Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มืออบรมผู้ฝึกสอนกีฬายิมนาสติก

คู่มืออบรมผู้ฝึกสอนกีฬายิมนาสติก

Published by library dpe, 2023-03-27 03:44:55

Description: คู่มืออบรมผู้ฝึกสอนกีฬายิมนาสติก

Search

Read the Text Version

คูม่ ือ ฝกึ อบรมผฝู้ ึกสอน กีฬายมิ นาสติก ตามหลักสูตรมาตรฐานวิชาชีพผู้ฝึกสอนกฬี ายิมนาสตกิ จัดทำ�โดย สถาบันพัฒนาบคุ ลากรการพลศกึ ษาและการกีฬา กรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเทย่ี วและกฬี า

ชือ่ หนังสือ คมู่ ือฝกึ อบรมผฝู้ ึกสอนกีฬายิมนาสตกิ จัดทำ�โดย กรมพลศกึ ษา กระทรวงการทอ่ งเท่ียวและกฬี า ปที พ่ี มิ พ ์ 2559 ISBN 978-616-297-453-3 จ�ำ นวน 2,000 เลม่ ออกแบบ นางสาวปัญญาณฏั ฐ ์ พลู สวัสด์ิ พมิ พท์ ่ี ศูนยส์ ือ่ และสง่ิ พิมพ์แกว้ เจา้ จอม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สวนสนุ นั ทา

คำ�นำ� กรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเท่ียวและกีฬาเป็นองค์กร หลักด้านการกีฬาของประเทศ ซึ่งมีพันธกิจ อำ�นาจหน้าที่ในการพัฒนาบุคลากร ด้านการกีฬา ได้เห็นความสำ�คัญของการฝึกอบรม ผู้ฝึกสอนกีฬายิมนาสติก ให้เป็นไปตามมาตรฐานบุคลากรด้านการกีฬาระดับชาติ จึงได้จัดทำ� คู่มือฝึกอบรมผู้ฝึกสอนกีฬายิมนาสติกตามหลักสูตรมาตรฐานวิชาชีพ ดังกล่าว ท้ังน้ี เพ่ือใช้ในการฝึอบรม ผู้ฝึกสอนกีฬายิมนาสติกให้มีประสิทธิภาพ และเป็นมาตรฐานเดียวกัน กรมพลศึกษา ขอขอบคุณคณะผ้จู ดั ทำ� ผูท้ รงคุณวุฒิ ผ้เู ช่ยี วชาญ และผู้เก่ียวข้องทุกท่าน ท่ีทำ�ให้คู่มือฝึกอบรมผู้ฝึกสอนกีฬายิมนาสติก ส�ำ เรจ็ ลลุ ว่ งไปดว้ ยดี หวงั เปน็ อยา่ งยงิ่ วา่ คมู่ อื เลม่ น้ี จะเปน็ ประโยชนต์ อ่ การพฒั นา ผู้ฝึกสอนกีฬายมิ นาสติกใหม้ ีประสิทธิภาพและมาตรฐานเดยี วกัน กรมพลศกึ ษา 2559



สารบญั หนา้ ค�ำ นำ� สารบัญ 1 มาตรฐานวิชาชพี ผ้ฝู กึ สอนกีฬายมิ นาสติก 1 4 บทท่ี 1 ความรู้ทวั่ ไปเก่ยี วกบั กฬี ายิมนาสติก 6 ประวตั คิ วามเป็นมาของกฬี ายิมนาสติกในต่างประเทศ 8 ประวัติความเป็นมากฬี ายิมนาสตกิ ในประเทศไทย 8 ประเภทของกฬี ายิมนาสตกิ 9 10 บทท ่ี 2 หลกั การเปน็ ผฝู้ ึกสอนกฬี า 13 ความหมายของผ้ฝู ึกสอนกีฬา 14 คณุ ลกั ษณะของผูฝ้ กึ สอนกีฬา 16 คุณสมบตั ขิ องผู้ฝกึ สอนกฬี าท่ีด ี 16 บทบาทของผ้ฝู ึกสอนกฬี าทีด่ ี 19 จรรยาบรรณของผู้ฝกึ สอนกีฬา 19 27 บทที ่ 3 หลักการฝกึ สอนกีฬา 29 เพศและการเจรญิ เตบิ โต 29 หลักการสอน 38 การสอนเทคนิคทกั ษะ 38 การสอนแทคตกิ 38 วิธีการฝกึ สอนกีฬา 43 ทกั ษะในการสอื่ สาร 43 44 บทที่ 4 หลกั การฝกึ กฬี า 45 กฎธรรมชาตขิ องรา่ งกาย 54 การประเมินองคป์ ระกอบของรา่ งกาย 55 สมรรถภาพทางกายทีส่ �ำ คญั 57 วิธกี ารทดสอบสมรรถภาพทางกาย 61 การเสริมสรา้ งสมรรถภาพทางกาย การฝึกซอ้ ม การอบอุน่ ร่างกาย การยืดกล้ามเน้อื การเสรมิ สรา้ งความแข็งแรง พลงั ความอดทนของกล้ามเนอื้ การเสริมสรา้ งความอดทนของระบบการไหลเวยี นโลหิตและการหายใจ

สารบัญ (ตอ่ ) หนา้ 67 บทท่ี 5 จติ วิทยาการกีฬา บทที่ 6 โภชนาการส�ำ หรับนักกฬี า 93 บทท่ี 7 การปฐมพยาบาล บทท่ี 8 การบริหารจัดการในการเปน็ ผู้ฝึกสอนกฬี า 108 บทท่ี 9 ทกั ษะกฬี ายมิ นาสติก บทท่ี 10 กติกาการแขง่ ขนั กีฬายิมนาสติก 126 กตกิ ากีฬายมิ นาสตกิ ศิลป์ชาย กติกากีฬายิมนาสติกศิลปห์ ญงิ 132 บรรณานุกรม ทปี่ รกึ ษา 157 คณะผทู้ รงคณุ วุฒแิ ละคณะผู้จดั ท�ำ 157 บรรณาธกิ ารและผเู้ รยี บเรียง 221 295 299 299 300

หลักสูตร ผฝู้ ึกสอนกีฬายิมนาสติก ระยะเวลา 5 วนั ล�ำ ดบั ท่ี เนื้อหา กจิ กรรม บรรยาย อภิปราย ฝกึ สื่อ ทดสอบ จ�ำ นวน สาธิต ปฏบิ ัติ นวตั กรรม ประเมินผล ชั่วโมง 1 บทบาทและหน้าท่ีการเป็นผ้ฝู ึกสอนกฬี า 2 วทิ ยาศาสตร์การกีฬากับการพัฒนากฬี ายมิ นาสตกิ 0.30 0.30 - - - 1 3 ชีวกลศาสตรก์ บั การพฒั นากีฬายมิ นาสตกิ 2.00 - - - - 2 4 จิตวิทยาการกีฬา 5 โภชนาการการกฬี า 1.00 0.30 - 0.30 - 2 6 การเสรมิ สรา้ งสมรรถภาพทางการท่เี ก่ียวข้องกับกีฬา ยมิ นาสตกิ 1.30 0.30 - - - 2 7 การวางแผนการฝกึ ซ้อม​ โปรแกรมการฝกึ ซอ้ ม 2.00 - - - - 2 8 ความปลอดภยั และการป้องกนั การบาดเจบ็ จากกฬี า ยิมนาสตกิ 1.00 - 3.00 - - 4 9 ความรทู้ ว่ั ไปเกยี่ วกับกีฬายิมนาสติก 1.30 0.30 - - - 2 10 ทักษะกีฬายมิ นาสตกิ 1.30 - 0.30 - - 2 - Floor Exercise & Vauliting Table - มา้ หู (Pommel Horse) 1.30 - - 0.30 - 2 - หว่ งนง่ึ (Rings) - ราวคู่ (Parallel Bars) 0.30 3.30 - - 12 - ราวเดี่ยว (High Bar) 0.30 1.30 0.30 1.30 - - 2 11 การบริหารจัดการในการฝึกซ้อมและแขง่ ขนั 0.30 1.30 - 2.00 2 12 ทดสอบ 0.30 1.30 - 13 กจิ กรรมกลุ่มและการออกแบบกิจกรรม - - 2 - อุปกรณม์ า้ หแู ละหว่ ง 1.30 0.30 - - - 2 - ราวคู่และราวเดีย่ ว - - - - 2 0.30 - 1.30 0.30 - 1.30 0.30 - 1.30

ตารางการฝกึ อบรมผฝู้ กึ สอนกีฬายมิ นาสติก วัน/เวลา 08.00-10.00 น. 10.15-12.15 น. 13.15-15.15 น. 15.30-17.30 น. 17.45-19.00 โภชนาการการกฬี า พิธเี ปิดการอบรม/ วทิ ยาศาสตรก์ ารกีฬากับ ชวี กลศาสตรก์ บั การพฒั นา 1 บรรยายพเิ ศษ บทบาท การพฒั นากฬี ายิมนาสติก กีฬายมิ นาสติก และหนา้ ทข่ี องผฝู้ ึกสอน จติ วทิ ยาการกีฬา กีฬา การเสรมิ สร้าง การเสรมิ สร้างสมรรถภาพ การวางแผนการฝกึ ซ้อม ความปลอดภัยและการ สมรรถภาพทางกายที่ ทางกายทีเ่ กยี่ วขอ้ งกบั โปรแกรมการฝึก การวางแผนการฝกึ ซ้อม ปอ้ งกนั การบาดเจ็บ 2 เกยี่ วข้องกบั กฬี า โปรแกรมการฝกึ จากกฬี ายิมนาสตกิ กฬี ายมิ นาสตกิ ความรทู้ ัว่ ไปเกยี่ วกบั ความร้ทู ัว่ ไปเกยี่ วกับ ยมิ นาสตกิ ความรู้ทว่ั ไปเก่ียวกบั กีฬายิมนาสติก ความร้ทู ว่ั ไปเกย่ี วกับ Floor Exercise & กฬี ายมิ นาสตกิ กีฬายิมนาสติก 3 ความรู้ทั่วไปเก่ียวกบั กฬี ายมิ นาสติก Vaulting Table กิจกรรมกล่มุ การ สรุป - อภิปราย กฬี ายมิ นาสติก ห่วงน่ิง (Rings) ออกแบบกิจกรรม กจิ กรรมกลุม่ การออกแบบ ทดสอบ ซักถาม 4 ม้าหู (Pommel Horse) กจิ กรรมราวคู่และราวเดี่ยว สรุป-อภิปราย ซกั ถาม พธิ ีปิดการอบรม 5 ราวเดีย่ ว (High Bar)

มาตรฐานวิชาชีพผู้ฝึกสอนกฬี ายิมนาสติก มาตรฐานวชิ าชพี เปน็ เกณฑม์ าตรฐานทผี่ ปู้ ระกอบวชิ าชพี ยดึ ถอื เปน็ แนวทางในการท�ำหนา้ ท่ี ตามบทบญั ญตั แิ หง่ วชิ าชพี ซง่ึ ก�ำหนดไวอ้ ยา่ งมคี ณุ ภาพ ไดแ้ ก่ มาตรฐานในการปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ มาตรฐาน ดา้ นความรู้ และมาตรฐานในการปฏบิ ัตติ นตามจรรยาบรรณวชิ าชีพ มาตรฐานวิชาชีพบุคลากรด้านการกีฬา เป็นกรอบหรือแนวทางการด�ำเนินงานหรือ การปฏิบัติหน้าที่ของบุคคลท่ีเป็นสมาชิกในวิชาชีพเดียวกัน ได้แก่ ผู้ฝึกสอนกีฬา ผู้ตัดสินกีฬา เพือ่ รบั รองความน่าเชอ่ื ถือและเป็นการรบั ประกนั การปฏบิ ตั หิ น้าท่ี อย่างมคี ุณภาพและเป็นมาตรฐาน เดยี วกัน ในการจัดท�ำคู่มือผู้ฝึกสอนกีฬายิมนาสติกนี้ ได้ยึดหลักจากมาตรฐานวิชาชีพผู้ฝึกสอนกีฬา ยิมนาสติกระดับชาติ ซึ่งกรมพลศึกษาได้จัดท�ำโดยความร่วมมือของผู้ฝึกสอนกีฬายิมนาสติก ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง อันจะเป็นแนวทางในการพัฒนาผู้ฝึกสอนกีฬายิมนาสติก ใหม้ คี วามรู้ ความสามารถ เปน็ ทย่ี อมรบั และเชอื่ ถือของสงั คมทง้ั ระดับชาตแิ ละนานาชาตติ อ่ ไป มาตรฐานวิชาชีพผู้ฝึกสอนกีฬายิมนาสติก ประกอบด้วยมาตรฐาน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้ ดา้ นการปฏบิ ัตงิ าน และดา้ นการปฏิบตั ติ น รวมท้งั สิ้น 15 มาตรฐาน ดงั น ี้ 1) มาตรฐานดา้ นความรู้ แบ่งออกเปน็ 3 มาตรฐานยอ่ ย คือ มาตรฐานท่ี 1 มีความรูเ้ กยี่ วกบั กฬี ายมิ นาสติก 1.1 ความรู้เกี่ยวกับระบบ ระเบียบ กฎ กติกา สนามและอุปกรณ์ วิธีการเล่น จ�ำนวนผู้เลน่ ระยะเวลาของการแข่งขนั รวมถึงแนวทางการตัดสิน การประทว้ ง และการร้องเรยี น 1.2 ความรู้เกยี่ วกบั ทกั ษะ เทคนคิ และแทคตกิ ของกีฬายมิ นาสติก มาตรฐานท่ี 2 มีความรู้เกีย่ วกบั การเปน็ ผฝู้ กึ สอนกีฬายมิ นาสติก 2.1 ปรชั ญาการกีฬา จรรยาบรรณของผฝู้ กึ สอนกฬี ายมิ นาสตกิ 2.2 บทบาทหนา้ ทีแ่ ละความรบั ผดิ ชอบของผ้ฝู กึ สอนกีฬายมิ นาสตกิ 2.3 ความรเู้ ก่ยี วกบั หลักการสอนและการสือ่ สาร 2.4 การประชาสมั พนั ธ์กบั ผบู้ ริหาร นักกฬี า ผูป้ กครอง สอ่ื มวลชน และองค์กรที่ใหก้ ารสนับสนุน 2.5 ความรู้เก่ยี วกับการวางแผนและการเขียนแผนการฝึกซอ้ มกีฬา 2.6 หลักการบริหารจัดการกีฬาท่ัวไปและการบริหารจัดการกีฬาในช่วงการฝึกซ้อม และการแข่งขัน

มาตรฐานที่ 3 มคี วามรเู้ กี่ยวกบั วทิ ยาศาสตร์การกฬี า 3.1 ความรูเ้ ก่ยี วกบั สรรี วทิ ยาการออกก�ำลังกาย 3.2 ความรู้เกี่ยวกบั หลักการฝกึ กีฬาและการประเมินผลความก้าวหน้าของนักกีฬา 3.3 ความรู้เก่ียวกับสมรรถภาพทางกาย การทดสอบสมรรถภาพทางกาย และหลักการเสริมสรา้ งสมรรถภาพทางกาย 3.4 พฒั นาการเจรญิ เติบโต การพฒั นาศักยภาพของนกั กีฬาและความรเู้ ก่ยี วกบั หลกั การฝกึ นักกีฬาในแตล่ ะช่วงอายุ 3.5 ความรูเ้ กย่ี วกบั หลกั การเคลอ่ื นไหวในการเลน่ กฬี า 3.6 จิตวทิ ยาการกฬี า 3.7 โภชนาการการกฬี า การไม่ใช้สารเสพตดิ และสารต้องห้ามในนกั กีฬา 3.8 ความปลอดภัยและการป้องกนั การบาดเจบ็ จากการกีฬา การปฐมพยาบาล 3.9 หลักการฟ้ืนฟูสภาพทางกาย กายภาพบ�ำบัดเบื้องต้น 2) มาตรฐานดา้ นการปฏบิ ตั ิงาน แบ่งออกเป็น 9 มาตรฐานย่อย คือ มาตรฐานท่ี 4 ปรัชญา คุณธรรม และจริยธรรม 4.1 ปลูกฝังนักกีฬาให้เห็นคณุ คา่ ของการเข้ารว่ มกิจกรรมการกีฬาตามปรัชญาการกฬี า 4.2 ส่งเสริมนักกีฬาและบุคลากรกฬี าให้มีคณุ ธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณ 4.3 พัฒนาแนวทางการฝึกสอนใหเ้ ปน็ ไปตามปรัชญาของการฝกึ สอน โดยเน้นนกั กฬี า เป็นศนู ย์กลาง มาตรฐานท่ี 5 ความปลอดภยั และการปอ้ งกนั การบาดเจ็บ 5.1 จัดหาอุปกรณ์ สง่ิ อ�ำนวยความสะดวกและจัดสภาพแวดลอ้ มให้มคี วามปลอดภยั 5.2 ดูแลอุปกรณ์ท่ีจ�ำเป็นต้องใช้ในการฝึกซ้อมและแข่งขันให้มีความเหมาะสมและ ปลอดภยั 5.3 เปล่ียนแปลงแก้ไขสถานที่และอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับการฝึกซ้อมกีฬาและ ปลอดภัยต่อนกั กฬี า 5.4 มวี ธิ กี ารตรวจสอบสภาวะรา่ งกายของนกั กฬี าอนั อาจเปน็ เหตใุ หเ้ กดิ การบาดเจบ็ จากการเลน่ กีฬาหรือการแขง่ ขันกีฬา 5.5 ท�ำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นไดอ้ ยา่ งเหมาะสม และทันทว่ งที 5.6 ประสานงานการดูแลอาการบาดเจ็บและสุขภาพของนักกฬี า รวมทัง้ การฟ้ืนฟู สมรรถภาพทางกายตามค�ำแนะน�ำของแพทย์ 5.7 วิเคราะห์ผลกระทบทางจติ วิทยาจากอาการบาดเจ็บของนกั กฬี า

มาตรฐานที่ 6 การเจรญิ เติบโตและพัฒนาการของนักกีฬา 6.1 น�ำความรดู้ า้ นการเจรญิ เตบิ โตและพฒั นาการของนกั กฬี ามาใชใ้ นการฝกึ ซอ้ ม นกั กีฬาในแต่ละช่วงอายุ 6.2 ส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์และสังคม โดยสนับสนุนให้มีประสบการณ์ ในการร่วมกิจกรรมกีฬาและกิจกรรมทางสังคม 6.3 ส่งเสริมโอกาสให้นักกีฬามีความรับผิดชอบ มีภาวะผู้น�ำและผู้ตาม ตามวุฒิภาวะของตน มเี หตผุ ลและรูเ้ ท่าทนั กนั มาตรฐานที่ 7 การเสริมสรา้ งสภาพร่างกาย 7.1 น�ำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การกีฬามาใช้ในการสร้างเสริมสมรรถภาพ ทางกายของนักกีฬา 7.2 ออกแบบการฝกึ การเสรมิ สรา้ งสมรรถภาพทางกายและการฟน้ื ฟสู ภาพรา่ งกาย ดว้ ยหลักการและวิธกี ารทถ่ี ูกตอ้ งเหมาะสม 7.3 ให้ค�ำแนะน�ำนักกฬี า ในเรอื่ ง การรับประทานอาหารทีเ่ หมาะสมและกวดขัน การใชส้ ารตอ้ งหา้ มและวิธีการต้องห้ามทางการกีฬา 7.4 จดั ท�ำแผนฟน้ื ฟสู มรรถภาพทางกายของนกั กฬี าทบ่ี าดเจบ็ ตามค�ำแนะน�ำของ แพทย์ เพ่ือช่วยเหลือนักกีฬาให้สามารถกลับเข้าร่วมการแข่งขันได้เต็มท่ี หลงั การบาดเจ็บ มาตรฐานที่ 8 การฝึกซอ้ มกฬี า 8.1 สามารถออกแบบและจัดท�ำแผนการฝึกซ้อมตามหลักการทฤษฎี โดยการน�ำ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์การกีฬา มาใช้ในการพัฒนาโปรแกรมฝึกซ้อม เพ่ือเพิม่ ขดี ความสามารถของนกั กฬี า 8.2 จดั ระบบและวิธีการฝกึ ในแต่ละฤดูกาลแขง่ ขนั อย่างเหมาะสม เพอ่ื ให้เปน็ ไปตาม เปา้ หมายในแตล่ ะชว่ งเวลา 8.3 วางแผนการฝกึ แตล่ ะวนั ให้ไดผ้ ลสูงสุดภายในเวลาและทรัพยากรที่มอี ยู่ 8.4 ใช้เทคนิคการฝึกทางจิตวิทยาเพื่อกระตุ้นให้นักกีฬาได้พัฒนาความสามารถ ของตนเองและลดความเครียด มาตรฐานที่ 9 การสอน การถ่ายทอดความร้แู ละการส่อื สาร 9.1 สามารถประยกุ ตค์ วามรแู้ ละทฤษฎกี ารสอน จติ วทิ ยาการเรยี นรู้ เพอื่ ใหบ้ งั เกดิ ผลดีต่อนักกีฬา 9.2 ถ่ายทอดการสอนตอ่ นกั กฬี า โดยค�ำนงึ ถึงความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล 9.3 ใช้วิธีการสอนท่ีเหมาะสม เพื่อให้นักกีฬาได้พัฒนาความสามารถของตนเอง และยึดมัน่ ในจรรยาบรรณ 9.4 สามารถสอื่ สารกบั นกั กฬี าและผอู้ นื่ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสมทงั้ วาจาและการกระท�ำ

มาตรฐานที่ 10 การก�ำหนดกลยทุ ธใ์ นการเลน่ และการแขง่ ขนั 10.1 ต้ังเป้าหมายในการฝกึ ซอ้ มทักษะและการแขง่ ขันตลอดฤดูกาล 10.2 คัดเลือกนักกีฬา พัฒนาและใช้กลยุทธ์และกลวิธีในการแข่งขันกีฬาให้เหมาะสมกับวัย และระดับทกั ษะของนักกีฬา 10.3 สามารถใช้วิธีสังเกตการณ์ในการวางแผนการฝึกซ้อม การเตรียมความพร้อม ส�ำหรับการแข่งขันและการวเิ คราะห์เกมการแข่งขนั 10.4 เตรยี มความพร้อมส�ำหรบั การแขง่ ขัน โดยค�ำนงึ ถงึ สภาพอากาศ สภาพแวดลอ้ ม และความเหมาะสมทางกายภาพ มาตรฐานที่ 11 การบรหิ ารและการจดั การ 11.1 สามารถจดั ระบบเพื่อการเตรียมทมี แขง่ ขันกีฬาท่มี ีประสทิ ธภิ าพ 11.2 สามารถบริหารบคุ ลากรในทีมและควบคมุ นักกฬี าได้ 11.3 มีสว่ นร่วมในกิจกรรมประชาสัมพนั ธท์ มี กฬี า 11.4 สามารถบริหารจดั การเรอ่ื งการเงนิ และงบประมาณในส่วนทตี่ นรับผิดชอบ 11.5 สามารถบริหารจัดการข้อมูล เอกสารและบันทึกต่าง ๆ โดยใช้เทคโนโลยี ท่ีทนั สมยั 11.6 มคี วามรบั ผดิ ชอบในทางกฎหมายและมขี นั้ ตอนการบรหิ ารความเสยี่ งทเ่ี กยี่ วขอ้ ง กบั การฝกึ สอนกฬี า มาตรฐานท่ี 12 การประเมินผล 12.1 ใช้เทคนิคการประเมินผลท่ีมีประสิทธิภาพในการประเมินผลสมรรถภาพของทีม โดยใหส้ ัมพันธก์ ับเป้าหมายทว่ี างไว้ 12.2 สามารถประเมนิ ผลแรงจงู ใจและสมรรถภาพของนกั กฬี า โดยสมั พนั ธก์ บั เปา้ หมาย และจุดหมายในฤดูกาลแข่งขนั 12.3 ใชก้ ระบวนการทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพและเปน็ กลางในการประเมนิ ตนเอง และเจา้ หนา้ ท่ี 12.4 น�ำผลจากการประเมนิ มาวิเคราะห์และวางแผนในการด�ำเนนิ งานครงั้ ต่อไป 3) มาตรฐานด้านการปฏบิ ัตติ น แบ่งออกเป็น 3 มาตรฐานยอ่ ย คอื มาตรฐานท่ี 13 การปฏิบัตติ ่อตนเอง 13.1 ดแู ลสุขภาพเป็นประจ�ำ 13.2 สร้างเสริมสมรรถภาพทางกายอยา่ งสม่ำ� เสมอ 13.3 มีความอดทน อดกล้ันและควบคุมอารมณ์ได้ 13.4 มีบุคลิกภาพทด่ี ี มคี วามเปน็ ผ้นู �ำ และเชอื่ ม่ันในตนเอง

13.5 มีการพฒั นาตนเองและใฝห่ าความรอู้ ยู่เสมอ 13.6 สามารถใชเ้ ทคโนโลยไี ดอ้ ยา่ งเหมาะสม มาตรฐานท่ี 14 การปฏิบตั ิต่อผ้อู ่นื 14.1 มีมนษุ ยสัมพนั ธท์ ด่ี ีกบั นักกีฬาและผูอ้ ื่น 14.2 สามารถท�ำงานรว่ มกับผอู้ ่นื ได้ 14.3 มกี ารแสดงออกทั้งการพูดและการกระท�ำอย่างเหมาะสม 14.4 ไม่วจิ ารณผ์ ูฝ้ กึ สอนดว้ ยกนั ในท่สี าธารณะหรือในระหว่างการแขง่ ขัน มาตรฐานที่ 15 ปฏบิ ตั ติ นเปน็ แบบอย่างตามจรรยาบรรณวชิ าชพี ได้แก่ 15.1 มวี นิ ัยในการท�ำหน้าทผี่ ู้ฝกึ สอน 15.2 มีน�ำ้ ใจนกั กีฬา รแู้ พ้ รู้ชนะ รอู้ ภยั 15.3 มคี วามเสียสละ 15.4 มีความยุตธิ รรม 15.5 ปฏิบัตหิ นา้ ทอี่ ยา่ งเต็มความสามารถ 15.6 ปฏบิ ัติหนา้ ท่ีด้วยความซื่อสตั ยส์ จุ รติ 15.7 มคี วามรบั ผิดชอบต่อหน้าท่ี ต่อนกั กีฬา และต่อตนเอง 15.8 กลา้ ยอมรบั ในความบกพรอ่ งผดิ พลาด



บทที่ 1 ทที่ 1 บ ความรูท้ ว่ั ไปเกีย่ วกบั กีฬายิมนาสตกิ ประวัตคิ วามเป็นมาของกีฬายมิ นาสตกิ ในตา่ งประเทศ กีฬายิมนาสติกเป็นกีฬาที่สามารถสร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับผู้ชมเป็นอย่างยิ่ง พัฒนาการของกีฬายิมนาสติกนี้สามารถบ่งบอกถึงพ้ืนฐานการเคล่ือนไหวเบื้องต้นของกีฬาทุกชนิด กว็ ่าได้ โดยหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ปรากฏเด่นชดั ว่า กีฬายิมนาสตกิ ไดม้ ีพฒั นาการมาจากการวงิ่ กระโดด ขว้าง ปา ปีนป่าย ไต่เชือก ยกน�้ำหนัก ตลอดจนกิจกรรมโลดโผน และรวมไปถึงการต่อสู้ เพอื่ การด�ำรงชพี ของมนุษยใ์ นสมัยโบราณอีกดว้ ย กีฬายิมนาสติกได้เริ่มขึ้นเม่ือใดไม่มีหลักฐานบันทึกไว้แน่นอน อย่างไรก็ดีได้มีการบันทึก เหตุการณ์ไวเ้ มอื่ ประมาณ 2,600 ปี ก่อนคริสตศ์ กั ราช ซงึ่ เปน็ ระยะทีช่ าวจนี ไดค้ ดิ ท่าการบริหารกาย เพ่ือน�ำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการรักษาโรคของแพทย์แบบจีน (Chinese Medical Gymnastics) แต่การพัฒนาการของกีฬายิมนาสติกอย่างแท้จริงจึงเร่ิมต้นท่ีประวัติศาสตร์ชาวกรีกและโรมัน โดยเฉพาะกรีกเป็นประเทศท่ีสนใจและมีบทบาทที่ส�ำคัญต่อกีฬายิมนาสติกมาก แม้กระท่ังค�ำว่า “Gymnastics” ก็เป็นค�ำทมี่ าจากภาษากรกี ซงึ่ แปลว่า Nude ตามความหมายแปลว่า Necket หรือ ศิลปะแห่งการเปลือยเปล่า (ฟอง เกิดแก้ว, 2532) โดยเฉพาะแบบและท่าต่างๆ ท่ีน�ำมาใช้ ในการออกก�ำลงั กายและบรหิ ารกายในสมยั นนั้ ผทู้ คี่ ดิ ประดษิ ฐข์ น้ึ กเ็ ปน็ นกั การศกึ ษาของกรกี สมยั โรมนั จนเป็นท่ียอมรับ และถือปฏิบัติกันมาเป็นท่าบริหารกายท่ีได้มาตรฐานแพร่หลายไปตามศูนย์เยาวชน และสถาบันทุกแห่ง สมัยก่อนศิลปะของประเทศกรีกมีความเจริญพัฒนาไปมากรวมทั้งวิชาการ ดนตรี (music) จะเห็นได้จากจุดเร่ิมต้นของวิชาการดังกล่าวน้ี ได้ก่อตัวและพัฒนาการมาจาก สมัยกรีกทั้งสิ้น ยิมนาสติกก็ได้เร่ิมต้นและพัฒนาไปพร้อมๆ กับวิชาการเหล่านั้นด้วย จากหลักฐาน ทางประวตั ศิ าสตร์บนเกาะครตี ปรากฏภาพวาดโบราณอายุ 2,000 ปี บนก�ำแพงพระราชวงั โบราณ โมโนน เป็นภาพเด็กหนุ่มตีลังกาข้ามเขาวัว ซ่ึงต่อมาก็พัฒนาเป็นกีฬายิมนาสติกอุปกรณ์ม้ากระโดด (ปัจจุบันเรียกว่าโต๊ะกระโดด) และม้าหู อีกท้ังชาวสปาตาร์ท่ีมีรูปร่างแข็งแรงบึกบึนก็เพราะ มีการฝึกร่างกายด้วยการวิ่ง การกระโดดไต่เชือกต่อสู้ซึ่งเป็นพื้นฐานของยิมนาสติกท้ังสิ้น (สุกัญญา พานชิ เจรญิ นาม, 2548) กิจกรรมที่ชาวกรีกได้ก�ำหนดให้มีการฝึกซ้อมออกก�ำลังกายในกลุ่มของเยาวชนของชาต ิ จะเป็นการวิ่งต่อสู้ กระโดดยืดหยุ่น และการเคล่ือนไหวเพื่อการทรงตัว (Balance Movement) รวมถึงศิลปะการเต้นร�ำอีกด้วย โดยมีสถานที่ฝึกซ้อมของชาวกรีกโบราณโดยเฉพาะซึ่งเรียกว่า พาเลสตา (Palaestra) และยิมเนเซยี (Gymnasia) ค่มู ือฝึกอบรมผฝู้ ึกสอนกีฬายมิ นาสติก 1

ต่อมาพอส้ินยุคความเกรียงไกรของกรีก โรมัน การออกก�ำลังกายแบบยิมนาสติกก็เสื่อมลง นับเป็นเวลาหลายร้อยปี ซึ่งในระยะน้ีจึงเรียกกันว่ายุคมืด (Dark Age) ก่อนที่จะกลับมา ไดร้ ับความนยิ มขนึ้ มาอกี ครง้ั ในเยอรมนั สวเี ดน และเดนมาร์ก ในระหว่างศตวรรษท่ี 14 – 16 เป็นระยะที่เข้าสู่ยุคฟื้นฟู (Renaissance) ทุกๆด้าน ของกรีกและการพลศึกษา (Rhythmic gymnastics) ในทวีปยุโรปพร้อมๆกับกิจกรรมต่างๆ ทางพลศกึ ษาของกรีกดว้ ย ในปี พ.ศ. 2266 นกั การศึกษาคนส�ำคญั ชาวเยอรมนั ช่ือโจฮัน เบสดาว (Johann Basedow) ท่านได้น�ำการออกก�ำลังกายแบบยิมนาสติกบรรจุเข้าไว้ในหลักสูตรของโรงเรียน ต่อมาในระหว่าง ปีพ.ศ. 2319 นกั การศึกษาทส่ี �ำคัญอีกท่านหนง่ึ คือ โจฮันกุตส์มธุ ส์ (Johann Guts Muths) เปน็ ท่ีรจู้ กั กันดี ในนามคุณปู่แห่งกีฬายิมนาสติก (The Great Grand Father of Gymnastics) บทบาทของท่าน ท่ีท�ำให้กีฬายิมนาสติกมีความเจริญก้าวหน้าขึ้น คือ ท่านได้แต่งต�ำรา “ยิมนาสติกส�ำหรับเยาวชน” นับว่าเป็นต�ำรายิมนาสติกเล่มแรกของโลกและได้บรรจุวิชายิมนาสติกเข้าไว้ในหลักสูตรของโรงเรียน ปรสั เซยี (Prussian School) ในเยอรมัน ในระหว่างปี พ.ศ. 2321 นักวิชาการทางพลศึกษาและเป็นนักชาตินิยมชาวเยอรมัน ช่ือ เฟรดริค จาน (Friedrich Jahn) เป็นผู้ก่อต้ังศูนย์ฝึกกีฬาช่ือเทอนเวอเรียน (Turnverein) และในระหวา่ งทีม่ ีศนู ยฝ์ กึ เทอนเวอเรยี น จานไดค้ ิดประดษิ ฐ์อปุ กรณ์ขึน้ หลายชนิด เพอื่ ใช้เปน็ อปุ กรณ ์ ในการฝึกออกก�ำลังกายอุปกรณ์ต่างๆเหล่านั้น ได้มีอุปกรณ์ยิมนาสติกเกิดข้ึนด้วยคือราวคู่ ราวเดี่ยว (ปจั จุบันเรียกบาร์คู่ บาร์เดียว) มา้ หู และลองฮอสชนดิ สัน้ ซึง่ เรยี กวา่ บั้ค (Buck) จนเขาไดร้ ับฉายาวา่ เป็น “บดิ าแหง่ ยมิ นาสติก” (ศภุ ฤกษ์ มนั่ ใจตน, 2543) ตอ่ มา เฟรดริค จาน (Friedrich Jahn) ถูกจับคุมขงั ขอ้ หาลม้ ลา้ งรฐั บาล ยิมนาสติกกก็ ลายเป็น กีฬาต้องห้าม ต้องเล่นกันอย่างลับๆ และอุปกรณ์ที่ใช้ฝึกก็ลดขนาดลงเพื่อสามารถใช้ฝึกในท่ีร่มได้ ต่อมาก็แพร่หลายในสหรฐั อเมรกิ าและทวั่ โลก ในเวลาต่อมา นักพลศึกษาคนส�ำคัญชาวสวีเดนช่ือ เปอร์ ลิง (Pehr Ling) มีความเชื่อว่า การบริหารกายในลักษณะการออกก�ำลังกายแบบยิมนาสติกมีคุณค่าต่อการบ�ำบัดและแก้ไข ความบกพรอ่ งทางกายได้ เปอร์ ลงิ ยังเป็นผปู้ ระดษิ ฐ์อปุ กรณ์การออกก�ำลังกายต่างๆ เชน่ หีบกระโดด และราวติดกับฝาผนัง ใชส้ �ำหรบั บริหารร่างกายและฝึกกลา้ มเนอื้ ห้องอุปกรณ์ของเปอร์ ลงิ เป็นที่ร้จู ักกันดี ในนามอปุ กรณแ์ บบสวีเดน (Swedish Apparatus) ตอ่ มา เฟรนซ์ เนคทากอลล์ (Franz Nachtegall) ทา่ นได้รเิ ร่มิ จดั ตั้งโรงเรียนส�ำหรับฝกึ หัด ครูสอนยมิ นาสตกิ เป็นคนแรก ณ เมืองโคเปนเฮเกน (Copenhagen) จึงนบั ได้วา่ ท่านเปน็ นักการศกึ ษา ท่ีมีความส�ำคัญต่อวงการกีฬายมิ นาสตกิ อีกทา่ นหนึ่งในประเทศเดนมาร์ก 2 ค่มู ือฝึกอบรมผู้ฝึกสอนกีฬายมิ นาสติก

นักการศกึ ษาคนส�ำคญั ของชาวสวิสอกี ทา่ นหนง่ึ คอื อดอฟ สบซิ (Adolf Spiess) ทา่ นเปน็ ผู้เสนอให้บรรจุวิชายิมนาสติกไว้ในหลักสูตรของโรงเรียน ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กีฬายิมนาสติก ได้พัฒนาก้าวหน้าขึ้นมาตามล�ำดับ ในยุโรปเร่ิมมีอุปกรณ์การฝึกเพื่อออกก�ำลังกายแบบยิมนาสติกโดยเฉพาะ และยังไดเ้ ริ่มให้มกี ารเรียนการสอนเป็นแบบแผนในโรงเรียนอกี ดว้ ย ในปี ค.ศ. 1802 อเมริกาได้ตง้ั โรงเรยี นกองทัพบก พลศกึ ษาได้เป็นส่วนส�ำคัญของโรงเรียน ในระยะนัน้ เอง พลศกึ ษาแบบเยอรมนั ก็ไดเ้ ขา้ มามีบทบาทส�ำคญั ในอเมรกิ า สมาคมการออกก�ำลังกาย ท่ีเรียกว่า เทอนเวอเรียน (Turnverein) ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง จนท้ายท่ีสุดก่อนที่จะมี สงครามกลางเมือง ได้มีสมาคมเกิดข้ึนถึง 150 สมาคมและมีสมาชิก 10,000 คน สมาคมนี้เอง เป็นตัวต้ังตัวตี ในการตั้งวิทยาลัยพลศึกษาของอเมริกาเรียกว่า College of the American Gymnastics Union และมีบุคคลส�ำคัญๆ ในวงการพลศึกษาได้ส�ำเร็จจากโรงเรียนนี้เป็นจ�ำนวนมาก การพลศึกษาของอเมริกามีความเจริญข้ึนเร่ือยๆ จนกระท่ังก่อนที่จะเกิดสงครามกลางเมือง ในปี ค.ศ. 1818 การจดั พลศกึ ษาตามแบบแผนก็ได้เรม่ิ ขึน้ สว่ นใหญเ่ ปน็ การบริหารกาย ตอนหลงั ก็มี กายบริหารแบบยิมนาสติก ต่อมาก็มีกายบริหารประกอบดนตรี และวิทยาลัยแห่งน้ีได้ผลิต ครยู มิ นาสติกไปสอนตามสถานทต่ี า่ งๆ มากมาย ในปี ค.ศ. 1860 ดร.เลวิส (DrLawis) ได้สร้างวิธีการเล่นยิมนาสติกแบบใหม่ เพื่อช่วยคน ที่มีความอ่อนแอให้มีความแข็งแรง และมีชีวิตอยู่ในสังคมด้วยดี โดยจะพัฒนาทางความเคล่ือนไหว ความออ่ นตวั ความคล่องแคล่ววอ่ งไว และความสมบรู ณข์ องสขุ ภาพความสงา่ งามของรปู ทรง ค.ศ. 1840 – 1924 ทปี่ ระเทศสหรฐั อเมรกิ า ยมิ นาสตกิ ได้เร่ิมแพรก่ ระจายขึ้นอย่างรวดเรว็ หลังจากมีการต้ังวิทยาลัยยิมนาสติกขึ้น ชาวอเมริกันคนแรกที่มีความส�ำคัญต่อวงการยิมนาสติก คือ ดร.ดัดเลย์ ซาเจนท์ (Dr.Dudley Sagent) ท่านเป็นครูสอนกีฬายิมนาสติกและได้บรรจุอุปกรณ์ กีฬายิมนาสติกหลายอย่าง รวมท้ังเครื่องบริหารร่างกาย เช่น รอกน้�ำหนัก (Pulley Weights) นอกจากน้ี หนว่ ยงานต่างๆ ในสหรัฐอเมรกิ าก็มีบทบาทท�ำให้กีฬายมิ นาสติก มคี วามเจรญิ ก้าวหนา้ มากข้ึน สถาบันดังกล่าว ได้จัดให้มีครูผู้สอนยิมนาสติกโดยตรง มีการจัดโปรแกรมกีฬายิมนาสติกรวมเข้ากับ โปรแกรมทางพลศึกษาประเภทอน่ื ๆ เชน่ สมาคมวาย.เอ็ม.ซ.ี เอ (YMCA) ทสี่ ปริงฟิลด์ รฐั แมสซาชเู ซทท์ นบั วา่ เปน็ สมาคมแหง่ แรกของอเมรกิ า และบคุ คลทรี่ เิ รม่ิ ท�ำใหก้ ฬี ายมิ นาสตกิ เจรญิ กา้ วหนา้ ไปพรอ้ มกบั การศึกษาก็คือ ดร.ลูเธอร์ กูลิค (Dr. Luther Gulick) (มานิต หยูมาก, 2544, หน้า 36) ในชว่ งระยะ 30 กว่าปีทผี่ า่ นมา กีฬายิมนาสติกได้พฒั นาตัวเองใหท้ นั สมัยไปพร้อม ๆ กับกฬี าหลายชนดิ หลังจากสงครามโลกครั้งท่ี 2 สงบลง ได้เริ่มมีการก�ำหนดกติกา ระเบียบการแข่งขันข้ึนอย่างสมบูรณ์ กีฬายิมนาสติกจึงมีการจัดการแข่งขันข้ึนระหว่างมหาวิทยาลัยโรงเรียนและสถาบันทั่วไป (สุกัญญา พานชิ เจรญิ นาม, 2548) ค่มู ือฝกึ อบรมผฝู้ กึ สอนกีฬายิมนาสติก 3

ปี ค.ศ. 1896 (พ.ศ. 2439) ในการแขง่ ขันกีฬาโอลมิ ปกิ ครั้งที่ 1 ณ กรงุ เอเธนส์ ประเทศกรซี ได้มีการแข่งขันยิมนาสติกในโอลิมปิกคร้ังน้ีด้วย โดยมีกิจกรรมแข่งขัน เช่น วิ่งเร็ว กระโดดสูง กระโดดไกล กระโดดค�้ำถ่อ พุ่งแหลน ทุ่มน�้ำหนัก ว่ายน�้ำ ราวคู่ ราวเด่ียว คานทรงตัว และ Free exercise ปี ค.ศ. 1917 สหพันธ์ยิมนาสติกสากล (Federation International De Gymnastic) ได้ก่อตั้งขึ้น ณ เมืองลีซ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีช่ือย่อว่า FIG และก�ำหนดให้มีการแข่งขัน ยิมนาสติก ชิงแชมป์โลกข้ึน 2 ปีต่อคร้ัง ต่อมาได้เปล่ียนเป็น 4 ปี ก่อตั้งในการแข่งขันยิมนาสติก ชิงแชมป์โลกคร้ังท่ี 7 โดยจัดก่อนการแข่งขันโอลิมปิกหนึ่งปี ซึ่งในระยะแรกน้ัน จะมีการจัดการ แข่งขันเฉพาะชาย ต่อมาจัดให้มีการแข่งขันประเภทหญิงในปี ค.ศ. 1928 ซ่ึงตรงกับการแข่งขัน โอลิมปกิ ครั้งที่ 9 ในปี พ.ศ. 2477 เริม่ บรรจุม้ากระโดด (Vaulting horse) และบารต์ ่างระดับ (Uneven bars) เข้าไวใ้ นการแขง่ ขันกีฬายิมนาสติกด้วย (ศภุ ฤกษ์ ม่ันใจตน, 2543) ปัจจุบันกีฬายิมนาสติกเป็นท่ีนิยมอย่างกว้างขวางในอเมริกา มีการจัดตั้งกันขึ้นในรูปของ สมาคมต่างๆ นอกจากน้ันสถาบันต่างๆก็มีการฝึกฝนและจัดการแข่งขันทุกปีทั้งชายและหญิง เร่ิมต้ังแต่ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย จนถึงระดับวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย การแขง่ ขันได้มกี ารปรบั ปรงุ กฎเกณฑ์และกติกาการแขง่ ขนั ใหม้ ีมาตรฐานตามสากลนิยมขน้ึ ความก้าวหน้าของกีฬายิมนาสติกในปัจจุบันอยู่ในขั้นสูง เราจะเห็นได้จากการแข่งขัน กีฬายิมนาสติกระดับต่างๆ เช่นระดับภาคพ้ืนทวีปเอเชียซ่ึงเรียกว่าการแข่งขันเอเชี่ยนเกม (Asian Games) ระดับภาคพ้ืนยุโรปเรียกว่า Europe Championships การแข่งขันโอลิมปิก ซึ่งเริ่มให้มีการแข่งขันยิมนาสติกเป็นคร้ังแรก ณ กรุงเอเธนส์ หรือการแข่งขันระดับชิงแชมป์โลก การจัดการแขง่ ขนั ทกุ ระดับทกี่ ล่าวมาน้ี มีการแข่งขนั แตล่ ะอุปกรณ์แบบแสดงต่อเนือ่ งกันโดยยึดกตกิ า สากลของสหพนั ธย์ มิ นาสติกสากล (International Gymnastics Federation) หรือเรยี กสนั้ ๆ วา่ FIG ประวตั คิ วามเป็นมากีฬายิมนาสติกในประเทศไทย หลักฐานความเป็นมาของยิมนาสติกในเมืองไทยสมัยเริ่มแรกน้ัน ไม่ปรากฏหลักฐาน แนช่ ดั วา่ ไดเ้ รม่ิ มาตง้ั แตส่ มยั ใด และผทู้ นี่ �ำเขา้ มาเผยแพรก่ ไ็ มม่ หี ลกั ฐานทแี่ นน่ อนซง่ึ จะปรากฏแตเ่ ปน็ เพยี ง ข้อสันนิษฐาน และเรื่องเล่าที่สืบทอดกันมาเป็นเวลานาน จนกระท่ังถึงสมัยท่ีมีการเขียน จดบันทึก จนสามารถยึดถือเป็นหลักฐานจากการตั้งข้อสันนิษฐานว่า ในสมัยโบราณน้ันชาติไทยของเรา ไดม้ ีการตดิ ต่อกับชาวต่างประเทศมาตง้ั แต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งสมัยน้ันจะติดตอ่ กันในเรือ่ งการ แลกเปล่ียนซื้อขายสินค้าเป็นส่วนใหญ่ ต่อมาจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รชั กาลท่ี 5 ของไทย ไดม้ คี วามสัมพนั ธ์กบั ชาวตา่ งประเทศอยา่ งแนน่ แฟ้น และไดม้ กี ารสง่ ขา้ ราชการ 4 คูม่ อื ฝกึ อบรมผ้ฝู กึ สอนกีฬายมิ นาสติก

ไทยไปศกึ ษาในตา่ งประเทศ โดยเฉพาะประเทศในแถบยโุ รป ซงึ่ นยิ มการออกก�ำลงั กายประกอบอปุ กรณ์ ราวคู่ ราวเดยี่ ว ม้ากระโดด เมอื่ ขา้ ราชการไทยส�ำเร็จการศึกษากลบั มา ก็ไดน้ �ำเอาวธิ กี ารออกก�ำลงั กาย เข้ามาเผยแพร่ในประเทศ ซ่ึงรูปแบบของการออกก�ำลังกายประกอบอุปกรณ์ต่างๆมักนิยมเรียกกันว่า ยิมนาสติก โดยเริ่มแรกเข้ามาเผยแพร่ในหน่วยงานของตน จากน้ันก็น�ำมาฝึก เพ่ือเป็นการเสริมสร้าง สมรรถภาพร่างกายในเหล่าทหารของกองทัพไทย จนหน่วยงานราชการอื่นๆเห็นดีด้วยจึงส่งเสริม และฝึกหดั กนั จนเป็นทนี่ ิยมแพร่หลาย จากน้ัน กรมพลศึกษาได้ส่งนายสวัสดิ์ เลขะยานนท์ จากแผนกกีฬาโรงเรียนไปดูงาน การด�ำเนินการแข่งขันกีฬา และการสร้างกรีฑาสถานแห่งชาติ ในประเทศฟิลิปปินส์ จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เพอ่ื มาปรบั ปรุงการกีฬาใหเ้ หมาะสมกบั สมัย เชน่ ยยู ติ สู ตะกร้อ ฟตุ บอล ดดั ตน ห้อยโหน เนตบอล หมากรกุ ดัดตนทา่ มอื เปล่า บาสเกตบอล และกรีฑา ปี พ.ศ. 2476 หลักสตู รโรงเรยี นครูพลศึกษากองกายบริหาร ได้มกี ารสอนวิชากระบ่ีกระบอง กระโดดน้ำ� ว่ายน�้ำ ยยู ิตสู ดดั ตน หอ้ ยโหน ดัดตนท่ามือเปลา่ มวยไทย และมวยฝรัง่ (มวยสากล) ในปีเดียวกันนั้น ก็มีหลักสูตรพลศึกษา ส�ำหรับนักเรียนฝึกหัดครูประถมกิจกรรมก�ำหนด ให้เรียนวิชาพลศึกษาและลูกเสือ ก�ำหนดให้เรียนพลศึกษา โดยให้สามารถสอนกายบริหาร และดดั ตนท่าตา่ งๆ กับสว่ นหอ้ ยโหนทา่ ง่ายๆได้ การสาธิตกีฬายิมนาสติกสากลหรือการจัดการแข่งขันกีฬายิมนาสติกสากลได้ถูกจัดข้ึน ในการแขง่ ขนั กรฑี านักเรยี นประจ�ำปี พ.ศ. 2477 ท่สี นามโรงเรยี นราษฎรบ์ รู ณะ (มัธยม) ปัจจุบันคอื โรงเรยี นสวนกหุ ลาบ โดยกิจกรรมในคร้งั นนั้ ประกอบด้วย (ฟอง เกิดแก้ว, 2532) 1. การแสดงกายบริหาร โหนราว การไต่บันไดโค้ง หกคะเมนหน้า หกคะเมนหลัง บารเ์ ดี่ยว เลน่ หว่ ง เลน่ ชิงช้า และหดั แถว 2. การแข่งขันด้วยก�ำลังกายมีการชักคะเย่อ กระโดดสูง ว่ิงข้ามร้ัว ว่ิงเก็บของ กระโดดไกล ว่ิงระยะทาง 2 เส้น ว่ิงสวมกระสอบ วิ่งทน 10 เส้น ปิดตาหาของ ซึ่งในสมัยน้ัน การเรียกช่ือยิมนาสติกยังไม่ปรากฏให้เห็นเด่นชัด แต่มักจะใช้ช่ือเรียกอย่างอื่นมากกว่า เช่น ดัดตน หอ้ ยโหน โหนราว หกคะเมนหนา้ หกคะเมนหลงั เปน็ ตน้ จะเห็นวา่ การเคล่ือนไหวในลักษณะดังกลา่ ว เปน็ การเคลอื่ นไหวในยิมนาสติกแทบทง้ั สิ้น ในปี พ.ศ. 2479 มีหลักสูตรพลศึกษาของโรงเรียนพลศึกษากลางก�ำหนดให้เรียนกิจกรรม พลศึกษา 5 วิชา คือ มวยไทย กระบี่กระบอง ดัดตน หอ้ ยโหน ฟนั ดาบ (ดาบสากล) ในปี พ.ศ. 2483 กรมพลศึกษาไดเ้ ปลยี่ นหลักสูตรใหมโ่ ดยแบง่ หมวดวชิ าออกเป็น 2 หมวด คือวิชาบังคับและวิชาไม่บังคับ (วิชาเลือก) ในวิชาไม่บังคับมี 4 วิชา คือ มวยไทย มวยสากล กระบก่ี ระบอง ฟนั ดาบ วชิ าบังคับ คอื ดัดตน และห้อยโหน คู่มอื ฝึกอบรมผฝู้ ึกสอนกฬี ายมิ นาสตกิ 5

ปี พ.ศ. 2484 มหี ลกั สตู รพลศกึ ษาส�ำหรบั โรงเรยี นฝกึ หดั ครปู ระโยคครมู ลู ไดก้ �ำหนดกจิ กรรม ทางพลศึกษา คือ กายบริหารการเล่นในร่ม – กลางแจ้ง ยิมนาสติก กรีฑา ยูยิตสู ฟันดาบ และวา่ ยน�้ำ ปี พ.ศ. 2486 หลักสูตรพลศึกษาส�ำหรับประโยคครูมูล ก�ำหนดเรียนกิจกรรมพลศึกษา คอื กายบรหิ าร การเล่นกลางแจง้ – ในร่ม กรฑี า ยมิ นาสตกิ และการเลน่ กีฬาต่างๆอยา่ งน้อยวันละ 30 นาที ก่อนเขา้ ห้องเรยี น ปี พ.ศ. 2489 มีหลักสูตรพลศึกษาส�ำหรับโรงเรียนฝึกหัดครูมัธยมซ่ึงใช้มาต้ังแต่ ปี พ.ศ. 2484 ให้เรียนกิจกรรมดังน้ี กายบริหารท่ามือเปล่า และประกอบเครื่องมือยิมนาสติก ยิมนาสตกิ ชนั้ สูง ยืดหยนุ่ หีบกระโดด (มา้ กระโดด) ราวคู่ ราวเดี่ยว หว่ งไกว การเล่นกีฬาต่างๆ ไดแ้ ก่ บาสเกตบอล ตะกรอ้ เทนนิส แบดมนิ ตนั ปี พ.ศ. 2490 มีหลักสูตรพลศึกษาส�ำหรับโรงเรียนครูมัธยมก�ำหนดกิจกรรมพลศึกษา คอื การบรหิ ารการเล่นเกมยมิ นาสตกิ ซง่ึ ประกอบด้วย อุปกรณ์ยดื หยนุ่ หบี กระโดด ราวคู่ ราวเดีย่ ว กีฬาบางชนดิ กรีฑา โดยไมก่ �ำหนดเวลาเรียนทีแ่ นน่ อน จะเห็นได้ว่ายิมนาสติกได้จัดให้มีการเรียนการสอนตามหลักสูตร ต้ังแต่ปี พ.ศ. 2447 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ซ่ึงการเรียกชื่อยิมนาสติกและก�ำหนดอุปกรณ์ในการเรียนการสอนได้มีขึ้น ในปี พ.ศ. 2484 – 2490 ซ่ึงเหล่าน้ีเป็นพัฒนาการความเป็นมาของกีฬายิมนาสติกในสมัยก่อน ปี พ.ศ. 2500 ส�ำหรับการแข่งขันกีฬายิมนาสติกในประเทศไทยได้จัดให้มีการแข่งขันคร้ังแรก ในกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 20 ที่จังหวัดร้อยเอ็ดในปี พ.ศ. 2529 และในกีฬาเยาวชนแห่งชาติคร้ังแรก ทจี่ ังหวัดราชบุรใี นปี พ.ศ. 2532 ประเภทของกีฬายิมนาสตกิ ยิมนาสติกจ�ำแนกได้เปน็ 5 ชนิดการแข่งขนั ดังนี้ (อนชุ ติ ร แทส้ ูงเนิน, 2548) 1. ยมิ นาสตกิ ศลิ ป์ ( Artistic Gymnastics) 2. ยิมนาสตกิ ลลี า (Rhythmic Gymnastics) 3. ยิมนาสตกิ เตียงสปรงิ (Trampoline) 4. ยิมนาสติกกายกรรม (Sports Acrobatics) 5. ยมิ นาสติกแอโรบิค (Sports Aerobics) กฬี ายมิ นาสติกที่เปน็ ที่รู้จกั กนั ในประเทศไทยน้นั ในปัจจุบนั น้ีจะมีการแข่งขันกนั อยู่ 2 ชนิด ด้วยกันคือยิมนาสติกศิลป์ (Artistic Gymnastics) และยิมนาสติกลีลา (Rhythmic Gymnastics) ยิมนาสติกศิลป์ (Artistic Gymnastics) เป็นยิมนาสติกท่ีแสดงด้วยมือเปล่า ซงึ่ จะประกอบดว้ ย ชาย 6 อุปกรณ์ หญิง 4 อปุ กรณ์ 6 คมู่ อื ฝึกอบรมผูฝ้ ึกสอนกีฬายิมนาสตกิ

อุปกรณย์ มิ นาสตกิ สากลชาย อุปกรณย์ มิ นาสตกิ สากลหญิง 1. ฟลอรเ์ อ็กเซอร์ไซส์ (Floor Exercise) 1. ฟลอร์เอก็ เซอร์ไซส์ (Floor Exercise) 2. ม้าหู (Pommel Horse) 2. โตะ๊ กระโดด (Vaulting Table) 3. ห่วงนิง่ (Ring) 3. ราวตา่ งระดับ (Uneven Bars) 4. โต๊ะกระโดด (Vaulting Table) 4. คานทรงตัว (Balance Beam) 5. ราวคู่ (Parallel Bars) 6. ราวเด่ยี ว (Horizontal Bar) ยิมนาสติกลีลา (Rhythmic Gymnastics) คือ ยิมนาสติกประกอบอุปกรณ์และดนตรี มีการแข่งขันกันบนฟลอร์ ที่มีขนาดกว้าง 12x12 เมตร เร่ิมท�ำการแข่งขันคร้ังแรกในกีฬาโอลิมปิก ครงั้ ท่ี 23 ณ นครลอสแองเจลสิ ประเทศสหรฐั อเมรกิ า ในปพี .ศ. 2527 (เฉลียว เงาะหวาน, 2540) ส�ำหรับอุปกรณ์ท่ีใช้ประกอบในการแข่งขันมีท้ังหมด 5 ชนิด ได้แก่ ลูกบอล (Ball) คฑาหรือ คลบั (Club) รบิ บิน้ (Ribbon) ห่วง (Ring) และเชือก (Robe) คูม่ ือฝึกอบรมผูฝ้ กึ สอนกีฬายมิ นาสติก 7

ทท่ี 2 บ หลกั การเปน็ ผูฝ้ กึ สอนกีฬา ความหมายของผ้ฝู กึ สอนกีฬา ผู้ฝึกสอนกีฬา (Coach) หมายถึง บุคคลท่ีมีความรู้ ความเข้าใจ และความรอบรู้สูง ในเร่ืองของชนิดกีฬาน้ันๆ มีความช�ำนาญและกว้างขวางพอต่อการกีฬาท่ีท�ำ มีอ�ำนาจบทบาท ในการควบคมุ ดแู ล ประสานงาน และกำ� หนดเกณฑต์ า่ งๆ ตอ่ นกั กฬี าและทมี เปน็ ผวู้ างแผนกำ� หนด แนวทางแก้ปญั หาเกีย่ วกบั วธิ ีการฝึกซอ้ มและแข่งขนั เพอ่ื ให้บรรลุเปา้ หมายท่ีไดว้ างไว้ การเป็นผู้ฝึกสอนที่ดี Drake chamber (1998) ได้เขียนไว้ในคู่มือการบริหารกีฬาของ กองทนุ สงเคราะหโ์ อลมิ ปกิ (Olympic solidarity) ของคณะกรรมการโอลมิ ปกิ นานาชาติ (International Olympic Committee: IOC) ได้สรปุ การเปน็ ผฝู้ ึกสอนท่ดี ี (Academy of a Good coach) ไว้ดงั น้ี 1. มีความรู้เกี่ยวกับการเจริญเติบโต และพัฒนาการของนักกีฬา (Knowledge of growth and development) 2. อทุ ศิ ตนและกระตอื รอื ร้นในการปฏิบัติหน้าท่ี (Dedicated and Enthusiastic) 3. มีวฒุ ภิ าวะ (Mature) 4. มีคุณธรรมจริยธรรม (Ethical) 5. มีความยุตธิ รรม (Fairness) 6. รหู้ ลักวธิ กี ารฝกึ ซ้อมนกั กฬี า (Knowledge of training method) 7. มีความสามารถในการฝกึ นักกฬี าอยา่ งได้ผล (Effectively run practice) 8. มคี วามสามารถในการประเมินนักกฬี า (Evaluation of personnel) 9. มยี ทุ ธศาสตร์ (Strategy) 10. รจู้ ักการใชค้ น (Effectively use of personnel) 11. มคี วามห่วงใยนักกีฬา (Centre for the athlete) 12. มคี วามสามารถในการสอน (Ability to teach) 13. มคี วามสามารถในการใชส้ ื่อ (Media) 14. มีความสามารถในการสอื่ สาร (Communication) 15. เป็นผู้สร้างแรงจูงใจใหน้ กั กฬี า (Motivator) 16. มีวินยั (Discipline) 17. มที กั ษะการจดั องคก์ ร (Organization skills) 18. มคี วามรเู้ กยี่ วกับการท�ำงานของร่างกาย (Knowledge of how the body works) 19. มีอารมณ์ขนั (Humour) (International Olympics committee 1998) 8 คมู่ อื ฝกึ อบรมผูฝ้ ึกสอนกีฬายิมนาสตกิ

สถาบันผูฝ้ กึ สอนกีฬา สหราชอาณาจกั ร (The British Institute of Sport coach: BISC) (1989) และสภาจรรยาบรรณผฝู้ กึ สอนกฬี าแหง่ ยโุ รป (The council of Europe of code of sport ethics) (1992) ไดก้ �ำหนดมาตรฐานคณุ สมบตั วิ ชิ าชพี ผฝู้ กึ สอนกฬี าระดบั ภาค พรอ้ มไดม้ กี ารปรบั ปรงุ แกไ้ ขในปี ค.ศ.1998 โดยก�ำหนดใหม้ าตรฐานวชิ าชพี ผฝู้ กึ สอนกฬี าประกอบดว้ ย จรยิ ธรรมมาตรฐาน 10 ดา้ น คือ 1. ดา้ นมนษุ ยศ์ าสตร์ (Humanity) การยอมรบั ในคณุ คา่ และสทิ ธสิ ว่ นบคุ คลของมนษุ ยชน 2. ด้านความสัมพันธ์ (Relationship) จะต้องมีความสัมพันธ์ของบุคคลเกี่ยวกับ ความเปน็ อยู่ทีด่ ี ความปลอดภัย การปกป้องสทิ ธใ์ิ นปัจจุบันและอนาคตของนกั กฬี า 3. ด้านการยึดมน่ั สญั ญา (Commitment) ตอ้ งปฏิบตั ติ ามหน้าทแ่ี ละค่าตอบแทน 4. ด้านความร่วมมือ (Co-operation) มีการส่ือสารและความร่วมมือกับนักกีฬา หรือองคก์ รวิชาชพี 5. ด้านความซ่ือสัตย์ (Integrity) มีความซื่อสัตย์ปฏิบัติตามกติกา และไม่สนับสนุนให้ นกั กีฬาท�ำผิดกฎระเบยี บกติกาต่างๆ 6. ด้านการโฆษณาสนิ คา้ (Advertising) การโฆษณาทเี่ กี่ยวกับกฬี าจะตอ้ งเป็นไปตาม ข้อตกลง และกฎกติกา ขององคก์ รเพือ่ สัญญาต่างๆ ท่ไี ดก้ �ำหนดไว้ 7. ดา้ นการรกั ษาความลบั ขอ้ มลู สว่ นบคุ คล (Confidentiality) จะตอ้ งเปน็ ผรู้ กั ษาความลบั หรือข้อมูลสว่ นบคุ คลของนักกฬี า 8. ด้านการไม่ละเมิดสิทธิ์ (Abuse of privilege) จะต้องไม่มีการสัญญาและไม่ม ี การละเมดิ สทิ ธขิ์ องผ้อู ่ืน 9. ด้านความปลอดภัย (Safety) จะต้องดูแลความปลอดภัยของนักกีฬา ตลอดระยะ เวลาทีป่ ฏบิ ตั หิ น้าที่ 10. ด้านสมรรถนะ (Competency) จะต้องมีสมรรถนะในการฝึกสอนนักกีฬา อย่างถูกต้องตามหลกั และจรยิ ธรรมของนักกฬี านัน้ บทบาทของผู้ฝึกสอนกฬี าทีด่ ี กรมพลศึกษา (2552) ไดเ้ สนอลักษณะและบทบาทของผฝู้ กึ สอน ไวด้ ังนี้ 1. ผฝู้ กึ สอนตอ้ งตระหนกั ดวี า่ การแพห้ รอื ชนะนนั้ ขนึ้ อยกู่ บั องคป์ ระกอบหลายประการ ท้งั สภาพร่างกายและจติ ใจของนักกีฬา รวมทง้ั สภาพแวดลอ้ มภายนอก 2. มคี วามมานะพยายาม มีระเบยี บวนิ ยั และเสยี สละท�ำงานเพ่อื หมู่คณะ 3. มีความรู้ ความสามารถ และมีความคิดอย่างมีเหตุผลในการถ่ายทอดความรู้และ ฝึกสอนได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ เปน็ ที่ยอมรบั ของนกั กีฬา คู่มือฝกึ อบรมผฝู้ ึกสอนกีฬายิมนาสติก 9

4. เคารพและยอมรบั ฟงั ความคดิ เหน็ ของนกั กฬี า ทง้ั เลอื กสรรอยา่ งมเี หตผุ ล มหี ลกั การ และยึดม่ันในระเบยี บขอ้ ตกลงทีร่ ่วมกัน 5. ควรฝึกสอนให้พอเหมาะกับสภาพร่างกายและจิตใจของนักกีฬา อย่าพยายามสอน และใหบ้ ทเรียนหรือแบบฝึกหัดมากเกนิ ไป 6. พยายามให้ก�ำลงั ใจ กระตุน้ หรอื จงู ใจใหน้ ักกีฬาเกดิ ความรกั ในช่ือเสียงของหมู่คณะ เพอื่ นนักกีฬา เพอ่ื ให้เกิดความรับผิดชอบในการฝึก และมีจติ วญิ ญาณที่จะน�ำชัยชนะมาส่หู มคู่ ณะ 7. ผ้ฝู ึกสอนจะตอ้ งฝกึ ให้นักกีฬาเกดิ การเรยี นรูจ้ นถงึ ข้นั ช�ำนาญ 8. การฝกึ จะตอ้ งใชว้ ธิ กี ารฝกึ หลายวธิ ี ขนึ้ อยกู่ บั ความสนใจของแตล่ ะบคุ คลเพอ่ื ไมใ่ หเ้ กดิ ความเบือ่ หนา่ ย 9. การฝึก ควรเริ่มจากการสอนทฤษฎีแล้วจึงภาคสนาม โดยการอธิบาย สาธิต ลองปฏิบตั ิ ใหน้ ักกฬี าเกิดความเข้าใจ 10. จัดท�ำสถิติการฝึก การเข้าร่วมการฝึก ความส�ำเร็จของนักกีฬาแต่ละคน เพอ่ื เปน็ ระเบยี บสะสม ชว่ ยเปน็ แรงกระตนุ้ ใหน้ กั กฬี าตน่ื ตวั อยเู่ สมอในการทจี่ ะพยายามท�ำดี ปรบั ปรงุ ความสามารถของตนเองให้ดขี ึ้น 11. ผู้ฝึกสอนจะต้องพยายามหาวิธีการเพ่ือช่วยให้นักกีฬามีความสามารถสูงสุด เท่าท่ีจะท�ำได้ 12. ควรสร้างเสริมสมรรถภาพและทดสอบความสามารถของนักกีฬาอยู่เสมอ เพื่อช้ีให้เห็นว่าความสามารถของนักกีฬาแต่ละคนเป็นอย่างไร จะได้พัฒนาความสามารถ ให้คงอย่ใู นเกณฑ์ดเี สมอไป 13. ผฝู้ กึ สอนจะตอ้ งเขา้ ใจ การฝกึ นน้ั จะตอ้ งฝกึ ตลอดสมำ่� เสมอ แตช่ ว่ งระยะเวลาการฝกึ อาจแตกตา่ งกนั ออกไป 14. ควรฝกึ ซ้อมใหม้ ากกว่าสภาพความเปน็ จริงในการแขง่ ขัน เม่อื ถงึ เวลาการแข่งขันจรงิ ไม่ควรพดู อะไรมากเกินไป นอกจากให้ค�ำแนะน�ำ 15. เมื่อนักกีฬาได้พัฒนาสมรรถภาพและความสามารถอย่างดีที่สุดแล้ว ผู้ฝึกสอนควร พยายามให้ก�ำลังใจเพือ่ สง่ เสริมพลังใจให้เข้มแขง็ พร้อมท่ีจะเข้าแขง่ ขนั 16. ในขณะท�ำการแขง่ ขัน อย่าสอนหรือตะโกนบอกนักกฬี ามากเกนิ ไป จะท�ำให้นกั กฬี า เกดิ ความกังวลและสภาพจติ ใจเสยี ไป 17. เมอื่ นกั กฬี าแพ้ ผฝู้ กึ สอนตอ้ งพยายามอธบิ ายสาเหตขุ องการแพใ้ หน้ กั กฬี าทราบ เพอ่ื หาทางแก้ไขปรับปรุงข้อบกพร่องและปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้นักกีฬาเกิดความเชื่อม่ัน ในตนเองมากขึน้ 10 ค่มู อื ฝึกอบรมผู้ฝึกสอนกฬี ายมิ นาสติก

18. ไมใ่ ชว้ าจาหยาบคายหรอื ดหู มนิ่ ความสามารถของนกั กฬี า พยายามใหก้ �ำลงั ใจเมอื่ แพ้ และพยายามชมเชยเมอ่ื ไดร้ ับชยั ชนะ 19. ผู้ฝึกสอนจะต้องมีลักษณะผู้น�ำ มีความคิดริเร่ิม วางโครงการ แนะน�ำนักกีฬาให้มี ระเบยี บวนิ ัย ตดั สินใจถกู ตอ้ ง ออกค�ำส่ังชัดเจน มคี วามเขา้ ใจนักกีฬาทกุ ด้าน 20. ผู้ฝึกสอนจะต้องซื่อสัตย์ จริงใจ และมีความยุติธรรมแก่นักกีฬาทุกๆ ด้าน ถือว่านักกฬี าทกุ คนมีความส�ำคัญเท่าๆ กนั จรรยาบรรณของผฝู้ กึ สอนกีฬา กรมพลศกึ ษา (2552) ไดเ้ สนอจรรยาบรรณของผูฝ้ กึ สอน (Coaches Code of Ethics) ไว้ ดงั น้ี 1. ผู้ฝึกสอนพึงระลึกอยู่เสมอว่าตนมีอิทธิพลมากในการปลูกฝังให้นักกีฬาเป็นคนดี มีนำ้� ใจมากกว่าการหวังผลชนะอย่างเดียว 2. ผฝู้ กึ สอนพึงปฏบิ ตั ิตนเปน็ ตวั อยา่ งที่ดแี กท่ ุกคนที่เก่ียวข้อง 3. ผฝู้ กึ สอนท�ำหนา้ ทอี่ ย่างเข้มงวดในการป้องกันการใชส้ ารกระตุ้นในนกั กีฬา 4. ผูฝ้ กึ สอนตอ้ งไม่ดมื่ เหล้าและสบู บหุ ร่ีขณะท�ำหนา้ ท่ี 5. ผู้ฝึกสอนจะท�ำหน้าท่ไี ปจนส้ินสุดฤดูกาลแขง่ ขนั (จะไม่ละทง้ิ หน้าที่) 6. ผู้ฝึกสอนต้องรู้โปรแกรมการแข่งขันและวางแผนเป็นอย่างดี โดยไม่แสวงหา ผลประโยชนจ์ ากช่องวา่ งของกติกา 7. ผู้ฝกึ สอนต้องส่งเสริมความมีนำ�้ ใจนกั กีฬา โดยใหค้ นดูและผู้มสี ่วนไดเ้ สยี (Stakeholder) แสดงความมนี ้ำ� ใจนกั กีฬา 8. ผู้ฝึกสอนต้องเคารพกฎกติกา โดยไม่ส่งเสริมให้ผู้เล่นและผู้ดูต่อต้านผู้ตัดสินและ ผู้จัดการแขง่ ขัน 9. ผู้ฝึกสอนต้องจัดให้มีการประชุมและแลกเปล่ียนความคิดเห็น เพื่อให้มีความเข้าใจตรงกัน ในกฎกตกิ าการแขง่ ขัน 10. ผู้ฝกึ สอนต้องไมบ่ ีบบังคับให้อาจารย์พิจารณาผลการเรียนของนักกฬี าเป็นกรณพี เิ ศษ 11. ผฝู้ กึ สอนจะไมส่ อดแนมทมี คู่ตอ่ สู้เพอื่ ล้วงความลบั ของคตู่ อ่ สู้ คู่มือฝกึ อบรมผฝู้ กึ สอนกีฬายมิ นาสตกิ 11

บ ทท่ี 3 หลักการฝกึ สอนกีฬา การเจริญเตบิ โตและพัฒนาการของนักกฬี าในแต่ละชว่ ง เพศและการเจรญิ เติบโต (Gender and Growth Development) ผฝู้ กึ สอนกฬี า จ�ำเปน็ ตอ้ งมคี วามรู้ ความเขา้ ใจ ในความแตกตา่ งของนกั กฬี าทอี่ ยใู่ นความดแู ล ซ่ึงเป็นเร่ืองที่ค่อนข้างยากและซับซ้อน ผู้ฝึกสอนบางคนมักเข้าใจว่า การให้ความเอาใจใส่ แกน่ ักกฬี าทุกคนอย่างเท่าเทียมกนั กถ็ อื ว่ามคี วามยุติธรรมและเป็นการเพียงพอแล้ว ซึ่งแทจ้ รงิ แลว้ เปน็ วธิ กี ารทไ่ี มถ่ กู ตอ้ งทผี่ ฝู้ กึ สอนจะปฏบิ ตั กิ บั นกั กฬี าทกุ คนในรปู แบบเดยี วกนั เพราะนกั กฬี าแตล่ ะคน ตา่ งมคี วามแตกตา่ งกัน โดยเฉพาะในพ้ืนฐานตา่ งๆ ดงั น้ี 1. ความพร้อมทางด้านรา่ งกาย (Maturation) 2. วัฒนธรรม (Culture) 3. เพศ สมรรถภาพทางกาย และจิตใจ (Gender Physical and Mental) ในอดีตนักกีฬาท่ีมีความต้องการเฉพาะตัว หรือไม่สนใจท่ีจะท�ำการฝึกซ้อม หรือร่วมท�ำ กิจกรรมอย่างจริงจัง มักถูกคัดออกจากทีม ปัจจุบันแนวทางดังกล่าวได้มีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ผู้ฝกึ สอนจ�ำเป็นต้องเตรียมนักกีฬาและฝกึ สอนนักกีฬาท่มี ีความแตกตา่ งกันอย่างมาก เช่น นักกฬี า ทีม่ คี วามตอ้ งการพิเศษ มคี วามแตกตา่ งทางด้านจิตใจ สังคม หรือวฒั นธรรม เป็นต้น ซ่ึงผ้ฝู ึกสอน ท่ีดตี ้องรู้และเข้าใจความแตกตา่ งดงั กลา่ วขา้ งต้น และสามารถถา่ ยทอดความรใู้ ห้กับนักกฬี ากลมุ่ น้ี ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง ดังนี้ ความเขา้ ใจในนกั กฬี าวยั รนุ่ การฝกึ ส�ำหรบั นกั กฬี าวยั รนุ่ เปน็ งานทท่ี า้ ทาย เพราะนกั กฬี า วัยน้ีเป็นช่วงท่ีมีการเปลี่ยนแปลงและมีพัฒนาการทางด้านร่างกายอย่างมาก โดยเฉพาะนักกีฬา ที่มีอายุระหว่าง 11 - 21 ปี ซึ่งเป็นช่วงท่ีเปล่ียนผ่านจากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ ซ่ึงอาจแบ่งได้เป็น 3 ช่วงอายุ ดังน้ี 1. ช่วงวยั รุน่ ตอนต้น (อายุ 11 – 14 ป)ี โดยเฉล่ยี ของช่วงน้ี เด็กผู้หญงิ จะมีอายุ 9.5 ปี เด็กชายอายุเฉลี่ย 11.5 ปี เดก็ วยั นจี้ ะมี การเปล่ียนแปลงทางความสงู อยา่ งรวดเร็ว โดยจะมีการเพม่ิ ความสูงที่อายุเฉล่ีย 11.5 ปี ในเดก็ ผู้หญิง และ 13.5 ปี ในเดก็ ผ้ชู าย เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงทางความสูงอย่างรวดเร็ว ท�ำให้เด็กวัยน้ีเคล่ือนไหวร่างกาย ไม่คล่องแคล่ว ไม่กระฉับกระเฉง การทรงตัวไม่ดี และการท�ำงานของร่างกายไม่ค่อยสัมพันธ์กัน จนกว่าจะมีการปรบั ตวั ในการท�ำงานในสว่ นตา่ งๆ ของรา่ งกาย 12 คูม่ ือฝึกอบรมผู้ฝกึ สอนกีฬายมิ นาสตกิ

ความแข็งแรงของกล้ามเนอื้ และรา่ งกายในวยั นี้ มีการเพิ่มขน้ึ ท้ังเดก็ ผูห้ ญิงและเดก็ ผูช้ าย และหากมีโปรแกรมการฝึกซ้อมท่ีดีก็จะสามารถเพิ่มความแข็งแรงข้ึนได้อีก เด็กผู้ชายจะเพิ่มได้ มากกวา่ เด็กผู้หญงิ เลก็ น้อยในระยะกอ่ นวัยรนุ่ และจะเพิ่มข้ึนอยา่ งเห็นได้ชัดในชว่ งวัยรนุ่ ในกิจกรรม เช่น การกระโดด การขว้าง และการว่ิง ทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงจะมี พฒั นาการอยา่ งตอ่ เนอื่ งในช่วงวยั รนุ่ แตเ่ ด็กผู้หญิงจะมีพฒั นาการนอ้ ยลงในชว่ งอายุ 12 – 13 ปี ส่วนเด็กผู้ชายจะมีการพัฒนาต่อเน่ืองจนถึงช่วงวัยรุ่นตอนปลาย เน่ืองจากเป็นช่วงที่มีการเจริญ เติบโตอย่างรวดเร็ว เด็กวัยน้ีจ�ำเป็นที่จะต้องได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และมีการพักผ่อน มากกว่าปกติ เด็กจะสูงและแข็งแรงมาก โดยเฉพาะผู้ท่ีมีพรสวรรค์ทางกีฬา จะเห็นได้ชัดเจน เมื่อเทียบกบั เพื่อนในกลุ่ม ในชว่ งอายนุ ี้ ทง้ั เดก็ ผชู้ ายและเดก็ ผหู้ ญงิ จะยา่ งเขา้ สวู่ ยั รนุ่ จงึ ตอ้ งค�ำนงึ ถงึ การเปลย่ี นแปลง ทางเพศ เชน่ เด็กผหู้ ญงิ จะมกี ารขยายขนาดของเต้านมและเร่มิ มีประจ�ำเดอื น เสยี งของเดก็ ผ้ชู าย จะเรมิ่ ท้มุ ต่�ำและมีความตน่ื ตัวทางเพศบอ่ ยขนึ้ ช่วงกอ่ นวยั รุ่นจะมคี วามสนใจทางเพศ เรมิ่ ต้องการ ความเป็นส่วนตวั และสนใจการแตง่ กายมากขนึ้ การเปลยี่ นแปลงทางรา่ งกายเริ่มปรากฏชดั เจน เม่ือเปรียบเทียบกบั กลุ่มเพ่อื น เรมิ่ มกี าร จับกลุ่มโดยเฉพาะในกลุ่มเพศเดียวกัน และความต้องการความเป็นอิสระ ซึ่งสังเกตได้จากการ มคี วามคดิ เหน็ ทข่ี ดั แยง้ กบั ผใู้ หญ่ เดก็ ชว่ งวยั นชี้ อบการคน้ หาตวั เองวา่ ตวั เองเปน็ ใครและอยสู่ ว่ นใด ของสงั คม ไม่มนั่ ใจในการเปล่ยี นแปลงของรา่ งกายและอารมณ์ หงุดหงิดง่าย มคี วามคิดทีม่ ีเหตุผล มากข้นึ แต่สว่ นใหญ่จะเป็นแนวคดิ ที่เปน็ นามธรรม จากความแตกตา่ งของความพรอ้ มทางรา่ งกาย เดก็ ชว่ งวยั นจ้ี ะมพี ฒั นาการตามความเชอื่ ของตนเองและมักจะได้รับอทิ ธพิ ลจากกลมุ่ เพือ่ น หรือผใู้ หญ่ทเ่ี ขาใหค้ วามเชื่อถือ 2. ช่วงวัยร่นุ ตอนกลาง (อายุ 15 – 17 ปี) การเจริญเติบโตทางร่างกายจะสมบูรณ์ ส�ำหรับเด็กผู้หญิงอยู่ที่อายุเฉล่ีย 14.5 ปี และ เดก็ ผูช้ ายอายุเฉลี่ย 16.5 ปี โดยเดก็ ผ้ชู ายจะมีมัดกล้ามเน้ือเพม่ิ ขน้ึ และเด็กผหู้ ญิงจะมไี ขมันเพิ่มข้ึน เด็กวัยนี้เริ่มให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายน้อยลง แต่ให้ความสนใจต่อบุคลิกภาพ มากขึ้น มักให้ความส�ำคัญกับความเป็นหญิงหรือชาย โดยเฉพาะการแสดงออกทางวัฒนธรรม ของตน ชอบความอิสระ ต้องการการยอมรับจากสังคมรอบข้าง และต้องการเป็นเอกเทศในเรื่อง การตดั สินใจ แตม่ กั จะตดั สนิ ใจผิดพลาด ผู้ใหญท่ ใ่ี กลช้ ิดควรให้ค�ำแนะน�ำท่ถี ูกต้อง กลมุ่ เพอ่ื นจะมี อิทธิพลต่อความคิดและการตัดสินใจของเด็กช่วงวัยนี้ เช่น การแต่งกาย ภาพลักษณ์ภายนอก การเข้าร่วมกจิ กรรมตา่ งๆ การได้รับความอิสระ ความไว้วางใจจากกลุ่มเพื่อนหรือผู้ใหญ่ จะเป็นการเสริมสร้าง ความภาคภูมใิ จและความมั่นใจให้แกเ่ ดก็ วัยนี้ คูม่ อื ฝกึ อบรมผ้ฝู ึกสอนกฬี ายิมนาสติก 13

3. ช่วงวัยรุน่ ตอนปลาย (อายุ 18 - 21 ป)ี เด็กวัยนี้จะรู้จักตัวเองดีข้ึน รู้ว่าจะท�ำอะไรได้ดีหรือไม่ดีอย่างไร และเริ่มมองถึงอนาคต ของตน เนอ่ื งจากมคี วามสามารถทจี่ ะพง่ึ พาตวั เองและพรอ้ มทจ่ี ะยอมรบั ฟงั ความคดิ เหน็ จากผใู้ หญ่ มากขึ้น มีการวางเป้าหมายในชีวิต แต่กลุ่มเพื่อนก็ยังคงมีอิทธิพลในการตัดสินใจและการให้ความ เอาใจใส่ ความใกล้ชิดจากคนในครอบครัวก็ยังมีความส�ำคัญและจ�ำเป็นอย่างยิ่ง บุคลิกของเด็ก ในช่วงวัยนี้ เป็นช่วงส�ำคัญท่ีผู้ฝึกสอนจ�ำเป็นต้องรู้และเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงทางบุคลิกภาพ ของเดก็ วยั นี้ ความแตกต่างของช่วงวัยต่างๆ เป็นปัญหาส�ำหรับการจัดกลุ่ม เพราะบางครั้งอายุไม่ได้ เป็นตัวก�ำหนดสภาพร่างกาย อารมณ์ หรือความพร้อมทางสังคม ดังนั้น การจัดกลุ่มตามอายุ เพอื่ การแขง่ ขนั กฬี าจงึ ไมเ่ หมาะสม เพราะอาจจะมปี ญั หาเรอ่ื งความปลอดภยั และความไมเ่ ปน็ ธรรม ความเข้าใจในความแตกต่างของการเจริญเตบิ โต มนุษย์มีความแตกต่างทางโครงสร้างของร่างกายมากในช่วงอายุระหว่าง 10 – 16 ปี เดก็ ชายทม่ี ีอายุ 13 ปีเท่ากนั แต่อาจมลี ักษณะทางกายวิภาคท่ีแตกตา่ งกนั ซง่ึ จะศกึ ษาได้จากการ เอ๊กซเรย์ กระดูกข้อมือ (ขา้ งทีไ่ ม่ถนัด) ซึ่งจะเปน็ ตัวช้วี ัดการเจริญเตบิ โตทางกายวิภาคของกระดูก แม้อายุจะเท่ากนั แต่สรรี ะร่างกายอาจจะไม่เท่ากนั การจัดการแข่งขัน โดยท่ัวไปจะแบ่งตามเพศและอายุ แต่ส�ำหรับกีฬาต่อสู้จะใช้น�้ำหนัก เปน็ เกณฑใ์ นการแบ่ง เพราะท�ำได้งา่ ยและเหมาะสมกบั สรรี ะของนกั กฬี า แต่ผู้ฝึกสอนควรค�ำนงึ ถงึ สภาพความพรอ้ มทางดา้ นรา่ งกาย ความแตกตา่ งทางดา้ นอารมณแ์ ละสงั คมดว้ ย เพราะความแตกตา่ ง ทางความพร้อมดังกล่าว มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้และฝึกซ้อมของนักกีฬา ซ่ึงบางคนอาจจะเรียนรู้ ได้ช้ากวา่ นกั กีฬาคนอนื่ ๆ ผู้ฝกึ สอนจะต้องเข้าใจและใหโ้ อกาสแก่นักกีฬากลมุ่ นี้ ความแตกต่างทางวัฒนธรรม สถานะครอบครัว การอบรมเล้ียงดู มีผลต่อการคิด การแสดงออก บุคลิกภาพและการเข้าสังคมของนักกีฬา ในการฝึกสอนกีฬาจะต้องขัดเกลาจิตใจ ส่งเสริมความมีน�้ำใจนักกีฬา และการท�ำงานเป็นทีมแก่นักกีฬา ผู้ฝึกสอนจะต้องรู้และเข้าใจ ในเรื่องความแตกต่างดังกล่าวข้างต้น เพื่อหาวิธีการที่เหมาะสมในการปรับนักกีฬาให้แต่ละคน อยรู่ ว่ มกนั ได้ ความแตกตา่ งทางเพศ เด็กผู้หญิงจะมีรูปร่างเล็กและมีไขมันมากกว่าเด็กผู้ชาย ในสมัยก่อนเด็กผู้หญิงมีโอกาส ในการเลน่ กฬี าหรอื เขา้ รว่ มการแขง่ ขนั กฬี านอ้ ยกวา่ เดก็ ผชู้ าย ปจั จบุ นั ความแตกตา่ งดงั กลา่ วลดลง และเกิดการเรียกร้องในสิทธิสตรีเพื่อความเท่าเทียมกันทางเพศ ผู้ฝึกสอนจึงต้องส่งเสริมและ 14 คู่มือฝึกอบรมผฝู้ กึ สอนกฬี ายมิ นาสติก

ใหก้ �ำลงั ใจแกน่ กั กฬี าเพศหญงิ ใหเ้ ขา้ รว่ มกจิ กรรมกฬี าใหม้ ากขนึ้ ควรค�ำนงึ อยเู่ สมอวา่ การฝกึ นกั กฬี าหญงิ และชายมีความแตกต่างกันทงั้ สรรี ะรา่ งกายและจติ ใจ หลักการสอนกีฬา บทบาทที่ส�ำคญั ทสี่ ุดของผู้ฝึกสอน คอื การสอนเทคนคิ ทักษะ และแทคติกในการแขง่ ขัน เพอื่ พฒั นาศกั ยภาพของนกั กฬี าอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง การฝกึ ซอ้ มของนกั กฬี าในปจั จบุ นั มงุ่ เนน้ การฝกึ ซอ้ ม ในสภาพการณ์ท่เี หมอื นการแข่งขันมากกวา่ การฝึกซ้อมเทคนคิ ทักษะ ซ่งึ จะท�ำใหน้ ักกีฬาได้เรียนรู้ จากสถานการณจ์ รงิ นนั่ คอื แทคตกิ ในการแขง่ ขนั เมอื่ นกั กฬี าประสบปญั หาจากการมเี ทคนคิ ทกั ษะ ไม่ดีพอที่จะน�ำไปใช้ในการฝึกซ้อมแทคติก จะท�ำให้นักกีฬาตระหนักว่าต้องการการเรียนรู้เทคนิค ทกั ษะตา่ งๆ เพมิ่ เตมิ การเรยี นรเู้ ทคนคิ ทกั ษะจะมคี วามหมายกบั นกั กฬี ามากขนึ้ เนอ่ื งจากเปน็ ความ ต้องการของนกั กีฬาทจี่ ะเรยี นรเู้ พ่ือน�ำไปใช้ในการฝกึ ซ้อมเพีอ่ การแข่งขัน การสอนเทคนคิ ทักษะ การฝกึ สอน คือ การสอน และการสอนคือ การท�ำให้นักกฬี าเกิดการเรยี นรู้ การเรียนรู้ คอื การพฒั นาความสามารถอย่างถาวรอันเน่อื งมาจากการฝกึ หดั นักกีฬาที่มีความสามารถสูงและประสบความส�ำเร็จในการแข่งขันกีฬา จะต้องใช้เวลา ในการฝกึ หดั เปน็ เวลานาน โดยการแสดงทกั ษะไดเ้ ปลย่ี นแปลงและพฒั นาขนึ้ เรอ่ื ยๆ ซง่ึ ในตอนแรก ที่เปน็ ผหู้ ดั ใหมจ่ ะมคี วามตงั้ ใจอยู่ท่ที ักษะพน้ื ฐาน จะคอยคดิ อย่เู สมอว่าจะแสดงทกั ษะท่ถี กู ต้องได้ อยา่ งไร เมอื่ การฝกึ หดั ผา่ นไป ความตง้ั ใจกเ็ ปลยี่ นไปยงั สว่ นอน่ื ของทกั ษะ อาจจะเปน็ ทกั ษะทส่ี งู ขน้ึ หรือกุศโลบายในการเลน่ อาจจะกล่าวได้ว่า ภายหลังการฝึกหัด นักกีฬามีทักษะที่เปลี่ยนแปลงและพัฒนาจาก ผู้หัดใหม่ จนกลายเป็นผู้มีความช�ำนาญและมีความสามารถสูง การเปล่ียนแปลงและพัฒนานี้ ได้ด�ำเนินไปเป็นล�ำดับ ตามข้ันตอนของกระบวนการเรียนรู้ทักษะ ซึ่งประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ด้วยกนั คอื 1. ขน้ั หาความรู้ (Cognitive State) เม่ือผู้เรียนเร่ิมเรียนทักษะใหม่ จะพบกับค�ำถามตัวเองเก่ียวกับความรู้ในทักษะพื้นฐาน ของกีฬานั้นๆ เช่น ทักษะพื้นฐานท่ีส�ำคัญมีอะไรบ้าง จะแสดงทักษะเหล่านั้นอย่างไร ท�ำอย่างไร จงึ จะเลน่ ไดด้ ี กฎและกตกิ าการเลน่ มอี ะไรบา้ ง การนบั แตม้ มวี ธิ กี ารอยา่ งไร และอนื่ ๆ ค�ำถามเหลา่ น้ี ผู้เรียนจะต้องคิดคน้ หาค�ำตอบ ซึ่งอาจจะได้จากครผู ูส้ อน จากหนงั สอื วารสาร จากภาพยนตร์ หรือ จากเครอื่ งมือโสตทัศนูปกรณอ์ ื่นๆ นอกจากนอ้ี าจจะได้รับค�ำตอบจากการฝึกหดั ของตนเอง ดงั นนั้ ข้ันแรกน้ีจงึ เรยี กว่าขัน้ หาความรู้ คู่มอื ฝกึ อบรมผู้ฝึกสอนกีฬายมิ นาสติก 15

ในข้ันหาความรู้ ผู้เรียนจะมีการแสดงทักษะท่ีผิดพลาดอยู่เสมอๆ ความสามารถในการ แสดงออกจะแปรผัน ผิดบ้าง ถูกบ้าง ผู้เรียนไม่ตระหนักถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้นและไม่รู้ว่า จะท�ำใหด้ ขี น้ึ ในครง้ั ตอ่ ไปไดอ้ ยา่ งไร มกี ารลองผดิ ลองถกู ตลอดเวลา กอ่ นการแสดงทกั ษะแตล่ ะครงั้ จะตอ้ งคิดวา่ จะท�ำอยา่ งไร ท�ำให้การเคล่ือนไหวชา้ ไม่มปี ระสิทธภิ าพ 2. ข้ันการเชอ่ื มโยง (Associative Stage) เปน็ การเชอ่ื มโยงระหวา่ งความรแู้ ละการฝกึ หดั ในขน้ั นผี้ เู้ รยี นไดฝ้ กึ หดั ทกั ษะพน้ื ฐานมากขน้ึ และมีการเปล่ียนแปลงไปในทางท่ีดี ความผิดพลาดซึ่งแต่ก่อนน้ันได้เกิดขึ้นอยู่เสมอๆ ได้ลดลงไป ผู้เรียนรู้ตัวว่าการแสดงทักษะของตนเองนั้นถูกหรือผิด สามารถที่จะแก้ไขและปรับปรุงให้ถูกต้อง และดีข้นึ ได้ เมือ่ ได้รบั ค�ำแนะน�ำทเ่ี หมาะสม หรือจากการลองผดิ ลองถูกของตนเอง ความสามารถ ทีแ่ สดงออกมีความแปรผนั นอ้ ยลง มคี วามถูกตอ้ งและคงเสน้ คงวามากขึ้น 3. ขนั้ อัตโนมัติ (Autonomous Stage) ภายหลังจากการฝึกหัดและมีประสบการณ์มากข้ึน ผู้เรียนจะมีการเปล่ียนแปลงไปสู่ ข้ันสุดท้ายของการเรียนรู้ คือ ขั้นอัตโนมัติ ในข้ันน้ีการแสดงทักษะจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว และ อัตโนมัติ ผู้เรียนไม่ต้องนึกถึงท่าทางการเคล่ือนไหว แต่จะมีความตั้งใจต่อส่วนของทักษะท่ีส�ำคัญ และยากข้ึน นอกจากน้ีผู้เรียนจะมีความต้ังใจต่อกุศโลบายในการเล่น เพ่ือที่ตนเองจะได้แสดง ความสามารถสูงสดุ จะเห็นว่าก่อนท่ีผู้เรียนจะมีทักษะดีในกีฬาแต่ละประเภทนั้น จะต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ ของกระบวนการเรียนรู้ทักษะมาตามล�ำดับ การเรียนรู้จะด�ำเนินไปด้วยความรวดเร็วและมี ประสิทธิภาพหรอื ไม่นนั้ ผฝู้ กึ สอนเปน็ ผ้มู อี ทิ ธพิ ลและบทบาทส�ำคญั ในการน้ี ในขั้นหาความรู้ ผู้ฝึกสอนจะต้องแก้ไขความผิดพลาดท้ังหลายท่ีเกิดข้ึนโดยอธิบายและ สาธติ การแสดงทกั ษะทถ่ี กู ตอ้ งใหผ้ เู้ รยี นไดร้ แู้ ละเขา้ ใจ ในกรณที ท่ี กั ษะยากและซบั ซอ้ น อาจจะแบง่ แยก ทกั ษะน้ันออกเป็นส่วนยอ่ ยๆ ให้ผเู้ รียนฝึกหัด ใหเ้ วลาผูเ้ รยี นได้ฝึกหดั มากขึน้ เมอ่ื ผเู้ รยี นท�ำผดิ และ หมดก�ำลังใจในการฝึกหัด ก็ให้แรงจูงใจกระตุ้นให้ผู้เรียนพยายามมากข้ึนเม่ือเห็นว่าผู้เรียนท�ำได้ ถกู ตอ้ งกก็ ลา่ วค�ำชมเชย จะเปน็ แรงหนนุ ใหผ้ เู้ รยี นแสดงทกั ษะนนั้ ไดถ้ กู ตอ้ งบอ่ ยครง้ั จนคงเสน้ คงวา ในทสี่ ดุ ถา้ มเี วลาผฝู้ กึ สอนควรใหค้ วามสนใจผเู้ รยี นเปน็ รายบคุ คลจะชว่ ยแกไ้ ขความผดิ พลาดไดต้ รงจดุ ส�ำหรับขั้นการเช่ือมโยงนั้นผู้ฝึกสอนควรให้เวลาผู้เรียนได้ฝึกหัดมากข้ึน ช่วยแก้ไขในส่วนละเอียด ของทักษะ ให้ข้อมูลที่เป็นผลย้อนกลับภายหลัง การแสดงทักษะอาจใช้เคร่ืองมือโสตทัศนูปกรณ์ เช่น วีดีโอเทปช่วยประกอบในการแก้ไขความผิดพลาด ส่วนในข้ันอัตโนมัติผู้ฝึกสอนควรให้ผู้เรียน ไดฝ้ กึ หดั ทกั ษะสว่ นทย่ี ากและซบั ซอ้ น สอนกศุ โลบายตา่ งๆ ทสี่ �ำคญั ในการเลน่ และจดั ใหม้ กี ารแขง่ ขนั เพ่ือให้ผู้เรียนได้น�ำเอาทักษะที่ได้เรียนมาไปใช้ในสถานการณ์จริง อันจะเป็นการเพ่ิมประสบการณ์ ในการแขง่ ขันใหผ้ เู้ รียน 16 คูม่ อื ฝึกอบรมผ้ฝู ึกสอนกฬี ายิมนาสตกิ

การสอนเทคนิคทกั ษะ 3 ข้นั ตอน 1. ขั้นอธิบายและสาธิต การอธิบายและสาธิตจะช่วยให้นักกีฬาได้เรียนรู้จากการ เห็นต้นแบบที่มคี วามสามารถสูงในเทคนคิ ทกั ษะน้ัน ข้ันตอนนปี้ ระกอบดว้ ย - การอธบิ ายและการสาธติ - เช่อื มโยงเทคนคิ ทักษะกับเทคนคิ ที่ได้เรยี นรูม้ าแลว้ - ตรวจสอบความเข้าใจ 2. ขั้นฝึกหัด ข้ันตอนนี้จะให้นักกีฬาได้ฝึกหัดเทคนิคทักษะในทันทีหลังจากการอธิบาย และสาธิต การฝึกหัดน้ีสามารถกระท�ำได้ด้วยการฝึกหัดแบบส่วนรวมหรือแบบส่วนย่อย โดยมี หลกั การดังนี้ ช่วงของการฝกึ หัด ผฝู้ กึ สอนก�ำหนดตารางฝกึ ซอ้ ม 2 ชวั่ โมงตอ่ วนั จะวางแผนการฝกึ ซอ้ มอยา่ งไร จะฝกึ ซอ้ ม โดยไม่หยุดพัก 2 ช่วั โมง หรือจะฝกึ 2 ช่วงๆ ละ 1 ชัว่ โมง พกั 10 นาที หรอื จะฝึก 4 ช่วงๆ ละ 30 นาที จากตวั อยา่ งท่กี ลา่ วมานี้ผูฝ้ ึกสอนจะต้องมหี ลักการและเหตุผลทจ่ี ะเลือกวธิ ีฝกึ หัด ชว่ งของการฝึกหดั อาจแบ่งออกได้ 2 ลักษณะ คอื 1) การฝกึ หดั ช่วงยาว (Massed Practice) 2) การฝกึ หดั ชว่ งส้นั (Distributed Practice) การฝกึ หัดช่วงยาว 1 ชัว่ โมง การฝึกหัดชว่ งส้นั 20 นาที พกั 20 นาที พัก 20 นาที การฝึกหัดช่วงยาว คือ การฝึกหัดท่ีกระท�ำต่อเน่ืองโดยไม่มีการหยุดพัก ผู้เรียนฝึกหัด 1 ครั้ง เปน็ เวลา 1 ชั่วโมง สว่ นการฝึกหดั ช่วงส้นั คอื การฝึกหดั ทีแ่ บ่งออกเป็นช่วงๆ และมีการหยุดพกั ระหวา่ งช่วงเวลาฝกึ หดั 1 ชวั่ โมง จะแบง่ ออกเป็น 3 ชว่ งๆ ละ 20 นาที พกั 5 นาที เปน็ ตน้ ไดม้ กี ารเปรยี บเทยี บประสทิ ธภิ าพระหวา่ งการฝกึ ทงั้ 2 วธิ ี พบวา่ การแสดงความสามารถ จากการฝึกหัดด้วยวิธีการฝึกหัดช่วงส้ันสูงกว่าการแสดงความสามารถจากการฝึกช่วงยาว อยา่ งไรกต็ าม หลงั จากหยดุ ไปแลว้ ท�ำการทดสอบเปรยี บเทยี บกนั อกี พบวา่ ทง้ั สองวธิ ไี มแ่ ตกตา่ งกนั การทดสอบคร้ังหลังเป็นการวัดการคงอยู่ของการเรียนรู้ จึงสรุปได้ว่าความสามารถที่แสดงออก ในการฝึกหัดด้วยการฝึกหัดช่วงสั้นจะให้ผลดีกว่า แต่การเรียนรู้ซ่ึงวัดจากการคงอยู่ของการเรียนรู้ ไม่แตกต่างกนั สาเหตทุ ก่ี ารแสดงความสามารถจากการฝกึ หดั ชว่ งยาวตำ่� กวา่ ความสามารถจากการฝกึ หดั ช่วงสัน้ อยู่ 3 ประการ คอื ประการแรก ผู้เรียนใช้เวลาในการฝึกหัดนานจะรู้สึกเหนื่อย ท�ำให้แสดงความสามารถ ไมไ่ ดเ้ ตม็ ที่ คู่มือฝกึ อบรมผฝู้ ึกสอนกฬี ายิมนาสติก 17

ประการท่ีสอง ผู้เรยี นขาดแรงจูงใจ ไม่ตัง้ ใจฝกึ หดั เตม็ ความสามารถ ประการท่ีสาม ผู้เรียนไม่มีโอกาสท่ีจะส�ำรวจความผิดพลาดของตนเอง และไม่มีโอกาส แก้ไขความผิดพลาด ตรงกันข้าม ผู้เรียนที่ฝึกช่วงส้ัน ได้มีโอกาสพักระหว่างการฝึกหัด มีแรงจูงใจท่ีจะฝึกหัด และสามารถน�ำผลยอ้ นกลบั มาแกไ้ ขขอ้ ผดิ พลาดของตนเอง จงึ มกี ารแสดงความสามารถสงู กวา่ กลมุ่ ที่ฝึกด้วยการฝึกหัดช่วงยาว อย่างไรก็ตาม หลังจากหยุดไปแล้ว ท�ำการทดสอบการเรียนรู้พบว่า ท้ังสองกลุ่มไม่แตกต่างกัน ทั้งน้ีเพราะในระหว่างหยุดพักน้ัน กลุ่มฝึกด้วยการฝึกหัดช่วงยาว ไดม้ โี อกาสแกไ้ ขขอ้ ผดิ พลาดไดพ้ กั ผอ่ นและมแี รงจงู ใจในการกฬี า จงึ เกดิ การเรยี นรทู้ ไ่ี มแ่ ตกตา่ งกนั ในการพจิ ารณาวางแผนการฝกึ หดั พบวา่ จะเลอื กวธิ ฝี กึ หดั ชว่ งสน้ั หรอื วธิ ฝี กึ หดั ชว่ งยาวนนั้ จะตอ้ งค�ำนงึ ถงึ องค์ประกอบ 4 ประการด้วยกันคอื 1) ความยากง่ายของทักษะ ถ้าทักษะยากซับซ้อน ควรฝึกหัดด้วยการฝึกหัดช่วงสั้น ถา้ ทกั ษะง่ายควรฝกึ หดั ดว้ ยการฝกึ หัดชว่ งยาว 2) ระดับของทักษะผู้เรียน ถ้าผู้เรียนมีทักษะสูง ควรฝึกหัดด้วยการฝึกหัดช่วงยาว ถา้ มีทักษะตำ�่ ควรฝกึ หดั ด้วยการฝึกหดั ชว่ งส้นั 3) แรงจงู ใจ ถา้ ผเู้ รยี นมแี รงจงู ใจสงู ควรฝกึ หดั ดว้ ยการฝกึ หดั ชว่ งยาว และถา้ มแี รงจงู ใจตำ�่ กฝ็ ึกหัดด้วยการฝึกหัดชว่ งสั้น 4) ความต้องการพลังงาน ถ้าผู้เรียนแข็งแรง อดทน ควรใช้วิธีการฝึกหัดช่วงยาว และถ้าอ่อนแอ ควรใช้วธิ ฝี ึกหัดช่วงส้ัน การฝกึ หัดแบบส่วนรวม หรอื แบบส่วนย่อย (Whole and Parts Practice) ในการสอนทักษะการเคลือ่ นไหว ผู้สอนอาจให้ผูเ้ รยี นฝกึ องค์ประกอบของทกั ษะทั้งหมด ในเวลาเดียวกัน หรือฝึกองค์ประกอบของทักษะที่จะสอน การฝึกองค์ประกอบของทักษะทั้งหมด เรียกว่า การฝึกแบบส่วนรวม (Whole Practice) และการฝึกองค์ประกอบของทักษะที่จะสอน เรียกวา่ การฝกึ แบบส่วนยอ่ ย (Parts Practice) การฝึกแบบส่วนรวมอาจช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้สึกถึงความต่อเนื่อง และจังหวะของ องคป์ ระกอบทงั้ หมดของการเคลอ่ื นไหวไดด้ ี สว่ นการฝกึ แบบสว่ นยอ่ ยนน้ั ชว่ ยลดความซบั ซอ้ นของ ทกั ษะ และสามารถเนน้ การแยกทกั ษะแตล่ ะสว่ นใหถ้ กู ตอ้ ง กอ่ นทจ่ี ะรวมสว่ นยอ่ ยทงั้ หมดเขา้ ดว้ ยกนั จะเหน็ วา่ การฝกึ หดั ทงั้ สองวธิ ชี ว่ ยในการเรยี นรทู้ กั ษะของผเู้ รยี น อยา่ งไรกต็ ามเมอื่ พจิ ารณา ประสทิ ธภิ าพในการเรยี นรทู้ เี่ กดิ ขน้ึ ในกรอบเวลาทเี่ ทา่ กนั แลว้ การฝกึ หดั ทง้ั สองวธิ ี ใหผ้ ลแตกตา่ งกนั ดังนั้นผู้สอนจึงเผชิญกับปัญหาในการตัดสินใจท่ีจะเลือกการฝึกแบบส่วนรวมหรือการฝึกแบบ ส่วนย่อย 18 คูม่ อื ฝึกอบรมผู้ฝกึ สอนกฬี ายมิ นาสตกิ

การเลือกวิธีการฝึกระหว่างการฝึกแบบส่วนรวม หรือการฝึกแบบส่วนย่อยสามารถ พิจารณาได้จากลักษณะ 2 ประการของทกั ษะทตี่ อ้ งการฝกึ นั้น ไดแ้ ก่ 1) ความซับซอ้ นของงานหรอื ทกั ษะ (Task Complexity) และ 2) การจัดระเบียบของงานหรอื ทกั ษะ (Task Organization) ความซับซ้อนของงานหรือทกั ษะ หมายถงึ จ�ำนวนสว่ นประกอบของทกั ษะ และความ ตง้ั ใจในการแสดงทกั ษะ เมอ่ื สว่ นประกอบเพมิ่ ขน้ึ ความตงั้ ใจในการแสดงทกั ษะเพมิ่ ขนึ้ ความซบั ซอ้ น ของงานก็เพิ่มขึ้นด้วย ตัวอย่างเช่น การเล่นยิมนาสติก การเต้นร�ำท่าท่ียาก การว่ิงไลน์รักบี้ เป็นทักษะท่ีมีความซับซ้อนค่อนข้างสูง ส่วนการยกน้�ำหนักท่าเพลส เป็นทักษะท่ีมีความซับซ้อน ค่อนข้างต่ำ� การจัดระเบยี บของงานหรอื ทักษะ หมายถึง ความสัมพันธ์ตอ่ เนือ่ งของสว่ นประกอบทกั ษะ ทมี่ คี วามสมั พนั ธก์ นั อยา่ งใกลช้ ดิ จะมกี ารจดั ระเบยี บของงานสงู เชน่ การกระโดดยงิ ประตบู าสเกตบอล ทักษะท่ีมีส่วนประกอบเป็นอิสระไม่สัมพันธ์กัน จะมีการจัดระเบียบทักษะต่�ำ เช่น การเต้นร�ำ ทา่ งา่ ยๆ บางท่า การฝกึ หดั จะเปน็ แบบสว่ นรวม หรอื สว่ นยอ่ ย จะตอ้ งพจิ ารณาลกั ษณะของงานหรอื ทกั ษะ ทส่ี �ำคญั คอื ความซับซอ้ นและการจดั ระเบยี บ ถา้ ทักษะมีความซับซอ้ นต�่ำ และการจัดระเบียบสงู ทกั ษะนค้ี วรใชก้ ารฝึกแบบสว่ นรวม แตถ่ า้ ทักษะมคี วามซับซ้อนสงู และการจดั ระเบียบตำ่� ควรใช้ การฝกึ หดั แบบสว่ นยอ่ ยจะใหผ้ ลดที ส่ี ดุ ในการฝกึ หดั แบบสว่ นยอ่ ยนนั้ ถา้ สว่ นใดเปน็ อสิ ระ ควรแยก ฝกึ สว่ นย่อยนน้ั ๆ แตส่ ว่ นใดมีความสมั พันธก์ นั ควรฝกึ สว่ นเหลา่ นน้ั เป็นหน่วยเดียวกนั 3. ขั้นตรวจสอบความถูกต้อง ท่านอาจจะไดย้ ินค�ำกลา่ วที่วา่ “การฝกึ หดั ท�ำใหส้ มบรู ณ์” ซ่ึงมกั จะพดู ถงึ เสมอๆ ในการ ฝึกซ้อมหรือเรียนรู้ทักษะกีฬา ค�ำกล่าวนี้อาจหมายความว่า ถ้าฝึกหัดมากเท่าไหร่ ความสามารถ ก็จะพัฒนามากขึ้นเท่าน้ัน จะเป็นจริงมากน้อยเพียงใดลองพิจารณาดูให้ดี ในการฝึกหัดย่อมจะมี ความผิดพลาดไปจากการแสดงทักษะที่ถูกต้องเกิดข้ึน ถ้าผู้เรียนรู้จักแก้ไขความผิดพลาดก็จะลด น้อยลงไป จนกระทั่งการแสดงทักษะนั้นถูกต้อง ถ้าเป็นเช่นน้ีการฝึกหัดมากครั้งจะท�ำให้ความ สามารถพัฒนาข้ึนเป็นล�ำดับ ตรงกันข้ามถ้าผู้เรียนฝึกหัดอย่างผิดๆ ไม่รู้ข้อบกพร่องของตนเอง หรอื ถงึ แมจ้ ะรแู้ ตไ่ มอ่ าจแกไ้ ขใหถ้ กู ตอ้ งได้ การฝกึ หดั มากครงั้ ท�ำนองนก้ี ไ็ มไ่ ดช้ ว่ ยใหม้ คี วามสามารถ มากข้ึน การรู้ความผิดพลาดในการแสดงทักษะครั้งหนึ่ง แล้วน�ำมาปรับปรุงแก้ไขการกระท�ำ ครง้ั ตอ่ ไปใหด้ ขี น้ึ เปน็ สงิ่ ส�ำคญั ในการเรยี นรทู้ กั ษะ ดงั นน้ั ค�ำกลา่ วทถี่ กู ตอ้ งควรเปน็ “การฝกึ หดั ดว้ ย ผลย้อนกลับจะท�ำให้สมบูรณ”์ คูม่ อื ฝึกอบรมผู้ฝกึ สอนกีฬายมิ นาสติก 19

ผลย้อนกลบั (Feedback) ผลย้อนกลับ หมายถึง ข้อมูลหรือข่าวสารที่บุคคลได้รับในระหว่างแสดงทักษะ หรือ ภายหลงั การแสดงทกั ษะ รูปภาพที่ 1 แสดงถงึ กระบวนการข่าวสารอย่างง่ายๆ ส่ิงเรา้ หรอื ขา่ วสาร ที่ผู้เรียนได้รับในความรู้สึกต่างๆ ได้แก่ เสียง สัมผัส ความรู้สึกภายในจากข้อต่อ ปลายเอ็นของ กลา้ มเน้ือ กล้ามเนอ้ื กระสวย เปน็ ต้น จะถกู สง่ ไปยังกลไกกระบวนการข่าวสารส่วนกลาง เปน็ ผลให้ เกิดการตอบสนองต่อสิ่งเร้าหรือข่าวสารน้ันขึ้น การตอบสนองนี้ได้ย้อนกลับมาเป็นข้อมูลเพ่ือช่วย ให้ผเู้ รียนเปรยี บเทียบกับการตอบสนองท่ีถกู ตอ้ ง ซ่ึงได้ก�ำหนดไว้กอ่ น การยงิ ลกู โทษบาสเกตบอล ห่างจากตาข่าย 2 ฟุต การได้คะแนนในการแสดงทักษะ 8 จาก 10 คะแนน การปรบมือ แสดงความยนิ ดี การกล่าวชม การบอกข้อผิดพลาดจากครู เหลา่ นเี้ ป็นตวั อยา่ งของผลย้อนกลบั ส่ิงเร้า กระบวนการสว่ นกลาง การตอบสนอง (Stimulus) (Central Processing) (Respones) ผลยอ้ นกลบั (Feedback) รปู ภาพ กระบวนการขา่ วสาร ชนดิ ของผลย้อนกลับ ผลยอ้ นกลับภายใน (Intrinsic Feedback) ผลยอ้ นกลับภายใน หมายถงึ ผลยอ้ นกลับท่เี กิดจากตัวผู้เรยี นเอง แบ่งออกไดเ้ ปน็ 2 ชนดิ ดงั ต่อไปน้ี 1. ผลยอ้ นกลบั ภายในขณะแสดงทกั ษะ (Concurrent Intrinsic Feedback) เปน็ ขอ้ มลู หรือข่าวสารท่ีเกิดข้ึนกับผู้เรียนขณะแสดงทักษะข่าวสารน้ีย้อนกลับไปเป็นข่าวสารใหม่ให้ผู้เรียน ใช้เปรียบเทียบกับเกณฑ์หรือมาตรฐานท่ีวางไว้ เพ่ือแก้ไขการแสดงทักษะให้ถูกต้อง ข่าวสารนี้ ไดร้ บั จากประสาทรบั ความร้สู ึกตา่ งๆ ทส่ี �ำคัญ ไดแ้ ก่ การมองเหน็ การไดย้ นิ และความร้สู ึกภายใน เกีย่ วกบั การเคลอ่ื นไหว ตัวอย่าง ขณะเล้ียงฟุตบอลเข้าไปยิงประตู ผู้เล่นจะต้องเล้ียงหลบคู่ต่อสู้ การมองเห็น คตู่ อ่ สเู้ ขา้ มาสกดั กน้ั จะเปน็ ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั ไปใหผ้ เู้ ลน่ เปลยี่ นทศิ ทางในการเลยี้ งลกู ปรบั การเลยี้ งลกู เพอ่ื หาโอกาสยงิ ประตู ในขณะเดยี วกนั ผเู้ ลน่ อาจจะไดย้ นิ เสยี งเรยี กจากเพอื่ นรว่ มทมี เพอื่ ชว่ ยในการ 20 คูม่ ือฝึกอบรมผฝู้ กึ สอนกีฬายมิ นาสตกิ

ตดั สนิ ใจทจี่ ะสง่ ลกู หรอื เลย้ี งลกู ตอ่ ไป นอกจากนี้ ผเู้ ลน่ ยงั ไดร้ บั ผลยอ้ นกลบั เกย่ี วกบั การเคลอื่ นไหว จากประสาทรับความรู้สึกภายในท่ีอยู่ตามข้อต่อปลายเอ็นของกล้ามเน้ือ กล้ามเน้ือกระสวย และหูชั้นในเพือ่ ให้กล้ามเน้ือท�ำงานสัมพันธ์กนั ดียิง่ ขึน้ 2. ผลย้อนกลับภายในหลังการแสดงทักษะ (Terminal Intrinsic Feedback) เปน็ ขา่ วสารทีเ่ กิดข้ึนกบั ผ้เู รียนภายหลังการแสดงทกั ษะได้สนิ้ สุดลงแลว้ ตวั อย่างเช่น ภายหลงั การ ยงิ ประตฟู ตุ บอล ผเู้ ลน่ จะรวู้ า่ ลกู บอลเขา้ หรอื ไมเ่ ขา้ ประตู หา่ งจากประตใู นทศิ ทางใด และมากนอ้ ย เพยี งใด และในการเสิรฟ์ ลูกเทนนิสเม่อื เสิร์ฟไปแล้วผูเ้ ล่นจะรูว้ า่ ลูกลงคอรท์ เสิร์ฟหรือออกคอรท์ เสริ ฟ์ การแสดงทักษะที่ถูกต้องหรือผิดพลาดนี้จะเป็นข้อมูลที่ผู้เล่นได้รับ และสามารถน�ำมาปรับปรุง การแสดงทกั ษะครงั้ ต่อไปได้ ผลยอ้ นกลับเสริม (Augmented Feedback) ผลยอ้ นกลบั เสรมิ หมายถงึ ผลยอ้ นกลบั ทไ่ี ดร้ บั จากแหลง่ ภายนอก อาจเปน็ ครผู สู้ อนหรอื เครือ่ งมือโสตทศั นูปกรณ์ เช่น วดิ ีโอเทป ภาพยนตร์ รูปภาพ และอืน่ ๆ ผลยอ้ นกลับชนิดนี้ มคี วาม ส�ำคญั ตอ่ การเรียนการสอนมาก ท้ังนีเ้ พราะผลย้อนกลับทีเ่ กดิ ขนึ้ ในตวั ผู้เรียนเองน้นั ยังไมเ่ พียงพอ จะปรับปรุงแก้ไขข้อผิดพลาด ยังต้องการผลย้อนกลับเสริมจากครูหรืออุปกรณ์โสตทัศนูปกรณ์ เพ่มิ เติม ผลย้อนกลับเสริมชนิดนยี้ ังแบ่งออกได้เปน็ 2 ชนดิ คือ 1. ผลย้อนกลับเสริมขณะแสดงทักษะ (Concurrent Augmented Feedback) เปน็ ผลยอ้ นกลับทไ่ี ด้รบั จากแหลง่ ภายนอก ในขณะท่ีผู้เรียนก�ำลังแสดงทกั ษะ ตัวอยา่ งเชน่ ครบู อก ให้นักเรียนเลี้ยงลูกต�่ำลง สูงข้ึน ว่ิงเร็วขึ้น ว่ิงช้าลง ในขณะเลี้ยงลูกบาสเกตบอล และผู้ฝึกสอน บอกใหน้ กั เทนนสิ ถอยหลัง ก้าวไปข้างหน้าในการฝกึ หดั ตบลกู เทนนสิ เปน็ ต้น 2. ผลย้อนกลับเสริมหลังการแสดงทักษะ (Terminal Augmented Feedback) เป็นผลย้อนกลับท่ีได้จากแหล่งภายนอกหลังการแสดงทักษะได้สิ้นสุดลงแล้ว ผลย้อนกลับชนิดนี้ แบง่ ออกเปน็ 2 ชนิด คอื 2.1 การรู้ผล (Knowledge of Result) เป็นผลย้อนกลับเสริมที่ได้รับจาก แหลง่ ภายนอก ภายหลงั การแสดงทกั ษะไดส้ นิ้ สดุ ลง ขา่ วสารนจ้ี ะบอกถงึ ผลการกระท�ำ ขนาดความ ผิดพลาดทเ่ี กิดขน้ึ เพอื่ เปรยี บเทยี บกับเกณฑ์มาตรฐาน หรือจุดมงุ่ หมายท่ีก�ำหนดไว้ เช่น ครบู อกให้ ผู้เรียนทราบว่าในการแสดงทักษะหน่งึ ผู้เรยี นไดค้ ะแนน 8 คะแนน จาก 10 คะแนน หรอื ผ้เู รียน เสริ ฟ์ ลูกเทนนิสไดเ้ กอื บถกู ต้องแล้ว เปน็ ต้น 2.2 การรู้ทาง (Knowledge of Performance) เป็นผลย้อนกลับเสริม จากแหลง่ ภายนอกท่ีให้ข่าวสารเกีย่ วกับรูปแบบการเคลอื่ นไหว เชน่ จังหวะ ระยะหา่ ง ล�ำดบั และ ขนาดของแรง เปน็ ต้น คูม่ ือฝกึ อบรมผ้ฝู กึ สอนกีฬายิมนาสติก 21

ตัวอย่าง ในการเรยี นยดื หยนุ่ ครบู อกผเู้ รยี นว่าการแสดงท่าม้วนหนา้ ผเู้ รียนได้ 8 คะแนน จาก 10 คะแนน หรอื เกือบถูกตอ้ งแล้ว จะเป็นการบอกการรผู้ ล แตถ่ า้ ครอู ธิบายให้ผเู้ รยี นทราบวา่ ควรเก็บคางให้มากข้ึน และถบี เท้าให้แรงข้ึนอีกเลก็ น้อย จะเป็นการบอกการรู้ทา่ ทาง บทบาทของผลยอ้ นกลบั เป็นที่ยอมรับว่าผลย้อนกลับท�ำหน้าที่ช่วยในการเรียนรู้ทักษะให้มีประสิทธิภาพ ความส�ำคญั ของผลยอ้ นกลบั นัน้ อาจกล่าวได้ 3 บทบาท คือ 1. ผลย้อนกลับท�ำหน้าท่ีแก้ไขข้อผิดพลาด (Correction) ผลย้อนกลับจะเป็นข้อมูล ที่บอกให้ผู้เรียนรู้ว่าการแสดงทักษะของตนอยู่ห่างจากเกณฑ์มาตรฐานหรือเป็นการแสดงทักษะ ทถ่ี กู ตอ้ งมากนอ้ ยเพยี งใด ผเู้ รยี นจะไดน้ �ำขอ้ มลู เหลา่ นนั้ มาแกไ้ ขการกระท�ำของตนเองในครง้ั ตอ่ ไป ความผดิ พลาดทเ่ี กดิ ขน้ึ ครง้ั กอ่ นๆ กจ็ ะถกู ขจดั ออกไปจนกระทงั่ การแสดงทกั ษะนน้ั ถกู ตอ้ งถงึ เกณฑ์ หรือมาตรฐานท่ีวางไว้ 2. ผลยอ้ นกลบั ท�ำหนา้ ทเ่ี สรมิ แรง (Reinforcement) ในทน่ี ห้ี มายถงึ การทผี่ ลยอ้ นกลบั กระตนุ้ ใหผ้ เู้ รยี นรกั ษาการแสดงทกั ษะทถี่ กู ตอ้ งคงเสน้ คงวาอยเู่ สมอ การทค่ี รบู อกผเู้ รยี นวา่ ถกู ตอ้ งแลว้ ดีแล้ว หรือการได้คะแนนเต็มจะช่วยให้ผู้เรียนต้ังใจที่จะแสดงทักษะให้ถูกต้องสม�่ำเสมอ เป็นผลให้ การเรียนรู้ทักษะนั้นมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างถาวร การแสดงทักษะก็จะมีประสิทธิภาพมากข้ึน พร้อมที่จะเรียนรู้ในระดับสงู ตอ่ ไป 3. ผลย้อนกลับท�ำหน้าท่ีเป็นแรงจูงใจ (Motivation) จะกระตุ้นให้ผู้เรียนมีความ พยายามมากขน้ึ ขยันฝกึ ซ้อมมากข้นึ จนกระทัง่ มีทกั ษะเปน็ ไปตามเกณฑท์ กี่ �ำหนดไว้ การท่ีครูแจง้ ให้ผเู้ รียนทราบวา่ ไดค้ ะแนน 8 จาก 10 คะแนน จะเปน็ ข้อมูลบอกว่าตนเองอยหู่ า่ งจากจุดหมาย ปลายทางเพียง 2 คะแนนเท่านั้น ข้อมูลน้ีจะช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนพยายามฝึกหัดมากยิ่งขึ้น เพอ่ื ท่ีจะได้บรรลุจุดมงุ่ หมายปลายทางทวี่ างไว้ ดังนั้น จะเห็นว่าผลย้อนกลับช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งข้ึน โดยท�ำ หน้าที่แก้ไขข้อผิดพลาด กระตุ้นให้ผู้เรียนรักษาความสามารถให้สูงอยู่เสมอ และกระตุ้นให้ผู้เรียน พยายามบรรลจุ ดุ หมายปลายทางทว่ี างไว้ การสอนแทคตกิ การคาดการณล์ ว่ งหนา้ นกั กฬี าทมี่ ที กั ษะสามารถคาดการณล์ ว่ งหนา้ ไดถ้ กู ตอ้ ง ท�ำใหเ้ กดิ การเคลอ่ื นไหวไดเ้ รว็ และมปี ระสิทธภิ าพ การคาดการณ์ลว่ งหน้าอาจกระท�ำได้ใน 2 ลกั ษณะ ลกั ษณะท่ี 1 การคาดการณ์ลว่ งหน้าจากการรบั รู้ (Perceptual Anticipation) หมายถึง การคาดการณล์ ว่ งหน้าจากขอ้ มูลที่ไดศ้ กึ ษาสงั เกตมาก่อน ลกั ษณะที่ 2 การคาดการณ์ลว่ งหนา้ จากข้อมูลปัจจบุ ัน (Receptive Anticipation) 22 คมู่ ือฝึกอบรมผู้ฝกึ สอนกีฬายิมนาสตกิ

กศุ โลบายในการเรยี นรู้ (Learning Strategy) การสอนที่ดีและมีประสทิ ธิภาพจะต้องค�ำนงึ ถึงวตั ถุประสงค์ 3 ประการด้วยกัน คอื ประการแรก การสอนจะต้องท�ำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้เร็ว ประหยัดทั้งเวลา และคา่ ใช้จา่ ย ประการทีส่ อง การสอนจะต้องส่งเสริมการเรียนรู้ของทักษะที่ได้เรียนมาแล้ว ใหค้ งอยู่นาน สามารถแสดงทกั ษะออกมาไดด้ ี ถงึ แมจ้ ะหยุดฝกึ หดั ประการทส่ี าม การสอนจะต้องเตรียมผู้เรียนให้พร้อมเพื่อท่ีจะเผชิญสถานการณ์ใหม่ สามารถน�ำเอาการเรียนรทู้ ่เี กิดขน้ึ ไปใชใ้ นอนาคต การสอนแต่เพียงเน้ือหาการเคลื่อนไหวเพียงอย่างเดียวจะไม่เกิดผลดี อีกทั้งจะต้องเสีย เวลาและคา่ ใชจ้ า่ ยมาก ฉะนน้ั การสอนกศุ โลบายควบคกู่ บั การสอนเนอื้ หาการเคลอ่ื นไหว จะชว่ ยเนน้ ส่ิงส�ำคัญในการเรียน ช่วยจัดระเบียบการจ�ำเน้ือหา ช่วยควบคุมและตรวจสอบการแสดง ความสามารถ และเตรยี มผู้เรียนเผชญิ สถานการณ์ใหม่ นักจิตวิทยาได้ให้ค�ำจ�ำกัดความ กุศโลบาย (Strategy) หมายถึง การจัดกระบวนการ ทางความคดิ ทเี่ หมาะสมเพอื่ ใหก้ ารกระท�ำบรรลเุ ปา้ หมายทต่ี ง้ั ไว้ โดยทว่ั ไปกศุ โลบาย แบง่ ออกเปน็ 2 ชนิด คือ 1. กศุ โลบายเฉพาะ (Specific Strategy) กศุ โลบายชนดิ น้ีจะวางแผนเฉพาะเจาะจง เพอื่ ใช้ในแต่ละสถานการณ์ 2. กุศโลบายท่ัวไป (General Strategy) จะสามารถน�ำไปใช้ได้ในสถานการณ์ต่างๆ ที่มลี ักษณะคลา้ ยคลงึ กนั กุศโลบายทั่วไปที่ได้รับการยอมรับว่าช่วยท�ำให้การเรียนรู้ด�ำเนินไปด้วยความรวดเร็ว ผเู้ รยี นจดจ�ำทกั ษะไดน้ าน และน�ำไปใชไ้ ดใ้ นสถานการณต์ า่ งๆ ไดแ้ ก่ การพดู เปน็ จงั หวะ การก�ำหนด ตวั แทนการเคล่อื นไหว การจับกลุ่ม การถา่ ยทอดข้อความและจนิ ตภาพ การพูดเปน็ จังหวะ (Rhythmic Verbalization) ในการใช้กุศโลบายน้ีในการสอนทักษะ ให้ผู้เรียนนับเสียงดังควบคู่กับการเคล่ือนไหว แต่ละส่วน วิธีการพดู เปน็ จังหวะนี้ช่วยท�ำให้ผ้เู รียน 1. มีความต้ังใจตอ่ สว่ นของทักษะทมี่ คี วามส�ำคัญ 2. ควบคุมจงั หวะของการแสดงทกั ษะ 3. ช่วยพฒั นาความสมั พันธ์และต่อเนอ่ื งกนั ของทักษะสว่ นตา่ งๆ คูม่ อื ฝกึ อบรมผฝู้ กึ สอนกฬี ายมิ นาสตกิ 23

จนิ ตภาพ (Imagery) จินตภาพ คือ การสร้างภาพการเคล่ือนไหวในใจก่อนการแสดงทักษะจริง ถ้าภาพในใจ ทส่ี รา้ งขึ้นชัดเจน และมชี วี ิตชวี ามาก กจ็ ะชว่ ยให้การแสดงทักษะจรงิ ได้ผลดีมากขนึ้ วธิ ีการฝึกหดั จนิ ตภาพแบ่งออกเป็น 2 วิธี ไดแ้ ก่ 1. การฝึกจนิ ตภาพภายใน คือ การสร้างภาพการเคลอื่ นไหวของตนเองในใจกอ่ นการ แสดงทักษะจริง และให้เกิดความรู้สึกเกี่ยวกับการเคล่ือนไหวในขณะเดียวกันด้วย วิธีน้ีเหมาะสม กับนักกีฬาท่ีมีทักษะสูง รู้การแสดงทักษะท่ีถูกต้อง และให้ผลดีกว่าการจินตภาพภายนอก เพราะเปน็ การท�ำให้ความรสู้ กึ เคลอ่ื นไหวเกิดขึ้นควบคกู่ ับการจนิ ตภาพ 2. การฝึกจินตภาพภายนอก คือ การสร้างภาพการแสดงทักษะของตนเองหรือ บุคคลอื่นในใจก่อนการแสดงทักษะจริง อาจเป็นภาพการเคล่ือนไหวของครูผู้สาธิต หรือนักกีฬา ที่มคี วามสามารถสูง ภาพท่สี รา้ งข้ึนอยู่ภายนอก เหมอื นกับภาพปรากฏบนจอโทรทัศน์ วธิ ีการฝกึ นี้ เหมาะส�ำหรับผูห้ ดั ใหม่ทย่ี ังไม่รวู้ ิธีการแสดงทกั ษะท่ีถกู ตอ้ ง สมาธิ : การรวมความตั้งใจ (Concentration: Attention Focusing) ปัญหาท่ีส�ำคัญที่สุดในการเล่นกีฬาไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันหรือการฝึกซ้อม คือการขาด สมาธิ จิตใจท่ีสบั สนลงั เลไมม่ ีสมาธจิ ะกอ่ ให้เกดิ ความผดิ พลาดในระหว่างการแสดงความสามารถ สมาธิ หมายถึง การรวมความต้ังใจต่อสิง่ หน่งึ ทีส่ �ำคัญโดยไมส่ นใจตอ่ สงิ่ อืน่ และการรักษา ความต้ังใจต่อสิ่งน้ันเป็นเวลานาน เป็นท่ียอมรับว่าการรวมความต้ังใจที่เหมาะสม จะน�ำไปสู่ การแสดงความสามารถทสี่ งู การรวมความต้ังใจต่อสิ่งส�ำคัญ หมายถึง การรวมความต้ังใจต่อสิ่งชี้แนะท่ีส�ำคัญ สิ่งชแี้ นะที่ไมเ่ กยี่ วข้องต้องก�ำจดั และไม่สนใจ การรักษาความตงั้ ใจให้นาน การรกั ษาความตง้ั ใจใหน้ านในระหวา่ งการแขง่ ขนั เปน็ สว่ นหนงึ่ ของสมาธิ นกั กฬี าหลายคน มีช่วงเวลาที่ส�ำคัญเล่นได้ดีมากในช่วงหนึ่ง แต่มีนักกีฬาไม่มากนักที่จะรักษาการเล่นให้สูงตลอด การแข่งขนั การรักษาความตั้งใจให้นานไม่ใช่ส่ิงท่ีท�ำได้ง่ายๆ ดังนั้น การขาดสมาธิเพียงชั่วครู่หน่ึง มคี า่ ถึงกบั สูญเสียต�ำแหนง่ แชมป์ วธิ กี ารฝกึ สอนกฬี า (Coaching Methods) วิธกี ารฝึกสอน จะมคี วามแตกต่างไปตามบริบททางกฬี า ผฝู้ ึกสอนท่ถี กู วา่ จา้ งจากสโมสร เพ่ือท�ำให้สโมสรประสบความส�ำเร็จ ในการแข่งขันอาจจะต้องพิจารณาวิธีการฝึกสอนจากความ ตอ้ งการของเจา้ ของทมี ในขณะทผี่ ฝู้ กึ สอนทถี่ กู นกั กฬี าเชญิ ใหเ้ ปน็ ผฝู้ กึ สอนอาจจ�ำเปน็ ตอ้ งมวี ธิ กี าร 24 คู่มือฝึกอบรมผ้ฝู ึกสอนกฬี ายมิ นาสตกิ

ฝึกสอนท่ีตอบสนองต่อความต้องการของนักกีฬามาใช้ ซ่ึงเป็นส่ิงส�ำคัญมากท่ีผู้ฝึกสอนจะต้อง สามารถรู้ได้ว่าวิธีการฝึกสอนของพวกเขาต้องได้รับการแก้ไข เพ่ือให้เกิดการตอบสนองที่มี ประสทิ ธภิ าพ ในเรอื่ งของรปู แบบหรอื สไตลใ์ นการฝกึ สอน ผฝู้ กึ สอนจะตอ้ งสามารถใชร้ ปู แบบการฝกึ สอน ทห่ี ลากหลายเพอื่ ท�ำใหน้ กั กฬี าไดเ้ รยี นรู้ นกั กฬี าหลายคนตอ้ งการค�ำแนะน�ำในเชงิ ลกึ และการอธบิ าย ผู้ฝึกสอนต้องมวี ิธีการสอนท่ีหลากหลายและมีความสามารถ ดงั น้ี 1. ให้ค�ำแนะน�ำอย่างตรงไปตรงมา 2. ซกั ถามเกย่ี วกับการอ�ำนวยความสะดวก 3. ลดความเจ้ากี้เจ้าการและความเป็นระเบยี บวินัยที่พวกเขาท�ำ 4. เพ่มิ ความรบั ผิดชอบในการแสดงความสามารถของนกั กีฬา 5. พฒั นาความสามคั ครี ะหว่างนักกีฬาแตล่ ะคน 6. เป็นตัวอยา่ งที่ดี 7. ก�ำหนดความรบั ผิดชอบและความเกี่ยวข้องกบั ผลของการแขง่ ขัน 8. พัฒนาการตดั สินใจและการแกป้ ัญหาของนักกฬี า ทักษะในการส่ือสาร (Communication Skills) การติดต่อกับความต้องการท่ีหลากหลายของนักกีฬาและทีมเป็นส่วนส�ำคัญของงาน ในด้านการฝึกสอน จึงจ�ำเป็นต้องมีวิธีการส่ือสารท่ีหลากหลายเพื่อการส่งต่อข้อมูลอย่างมี ประสทิ ธิภาพ โดยทกั ษะในการสื่อสารมักประกอบไปด้วย 1. การน�ำเสนอขอ้ มลู ในรปู แบบของการเขยี น การพดู สญั ลกั ษณ์ และรปู แบบของภาพ และเสยี ง 2. ทกั ษะในการฟัง 3. การยุตคิ วามขดั แยง้ 4. ความสามารถในการต่อรองและให้ผลย้อนกลบั ท่ีแมน่ ย�ำ บริบทของกีฬา (Sport Context) รูปแบบหรือสไตลใ์ นการฝึกสอน (Coaching Styles) มี 3 เงื่อนไขท่ีเปน็ สญั ญาณต่อการ ฝกึ สอนที่มปี ระสทิ ธิภาพ นักกฬี าจะตอ้ ง 1. ใชเ้ วลาในการเรียนรทู้ เ่ี หมาะสม 2. ใช้โอกาสในการเรยี นรูท้ ่เี หมาะสม 3. ไดร้ ับการฝกึ ท่ีดีท่ีสดุ ทจ่ี ะชว่ ยใหพ้ วกเขาเกิดการเรียนรู้ คมู่ ือฝกึ อบรมผฝู้ กึ สอนกฬี ายิมนาสติก 25

ซง่ึ มบี างเทคนคิ ในการฝกึ เทา่ นนั้ ทรี่ บั ประกนั วา่ จะสง่ ผลตอ่ เงอ่ื นไขทง้ั สามขอ้ ยกตวั อยา่ ง เช่น การฝกึ ในสนามฝกึ ตี (Driving Range) ของนกั กฬี ากอล์ฟ การฝึกกับตาขา่ ยในกฬี าครกิ เกต็ การใหค้ �ำแนะน�ำอย่างตรงไปตรงมา (Direct instruction) การให้ค�ำแนะน�ำอย่างตรงไปตรงมาเป็นวิธีการหนึ่งท่ีช่วยให้นักกีฬาได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ ของพวกเขาอยูก่ บั การฝึกซ้อม โดยวธิ ีการท่ีมีคุณภาพ คอื 1. ตง้ั ความคาดหวังทส่ี ูงแตเ่ ป็นไปได้ 2. เปน็ ผฝู้ กึ สอนทกี่ ระตอื รอื รน้ ในการใหผ้ ลยอ้ นกลบั ทถี่ กู ตอ้ งและค�ำแนะน�ำทมี่ คี ณุ ภาพ 3. ให้ค�ำแนะน�ำเกี่ยวกบั ความสามารถของนกั กีฬาอยา่ งใกล้ชิด 4. ท�ำให้นกั กีฬามคี วามรบั ผิดชอบ 5. การก�ำหนดงานที่ส่งผลกับความส�ำเรจ็ ในระดบั สงู 6. มีการน�ำเสนอ ความกระตอื รือร้น และความอบอ่นุ ทชี่ ดั เจน การซักถามเกยี่ วกับการอ�ำนวยความสะดวก (Facilitative questioning) การซักถามเก่ียวกับการอ�ำนวยความสะดวก เป็นรูปแบบของการฝึกที่มีจุดมุ่งหมาย เพ่ือเพ่ิมการตัดสินใจและการแก้ปัญหาทักษะของนักกีฬา ส่วนใหญ่แล้วในการเล่นกีฬาผู้ฝึกสอน ไมส่ ามารถทจ่ี ะออกค�ำสง่ั ไดใ้ นระหวา่ งเกมหรอื ในบางกฬี ากท็ �ำไดจ้ ากขา้ งสนามเทา่ นนั้ ซงึ่ เปน็ ระยะ ท่ีห่างเกินกว่าจะท�ำการสาธิตได้ นักกีฬาท่ีได้รับการฝึกการแก้ปัญหาและการตัดสินใจด้วยตัวเอง สามารถเปล่ียนแปลงเกมของพวกเขาระหว่างการแข่งขันและยังสามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ ระหว่างสาเหตแุ ละผลกระทบเกย่ี วกับเทคนคิ และแผนการเล่นของพวกเขาได้ การเพ่ิมความรับผดิ ชอบของนกั กีฬา (Increasing athlete responsibility) นักกีฬาท่ีมีการพัฒนาในเรื่องของความรับผิดชอบเกี่ยวกับความสามารถของตนเอง และทมี พรอ้ มๆ กบั ความสามารถในการจดั การตนเองจะท�ำใหผ้ ฝู้ กึ สอนท�ำงานไดง้ า่ ยยง่ิ ขนึ้ ผฝู้ กึ สอน ในทีมเยาวชนมักรู้สึกถึงความกดดันในบางคร้ัง เน่ืองจากความเชื่อที่ว่าผู้ฝึกสอนต้องเป็นผู้จัดการ ทุกอย่างในทีม ขณะท่ีการจัดการและการควบคุมทีมท่ีมีคุณภาพเป็นตัวช้ีวัดถึงการเป็นผู้ฝึกสอนท่ีดี นักกีฬาท่ีมีการจัดการและควบคุมตนเองได้ดีก็มีโอกาสท่ีจะเป็นผู้ฝึกสอนท่ีดีในอนาคตได้ สิง่ ทีเ่ กยี่ วข้องกบั การพฒั นาเรอ่ื งของความรับผิดชอบของนกั กฬี า ผู้ฝึกสอนจะต้อง 1. ชน่ื ชมนกั กฬี าทสี่ นบั สนนุ คนอนื่ ๆ ในทมี เพอ่ื เปน็ การเรมิ่ ตน้ การสรา้ งความรบั ผดิ ชอบ 2. หลกี เลย่ี งการตัดสินนกั กฬี า โดยใหถ้ ือว่าพวกเขาได้ใชค้ วามพยายามเตม็ ทแ่ี ล้ว 26 คมู่ ือฝกึ อบรมผูฝ้ กึ สอนกีฬายิมนาสติก

3. ท�ำตวั เปน็ แบบอยา่ งท่ีดี 4. แสดงความคาดหวังที่ชดั เจนจากนกั กีฬาตัง้ แต่เรมิ่ ตน้ ฝกึ ซอ้ ม 5. ต�ำหนพิ ฤติกรรม แตไ่ ม่ต�ำหนนิ กั กฬี าเป็นรายคน 6. สละเวลาในการอธิบายเหตุผลของกิจวัตรประจ�ำวันที่หลากหลายท่ีจะส่งผลต่อ การจัดการและความสามารถ 7. ต้องแน่ใจว่านักกีฬาจะรู้ว่าความผิดพลาดของพวกเขาไม่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของ ผฝู้ กึ สอนทมี่ ตี อ่ นกั กฬี า 8. ยอมรับการช่วยเหลือจากนักกีฬาในการช่วยพัฒนานักกีฬาคนอื่นๆ เนื่องจากการ จดั การตนเองเปน็ ความสามารถทจ่ี �ำเปน็ ตอ้ งเรยี นรู้ ผฝู้ กึ สอนจงึ ตอ้ งแนใ่ จวา่ นกั กฬี าสามารถเรยี นรู้ และพัฒนาในส่วนน้ีได้ การพฒั นาความสามคั ครี ะหวา่ งนกั กฬี าแตล่ ะคน (Developing a rapport with athletes) ผู้ฝึกสอนทโ่ี ดดเด่นมกั จะมคี วามสมั พันธท์ ีแ่ ขง็ แรงในทางบวกกบั นักกีฬา ในทมี ท่ีประสบ ความส�ำเร็จและนักกีฬามักจะมีความสามัคคีโดยอัตโนมัติกับผู้ฝึกสอน ซึ่งกุญแจส�ำคัญท่ีพัฒนา ความสามัคคีระหว่างกันคือความเชื่อใจ เมื่อทีมชนะ นักกีฬาจะเกิดความเช่ือในตัวผู้ฝึกสอนว่าท�ำ ในสิ่งที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม สัญญาณของความสามัคคีท่ีแข็งแรงอาจเป็นเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น การประสบความส�ำเรจ็ ในบางครงั้ กเ็ ปน็ สงิ่ ทช่ี ว่ ยแกป้ ญั หาหรอื ความแตกตา่ งทม่ี อี ยรู่ ะหวา่ งนกั กฬี า กบั ผู้ฝึกสอนได้ นอกเหนอื จากอัตราการแพช้ นะแลว้ ยังมตี วั ช้ีวัดอืน่ ๆ ทที่ �ำใหค้ วามสามคั คีคงอยู่ระหว่าง นักกีฬาและผู้ฝึกสอน ได้แก่ 1. นักกีฬาตอบสนองต่อความต้องการของผู้ฝึกสอนได้อย่างรวดเร็วและเหมาะสม ท�ำใหผ้ ้ฝู กึ สอนเกิดการยอมรับ 2. ผู้ฝึกสอนเข้าใจนักกีฬาเป็นอย่างดีและสามารถก�ำหนดงานและเป้าหมายท่ีนักกีฬา สามารถท�ำไดอ้ ยา่ งตอ่ เนอ่ื ง 3. ผูฝ้ ึกสอนน�ำกฎระเบยี บมาใช้อยา่ งเปน็ ธรรม และปฏิบัตติ ่อนกั กฬี าดว้ ยความเคารพ โดยเรยี นรู้เกยี่ วกับตัวนักกฬี า 4. ผฝู้ ึกสอนกระตือรอื รน้ ทีจ่ ะรบั ฟังนักกฬี า และใหส้ ทิ ธพิ ิเศษถ้ามคี วามจ�ำเปน็ 5. นักกีฬาจะไม่ถูกห้ามในการเสนอความคดิ เห็นหรือข้อเสนอแนะ คูม่ ือฝึกอบรมผู้ฝึกสอนกฬี ายมิ นาสติก 27

การใหต้ วั อยา่ ง (Modeling) วธิ ีการหน่งึ ทีเ่ ป็นเครือ่ งมือในการฝกึ สอนทด่ี ี คือ การให้ตัวอยา่ งกับนกั กีฬา ซึ่งผ้ฝู ึกสอน อาจจะสร้างตัวอย่างจากตนเอง และน�ำตัวอย่างท่ีดีมาให้นักกีฬาได้เห็นเพื่อน�ำไปพัฒนาความสามารถ ตามตัวอย่างได้ โดยในบางคร้ังตัวอย่างก็อาจเป็นต้ังแต่นักกีฬาท่ีประสบความส�ำเร็จที่มีชีวิตอยู่ ไปจนถึงตัวอย่างการเล่นในอุดมคติของผู้ฝึกสอนและนักกีฬาก็ได้ โดยส่วนประกอบท่ีส�ำคัญ ของการใหต้ ัวอยา่ งของรปู แบบการฝกึ สอน เช่น 1. ให้ตวั อย่างทีน่ ักกฬี ามองเหน็ ความส�ำเร็จ 2. อา้ งองิ ตวั อยา่ งทร่ี จู้ กั การจดั การตนเอง มพี ฤตกิ รรมทดี่ ี มที ศั นคตแิ ละความมนี ำ้� ใจนกั กฬี า เชน่ เดยี วกบั ทักษะและการเลน่ 3. ใช้ผู้เล่นคนอ่ืนในทีมที่แสดงความสามารถได้อย่างถูกต้องเป็นตัวอย่าง แต่ควร ระมัดระวังเร่อื งการเปรียบเทยี บกบั ตวั ของนกั กฬี า 4. ให้รางวัลนักกฬี าทแ่ี สดงถงึ พฤตกิ รรมท่ตี ้องการ 5. เลอื กตัวอยา่ งทน่ี ักกีฬาสามารถท�ำตามได้ การสื่อสาร (Communication) ผู้ฝึกสอนของนักกีฬาพิการเท่าน้ันท่ีรับรู้ถึงข้อดีของการใช้การสื่อสารที่หลากหลาย ในการสื่อสารถึงเกณฑ์ของการปฏิบัติงาน และการให้ข้อเสนอแนะหรือผลย้อนกลับกับนักกีฬา นักกีฬาท่ีพิการทางการได้ยินต้องพ่ึงพาข้อมูลจากการมองเห็นเป็นอย่างมาก ในขณะที่นักกีฬาที่พิการ ทางการมองเหน็ กจ็ �ำเปน็ ตอ้ งใหผ้ ฝู้ กึ สอนใชก้ ารสอ่ื สารดว้ ยเสยี งและการสมั ผสั คนสว่ นใหญม่ กั สนใจ ในการสื่อสารประเภทเดียวหรือการรวมกันของการสื่อสาร แต่ผู้ฝึกสอนท่ีมีประสิทธิภาพจะให้ นักกีฬาไดส้ มั ผัสถึงการส่ือสารในทกุ ทางและเลอื กใช้วิธีการทด่ี ีทส่ี ุด การส่อื สารดว้ ยลายลักษณอ์ ักษร (Written Communication) กีฬาส่วนใหญ่มีการสร้างวัสดุในการเรียนการสอนที่เป็นลายลักษณ์อักษรท่ีดีเยี่ยมให้กับ ผเู้ รียน ในกจิ กรรมกีฬาบางประเภท เชน่ ยมิ นาสติก กระโดดน�้ำ กีฬาต่อสู้ป้องกันตวั ระบ�ำใต้นำ�้ ลลี าศ มีการใช้เทคนคิ ทซี่ บั ซอ้ นสูงและมกี ารตงั้ มาตรฐานเอาไวเ้ ป็นลายลกั ษณ์อกั ษร ผู้ฝึกสอนสามารถใช้วัสดุเหล่านี้ได้ในหลายวิธี โดยอาจน�ำไปใช้เป็นคู่มือในการช่วย ใหน้ กั กฬี าเขา้ ใจถงึ เทคนคิ หรอื ใชใ้ นการเขยี นโปรแกรมการฝกึ ทกั ษะทน่ี กั กฬี าสามารถท�ำตามไดใ้ น เวลาทไี่ มม่ ผี ฝู้ กึ สอน เมอื่ เลอื กหรอื เตรยี มทจ่ี ะเขยี นคมู่ อื ส�ำหรบั นกั กฬี า ผฝู้ กึ สอนตอ้ งแนใ่ จวา่ ขอ้ มลู ทีม่ ีน้นั สามารถเข้าใจไดง้ า่ ย ซง่ึ สามารถท�ำได้ดงั นี้ 1. ใช้แผนภมู ชิ ่วยในการสรา้ งภาพ 28 ค่มู อื ฝกึ อบรมผฝู้ ึกสอนกฬี ายมิ นาสตกิ

2. แบ่งเนื้อหาออกเป็นบทโดยไม่ควรเกินหน่ึงหรือสองหนา้ 3. ใช้ภาษาที่ทกุ คนเขา้ ใจได้ง่าย 4. อธบิ ายถึงค�ำศพั ทใ์ หมๆ่ 5. เนน้ ในส่วนท่ีส�ำคญั 6. น�ำไปสู่สว่ นทีส่ รปุ 7. คน้ ควา้ เอกสาร วรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้องอยู่เสมอกอ่ นท�ำคมู่ ือ การสือ่ สารด้วยวาจา (Oral Communication) เสียงของมนุษย์ถูกใช้ในหลากหลายวัตถุประสงค์ การสอน การให้ค�ำแนะน�ำการชมเชย การถาม การกระตุ้น ฯลฯ เช่นเดียวกับการปรับใช้เทคนิคในการส่ือสารแบบลายลักษณ์อักษร การสอ่ื สารด้วยวาจาควร 1. ใช้เสียงท่ีเหมาะสม 2. นำ้� เสียงสามารถเปล่ียนวัตถปุ ระสงคข์ องข้อความท่พี ดู ได้ 3. ถามเพ่ือยำ้� ว่านักกฬี าเขา้ ใจ หรอื มสี ว่ นรว่ มในการแก้ปญั หาของนักกฬี า 4. ใชถ้ ้อยค�ำหรอื ศัพท์ทแี่ ม่นย�ำ เทคนคิ เหลา่ นที้ �ำใหก้ ารสอ่ื สารนา่ สนใจยงิ่ ขน้ึ เนน้ องคป์ ระกอบทส่ี �ำคญั และลดความนา่ เบอ่ื ซึ่งเป็นส่ิงส�ำคัญมากส�ำหรับผู้ฝึกสอนในการตรวจสอบว่าค�ำพูดท่ีสอนนักกีฬาไปนั้นมีความเหมาะสม หรือไม่ การส่อื สารดว้ ยสญั ลักษณ์ (Symbolic Communication) ผู้ฝึกสอนจะต้องค้นหาสิ่งที่จ�ำเป็นในการแสดงให้นักกีฬาเห็นถึงภาพและการเคลื่อนไหว ทถ่ี กู ตอ้ ง โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ถา้ เปน็ เทคนคิ ใหมห่ รอื ขอ้ บกพรอ่ งทสี่ �ำคญั ทจี่ �ำเปน็ ตอ้ งไดร้ บั การแกไ้ ข ตวั อยา่ งของสญั ลกั ษณพ์ บไดใ้ นทกุ กฬี า การพฒั นาการเกบ็ รวบรวมภาพทจ่ี ะชว่ ยใหน้ กั กฬี ามองเหน็ และรสู้ กึ ถึงการเคล่อื นไหวมกั เป็นสิ่งส�ำคญั ในการช่วยลดระยะเวลาในการเรียนรู้การเคล่ือนไหว การสือ่ สารด้วยสอื่ (Audiovisual Communication) วดิ โี อเทปชว่ ยใหผ้ ฝู้ กึ สอนและนกั กฬี าโฟกสั ไปทล่ี กั ษณะส�ำคญั ของความสามารถ เนอ่ื งจาก ช่วงเวลาท่ีส�ำคัญสามารถตรวจสอบได้จากการเพิ่มลดความเร็วของภาพและเสียงหรือการตัดเสียง ออกกไ็ ด้ ผฝู้ กึ สอนใชว้ ดิ โี อในการวเิ คราะหท์ กั ษะและการเลน่ ของนกั กฬี า เชน่ เดยี วกบั การวเิ คราะห์ ทกั ษะและการเลน่ ของคู่แข่ง คมู่ ือฝกึ อบรมผู้ฝกึ สอนกฬี ายิมนาสติก 29

วิดีโอเป็นอุปกรณ์ในการส่ือสารท่ียอดเยี่ยม เนื่องจากการรับรู้สามารถยืนยันและ เปรียบเทยี บได้ ผฝู้ กึ สอนอาจพบว่าเป็นการยากท่จี ะท�ำให้นกั กฬี าเชอื่ วา่ มคี วามผดิ พลาดในเทคนคิ การเล่น แต่ด้วยการดูวิดีโอเกี่ยวกับความสามารถของนักกีฬาร่วมกัน นักกีฬาและผู้ฝึกสอน กจ็ ะสามารถพดู คยุ กนั ถงึ ลกั ษณะของเทคนคิ และมองเหน็ ถงึ ปญั หาของตวั นกั กฬี า นกั กฬี าทมี่ คี วามรู้ สามารถวิเคราะห์ตนเองจากการดูวิดีโอเทปเพื่อเพ่ิมความสามารถในการตัดสินใจและทักษะ การแกป้ ัญหา รวมถึงการเพ่มิ กระบวนการเรยี นรใู้ ห้ตนเองได้อีกด้วย ทักษะในการฟงั (Listening Skills) ผฝู้ กึ สอนควรค�ำนงึ ถงึ การท�ำใหน้ กั กฬี ารสู้ กึ สบายใจในการพดู คยุ กบั ผฝู้ กึ สอน นกั กฬี าจะฟงั อย่างต้ังใจหากผู้ฝึกสอนต้องการที่จะช่วยให้นักกีฬามีการพัฒนาและแสดงความสามารถได้ดีข้ึน ผฝู้ กึ สอนทตี่ อ้ งการจะเปน็ ผู้ฟังที่ดจี ะต้องจ�ำไว้เสมอว่า 1. การฟงั ไมใ่ ชแ่ คเ่ พยี งการไดย้ นิ เปน็ สงิ่ ส�ำคญั ของภาษาทางกาย ขอ้ มลู ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ และกระบวนการกลุ่มจะช่วยให้ผู้ฝึกสอนสามารถเข้าใจและตีความสง่ิ ที่นักกฬี าตอ้ งการส่อื สารได้ 2. การแบ่งเวลาในการรับฟังนักกีฬาเป็นส่ิงส�ำคัญ แต่ผู้ฝึกสอนจะต้องระงับแนวโน้ม ทนี่ กั กีฬาจะใชผ้ ูฝ้ กึ สอนเปน็ ทร่ี ะบายอารมณ์ หรอื การเล่นการเมืองภายในทีม 3. ผู้ฝึกสอนต้องใช้การผ่อนคลายและสภาพแวดล้อมที่เงียบในการพูดคุยเมื่อมีโอกาส และเคารพในความเป็นส่วนตัวของนักกีฬา ในช่วงพักผู้ฝึกสอนอาจลุกออกจากกลุ่มของทีม เพอ่ื ไปพดู คุยส่วนตัวกับนกั กีฬาได้ 4. ผู้ฝึกสอนต้องรับรู้ถึงการแสดงความเช่ือมั่นของนักกีฬา โดยอาจใช้สายตา การเคลื่อนไหวศีรษะ การแสดงออกทางหน้าตาและค�ำส่ังสนับสนุนเพื่อระบุว่านักกีฬาได้ยิน หรือเขา้ ใจสิ่งท่ีตอ้ งการสื่อสาร 5. ผฝู้ กึ สอนตอ้ งหลกี เลย่ี งการตดั สนิ นกั กฬี า ถา้ ผฝู้ กึ สอนไมไ่ ดร้ บั การยอมรบั จากนกั กฬี า ก็จะเกิดการไม่พอใจ ผู้ฝึกสอนควรรอจนกว่านักกีฬาจะพูดจบแล้วจึงค่อยอธิบายความเห็น ท่ีแตกตา่ งกัน และควรสนับสนุนความคิดเหน็ ด้วยเหตผุ ล การยตุ คิ วามขัดแยง้ (Conflict Resolution) กีฬากระตุ้นอารมณ์ของผู้เข้าร่วม เมื่อมีอารมณ์ร่วมสูงลักษณะนิสัยส่วนตัวของนักกีฬา ก็อาจจะออกมาและความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งนกั กีฬากจ็ ะเกิดความยุง่ ยากในการจดั การ ผู้ฝึกสอนทีม่ ี ประสิทธิภาพควรคดิ และหาวิธีแกไ้ ขไวล้ ่วงหนา้ ก่อนเกดิ เหตกุ ารณ์ดงั กลา่ วข้นึ กอ่ นเรม่ิ ฤดกู าลแข่งขนั ความสามารถในการคาดเดาความเป็นไปได้ท่ีจะเกิดความขัดแย้งและวางแผนในการ หลีกเลี่ยงปัญหา จะเกิดข้ึนได้จากประสบการณ์ของผู้ฝึกสอน ความขัดแย้งบางครั้งก็ไม่สามารถ 30 ค่มู ือฝกึ อบรมผู้ฝึกสอนกีฬายมิ นาสติก

แกไ้ ขไดใ้ นกรณนี ผ้ี เู้ กย่ี วขอ้ งทงั้ หมดควรกา้ วผา่ นการจมอยกู่ บั อดตี ซงึ่ กลยทุ ธใ์ นการยตุ คิ วามขดั แยง้ มหี ลายวธิ ี ดงั นี้ 1. ผฝู้ กึ สอนของนกั กฬี าเยาวชนมคี วามรบั ผดิ ชอบในการสรา้ งการสนบั สนนุ พฤตกิ รรม ในนกั กฬี าทกุ คน เปน็ สง่ิ ทด่ี หี ากนกั กฬี าใชค้ �ำพดู ทใ่ี หก้ �ำลงั ใจในขณะทน่ี กั กฬี าคนอน่ื ในทมี ท�ำผดิ พลาด ค�ำพูดเหล่าน้ีจะช่วยให้นักกีฬาที่ท�ำผิดพลาดมีความรู้สึกในทางบวกและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม ในส่วนของความผิดพลาดก็จะเป็นโอกาสในการลดโอกาสในการสร้างความตึงเครียดที่อาจพัฒนา ขนึ้ ภายในทมี 2. ยอมรบั ความผดิ พลาดบางอยา่ งและพยายามพจิ ารณาความขดั แยง้ จากมมุ มองอนื่ ๆ 3. ใชก้ ารถามค�ำถามมากกว่าการโต้แยง้ ในเรอ่ื งเดมิ 4. ประนีประนอมใหท้ กุ ฝา่ ยยอมรบั ได้ 5. หลกี เลยี่ งค�ำพูดทเี่ ปน็ การท�ำรา้ ยนักกีฬา การให้ผลยอ้ นกลับ (Feedback) การใหผ้ ลยอ้ นกลบั หรอื ค�ำแนะน�ำทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพชว่ ยใหน้ กั กฬี าเรยี นรู้ โดยอาจเปน็ การ แนะน�ำจากผู้ฝึกสอน ความรู้สึกจากอุปกรณ์หรือร่างกาย หรือจากการประเมินผล โดยผู้ฝึกสอน สามารถเกบ็ ขอ้ มลู ทเี่ ปน็ ประโยชนจ์ ากการแสดงความสามารถของนกั กฬี าจากหลายๆ ตวั เลอื ก เชน่ 1. เครอื่ งวัดอัตราการเต้นของหัวใจ 2. เซนเซอรซ์ งึ่ สามารถใสเ่ ขา้ ไปในอปุ กรณ์ เชน่ จกั รยาน เพอ่ื เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ในขณะ ปั่นจักรยานของนักกีฬา 3. วดิ โี อเทปการแสดงทกั ษะความสามารถของนกั กฬี าสามารน�ำมาเปรยี บเทยี บกบั วดิ โี อ ตวั อยา่ งของเทคนิคในอุดมคติ วธิ ีการน�ำขอ้ มลู ไปใช้ 1. ใช้เทคนคิ ในการถามเพ่อื ช่วยนกั กีฬาสร้างผลยอ้ นกลับให้กบั ตวั เอง 2. งดการแนะน�ำในเรื่องเดิมและควรคิดว่านักกีฬามีสติปัญญาและท�ำงานด้วย ความรบั ผิดชอบภายใต้การสงั เกตของผฝู้ ึกสอน 3. ให้ข้อมูลเพียงหน่ึงหรือสองชิ้นในทุกโอกาสเพื่อให้นักกีฬาได้ซึมซับอย่างมี ประสทิ ธภิ าพ 4. ช่วยนกั กีฬาใหเ้ ข้าใจเทคนิคทถ่ี กู ตอ้ งจากการให้ผลย้อนกลบั ในระยะเวลาอันส้ัน 5. ใหผ้ ลยอ้ นกลับเพิ่มในส่วนท่ถี กู ตอ้ งมากกวา่ ส่วนทีไ่ มถ่ กู ตอ้ ง 6. หลกี เลย่ี งการใหผ้ ลยอ้ นกลบั ทตี่ รงไปตรงมาและเปน็ ไปในทางลบตอ่ หนา้ เพอ่ื นรว่ มทมี ถา้ หากจ�ำเป็นก็ควรกลา่ วถงึ ทงั้ ทมี ไม่ควรกล่าวถงึ ปัญหาเฉพาะบุคคล คูม่ ือฝกึ อบรมผ้ฝู ึกสอนกีฬายิมนาสตกิ 31

การสะท้อนตนเอง (Self-Reflection) นักกีฬาเยาวชนอาจประสบความส�ำเร็จสูงในการแข่งขันแต่อาจจะไม่ได้ระมัดระวัง ในเรื่องการแสดงเทคนิคที่ผิดพลาด ซ่ึงจะส่งผลต่อไปในการแข่งขันในระดับท่ีสูงข้ึนของนักกีฬา หากนักกีฬาเหล่าน้ีมีความสามารถพิเศษหรือพรสวรรค์ พวกเขาก็อาจจะประสบความส�ำเร็จ โดยที่ผ้ฝู ึกสอนไม่ไดต้ รวจสอบความผิดพลาดของนักกีฬาเลย การสะท้อนตนเองเป็นกระบวนการท่ีนักกีฬาสามารถเปรียบเทียบการเล่นในปัจจุบันกับ การเล่นของนักกีฬาในอุดมคติท่ีควรปฏิบัติได้ ด้วยการใช้ข้ันตอนท่ีเป็นระบบในการเปรียบเทียบ ระหว่างความจรงิ กบั อดุ มคติ การใหค้ �ำปรกึ ษา (Mentoring) ผู้ให้ค�ำปรึกษาในการสะท้อนตนเองจะต้องเป็นคนท่ีผู้ฝึกสอนให้ความเคารพ และเลือก ในการชว่ ยเหลอื ในกระบวนการสะทอ้ นตนเอง ผใู้ หค้ �ำปรกึ ษาจะแสดงบทบาทเปน็ ผฟู้ งั ของการตคี วาม ของผฝู้ กึ สอนในการฝกึ การฟงั การวเิ คราะหข์ องผฝู้ กึ สอนในการแสดงความสามารถในการฝกึ สอน และยืนยันความถูกต้องของค�ำแนะน�ำของผู้ฝึกสอน ผู้ให้ค�ำปรึกษาจะถามค�ำถามเก่ียวกับวิธีการ ทใ่ี ช้และแนะน�ำผฝู้ ึกสอนให้เข้าใจในงาน การวิเคราะห์วดิ ีโอ (Video Analysis) การวิเคราะห์วิดีโอช่วยในกระบวนการสะท้อนตนเอง เน่ืองจากวิดีโอเทปน�ำภาพถาวร ทสี่ ามารถชว่ ยในการวเิ คราะหเ์ ชงิ ลกึ และการประเมนิ และยงั สามารถชว่ ยระบกุ ารพฒั นาทต่ี อ้ งการ และใชใ้ นการวางแผนในการพฒั นาได้ 32 คมู่ ือฝึกอบรมผู้ฝกึ สอนกฬี ายิมนาสตกิ

บ ทท่ี 4 หลักการฝึกกีฬา กฎธรรมชาติของรา่ งกาย (Law of Nature) อวยั วะและรา่ งกายของคนเราถกู ออกแบบมาใหท้ �ำงาน และสามารถท�ำงานไดต้ ามลกั ษณะ กายภาพของอวัยวะเหล่าน้ัน ซ่ึงหมายความว่าสามารถท�ำงานได้ตามลักษณะและโครงสร้างของ อวัยวะน้ันๆ กล่าวคือ ท�ำงานได้ในขอบข่ายจ�ำกัดไม่สามารถออกนอกเหนือจากท่ีได้ออกแบบมา ขณะเดียวกนั หากมีการใช้งานบ่อยๆ อวัยวะเหล่านน้ั กจ็ ะมกี ารเปล่ยี นรูปรา่ ง เชน่ มีขนาดใหญข่ ึ้น หนาข้ึนและท�ำงานดีข้ึนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นหรือกล่าวว่าจากการใช้งานท�ำให้อวัยวะมีการ เปลี่ยนรปู รา่ ง และสามารถท�ำงานได้ดีขนึ้ นน่ั เอง การประเมินองคป์ ระกอบของร่างกาย การประเมินองค์ประกอบของร่างกายเป็นส่ิงที่ส�ำคัญและเป็นส่วนหนึ่งในการประเมิน สมรรถภาพและสมรรถนะทางกาย ข้อมูลท่ีได้จากการประเมินองค์ประกอบของร่างกายสามารถ บอกถงึ ระดบั ไขมนั ในรา่ งกายและสงิ่ อน่ื ๆ ทไี่ มใ่ ชไ่ ขมนั มากไปกวา่ นก้ี ารประเมนิ ยงั สามารถบง่ บอก ถึงบริเวณของการสะสมของไขมันในร่างกาย สัดส่วนระหว่างไขมันและกล้ามเน้ือ การที่ร่างกาย ของคนเรามไี ขมนั สะสมในปรมิ าณทมี่ ากจะกอ่ ใหเ้ กดิ ผลลพั ธท์ ไี่ มด่ ตี อ่ สขุ ภาพและสมรรถภาพทางกาย ในทางกลับกัน การที่มีไขมันสะสมในร่างกายหรือมีมวลกล้ามเนื้อน้อยกว่าปกติก็เป็นผลเสียต่อ สขุ ภาพเช่นกนั องคป์ ระกอบของรา่ งกาย (Body Composition) องคป์ ระกอบของรา่ งกายหมายถงึ สง่ิ ตา่ งๆ ทอ่ี ยใู่ นรา่ งกายของเรา เชน่ ไขมนั มวลกลา้ มเนอ้ื กระดกู น�ำ้ และอวยั วะตา่ งๆ ในรา่ งกาย โดยทวั่ ไปส่วนประกอบของรา่ งกายแบ่งไดเ้ ปน็ สองส่วน คือ ไขมันและสิ่งท่ีไม่ใช่ไขมัน โดยท่ัวไปก็จะหมายถึงมวลกล้ามเน้ือ การประเมินองค์ประกอบ ของร่างกายสามารถบอกถึงความสัมพันธ์และสัดส่วนของไขมัน และมวลกล้ามเนื้อ ซ่ึงเป็นข้อมูล ที่ส�ำคัญในเชิงของการส่งเสริมสุขภาพและการลดน้�ำหนัก การชั่งน�้ำหนักและวัดส่วนสูง เพยี งอย่างเดยี ว ไม่สามารถทีจ่ ะบอกถงึ องคป์ ระกอบของร่างกายได้ ระดบั ขององค์ประกอบของรา่ งกายท่เี หมาะสม (Ideal Body Composition) ระดบั ขององคป์ ระกอบของรา่ งกายทเ่ี หมาะสมนน้ั ยอ่ มมคี วามแตกตา่ งกนั ระหวา่ งบคุ คล การท่ีจะดูว่าระดับองค์ประกอบของไขมันและมวลกล้ามเน้ือท่ีเหมาะสมน้ัน จะมีปัจจัย 3 อย่าง คมู่ อื ฝกึ อบรมผ้ฝู กึ สอนกีฬายมิ นาสตกิ 33

ท่ีต้องค�ำนึงถึง คือ สุขภาพ ความสวยความงาม และสมรรถนะทางกาย บุคคลท่ัวไปมักจะมี ความกงั วลกบั ไขมนั ในรา่ งกายในเชงิ ของสขุ ภาพหรอื ในเรอื่ งของความสวยความงาม ในทางกลบั กนั นักกีฬาจะมีความกังวลกับไขมันในเชิงของสมรรถนะทางกาย ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการเล่นหรือ การแขง่ ขนั กฬี า ในเชิงของการกีฬา องค์ประกอบของร่างกายเป็นสิ่งหนึ่งที่ส�ำคัญและอาจจะมีผลต่อ ความส�ำเร็จของตัวนักกีฬาคนน้ัน น้�ำหนักตัวที่มาจากไขมันหรือกล้ามเนื้อจะมีผลต่อความไว ความคล่องแคลว่ และความแขง็ แรง ดังนั้น นักกฬี าจำ� เป็นตอ้ งหาวธิ ดี ูแลตนเองใหถ้ ูกตอ้ งเพือ่ ทจี่ ะ ได้ไมใ่ ห้น้�ำหนกั ตวั และสัดสว่ นขององค์ประกอบของรา่ งกายนน้ั แปรปรวนมากเกนิ ไป ไขมันในร่างกาย (Body Fat) รา่ งกายของเรานั้นจำ� เป็นที่จะตอ้ งมไี ขมันอยูใ่ นระดับทเี่ หมาะสม เพื่อให้รา่ งกายสามารถ ทำ� งานไดต้ ามปกต ิ ระดบั ไขมนั ทนี่ อ้ ยเกนิ ไปจะสง่ ผลใหเ้ กดิ การผดิ ปกตขิ องการทำ� งานของรา่ งกาย เช่น ฮอร์โมน หรือการมีรอบเดือน เป็นต้น ในทางกลับกัน ระดับไขมันในร่างกายที่สูงเกินไป จะส่งผลเสียต่อสขุ ภาพ เช่น เปน็ ความเสีย่ งตอ่ การเกิดโรค กอ่ ให้เกดิ อาการปวดตามข้อต่างๆ หรือ เป็นอุปสรรคต่อการท�ำกิจกรรมทางกาย เป็นต้น ในเพศชาย ระดับไขมันที่จ�ำเป็นควรอยู่ระหว่าง 3-5% และในเพศหญิง ควรอยทู่ ี่ 12-15% ไขมันในร่างกายยงั สามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบ คอื Essential fat and Storage fat • Essential fat คือ ไขมันท่ีจ�ำเป็น ซึ่งไขมันในกลุ่มนี้จะมีอยู่ประมาณ 3% ขององค์ประกอบของทงั้ หมด Essential fat จะเปน็ ไขมนั ทจี่ ำ� เปน็ ตอ่ การท�ำงานของร่างกายและ เกบ็ สะสมอย่ตู าม ไขกระดูก หวั ใจ ปอด ตบั ไต ลำ� ไส้ กลา้ มเนื้อ และระบบประสาท ไขมันชนดิ น้ี รา่ งกายจะใช้เพือ่ การทำ� งานของระบบตา่ งๆ และในการสร้างฮอรโ์ มนต่างๆ • Storage fat คือ ไขมนั ท่สี ะสมในรปู แบบของ visceral fat ซงึ่ จะถกู เก็บสะสมไว้ใน ช่องท้อง ไขมันในรูปแบบนี้จะช่วยป้องกันอวัยวะส�ำคัญๆ ในล�ำตัว แต่ถ้ามีไขมันในรูปแบบน้ี มากเกนิ ไปกจ็ ะเปน็ ความเสย่ี งตอ่ การเกดิ โรค อกี รปู แบบหนง่ึ ของ storage fat คอื subcutaneous fat ซึ่งจะถูกเก็บสะสมไว้ใต้ผิวหนัง ไขมันในรูปแบบน้ีสามารถช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย และเป็นแหล่งพลังงานส�ำรอง การสะสมของไขมันในรูปแบบน้ี ในปริมาณที่มากยังมีความเส่ียง ท่นี ้อยกวา่ การเกดิ โรคไขมันท่ีเก็บสะสมในชอ่ งทอ้ ง มวลกล้ามเน้อื (Lean Body Mass) มวลกล้ามเนื้อเป็นองค์ประกอบท่ีส�ำคัญส่วนหน่ึงของร่างกาย การที่มีมวลกล้ามเนื้อ ในระดับท่ีสูงจะช่วยท�ำให้ร่างกายมีการเผาผลาญพลังงานในระดับท่ีสูง ท�ำให้ร่างกายแข็งแรง และสามารถทำ� กิจกรรมทางกายไดอ้ ย่างไมเ่ ปน็ อุปสรรค 34 คู่มือฝึกอบรมผูฝ้ กึ สอนกฬี ายมิ นาสตกิ

ตารางเปอร์เซ็นต์ไขมนั ท่ีเหมาะสมระหว่างเพศชายและหญิง ระดับไขมัน เพศชาย เพศหญิง Risky (high body fat) >30% >40% Excess fat 21-30% 31-40% Moderately lean 13-20% 23-30% Lean 9-12% 19-22% Ultra lean 5-8% 15-18% Risky (low body fat) <5% <15% Source: Center for Exercise, Health, and Fitness Research (2005), University of Pittsburgh ตารางเปอรเ์ ซ็นตไ์ ขมันในร่างกายตามเกณฑ์อายุ Percentile Body Composition (Fat) Standard 50-59 60+ 90 20-29 30-39 40-49 15.3 15.3 80 17.9 18.4 70 Men (ชาย) 19.8 20.3 60 7.1 11.3 13.6 21.3 22.0 50 9.4 13.9 16.3 22.7 23.5 40 11.8 15.9 18.1 24.1 25.0 30 14.1 17.5 19.6 25.7 26.7 20 15.9 19.0 21.1 27.5 28.5 10 17.4 20.5 22.5 30.3 31.2 90 19.5 22.3 24.1 21.6 21.1 80 22.4 24.2 26.1 25.0 25.1 70 25.9 27.3 28.9 26.6 27.5 60 28.5 29.3 50 Women (หญงิ ) 30.1 30.9 40 14.5 15.5 18.5 31.6 32.5 30 17.1 18.0 21.3 33.5 34.3 20 19.0 20.0 23.5 35.6 36.6 10 20.6 21.6 24.9 37.7 39.3 22.1 23.1 26.4 23.4 24.9 28.1 25.4 27.0 30.1 27.7 29.3 32.1 32.1 32.8 35.0 Source: American College of Sports Medicine (ACSM), 2014. Guidelines for Exercise Testing and Prescription. (Philadelphia, PA: Lippincott, Williams & Wilkins). ค่มู อื ฝกึ อบรมผู้ฝึกสอนกฬี ายมิ นาสติก 35


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook