั้ เปน็ ผ้ทู าการแทน ถ้าผู้ทมี่ ีอาวโุ สสูงสุดในศาลน้นั ไมอ่ าจปฏิบัติราชการได้ ใหผ้ ู้พิพากษาทม่ี ีอาวุโส ถดั ลงมาตามลาดบั ในศาลนนั้ เปน็ ผทู้ าการแทน

ในกรณที ่ีไมม่ ีผทู้ าการแทนตามวรรคสอง ประธานศาลฎกี าจะสั่งใหผ้ ู้พพิ ากษาคน หนงึ่ เป็นผู้ทาการแทนกไ็ ด้ ผพู้ พิ ากษาอาวุโสหรือผู้พิพากษาประจาศาลจะเปน็ ผ้ทู าการแทนในตาแหน่งตาม วรรคหนึ่งไมไ่ ด้ มาตรา ๑๐ ในกรณที ี่มกี ารแบ่งสว่ นราชการในศาลฎีกา ศาลชนั้ อทุ ธรณ์ หรอื ศาล ช้นั ตน้ ออกเป็นแผนกหรือหน่วยงานที่เรียกชอ่ื อยา่ งอ่นื ให้มีผ้พู ิพากษาหวั หน้าแผนกหรือผู้ พิพากษาหัวหน้าหน่วยงานท่ีเรียกชอื่ อย่างอื่น แผนกหรอื หน่วยงานละหนง่ึ คน[๘] เมอ่ื ตาแหน่งผู้พิพากษาหัวหนา้ แผนกหรือผู้พพิ ากษาหัวหนา้ หน่วยงานทเี่ รียกชอ่ื อย่างอื่นตามวรรคหนึ่งวา่ งลง หรือเมือ่ ผู้ดารงตาแหน่งดังกล่าวไมอ่ าจปฏิบัตริ าชการได้ ให้ผู้ พิพากษาท่มี อี าวุโสสงู สุดในแผนกหรอื ในหน่วยงานท่เี รยี กชอื่ อยา่ งอ่ืนนั้นเปน็ ผทู้ าการแทน ถา้ ผู้ท่มี ี อาวุโสสูงสดุ ในแผนกหรอื ในหนว่ ยงานทเี่ รียกชื่ออยา่ งอนื่ นั้นไม่อาจปฏบิ ตั ริ าชการได้ ให้ผ้พู พิ ากษา ท่มี อี าวุโสถัดลงมาตามลาดับในแผนกหรอื ในหน่วยงานทเี่ รียกช่อื อยา่ งอ่ืนนน้ั เป็นผทู้ าการแทน ในกรณีทไ่ี ม่มีผูท้ าการแทนตามวรรคสอง ประธานศาลฎกี าจะสั่งใหผ้ ู้พพิ ากษาคน หนงึ่ เป็นผทู้ าการแทนกไ็ ด้ ผพู้ ิพากษาอาวุโสหรือผู้พิพากษาประจาศาลจะทาการแทนในตาแหนง่ ตามวรรค หนง่ึ ไมไ่ ด้ มาตรา ๑๑ ประธานศาลฎกี า ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอทุ ธรณภ์ าค อธบิ ดีผู้พพิ ากษาศาลชั้นตน้ และผู้พิพากษาหัวหน้าศาล ต้องรับผิดชอบในราชการของศาลให้ เป็นไปโดยเรยี บร้อย และให้มอี านาจหน้าท่ีดังต่อไปน้ีด้วย (๑)[๙] นง่ั พิจารณาและพิพากษาคดีใด ๆ ของศาลน้ัน หรือเมือ่ ได้ตรวจสานวนคดีใด แลว้ มีอานาจทาความเห็นแยง้ ได้ (๒) สงั่ คาร้องคาขอตา่ ง ๆ ทีย่ ื่นตอ่ ตนตามบทบญั ญตั ิแหง่ กฎหมายวา่ ดว้ ยวธิ ี พิจารณาความ (๓) ระมดั ระวังการใชร้ ะเบียบวธิ กี ารตา่ ง ๆ ทก่ี าหนดขึน้ โดยกฎหมายหรือโดย ประการอ่นื ใหเ้ ป็นไปโดยถกู ตอ้ ง เพอ่ื ใหก้ ารพิจารณาพพิ ากษาคดีเสร็จเดด็ ขาดไปโดยเรว็ (๔) ให้คาแนะนาแก่ผู้พิพากษาในศาลน้ันในข้อขัดข้องเน่ืองในการปฏิบัติหน้าที่ ของผ้พู พิ ากษา

(๕) รว่ มมือกับเจ้าพนกั งานฝ่ายปกครองในบรรดากจิ การอนั เกีย่ วกบั การจดั วาง ระเบียบและการดาเนนิ การงานส่วนธรุ การของศาล (๖) ทารายงานการคดแี ละกิจการของศาลสง่ ตามระเบียบ (๗) มีอานาจหน้าทีอ่ น่ื ตามท่ีกฎหมายกาหนด ให้รองประธานศาลฎกี า รองประธานศาลอทุ ธรณ์ รองประธานศาลอทุ ธรณ์ภาค หรอื รองอธบิ ดีผูพ้ ิพากษาศาลชั้นต้น มอี านาจตาม (๒) ดว้ ย และให้มีหนา้ ทีช่ ่วยประธานศาลฎกี า ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอทุ ธรณภ์ าค หรอื อธบิ ดีผูพ้ พิ ากษาศาลชน้ั ตน้ แล้วแต่กรณี ตามทีป่ ระธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอุทธรณภ์ าค หรืออธบิ ดีผพู้ ิพากษาศาล ชนั้ ต้นมอบหมาย มาตรา ๑๒ ผูพ้ ิพากษาหัวหนา้ แผนกหรือผูพ้ ิพากษาหัวหน้าหนว่ ยงานท่ีเรยี กชอื่ อย่างอนื่ ตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึง่ ตอ้ งรบั ผดิ ชอบงานของแผนกหรอื หน่วยงานทีเ่ รยี กชอ่ื อย่างอื่น ใหเ้ ปน็ ไปโดยเรียบรอ้ ยตามที่กาหนดไวใ้ นประกาศคณะกรรมการบริหารศาลยุตธิ รรมทไ่ี ด้จัดต้งั แผนกหรอื หนว่ ยงานทเ่ี รยี กชือ่ อยา่ งอ่ืนนั้น และตอ้ งปฏิบตั ติ ามคาส่ังของประธานศาลฎกี า ประธานศาลอทุ ธรณ์ ประธานศาลอทุ ธรณ์ภาค อธบิ ดีผู้พิพากษาศาลชัน้ ตน้ หรือผพู้ ิพากษาหวั หน้า ศาลน้นั มาตรา ๑๓[๑๐] ให้มอี ธบิ ดผี ู้พิพากษาภาค ภาคละหนงึ่ คน จานวนเกา้ ภาค มีสถาน ที่ต้ังและเขตอานาจตามท่ีคณะกรรมการบริหารศาลยตุ ิธรรมกาหนดโดยประกาศในราชกจิ จา นุเบกษา กับใหม้ ีรองอธิบดีผูพ้ พิ ากษาภาค ภาคละสามคน ในกรณที ม่ี คี วามจาเป็นเพอ่ื ประโยชน์ ในทางราชการ คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมโดยความเห็นชอบของประธานศาลฎีกาจะ กาหนดให้มีรองอธบิ ดีผู้พพิ ากษาภาคมากกว่าสามคนแตไ่ มเ่ กินหกคนกไ็ ด้ เม่ือตาแหนง่ อธิบดีผู้พิพากษาภาคว่างลง หรือเมอ่ื ผู้ดารงตาแหน่งดังกล่าวไมอ่ าจ ปฏิบัติราชการได้ ให้รองอธิบดีผู้พิพากษาภาคที่มีอาวุโสสูงสุดเป็นผู้ทาการแทน ถ้าผู้ท่ีมีอาวุโส สูงสุดไม่อาจปฏบิ ตั ริ าชการได้ ให้ผูท้ ่ีมอี าวุโสถัดลงมาตามลาดบั เป็นผ้ทู าการแทน ในกรณที ่ีไม่มีผู้ทาการแทนตามวรรคสอง ประธานศาลฎีกาจะส่ังให้ผู้พพิ ากษาคน หนึง่ เปน็ ผู้ทาการแทนกไ็ ด้ ผู้พพิ ากษาอาวุโสหรือผู้พพิ ากษาประจาศาลจะเป็นผู้ทาการแทนในตาแหนง่ ตาม วรรคหน่ึงไมไ่ ด้

มาตรา ๑๔ ใหอ้ ธบิ ดีผูพ้ ิพากษาภาคเป็นผู้พิพากษาในศาลท่ีอยู่ในเขตอานาจด้วยผู้ หนึ่ง โดยให้มีอานาจและหนา้ ท่ตี ามที่กาหนดไวใ้ นมาตรา ๑๑ วรรคหนึง่ และใหม้ อี านาจหน้าที่ ดงั ต่อไปนดี้ ว้ ย (๑) ส่ังให้หัวหนา้ สานกั งานประจาศาลยตุ ิธรรมรายงานเกี่ยวด้วยคดี หรอื รายงาน กจิ การอื่นของศาลท่อี ย่ใู นเขตอานาจของตน (๒) ในกรณีจาเป็นจะส่งั ให้ผพู้ ิพากษาคนใดคนหน่ึงในศาลทอี่ ยใู่ นเขตอานาจของ ตนไปช่วยทางานชว่ั คราวมกี าหนดไม่เกินสามเดือนในอีกศาลหนึง่ โดยความยนิ ยอมของผู้พพิ ากษา นั้นก็ได้ แล้วรายงานไปยังประธานศาลฎกี าทนั ที ใหร้ องอธิบดีผู้พพิ ากษาภาคเปน็ ผูพ้ พิ ากษาในศาลท่อี ยูใ่ นเขตอานาจดว้ ย โดยใหม้ ี อานาจตามที่กาหนดไวใ้ นมาตรา ๑๑ วรรคหนึง่ (๒) และให้มีหนา้ ท่ีชว่ ยอธิบดีผพู้ พิ ากษาภาคตามท่ี อธบิ ดผี ูพ้ ิพากษาภาคมอบหมาย[๑๑] หมวด ๒ เขตอานาจศาล มาตรา ๑๕ ห้ามมิให้ศาลยุติธรรมศาลใดศาลหนง่ึ รบั คดซี ่ึงศาลยตุ ิธรรมอ่ืนได้ส่ังรับ ประทบั ฟ้องโดยชอบแล้วไวพ้ ิจารณาพิพากษา เวน้ แต่คดีน้นั จะได้โอนมาตามบทบญั ญัตแิ หง่ กฎหมายวา่ ด้วยวธิ ีพจิ ารณาความหรอื ตามพระธรรมนญู ศาลยตุ ิธรรม มาตรา ๑๖ ศาลช้ันตน้ มเี ขตตามท่พี ระราชบัญญตั ิจดั ต้งั ศาลน้ันกาหนดไว้ในกรณี ที่มคี วามจาเป็นตอ้ งเปลี่ยนแปลงเขตอานาจศาลเพ่ือประโยชน์ในการอานวยความยุติธรรมแก่ ประชาชน ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา[๑๒] ศาลแพ่งและศาลอาญา มีเขตตลอดทอ้ งท่ีกรุงเทพมหานครนอกจากท้องทที่ ีอ่ ยู่ใน เขตของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งตล่ิงชัน ศาลแพ่งธนบรุ ี ศาลแพ่งพระโขนง ศาลแพ่งมีนบุรี ศาล อาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาตลิ่งชนั ศาลอาญาธนบุรี ศาลอาญาพระโขนง ศาลอาญามีนบุรี และศาล ยุติธรรมอ่นื ตามที่พระราชบญั ญตั จิ ดั ต้งั ศาลนนั้ กาหนดไว้[๑๓] ในกรณที ม่ี ีการย่นื ฟอ้ งคดีตอ่ ศาลแพ่งหรอื ศาลอาญา และคดีนนั้ เกดิ ข้ึนนอกเขต ของศาลแพ่งหรือศาลอาญา ศาลแพ่งหรือศาลอาญา แล้วแต่กรณี อาจใชด้ ุลพินิจยอมรบั ไว้ พจิ ารณาพพิ ากษาหรอื มีคาสั่งโอนคดีไปยังศาลยตุ ิธรรมอ่นื ทีม่ เี ขตอานาจ

(ยกเลิก)[๑๔] มาตรา ๑๗ ศาลแขวงมอี านาจพจิ ารณาพพิ ากษาคดี และมีอานาจทาการไต่ สวน หรอื มีคาสง่ั ใด ๆ ซ่งึ ผู้พพิ ากษาคนเดียวมีอานาจตามทก่ี าหนดไวใ้ นมาตรา ๒๔ และมาตรา ๒๕ วรรคหนงึ่ มาตรา ๑๘[๑๕] ภายใต้บงั คับมาตรา ๑๙/๑ ศาลจังหวดั มอี านาจพิจารณาพพิ ากษา คดแี พง่ และคดีอาญาทัง้ ปวงทีม่ ิไดอ้ ยู่ในอานาจของศาลยุติธรรมอืน่ มาตรา ๑๙[๑๖] ศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งตล่ิงชัน ศาลแพ่ง ธนบุรี ศาลแพ่งพระโขนง และศาลแพ่งมีนบรุ ีมอี านาจพจิ ารณาพพิ ากษาคดีแพ่งท้ังปวงและคดีอื่น ใดท่มี ไิ ด้อยใู่ นอานาจของศาลยุติธรรมอ่ืน ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาตลิง่ ชัน ศาลอาญาธนบรุ ี ศาลอาญาพระ โขนง และศาลอาญามนี บุรีมอี านาจพจิ ารณาพพิ ากษาคดอี าญาท้ังปวงที่มิได้อย่ใู นอานาจของศาล ยตุ ิธรรมอน่ื รวมท้งั คดีอน่ื ใดที่มกี ฎหมายบญั ญัตใิ ห้อยใู่ นอานาจของศาลท่ีมีอานาจพิจารณา พิพากษาคดอี าญา แลว้ แตก่ รณี มาตรา ๑๙/๑[๑๗] บรรดาคดซี ง่ึ เกดิ ขึ้นในเขตศาลแขวงและอย่ใู นอานาจของศาลแขวง นนั้ ถ้าย่ืนฟ้องต่อศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งตลิ่งชัน ศาลแพ่งธนบุรี ศาลแพ่งพระ โขนง ศาลแพ่งมนี บุรี ศาลอาญา ศาลอาญากรงุ เทพใต้ ศาลอาญาตลิ่งชนั ศาลอาญาธนบรุ ี ศาลอาญา พระโขนง ศาลอาญามนี บุรี หรือศาลจังหวดั ใหอ้ ยู่ในดุลพนิ จิ ของศาลดงั กล่าวที่จะยอมรับพิจารณา คดใี ดคดีหนงึ่ ท่ยี นื่ ฟอ้ งเชน่ น้ันหรอื มีคาสัง่ โอนคดไี ปยังศาลแขวงที่มเี ขตอานาจก็ได้ และไมว่ ่ากรณี จะเป็นประการใด หากศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรงุ เทพใต้ ศาลแพง่ ตลิง่ ชัน ศาลแพง่ ธนบุรี ศาลแพ่งพระ โขนง ศาลแพ่งมีนบรุ ี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาตล่งิ ชัน ศาลอาญาธนบรุ ี ศาล อาญาพระโขนง ศาลอาญามนี บุรี หรือศาลจงั หวัด ได้มีคาสั่งรบั ฟอ้ งคดีเช่นว่าน้นั ไวแ้ ล้ว ให้ศาล ดงั กลา่ วพิจารณาพิพากษาคดีน้ันตอ่ ไป ในกรณีท่ีขณะย่นื ฟ้องคดีน้ันเป็นคดีท่ีอยู่ในอานาจศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพ ใต้ ศาลแพ่งตลงิ่ ชัน ศาลแพง่ ธนบรุ ี ศาลแพ่งพระโขนง ศาลแพ่งมนี บุรี ศาลอาญา ศาลอาญา กรุงเทพใต้ ศาลอาญาตลิ่งชัน ศาลอาญาธนบุรี ศาลอาญาพระโขนง ศาลอาญามีนบุรี หรือศาล

จังหวัดอยู่แล้ว แม้ตอ่ มาจะมีพฤตกิ ารณ์เปลี่ยนแปลงไปทาใหค้ ดนี ั้นเปน็ คดที ่ีอยใู่ นอานาจของศาล แขวง ก็ให้ศาลดังกลา่ วพจิ ารณาพพิ ากษาคดีน้ันต่อไป มาตรา ๒๐ ศาลยุตธิ รรมอืน่ มีอานาจพิจารณาพพิ ากษาคดีตามท่ีพระราชบญั ญัติ จดั ตั้งศาลนั้นหรือกฎหมายอนื่ กาหนดไว้ มาตรา ๒๑ ศาลอุทธรณ์มเี ขตตลอดทอ้ งที่ท่ีมไิ ด้อย่ใู นเขตศาลอุทธรณ์ภาค ในกรณีทม่ี ีการย่ืนอทุ ธรณ์คดีตอ่ ศาลอุทธรณ์ และคดีน้นั อยนู่ อกเขตของศาล อุทธรณ์ ศาลอทุ ธรณอ์ าจใช้ดุลพนิ จิ ยอมรบั ไวพ้ ิจารณาพพิ ากษาหรือมีคาสั่งโอนคดีนั้นไปยังศาล อุทธรณภ์ าคทมี่ เี ขตอานาจ มาตรา ๒๒ ศาลอทุ ธรณแ์ ละศาลอุทธรณภ์ าคมีอานาจพจิ ารณาพพิ ากษาบรรดา คดที ่อี ทุ ธรณ์คาพพิ ากษาหรือคาสั่งของศาลชั้นตน้ ตามบทบัญญตั ิแห่งกฎหมายว่าด้วยการอุทธรณ์ และวา่ ด้วยเขตอานาจศาล และมอี านาจดงั ต่อไปน้ี (๑) พิพากษายืนตาม แกไ้ ข กลับ หรอื ยกคาพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษา ลงโทษประหารชีวิตหรอื จาคุกตลอดชวี ิต ในเมอ่ื คดีนนั้ ไดส้ ง่ ขึน้ มายงั ศาลอทุ ธรณแ์ ละศาลอุทธรณ์ ภาคตามที่บัญญตั ิไวใ้ นกฎหมายวิธพี ิจารณาความอาญา (๒) วนิ จิ ฉัยชี้ขาดคารอ้ งคาขอทยี่ ่ืนตอ่ ศาลอุทธรณ์หรอื ศาลอุทธรณ์ภาคตาม กฎหมาย (๓) วนิ จิ ฉัยช้ีขาดคดีทีศ่ าลอุทธรณแ์ ละศาลอทุ ธรณภ์ าคมีอานาจวินจิ ฉัยไดต้ าม กฎหมายอืน่ มาตรา ๒๓ ศาลฎกี ามีอานาจพจิ ารณาพิพากษาคดีท่รี ฐั ธรรมนูญหรือกฎหมาย บญั ญตั ิใหเ้ สนอต่อศาลฎกี าได้โดยตรง และคดีที่อุทธรณห์ รอื ฎกี าคาพิพากษาหรอื คาสั่งของศาล ชน้ั ตน้ ศาลอุทธรณ์ หรอื ศาลอุทธรณภ์ าคตามทีก่ ฎหมายบญั ญัติ เว้นแต่กรณีท่ีศาลฎกี าเห็นว่าขอ้ กฎหมายหรือขอ้ เทจ็ จรงิ ทีอ่ ทุ ธรณ์หรอื ฎกี าน้ันจะไมเ่ ป็นสาระอันควรแกก่ ารพิจารณา ศาลฎกี ามี อานาจไม่รบั คดไี วพ้ จิ ารณาพิพากษาได้ ท้งั นี้ ตามระเบยี บท่ที ี่ประชมุ ใหญศ่ าลฎีกากาหนดโดย ประกาศในราชกิจจานุเบกษา[๑๘] คดีทีศ่ าลฎีกาไดพ้ ิจารณาพพิ ากษาหรือมคี าส่ังแลว้ คคู่ วามไมม่ สี ทิ ธิท่ีจะทลู เกล้าฯ ถวายฎกี าคัดคา้ นคดีนั้นตอ่ ไป

หมวด ๓ องค์คณะผพู้ ิพากษา มาตรา ๒๔ ใหผ้ ู้พพิ ากษาคนหนึง่ มีอานาจดังต่อไปน้ี (๑) ออกหมายเรยี ก หมายอาญา หรอื หมายสัง่ ให้ส่งคนมาจากหรอื ไปยังจงั หวดั อน่ื (๒) ออกคาส่ังใด ๆ ซง่ึ มใิ ชเ่ ป็นไปในทางวินจิ ฉยั ชี้ขาดขอ้ พิพาทแห่งคดี มาตรา ๒๕ ในศาลช้ันต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอานาจเกี่ยวแก่คดซี ่งึ อย่ใู นอานาจของศาลนน้ั ดังตอ่ ไปนี้ (๑) ไต่สวนและวินจิ ฉยั ชขี้ าดคารอ้ งหรือคาขอทยี่ นื่ ต่อศาลในคดที ้ังปวง (๒) ไต่สวนและมีคาส่งั เก่ียวกบั วธิ ีการเพอ่ื ความปลอดภยั (๓) ไตส่ วนมลู ฟ้องและมคี าส่งั ในคดอี าญา (๔) พจิ ารณาพิพากษาคดแี พ่ง ซึง่ ราคาทรัพยส์ นิ ที่พิพาทหรอื จานวนเงินท่ฟี ้องไม่ เกินสามแสนบาท ราคาทรัพยส์ นิ ทพ่ี พิ าทหรอื จานวนเงินดงั กล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระ ราชกฤษฎกี า (๕) พจิ ารณาพพิ ากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกาหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ใหจ้ าคกุ ไม่ เกินสามปี หรอื ปรับไม่เกนิ หกหมนื่ บาท หรือทง้ั จาทั้งปรบั แต่จะลงโทษจาคุกเกินหกเดอื น หรือ ปรับเกนิ หนึง่ หมน่ื บาท หรือทง้ั จาทั้งปรบั ซ่ึงโทษจาคกุ หรือปรบั อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ หรือทั้งสองอย่าง เกนิ อัตราที่กลา่ วแล้วไม่ได้ ผูพ้ พิ ากษาประจาศาลไมม่ ีอานาจตาม (๓) (๔) หรอื (๕) มาตรา ๒๖ ภายใตบ้ ังคบั มาตรา ๒๕ ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น นอกจากศาลแขวงและศาลยตุ ธิ รรมอนื่ ซง่ึ พระราชบญั ญัตจิ ดั ตง้ั ศาลน้ันกาหนดไว้เปน็ อย่างอ่ืน ต้อง มผี พู้ พิ ากษาอย่างนอ้ ยสองคนและต้องไมเ่ ป็นผู้พิพากษาประจาศาลเกนิ หนงึ่ คน จงึ เปน็ องค์คณะที่ มีอานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งหรือคดอี าญาทัง้ ปวง มาตรา ๒๗ ในการพจิ ารณาพิพากษาคดีของศาลอทุ ธรณ์ ศาลอุทธรณภ์ าค หรือ ศาลฎกี า ต้องมีผพู้ พิ ากษาอย่างนอ้ ยสามคน จึงเปน็ องคค์ ณะท่ีมีอานาจพิจารณาพิพากษาคดไี ด้

ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ผพู้ ิพากษาศาลอุทธรณภ์ าค และผพู้ ิพากษาศาลฎีกา ทเี่ ขา้ ประชมุ ใหญใ่ นศาลน้นั หรือในแผนกคดีของศาลดงั กล่าว เมื่อไดต้ รวจสานวนคดที ี่ประชมุ ใหญห่ รือท่ี ประชุมแผนกคดแี ล้ว มอี านาจพพิ ากษาหรือทาคาส่ังคดีนั้นได้ และเฉพาะในศาลอทุ ธรณ์หรือศาล อทุ ธรณภ์ าคมีอานาจทาความเหน็ แย้งไดด้ ้วย มาตรา ๒๘ ในระหว่างการพิจารณาคดีใด หากมีเหตุสดุ วสิ ัยหรือมเี หตุจาเป็นอ่นื อนั มิอาจก้าวล่วงได้ ทาให้ผู้พพิ ากษาซงึ่ เป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีน้นั ไม่อาจจะนั่งพิจารณา คดีตอ่ ไป ใหผ้ ูพ้ ิพากษาดังตอ่ ไปนนี้ ่งั พจิ ารณาคดนี น้ั แทนต่อไปได้ (๑) ในศาลฎีกา ไดแ้ ก่ ประธานศาลฎีกา หรือรองประธานศาลฎกี า หรอื ผูพ้ ิพากษา ในศาลฎีกาซงึ่ ประธานศาลฎีกามอบหมาย (๒) ในศาลอทุ ธรณ์หรอื ศาลอุทธรณภ์ าค ได้แก่ ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาล อทุ ธรณ์ภาค หรือรองประธานศาลอทุ ธรณ์ รองประธานศาลอทุ ธรณ์ภาค หรอื ผพู้ พิ ากษาในศาล อุทธรณ์หรือศาลอุทธรณภ์ าคซง่ึ ประธานศาลอทุ ธรณห์ รือประธานศาลอทุ ธรณภ์ าค แลว้ แตก่ รณี มอบหมาย (๓)[๑๙] ในศาลชนั้ ต้น ไดแ้ ก่ อธบิ ดผี พู้ พิ ากษาศาลช้นั ตน้ อธบิ ดผี ูพ้ ิพากษาภาค ผู้ พิพากษาหัวหนา้ ศาล หรอื รองอธบิ ดผี ู้พิพากษาศาลชนั้ ตน้ รองอธบิ ดผี ูพ้ ิพากษาภาค หรอื ผู้ พพิ ากษาในศาลชนั้ ตน้ ของศาลน้ัน ซ่งึ อธบิ ดผี ู้พิพากษาศาลชน้ั ต้น อธบิ ดผี ้พู ิพากษาภาค หรือผู้ พิพากษาหัวหน้าศาล แลว้ แต่กรณี มอบหมาย ให้ผทู้ าการแทนในตาแหนง่ ต่าง ๆ ตามมาตรา ๘ มาตรา ๙ และมาตรา ๑๓ มอี านาจ ตาม (๑) (๒) และ (๓) ด้วย มาตรา ๒๙ ในระหว่างการทาคาพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสดุ วิสยั หรือเหตจุ าเป็น อื่นอันมิอาจก้าวลว่ งได้ ทาให้ผู้พิพากษาซ่งึ เป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนน้ั ไมอ่ าจจะทาคา พพิ ากษาในคดนี ้ันตอ่ ไปได้ ให้ผ้พู ิพากษาดังตอ่ ไปนมี้ อี านาจลงลายมอื ชือ่ ทาคาพพิ ากษา และ เฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอทุ ธรณ์ภาค และศาลชนั้ ตน้ มีอานาจทาความเห็นแยง้ ได้ดว้ ย ทงั้ นี้ หลงั จากได้ตรวจสานวนคดนี ัน้ แล้ว (๑) ในศาลฎีกา ไดแ้ ก่ ประธานศาลฎกี าหรือรองประธานศาลฎีกา (๒) ในศาลอุทธรณ์หรอื ศาลอทุ ธรณภ์ าค ได้แก่ ประธานศาลอทุ ธรณ์ ประธานศาล อทุ ธรณ์ภาค รองประธานศาลอทุ ธรณ์ หรอื รองประธานศาลอทุ ธรณ์ภาค แล้วแต่กรณี

(๓)[๒๐] ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลช้ันต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค รองอธบิ ดีผพู้ ิพากษาศาลชั้นตน้ รองอธิบดผี ู้พิพากษาภาค หรอื ผู้พพิ ากษาหัวหน้าศาล แลว้ แต่กรณี ให้ผู้ทาการแทนในตาแหนง่ ต่าง ๆ ตามมาตรา ๘ มาตรา ๙ และมาตรา ๑๓ มอี านาจ ตาม (๑) (๒) และ (๓) ด้วย มาตรา ๓๐ เหตุจาเปน็ อนื่ อันมอิ าจก้าวล่วงได้ตามมาตรา ๒๘ และมาตรา ๒๙ หมายถึง กรณีทีผ่ ู้พิพากษาซ่งึ เปน็ องค์คณะน่ังพิจารณาคดีนนั้ พน้ จากตาแหนง่ ท่ดี ารงอยู่หรือถกู คัดคา้ นและถอนตัวไป หรือไมอ่ าจปฏิบตั ริ าชการจนไมส่ ามารถนงั่ พิจารณาหรือทาคาพิพากษาใน คดีน้ันได้ มาตรา ๓๑ เหตจุ าเป็นอ่ืนอนั มิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา ๒๘ และมาตรา ๒๙ นอกจากท่ีกาหนดไว้ในมาตรา ๓๐ แลว้ ให้หมายความรวมถึงกรณดี ังตอ่ ไปนี้ด้วย (๑) กรณีท่ีผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาแล้วเห็นว่าควรพิพากษา ยกฟ้อง แต่คดนี นั้ มอี ัตราโทษตามทก่ี ฎหมายกาหนดเกนิ กวา่ อัตราโทษตามมาตรา ๒๕ (๕) (๒) กรณที ีผ่ พู้ พิ ากษาคนเดียวพิจารณาคดอี าญาตามมาตรา ๒๕ (๕) แล้วเห็นว่าควร พพิ ากษาลงโทษจาคกุ เกินกว่าหกเดอื น หรอื ปรับเกนิ หน่ึงหม่ืนบาท หรอื ทง้ั จาทงั้ ปรบั ซง่ึ โทษจาคกุ หรือปรบั นัน้ อย่างใดอย่างหนง่ึ หรือท้งั สองอย่างเกนิ อตั ราดังกล่าว (๓) กรณีที่คาพิพากษาหรอื คาส่งั คดีแพง่ เร่ืองใดของศาลนนั้ จะต้องกระทาโดยองค์ คณะซึง่ ประกอบดว้ ยผ้พู พิ ากษาหลายคน และผูพ้ ิพากษาในองค์คณะน้ันมีความเหน็ แย้งกันจนหา เสยี งข้างมากมไิ ด้ (๔) กรณีท่ผี พู้ พิ ากษาคนเดยี วพจิ ารณาคดแี พง่ ตามมาตรา ๒๕ (๔) ไปแล้ว ตอ่ มา ปรากฏวา่ ราคาทรัพย์สินท่ีพพิ าทหรอื จานวนเงินทฟี่ อ้ งเกินกวา่ อานาจพจิ ารณาพิพากษาของผู้ พิพากษาคนเดยี ว หมวด ๔ การจา่ ย การโอน และการเรียกคนื สานวนคดี มาตรา ๓๒ ให้ประธานศาลฎกี า ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค อธบิ ดผี พู้ ิพากษาศาลช้ันตน้ ผพู้ พิ ากษาหวั หนา้ ศาล หรือผพู้ พิ ากษาหวั หน้าแผนกคดีในแตล่ ะศาล

แลว้ แตก่ รณี รับผิดชอบในการจา่ ยสานวนคดใี หแ้ ก่องค์คณะผพู้ พิ ากษาในศาลหรือในแผนกคดีนนั้ โดยใหป้ ฏิบัตติ ามหลักเกณฑ์และวธิ กี ารที่กาหนดโดยระเบยี บราชการฝา่ ยตุลาการของศาลยุติธรรม การออกระเบียบราชการฝ่ายตลุ าการของศาลยุติธรรมตามวรรคหน่ึง ใหค้ านงึ ถงึ ความเชย่ี วชาญและความเหมาะสมขององค์คณะผพู้ ิพากษาท่ีจะรับผิดชอบสานวนคดนี ้นั รวมทงั้ ปรมิ าณคดที อ่ี งค์คณะผู้พิพากษาแตล่ ะองคค์ ณะรับผดิ ชอบ มาตรา ๓๓ การเรียกคนื สานวนคดีหรอื การโอนสานวนคดีซึ่งอยูใ่ นความ รับผดิ ชอบขององค์คณะผู้พิพากษาใด ประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาล อุทธรณ์ภาค อธิบดีผ้พู ิพากษาศาลชั้นตน้ หรือผูพ้ ิพากษาหัวหน้าศาล จะกระทาไดต้ อ่ เม่ือเป็นกรณี ทีจ่ ะกระทบกระเทือนต่อความยตุ ิธรรมในการพจิ ารณาหรอื พิพากษาอรรถคดขี องศาลนนั้ และรอง ประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอทุ ธรณ์ภาค รองอธบิ ดีผู้พิพากษาศาล ช้ันตน้ หรือผพู้ ิพากษาในศาลจังหวดั หรอื ศาลแขวง ที่มอี าวุโสสงู สดุ ในศาลนนั้ แลว้ แต่กรณี ทม่ี ไิ ด้ เป็นองคค์ ณะในสานวนคดีดังกล่าวไดเ้ สนอความเหน็ ใหก้ ระทาได้[๒๑] ในกรณีทรี่ องประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอทุ ธรณ์ รองประธานศาลอทุ ธรณ์ ภาค รองอธิบดผี ู้พิพากษาศาลช้นั ต้น หรือผพู้ ิพากษาในศาลจังหวดั หรอื ศาลแขวง ทมี่ อี าวโุ สสูงสุด ในศาลนัน้ แล้วแต่กรณี ไมอ่ าจปฏิบัตริ าชการได้ หรอื ได้เข้าเปน็ องค์คณะในสานวนคดีทเี่ รียกคืนหรือ โอนนั้น ใหร้ องประธานศาลฎกี า รองประธานศาลอทุ ธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค รองอธบิ ดี ผ้พู ิพากษาศาลช้นั ต้น หรอื ผพู้ ิพากษา ท่ีมีอาวโุ สถดั ลงมาตามลาดบั ในศาลนัน้ เปน็ ผมู้ อี านาจในการ เสนอความเห็นแทน ในกรณที ่ีรองประธานศาลฎกี า รองประธานศาลอทุ ธรณ์ รองประธานศาล อุทธรณภ์ าค รองอธบิ ดผี พู้ ิพากษาศาลช้ันต้น มหี นึง่ คน หรือมหี ลายคนแตไ่ ม่อาจปฏบิ ตั ิราชการได้ หรือได้เขา้ เป็นองค์คณะในสานวนคดที เ่ี รยี กคืนหรอื โอนนนั้ ทงั้ หมด ให้ผู้พพิ ากษาท่ีมีอาวุโสสงู สุด ของศาลนนั้ เปน็ ผูม้ ีอานาจในการเสนอความเห็น[๒๒] ผพู้ ิพากษาอาวุโสหรอื ผู้พพิ ากษาประจาศาลไม่มอี านาจในการเสนอความเห็นตาม วรรคหนึง่ หรอื วรรคสอง ในกรณที ผี่ ู้พิพากษาเจ้าของสานวนหรอื องค์คณะผู้พิพากษามีคดคี ้างการพิจารณา อยเู่ ป็นจานวนมาก ซ่ึงจะทาใหก้ ารพิจารณาพิพากษาคดีของศาลน้นั ลา่ ช้า และผ้พู พิ ากษาเจ้าของ สานวนหรือองค์คณะผู้พพิ ากษาน้ันขอคนื สานวนคดีทีต่ นรบั ผดิ ชอบอยู่ ใหป้ ระธานศาลฎกี า ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค อธบิ ดีผู้พิพากษาศาลชนั้ ตน้ หรอื ผูพ้ พิ ากษาหัวหน้า ศาล แลว้ แต่กรณี มอี านาจรับคืนสานวนคดีดังกลา่ ว และโอนใหผ้ ู้พิพากษาหรือองค์คณะผู้พพิ ากษา อนื่ ในศาลนนั้ รับผิดชอบแทนได้

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญตั ฉิ บับนี้ คอื โดยทมี่ าตรา ๒๓๖ ของ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้การนั่งพิจารณาคดีของศาลต้องมีผู้พิพากษาครบ องค์คณะและผู้พพิ ากษาซ่งึ มิไดน้ ั่งพิจารณาคดใี ดจะทาคาพพิ ากษาคดีน้ันมไิ ด้ เวน้ แต่มีเหตสุ ดุ วิสยั หรือมเี หตุจาเป็นอน่ื อันมิอาจกา้ วลว่ งได้ ทัง้ น้ี ตามที่กฎหมายบญั ญัติ ประกอบกบั มาตรา ๒๔๙ ของรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย บญั ญตั ใิ หก้ ารจา่ ยสานวนคดใี ห้ผ้พู พิ ากษาต้องเป็นไปตาม หลักเกณฑท์ ี่กฎหมายบัญญตั ิ และได้หา้ มการเรยี กคืนสานวนคดีหรือการโอนสานวนคดี เวน้ แต่ เปน็ กรณที จี่ ะกระทบกระเทอื นต่อความยตุ ิธรรมในการพจิ ารณาพพิ ากษาอรรถคดี นอกจากนี้ ไดม้ ี การตรากฎหมายตามมาตรา ๒๗๕ ของรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย ซึ่งบญั ญตั ิให้ศาล ยตุ ิธรรมมหี นว่ ยธรุ การทเี่ ป็นอสิ ระ โดยมีเลขาธิการสานักงานศาลยตุ ิธรรมเป็นผบู้ ังคับบญั ชาขน้ึ ตรงตอ่ ประธานศาลฎีกา ดงั น้ัน เพือ่ เป็นการรองรบั บทบญั ญัติของรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั ร ไทย และเพอื่ ให้การจดั ระบบการบรหิ ารงานศาลยตุ ธิ รรมตามพระธรรมนญู ศาลยุติธรรมสอดคลอ้ ง กบั กฎหมายซง่ึ ตราข้ึนตามมาตรา ๒๗๕ ดังกล่าว จงึ จาเป็นตอ้ งตราพระราชบญั ญัตนิ ้ี พระราชบัญญัตแิ กไ้ ขเพ่มิ เตมิ พระธรรมนญู ศาลยตุ ธิ รรม พ.ศ. ๒๕๕๐[๒๓] หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบญั ญตั ฉิ บบั น้ี คือ โดยท่บี ทบัญญัติแห่งพระธรรมนูญ ศาลยุตธิ รรมไดก้ าหนดให้ศาลชัน้ ต้นมเี ขตอานาจตามท่กี าหนดไวใ้ นพระราชบัญญตั ิ จงึ ทาใหก้ าร เปล่ยี นแปลงเขตอานาจศาลดังกลา่ วจะตอ้ งตราเปน็ พระราชบญั ญัติ ซ่ึงตอ้ งใชเ้ วลานานไมท่ นั กับ การแกไ้ ขเปลีย่ นแปลงเขตพนื้ ท่ีทางปกครอง และไม่เอ้ือประโยชน์ในการอานวยความยุติธรรมแก่ ประชาชน ดังน้นั เพอ่ื ใหก้ ารเปลยี่ นแปลงเขตอานาจศาลชัน้ ตน้ สามารถกระทาไดอ้ ย่างคลอ่ งตวั สมควรแก้ไขเพ่ิมเติมพระธรรมนูญศาลยตุ ิธรรมเพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเขตอานาจศาลชั้นตน้ สามารถกระทาได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎกี า จงึ จาเปน็ ต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขเพมิ่ เตมิ พระธรรมนญู ศาลยตุ ิธรรม (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐[๒๔] หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใชพ้ ระราชบญั ญัตฉิ บบั นี้ คอื โดยทพี่ ระธรรมนูญศาลยุตธิ รรม ไดก้ าหนดให้มรี องประธานศาลฎกี าหนึ่งคน รองประธานศาลอทุ ธรณ์ และรองประธานศาลอุทธรณ์

ภาค ศาลละหนึ่งคน และในกรณที ่มี คี วามจาเป็นเพื่อประโยชน์ในทางราชการ คณะกรรมการ บริหารศาลยตุ ิธรรมโดยความเห็นชอบของประธานศาลฎกี าจะกาหนดใหม้ ีรองประธานศาลฎีกา มากกว่าหนง่ึ คนแต่ไมเ่ กนิ สามคนก็ได้ แต่เนือ่ งจากในปัจจุบันปรมิ าณงานของประธานศาลฎกี า ประธานศาลอุทธรณ์ และประธานศาลอุทธรณภ์ าคไดเ้ พมิ่ มากขน้ึ เปน็ ลาดบั สมควรกาหนดใหม้ ี การเพ่มิ การกาหนดจานวนรองประธานศาลฎีกาได้ไม่เกนิ หกคน และจานวนรองประธานศาล อุทธรณ์หรือรองประธานศาลอุทธรณ์ภาคได้ไมเ่ กนิ สามคน เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระหน้าท่ีของ ประธานศาลฎกี า ประธานศาลอุทธรณ์และประธานศาลอุทธรณภ์ าค จงึ จาเปน็ ต้องตรา พระราชบญั ญัตนิ ี้ พระราชบญั ญตั แิ ก้ไขเพิม่ เติมพระธรรมนญู ศาลยตุ ธิ รรม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๑[๒๕] หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใชพ้ ระราชบัญญตั ฉิ บบั น้ี คอื โดยท่กี ารพิจารณาพพิ ากษาอรรถ คดีของศาลยตุ ธิ รรมเป็นงานท่ีตอ้ งใชค้ วามละเอยี ดรอบคอบและการกลั่นกรองจากผพู้ พิ ากษาทีม่ ี ประสบการณ์ สมควรกาหนดให้ประธานศาลฎีกามอี านาจให้คาแนะนาแกข่ ้าราชการตุลาการ และ ใหผ้ ้ทู ่ีรบั ผิดชอบการบรหิ ารงานของศาลมอี านาจหน้าทใี่ นการตรวจสานวนและทาความเหน็ แย้ง ท้งั ยงั สมควรเพ่ิมเติมบทบัญญัตทิ ีเ่ ก่ียวกบั อานาจพจิ ารณาพิพากษาคดขี องศาลฎีกาให้สอดคลอ้ ง กบั บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๑๙ วรรค สอง จึงจาเป็นต้องตราพระราชบญั ญัตนิ ี้ พระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขเพม่ิ เตมิ พระธรรมนญู ศาลยตุ ธิ รรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๕[๒๖] หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบบั น้ี คอื เนือ่ งดว้ ยปริมาณงานตุลาการและ งานธุรการคดขี องศาลยุติธรรมไดเ้ พมิ่ มากข้ึนเปน็ ลาดับแตผ่ รู้ ับผิดชอบควบคุมดแู ลงานของศาล ยตุ ธิ รรมในส่วนภูมิภาคมอี ธบิ ดผี พู้ ิพากษาภาคเพยี งคนเดียว ไม่มีผชู้ ว่ ยปฏบิ ตั ิราชการ ทาให้ ราชการของศาลยุติธรรมไม่อาจดาเนินไปได้ด้วยความสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เท่าที่ควร และปริมาณคดที ่ีเพมิ่ มากขึ้นดังกล่าวส่งผลต่อระยะเวลาในการพจิ ารณาพิพากษาคดี ของศาลชั้นตน้ ทาใหก้ ารพิจารณาพพิ ากษาคดีของศาลช้นั ตน้ มีความล่าช้ากระทบต่อการอานวย ความยุติธรรมแก่ประชาชนและคู่ความในคดี ดงั นน้ั เพื่อให้การบรหิ ารจัดการคดีของศาลยุตธิ รรม เปน็ ไปโดยสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพเพอื่ ประโยชนใ์ นการพจิ ารณาพพิ ากษาอรรถคดใี ห้ เปน็ ไปโดยถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม สมควรแก้ไขเพ่มิ เติมพระธรรมนูญศาลยุตธิ รรมโดย

กาหนดตาแหน่งรองอธบิ ดีผูพ้ ิพากษาภาคและอานาจหน้าทขี่ องอธบิ ดผี ู้พิพากษาภาคและรองอธิบดี ผพู้ ิพากษาภาค จงึ จาเป็นต้องตราพระราชบัญญัตนิ ้ี พระราชบัญญัติแก้ไขเพ่มิ เตมิ พระธรรมนูญศาลยตุ ธิ รรม (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘[๒๗] มาตรา ๒ พระราชบัญญตั นิ ี้ให้ใชบ้ ังคับตงั้ แต่วันถดั จากวันประกาศในราชกจิ จา นเุ บกษา เปน็ ต้นไป มาตรา ๑๐ บรรดาบทบัญญัตแิ หง่ กฎหมายใดทอ่ี ้างถงึ การย่ืนอทุ ธรณ์ตอ่ ศาล อุทธรณ์ ให้ถือว่าอ้างถึงการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลชั้นอุทธรณ์ เว้นแต่เม่ือบทบัญญัตดิ ังกล่าวน้ัน แสดงใหเ้ ห็นวา่ ใช้ได้เฉพาะกับศาลอทุ ธรณ์ ศาลอทุ ธรณภ์ าค หรอื ศาลยุติธรรมอนื่ ที่พระราชบญั ญัติ จดั ตัง้ ศาลกาหนดให้เปน็ ศาลชัน้ อุทธรณ์ศาลใดศาลหนึ่งเทา่ นัน้ มาตรา ๑๑ ใหป้ ระธานศาลฎีการกั ษาการตามพระราชบัญญตั นิ ี้ หมายเหตุ :- เหตผุ ลในการประกาศใช้พระราชบญั ญตั ฉิ บบั นี้ คอื โดยท่ไี ด้มีการจดั ตัง้ ศาลอุทธรณ์ คดีชานญั พิเศษโดยกาหนดใหเ้ ป็นศาลช้ันอทุ ธรณท์ ่มี อี านาจพิจารณาพิพากษาคดที ีอ่ ทุ ธรณ์คา พพิ ากษาหรอื คาสงั่ ของศาลชานัญพิเศษ สมควรกาหนดความหมายของคาวา่ “ศาลช้ัน อุทธรณ์” ให้สอดคล้องกับการจดั ตง้ั ศาลดังกลา่ ว อกี ทงั้ สมควรกาหนดให้คณะกรรมการบริหาร ศาลยุตธิ รรมมีอานาจออกประกาศเปดิ ทาการสาขาของศาลชนั้ ต้น รวมท้งั ให้มอี านาจกาหนดและ เปล่ียนแปลงสถานทีต่ ้ังของศาลไดด้ ้วย เพ่ืออานวยความสะดวกใหแ้ กป่ ระชาชนผมู้ ีอรรถคดแี ละผทู้ ี่ เก่ยี วขอ้ งซ่งึ อยูใ่ นพืน้ ที่หา่ งไกล และในกรณคี ดีที่อยู่ในอานาจของศาลแขวงถ้ามีการยื่นฟ้องคดี ต่อศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบรุ ี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี หรอื ศาลจังหวัด ก็ให้ศาลดังกล่าวนั้นมีดุลพินิจที่จะพิจารณาพิพากษาคดีที่รับฟ้องไว้แล้วนั้นต่อไป หรือโอนคดีไปยังศาลแขวงที่มีอานาจก็ได้ แต่หากในกรณที ่ีศาลดังกล่าวได้มีคาสั่งรับฟ้องคดีไว้ แลว้ โดยในขณะยื่นฟอ้ งคดีน้นั เป็นคดีที่อยู่ในอานาจของศาลแขวง หรือกรณีเป็นคดีท่อี ยู่ใน อานาจของศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี ศาลอาญา ศาลอาญากรงุ เทพใต้ ศาล อาญาธนบุรี หรือศาลจังหวัด แตต่ ่อมามีพฤติการณเ์ ปลี่ยนแปลงไปทาใหค้ ดีนั้นอยูใ่ นอานาจของ ศาลแขวง ก็ให้ศาลน้นั มีอานาจพิจารณาพิพากษาคดีต่อไป อันเป็นการสง่ เสรมิ ให้การบรหิ าร

จัดการคดีของศาลยุตธิ รรมมีประสิทธภิ าพเพ่ือประโยชนใ์ นการพิจารณาพิพากษาอรรถคดใี ห้เป็นไป โดยถูกต้อง รวดเร็ว และเปน็ ธรรม จงึ จาเปน็ ตอ้ งตราพระราชบญั ญัตนิ ้ี พระราชบัญญัตแิ กไ้ ขเพ่มิ เติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับท่ี ๖) พ.ศ. ๒๕๖๒[๒๘] มาตรา ๒ พระราชบญั ญตั นิ ้ีให้ใช้บงั คับตั้งแต่วันถดั จากวนั ประกาศในราชกิจจา นเุ บกษา เป็นตน้ ไป หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญตั ิฉบับน้ี คือ โดยท่ไี ด้มีการจดั ตงั้ ศาลแพ่งตล่ิง ชนั ศาลแพ่งพระโขนง ศาลแพ่งมีนบุรี ศาลอาญาตล่ิงชัน ศาลอาญาพระโขนง และศาลอาญามีน บุรี โดยกาหนดให้เป็นศาลชัน้ ต้นในท้องท่กี รุงเทพมหานคร และยุบเลกิ ศาลจังหวัดตลง่ิ ชัน ศาลจังหวดั พระโขนง และศาลจังหวัดมีนบุรี สมควรแก้ไขเพ่ิมเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรมเก่ียวกับช่ือ ศาลช้ันต้น ตาแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลช้ันต้นประจาศาลแพ่งตลิ่งชัน ศาลแพ่งพระโขนง ศาล แพ่งมีนบุรี ศาลอาญาตล่ิงชัน ศาลอาญาพระโขนง และศาลอาญามนี บุรี เขตอานาจศาลแพ่งและศาล อาญาในท้องท่ีกรุงเทพมหานคร อานาจพจิ ารณาพิพากษาคดแี พ่งทง้ั ปวงและคดีอาญาทง้ั ปวง และ การรบั พิจารณาและการโอนคดีในกรณที ่ีคดใี นศาลชั้นต้นเป็นคดีทีอ่ ยู่ในอานาจของศาลแขวง เพ่อื ให้ การบริหารจัดการคดีของศาลยุตธิ รรมมปี ระสิทธภิ าพ และเพื่อประโยชนใ์ นการพิจารณาพพิ ากษา อรรถคดใี หเ้ ปน็ ไปโดยถูกต้อง รวดเรว็ และเป็นธรรม จงึ จาเป็นตอ้ งตราพระราชบัญญตั ิน้ี ปณตภร/ผูจ้ ดั ทา ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ นสุ รา/เพม่ิ เติม ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๘ พไิ ลภรณ/์ เพิ่มเติม พวิ ฒั น/์ ตรวจ ๒๑ มนี าคม ๒๕๖๒

[๑] ราชกจิ จานุเบกษา เล่ม ๑๑๗/ตอนที่ ๔๔ ก/หนา้ ๑/๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๓ [๒] มาตรา ๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญตั แิ ก้ไขเพ่ิมเติมพระธรรมนญู ศาล ยุติธรรม (ฉบบั ท่ี ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘ [๓] มาตรา ๒ แกไ้ ขเพ่มิ เติมโดยพระราชบัญญตั ิแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาล ยุตธิ รรม (ฉบับท่ี ๖) พ.ศ. ๒๕๖๒ [๔] มาตรา ๓ แก้ไขเพิ่มเตมิ โดยพระราชบัญญตั แิ กไ้ ขเพมิ่ เตมิ พระธรรมนญู ศาล ยตุ ธิ รรม (ฉบับท่ี ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘ [๕] มาตรา ๔ แกไ้ ขเพ่ิมเติมโดยพระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขเพ่ิมเตมิ พระธรรมนูญศาล ยุติธรรม (ฉบบั ท่ี ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘ [๖] มาตรา ๕ แกไ้ ขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญตั ิแก้ไขเพิม่ เติมพระธรรมนูญศาล ยตุ ธิ รรม (ฉบบั ที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๗] มาตรา ๘ วรรคหนง่ึ แกไ้ ขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญตั ิแกไ้ ขเพิ่มเติมพระ ธรรมนูญศาลยตุ ธิ รรม (ฉบบั ที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๖๒ [๘] มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง แกไ้ ขเพมิ่ เติมโดยพระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขเพ่มิ เติมพระ ธรรมนูญศาลยตุ ิธรรม (ฉบบั ท่ี ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘ [๙] มาตรา ๑๑ (๑) แกไ้ ขเพ่ิมเตมิ โดยพระราชบญั ญัตแิ ก้ไขเพม่ิ เติมพระธรรมนูญ ศาลยุตธิ รรม (ฉบบั ที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๑๐] มาตรา ๑๓ แก้ไขเพ่มิ เติมโดยพระราชบัญญัติแกไ้ ขเพิ่มเตมิ พระธรรมนูญศาล ยุติธรรม (ฉบบั ท่ี ๔) พ.ศ. ๒๕๕๕ [๑๑] มาตรา ๑๔ วรรคสอง เพมิ่ โดยพระราชบัญญัตแิ กไ้ ขเพิ่มเตมิ พระธรรมนูญศาล ยุตธิ รรม (ฉบับท่ี ๔) พ.ศ. ๒๕๕๕ [๑๒] มาตรา ๑๖ วรรคหนงึ่ แก้ไขเพิม่ เติมโดยพระราชบัญญัตแิ กไ้ ขเพ่มิ เติมพระ ธรรมนูญศาลยุตธิ รรม พ.ศ. ๒๕๕๐ [๑๓] มาตรา ๑๖ วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเตมิ โดยพระราชบัญญตั แิ ก้ไขเพ่ิมเติมพระ ธรรมนูญศาลยตุ ิธรรม (ฉบับท่ี ๖) พ.ศ. ๒๕๖๒ [๑๔] มาตรา ๑๖ วรรคส่ี ยกเลกิ โดยพระราชบญั ญัติแกไ้ ขเพ่มิ เติมพระธรรมนญู ศาล ยุติธรรม (ฉบบั ท่ี ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘

[๑๕] มาตรา ๑๘ แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ โดยพระราชบัญญตั ิแกไ้ ขเพิ่มเตมิ พระธรรมนูญศาล ยตุ ธิ รรม (ฉบับท่ี ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘ [๑๖] มาตรา ๑๙ แกไ้ ขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนญู ศาล ยุตธิ รรม (ฉบบั ที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๖๒ [๑๗] มาตรา ๑๙/๑ แก้ไขเพิม่ เติมโดยพระราชบญั ญัติแกไ้ ขเพิ่มเติมพระธรรมนญู ศาล ยตุ ิธรรม (ฉบับท่ี ๖) พ.ศ. ๒๕๖๒ [๑๘] มาตรา ๒๓ วรรคหน่ึง แก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระ ธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบบั ที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๑๙] มาตรา ๒๘ (๓) แกไ้ ขเพมิ่ เติมโดยพระราชบญั ญตั แิ ก้ไขเพม่ิ เตมิ พระธรรมนญู ศาลยตุ ิธรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๕ [๒๐] มาตรา ๒๙ (๓) แก้ไขเพม่ิ เตมิ โดยพระราชบญั ญัติแก้ไขเพม่ิ เติมพระธรรมนูญ ศาลยตุ ธิ รรม (ฉบบั ท่ี ๔) พ.ศ. ๒๕๕๕ [๒๑] มาตรา ๓๓ วรรคหนึง่ แกไ้ ขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญตั ิแกไ้ ขเพิม่ เติมพระ ธรรมนญู ศาลยตุ ิธรรม (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๒๒] มาตรา ๓๓ วรรคสอง แก้ไขเพิม่ เติมโดยพระราชบญั ญตั ิแกไ้ ขเพ่ิมเตมิ พระ ธรรมนูญศาลยตุ ิธรรม (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๒๓] ราชกจิ จานเุ บกษา เลม่ ๑๒๔/ตอนท่ี ๕๑ ก/หน้า ๒๑/๕ กนั ยายน ๒๕๕๐ [๒๔] ราชกจิ จานเุ บกษา เลม่ ๑๒๔/ตอนท่ี ๕๑ ก/หน้า ๒๔/๕ กันยายน ๒๕๕๐ [๒๕] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๓๗ ก/หน้า ๔๔/๒๒ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๑ [๒๖] ราชกิจจานเุ บกษา เลม่ ๑๒๙/ตอนที่ ๓๗ ก/หน้า ๑/๒๗ เมษายน ๒๕๕๕ [๒๗] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๒/ตอนท่ี ๑๒๐ ก/หนา้ ๕/๑๔ ธนั วาคม ๒๕๕๘ [๒๘] ราชกิจจานเุ บกษา เลม่ ๑๓๖/ตอนท่ี ๓๔ ก/หน้า ๑๑/๒๐ มีนาคม ๒๕๖๒