มสธ หน่วยที่ 10ภาษา การสื่อสาร และการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ�ำวัน อาจารย์ แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์มมมสสสธธธ มมสสธธ มมมสสสธธธช่ือ วุฒิ มสธต�ำแหน่ง หน่วยที่เขียน อาจารย์ แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์พ.บ. (เกยี รตินิยม) มหาวทิ ยาลัยมหิดล, วฒุ ิบัตรวิชาชีพเวชกรรรมสาขาจติ เวชศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหิดล, Cert. Alcohol and AddictionStudy, Development and Public Policy, Family Therapyผอู้ ำ� นวยการสถาบนั ราชานุกูล กรมสขุ ภาพจิตหนว่ ยที่ 10
10-2 จิตวทิ ยาเพื่อการด�ำรงชีวติ มสธแผนการสอนประจ�ำหน่วยชุดวิชา จติ วิทยาเพอื่ การดำ� รงชีวิตมสธ มสธหน่วยที่ 10 ภาษา การส่อื สาร และการประยุกตใ์ ช้ในชวี ิตประจำ� วนัตอนท่ี 10.1 ความหมาย คณุ สมบัติ และพฒั นาการทางภาษาของมนษุ ย์ 10.2 การส่อื สาร 10.3 การใชภ้ าษาเพือ่ การส่ือสารทีส่ ำ� คัญในชวี ติ ประจำ� วนัมสธแนวคิด 1. ภ าษา เป็นระบบทีใ่ ช้สอ่ื สาร ถา่ ยทอดความรู้ ความคิดหรือความรูส้ ึกของคนหนง่ึ ไปยังอกี คน หนงึ่ โดยทงั้ วจั นภาษาและอวจั นภาษาตา่ งมบี ทบาทสำ� คญั ในการสอ่ื สารทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ ทง้ั นี้มสธ มสธการเรียนรู้ภาษาและพัฒนาการทางภาษาเป็นส่ิงที่เกิดข้ึนตามล�ำดับและมีระบบระเบียบ เพ่ือ ตอบสนองวตั ถปุ ระสงคห์ ลายอยา่ งในการดำ� รงชวี ติ ทง้ั การใหข้ อ้ มลู การสรา้ งความสมั พนั ธท์ ด่ี ี การโนม้ นา้ วใหเ้ กดิ การยอมรบั และไดร้ บั ความรว่ มมอื จากบคุ คลทเี่ กย่ี วขอ้ ง เปน็ ตน้ นอกจากนี้ การสอื่ สารยงั เปน็ ความสามารถหรอื ทกั ษะทท่ี กุ คนมมี าตงั้ แตก่ ำ� เนดิ และสามารถพฒั นาความ เชี่ยวชาญเพมิ่ พูนขึ้นได้โดยการเรยี นรู้ และฝกึ ฝน 2. ก ารส่ือสาร หมายถึง กระบวนการส่งข่าวสารข้อมูลจากผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้รับข่าวสาร มี มสธวตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ ชกั จงู ใหผ้ รู้ บั ขา่ วสารมปี ฏกิ ริ ยิ าตอบสนองกลบั มา โดยคาดหวงั ใหเ้ ปน็ ไปตาม ท่ีผู้ส่งต้องการ โดยรูปแบบของการส่ือสารสามารถถูกจำ� แนกได้แตกต่างกันตามเกณฑ์ต่างๆ ที่ใชใ้ นการทำ� ความเขา้ ใจการสอื่ สารอย่างลึกซ้ึง สามารถศึกษาไดจ้ ากแนวคดิ ในเร่ืองรูปแบบ จำ� ลองของการสอื่ สาร ซงึ่ มนี กั วชิ าการไดอ้ ธบิ ายดว้ ยมมุ มองตา่ งๆ ประกอบกนั ไดแ้ ก่ รปู แบบ จำ� ลองของการสือ่ สารโดยแชนนนั และวีเวอร์ ลาสเวลล์ หรอื ชแรมม์มสธ มสธ3. การส่ือสารที่ดี จะท�ำให้การด�ำรงชีวิตประสบความส�ำเร็จและมีความสัมพันธ์กับบุคคลต่างๆ ได้ดี การพฒั นาทักษะในการสอื่ สาร ไดแ้ ก่ การฟงั การอา่ น และการสง่ สารอ่นื ๆ จึงเปน็ เรือ่ ง ท่ีส�ำคัญมาก ท้ังนี้ การพูดในที่ชุมชน การเขียน และการให้การปรึกษาและสุนทรียสนทนา เปน็ การใช้ภาษาและทกั ษะการสื่อสารทมี่ คี วามสำ� คญั เพิ่มขึน้ ในโลกปจั จุบนั ทกั ษะทดี่ ีในด้าน เหลา่ นจ้ี ะสามารถสรา้ งความประทบั ใจในการใหข้ อ้ มลู โนม้ นา้ วจงู ใจหรอื การชว่ ยเหลอื ผอู้ น่ื ได้ จงึ เปน็ การเสรมิ สรา้ งความเปน็ ผนู้ ำ� ในการประกอบอาชพี หรอื ในสมั พนั ธภาพทางสงั คมรปู แบบ มสธตา่ งๆ
ภาษา การส่ือสาร และการประยกุ ตใ์ ช้ในชีวิตประจ�ำวนั 10-3วัตถุประสงค์ มสธเมอ่ื ศกึ ษาหน่วยท่ี 10 จบแล้ว นักศกึ ษาสามารถ 1. อธบิ ายความหมายและคณุ สมบัติของภาษาได้ 2. อธบิ ายแนวคิดในการเรยี นรภู้ าษา พฒั นาการด้านภาษาในแต่ละช่วงวัยได้ 3. อธบิ ายความหมาย รปู แบบ และประโยชนข์ องการสือ่ สารที่น�ำไปสทู่ กั ษะการสอ่ื สารทด่ี ไี ด้มสธ มสธ4. อธบิ ายความหมาย วตั ถปุ ระสงค์และรูปแบบต่างๆ ของการสอ่ื สารได้ 5. อธิบายแนวคดิ ของรูปแบบจ�ำลองของการส่ือสารได้ 6. อธบิ ายทกั ษะการส่อื สารทีด่ ีในรปู แบบตา่ งๆ ได้ 7. อ ธบิ ายหลกั เกณฑแ์ ละแนวปฏบิ ตั ใิ นการพฒั นาไปสกู่ ารเปน็ ผพู้ ดู ทด่ี ใี นทชี่ มุ ชนในสถานการณ์ ตา่ งๆ 8. อธบิ ายหลกั เกณฑแ์ ละแนวทางพฒั นาการเขยี นเพอ่ื ตอบสนองกจิ กรรมทส่ี ำ� คญั ในชวี ติ ประจำ� วนั มสธได้ 9. อธิบายความหมาย วตั ถปุ ระสงคข์ องการใหก้ ารปรกึ ษา และสนุ ทรียสนทนาได้กิจกรรมระหว่างเรียนมสธ มสธ1. ท�ำแบบประเมนิ ผลตนเองก่อนเรยี นหนว่ ยท่ี 10 2. ศึกษาเอกสารการสอนตอนท่ี 10.1-10.3 3. ปฏบิ ตั ิกจิ กรรมตามท่ไี ด้รับมอบหมายในเอกสารการสอนแตล่ ะตอน 4. ฟงั รายการวทิ ยกุ ระจายเสยี ง (ถา้ มี) 5. ชมรายการวทิ ยโุ ทรทศั น์ (ถา้ ม)ี 6. เขา้ รับบริการสอนเสรมิ (ถา้ มี) มสธ7. ท�ำแบบประเมนิ ผลตนเองหลังเรยี นหน่วยท่ี 10ส่ือการสอน 1. เอกสารการสอน 2. แบบฝึกปฏบิ ัติมสธ มสธ3. วีดิทศั น์ (ถ้ามี) 4. รายการสอนทางวิทยุกระจายเสียง (ถ้าม)ี 5. รายการสอนทางวิทยโุ ทรทัศน์ (ถ้าม)ี 6. การสอนเสริม (ถา้ ม)ี มสธ7. ส่อื เสริมอ่ืนๆ (ถ้าม)ี
10-4 จิตวทิ ยาเพ่อื การดำ� รงชีวิตการประเมินผล มสธ1. ประเมนิ ผลจากแบบประเมินผลตนเองกอ่ นเรียนและหลงั เรียน 2. ประเมินผลจากกิจกรรมและแนวตอบทา้ ยเรอ่ื ง 3. ประเมินผลจากการสอบไลป่ ระจ�ำภาคการศึกษามสธ มสธเมื่ออ่านแผนการสอนแล้ว ขอให้ท�ำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนมมสสธธ มมมสสสธธธ มมสสธธหน่วยท่ี10ในแบบฝึกปฏิบัติแล้วจึงศึกษาเอกสารการสอนต่อไป
ภาษา การสอ่ื สาร และการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ�ำวัน 10-5มสธตอนท่ี 10.1ความหมาย คุณสมบัติ และพัฒนาการทางภาษาของมนุษย์โปรดอ่านหวั เร่ือง แนวคดิ และวตั ถุประสงคข์ องตอนที่ 10.1 แลว้ จงึ ศกึ ษารายละเอียดต่อไปมสธ มสธหัวเร่ือง 10.1.1 ความหมายและคณุ สมบตั ขิ องภาษา 10.1.2 แนวคิดในการเรียนรภู้ าษา 10.1.3 พัฒนาการทางภาษามสธแนวคิด 1. ภาษา เปน็ ระบบทใ่ี ชส้ อ่ื สาร ถา่ ยทอดความรคู้ วามคดิ ความรสู้ กึ ของคนหนงึ่ ไปยงั อกี คน หนงึ่ ภาษาจงึ มคี วามสมั พนั ธอ์ ยา่ งแนบแนน่ กบั สภาพของสงั คม และสามารถปรบั เปลยี่ น ไปตามสภาพของสังคม โดยทุกภาษาจะมีคุณสมบัติเหมือนกันในเร่ืองการมีโครงสร้าง มีความหมายและมกี ารเช่อื มโยงในเร่อื งระดบั ระหวา่ งผสู้ ื่อสารและผู้รับสาร ภาษามที ้ังมสธ มสธวัจนภาษาและอวัจนภาษาซงึ่ มคี วามสัมพนั ธ์กันอย่างยิง่ ในการส่อื สารที่มีประสทิ ธภิ าพ 2. ก ารเรยี นรภู้ าษาของมนษุ ยเ์ กดิ ขนึ้ ไดจ้ ากการเลยี นแบบโดยไดร้ บั การเสรมิ แรง ตามแนว ของทฤษฎพี ฤตกิ รรมนยิ ม และเปน็ ความพรอ้ มของบคุ คลในดา้ นของอวยั วะทเี่ ปน็ ไปได้ เองโดยธรรมชาติ และยังจะเก่ียวข้องกับการเรียนรู้และความเข้าใจตามแนวทฤษฎี จติ ภาษาศาสตร์ 3. พัฒนาการทางภาษาเป็นส่ิงท่ีเกิดขึ้นตามล�ำดับและมีระบบระเบียบ แต่อัตราของ มสธพัฒนาการทางภาษาของเด็กแต่ละคนจะแตกต่างกัน ในขณะที่มีล�ำดับข้ันไปตามแนว เดียวกัน วัตถุประสงค์ เมอื่ ศึกษาตอนที่ 10.1 จบแล้ว นกั ศึกษาสามารถมสธ มสธ1. อธบิ ายความหมายและคณุ สมบตั ิของภาษาได้ 2. อธิบายแนวคดิ เกยี่ วกบั การเรยี นรูภ้ าษาได้ มสธ3. อธิบายพัฒนาการทางภาษาได้
10-6 จติ วทิ ยาเพื่อการดำ� รงชีวิตมสธเรื่องที่ 10.1.1 ความหมายและคุณสมบัติของภาษามสธ มสธ1. ความหมายของภาษา พจนานุกรม ฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พุทธศักราช 2552 ไดใ้ หค้ ำ� จำ� กัดความของคำ� วา่ ภาษา ไว้วา่ “ภาษา หมายถงึ ถอ้ ยคำ� ทใ่ี ชพ้ ดู หรอื เขยี นเพอื่ สอื่ ความของชนกลมุ่ ใดกลมุ่ หนง่ึ เชน่ ภาษาไทย ภาษาจนี หรอื เพอ่ื สอ่ื ความเฉพาะวงการ เชน่ ภาษาราชการ ภาษากฎหมาย ภาษาธรรม; เสยี ง ตวั หนงั สอื หรอืกิรยิ า; อาการท่ีสือ่ ความได้ เช่น ภาษาพูด ภาษาเขยี น ภาษาท่าทาง ภาษามือ” อย่างไรกต็ าม ภาษาในความหมายที่กว้างขวางโดยท่ัวไปหมายถึง กิริยาอาการที่แสดงออกมาแล้วสามารถท�ำความเข้าใจกันได้มสธไมว่ า่ จะเปน็ ระหวา่ งมนษุ ยก์ บั มนษุ ย์ มนษุ ยก์ บั สตั ว์ หรอื สตั วก์ บั สตั ว์ ขณะทภ่ี าษาในความหมายอยา่ งแคบนนั้ จะหมายถงึ เสยี งพดู ทมี่ นษุ ยใ์ ชส้ อื่ สารกนั เทา่ นน้ั โดยมขี อ้ นา่ สงั เกตวา่ มนษุ ยใ์ นทกุ ยคุ ทกุ สมยั และทกุสังคมมีความคล้ายคลึงกันในเร่ืองการมีภาษาพูดเพื่อใช้สื่อสาร โดยภาษาช่วยให้คนในสังคมสามารถแลกเปลย่ี นความรู้ ความคดิ เหน็ ความรสู้ กึ ตลอดจนประสบการณต์ า่ งๆ ได้ ภาษาจงึ เปน็ พฤตกิ รรมทเี่ กดิจากการเรยี นรจู้ ากสงั คมและเปน็ เครอ่ื งมอื ทางสงั คม สรปุ ไดว้ า่ ภาษาหมายถงึ ระบบทใ่ี ชส้ อ่ื สาร ถา่ ยทอดมสธ มสธความรู้ ความคดิ ความรสู้ ึกของคนหนึ่งไปยังอีกคนหนง่ึ และภาษาจะเปลยี่ นไปตามสภาพของสังคมด้วยถ้าปราศจากภาษาแล้วการสื่อสารในทางสงั คมจะเปน็ ไปอยา่ งไร้ประสทิ ธิภาพ2. ภาษาท่ีใช้ในการติดต่อสื่อสาร ภาษาทีใ่ ชใ้ นการติดต่อสือ่ สารในชีวิตประจ�ำวัน แบ่งไดเ้ ป็น 2 ชนิด คอื 2.1 วัจนภาษา (verbal language) คือ ภาษาถ้อยค�ำ ได้แก่ ค�ำพูดหรือตัวอักษรท่ีก�ำหนดใช้มสธร่วมกันในสงั คม หมายรวมทง้ั เสียงและลายลักษณอ์ กั ษร ภาษาถอ้ ยค�ำเปน็ ภาษาท่มี นุษยส์ ร้างขน้ึ อยา่ งมีระบบ มหี ลกั เกณฑท์ างภาษาหรอื ไวยากรณซ์ งึ่ คนในสงั คมตอ้ งเรยี นรแู้ ละใชภ้ าษาในการฟงั พดู อา่ น เขยี นและคดิ การใชว้ จั นภาษาในการสอื่ สารตอ้ งคำ� นงึ ถงึ ความชดั เจนถกู ตอ้ งตามหลกั ภาษาและความเหมาะสมกับลกั ษณะการสื่อสาร ลักษณะงาน สือ่ และผู้รับสาร เปา้ หมาย 2.2 อวัจนภาษา (non - verbal language) คอื ภาษาทไ่ี มใ่ ชถ่ อ้ ยคำ� แตเ่ ปน็ ภาษาซง่ึ แฝงอยู่ ไดแ้ ก่มสธ มสธกริ ิยาทา่ ทาง ตลอดจนสิ่งอ่ืนๆ ทเี่ ก่ียวข้องกบั การแปลความหมาย เชน่ น�ำ้ เสยี ง ภาษากาย การยม้ิ แย้มการสบตา การแตง่ กาย ชอ่ งวา่ งของสถานที่ กาลเวลา การสมั ผสั ลกั ษณะตวั อกั ษร เครอื่ งหมายวรรคตอนเปน็ ตน้ สงิ่ เหลา่ นแี้ มจ้ ะไมใ่ ชถ้ อ้ ยคำ� แตก่ ส็ ามารถสอื่ ความหมายใหเ้ ขา้ ใจได้ ในการสอ่ื สารมกั มอี วจั นภาษามสธเข้าไปแทรกอยเู่ สมอทั้งโดยตงั้ ใจหรอื ไม่ตงั้ ใจกไ็ ด้
ภาษา การสอื่ สาร และการประยกุ ต์ใชใ้ นชวี ติ ประจ�ำวัน 10-73. ความสัมพันธ์ระหว่างวัจนภาษาและอวัจนภาษา มสธอวัจนภาษาไม่สามารถแยกเด็ดขาดจากวัจนภาษา ผู้ส่งสารมักใช้วัจนภาษาและอวัจนภาษาประกอบ เชน่ บอกวา่ “มา” พร้อมทั้งกวกั มอื เรียก เป็นตน้ วัจนภาษาและอวจั ภาษามีความสัมพนั ธก์ นัดงั นี้ 3.1 ใชอ้ วจั นภาษาแทนคำ� พดู หมายถงึ การใชอ้ วจั นภาษาเพยี งอยา่ งเดยี วใหค้ วามหมายเหมอื นมสธ มสธถ้อยคำ� ภาษาได้ เชน่ กวักมือ ส่นั ศีรษะ เป็นตน้ 3.2 ใช้อวัจนภาษาขยายความ เพื่อให้รับรู้สารเข้าใจย่ิงขึ้น เช่น พูดว่า “อยู่ในห้อง” พร้อมท้ังชีม้ อื ไปที่ห้องๆ หนงึ่ แสดงวา่ ไม่ไดอ้ ยหู่ ้องอน่ื 3.3 ใช้อวัจนภาษาย�้ำความให้หนักแน่น หมายถึง การใช้อวัจนภาษาประกอบวัจนภาษาในความหมายเดียวกนั เพือ่ ย�้ำความให้หนักแน่นชดั เจนยงิ่ ขึ้น เช่น พูดว่า เสือ้ ตัวนใ้ี ช่ไหม พรอ้ มทั้งหยบิ เส้ือขน้ึ ประกอบ มสธ3.4 ใช้อวัจนภาษาเน้นความ หมายถึง การใช้อวัจภาษาย้�ำบางประเด็นของวัจนภาษา ท�ำให้ความหมายเดน่ ชดั ขนึ้ เชน่ พาดหวั หนงั สอื พมิ พ์ ใชต้ ัวอักษรตัวโตพเิ ศษ แสดงว่าเปน็ เร่ืองสำ� คญั มาก 3.5 ใช้อวัจนภาษาขัดแย้งกัน หมายถึง การใช้ภาษาที่ให้ความหมายตรงข้ามกับวัจนภาษาผรู้ บั สารมกั จะเชอ่ื ถือสารจากอวัจนภาษาวา่ ตรงกับความรู้สึกมากกว่า เชน่ การตอบค�ำถาม “โกรธไหมท่ีผมมาชา้ ” ดว้ ยวจั นภาษาวา่ “ไมโ่ กรธหรอกคะ่ ” พรอ้ มกบั มสี หี นา้ บง้ึ ตงึ ผรู้ บั สารกส็ ามารถรไู้ ดว้ า่ ยงั โกรธอยู่มสธ มสธ3.6 ใชอ้ วจั นภาษาควบคมุ ปฏิสัมพันธร์ ะหวา่ งการสือ่ สาร หมายถงึ การใช้กริ ยิ าทา่ ทาง สายตาน้ำ� เสยี งสรา้ งความสัมพนั ธ์ระหวา่ งการส่อื สาร เช่น การย้ิมแย้มแจ่มใส การแสดงความดใี จท่ีไดพ้ บกัน อวัจนภาษามีผลในด้านการสร้างความรู้สึกได้มากกว่าวัจนภาษา การใช้อวัจนภาษาจะโดยตั้งใจหรือไม่ต้ังใจก็ตาม ผู้ส่งสารและผู้รับสารจะต้องระมัดระวัง ถ้ารู้จักเลือกใช้อวัจนภาษาเพื่อเสริมหรือเน้นหรือแทนวจั นภาษาได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้การสื่อสารสมั ฤทธิผลมากขึน้มสธ4. คุณสมบัติของภาษา ภาษาชว่ ยใหก้ ารสอ่ื สารเปน็ ไปไดอ้ ยา่ งมเี ปา้ หมายและทศิ ทางทช่ี ดั เจนตรงกนั มากกวา่ การสอ่ื สารท่ีปราศจากภาษา จากการที่ภาษาเป็นรหัสท่ีเป็นระบบนามธรรม มีกฎเกณฑ์ควบคุมการล�ำดับหน่วยพนื้ ฐาน ควบคมุ ความหมายและการใชก้ ฎเกณฑเ์ หลา่ นเ้ี ปน็ มลู ฐานของความเขา้ ใจรว่ มกนั ทำ� ใหก้ ารสรา้ งมสธ มสธประโยคและค�ำพดู ในภาษาต้องมเี สียงและความหมายท่แี น่นอน โดยมขี ้อสังเกตว่า ภาษามนษุ ย์ทกุ ภาษามคี วามคลา้ ยคลงึ กนั มาก คอื การเปน็ สอื่ กลางของการแสดงออกทางความคดิ และทกุ ภาษามคี ำ� ศพั ทเ์ สยี งและประโยค ความคลา้ ยคลงึ กนั อกี อยา่ งคอื การแสดงความนกึ คดิ ของคนออกมาดว้ ยภาษาหนง่ึ ความคดิเดียวกนั สามารถแสดงออกด้วยภาษาอืน่ ๆ ได้เช่นกนั ท้งั น้ี ทกุ ภาษามคี ณุ สมบัติรว่ มกันดงั น้ี 4.1 ภาษามีโครงสร้างที่ชัดเจน มีระบบของการเรียงคำ� ให้เป็นประโยคหรือหลกั ไวยากรณ์ ท�ำให้เราสามารถเขา้ ใจภาษาและสรา้ งประโยคใหม่ๆ ไดโ้ ดยไมจ่ �ำกัด เช่นเดยี วกบั เมื่อเรารู้หลักการบวกลบคูณมสธหารเลข เรากส็ ามารถบวกลบคูณหารเลขไดท้ ุกจ�ำนวน นั่นคอื ภาษาก็คือระบบของสญั ลักษณ์ (system
10-8 จติ วิทยาเพ่ือการดำ� รงชีวติof symbols) ท่ีสามารถสื่อความหมายได้น่ันเอง ทั้งน้ี องค์ประกอบของทุกภาษาต่างประกอบด้วยค�ำ มสธ(words) ท่ีสังคมน้ันก�ำหนดความหมายร่วมกัน และกฎเกณฑ์ (rules) หรือที่เรียกว่าไวยากรณ์(grammar) ในการทจี่ ะนำ� ค�ำเหลา่ นั้นมารว่ มกันเป็นวลี (phrases) หรอื ประโยค (sentences) สามารถสอ่ื ความหมายอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ได้ ภายใตก้ ฎเกณฑ์ 5 ระบบ ซงึ่ เรยี งตามพฒั นาการของภาษา ประกอบดว้ ย1) ระบบเสียง 2) ระบบค�ำ 3) ระบบค�ำและประโยค 4) ระบบความหมาย และ 5) ระบบการใช้มสธ มสธดังท่จี ะไดส้ รุปตอ่ ไปน้ี 4.1.1 ระบบเสียง (phonology) หมายถึง ระบบของเสียงที่ผู้ใช้ภาษาน้ันเปล่งออกมาประกอบดว้ ยหนว่ ยเสยี ง และวธิ กี ารทจ่ี ะประกอบแตล่ ะหนว่ ยเสยี งเขา้ ไวด้ ว้ ยกนั หนว่ ยเสยี งในแตล่ ะภาษามีจ�ำกัดและแตกต่างกันไปในแต่ละภาษา รวมถึงวิธีการประกอบเสียงก็ต่างกันด้วย ในทางภาษาศาสตร์หนว่ ยเสยี งเปน็ หนว่ ยของภาษาที่เล็กท่ีสดุ แตม่ ีอิทธิพลตอ่ ความหมาย การจำ� แนกความแตกตา่ งระหวา่ งหนว่ ยเสยี งจะเปน็ ผลใหค้ ำ� มคี วามหมายเปลย่ี นไป เชน่ การเปลย่ี นเสยี งพยญั ชนะตน้ ในคำ� แลว้ ทำ� ใหเ้ ปลยี่ นมสธความหมาย เชน่ กา เปลีย่ นเปน็ ขา เปลีย่ นเสยี งสระแลว้ เปลยี่ นความหมาย เชน่ ติ เปลย่ี นเป็น ตี และเปลยี่ นเสยี งวรรณยุกต์แล้วเปล่ยี นความหมาย เช่น มา เปลีย่ นเปน็ มา้ เป็นตน้ การสงั เกตหน่วยเสยี ง จะท�ำให้เกิดความแม่นย�ำและส่งผลให้ออกเสียงได้ชัดเจนขึ้น เนื่องจากจะต้องใช้เสียงในการจ�ำแนกความแตกตา่ งค�ำ 4.1.2 ระบบค�ำหรือหน่วยค�ำ (morphology) เป็นพฒั นาการทเ่ี กิดจากการยกระดับหนว่ ยมสธ มสธเสียงข้ึนมาเป็นหน่วยค�ำ นั่นคือ กลุ่มของหน่วยเสียงท่ีเล็กที่สุดที่เร่ิมส่ือความหมายได้ ค�ำค�ำหน่ึงอาจประกอบด้วยหนว่ ยคำ� เพยี งหน่วยเดยี ว เช่น “ธรรม” หรือมากกวา่ หนึ่งหนว่ ยก็ได้ เช่น ค�ำว่า “อธรรม”ประกอบดว้ ยหนว่ ยคำ� “อ” (ซง่ึ เปน็ หนว่ ยเสยี ง) ทม่ี คี วามหมายโดยการกลบั ความหมายของคำ� และหนว่ ยคำ� “ธรรม” เปน็ ต้น หน่วยคำ� อาจจะไมไ่ ดม้ ีรูปลกั ษณ์เปน็ คำ� แต่มลี กั ษณะเป็นส่วนประกอบของคำ� ท่ีเมื่อนำ� ไปรวมกับอีกหน่วยเสียงแลว้ เปลี่ยนความหมาย เช่น หน่วยเสียง /pre-/, /-er/, /-tion/, /-ing/ ในภาษาอังกฤษ และหน่วยค�ำอุปสรรคในภาษาบาลี เช่น อติ ทุ อธิ นิ อนุ อภิ อุป สุ หรือในค�ำประสมมสธค�ำประสาน เชน่ มีหนว่ ยค�ำเตมิ หนา้ เช่น การ-, ความ-, ผ้-ู , ชาว-, นกั -, ชา่ ง-, ที-่ , เคร่ือง-, พระ-,ทรง- และหนว่ ยคำ� เตมิ ทา้ ย ได้แก่ -นิยม, -กร เป็นต้น 4.1.3 ระบบวลีและประโยค (syntax) หมายถึง ระบบของการนำ� คำ� มารวมกันใหอ้ ยใู่ นรปูของวลี (phrases) และประโยค (sentences) ทสี่ งั คมยอมรบั ไดว้ า่ สามารถสอื่ ความหมายได้ การนำ� คำ� มาสัมพันธ์กันอย่างใดอย่างหนึ่งน้ัน ในแต่ละภาษาจะมีระเบียบแบบแผนที่ต่างกันออกไป ตัวอย่างเช่น ในมสธ มสธภาษาอังกฤษก�ำหนดไว้ว่าค�ำขยายนาม (adjective) จะต้องวางไว้หน้าค�ำนาม เช่น “black shoe”หมายถงึ รองเท้าสีดำ� แตใ่ นภาษาสเปนหรือในภาษาไทย ค�ำขยายนาม (ไทยเรียกวา่ วิเศษณ์) จะวางไว้หลงั คำ� นาม เปน็ ตน้ นอกจากเรอ่ื งความสมั พนั ธข์ องระหวา่ งคำ� แลว้ ระบบประโยคยงั จะเกยี่ วขอ้ งกบั ความสัมพันธร์ ะหว่างประโยคด้วย เชน่ หากเรามีประโยคดงั ตอ่ ไปนี้ 1) แมวจับหนู 2) หนแู อบกินขนมในครวัและ 3) แมว่ งิ่ ตามแมว เราสามารถทจี่ ะรวมประโยคทง้ั สามประโยคขา้ งตน้ ไวด้ ว้ ยกนั ในลกั ษณะของประโยคซับซ้อนว่า “แม่ว่ิงตามแมวท่ีจับหนูซ่ึงแอบกินขนมในครัว” แต่จะไม่สร้างประโยคว่า “แมว แม่ หนู วิ่งมสธตามแอบกินในครัวขนม” ความคิดในการน�ำค�ำมาเรียงเพื่อให้คงความหมายของประโยคเดิมและส่ือ
ภาษา การสื่อสาร และการประยกุ ต์ใช้ในชีวิตประจำ� วัน 10-9ความหมายให้เข้าใจได้นั้นเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ อันเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงระบบประโยคท่ีซ่อนอยู่ในมสธโครงสร้างปัญญาของบคุ คล 4.1.4 ระบบความหมาย (semantics) หรอื ทเี่ รยี กกนั วา่ “อรรถศาสตร”์ เปน็ ระบบเกย่ี วกบัความหมายของค�ำ วลีหรือประโยค ในทางภาษาศาสตร์นั้น ค�ำทุกค�ำจะมีส่ิงที่เรียกว่า “ลักษณะของความหมาย” (semantic features) ซ่ึงในทางจิตวทิ ยา ความหมายของค�ำกค็ ือมโนทัศน์ (concept) ท่ีมสธ มสธบคุ คลมตี อ่ คำ� นนั้ ซงึ่ มโนทศั นแ์ ตล่ ะมโนทศั นจ์ ะมลี กั ษณะ (attribute) ทเ่ี หมอื นหรอื ตา่ งจากมโนทศั นอ์ นื่ ๆลักษณะจะเป็นเครื่องแยกความแตกต่างค�ำแต่ละค�ำ หรือเป็นส่ิงที่บ่งว่าค�ำหน่ึงมีความหมายต่างจากอีกค�ำหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ค�ำว่า อา กับ น้า มีลักษณะร่วมกันคือ “ความเป็นน้อง” แต่ลักษณะที่ต่างก็คือ“เพศของพ่”ี กลา่ วคอื ถ้าพี่เป็นชาย (คอื พ่อ) จะเรียกอา แตถ่ ้าพเี่ ปน็ หญิง (คือแม)่ จะเรยี กน้า เป็นตน้ 4.1.5 ระบบการใช้ภาษา (pragmatics) หรอื “วัจนปฏิบตั ศิ าสตร์” อันเปน็ แบบแผนหรอืระเบียบการใช้ค�ำหรือประโยคในบริบทต่างๆ ซึ่งหมายรวมถึงความรู้และทักษะเก่ียวกับการใช้ภาษาให้มีมสธประสทิ ธภิ าพทสี่ ุดในบริบทหนึง่ ๆ ความรดู้ ังกล่าวหมายถึงการทราบวา่ ในบรบิ ทหรือในสถานการณ์หน่งึ ๆนั้น สิ่งใดควรพูดหรือไม่ควรพูด และส่ิงนั้นควรพูดส่ือสารออกไปอย่างไร ระบบการใช้ภาษาจึงเกี่ยวข้องโดยตรงกบั คา่ นยิ มและวฒั นธรรม การใชถ้ อ้ ยคำ� ทส่ี ภุ าพและเหมาะสมกบั ฐานะ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คลและบริบทท่เี กิดการส่อื สาร เปน็ ตัวอยา่ งท่เี ห็นไดช้ ัดของระบบการใชภ้ าษา อนั ถอื เปน็ พัฒนาการข้นั สงู สุดของภาษามสธ มสธ4.2 ภาษาเป็นสิ่งที่มีความหมาย แต่ละถ้อยค�ำของแต่ละภาษา แสดงความคิดท่ีมีความหมายเกยี่ วกบั สิ่งใดสงิ่ หนึ่ง เป็นสงิ่ ของ เชน่ รถยนต์วงิ่ เป็นการกระท�ำ สวย เปน็ นามธรรม ฯลฯ ภาษาทม่ี นษุ ย์ใช้ส่ือสารกันมีคุณสมบัติที่แสดงความหมายง่ายๆ ด้วยค�ำ และแสดงความหมายซับซ้อนขึ้นด้วยประโยคการเรยี งถอ้ ยคำ� เปน็ ประโยคจงึ ตอ้ งมหี ลกั ไวยากรณ์ ทง้ั นี้ คำ� ในภาษาใดๆ กต็ ามจะมคี วามหมายทแ่ี ยกได้2 อย่าง คอื 4.2.1 ความหมายโดยอรรถ (denotation meaning) เปน็ ความหมายของคำ� ทบ่ี ญั ญตั ไิ วใ้ นมสธพจนานกุ รม จงึ เปน็ ความหมายทต่ี รงไปตรงมา กำ� หนดความหมายของคำ� ไวอ้ ยา่ งไร คนทใ่ี ชภ้ าษาเดยี วกนักใ็ ช้ตรงตามทกี่ �ำหนดไว้ ฉะนัน้ ความหมายโดยอรรถของคำ� แตล่ ะค�ำ ผู้ใช้จึงมคี วามเขา้ ใจตรงกัน 4.2.2 ความหมายโดยนัย (connotation meaning) เปน็ ความหมายของคำ� ทผี่ ฟู้ งั และผพู้ ดูผนวกเอาความรสู้ ึกนึกคิด ทศั นคติ คา่ นิยม หรือจิตลักษณะอย่างอ่ืนของตนเข้าไปตีความหมายของค�ำท่ีพดู หรอื ไดย้ ิน เช่น คำ� ว่า “เสือ” ความหมายโดยอรรถ ทุกคนเข้าใจตรงกนั วา่ หมายถึง สัตวป์ า่ ท่ีมคี วามมสธ มสธดรุ า้ ย แตค่ วามหมายโดยนยั “เสอื ” สำ� หรบั บางคน บางกรณอี าจหมายถงึ คณุ ศพั ทข์ องผมู้ คี วามดรุ า้ ย หรอืบุคคลทเี่ ป็นโจรร้าย ฯลฯ ความหมายโดยนยั ของถ้อยค�ำค�ำเดียวกนั สำ� หรบั คนแตล่ ะคนจึงแตกตา่ งกันไปมากมายหลายอยา่ ง ถอ้ ยคำ� ในภาษาทผี่ ใู้ ชภ้ าษาเดยี วกนั ไดท้ ำ� ความตกลงกนั ไวเ้ รอื่ งความหมายวา่ คำ� นน้ั มคี วามหมายอยา่ งไร จึงหมายถึง ความหมายโดยอรรถเท่านนั้ 4.3 ภาษามีระดับความสอดคล้องต่อกันในเร่ืองราวตามสถานะและสัมพันธภาพของผู้สื่อสารมสธการสื่อสารระหว่างบุคคลจะประสบผลส�ำเร็จต่อเมื่อผู้สื่อสารและผู้รับสารมีหลักการใช้ภาษาที่สอดคล้อง
10-10 จติ วทิ ยาเพื่อการดำ� รงชีวติสมั พนั ธต์ อ่ กนั เชน่ ถา้ เราเหน็ เพอ่ื นใสน่ าฬกิ าขอ้ มอื เราตอ้ งการทราบเวลากถ็ ามเขาวา่ “ตอนนเ้ี วลาเทา่ ไร”มสธหากเพอ่ื นตอบวา่ “ครับ” ก็จะเปน็ การส่อื ภาษาท่ีล้มเหลว ไม่เปน็ ไปตามหลกั การสนทนา ทีจ่ ะตอ้ งมีการโตต้ อบใหต้ รงเรอื่ งกนั นอกจากน้ี การใชภ้ าษากต็ อ้ งปรบั ใหเ้ หมาะกบั ระดบั ความสมั พนั ธข์ องคสู่ นทนา และระดบั ความสามารถทางภาษาของคสู่ นทนาและสถานการณด์ ว้ ย โดยระดบั ภาษาในการสอื่ สารสามารถแบง่เปน็ 5 ระดบั คอืมสธ มสธ4.3.1 ระดับพิธีการ ภาษาระดับนี้ใช้สื่อสารกันในท่ีประชุมท่ีจัดขึ้นอย่างเป็นพิธีการ เช่นการเปดิ ประชมุ รฐั สภา การกลา่ วรายงานในพธิ มี อบปรญิ ญาบตั ร ผสู้ ง่ สารมงุ่ แสดงออกใหเ้ หน็ ถงึ ความขลงัความศักดิส์ ทิ ธ์ิ ความทรงภมู ปิ ัญญา ฯลฯ ไม่มงุ่ ประโยชน์ทจ่ี ะใหผ้ รู้ ับสารได้มสี ว่ นรว่ มแสดงความคดิ เหน็หากจะมกี ารกล่าวตอบก็ตอ้ งกระทำ� อย่างเป็นพธิ กี ารในฐานะผู้แทนกล่มุ เท่านั้น 4.3.2 ระดับทางการ ภาษาระดบั นม้ี ไิ ดม้ งุ่ หมายทจ่ี ะใหผ้ ฟู้ งั มสี ว่ นรว่ มในการสอ่ื สารโดยตรงเชน่ กนั ผู้ส่งสารมงุ่ เสนอข่าวสารแนวคิดและทรรศนะไปสู่กล่มุ รับสารขนาดใหญ่ เช่น การแถลงขา่ วอย่างมสธเปน็ ทางการตอ่ สอ่ื มวลชน การใหโ้ อวาทตอ่ คณะบคุ คล การเขยี นบทบรรณาธกิ ารในหนงั สอื พมิ พ์ การเขยี นบทความทางวิชาการ 4.3.3 ระดับกึ่งทางการ ภาษาระดับน้ีมักใช้ในการปรึกษาหารือกิจธุระระหว่างบุคคลหรือกลมุ่ บคุ คล มกี ารเปดิ โอกาสใหผ้ รู้ บั สารมสี ว่ นรว่ มแสดงความคดิ เหน็ รว่ มกบั ผสู้ ง่ สาร ภาษาระดบั นจี้ ะใชใ้ นการประชมุ กลมุ่ การปรกึ ษางาน การวางแผนรว่ มกนั การเขยี นบทความ แสดงทศั นะในหนงั สอื พมิ พ์ การมสธ มสธเสนอรายการสารคดกี ่งึ วชิ าการ 4.3.4 ระดับสนทนา อาจเรียกว่า ระดับล�ำลอง ภาษาระดับน้ีมักใช้ในการสื่อสารกับเพอื่ นสนทิ อาจมถี ้อยค�ำทีเ่ คยใช้กนั เฉพาะกลุ่มหรือเขา้ ใจความหมายตรงกนั ในกลมุ่ เทา่ นน้ั 4.3.5 ระดับกันเอง ภาษาระดับน้ีจะใช้ในวงจ�ำกัด ใช้ระหว่างบุคคลที่สนิทสนมคุ้นเคยกันมากๆ สถานท่ใี ช้มกั เปน็ ทีส่ ่วนตัว เชน่ ที่บา้ นในหอ้ งที่เปน็ สัดส่วนของตน โดยเฉพาะถอ้ ยค�ำทใ่ี ชอ้ าจมคี �ำสแลง ค�ำท่ีใชเ้ ฉพาะกลุม่ ภาษาระดับน้ีไมน่ ิยมบนั ทกึ เป็นลายลักษณอ์ ักษรมสธกิจกรรม 10.1.1 1. จงอธบิ ายความเหมอื นและความแตกตา่ งของ“วัจนภาษา” และ “อวัจนภาษา” 2. จงอธิบายความแตกต่างของ “ความหมายโดยนยั ” และ “ความหมายโดยอรรถ”มสธ มสธ3. จงอธบิ ายโครงสรา้ งในระบบของภาษาพอสังเขปแนวตอบกิจกรรม 10.1.1 1. “วจั นภาษา” และ “อวจั นภาษา” เปน็ องค์ประกอบของการสือ่ สาร ซึง่ ตา่ งมีส่วนร่วมในการสง่ เสรมิ เปา้ หมายใหค้ นในสงั คมสามารถแลกเปลย่ี นความรู้ ความคดิ เหน็ ความรสู้ กึ ตลอดจนประสบการณ์ต่างๆ จึงเป็นพฤติกรรมท่ีเกิดจากการเรียนรู้จากสังคมและเป็นเครื่องมือทางสังคม “วัจนภาษา” และมสธ“อวัจนภาษา” มีความแตกต่างกัน ดังน้ี 1) วัจนภาษา คือ ภาษาถ้อยค�ำ ได้แก่ ค�ำพูดหรือตัวอักษรที่
ภาษา การสอ่ื สาร และการประยุกต์ใชใ้ นชีวติ ประจำ� วนั 10-11กำ� หนดใช้รว่ มกันในสังคม หมายรวมท้งั เสยี งและลายลักษณ์อกั ษร และ 2) อวัจนภาษา คอื ภาษาทีไ่ มใ่ ช่มสธถอ้ ยค�ำแตเ่ ปน็ ภาษาซ่ึงแฝงอยู่ ได้แก่ กิรยิ าอาการ ตลอดจนสิ่งอ่นื ๆ ทเี่ กย่ี วข้องกับการแปลความหมายเชน่ น้�ำเสยี ง ภาษากาย การยมิ้ แยม้ การสบตา การแตง่ กาย เป็นต้น 2. ภาษาเปน็ สิง่ ทีม่ คี วามหมายทแ่ี ยกได้ 2 อย่างคอื 1) ความหมายโดยอรรถ เป็นความหมายของคำ� ทบ่ี ญั ญตั ไิ วใ้ นพจนานกุ รม จงึ เปน็ ความหมายทต่ี รงไปตรงมา กำ� หนดความหมายของคำ� ไวอ้ ยา่ งไรมสธ มสธคนที่ใชภ้ าษาเดยี วกันกใ็ ช้ตรงตามท่ีกำ� หนดไว้ และ 2) ความหมายโดยนยั เปน็ ความหมายของคำ� ทผี่ ฟู้ ังและผูพ้ ดู ผนวกเอาความร้สู กึ นกึ คดิ ทัศนคติ ค่านยิ ม หรือจิตลกั ษณะอยา่ งอ่ืนของตนเข้าไปตีความหมายของค�ำที่พูดหรือได้ยิน เช่น ค�ำว่า “เสือ” อาจมีความหมายโดยนัย ถึงผู้มีความดุร้าย หรือบุคคลที่เป็นโจรรา้ ย เป็นต้น 3. องค์ประกอบของทุกภาษาประกอบด้วยค�ำ ท่ีสังคมนั้นก�ำหนดความหมายร่วมกัน และกฎเกณฑ์ หรือท่เี รยี กว่าไวยากรณ์ ในการที่จะนำ� ค�ำเหล่านน้ั มารว่ มกันเป็นวลี หรอื ประโยค สามารถสอ่ืมสธความหมายอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ได้ ภายใตก้ ฎเกณฑ์ 5 ระบบ ซงึ่ เรยี งตามพฒั นาการของภาษา ประกอบดว้ ย1) ระบบเสยี ง 2) ระบบคำ� 3) ระบบค�ำและประโยค 4) ระบบความหมาย และ 5) ระบบการใช้มสธ มสธเรื่องที่10.1.2แนวคิดในการเรียนรู้ภาษา “ภาษาศาสตร์” คือ วิชาทีว่ า่ ดว้ ยการศกึ ษาภาษาในแงต่ ่างๆ ศาสตรน์ ้เี ริ่มบุกเบิกโดยแฟร์ดินองมสธเดอ โซซูร์ (Ferdinand de Saussure) โดยปัจจุบันน้มี ีภาษาทีใ่ ช้อยู่ในโลกนีป้ ระมาณ 5,500 ภาษา และ10 ภาษา ทมี่ จี ำ� นวนคนพดู มากทสี่ ดุ ในโลกซง่ึ เรยี งตามจำ� นวนคนพดู มดี งั นี้ ภาษาจนี 1,080 ลา้ นคน ภาษาฮนิ ดี 370 ลา้ นคน ภาษาสเปน 350 ลา้ นคน ภาษาองั กฤษ 340 ลา้ นคน ภาษาอาหรบั 206 ลา้ นคน ภาษาโปรตุเกส 203 ลา้ นคน ภาษาเบงกาลี 196 ล้านคน ภาษารสั เซยี 145 ลา้ นคน ภาษาญป่ี ุ่น 126 ล้านคนภาษาปัญจาบ 104 ลา้ นคน แมว้ ่าภาษาต่างๆ จะมีความแตกตา่ งกนั โดยผูท้ ใี่ ช้ภาษาหน่งึ กจ็ ะไมเ่ ข้าใจอกีมสธ มสธภาษาหนึ่ง ถ้าไม่ได้ศึกษาเป็นพิเศษ ท้ังน้ี การเรียนรู้เพ่ือความเข้าใจภาษาและการใช้ภาษา นับเป็นกระบวนการเรยี นรทู้ ซี่ บั ซอ้ นมากและจดั เปน็ การเรยี นรทู้ ม่ี ลี กั ษณะเดน่ ชดั และจำ� เพาะอยา่ งหนง่ึ ของมนษุ ย์การค้นหาค�ำตอบว่าเด็กเรียนรู้ภาษาได้อย่างไร เป็นจุดสนใจของนักจิตวิทยา นักภาษาศาสตร์ นักจิต-ภาษาศาสตร์ นักมานุษยวทิ ยา และผู้ทีท่ �ำงานเกีย่ วข้องกับเดก็ ทีต่ อ้ งอาศยั มมุ มองหลายด้านประกอบกันเพราะการเรียนรู้เพื่อความเข้าใจภาษาและการใช้ภาษาของเด็ก ไม่สามารถอธิบายให้เห็นได้เป็นรูปธรรมชดั เจนเหมอื นกบั การคลานได้ นง่ั ได้ ยนื ไดแ้ ละเดนิ ได้ ซงึ่ มกั อาศยั วฒุ ภิ าวะทางรา่ งกายเปน็ สว่ นสำ� คญั ในมสธทางตรงข้าม ความสามารถทางด้านภาษายังเกี่ยวพันกับสาเหตุอย่างอ่ืนอีกหลายอย่าง ดังจะกล่าวถึงใน
10-12 จติ วทิ ยาเพอื่ การดำ� รงชีวติรายละเอยี ดตอ่ ไป โดยทวั่ ไป การเรยี นรู้ภาษามีลักษณะท่ีสำ� คัญ ดังนี้ 1) การเรียนรู้องค์ประกอบพืน้ ฐานมสธหลายด้านของภาษามีลักษณะเป็นสากล (universal) เด็กๆ ที่มาจากพ้ืนฐานท่ีหลากหลายแต่สามารถเรยี นร้ภู าษาในแบบวธิ เี ดียวกนั เดก็ เรยี นภาษาพูดตามสภาพธรรมชาติ โดยมใิ ช่เพยี งเรยี นภาษาดว้ ยการเลยี นแบบและการจำ� แนกเทา่ นน้ั 2) เดก็ สามารถเรยี นรภู้ าษาในลกั ษณะของการเรยี นรอู้ ยา่ งเปน็ ธรรมชาติหรือไม่เปน็ รปู แบบทางการได้ เดก็ ทกุ คนรภู้ าษาได้ก่อนทพ่ี วกเขาจะเขา้ เรยี นในโรงเรยี น แมว้ า่ พ่อแม่หรอืมสธ มสธผู้เล้ียงดูจะมิได้จัดหาส่ิงใดท่ีเก่ียวข้องกับบทเรียนภาษาอย่างเป็นทางการให้กับเด็กหรือไม่มีใครสอนกฎเกณฑท์ างภาษาแก่เดก็ แตเ่ ดก็ ก็สามารถพดู ได้ และเรียงรอ้ ยถอ้ ยค�ำไดถ้ กู ตอ้ งตามหลักไวยากรณ์ อีกท้ังเด็กยังสามารถสร้างประโยคได้มากมายเหมาะสมตามความต้องการของตน และ 3) ภาษาและความคิดของเด็กมคี วามเก่ยี วข้องกนั อยา่ งใกลช้ ิด นัน่ คือ เด็กจะเรียนรู้ทีจ่ ะพูดเกีย่ วกับสงิ่ ตา่ งๆ ทแี่ วดล้อมและสามารถทำ� ใหพ้ วกเขาเข้าใจหรือแสดงความคดิ ออกมาได้มสธ1. แนวคิดการพัฒนาทางภาษา จากพนื้ ฐานความจรงิ ในการเรยี นรภู้ าษาขา้ งตน้ สามารถนำ� ไปสแู่ นวคดิ การพฒั นาทางภาษาทไี่ ด้รับการยอมรบั เพือ่ รว่ มอธิบายการเรียนรภู้ าษาของมนุษย์ ดังตอ่ ไปน้ี 1.1 แนวคิดภาษาสามารถเรียนรู้ได้โดยการเลียนแบบ (Language is Acquired Throughมสธ มสธImitation) แนวคดิ นเ้ี รม่ิ จากขอ้ สงั เกตวา่ เดก็ มกี ารเรยี นรภู้ าษาไดโ้ ดยการเลยี นแบบจากพอ่ แม่ ผสู้ นบั สนนุหลายคนในแนวคดิ นเี้ ชอื่ วา่ การพดู คยุ กบั เดก็ ชว่ ยใหพ้ อ่ แมเ่ ดก็ กลายเปน็ แบบอยา่ งในไวยากรณท์ างภาษาทเี่ ดก็ จะลอกเลียนได้ แตพ่ ฒั นาการทางภาษาของเด็กจะมคี วามกา้ วหน้าย่ิงข้ึน เมื่อเดก็ มีความตอ่ เน่ืองในการเรยี นรคู้ ำ� และวลใี หมๆ่ จากการเลยี นแบบจากสงิ่ แวดลอ้ มทกี่ วา้ งขวางขนึ้ อาจกลา่ วไดว้ า่ การเลยี นแบบค�ำพดู ของพอ่ แมม่ ิใชเ่ ป็นเพยี งวธิ เี ดียวเท่าน้นั ทีจ่ ะมีอทิ ธิพลต่อการพฒั นาทางภาษาของเด็กเทา่ นั้น แต่ยังมผี ลจากการเสริมแรงจากบุคคลทม่ี ีความสำ� คญั ต่อเดก็ ในสภาพแวดล้อมทเ่ี ขาเปน็ สมาชกิ อยู่ โดย บ.ี เอฟ.สกินเนอร์ (B.F. Skinner) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด สหรัฐอเมริกา เป็นมสธผอู้ ธบิ ายการเรยี นรภู้ าษาในแงข่ องความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสงิ่ เรา้ กบั การตอบสนองและการเสรมิ แรง ตามหลกัของการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไข ท่ีรู้จักกันในนามของ “operant conditioning” โดยเชื่อว่าขั้นแรกเด็กทารกออกเสยี งตา่ งๆ ออกมาโดยไมเ่ จาะจง แตเ่ มื่อมกี ารออกเสยี งบางเสียงที่ฟงั แลว้ เหมอื นเสียงทผ่ี ใู้ หญ่ใช้พูดกัน ก็มักจะได้รับการเสริมแรงทันที ด้วยความเข้าใจจากพ่อแม่หรือการท่ีพ่อแม่หรือคนรอบข้างมสธ มสธหนั ไปแสดงความสนใจและชมเชย ดงั นนั้ จงึ ทำ� ใหเ้ ดก็ ออกเสยี งบางเสยี งมากกวา่ เสยี งอน่ื ๆ ตามการไดร้ บัการเสริมแรงไปตามล�ำดับ จนกระท่ังเด็กออกเสียงฟังแล้วผู้ใหญ่รู้สึกว่าใกล้เคียงกับเสียงค�ำพูดบางค�ำที่ผู้ใหญ่ใชพ้ ดู กัน ในทีส่ ุด จึงนำ� ไปสู่การท่ีเดก็ พรอ้ มจะใช้การออกเสยี งเหลา่ นัน้ ในชวี ติ ประจ�ำวัน นอกจากน้ีทฤษฎขี องสกินเนอรย์ งั ถือว่า การเลยี นแบบมบี ทบาทในการเรียนภาษา เดก็ เรยี นรู้ได้จากสิง่ ทีเ่ กิดข้ึนหลังจากทเ่ี ขาได้พดู ออกไปแล้ว เช่น เมอ่ื เด็กเปล่งเสียงฟงั ดูคล้ายๆ “นำ้� ” เดก็ ก็ไดด้ ม่ื น้ำ� หรือได้รับการตอบสนองในรูปแบบอื่นๆ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้สอนให้เด็กรู้ว่าเขาสามารถจัดกระท�ำกับสงิ่ แวดลอ้ มได้ ดว้ ยการเปลง่ เสยี งหรอื ดว้ ยคำ� พดู การเรยี งคำ� ของเดก็ จงึ เกดิ ขนึ้ ดว้ ยการเชอื่ มโยงสงิ่ เรา้ กบัมสธการตอบสนองโดยมีการเสริมแรงเป็นเงอื่ นไขท่ีสำ� คญั ท่ีสดุ ในการเพมิ่ อตั ราการตอบสนอง
ภาษา การสือ่ สาร และการประยุกต์ใช้ในชวี ิตประจ�ำวนั 10-13 การอธบิ ายการเรยี นรภู้ าษาตามแนวคดิ ของสกนิ เนอรส์ อดคลอ้ งกบั ความจรงิ ทวี่ า่ การใชก้ ารเสรมิ แรงมสธทเ่ี หมาะสมถกู ต้องกับสภาพการณ์ชว่ ยใหเ้ ด็กเรียนภาษาพูดได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในระยะการปรบั แตง่พฤติกรรมการพูดให้ใกล้เคียงกับมาตรฐาน จนกระทั่งพูดได้ถูกต้องสมบูรณ์ตามเกณฑ์ อย่างไรก็ตามทฤษฎขี องสกนิ เนอรย์ งั ไมส่ ามารถอธบิ ายการเรยี นรภู้ าษาไดอ้ ยา่ งครอบคลมุ โดยยงั ตอ้ งอาศยั มมุ มองจากทฤษฎีอ่นื เพอ่ื ร่วมอธิบายการเรียนรู้ด้านภาษาอกีมสธ มสธ1.2 แนวคิดภาษาเป็นส่ิงที่มีอยู่แต่ก�ำเนิด (Language is Innate) แนวคิดน้ีอธิบายว่ามนุษย์มีกลไกการเรียนรู้ภาษาได้อย่างรวดเร็วและเป็นระบบโดยก�ำเนิด โดยหลักไวยากรณ์พ้ืนฐานทางภาษาและความหมายของค�ำหลากหลายมีความเป็นสากล เพราะว่ามนุษย์มีธรรมชาติการเรียนรู้ภาษาในวิธีการท่ีเหมอื นกนั แมว้ า่ จะอยใู่ นสง่ิ แวดลอ้ มทแี่ ตกตา่ งกนั ผทู้ เี่ สนอทฤษฎใี นแนวน้ี ไดใ้ หค้ วามสนใจกบั พฒั นาการของอวัยวะท่ีเกี่ยวข้องกับการพูดการฟัง หรือรวมเรียกว่าเป็นเคร่ืองมือการเรียนรู้ภาษา (LanguageAcquisition Device: LAD) โดยไดเ้ น้นความสำ� คญั ของ LAD ว่าจ�ำเปน็ มากในการเรียนรภู้ าษา ถา้มสธเด็กมีพัฒนาการทางร่างกายตามปกติ เด็กย่อมมีความพร้อมที่จะเรียนรู้ภาษา โดยทฤษฎีท่ีเด่นมากของแนวคิดน้ีคือ ทฤษฎีไวยากรณ์ปริวรรต (Transformation Grammar) ของโนเอม ชอมสกี (NoamChomsky) ซง่ึ เปน็ ศาสตราจารยท์ างภาษาศาสตรจ์ ากสถาบนั เทคโนโลยแี มสซาชเู ซตส์ (MassachusettsInstitute of Technology) ชอมสกีเช่ือว่าเด็กทุกคนมีความสามารถติดตัวโดยก�ำเนิดในการประยุกต์ใช้กฎเกณฑ์ของภาษาทีเ่ ขาได้ยิน มนษุ ยท์ กุ คนมีความสามารถท่จี ะเรยี นรู้และเขา้ ใจภาษา และทกุ คนเรียนรู้มสธ มสธภาษาได้ในล�ำดบั ข้ึนอยา่ งเดียว และเรียนได้ในเวลาใกล้เคียงกัน 1.3 แนวคิดภาษาข้ึนอยู่กับความรู้ความเข้าใจ (Language is Dependent Upon Cognition)แนวคดิ นใ้ี หค้ วามสำ� คญั ตอ่ พน้ื ฐานการรบั รแู้ ละความเขา้ ใจทม่ี ผี ลสำ� คญั ตอ่ การพฒั นาทางภาษา โดยภาษามีลักษณะเฉพาะในตัวเอง เพราะเด็กแสดงความรู้สึกนึกคิดออกมาด้วยการใช้ภาษาท่ีพวกเขาเข้าใจในค�ำนัน้ ๆ โดย ฌอง เพยี เจท์ (Jean Piaget) อ้างองิ ว่าภาษาขนึ้ อย่กู บั ความนกึ คิด ซ่งึ หมายความวา่ คำ� หรอืวลีหน่ึงๆ สามารถปรากฏอยู่ในค�ำศัพท์ของเด็กได้เพียงแค่หลังจากเด็กได้มีความช�ำนาญในหลักการมสธความรคู้ วามเขา้ ใจทตี่ รงกนั ทฤษฎนี เ้ี ปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งมากตอ่ การเชอื่ มโยงพฒั นาการดา้ นภาษาของเดก็ท่ีสะท้อนถึงความเข้าใจและสติปัญญา ซ่ึงหมายความว่า เด็กที่มีพัฒนาการด้านภาษาดีมักเป็นเด็กที่มีสติปัญญาทดี่ ดี ้วยมสธ มสธกิจกรรม10.1.2 1. จงอธิบายลกั ษณะที่สำ� คัญในการเรียนรภู้ าษาพอสงั เขป มสธ2. จงยกตวั อยา่ งแนวคิดการพัฒนาทางภาษาทส่ี �ำคญั
10-14 จิตวิทยาเพื่อการด�ำรงชีวิตมสธแนวตอบกิจกรรม 10.1.2 1. โดยทว่ั ไป ลกั ษณะทส่ี ำ� คญั ในการเรยี นรภู้ าษามดี งั น้ี 1) การเรยี นรอู้ งคป์ ระกอบพนื้ ฐานหลายดา้ นของภาษามลี กั ษณะเปน็ สากล เดก็ ๆ ทม่ี าจากพนื้ ฐานทห่ี ลากหลายแตส่ ามารถเรยี นรภู้ าษาในแบบวธิ ีเดียวกันได้ 2) เด็กสามารถเรียนรู้ภาษาในลักษณะของการเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติหรือไม่เป็นทางการแมว้ า่ พอ่ แมห่ รอื ผเู้ ลยี้ งดจู ะมไิ ดจ้ ดั หาสงิ่ ใดทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั บทเรยี นภาษาใหก้ บั เดก็ หรอื ไมม่ ใี ครสอนกฎเกณฑ์มสธ มสธทางภาษาแกเ่ ดก็ แต่เดก็ ก็สามารถพดู ได้ และเรยี งร้อยถอ้ ยค�ำได้ถูกตอ้ งตามหลักไวยากรณ์ อกี ท้งั เดก็ ยังสามารถสรา้ งประโยคไดม้ ากมายเหมาะสมตามความตอ้ งการของตน 3) ภาษาและความคดิ ของเดก็ มคี วามเกี่ยวข้องกนั อย่างใกล้ชิด น่นั คือ เดก็ จะเรียนรู้ท่จี ะพูดเก่ียวกบั สิ่งตา่ งๆ ทแ่ี วดลอ้ มและสามารถทำ� ให้พวกเขาเขา้ ใจหรือแสดงความคิดออกมาได้ 2. แนวคิดการพัฒนาทางภาษาที่ได้รับการยอมรับเพ่ือร่วมอธิบายการเรียนรู้ภาษาของมนุษย์ไดแ้ ก่ 1) แนวคดิ ภาษาสามารถเรยี นรูไ้ ดโ้ ดยการเลยี นแบบ แนวคดิ นี้เร่ิมจากข้อสงั เกตวา่ เด็กมกี ารเรยี นรู้มสธภาษาไดโ้ ดยการเลยี นแบบจากพอ่ แมแ่ ละยงั มผี ลจากการเสรมิ แรงจากบคุ คลทม่ี คี วามสำ� คญั ตอ่ เขาในสภาพแวดล้อมทเ่ี ขาเปน็ สมาชิกอยู่ 2) แนวคดิ ภาษาเป็นสิง่ ท่ีมีอยู่แตก่ ำ� เนดิ ทว่ี ่ามนษุ ยม์ กี ลไกการเรียนรูภ้ าษาไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ และเปน็ ระบบโดยกำ� เนดิ โดยหลกั ไวยากรณพ์ นื้ ฐานทางภาษาและความหมายของคำ� หลากหลายมคี วามเปน็ สากลเพราะวา่ มนษุ ยม์ ธี รรมชาตกิ ารเรยี นรภู้ าษาในวธิ กี ารทเี่ หมอื นกนั แมว้ า่ จะอยใู่ นสง่ิ แวดลอ้ มมสธ มสธท่ีแตกต่างกัน 3) แนวคิดภาษาขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจ แนวคิดน้ีให้ความส�ำคัญต่อพ้ืนฐานการรับรู้และความเขา้ ใจทีม่ ผี ลส�ำคัญต่อการพัฒนาทางภาษา เดก็ สามารถแสดงความรู้สึกนกึ คิดออกมาโดยการใช้ภาษาทพี่ วกเขาเขา้ ใจในคำ� นน้ั ๆ ภาษาจงึ ขนึ้ อยกู่ บั ความนกึ คดิ และพฒั นาการดา้ นภาษาของเดก็ สามารถสะท้อนถงึ ความเขา้ ใจและสติปญั ญาของเดก็ ได้มสธเร่ืองที่ 10.1.3พัฒนาการทางภาษามสธ มสธพฒั นาการทางภาษาเปน็ พฒั นาการสำ� คญั ดา้ นหนงึ่ ของมนษุ ยท์ มี่ หี ลกั การเชน่ เดยี วกบั พฒั นาการดา้ นอื่นๆ เชน่ พฒั นาการของกล้ามเน้ือมดั ใหญ่และมดั เล็ก พัฒนาการทางสตปิ ัญญาหรือพฒั นาการทางสงั คม กลา่ วคอื จะเกดิ ข้นึ ตามล�ำดับและมีระบบ แม้วา่ อัตราของพฒั นาการทางภาษาของเดก็ แต่ละคนจะแตกตา่ งกนั แตล่ ำ� ดบั ขน้ั ของพฒั นาการทางการพดู เปน็ ไปตามรปู แบบเดยี วกนั เดก็ ทารกแรกคลอดจะเรมิ่มีการพัฒนาด้านภาษาอย่างต่อเน่ือง เร่ิมจากการเปล่งเสียงอ้อแอ้อย่างไม่แยกแยะจากการปล่อยอากาศมสธออกมาจากเส้นเสียง เป็นเสียงคล้ายเสียงสระท่ีใช้ส่วนหน้าของปากออกเสียงก่อน แล้วจึงมาใช้ส่วนกลางและสว่ นในของปากตามลำ� ดบั และเปลยี่ นเปน็ การเปลง่ เสยี งทจ่ี ำ� เพาะเจาะจงและชดั เจนมากขน้ึ เรอื่ ยๆ เมอื่
เดก็ อายปุ ระมาณ 5 เดอื น อาจจะมกี ารเปลง่ เสยี ง ดา-ดา-ดา หรือ ลัล-ลลั -ลัล ไปถงึ ระยะการพดู คำ� แรกมสธทชี่ ดั เจนตง้ั แตอ่ ายกุ อ่ น 1 ปี และพฒั นาตอ่ เนอื่ งไปเรอ่ื ยๆ ดงั ตารางท่ี 10.1 สรปุ ยอ่ ลำ� ดบั ขน้ั ของพฤตกิ รรมทางภาษา ตารางที่ 10.1 สรุปยอ่ ลำ� ดบั ขน้ั ของพฤติกรรมทางภาษา ภาษา การส่อื สาร และการประยุกต์ใช้ในชวี ติ ประจำ� วนั 10-15มสธ มสธอายุ พฤตกิ รรมทางภาษา ช่วงทารก เดก็ ทำ� เสยี งในล�ำคอ เชน่ ร้องไห้ หัวเราะ คำ� ราม ฯลฯ เปน็ เสียงแรกเกิดถึงประมาณ 5 เดอื นท่ีออกมาจากลำ� คอ6 เดือน ถงึ 9 เดอื น ระยะออ้ แอ้ เดก็ ท�ำเสียงออ้ แอส้ ูงตำ่� ต่างกันตามเหตุการณ์ เสียงออ้ แอ้มบี าง สว่ นคลา้ ยเสียงพดู ของผใู้ หญ่มสธ9 เดือน ระยะเปล่งเสียงเป็นค�ำที่มีความหมายเฉพาะ มีรูปแบบการเน้นเสียงสูงต่�ำมสธ มสธ9เดอื นถึง1ขวบ ต่อเนื่องกันคล้ายค�ำพูดของผู้ใหญ่ มีการเลียนเสียงบางอย่างคล้ายเสียง คำ� พูด และมีรูปแบบคล้ายกับภาษาท่วั ไป แตผ่ ูฟ้ ังที่ไม่คนุ้ เคยจะแยกหน่วย1 ขวบ ถึง 2 ขวบ ของค�ำไดย้ าก ระยะสงบเงยี บ โดยมกี ารใชภ้ าษาทพี่ ฒั นาตอ่ เนอ่ื ง แตเ่ ปลย่ี นรปู แบบเปน็ การมสธ2 ขวบ สังเกตและเปล่ยี นจากใช้คำ� ทส่ี ร้างขึ้นมาเองไปเปน็ การใช้คำ� พูดทผี่ ้ใู หญใ่ ช้ ระยะการใชค้ ำ� โดด เดก็ จะใชค้ ำ� โดดๆ ในความหมายเชน่ เดยี วกบั วลี เปน็ การ3 ขวบ เร่ิมตน้ การเรยี นค�ำศพั ท์ การเปลง่ เสียงออกมาจากลำ� คอที่ฟังดคู ลา้ ยเปน็ คำ� เด็กวัยน้ีเข้าใจสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดด้วย และแสดงความเข้าใจด้วยการท�ำตามที่มสธ มสธ3ขวบถึง5ขวบ ผใู้ หญบ่ อก เช่น เดินไปหยบิ ของตามคำ� บอกได้ ฯลฯมสธ5 ขวบข้ึนไป ระยะเรียนค�ำศัพท์อย่างรวดเร็ว จ�ำนวนค�ำศัพท์ที่เด็กรู้เมื่ออายุ 24 เดือน ประมาณ 300 ค�ำ เม่ือ 27 เดือนเพิ่มเปน็ 400 ค�ำ ประมาณ 36 เดือนเพม่ิ เปน็ 1,000 ค�ำ เดก็ ใชป้ ระโยคและวลีทป่ี ระกอบด้วยคำ� 2 และ 3 ค�ำ รวมถึง สามารถเปลง่ เสียงสูงตำ�่ ของคำ� ท่ใี ชใ้ หม้ คี วามหมายแตกตา่ งกนั ออกไป ระยะพูดได้เป็นประโยคที่คล้ายคลึงกับภาษาที่ผู้ใหญ่ใช้ มีแบบแผนการใช้ ภาษา แต่ยงั ไมเ่ ป็นประโยคที่สมบรู ณ์ ใชป้ ระโยคในรปู แบบตา่ งๆ ไดท้ นั ที แมไ้ มถ่ กู ตอ้ งตามโครงสรา้ งของประโยค แต่สามารถส่ือสารได้สมบูรณ์ สามารถใช้ได้ทั้งประโยคที่ซับซ้อนและอย่าง งา่ ย ใช้ประโยคท่ีซับซ้อนขึ้น เป็นรูปแบบต่างๆ ที่เพ่ิมความหมายของประโยค สามารถใชภ้ าษาของตนไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ
10-16 จติ วิทยาเพื่อการดำ� รงชวี ิต1. การเรียนรู้ภาษา มสธการเรยี นรภู้ าษาสามารถพจิ ารณาใหช้ ดั เจนไดเ้ ปน็ 2 ดา้ นหลกั คอื การรบั รภู้ าษาและการใชภ้ าษา 1.1 การรับรู้ภาษา (Receptive language) คือ การทเ่ี ด็กรับรูแ้ ละเขา้ ใจภาษาพูด เขา้ ใจชอื่ ของส่ิงตา่ งๆ เขา้ ใจความหมายของค�ำ ความเข้าใจภาษาของเดก็ เกิดกอ่ นการแสดงออกทางภาษา เด็กจะร้จู ักและเข้าใจค�ำศัพท์ต่างๆ ได้ก่อนที่เขาจะใช้ค�ำศัพท์นั้น การรับรู้และความเข้าใจภาษาของเด็กแบ่งเป็นมสธ มสธ2 ส่วน สว่ นหนงึ่ คอื ความเข้าใจเกย่ี วกับรูปแบบของภาษา ได้แก่ เสียง การออกเสยี ง ส�ำเนียง จังหวะค�ำศัพท์ ล�ำดับการเรียงถ้อยค�ำเป็นประโยคตามหลักไวยากรณ์ อีกส่วนหน่ึงคือเข้าใจเน้ือหาของภาษาประกอบด้วยมีความเข้าใจเกี่ยวกับการเรียกช่ือสิ่งต่างๆ และส่ิงของประเภทต่างๆ เช่น พ่อ แม่ พ่ี น้องบา้ น แมว ตน้ ไม้ น�้ำดืม่ รถยนต์ ฯลฯ มคี วามเขา้ ใจเกีย่ วกับความสมั พันธร์ ะหวา่ งส่งิ ของ เชน่ พอ่ อ่านหนังสือ อากาศเยน็ ฝนตก ฯลฯ มคี วามเข้าใจเก่ียวกับความสัมพันธ์ของเหตกุ ารณ์และเวลา เชน่ ตืน่ เช้าต้องแปรงฟนั เม่ือวานนไ้ี ปเยี่ยมคณุ ยาย พรุง่ น้ีจะไปเทีย่ ว ฯลฯ มสธ1.2 การแสดงออกทางภาษา (Expressive language) เด็กจะมีความสามารถในการแสดงออกทางภาษาหลังจากมีความเข้าใจภาษาแล้ว โดยทวั่ ไป เด็กอายุ 1 ขวบถึง 1 ขวบคร่ึง สามารถพูดได้เป็นค�ำๆ โดยเข้าใจความหมายของค�ำเหล่าน้ันก่อนท่ีจะเร่ิมพูด โดยเด็กอาจมีการใช้ค�ำท่ียืดขยายเพ่ือเรียกบางสิ่งเพราะเด็กไม่รู้ว่าจะเรียกส่ิงเหล่าน้ีว่าอะไร หรือเพราะว่ายังไม่มีอยู่ในคลังศัพท์ของเด็ก เช่น เด็กไม่รู้จกั ค�ำว่า แมว เมื่อเหน็ แมว เด็กอาจเรียก เหมียว เหมยี ว ลกั ษณะเชน่ นเี้ รียกว่า overextension เด็กมสธ มสธอาจใช้ภาษาในการแสดงออกกับตนเอง เช่น เล่นละครคนเดียว คิดจินตนาการในใจ ฯลฯ และเมื่อเด็กพฒั นาภาษาพดู ไปจนถึงขน้ั พูดภาษาไดจ้ รงิ (True speech) การใช้ภาษาของเด็ก แบ่งเปน็ 3 ระยะ คอื 1.2.1 ระยะการใช้ค�ำโดด (Holophrastic stage) เกิดข้นึ เมื่อเดก็ อายุระหวา่ ง 12-18 เดือนเดก็ พูดภาษาได้จรงิ แตเ่ ปน็ การใชค้ �ำโดด เปน็ ค�ำนามเฉพาะ และค�ำเรียกวัตถสุ ิง่ ของบางคำ� เชน่ รองเท้ารถ พ่อหรือแม่ เป็นต้น การที่จะเข้าใจความหมายจ�ำเป็นต้องพึ่งสิ่งแวดล้อมหรือสถานการณ์ และภาษากายเปน็ ตวั บอกบท (cues) เพอ่ื ที่จะเข้าใจไดด้ ยี ่ิงขึน้ เชน่ พูดเสยี งดังและสูง “ไป” อาจหมายความมสธว่า ต้องการไปเด๋ียวนี้ ถ้าเขาพดู วา่ “ไป” แลว้ กอดของเลน่ อาจหมายความวา่ เขาตอ้ งการนำ� ของเลน่ ไปดว้ ย ฯลฯ 1.2.2 ระยะใช้ภาษาโทรเลข (Telegraphic stage) เม่ือเด็กเจริญเติบโตจนมีอายุระหว่าง18-32 เดอื น จะสามารถนำ� คำ� สองคำ� มาเชอ่ื มเขา้ ดว้ ยกนั ได้ แตก่ เ็ ปน็ เพยี งการจำ� คำ� เหลา่ นใ้ี นระยะสนั้ หรอืแมแ้ ตส่ ามารถพดู เปน็ ประโยคงา่ ยๆ ได้ เดก็ มกี ารละคำ� ทไ่ี มส่ ำ� คญั ออก เชน่ คำ� นำ� หนา้ นาม คำ� บพุ บท และมสธ มสธค�ำเช่ือม เป็นต้น การพูดประโยคเช่นนี้ของเด็กจึงเปรียบคล้ายกับการใช้ประโยคในโทรเลข เราจึงเรียกลกั ษณะการพูดแบบน้วี า่ การพูดแบบโทรเลข (telegraphic speech) เชน่ เดก็ อาจพดู “แม-่ หวิ ” (แม่ ลูกหิว) “แม-่ น้ำ� ” (แม่ ลูกอยากดมื่ น�ำ้ ) เป็นต้น ระยะน้เี ด็กเร่มิ เรยี นโครงสร้างของประโยคโดยไม่รู้ตัว ท�ำให้เด็กเพิ่มประสิทธิภาพทางการใช้ภาษาได้มากขึ้น แม้ว่าเด็กวัยนี้จะตัดส่วนขยายท่ีไม่จ�ำเป็นออกไปจากประโยคท่พี ดู แต่เขาก็สามารถเข้าใจประโยคยาวๆ ที่ผูใ้ หญพ่ ูดกบั เขาได้ เช่น เด็กมอื สกปรกผู้ใหญ่บอกให้ไปล้างมือ เมื่อเขาท�ำตามแล้วกลับมารายงานว่า “เปื้อน หาย” ซ่ึงหมายความว่า “ได้ล้างมือสะอาดมสธเรียบร้อยแล้ว”
ภาษา การส่อื สาร และการประยุกตใ์ ช้ในชวี ติ ประจำ� วัน 10-17 1.2.3 ระยะเรยี นร้กู ฎเกณฑ์และโครงสรา้ งของประโยค (syntax) เมอื่ พฒั นาภาษาพดู ผา่ นมสธระยะการใชว้ ลสี นั้ ๆ แลว้ เดก็ จะคอ่ ยๆ ขดั เกลาภาษาพดู ใหม้ ศี พั ทม์ ากขน้ึ ใชป้ ระโยคซบั ซอ้ น มสี ว่ นขยายและวางส่วนประกอบของประโยคพรอ้ มทงั้ สว่ นขยายได้ถูกต้องเหมอื นท่ีผูใ้ หญ่ใชก้ ัน โดยทวั่ ไป การรบั รแู้ ละการแสดงออกทางภาษา จะเป็นพฒั นาการที่เกิดรว่ มกนั ไปอย่างต่อเนอ่ื งลงตวั ดงั ตัวอย่างพัฒนาการของความเข้าใจคำ� ศพั ทแ์ ละการใช้ค�ำศพั ทข์ องเด็กแสดงไวใ้ นตารางท่ี 10.2มสธ มสธตารางท่ี 10.2 แสดงพฒั นาการของจำ� นวนค�ำศัพทท์ เี่ ด็กเข้าใจและจำ� นวนค�ำศพั ท์ทีเ่ ดก็ ใช้ อายุจำ� นวนคำ� ศพั ท์ทเี่ ขา้ ใจจ�ำนวนคำ� ศพั ทท์ ี่ใช้ 12 เดอื น10 3 18 เดอื น50 20 มสธ24 เดอื น1,200 270 2,400 425 30 เดือน3,600 900 36 เดือน4,200 1,200 42 เดอื น5,600 1,500 48 เดอื น6,500 1,800 9,600 2,200มสธ มสธ54เดือน13,500 2,300 60 เดือน15,000 2,500 66 เดอื น 72 เดอื น2. การเรียนรู้ค�ำประเภทต่างๆ มสธเด็กเรียนรู้ความหมายของค�ำแต่ละค�ำด้วยการเชื่อมโยงความหมายเข้ากับเสียงท่ีได้ยิน โดยสามารถขยายวงคำ� ศพั ท์อยา่ งรวดเรว็ ไดด้ ว้ ยวธิ ที ีเ่ รยี กว่า first mapping กล่าวคือ การซมึ ซับความหมายของคำ� ศพั ท์ใหม่ภายหลงั จากท่ีเดก็ ไดย้ ินคำ� ๆ นน้ั เพียงหนง่ึ หรือสองครัง้ ในบทสนทนาจากบรบิ ทเดยี วกนันี้ ซ่งึ เป็นการสรา้ งสมมติฐานเก่ยี วกบั ความหมายของค�ำและเก็บไว้ในความทรงจำ� ทั้งคำ� ทวั่ ไป (generalvocabulary) และค�ำเฉพาะ (special vocabulary)มสธ มสธ2.1 คำ� ทวั่ ไป ไดแ้ ก่ คำ� ทม่ี คี วามหมายกวา้ งๆ ใชไ้ ดใ้ นหลายสภาพการณ์ เดก็ เรยี นรคู้ ำ� ประเภทน้ีได้กอ่ นค�ำเฉพาะ โดยเรยี นรแู้ ละใช้คำ� นาม โดยเฉพาะคำ� ทีเ่ ปน็ พยางค์เดยี วได้กอ่ นค�ำประเภทอืน่ จากนัน้จะเรม่ิ เรียนรู้ค�ำกริ ิยาซ่ึงบอกถึงการกระท�ำ ติดตามด้วยการใชค้ �ำวิเศษณแ์ ละคำ� คุณศพั ทเ์ มื่ออายปุ ระมาณ1 ขวบคร่งึ และจะใช้ค�ำสนั ธานและค�ำสรรพนามไดช้ า้ ทสี่ ุด เพราะใชย้ ากและมคี วามหมายสับสน 2.2 ค�ำเฉพาะ เป็นคำ� ท่ใี ช้สำ� หรับบางสภาพการณ์ เดก็ จะเรมิ่ ใชค้ ำ� เฉพาะควบคู่กับคำ� ทัว่ ไป เม่อือายปุ ระมาณ 3 ขวบ การใช้ค�ำเฉพาะมพี ัฒนาการไปตามวยั ของเด็ก โดยเริม่ จากคำ� ลวงตา คอื การเลอื กมสธใชค้ ำ� ตามทผ่ี ใู้ หญใ่ ชบ้ างคำ� ในสว่ นทเี่ ขาพอใจ โดยทเ่ี ดก็ อาจจะไมร่ คู้ วามหมายของคำ� ทใี่ ช้ เปน็ การพดู เพยี ง
10-18 จิตวิทยาเพือ่ การดำ� รงชีวิตเพื่อแสดงว่าเขาพูดค�ำนั้นได้ ซ่ึงเริ่มพบได้ในเด็กอายุประมาณ 2 ขวบ นอกจากนี้ ยังมีการใช้ค�ำแสดงมสธมารยาท ซ่ึงขึ้นอยู่กับการได้รับการฝึกฝน อาทิ การพูดขอบคุณ ขอโทษ สวัสดี ฯลฯ ส่วนค�ำเฉพาะเกย่ี วกบั สี เดก็ จะรจู้ กั ชอื่ สไี ดส้ ามสเี มอื่ อายปุ ระมาณ 3 ขวบ และเรยี นรคู้ ำ� เกยี่ วกบั จำ� นวน และคำ� เกยี่ วกบัการบอกเวลาได้ถกู ต้องเมอ่ื อายุประมาณ 4-5 ขวบ เชน่ นับจำ� นวนสง่ิ ของท่ถี กู ต้อง ถึงสบิ เปน็ อย่างน้อยและเข้าใจจำ� นวน บอกเวลาได้ว่าเปน็ เช้า กลางวนั เยน็ ฯลฯ โดยการเรยี นค�ำเฉพาะตา่ งๆ เหล่าน้ี ยงั ขน้ึมสธ มสธอยกู่ ับโอกาสที่เดก็ ไดร้ ับการฝกึ ฝนด้วย นอกจากนี้ เมือ่ เดก็ อายุประมาณ 6 ขวบและมกี ารเรยี นรูจ้ ากกลมุ่เพ่อื น จะรจู้ ักใชค้ ำ� สแลง ค�ำสาบาน และค�ำลบั เฉพาะ โดยทีเ่ ด็กผู้ชายจะใช้ค�ำสแลงและคำ� สาบานมากกวา่เด็กผหู้ ญงิ ขณะท่ีเดก็ ผู้หญงิ อายปุ ระมาณ 6 ขวบขึน้ ไปมกั ใชค้ �ำลบั เฉพาะในกลุม่ เพ่อื น3. การเรียนรู้ไวยากรณ์ในโครงสร้างประโยค เดก็ เรม่ิ จากการประสมพยางคใ์ หเ้ ปน็ คำ� และประสมคำ� ใหเ้ ปน็ ประโยค เดก็ วยั 3 ขวบ สามารถเรม่ิมสธใช้ค�ำที่เป็นพหูพจน์ ค�ำที่แสดงความเป็นเจ้าของและอดีตกาลได้ เด็กสามารถแยกความแตกต่างระหว่างคำ� สรรพนาม “ฉัน” “เธอ” หรือ “เรา” ได้ แตอ่ ย่างไรก็ตาม เดก็ สามารถพูดเป็นประโยคสั้นๆ ได้เท่าน้นัพบว่า เด็กท่ีมีอายุระหว่าง 4-5 ขวบ สามารถพูดประโยคท่ีประกอบด้วย 4-5 ค�ำได้ หรืออาจเป็นรูปประโยคบอกเลา่ (declarative) ปฏิเสธ (negative) หรอื คำ� ถาม (interrogative) ได้ ในขณะเดียวกนัมสธ มสธเดก็ ทม่ี อี ายรุ ะหวา่ ง 5-7 ขวบ จะมคี วามสามารถในการพดู ไดใ้ กลเ้ คยี งกบั ผใู้ หญ่ สามารถใชค้ ำ� ศพั ทใ์ นการพูดได้ถึง 2,600 ค�ำ และเข้าใจค�ำศัพท์ได้มากกว่า 20,000 ค�ำ โดยท่ีเด็กสามารถพูดประโยคที่ยาวและซับซ้อนมากย่ิงข้ึน ใช้สันธาน บุพบท และค�ำน�ำหน้านามได้ดี อย่างไรก็ตาม เด็กในวัยน้ียังจ�ำเป็นต้องมีการพัฒนาทางด้านภาษาต่อเน่ือง เช่น การใช้ประโยคเงื่อนไข (conditional sentence) หรือประโยคเชงิ ซ้อนต่างๆ ทถี่ อื เปน็ พฒั นาการท่ีเพ่มิ ความสละสลวยและประโยชนท์ างภาษาทส่ี มบรู ณ์ต่อไปมสธกิจกรรม 10.1.3 1. พัฒนาการทางภาษาของเด็ก 1–2 ขวบ เปน็ อยา่ งไร 2. การใช้ภาษาของเด็กมีก่รี ะยะ อะไรบา้ งมสธ มสธ มสธ3. การรับรภู้ าษา (receptive language) หมายความวา่ อย่างไร
ภาษา การสื่อสาร และการประยุกตใ์ ช้ในชีวิตประจำ� วนั 10-19มสธแนวตอบกิจกรรม 10.1.3 1. พฒั นาการทางภาษาของเดก็ อายุ 1-2 ขวบ เปน็ ระยะของการใชค้ ำ� โดด เดก็ จะใชค้ ำ� โดดๆ ในความหมายเชน่ เดยี วกบั วลี คำ� โดดเปน็ คำ� เรมิ่ ตน้ การเรยี นคำ� ศพั ทข์ องเดก็ เดก็ วยั นเี้ ขา้ ใจสงิ่ ทผี่ ใู้ หญพ่ ดู กบัเขา เด็กจะแสดงความเข้าใจของเขาโดยการทำ� ตามทผ่ี ู้ใหญ่บอก 2. การใชภ้ าษาของเดก็ มี 3 ระยะ คอื ระยะการใชค้ ำ� โดด ระยะใชภ้ าษาโทรเลข และระยะการเรยี นมสธ มสธกฎเกณฑ์และโครงสร้างประโยค 3. การรบั รู้ภาษา (receptive language) คือ การทเี่ ด็กรับรูแ้ ละเขา้ ใจภาษาพูด เข้าใจชื่อของสิ่งต่างๆ เข้าใจความหมายของค�ำ การรับรู้และความเข้าใจภาษาของเด็กแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ความเข้าใจเกยี่ วกบั รปู แบบของภาษา ไดแ้ ก่ เสยี ง การออกเสยี ง สำ� เนยี ง จงั หวะ คำ� ศพั ท์ ลำ� ดบั การเรยี งถอ้ ยคำ� เปน็ประโยคตามหลกั ไวยากรณ์ อกี สว่ นหนง่ึ คอื เขา้ ใจเนอื้ หาของภาษา ประกอบดว้ ยมคี วามเขา้ ใจเกย่ี วกบั การเรียกช่อื ส่งิ ต่างๆ และสิ่งของประเภทตา่ งๆ เชน่ พ่อ แม่ พ่ี นอ้ ง บา้ น น�ำ้ ดม่ื รถยนต์ เปน็ ตน้ และมคี วามมสธเข้าใจเกยี่ วกบั ความสมั พนั ธ์ระหว่างส่งิ ของ เช่น พอ่ อ่านหนงั สือ อากาศเย็น ฝนตก เปน็ ต้น มคี วามเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพนั ธข์ องเหตกุ ารณแ์ ละเวลา เชน่ ตน่ื เชา้ ตอ้ งแปรงฟัน เม่อื วานนไี้ ปเยยี่ มคณุ ยาย พรงุ่ น้ีมมสสธธ มมสสธธ มมสสธธจะไปเท่ยี วเปน็ ต้น
10-20 จิตวทิ ยาเพอื่ การด�ำรงชีวติมสธตอนที่ 10.2การสื่อสารโปรดอา่ นหัวเรื่อง แนวคดิ และวตั ถปุ ระสงค์ของตอนที่ 10.2 แล้วจึงศึกษารายละเอียดตอ่ ไปมสธ มสธหัวเรื่อง 10.2.1 ความหมาย วตั ถุประสงค์และรปู แบบของการสอ่ื สาร 10.2.2 แบบจ�ำลองของการสื่อสาร 10.2.3 วิธกี ารสือ่ สารทม่ี ีประสทิ ธภิ าพมสธแนวคิด 1. การส่ือสาร หมายถึง กระบวนการส่งข่าวสารข้อมูลจากผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้รับข่าวสาร มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ชกั จงู ใหผ้ รู้ บั ขา่ วสารมปี ฏกิ ริ ยิ าตอบสนองกลบั มา โดยคาดหวงั ใหเ้ ปน็ ไปตามทผ่ี สู้ ง่ ตอ้ งการ โดยรปู แบบของการสอื่ สารสามารถถกู จำ� แนกไดแ้ ตกตา่ งกนั ตาม เกณฑต์ ่างๆ ทใ่ี ช้มสธ มสธ2. ก ารทำ� ความเขา้ ใจการสอ่ื สารอยา่ งลกึ ซงึ้ ในบางดา้ นสามารถศกึ ษาไดจ้ ากแนวคดิ ในเรอ่ื ง รปู แบบจ�ำลองของการสือ่ สาร ซึ่งมนี กั วิชาการไดอ้ ธบิ ายด้วยมมุ มองต่างๆ ประกอบกนั ไดแ้ ก่ รปู แบบจ�ำลองของการสื่อสารโดยแชนนนั และวีเวอร์ ลาสเวลล์ หรือชแรมม์ 3. การส่ือสารที่ดี จะท�ำให้การด�ำรงชีวิตประสบความส�ำเร็จและมีความสัมพันธ์กับบุคคล ตา่ งๆ ได้ดี การพฒั นาทักษะในการสอื่ สาร ไดแ้ ก่ การฟัง การอ่าน และการสง่ สารอน่ื ๆ ซึง่ เป็นเร่ืองทีส่ �ำคัญมากมสธวัตถุประสงค์ เมือ่ ศึกษาตอนท่ี 10.2 จบแลว้ นกั ศึกษาสามารถ 1. อธิบายความหมายและวัตถปุ ระสงค์ของการสือ่ สารได้ 2. บอกรูปแบบตา่ งๆ ของการสือ่ สารได้มสธ มสธ3. อธบิ ายแนวคดิ ต่างๆ ของแบบจ�ำลองของการสือ่ สารได้ มสธ4. อธิบายทกั ษะการสอื่ สารท่ดี ีในรูปแบบต่างๆ ได้
ภาษา การส่อื สาร และการประยกุ ต์ใช้ในชีวติ ประจ�ำวนั 10-21มสธเร่ืองท่ี 10.2.1ความหมาย วัตถุประสงค์และรูปแบบของการสื่อสารมสธ มสธการส่ือสารมีความส�ำคัญกับมนุษย์มาตั้งแต่ก�ำเนิด เนื่องจากมนุษย์ต้องอยู่ในสังคมและใช้การสื่อสารเป็นเคร่ืองมือในการบอกความต้องการของตนเองต่อผู้อื่น การส่ือสารเกี่ยวข้องกับชีวิตประจ�ำวันของทกุ คน ทกุ เพศ ทกุ วยั อยา่ งหลกี เลย่ี งไมไ่ ด้ ตง้ั แตต่ นื่ นอนจนหลบั การใชช้ วี ติ ตลอดทงั้ วนั ทง้ั การเรยี นการท�ำงาน และการเข้าสังคมในทุกระดับ การสื่อสารจึงเป็นสื่อกลางที่ท�ำให้มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างราบร่ืนมสธ1. ความหมายของการส่ือสาร การสื่อสาร (Communication) หมายถึง กระบวนการส่งข่าวสารข้อมูลจากผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้รับข่าวสาร มวี ัตถปุ ระสงค์เพอ่ื ชักจูงใหผ้ ูร้ ับข่าวสารมีปฏกิ ิริยาตอบสนองกลับมา โดยคาดหวังให้เปน็ ไปตามที่ผสู้ ง่ ตอ้ งการโดยมีองค์ประกอบพน้ื ฐานดงั น้ีมสธ มสธผสู ง ขอ มูลขาวสาร ส่อื ผูรบั ภาพท่ี 10.1 แบบจ�ำลองการสื่อสาร 1.1 ผสู้ ง่ สาร คอื ผทู้ ที่ ำ� หนา้ ทส่ี ง่ ขอ้ มลู ขา่ วสารไปยงั ผรู้ บั สารโดยผา่ นชอ่ งทางทเ่ี รยี กวา่ สอื่ ถา้ หากมสธเป็นการส่ือสารทางเดียวผู้ส่งจะท�ำหน้าที่ส่งเพียงประการเดียว แต่ถ้าเป็นการสื่อสาร 2 ทาง ผู้ส่งสารจะเป็นผู้รับในบางครั้งด้วย ผู้ส่งสารจะต้องมีทักษะในการส่ือสาร มีเจตคติต่อตนเอง ต่อเร่ืองที่จะส่ง ต้องมีความรใู้ นเน้อื หาที่จะสง่ และอยูใ่ นระบบสังคมเดียวกบั ผู้รบั ก็จะทำ� ให้การสอื่ สารมปี ระสิทธิภาพ 1.2 ข่าวสารในกระบวนการติดต่อสื่อสาร ข่าวสารอาจต้องแปลเป็นรหัสเพื่อสะดวกในการส่งการรับบางรปู แบบ เนอ้ื หาของสารและการจัดสารทีด่ ีจะตอ้ งท�ำใหง้ า่ ยต่อการส่อื ความหมายทสี่ ุดมสธ มสธ1.3 สื่อหรือช่องทางในการรับสาร คอื ประสาทสมั ผสั ท้งั หา้ คอื ตา หู จมกู ล้ิน และกายสัมผสัและตวั กลางทีม่ นษุ ย์สรา้ งขน้ึ มา เช่น ส่ิงพิมพ์ กราฟิก ส่ืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ 1.4 ผ้รู บั สาร คอื ผู้ท่เี ปน็ เปา้ หมายของผสู้ ่งสาร การสอ่ื สารจะมปี ระสิทธิภาพ ผ้รู บั สารจะตอ้ งมีมสธประสิทธภิ าพในการรับรู้ มีเจตคตทิ ี่ดตี อ่ ข้อมลู ขา่ วสาร ต่อผู้ส่งสารและต่อตนเอง
10-22 จิตวิทยาเพือ่ การด�ำรงชีวติ2. วัตถุประสงค์ของการสื่อสาร มสธ2.1 เพ่ือแจ้งให้ทราบหรือเพื่อให้ข้อมูล หมายถึง การส่ือสารที่ผู้ส่งสารจะแจ้ง หรือบอกกล่าวขา่ วสาร ขอ้ มูล เหตกุ ารณ์ ความคดิ ความตอ้ งการของตนใหผ้ รู้ บั ได้ทราบ ซึ่งอาจรวมถึงให้การศกึ ษาที่มงุ่ จะใหผ้ ู้รบั สารมีการเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมทางดา้ นองค์ความรู้ ความคดิ สติปัญญา เช่น การสอื่ สารในกระบวนการเรียนการสอนหรอื การศึกษาค้นควา้ ทางวชิ าการโดยเฉพาะ เป็นตน้มสธ มสธ2.2 เพ่ือสร้างความพอใจหรือให้ความบันเทิง หมายถึง การสื่อสารที่มุ่งให้เกิดผลทางจิตใจหรืออารมณ์ ความรู้สึกแก่ผู้รับสาร ซึ่งจะเกิดข้ึนก็ต่อเมื่อผู้ส่งสารมีข้อมูลท่ีสอดคล้องกับความต้องการของผรู้ ับสาร และมกี ลวิธีในการนำ� เสนอเปน็ ทีพ่ อใจ 2.3 เพอื่ เสนอหรอื ชักจูงใจ มุ่งเนน้ ใหผ้ ้รู บั สารมพี ฤตกิ รรมคลอ้ ยตาม หรือยอมรบั ปฏบิ ัติตาม3. รูปแบบของการสื่อสาร มสธการจ�ำแนกรูปแบบของการสื่อสาร สามารถท�ำได้แตกต่างกันหลายลักษณะ ในที่น้ีจะแสดงการจำ� แนกรูปแบบของการส่อื สาร โดยอาศัยเกณฑ์ในการจำ� แนกทแ่ี ตกตา่ งกัน ดังนี้ 3.1 การจ�ำแนกตามคุณลักษณะของการสื่อสาร 3.1.1 การสื่อสารดว้ ยภาษาพูด เชน่ การพูด อธบิ าย บรรยาย การรอ้ งเพลง เป็นต้นมสธ มสธ3.1.2 การสอื่ สารดว้ ยภาษาทา่ ทางหรอื สญั ญาณ เชน่ กริ ยิ าทา่ ทาง การยมิ้ ภาษามอื เปน็ ตน้ 3.1.3 การสอ่ื สารดว้ ยภาษาภาพ เชน่ โปสเตอร์ จดหมาย ลกู ศร ตรา รปู ภาพ เครอ่ื งหมายเป็นต้น 3.2 จ�ำแนกตามปฏิสัมพันธ์ของผู้รับและผู้ส่ง 3.2.1 การสือ่ สารทางตรง ผสู้ ่งและผรู้ ับส่ือสารถงึ กันและกันโดยตรง เนอื้ หาสาระสอดคลอ้ งกันอยา่ งตรงไปตรงมา เชน่ การแลกเปล่ียนซือ้ ขายสนิ คา้ ในตลาดสด การตดิ ปา้ ยใหข้ ้อมลู เปน็ ต้น มสธ3.2.2 การสอื่ สารทางออ้ ม เปน็ การสอ่ื สารโดยอาศยั สอื่ ทแี่ ฝงไวใ้ นการถา่ ยทอดเนอื้ หาสาระเชน่ การโฆษณาแฝง การนำ� เสนอภาพหรอื สาระใหร้ บั รหู้ รอื เกดิ เจตคตคิ ลอ้ ยตามดว้ ยบรบิ ทและความหมายโดยนัย เป็นตน้ 3.3 จ�ำแนกตามพฤติกรรมในการโต้ตอบ 3.3.1 การสอื่ สารทางเดยี ว (One-way Communication) คอื การสอ่ื สารทขี่ า่ วสารจะถกูมสธ มสธสง่ จากผู้ส่งไปยังผรู้ ับในทิศทางเดียว โดยไมม่ กี ารตอบโต้กลับจากฝา่ ยผูร้ ับ เช่น การสือ่ สารผา่ นสือ่ วทิ ยุโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เป็นต้น การออกค�ำส่ังหรือมอบหมายงานโดยฝ่ายผู้รับไม่มีโอกาสแสดงความคดิ เหน็ ซงึ่ ผรู้ บั อาจไมเ่ ขา้ ใจขา่ วสาร หรอื เขา้ ใจไมถ่ กู ตอ้ งตามเจตนาของผสู้ ง่ และทางฝา่ ยผสู้ ง่ เมอื่ ไมท่ ราบปฏกิ ริ ยิ าของผรู้ บั จงึ ไมอ่ าจปรบั การสอื่ สารใหเ้ หมาะสมได้ การสอื่ สารแบบนส้ี ามารถทำ� ไดร้ วดเรว็ จงึ เหมาะส�ำหรับการสอ่ื สารในเรอ่ื งท่เี ข้าใจงา่ ย 3.3.2 การสอ่ื สารสองทาง (Two-way Communication) คอื การสอ่ื สารทม่ี กี ารสง่ ขา่ วสารมสธตอบกลบั ไปมาระหวา่ งผสู้ อ่ื สาร ดงั นน้ั ผสู้ อื่ สารแตล่ ะฝา่ ยจงึ เปน็ ทงั้ ผสู้ ง่ และผรู้ บั ในขณะเดยี วกนั ผสู้ อื่ สาร
ภาษา การสื่อสาร และการประยุกตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจ�ำวัน 10-23มโี อกาสทราบปฏกิ ริ ยิ าตอบสนองระหวา่ งกนั ทำ� ใหท้ ราบผลของการสอ่ื สารวา่ บรรลจุ ดุ ประสงคห์ รอื ไม่ และมสธชว่ ยให้สามารถปรบั พฤติกรรมในการส่ือสารให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ตัวอย่างการส่อื สารแบบสองทางเชน่ การพบปะพดู คยุ กัน การพูดโทรศพั ท์ การออกค�ำสัง่ หรือมอบหมายงาน เป็นตน้ โดยฝา่ ยรับมีโอกาสแสดงความคดิ เหน็ การสอื่ สารแบบนจี้ งึ มโี อกาสประสบผลสำ� เรจ็ ไดม้ ากกวา่ แตถ่ า้ เรอ่ื งราวทจ่ี ะสอ่ื สารเปน็เรอ่ื งงา่ ย อาจทำ� ให้เสียเวลาโดยไม่จำ� เปน็มสธ มสธในสถานการณข์ องการสอื่ สารบางอยา่ ง เชน่ ในการสอื่ สารมวลชน ซงึ่ โดยปกตมิ ลี กั ษณะเปน็ การสื่อสารทางเดียว นักสื่อสารมวลชนก็มีความพยายามที่จะท�ำให้มีการสื่อสารสองทางเกิดขึ้น โดยการให้ประชาชนสง่ จดหมาย โทรศพั ท์ ตอบแบบสอบถาม กลบั ไปยงั องคก์ รสอ่ื มวลชน เพอ่ื นำ� ผลไปปรบั ปรงุ การสอื่ สารให้บรรลผุ ลสมบรู ณ์ยิ่งข้นึ เป็นตน้ 3.4 จ�ำแนกตามจ�ำนวนของผู้ร่วมส่ือสาร 3.4.1 การส่อื สารในตนเอง (Intrapersonal Communication) เปน็ ท้ังผู้ส่งและผู้รับ เช่นมสธการสำ� รวจความรสู้ กึ นึกคิดของตวั เอง เป็นตน้ 3.4.2 การสอ่ื สารระหวา่ งบคุ คล (Interpersonal Communication) เปน็ การสอื่ สารระหวา่ งสองคน เชน่ การสนทนา การสมั ภาษณ์ เป็นต้น 3.4.3 การส่ือสารแบบกลุ่มบุคคล (Group Communication) เป็นการสื่อสารท่ีมีจ�ำนวนผู้ส่งและผู้รับมากกว่าการสื่อสารระหว่างบุคคล เช่น การเรียนการสอนในห้องเรียน กลุ่มต�ำรวจช่วยกันมสธ มสธสอบสวนผู้ต้องหา เปน็ ตน้ 3.4.4 การสื่อสารมวลชน (Mass Communication) การสื่อสารเป็นกลุ่ม จ�ำนวนมากมหาศาล ตอ้ งใชส้ อื่ ทมี่ ศี กั ยภาพในการแพรก่ ระจายขา่ วสารไดอ้ ยา่ งกวา้ งไกล เชน่ วทิ ยกุ ระจายเสยี ง วทิ ยุโทรทัศน์ อนิ เทอรเ์ นต็ โปสเตอร์ เปน็ ต้นมสธกิจกรรม 10.2.1 1. จงอธิบายองค์ประกอบท่ีสำ� คญั ในการสือ่ สาร 2. วตั ถุประสงค์ของการสื่อสารทส่ี ำ� คัญ ไดแ้ กอ่ ะไรบา้ งแนวตอบกิจกรรม 10.2.1มสธ มสธ1. องค์ประกอบส�ำคัญในการส่ือสาร ได้แก่ 1) ผู้ส่งสาร คือ ผู้ที่ท�ำหน้าที่ส่งข้อมูลสารไปยังผู้รับสารโดยผ่านช่องทางที่เรียกว่าสื่อ ถ้าหากเป็นการส่ือสารทางเดียวผู้ส่งจะท�ำหน้าท่ีส่งเพียงประการเดยี ว แตถ่ า้ เปน็ การสอ่ื สารสองทาง ผสู้ ง่ สารจะเปน็ ผรู้ บั ในบางครง้ั ดว้ ย ผสู้ ง่ สารจะตอ้ งมที กั ษะในการสอ่ื สารมีเจตคติต่อตนเอง ต่อเร่ืองที่จะส่ง ต้องมีความรู้ในเนื้อหาที่จะส่งและอยู่ในระบบสังคมเดียวกับผู้รับก็จะท�ำใหก้ ารส่ือสารมีประสทิ ธภิ าพ 2) ขา่ วสารในกระบวนการติดต่อส่ือสารก็มคี วามส�ำคัญ ข่าวสารทีด่ ตี อ้ งแปลเป็นรหสั เพ่อื สะดวกในการสง่ การรบั และตคี วาม เน้ือหาสาระของสารและการจดั สารกจ็ ะต้องทำ� ให้มสธการสื่อความหมายง่ายข้นึ 3) สือ่ หรือชอ่ งทางในการรบั สาร คอื ประสาทสัมผสั ทง้ั หา้ คอื ตา หู จมกู ลน้ิ
10-24 จิตวทิ ยาเพื่อการดำ� รงชีวิตและกายสมั ผสั และตวั กลางท่มี นษุ ย์สร้างขึ้นมา เชน่ สงิ่ พมิ พ์ กราฟกิ สือ่ อิเลก็ ทรอนิกส์ และ 4) ผรู้ ับสารมสธคือผู้ท่ีเป็นเป้าหมายของผู้ส่งสาร การส่ือสารจะมีประสิทธิภาพ ผู้รับสารจะต้องมีประสิทธิภาพในการรับรู้มเี จตคตทิ ีด่ ีตอ่ ขอ้ มลู ขา่ วสาร ตอ่ ผู้สง่ สารและต่อตนเอง 2. วตั ถปุ ระสงคข์ องการสอื่ สาร ไดแ้ ก่ 1) เพอื่ แจง้ ใหท้ ราบหรอื เพอื่ ใหข้ อ้ มลู หมายถงึ การสอ่ื สารทผี่ สู้ ง่ สารจะแจง้ หรอื บอกกลา่ วขา่ วสาร ขอ้ มลู เหตกุ ารณ์ ความคดิ ความตอ้ งการของตนใหผ้ รู้ บั ไดท้ ราบมสธ มสธซึ่งอาจรวมถึงให้การศึกษาท่ีมุ่งจะให้ผู้รับมีการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมทางด้านองค์ความรู้ ความคิดสติปัญญา 2) เพื่อสรา้ งความพอใจหรือให้ความบนั เทิง หมายถึง การส่อื สารทม่ี ุ่งใหเ้ กิดผลทางจติ ใจหรอือารมณ์ ความรู้สึกแก่ผู้รับสาร ซึ่งจะเกิดข้ึนก็ต่อเมื่อผู้ส่งสารมีข้อมูลท่ีสอดคล้องกับความต้องการของผู้รับสาร และมีกลวิธีในการน�ำเสนอเป็นท่ีพอใจ และ 3) เพื่อเสนอหรือชักจูงใจ มุ่งเน้นให้ผู้รับสารมีพฤตกิ รรมคล้อยตาม หรือยอมรบั ปฏิบตั ิตามมสธเรื่องท่ี 10.2.2มสธ มสธแบบจ�ำลองของการส่ือสาร การทำ� ความเขา้ ใจการสอ่ื สารอยา่ งลกึ ซง้ึ ในบางดา้ นเปน็ พเิ ศษ อาจศกึ ษาไดจ้ ากแนวคดิ ตา่ งๆ ในเรอ่ื งรูปแบบจ�ำลองของการสื่อสาร ซงึ่ มนี กั วชิ าการไดอ้ ธบิ ายด้วยมุมมองต่างๆ ประกอบกนั ดังน้ี 1. แบบจำ� ลองของการสอ่ื สารโดยแชนนนั (Claude Elwood Shannon, 1948 อา้ งถงึ ใน SergioVerdü, 2000) แชนนนั เปน็ นกั คณติ ศาสตรแ์ ละวศิ วกรไฟฟา้ ทไี่ ดเ้ สนอทฤษฎเี ชงิ คณติ ศาสตรข์ องการสอื่ สารมสธ(Mathematical Theory of Communication) เมอื่ ปี ค.ศ. 1948 แบบจำ� ลองนถ้ี อื เปน็ มารดาแห่งแบบจำ� ลองในวงการวชิ าการสอื่ สาร ทงั้ น้ี แชนนนั และวเี วอร์ (Warren Weaver) ไดค้ ดิ รปู แบบจำ� ลองของการส่ือสารขึ้นในลักษณะของกระบวนการส่ือสารทางเดียวเชิงเส้นตรง กระบวนการนี้เริ่มด้วยผู้ส่งสารซงึ่ เปน็แหลง่ ขอ้ มลู (Source) ทำ� หนา้ ทส่ี ง่ เนอื้ ขา่ วสาร (Message) เพอ่ื สง่ ไปยงั ผรู้ บั โดยผา่ นทางเครอ่ื งสง่ หรอืตวั ถา่ ยทอด (Transmitter) เปน็ สญั ญาณ (Signal) ผา่ นชอ่ งทาง (Channel) สเู่ ครอื่ งรบั (Receiver) ไปมสธ มสธถึงจดุ หมายปลายทาง (Destination) แต่ในบางครั้ง สญั ญาณทส่ี ่งไปอาจถกู รบกวนหรืออาจมีบางส่งิ บางอยา่ งมาขดั ขวาง จนทำ� ใหส้ ญั ญาณทสี่ ง่ ไปกบั สญั ญาณทไี่ ดร้ บั มคี วามแตกตา่ งกนั เปน็ เหตใุ หเ้ นอื้ หาขา่ วสารทสี่ ง่ จากแหลง่ ขอ้ มลู ไปยงั จดุ หมายปลายทางอาจผดิ เพยี้ นไป นบั เปน็ ความลม้ เหลวของการสอื่ สารเนอ่ื งจากขอ้ มลู ทสี่ ง่ ไปกบั ขอ้ มลู ทไี่ ดร้ บั ไมต่ รงกนั อนั จะทำ� ใหเ้ กดิ การแปลความหมายผดิ หรอื ความเขา้ ใจผดิ ในการมสธสื่อสารกันได้
มสธขา วสาร ภาษา การสือ่ สาร และการประยุกตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจ�ำวัน 10-25มสธ มสธภาพท่ี 10.2 แบบจ�ำลองการส่ือสารของแชนนัน และวเี วอร์แหลง ขอมูลเครื่องสงชอ งทางเครอ่ื งรบัจดุ หมายปลายทาง จากแบบจ�ำลอง พิจารณาได้ว่า แชนนันและวีเวอร์ให้ความส�ำคัญต่อข้อมูลข่าวสารท่ีส่งไปเมื่อมีการส่ือสารเกิดขึ้น ไมว่ า่ จะเป็นการสง่ โดยผา่ นอปุ กรณร์ ะบบไฟฟา้ หรือการสง่ โดยใชส้ ญั ญาณตา่ งๆ เช่นสัญญาณ สญั ญาณที่ไดรับ ขาวสารเม่ือมีการเปิดเพลงออกอากาศทางสถานีวิทยุ เสียงเพลงน้ันจะถูกแปลงเป็นสัญญาณและส่งด้วยวิธีการ สงิ่ รบกวนมสธกล้�ำสัญญาณ (modulation) จากสถานวี ทิ ยุไปยังเครื่องรับวทิ ยุ โดยท่ีเคร่อื งรบั จะแปลงสญั ญาณคล่นื นัน้เปน็ เพลงใหผ้ รู้ บั ไดย้ นิ ในขณะทส่ี ญั ญาณถกู สง่ ไปอาจมี “สง่ิ รบกวน” หลายอยา่ งมาเปน็ อปุ สรรค เชน่ ในการส่งวิทยุ สัญญาณจะถูกรบกวนโดยไฟฟ้าในบรรยากาศ หรือในขณะที่ครูฉายภาพยนตร์ในห้องเรียนการรับภาพและเสียงของผู้เรยี นจะถกู รบกวนโดยสิ่งรบกวนหลายอย่าง เชน่ แสงทตี่ กลงบนจอภาพ เสียงพัดลมเป่าในเครื่องฉายภาพยนตร์ และเสียงพูดคุยจากภายนอก เป็นต้น จึงสรุปได้ว่า “สิ่งรบกวน” คือมสธ มสธส่ิงที่ท�ำให้สัญญาณเสียไปภายหลังท่ีถูกส่งจากผู้ส่งและก่อนที่จะถึงผู้รับท�ำให้สัญญาณท่ีส่งไปกับสัญญาณท่ีได้รับมีลักษณะแตกต่างกัน และอาจกล่าวได้ว่าเป็นอุปสรรคของการส่ือสาร เน่ืองจากท�ำให้การสื่อสารไม่ไดผ้ ลเต็มที่ 2. แบบจ�ำลองของการสื่อสารโดยลาสเวลล์ (Harold Lasswell’ 1948 อ้างถึงใน Greenberg,B.S.; Salwen, M.B. 2008) ลาสเวลล์เป็นศาสตราจารย์ด้านกฎหมายในมหาวิทยาลัยเยลล์ ที่ให้ความสนใจต่อวิทยาศาสตร์มสธการเมอื งโดยมงุ่ อธบิ ายกระบวนการสอื่ สาร ความสมั พนั ธข์ ององคป์ ระกอบการสอ่ื สาร จากคำ� ถามทว่ี า่ ใครกล่าวอะไร ผ่านช่องทางใด กับใคร และเกิดผลประการใด เป็นกระบวนการส่ือสารระหว่างบุคคลซ่ึงต้องกระทำ� ตอ่ หนา้ และมกี ารคาดหวงั ผลจากการสอื่ สารในเวลาเดยี วกนั แบบจำ� ลองนเ้ี ปน็ สว่ นหนง่ึ ของทฤษฎีการสอ่ื สารเชงิ ระบบพฤตกิ รรม และทฤษฎกี ารสอ่ื สารเชงิ พฤตกิ รรมการเขา้ และถอดรหสั ซง่ึ เปน็ แบบจำ� ลองอธบิ ายการสื่อสารทจี่ ำ� เปน็ ตอ้ งมีองคป์ ระกอบพืน้ ฐานการสือ่ สารครบถ้วน คอื มีผู้สง่ สาร ผรู้ ับสาร ตวั สารมสธ มสธและช่องทางการสื่อสาร เป็นการส่ือสารระหว่างบุคคลตัวต่อตัว และผู้ส่งสารจะเป็นผู้ก�ำหนดสารและเจตนารมณ์ด้วยตนเอง แบบจ�ำลองที่ลาสเวลล์กล่าวไว้ มีประโยชน์อย่างมากต่อการน�ำไปใช้อธิบายโครงสร้าง และแบ่งประเภทของงานวิจัยทางการสื่อสาร โดยการจ�ำแนกและวิเคราะห์องค์ประกอบการส่ือสาร 5 เรื่อง คือ 1) การวิเคราะห์แหล่งสาร (Control Analysis) 2) การวิเคราะห์เนื้อหาของสาร(Content Analysis) 3) การวิเคราะห์ส่ือที่ใช้เป็นช่องทางในการส่งสาร (Media Analysis) 4) การมสธวิเคราะห์ผ้รู บั สาร (Audience Analysis) และ 5) การวิเคราะหผ์ ลของการส่ือสาร (Effect Analysis)
10-26 จติ วทิ ยาเพื่อการดำ� รงชวี ติ 3. แบบจ�ำลองของการสื่อสารโดยชแรมม์ (Wilber Schramm, 1954 อ้างถึงใน Mcquail,มสธWindahl, 1993) ชแรมม์ได้ให้ความหมายของการสื่อสารไว้ว่า การสื่อสาร คือ การมีความเข้าใจร่วมกันต่อเคร่ืองหมายที่แสดงข่าวสาร และให้ความส�ำคัญกับประสิทธิภาพการส่ือความหมายว่าข้ึนอยู่กับประสบการณ์ร่วมกันของผู้ส่งสาร และผู้รับสาร ซึ่งชแรมม์ ได้เสนอแบบจ�ำลองการสื่อสารไว้ 3 ส่วนที่มีความสมั พันธ์เก่ียวเนือ่ งกนั ดงั แสดงในภาพท่ี 10.2 และมีรายละเอยี ดของทงั้ สามส่วน ดงั นี้มสธ มสธส่วนท่ี 1 การสอ่ื สารเป็นกระบวนการเสน้ ตรง ประกอบดว้ ย แหล่งขา่ วสาร (Source) การเขา้ รหสั (Encoder) สญั ญาณ (Signal) การถอดรหสั (Decoder) และจดุ หมายปลายทาง (Destination) ส่วนท่ี 2 เปน็ กระบวนการสอ่ื สารทผ่ี สู้ ง่ และผรู้ บั สารมปี ระสบการณบ์ างอยา่ งรว่ มกนั ทำ� การสอ่ื สารอยภู่ ายใตข้ อบเขตประสบการณ์ (Field of experience) ของแตล่ ะฝา่ ย ความสำ� เรจ็ ของการสอื่ สารจงึ ขึน้ อยู่กบั ประสบการณ์รว่ มของผ้สู ่อื สาร และอาจมสี ง่ิ รบกวนเป็นอปุ สรรค สว่ นที่ 3 เปน็ การปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งผสู้ อื่ สาร ซง่ึ ทงั้ สองฝา่ ยตอ้ งทำ� งานเหมอื นกนั ในระหวา่ งมสธท่ีท�ำการสือ่ สาร คือ การเขา้ รหัสสาร แปลความ และถอดรหสั ใหเ้ ปน็ สัญลักษณ์ ส่งไปยงั ผู้รับสาร ซึ่งเมื่อรับเน้ือหาเป็นผลป้อนกลับ (Feedback) ข่าวสารไว้ ก่อนท่ีจะท�ำการส่งสารออกไป ก็ต้องน�ำสารท่ีจะส่งออกมาเขา้ รหัส แปลความ และถอดรหสั เช่นกนั แล้วส่งกลบั ไปยงั ผูร้ บั หรอื ผู้ส่งในครงั้ แรก มสธ มสธประสบการณร วมแหลง ขา วสาร การเขารหัส สัญญาณ การถอดรหัส จุดหมายปลายทาง ขอบเขตประสบการณ มสธขอบเขตประสบการณ ส่ิงรบกวน ภาพที่ 10.3 รปู แบบจ�ำลองการสอื่ สารของชแรมม์ผลปอนกลับมสธ มสธนอกจากนี้ ชแรมม์ยังได้พัฒนารูปแบบจ�ำลองเชิงวงกลมเพื่อท�ำความเข้าใจการสื่อสารสองทาง(Two-way Communication) ร่วมกับออสกดู (C.E. Osgood) ทม่ี ีความสมั พนั ธข์ องผสู้ ง่ และผ้รู ับสารในการสบั เปลย่ี นบทบาททมี่ กี ลไกการแปลความหมายของทงั้ สองฝา่ ยเกยี่ วเนอื่ งกนั ตลอดเวลา ดงั รปู แบบมสธจ�ำลองในภาพท่ี 10.3
มสธผูส งสารภาษา การส่ือสาร และการประยุกต์ใชใ้ นชีวติ ประจำ� วัน 10-27 การแปลความหมายสาร ผูรับสารมสธ มสธผูรบั สาร การแปลความหมาย ผูสงสาร สาร มสธ4. แบบจ�ำลองของการสื่อสาร SMCR ของเบอร์โล (David K. Berlo, 1960 อ้างถึงในMiller, Katherine, 2005) เบอรโ์ ลให้ความสำ� คัญในปัจจยั ต่างๆ ที่มผี ลต่อประสทิ ธิภาพของการส่ือสารโดยศึกษาและขยายความเข้าใจในแบบจ�ำลองของแชนนันท์และวีเวอร์ในประเด็นของทักษะในการส่ือสารทัศนคติ ระดับความรู้ ระบบสังคมและวัฒนธรรม ซ่ึงผู้รบั และผสู้ ่งต้องมีตรงกนั เสมอ ภาพที่ 10.4 รูปแบบจ�ำลองเชิงวงกลมของออสกูดและชแรมม์มสธ มสธS:Sourceแหลง ขอ มูลM: Message ขอ มูล ทกั ษะการสอื่ สาร C: Channel ชองทาง R: Receiver ผรู บัมสธความรู การมองเหน็ ทกั ษะการสือ่ สารเจตคติ การไดย นิ เจตคติ การสมั ผัส ความรูมสธ มสธภาพที่10.5แบบจ�ำลองSMCRของเบอร์โลระบบสังคมจากแนวคิดของเบอรโ์ ล ได้ระบถุ งึ องคป์ ระกอบตา่ งๆ ของการสื่อสารที่มปี ระสทิ ธภิ าพไวด้ งั น้ีการไดกลิน่ระบบสงั คม ผู้ส่งสารและผู้รับสาร (Sender and Receiver) ในตัวผู้ส่งสารและผู้รับสารเองมีองค์ประกอบท่ีวัฒนธรรมสามารถชว่ ยใหก้ ารสอ่ื สารประสบความสำ� เรจ็ ได้ ไดแ้ ก่ ทกั ษะในการสอื่ สาร (Communication skill) ซง่ึการรับรสวัฒนธรรมมสธประกอบด้วยการพูด การฟัง การอ่าน การเขียนและยังรวมถึงการแสดงออกทางท่าทางและกิริยาต่างๆ
10-28 จิตวิทยาเพ่ือการด�ำรงชีวติเชน่ การใชส้ ายตา การยม้ิ ทา่ ทางประกอบ และสญั ลกั ษณต์ า่ งๆ การฝกึ ฝนทกั ษะการสอื่ สารและรจู้ กั เลอื กมสธใชท้ กั ษะ จะช่วยสง่ ผลให้ประสบความสำ� เรจ็ ในการส่อื สารไดท้ างหน่งึ ถดั มากค็ อื เจตคติ (Attitude) การมีเจตคติที่ดีต่อการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นต่อตนเอง ต่อเรื่องท่ีท�ำการส่ือสาร หรือแม้กระท่ังต่อช่องทางและตวั ผรู้ ับสาร และในทางกลบั กัน เจตคตขิ องผูร้ ับสารท่ีมีต่อองค์ประกอบตา่ งๆ ก็สามารถทำ� ใหก้ ารสอ่ื สารมีประสิทธิภาพได้ ในทางตรงกันข้าม หากว่ามีเจตคติท่ีไม่ดีแล้วก็ย่อมท�ำให้เกิดความล้มเหลวได้เช่นกันมสธ มสธนอกจากนคี้ วามรู้ (Knowledge) ของตวั ผสู้ ง่ สารและผรู้ บั สารเองกม็ ผี ลตอ่ การสอื่ สาร เพราะหากผรู้ บั สารขาดความรกู้ ็ไม่สามารถทำ� ความเขา้ ใจตัวสารได้ อีกทัง้ ยังต้องมีความรู้ในกระบวนการส่อื สารซ่งึ จะช่วยให้สามารถวางแผนทำ� การสื่อสารใหส้ �ำเร็จไดเ้ ชน่ กัน ในด้านสดุ ทา้ ยก็คือ ระบบสังคมและวฒั นธรรม (Socialsystem and culture) เชน่ ตำ� แหนง่ หรอื หนา้ ทก่ี ารงาน จะมามสี ว่ นกำ� หนดเนอื้ หาและวธิ กี ารในการสอื่ สารดา้ นวฒั นธรรมความเชอ่ื คา่ นยิ ม วถิ ที างในการดำ� เนนิ ชวี ติ กจ็ ะมสี ว่ นในการกำ� หนดเจตคติ ระบบความคดิภาษา การแสดงออกในการส่ือสารด้วยเช่นกัน ดังที่สังคมและวัฒนธรรมของเอเชียและยุโรปจะมีรูปแบบมสธการสื่อสารทีต่ า่ งกัน หรอื ในสงั คมเมืองกบั สังคมชนบทก็มีความแตกต่างกันดว้ ยกิจกรรม 10.2.2 1. จงอธิบายความหมายและความส�ำคัญของ “ส่ิงรบกวน” ในรูปแบบจ�ำลองการสื่อสารของมสธ มสธแชนนันและวเีวอร์ 2. แบบจำ� ลองการส่อื สารของลาสเวลล์ มปี ระโยชนใ์ นงานวชิ าการดา้ นการสือ่ สารอยา่ งไรบา้ ง 3. ชแรมม์ ให้ความส�ำคญั ตอ่ องคป์ ระกอบใดในแบบจำ� ลองการส่ือสาร จงอธิบาย 4. แนวคิดของเบอร์โล ได้ระบุถึงองค์ประกอบต่างๆ ของการส่ือสารท่ีมีประสิทธิภาพไว้อย่างไรบ้างมสธแนวตอบกิจกรรม 10.2.2 1. แชนนนั และวเี วอรใ์ หค้ วามสำ� คญั ตอ่ ขอ้ มลู ขา่ วสารทสี่ ง่ ไปในกระบวนการสอื่ สารทมี่ โี อกาสมสี ง่ิตา่ งๆ มากมายมาเปน็ อปุ สรรคในการสง่ หรอื รบกวนสญั ญาณนนั้ ใหเ้ สยี ไป จงึ เรยี กสงิ่ เหลา่ นว้ี า่ “สง่ิ รบกวน”เชน่ ในการสง่ วทิ ยุ สญั ญาณจะถกู รบกวนโดยไฟฟา้ ในบรรยากาศ เปน็ ตน้ หรอื ในขณะทคี่ รฉู ายภาพยนตร์ในหอ้ งเรยี น การรบั ภาพและเสยี งของผเู้ รยี นจะถกู รบกวนโดยสงิ่ รบกวน เชน่ แสงทตี่ กลงบนจอภาพ เสยี งมสธ มสธพดั ลมเป่าในเคร่อื งฉายภาพยนตร์ และเสยี งพดู คยุ จากภายนอก เปน็ ตน้ จึงสรปุ ไดว้ ่า “ส่ิงรบกวน” คือส่ิงท่ีท�ำให้สัญญาณเสียไปภายหลังที่ถูกส่งจากผู้ส่งและก่อนที่จะถึงผู้รับ และอาจกล่าวได้ว่าเป็นอุปสรรคส�ำคัญของการสอื่ สาร เพราะทำ� ให้การสอ่ื สารไม่ได้ผลเตม็ ที่ 2. แบบจ�ำลองการสื่อสารของลาสเวลล์ มีประโยชน์อย่างมากต่อการน�ำไปใช้อธิบายโครงสร้างและแบง่ ประเภทของงานวจิ ยั ทางการสอื่ สาร โดยการจำ� แนกและวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบการสอื่ สาร 5 เรอื่ งคอื 1) การวเิ คราะหแ์ หลง่ สาร 2) การวิเคราะหเ์ นื้อหาของสาร 3) การวเิ คราะหส์ ่ือทใี่ ชเ้ ปน็ ช่องทางในการมสธสง่ สาร 4) การวเิ คราะหผ์ รู้ ับสาร และ 5) การวเิ คราะห์ผลของการสือ่ สาร
ภาษา การสอ่ื สาร และการประยุกต์ใชใ้ นชวี ติ ประจำ� วัน 10-29 3. ชแรมม์ ให้ความส�ำคัญกับประสิทธิภาพการส่ือความหมายว่าขึ้นอยู่กับประสบการณ์ร่วมกันมสธของผสู้ ง่ สาร และผรู้ ับสาร 4. แนวคิดของเบอร์โล ได้ระบุถึงองค์ประกอบต่างๆ ของการสื่อสารท่ีมีประสิทธิภาพ อันได้แก่ทกั ษะในการสื่อสารซง่ึ ประกอบด้วยการพดู การฟัง การอ่าน การเขยี น และยงั รวมถงึ การแสดงออกทางท่าทางและกิริยาตา่ งๆ การมีเจตคตทิ ี่ดตี อ่ การสือ่ สาร ไมว่ ่าจะเปน็ ต่อตนเอง ตอ่ เรอื่ งท่ีท�ำการสื่อสาร หรือมสธ มสธแม้กระทั่งต่อช่องทางและตัวผู้รับสาร ในทางกลับกัน เจตคติของผู้รับสารที่มีต่อองค์ประกอบต่างๆ ก็สามารถท�ำให้การส่ือสารมีประสิทธิภาพได้ ความรู้ของตัวผู้ส่งสารและผู้รับสารเองก็มีผลต่อการสื่อสารเพราะหากผรู้ บั สารขาดความรกู้ ็ไมส่ ามารถท�ำความเขา้ ใจตัวสารได้ อกี ทง้ั ยงั ตอ้ งมคี วามรใู้ นกระบวนการสื่อสารซ่ึงจะช่วยให้สามารถวางแผนท�ำการส่ือสารให้ส�ำเร็จได้เช่นกัน และสถานภาพทางสังคมและวฒั นธรรม เชน่ ตำ� แหนง่ หรอื หนา้ ทกี่ ารงาน จะมสี ว่ นกำ� หนดเนอื้ หาและวธิ กี ารในการสอ่ื สาร ดา้ นวฒั นธรรมความเช่อื ค่านิยม วิถที างในการด�ำเนนิ ชวี ติ กจ็ ะมีส่วนในการกำ� หนดทัศนคติ ระบบความคดิ ภาษา การมสธแสดงออกในการสอ่ื สารด้วยมสธ มสธเร่ืองที่10.2.3วิธีการส่ือสารที่มีประสิทธิภาพ เมอ่ื มนษุ ยอ์ ยรู่ ว่ มกนั เปน็ สงั คม มกี ารตดิ ตอ่ สอ่ื สาร จะตอ้ งมที ง้ั กลไกการรบั สารและการสง่ สารอยู่เปน็ ประจำ� ทง้ั การรบั และสง่ สารทด่ี ี จะทำ� ใหก้ ารดำ� รงชวี ติ ประสบความสำ� เรจ็ และมคี วามสมั พนั ธก์ บั บคุ คลมสธต่างๆได้ดี การพัฒนาทักษะในการสื่อสารเหล่านี้ จึงเป็นเรื่องท่ีส�ำคัญมาก ในที่นี้ จะกล่าวถึงทักษะการสอ่ื สารพน้ื ฐานทมี่ โี อกาสใชบ้ อ่ ยๆ ทงั้ ในสว่ นของการรบั สาร ซงึ่ ไดแ้ ก่ การเปน็ ผฟู้ งั ผดู้ หู รอื ผอู้ า่ น และการส่งสาร ได้แก่ การเป็นผู้พูดหรือผู้เขียน รวมถึงรูปแบบการส่ือสารที่หลากหลายมากขึ้น เช่น การสื่อสารทางโทรศพั ท์ การสอ่ื สารในระบบอิเลก็ ทรอนิกส์หรอื ดิจทิ อลมสธ มสธ1. การฟังและการดู ในยุคข้อมูลข่าวสารปัจจุบันมีเร่ืองราวข้อมูลข่าวสารมากมาย ผู้รับสารจ�ำเป็นต้องเลือกสรรและมีวิจารณญาณในการฟังและดูสารที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ มิฉะนั้น อาจเกิดการสูญเสียเวลาไปโดยเปลา่ ประโยชนห์ รอื เกดิ ปญั หาอนื่ ๆ ตามมาได้ โดยควรมที กั ษะการฟงั หรอื ดทู ที่ ำ� ใหส้ ามารถบรรลจุ ดุ มงุ่ หมายของการฟงั และการดูได้ ทั้งเพือ่ รบั สาระความรู้ เพิ่มพูนสตปิ ญั ญาและความคิดสร้างสรรค์ หรือการฟังและมสธดเู พื่อความบนั เทิงผ่อนคลาย
10-30 จิตวทิ ยาเพ่ือการด�ำรงชวี ิต2. การพัฒนาทักษะการฟังและการดู มสธการพัฒนาทักษะการฟังและการดูเหล่านีจ้ ะชว่ ยใหก้ ารฟงั และการดูเปน็ ไปอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ 2.1 ทำ� ความเขา้ ใจ มีการวเิ คราะห์ แยกแยะหรือเลือกแหล่งขอ้ มูลการฟงั หรือดูได้ 2.2 มีความตั้งใจฟังและดู จับประเด็นและใจความส�ำคัญได้โดยเฉพาะเมื่อเป็นการฟังหรือดูเพ่ือรบั สาระความรู้ เพม่ิ พนู สตปิ ญั ญา โดยอาจเรม่ิ จากการฝกึ ตงั้ คำ� ถามในใจและมกี ารจดบนั ทกึ ทงั้ คำ� ถามหรอืมสธ มสธสิ่งที่รับรู้จากการฟงั หรอื การดนู ั้น 2.3 การวเิ คราะหข์ อ้ เทจ็ จรงิ และขอ้ คดิ เหน็ นอกจากจะฟงั เขา้ ใจและสามารถสรปุ ไดแ้ ลว้ ผรู้ บั สารต้องใช้ความคิดอย่างมีวิจารณญาณว่าข้อมูลเรื่องราวที่ฟังส่วนใดส่ิงใดเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดข้ึน สิ่งใดเป็นความคิดเห็นส่วนตัว ซ่งึ เราจะสามารถกลน่ั กรองความคิด ความเชื่อถือ ไม่ให้หลงคลอ้ ยตามหรอื เชอื่ ผู้อ่นืไดง้ ่ายๆ โดยเฉพาะเม่อื เปน็ การฟงั ข้อคดิ เห็นจากการโฆษณาซึ่งโน้มน้าวใจท่ีอาจมเี นื้อหาเกนิ จริง 2.4 เสรมิ สรา้ งนสิ ยั และมารยาททดี่ ใี นการฟงั และดู โดยมารยาทพนื้ ฐานทสี่ ำ� คญั ไดแ้ ก่ การแตง่ กายมสธและแสดงท่าทีสุภาพ เหมาะสมแก่โอกาส แสดงการให้เกียรติสถานท่ีและบุคคลอย่างเหมาะสม ให้ความสนใจและตงั้ ใจในขณะท่ีฟงั และดู โดยเฉพาะในโอกาสและสถานทที่ ่เี ป็นทางการหรอื กจิ กรรมพิธกี าร3. การอ่าน ปจั จบุ นั เปน็ ยคุ ของขอ้ มลู ขา่ วสาร ซง่ึ ตอ้ งใชท้ กั ษะการอา่ นเพอ่ื รบั สารใหม้ ากขนึ้ ทงั้ การอา่ นสงิ่ พมิ พ์มสธ มสธท่ีเป็นรูปเล่มเอกสารสิ่งพิมพ์หรือการอ่านในส่ืออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ โดยการอ่านถือเป็นช่องทางการรับรู้ข้อมูลข่าวสารและการเรียนรู้ท่ีส�ำคัญมากอีกทางหนึ่ง เด็กที่มีนิสัยรักการอ่านจะมีโอกาสพัฒนาทางสติปัญญาและสังคมได้สูง เช่นเดียวกับชาติท่ีเจริญแล้ว ก็จะมีประชากรที่รักการอ่านเป็นจ�ำนวนมากกว่าประเทศทดี่ อ้ ยพัฒนากว่า การพัฒนาทักษะการอ่าน มีแนวทาง ดงั น้ี 1) สำ� รวจและเลอื กอา่ น โดยทำ� ความเข้าใจ มกี ารวิเคราะห์ แยกแยะหรือเลอื กแหลง่ ข้อมูลมสธการอ่านได้เหมาะสม ท�ำความเข้าใจความหมายต่างๆ ทอ่ี ่าน 2) รู้จักใช้ประโยชนจ์ ากส่วนประกอบตา่ งๆ ของหนงั สอื ตงั้ แตป่ กหนา้ จนถงึ ปกหลงั 3) แสวงหาการเรียนรู้เพ่มิ เติมจากพจนานุกรมและปทานานกุ รม 4) น�ำความรู้จากการอ่านไปใช้ประโยชนใ์ นชวี ติ ประจำ� วนั 5) ในการอ่านในท่ีสาธารณะ เช่น ห้องสมุด จะต้องแสดงกิริยา มารยาทในการอ่านได้มสธ มสธเหมาะสม ปฏบิ ตั ติ ามกฎเกณฑแ์ ละระเบียบของสถานท่ี 6) การอา่ นหนงั สอื หรอื เอกสารทเ่ี ปน็ สมบตั ขิ องสว่ นรวม จะตอ้ งไมข่ ดี เขยี น พบั หนา้ กระดาษหรือตดั ฉีกเอกสาร4. การพูด การจะเป็นผู้พูดท่ีดีต้องมีการศึกษาและฝึกฝนวิธีการพูดที่ถูกต้อง เพราะการพูดเป็นท้ังศาสตร์มสธ(science) อนั หมายถงึ เปน็ วชิ าความรู้ และความเชอ่ื ทกี่ ำ� หนดไวอ้ ยา่ งมรี ะบบระเบยี บ และสามารถพสิ จู น์
ภาษา การสอื่ สาร และการประยกุ ตใ์ ช้ในชีวิตประจ�ำวัน 10-31หรือสามารถหาข้อเท็จจริงได้ และศิลป์ (art) เพราะต้องอาศัยการฝึกฝน โดยใช้เทคนิควิธีการท่ีจ�ำเป็นมสธต้องมกี ารปรบั เปล่ียนวธิ ีหรือพลิกแพลงในดา้ นตา่ งๆ ใหเ้ หมาะแก่ผูพ้ ูดแต่ละคน เพ่ือให้การพดู ของเขาในแตล่ ะครง้ั นนั้ เปน็ การพดู ทด่ี ี มคี วามสอดคลอ้ งเหมาะสม ทำ� ใหผ้ ฟู้ งั เกดิ ความเขา้ ใจ สนกุ สนานเพลดิ เพลนิคล้อยตาม หรือประทับใจได้ การพฒั นาจากภาวะ “พดู เปน็ ” ใหม้ ีโอกาสฝกึ ฝนจนกลายเป็นผทู้ ี่ “พดู ด”ี จะมีส่วนเอือ้ ต่อการมสธ มสธพัฒนาบุคลิกภาพและสร้างความส�ำเร็จในด้านต่างๆ ของชีวิตได้ หากทุกคนพูดดี สังคมก็จะเกิดความสันติสุข ในทางตรงข้าม หากสมาชิกในสังคมส่วนใหญ่ขาดทักษะการพูดที่ดี สังคมก็จะเกิดความขัดแย้งหรอื ปัญหารูปแบบต่างๆ ได้ การพัฒนาทักษะการพูด หมายรวมถงึ การฝึกออกเสยี ง การฝกึ บุคลิกภาพในขณะทพ่ี ดู และการฝึกรูปแบบการพูดในสถานการณ์ต่างๆ ทั้งในการพูดเพ่ือแจ้งให้ทราบ การพูดเพื่อโน้มน้าวใจ พูดเพื่อจรรโลงใจหรือให้ข้อคิดเตือนใจ หรือการพูดไต่ถามเพื่อค้นหาค�ำตอบ การพัฒนาทักษะการพูดที่ดี มีมสธหลักการ ดังน้ี 1) ค�ำนงึ ถึงภมู ิหลังของผู้ฟัง เลือกใช้วธิ กี ารพูดและภาษาทเ่ี หมาะสม 2) สังเกตอารมณ์ ความสนใจและความรู้สกึ ของผูฟ้ ัง 3) พดู จาชดั เจน สือ่ ด้วยความจรงิ ใจ เปิดเผย ไม่วกวน รกั ษาเวลาและใหเ้ กยี รตคิ วามเห็นของผ้ฟู ังมสธ มสธ4) ใชว้ จั นภาษา คอื ภาษาพดู ทเ่ี ปลง่ ออกมาเปน็ เนอื้ หาและอวจั นภาษา คอื ภาษากาย กริ ยิ าทา่ ทาง สหี นา้ ดวงตา น�ำ้ เสียง การแต่งกายทเ่ี หมาะสม 5) ฝกึ การชื่นชมผู้อนื่ 6) พูดสภุ าพ ให้เกยี รตผิ ู้ฟงั และพูดสงิ่ ท่ีมีประโยชน์5. การเขียน มสธการเขียนเป็นการถ่ายทอดเร่ืองราวเป็นลายลักษณ์อักษร เคร่ืองหมาย หรือรหัสต่างๆ จากการเขยี นจะชว่ ยท�ำให้สามารถสอื่ สารเรื่องราวไดช้ ัดเจนย่ิงขน้ึ ทัง้ ในการเขียนจดหมาย การเขียนเล่าเร่อื งเพอื่แสดงความคดิ เหน็ การเขยี นยอ่ ความหรอื สรปุ ประเดน็ การเขยี นรายงานหรอื โครงงานตา่ งๆ ในการทำ� งานนอกจากน้ี การเขยี นยงั เป็นวิธสี �ำคัญในกรณที ีต่ อ้ งการหลักฐานของการสือ่ สารอีกด้วยมสธ มสธการพัฒนาทักษะการเขียน ประกอบไปดว้ ยการพัฒนาทกั ษะต่างๆ ดังน้ี 1) มกี ารคน้ คว้าและวางแผนในการเขยี น 2) มคี วามรูใ้ นหลกั ไวยากรณ์ ภาษา และลีลาการเขยี นท่ีถกู ตอ้ ง 3) ร้วู ่าผรู้ ับสารเป็นใคร มคี วามเข้าใจกล่มุ เปา้ หมาย 4) เข้าใจวตั ถุประสงค์ในการเขยี นชัดเจน 5) เลอื กใช้ภาษาใหเ้ หมาะสม มสธ6) มีการทบทวน ขัดเกลา ส�ำนวนภาษาให้ถูกตอ้ ง ชัดเจน
10-32 จิตวิทยาเพื่อการด�ำรงชีวิต 7) มีมารยาทในการเขียน ใช้ภาษาถ้อยค�ำสุภาพที่เหมาะแก่ผู้อ่าน มีการอ้างอิงให้เกียรติมสธเจ้าของข้อมูลในกรณมี กี ารอา้ งองิ ข้อมูลจากแหลง่ อ่นื6. การสื่อสารทางโทรศัพท์ การสอ่ื สารทางโทรศพั ทเ์ ปน็ การสอื่ สารทมี่ คี วามสำ� คญั มากขน้ึ โดยเฉพาะเมอื่ มกี ารพฒั นาโทรศพั ท์มสธ มสธเคล่อื นทีท่ อ่ี �ำนวยความสะดวกต่างๆ เพ่ิมข้นึ เรือ่ ยๆ ทักษะพนื้ ฐานท่สี ำ� คัญในการใช้โทรศัพทค์ วรให้ความส�ำคัญเปน็ พเิ ศษในกรณีของการใชโ้ ทรศพั ทข์ องสำ� นกั งานหรอื ที่เป็นสว่ นรวม โดยทกั ษะเหลา่ น้ี ไดแ้ ก่ 6.1 ในกรณีของการรับโทรศัพทส์ ำ� นักงาน ควรรับโทรศพั ทท์ นั ที เพอื่ สรา้ งความประทบั ใจทดี่ ตี อ่กนั 6.2 ปดิ ส่งิ รบกวนในขณะสอื่ สารดว้ ยโทรศพั ท์ 6.3 ไมใ่ ช้โทรศพั ท์นานและอยา่ ใหเ้ กิดการรอสายนาน มสธ6.4 การฝากขอ้ ความตอ้ งชดั เจน โดยใชค้ ำ� พดู ทสี่ นั้ เขา้ ใจงา่ ย ระบวุ นั เวลาทฝี่ ากขอ้ ความใหช้ ดั เจน 6.5 มีการกล่าวขอบคุณผูร้ บั ข้อความ ไม่วางสายกะทันหัน7. การสื่อสารในระบบอิเล็กทรอนิกส์และดิจิทอลมสธ มสธในทน่ี ้ี จะยกตวั อย่างทกั ษะการสอ่ื สารบางรปู แบบ ดงั นี้ 7.1 การส่ือสารผ่านจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-Mail) หรือ Electronic mail เป็นเคร่ืองมือส่ือสารในยุคสมัยของโลกไร้พรมแดนอย่างเช่นในปัจจุบัน ซึ่งรูปแบบ การเขียน ประกอบด้วย บทน�ำ (Introduction) ส่วนเน้อื หาจดหมาย (Body) และสว่ นสรปุ (Conclusion) ในรายละเอียดและประโยชน์ของอเี มล มไี วเ้ พอ่ื ใชแ้ ลกเปลยี่ นขอ้ มลู ขา่ วสาร ความคดิ เหน็ กบั คคู่ า้ ทางธรุ กจิ หนุ้ สว่ น หรอื เพอ่ื นรว่ มงานภายในองค์กรหรือระหว่างองค์กร ท่ีปฏิบัติงานในลักษณะเดียวกัน ส่วนส�ำคัญของการจัดส่งข้อมูลผ่านมสธระบบอเี มล คอื การตรงประเด็น พยายามใชป้ ระโยคให้สัน้ และขอ้ ความต้องย่อท่ีสุดและเขา้ ใจง่าย หัวข้อในชอ่ งหวั เรอื่ ง จะตอ้ งระบไุ วอ้ ยา่ งชดั เจน เรยี กชอื่ ผรู้ บั เปน็ ชอ่ื เตม็ อา่ นทบทวนอกี ครงั้ กอ่ นสง่ อเี มล เปน็ ตน้ 7.2 การสื่อสารโดยการส่งข้อความ (Instant Messaging, texting) การสื่อสารทางเครือข่ายสงั คมออนไลน์ (social network) เปน็ ระบบการสอ่ื สารทพ่ี ฒั นาขน้ึ อยา่ งรวดเรว็ จนมแี นวโนม้ เขา้ มาแทนที่การสอื่ สารพน้ื ฐานเดมิ ๆ ไดม้ าก เพราะมคี วามสะดวก ประหยดั รวดเรว็ ผรู้ บั -ผสู้ ง่ สามารถพมิ พข์ อ้ ความมสธ มสธโตต้ อบกันไปมาได้ ขยายวงไดก้ ว้างขวาง แตก่ ็มีขอ้ แนะนำ� และขอ้ พงึ ระวังว่า การใชก้ ารส่อื สารนี้ ควรใช้อย่างระมัดระวัง อย่าใช้เพื่อส่งข้อมูลที่เป็นความลับ เพราะสามารถถูกบันทึกเก็บไว้และผู้อื่นเข้ามาค้นหาหรอื ขยายวงการรบั ร้สู สู่ าธารณะไดง้ า่ ย และสามารถทำ� ให้ผ้ใู ช้ทีข่ าดทกั ษะทางสงั คมเกดิ ปญั หาอนื่ ๆ ตามมาไดม้ าก 7.3 การส่ือสารแบบประชุมทางโทรศัพท์และการประชุมทางไกลผ่านวิดีโอ การประชุมทางโทรศัพท์หรือการประชุมผ่านทาวิดีโอ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการส่ือสารและการท�ำงานได้เป็นมสธอย่างดี ในปจั จบุ ันมคี วามแพรห่ ลายมากข้ึนดว้ ยความทันสมัยของเทคโนโลยที เี่ อื้อ เพราะสามารถอ�ำนวย
ภาษา การสื่อสาร และการประยกุ ตใ์ ช้ในชีวติ ประจ�ำวนั 10-33ความสะดวกได้มาก สามารถสื่อสารเป็นกลุ่มได้ดี หรือใช้จัดการประชุมได้ อีกทั้งยังสามารถบันทึกภาพมสธและเสยี งจากการประชมุ ไดด้ ว้ ย ทำ� ใหบ้ รหิ ารเวลาและคา่ ใชจ้ า่ ยไดอ้ ยา่ งเหมาะสม โดยขอ้ พงึ ระวงั ในการสอ่ื สารแบบนี้ จะมคี วามคลา้ ยคลงึ กบั ในการสอ่ื สารรปู แบบอน่ื ๆ ดงั กลา่ วขา้ งตน้ แตม่ ขี อ้ พจิ ารณาเพม่ิ เตมิ ในกรณีเป็นการเขา้ ร่วมประชุม ผู้รว่ มประชุมทกุ คนจะตอ้ งรักษาเวลา มกี ารกำ� หนดเวลาใหม้ โี อกาสไดซ้ กั ถาม จัดใหม้ ีการประชุมอีกคร้งั หากไมส่ ามารถด�ำเนินการประชุมไดค้ รบตามวาระการประชมุ ท้ังหมดดว้ ยมสธ มสธกิจกรรม10.2.3 1. การพฒั นาทักษะการอ่าน มีแนวทางอย่างไรบา้ ง 2. จงอธิบายการพัฒนาทกั ษะในการรับสารท่ีส�ำคญั เชน่ การฟงั และการดู 3. การสอ่ื สารทางเครอื ขา่ ยสงั คมออนไลน์ (social network) มคี วามสำ� คญั อยา่ งไร และมขี อ้ พงึมสธระมดั ระวังในการใช้การสอื่ สารรปู แบบนอี้ ยา่ งไรบ้างแนวตอบกิจกรรม 10.2.3 1. การพัฒนาทักษะการอ่าน มีแนวทางส�ำคัญ คือ รู้จักส�ำรวจและเลือกอ่าน โดยทำ� ความเข้าใจมกี ารวเิ คราะห์ แยกแยะหรอื เลอื กแหลง่ ขอ้ มลู การอา่ นไดเ้ หมาะสม ทำ� ความเขา้ ใจความหมายตา่ งๆ ทอี่ า่ นมสธ มสธรจู้ กั ใช้ประโยชนจ์ ากสว่ นประกอบต่างๆ ของหนังสือ ตั้งแตป่ กหน้าจนถึงปกหลงั แสวงหาการเรียนร้เู พมิ่เติมจากพจนานุกรมและปทานานุกรม สามารถน�ำความรู้จากการอ่านไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ�ำวันในการอ่านในที่สาธารณะ เช่น ห้องสมุด จะต้องแสดงกิริยามารยาทในการอ่านได้เหมาะสม ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และระเบยี บของสถานท่ี ไม่ขีดเขยี น พบั หนา้ กระดาษ หรอื ตดั ฉีกเอกสาร 2. การพฒั นาทกั ษะการฟงั และการดู จะชว่ ยใหก้ ารรบั รสู้ ารหรอื ขอ้ มลู เปน็ ไปอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพโดยควรมีแนวทาง ดงั นี้ มสธ2.1 ท�ำความเขา้ ใจ มกี ารวิเคราะห์ แยกแยะหรอื เลือกแหลง่ ข้อมูลการฟงั หรือดไู ด้ 2.2 มีความต้งั ใจฟังและดู จับประเด็นและใจความสำ� คัญได้ โดยเฉพาะเม่ือเป็นการฟงั หรอืดูเพ่ือรับสาระความรู้ โดยอาจเร่ิมจากการฝกึ ตงั้ คำ� ถามในใจและมีการจดบนั ทกึ 2.3 การวิเคราะห์ข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น นอกจากจะฟังเข้าใจและสามารถสรุปได้แล้วผู้รับสารต้องใช้ความคิดอย่างมีวิจารณญาณว่า ข้อมูลเรื่องราวท่ีฟังส่วนใดสิ่งใดเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมสธ มสธสงิ่ ใดเปน็ ความคดิ เหน็ สว่ นตวั ซงึ่ เราจะสามารถกลน่ั กรองความคดิ ความเชอ่ื ถอื ไมใ่ หห้ ลงคลอ้ ยตามหรอืเชอ่ื ผอู้ ่ืนได้งา่ ยๆ 2.4 เสรมิ สรา้ งนสิ ยั และมารยาททด่ี ใี นการฟงั และดู โดยมารยาทพน้ื ฐานทสี่ ำ� คญั ไดแ้ ก่ การแตง่ กายและแสดงทา่ ทสี ภุ าพ เหมาะสมแกโ่ อกาส แสดงการใหเ้ กยี รตสิ ถานทแี่ ละบคุ คลอยา่ งเหมาะสม ให้มสธความสนใจและตัง้ ใจในขณะทฟี่ ังและดู โดยเฉพาะในโอกาสและสถานทีท่ ่ีเป็นทางการหรอื กจิ กรรมพิธีการ
10-34 จิตวทิ ยาเพือ่ การดำ� รงชวี ติ 3. การสอ่ื สารทางเครอื ข่ายสังคมออนไลน์ (social network) เปน็ ระบบการสือ่ สารทีพ่ ัฒนาขึ้นมสธอย่างรวดเร็วจนมีแนวโน้มเข้ามาแทนที่การสื่อสารพ้ืนฐานเดิมๆ ได้มาก เพราะมีความสะดวก ประหยัดรวดเร็ว ผู้รบั -ผสู้ ง่ สามารถพมิ พ์ขอ้ ความโตต้ อบกันไปมาได้ ขยายวงไดก้ ว้างขวาง แต่กม็ ีข้อแนะน�ำและขอ้ พงึ ระวงั วา่ การใชก้ ารสอื่ สารนี้ ควรใชอ้ ยา่ งระมดั ระวงั อยา่ ใชเ้ พอื่ สง่ ขอ้ มลู ทเี่ ปน็ ความลบั เพราะสามารถถูกบันทกึ เก็บไวแ้ ละผอู้ ่ืนเขา้ มาค้นหาหรอื ขยายวงการรบั รู้สูส่ าธารณะไดง้ ่าย และสามารถท�ำใหผ้ ใู้ ช้ท่ขี าดมมมสสสธธธ มมมสสสธธธ มมมสสสธธธทกั ษะทางสังคมเกิดปญั หาอืน่ ๆตามมาได้มาก
ภาษา การสื่อสาร และการประยุกตใ์ ชใ้ นชีวิตประจำ� วนั 10-35มสธตอนท่ี 10.3การใช้ภาษาเพ่ือการสื่อสารท่ีส�ำคัญในชีวิตประจ�ำวันโปรดอ่านหวั เรื่อง แนวคิด และวตั ถุประสงค์ของตอนท่ี 10.3 แลว้ จึงศึกษารายละเอยี ดตอ่ ไปมสธ มสธหัวเร่ือง 10.3.1 การพูดในทช่ี มุ ชน 10.3.2 การเขยี นในชวี ติ ประจ�ำวัน 10.3.3 การส่ือสารในชวี ติ ประจ�ำวันอน่ื ๆ แนวคิด มสธ1. การจะเปน็ ผพู้ ดู ในทชี่ มุ ชนทด่ี ตี อ้ งมกี ารศกึ ษาและฝกึ ฝนวธิ กี ารพดู ทถี่ กู ตอ้ ง โดยสามารถ เกิดข้ึนในรูปแบบต่างๆ คือ ทั้งการพูดแบบไม่มีการเตรียมตัว การพูดแบบอ่านจาก ตน้ ฉบบั การพดู จากการทอ่ งจำ� การพดู เพอื่ นำ� เสนอจากการเตรยี มตวั หรอื พดู โดยความ เข้าใจ ซ่งึ แตล่ ะวธิ กี ม็ หี ลกั เกณฑ์ในการปฏบิ ัติและวิธีการในการเตรยี มตัวที่แตกตา่ งกันมสธ มสธ2. ก ารเขียนเปน็ ทกั ษะการสอ่ื สารท่ีมีบทบาทเพ่ือการสง่ สารเปน็ หลกั มีความเกย่ี วขอ้ งกับ กระบวนการเรยี นรโู้ ดยทวั่ ไป ตง้ั แตร่ ะดบั ประถมศกึ ษาจนถงึ ระดบั อดุ มศกึ ษา การฝกึ ฝน ดา้ นการเขยี น ควรมคี วามรู้ ความเขา้ ใจถงึ สาระพนื้ ฐานสำ� คญั ของการเขยี น มกี ารเลอื ก เรือ่ ง ค้นควา้ และวางแผนในการเขยี น เขา้ ใจวตั ถปุ ระสงคใ์ นการเขียน มีกลมุ่ เปา้ หมาย ชดั เจนและมีความรใู้ นหลักไวยากรณ์เพ่อื ใหใ้ ชภ้ าษาไดเ้ หมาะสมและถูกตอ้ ง 3. การส่ือสารในชีวิตประจ�ำวันอื่นๆ เช่น การให้การปรึกษาและสุนทรียสนทนา เป็นการ มสธปรกึ ษาเปน็ รปู กระบวนการสอื่ สารทถี่ กู พฒั นาขน้ึ และมคี ณุ คา่ ในกรณเี ฉพาะ แตส่ ามารถ เรยี นรเู้ พอื่ นำ� มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจำ� วนั ได้ ทงั้ ในการชว่ ยเหลอื ผทู้ ปี่ ระสบปญั หาให้ สามารถตดั สนิ ใจเลอื กวธิ กี ารแกป้ ญั หาไปไดด้ ว้ ยตวั เอง และในการสรา้ งบรรยากาศการ สนทนาเพือ่ การพฒั นาตนเองในกลมุ่ ผ้เู กี่ยวขอ้ งมสธ มสธวัตถุประสงค์ เมื่อศึกษาตอนท่ี 10.3 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ 1. อ ธิบายหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติในการพัฒนาไปสู่การเป็นผู้พูดท่ีดีในที่ชุมชนใน สถานการณ์ตา่ งๆ ได้ 2. อ ธิบายหลักเกณฑ์และแนวทางพัฒนาการเขียนเพ่ือตอบสนองกิจกรรมท่ีส�ำคัญในชีวิต ประจำ� วนั ได้ มสธ3. อธิบายความส�ำคัญและหลักการให้การปรกึ ษาและสนุ ทรียสนทนาได้
10-36 จิตวิทยาเพือ่ การดำ� รงชวี ติมสธเร่ืองที่ 10.3.1การพูดในท่ีชุมชนมสธ มสธ1. การพูดในท่ีชุมชน การพดู ในทช่ี มุ ชนเปน็ การใชท้ กั ษะการพดู ทม่ี คี วามสำ� คญั เพม่ิ ขนึ้ ในโลกปจั จบุ นั การพดู ในทชี่ มุ ชนที่ประสบความส�ำเร็จจะสามารถสร้างความประทับใจ ให้ข้อมูล โน้มน้าวจูงใจผู้ฟังที่เป็นกลุ่มชนได้ จึงเป็นการเสริมสรา้ งความเป็นผนู้ ำ� ในการประกอบอาชีพหรอื ในสมั พนั ธภาพทางสงั คมรปู แบบตา่ งๆ การจะเปน็ ผพู้ ดู ในทช่ี มุ ชนทดี่ ตี อ้ งมกี ารศกึ ษาและฝกึ ฝนวธิ กี ารพดู ทถ่ี กู ตอ้ ง เพราะการพดู เปน็ ทง้ัศาสตร์ (science) คอื เปน็ วชิ าความรทู้ กี่ ำ� หนดไวอ้ ยา่ งมรี ะบบระเบยี บ และสามารถพสิ จู นห์ รอื สามารถหามสธขอ้ เทจ็ จริงได้ และการพดู ยังเป็นศิลป์ (art) เพราะต้องอาศยั การฝกึ ฝน โดยใช้เทคนิควิธีการท่จี �ำเปน็ อกีท้ังยังต้องมีการเพ่ิมพูนทักษะด้วยการแสวงหาประสบการณ์เพ่ิมเติม มีการปรับเปล่ียนวิธีหรือพลิกแพลงในดา้ นตา่ งๆ ใหเ้ หมาะแกผ่ พู้ ดู เพอ่ื ใหก้ ารพดู แตล่ ะครง้ั เปน็ การพดู ทดี่ ที ำ� ใหผ้ ฟู้ งั เกดิ ความเขา้ ใจ สนกุ สนานเพลิดเพลิน คล้อยตาม หรือประทับใจตามวัตถุประสงค์ท่ีสอดคล้องกับสถานการณ์ การพูดในท่ีชุมชนสามารถเกิดขึ้นในรูปแบบต่างๆ คือ 1) การพูดแบบไม่มีการเตรียมตัว 2) การพูดแบบอ่านจากต้นฉบับมสธ มสธ3) การพดู จากการทอ่ งจำ� และ 4) การพดู เพอื่ นำ� เสนอจากการเตรยี มตวั หรอื พดู โดยความเขา้ ใจ ซงึ่ แตล่ ะวิธกี ม็ หี ลักเกณฑใ์ นการปฏบิ ตั ิและวิธกี ารในการเตรียมตัวทีแ่ ตกต่างกัน ดังน้ี 1.1 การพดู แบบไมม่ กี ารเตรยี มตวั (Impromptu Speech) มโี อกาสเกดิ ขนึ้ ไดเ้ สมอในชวี ติ ประจำ� วนัเชน่ ในงานเลย้ี งสงั สรรค์ งานพธิ มี งคลสมรส ฯลฯ ทผ่ี พู้ ดู อาจไดร้ บั เชญิ ใหพ้ ดู โดยกะทนั หนั ทำ� ใหไ้ มม่ เี วลาในการเตรยี มตวั เตรยี มใจ และเตรยี มเนอ้ื หาสาระในการพดู ซงึ่ ความไมพ่ รอ้ มนี้ อาจจะสง่ ผลกระทบใหก้ ารพูดในครั้งน้ันไม่มีประสิทธิผลเท่าท่ีควร ท�ำให้ผู้ไม่มีประสบการณ์อาจจะท�ำไม่ได้ดี บุคคลท่ัวไปจึงควรมีมสธการเตรยี มตวั เพอื่ แกป้ ญั หาเฉพาะหนา้ ในสถานการณท์ อี่ าจไดร้ บั เชญิ ใหพ้ ดู ได้ ดว้ ยการเตรยี มตวั และเตรยี มเนอ้ื หาสาระในการพดู ไวร้ ะดบั หนง่ึ เสมอ ซง่ึ จะชว่ ยใหก้ ารพดู เชน่ นที้ เ่ี ตรยี มตวั ไดเ้ พยี งไมก่ น่ี าทกี อ่ นขน้ึ พดูเปน็ ไปไดอ้ ยา่ งราบรน่ื ทงั้ นี้ การเตรยี มตวั ในระยะเวลาอนั สนั้ เชน่ นี้ ผพู้ ดู อาจกระทำ� ไดโ้ ดยสงั เกตขอ้ ความทผ่ี อู้ ่นื เขาพดู มากอ่ นหนา้ เรา แลว้ อาศยั ความชัดเจนท่ีมอี ยู่ในตัวเอง คอื ความรูแ้ ละประสบการณ์เดมิ เปน็วตั ถดุ บิ ในการพดู โดยผพู้ ดู ทเ่ี คยมพี น้ื ฐานหรอื ประสบการณเ์ ดมิ มาแลว้ ยอ่ มพดู ในลกั ษณะนไ้ี ดด้ กี วา่ การมสธ มสธพดู โดยขาดความรหู้ รอื ประสบการณใ์ ดๆ มากอ่ น ผพู้ ดู จะตอ้ งมองถงึ หวั ขอ้ เรอ่ื งทจี่ ะพดู ในรปู โครงเรอื่ งยอ่เสยี กอ่ น และเขา้ ใจวตั ถปุ ระสงคพ์ เิ ศษของการพดู ในครงั้ นน้ั ๆ จากนน้ั จงึ คดิ หาตวั อยา่ ง คำ� คม หรอื สภุ าษติเพ่ือน�ำมากล่าวน�ำ แล้วรวบรวมเหตุผลและตัวอย่างประกอบ (เน้ือเรื่อง) เพ่ือหาข้อยุติก่อนการพูด ทั้งนี้ผพู้ ดู จะตอ้ งพยายามสงบระงับความกระวนกระวายใจ ทำ� จติ ใจใหส้ บาย ระงับความต่ืนเต้นโดยการหายใจเขา้ ออก ช้าๆ หลายๆ ครั้ง เมอ่ื เร่ิมพดู จะต้องเพง่ พนิ ิจแต่เฉพาะเร่อื งทก่ี ำ� ลงั พูดอยู่เท่านัน้ การมีสมาธิในเรอื่ งทพ่ี ดู เชน่ นี้ จะทำ� ใหส้ ามารถควบคมุ ความตนื่ เตน้ ของตนเองได้ สำ� หรบั แนวทางในการกำ� หนดเนอ้ื เรอ่ื งมสธประกอบในการพดู แบบไม่มกี ารเตรียมตวั น้นั ผพู้ ดู อาจเลือกใช้แนวทางใดแนวหน่ึงดงั นี้
ภาษา การสือ่ สาร และการประยุกตใ์ ช้ในชีวติ ประจำ� วนั 10-37 1) การพูดตามส่วนของเรื่อง (Space Order) หมายถึง แนวทางในการพูดที่ยึดการแบ่งมสธเรื่องออกเป็นสว่ นๆ ผ้พู ูดต้องแบง่ ใหด้ วี า่ เรอื่ งท่ีเราจะพูดน้นั สามารถกลา่ วในลกั ษณะของรปู ธรรมไดห้ รือไม่ หากได้ ให้เริ่มกล่าวจากรูปธรรมซ่ึงผู้ฟังเข้าใจได้ง่ายก่อน จากนั้นจึงเปลี่ยนไปสู่นามธรรมตามหัวข้อเรื่อง 2) การพูดตามแนวล�ำดับเวลา (Time Order) หมายถึง แนวทางในการพูดท่ียึดถือเร่ืองมสธ มสธเวลาเปน็ หลกั การด�ำเนินเรอื่ ง จะกล่าวถงึ เรือ่ งราวที่เกดิ ขนึ้ ในอดตี มาจนถึงปัจจุบัน และทน่ี ่าจะเกิดขึน้ ตอ่ไปในอนาคต 3) การพูดตามแนวเหตุและผล (Causal Order) หมายถงึ แนวทางในการพดู ทยี่ ดึ ถอื เรอื่ งเหตุและผลเป็นหลัก โดยกล่าวถึงสาเหตุก่อนว่าท�ำไมจึงเกิดเรื่องน้ันๆ ข้ึน และเม่ือเกิดขึ้นแล้ว จะมีผลอย่างไร 4) การพูดตามแนวหัวเรื่อง (Topic Order) หมายถึง แนวทางในการพดู ที่ยดึ ถือหวั เร่ืองมสธเปน็ หลกั เราสามารถพดู โดยกล่าวถึงช่ือเรื่องท่ีเราจะพดู เช่น อาจจะกล่าววา่ หมายถึงอะไร หรือโดยทวั่ ไปหมายถงึ อะไร แตใ่ นท่นี ้ีหมายถึงอะไร เปน็ ตน้ 1.2 การพูดแบบอ่านจากต้นฉบับ (Manuscript Speech) ผพู้ ดู จะเขยี นขอ้ ความทจ่ี ะพดู ลงไปในต้นฉบับ แล้วเม่ือถึงสถานการณ์การพูดจริง ผู้พูดก็จะน�ำต้นฉบับน้ันมาอ่านให้ผู้ฟังได้รับฟังอีกทีหน่ึงวธิ กี ารพดู แบบนมี้ กั ใชใ้ นสถานการณท์ เ่ี ปน็ ทางการมากๆ เชน่ ในการกลา่ วรายงานทางวชิ าการ การกลา่ วมสธ มสธเปดิ งาน การกลา่ วเปดิ ประชมุ การสรปุ ผลการประชมุ การอา่ นขา่ วหรอื บทความทางวทิ ย-ุ โทรทศั นท์ ผี่ า่ นการตรวจสอบมาแลว้ การกล่าวตอบโต้ในพธิ ีต่างๆ หรอื การกลา่ วแถลง เป็นตน้ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ การกล่าวต่อหน้าพระพักตร์ ซึ่งตอ้ งใชว้ ธิ กี ารอ่านมากกว่าการพูดสด ประโยชน์ของการพูดแบบอ่านจากต้นฉบับจึงอยู่ท่ีว่าผู้พูดสามารถพูดในเร่ืองนั้นๆ ได้อย่างถกู ต้อง ไม่มีข้อผิดพลาดอันเนอื่ งมาจากการหลงลืม ความตนื่ เตน้ ความประหมา่ ความสับสน หรืออืน่ ๆซึ่งนับเป็นส่ิงส�ำคัญมากส�ำหรับการพูดแบบเป็นทางการมากๆ หรือการพูดต่อหน้าพระพักตร์ เน่ืองจากมสธภาษาทเี่ ขยี นไวอ้ ยา่ งสมบรู ณแ์ บบในตน้ ฉบบั ยอ่ มสามารถเขยี นไดไ้ พเราะสละสลวยและมนี ำ�้ หนกั มากกวา่การพดู แบบปากเปลา่ และจะช่วยใหผ้ ู้พูดเกิดความรู้สึกปลอดภยั จากการพูดท่ผี ดิ พลาด อนึ่ง วธิ กี ารเขียนต้นฉบับ (Manuscript) เพอ่ื การพูดน้นั ก่อนการเขยี นตน้ ฉบับผู้พดู ต้องเตรยี มจัดท�ำโครงเร่ืองให้สมบูรณ์เสียก่อน แล้วจึงเขียนต้นฉบับการพูดลงไปทุกค�ำพูด เม่ือเขียนต้นฉบับจบแล้วยงั เปน็ เพียงการร่างครั้งแรกเทา่ นั้น ผพู้ ูดตอ้ งอา่ นทบทวนร่างนัน้ หลายๆ ครง้ั เพอื่ ปรับแกไ้ ข ส�ำนวน ลีลามสธ มสธน�้ำหนักค�ำ และรปู ประโยคโดยละเอยี ด จนเกิดความแนใ่ จวา่ ส่งิ ทเี่ ขียนไว้นัน้ ถกู ตอ้ งตรงกบั สงิ่ ทปี่ ระสงค์จะพูดทุกประการ และควรทดสอบโดยการอ่านต้นฉบับดังกล่าวให้ผู้ร่วมคณะหรือเพื่อนฟัง หรืออ่านออกเสียงดังๆ ให้ตนเองฟังเพียงล�ำพัง การทดสอบเช่นน้ีจะช่วยให้การแก้ไขต้นฉบับการพูดครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด เมื่อได้ต้นฉบับการพูดที่สมบูรณ์แล้ว ผู้พูดควรพิมพ์ต้นฉบับโดยใช้กระดาษพิมพ์อย่างหนาระวงั อย่าใหค้ �ำผดิ พลาดปรากฏ ตน้ ฉบบั พมิ พ์ควรสะอาด เนือ้ เรอื่ งควรพมิ พเ์ ป็นตอนสน้ั ๆ ขอ้ ความแตล่ ะตอนต้องจบในหน้าเดยี วกนั ไม่ควรตอ่ ไปหน้าอนื่ ริมกระดาษซา้ ยมือควรเว้นว่างประมาณ 3 นว้ิ พิมพเ์ ลขมสธหนา้ ทกุ หนา้ ตามลำ� ดบั หมายเลขขอบขวาดา้ นบนเพอ่ื ปอ้ งกนั การสลบั หนา้ ผดิ ควรใชล้ วดเยบ็ ตน้ ฉบบั รวมกนั
10-38 จติ วทิ ยาเพอ่ื การด�ำรงชีวิตเพอ่ื ปอ้ งกนั การหลดุ และสญู หาย เวลาอา่ นตน้ ฉบบั ผพู้ ดู ตอ้ งอา่ นโดยใชเ้ สยี งทเี่ หมอื นกบั เสยี งพดู ปกติ และมสธควรแสดงออกทาง สีหน้า แววตา น้�ำเสยี ง ใหก้ ลมกลนื กับเรอื่ งทีอ่ า่ นมากทสี่ ุด เน่ืองจากการพูดแบบอ่านจากตน้ ฉบบั นี้ จะทำ� ใหผ้ พู้ ดู ไมส่ ามารถตดิ ตอ่ สอ่ื สารทางสายตากบั ผฟู้ งั ได้ อนั เนอ่ื งจากผพู้ ดู ตอ้ งละสายตาจากผฟู้ งั มาอยทู่ ตี่ น้ ฉบบั ตลอดเวลา แตผ่ พู้ ดู กอ็ าจแกป้ ญั หาดงั กลา่ วได้ โดยชว่ งเวลาทหี่ ยดุ เวน้ ระยะในการพูด ก่อนที่จะอ่าน ข้อความต่อไป ผู้พูดควรเงยหน้าข้ึนมองผู้ฟังก่อนแล้วจึงอ่านต่อไป การกระท�ำเช่นนี้มสธ มสธส�ำหรับคนเริ่มต้นฝึกหัดใหม่ๆ นับว่ายากมาก แต่เม่ือฝึกฝนบ่อยๆ แล้วจะเกิดความช�ำนาญจนเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ท้ังนี้ ไม่ควรใช้วิธีน้ีเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์การพูดโดยทั่วไปท่ีเป็นทางการหรือเป็นทางการไม่มากนัก เพราะอาจจะท�ำให้ผู้ฟังรู้สึกเบื่อหน่ายและหมดความรู้สึกสนใจในตัวผู้พูด อันเน่ืองมาจากการท่ีผู้พูดมีโอกาสขาดการติดต่อส่ือสารทางสายตากับผู้ฟัง และข้อเสียอีกอย่างหนึ่งในวิธีการพูดแบบอ่านจากต้นฉบับ คือ ผู้พูดจะขาดลีลาน�้ำเสียงที่มีชีวิตชีวาและบุคลิกภาพเป็นของตัวเอง นอกจากนั้น ผู้ฟงั ยังอาจลดความเช่ือม่ันตอ่ ผู้พูดในความเขา้ ใจท่ถี อ่ งแทต้ อ่ เรือ่ งทพี่ ูดได้ มสธ1.3 การพูดจากการท่องจ�ำ (Memorized Speech) เปน็ การท่องจากต้นฉบับสมบูรณ์ (Manu-script) หรอื ทอ่ งจำ� แบบคำ� ตอ่ คำ� ซึง่ หากวเิ คราะห์คุณคา่ ทางวาทศาสตร์หรือศาสตร์แห่งการพดู แลว้ การพูดแบบน้ีมักมีคุณค่าน้อยและไม่นิยมใช้ในหมู่นักพูด เพราะเป็นรากฐานท่ีจะท�ำให้ผู้พูดเกิดความกังวลใจและความเคร่งเครียด อันเนื่องมาจากความไม่แน่ใจว่าจะจดจ�ำค�ำพูดได้ทุกถ้อยค�ำ และถ้าหากเกิดการผดิ พลาด คอื หลงลมื ขน้ึ มากลางคนั ผพู้ ดู กจ็ ะเกดิ ความประหมา่ และอาจไมส่ ามารถแกป้ ญั หาเฉพาะหนา้ ได้มสธ มสธและยังมีโอกาสท่ีผู้ฟังจะสังเกตได้ว่าเป็นการท่อง จากน�้ำเสียงของผู้พูดราบเรียบเป็นท�ำนองเดียว(Monotonous) หรอื สายตาทไ่ี ม่มองผฟู้ ัง และขาดท่าทางประกอบทเี่ ป็นธรรมชาติ จงึ อาจท�ำให้ผูฟ้ ังเกิดความเบ่อื หนา่ ยและขาดความเชอ่ื ถือต่อผู้พดู ข้ึนได้ ดงั นน้ั ผพู้ ดู จงึ ควรหลกี เลย่ี งการพดู แบบทอ่ งจำ� ตน้ ฉบบั ทงั้ หมด แตอ่ าจพจิ ารณาใชว้ ธิ กี ารทอ่ งจำ�เพียงเลก็ น้อยหรือเพียงบางส่วน (Quotation) แทน 1.4 การพูดเพ่ือน�ำเสนอจากการเตรียมตัวหรือพูดโดยความเข้าใจ (Extemporaneous Speech)มสธเปน็ การพดู จากใจ จากภูมิรู้ และจากความรู้สกึ จรงิ ๆ ของผู้พูดเอง วิธีนีเ้ ป็นการพูดทีน่ ิยมใช้กนั มากท่ีสดุเพราะมขี อ้ ดีหลายประการ คอื เปน็ ตวั ของตวั เอง พร่งั พรเู ป็นธรรมชาติ เรา้ ใจ จรงิ ใจ สามารถแสดงภมู ริ ู้ของตนเองได้ดีและยืดหยุ่นให้เหมาะสมกับเวลาได้ โดยก่อนการพูดแบบน้ี ผู้พูดต้องเตรียมตัวในการคัดเลอื กหวั ขอ้ เรอ่ื ง คน้ หาเนอ้ื เรอื่ ง แนวคดิ และตวั อยา่ ง จากนน้ั ตอ้ งเรยี บเรยี งเนอ้ื เรอื่ ง แนวคดิ และตวั อยา่ งให้สมบรู ณ์และอา่ นใหเ้ ขา้ ใจถ่องแท้เสียกอ่ น โดยมีขน้ั ตอน ดังน้ีมสธ มสธ1.4.1 การด�ำเนินการเตรียมตัว 1) การเตรียมตัวทั่วไป ไดแ้ ก่ การทผี่ พู้ ดู พยายามหาความรู้ อา่ นมาก ฟงั มาก เพราะผู้ที่มีความรู้กว้างขวางมักเป็นนักพูดที่ดี ความรู้ในเรื่องต่างๆ จะช่วยให้การพูดสนุกสนานน่าฟังและช่วยสรา้ งศรทั ธาแก่ผูฟ้ ังดว้ ย 2) การเตรยี มตวั เฉพาะคราว ไดแ้ ก่ การทผี่ พู้ ดู เตรยี มตวั พดู เฉพาะในคราวใดคราวหนงึ่มสธซงึ่ มขี ั้นตอนวธิ ีการดงั น้ี
ภาษา การสือ่ สาร และการประยุกต์ใชใ้ นชวี ิตประจ�ำวัน 10-39 (1) ขั้นเตรียมการ (Invention) เม่ือได้รับเชิญให้พูด ผู้พูดต้องมีวิธีการเตรียมมสธตัวล่วงหน้าพอสมควร ถ้าสามารถเลือกเรื่องที่จะพูดเองได้ ผู้พูดควรเลือกเร่ืองที่เหมาะสมกับตัวเองเหมาะสมกบั ผฟู้ งั และเหมาะสมกบั โอกาสทจ่ี ะพดู จากนนั้ จงึ คอ่ ยรวบรวมเอกสารหรอื ความรเู้ กย่ี วกบั เรอื่ งทจ่ี ะพดู (2) ขั้นรวบรวม (Disposition) เมื่อได้เอกสารหรือข้อมูลเกี่ยวกับเร่ืองที่จะพูดมสธ มสธแลว้ ผพู้ ดู กจ็ ะจดั เนอ้ื หาใหเ้ หมาะสมวา่ คำ� นำ� เนอ้ื เรอ่ื ง และสรปุ ควรจะมเี นอ้ื หาสาระอะไรบา้ ง คดั มาจากเอกสารฉบบั ใดบา้ ง (3) ขั้นวิธีการ (Style) เมื่อเตรียมเนอื้ เรอื่ งในแต่ละตอนแล้วผู้พูดจะต้องเตรียมตอ่ ไปวา่ เนอ้ื เรอื่ งในแต่ละตอนนนั้ ควรจะพดู อะไรกอ่ นหลงั ควรใชส้ �ำนวนโวหารอยา่ งไร ใช้ภาษาระดบั ใดจึงจะเหมาะสมกบั ผู้ฟงั (4) ข้ันโครงเรื่อง (Form) เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ต้องจัดเรื่องที่จะพูดให้เป็นมสธส่วนๆ โดยมีค�ำนำ� เน้อื เรอื่ ง และสรุป (5) ขั้นฝึกซ้อม (Rehearsing) เม่ือได้เร่ืองที่เหมาะสมท่ีจะพูดแล้ว ผู้พูดควรทดลองพดู ดว้ ยตนเองเสียก่อน เพ่อื ตรวจสอบปญั หาบางอยา่ งท่ไี ม่คาดคดิ ได้ 3) การเตรียมบันทึกและส่ือ ในการพดู แบบนห้ี ากผพู้ ดู กลวั วา่ จะลมื เนอื้ เรอ่ื งทเี่ ตรยี มไว้ ผู้พดู อาจบนั ทึกส้นั ๆ น�ำตดิ ตัวขน้ึ ไปพดู ด้วย หากตอนใดเกดิ การหลงลืมก็สามารถหยบิ บันทึกขน้ึ มาดูมสธ มสธเพื่อให้พูดได้อย่างต่อเน่ืองไม่ขาดตอน ในบันทึกน้ันจะประกอบด้วย ล�ำดับขั้นตอนแนวคิดท่ีจะเสนอต่อผฟู้ งั โดยทว่ั ไปมกั เขยี นไวเ้ พยี งคำ� เดยี วหรอื สองคำ� เทา่ นน้ั เพอื่ ชว่ ยความจำ� บนั ทกึ ทด่ี คี วรทำ� ดว้ ยกระดาษการ์ดแข็งเพราะใช้สะดวก บนมุมกระดาษการ์ด ควรเขียนเลขก�ำกับบอกแผ่นไว้ เช่น 1-2-3-4 ฯลฯนอกจากน้ี ยังมีการเตรียมสื่อท่ีจะช่วยในการส่ือความหมายมาให้พร้อม เช่น Power point เอกสารภาพประกอบ อปุ กรณ์สาธติ ทจ่ี �ำเปน็ 1.4.2 การด�ำเนินการน�ำเสนอ มกี ารกล่าวทกั ทาย กล่าวเข้าสเู่ รอ่ื งและแบง่ ประเดน็ การพดูมสธชัดเจน รวมท้ังกล่าวสรุปอย่างเข้าใจ ไม่วกวน เลือกใช้ท้ังวัจนภาษาและอวัจนภาษาช่วยส่ือความหมายและมองโลกในแงด่ ี ร้แู ละรกู้ าลเทศะในการพดู 1) การใช้ทัศนูปกรณ์กระกอบ ตอ้ งใช้เหมาะสม ไม่ใช้พร่�ำเพรือ่ หรือเบ่ียงเบนความสนใจของผู้ฟังออกไปจากเร่ืองท่ีพูดนั้น มีการเตรียมสื่อที่จะช่วยในการสื่อความหมายมาให้พร้อม เช่นPower point เอกสาร ภาพประกอบ อปุ กรณส์ าธติ ท่ีจำ� เปน็ และใชท้ กั ษะการพูดทค่ี รบถว้ นเหมาะสม อกีมสธ มสธทั้งจะต้องรักษาเวลาในการพูด 2) การใช้บันทึกเวลาพูด เมื่อผู้พูดก้าวข้ึนไปยืนบนเวที ผู้พูดควรวางกระดาษไว้บนโต๊ะ หรอื ถือไวใ้ นมอื ในลักษณะท่ีไม่เกะกะ เมื่อตอ้ งการจะใช้กระดาษบนั ทกึ ผู้พูดควรหยบิ กระดาษบันทึกมาอา่ นโดยตรงหรอื อาจจะอา่ นบนั ทกึ ในลกั ษณะทคี่ นฟงั มองไมเ่ หน็ บนั ทกึ กลา่ วคอื วางอา่ นกบั โตะ๊ นนั่ เองอน่ึง ผู้พูดไม่ควรคาดหวังการพ่ึงบันทึกอย่างเดียว โดยก่อนการพูดผู้พูดควรทบทวนเนื้อเร่ือง หัวข้อขัน้ ตอน และแนวคดิ จนจ�ำไดต้ ลอด เมือ่ ท�ำไดเ้ ชน่ นผ้ี พู้ ดู จะสามารถควบคมุ เนือ้ หาและกระบวนการพดู ได้มสธโดยราบร่นื
10-40 จติ วทิ ยาเพอ่ื การด�ำรงชวี ิต 3) การด�ำเนินการหลังน�ำเสนอ ควรแบ่งเวลาส่วนหน่ึงในช่วงท้ายเพื่อเปิดโอกาสให้มสธผู้ฟงั ไดซ้ ักถาม แสดงความคิดเหน็ ยอมรับค�ำตชิ มอย่างเตม็ ใจ และน�ำไปพจิ ารณาปรบั ปรงุ อยูเ่ สมอกิจกรรม 10.3.1มสธ มสธ1. จงอธิบายความส�ำคัญของการพูดแบบไม่มีการเตรียมตัว และแนวทางพัฒนาตนเองเพ่ือให้สามารถพดู ในทชี่ ุมชนแบบไมม่ ีการเตรยี มตัวได้ 2. จงอธิบายวธิ ีการเขยี นต้นฉบับ เพื่อการพูดโดยสงั เขป 3. การพดู เพ่ือนำ� เสนอจากการเตรียมตวั หรือพูดโดยความเข้าใจ มคี วามส�ำคญั อย่างไร และควรมกี ารด�ำเนนิ การอย่างไรมสธแนวตอบกิจกรรม 10.3.1 1. การพูดแบบไม่มีการเตรียมตัว มีโอกาสเกิดข้ึนได้เสมอในชีวิตประจ�ำวัน เช่น ในงานเลี้ยงสังสรรค์ งานพิธีมงคลสมรส ฯลฯ ท่ีผู้พูดอาจได้รับเชิญให้พูดโดยกะทันหัน บุคคลท่ัวไปจึงควรมีการเตรียมตัวเพ่ือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในสถานการณ์ท่ีอาจได้รับเชิญให้พูดได้ ด้วยการเตรียมตัวและเตรียมเนื้อหาสาระในการพูดไว้ระดับหน่ึงเสมอ โดยผู้พูดอาจกระท�ำได้โดยสังเกตข้อความที่ผู้อื่นเขาพูดมาก่อนมสธ มสธหนา้ เรา แลว้ อาศยั ความชดั เจนทมี่ อี ยใู่ นตวั เอง คอื ความรแู้ ละประสบการณเ์ ดมิ เปน็ วตั ถดุ บิ ในการพดู มองถงึ หวั ขอ้ เรอ่ื งทจ่ี ะพดู ในรปู โครงเรอ่ื งยอ่ เสยี กอ่ น และเขา้ ใจวตั ถปุ ระสงคพ์ เิ ศษของการพดู ในครง้ั นนั้ ๆ จากนั้นจึงคิดหาตัวอย่าง ค�ำคม หรือสุภาษิต เพ่ือน�ำมากล่าวน�ำ แล้วรวบรวมเหตุผลและตัวอย่างประกอบ(เนอื้ เรอื่ ง) เพอื่ หาขอ้ ยตุ กิ อ่ นการพดู ทง้ั นี้ ผพู้ ดู จะตอ้ งพยายามสงบระงบั ความกระวนกระวายใจ ทำ� จติ ใจใหส้ บาย ระงับความตื่นเต้นโดยการหายใจเขา้ ออกช้าๆ หลายๆ ครั้ง เม่ือเรม่ิ พดู จะตอ้ งมสี มาธใิ นเร่ืองท่ีพดู ทำ� ให้สามารถควบคมุ ความตืน่ เต้นของตนเองไดด้ ี มสธ2. วิธีการเขยี นต้นฉบบั เพอื่ การพูด ตอ้ งเตรยี มจัดทำ� โครงเรอ่ื งให้สมบรู ณ์ แลว้ จงึ เขียนต้นฉบบัการพูดลงไปทุกคำ� พดู เป็นเพยี งการร่างคร้ังแรกและอ่านทบทวนเพือ่ ปรับแกไ้ ข สำ� นวน ลลี า นำ�้ หนักค�ำ และรปู ประโยคโดยละเอียด จนถกู ต้องตรงกับสงิ่ ทปี่ ระสงค์จะพูดทกุ ประการ และควรทดสอบโดยการอา่ นต้นฉบับดังกล่าวให้ผู้ร่วมคณะหรือเพ่ือนฟัง หรืออ่านออกเสียงดังๆ ให้ตนเองฟังเพียงล�ำพังให้ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด เม่ือได้ต้นฉบับการพูดท่ีสมบูรณ์แล้ว ผู้พูดควรพิมพ์ต้นฉบับโดยใช้กระดาษพิมพ์อย่างหนามสธ มสธระวังอย่าให้ค�ำผิดพลาดปรากฏ ต้นฉบับพิมพ์ควรสะอาด เน้ือเร่ืองควรพิมพ์เป็นตอนส้ันๆ ข้อความแต่ละตอนต้องจบในหน้าเดียวกันไม่ควรต่อไปหน้าอ่ืน ริมกระดาษซ้ายมือควรเว้นว่างประมาณ 3 น้ิวพิมพ์เลขหน้าทุกหน้าตามล�ำดับ หมายเลขขอบขวาด้านบนเพ่ือป้องกันการสลับหน้าผิด ควรใช้ลวดเย็บต้นฉบับรวมกันเพ่อื ป้องกันการหลดุ และสญู หาย เวลาอ่านตน้ ฉบบั ผพู้ ูด ตอ้ งอา่ นโดยใช้เสยี งทีเ่ หมอื นกับเสียงพดู ปกติ และควรแสดงออกทางสีหนา้ แววตา น้ำ� เสียง ใหก้ ลมกลนื กบั เรื่องทอ่ี ่านมากทสี่ ุด ช่วงเวลามสธทห่ี ยดุ เวน้ ระยะในการพดู กอ่ นทจี่ ะอา่ นขอ้ ความตอ่ ไป ผพู้ ดู ควรเงยหนา้ ขน้ึ มองผฟู้ งั กอ่ นแลว้ จงึ อา่ นตอ่ ไป
ภาษา การสอื่ สาร และการประยกุ ต์ใชใ้ นชวี ติ ประจำ� วนั 10-41 3. การพดู เพอื่ นำ� เสนอจากการเตรยี มตวั หรอื พดู โดยความเขา้ ใจ เปน็ การพดู จากใจ จากภมู ริ ู้ และมสธจากความรสู้ กึ จรงิ ๆ ของผพู้ ดู เอง วธิ นี เ้ี ปน็ การพดู ทสี่ ำ� คญั เพราะเปน็ วธิ กี ารทน่ี ยิ มใชก้ นั มากทสี่ ดุ จากขอ้ ดีหลายประการ คือ เปน็ ตวั ของตัวเอง พรง่ั พรูเปน็ ธรรมชาติ เร้าใจ จริงใจ สามารถแสดงภูมิร้ขู องตนเองได้ดแี ละยดื หยนุ่ ใหเ้ หมาะสมกบั เวลาได้ โดยกอ่ นการพดู แบบน้ี ผพู้ ดู ตอ้ งเตรยี มตวั ในการคดั เลอื กหวั ขอ้ เรอื่ งคน้ หาเนอื้ เรอ่ื ง แนวคดิ เรยี บเรยี งเนอ้ื เรอื่ ง ใหส้ มบรู ณ์ โดยการดำ� เนนิ การนำ� เสนอ ตอ้ งมกี ารกลา่ วทกั ทายมสธ มสธกลา่ วเขา้ สเู่ รอื่ งและแบง่ ประเดน็ การพดู ชดั เจน รวมทงั้ กลา่ วสรปุ อยา่ งเขา้ ใจ ไมว่ กวน เลอื กใชท้ ง้ั วจั นภาษาและอวัจนภาษาช่วยสื่อความหมาย และมองโลกในแง่ดีรู้และรู้กาลเทศะในการพูด เลือกใช้ทัศนูปกรณ์กระกอบได้เหมาะสม ไม่ใช้พร่�ำเพรื่อ หรือเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ฟังออกไปจากเรื่องท่ีพูดนั้น มีการเตรียมสอื่ ที่จะชว่ ยในการส่ือความหมายมาให้พรอ้ ม เช่น Power point เอกสาร ภาพประกอบ อุปกรณ์สาธติ ทจี่ ำ� เปน็ และใชท้ กั ษะการพดู ทค่ี รบถว้ นเหมาะสม อกี ทง้ั จะตอ้ งรกั ษาเวลาในการพดู สามารถพจิ ารณาใช้บันทึกในขณะพูดโดยวางกระดาษไว้บนโต๊ะ หรือถือไว้ในมือในลักษณะที่ไม่เกะกะ แต่ไม่ควรคาดหวังมสธการพ่งึ บนั ทึกอยา่ งเดยี ว โดยกอ่ นการพูดผ้พู ูดควรทบทวนเนือ้ เรื่อง หวั ข้อ ข้นั ตอน และแนวคิดจนจำ� ได้ตลอด เมื่อท�ำได้เช่นน้ีผู้พูดจะสามารถควบคุมเนื้อหาและกระบวนการพูดได้โดยราบร่ืนและควรแบ่งเวลาสว่ นหนึง่ ในช่วงท้ายเพ่อื เปิดโอกาสใหผ้ ู้ฟงั ได้ซักถาม แสดงความคดิ เห็น ยอมรบั คำ� ติชมอยา่ งเต็มใจ และนำ� ไปพิจารณาปรบั ปรงุ อยเู่ สมอมสธ มสธเรื่องท่ี10.3.2การเขียนในชีวิตประจ�ำวันมสธ1. การเขียนในชีวิตประจ�ำวัน การเขียน คือทักษะการใช้ภาษาชนิดหนึ่ง เป็นการถ่ายทอดความรู้ ความคิด จินตนาการประสบการณ์ต่างๆ รวมท้ังอารมณ์และความรู้สึกกับข่าวสาร เป็นการสื่อสารหรือสื่อความหมายโดยมีตัวหนังสือตลอดจนเคร่ืองหมายต่างๆ เป็นสัญลักษณ์แทนถ้อยค�ำในภาษาพูด เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ตามมสธ มสธความมุ่งหมายของผู้เขียน การเขียนจึงเป็นทักษะที่มีหลักฐานถาวรปรากฏอยู่นาน และการเขียนจะเกิดผลดีหรอื ผลเสยี น้นั ขนึ้ อย่กู ับคณุ ภาพของเน้ือหาและกลวธิ ีการเขียนของผเู้ ขียน 1.1 ความส�ำคัญของการเขียน ทักษะการเขียนเป็นทักษะการส่ือสารที่มีบทบาทเพื่อการส่งสารเป็นหลกั มีความเกย่ี วขอ้ งกบั กระบวนการเรียนรู้โดยทั่วไป ตั้งแต่ระดับประถมศกึ ษา มัธยมศึกษา จนถงึระดบั อดุ มศกึ ษา นกั เรยี น นกั ศกึ ษาจะตอ้ งไดร้ บั การพฒั นาความสามารถทางดา้ นการเขยี นจนถงึ ขนั้ ทเี่ รยี กไดว้ ่า มที ักษะในการเขียน อยา่ งจริงจัง สม�ำ่ เสมอและต่อเน่อื ง อาทิ การเขยี นตอบค�ำถามตา่ งๆ เป็นการมสธบา้ น การเขยี นตอบแบบทดสอบอตั นยั การเขยี นเรยี งความ การเขยี นบทความ บนั ทกึ การเรยี นรู้ ยอ่ ความ
10-42 จติ วทิ ยาเพ่ือการดำ� รงชีวิตสรุปความ ขยายความ งานเขียนประเภทอ่ืนๆ ตามลักษณะเฉพาะของแต่ละสาขาวิชา รวมทั้งการเขียนมสธรายงานการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการท่ีเรียกว่าภาคนิพนธ์ (Term Paper) เป็นต้น นอกจากน้ีแล้วการเขียนยังใชเ้ ปน็ แบบฝึกหดั แบบทดสอบ เพือ่ การประเมนิ ผลการเรยี นรขู้ องผูเ้ รียน อกี ดว้ ย ในอดตี การเขยี นเปน็ การเรยี นวธิ กี ารใชภ้ าษาเขยี นทส่ี ละสลวย เพอื่ ใชใ้ นการจงู ใจผอู้ า่ น การเขยี นจึงมุ่งเน้นที่ความถูกต้องในการใช้ถ้อยค�ำภาษาและการเรียบเรียงเน้ือหาอย่างถูกต้องละเมียดละไม แต่มสธ มสธภายหลงั มแี นวคดิ ใหมเ่ กย่ี วกบั การเขยี นเพมิ่ ขน้ึ เชน่ แนวความคดิ ทใี่ หค้ วามสำ� คญั ตอ่ การเขยี นในฐานะมใิ ช่เป็นเพียงการบันทึกค�ำพูดเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น แต่เป็นการสะท้อนความคิดในเรื่องต่างๆ ซ่ึงอยู่ภายในของแตล่ ะบคุ คล แลว้ ถา่ ยทอดออกมาเปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษร แนวความคดิ นมี้ งุ่ เนน้ ทจ่ี ดุ มงุ่ หมายของการเขียน ซึ่งไดแ้ ก่ การสื่อความคดิ ความเหน็ ของผูเ้ ขียนให้ผูอ้ ื่นทราบ และแนวความคดิ วา่ การเขยี นมิได้เปน็ เพยี งวธิ กี ารสอื่ สารเทา่ นน้ั แตเ่ ปน็ กระบวนการทต่ี อ้ งใชค้ วามคดิ สตปิ ญั ญาและจติ วทิ ยาเขา้ มาเกยี่ วขอ้ งท้ังในด้านการคิดค้นเรื่องราวที่จะน�ำมาเขียนและการจัดรูปแบบการน�ำเสนองานเขียนน้ัน แนวความคิดมสธเกี่ยวกบั การเขียนจึงเปลย่ี นไปเป็นการมุ่งเนน้ ทกี่ ระบวนการเขียนมากข้นึ การฝกึ ฝนใหเ้ กดิ พฒั นาการดา้ นการเขยี นไดน้ นั้ ควรมคี วามรู้ ความเขา้ ใจตลอดจนความตระหนกัถึงสาระข้อมูลต่างๆ อันเป็นพ้ืนฐานส�ำคัญของการเขียนเสียก่อน เพราะจะท�ำให้การพัฒนาการเขียนเป็นไปไดด้ ว้ ยดีมีประสทิ ธภิ าพ ทงั้ ในเรือ่ งหลักการใชภ้ าษาท่ีส�ำคัญเกย่ี วข้องกับการเขยี นโดยตรง 1.2 ความรู้พ้ืนฐานและกระบวนการของการเขียนท่ีดี มอี งค์ประกอบดงั ตอ่ ไปนี้มสธ มสธ1.2.1 มีการเลอื กเรอ่ื ง ค้นควา้ และวางแผนในการเขียน 1.2.2 ตอ้ งเข้าใจวตั ถปุ ระสงค์ในการเขยี นที่ชดั เจน 1.2.3 ต้องรู้วา่ ผู้รับสารเปน็ ใคร คอื มีกลุม่ เปา้ หมายชัดเจน 1.2.4 มีความรใู้ นหลกั ไวยากรณ์ เลือกใชภ้ าษาให้เหมาะสมและลีลาการเขยี นท่ถี กู ต้อง 1.3 การเลือกเร่ือง ค้นคว้า และวางแผนในการเขียน การเลือกเร่ือง ค้นคว้า และวางแผนก่อนลงมือเขียนท่ีเหมาะสม มวี ิธีดงั นี้ มสธ1.3.1 เลือกเรื่องที่ผู้เขียนถนัดและสนใจ การเขียนเร่ืองท่ีตนเองถนัดและสนใจ จะท�ำให้มีความสุขกับการเขยี นและสามารถสร้างสรรคง์ านเขียนท่ีดมี ีคุณค่าได้ 1.3.2 เลอื กเรือ่ งทผ่ี ูเ้ ขียนมีความรแู้ ละประสบการณ์ การเขยี นเรอ่ื งจำ� เป็นตอ้ งมีข้อมลู ซงึ่ หาได้จากการค้นคว้าแหล่งความรู้ต่างๆ ข้อมูลท่ีได้มาจ�ำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ ตีความเพ่ือให้ได้ข้อมูลที่ถกู ตอ้ ง นา่ เชอื่ ถอื ถา้ ผเู้ ขยี นมคี วามรแู้ ละประสบการณใ์ นเรอื่ งทเี่ ลอื กมาเขยี น ผเู้ ขยี นกจ็ ะสามารถหาขอ้ มลูมสธ มสธทถ่ี กู ตอ้ ง นา่ เชื่อถอื ได้ 1.3.3 เลือกเร่ืองท่ีผู้อ่านสนใจ ความสนใจของผู้อ่านจะแตกต่างกันตามเพศ วัยการศึกษารายได้ ฯลฯ ซง่ึ มสี ว่ นทำ� ให้เรอ่ื งที่เขยี นส�ำหรับผ้อู า่ นแตล่ ะกลมุ่ แตกต่างกันด้วย 1.3.4 เลอื กเรอ่ื งทส่ี ามารถจำ� กดั ขอบเขตได้ การจำ� กดั ขอบเขตของเรอื่ งไมใ่ หก้ วา้ ง หรอื แคบมสธจนเกินไป จะท�ำใหก้ ารเขียนครอบคลุมเนือ้ หา งานเขยี นมคี วามสมบรู ณ์
ภาษา การส่ือสาร และการประยุกต์ใชใ้ นชีวิตประจำ� วัน 10-43 1.3.5 เลอื กเรอ่ื งทเี่ ปน็ ประโยชน์ ผเู้ ขยี นควรเขยี นเรอ่ื งทจ่ี ะทำ� ใหผ้ อู้ า่ นไดร้ บั ความรใู้ หแ้ นวคดิมสธใหค้ วามเพลิดเพลิน และชว่ ยจรรโลงสังคมปลูกฝังใหผ้ ู้อา่ นเป็นผมู้ ีศลี ธรรม จรยิ ธรรม หลักพ้ืนฐานของการเขียนทกุ เรอ่ื งทกุ รูปแบบ ต้องมกี ารวางโครงเรื่อง การตงั้ ชือ่ เรอ่ื ง การเขียนค�ำน�ำ เนื้อเร่ือง และสรุป จึงจะล�ำดับความได้สมบูรณ์ เพ่ือท่ีจะให้ผู้อ่านเข้าใจความคิดของผู้เขียนไดด้ ี โดยอาจแบง่ เปน็ ตอนๆ หรอื เปน็ ยอ่ หนา้ เพอื่ ใหส้ รปุ ความคดิ แตล่ ะตอนไดค้ รบถว้ นและมปี ระสทิ ธภิ าพมสธ มสธสูงสดุ 1.4 วัตถุประสงค์ในการเขียน ในการเขียนแต่ละครั้ง ผู้เขียนจะต้องก�ำหนดจุดมุ่งหมายของตนขึน้ มาว่าจะเขยี นเพือ่ จุดมุ่งหมายใด เพราะจดุ ม่งุ หมายในการเขยี นทแ่ี ตกต่างกนั จะมวี ธิ ีการเขยี นทีต่ ่างกนัดว้ ย จุดมุง่ หมายในการเขยี นมอี ยหู่ ลายประการ ดงั น้ี 1.4.1 การเขยี นเพ่อื เล่าเร่ือง เป็นการเขยี นเพ่ือถา่ ยทอดเรอื่ งราวประสบการณ์ความรู้ โดยน�ำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องตามความเป็นจริง และมีล�ำดับขั้นตอนในการน�ำเสนอท่ีชัดเจน การเขียนอาจมสธเรยี งตามล�ำดบั เหตุการณ์ โดยภาษาทีใ่ ชต้ ้องกระชบั รดั กุมเข้าใจงา่ ย 1.4.2 การเขียนเพื่ออธิบาย เป็นการเขียนชี้แจง ไขปัญหา บอกวิธีท�ำสิ่งใดส่ิงหน่ึงโดยมงุ่ หวงั ใหผ้ อู้ า่ นเกดิ ความเขา้ ใจ จงึ ตอ้ งเขยี นตามลำ� ดบั ขนั้ ตอน เหตกุ ารณ์ เหตผุ ล โดยแบง่ เปน็ หวั ขอ้ หรอืย่อหน้ายอ่ ยๆ เพื่อให้เกดิ ความเขา้ ใจงา่ ยย่งิ ข้ึน 1.4.3 การเขยี นเพอ่ื แสดงความคดิ เหน็ เปน็ การเขยี นแสดงความคดิ ของผเู้ ขยี นในเรอื่ งตา่ งๆมสธ มสธซง่ึ อาจเปน็ เรอื่ งของการเสนอแนวความคิด คำ� แนะนำ� ข้อคดิ ขอ้ เตือนใจ หรือบทปลุกใจ โดยผเู้ ขยี นต้องมขี อ้ มลู หรอื ประเดน็ ทจ่ี ะกลา่ วถงึ จากนน้ั จงึ แสดงความคดิ ของตนทอ่ี าจสนบั สนนุ หรอื ขดั แยง้ หรอื นำ� เสนอแนวคดิ ใหม่เพ่ิมเติมจากประเดน็ ขอ้ มูลที่มีอยู่ ทัง้ นี้ เพื่อใหผ้ ูอ้ า่ นคล้อยตามความคิดเห็นของผู้เขยี น ดว้ ยเหตุนีผ้ ู้เขียนจงึ ตอ้ งมีขอ้ เท็จจริง หลักฐาน เหตุผลสนับสนุนความคิดเหน็ ดังกลา่ วของตน 1.4.4 การเขียนเพื่อชักจูงใจ เป็นการเขียนโน้มน้าวเชิญชวนให้ผู้อ่านสนใจในข้อเขียนที่น�ำเสนอ ซึ่งรวมถึงการเขียน เพื่อเปล่ียนความรู้สึก ทัศนคติของผู้อ่าน ให้คล้อยตามกับข้อเขียนด้วยมสธผ้เู ขยี นจ�ำเปน็ ต้องมีความรู้ความเข้าใจในหลักจติ วิทยาพ้นื ฐานของมนษุ ย์ เพอื่ เลอื กใช้วิธจี งู ใจไดเ้ หมาะสมกับบุคคล นอกจากน้ีข้อเขียนท่ีชักจูงใจจะต้องประกอบด้วยเหตุและผลที่น่าเช่ือถือและต้องแสดงให้ผู้อ่านประจักษไ์ ดว้ ่าผเู้ ขียนเป็นผูม้ ีคุณธรรม สมควรแก่การคลอ้ ยตาม 1.4.5 การเขียนเพื่อสร้างจินตนาการ เป็นการเขียนท่ีผู้เขียนเลือกใช้ถ้อยค�ำอย่างประณีตเพือ่ ถ่ายทอดความรู้สึกและจนิ ตนาการของตนออกมาใหผ้ ู้อ่านเกดิ ภาพตามทตี่ นเองต้องการ การเขยี นในมสธ มสธลักษณะนี้จะเป็นการเขียนเชิงสร้างสรรค์ท่ีปรากฏออกมาในรูปบทร้อยกรอง เร่ืองส้ัน นวนิยาย บทละครบทภาพยนตร์ 1.5 การวิเคราะห์ผู้อ่าน การเขยี นเป็นกระบวนการสง่ สาร จึงจำ� เปน็ ตอ้ งมีผ้รู บั สารคือ ผ้อู า่ น ดังนั้น ก่อนลงมือเขียน ผู้เขียนควรตระหนักให้แน่ชัดในประเด็นน้ี โดยวิเคราะห์ความแตกต่างของผู้อ่านในเรอื่ ง วยั เพศ การศกึ ษา รายได้ เพราะบคุ คลทมี่ คี วามแตกตา่ งกนั ยอ่ มมคี วามสนใจในการอา่ นทไี่ มเ่ หมอื นมสธกันด้วย โดยมเี ทคนิคเบื้องต้นในการวเิ คราะห์ผอู้ า่ น ดงั นี้
10-44 จติ วิทยาเพอื่ การดำ� รงชีวติ 1.5.1 ผู้อ่านมคี วามรเู้ รอื่ งที่ผู้เขยี นจะเขียนนน้ั แล้วหรอื ไม่ มากนอ้ ยเพยี งใด มสธ1.5.2 ผอู้ า่ นควรทราบข้อมูลอะไรบ้างเก่ียวกับหวั ข้อนั้น 1.5.3 ผอู้ ่านคาดหวงั อะไรจากเรือ่ งท่ีเขยี น 1.5.4 ผูอ้ า่ นมีทศั นคติตอ่ เร่ืองท่เี ขยี นอย่างไร 1.5.5 ท�ำไมผอู้ ่านจึงสนใจและทำ� ไมจึงไม่สนใจเรือ่ งทีเ่ ขียนมสธ มสธ1.5.6 ขอ้ มลู ประเภทใดท่ีผอู้ ่านยอมรบั และเชอื่ ถือ 1.5.7 เขียนอย่างไรให้เหมาะกบั ผู้อ่าน 1.6 การเลือกใช้ภาษาให้เหมาะสม ต้องมีความรู้ในการสะกดค�ำและการใช้ค�ำ ประโยค ส�ำนวนโวหาร ตลอดจนเรอ่ื ง วรรคตอน การใชเ้ ครอ่ื งหมายในการเขยี นแบบตา่ งๆ มกี ารทบทวน ขดั เกลา สำ� นวนภาษาให้ถูกต้อง ชดั เจน โดยการใชภ้ าษาควรเป็นไปตามหลกั 7 C’s ดงั น้ี 1.6.1 มคี วามชดั เจน (Clarity) มสธ1.6.2 มคี วามสมบูรณ์ (Completeness) 1.6.3 มคี วามรดั กุมและเข้าใจงา่ ย (Conciseness) 1.6.4 ระลึกถึงผู้อา่ น (Consideration) 1.6.5 มีความสภุ าพ (Courtesy) 1.6.6 มคี วามถกู ตอ้ ง (Correct)มสธ มสธ1.6.7 มคี วามเปน็ รูปธรรมชัดเจน (Concreteness) 1.7 ตัวอย่างการใช้ประโยชน์ท่ีส�ำคัญจากการเขียนในการท�ำงาน ความส�ำเร็จในหน้าที่การงานจะมาคู่กับทักษะในการส่ือสารที่ดีเย่ียม โดยการส่ือสารท่ีดีมีประสิทธิภาพในด้านการเขียน มักเป็นส่วนส�ำคัญของความส�ำเร็จในการปฏิบัติงาน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคธุรกิจ โดยท่ัวไป ซ่ึงต้องใช้ทักษะการเขยี นในกิจกรรมดงั ตอ่ ไปน้ี 1) การเขียนจดหมาย 2) การเขียนบันทึกช่วยจำ� 3) การเขียนรายงาน และ4) การบันทกึ รายงานการประชุม มสธ1.7.1 การเขียนจดหมาย ส่วนส�ำคัญที่สุดของการเขียนจดหมาย ได้แก่ การก�ำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน (purpose) เช่น จดหมายแสดงความขอบคุณ จดหมายปฏิเสธ จดหมายขอร้องจดหมายร้องเรียน จดหมายยกย่องชมเชย หรือจดหมายขอโทษ ฯลฯ และต้องมีลักษณะของความเป็นสว่ นตัว (personalize) สดุ ท้ายก่อนทจี่ ดหมายจะถกู สง่ ออกไปจะต้องมกี ารทบทวน แกไ้ ข (proofread)เปน็ ตน้มสธ มสธ1.7.2 การเขยี นบนั ทกึ ชว่ ยจำ� เปน็ การสอ่ื สารทอี่ าศยั ความตอ้ งการเฉพาะบคุ คล หรอื สำ� หรบัการใช้ภายในองค์กร บันทึกนี้มักมีความยาวไม่เกินหนึ่งหน้ากระดาษ ประกอบด้วยส่วนส�ำคัญสองส่วนไดแ้ ก่ 1) สว่ นหัว (Headding) ได้แก่ ชอื่ ผรู้ ับ ชื่อผ้สู ง่ วันท่ีสง่ และช่อื เรื่อง 2) ส่วนเนือ้ หา (Content) บนั ทึกชว่ ยจ�ำไม่จ�ำเปน็ ตอ้ งละเอียด สรปุ ใจความสำ� คัญๆเทา่ นน้ั หลกี เลย่ี งการใชค้ ำ� ศพั ทเ์ ฉพาะ คำ� ยอ่ หรอื ศพั ทเ์ ทคนคิ ศพั ทว์ ทิ ยาศาสตร์ มวี ตั ถปุ ระสงคท์ ช่ี ดั เจนมสธสามารถตอบค�ำถาม 5 W (ใคร: who, อะไร: what, ท่ีไหน: where, เมอื่ ไหร่: when และทำ� ไม: why)
ภาษา การสื่อสาร และการประยุกตใ์ ช้ในชวี ติ ประจำ� วัน 10-45 1.7.3 การเขยี นรายงาน ตอ้ งมจี ดุ ประสงคข์ องการเขยี นรายงานชดั เจนตรงกบั ความตอ้ งการมสธมกี ารค้นหาขอ้ มลู มีการจดั ลำ� ดับการเขียน ซึ่งถือเป็นสว่ นสำ� คัญอย่างย่ิงในการเขียนรายงาน เพราะ เม่ือผไู้ ดร้ บั รายงานอา่ นแลว้ จะสามารถเขา้ ใจงา่ ย และสามารถตดั สนิ ใจ หรอื ดำ� เนนิ การใดๆ ไดต้ ามวตั ถปุ ระสงค์ของการเขียนรายงานน้ัน สว่ นประกอบสำ� คญั ของการเขียนรายงาน ได้แก่ 1) หนา้ ปก (Cover page)มสธ มสธ2) บทคดั ยอ่ (Executive summary) 3) สารบญั (Table of contents) 4) บทน�ำ (Introduction) 5) เนอื้ หาของรายงาน (Body of the report) 6) บทสรุป (The Conclusion) 7) ภาคผนวก (Appendixes) ได้แก่ บรรณานกุ รม กับอภธิ านศพั ท์ มสธข้อควรจ�ำของการเขียนรายงาน - ใชภ้ าษาท่ถี ูกตอ้ ง - เขยี นด้วยรปู แบบทใี่ หเ้ กยี รตผิ ู้อ่นื ท่เี กีย่ วข้อง - สรปุ ให้กะทัดรดั แตไ่ ด้ใจความชดั เจน - อยา่ ใชศ้ ัพท์เฉพาะทาง (Technical terms)มสธ มสธ- แนบภาคผนวก หรืออภิธานศพั ท์ ตามความเหมาะสม - บอกแหลง่ ทมี่ าของขอ้ มลู อยา่ งชดั เจน ทง้ั ในรปู บรรณานกุ รม (Bibliography) เชงิ อรรถ(Footnote) หรอื หมายเหตุ (Endnote) 1.8 การบนั ทึกรายงานการประชุม มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ ใหผ้ ทู้ ไ่ี มไ่ ดเ้ ขา้ รว่ มประชมุ สามารถตดิ ตาม/รบั ทราบรายละเอยี ดของการประชมุ จนสามารถเขา้ ใจและปฏบิ ตั งิ านได้ ผบู้ นั ทกึ รายงานการประชมุ จงึ ตอ้ งมีทักษะทางด้านการฟงั และการเขียนเป็นสว่ นประกอบสำ� คญั โดยผ้มู ีหนา้ ทีบ่ นั ทกึ การประชมุ ต้อง มสธ1.8.1 ตง้ั ใจฟัง 1.8.2 บนั ทึกเปน็ ลายลักษณอ์ กั ษร ชวเลข หรือบันทกึ เสียงการประชุมในกรณีที่เหมาะสม 1.8.3 ถอดความจากบันทกึ ทนั ทีหลังจากสน้ิ สุดการประชุม 1.8.4 ตรวจทาน พสิ จู น์อกั ษรมสธ มสธ มสธ1.8.5 ใชภ้ าษาท่ถี ูกต้อง ชดั เจนและเข้าใจง่าย
10-46 จติ วิทยาเพือ่ การด�ำรงชีวิตมสธกิจกรรม 10.3.2 1. จงอธบิ ายถงึ ความรู้พื้นฐานและองค์ประกอบของกระบวนการของการเขยี นทดี่ ี 2. การเลือกเร่อื ง ค้นควา้ และวางแผนกอ่ นลงมอื เขยี นท่เี หมาะสมมวี ธิ ีการอย่างไรบา้ ง 3. จงอธิบายวธิ ีการเลือกใชภ้ าษาให้เหมาะสมในงานเขยี นในภาพรวม 4. ส่วนประกอบสำ� คัญของการเขยี นรายงานที่เป็นทางการ ได้แก่อะไรบา้ งมสธ มสธแนวตอบกิจกรรม10.3.2 1. ความรู้พ้ืนฐานและกระบวนการของการเขยี นที่ดี มอี งคป์ ระกอบดังตอ่ ไปนี้ 1.1 มีการเลือกเร่อื ง คน้ คว้าและวางแผนในการเขยี น 1.2 ต้องเขา้ ใจวัตถุประสงค์ในการเขยี นทีช่ ัดเจน 1.3 ต้องรู้ว่าผูร้ บั สารเป็นใคร คือ มีกลุ่มเป้าหมายชดั เจน มสธ1.4 มีความรใู้ นหลกั ไวยากรณ์เลือกใชภ้ าษาให้เหมาะสมและลลี าการเขยี นทถ่ี กู ตอ้ ง 2. การเลือกเรื่อง คน้ ควา้ และวางแผนกอ่ นลงมอื เขยี นท่ีเหมาะสม มวี ิธีดังน้ี 2.1 เลอื กเร่อื งที่ผูเ้ ขียนถนดั และสนใจ 2.2 เลอื กเร่ืองทผี่ ู้เขียนมีความรแู้ ละประสบการณ์มสธ มสธ2.3 เลือกเรือ่ งท่ีผู้อา่ นทีเ่ ป็นกลมุ่ เปา้ หมายสนใจ 2.4 เลอื กเร่ืองท่ีสามารถจ�ำกัดขอบเขตได้ เพ่อื ทำ� ให้การเขยี นครอบคลุมเนอ้ื หาและมีความสมบูรณ์ 2.5 เลอื กเรอ่ื งทเ่ี ปน็ ประโยชน์ ทำ� ใหผ้ อู้ า่ นไดร้ บั ความรู้ ใหแ้ นวคดิ ใหค้ วามเพลดิ เพลนิ และช่วยจรรโลงสงั คม 3. วธิ กี ารเลอื กใชภ้ าษาใหเ้ หมาะสมสำ� หรบั งานเขยี น คอื จะตอ้ งมคี วามรใู้ นการสะกดคำ� และการมสธใชค้ ำ� ประโยค สำ� นวนโวหาร ตลอดจนเรื่อง วรรคตอน การใช้เครอ่ื งหมายในการเขียนแบบตา่ งๆ มกี ารทบทวน ขดั เกลา สำ� นวนภาษาใหถ้ กู ตอ้ ง ชดั เจน โดยการใชภ้ าษาควรเปน็ ไปตามหลกั 7 C’s คอื มคี วามชัดเจน มคี วามสมบูรณ์ มีความรัดกมุ และเข้าใจง่าย ระลกึ ถึงผอู้ ่าน มคี วามสุภาพ ความถกู ต้อง และเปน็รปู ธรรมชดั เจน 4. ส่วนประกอบสำ� คญั ของการเขียนรายงาน ได้แก่ หน้าปก บทคัดย่อ สารบญั บทน�ำ เนอ้ื หามสธ มสธ มสธของรายงาน บทสรปุ ภาคผนวก ได้แก่ บรรณานุกรม กับอภิธานศัพท์
ภาษา การส่อื สาร และการประยุกตใ์ ช้ในชวี ติ ประจ�ำวัน 10-47มสธเรื่องที่ 10.3.3การส่ือสารในชีวิตประจ�ำวันอื่น ๆมสธ มสธการส่ือสารมีความส�ำคัญต่อมนุษย์มากในหลายๆ ด้านดังที่กล่าวมาแล้วในเน้ือหาข้างต้นโดยเฉพาะในเร่ืองของการสรา้ งสมั พันธภาพและการเกือ้ กลู กันในสงั คม ปจั จุบัน ศาสตร์ของการสือ่ สารจึงถูกพฒั นาอย่างเป็นระบบและสามารถประยุกต์ใช้เปน็ สอื่ กลางที่ท�ำใหม้ นษุ ยส์ ามารถอยรู่ ว่ มกันในสังคมได้อยา่ งราบรื่นได้หลายวธิ กี าร นอกเหนือจากการพูดในท่ชี ุมชนและการเขียนแล้ว ยงั มีรปู แบบการสนทนาที่เป็นประโยชน์ ซง่ึ ในทีน่ ้ี จะกลา่ วถงึ ตัวอย่างสำ� คัญสองเรือ่ ง คอื การใหก้ ารปรกึ ษาและสนุ ทรียสนทนามสธ1. การให้การปรึกษา (Counselling) 1.1 ความหมายของการให้การปรึกษา การให้การปรึกษาเป็นกระบวนการสื่อสารท่ีมีคุณค่าในการช่วยเหลือผู้ที่ประสบปัญหาให้สามารถตัดสินใจเลือกวิธีการแก้ปัญหาและผ่านพ้นอุปสรรคช่วงวิกฤตของชีวิตไปได้ด้วยตัวเอง การให้การปรึกษาจึงเป็นเร่ืองละเอียดอ่อนที่ผู้ให้ค�ำปรึกษา (Counsellor) พึงปฏบิ ตั ติ อ่ ผู้มาขอรับการปรกึ ษา (counselee หรือ client) อยา่ งเอาใจใส่ ผ้ใู ห้การปรกึ ษาต้องมคี วามเป็นมสธ มสธกันเอง น่านบั ถอื ไวใ้ จได้ รกั ษาความลับได้ มีทศั นคติที่ดี มีทกั ษะในการใช้ภาษาและการสอ่ื สารที่ดี และควรมีความรเู้ ปน็ อย่างดใี นเรอ่ื งท่ีจะใหก้ ารปรกึ ษา 1.2 วัตถุประสงค์ในการให้การปรึกษา 1.2.1 เพื่อให้ผู้รับการปรึกษาได้พูดระบายความรู้สึกคับข้องใจ อันจะท�ำให้เกิดความเข้าใจในความหมายของปัญหาและเหตกุ ารณ์นั้นๆ ได้ 1.2.2 เพอ่ื ใหเ้ กดิ สมั พนั ธภาพและความรว่ มมอื ระหวา่ งผใู้ หก้ ารปรกึ ษาและผรู้ บั การปรกึ ษามสธในการที่จะวางแผนเผชญิ และแก้ไขสถานการณป์ ัญหาของผรู้ บั การปรกึ ษาเองได้ 1.3 คุณสมบัติผู้ให้การปรึกษา ผ้ใู หก้ ารปรกึ ษา คือ ผทู้ ่ีถูกฝึกอบรมใหม้ ีทักษะเหมาะสมต่อการทำ� หน้าท่ีให้การปรกึ ษา อย่างไรกต็ าม ผ้ใู ห้การปรึกษากย็ ังเปน็ คนผูซ้ ง่ึ มีความต้องการทางรา่ งกาย จติ ใจและสังคม เป็นผู้ซึ่งถูกขัดเกลามาจากพื้นฐานครอบครัวและการใช้ชีวิตต่างๆ ท�ำให้มีพื้นฐานความเชื่อคา่ นิยมในเร่ืองราวต่างๆ ที่ไมเ่ หมอื นกนั ตลอดจนอาจเป็นผ้ทู มี่ จี ุดอ่อน จดุ เดน่ ในตัวเองที่แตกตา่ งกันไปมสธ มสธลกั ษณะทแี่ ตกตา่ งกนั นเี้ อง อาจมอี ทิ ธพิ ลสง่ เสรมิ หรอื ขดั ขวางในการใหก้ ารปรกึ ษาตอ่ ผทู้ ม่ี ปี ญั หาตา่ งๆ ในชีวิตได้ ดังน้ัน ผู้ให้การปรึกษาจ�ำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักตนเอง รู้ว่าตัวเองมีความเช่ือและค่านิยมเกย่ี วกบั พฤตกิ รรมเสย่ี งตา่ งๆ อยา่ งไร และรจู้ กั ระวงั ตนเองในการแสดงออกทางวาจาและทา่ ทางขณะใหก้ ารปรึกษาแนะนำ� อยา่ งเหมาะสม รจู้ ักควบคุมและเผชญิ อารมณ์ ความรสู้ กึ ความกลวั หรือความรูส้ กึ รังเกยี จให้อยู่ในสภาพท่ีไมข่ ัดขวางการใหก้ ารปรกึ ษาให้มากที่สุด โดยท่ัวไป ผูใ้ ห้การปรึกษา ควรเปน็ ผทู้ ่มี ีความเชือ่ ม่ันในตนเอง มีบคุ ลิกมน่ั คง สามารถควบคุมอารมณ์ รบั ฟังปญั หา และระบายความในใจได้ มลี กั ษณะมสธการวางตวั ทนี่ า่ ยอมรบั และเชอื่ ถอื สามารถสรา้ งสมั พนั ธภาพทด่ี ี มที า่ ทเี ปน็ กนั เอง มคี วามเสยี สละ อดทน
10-48 จิตวิทยาเพื่อการด�ำรงชีวิตตง้ั ใจทจี่ ะรบั ฟงั และรว่ มสนบั สนนุ การแกป้ ญั หา ผใู้ หก้ ารปรกึ ษาทดี่ ี จะตอ้ งมจี รรยาบรรณ มคี วามสามารถมสธในการสือ่ สารเป็นอย่างดีและรจู้ กั รกั ษาความลับ 1.4 หลักการให้การปรึกษา 1.4.1 พงึ ปฏบิ ัติต่อผู้รบั การปรกึ ษาอย่างให้เกียรติ เคารพความแตกตา่ งของแตล่ ะบุคคล 1.4.2 ให้ผู้รับการปรึกษาได้แสดงออกอย่างอิสระและท�ำความเข้าใจถึงการแสดงออกทางมสธ มสธความรสู้ กึ ของเขา 1.4.3 สามารถควบคุมอารมณ์ขณะให้การปรึกษา ไม่คล้อยตาม แต่ไวต่อความรู้สึกท่ีผู้รับการปรกึ ษาแสดงออก สามารถทำ� ความเขา้ ใจแลว้ ตอบสนองไดอ้ ย่างเหมาะสม 1.4.4 พงึ ใหผ้ รู้ บั การปรกึ ษาตดั สนิ ใจดว้ ยตนเอง โดยผใู้ หก้ ารปรกึ ษาอาจเสนอทางเลอื กหรอืใหข้ อ้ มลู ทางออกหลายๆ ทาง ใหเ้ ขาพจิ ารณาหาทางทดี่ ที ส่ี ดุ สำ� หรบั ตวั เขาในการแกไ้ ขหรอื ปอ้ งกนั ปญั หา 1.4.5 พึงรักษาความลับของผู้รับการปรึกษา มิฉะน้ันอาจน�ำความเสียหายมาสู่ผู้รับการมสธปรึกษาและผู้เก่ยี วขอ้ งได้ 1.4.6 พึงระวังไม่ยึดค่านิยมของผู้ให้การปรึกษาเป็นหลักในการตัดสินใจ แต่ต้องท�ำความเขา้ ใจตอ่ ปญั หาและพฤตกิ รรมตา่ งๆ ของผรู้ บั การปรกึ ษาและวเิ คราะหป์ ญั หาไปพรอ้ มๆ กบั ผรู้ บั การปรกึ ษาเพ่อื เขาจะไดเ้ รียนรู้ตนเองมากข้นึ 1.5 ข้ันตอนในการให้การปรึกษา ขั้นตอนในการให้ค�ำปรกึ ษาแนะนำ� น้ันเราใชค้ �ำวา่ - GATH-มสธ มสธER - ซึง่ ประกอบดว้ ย 1.5.1 G - Greeting การต้อนรับ ท่าทาง ค�ำพูด ที่สร้างสัมพันธภาพที่ดี - เมอื่ ผรู้ ับการปรึกษาเข้ามา มีการกล่าวคำ� ทกั ทาย เชอ้ื เชญิ ควรจดั เกา้ อี้ระยะห่างระหว่างผู้ให้ค�ำปรึกษาและผู้รับค�ำปรึกษาให้อยู่ในระยะที่พอดี ไม่ไกลจนเกิดอาการเกร็ง หรือห่างเกินไปจนตอ้ งใชเ้ สียงดงั - มกี ารสบสายตา (eye contact) ทเ่ี หมาะสม มสธ- ท่าน่ังควรจะให้เรียบร้อย ไม่ควรนั่งเผชิญหน้า ควรต้ังเก้าอี้อยู่ทางด้านข้างท�ำมุมหกสบิ องศาหรือมุมฉากตอ่ กนั ซ่ึงช่วยใหเ้ ห็นภาษากายของผ้มู ารับการปรกึ ษาด้วย - เปดิ ประเดน็ การพดู คยุ ดว้ ยคำ� พดู กลางๆ เชน่ มอี ะไรจะใหช้ ว่ ยบา้ ง มอี ะไรทม่ี าวนั น้ีหลังจากทราบความต้องการของผูร้ บั คำ� ปรึกษาแล้วจึงเขา้ สกู่ ารซกั ถามข้อมูล 1.5.2 A - Active listening การฟังอย่างต้ังใจมสธ มสธ- ควรฟังด้วยท่าทางท่ีเปน็ มิตร มีการสบสายตา โนม้ ตวั ไปขา้ งหนา้ เล็กนอ้ ย ซ่ึงเปน็ภาษากายหรืออวจั นภาษาท่ีสะทอ้ นถงึ ความใสใ่ จ - ให้ความสนใจตอบสนองต่อส่ิงที่ผู้รับการปรึกษาบอกเล่าด้วยการตั้งค�ำถามท่ีสอดคลอ้ งกบั เรอื่ งราวไดเ้ หมาะสม มกี ารพยกั หนา้ รบั รู้ และสามารถจดั การกบั ความเงยี บในระหวา่ งใหก้ ารมสธปรึกษาได้ อาทิ ใช้การสะทอ้ นความร้สู กึ การทวนความหรือคำ� ถามชว่ ยเมื่อเกิดความเงียบ
ภาษา การสือ่ สาร และการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ�ำวนั 10-49 1.5.3 T - Telling เป็นกระบวนการบอกเล่าท่ีจะช่วยเหลือในการมองหาปัญหา เพราะในมสธบางกรณี สิ่งท่ีน�ำมาบอกเล่าเร่ิมต้นอาจเป็นปัญหาท่ีผิวเผิน กระบวนการบอกเล่านี้จะช่วยน�ำไปสู่การค้นพบรากฐานปัญหาท่ีแท้จริงหรือต้นเหตุซึ่งต้องขจัดออกไป การตั้งค�ำถามท่ีดีจะช่วยให้กระบวนการนี้ราบรน่ื ขนึ้ โดยคำ� ถามทใี่ ชส้ ว่ นมากจะใชค้ ำ� ถามปลายเปดิ เชน่ อะไร อยา่ งไร พอจะบอกหรอื เลา่ เหตกุ ารณ์ไดไ้ หม ทั้งนี้ ควรหลกี เลีย่ งคำ� ถาม “ทำ� ไม” เพราะมักสร้างความรสู้ ึกถกู คาดค้นั แก่ผฟู้ ัง นอกจากนี้ ยงัมสธ มสธควรระมดั ระวงั คำ� ถามไมใ่ หเ้ กดิ ความรสู้ กึ ตำ� หนติ เิ ตยี น สว่ นคำ� ถามปดิ สามารถใชใ้ นกรณตี อ้ งการคำ� ยนื ยนั 1.5.4 H - Helping ช่วยให้มีการตัดสินใจแก้ปัญหาได้ โดยการให้ข้อมูลความรู้ท่ีถูกต้องเสนอแนวทางเลอื กใหห้ ลายๆ วธิ ี 1.5.5 E - Explaining อธบิ ายขอ้ ดขี องแตล่ ะแนวทางทเ่ี สนอ ขอ้ เสยี ทม่ี เี พอื่ ใหเ้ จา้ ของปญั หาตดั สนิ ใจเลอื กวธิ กี ารและแนวทางในการแกป้ ญั หาดว้ ยตวั เอง หลงั จากนน้ั จะสรปุ ความเพอื่ ผรู้ บั การปรกึ ษาได้เขา้ ใจปัญหาของตนเองไดเ้ ดน่ ชัดข้ึน รวมท้งั สรปุ แนวทางการแก้ไขท่ีผู้รบั การปรกึ ษาไดเ้ ลือกแลว้ มสธ1.5.6 R - Refer บางครั้งในการให้การปรึกษา ผู้ท�ำหน้าที่ให้การปรึกษามีข้อขัดข้องบางประการ ไม่สามารถให้การปรึกษาแกผ่ ู้รับคำ� ปรึกษาไดต้ ลอด เช่น อาจมขี อ้ ขดั แยง้ รู้สกึ มีอคตติ ่อผู้มารับการปรึกษา หรือปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาท่ีต้องการความรู้ความช�ำนาญในวิชาชีพหนึ่งโดยเฉพาะผู้ให้การปรึกษาสามารถส่งต่อผู้มารับการปรึกษาให้กับผู้อื่นท่ีมีความรู้ความช�ำนาญในด้านน้ัน เช่นนักกฎหมาย แพทย์ จติ แพทย์ เป็นต้น เพ่อื ชว่ ยใหผ้ ู้รบั การปรึกษาได้รบั ประโยชนอ์ ยา่ งเตม็ ท่ีมสธ มสธการใหก้ ารปรกึ ษาแนะน�ำจะได้รบั ความส�ำเรจ็ ข้นึ อย่กู ับการนำ� เอาความรู้ เจตคตทิ ีด่ ี และมีทกั ษะในเรอื่ งใช้ภาษา การสือ่ สาร รวมทั้งการให้ค�ำปรกึ ษาและนำ� ส่งิ เหลา่ นีม้ าประยุกตใ์ ชใ้ หเ้ หมาะสมได้2. สุนทรียสนทนา “Dialogue” 2.1 ความหมายของสุนทรียสนทนา ตามแนวทางของ David Bohm คอื กระบวนการสนทนาทเ่ี น้นการฟังอย่างลึกซ้งึ ใคร่ครวญ และไม่ด่วนตัดสนิ มสธคำ� วา่ dialogue มผี นู้ ำ� ไปใชใ้ นสำ� นวนภาษาไทยทแี่ ตกตา่ งกนั หลายสำ� นวน เชน่ “สนุ ทรยี สนทนา”“วาทวิจารณ”์ “การสนทนาอย่างสรา้ งสรรค”์ หรอื “การสนทนาเพอ่ื คดิ รว่ มกัน” เป็นต้น อยา่ งไรกต็ ามในทนี่ จี้ ะเลอื กใชค้ ำ� วา่ “สนุ ทรยี สนทนา” แทนคำ� วา่ dialogue ในความหมายของ David Bohm เนอื่ งจากข้อความกระชับ และส่ือถึงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Bohmian Dialogue ซึ่งให้ความหมายของมสธ มสธ‘dialogue’ วา่ มใิ ชเ่ พยี งแคก่ ารเขา้ ใจความหมายของคำ� ทพ่ี ดู ออกมา แตเ่ ปน็ การเขา้ ถงึ stream of meaningหรือ “กระแสธารของความหมาย” ท่ีไหลเลื่อนเคลื่อนที่ ถ่ายเทไปหากันได้โดยปราศจากการปิดกั้น(blocking) ของส่ิงสมมติใดๆ ท่ีมนุษย์สร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฐานคติเดิมที่ฝังอยู่ในความคิดความเช่ือ(presupposition) วธิ ีการก�ำหนดใจเพอื่ รบั รู้โลกภายนอก (assumption) รวมท้ังวัยวฒุ ิ คณุ วุฒิ อำ� นาจหรือต�ำแหนง่ หนา้ ทีใ่ ดๆ ท่บี คุ คลได้มาจากการเปน็ สมาชกิ ของสงั คมใดสงั คมหนึง่ 2.2 หลักการของสุนทรียสนทนา กระบวนการแบบสนุ ทรยี สนทนา คอื การสรา้ งพนื้ ทกี่ ารสอื่ สารทเ่ี ออื้ ตอ่ การคดิ รว่ มกนั อยา่ งเสมอภาค ซงึ่ แตกตา่ งจากในสภาวะทวั่ ไปทแ่ี ตล่ ะบคุ คลจะเรมิ่ ตน้ จากความคดิมสธของตนคนเดยี ว และน�ำความคิดของตนเองนี้ออกไปปะทะประสานกบั คนอืน่ ในรูปของการสอื่ สารหรือการ
10-50 จติ วทิ ยาเพอื่ การด�ำรงชีวติถกเถยี ง โตแ้ ยง้ ทำ� ให้มโี อกาสเกิดการแบ่งแยกเป็นฝ่ายแพ้ ฝา่ ยชนะ และฝ่ายถูกฝา่ ยผดิ อนั เปน็ การนำ�มสธไปสคู่ วามขดั แยง้ ทรี่ นุ แรงมากขนึ้ เรอ่ื ยๆ สนุ ทรยี สนทนาจงึ เปน็ แนวทางทดี่ สี ำ� หรบั การนำ� เอาความคดิ ของแต่ละบุคคลมาเสนอแนะและรบั ฟังซง่ึ กันและกนั โดยไมม่ ีการตดั สินด้วยขอ้ สรปุ ใดๆ บนหลกั การดงั นี้ - การพดู คยุ กนั โดยไมม่ หี วั ขอ้ หรอื วาระทต่ี ายตวั ไวล้ ว่ งหนา้ (No agenda) และไมม่ เี ปา้ หมายเพอ่ื คน้ หาขอ้ สรปุ รว่ มกนั เพราะจะเปน็ การเปดิ ชอ่ งวา่ งใหอ้ ำ� นาจเขา้ มาชน้ี ำ� เขา้ หาผลประโยชนข์ องตนเองมสธ มสธโดยใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือ คนในวงสนทนาสามารถพูดเร่ืองอะไรก็ได้ ถามอะไรข้ึนมาก็ได้ คนในวงสนทนาจะตอบหรอื ไมต่ อบกไ็ ด้ แตก่ ม็ ไิ ดห้ มายความวา่ สนุ ทรยี สนทนา เปน็ การพดู คยุ แบบเรอ่ื ยเปอ่ื ยหรอืตลกโปกฮา ตรงกนั ขา้ ม พฤตกิ รรมเหลา่ นี้ เปน็ สงิ่ ตอ้ งหา้ มในวงสนุ ทรยี สนทนา ทงั้ นี้ เพอ่ื มใิ หอ้ ารมณแ์ บบสรวลเสเฮฮาเหลา่ นี้ กลายเปน็ อปุ สรรคตอ่ ความสงบ และรบกวนสมาธขิ องผเู้ ขา้ รว่ มวงสุนทรยี สนทนา - ปลดปล่อยจิตใจให้เป็นอิสระ (deliberation) เพ่ือให้สามารถเรียนรู้จากการฟังได้อย่างไม่มีข้อจ�ำกัด พยายามปล่อยวางวาระ เป้าหมายส่วนตัว รวมท้ังความมีตัวตนหรือบทบาทฐานะเชิงมสธสัญลักษณ์ เช่น ต�ำแหน่ง ยศถาบรรดาศักดิ์ และอ�ำนาจต่างๆ เพื่อให้สามารถเข้าใจสรรพส่ิง (entities)ได้ตามสภาพทเี่ ป็นจรงิ โดยปราศจากอทิ ธิพลการปรงุ แตง่ ของส่ิงสมมติทีม่ นุษย์สรา้ งขึน้ เหลา่ นนั้ แนวคิดการสอ่ื สารนเ้ี ชอื่ วา่ พลงั ของสนุ ทรยี สนทนา คอื ความคดิ สรา้ งสรรคท์ เี่ กดิ ขน้ึ หลงั จากทกี่ ระบวนการสนุ ทรยี -สนทนาจบสิ้นลงไป โดยผู้ท่ีร่วมกระบวนการจะได้รับเองโดยไม่ต้องมีผู้ช้ีแนะการเข้าไปอยู่ในวงสุนทรีย-สนทนามสธ มสธ- “การฟงั ใหไ้ ดย้ นิ ” (deep listening) โดยพยายามไมใ่ สใ่ จวา่ เสยี งทไ่ี ดย้ นิ เปน็ เสยี งของใคร เพยี งแค่กำ� หนดใจให้รูไ้ ดว้ ่า เสียงที่ไดย้ นิ คือเสยี งของกัลยาณมิตรของเราคนหน่งึ ท่ปี รารถนาจะให้เราไดย้ นิ ไดฟ้ งั แตส่ งิ่ ดๆี เทา่ นนั้ นอกจากนี้ จะตอ้ งมกี ารเฝา้ สงั เกตอารมณแ์ ละความรสู้ กึ ของตนเองในขณะท่ีไดย้ นิ เสยี งต่างๆ ทผี่ า่ นเข้ามากระทบ เสยี งเหลา่ นั้นอาจจะเป็นเสยี งของตนเองท่ีพูดคยุ กับตนเอง เสียงของคนในวงสนทนา หรือเสยี งจากธรรมชาติ เชน่ เสยี งนกรอ้ ง น้�ำไหล เปน็ ตน้ ถ้าหากฟังอยา่ งต้ังใจ และฟังเพื่อให้ได้ยิน อาจจะมีความคิดบางอย่างวาบข้ึนมาในใจ และความคิดนั้น อาจจะถูกน�ำไปใช้ในการมสธเริม่ ต้นของการท�ำอะไรบางอย่างทีม่ ีคุณคา่ ตอ่ ตนเองและสังคมไดใ้ นอนาคต - ทกุ คนจะตอ้ งใหค้ วามเคารพตอ่ บรรยากาศของความเงยี บสงบ ปลอ่ ยอารมณใ์ หผ้ อ่ นคลายพดู จากนั พอไดย้ นิ โดยสว่ นใหญจ่ ะหลกี เลย่ี งการแนะนำ� และการตอบคำ� ถาม เพราะถอื วา่ คำ� ถามทเ่ี กดิ ขน้ึเป็นคำ� ตอบในตวั ของมนั เอง - ไม่อนุญาตให้มีการตัดสินโต้แย้งหรือสนับสนุน จนเกิดการปะทะกันทางความคิดใดๆมสธ มสธ(Suspend judgement) เพราะถา้ ปลอ่ ยใหส้ งิ่ เหลา่ นเ้ี กดิ ขนึ้ นนั่ หมายถงึ การปลอ่ ยใหแ้ ตล่ ะคนนำ� เอาฐานคติของตนออกมาประหตั ประหารกนั และจบลงดว้ ยความคดิ ของฝา่ ยใดฝา่ ยหนง่ึ ถกู ตตี กจากวงสนทนาไป ซงึ่ผดิ หลักการของสุนทรียสนทนา - ไม่มีใครสามารถบังคับใคร ให้เข้าไปน่ังอยู่ในกระบวนการสุนทรียสนทนาได้ โดยที่เขาไม่มคี วามสมคั รใจ และไมย่ อมรับเง่ือนไข 2.3 ประโยชนข์ องสนุ ทรยี สนทนา มกี ารตง้ั ขอ้ สงั เกตโดยนกั มานษุ ยวทิ ยาวา่ วธิ กี ารแบบสนุ ทรยี -มสธสนทนา เป็นวิถีปฏิบัติของคนสมัยโบราณท่ีอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ มีปฏิสัมพันธ์แบบใกล้ชิด เห็นหน้า
Search