46 4. การประเมนิ ความสามารถด้านดนตรี วิธกี ารประเมิน แบบทดสอบมสี องส่วนคอื แบบทดสอบด้านระดบั เสียง (tonal test) และ แบบทดสอบด้านจังหวะ (rhythm test) โดยในแต่ละด้านจะมีจานวน 40 ข้อ ใชเ้ วลาประมาณ 20 นาทตี อ่ แบบทดสอบ ในแตล่ ะข้อจะมีรูปแบบ ให้ฟัง 2 ส่วน ให้ผทู้ าแบบทดสอบฟังและระบุวา่ ทัง้ 2 ส่วนนั้น “เหมือน” หรอื “ต่าง” แบบทดสอบดา้ นระดบั เสยี ง และ แบบทดสอบด้านจังหวะ สามารถทดสอบคนละวันกันได้ ไม่จาเป็นต้อง ทดสอบในวัน เดียวกัน แนะนาให้ทดสอบแบบทดสอบด้านระดับเสียงก่อน แบบทดสอบด้านจังหวะ แบบทดสอบสามารถทาพร้อมกนั ทัง้ หอ้ ง หรือทาแยกเป็นรายคนได้ เวลาในการประเมิน 20 นาที อปุ กรณ์ 1. ไฟล์เสียง 2. คอมพวิ เตอร์สาหรบั เปดิ ไฟลเ์ สยี ง 3. หฟู งั สาหรับนักเรยี นในการฟังเสียง/ลาโพงสาหรบั ฟังพรอ้ มกนั ทัง้ ห้อง 4. ดินสอ 5. กระดาษคาตอบสาหรับแบบทดสอบด้านระดับเสียง (tonal test) และ แบบทดสอบด้าน จงั หวะ (rhythm test) การให้คะแนน การใหค้ ะแนนเมอ่ื ทาถกู คะแนนสูงสดุ 80 คะแนน
47 การ ทดสอบ ข้ันตอนการทาแบบทดสอบมดี งั น้ี 1. กอ่ นทีผ่ ู้ทาแบบทดสอบจะเข้ามาในหอ้ ง ให้ทดลองเปดิ ไฟลเ์ สียง เพอ่ื ปรบั ให้อยู่ในระดับเสียง ทเ่ี หมาะสม 2. เตรยี มกระดาษคาตอบของแบบทดสอบทจี่ ะใชใ้ นการทดสอบ 3. อธบิ ายขน้ั ตอนการทาแบบทดสอบใหผ้ ูท้ าการทดสอบฟงั 4. เริม่ ทาแบบทดสอบ (ในแตล่ ะข้อจะเปดิ ใหฟ้ งั เพียงครั้งเดยี ว) ขอ้ ควรระวงั ในการทาการทดสอบ 1. ไฟล์เสียงที่เปดิ เสยี งดงั หรือเบาไป 2. เสียงรบกวนจากภายนอก 3. ผู้ทาการทดสอบไมเ่ ขา้ ใจวธิ กี ารทาแบบทดสอบ 4. ผทู้ าการทดสอบควรมพี ้ืนฐานทางดนตรที ีแ่ ตกตา่ งกัน รายละเอียดของการทาแบบทดสอบมดี งั น้ี กอ่ นจะเร่ิมขอ้ 1 ของแบบทดสอบ จะมีไฟล์เสียงตวั อยา่ งใหล้ องฟังกอ่ น อธิบายให้ผู้ทาแบบทดสอบเข้าใจว่า ให้ฟังทานอง/จังหวะ โดยในแตล่ ะข้อจะมี 2 ส่วน ใหฟ้ ังแล้วตอบวา่ 2 ส่วนนนั้ “เหมอื น” หรอื “ต่าง” โดยให้ วงคาตอบในการดาษคาตอบ พยายามให้ม่ันใจวา่ ทกุ คนเขา้ ใจข้นั ตอนและวิธีการทาในช่วงของแบบทดสอบ ตวั อย่าง การใหค้ ะแนน นับเฉพาะขอ้ ท่ตี อบถูก โดยทุกข้อจะได้ 1 คะแนนเท่ากัน คะแนนจะแบ่งเป็นแบบทดสอบด้านระดับเสียง (tonal test) 40 คะแนน แบบทดสอบดา้ นจังหวะ (rhythm test) 40 คะแนน และคะแนนรวม 80 คะแนน แบบทดสอบดา้ นระดบั เสยี ง (40) แบบทดสอบด้านจังหวะ (40) คะแนนรวม (80) กร ะดาษค าตอบ เหมอื น ตา่ ง แบบทดสอบด้านระดบั เสยี ง เหมือน ต่าง ขอ้ เหมอื น ตา่ ง ตวั อย่าง 1 เหมอื น ต่าง 1 เหมือน ตา่ ง 2 3
48 แบบทดสอบดา้ นจังหวะ เหมือน ต่าง ข้อ เหมอื น ตา่ ง ตวั อยา่ ง 1 เหมอื น ตา่ ง 1 เหมอื น ต่าง 2 เหมือน ต่าง 3
49 5. การประเมนิ ความสามารถด้านธรรมชาติ วธิ ีการประเมิน ทดสอบเป็นรายบคุ คล แต่สามารถจัดใหม้ ีการสอบพรอ้ มกนั ได้ ซ่ึงจะมีผู้ดาเนินการทดสอบที่ผ่านการอบรม แล้ว 1 คน ใชเ้ วลาในการทดสอบ 25 นาที เวลาในการประเมนิ 25 นาที อุปกร ณ์ 1. เครื่องวดั แรงดึง (force meter) 2. รถของเลน่ จานวน 2 ชน้ิ 3. ดนิ สอ 4. แบบทดสอบและกระดาษคาตอบ การใหค้ ะแนน การให้คะแนนเม่อื ทาถกู คะแนนสูงสุด 14 คะแนน
50 การ ทดสอบ ทดสอบเปน็ รายบคุ คล แตส่ ามารถจดั ให้มกี ารสอบพรอ้ มกนั ได้ ซ่ึงจะมีผู้ดาเนินการทดสอบที่ผ่านการอบรม แล้ว 1 คน ใช้เวลาในการทดสอบ 25 นาที โดยนักเรียนแต่ละคนจะได้รับอุปกรณ์ประกอบในการทา แบบทดสอบ ซึ่งนกั เรียนอาจจะใชห้ รอื ไมใ่ ช้กไ็ ด้ คาสั่งทีผ่ ู้ดาเนนิ การทดสอบใช้มีดังนี้ “แบบทดสอบความสามารถดา้ นธรรมชาติ มี 6 ข้อ ให้นักเรียนอ่านคาถามและเขียนคาตอบลงในบริเวณที่ เขียนคาตอบจะมีลกั ษณะดังนี้ (ชี้ให้ดู ซึ่งเป็นรูปกรอบส่ีเหล่ยี มและมีสัญลักษณ์เป็นรูปดนิ สอ) การเขียนคาตอบ ใหน้ ักเรียนใช้ภาษาที่ตนเองถนัด ไม่ต้องกงั วลการเขียนคาผดิ โดยนกั เรียนแต่ละคนจะได้รับอุปกรณ์ประกอบ ในการทาแบบทดสอบ ซึง่ นกั เรยี นอาจจะใช้หรอื ไม่ใชก้ ไ็ ด้ มีเวลาในการทา 25 นาที โดยครูจะเตือนเม่ือเหลือ เวลา 10 นาที และ 5 นาที” * กรณีพเิ ศษ (นักเรียนท่มี คี วามต้องการพิเศษ) ซึง่ จะต้องมีการแจ้งและยื่นหลักฐานประกอบล่วงหน้า ให้ ผดู้ าเนนิ การทดสอบ ดาเนินการดังน้ี ในกรณีทน่ี ักเรียนอา่ นไม่คล่อง ผู้ดาเนนิ การทดสอบอาจอ่านข้อคาถามให้ ฟงั ได้ โดยไม่ตอ้ งอธบิ ายเพ่มิ เติม สามารถอา่ นคาถามใหฟ้ ังซา้ ได้ 1 คร้ัง หากนักเรียนไม่สามารถเขียนได้ ให้ บนั ทึกเสยี ง หรือผู้ดาเนินการทดสอบเปน็ ผูจ้ ดตามคาบอก
51 แบบทดสอบ 1. ใบบวั ใช้เทอรโ์ มมิเตอร์ในการวดั อุณหภูมขิ องนา้ เพอ่ื หาว่าอุณหภูมิของน้ามีผลต่อการละลายของน้าตาล อยา่ งไร เวลาท่ีใชใ้ นการละลายนา้ ตาล อุณหภมู ขิ องน้า (°C) เวลา (นาท)ี การทดลองครง้ั ที่ 1 การทดลองครัง้ ท่ี 2 การทดลองครัง้ ท่ี 3 30 10 9 11 40 8 12 9 50 7 7 8 60 6 6 7 1.1 จากตาราง ทอ่ี ุณหภมู ิเทา่ ใดทท่ี าใหผ้ ลการทดลองไมน่ ่าเป็นไปได้ ทีอ่ ณุ หภมู ิ............... องศาเซลเซียส อาจจะเกดิ ความผดิ พลาดเนื่องจากอะไร บอกมา 1 ขอ้ 1.2 ใบบวั ทานายวา่ “น้าตาลละลายเรว็ ข้นึ เม่อื น้าร้อนข้นึ ” การทานายของใบบัวสนับสนุนด้วยหลกั ฐานการทดลองในตารางนี้หรือไม่ ใช่ ไมใ่ ช่ จงใช้หลักฐานในตารางเพ่อื อธิบาย 1.3 หากจะวางแผนการทดลองใหร้ ดั กมุ นักเรยี นคดิ วา่ สง่ิ ใดบา้ งที่อาจมีผลต่อให้การทดลองเร่ือง “อุณหภูมิ ของน้ามผี ลต่อการละลายของนา้ ตาล” คลาดเคล่ือน ให้นกั เรยี นเขยี นใหม้ ากทีส่ ุด (เวลา 3 นาท)ี
52 2. บอลและเบลกาลังทาการทดสอบการทนต่อการขาดของเชอื ก ที่ตา่ งชนดิ กัน 6 ชนิด บอลยึดปลายเชอื กข้างหน่งึ ไว้กบั เครื่องวดั แรงดึง และเบลดึงปลายเชือกอีกด้านไว้ หลังจากน้ันบอลบันทึก ขนาดของแรงที่ปรากฏบนเครอ่ื งวัดแรงเม่อื เชอื กขาด และพบวา่ 2.1 เชือกทงั้ หมดขาดเมอื่ อา่ นเครื่องวดั แรงดึงได้ 10 นวิ ตนั (N) บอลและเบลจึงสรุปว่า “เชือก ทุกเสน้ มคี วามแข็งแรงเท่ากัน” แต่ครูบอกวา่ “ท่ีนักเรียนอา่ นค่าได้ 10 นวิ ตันทุกครั้ง อาจเป็นเพราะเลือกใช้ เครื่องวัดแรงดึงท่ไี มเ่ หมาะสม” อธบิ ายวา่ เหตใุ ดครจู งึ บอกนักเรยี นว่าเลือกใชเ้ ครอ่ื งมอื ไมเ่ หมาะสม 2.2 ถา้ บอลและเบลทาการทดลองการทนตอ่ การขาดของเชอื กทที่ าจากกาบมะพรา้ ว พวกเขาทา การทดลองซา้ 4 คร้ัง และไดผ้ ลการทดลองดังตารางดา้ นลา่ งนี้ แรงท่ที าใหเ้ ชอื กขาด (นวิ ตนั ) คร้งั ที่ 1 315 ครั้งที่ 2 307 คร้งั ที่ 3 280 คร้งั ท่ี 4 315 นักเรยี นจะเขยี นสรปุ ผลการทดลองน้ีอย่างไร
53 3. จากรูปภาพดา้ นล่าง ใหน้ กั เรยี นเขียนคาถามที่เกี่ยวกบั ปรากฏการณ์ในภาพ ซึง่ เปน็ คาถามท่นี ักเรียนอยากรู้ คาตอบ โดยใหไ้ ด้จานวนคาถามมากทส่ี ดุ ภาพต้นฉบับจาก https://doi.org/10.1016/j.chemosphere.2018.04.076
54 4. หนูดีชอบสารวจ วนั นี้หนูดสี ารวจสิ่งมชี ีวิตรอบ ๆ บ้าน และทาตารางแสดงสตั ว์ท่พี บบริเวณบ้าน สตั ว์ สถานท่ีที่พบ จานวนขา จานวนปกี แมงมมุ ในกระถางต้นไม้ 8 0 เปด็ ใกลๆ้ บ่อนา้ 2 2 สตั ว์ชนดิ ที่ 3 ในสนามหญา้ 6 0 สตั ว์ชนิดที่ 4 ใกล้ๆ บอ่ น้า 6 4 4.1 จากขอ้ มูลท่ีหนดู ีทาในตารางขา้ งบน จงเตมิ คาถามท่หี ายไป และบอกชอ่ื ของสัตวแ์ ต่ละชนิดจากตารางให้ ถกู ตอ้ ง คาถาม: มี 6 ขา หรือไม่ ใช่ ไม่ใช่ คำถำม:………………………………..…………….. คำถำม: มปี ีกหรือไม่ ใช่ ไมใ่ ช่ ใช่ ไม่ใช่ แมงมุม ……………….... ……………….. ………………. 4.2 “นกั วิทยาศาสตรม์ ักจะจดั จาแนกหรอื จัดประเภทของสตั ว์ สงิ่ ตา่ งๆ เป็นกล่มุ ” การจัดจาแนกหรอื จัดประเภท มีความสาคญั อย่างไร อธบิ ายเหตุผล
55 5. วคิ มีรถลากของเล่น 1 คัน ประกอบด้วยหวั รถ และสว่ นท้ายรถ ท้งั สองส่วนมีแม่เหล็กตดิ อยู่ เมอื่ วิคลากหัวรถ ส่วนรถพ่วงกจ็ ะตามตดิ มาด้วย วคิ ลองวางสิ่งของหนัก 20 กรมั ในสว่ นทา้ ยของรถ ปรากฏว่า เมอ่ื ดึงหัวรถ ส่วนทา้ ยรถก็ยังตดิ มาดว้ ย 5.1 เม่ือวิควางสง่ิ ของหนกั 160 กรัม ในสว่ นท้ายรถ ปรากฏว่าคร้ังน้ี ส่วนหัวกับส่วนท้ายแยก ออกจากกนั อธิบายว่าเหตุใดจึงเป็นเชน่ น้นั 5.2 เมือ่ วคิ วางสิ่งของหนัก 200 กรัม ในสว่ นท้ายรถ แล้วทาการทดลอง 3 ครั้ง โดยปรับความลาดเ อียงของ สะพาน (15 องศา 30 องศา และ 45 องศา) อธบิ ายว่าวิคตอ้ งการทดสอบอะไร ............................................................................................................................. ................................................. ...................................................................................................................................... ....................................... นักเรียนคาดวา่ ผลการทดลองจะเปน็ อยา่ งไร …………………………………………………………..……………………………………………………………………… … … … .................. .............................…………………………………………………………………..…………………………………….……………………… 5.3 วคิ ต้องการทดสอบความคดิ ของเขาเรอ่ื ง “พนื้ ผิวอาจมีผลต่อการเคลื่อนทีข่ องรถลาก” ให้นักเรียนดูตาราง ท่ีวคิ วางแผนทาการทดลองด้านลา่ ง การ ทดลอง นา้ หนกั พืน้ ผวิ ครง้ั ที่ 1 100 กรัม ผา้ สกั หลาด ครง้ั ที่ 2 150 กรมั พรมขนสัตว์ คร้งั ที่ 3 200 กรัม ไม้อัด
56 นักเรียนคดิ วา่ การทดลองน้อี าจคลาดเคลอื่ นเนือ่ งจากอะไร 6. นที กบั วารี กาลงั ดสู ตั ว์ตวั เล็กๆ ชนดิ หนงึ่ ท่เี พ่งิ ชอ้ นมาได้จากคลองขา้ งบา้ น จงึ เอาไว้ในภาชนะ นทีและวารี วางแผนทดลองวา่ สตั วช์ นดิ นจ้ี ะชอบอยู่ในบริเวณท่ีมีแสงสว่างหรือที่มืดมากกว่ากัน จึงทาการปิดภาชนะ ครึ่งหน่ึงใหม้ ืด และภาชนะอีกครึง่ หน่งึ เปิดไว้ให้สว่าง วธิ ีการสงั เกต นที วาร ี ขน้ั ท่ี 1 ใส่ 1 ตวั ในจาน ใส่ 10 ตวั ในจาน ข้ันท่ี 2 เฝาู ดูเป็นเวลา 10 นาที เฝาู ดเู ป็นเวลา 5 นาที ขัน้ ท่ี 3 บัน ทึกเวลา ที่สัตว์ปร ากฏอยู่ใน นับจ า น ว น สัตว์ชนิ ดนี้ท่ีอยู่ใ น ภาชนะบรเิ วณท่ีมแี สง บริเวณท่ีมีแสงสว่า งเม่ือคร บ 5 นาที ขั้นท่ี 4 เปรยี บเทียบเวลาท่ีสตั วช์ นิดนอ้ี ยู่ใน เปรียบเทียบจานวนสัตว์ท่ีพบใน บรเิ วณท่ีแสงสว่างกับเวลาที่อยู่ใน บริเวณท่มี แี สงกับจานวนสตั ว์ที่มอง ความมืด ไม่เหน็ หรอื อยู่ในทีม่ ืด 6.1 จากการวางแผนการทดลองทางวทิ ยาศาสตรข์ องใครเหมาะสมกว่ากนั เลอื ก 1 อยา่ ง นที วารี อธบิ ายเหตผุ ลประกอบ
57 6.2 หากจะวางแผนการทดลองให้รดั กุม นักเรยี นคิดว่าส่ิงใดบา้ งท่อี าจมีผลตอ่ การศกึ ษาวา่ “สตั วช์ นดิ น้ีชอบอยู่ ในที่มืดหรอื สวา่ ง” ให้นักเรยี นเขยี นให้มากทสี่ ุด (เวลา 3 นาที)
58 ตารางแปลผลความสามารถด้านธรรมชาติ คะแนนเตม็ 14 คะแนน 1. คะแนนเตม็ 3 คะแนน 1.1 สามารถบอกสาเหตคุ วามผิดพลาดได้ ได้ 1 คะแนน 1.2 สามารถอธบิ ายโดยเช่อื มโยงกบั ข้อมลู ในตารางได้ ได้ 1 คะแนน 1.3 สามารถบอกปจั จัยที่มผี ลตอ่ ใหก้ ารทดลอง 5 ประเดน็ ขึ้นไป ได้ 1 คะแนน 2. คะแนนเตม็ 2 คะแนน 2.1 อธิบายเหตุผลได้วา่ เคร่อื งไมส่ ามารถวัดแรงท่ีเกนิ 10 นิวตัน ได้ 1 คะแนน 2.2 หากสรปุ ไดว้ า่ ยงั ตอ้ งการการทดลองเพิม่ เติม ได้ 1 คะแนน 3. คะแนนเต็ม 2 คะแนน ตั้งคาถามได้ตงั้ แต่ 8 ข้อขึน้ ไป ได้ 2 คะแนน ตั้งคาถามได้ 0-7 ขอ้ ได้ 1 คะแนน 4. คะแนนเต็ม 2 คะแนน 4.1 ตอบถกู ครบ 4 ชนิด ได้ 1 คะแนน 4.2 อธิบายความสาคัญของการจัดหมวดหมไู่ ด้ ได้ 1 คะแนน 5. คะแนนเตม็ 3 คะแนน 5.1 สามารถอธบิ ายปรากฏการณไ์ ด้ ได้ 1 คะแนน 5.2 สามารถอธิบายปรากฏการณไ์ ด้ ได้ 1 คะแนน 5.3 สามารถอธบิ ายโดยเช่ือมโยงกับขอ้ มูลในตารางได้ ได้ 1 คะแนน 6. คะแนนเต็ม 2 คะแนน 6.1 สามารถอธิบายเหตผุ ลประกอบจากการวางแผนการทดลองทางวิทยาศาสตร์ของ ได้ 1 คะแนน 6.2 สามารถบอกปจั จยั ที่มีผลตอ่ การศกึ ษาว่า ได้ตงั้ คาถามได้ตง้ั แต่ 5 ขอ้ ข้ึนไป ได้ 1 คะแนน
59 6. การประเมนิ ความสามารถด้านการเคลอ่ื นไหวแ ละการใชก้ ล้ามเนือ้ 6.1 การประเมนิ ด้านการเคลือ่ นไหวและการใชก้ ลา้ มเน้ือ แบบที่ 1 วธิ ีการประเมนิ ทดสอบเปน็ รายบุคคล โดยใหผ้ ู้ทเ่ี ขา้ รบั การทดสอบเข้ารบั การทดสอบทีละคน เพ่อื ไมใ่ หเ้ กิดการเลียนแบบการ แสดงออก ซึง่ จะมีผ้ดู าเนินการทดสอบทผ่ี า่ นการอบรมแล้ว 1 คน ใช้เวลาในการทดสอบ 12 นาที และมีการใช้ เสยี งเพลงเป็นเหมือนโจทย์หรือสถานการณ์ในการทดสอบการใช้ร่าง กายเพ่ือสื่อสารความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ซ่ึงจะมกี ารบนั ทึกวิดีโอ (แจ้งแกน่ ักเรียนใหท้ ราบล่วงหนา้ ) เวลาในการประเมนิ 25 นาที อุปกร ณ์ 1. เครื่องเสยี ง ลาโพงทม่ี ียา่ นเสยี งกว้าง 2. กลอ้ งบันทึกภาพวดิ โี อ การใหค้ ะแนน การใหค้ ะแนนเมือ่ ทาไดถ้ กู ตอ้ งตามเกณฑ์
60 การ ทดสอบ คาสั่งที่ผดู้ าเนินการทดสอบใชม้ ดี งั นี้ “อีกสกั ครู่ ครจู ะเปิดเพลง เมอ่ื ได้ยินเสียงเพลงให้นักเรียนเคลือ่ นไหวร่างกายได้ตามอิสระ ทาในสิ่งท่ีรู้สึกว่า อยากทาเหมอื นครไู มไ่ ด้อยู่ในห้องน้ี ไม่มถี ูกหรอื ผิด” * ผูด้ าเนินการทดสอบ ควรมีท่ามเี ปน็ มิตร ไม่ทาให้ผู้รบั การทดสอบร้สู กึ กดดนั แบบทดสอบ ผู้ดาเนนิ การทดสอบเปดิ เพลงดังต่อไปน้ี (เปิดเพลงตอ่ เนือ่ ง 5 เพลง เพลงละ 2 นาท)ี ชือ่ เพลง ศลิ ปนิ As good as it gets 2 นาที Hans Zimmer Jango's Escape 2 นาที John Williams and London Symphony Orchestra Hajimari 2 นาที Kitaro Fugue 2 นาที Craig Armstrong One Day We Had Today 2 นาที Rachel Portman
61 ตารางแปลผลความสามารถด้านการเคล่อื นไหวและการใชก้ ลา้ มเนอ้ื เกณฑ์การใหค้ ะแนนพฤติกรรมทแ่ี สดงออก คะแนนเต็ม 25 คะแนน (เพลงละ 5 คะแนน) คะแนน การ แ สดงออก 1 นิง่ ไมม่ ีการตอบสนองต่อเสยี งเพลง หรอื มกี ารเคล่อื นไหวรา่ งกายบางส่วนเล็กน้อย เช่น ปรบมือ พยกั หนา้ หรือย่าเทา้ แต่การเคลื่อนไหวรา่ งกายไมส่ ่อื ความหมายใด ๆ และทาท่าซ้า ๆ 2 เคลอ่ื นไหวร่างกายสอดคล้องกับจังหวะเพลง อาทิ การเต้น เดิน กระโดด โยกตัว แต่การ เคลอ่ื นไหวรา่ งกายไม่สอ่ื ความหมายใด ๆ และทาทา่ ซ้า ๆ 3 เคลื่อนไหวรา่ งกายสอดคล้องกบั จังหวะเพลง มีการจินตนาการเร่ืองราวตามเพลง และมีการ เคลอื่ นไหวร่างกายเปลี่ยนท่าทางคลอ้ ยตามเพลง 4 เคลอ่ื นไหวสอดคลอ้ งกบั จังหวะเพลง มีการจนิ ตนาการเรือ่ งราวตามเพลง และแสดงเป็นบุคคลที่ อยใู่ นเหตุการณ์ เช่น ทาท่าเดด็ ดอกไมม้ าดม แสดงท้งั ท่าทาง สหี นา้ สือ่ ใหเ้ ห็นถงึ อารมณ์ 5 เคลื่อนไหวสอดคล้องกบั จงั หวะเพลง มีการจนิ ตนาการตามเพลง และแสดงเป็นบุคคลท่ีอยู่ใน เหตกุ ารณ์ แสดงทัง้ ทา่ ทาง สีหนา้ สอ่ื ให้เห็นถึงอารมณ์ มีจินตนาการเรื่องราว อาจทาเสียง ประกอบหรอื บทสนทนาท่คี ดิ ขึน้ มาประกอบท่าทาง ผูแ้ สดงจะไม่สนใจสง่ิ แวดลอ้ ม (เหมือนหลุด เข้าไปในเพลง)
62 6.2 การประเมินด้านการเคลือ่ นไหวและการใชก้ ลา้ มเนือ้ แบบที่ 2 วิธ ีการ ปร ะเมนิ ทดสอบเปน็ รายบุคคล โดยใหผ้ ทู้ เี่ ข้ารบั การทดสอบเขา้ รับการทดสอบทลี ะคนเพ่ือไมใ่ ห้เกิดการเลียนแบบตาม ฐานทง้ั 13 ฐาน เวลาในการประเมนิ 25 นาที การให้คะแนน การให้คะแนนเม่อื ทาไดถ้ กู ตอ้ งตามเกณฑ์ คะแนนสูงสุด 25 คะแนน แบบทดสอบ เป็นการ ทดสอบเด็กที่มีค วามเป็นเลิศ ใ นด้าน สมร ร ถนะ ทางกาย (Sport Talent Identification Test) โดยการทดสอบเปน็ การวัด 1) ส่วนประกอบของรา่ งกาย (Anthropometric measurement) ซงึ่ ประกอบด้วย การวัด สว่ นสงู , ชง่ั นา้ หนกั 2) การทดสอบทกั ษะการเคลอ่ื นไหวยนต์ (Motor skill tasks) ซงึ่ ประกอบดว้ ย การทดสอบวง่ิ เรว็ 40 เมตร (40-m sprint), ทดสอบการกระโดดสงู (Vertical jump test), ทดสอบการโยนลกู บาสเกตบอล (Basketball throw) และทดสอบสมรรถภาพร่างกายตามฐานตา่ ง ๆ (Multistage fitness test) เพ่ือประเมิน ทกั ษะยนต์ 4 ด้าน ไดแ้ ก่ อตั ราการว่งิ เต็มกาลัง (Foot speed), ความแข็งแรงของร่างกายช่วงบน (Upper body strength), กาลงั ของร่างกายชว่ งลา่ ง (Lower body power) และสมรรถณะความทนทาน (Aerobic fitness) และ 3) การ ทดส อบทร งตัว แ ละเค ล่ือนไ หว ท่ีสัมพันธ์กัน (Balance and movement coordination test)
63 วิธ ีการ ทดสอบสาหร ับเด็กช าย ปร ะกอบด้วย ทั กษะ ยน ต์ 4 ด้า น: Movement Coordination, Postural Control, Kinesthetic Integration, and Explosive Power ส่วนประกอบที่ 1 ทดสอบการเคลื่อนไหวทีส่ ัมพันธก์ นั สว่ นประกอบที่ 2 ทดสอบการทรงตัวที่เก่ียวข้อง (Movement Coordination) ประกอบด้วย 4 ทักษะ: กั บ ก า ร เ ค ล่ื อ น ท่ี (Kinesthetic Integration) 1. วง่ิ ไป กลับ (shuttle run) ประกอบด้วย 2 ทักษะ: 2. ว่ิงไป กลับพร้อมถือสิ่งของ (shuttle-run-with- 1. การยืนทร งตัวด้วยขาข้า งเดียว ขณะ ลืมตา object) (One-foot-balance-with-eyes open) 3. กระโดดแบบเรว็ (hopping speed) 2. สมรรถภาพรา่ งกายตามฐานต่าง ๆ (Multistage 4. วิ่งสลบั ฟันปลา (zigzag run) fitness test) ส่วนป ร ะก อบที่ 3 ทด สอบการควบคุมท่าทาง สว่ นประกอบที่ 4 ทดสอบความแข็งแรงของแขน (Postural Control) ประกอบด้วย 3 ทักษะ: ขา และกาลังระเบิด (Muscular strength and 1. การทรงตวั แบบเคล่ือนไหว (Dynamic balance) explosive power) ประกอบดว้ ย 2 ทกั ษะ: 2. กระโดดเป็นสี่เหล่ยี ม (Quadrant Jump) 1. การกระโดดสงู (Vertical jump) 3. กระโดดขาเดียวในพ้ืน ที่สี่เหลี่ยม ( Hopping-in- 2. การโยนลกู บาสเกตบอล (Basketball throw) square)
64 วธิ ีการทดสอบสาหรบั เด็กหญิง ประกอบดว้ ย ทักษะยนต์ 3 ด้าน: Movement Coordination, Postural Control, and Static Balance ดา้ นท่ี 1 ไดแ้ ก่ การทดสอบความคล่องตัว ความเร่ง ด้านท่ี 2 ไ ด้แ ก่ ทดส อบการควบคุมท่าทาง ความแข็งแรง ความทนทาน และการทรงตัว (Agility, (Postural Control) ประกอบด้วย 3 ทกั ษะ: speed, strength, endurance and balance 1. กระโดดขาเดยี วในพน้ื ท่ีส่ีเหล่ียม (Hopping-in- maintenance) ประกอบดว้ ย 7 ทักษะ: square) 1. วิ่งไป กลับพร้อมถือส่ิงของ (shuttle-run-with- 2. กา ร ทร ง ตั วแ บ บเ ค ลื่ อน ไ หว ( Dynamic object) balance) 2. วง่ิ ไป กลับ (shuttle run) 3. การโยนลูกบาสเกตบอล (Basketball throw) 3. วง่ิ เร็ว 40 เมตร (40-m sprint) 4. กระโดดแบบเรว็ (hopping speed) 5. วงิ่ สลับฟนั ปลา (zigzag run) 6. สมรรถภาพร่างกายตามฐานต่าง ๆ (Multistage fitness test) 7. การกระโดดสูง (Vertical jump) ด้านที่ 3 ไ ด้แ ก่ ทดสอบการทรงตัวอยู่กับท่ี (Static balance) ประกอบดว้ ย 2 ทักษะ: 1. การยืนทรงตัวดว้ ยขาข้างเดยี ว ขณะลืมตา (One- foot-balance-with-eyes open) 2. การ ยืนทรงตัวด้วยขาข้า งเดียว ขณะหลับตา (One-foot-balance-with-eyes closed) วธิ ีการทดสอบความเปน็ เลิศในด้านสมรรถภาพทางกาย ในเดก็ อายุ ระหวา่ ง 12-15 ปี แบบทดสอบ วธิ ีการ 1. การโยน ลูกบาสเกตบอล (Basketball ใช้มือสองขา้ งสง่ ลูกบาสฯในระดับหน้าอก ให้ throw) ไกลที่สดุ เทา่ ทจ่ี ะทาได้ (Performer uses a two-handed chest pass to push the ball in the horizontal direction as far forward as possible) 2. การกระโดดสูง (Vertical jump) กระโดดด้วยขาท้ังสองขา้ ง แขนเหยียดตรงเตะ ผนงั ใหส้ ูงทสี่ ุดเทา่ ทีจ่ ะทาได้ (Performer jumps upward with a two-
65 แบบทดสอบ วธิ ีการ foot-jump to touch a wall at the highest possible point with the outstretched arm closest to the wall) 3. วิง่ เรว็ 40 เมตร (40-m sprint) ว่ิง ให้ เ ร็ว ท่ีสุ ด ใ น ร ะ ยะ ทา ง 40 เม ต ร (Performer sprints as fast as he can across 40 m) 4. สมร ร ถภา พร่า งกายตา มฐา น ต่า ง ๆ ว่ิงไป กลับ 20 เมตร ตามเสียง “บี๊บ”ที่ได้ยิน (Multistage fitness test) จนกว่าจะทาต่อไปไมไ่ หว (Performer runs back and forth between two lines 20 m apart, placing one foot behind the line in time with a timed beep until he can no longer keep up with the beep) 5. การยืนทรงตัวด้วยขาข้างเดยี ว ขณะลืมตา ยนื ทรงตัวดว้ ยขาข้างเดียว ลมื ตา แขนสองข้าง (One-foot-balance-with-eyes open) กาไม้ และชเู หนือศรีษะ เป็นเวลา 60 วินาที (Performer stands on one-foot-with- eyes-open while his hands hold a rod above his head for a maximum of 60 sec.) 6. การ ยืนทรงตัวด้วยขาข้า งเดียว ขณะ ยืนทรงตวั ด้วยขาขา้ งเดียว หลับตาตา แขนสอง ห ลั บ ต า (One-foot-balance-with- ขา้ งกาไม้ และชูเหนอื ศรษี ะเปน็ เวลา 60 วินาที eyes closed) (Performer stands on one-foot-with- eyes-closed while his hands hold a rod above his head for a maximum of 60 sec.) 7. การทรงตัวแบบเคลื่อนไหว ( Dynamic กระโดดเท้าชิด สลับไปกลับ หน้า และหลัง balance) ตา มเ ส้น ท่ีก า ห น ด เ ป็น เว ลา 10วิ น า ที (Performer jumps with feet together sideways back and forth over a line for 10 sec.)
66 แบบทดสอบ วธิ ีการ 8. กร ะ โ ดด ขา เดี ย วใ น พื้ น ที่ สี่เ หล่ี ย ม กระโดดขาเดียวให้ได้จ านวนครั้งมา กท่ีสุด (Hopping-in-square) ภายในพ้ืนที่ 50 ตารางเซ็นตเิ มตร เป็นเวลา 10 วนิ าที Performer hops continuously as many times as possible on one foot within a 50-cm marked square in 10 sec. 9. กระโดดแบบเร็ว (Hopping speed) กระโดดขาเดียวให้เร็วที่สุด ในระยะทาง 10 เมตร (Performer hops to a line 10 m away as fast as possible.) 10. ว่งิ สลับฟันปลา (Zigzag run) วง่ิ สลบั ฟนั ปลา อ้อม 5 กรวย ในระยะทาง 10 เมตร ไป กลับใหเ้ ร็วท่ีสุด (Performer runs a zig-zag course through 5 skittles across 10 m, there and back again as fast as possible) 11. ว่ิงไป กลับพร้อมถือส่ิงของ (Shuttle- - วง่ิ ไป เตะเสน้ ชยั ดว้ ยเท้าขาข้างเดียว ระยะ 5 run-with-object) เมตร จากนั้นเก็บของ และวิ่งกลับ เอาของ วางทจ่ี ดุ เร่มิ ตน้ - ทาซ้า อีกรอบ - สิน้ สุดด้วยการวงิ่ ไป เตะเสน้ ชยั - เร็วทส่ี ดุ เท่าท่จี ะทาได้ Performer runs to a line 5 m away, touches the ground on the far side of a line with one foot, picks up a block and runs back to the starting line placing the block behind the start line, goes back for a second block and returns, and finishes by running back to the line 5 m away as fast as possible. 12. วิ่ง ไ ป กลั บ มื อ เป ล่ า (Shuttle-run- - วง่ิ ไป เตะเส้นชัยดว้ ยเทา้ ขาขา้ งเดยี ว ระยะ 5 without-object) เมตร และวง่ิ กลบั มาท่ีจดุ เรม่ิ ต้น
67 แบบทดสอบ วธิ ีการ 13. กระโดดเป็นสเ่ี หล่ียม (Quadrant Jump) - ทาซา้ อกี รอบ - สน้ิ สดุ ดว้ ยการวิ่งไป เตะเส้นชัย - เรว็ ที่สุดเทา่ ทจี่ ะทาได้ Performer runs to a line 5 m away, touches the ground on the far side of a line with one foot, then back to the starting line, repeats, and finishes by running back to the line 5 m away as fast as possible. กระโดดด้วยเท้าสองข้าง ไปตามมุมที่เป็นส่ีรูป เหล่ียม (มุมท่ี 1, 2, 3 และ 4) ให้มากท่สี ุดเท่าท่ี จะทาได้ในเวลา 10วินาที (Performer jumps with feet together into quadrants following this sequence 1, then 2, 3, and 4, and back into 1, repeating the sequence as many) times as possible
68 7. การประเมินความสามารถด้านมนุษ ยสมั พนั ธ์ วธิ กี ารประเมิน สังเกตพฤตกิ รรมระหวา่ งการทากจิ กรรมประเมนิ ความสามารถทกุ ดา้ น เวลาที่ใช้ในการประเมิน ประเมนิ ร่วมกบั ความสามารถดา้ นท่ี 1-6 อปุ กรณ์ 1. ดนิ สอ หรอื ปากกา 2. กระดาษทดสอบ การ ใ ห้ค ะแ นน การให้คะแนนเปน็ ระบบ rating scale 5 ระดบั คะแนนสงู สดุ 36 คะแนน
69 การ ทดสอบ เปน็ การสงั เกตการแสดงพฤติกรรมทม่ี ีผลต่อพฤติกรรมและความร้สู ึกของผู้อนื่ โดยทาการสังเกตในเรื่องตอ่ ไปนี้ 1) การฟงั และการแสดงความคดิ เห็นของตนเอง 2) การสังเกตภาวะผูน้ า การรบั ฟังคาชี้แนะจากคนอื่น 3) การให้ข้อเสนอแนะหรือให้ความคิดเหน็ กบั ผ้อู ืน่ ทางบวก 4) การยินดี ชืน่ ชมเมอ่ื เหน็ คนอื่นทาสาเร็จหรือทาดี 5) การสง่ เสริม สนับสนนุ หรือใหก้ าลังใจผูอ้ ่ืน 6) การแสดงความเชือ่ ม่นั ใจในตนเองเม่ืออยู่กบั ผู้อ่ืน 7) การแสดงพฤตกิ รรมแขง่ ขันหรือเอาชนะคนอื่น 8) การแสดงการบรหิ ารจดั การสมาชิกในกลุ่มเวลาทากจิ กรรม 9) การริเร่มิ ในการแสดงความคิดเห็นหรือแบง่ ปันกบั คนอ่ืน แ บบปร ะเมนิ ร ายการ ปร ะเมนิ คะแนน ไ ม่ สา ม า ร ถ 4 3 2 1 0 ประเมนิ ได้ 1.ฟังและการแสดงความคิดเหน็ ของตนเอง 2.แสดงภาวะผนู้ าและรบั ฟังคาขี้แนะจากผอู้ ืน่ 3.แสดงการให้ข้อเสนอแน ะหรือให้ความคิดเห็น กับผู้อื่น ทางบวก 4.แสดงความยินดี ชน่ื ชมเมอื่ เห็นคนอืน่ ทาสาเร็จหรอื ทาดี 5. แสดงการสง่ เสรมิ สนับสนุนหรอื ใหก้ าลงั ผอู้ ่ืน 6.การแสดงความเชอ่ื มน่ั /ม่ันใจในตนเองเมื่ออยู่กบั ผู้อ่นื 7.แสดงพฤติกรรมแขง่ ขนั หรือเอาชนะผอู้ ื่น 8.แสดงการบริหารจัดการสมาชิกในกลุ่มเวลาทากิจกรรม 9.การรเิ ร่มิ ในการแสดงความคิดเหน็ หรอื แบ่งปนั คนอ่ืน
70 การ แ ปลผล ข้อคาถามทางบวก คือ ข้อท่ี 1, 2, 3, 4, 5, 6, 8, 9 ข้อคาถามทางลบ คือ ขอ้ ท่ี 7 การใหค้ ะแนน 4 คะแนน หมายถงึ แสดงพฤติกรรมมาก 3 คะแนน หมายถงึ แสดงพฤตกิ รรมปานกลาง 2 คะแนน หมายถงึ แสดงพฤตกิ รรมนอ้ ย 1 คะแนน หมายถงึ แสดงพฤติกรรมนอ้ ยมาก 0 คะแนน หมายถึง ไม่แสดงพฤติกรรม ประเมินไมไ่ ด้ หมายถึง ไม่แสดงพฤตกิ รรมแต่คาดวา่ จะแสดงพฤติกรรม
71 8. การประเมินความสามารถด้านการเข้าใจตนเอง วธิ กี ารประเมิน สังเกตพฤตกิ รรมระหว่างการทากจิ กรรมประเมินความสามารถทุกด้าน เวลาท่ีใช้ในการประเมนิ ประเมนิ ร่วมกับความสามารถด้านที่ 1-6 อุปกร ณ์ 1. ดินสอ หรอื ปากกา 2. กระดาษทดสอบ การใหค้ ะแนน การใหค้ ะแนนเป็นระบบ rating scale 5 ระดับ คะแนนสูงสุด 36 คะแนน
72 การ ทดสอบ เป็นการสงั เกตการแสดงพฤตกิ รรมเกยี่ วกับทกั ษะการจัดการตนเอง เข้าใจพฤติกรรม อารมณ์ ความคิดและ ความรูส้ กึ ของตนเอง โดยข้อคาถามเปน็ คาถามเชงิ บวกทง้ั หมด โดยสงั เกตในเรอ่ื งตอ่ ไปน้ี 1) ความสามารถในการจดั การกบั สถานการณท์ ่ีเปลีย่ นไป 2) ความสามารถในการเขา้ ใจตนเอง การยอมรบั ตวั ตน 3) อาสาสมคั รเป็นคนแรก หรือลงมอื ทาเป็นคนแรกๆ 4) แสดงทา่ ทสี นใจ สนกุ หรือมีความสขุ เม่ือทากิจกรรม 5) พยายามใชอ้ ุปกรณท์ ุกอยา่ งที่โจทย์กาหนด 6) น้าเสยี งหรอื ทา่ ทีเวลาทากิจกรรม 7) เม่ือทากิจกรรมเสรจ็ แสดงทา่ ทีดใี จหรอื อวดผู้อนื่ 8) แสดงความสขุ เมื่อเข้าร่วมกิจกรรม 9) แสดงความอดทนตอ่ สถานการณท์ ่ีไมช่ อบ/ถนดั แ บบปร ะเมิน ร ายการ ปร ะเมนิ คะแนน ไ ม่ สา ม า ร ถ 4 3 2 1 0 ประเมินได้ 1.สามารถจัดการกับสถานการณท์ เ่ี ปลี่ยนไป 2.สามารถเขา้ ใจตนเองและยอมรับตัวตนของตนเอง 3.แสดงพฤตกิ รรมในการเปน็ ผู้ทากิจกรรมคนแรก หรือลงมือ ทางานเป็นคนแรก ๆ 4.แสดงทา่ ทสี นใจ สนกุ หรอื มคี วามสขุ เมื่อทากิจกรรม 5. แสดงพฤติกรรมหรือพยายามใช้อุปกรณ์ทุกอย่า งที่โจทย์ กาหนดหรอื พยายามทาขอ้ ทดสอบทโ่ี จทย์กาหนดอยา่ งตั้งใจ 6.การแสดงพฤตกิ รรม นา้ เสียงหรือกริ ิยาทา่ ทางพึงพอใจ สนใจ ในการทากิจกรรม 7.แสดงท่าทดี ใี จหรืออวดเวลาทากิจกรรมสาเรจ็ 8.แสดงท่าทีพอใจ ความสขุ เม่ือทากิจกรรม 9.แสดงความพยายาม อดทนต่อกจิ กรรมหรือสถานการณ์ที่ไม่ ชอบหรือถนดั
73 การ ใ ห้ค ะแ นน แสดงพฤติกรรมมาก 4 คะแนน หมายถงึ แสดงพฤตกิ รรมปานกลาง 3 คะแนน หมายถึง แสดงพฤติกรรมน้อย 2 คะแนน หมายถึง แสดงพฤติกรรมน้อยมาก 1 คะแนน หมายถงึ ไม่แสดงพฤติกรรม 0 คะแนน หมายถึง ไม่แสดงพฤติกรรมแต่คาดว่าจะแสดงพฤตกิ รรม ประเมินไม่ได้ หมายถงึ
74 2 กจิ กรรมสง่ เสรมิ ความสามารถตามแนวคดิ พหปุ ญั ญา 1. กจิ กรรมสง่ เสรมิ ความสามารถดา้ นความคิดแบบเหตผุ ลและคณิตศาสตร์ กจิ กรรมท่ี 1 กจิ กรรมเราพวกเดยี วกนั การดาเนนิ กิจกรรม ขั้นนา 1. ให้นกั เรียนน่ังเปน็ วงกลม 2. ครูใหน้ ักเรียนสารวจรอบหอ้ งเรยี น และให้ยกตวั อย่างสิง่ ของท่ีสามารถจดั อยู่ในหมวดหมู่เดียวกันได้ พรอ้ มท้งั ให้เหตผุ ล ขัน้ กจิ กรรม 1. ครใู หน้ กั เรยี นลว้ งเอาสงิ่ ของจากถงุ ทเ่ี ตรียมไวอ้ อกมาคนละ 1 ชน้ิ โดยปิดเปน็ ความลับไมใ่ หเ้ พ่อื นรู้ 2. ใหน้ กั เรียนเดนิ จับคสู่ ่งิ ของของเรากับของเพื่อนอีก 1 ช้ิน โดยใหเ้ หตผุ ลเกย่ี วกับสงิ่ ของ 2 ชิ้นน้ที ค่ี กู่ นั 3. ใหน้ ักเรียนจบั กลมุ่ ส่ิงของกับเพื่อนทง้ั หมด 5 ช้ิน และรว่ มกันอภปิ รายในกลุม่ ถงึ เหตผุ ลท่ีสิ่งของท้ัง 5 ชนิ้ ควรอยใู่ นหมวดหมู่เดยี วกนั 4. ให้แตล่ ะกลมุ่ นาส่ิงของทั้ง 5 ช้นิ มาประดษิ ฐเ์ ปน็ ตกึ โดยมีอตั ราส่วนของความกว้าง ความยาว (ฐาน) และความสงู เทา่ กับ 1: 5 จากภาพในโจทย์ 5. แตล่ ะกล่มุ นาเสนอผลงาน และแสดงการคานวณ ขน้ั สรุป 1. แตล่ ะกลุ่มร่วมกันอภปิ รายถึงส่ิงท่ที าให้กจิ กรรมสาเรจ็ 2. ทกุ คนร่วมกนั อภปิ รายถงึ สิง่ ทไ่ี ด้เรียนร้จู ากการทากิจกรรม
75 กิจกรรมที่ 2 กจิ กรรมปัน้ เชือกเป็นรปู การดาเนนิ กจิ กรรม ขนั้ นา 1. ให้นกั เรียนนั่งเปน็ วงกลม 2. ให้นกั เรียนจับกลมุ่ 10 คน 3. ให้แต่ละกลุ่มต้งั ชือ่ กลุ่ม คิดทา่ สัญลักษณข์ องกลมุ่ และนาเสนอ ข้ันกิจกรรม 1. ครแู จกเชอื กฟางขนาด 5 เมตร ให้กลุ่มละ 1 เสน้ และสายวัดกลุ่มละ 1 ตลับ 2. ใหน้ ักเรยี น 9 คน ชว่ ยกนั ถือเชือกเส้นนไ้ี ว้ และให้ 1 คนมหี น้าทจ่ี ดบันทกึ 3. ครแู สดงภาพรปู ร่างต่างๆ บนกระดาน ใหน้ กั เรียนในแต่ละกลุม่ ช่วยกันจับเชือกให้มีรูปร่างตามน้ัน โดยทที่ ุกคนยังจบั เชือกไว้ และใหป้ ลายทง้ั สองของเชอื กบรรจบกัน 4. ใหน้ ักเรียนจดบันทกึ ว่าดา้ นแตล่ ะดา้ นของรปู ร่างท่ีสร้างดว้ ยเชือกนั้นมคี วามยาวเท่าใด 5. เมอ่ื เสรจ็ แลว้ ชว่ ยกันคานวณหาพน้ื ที่ของรปู รา่ งนนั้ ๆ 6. นาเสนอผลงาน 7. แข่งขันทคี่ วามเรว็ และความถกู ต้องของแต่ละกลุ่ม ขน้ั สรุป 1. ทกุ คนร่วมกนั อภิปรายถงึ สงิ่ ท่ีได้เรียนรู้จากการทากิจกรรม ตัวอยา่ งรปู รา่ ง
76 2. กจิ กรรมส่งเสรมิ ความสามารถดา้ นภาษา กจิ กรรมท่ี 1 กจิ กรรมนิทานไมร่ ู้จบ การดาเนนิ กิจกรรม ขั้นนา 1. ใหน้ ักเรยี นนั่งเป็นวงกลมเพ่อื เตรียมความพร้อม 2. ครูสอบถามถึงนิทานเร่ืองต่างๆ ทน่ี กั เรยี นเคยฟงั ขั้นกิจกรรม 1. ครแู จกบัตรคาศัพท์ใหน้ ักเรียนคนละ 1 ใบ 2. ครใู หน้ กั เรียนสรา้ งเรื่องราวและเล่านิทานต่อๆ กนั เรียงไปทีละคน โดยให้เลา่ คนละ 1 ประโยค และ ต้องมีคาศพั ทท์ ่ไี ดอ้ ย่ใู นประโยคนนั้ ดว้ ย 3. หากคนสุดทา้ ยไมส่ ามารถจบเร่ืองราวได้ ใหเ้ ล่าวนต่อไปจนกว่าจะจบ 4. ห้ามจบนิทานกอ่ นที่คนสดุ ทา้ ยจะได้เล่าในรอบแรก 3. หากกจิ กรรมจบเร็ว ให้สลับตาแหน่งกนั และเลา่ นทิ านเรือ่ งใหม่ ขน้ั สรปุ 1. ใหน้ กั เรียนอภปิ รายถงึ ความ “ยาก” และ “ง่าย” ของกิจกรรม 2. ให้นักเรียนอภิปรายถึงส่งิ ท่ไี ด้เรียนรู้จากกจิ กรรม 3. ให้นกั เรยี นเขียนเรือ่ งราวของนิทานลงในสมดุ กิจกรรมท่ี 2 กิจกรรม “คน้ คว้าเพ่อื ใชภ้ าษาไทยถูกตอ้ ง” การดาเนนิ กจิ กรรม ครใู หน้ ักเรยี นหาตัวอยา่ งการใช้ภาษาไทยท่มี ีขอ้ บกพรอ่ งในลกั ษณะแตกตา่ งกันจานวน 3 ขอ้ ความ จาก สื่อตา่ ง ๆ เช่น ปูายโฆษณา วิทยุ โทรทัศน์ หนังสอื พมิ พ์ ท่ีปรากฏในสงั คมปัจจุบัน แล้วนามาอภิปราย รว่ มกันในห้องเรยี น ข้ันนา 1. นักเรยี นนัง่ เปน็ วงกลม 2. นักเรียนแบ่งกลุม่ ละ 5 คน ขั้นกจิ กรรม 1. ให้นักเรยี นนาตัวอยา่ งการใชภ้ าษาไทยทม่ี ีขอ้ บกพรอ่ งมาอภปิ รายร่วมกนั ตามหวั ขอ้ ดังต่อไปนี้ - ทม่ี าของตวั อย่างน้ัน มาจากส่ือใด สถานการณ์ใด - ระบุขอ้ บกพร่องของการใช้ภาษา - แกไ้ ขข้อความนน้ั ให้ถูกต้องตามหลกั ภาษาไทย 2. นาเสนอหน้าชัน้ เรยี น และแลกเปลยี่ นข้อคิดเห็นกับกลุม่ อื่นๆ
77 ขน้ั สรุป 1. ให้นกั เรยี นบันทึกการแกไ้ ขภาษาไทยให้ถูกตอ้ งลงในสมดุ 2. รว่ มกนั สรุปถงึ ส่งิ ทไี่ ด้เรียนรูจ้ ากกิจกรรมนี้ 3. จากกิจกรรมนี้นกั เรยี นสามารถนาความรู้ไปใช้ในชวี ิตประจาวันอย่างไรไดบ้ า้ ง กจิ กรรมท่ี 3 “บทกลอนสอนให้ใชค้ ลังคา” การ ดาเนินกิจกร ร ม ข้นั นา 1. นักเรียนเตรยี มความพรอ้ ม นงั่ ให้เปน็ ระเบียบ 2. ครใู ห้นักเรยี นยกตวั อย่างคาทมี่ ีความหมายเหมือนกันหรอื ใกล้เคยี งกนั โดยนักเรียนคนแรกที่ตอบได้ จะออกมาเปน็ หวั รถไฟ และคนทต่ี อบไดถ้ ดั ไปก็ต่อแถวไปเรอ่ื ยๆ เชน่ มอง ดู จ้อง เหล่ ชาเลือง ชะเง้อ เปน็ ต้น ข้นั กจิ กรรม 1. ใหน้ ักเรยี นฝึกแตง่ คาประพนั ธป์ ระเภทกลอนแปดสภุ าพจานวน 2 บท 2. ให้อิสระแก่นกั เรยี นในการเลอื กหัวข้อเอง แต่จากัดให้นักเรียนหาคาที่มีความหมายตามท่ีคุณครู กาหนดจานวน 5 คามาประกอบในบทกลอน ตวั อยา่ งการกาหนดคาดว้ ยความหมาย ให้นกั เรียนหาคาที่มีความหมายวา่ “ใจ” ทไ่ี ม่ใชค่ าวา่ “ใจ” มาใสไ่ วใ้ นบทกลอนท่ีแต่ง ให้นกั เรียนหาคาทม่ี คี วามหมายวา่ “ดอกไม้” ท่ีไมใ่ ชค่ าว่า “ดอกไม้” มาใสไ่ วใ้ นบทกลอนทแ่ี ต่ง ให้นักเรียนหาคาที่มีความหมายว่า “ผู้หญงิ ” ท่ีไม่ใช่คาวา่ “ผ้หู ญงิ ” มาใส่ไว้ในบทกลอนทีแ่ ตง่ ให้นักเรียนหาคาทม่ี ีความหมายวา่ “พระจันทร์” ที่ไม่ใชค่ าว่า “พระจันทร์” มาใส่ไวใ้ นบทกลอนท่แี ตง่ ใหน้ กั เรยี นหาคาที่มคี วามหมายวา่ “สุข” ท่ีไม่ใชค่ าวา่ “สุข” มาใสไ่ ว้ในบทกลอนที่แตง่ ขน้ั สรปุ 1. การทากิจกรรมนี้มีวตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ ดกู ารนาเสนอความคดิ ผ่านการแตง่ คาประพนั ธโ์ ดยพิจารณาการ เรียบเรยี งเนอื้ หา ความสามารถในการแต่งคาประพนั ธค์ ลงั คา การใช้ภาษา รวมถงึ ความรคู้ วามเขา้ ใจใน เรอ่ื งความงามตามรูปแบบ ความงามดว้ ยความ และความงามด้วยทว่ งทานองการเขียน 2. ใหน้ กั เรยี นนาเสนอบทกลอนหนา้ ช้ันเรยี น 3. ใหน้ ักเรยี นอภปิ รายถึงสิ่งท่ไี ดเ้ รียนรจู้ ากกจิ กรรม
78 กจิ กรรมที่ 4 “เขยี นเรื่องประเทอื งปัญญา” การดาเนนิ กจิ กรรม ข้ันนา 1. นักเรยี นเตรียมความพรอ้ ม น่งั ให้เปน็ ระเบียบ 2. ให้นกั เรยี นยกตัวอยา่ งเรื่องท่รี สู้ ึก “เหน็ ด้วย” และ “ไม่เห็นดว้ ย” ทีผ่ ่านมา (เร่อื งอะไรก็ได้) พร้อมท้ัง ชแ้ี จงเหตผุ ล (ผ้นู ากจิ กรรมควรรับฟงั โดยไม่ตดั สนิ ) ขั้นกจิ กรรม ให้นักเรยี นฝกึ เขียนเร่ืองราวพรอ้ มแสดงความคิดเห็นและเหตุผลประกอบ โดยคุณครูกาหนดโจทย์ให้ นักเรยี น ซ่งึ โจทยน์ ้นั ควรเป็นเร่ืองใกล้ตัวท่ีไม่ซับซ้อนหรือไม่ยากจนเกินไป มีประเด็นให้นักเรียน เลอื กตอบ เช่น “เหน็ ดว้ ย” หรือ “ไม่เหน็ ด้วย” “เหมาะสม” หรอื “ไมเ่ หมาะสม” ให้นักเรียนได้แสดง ความคิดเหน็ พรอ้ มนาเสนอเหตุผลประกอบ ตัวอยา่ งโจทย์ รถโดยสารสาธารณะมขี ้อความว่า “โปรดเอ้อื เฟ้ือแก่ เดก็ สตรี และ คนชรา” ปรากฏในหอ้ งโดยสาร นกั เรยี นเห็นดว้ ยหรือไม่กบั ขอ้ ความดังกล่าว ใหน้ ักเรยี นเขยี นแสดงความคิดเหน็ โดยให้เหตุผลประกอบ ขัน้ สรปุ 1. ใหน้ ักเรยี นนาเสนอหนา้ ช้ันเรยี นตามความสมคั รใจ 2. การทากจิ กรรมนม้ี วี ัตถปุ ระสงคเ์ พ่อื ดกู ารนาเสนอความคิดผ่านการใชภ้ าษาเขียนของนั กเรียน ทั้งใน เรอื่ งการใชค้ า การใชป้ ระโยค การเขยี นขอ้ ความ รวมถงึ การเรียบเรยี งเรอื่ งราว ซ่ึงจะเหน็ ได้ว่านักเรียน สามารถใชภ้ าษาไทยสื่อสารไดต้ รงตามเจตนาในการสอ่ื ความของตนหรือไม่ เปน็ การสะทอ้ นให้ศักยภาพ ดา้ นการใชภ้ าษาเพือ่ สือ่ สารความคิดของนกั เรยี น นอกจากนี้ยังได้เห็นถึง คลังศัพท์ คลงั ข้อมูล การเรียบ เรยี งความคดิ ของนักเรยี นอีกด้วย 3. ใหน้ ักเรยี นอภปิ รายถงึ ส่ิงทไ่ี ดเ้ รยี นรู้จากกจิ กรรม 4. จากกจิ กรรมน้นี ักเรยี นสามารถนาความรู้ไปใชใ้ นชวี ิตประจาวนั อย่างไรไดบ้ า้ ง
79 3. กจิ กรรมสง่ เสรมิ ความสามารถดา้ นมิติสมั พนั ธ์ กจิ กร รมที่ 1 กิจกรรมประตมิ ากรรมมะเขอื พวง การ ดาเนินกิจกร ร ม ขัน้ นา 1. ให้นกั เรียนนงั่ ประจาทีเ่ พื่อเตรยี มความพรอ้ ม 2. ครสู อบถามนักเรยี นถงึ รปู แบบงานศิลปะทีน่ ักเรียนรู้จกั 3. ครแู สดงภาพตัวอย่างงานศลิ ปะแบบประตมิ ากรรม ขั้นกจิ กรรม 1. ครแู สดงวสั ดอุ ุปกรณ์ • มะเขือพวงจานวนมาก • ไม้จมิ้ ฟัน • ดอกไม้, ใบไม้, แครอท สาหรับตกแตง่ 2. นักเรียนออกแบบประติมากรรมท่ีจะสรา้ งในกระดาษ 3. นักเรียนสรา้ งประติมากรรมจากมะเขอื พวงและไม่จิ้มฟนั และตกแตง่ ตามจนิ ตนาการ 4. นาเสนอผลงาน • ชอ่ื ผลงาน • ทม่ี าและแรงบนั ดาลใจ ขนั้ สรุป 1. ร่วมกนั อภิปรายถงึ “ขอ้ ดี” และ “ขอ้ เสยี ” ของวัสดุทีใ่ ช้สรา้ งประติมากรรม 2. หากไมใ่ ชม้ ะเขอื พวงและไมจ้ ม้ิ ฟัน สามารถใช้วสั ดใุ ดสรา้ งประติมากรรมไดบ้ า้ ง 3. ร่วมกันอภปิ รายถงึ ส่ิงทไ่ี ดเ้ รียนร้จู ากกิจกรรม
80 กิจกรรมท่ี 2 กิจกรรมภาพงามตามธรรมชาติ การ ดาเนินกิจกร ร ม ขน้ั นา 1. นักเรยี นเตรยี มความพรอ้ ม 2. นักเรียนร่วมกนั แสดงความคดิ เหน็ ว่าแตล่ ะคนชอบการถ่ายภาพหรอื ไม่ อย่างไร ขนั้ กจิ กรรม 1. ครูให้นกั เรยี นลงไปทส่ี นามโรงเรยี น และเก็บวัสดุธรรมชาติตา่ งๆ เช่น เศษใบไม้ ดอกไม้ท่ีหล่น ดิน ก้อนหนิ กอ้ นกรวด มาจัดวางองค์ประกอบใหเ้ ป็นรปู รา่ งต่างๆ ตามจินตนาการ 2. ใหน้ กั เรยี นถ่ายภาพองคป์ ระกอบธรรมชาตทิ ่ีจดั วาง 3. นาเสนอที่หนา้ ช้นั เรียน ข้ันสรปุ 1. ใหน้ ักเรยี นนัง่ เป็นกลมุ่ กลุ่มละ 5 คน และแลกเปลย่ี นกนั ชมผลงาน 2. ใหแ้ ตล่ ะคนเลือกผลงานที่ชอบ 1 ผลงาน และสะทอ้ นใหเ้ จา้ ของผลงานและเพอื่ นในกลมุ่ ได้ฟัง 3. รว่ มกันอภิปรายถึงสงิ่ ท่ไี ด้เรียนรจู้ ากกิจกรรม
81 4. กจิ กรรมสง่ เสรมิ ความสามารถด้านดนตรี สาหรบั ผูท้ ่ีไมม่ ีพื้นฐานทางดนตรมี ากอ่ น เช่น ไมไ่ ดเ้ รียนการเล่นเครื่องดนตรีชนิดใดเป็นพิเศษ นอกเหนือจากรายวิชาดนตรตี ามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ สามารถฝึกฝนและเพ่ิ มเติมทักษะทาง ดนตรีไดจ้ ากการฟัง โดยสามารถฟงั เพลงและแยกองค์ประกอบพ้ืนฐานของดนตรี เช่น ทานอง (melody) ระดับเสียงสูง-ต่า (pitch) จังหวะ (beat/rhythm/pulse) ความเร็ว (tempo) อารมณ์เพลง (character) เครอ่ื งดนตรี (instrumentation) ผา่ นกจิ กรรมทางดนตรตี ่าง ๆ ได้ ดังน้ี กิจกรรมที่ 1 กิจกรรมสง่ เสริมดา้ นการฟัง และสงั เกตความเรว็ (tempo) และ อารมณเ์ พลง (character) การดาเนนิ กจิ กรรม 1. เปิดเพลงทม่ี คี วามแตกต่างกันอยา่ งชดั เจนในองคป์ ระกอบเหลา่ นี้ อารมณ์เพลง ความเร็ว เคร่อื งดนตรี 2. ให้ผเู้ ข้ารว่ มกิจกรรมจัดกลมุ่ เพลงที่ มีอารมณเ์ พลงเหมอื นกนั เช่น สนกุ สนาน เศร้า ความเร็วใกล้เคียงกัน เช่น เพลงเรว็ เพลงช้า ไวด้ ว้ ยกัน หมายเหตุ อาจจะเปิดเพลงประเภทเดียวกันในแต่ละคร้ัง เช่น เพลงไทยสากล เพลงลูกทุ่ง เพลงคลาสสิค เพลงปฺอป หรือเปดิ หลากหลายประเภทผสมกันก็ได้ แตอ่ งค์ประกอบด้านบนควรแตกต่างกัน กิจกรรมที่ 2 กิจกรรมสง่ เสรมิ ด้านจังหวะ (beat/rhythm/pulse) การดาเนนิ กิจกรรม 1. เปิดเพลงประเภทใดก็ได้ ให้ผเู้ ข้ารว่ มกิจกรรมลองฟงั และลองขยับรา่ งกาย เชน่ โยกตัว กระดิกเท้า ตบมือ ตามจงั หวะเพลง (beat/pulse) 2. เปิดเพลงสัน้ ๆ และให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมฟังก่อน และตบมื อตามรูปแบบจังหวะ (rhythmic pattern) ท่ีไดย้ ิน 3. ใหผ้ ู้เข้าร่วมกิจกรรมลองสรา้ งจังหวะ (rhythmic pattern) เองจากการเคาะอุปกรณ์รอบตัว เช่น โต๊ะ ตะเกยี บ ปากกา ดีดนวิ้ ตบมือ กจิ กรรมท่ี 3 กิจกรรมสง่ เสรมิ ด้านทานอง/ระดับเสียง (melody/pitch) การดาเนินกจิ กรรม 1. เปดิ ทานองเพลงส้ัน ๆ ให้ฟงั และรอ้ งตาม โดยไมต่ ้องรอ้ งเปน็ คาร้องแต่ร้องเป็น ลา ลา ลา ให้ระดับเสียง ใกลเ้ คยี งกับทานองท่ไี ด้ยิน (melody) 2. เปดิ ทานองสัน้ ๆ หลายๆ ทานองที่มีความสูง - ต่า ของระดบั เสยี งในแต่ละทานองทตี่ า่ งกัน และให้ระบุว่า ทานองใดช่วงเสียงสงู กวา่ หรือตา่ กวา่ (pitch) 3. ใหผ้ ูเ้ ข้าร่วมกจิ กรรมลองสร้างทานอง (melody) เองสนั้ ๆ จากการร้อง ลา ลา ลา
82 กจิ กรรมที่ 4 กจิ กรรมดนตรีสอื่ ความรู้สึก การดาเนนิ กจิ กรรม ขน้ั นา 1. ให้นักเรียนน่ังประจาทเ่ี พือ่ เตรยี มความพร้อม 2. ครูสอบถามนักเรยี นถึงความรสู้ ึกในปัจจบุ นั ขณะของแต่ละ คนว่าเป็นอย่างไร และเปล่งเสียงแทน ความรสู้ กึ นนั้ ๆ ข้นั กิจกรรม 1. ครูเตรียมคลิปเสียงท่แี ตกต่างกัน 5 เสียง 2. ให้นักเรียนในชั้นไดฟ้ ังพร้อม ๆ กันทลี ะคลปิ และจดบนั ทกึ ความรู้สึกท่เี กดิ ข้นึ จากการได้ยนิ • จนิ ตนาการเป็นสถานการณ์ใด • ความรู้สกึ ท่ีเกิดขน้ึ 3. ให้นักเรียนจบั กลมุ่ แลกเปล่ยี นกัน 4. ให้นักเรียนเลอื กคลิปเสียงทช่ี อบท่ีสดุ และแลกเปล่ียนในกลมุ่ ท่เี ลือกคลิปเสียงเดียวกนั 5. แตล่ ะกลมุ่ นาเสนอ ขัน้ สรุป 1. ทกุ คนรว่ มกันอภปิ รายถึงสิง่ ทไี่ ด้เรยี นรู้จากการทากจิ กรรม 2. ทุกคนร่วมกนั อภปิ รายถึงการนาสิง่ ทไ่ี ดเ้ รยี นรไู้ ปใช้ในชวี ติ ประจาวนั
83 5. กิจกรรมสง่ เสรมิ ความสามารถดา้ นธรรมชาติ กจิ กรรมที่ 1 กิจกรรมบันทึกปรากฏการณ์ การ ดาเนินกิจกร ร ม ข้ันนา 1. ใหน้ กั เรียนนง่ั ประจาที่เพอื่ เตรยี มความพร้อม 2. ครูถามวา่ นกั เรยี นร้จู กั ปรากฏการณธ์ รรมชาตอิ ะไรบ้าง ขน้ั กจิ กรรม 1. ให้นกั เรียนเลอื กปรากฏการณธ์ รรมชาตทิ สี่ นใจ 1 ปรากฏการณ์ เชน่ พระอาทิตยต์ กดิน ฝนตก รุ้งกิน นา้ น้าขึ้น น้าลง เป็นต้น 2. ใหน้ กั เรียนบนั ทกึ สิ่งท่เี ห็นจากปรากฏการณ์ลงในสมดุ 1 สปั ดาห์ เช่น เวลาทีเ่ กิด อุณหภูมิ รูปร่างที่ เหน็ สีทีเ่ ห็น ส่ิงแวดล้อมทเี่ ปลี่ยนแปลงตาม ฯลฯ วาดภาพหรอื ถ่ายภาพประกอบด้วย หมายเหตุ ในกรณที ี่ไมเ่ กิดปรากฏการณ์ธรรมชาติท่เี ลือกในวนั นั้นๆ เช่น ฝนไมต่ ก ให้นักเรียน บนั ทกึ เกรด็ ความรู้เกย่ี วกับปรากฏการณธ์ รรมชาตินัน้ แทน วนั ละ 1 หัวขอ้ 3. เม่ือครบ 1 สัปดาห์แล้ว นาเสนอผลงาน และจดั นิทรรศการในห้องเรียน ข้ันสรปุ 1. ให้นกั เรยี นอภิปรายถงึ สงิ่ ท่ไี ดท้ ามาตลอด 1 สปั ดาห์ และคณุ สมบตั ิใดทท่ี าให้กจิ กรรมสาเรจ็ 2. ร่วมกนั อภิปรายถงึ สงิ่ ทไี่ ดเ้ รียนรู้จากกิจกรรม กิจกรรมท่ี 2 กิจกรรมบนั ทกึ ธรรมชาติ การดาเนินกจิ กรรม ขน้ั นา 1. ให้นกั เรียนนัง่ ประจาท่ีเพ่อื เตรยี มความพร้อม 2. ใหน้ กั เรียนทุกคนปิดตา 3. ครนู าใบไม้ ดอกไม้ กอ้ นหิน เปลือกไม้ มาให้นกั เรียนไดส้ มั ผสั 4. นักเรียนรว่ มกนั อภิปรายถงึ ผวิ สมั ผสั และความรู้สึกทเ่ี กดิ ข้นึ ขัน้ กจิ กรรม 1. ครแู จกกระดาษ A4 ให้นกั เรียนคนละ 5 แผน่ และสีชอลก์ น้ามัน 2. ใหน้ ักเรยี นลอกลายพื้นผิวของใบไม้ กลบี ดอกไม้ เปลือกไม้ ก้อนหนิ และกิ่งกา้ น โดยการใช้กระดาษ A4 วางทาบบนพ้ืนผิวและใชส้ ชี อลก์ น้ามนั ระบายบนกระดาษ จะปรากฏลวดลายของพื้นผิว 3. ใหน้ ักเรียนเขียนคาอธิบายประกอบภาพ และไปคน้ คว้าหาขอ้ มลู ของพชื ชนดิ นน้ั ๆ 4. นาเสนอผลงาน และจัดนิทรรศการในห้องเรียน
84 ข้นั สรปุ 1. .ใหน้ ักเรยี นแต่ละคนบอกถึงผวิ สมั ผัสทต่ี นชอบทส่ี ุดจากกิจกรรมนี้ 2. รว่ มกันอภปิ รายถงึ สง่ิ ที่ได้เรยี นรจู้ ากกิจกรรม
85 6. กิจกรรมสง่ เสริมความสามารถดา้ นการเคลื่อนไหวและการใช้กล้ามเนื้อ กจิ กรรมท่ี 1 กิจกรรมละครใบ้ การ ดาเนินกิจกร ร ม ข้นั นา 1. ให้นกั เรยี นนัง่ เป็นวงกลมเพื่อเตรียมความพร้อม 2. ครใู หน้ กั เรยี นแต่ละคนแสดงท่าประจาตัวของตนเอง ขั้นกิจกรรม 1. ให้นักเรียนแบ่งกล่มุ ออกเปน็ 5 กลุ่ม 2. แตล่ ะกลุ่มจะไดโ้ จทยท์ แี่ ตกตา่ งกัน • ใคร • ทาอะไร • ที่ไหน • เม่อื ไหร่ • อย่างไร 3. เมอ่ื ได้รับโจทยแ์ ล้วให้แตล่ ะกลุ่มเขยี นคาตอบลงในกระดาษ โดยปิดเป็นความลับ 4. ครูถามคาตอบทลี ะกลุ่ม สมาชกิ ในแตล่ ะกลุ่มตอบพรอ้ มกัน 5. เลน่ ซา้ 3 รอบ เพื่อใหน้ ักเรยี นไดเ้ รียนรกู้ ารสรา้ งเร่อื งราว 6. แบง่ กลุ่มนักเรียนใหม่เป็น 3 กล่มุ 7. ให้นกั เรียนในแต่ละกล่มุ สรา้ งเรื่องราวใหม่ ตามโครงเรื่องที่ได้เรยี นรู้ (ใคร/ทาอะไร/ที่ไหน/เม่ือไหร่/ อย่างไร) 8. ให้นกั เรยี นแสดงละครใบ้ตามเรอ่ื งราวทีส่ รา้ งข้นึ 9. กลุ่มที่เหลอื เป็นผู้ชม และทายเร่อื งราวทลี่ ะครใบ้ตอ้ งการส่ือ ขน้ั สรปุ 1. รว่ มกันอภิปรายว่านักเรียนชอบข้ันตอนใดของกิจกรรมมากท่สี ดุ 2. รว่ มกันอภปิ รายถึงความสาเรจ็ ของการทากิจกรรมนี้ (ทง้ั ในส่วนของการแสดง และการทายเรื่องราว) 3. รว่ มกันอภปิ รายถงึ สงิ่ ท่ีได้เรียนรู้จากกิจกรรม
86 กจิ กรรมท่ี 2 กจิ กรรมตามแต่ใจ การ ดาเนินกิจกร ร ม ขนั้ นา 1. ใหน้ ักเรยี นนงั่ เป็นวงกลมเพื่อเตรียมความพร้อม 2. ครูใหน้ กั เรียนแต่ละคนแสดงทา่ ทางท่สี ื่อถงึ ความรูส้ ึกในตอนนี้ ขั้นกิจกรรม ให้นักเรยี นออกแบบทา่ ทางที่แสดงออกอารมณด์ งั ตอ่ ไปนี้ - อารมณอ์ ยากไปหาคนรัก - อารมณอ์ กหัก - อารมณ์คิดถงึ ใครสกั คน - อารมณ์ไมพ่ อใจกบั ส่ิงท่ไี ด้พบเจอ ขั้นสรุป 1. แบง่ กลมุ่ นกั เรยี นกล่มุ ละ 5 คนรว่ มกันอภปิ รายถงึ ความ “ยาก” “ง่าย” ของการแปลงอารมณ์เป็น ทา่ ทาง 2. ร่วมกนั อภปิ รายถึงสง่ิ ที่ได้เรียนรู้จากกิจกรรม
87 7. กจิ กรรมส่งเสรมิ ความสามารถดา้ นมนษุ ยสมั พนั ธ์ กจิ กรรมที่ 1 ชอ่ื กจิ กรรม ดลู ะครแล้วย้อนดตู วั การดาเนินกจิ กรรม ขัน้ นา 1. ให้นักเรียนนง่ั ประจาตาแหน่งเพื่อเตรยี มความพร้อม 2. ครถู ามถงึ อารมณต์ า่ งๆ ทเี่ คยเกดิ ขึ้นกับตวั นักเรยี น และการจัดการอารมณ์ ขั้นกจิ กรรม 1. ครูเปิดคลปิ สถานการณค์ วามขดั แยง้ เชงิ ความสัมพันธ์ใหน้ ักเรียนชม • นักเรียนขดั แยง้ กับผูป้ กครอง • นักเรยี นถูกครทู าโทษ • นกั เรยี นขดั แย้งกับเพือ่ น 2. เมือ่ จบแตล่ ะคลปิ ใหน้ ักเรยี นจดบันทกึ อารมณ์ที่เกดิ ขน้ึ 3. หลังจากนั้นใหน้ กั เรยี นเขยี นวธิ ีจดั การอารมณ์และวธิ กี ารจัดการปัญหา 4. ใหน้ ักเรยี นแบง่ กลุ่มเป็น 2 กล่มุ เพื่อพูดคุยแลกเปลยี่ นกัน 5. ให้นกั เรียนจดบันทกึ วิธกี ารของเพือ่ นท่นี ่าสนใจ 6. ครคู วรร่วมรับฟงั ทกุ กลุม่ และใหข้ อ้ เสนอแนะในช่วงท่ีนักเรียนแลกเปล่ยี นกนั ขน้ั สรปุ 1. ร่วมกนั อภิปรายถงึ สง่ิ ทีไ่ ดเ้ รียนร้จู ากกิจกรรม 2. ร่วมกันอภิปรายถงึ การนาสิง่ ที่ไดเ้ รยี นรูไ้ ปปรับใชใ้ นชวี ิตประจาวัน
88 กิจกรรมท่ี 2 ชอ่ื กจิ กรรม ไมร่ ู้ ไม่ช้ี วตั ถุประสงค์ 1. เขา้ ใจความรู้สกึ ของผู้อน่ื 2. ตระหนกั ในท่าทขี องตนเองเม่อื พูดคุยกบั ผอู้ นื่ การดาเนนิ กิจกรรม ข้ันนา 1. ใหน้ กั เรียนจับคู่ 2. ใหน้ กั เรยี นสลับกันพูดกบั ค่ขู องตนคนละ 2 นาที 3. ใหน้ กั เรยี นทเี่ ป็นผฟู้ งั แสดงทา่ ทางไมร่ ู้ ไม่ชี้ และไม่ฟังระหว่างท่เี พอื่ นพูด ขั้นกิจกรรม 1. ครจู บั เวลาใหน้ กั เรียนคนแรกพูด 2 นาที และย้าวา่ อกี คนตอ้ ง ไมร่ ู้ ไมช่ ี้ ไมฟ่ งั 2. เมือ่ หมดเวลา 2 นาที ครูจับเวลาอกี คร้งั ใหน้ ักเรยี กอกี คนพดู และนักเรียนทพี่ ูดคนแรก กลายเป็น ผู้ไมร่ ู้ ไมช่ ี้ ไม่ฟัง 3. หลังจากนนั้ ถามคาถาม ใหน้ กั เรยี นพูดคุยแลกเปลย่ี นแสดงความคดิ เหน็ ตามคาถามดงั น้ี - รู้สกึ อย่างไร เมื่อเราพดู แล้วไม่มีคนฟัง - เม่ือไม่มคี นฟงั ผพู้ ูดมีพฤตกิ รรมตอบสนองอย่างไรบ้าง - พฤติกรรม ทา่ ทาง ของผไู้ มฟ่ ัง เปน็ อยา่ งไรบา้ ง 4. ครจู ดบนั ทกึ คาตอบและความคิดเหน็ ขนั้ สรุป 1. ร่วมกันอภิปรายถงึ ส่ิงทไ่ี ด้เรยี นรจู้ ากกิจกรรม 2. ครูชว่ ยสารวจว่าได้ประเดน็ ความรสู้ กึ ของเราเมื่อไม่ถูกฟัง และ พฤติกรรม ท่าที ของผู้ฟังที่ไม่มี ประสทิ ธภิ าพ 3. รว่ มกนั อภิปรายถึงการนาส่งิ ทไ่ี ด้เรียนรู้ไปปรบั ใชใ้ นชีวติ ประจาวัน
89 กิจกรรมท่ี 3 ชื่อกิจกรรม ทางเดียว หรอื สองทาง วตั ถุประสงค์ 1. เข้าใจถึงการสือ่ สารทางเดยี ว ทที่ าใหเ้ กดิ ความไม่เข้าใจกนั 2. ตระหนักถึงความสาคัญของการส่อื สาร 2 ทาง การดาเนนิ กจิ กรรม ขน้ั นา 1. ใหน้ กั เรยี นจับคู่ และ น่งั หลังชนกัน 2. นักเรยี นคนหน่งึ เปน็ ผู้สง่ สาร ทาหนา้ ที่อธบิ ายภาพให้เพ่ือนฟัง นักเรียนอีกคนหนึ่งเป็นผู้รับสาร มี หนา้ ที่วาดภาพตามที่เพอ่ื นบอก 4. นักเรยี นทเ่ี ปน็ ผู้ส่งสารตอ้ งอธบิ ายภาพดว้ ยวาจาอย่างเดียว ห้ามตอบคาถาม หรือ แสดงท่าทางให้ผู้ ส่งสาร 5. ผู้รบั สารต้องฟงั และวาดภาพอย่างเดียว หา้ มดูภาพ และ หา้ มถามผสู้ ่งสาร ขั้นกิจกรรม 1. ครแู จกภาพให้นักเรยี นที่เปน็ ผูส้ ่งสาร และกระดาษ- ดินสอวาดภาพให้ผู้รบั สาร 2. จบั เวลาใหผ้ ูส้ ่ง และ ผู้รบั สารภารกจิ ให้เสร็จภายใน 5 นาที 3. หลงั จากนน้ั ถามคาถาม อนุญาตให้ผ้รู บั สารไดด้ ภู าพ และ เปรยี บเทยี บกบั ภาพทีว่ าด 4. ใหน้ กั เรียนพดู คยุ แลกเปลย่ี นความคดิ เห็นกนั กับคขู่ องตวั เองวา่ จะทาอยา่ งไรได้บา้ ง ที่จะทาให้ภาพ ท่วี าดออกมาไดด้ ขี ึ้น เหมอื นกบั ตน้ ฉบับมากขน้ึ 5. แลกเปล่ียนเรยี นร้เู ทคนิควิธีการสอื่ สารในกลุม่ ใหญ่ ขัน้ สรุป 1. รว่ มกันอภิปรายถงึ สง่ิ ท่ีไดเ้ รียนรู้จากกจิ กรรม 2. รว่ มกนั อภปิ รายถึงการนาสิ่งท่ไี ดเ้ รยี นรไู้ ปปรับใช้ในชีวิตประจาวนั ภาพทใ่ี ช้
90 8. กิจกรรมสง่ เสริมความสามารถด้านการเขา้ ใจตนเอง กจิ กรรมท่ี 1 กจิ กรรม จดุ แขง็ – จุดออ่ นสะท้อนตัวตน การดาเนนิ กจิ กรรม ขัน้ นา 1. ครผู สู้ อนแจ้งวัตถุประสงค์ ความสาคญั และข้ันตอนของกจิ กรรมใหน้ กั เรียนทราบ 2. ให้นก้ เรยี นทาสมาธเิ ป็นเวลา 3 นาที โดยเปิดเสียงเพลงคลอเบา ๆ เพ่อื ความรู้สึกผ่อนคลายและ เหมาะแก่การพจิ ารณาตนเอง ขน้ั ดาเนนิ กจิ กรรม 1. ครผู ู้สอนเตรียมใบกจิ กรรม “จดุ แขง็ จดุ อ่อน- สะท้อนตัวตน” ให้นักเรียนและชี้แจงให้นักเรียน ทราบถึงประโยชนข์ องการให้ขอ้ มลู ตามความเป็นจรงิ มคี วามซ่ือสตั ยก์ บั ความรู้สึกของตนเอง เพ่ือ ข้อมลู ท่ีได้จากการพิจารณาตนเองน้ันจะนาไปสู่การวเิ คราะห์ถงึ แนวทางการพัฒนาตนเองในอนาคต ได้ 2. ครูผสู้ อนนาใบกจิ กรรมท่ี 1 ซ่ึงประกอบดว้ ย 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนท่ี 1 ให้นักเรียนพิจารณาตนเอง ตามความเป็นจริงเกีย่ วกับจุดแขง็ จุดเดน่ สง่ิ ที่ทาให้ตัวเองเกิดความภาคภมู ิใจ ส่งิ ที่ได้รับการชื่นชม จากผอู้ นื่ ความสามารถพิเศษ หรอื คุณลกั ษณะอื่น ๆ ในด้านบวก แลว้ เขยี นลงไปในใบกิจกรรมให้ มากท่ีสุด และส่วนที่ 2 ให้นักเรียนพิจารณาตนเองความเป็นจริงเกี่ยวกับจุดอ่อน จุดด้อย จุดบกพร่อง หรือ คณุ ลกั ษณะอืน่ ๆ ในดา้ นลบของตนเอง ทง้ั ท่ีรบั รไู้ ดด้ ้วยตนเองหรือผู้อื่นบอกก็ได้ แล้วเขียนลงไปในใบกจิ กรรมให้มากทีส่ ุด 3. ครผู ู้สอนนาใบกจิ กรรมท่ี 2 ใหน้ ักเรียนเขยี นขอ้ มลู ของตนเองโดยผ่านการวิเคราะห์จากขอ้ มูลในใบ กจิ กรรมที่ 1 ใน 3 ประเดน็ ดังต่อไปน้ี คอื 1) บุคลิกลกั ษณะทอ่ี ยากให้เกิดข้ึนกบั ตนเองในอนาคต 2) ลักษณะเดน่ ของตนเองทสี่ ามารถพัฒนาเพ่ือใหเ้ ป็นบคุ คลตามทีใ่ ฝฝุ นั ในอนาคตได้ 3) จดุ บกพร่อง หรอื จดุ ด้อยของตนเองที่ควรปรับปรุงเพอ่ื ให้เปน็ บุคคลตามท่ใี ฝฝุ ันในอนาคต 3. ครผู ู้สอนให้นกั เรียนอ่านบทกลอนสอนใจหรอื บทความที่แสดงออกถึงความปรารถนาดีของครูที่มีต่อ ลกู ศษิ ย์ เพ่ือเป็นประโยชน์แกต่ นเองในอนาคต จากนน้ั ให้นกั เรียนทากิจกรรม “ความสาเร็จในวันนี้มี ทีม่ าจาก...” แล้วนามาวิเคราะหว์ ่าอะไรทมี่ ีส่วนทาใหน้ กั เรียนประสบความสาเรจ็ ได้ ไม่วา่ จะเป็นบุคคล เหตกุ ารณ์ หรอื คาพดู ต่าง ๆ ขัน้ สรปุ 1. ครผู ู้สอนสมุ่ เรยี กนักเรียนมา 1 คน เพอ่ื เปน็ ตัวอย่างในการอภปิ รายร่วมกันว่าจากข้อมูลที่ผ่านการ พิจารณาตนเองอย่างไม่มอี คติ ซ่ือสัตย์กบั ความคดิ และความรสู้ กึ ของตนเอง และชว่ ยกันวเิ คราะห์ว่านักเรียน คนนี้จะสามารถพฒั นาหรือปรับปรุงตนเองได้อยา่ งไรบ้าง จากจดุ เด่นและจุดบกพรอ่ งหรอื จดุ ด้อยท่ีตนเองมีอยู่ เพือ่ ให้เปน็ บคุ คลตามทใ่ี ฝฝุ ันในอนาคตได้
91 2. ให้นกั เรยี นจับคกู่ ันแล้วลองผลัดกันวิเคราะหว์ า่ ในสงิ่ ท่ีเพอ่ื นมคี วามคิดเหน็ ต่อตัวนกั เรียนน้ันเป็นไปได้ หรือไม่ เปน็ ความจรงิ หรอื ผดิ ไปจากความจริง หรอื ควรมอี ะไรเพิ่มเติมบา้ ง เพอื่ เปน็ แนวทางในการพัฒนาและ ปรับปรงุ ตนเองของเพอ่ื นจากขอ้ มลู ท่ไี ดร้ บั ตามความเปน็ จริง 3. ครูผ้สู อนให้นักเรียนนาเสนอวา่ มอี ะไรบ้างทีม่ สี ่วนสนับสนุนใหน้ ักเรียนประสบความสาเรจ็ ในชีวติ กิจกรรมท่ี 2 กจิ กรรมดูละครแลว้ ยอ้ นดตู ัว การ ดาเนินกิจกร ร ม ข้ันนา 1. ให้นกั เรยี นนัง่ ประจาตาแหน่งเพ่ือเตรยี มความพรอ้ ม 2. ครูถามถงึ อารมณ์ตา่ งๆ ท่เี คยเกิดข้นึ กบั ตัวนกั เรียน และการจัดการอารมณ์ ข้นั กิจกรรม 1. ครเู ปดิ คลิปสถานการณ์ความขดั แยง้ เชงิ ความสัมพนั ธ์ให้นกั เรียนชม • นักเรียนขดั แยง้ กบั ผ้ปู กครอง • นกั เรียนถกู ครทู าโทษ • นกั เรยี นขัดแย้งกับเพอ่ื น 2. เมอ่ื จบแต่ละคลิป ให้นักเรยี นจดบนั ทกึ อารมณท์ ี่เกดิ ขน้ึ 3. หลงั จากนนั้ ใหน้ ักเรยี นเขยี นวธิ จี ัดการอารมณแ์ ละวิธกี ารจัดการปัญหา 4. ให้นักเรียนแบง่ กลุม่ เป็น 2 กล่มุ เพ่อื พูดคุยแลกเปล่ยี นกนั 5. ให้นักเรยี นจดบนั ทึกวธิ ีการของเพอื่ นทน่ี า่ สนใจ 6. ครูควรรว่ มรบั ฟังทกุ กล่มุ และใหข้ อ้ เสนอแนะในช่วงท่ีนักเรียนแลกเปลย่ี นกนั ขั้นสรุป 1. รว่ มกันอภปิ รายถึงสงิ่ ท่ีไดเ้ รียนรู้จากกิจกรรม 2. ร่วมกันอภิปรายถึงการนาส่ิงท่ีได้เรยี นร้ไู ปปรบั ใชใ้ นชีวติ ประจาวัน
92 การอบรมเชิงปฏบิ ัตกิ าร เรอื่ ง การประเมนิ แ ละสง่ เสริมความสามารถทางพหุปัญญา สาหรับครมู ธั ยมศกึ ษ าตอนตน้ หลักการและเหตผุ ล เดก็ และเยาวชนจะมีศักยภาพในตนพอที่จะพัฒนาจนเกิดเปน็ ทักษะความสามารถเฉพาะด้าน (Talent) แตอ่ าจจะไม่แสดงออกมาให้เหน็ เปน็ ทีป่ ระจักษ์ ถา้ หากการจัดการเรียนรู้เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดง ความสามารถทห่ี ลากหลาย เราก็จะพบจานวนเด็กท่มี ีความสามารถสูงกว่าปกติในด้านใดด้านหนึ่งมากขึ้น เรื่อยๆ ซึ่งจากทฤษฎพี หุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) ของโฮเวริ ด์ การด์เนอร์ มแี นวคดิ ว่า ความฉลาดหรือเชาวน์ปัญญาของมนุษย์มีหลากหลาย บุคคลหนึง่ อาจจะมเี ชาวน์ปัญญาโดดเด่นเพียงด้านเดียว หรืออาจหลายดา้ น การส่งเสรมิ ให้เดก็ ไดค้ น้ หาความสนใจและใชค้ วามสามารถ/ความถนัดของตนเองในการ สรา้ งสรรค์แนวคดิ ให้กลายเปน็ นวัตกรรมเชิงรูปธรรม ต้องอาศัยการสรา้ งส่ิงแวดลอ้ มทางการเรียนรู้ที่สนับสนุน การเปดิ โอกาสให้เด็กได้คดิ ลงมอื ปฏบิ ตั ิ ใช้การชนี้ าตนเอง ได้ฝกึ เร่ืองการสอื่ สารและการทางานรว่ มกบั ผู้อืน่ ซึ่งองค์ประกอบดังกลา่ วเปน็ สง่ิ สาคญั ท่ีจะชว่ ยให้เดก็ ประสบความสาเรจ็ ต่อไปในอนาคตได้ ดังน้ัน การส่งเสริม ศักยภาพของครูให้มคี วามรูค้ วามเข้าใจในการส่งเสรมิ ความสามารถทางพหปุ ญั ญาจงึ มีความสาคัญเพ่ือให้ได้รับ การสง่ เสริมพฒั นาได้เต็มตามศกั ยภาพ ภายใตบ้ รรยากาศทีเ่ ออื้ ตอ่ การเรียนรู้ และครอบคลุมหลากหลายสาขา ความสามารถ ดังนั้น สถาบันแห่งชาติเพ่ือการพัฒนาเด็กและครอบครัว ซ่ึงเป็นหน่วยงานที่มุ่งเน้นการ ใหบ้ รกิ ารวชิ าการและให้ความสาคญั กับการส่งเสริมศกั ยภาพให้แก่เดก็ และเยาวชนจึงเห็นควรให้จัดโครงการ อบรมการส่งเสริมความสามารถทางพหุปญั ญาข้นึ เพอ่ื เป็นการใหค้ รูนาความรู้ไปพัฒนาความสามารถและความ สนใจของเดก็ นักเรียน และเพ่ือเตรยี มความพรอ้ มให้เป็นเดก็ ทมี่ ที กั ษะสาคญั ในศตวรรษท่ี ๒๑ คือ การสื่อสาร (communication) การทางานเปน็ ทมี (collaboration) และทกั ษะชีวติ (Life skills) ตอ่ ไป วัตถุประสงคข์ องโครงการ ๑. เพอ่ื ใหผ้ เู้ ข้าอบรมมีความรูค้ วามเขา้ ใจเรอ่ื งความสามารถทางพหุปัญญา ๒. เพ่อื ใหผ้ ูเ้ ขา้ อบรมมคี วามรู้เบอ้ื งต้นในการวดั ความสามารถทางพหปุ ญั ญา ๓. เพื่อให้ผูเ้ ข้าอบรมสามารถเขยี นแผนการจดั กจิ กรรมสง่ เสริมความสามารถทางพหุปัญญาของ นกั เรียนได้ กล่มุ เป้าหมาย ครูระดับมัธยมศึกษาตอนต้น/ผสู้ นใจ จานวน ๓๐ คน
93 ผู้ร ับผิดช อบโ ค ร งการ งานวิจัย สถาบันแห่งชาติเพื่อการพฒั นาเดก็ และครอบครัว มหาวทิ ยาลัยมหิดล และมหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ วทิ ยากร 1) ผศ.ดร.พชั รนิ ทร์ เสรี 2) ผศ.ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร 3) ผศ.ดร.ชนิดา มิตรานนั ท์ 4) ผศ.ดร.สธุ าวัลย์ หาญขจรสุข 5) นางสาลนิ ี จันทรเ์ จริญ 6) นางสาวปรชั ญานนั ท์ ทองกลม ระยะเวลาในการดาเนนิ กิจกรรม อบรมเชิงปฏิบัตกิ ารวนั เสารท์ ่ี ๑๗ - วันอาทิตย์ที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๓ สถานทดี่ าเนินกิจกรรม โรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว กรุงเทพ ฟอรจ์ นู ประโยชนท์ ่ีคาดวา่ จะได้รบั ผเู้ ข้ารบั การอบรมไดร้ บั การพฒั นาความรู้ และความสามารถในการ วัด และเขียนแผนการจัด กิจกรรมพัฒนาความสามารถของนักเรียนดา้ นต่าง ๆ ตามแนวคิด/หลกั การพหปุ ัญญา ตวั ชีว้ ดั โครงการ 1) ผเู้ ข้ารว่ มโครงการมีความรู้ความสามารถเรือ่ งพหปุ ัญญาระดับดี-ดมี าก มากกว่ารอ้ ยละ ๘๐ 2) ผเู้ ข้าร่วมโครงการสามารถเขยี นกจิ กรรม/แผนการจดั การเรียนรใู้ นการสง่ เสริมความสามารถ ทางพหปุ ญั ญามากกว่ารอ้ ยละ ๙๐ 3) ผเู้ ขา้ ร่วมโครงการมากกวา่ รอ้ ยละ ๙๐ มคี วามพึงพอใจในการจัดกิจกรรมระดับมากถึงมาก ทส่ี ุด
94 กาหนดการกจิ กรรมอบรมครู เรอื่ ง “การประเมนิ และสง่ เสรมิ ความสามารถทางพหปุ ญั ญา สาหรบั ครมู ธั ยมศึกษ าตอนต้น” วนั เสารท์ ี่ 17 ตลุ าคม 2563 (online) เวลา กจิ กรรม วทิ ยากร 09.00-12.00 น. ความรู้เกีย่ วกบั ความสามารถทางพหุปัญญา ผศ.ดร.พัชรนิ ทร์ เสรี - ด้านเหตุผลและคณิตศาสตร์ ผศ.ดร.ปนดั ดา ธนเศรษฐกร - ด้านภาษา ผศ.ดร.ชนดิ า มติ รานนั ท์ - ดา้ นมิตสิ ัมพนั ธ์ ผศ.ดร.สุธาวัลย์ หาญขจรสขุ - ด้านดนตรี - ด้านธรรมชาติ - ดา้ นการเคลอื่ นไหวและการใช้กลา้ มเน้อื - ดา้ นมนษุ ยสัมพนั ธ์ - ดา้ นการเข้าใจตนเอง แบบทดสอบความสามารถตามแนวคดิ พหปุ ญั ญา 13.00-14.30 น. การจดั กจิ กรรมพฒั นาศกั ยภาพตามความถนัดของ ผศ.ดร.พชั รินทร์ เสรี เยาวชนทส่ี อดคล้องกบั หลักพหปุ ญั ญา ผศ.ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร ผศ.ดร.ชนดิ า มติ รานันท์ ผศ.ดร.สุธาวลั ย์ หาญขจรสขุ
95 วนั อาทติ ยท์ ี่ 18 ตุลาคม 2563 (เชิงปฏบิ ัตกิ าร) เวลา กจิ กรรม วทิ ยากร 09.00-09.30 น. ทบทวนและแสดงตัวอย่างการจัดกิจกรรมพัฒนา ผศ.ดร.พัชรนิ ทร์ เสรี ศกั ยภาพตามความถนัดของเยาวชนที่สอดคล้องกับ ผศ.ดร.ปนดั ดา ธนเศรษฐกร หลักพหปุ ญั ญา ผศ.ดร.ชนิดา มติ รานนั ท์ ผศ.ดร.สธุ าวลั ย์ หาญขจรสขุ 09.30-12.00 น. ให้ผูเ้ ขา้ รว่ มเขียนแผนกจิ กรรม ผศ.ดร.พัชรินทร์ เสรี ผศ.ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร 12.00-13.00 น. รับประทานอาหารเทีย่ ง ผศ.ดร.ชนิดา มติ รานนั ท์ ผศ.ดร.สุธาวลั ย์ หาญขจรสุข 13.00-15.00 น. ผู้เขา้ รว่ มนาเสนอแผนกิจกรรม นางสาวปรัชญานนั ต์ ทองกลม 15.00-16.00 น. Reflection และสรุป ทมี วิทยากร
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122