Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ความสัมพันธ์ของภาวะโรคอ้วนและความสามารถการคิดเชิงบริหาร ของสมองในเด็กวัยเรียน

ความสัมพันธ์ของภาวะโรคอ้วนและความสามารถการคิดเชิงบริหาร ของสมองในเด็กวัยเรียน

Published by ao.point03, 2021-05-28 02:32:55

Description: ความสัมพันธ์ของภาวะโรคอ้วนและความสามารถการคิดเชิงบริหาร
ของสมองในเด็กวัยเรียน

Search

Read the Text Version

1 รายงานการวจิ ัย ความสัมพันธข์ องภาวะโรคอ้วนและความสามารถการคิดเชงิ บริหาร ของสมองในเด็กวัยเรยี น Relationship between obesity and brain executive function in school age children โดย อาจารย์ ดร.ศรัล ขนุ วทิ ยา (Medical Technology, Ph.D.) สถาบันแหง่ ชาตเิ พือ่ การพัฒนาเดก็ และครอบครัว มหาวทิ ยาลยั มหิดล ไดร้ บั ทนุ อดุ หนุนการวจิ ยั จากสานักคณะกรรมการวจิ ัยแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒

2 กติ ติกรรมประกาศ โครงการความสมั พนั ธข์ องภาวะโรคอ้วนและความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองในเด็กวัย เรยี น สถาบันแหง่ ชาตเิ พ่ือการพฒั นาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ขอขอบพระคุณผู้มีอุปการะ ทุกท่านได้แก่ ผู้บริหารและบุคลากรสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ผู้บริหาร มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล บุคลากรสานกั งานอธกิ ารบดมี หาวิทยาลัยมหิดล คณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยใน คนมหาวิทยาลัยมหิดล ผู้อานวยการโรงเรียนท่ีเข้าร่วมโครงการวิจัย คุณครูประจาชั้น ผู้ปกครองเด็ก นกั เรียนและเดก็ นักเรยี นท่ีได้ใหค้ วามรว่ มมอื ในการดาเนินการวิจัย เป็นผลให้โครงการวิจัยสามาถดาเนิน งานวิจัยสาเร็จตามเป้าประสงค์และท้ายสุด โครงการวิจัยขอขอบพระคุณสานักคณะกรรมการวิจัย แหง่ ชาติที่ให้การสนบั สนุนทนุ วจิ ยั ประจาปี พ.ศ. 2560

3 บทคดั ย่อ โครงการวิจยั ความสัมพันธ์ของภาวะโรคอ้วนและความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมอง ในเด็กวยั เรยี น โครงการวิจัยศึกษาสถานการณ์ภาวะน้าหนักเกินหรือโรคอ้วนในกลุ่มตัวอย่างเด็กวัยเรียน อายุ ระหว่าง 6-12 ปี จานวน 428 คน โดยแบ่งกลมุ่ เดก็ วัยเรียนตามภาวะโภชนาการออกเป็น 4 กลุ่มคือ กลุ่ม เด็กผอม จานวน 33 คน (ร้อยละ 7.7 ) กลุ่มเด็กปกติ จานวน 261 คน (ร้อยละ 60.9) กลุ่มเด็กภาวะ น้าหนักเกิน จานวน 60 คน (รอ้ ยละ 14.1 ) และ กลมุ่ เด็กอ้วน จานวน 74 คน (ร้อยละ 17.3 ) การวิจยั คร้งั นพี้ บว่าเดก็ วัยเรียนส่วนใหญ่มีจานวนเพศชายและเพศหญิงใกล้เคียงกัน โดยเป็นเพศ ชายรอ้ ยละ 49.5 และเปน็ เพศหญิงร้อยละ 50.5 ขอ้ มลู ทนี่ า่ สนใจคอื เด็กชายเป็นโรคอ้วนมากกว่าเด็กหญิง ประมาณ 1.5 เทา่ การวจิ ยั พบขอ้ มูลสาคัญด้านพฤติกรรมการบริโภคของกลุ่มตัวอย่างเด็กวัยเรียน ซ่ึงจะ พบวา่ พฤตกิ รรมการบรโิ ภคขนมหวานและเครอื่ งด่มื รสหวาน เช่น ขนมเบเกอร่ี เค้ก พาย โดนัท น้าอัดลม โกโก้เย็น ชาเย็น และการทานอาหารว่างวันละ 2 ครั้ง (ช่วงสายและบ่ายทุกวัน) เป็นประจาจะส่งผลต่อ การเกิดภาวะน้าหนักเกินหรือโรคอ้วน โดยเด็กนักเรียนท่ีอยู่ในกลุ่มภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนมี พฤตกิ รรมดงั กลา่ วสูงถงึ รอ้ ยละ 55.3 เมื่อทาการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะน้าหนักเกินหรือโรคอ้วนกับความสามารถทาง สติปัญญา (IQ) และความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ในกลุ่มตัวอย่างเด็กวัยเรียน การวิจัยพบความสัมพันธ์ แบบผกผันหรือเชิงลบระหว่างภาวะน้าหนักเกินหรือโรคอ้วนกับความสามารถทางสติปัญญาและ ความ ฉลาดทางอารมณ์ โดยสามารถอธิบายได้ว่าเด็กวัยเรียนท่ีมีภาวะน้าหนักเกินหรือโรคอ้วนมีแนวโน้มจะมี ความสามารถทางสติปญั ญาและความฉลาดทางอารมณ์ต่ากว่าเกณฑ์ปกติ เมื่อทาการศึกษาความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองแบบองค์รวม (Global Executive Composite: GEC) ในกลุ่มตัวอยา่ งเด็กวัยเรียน มีข้อมูลน่าสนใจคือ เด็กวัยเรียนมีความสามารถดังกล่าว อยู่เกณฑ์ปกตริ อ้ ยละ 51.9 และร้อยละ 48.4 อยูใ่ นเกณฑ์ควรไดร้ ับการสง่ เสรมิ อกี ท้ังเม่ือทาการวเิ คราะห์ ปัจจยั ท่สี ่งผลต่อความสามารถการคิดเชิงบรหิ ารของสมองในกล่มุ ตวั อย่างเดก็ วัยเรียนมผี ลดังนี้ ภาวะโภชนาการปกติ ระดบั การศึกษา (ประถมศึกษาตอนปลาย 4-6) ความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) ปกติ ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ปกติ การไม่มีโรคประจาตัว การทากิจกรรมวาดรูประบายสี กิจกรรมดนตรี การทากิจกรรมเล่นกับเพ่ือน และการเข้านอนอย่างเพียงพอ (10-12 ชม.) ส่งผลดีต่อ ความสามารถการคิดเชิงบรหิ ารของสมอง ส่วนภาวะน้าหนักเกินหรือโรคอ้วน การมีโรคประจาตัว การทา กิจกรรมเล่นเกมคอมพิวเตอร์/ไอแพด/แทบเลตเป็นประจา จะส่งทางลบต่อต่อความสามารถการคิดเชิง บรหิ ารของสมอง การ วิ จั ย พ บว่ า ก าร ส่ ง เสริ ม พ ฤติ ก ร ร ม ก าร ลดคว าม อ้ ว น ใน เด็ ก วั ย เรี ย น สาม าร ถช่ ว ย คว บคุ ม พฤติกรรมและเจตคตกิ ารลดน้าหนกั ในเด็กที่มีนา้ หนกั เกินมาตรฐานได้ สว่ นการส่งเสริมความสามารถการ คิดเชงิ บรหิ ารของสมองผา่ นการประยุกตแ์ นวใหม่ สง่ ผลใหร้ ะดับความสามารถการคดิ เชิงบรหิ ารของสมอง ของกลมุ่ เด็กวัยเรียนทเี่ ขา้ ร่วมกิจกรรมมีคา่ ดีขนึ้ อยา่ งเหน็ ไดช้ ัด คาสาคัญ ความสามารถการคดิ เชิงบรหิ ารของสมอง เด็กวยั เรียน โรคอว้ น

4 Abstract Relationship between obesity and brain executive function in school age children This research aims to study the situation of overweight or obesity in 428 school-age children aged between 6-12 years. The research found that 60.9% of the students had normal weight, 7.7% were lean body, 14.1% were overweight, and 17.3% were obese. The research found that most school-age children have similar numbers of male and female wwhich are 49.5% male and 50.5% female. That boy is about 1.5 times of obesity than girl. In addition, the factor that effect on overweight or obesity is a consumption behavior of desserts which was found to be statistically significant at 0.05. Eating habits, bakery, cake, pie, donut, etc. are found often among students in the overweight group. Moreover, the obesity group has a consumption behavior of desserts at 55.3%. When studying the relationship between overweight or obesity and Intelligence Quotient (IQ) and Emotional Quotient (EQ) in school age children. Result shows an inverse or negative relationship between overweight or obesity and IQ or EQ. It can be explained that school-aged children who are overweight or obese tend to have lower IQ and EQ than normal. When studying the brain executvie function (EF) in school age children. There is interesting information that school-age children with this ability were at a normal level, 51.9% and 48.4% were in the criteria should be encouraged. In addition, when analyzing factors that affect the brain executive function in a school-age childrem, the results are as follows: normal nutrition, education level (Upper elementary school :4-6), normal IQ, normal EQ, no congenital disease, drawing, coloring, music activities, playing activities with friends and going to bed sufficiently (10-12 hours) have a positive effect on the brain executive function. However, overweight or obesity, having congenital disease, regular activities for playing computer games / iPad / tablet will negatively affects the brain executive function. The study shows that promoting loss- obesity behavior in school-age children can control behavior and weight-loss attitudes in overweight children. Moreover, the promoting of the brain exercise activity in school-age children can improve brain executive function significantly Key words: Brain executive function, Obesity, School age children

สารบัญเรื่อง (Table of content) 5 กิตติกรรมประกาศ หน้า บทคัดย่อ (ภาษาไทย) 2 บทคัดย่อ (ภาษาอังกฤษ) 3 4 บทนา 6 วัตถุประสงค์ 9 ทบทวนวรรณกรรม 11 11 แนวโน้มและสถานการ์ภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วน 11 ความหมายและเกณฑ์การประเมินภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วน 12 13 สาเหตุภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วน 19 ผลกระทบภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วน 19 วิธีการดาเนินวิจัย 30 31 กรอบแนวคิดการวิจัย 33 ผลการวิจัย 34 36 สถานการณ์และข้อมูลท่ัวไป 39 ข้อมูลทั่วไปเด็กวัยเรียน 47 จานวนร้อยละเพศ โรคประจาตัว และกิจกรรม 50 67 ปัจจัยพฤติกรรมต่อการบริโภค 69 สถานการณ์ความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองในเด็กวัยเรียน 75 82 สถานการณ์ความฉลาดทางอารมณ์และความสามารถทางสติปัญญา 85 ปัจจัยท่ีส่งผลต่อความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองในเด็กวัยเรียน แนวทางการป้องกันภาวะนา้ หนักเกินและโรคอ้วน อภิปรายและวิจารณ์ผล สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ บรรณาณุกรม คณะวิจัย

6 บทท่ี 1 บทนา ในปัจจุบันเป็นโลกแห่งเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม ทาให้มีผลต่อการดารงชีวิตของมนุษย์ โดยเฉพาะพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในการดารงชีวิตจนนาไปสู่การเจ็บป่วยสูงมากข้ึน ไม่ว่าจะเป็นภาวะ น้าหนักเกิน โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดตีบ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานและ โรคมะเร็ง เป็นตน้ ปัจจยั ทเี่ กอ้ื หนนุ ใหเ้ กดิ โรคเหล่านม้ี ีหลายอย่าง ต้งั แตพ่ ันธกุ รรม ส่ิงแวดล้อมทางสังคม พฤติกรรม การบริโภคท่ไี ม่ถกู ตอ้ ง ขาดการออกกาลงั กาย ทาให้เกดิ สภาวะทีไ่ มส่ มดลุ ของร่างกาย ซง่ึ ขอ้ บ่งช้ีที่พบมาก ท่สี ุดและเปน็ ปัญหาสาคัญในโลกปัจจุบันน้ีคือ ภาวะน้าหนักเกิน (Over weight) และโรคอ้วน (Obesity) (1) ภาวะนา้ หนักเกินและโรคอว้ นเริ่มมกี ารศกึ ษาในกลุ่มประเทศทีม่ ีการพฒั นาทางด้านอุตสาหกรรม เชน่ ในปี ค.ศ. 1996 ได้มีการสุ่มสารวจสุขภาพของคนอเมริกันในช่วงอายุ 20-45 ปี พบว่าชายและหญิง ในช่วงอายดุ งั กล่าวรอ้ ยละ 44 และ 52 ตามลาดบั มีภาวะนา้ หนักเกินและเป็นโรคอ้วนเพิ่มสูงข้ึน ในเวลา เดียวกนั การสารวจสุขภาพประชากรในวยั เด็กของกลมุ่ ประเทศยุโรปและอเมริกาพบว่า ประชากรวัยเด็ก มีภาวะน้าหนักเกินและเป็นโรคอ้วนเพิ่มมากข้ึน และมีแนวโน้มจะมีจานวนเพ่ิมสูงข้ึนกว่าวัยผู้ใหญ่ การ สารวจขอ้ มูลยงั บ่งชวี้ ่า ภาวะน้าหนกั เกนิ และโรคอว้ นในประชากรวัยเดก็ ควบคมุ ไดค้ อ่ นข้างยาก เนื่องจาก พฤตกิ รรมการบรโิ ภคทไ่ี มถ่ ูกต้อง และเด็กไม่ได้รับการรกั ษา (2-4) มีการคาดการณ์ว่าเด็กและวัยรุ่นท่ัวโลกที่มีภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนมีจานวนมากถึง 43 ล้านคน ภาวะน้าหนกั เกนิ และโรคอ้วนเป็นปญั หาสาคญั ท่ีคุกคามสุขภาพของวัยเรียนและวัยรุ่นท่ัวโลก ทั้ง ในประเทศที่พัฒนาแล้วและกาลังพัฒนา (5) ซึ่งมีแนวโน้มเพ่ิมข้ึนอย่างรวดเร็ว ดังเช่น ในประเทศ สหรัฐอเมริกา ความชุกโรคอ้วนในวัยเรียนและวัยรุ่นในภาพรวมเพ่ิมข้ึนระหว่างปี ค.ศ. 1999-2000, 2005-2006, 2009-2010และ 2013-2014 จากร้อยละ 13.9 เป็นร้อยละ 15.4 16.9 และ17.23 ตามลาดับ (11-12) เมื่อจาแนกออกเป็นกลุ่มวัยเรียน (อายุ 6-12 ปี) และกลุ่มวัยรุ่น (อายุ 13-19 ปี) พบว่ากลมุ่ วัยเรียน มีความชุกของโรคอ้วนในชว่ งเวลาดังกลา่ วมกี ารเปลี่ยนแปลงแบบขน้ึ ๆลงๆ กล่าวคือ มี ความชกุ โรคอว้ นเท่ากับร้อยละ 15.1 15.1 18.0และ 17.43 ตามลาดบั แต่เมือ่ นามาเปรยี บเทียบกับความ ชุกโรคอ้วนในวัยเรียนและวัยร่นุ ในภาพรวมแล้ว จะเห็นว่า ในกลุ่มนี้ยังมีความชุกอยู่ในระดับที่สูง ส่วน ความชุกโรคอ้วนในกลุ่มวัยรุ่นในช่วงเวลาเดียวกันมีแนวโน้มเพ่ิมข้ึนจากร้อยละ 14.8 เป็นร้อยละ 17.8 18.4 และ 20.63 ตามลาดับ ในประเทศไทย ภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนในเด็กวัยเรียนและวัยรุ่นเป็นปัญหาสาธารณสุข สาคัญของประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน ในระหว่างปี พ.ศ. 2539-2540 การสารวจสุขภาพ ประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 2 พบว่ากลุ่มวัยเรียน (อายุ 6-12 ปี) มีความชุกของภาวะ นา้ หนักเกินและโรคอ้วนรอ้ ยละ 5.8 และในปี พ.ศ. 2544 การศึกษาพัฒนาการแบบองค์รวมของเด็กไทย พบความชุกของภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนเพิ่มเป็นร้อยละ 6.73 ส่วนปี พ.ศ. 2546 รายงานการ สารวจภาวะอาหารและโภชนาการของประเทศไทย ครัง้ ที่ 5 พบว่ากล่มวุ ัยเรยี น (อายุ 6-14 ปี) มีความชุก ของภาวะน้าหนักเกินร้อยละ 2.0 ความชุกของโรคอ้วน ร้อยละ 2.3 ส่วนกลุ่มวัยรุ่น(อายุ 15-18 ปี) มี

7 ความชุกของภาวะน้าหนักเกินร้อยละ 5.9 ความชุกของโรคอ้วนร้อยละ 7.44 ตามลาดับ และปี พ.ศ. 2551-2552 การสารวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งท่ี 4 ความชุกของภาวะน้าหนัก เกินและโรคอ้วนวัยเรียนและวัยรุ่นเพ่ิมเป็นร้อยละ 9.73 ตามลาดับ ซึ่งจากการสารวจภาวะโภชนาการ ของวยั เรียนและวัยรุ่นไทยระดับประเทศทั้ง 4 คร้ังข้างต้น ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา จะพบว่าปัญหา ภาวะน้าหนักเกนิ และโรคอ้วนในวัยเรียนและวัยรุ่นเพิ่มข้ึนอย่างต่อเน่ืองนอกจากน้ี ยังมีผู้ศึกษาความชุก ของภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนในวัยเรียนและวัยรุ่นไทยอีกหลายการศึกษา เช่น การศึกษาความชุก ของภาวะนา้ หนกั เกินและโรคอว้ นในวยั เรียนและวัยรุ่นอายุ 12- 18 ปี จังหวัดขอนแก่น พบความชุกของ ภาวะน้าหนักเกนิ รอ้ ยละ 9.5 และความชุกโรคอว้ น ร้อยละ 4.95 ท้ังยังพบว่าเพศชายมีความชุกโรคอ้วน มากกวา่ ในเพศหญิง ส่วนการศกึ ษาความชุกของภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนในวัยเรียนและวัยรุ่นอายุ 6-15 ปี จงั หวดั นครนายก พบความชุกของภาวะน้าหนักเกิน ร้อยละ 12.8 และความชุกโรคอ้วน ร้อยละ 9.46 (5) กล่าวได้ว่าความชุกของภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนในวัยเรียนและวัยรุ่นในแต่ละพ้ืนท่ีมี แนวโน้มเพ่ิมข้ึนเช่นเดียวกับความชุกของภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนในวัยเรียนและวัยรุ่นใน ระดบั ประเทศ ในปี พ.ศ. 2558 กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขรว่ มกับสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย ได้ รายงาน เกย่ี วกบั สดั สว่ นเด็กไทยที่มแี นวโน้มสู่ภาวะเป็นเด็กอ้วนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าเด็กก่อนวัย เรยี นในประเทศไทยจะกลายเป็นเดก็ อ้วนในสัดสว่ นทส่ี งู ข้ึน และเม่ือเปรียบเทียบสัดส่วนระหว่างเด็กอ้วน กับเด็กปกติคิดเป็นอัตราส่วน 1:5 ส่วนเด็กในวัยเรียนจะมีสัดส่วนของเด็กอ้วนกับเด็กปกติคิดเป็น อัตราส่วน 1:10 โดยเฉพาะเดก็ ในเมืองจะอว้ นร้อยละ 20-25 จากรายงานท้ังหมดนี้นับเป็นอุบัติการณ์โรค อว้ นของเดก็ ไทยวนั เรยี นทเี่ พม่ิ ขน้ึ อย่างรวดเร็ว โดยจากสถติ ิดงั กลา่ ว ชไ้ี ด้ว่าประเทศไทยจึงเป็นประเทศที่ มอี ัตราโรคอว้ นในเด็กเรว็ ทส่ี ุดในโลก เฉพาะระยะ 5 ปที ผ่ี า่ นมา (พ.ศ.2554-2558) เด็กก่อนวัยเรียน (3-6 ปี) อ้วนเพ่ิมร้อยละ 36 และเด็กวัยเรียน (6-13 ปี) อ้วนเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.5 ซ่ึงหากไม่มีแนวทางการ ควบคุมท่ีดี เด็กกลุ่มน้ีจะเติบโตเป็นวัยรุ่นและผู้ใหญ่ท่ีมีภาวะเส่ียงด้านสุขภาพและประสิทธิภาพในการ ทางานในอนาคต การรายงานของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่าเด็กท่ีมีน้าหนักเกินมาตรฐานต้ังแต่ใน ปฐมวยั จะมโี อกาสโตขึ้นเป็นผูใ้ หญอ่ ้วนถงึ ร้อยละ 25 และเด็กท่ีมนี า้ หนกั เกินมาตรฐานในช่วงอายุ 6-10 ปี จะมโี อกาสเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่อ้วนถึงร้อยละ 50 ส่วนในวัยรุ่นที่มีน้าหนักเกินมาตรฐานจะมีโอกาสเป็น โรคอ้วนต่อเน่ืองไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ถึงร้อยละ 80 นอกจากน้ันในรายงานการวิจัยของหลายประเทศท่ี ทาการศกึ ษา พบวา่ เดก็ ที่มีภาวะนา้ หนักเกนิ และโรคอ้วนหากไม่ได้รับการแก้ไข จะมีปัญหาทางสุขภาพ มี ความบกพร่องทางกระบวนการรูค้ ดิ ความสามารถทางเชาวนป์ ัญญา ความสามารถการคิดเชงิ บริหาร และ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้ต่าปกติ (6-8) จากรายงานวิชาการดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ภาวะน้าหนักเกินและ โรคอ้วนมีผลกระทบต่อสุขภาพและการเรียนรู้ของเด็กวัยเรียน และถ้าความผิดปกติดังกล่าวมีแนวโน้ม สูงขน้ึ โดยไม่มแี นวทางป้องกัน จะสง่ ผลถงึ กาลังความสามารถของทรัพยากรมนษุ ย์ไทยในอนาคต เมื่อกล่าวถึงยุทธศาสตร์ของการเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพต้นทุนมนุษย์ที่ปรากฎใน แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560-2564) ท่ีมี 4 เป้าหมายคือ 1) คนไทยทุก กลมุ่ วัยมที กั ษะและความรคู้ วามสามารถที่จะเป็นฐานในการพัฒนาประเทศ 2) คนไทยมีการเรียนรู้อย่าง

8 ตอ่ เนอ่ื งตลอดชวี ิต 3) คนไทยมีพฤติกรรมเสี่ยงทางสุขภาพที่ลดลงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และ 4) คน ไทยมีจติ สานกึ พลเมอื งและมคี ่านยิ ม ตามบรรทดั ฐานท่ีดีของสังคมไทย โดยจะเห็นได้ว่าเป้าหมายท้ัง 4 มี ความเชื่อมโยงกันในการพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทยและมีความเก่ียวข้องกับการ พฒั นาดา้ นสขุ ภาพทางกาย จิต สังคม และการเรยี นรู้ตลอดชีวติ ซ่งึ หากต้องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ท่ี มศี กั ยภาพในอนาคตและสอดคล้องกบั แผนยทุ ธศาสตร์ การให้ความสาคัญกับ“วัยเด็ก” จึงเป็นการลงทุน ทคี่ ้มุ ค่า เดก็ ทีไ่ ดร้ ับการดูแลและสง่ เสรมิ ให้มีสุขภาพพลานามัยแขง็ แรง ร้จู ักป้องกนั ตนเองจากโรค และส่ิง เสพติด ตามแนวนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข คือ ออกกาลังกาย อารมณ์ดี รับประทานอาหารท่ีมี ประโยชน์ รวมทั้งมกี ารเฝ้าระวงั ภาวะโภชนาการและการออกกาลังกายของเด็กอย่างสม่าเสมอ จะส่งผล ให้เดก็ มพี ฒั นาการทางกายสมวัยและพร้อมรบั การเรียนร้อู ยา่ งมีศกั ยภาพ และเมื่อกล่าวถึงการเรียนรู้ของ เด็กนั้น นอกจากพัฒนาการด้านสติปัญญา (Intelligence quotient: IQ) ท่ีต้องให้ความสาคัญแล้ว ยัง ตอ้ งมีการพัฒนาความสามารถในด้านอื่นๆรว่ มดว้ ย โดยเฉพาะความสามารถการรู้คิด (Cognitive) และลง ในเชิงลึกคือ ความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมอง (Brain executive function: EF) ซึ่งเป็น ความสามารถในการควบคุมความคิดและการตัดสินใจท่ีส่งผลทาให้เกิดการกระทาส่ิงต่างๆได้สาเร็จตาม เป้าหมาย โดยศูนย์กลางของสมองที่ควบคุมความสามารถการคิดเชิงบริหาร คือ สมองส่วนหน้า (Prefrontal cortex: PFC) เดก็ แตล่ ะคนจะมีระดับความสามารถการคิดเชิงบริหารมากน้อยแตกต่างกัน เด็กทม่ี ีความสามารถการคิดเชิงบริหารท่ีดีจะมคี วามพรอ้ มและมผี ลสมั ฤทธท์ างการเรียนทีด่ ี ความสามารถ การคิดเชงิ บริหารจึงมคี วามสาคัญตอ่ การเรยี นในทุกระดับช้ัน โดยเฉพาะชั้นอนุบาลและปฐมวัยเนื่องจาก เปน็ ตัวบง่ บอกถึงความพรอ้ มในการเรยี นของเด็กไดม้ ากกวา่ ระดบั สติปัญญา (9, 10) นอกจากน้ันยังส่งผล ตอ่ การเรียนรู้โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ดา้ นคณติ ศาสตร์และดา้ นการอา่ น จนเป็นท่ียอมรับกันในวงกว้างว่า ผู้ที่มี ความสามารถการคดิ เชิงบริหารดจี ะมผี ลสมั ฤทธิท์ างการเรียนดีดว้ ย (7-8) นอกจากนั้นความบกพร่องของ ความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองเกี่ยวข้องกับปัญหาพฤติกรรมเฉพาะด้านเม่ือเด็กโตข้ึน เช่น พฤตกิ รรมก้าวรา้ วรุนแรง ทะเลาะเบาะแว้ง ตดิ การพนัน ติดยาเสพตดิ ย่ิงไปกว่าน้ันความผิดปกติของการ คดิ เชงิ บรหิ ารของสมองยังเกยี่ วข้องกับการเกิดโรคทางจิตเวชหลายโรคที่เร่ิมแสดงอาการในวัยเด็ก (9) ใน สังคมท่ีมีความสลับซับซ้อนเข้าใจยากและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเช่นในปัจจุบัน ความสามารถ การคดิ เชงิ บริหารจงึ มีความสาคญั อยา่ งมากเน่อื งจากเป็นตวั บง่ ช้ีถึงความสาเร็จทง้ั ในด้านการเรียนของเด็ก และการทางานเม่อื เดก็ เจริญเติบโตถึงวัยทางาน ดังนั้นหากมีการพัฒนาความสามารถการคิดเชิงบริหาร ของสมองอย่างสมวัย จะส่งผลต่อการพัฒนาของตัวเด็กและต่อความเจริญและสงบสุขของบุคคลที่อยู่ ร่วมกันสงั คม การดารงชีวติ ของมนุษย์จะต้องใช้ความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองในสถานการณ์ใหม่ที่ ไมค่ ุน้ เคย เม่ือสงิ่ ทก่ี าลังทาไม่เป็นไปตามทีค่ าดหมาย เม่อื อยใู่ นสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เม่ือต้องอดทนต่อ ส่ิงยวั่ ยุและต้องเลอื กทาส่ิงทส่ี าคัญกว่า ในบริบทเหล่านี้ความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองจะช่วย ให้เราบรหิ ารจัดการงานจนสาเร็จไดแ้ ละชว่ ยให้เราตัดสนิ ใจได้ถูกต้องโดยคานึงถึงผลท่ีจะตามมา และเมื่อ มองถึงในกลุ่มเด็กวัยเรียนแล้ว จึงจาเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องส่งเสริมและพัฒนาความสามารถน้ีไว้ นั่นเป็น เพราะทักษะด้านการคิดเชิงบริหารของสมองจะพัฒนาอย่างมากในช่วงเด็กปฐมวัยต่อเน่ืองไปจนถึงวัย

9 เรียน วัยรุ่น วัยทางาน และจะมีแนวโน้มลดลงในช่วงสูงวัย (Age-related reduction in executive function) ดังแสดงในภาพท่ี 1 ภาพท่ี 1 www.developingchild.harvard.edu จากสถานการณ์ดา้ นภาวะนา้ หนักเกนิ และโรคอ้วนของเด็กไทย และความสาคัญของการส่งเสริม และพฒั นาความสามารถการคดิ เชงิ บริหารของสมองในวยั เด็ก ทาให้การวิจยั ครัง้ น้ีสนใจที่จะศึกษาผลของ ภาวะโรคอ้วนต่อความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองในเด็กวัยเรียน อีกทั้งการวิจัยมีเป้าหมาย ส่งเสริมการควบคุมภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วน ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาความสามารถการคิดเชิง บริหารของสมอง ซ่งึ หากเดก็ วยั เรยี นมีสุขภาวะทีด่ ี มคี วามสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองดี จะส่งผล ต่อการพฒั นาเดก็ และเยาวชนไทยให้เปน็ พลเมืองทม่ี ีคุณภาพในอนาคตตอ่ ไป วตั ถปุ ระสงค์ 1) เพือ่ ศึกษาสถานการณ์และปัจจยั ที่สง่ ผลตอ่ ภาวะนา้ หนกั เกนิ และโรคอ้วนในเด็กวยั เรยี น 2) เพือ่ ศกึ ษาความสามารถการคดิ เชงิ บริหารของสมองในเด็กวัยเรียน 3) เพ่ือศกึ ษาความสัมพันธ์ระหว่างปจั จยั ทสี่ ่งผลต่อภาวะน้าหนกั เกนิ และโรคอ้วนกบั ความสามารถ การคิดเชิงบริหารของสมองในเด็กวยั เรียน 4) เพ่ือศึกษาแนวทางปอ้ งกนั ภาวะน้าหนักเกนิ /โรคอว้ น และการสง่ เสริมความสามารถการคิดเชิง บรหิ ารของสมองในเดก็ วัยเรยี น ขอบเขตของการวจิ ัย 1) กลุม่ ตัวอย่าง คือ เดก็ วยั เรียน อายุ 6-13 ปี จานวนประมาณ 403 คน คัดเลอื กจากเด็กนักเรียนท่ี กาลงั ศึกษาอยูใ่ นระดับช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 1-6 ของโรงเรยี นที่เขา้ ร่วมโครงการวจิ ยั 2) โรงเรียนทเี่ ข้าร่วมโครงการวิจัย คอื โรงเรยี นที่มีความประสงค์ท่ีเขา้ รว่ มโครงการวิจัยและตอบรับ เป็นทางการ

10 สถานท่ีวจิ ัย โรงเรยี นท่เี ขา้ รว่ มโครงการวจิ ยั ในเขตจังหวดั นครปฐม ระยะเวลาการวจิ ัย 1 ปี นิยามศัพท์ 1) ความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมอง คือ ความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองข้ันสูงท่ีช่วย ใหม้ นษุ ย์ควบคุมอารมณ์ ความคิด การตัดสินใจ และการกระทา ส่งผลให้มุ่งมั่นทางาน จนงานนั้นสาเร็จ ตามเป้าหมายหมายที่ตั้งไว้ (Goal directed behavior) ประกอบไปดว้ ย 5 ดา้ นสาคญั คือ 1.1 การควบคมุ อารมณแ์ ละพฤตกิ รรมของตนเอง (Emotional Control) 1.2 การยับยั้งพฤตกิ รรม (Inhibit) 1.3 การเปลยี่ นความคดิ เมอ่ื เงอ่ื นไขเปลี่ยนไป (Shifting) 1.4 ความจาขณะทางาน (Working Memory) 1.5 การวางแผนและการจัดการอย่างเปน็ ระบบ (Plan/Organize) 2) ภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วน หมายถึง การสะสมไขมันท่ีผิดปกติหรือมากเกินไป ซึ่งทาให้เกิดปัจจัย เสี่ยงต่อสุขภาพ การประเมินภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วน จะใช้น้าหนักตามเกณฑ์ส่วนสูงของเด็กไทย อายุ 5-18 ปี จาแนกตามเพศ ของกรมอนามยั กระทรวงสาธารณสุข

11 บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรม 1) ความหมายและเกณฑก์ ารประเมินภาวะน้าหนักเกินและโรคอว้ น ภาวะนา้ หนกั เกนิ และโรคอ้วน หมายถึง การสะสมไขมนั ท่ผี ดิ ปกติหรือมากเกินไป ซึ่งทาให้เกิดปัจจัยเสี่ยง ต่อสุขภาพ การประเมินภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนสาหรับเด็กวัยเรียนและวัยรุ่นไทยมีหลายเกณฑ์ สาหรบั เกณฑ์ทน่ี ยิ มนามาใช้มดี งั ต่อไปนี้ 1.1 การเปรียบเทียบนา้ หนักกับค่ามัธยฐานของน้าหนักตามเกณฑ์ส่วนสูง (Median weight for Height) โดยใช้กราฟแสดงเกณฑ์อ้างองิ นหนกั ตามเกณฑ์สว่ นสงู ของเดก็ ไทยอายุ ดังตารางที่ 1 ตารางท่ี 1 การแปลผลน้าหนักกับค่ามัธยฐานของนา้ หนกั ตามเกณฑ์ส่วนสูงของเด็กไทยอายุ 1 วัน ถึง 19 ปี ค่ามัธยฐานของน้าหนกั ตามเกณฑ์ส่วนสูง การแปลผล > + 2.0 SD ถงึ ≤ + 3.0 SD ภาวะน้าหนักเกิน > + 3.0 SD โรคอว้ น หมายเหตุ SD: standard deviation ที่มา: แนวทางเวชปฏบิ ตั ิการป้องกันและการดูแลรักษาโรคอ้วน, 2553 1.2 ดัชนีมวลกาย (body mass index หรือ BMI) ดัชนีมวลกายเปน็ เกณฑม์ าตรฐานสากลในการ จาแนกน้าหนักของรา่ งกายในผู้ใหญต่ ้ังแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป ที่ประเทศต่างๆท่ัวโลกนิยมนาไปใช้ เนื่องจาก วิธีการประเมินไมย่ ุ่งยาก และเป็นการวัดปริมาณไขมันที่สะสมในร่างกายทั้งหมด (total body fat) แต่มี ข้อจากัดคือไม่สามารถจาแนกได้ว่าเป็นไขมันในช่องท้อง (visceral fat) หรือไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนัง (subcutaneous fat) ดัชนีมวลกายคานวณได้จาก น้าหนักหน่วยกิโลกรัม หารด้วย ความสูงหน่วยเมตร ยกกาลังสอง ดังตารางท่ี 2 ตารางที่ 2 การแปลผลดัชนีมวลกายตามเกณฑอ์ ายุและเพศขององคก์ ารอนามัยโลก คา่ มัธยฐานของน้าหนักตามเกณฑส์ ่วนสูง การแปลผล ≥ + 1.0 SD ถงึ ≤ + 2.0 SD ภาวะนา้ หนกั เกนิ ≥ + 2.0 SD โรคอ้วน หมายเหตุ SD: standard deviation ท่มี า: แนวทางเวชปฏิบัติการปอ้ งกันและการดแู ลรกั ษาโรคอ้วน, 2553 1.3 การประเมินน้าหนักเกนิ และโรคอว้ นโดยใช้เกณฑ์น้าหนักตามเกณฑ์ส่วนสูงของเด็กไทยอายุ 5-18 ปี จาแนกตามเพศ ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2542 เกณฑ์นี้ถือว่าเป็นเกณฑ์การ

12 ประเมินที่เหมาะสมสาหรับการนามาใช้ประเมินเด็กและวันรุ่นไทยเน่ืองจากเกณฑ์ดังกล่าวได้จาก การศึกษาในเด็กแตล่ ะช่วงอายใุ นประเทศไทยซง่ึ มีชาติพันธุ์เดยี วกนั การเจริญเตบิ โตท่ีมีลักษณะคล้ายคลึง กัน และสามารถนาไปใช้ประเมินไดง้ า่ ย จงึ สะท้อนระดบั ภาวะอว้ นของเด็กและวันรุ่นไทยได้ตรงกับสภาพ ความเปน็ จริงมากทส่ี ุด ดังตารางที่ 3 ตารางที่ 3 การแปลผลน้าหนักตามเกณฑ์สว่ นสงู ของเด็กไทยอายุ 5-18 ปี ค่ามัธยฐานของน้าหนักตามเกณฑส์ ่วนสงู การแปลผล ≥ + 1.5 SD ถงึ ≤ + 1.5 SD ปกติ > + 1.5 SD ถงึ ≤ + 2.0 SD ท้วม > + 2.0 SD ถึง ≤ + 3.0 SD เรม่ิ อว้ น > + 3.0 SD อ้วน หมายเหตุ SD: standard deviation ที่มา: แนวทางเวชปฏิบตั ิการป้องกันและการดแู ลรักษาโรคอว้ น, 2553 2) สาเหตุของภาวะนา้ หนักเกินและโรคอว้ นในวัยเดก็ ภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนในวัยเด็กนั้นเป็นผลลัพธ์จากการมีปฏิสัมพันธ์ท่ีซับซ้อนจากปัจจัยหลาย สาเหตุดังต่อไปนี้ ความไม่สมดุลระหว่างพลังงานที่ได้รับจากการบริโภคและพลังงานท่ีร่างกายใช้ใน กิจกรรมต่างๆ การเคล่ือนไหวร่างกายการออกาลังกาย การค้นพบยีนส์หลายกลุ่มท่ีเกี่ยวข้องกับโรค อ้วน FTO ( fat mass and obesity associated genes) และส่ิงแวดล้อมท่ีส่งเสริมให้เกิดโรคอ้วน (Obesogenic environment) ไดแ้ ก่ ภาวะโภชนาการเกินของพ่อแม่ การเปลี่ยนแปลงภาวะโภชนาการ ของทารกหลงั เกดิ การไม่กินนมแม่ การกินนมผงต้ังแต่วัยทารก การศึกษาของพ่อแม่และเศรษฐานะของ ครอบครวั วธิ กี ารเลี้ยงดเู ดก็ ท่ีไม่มีขอบเขตในพฤติกรรมการกิน ทาให้เด็กบริโภคปริมาณมาก ทั้งข้าว นม ขนมขบเค้ียว และเครอ่ื งดื่มทมี่ ีใหเ้ ลือกมากมาย การอยู่อาศัยใกล้ร้านสะดวกซ้ือวิถีชีวิตท่ีสะดวกสบายข้ึน ขาดการเคลื่อนไหวร่างกาย เดก็ ไทยดโู ทรทศั นน์ าน (หนง่ึ ในห้าของเวลาว่าง) ทาให้มีโอกาสอ้วนมากข้ึนนั้น จึงพอสรปุ ได้ถงึ สาเหตุหลกั ดงั นี้ (13,14) 2.1 ปจั จยั เส่ยี งดา้ นพนั ธุกรรม (Genetic risk factors) เป็นความผดิ ปกตขิ องยีนบางชนดิ ท่สี ัมพันธ์กับการ เกิดภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนในวัยเรียนและวัยรุ่นซึ่งปรากฏให้เห็นในรูปกลุ่มอาการต่างๆ (syndromes) เช่นtrisomy 21 พบในกลุ่มอาการ Down’s syndrome และกลุ่มอาการ Prader-Willi syndrome หรือปรากฏให้เห็นในรูปความผิดปกติจาก monogenic disorders เช่น Leptin deficiency, Leptin receptor mutationsหรือปรากฏให้เห็นในรูปความผิดปกติของ hormonal disorders เช่น Hypothyroidism, Growth hormone deficiency, Hypothalamic obesity, Polycystic ovary syndrome และภาวะ Hyperprolactinemia เปน็ ต้น 2.2 ปัจจัยเส่ียงด้านพฤติกรรม (Behavioral risk factors) พฤติกรรมบางอย่างของบุคคลท่ีสัมพันธ์กับ ภาวะน้าหนักเกินและโรคอว้ น ประกอบดว้ ย

13 2.2.1 การมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารทไี่ มด่ พี ฤตกิ รรมการรับประทานอาหารทสี่ ัมพันธ์กับ ภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วน เช่น การไม่รับประทานอาหารมื้อเช้า การรับประทานอาหาร fast-food เป็นประจา การรับประทานอาหารในลักษณะของการเพ่ิมของปริมาณ ปริมาตรและพลังงานอาหาร (Larger portion sizes) และการรบั ประทานอาหารในขณะท่ยี งั ไมห่ ิว เป็นต้น 2.2.2 การมีพฤติกรรมแน่น่ิงหรือพฤติกรรมท่ีมีการเคล่ือนไหวร่างกายน้อย (sedentary behavior) เชน่ การใช้เวลาในการดโู ทรทัศน์ หรอื เลน่ วดิ ีโอเกมมากกวา่ 2 ชั่วโมงต่อวัน รวมทั้งการลดการ เคลื่อนไหวออกแรง (physical activity) มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนในวัย เรียนและวัยร่นุ 2.2.3 การนอนหลบั โดยจะพบว่าการมรี ะยะเวลาในการนอนหลับสั้น นอนไม่พอเพียงกับวัยจะมี สมั พนั ธ์กับการเกิดภาวะน้าหนกั เกนิ และโรคอ้วนในเด็ก 2.2.4 ความเครียด โดยที่ความเครียดท่ีเกิดกับวัยเรียนและวัยรุ่น บิดามารดา หรือเกิดข้ึนกับ ครอบครัวทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ล้วนมีผลต่อการเกิดภาวะนหนักเกินและโรคอ้วนในวัยเรียนและ วยั รุ่น 2.3 ปัจจัยเส่ียงด้านส่ิงแวดล้อมและสังคม (Environmental/societal risk factors) (15, 16) มีหลาย ปัจจัยเชน่ การมเี ศรษฐานะตา่ การรบั รขู้ องพอ่ แม่ตอ่ อาหารและสภาพแวดล้อมในการเคล่ือนไหวออกแรง ความยากในการเข้าถงึ /การซื้อผกั และผลไม้ การอยหู่ า่ งไกลจากสถานท่ีออกกาลังกายหรือสวนสาธารณะ ความไม่ม่ันคงด้านอาหาร และการอาศัยอยู่ในสังคมเมือง รวมท้ังชาติพันธ์ุ โดยชาติพันธุ์อะบอริจิน (Aboriginal) ฮสิ พานิค (Hispanic) และเอเชยี ใต้มีความเสี่ยงสงู ที่จะเปน็ โรคอ้วนตง้ั แต่ในวัยเด็ก 3) ผลกระทบของภาวะนา้ หนกั เกินและโรคอ้วน ในปัจจุบันการศึกษาและวิจัยผลของภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนที่มีผลต่อวัยเด็กนั้นสามารถ แบ่งออกเป็นใน 2 ด้านหลัก คือ ด้านสุขภาพ (Health) และการรู้คิด (Cognitive) ซ่ึงมีหลายงานวิจัยได้ สรุปผลและนาเสนอวา่ “วัยเดก็ และวัยรุ่นท่ีมีภาวะน้าหนักเกนิ และโรคอว้ น ณ ปัจจุบัน จะนาไปสู่การเกิด โรคอว้ นและโรคอว้ นลงพงุ ในวัยผ้ใู หญแ่ ละมคี วามสัมพันธ์กับอัตราการเจ็บป่วยและอัตราการตายก่อนวัย อนั ควรในวัยผูใ้ หญ่” ซ่ึงภาวะน้าหนกั เกนิ และโรคอว้ นมีผลกระทบตอ่ ต่อสขุ ภาวะหลายประการดังตอ่ ไปนี้ 3.1 ระบบกระดกู และข้อ โดยส่วนใหญ่เกิดจากน้าหนักตัวท่ีมากจะกดลงบนกระดูกข้อเข่าทาให้ เกิดขาโก่งในเด็กเล็ก น้าหนักตัวที่ไม่สัมพันธ์กับส่วนสูงหรืออายุนั้นในเด็กน้ันจะทาอันตรายต่อแผ่นเยื่อ เจริญกระดูกเข่าด้านใน (proximal medial tibial growth plate) เด็กจะมีขาโก่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเน่ือง สว่ นในวัยรนุ่ โรคอ้วนส่วนใหญจ่ ะมขี าทอ่ นบนขยายใหญ่ เกดิ โรคหวั กระดกู สะโพกเล่อื น (slipped capital femoral epiphysis), knock knees และมีโอกาสหกล้มและเกิดกระดูกหักได้บ่อยกว่าเด็กน้าหนักปกติ ในวยั เดียวกัน (11, 12) 3.2 ระบบหวั ใจและหลอดเลอื ด เด็กโรคอว้ นส่วนใหญจ่ ะมคี วามดันโลหติ สูงกว่าเด็กท่ีไม่อ้วน เม่ือ ความดันโลหิตสูงกว่า P 95th โดยใช้ค่ามาตรฐานความดันโลหิตของ American Heart Association ซ่ึง แยกตามเพศ ส่วนสงู และอายุ อาจใชเ้ กณฑ์การวนิ ิจฉัยโรคอย่างง่าย ใช้ค่าความดันโลหิตสูงกว่า 120/80

14 มม.ปรอทในเด็กอายุตา่ กวา่ 10 ปี และสูงกว่า 140/90มม.ปรอท ในเดก็ อายุ 10 ปขี ้ึนไป เดก็ ทอี่ ้วนรุนแรง อาจพบความดันหลอดเลอื ดในปอดสูงรว่ มดว้ ย (12) 3.3 ระบบทางเดินหายใจ พบว่าเด็กโรคอ้วนมีสมรรถภาพปอดลดลงอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ เม่อื มไี ขมันสะสมในร่างกายสงู และการทางานในการหายใจเพิ่มข้ึน ปัญหาการหยุดหายใจขณะหลับจาก การอดุ กนั้ ทางเดินหายใจ เรียกวา่ Obstructive sleep apnea (OSA) พบร้อยละ 10 และมีความสัมพันธ์ กับโรคอ้วน ทาให้ ตลอดระยะเวลาครึ่งหนึ่งของการนอนหลับ เด็กมักจะนอนกรนเสียงดังและมีหยุด หายใจ ผวาตื่นฝนั รา้ ย ปสั สาวะรดที่นอน ปวดหัวตอนตืน่ นอน ง่วงนอนตอนกลางวัน ผลการเรียนต่า เด็ก อ้วนรุนแรงจะมีความเส่ียงสูงของการหายใจไม่เพียงพอ พบภาวะคาร์บอนไดออกไซด์ค่ังและขาด ออกซิเจน หากไมแ่ ก้ไขจะเกิดความดนั หลอดเลือดในปอดสงู รว่ มดว้ ย (12) 3.4 กลุ่มอาการ Metabolic syndrome เป็นลักษณะของกลุ่มอาการท่ีประกอบด้วย ภาวะดื้อ อนิ ซูลนิ หรือมีระดบั กลโู คสในเลอื ดสงู (elevated glucose) ความดนั โลหิตสงู ภาวะอ้วนลงพุง และภาวะ ไขมันในเลือดผิดปกติ (dyslipidemia) กลุ่มความผิดปกติท่ีกล่าวมาข้างต้น เป็นปัจจัยเส่ียงของการเกิด โรคเบาหวานชนิดท่ี 2 และโรคหลอดเลือดหัวใจ (cardiovascular disease) มีรายงานวิจัยใน ต่างประเทศพบว่าเด็กท่ีมีภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนมีปัจจัยเส่ียงต่อการเกิดกลุ่มอาการเมตาบอลิค มากกวา่ เด็กที่ไม่อว้ น (12, 13) 3.5 ผลกระทบตอ่ กระบวนการ Adipose tissue secretion ของเน่อื เยือ่ ไขมนั 3.5.1 Leptin มีบทบาทยับย้ังความอยากอาหารและเพ่ิมอัตราการใช้พลังงานของ รา่ งกาย โดยมผี ลเกีย่ วกบั พฤติกรรมการรบั ประทานอาหารและมีบทบาทเกี่ยวกับการสะสมไขมัน การลด ระดับของ leptin ในกระแสเลือดหรือการลดการทางานของ leptin receptor จะมีผลทาให้การกิน อาหารเพิ่มขึ้นและลดการใช้พลังงาน แต่ในผปู้ ว่ ยโรคอ้วนพบว่าระดับของ Leptin สูงข้ึนแต่ไม่มีผลต่อการ ยับยั้งความอยากอาหาร เนื่องจากจะมีภาวะ leptin resistance ในกลุ่มคนเหล่าน้ี โดยภาวะนี้เกิดขึ้น จาก leptin receptor signaling defect หรือมีความบกพร่องในการขนส่ง Leptin ผ่านเข้าสู่ hypothalamus ดงั นน้ั การมภี าวะ leptin resistance ในกลุ่มคนภาวะน้าหนกั เกนิ หรอื โรคอ้วน จะส่งผล ต่อการเพิ่มการเก็บไขมันไว้ในเซลล์และลดกระบวนการออกซิเดชันของไขมันเพ่ือนาไปใช้เป็นพลังงาน ส่งผลให้มกี ารสะสมไขมันในเนื้อเยื่ออ่ืนๆ นอกเหนือจากเน้ือเยื่อไขมัน เช่น เนื่อเยื่อสมอง กล้ามเน้ือลาย รังไข่ กระเพาะอาหาร ลาไส้และตับ เป็นต้น เป็นผลให้มีน้าหนักเพิ่มและเกิดภาวะน้าหนักเกินหรือโรค อว้ น (14) 3.5.2 Adiponectin มีบทบาทเกี่ยวข้องกับ inflammation ระดับของ adiponectin ท่ลี ดลงจะส่งผลให้มีระดับ C-reactive protein (CRP) ซ่ึงเป็น systemic inflammation marker สูงข้ึน โดยระดับของ CRP น้ีมีความสัมพันธ์กับน้าหนักตัวและสัดส่วนของไขมันในร่างกาย และยังมีความ เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของระบบหัวใจและหลอดเลือด จากการศึกษาพบว่า adiponectin มีผลดีต่อ ระบบหวั ใจและหลอดเลอื ด โดยมสี ว่ นยบั ย้ังการแสดงออกของโมเลกลุ ทเี่ ก่ียวข้องกับ inflammation เช่น vascular cell adhesion molecule-1(VCAM-1), intercellular adhesion molecule-1 (ICAM-1) และ selectin มากกว่าน้ี adiponectin มีบทบาทในการเพิ่มการสร้าง Nitric oxide: NO ทาให้หลอด เลือดขยายตัวลดการเกิดการเกาะกลุ่มกันของเกล็ดเลือด มีส่วนในการยับยั้งการทางานของ

15 macrophage และลดการสะสมของ foam cells กล่าวโดยรวมคือ ระดับ adiponectin ที่สูงขึ้นสามารถ ลดความเสย่ี งในการเกดิ โรคหลอดเลอื ดต่างๆ โรคความดันโลหิตสูง รวมถึงความผิดปกติของหัวใจ ดังน้ัน การลดลงของ adiponectin ในร่างกายจึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติในกลุ่ม metabolic syndrome และ diabetes mellitus เป็นตน้ (14) 3.5.3 Resistin มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการยับย้ังการการดึงน้าตาลเข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้อ และยับยั้งการนาน้าตาลไปสังเคราะห์เป็นไกลโคเจน นอกจากน้ี resistin ยังกระตุ้นให้ตับผลิตน้าตาล ส่งออก (glucose output) ซ่ึงมีผลลดกระบวนการสังเคราะห์ไกลโคเจน (glycogenesis) และเพิ่ม กระบวนการสลายไกลโคเจน (glycogenolysis) ของเซลล์ตับ บทบาทสาคญั อีกประการหน่ึงของ resistin ที่มกี ารศกึ ษากนั มากคอื บทบาทเกย่ี วกบั inflammation โดยพบวา่ resistin มีผลชักนาให้มีการหลั่งของ cytokines ทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับกระบวนการอักเสบ เช่น TNF-α และ interleukin 12 (IL-12) แสดงให้เห็นว่า resistin มีบทบาทในกระบวนการอกั เสบและระบบภูมิคุม้ กนั (14) 3.5.4 Neurotrophins มีบทบาทเกี่ยวข้องกับ cell survival, cell development และ cell function ของเซลล์สมอง ยกตัวอย่างเช่น insulin-like growth factor-I (IGF-1) และ Brain- derived neurotrophic factor (BDNF) โดยท่ี IGF-1 ทาหน้าที่ควบคุม cell growth, cell proliferation และการกาจัด ß-amyloid ออกจากสมอง งานวิจัยพบว่าในคนโรคอ้วนจะมีภาวะ IGF-1 resistance และส่งผลให้เกิดการสะสมของ ß-amyloid และนาไปสู่ neurodegeneration (34) ใน ทานองเดียวกัน BDNF ทาหน้าท่ีควบคุม cell survival, neurogenesis, synaptogenesis และ brain plasticity ซึ่งจาเป็นสาหรับการเรียนรู้ (Learning) และ ความจา (Memory) งานวิจัยพบว่าในคนโรค อ้วนรว่ มดว้ ยการบริโภคอาหารไขมนั สูงจะสง่ ผลต่อการลดระดับการสรา้ ง BDNF และมีผลต่อกระบวนการ synaptogenesis ของเซลลป์ ระสาทเป็นผลใหเ้ กดิ การบกพรอ่ งของกระบวนการ การเรียนรู้และความจา (14) 3.5.5 Elevated Triglyceride ถึงแม้ว่าการเพ่ิมข้ึนของระดับ Triglyceride ไม่เป็นที่ เดน่ ชัดของกลุ่มคนภาวะนา้ หนกั เกนิ และโรคอว้ น แต่มรี ายงานการวิจัยพบว่าระดับ Triglyceride ท่ีสูงขึ้น จะไปรบกวนการขนสง่ leptin ผา่ นหลอดเลือดสมอง ซงึ่ มีผลต่อกระบวนการยบั ยั้งความอยากอาหารและ ทาให้มีระดับ leptin เพ่มิ สูงข้นึ ในเลอื ด ชกั นาให้เกิดภาวะ leptin resistance เกิดขึ้นในกลุ่มคนโรคอ้วน นอกจากนี้ free fatty acid ที่เกิดจากการสลายตัวของ Triglyceride จะชักนาให้เกิดภาวะ oxidative stress และมีผลต่อ neural system (15) 3.5.6 Systemic Inflammation ในบุคคลโรคอ้วนจะมีการสะสมของ white adipose tissue จานวนมากและเป็นแหล่งผลิตของ proinflammatory cytokines เช่น IL-1, IL-6, IL-12 tumor-necrosis factor-α (TNF) และ C-reactive protein เป็นต้น ซ่ึงจากรายการวิจัยพบว่า การ เพิ่มข้ึนของระดับ cytokines เหล่านี้มีความสัมพันธ์กับความบกพร่องของ executive function และ dementia ในบุคคลโรคอ้วน (35) นอกจากนี่มีการวิจัยในสัตว์ทดลองโดยให้ chronic high fat diet consumption พบวา่ มรี ะดับการแสดงออกของยีน tumor-necrosis factor-α (TNF) และ interferon ในสมองส่วน hippocampus ซ่งึ เปน็ สมองที่เกี่ยวข้องกบั learning และ memory (15)

16 3.6 ผลกระทบด้านจิตใจ (Psychological comorbidities) เด็กท่ีมีภาวะน้าหนักเกินและโรค อว้ นจะมีปญั หาทางด้านจิตใจมากกวา่ เด็กท่ีไมอ่ ้วน ซึ่งผลกระทบดา้ นจติ ใจมีหลายประการ ดังน้ี 3.6.1 โรคสมาธิสั้น (Attention-deficit hyperactivity disorder: ADHD) โรคอ้วนและ โรคสมาธิสั้นมีความสัมพันธ์กันอันเป็นผลมาจากพฤติกรรมที่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ (Inhibitory control) แล้วขยายไปสู่พฤติกรรมท่ีไม่ดีในการกนิ อาหาร การวินจิ ฉันโรคสมาธิส้ันพบความชุกในเด็กอ้วน มากกว่าเด็กที่มีน้าหนกั ปกติ 3.6.2 ความผดิ ปกติที่เกิดจากปจั จัยภายในและภายนอกของบุคคล (Internalizing and externalizing disorders) ความผิดปกติที่เกิดจากปัจจัยภายในของบุคคล คือ ความผิดปกติทางด้าน อารมณ์ และพฤตกิ รรม บุคคลที่ความผิดปกติภายในมักจะแสดงอาการเครียด วิตกกังวล หรือขาดความ มัน่ ใจ เปน็ ตน้ ส่วนความผดิ ปกตทิ ่เี กดิ จากปัจจยั ภายนอกของบคุ คลจะเป็นความผิดปกติด้านจิตใจที่แสดง ออกมาให้เห็นโดยพฤติกรรมภายนอก เช่น การไม่สามารถปรับตัวเองให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ซ่ึงทาให้เกิด ความบกพร่องหรือสูญเสียการทาหน้าที่ของบคุ คลไป 3.6.3 ปัญหาด้านจิตใจอื่นๆ เช่น ความไม่พึงพอใจในรูปร่างของตนเอง (Body dissatisfaction) กลุ่มอาการความผิดปกติการกินอาหาร (Eating disorder symptoms) การถูกกล่ัน แกล้ง (Bullying) การขาดทักษะทางด้านสงั คมและการมีพฤติกรรมการกนิ อาหารท่ีไม่ดี เป็นต้น 3.7 ผลกระทบต่อ Brain function และ Brain structure ภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนส่งผล ต่อการเปล่ียนแปลงและการเรยี นรขู้ องสมองมนษุ ย์ในทุกช่วงวัย (16, 17) โดยจะพบว่า เมื่อทาการศึกษา ความสัมพันธ์ของค่าดัชนีมวลกาย (BMI) กับความสามารถด้านการรู้คิด (Cognitive) ในด้านต่างๆ เช่น Attention, Memory, Intelligence, Executive function (EF) โดยเฉพาะองค์ประกอบของ EF เช่น Working memory, Inhibit, Shift พบว่ากลุ่มคนที่มีค่า BMI อยู่ในเกณฑ์ภาวะน้าหนักเกินหรือโรคอ้วน จะมีค่าคะแนน Memory, Intelligence, และ Executive function (EF) ค่อนข้างต่าเมื่อเปรียบเทียบ กับกลุ่มคนน้าหนักปกติ (18) นอกจากดัชนีมวลกายแล้วยังมีการศึกษาความสัมพันธ์ของ Visceral adiposity กับ Cognitive performance โดยพบว่ากลุ่มคนท่ีมีค่า Visceral fat สูงผิดปกติมีแนวโน้มจะ มีความสามารถด้าน Verbal memory และ Attention ท่ีต่าลง (19) ส่วนการศึกษาเกี่ยวกับ Neuroimaging study จะพบว่ามีร่องรอยของ Brain atrophy ในส่วนของ frontal lobe, anterior cingulate gyrus, hippocampus และ thalamus ในกลุม่ คนที่มีภาวะน้าหนกั เกินและโรคอว้ น (19) 3.8 ผลกระทบต่อความผิดปกติของระบบต่างๆในร่างกาย เช่น Insulin/leptin resistance, Increased oxidative stress, Cerebrovascular changes, Reduced BBB integrity, Inflammation, Reduced neutrophil, Musculskeletal deficts และความผิดปกติของระบบต่างๆ เหล่าน้ีจะส่งผลทางลบต่อกระบวนการรู้คิด (Cognitive function) และพฤติกรรม (Behavior) ของ มนษุ ย์ ดังแสดงในภาพท่ี 2 (20)

17 ภาพท่ี 2: โรคอ้วนส่งผลต่อกระบวนการร้คู ิดและพฤตกิ รรม (20) 3.9 ผลกระทบต่อการรู้คิด ในปัจจุบันพบว่าเด็กท่ีมีภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนจะมีความบกพร่อง ของความสามารถในด้าน Executive function (EF), Attention, Mental rotation, Mathematics และ Reading achievement (6, 21) ส่วนในวัยรุ่นจะมีความบกพร่องของความสามารถในด้าน Executive function (EF) และ Attention เป็นส่วนใหญ่ (21) ส่วนการศึกษาเก่ียวกับ neuroimaging study ในเด็กที่มีภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนพบว่าโรคอ้วนและพฤติกรรมการกินมากเกินไปมีผลต่อ สมองในส่วน frontal lobe, anterior cingulate gyrus, hippocampus และ thalamus ซึ่งเป็นส่วน สมองของการรูค้ ิด การตัดสินใจ การควบคุมความอยาก การเรยี นรู้ ความจา และการมีสติ (22) จากขอ้ มูลทางวชิ าการจะเห็นได้ว่าภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนที่มีผลสุขภาวะในหลายๆด้านด้วยกัน ซ่ึงถ้ามองลึกลงไปในวยั เดก็ แลว้ จะพบว่าสามารถแบ่งออกเป็นใน 2 ดา้ นหลกั คอื ดา้ นสขุ ภาพและการรู้คิด ซ่ึงเป็นสิ่งสาคัญต่อพัฒนาการของเด็กให้เป็นไปตามวัยและมีศักยภาพเตรียมพร้อ มการเป็นผู้ใหญ่ท่ีมี คณุ ภาพในอนาคต การเตรียมพร้อมในด้านสุขภาพและด้านการรู้คิดในวัยเด็กจึงเป็นส่ิงสาคัญเพราะจะ นาไปสู่เด็กท่ีมีคุณภาพทั้งทางร่างกาย จิตใจ มีผลสัมฤทธ์ทางการเรียนท่ีดี ซ่ึงความสาเร็จด้านการเรียน ของเดก็ นัน้ ไม่ไดอ้ าศยั เพียงแค่มสี ขุ ภาพทีแ่ ขง็ แรงสมบรู ณ์ มีพัฒนาการด้านสติปัญญาท่ีดี แต่ยังต้องอาศัย ทักษะด้านอ่ืนๆร่วมด้วยและที่จาเป็นคือ ความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมอง ซึ่งในเด็กช่วงอายุ ระหวา่ ง 2-5 ปี ทักษะที่เป็นองค์ประกอบของการคิดเชิงบริหารของสมองจะประกอบด้วย 5 ด้านสาคัญ คือ 1. ความจาขณะทางาน (Working memory) คือความสามารถในการจดจาข้อมูลไว้ในใจชั่วคราวเพื่อ จดั การข้อมลู เหล่านนั้ ทงั้ ในด้านเหตผุ ลและความเข้าใจ ซ่งึ ต้องอาศัยท้ังความต้ังใจจดจ่อ (attention) การ จดั การข้อมลู (executive) และความจาระยะส้ัน (short term memory) รว่ มกัน

18 2. การวางแผนจัดการอย่างเป็นระบบ (planning/ organization) คือการวางแผนการดาเนินการอย่าง เป็นระบบเป็นขั้นตอนโดยคานึงถึงเป้าหมาย มีแนวทางในการทางานท่ีเหมาะสม มีการคาดการณ์ เหตุการณ์หรอื ผลกระทบทจ่ี ะเกดิ ข้นึ ในอนาคต 3. การยับย้ังตนเอง (Inhibit) คือสามารถหยดุ พฤติกรรมของตัวเอง หรือควบคุมพฤตกิ รรมให้แสดงออกใน ชว่ งเวลาท่เี หมาะสมหรือในบรบิ ทท่ีเหมาะสม 4. การควบคุมอารมณ์ (emotional control) คือ ความสามารถในการตอบสนองทางอารมณ์อย่าง เหมาะสมตามบริบทหรือตามสถานการณ์ขณะนั้น 5. การเปลี่ยนความคิดเมื่อเงื่อนไขเปล่ียนไป (Shift) คือความยืดหยุ่นทางความคิด (Cognitive Flexibility) ท่สี ามารถเปล่ียนความคิดไดอ้ ยา่ งอสิ ระเมอ่ื สถานการณ์ กิจกรรม หรือ ปัญหา ที่กาลังคิดอยู่ เปลย่ี นแปลงไป สว่ นในเดก็ ชว่ งอายุ 6-18 ปี จะมอี งคป์ ระกอบเพมิ่ มาอีก 2 องคป์ ระกอบคอื 1. การริเรม่ิ (Initiate) คอื ความสามารถในการเร่ิมต้นการทาสิ่งตา่ งๆด้วยตนเองโดยไม่ตอ้ งรอใหม้ คี นบอก 2. การติดตามตรวจสอบตนเอง (Self-monitoring) คือความสามารถในการติดตามและประเมินผลของ การกระทาและนาผลประเมินมาใชใ้ นการปรับปรงุ การทางานของตนเองใหด้ ขี ึน้ ดังนั้นการคิดเชิงบริหารของสมองจึงมีความสาคัญต่อการเรียนในชั้นอนุบาลและประถมวัย เน่ืองจากเปน็ ตวั บง่ บอกถึงความพร้อมในการเรยี นของเด็กได้มากกวา่ ระดบั สตปิ ัญญา (IQ) นอกจากน้ันยัง ส่งผลต่อการเรยี นรโู้ ดยเฉพาะอย่างยง่ิ ดา้ นคณิตศาสตร์และด้านการอ่านอีกด้วย จนเป็นท่ียอมรับกันในวง กว้างวา่ ผูท้ ม่ี ีกระบวนการคิดเชงิ บริหารดีจะมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน การทางาน ชีวิตคู่ อีกทั้งมีสุขภาพ กายและสุขภาพจิตท่ีดีด้วย ที่สาคัญก็คือ เด็กแต่ละคนมีระดับกระบวนการคิดเชิงบริหารของสมองมาก นอ้ ยแตกต่างกนั เดก็ ทมี่ ีกระบวนการคดิ เชงิ บรหิ ารในระดบั ดีจะมีความพรอ้ มและผลสัมฤทธ์ทางการเรียน ดีกว่า และจากการศึกษาในเด็กอายุ 3-11 ปีโดยควบคุมตัวแปรต่างๆ เช่น ระดับสติปัญญา เพศ และ สถานภาพ พบว่าเด็กท่มี ีทักษะด้านการควบคุมตนเองต่า เช่น ไม่มีสมาธิจดจ่อกับส่ิงใด และขาดความเอา ใจใส่ เมอ่ื เด็กเหล่านี้โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ในอีก 30 ปีข้างหน้าจะมีแนวโน้มสุขภาพด้อยกว่า ทางานที่มีรายได้ ตา่ กวา่ และมอี ัตราการก่ออาชญากรรมสูงกวา่ เด็กท่ีไม่มปี ัญหาดา้ นการควบคุมตนเอง การศึกษาวิจัยนจ้ี ึงสนใจท่จี ะศึกษาความสัมพันธ์ของภาวะโรคอ้วนและความสามารถการคิดเชิง บรหิ ารของสมองในเด็กวยั เรียน โดยผลลัพธจ์ ากงานวิจยั นี้จะทาให้หน่วยงานทางการศึกษาและหน่วยงาน ท่ีเก่ียวข้องตระหนักถึงการควบคุมภาวะโภชนาการเกิน (ภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วน) การส่งเสริม พฒั นาการด้านความสามารถการคิดเชิงบรหิ ารทีเ่ หมาะสมในเดก็ วัยเรียน อันจะมีส่วนช่วยพัฒนาเด็กและ เยาวชนไทย ให้เป็นพลเมอื งทีม่ ีคุณภาพ โดยโครงการวิจัยจึงมีแผนงานวิจัยท่ีต้องการศึกษานาร่องในกลุ่ม ตวั อย่างเด็กวัยเรียนของโรงเรียนในจังหวัดนครปฐม

19 บทที่ 3 วิธกี ารดาเนินการวิจัย กรอบแนวคดิ การวิจยั ข้อมูลยุทธศาสตร์ของการเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพต้นทุนมนุษย์ใน แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 12 (พ.ศ.2560-2564) ท่ีมี 4 เป้าหมายคือ 1) คนไทยทุกกลุ่มวัยมีทักษะและ ความรู้ความสามารถท่ีจะเป็นฐานในการพัฒนาประเทศ 2) คนไทยมีการเรียนรู้อย่างต่อเน่ืองตลอดชีวิต 3) คนไทยมีพฤติกรรมเส่ียงทางสุขภาพที่ลดลงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และ 4) คนไทยมีจิตสานึก พลเมอื งและมีคา่ นิยม ตามบรรทัดฐานท่ดี ีของสังคมไทย โดยจะเห็นได้ว่าเป้าหมายทั้ง 4 มีความเชื่อมโยง กนั ในการพฒั นาศกั ยภาพทรัพยากรมนษุ ย์ของประเทศไทยและมคี วามเก่ียวข้องกับการพฒั นาด้านสขุ ภาพ ทางกาย จิต สังคม และการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซ่ึงหากต้องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีศักยภาพใน อนาคตและสอดคลอ้ งกบั แผนยทุ ธศาสตร์ การให้ความสาคัญกับต่อการพัฒนามนุษย์ตั้งแต่ “วัยเด็ก” จึง เปน็ เปา้ หมายสาคญั ทคี่ มุ้ ค่าในการลงทุน เดก็ ทไ่ี ดร้ ับการดูแลและสง่ เสรมิ ใหม้ ีสขุ ภาพพลานามัยแขง็ แรง ร้จู กั ป้องกนั ตนเองจากโรค และส่ิง เสพติด ตามแนวนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข คือ ออกกาลังกาย อารมณ์ดี รับประทานอาหารที่มี ประโยชน์ รวมท้ังมีการเฝา้ ระวงั ภาวะโภชนาการและการออกกาลังกายของเด็กอย่างสม่าเสมอ จะส่งผล ให้เด็กมีพฒั นาการทางกายสมวัยและพร้อมรับการเรยี นรู้อยา่ งมีศักยภาพ และเมื่อกล่าวถึงการเรียนรู้ของ เด็กน้ัน นอกจากพัฒนาการด้านสติปัญญา (Intelligence quotient: IQ) ท่ีต้องให้ความสาคัญแล้ว ยัง ต้องมกี ารพฒั นาความสามารถในดา้ นอ่ืนๆร่วมด้วย โดยเฉพาะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมอง (Brain executive function: EF) ซ่ึงเป็นความสามารถในการควบคุมความคิดและการตัดสินใจที่ส่งผล ทาให้เกิดการกระทาส่ิงต่างๆได้สาเร็จตามเป้าหมาย อีกทั้งความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองมี ความสาคัญอย่างมากต่อความสาเร็จท้งั ในด้านการเรียนของเด็กและการทางานเม่ือเด็กเจริญเติบโตถึงวัย ทางาน ดังน้ันหากมีการพัฒนาความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองอย่างสมวัยจะส่งผลต่อการ พฒั นาของตัวเดก็ ที่จะเตบิ โตเป็นผ้ใู หญท่ ี่มีศักยภาพต่อไป การพัฒนาศักยภาพสมองในวัยเด็กนั้นจะต้องทาควบคู่ไปกับการส่งเสริมสุขภาพไปพร้อมกัน โดยเฉพาะการควบคุมภาวะโภชนาการ ซ่ึงปัจจุบันมีส่ิงที่สมควรให้ความสาคัญและเฝ้าระวังคือ การ รายงานของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่าเด็กที่มีน้าหนักเกินมาตรฐานต้ังแต่ในปฐมวัยจะมี โอกาสโตข้นึ เปน็ ผู้ใหญ่อ้วนถึงร้อยละ 25 และเด็กท่มี ีนา้ หนกั เกินมาตรฐานในชว่ งอายุ 6-10 ปี จะมีโอกาส เติบโตขึน้ เป็นผูใ้ หญ่อ้วนถึงรอ้ ยละ 50 นอกจากนั้นจากรายงานการวิจัยของหลายประเทศพบว่าเด็กท่ีมี ภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนหากไม่ได้รับการแก้ไข จะส่งผลต่อระบบสุขภาพองค์รวมและระดับ ความสามารถการคิดเชงิ บรหิ ารของสมองอีกดว้ ย โครงการวจิ ัยมแี นวคิดศกึ ษาความสัมพนั ธข์ องภาวะโรคอ้วนและความสามารถการคิดเชิงบริหาร ของสมองในเด็กวัยเรียน โดยผลลัพธ์จากงานวิจัยนี้จะทาให้หน่วยงานทางการศึกษาและหน่วยงานที่ เก่ียวข้องตระหนักถึงการควบคุมภาวะโภชนาการเกิน (ภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วน) การส่งเสริม พัฒนาการด้านความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองที่เหมาะสมในเด็กวัยเรียน อันจะมีส่วนช่วย

20 พัฒนาเด็กและเยาวชนไทย ใหเ้ ป็นพลเมอื งที่มคี ุณภาพ โดยโครงการวจิ ัยจงึ มแี ผนงานวิจัยที่ต้องการศึกษา นาร่องในกล่มุ ตวั อยา่ งเดก็ วัยเรียนของโรงเรยี นในจงั หวดั นครปฐม และมีแผนการวจิ ยั ดงั นี้ แผนการวจิ ยั ขน้ั ตอนท่ี 1 ศกึ ษาสถานการณ์และปัจจัยทีส่ ง่ ผลต่อภาวะนา้ หนักเกนิ และโรคอ้วนในเดก็ วยั เรียน จากเด็กนกั เรยี นเข้ารว่ มโครงการวจิ ัยและผ้ปู กครองยนิ ยอมเปน็ ลายลกั ษณ์อกั ษร  สารวจสถานการณ์ดา้ นข้อมลู ครอบครัว ข้อมูลสถานการณ์ด้านครอบครวั  สารวจสถานการณด์ ้านสุขภาพกายและ สุขภาพกาย ภาวะโภชนาการ และ ภาวะโภชนาการ พฤติกรรมการบรโิ ภค  สารวจพฤตกิ รรมการบรโิ ภค ปัจจยั ที่ส่งผลตอ่ ภาวะนา้ หนักเกนิ และ สถานการณ์ภาวะน้าหนักเกินและ โรคอว้ นในเดก็ วัยเรยี น โรคอ้วนในเดก็ วัยเรียน ขั้นตอนท่ี 2 ศกึ ษาความสามารถการคิดเชิงบรหิ ารของสมองในเด็กวยั เรียน จากเดก็ นักเรยี นเข้าร่วมโครงการวจิ ยั และผูป้ กครองยินยอมเป็นลายลักษณอ์ ักษร  สารวจสถานการณ์ความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมอง (EF) ข้อมลู สถานการณ์ดา้ น EF, IQ  สารวจสถานการณ์ความสามารถทางสตปิ ัญญา (IQ) และ EQ ในเด็กวัยเรยี น  สารวจสถานการณ์ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ)

21 ขนั้ ตอนที่ 3 ศึกษาความสมั พนั ธ์ของปจั จยั ท่ีส่งผลตอ่ ภาวะน้าหนกั เกนิ และโรคอ้วนกับความสามารถการคิด เชิงบริหารของสมองในเดก็ วยั เรยี น ปัจจยั ที่สง่ ผลตอ่ ภาวะนา้ หนกั ความสามารถในด้านต่างๆ เกนิ และโรคอ้วนในเดก็ วยั เรียน ความสามารถการคิดเชงิ บรหิ ารของสมอง  Working memory  Inhibit  Shift  Emotional control  Plan/ Organize ความสามารถทางสตปิ ัญญา (IQ) ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ขั้นตอนท่ี 4 ศึกษาแนวทางป้องกันภาวะนา้ หนกั เกนิ /โรคอ้วน และส่งเสริมความสามารถการคิดเชิงบริหาร ของสมองในเด็กวยั เรยี น รูปแบบการปอ้ งกนั การประเมนิ ภาวะนา้ หนักเกนิ /โรคอ้วน และ วีธกี ารส่งเสรมิ ความสามารถการคิดเชิงบรหิ ารของสมองในเดก็ วัยเรียน

22 1) การดาเนนิ งานวิจัยของวตั ถปุ ระสงค์ที่ 1 ศึกษาสถานการณแ์ ละปจั จยั ทส่ี ง่ ผลตอ่ ภาวะนา้ หนกั เกิน และโรคอว้ นในเดก็ วัยเรียน 1.1 วธิ ีการเก็บข้อมลู 1.1.1 ขอ้ มลู ปฐมภมู ิ กลุ่มตวั อยา่ งเดก็ วัยเรียน (อายุระหว่าง 6-12 ปี) เด็กวัยเรียน อายุ 6-12 ปี จานวนประมาณ 403 คน คัดเลือกจากเด็กนักเรียนท่ีกาลังศึกษาอยู่ในระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 1-6 ของโรงเรยี นท่ีเขา้ รว่ มโครงการวิจยั การศึกษาวิจัยทางด้านภาวะโรคอ้วนกับความสามารถการคิดเชิงบริหารของเด็กวัยเรียนใน ต่างประเทศนั้น จะเป็นการศึกษาใน 2 ลักษณะคือ cross sectional study หรือ longitudinal study และมีจานวนกลุม่ ตัวอย่างประมาณ 100-2,000 ราย ข้นึ กบั วัตถุประสงค์การวิจยั ซึ่งในประเทศไทย ยังไม่ มีการศึกษาวิจัยทางด้านภาวะโรคอ้วนกับความสามารถการคิดเชิงบริหารของเด็กวัยเรียน อีกท้ังจากผล การสารวจสถานการณโ์ รคอ้วนของเดก็ วยั เรียน (อายุ 6-13 ปี)ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ในปี พ.ศ. 2558 พบว่าเด็กวัยเรียนอายุ 6-13 ปี อ้วนเพ่ิมข้ึน 15.5% ดังนั้นจากข้อมูลดังกล่าวและการ ศึกษาวจิ ยั ครั้งน้ีเป็นการศกึ ษาแบบ cross sectional study จงึ ทาการศึกษาในประชากรตัวอย่างจานวน 403 คน ซง่ึ คาดวา่ จะมีขนาดกลุ่มตัวอยา่ งประชากรเดก็ วัยเรยี นที่มโี รคอ้วนประมาณ 60 คน (ร้อยละ 15) การคานวนประชากรตัวอยา่ งตามวธิ ีของ ยามาเน่ (Taro Yamane) n  N 1  Ne2 เม่อื n คือ ขนาดกลมุ่ ตัวอย่าง N คอื ขนาดประชากร e คือ คลาดคลาดเคล่อื นของกลุ่มตัวอย่าง เชน่ ระดับความเชื่อม่นั 90% สัดสว่ นความคลาดเคลื่อนเท่ากับ 0.10 ระดบั ความเช่อื ม่นั 95% สัดสว่ นความคลาดเคล่ือนเท่ากับ 0.05 ระดับความเช่อื มั่น99% สัดสว่ นความคลาดเคลื่อนเท่ากับ 0.01 วิธกี ารคานวน ขนาดประชากร (N) = 4,320 คน (นกั เรยี น: อายุ 6-13 ปี จากโรงเรยี นท่เี ข้ารว่ มโครงการวิจยั ) ระดบั ความเชอ่ื มนั่ 95% (e) = 0.05 ขนาดกลมุ่ ตวั อยา่ ง (n) = 366 คนn  1  4,320 2 4,320x0.05 รวม drop-out 10% (n) = 403 คน

23 1.1.2 เกณฑก์ ารคัดออกจากโครงการวิจัย คือ เด็กวัยเรียนที่เป็นโรคหรืออยู่ระหว่างการรักษา ใดๆ ก็ตามที่ไม่สามารถเข้าร่วมการวิจัยได้ ให้ยุติการวิจัย หรือเด็กวัยเรียนได้รับการประเมินไม่ครบถ้วน ตามกระบวนการวจิ ัย 1.1.3 เกณฑ์การถอนตัวของผู้เข้าร่วมโครงการวิจัย คือ ผู้ปกครองเด็กวัยเรียนยกเลิกการเข้า ร่วมโครงการวจิ ัย หรือเดก็ วัยเรียนได้รบั การประเมินไมค่ รบถว้ นตามกระบวนการวจิ ัย 1.1.4 เกณฑ์การคัดเลือกโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการวิจัย คือ โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการวิจัย คือ โรงเรียนที่เปดิ หลักสตู รระดบั ประถมศกึ ษาปีที่ 1-6 และมีความประสงคท์ เี่ ขา้ รว่ มโครงการวิจัยโดยตอบ รบั เป็นทางการ 1.2 เครื่องมอื 1.2.1 แบบสอบถามแบบสอบถามขอ้ มูลทว่ั ไป คือ แบบสอบถามข้อมูลพนื้ ฐานในดา้ น เพศ อายุ น้าหนกั สว่ นสูง ประวัติครอบครัว ผลสมั ฤทธ์ิการคกึ ษา ณ ปจั จุบัน (เกรดเฉลีย่ และเกรดรายวิชา) ของ เด็กและครอบครัว โดยใหบ้ ิดามารดาหรือผ้ปู กครองเป็นผ้กู รอกแบบสอบถาม 1.2.2 แบบประเมินความสามารถทางเชาวน์ปญั ญา โดยใชแ้ บบประเมินทางเชาวน์ปัญญาท่ีไม่ใช้ ภาษา (Test of Nonverbal Intelligence, Fourth Edition: TONI-4) โดยให้นักเรียนเด็กดูชุดรูปภาพ และเลือกคาตอบภาพที่หายไปว่าเป็นภาพใด ซ่ึงเด็กจะต้องใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์และหาเหตุผล TONI-4 เป็นเครอื่ งมอื ทีม่ ีลิขสทิ ธสิ์ ามารถจัดซอ้ื ได้ในการทาวิจัย (อายุผู้รับการประเมิน 6-60 ปี) และเด็ก วยั เรยี นใชเ้ วลาประมาณ 15-20 นาที ในการตอบแบบประเมนิ ผู้ประเมินคือ นกั วิจัยหรอื นกั จิตวิทยา 1.2.3 แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) โดยใช้แบบประเมินของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ซ่งึ เปน็ การวดั ความฉลาดทางอารมณ์ในการดาเนินชีวิตอย่างสร้างสรรค์และเป็นสุข ตลอดจนการร้ใู นการจัดการอารมณข์ องตนเองเพ่อื การพัฒนาศักยภาพตนเองในการดาเนินชีวิตของตนเอง และ ครอบครัว โดยท่ีครูประจาชนั้ (รจู้ กั และคุน้ เคยกบั นกั เรียนเป็นอย่างดีไม่น้อยกว่า 6 เดือน) จะเป็นผู้ ประเมิน EQ ของเด็กนักเรียน และใชเ้ วลาประมาณ 15-20 นาที 1.3 วธิ กี ารวเิ คราะห์ข้อมูล 1.3.1 การเก็บรวบรวมข้อมูล หลังจากได้รับการรับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยใน คน มหาวิทยาลัยมหดิ ลเป็นทีเ่ รียบร้อย โครงการวิจัยเข้าพบผู้อานวยการโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการวิจัย และประชุมร่วมกันเพื่อวางแผนการเก็บข้อมูลจากนักเรียนท่ีได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองเพื่อเข้าร่วม โครงการวิจัย โดยท่ีโครงการวิจัยนัดหมายกับคุณครูประจาชั้นเพ่ือทาการเก็บข้อมูลดังต่อไปน้ี ผลการ ตรวจสขุ ภาพประจาปี ( ณ ปจั จบุ ัน) ของนักเรียน โดยประกอบด้วยข้อมูลดังนี้ เพศ อายุ น้าหนัก ส่วนสูง ภาวะโภชนาการ และผลสัมฤทธกิ์ ารคกึ ษา ณ ปัจจุบัน (เกรดเฉล่ยี และเกรดรายวชิ า) 1.3.2 การสอบถามข้อมูลประวัติครอบครัวของนักเรียนและข้อมูลพฤติกรรมการบริโภคของ นักเรียน จะใช้แบบสอบถามผู้ปกครอง โดยทาการส่งแบบสอบถามไปที่ผู้ปกครองของนักเรียนแต่ละคน ซง่ึ ผ่านการประสานของคณุ ครปู ระจาช้ันและกาหนดเวลาสง่ คืนคณุ ครูประจาช้นั ตามท่กี าหนด

24 1.3.3 การวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามและแบบประเมินใช้การคานวนทางสถิติโดยใช้ โปรแกรม SPSS โดยท่ีข้อมูลจากแบบสอบถามและแบบประเมินจะถกู นามาจัดกลุ่มเป็นตัวแปรต้นและตัว แปรตามเพื่อวิเคราะห์ความสัมพนั ธ์ตวั แปรดงั น้ี ตัวเเปรต้น ได้แก่ ข้อมูลประวัติครอบครัวของนักเรียนและข้อมูลพฤติกรรมการบริโภคของ นกั เรียน ข้อมูลความสามารถทางเชาวนป์ ัญญา ขอ้ มลู ความฉลาดทางอารมณ์ ตัวแปรตาม ไดแ้ ก่ ภาวะนา้ หนกั เกินและโรคอว้ นในเด็กวัยเรยี น การวเิ คราะห์ทางสถติ ิทาการศกึ ษาความสมั พันธ์ของตัวแปรแบบเปน็ ฟังก์ช่นั โดยการวจิ ัยเลือกใช้ สมการถดถอยเชิงเส้นในรูปแบบต่างๆ เช่น Multiple Linear Regression, Logistic Regression หรือ Generalized linear model เช่น Multiple Linear Regression หรือ Logistic Regression 2) การดาเนนิ งานวจิ ัยของวตั ถุประสงค์ท่ี 2 เพอ่ื ศกึ ษาความสามารถการคดิ เชิงบริหารของสมองใน เด็กวัยเรยี น 2.1 วิธกี ารเก็บขอ้ มูล ข้อมูลการประเมนิ ความสามารถการคดิ เชงิ บรหิ ารของสมองของกลมุ่ ตัวอยา่ งเดก็ วัยเรียน อายุ 6- 12 ปี จานวนประมาณ 403 คน โดยประเมินจากเด็กนักเรียนที่กาลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษาปี ที่ 1-6 ของโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการวิจัย ผู้ประเมินคือ คุณครู (ครูประจาช้ันท่ีสอนเด็กนักเรียนอย่าง นอ้ ย 1 ภาคการศึกษา) 2.2 เคร่ืองมอื แบบประเมินความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองท่ีโครงการวิจัยเลือกใช้คือ แบบประเมิน Behavior Rating Inventory of Executve Function (BRIEF) ทาการวัดองค์ประกอบดังต่อไปนี้คือ ความจาขณะทางาน (Working memory) การยบั ยงั้ พฤติกรรม (Inhibit) การเปลยี่ นความคิดเมื่อเงื่อนไข เปลี่ยนไป (Shifting) การควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมของตนเอง (Emotional control) และการ วางแผนและการจัดการอย่างเป็นระบบ (Plan/Organize) โดยประเมินจากพฤติกรรมในชีวิตประจาวัน ในสภาพแวดล้อมจริง ซึ่งแบบประเมิน BRIEF เป็นเคร่ืองมือที่มีลิขสิทธ์ิสามารถจัดซ้ือได้ในการทาวิจัย (อายุผรู้ ับการประเมิน 5-18 ปี) ผูป้ ระเมินคอื ครู (ครูประจาช้ันท่ีสอนเดก็ อย่างน้อย 1 ภาคการศกึ ษา) 2.3 วธิ กี ารวิเคราะห์ขอ้ มลู 2.3.1วิเคราะห์ข้อมลู จากแบบประเมินความสามารถการคิดเชงิ บรหิ ารของสมอง โดยนาคะแนนท่ี ได้จากการประเมินโดยคุณครู (Raw score) มาแปลงเป็นคะแนนมาตรฐาน (T-score) และแปลผลโดย นักวิจยั หลังจากนั้นจึงเขา้ สู่การวิเคราะห์ทางสถิติโดยใช้โปรแกรม SPSS 2.3.2 การวิเคราะห์ทางสถติ ิเลือกใช้สถิติเชงิ พรรณาโดยรายงานสถานการณ์รอ้ ยละความสามารถ การคิดเชิงบริหารของสมองแบ่งเป็น ความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองดี ปกติ และ สมควรได้รับ การส่งเสรมิ อกี ท้ังการวิจยั รายงานรอ้ ยละความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองจาแนกตามกลุ่มภาวะ โภชนาการเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มปกติ กลุ่มผอม กลุ่มน้าหนักเกิน และกลุ่มโรคอ้วน ซ่ึงจะทราบถึงความ แตกตา่ งของคะแนนความสามารถการคดิ เชงิ บริหารของสมองในแต่ละกลุ่ม

25 3) การดาเนินงานวิจัยของวัตถุประสงค์ท่ี 3 เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยท่ีส่งผลต่อภาวะ น้าหนกั เกินและโรคอว้ นกับความสามารถการคิดเชิงบริหารในเดก็ วยั เรียน 3.1 วิธีการเกบ็ ขอ้ มลู ข้อมูลเด็กวัยเรียน ประวัติครอบครัว ขอ้ มลู ภาวะโภชนาการ ข้อมูลการประเมินความสามารถการ คิดเชิงบริหารของสมอง ข้อมูลความสามารถทางเชาวน์ปัญญา ข้อมูลความฉลาดทางอารมณ์ ท่ีได้จาก วัตถุประสงค์ข้อที่ 1-2 จะถูกนามาศึกษาความสัมพันธ์ของตัวแปร 3.2 เคร่ืองมือ การวเิ คราะห์ทางสถิติโดยใชโ้ ปรแกรม SPSS 3.3 วิธกี ารวเิ คราะห์ข้อมลู ตัวเเปรต้น ได้แก่ ข้อมูลประวัติครอบครัวของนักเรียนและข้อมูลพฤติกรรมการบริโภคของ นกั เรียน ข้อมูลความสามารถทางเชาวน์ปญั ญา ข้อมลู ความฉลาดทางอารมณ์ ตัวแปรตาม ไดแ้ ก่ ภาวะโภชนาการและความสามารถการคดิ เชงิ บริหารของสมองในเดก็ วัยเรียน การวเิ คราะห์ทางสถติ ทิ าการศึกษาความสมั พันธ์ของตัวแปรแบบเป็นฟังกช์ ่นั โดยการวจิ ัยเลือกใช้ สมการถดถอยเชิงเส้นในรูปแบบต่างๆ เช่น Multiple Linear Regression, Logistic Regression หรือ Generalized linear model เช่น Multiple Linear Regression, Logistic Regression หรือ Generalized linear model 4) การดาเนินงานวิจัยของวตั ถุประสงคท์ ่ี 4 เพอื่ ศึกษาแนวทางป้องกันภาวะน้าหนกั เกิน/โรคอว้ น และการส่งเสรมิ ความสามารถการคิดเชิงบริหารในเด็กวัยเรียน 4.1 ศกึ ษาแนวทางปอ้ งกันภาวะนา้ หนักเกนิ และโรคอ้วน: โปรแกรมการส่งเสริมพฤตกิ รรมการลด ความอ้วน (อ.ดร.สมคิด ปราบภยั คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) 4.1.1 วิธีการเก็บขอ้ มูล จดั กจิ กรรมการส่งเสรมิ พฤติกรรมการลดภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วน โดยใช้โปรแกรมส่งเสริม พฤติกรรมของ อาจารย์ ดร.สมคดิ ปราบภัย คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ การวิจัยครั้งน้ี เป็นวิจัยก่ึงทดลอง (quasi experimental research) แบบวัดก่อนหลังมีกลุ่มเปรียบเทียบ (pre-test- post-test control group design) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ เด็กที่มีภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนท่ีกาลัง ศึกษาอยู่ระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 4-6 จานวน 60 คน เข้าร่วมโปรแกรมครบตลอดระยะเวลาท่ี ทาการศึกษา จากน้ันทาการสุ่มตัวอย่างแบบง่ายด้วยการจับฉลากอีกครั้งเพ่ือแบ่ง 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม ทดลอง 30 คน กลมุ่ ควบคุม 30 คน กลุ่มทดลองได้เข้าร่วมกิจกรรมโปรแกรมการส่งเสริมพฤติกรรมการ ลดความอ้วนในเด็กทุกวันพุธ เวลา 8.00-9.00 ต้ังแต่ จานวน 4 ครั้ง รวมระยะเวลา 4 สัปดาห์ โดยกลุ่ม ตัวอย่างทั้ง 2 กลุ่ม ทาการตอบแบบสอบถามต่างๆในสัปดาห์แรกก่อนเริ่มโปรแกรม (pre-test) และ ภายหลงั เข้ารว่ มโปรแกรมครบ 1 เดือน (post-test)

26 4.1.2 เครื่องมือ การวิจัยเลือกวิธีการปรับทัศนคติและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองให้ห่างไกลจากโรคอ้วน โดยใช้โปรแกรมการส่งเสริมพฤติกรรมการลดภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนในเด็ก ประกอบด้วยการจัด กจิ กรรม 4 ครง้ั ดังน้ี คร้ังที่ 1 ช่ือ “กิจกรรมปฐมนิเทศกลุ่มเป้าหมาย” ระยะเวลา 60 นาที เพ่ือให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจถึง วตั ถปุ ระสงค์ของกิจกรรมและเข้าใจถึงการส่งเสริมพฤติกรรมการลดความอ้วนกิจกรรมใช้วิธีการบรรยาย ประกอบสื่อ เร่ืองสาเหตุ สถานการณ์ของโรคอ้วนในปัจจุบัน ผลกระทบและความรุนแรงที่จะส่งผลใน อนาคต คร้งั ท่ี 2 ชือ่ “กิจกรรมส่งเสรมิ เจตคติทด่ี ตี ่อพฤติกรรมการลดความอ้วน” ระยะเวลา 60 นาทีต่อคร้ัง เพ่ือ เพื่อสรา้ งเจตคตทิ ่ีดใี นพฤติกรรมการลดความอว้ น ประกอบดว้ ยกจิ กรรม ได้แก่ 1. การระดมสมองเรื่องความอ้วนส่งผลต่ออุปสรรคในชีวติ และส่งผลกระทบตอ่ รา่ งกายอย่างไร 2. การชมวีดทิ ัศน์ เกี่ยวกับมหัตภัยโรคอว้ น 4 เรอื่ ง 3. การเล่าประสบการณ์ โดยบุคคลตน้ แบบทป่ี ระสบความสาเรจ็ การลดความอ้วน 4. การกาหนดเปา้ หมายของพฤติกรรมการการลดความอ้วน “สร้างความต้ังใจ” ที่จะต้องทาให้ ไดเ้ หมอื นบคุ คลต้นแบบ คร้ังท่ี 3 ชอ่ื “กจิ กรรมการสง่ เสริมการคล้อยตามกลุ่มอ้างอิงต่อพฤติกรรมการลดความอ้วน” ระยะเวลา 60 นาที เพื่อพัฒนากลุ่มอ้างอิงในการช่วยให้คาแนะนา คาช้ีแจง หรือแรงบันดาลใจกับกลุ่มทดลอง ประกอบดว้ ยกจิ กรรม ไดแ้ ก่ 1. การวางแผนเลือกลุ่มอ้างอิงให้ตนเอง เป็นการเลือกบุคคลท่ีสร้างแรงบันดาลใจในการปฏิบัติ พฤตกิ รรมการลดนา้ หนัก 2. การบรรยายประกอบส่อื เร่ือง การให้คาแนะนาบทบาทหน้าที่ท่ีสาคัญของกลุ่มอ้างอิง รวมทั้ง ทักษะการกระตุ้นกลุ่มทดลองให้หลกี เลี่ยงพฤติกรรมทไี่ มเ่ หมาะสม คร้งั ที่ 4 ชอื่ “การรบั รคู้ วามสามารถในการควบคุมพฤติกรรม การลดความอ้วน” ระยะเวลา 60 นาทีต่อ คร้งั เพ่ือสร้างความเชือ่ มน่ั ในการควบคุมการบรโิ ภคอาหารและพฤตกิ รรมการออกกาลังกายประกอบด้วย กจิ กรรม ได้แก่ 1. การบรรยายประกอบส่อื เรอ่ื ง การแนะนาในการบริโภคอาหารจากคู่มือการลดความอ้วนตาม ตารางอาหารทีค่ วรกนิ 2. การบันทึกพฤติกรรมด้วยตนเอง (self report) เก่ียวกับการบริโภคอาหารจากเมนูให้เลือก รับประทาน โดยมีกติกาการให้คะแนนเมื่อรับประทานอาหารถูกต้องและเหมาะสมและการรับรางวัล ประจาสัปดาหใ์ นผู้ท่ีมีคะแนนสะสมมากทส่ี ดุ 4.1.3 วิธีการวเิ คราะห์ขอ้ มูล สถติ เิ ชิงพรรณนา (Descriptive statistics) ไดแ้ ก่ ร้อยละ เพอ่ื วเิ คราะห์ข้อมูลสว่ นบคุ คล ขอ้ มลู เพศ อายุ น้าหนัก ส่วนสงู ขอ้ มูลเกย่ี วกบั พฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารและการออกกาลงั กาย

27 สถติ ิเชิงอนมุ าน (Inferential statistics) เปรยี บเทยี บความแตกตา่ งของคะแนนเฉลยี่ ภายในกลมุ่ โดยใช้สถติ ิ paired t-test และเปรียบเทยี บความแตกตา่ งระหวา่ งกลุ่ม โดยใช้สถิติ independent t-test 4.2 ศึกษาการส่งเสริมความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองในเดก็ วยั เรยี น 4.2.1 วิธกี ารเก็บขอ้ มลู จัดกจิ กรรมการสง่ เสรมิ ความสามารถการคดิ เชงิ บรหิ ารของสมองในเด็กวัยเรียนช่วงอายุ 6-12 ปี ซ่ึงเด็กวัยนี้จะสามารถเล่นเกมส์ที่มีกฎกติกา หรือเงื่อนไขที่ซับซ้อนมากขึ้น ความท้าทายเป็นสิ่งที่สาคัญ มากในเดก็ วัยนี้ การเพ่ิมความท้าทายทีละเล็กทีละน้อย ไม่ง่ายจนไม่น่าสนใจ และไม่ยากจนทาไม่ได้ จะ เปน็ บนั ไดสาคญั ในการสรา้ งนสิ ยั การจัดการกับปญั หาและการทางานแบบมงุ่ เปา้ ไดเ้ ป็นได้เปน็ อย่างดี การวิจัยคร้ังนี้เป็นวิจัยก่ึงทดลอง (quasi experimental research) แบบวัดก่อนหลังใช้กลุ่ม เดียวกัน (pre-test-post-test design) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ เด็กวัยเรียนที่ที่กาลังศึกษาอยู่ระดับช้ัน ประถมศกึ ษาปีที่ 4-6 จานวน 30 คน เขา้ รว่ มกิจกรรมจานวน 1 ครงั้ 4.2.2 เครื่องมือ กิจกรรมส่งเสริมความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองในเด็กวัยเรียนช่วงอายุ 6-12 ปี มี หลากหลายวิธี โครงการวจิ ัยขอยกตัวอยา่ งดงั น้ี การเลน่ เกมสไ์ พแ่ ละเกมสก์ ระดาน เป็นการสง่ เสริมทกษั ะดา้ นการบรหิ ารดกั ารหลายด้าน ทั้งการ ควบคุมตนเองให้เล่นตามกฎ การปรบั เปลี่ยนพลิกแพลงตามสถานการณ์ การใช้ความจาระยะสั้นและการ สังเกต การใช้ความว่องไว การมีไหวพรบิ และการวางแผนการเลน่ เกมสก์ ระดานท่ีเหมาะสาหรับหรับเด็ก โต เชน่ โกะ หมากรกุ เป็นตน้ การเล่นหรือทาากิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหว ได้แก่การเล่นกีฬาทุกชนิด ซ่ึงต้องอาศัยความสนใจ จดจ่อ การตัดสินใจ และการควบคุมร่างกายให้เคล่ือนไหวช้าหรือเร็วตามแต่ละชนิดของกีฬา นอกจากนี้ กิจกรรมท่ีใช้สมาธิควบคู่ไปกบั การเคลื่อนไหวร่างกาย เชน่ โยคะ เทควันโด เป็นต้น ก็สามารถส่งเสริมการ ควบคมุ ตนเองได้เปน็ อยา่ งดี เกมสก์ ารเคลอ่ื นไหว เชน่ การรอ้ งเพลงเปน็ หมคู่ ณะ โดยมีการตบมือ ทาท่าทางที่ซับซ้อนมากขึ้น ที่ต้องอาศัยความจา การฝึกเลน่ เครื่องดนตรี การฝึกเตน้ และการฝึกรอ้ งเพลง เปน็ ต้น เกมส์ที่ส่งเสริมสมาธิ การใช้เหตุผล และการวางแผน เช่น เกมส์เขาวงกต ปริศนาอักษรไขว้ Sudoku เกมส์ 20 คาถามและเกมสร์ ูบคิ เป็นต้น การวิจัยเลือกใช้วิธีการประยุกต์แนวใหม่โดยออกแบบให้มีการฝึกฝนความสามารถการคิดเชิง บริหารของสมอง 5 ด้านสาคัญคือ ความจาขณะทางาน (Working memory) การยับยั้งพฤติกรรม (Inhibit) การเปลี่ยนความคิดเมื่อเง่ือนไขเปลี่ยนไป (Shifting) การควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมของ ตนเอง (Emotional control) และการวางแผนและการจัดการอย่างเป็นระบบ (Plan/Organize) ผ่าน การทากิจกรรม How to find your Gift? (จะหาของขวัญได้อย่างไร) ประกอบด้วยการทากิจกรรม ตอ่ เน่ืองดงั น้ี กจิ กรรมท่ี 1 ชอ่ื “จงเตรียมพรอ้ ม” ระยะเวลา 30 นาที มีจดุ ประสงค์ดังน้ี 1. เพ่อื ใหเ้ ด็กนกั เรียนรู้จกั กบั ครพู ่เี ล้ยี งของกจิ กรรม (ครพู ่เี ล้ยี งและนักเรยี นแนะนาตนเอง)

28 2. เพือ่ ใหเ้ ดก็ นักเรยี นทาความรู้จักซึ่งกนั และกนั ตลอดจนการอย่รู ่วมกันเป็นทมี เพ่อื ทางาน 3. เพื่อให้เด็กนักเรียนเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของกิจกรรม How to find your Gift? (จะหา ของขวญั ได้อยา่ งไร) กจิ กรรมท่ี 2 ช่อื “ร่วมคิดแบ่งปนั จดั สรรหนา้ ที่” ระยะเวลา 60 นาที โดยมีข้ันตอนดังน้ี 1. แบง่ กล่มุ เด็กนักเรียนเป็น 3 กลุ่ม (ประมาณกลุ่มละ 10 คน) และให้แต่ละกลุ่มเลือกว่าจะทา หนา้ ทอ่ี ะไรในการร่วมปฏิบัติการ How to find your Gift? (จะหาของขวัญได้อย่างไร) ซ่ึงถูกแบ่งเป็น 3 หนา้ ที่คือ กลุ่มวางแผน กลุ่มปฎบิ ัติการ และกลุม่ สงั เกต 2. เมื่อแบง่ เป็น 3 กล่มุ แล้ว ให้เวลากลุ่มละ 5 นาทีคิดระดมสมองค้นหาเหตุผลว่าทาไมเราเลือก จะทาหน้าท่ีน้ีและส่งตัวแทนกลุ่มในการนาเสนอให้เพื่อนๆ กลุ่มอ่ืนทราบ นอกจากนี้ให้เพื่อนกลุ่มอื่นท่ี ไมไ่ ด้ทาหน้าที่นนั้ แสดงความคดิ เหน็ วา่ ถ้าเป็นกลุ่มเราจะทาหน้าท่ีอ่ืนท่ีไม่ได้รับมอบหมายได้ดีหรือไม่ ทา อย่างไรจงึ จะดี 3. ครูพ่เี ลี้ยงอธบิ ายหน้าท่ขี องแตล่ ะกลุ่มดงั น้ี 3.1 กล่มุ วางแผน มีหนา้ ทส่ี รา้ งแผนที่เพื่อคน้ หาจ๊ิกซอร์แตล่ ะตวั ใหค้ รบ เพอื่ ให้ไดร้ ปู ภาพตาแหน่ง ทีซ่ ่อนของขวญั (สถานทท่ี ่นี ักเรยี นทุกคนรู้จัก) ทาโดยครูพี่เล้ียงพาเด็กนักเรียนกลุ่มวางแผนเดินสารวจ ตาแหน่งที่ซ่อนของเจิ๊กซอร์แต่ละตัว โดยให้เด็กนักเรียนทดลองหาตามตาแหน่งที่ซ่อนไว้ และเฉลย ตาแหนง่ ทีซ่ ่อนของจกิ๊ ซอร์แต่ละตัว หลงั จากน้ันใหก้ ลมุ่ วางแผนสรา้ งแผนที่ โดยเขียนเส้นทางการเดินทาง ค้นหาจก๊ิ ซอร์แตล่ ะตวั มีขอ้ แม้ว่า ห้ามเขียนคาอธบิ ายใดๆ ในแผนที่ หลังจากนน้ั ส่งมอบให้กลุ่มปฏิบัติการ โดยไม่มีการอธิบายใดๆ 3.2 กลุ่มปฏิบัติการ มีหน้าท่ีค้นหาจ๊ิกซอร์แต่ละตัวให้ครบ เพื่อให้ได้รูปภาพตาแหน่งที่ซ่อน ของขวญั ทาโดยครูพ่ีเลย้ี งให้เด็กนักเรียนทุกคนในกลุ่มสังเกตรูปแผนท่ีเป็นเวลา 1 นาที โดยห้ามพูดใดๆ หลังจากน้ันให้แบ่งกลุ่มย่อยเป็น 3 กลุ่ม และช่วยกันอธิบายทีละกลุ่มว่า จะมีวิธีค้นหาจิ๊กซอร์ให้ครบได้ อยา่ งไรภายในเวลาท่กี าหนด หลังจากนั้นครูพี่เลี้ยงให้เร่ิมค้นหาได้ โดยจับเวลาและติดตามการค้นหากับ กลมุ่ เด็กนักเรยี นด้วย โดยกาหนดเวลาคน้ หาภายใน 30 นาที 3.3 กล่มุ สงั เกต โดยทาการแบ่งกลุ่มสังเกตเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่สังเกตกลุ่มวางแผนและกลุ่มที่ สังเกตกลุ่มปฏบิ ตั ิการ ซ่งึ ทง้ั สองกล่มุ มใี บงานจากครพู ่ีเล้ียงว่าจะต้องสงั เกตอะไรบา้ งดงั น้ี 3.3.1 กลุม่ สงั เกตกลุ่มวางแผน ให้ลองคิดว่าถ้าเป็นเราท่ีจะต้องเขียนแผนท่ีเพื่อค้นหาจ๊ิกซอร์แต่ ละตวั ใหค้ รบ จะเขยี นแผนทีอ่ ธิบายใหเ้ ขา้ ใจง่าย ควรทาอย่างไร และใหเ้ ขยี นแผนท่อี อกมา 3.3.2 กล่มุ สงั เกตกลุ่มวางแผน ใหส้ งั เกตพฤติกรรมเพ่ือนกลุ่มวางแผนว่า พฤติกรรมใดเป็นสิ่งท่ีดี ควรปฏบิ ัติ และพฤติกรรมใดไมค่ วรทา โดยไม่ระบชุ อ่ื เพ่อื น 3.3.3 กลุ่มสังเกตกลมุ่ ปฏบิ ัตกิ าร ใหล้ องคิดว่าถ้าเป็นเราท่ีจะต้องเป็นกลุ่มค้นหาจ๊ิกซอร์แต่ละตัว ให้ครบในเวลาท่ีกาหนด กลุ่มเราจะวางแผนกันอย่างไรโดยใช้แผนท่ีจากกลุ่มวางแผน และนาเสนอให้ เพ่อื นๆ รบั ฟัง กอ่ นปิดกจิ กรรม 3.3.4 กลุ่มสงั เกตกลมุ่ ปฏิบตั กิ าร ให้สงั เกตพฤตกิ รรมเพ่อื นกลมุ่ ปฏิบัติการวา่ พฤติกรรมใดเป็นส่ิง ท่ดี คี วรปฏบิ ัติ และพฤติกรรมใดไมค่ วรทา โดยไม่ระบุช่อื เพือ่ น

29 กจิ กรรมท่ี 3 ชื่อ “ทาไมเราทาได้” ระยะเวลา 30 นาที โดยมีขั้นตอนดังน้ี พี่เลี้ยงให้เวลาแต่ละ กลุ่ม 5 นาที สรปุ ภารกิจทีไ่ ด้รบั มอบหมายว่าทาสาเรจ็ หรอื ไม่ และใหส้ ง่ ตวั แทนกลุ่มละ 2 คน มานาเสนอ ใหเ้ พอ่ื นๆ รับฟงั จากนนั้ ให้เด็กนักเรียนช่วยกันระดมสมองจุดแข็งของแต่ละกลุ่มคืออะไร และสิ่งใดของ แต่ละกลุ่มควรท่จี ะตอ้ งพฒั นาตอ่ ไป และท้ายสดุ ครูพี่เลย้ี งสรปุ ส่ิงท่ีนักเรียนได้เรียนรู้คืออะไร มีประโยชน์ ตอ่ ตัวนกั เรียนอย่างไร 4.2.3 วิธีการวเิ คราะห์ขอ้ มูล ใช้การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ โดยทา focus group ร่วมกับคุณครูประจาชั้นและทาการประเมิน ความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมอง 5 ด้านสาคัญคือ ความจาขณะทางาน (Working memory) การยับย้ังพฤติกรรม (Inhibit) การเปล่ียนความคิดเมื่อเง่ือนไขเปล่ียนไป (Shifting) การควบคุมอารมณ์ และพฤติกรรมของตนเอง (Emotional control) และการวางแผนและการจัดการอย่างเป็นระบบ (Plan/Organize) สาหรับเด็กนักเรียนทไี่ ด้รบั การสุ่มเขา้ รว่ มกจิ กรรม

30 บทท่ี 4 ผลการวิจยั การวิจัยครั้งนี้เป็นเชิงสารวจและมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาสถานการณ์และปัจจัยท่ีส่งผลต่อ ภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนอีกท้ังศึกษาความสามารถการคิดเชิงบริหารของของสมองในเด็กวัยเรียน นอกจากนี้การวิจัยศึกษาแนวทางป้องกันภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วน ตลอดจนการส่งเสริม ความสามารถการคิดเชิงบรหิ ารของสมองในเด็กวัยเรียน โดยมีรายละเอยี ดของผลการวิจัยดงั น้ี 1. สถานการณ์และปจั จยั ที่สง่ ผลต่อภาวะนา้ หนักเกนิ และโรคอ้วนในเด็กวัยเรยี น 1.1 ขอ้ มูลผปู้ กครองและประวตั ิครอบครัว กลุ่มตัวอย่างผู้ปกครองส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 75.0 เป็นเพศชาย ร้อยละ 25.0 โดย มากกวา่ คร่งึ (รอ้ ยละ 56.5) มอี ายุอย่รู ะหว่าง 41-50 ปี ซงึ่ ผูป้ กครองท่ีตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ร้อยละ 70.8 มีความสัมพันธ์กับเด็กเป็นมารดา และมีสถานภาพสมรสแบบอยู่ร่วมกัน ร้อยละ 77.1 ใน ขณะเดียวกนั ในปจั จบุ ันร้อยละ 74.5 เดก็ มกี ารอาศยั อย่รู ว่ มกับบดิ ามารดา ซ่ึงบิดาและมารดามีการศึกษา อยู่ในระดับมัทธยมศึกษาหรืออนุปริญญา ร้อยละ 37.4, 40.9 ตามลาดับ และส่วนใหญ่บิดาจะประกอบ อาชีพเป็นพนักงานบริษัทเอกชน ร้อยละ 29.7 ซ่ึงเกือบ 1 ใน 3 (ร้อยละ 30.8) มีรายได้เฉล่ียต่อเดือน เท่ากบั 10,001 – 20,000 บาท ในขณะทมี่ ารดาส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเป็นพนักงานบริษัทเอกชน ร้อย ละ 31.3 และ มรี ายไดเ้ ฉล่ียต่อเดือน เท่ากับ 10,001 – 20,000 บาท ร้อยละ 32.9 (รายละเอียดดังภาพ ท่ี 1-8)

ภาพที่ 1 ร้อยละของขอ้ มลู ผปู้ กครองจาแนกตามเพศ ภาพที่ 3 ร้อยละของขอ้ มูลผปู้ กครองจาแนกตามความสมั พันธก์ ับเดก็

31 ภาพท่ี 2 รอ้ ยละของข้อมลู ผปู้ กครองจาแนกตามชว่ งอายุ ภาพที่ 4 รอ้ ยละของขอ้ มูลผู้ปกครองจาแนกตามสถานภาพสมรส

ภาพที่ 5 ร้อยละของเดก็ ท่อี าศัยอยกู่ ับผู้ดูแล ภาพที่ 7 รอ้ ยละอาชพี ของบดิ าและมารดา

32 ภาพท่ี 6 รอ้ ยละระดบั การศกึ ษาของบดิ าและมารดา ภาพที่ 8 ร้อยละรายไดเ้ ฉลีย่ ตอ่ เดอื นของบิดาและมารดา

33 1.2 ข้อมลู ทัว่ ไปของเดก็ กล่มุ ตวั อย่างเดก็ ทัง้ สิน้ จานวน 428 คน เมือ่ พจิ ารณาระดบั โภชนาการค่า BMI และส่วนสงู แลว้ สามารถแบ่งออกเปน็ กลมุ่ เดก็ ผอม จานวน 33 คน (ร้อยละ 7.7 ) กลมุ่ เดก็ ปกติ จานวน 261 คน (ร้อยละ 60.9) กล่มุ เดก็ ภาวะนา้ หนักเกิน จานวน 60 คน (ร้อยละ 14.1 ) และ กลุม่ เดก็ อว้ น จานวน 74 คน (รอ้ ย ละ 17.3 ) (ภาพท่ี 9) ภาพท่ี 9 ร้อยละระดับภาวะโภชนาการของเดก็ จากการสารวจ พบว่า เดก็ สว่ นใหญเ่ ปน็ เพศชายและเพศหญิงใกล้เคียงกนั โดยเป็นเพศชายรอ้ ย ละ 49.5 และเปน็ เพศหญิงรอ้ ยละ 50.5 ซง่ึ ส่วนใหญร่ ้อยละ 60.5 (ภาพท่ี 10) มเี กรดเฉลย่ี สะสมอยใู่ น ระดับ 3.50 - 4.00 แตเ่ ม่อื จาแนกตามเพศพบว่าเดก็ เพศหญิงมเี กรดเฉลีย่ สะสมอยู่ในระดับ 3.50 – 4.00 สงู กว่าเด็กเพศชายอยู่ ร้อยละ 13.3 (ภาพท่ี 11) ครึ่งหนงึ่ มพี น่ี ้องทัง้ หมด จานวน 2 คน รอ้ ยละ 50.2 (ภาพท่ี 12) ไมม่ โี รคประจาตวั รอ้ ยละ 74.5 (ภาพที่ 13) กิจกรรมยามว่างสว่ นใหญ่ คือ เลน่ เกมส์ คอมพวิ เตอร์/ไอแพท/ แทปเลต ร้อยละ 27.7 รองลงมา คอื เลน่ กบั เพือ่ น รอ้ ยละ 14.6 แต่ในทางตรงกนั ข้าม พบว่า เด็กมกี ารเลน่ ดนตรีเป็นกิจกรรมยามว่างเพียง ร้อยละ 2.3 (ภาพที่ 14) ซึ่งเดก็ ส่วนใหญ่จะได้ รับประทานอาหารทกุ วันรอ้ ยละ 78.7 (ภาพที่ 15) ออกกาลงั กาย 2-3 วันตอ่ สัปดาห์รอ้ ยละ 74.3 (ภาพท่ี 16) อาหารวา่ ท่ีเด็กสว่ นใหญ่ชอบรับประทาน คือ อาหารทอด เชน่ ไก่ทอด เฟรนฟายด์ และขนมกรุบ กรอบ รอ้ ยละ 43.1 (ภาพที่ 17) และในชว่ งเวลาเปดิ เทอมเด็กสว่ นใหญจ่ ะเข้านอนในช่วงระยะเวลา 20.01 – 21.00 รอ้ ยละ 56.1 แตใ่ นชว่ งเวลาปดิ เทอม เด็กส่วนใหญจ่ ะเข้านอนในช่วงเวลา 21.01-22.00 รอ้ ยละ 49.1 (ภาพที่ 18)

34 ภาพท่ี 10 จานวนร้อยละเพศเดก็ นักเรยี น ภาพที่ 11 รอ้ ยละเกรดเฉล่ยี ตามเพศ ภาพที่ 12 รอ้ ยละของจานวนพน่ี อ้ ง ภาพท่ี 13 ร้อยละของโรคประจาตวั ภาพที่ 14 รอ้ ยละของกิจกรรมยามวา่ ง

35 ภาพที่ 15 ร้อยละของการรบั ประทานอาหาร ภาพท่ี 16 รอ้ ยละของการออกกาลงั กาย ภาพท่ี 17 ร้อยละของอาหารว่างทเี่ ดก็ ชอบรับประทาน ภาพที่ 18 ร้อยละของเวลาเข้านอนจาแนกตามปิด เทอมและเปิดเทอม

36 1.3 ปัจจัยพฤติกรรมการบริโภคอาหารของเด็กที่สง่ ผลต่อภาวะนา้ หนกั เกินและโรคอว้ นในเดก็ วยั เรยี น ตารางที่ 1 ความสัมพันธ์ระหว่างระดับพฤติกรรมการบริโภคอาหารท่ีเหมาะสมของเด็กกับระดับภาวะ โภชนาการ χ2 p-value ปัจจยั จานวน (ร้อยละ) พฤตกิ รรม ผอม ปกติ ภาวะนา้ หนกั อว้ น การบริโภค (n=33) (n=261) เกิน (n=60) (n=74) อาหารของ เด็ก 1. กนิ อาหารเชา้ ทม่ี ีกลุ่มอาหารอยา่ งน้อย 2 กลุม่ คอื กลมุ่ ข้าว-แป้งและเนื้อสัตว์ หรอื กลมุ่ ขา้ ว – แปง้ และ นม ทกุ วัน ปฏิบตั ิ 26(78.8%) 221(84.7%) 50 (83.3%) 60 (81.1%) 1.101 0.777 ไม่ปฏิบัติ 7 (21.2%) 40 (15.3%) 10 (16.7%) 14 (18.9%) 2. กินอาหารหลกั วนั ละ 3 มือ (เชา้ กลางวัน เยน็ ) ทกุ วัน ปฏิบตั ิ 25 (75.8%) 215(82.4%) 42 (70.0%) 54(73.0%) 6.379 0.095 ไมป่ ฏิบัติ 8 (24.2%) 46 (17.6%) 18 (30.0%) 20(27.0%) 3. กนิ อาหารวา่ งวันละ 2 ครง้ั (ชว่ งสายและชว่ งบ่าย) ทุกวัน ปฏบิ ตั ิ 12 (36.4%) 171(65.5%) 28 (46.7%) 51 (68.9%) 8.070* 0.033 ไมป่ ฏบิ ัติ 21(63.6%) 90 (34.5%) 32 (53.3%) 23 (31.1%) 4. กนิ อาหารกลมุ่ ข้าว-แป้ง วนั ละ 8 ทัพพี ทุกวนั ปฏบิ ัติ 26 (78.8%) 188(72.0%) 46 (76.7%) 49 (66.2%) 2.634 0.452 ไมป่ ฏิบัติ 7 (21.2%) 73 (28.0%) 14 (23.3%) 25 (33.8%) 5.กนิ อาหารกลมุ่ ผกั วนั ละ 4 ทพั พี ทุกวัน ปฏิบัติ 7 (21.2%) 48 (18.4%) 9 (15.0%) 14 (18.9%) 0.645 0.886 ไมป่ ฏิบัติ 26 (78.8%) 213(81.6%) 51(85.0%) 60(81.1%) 6.กินอาหารกลุม่ ผลไม้ วนั ละ 3 สว่ น ทกุ วนั ปฏบิ ัติ 12 (36.4%) 69 (26.4%) 22(36.7%) 26 (35.1%) 4.398 0.222 ไม่ปฏิบตั ิ 21(63.6%) 192(73.6%) 38 (63.3%) 48 (64.9%) 7.กนิ อาหารกลุม่ เนอื้ สตั ว์ วันละ 6 ชอ้ นกินขา้ ว ทุกวนั ปฏิบตั ิ 22 (66.7%) 175(67.0%) 39 (65.0%) 43 (58.1) 2.066 0.559 ไมป่ ฏบิ ตั ิ 11(33.3%) 86 (33.0%) 21(35.0%) 31(41.9%) * มนี ัยสาคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดบั 0.05

37 ตารางที่ 1 ความสัมพันธ์ระหว่างระดับพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่เหมาะสมของเด็กกับระดับภาวะ โภชนาการ (ต่อ) χ2 p-value ปัจจัย จานวน (รอ้ ยละ) พฤติกรรม ผอม ปกติ ภาวะน้าหนกั อว้ น การบรโิ ภค (n=33) (n=261) เกนิ (n=60) (n=74) อาหารของ เด็ก 8. ดมื่ นม ปฏบิ ตั ิ 17(51.5%) 134(51.3%) 35(58.3%) 32(43.2%) 3.088 0.378 ไม่ปฏิบัติ 16 (48.5%) 127(48.7%) 25(41.7%) 42(56.8%) 6.709 0.082 9. กินปลา สัปดาห์ละอย่างนอ้ ย 3 วัน ปฏบิ ัติ 20(60.6%) 138(52.9%) 31(51.7%) 28(37.8%) ไมป่ ฏบิ ัติ 13(39.4%) 123(47.1%) 29(48.3%) 46(62.2%) 10.กินไข่ สปั ดาห์ละ 3-7 วัน ๆ ละ 1 ฟอง ปฏบิ ัติ 21(63.6%) 177(67.8%) 33(55.0%) 45(60.8%) 4.068 0.254 ไม่ปฏิบตั ิ 12(36.4%) 84(32.2%) 27(45.0%) 29(39.2%) 11.กนิ อาหารทีเ่ ปน็ แหลง่ ธาตุเหลก็ เช่น ตบั เลือด เป็นต้น สปั ดาห์ละ 1-2 วัน ปฏบิ ัติ 10 (30.3%) 79(30.3%) 23(38.3%) 14(18.9%) 6.326 0.097 ไมป่ ฏบิ ตั ิ 23(69.7%) 182(69.7%) 37(61.7%) 60(81.1%) 12. กินอาหารประเภทผัด ทอด และกะทิ ปฏบิ ัติ 14 (42.4%) 115(44.1%) 34(56.7%) 38(51.4%) 3.996 0.262 ไม่ปฏิบตั ิ 19(57.6%) 146(55.9%) 26(43.3%) 36(48.6%) 0.263 13. ไม่กนิ เนอ้ื สัตว์ติดมนั เช่น หมูสามชั้น ขาหมู คอหมู หนังไก่ หนังเป็ด เป็นตน้ ปฏบิ ัติ 8(24.2%) 100(38.3%) 27(45.0%) 27(36.5%) 3.984 ไมป่ ฏบิ ัติ 25(75.8%) 161(61.7%) 33(55.0%) 47(63.5%) 14.ไม่กินขนมทีม่ รี สหวาน เชน่ ไอตมิ หวานเยน็ ช็อคโกแล็ต หมากฝรั่ง ลูกอม เยลลี่ เป็นตน้ ปฏิบัติ 8(24.2%) 59(22.6%) 12(20.0%) 19(25.7%) 0.655 0.884 ไมป่ ฏบิ ตั ิ 25(75.8%) 202(77.4%) 48(80.0%) 55(74.3%) 15.ไม่ดื่มเครอ่ื งดืม่ ทีม่ รี สหวาน เชน่ น้าอัดลม น้าหวาน โกโก้เยน็ ชาเยน็ นา้ ปน่ั นา้ ผลไม้ นมเปร้ียว เปน็ ต้น ปฏบิ ตั ิ 26(78.8%) 107(41.0%) 11(18.3%) 8(10.8%) 32.229* 0.00 ไมป่ ฏบิ ตั ิ 7(21.2%) 154(59.0%) 49(81.7%) 66(89.2%) * มีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดบั 0.05

38 ตารางท่ี 1 ความสัมพันธ์ระหว่างระดับพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่เหมาะสมของเด็กกับระดับภาวะ โภชนาการ (ต่อ) ปัจจยั จานวน (รอ้ ยละ) χ2 p-value พฤติกรรม ผอม ปกติ ภาวะน้าหนัก อ้วน การบรโิ ภค (n=33) (n=261) เกนิ (n=60) (n=74) อาหารของ เด็ก 16. ไมก่ ินขนมเบเกอรี่ เช่น เค้ก พาย โดนัท เปน็ ตน้ ปฏบิ ัติ 23(69.7%) 109(41.8%) 14(23.3%) 16(21.6%) 15.009* 0.002 ไม่ปฏบิ ัติ 10(30.3%) 152(58.2%) 46(76.7%) 58(78.4%) 17. ไมก่ ินขนมขบเคี้ยว เช่น ปลาเสน้ ปรงุ รส มนั ฝรงั่ ทอด ขนมปัง เปน็ ต้น ปฏิบัติ 28 (84.8%) 55(21.1%) 12(20.0%) 16(21.6%) 0.696 0.874 ไม่ปฏบิ ตั ิ 5(15.2%) 206(78.9%) 48(80.0%) 58(78.4%) 18.ไมเ่ ตมิ เครื่องปรงุ รสเคม็ เช่น นา้ ปลา ซี้อ๊วิ แม็กกี้ ในอาหารทป่ี รุงสุกแลว้ ทุกครัง้ ปฏิบตั ิ 11(33.3%) 117(44.8%) 19(31.7%) 28(37.8%) 9.558 0.145 ไม่ปฏิบัติ 22(66.7%) 144(55.2%) 41(68.3%) 45(61.2%) 19. ไมเ่ ติมนา้ ตาลในอาหารทีป่ รงุ สุกแล้ว ปฏบิ ัติ 14(42.4%) 138(52.9%) 34(56.7%) 34(45.9%) 7.427 0.283 ไม่ปฏบิ ัติ 19(57.6%) 123(47.1%) 26(43.3%) 39(52.7%) * มีนัยสาคญั ทางสถติ ิทีร่ ะดับ 0.05 จากตารางที่ 1 พบว่าพฤติกรรมการกินอาหารว่างวันละ 2 คร้ัง (ช่วงสายและช่วงบ่าย) ทุกวันมี ความสมั พันธ์เชิงลบกบั ภาวะโภชนาการอย่างมนี ยั สาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 โดยเมื่อจาแนกตามระดับ ภาวะโภชนาการพบวา่ เด็กกล่มุ อ้วนรอ้ ยละ 78.4 มีพฤติกรรมการกินขนมเบเกอรี่ เช่น เค้ก พาย โดนัท เด็กกลุ่มอว้ นร้อยละ 89.2 พฤติกรรมด่ืมเคร่ืองด่ืมที่มีรสหวาน เช่น น้าอัดลม น้าหวาน โกโก้เย็น ชาเย็น นา้ ป่ัน นา้ ผลไม้ นมเปร้ียว เป็นตน้ และ เด็กกล่มุ อ้วนรอ้ ยละ 68.9 กินอาหารวา่ งวันละ 2 ครั้ง (ช่วงสาย และชว่ งบา่ ย) ทกุ วนั

39 2. ความสามารถการคิดเชิงบรหิ ารของสมองในเด็กวัยเรียน ตารางท่ี 2 คะแนนเฉล่ีย ค่าสูงสุด ต่าสุด ของระดับความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองในเด็กวัย เรยี น ในแต่ละดา้ น (n=428) ระดบั ความสามารถการคดิ เชงิ บริหาร Mean Max Min แปลผล ของสมอง (T-score) (T-score) (T-score) Mean (T-score) ในเดก็ วยั เรียน 57.52 120 44 ปกติ 1.ด้าน Inhibit 2.ด้าน Shift 59.73 126 44 ปกติ 3.ดา้ น Emotional Control 57.53 117 43 ปกติ 4.ด้าน Behavioral Regulation Index 58.25 130 43 ปกติ (BRI) 56.75 95 42 ปกติ 5.ด้าน Initiate 6.ด้าน Working Memory 60.39 113 43 ควรไดร้ ับการสง่ เสริม 7.ดา้ น Plan/Organize 61.07 104 43 ควรไดร้ ับการส่งเสรมิ 8.ด้าน Organization of Materials 61.78 136 43 ควรได้รับการส่งเสรมิ 9.ดา้ น Monitor 60.38 117 39 ควรไดร้ ับการสง่ เสรมิ 10.ดา้ น Metacognition Index (MI) 60.34 114 42 ควรได้รบั การสง่ เสรมิ 11.ดา้ น Global Executive 60.36 126 42 ควรได้รบั การสง่ เสรมิ Composite: GEC (BRI+MI) หมายเหตุ คะแนน T-score ต่ากว่า 40 หมายถึง EF ดี , คะแนน T-score 40-60 หมายถึง EF ปกติ , คะแนน T-score มากกว่า 60 หมายถงึ ควรได้รบั การสง่ เสรมิ จากตารางที่ 2 และภาพท่ี 19 พบว่าเม่ือทาการตรวจประเมินระดับความสามารถการคิดเชิง บริหารของสมองในกลุ่มตัวอย่างเด็กวัยเรียนจานวน 428 คน พบว่ามีคะแนนเฉลี่ยขององค์ประกอบ ความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน Inhibit, Shift, Emotional control, Behavioral Regulation Index (BRI) และ Initiate อยู่ในเกณฑป์ กติ ส่วนองค์ประกอบความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน Working Memory, Plan/Organize, Organization of Materials, Monitor, Metacognition Index (MI), Global Executive Composite (GEC) อยู่ในเกณฑ์ควรไดร้ ับการสง่ เสริม

40 หมายเหตุ 1.ด้าน Inhibit , 2.ด้าน Shift , 3.ดา้ น Emotional Control , 4.ดา้ น Behavioral Regulation Index (BRI) , 5.ดา้ น Initiate , 6.ด้าน Working Memory , 7.ดา้ น Plan/Organize , 8.ด้าน Organization of Materials , 9.ด้าน Monitor , 10.ดา้ น Metacognition Index (MI) และ 11.ดา้ น Global Executive Composite: GEC (BRI+MI) ภาพที่ 19 ผลการเปรียบเทียบ คะแนนเฉล่ีย คา่ สูงสุด ต่าสดุ ของระดับความสามารถการคดิ เชิงบริหาร ของสมองในเดก็ วัยเรียน ในแตล่ ะด้าน (n=428)

41 ตารางที่ 3 ผลการเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ย ระดับความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองในเด็กวัย เรยี น ในแตล่ ะดา้ น จาแนกตามเพศ ระดับความสามารถการคิดเชิงบริหารใน คะแนน T-score เฉล่ยี สถิติทดสอบ เดก็ วยั เรยี น หญิง ชาย (Mean difference) T-test P-value 1.ดา้ น Inhibit 56.00 59.07 2.209* 0.028 57.63 61.87 2.796* 0.005 2.ด้าน Shift 54.82 60.28 4.033* 0.000 3.ดา้ น Emotional Control 56.78 2.045* 0.041 54.52 59.75 4.ดา้ น Behavioral Regulation Index 58.44 59.02 3.906* 0.000 (BRI) 59.25 62.38 2.720* 0.007 5.ด้าน Initiate 59.85 62.92 2.696* 0.007 58.28 63.74 2.144* 0.033 6.ดา้ น Working Memory 59.31 62.51 2.801* 0.005 7.ดา้ น Plan/Organize 61.39 1.430 0.153 59.11 8.ดา้ น Organization of Materials 1.695 0.091 61.65 9.ด้าน Monitor 10.ดา้ น Metacognition Index (MI) 11.ดา้ น Global Executive Composite: GEC * P-value < 0.05

42 หมายเหตุ 1.ด้าน Inhibit , 2.ด้าน Shift , 3.ด้าน Emotional Control , 4.ด้าน Behavioral Regulation Index (BRI) , 5.ด้าน Initiate , 6.ด้าน Working Memory , 7.ด้าน Plan/Organize , 8. ด้าน Organization of Materials , 9.ด้าน Monitor , 10.ด้าน Metacognition Index (MI) และ 11. ด้าน Global Executive Composite: GEC (BRI+MI) ภาพท่ี 20 ผลการเปรียบเทยี บ คะแนนเฉลีย่ ของระดบั ความสามารถการคดิ เชงิ บรหิ ารของสมองใน เด็กวยั เรียน ในแต่ละด้าน จาแนกตามเพศ (n=428) เมอ่ื พจิ ารณาคะแนนเฉล่ยี ของระดับความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองในเด็กวัยเรียน ใน แต่ละด้าน จาแนกตามเพศ ในภาพที่ 20 และตาราง ท่ี 3 พบว่าเด็กนักเรียนเพศหญิงมีระดับ ความสามารถการคิดเชิงบริหาร ของสมองในองค์ประกอบด้าน Inhibit, Shift, Emotional Control, Behavioral Regulation Index (BRI), Initiate, Working Memory, Plan/Organize, Organization of Materials และ Monitor แตกตา่ งจากเพศชายอย่างมนี ัยสาคัญทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั 0.05 ซ่ึงเม่ือวิเคราะห์ ตามเกณฑก์ ารแปลผลจะพบว่าเดก็ นกั เรียนเพศหญิงมีระดับความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองใน แต่ละด้านดีกว่าเดก็ นักเรยี นเพศชาย

ตารางท่ี 4 จานวน และ รอ้ ยละ ของระดบั ความสามารถการคดิ เชงิ บรหิ ารของส ชาย (n=212) ความสามารถการคิดเชงิ บริหารใน ผอม ปกติ ภาวะนา้ ห เดก็ วัยเรียน (n=15) (n=127) เกนิ 1.ด้าน Inhibit 8 (n=30 ปกติ (53.3%) 75 16 ควรได้รับการสง่ เสรมิ 7 (59.1%) (53.3% (46.7%) 2.ดา้ น Shift 52 14 ปกติ 6 (40.9%) (46.7% (40.0%) ควรได้รบั การส่งเสรมิ 72 13 9 (56.7%) (43.3% 3.ดา้ น Emotional Control (60.0%) ปกติ 55 17 8 (43.3%) (56.7% ควรได้รับการส่งเสรมิ (53.3%) 74 19 7 (58.3%) (63.3% (46.7%) 53 11 (41.7%) (36.7%

43 สมองในเดก็ วยั เรียน จาแนกตามเพศ และระดับภาวะโภชนาการ หนกั อ้วน ผอม หญิง (n=216) อ้วน (n=40) (n=18) (n=34) ปกติ ภาวะ 0) (n=134) น้าหนกั เกิน (n=30) 20 16 95 23 20 %) (50.0%) (88.9%) (70.9%) (76.7%) (58.8%) 20 2 39 7 14 %) (50.0%) (11.1%) (29.1%) (23.3%) (41.2%) 23 17 88 21 19 %) (57.5%) (94.4%) (65.7%) (70.0%) (55.9%) 17 1 46 9 15 %) (42.5%) (5.6%) (34.3%) (30.0%) (44.1%) 21 17 104 22 23 %) (52.5%) (94.4%) 77.6%) (73.3%) (67.6%) 19 1 30 8 11 %) (47.5%) (5.6%) (22.4%) (26.7%) (32.4%)

1. ตารางที่ 4 จานวน และ ร้อยละ ของระดับความสามารถการคดิ เชงิ บรหิ ารข ชาย (n=212) ความสามารถการคิดเชิงบริหารใน ผอม ปกติ ภาวะนา้ ห เดก็ วัยเรียน (n=15) (n=127) เกนิ (n=30) 4.ด้าน Behavioral Regulation Index (BRI) ปกติ 7 73 18 (57.5%) (60.0% (46.7%) 54 12 ควรได้รับการส่งเสริม 8 (42.5%) (40.0% (53.3%) 5.ด้าน Initiate ปกติ 10 75 16 ควรได้รบั การส่งเสรมิ (66.7%) (59.1%) (53.3% 6. ดา้ น Working Memory 5 52 14 (33.3%) (40.9%) (46.7% ปกติ 7 60 10 ควรได้รับการสง่ เสรมิ (46.7%) (47.2%) (33.3% 8 67 20 (53.3%) (52.8%) (66.7%

44 ของสมองในเด็กวัยเรยี น จาแนกตามเพศ และระดับภาวะโภชนาการ (ตอ่ ) หนกั อว้ น ผอม หญงิ (n=216) อว้ น (n=40) (n=18) (n=34) ปกติ ภาวะ ) (n=134) นา้ หนกั เกนิ (n=30) 21 17 95 21 21 %) (52.5%) (94.4%) (70.9%) (70.0%) (61.8%) 19 1 39 9 13 %) (47.5%) (5.6%) (29.1%) (30.0%) (38.2%) 21 16 87 21 18 %) (52.5%) (88.9%) (64.9%) (70.0%) (52.9%) 19 2 47 9 16 %) (47.5%) (11.1%) (35.1%) (30.0%) (47.1%) 18 16 79 19 17 %) (45.0%) (88.9%) (59.0%) (63.3%) (50.0%) 22 2 55 11 17 %) (55.0%) (11.1%) (41.0%) (36.7%) (50.0%)

ตารางที่ 4 จานวน และ ร้อยละ ของระดบั ความสามารถการคดิ เชิงบรหิ ารของส ชาย (n=212) ความสามารถการคิดเชงิ บริหารใน ผอม ปกติ ภาวะนา้ ห เด็กวัยเรียน (n=15) (n=127) เกิน 7.ด้าน Plan/Organize 8 (n=30) ปกติ (53.3%) 55 9 ควรไดร้ ับการส่งเสรมิ 7 (43.3%) (30.0% (46.7%) 8.ดา้ น Organization of Materials 72 21 ปกติ 6 (56.7%) (70.0% (40.0%) ควรไดร้ ับการสง่ เสรมิ 65 11 9 (51.2%) (36.7% 9.ด้าน Monitor (60.0%) ดี 62 19 0 (0.0%) (48.8%) (63.3% 0 (0.0%) 0 (0.0 ปกติ 7 58 11 ควรได้รบั การส่งเสริม (46.7%) (45.7%) (36.7% 8 69 19 (53.3%) (54.3%) (63.3%