หน่วยที่ 1 สังคมมนุษย์
สาระสาคัญ มนุษยเ์ ป็น “สตั วส์ งั คม” เพราะมนุษยด์ าเนินชีวิตอย่รู ่วมกันเป็นกล่มุ และมีความสัมพันธ์เก่ียวข้องกัน เพ่ือสนองความต้องการในด้านต่ าง ๆ รว่ มกนั ในลกั ษณะ “สถาบนั ทางสงั คม” สงั คมมนษุ ยจ์ งึ ตอ้ งมีการวางระเบียบ กฎเกณฑ์ เพ่ือใหส้ มาชิกอย่รู ว่ มกนั อย่างสงบสขุ เป็นระเบียบเรียบรอ้ ย ซง่ึ ส่ิง ท่ีช่วยจดั ระเบียบสงั คม คือ บรรทดั ฐานทางสงั คม เช่น จารีต กฎหมาย เป็น ตน้
ผังมโนทศั น์ หน่วยท่ี 1 สังคมมนุษย์ 1.1 ความหมาย ของสงั คม 1.4 การจดั หนว่ ยท่ี 1 สงั คม 1.2 กล่มุ สงั คม ระเบยี บทาง มนษุ ย์ สังคม 1.3 สถาบันทาง สงั คม
มนษุ ยเ์ ป็น “สตั วส์ งั คม” เพราะมนษุ ยด์ าเนินชีวิตอยรู่ ว่ มกนั เป็นกลมุ่ และ มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน เพ่ือสนองความต้องการในด้านต่าง ๆ ร่วมกันในลกั ษณะ “สถาบนั ทางสังคม” สงั คมมนุษยจ์ ึงตอ้ งมีการวาง ระเบียบกฎเกณฑ์ เพ่ือใหส้ มาชิกอยู่ร่วมกันอย่างสงบสขุ เป็ นระเบียบ เรยี บรอ้ ย ซง่ึ สิ่งท่ีช่วยจดั ระเบียบสงั คม คือ บรรทดั ฐานทางสงั คม เช่น จารตี กฎหมาย เป็นตน้
1.1 ความหมายของสังคม ➢ในแงภ่ าษาศาสตร์ พจนานุกรม ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ได้ให้ความหมายคาว่า “สังคม” ไว้ 3 นยั ดังน้ี 1) “สังคม” หมายถึง คนจานวนหน่ึงท่ีมีความสัมพันธ์ต่อเน่ืองกันตามระเบียบ กฎเกณฑ์ โดยมีวตั ถปุ ระสงคส์ าคญั รว่ มกนั เชน่ สงั คมชนบท 2) “สังคม” หมายถงึ วงการหรอื สมาคมของคนกลมุ่ ใดกลมุ่ หนง่ึ เชน่ สงั คมชาวบา้ น 3)“สังคม” หมายถึง ท่ีเก่ียวกบั การพบปะสงั สรรคห์ รอื ชุมนมุ ชน เช่น วงสงั คม งาน สงั คม
➢ในแงส่ ังคมวทิ ยา นกั สังคมวิทยาใหน้ ยิ ามของ “สังคม” ไว้ 2 ประการ ดังนี้ 1) “สังคม” หมายถึง คนท่ัวไปท่ีถือไดว้ ่าเป็นกลุ่ม ๆ หน่ึง และความหมาย รวมถึงความสมั พนั ธท์ างสงั คมทุกอย่างของบุคคล และกล่มุ ย่อยภายใน กลมุ่ ใหญ่ 2) “สังคม” หมายถึง คนจานวนหน่ึงท่ีเป็นกลมุ่ อิสระจากกล่มุ อ่ืน และสามารถ ดารงชีวิตไดด้ ้วยตนเอง โดยมีพืน้ ท่ีขอบเขตถ่ินฐานของตน มีสมาชิก ประกอบด้วยคนทุกเพศ ทุกวัย และมีแบบแผนการดารงชีวิตหรือ วฒั นธรรมท่ีเป็นแบบอย่างเฉพาะของตนเองไมม่ ากก็นอ้ ย
จากความหมายของคาว่า “สังคม” ขา้ งตน้ สามารถสรุปไดว้ ่า “สังคม” หมายถึง กลุ่มคน (มากกว่า 2คนขึ้นไป) ที่มี ความสัมพันธต์ ่อเนื่องกัน อาศัยอยู่ร่วมกันในขอบเขตพืน้ ที่ ที่กาหนด ประกอบด้วยคนทุกเพศ ทุกวัย มีแบบแผนการ ดารงชีวติ หรือวัฒนธรรมทเ่ี ป็ นแบบแผนตนเอง
1.2 กลุ่มสังคม การเรียนรูเ้ ก่ียวกบั กล่มุ ทางสงั คม ก่อใหเ้ กิดความรูค้ วามเขา้ ใจถึงความสาคญั ของการมีชีวิตรว่ มกัน ของคนในสงั คมไดด้ ีย่ิงขึน้ เพราะกล่มุ ทางสงั คมมีอิทธิพลต่อคนและสงั คมเป็นอย่างมาก เช่น กล่มุ ครอบครวั กลมุ่ เพ่ือนสนิท ซง่ึ จะมีอทิ ธิพลตอ่ ความคิด การประพฤตปิ ฏิบตั ิ และคา่ นิยมของบคุ คลอย่างชดั เจน ภาพที่ 1.1 สังคม
1) ความหมายของ “กลุ่ม” กลุ่ม หมายถงึ จานวนคนตัง้ แต่ 2 คน หรือมากกว่านั้น ซง่ึ อาจมีการกระทากิจกรรมระหว่างกนั เช่น กลมุ่ นกั เรยี นท่ีทาหนา้ ท่ีองคก์ ารวิชาชีพในวิทยาลยั กลมุ่ ลกู เสือพ่ีเลีย้ งในวิทยาลยั เป็นตน้ การรวมกล่มุ ของมนษุ ยม์ ีหลายลกั ษณะ หากเป็นการรว่ มกลมุ่ ช่วั คราวหรอื โดยบงั เอญิ อาจจะเรยี กวา่ “ฝูงชน” เช่น กลมุ่ คน ท่ีมารวมตวั กนั ท่ีตลาด กลมุ่ คนท่ีมาชมภาพยนตร์ เป็นตน้ หรอื บางครงั้ “กลมุ่ ” อาจจะหมายถึงคนจานวนหน่งึ ท่ีมีลกั ษณะบางอย่างคลา้ ยกนั เช่น กล่มุ ครูแผนกการโรงแรม กล่มุ นักเรียนแผนกวิชาช่างไฟฟ้ากาลงั กล่มุ มสุ ลิม กลมุ่ ชาวนา กลมุ่ นกั เรยี นแกก้ ิจกรรม เป็นตน้
กลุ่มทางสังคม หมายถึง คนจานวนหนึ่งท่ีมีการกระทากิจกรรมระหว่างกันอย่างมีระเบียบแบบ แผน กล่าวคือมีการกาหนดสถานภาพของสมาชิก และมีบรรทัดฐานทางสังคมเพ่ือควบคุม ความสัมพันธอ์ ันเป็ นทย่ี อมรับในระดับหน่ึง อาจจะเป็ นการช่ัวคราว หรือถาวรกไ็ ด้
2) ประเภทของกลุ่มทางสังคม จานงค์ อดิวฒั นสิทธิ์ และคณะ (2543) กลา่ วว่า แนวความคิดท่ี จะอธิบายถึงกลุ่มทางสังคมนั้นมีหลายแนวคิด ในท่ีนีจ้ ะกล่าวถึง แนวความคิดที่สาคญั คือ กล่มุ ปฐมภมู ิและกล่มุ ทตุ ิยภูมิ กลมุ่ วงในและ กลมุ่ วงนอก กลมุ่ อา้ งอิง
2.1) กล่มุ ปฐมภูมิและกล่มุ ทุตยิ ภูมิ กลุ่มปฐมภูมิ เป็นกลุ่มท่ีประกอบดว้ ยคน จำนวนนอ้ ยท่ีมีกำรกระทำโตต้ อบกนั ได้ โดยตรง สมำชิกรู้จกั มกั คุน้ เป็นกำรส่วนตวั และมีกำรติดต่อสมั พนั ธ์กนั หลำยดำ้ น เช่น กลุ่มครอบครัว กลุ่มเพือ่ น หรืออำจจะเป็นไป ในลกั ษณะที่ใหญ่กวำ่ น้นั เช่น ควำมสมั พนั ธ์ ของคนในหมู่บำ้ นที่รู้จกั มกั คุน้ กนั ดี ภาพท่ี 1.2 กล่มุ ปฐมภูมิ
กลุ่มทุติยภูมิ คือ กลุ่มสมำชิกที่ไม่มี ควำมผกู พนั กนั ในควำมเป็นส่วนตวั กำร ติดต่อสัมพนั ธ์กนั เป็นกำรแสดงออกตำม บทบำทหน้ำที่ จำนวนของสมำชิกกลุ่ม ทุติยภูมิอำจจะมำกหรื อน้อยก็ได้เช่น กลุ่มทำงำนหรื อคณะกรรมกำรในกำร ดำเนินงำนเร่ืองใดเรื่องหน่ึง กลุ่มสมำคม องคก์ รต่ำง ๆ ภาพท่ี 1.3 กลุ่มทุติยภูมิ
อย่างไรก็ตามกลุ่มทุติยภูมิขนาดใหญ่อาจจะมีกล่มุ ปฐมภูมิเกิดขึน้ เป็ นกลุ่มย่อย เช่น กลมุ่ เพ่ือนรว่ มงานท่ีมีความสมั พนั ธส์ นิทสนมกนั กลมุ่ เพ่ือนนิสิตในมหาวิทยาลยั กล่มุ ปฐมภมู ิท่ีมี อย่ใู นกล่มุ ทุติยภูมิขนาดใหญ่จะช่วยการทางานของกล่มุ ทุติยภมู ิดาเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ เชน่ เพ่อื นช่วยใหก้ าลงั ใจในการทางานลดขนั้ ตอนท่ีลา่ ชา้ ก็เรว็ ขนึ้ ยุคสังคมปัจจุบันบุคคลต้องใช้ชีวิตเก่ียวข้องกับกลุ่มทุติยภูมิเป็ นอันมากเช่นต้อง ทางานอยู่ในองคก์ รธุรกิจหรือหน่วยงานราชการหรือการได้รับการอบรมความรู้ความ ชานาญจากโรงเรียนหรือวิทยาลัย หรือการติดต่อหรือใช้บริการต่าง ๆ จากกลุ่มทุติยภูมิ หลายกลุ่ม ไม่ว่าชีวิตของคนในยุคใหม่จะต้องเก่ียวกับทุติยภูมิอย่างมาก แต่กลุ่มปฐมภูมิ ยังมคี วามสาคญั อย่างยง่ิ โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวและเพอื่ นร่วมงาน
2.2) กล่มุ วงในและกล่มุ วงนอก นกั สงั คมวทิ ยำสร้ำงแนวคิดท่ีเรียกวำ่ “กลุ่มวงในและกลุ่มวงนอก” ข้ึนเพ่อื ช้ีใหเ้ ห็นถึงวงเขตของ กลุ่ม คนท่ีอยใู่ นวงเขตของกลุ่มหน่ึงกค็ ือ ผู้ทไี่ ด้รับการยอมรับว่าเป็ นพวกเดยี วกนั หรือผู้ทถ่ี ูกจดั ว่าเป็ นพวก เรา คือกล่มุ วงใน ส่วนผู้ทถ่ี ูกจดั ว่าไม่ใช่พวกเราหรือผู้ทเ่ี ป็ นพวกเขาคือคนทอี่ ยนู่ อกวงเขตของกล่มุ ท่ี 1.4 ประกอบการอธิบายกลุ่มวงในและกลุ่มวงนอกภาพ
สมำชิกของกลุ่มวงในมกั จะพยำยำมรักษำ “ระยะห่างทางสังคม” กบั กลุ่มวงนอกโดยสร้ำงอคติกบั กลุ่มอ่ืน หรือเป็นปฏิปักษก์ บั กลุ่มอื่น กระบวนกำรท่ีทำใหก้ ลุ่มมีวงเขตของตนแยกจำกกลุ่มอ่ืนชดั เจนคือ การกดี กนั และ การขดั แย้งระหว่างกลุ่ม ยกตวั อยำ่ งเช่น กลุ่มนกั เรียนอำชีวศึกษำที่มกั จะใชส้ ถำบนั เพื่อที่จำกดั วงเขตของกลุ่ม ก่อใหเ้ กิดกำรกีดกนั และกำรขดั แยง้ ระหวำ่ งกลุ่ม เพียงเพรำะ “ไม่ใช่พวกเรา” ตำมข่ำวท่ีปรำกฏตำมหนำ้ หนงั สือพิมพ์ ซ่ึงเป็นเพียงกลุ่มคนส่วนนอ้ ยที่ทำใหน้ กั เรียนส่วนใหญ่ของอำชีวศึกษำตอ้ งเส่ือมเสียชื่อเสียงไปดว้ ย
2.3) กล่มุ อ้างองิ คนบำงกลุ่มบำงพวกที่เรำอำจจะเป็นสมำชิกหรือไม่ไดเ้ ป็นสมำชิกในกลุ่มน้นั แต่เรำ ยดึ เอำกลุ่มน้นั เป็นแบบอยำ่ งหรือเปรียบเทียบอำ้ งอิงกบั ตวั เรำ หรือกำรกระทำของเรำเสมอ บุคคลมกั จะยดึ ถือ กลุ่มบำงกลุ่มเป็นกลุ่มอำ้ งอิง และพยำยำมปรับตวั ตำมกลุ่มอำ้ งอิง เช่น เดก็ วยั รุ่นมกั จะยดึ เอำกลุ่มดำรำ นกั ร้อง เป็นกลุ่มอำ้ งอิงและพยำยำมทำตวั แบบตำมคนดงั กล่ำว นกั เรียนระดบั ปวช. มีกลุ่มอำ้ งอิงเป็นนกั ศึกษำรุ่นพ่ี ปวส. หรือผทู้ ี่อยใู่ นครอบครัวยำกจนจะยดึ เอำกลุ่มรวยเป็นกลุ่มอำ้ งอิงและพยำยำมใชช้ ีวติ ตำมอยำ่ งคนรวย เป็น ตน้
ภาพที่ 1.5 ประกอบการอธิบายกล่มุ อ้างองิ
ดงั นนั้ กลไกทางสงั คมเก่ียวกบั “กล่มุ อา้ งอิง” จะมีส่วนช่วยขดั เกลาสงั คมทงั้ ทางตรงและทางออ้ ม ดงั คา ท่ีว่า “ตัวอย่างท่ีดีมีค่ามากกว่าคาสอน” น่ันเอง นักเรียนสายอาชีวศึกษาจึงควรท่ีจะมีกลุ่มอา้ งอิงท่ี ถกู ตอ้ งเหมาะสม เป็นแบบอยา่ งท่ีดีในการพฒั นาตนเองเพ่ือความกา้ วหนา้ ในวชิ าชีพ
1.3 สถาบันสังคม สถาบนั สงั คม (Social Institution) หมายถึง องคก์ ร หรอื กฎเกณฑแ์ ละระเบียบแบบแผนของสงั คมท่ีใช้ เป็นแนวทางในการจดั ระเบียบความประพฤติระหว่างสมาชิกในสงั คม รวมไปถึงวตั ถทุ ่ีคนในสงั คมสร้างขนึ้ มี ความสมั พนั ธ์ เช่ือมโยงกัน เพ่ือเป็นการดาเนินกิจกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการด้านต่าง ๆ ของ มนุษยใ์ หป้ ระสบผลสาเร็จ สถาบนั สงั คมเป็นสว่ นประกอบสาคญั ของโครงสรา้ งสงั คม (Social Stueture) ซ่งึ เปรยี บเทียบเป็นแก่น สาคญั ของตน้ ไม้ เก่ียวขอ้ งกับทุกส่วนในสงั คม จึงมีนักวิชาการไดก้ าหนดสถาบันพืน้ ฐานทางสังคมไว้ 8 สถาบนั ดงั นี้
1) สถาบนั ครอบครัว สถำบนั ครอบครัวเกิดข้ึนเพื่อตอบสนองความต้องการพนื้ ฐานของมนุษย์ ท้งั ทำงดำ้ นชีวภำพ (เช่น กำรสืบ ดำรงเผำ่ พนั ธ)์ และดำ้ นสงั คม (เช่น กำรอยรู่ ่วม พ่งึ พำอำศยั กนั ) นกั สงั คมวทิ ยำ กล่ำววำ่ ครอบครัวเป็นสถำบนั ที่ สำคญั ท่ีสุดของสงั คม เป็นหน่วยยอ่ ยของสงั คมท่ีมีควำมสมั พนั ธ์และร่วมมือกนั อยำ่ งใกลช้ ิด เพรำะมนุษยท์ ุกคน ตอ้ งอยใู่ นสถำบนั ครอบครัว เน่ืองจำกเป็นกลุ่มสงั คมกลุ่มแรกที่มนุษยท์ ุกคนเจอต้งั แต่แรกเกิดจนกระทง่ั เติบโต และมีครอบครัวแยกออกมำ ครอบครัวจะใหต้ ำแหน่ง ช่ือ และสกลุ ซ่ึงเป็นเคร่ืองบอก สถำนภำพ บทบำท ตลอดจนกำหนดสิทธิหนำ้ ที่ที่สมำชิกมีต่อกนั และต่อสงั คม ครอบครัวเป็ นสถาบนั แห่งแรกและแห่งสาคญั ของ สังคมในการกาหนดพฤตกิ รรมของมนุษย์ให้เป็ นไปตามระเบยี บแบบแผน (สุพตั รำ สุภำพ : 2540) ดงั น้นั เม่ือใดที่ “สถำนบนั ครอบครัวมีปัญหำ” กย็ อ่ มที่จะส่งผลต่อสถำบนั ทำงสงั คมอื่น ๆ และส่งผลเสียต่อสงั คมโดย ภำพรวม
ภาพที่ 1.6 สถาบนั ครอบครัว
บทบาท หน้าทขี่ องสถาบันครอบครัว 1. สรา้ งทายาทสมาชิกใหมใ่ หแ้ ก่ครอบครวั และสงั คม ทดแทนสมาชิกเก่าท่ีหายไป 2. บาบดั ความตอ้ งการทางเพศสมั พนั ธ์ ซง่ึ ออกมาในรูปการมีสถาบนั ครอบครวั ลดปัญหาพฤตกิ รรม ทางเพศในสงั คม 3. เลยี้ งดสู มาชิกใหม่ของสงั คมใหด้ ารงชีวติ อยา่ งมีคณุ ภาพ 4. มอบความรกั ความอบอ่นุ ความสมหวงั ใหก้ าลงั ใจแก่สมาชิก มีขวญั กาลงั ใจ มีความม่นั คงทาง จิตใจ ดารงชีวติ อยใู่ นสงั คมอยา่ งมีความสขุ 5. ใหก้ ารอบรมส่งั สอนจดั ระเบยี บทางสงั คมใหก้ บั สมาชิก ปลกู ฝังคณุ ลกั ษณะนิสยั การเป็นสมาชิกท่ีดี ตอ่ สงั คม
6. เลีย้ งดูสมาชิกใหม่ของครอบครวั ใหพ้ ้นจากภัยอันตรายต่าง ๆ และเติบโตไดร้ บั การศึกษาอย่างมี คณุ ภาพ 7. กาหนดสถานภาพ บทบาททางครอบครวั เพศ ลาดบั สมาชิก ช่ือ สกุล ภูมิลาเนา ใหร้ ูว้ ่าเป็นใครใน ครอบครวั 8. รบั ภาระทางเศรษฐกิจ เป็นทงั้ หน่วยผลติ หน่วยบรโิ ภคท่ีสาคญั ของระบบสถาบนั ครอบครวั 9. อนรุ กั ษถ์ ่ายทอดวฒั นธรรมของสงั คมใหแ้ ก่สมาชิกทาใหว้ ฒั นธรรมในสงั คมดารงอยตู่ อ่ ไป
2) สถาบนั ศาสนา สถาบนั ศาสนาเป็นสถำบนั ที่เก่ียวกบั กำรตอบสนองความต้องการด้านจติ ใจ จึงปรำกฏในรูปแบบของ ควำม เช่ือ ศำสนำ ส่ิงที่ยดึ เหนี่ยวจิตใจของคน ศำสนำทุกศำสนำมีจุดมุ่งหมำยเดียวกนั คือ สอนใหท้ ุกคนทำควำมดี และ ละเวน้ จำกกำรทำควำมชว่ั ดงั น้นั ถำ้ ทุกคนปฏิบตั ิตำมคำสงั่ ของศำสนำที่ตนนบั ถืออยำ่ งเคร่งครัดจะส่งผลใหช้ ีวิต ของผปู้ ฏิบตั ิมีควำมสงบสุข และอยรู่ ่วมกนั ในสงั คมอยำ่ งมีควำมสุข
ภาพที่ 1.7 สถาบนั ศาสนา
บทบาทหน้าทข่ี องสถาบนั ศาสนา 1. ศาสนาช่วยทาใหค้ นมีจติ ใจสงู และประเสรฐิ กวา่ สตั ว์ 2. ศาสนาชว่ ยทาใหค้ นมีวนิ ยั ในตวั เองสงู 3. ศาสนาช่วยทาใหค้ นในสงั คมอยกู่ นั ไดอ้ ยา่ งสงบสขุ 4. ศาสนาช่วยสง่ เสรมิ และสรา้ งสรรคผ์ ลงานอนั มีคณุ คา่ ทางดา้ นศิลปะ และวฒั นธรรมแกส่ งั คม 5. ศาสนาช่วยใหค้ นมีความอดทน ไม่หว่นั ไหวในโลกธรรม ไม่ดใี จจนเกินเหตเุ ม่ือประสบกบั อารมณด์ ี และไม่เสียใจจนเสยี คนเม่ือเผชิญกบั เหตรุ า้ ย 6. ศาสนาช่วยประสานรอยรา้ วในสงั คมมนษุ ย์ ทาใหส้ งั คมมีเอกภาพในการทา การพดู และการคดิ
7. ศาสนาทาใหม้ นษุ ยป์ กครองตนเองไดใ้ นทกุ สถานและทกุ เวลา 8. ศาสนาสอนใหม้ นษุ ยม์ ีจิตใจสะอาด ไม่กลา้ ทาความช่วั ทงั้ ในท่ีลบั และท่ีแจง้ 9. ศาสนาทาใหม้ นุษยผ์ ปู้ ระพฤติตาม พน้ จากความทุกข์ ความเดือดรอ้ น และช่วยให้ประสบ ความสงบสขุ ทางจติ ใจอยา่ งเป็นลาดบั ขนั้ ตอนจนบรรลเุ ปา้ ประสงคส์ งู สดุ ของชีวิต 10. ศาสนาช่วยใหม้ นษุ ยม์ ีความสามัคคี ช่วยเหลือเกือ้ กูลกัน ทาใหอ้ ย่รู ่วมกันเป็นหม่คู ณะได้ อยา่ งมีความสขุ 11. ศาสนาช่วยใหม้ ีหลกั ในการดาเนินชีวิต ใหช้ ีวิตมีความหมายและความหวงั และช่วยใหเ้ กิด เสถียรภาพและความสงบสขุ ในสงั คม (สชุ ีพ ปญุ ญานภุ าพ, 2532)
3) สถาบนั เศรษฐกจิ สถำบนั เศรษฐกิจเป็นสถำบนั ที่ช่วยตอบสนองความต้องการของบุคคลและสังคมทง้ั ในส่ิงบริโภคและ อปุ โภค กิจกรรมทำงเศรษฐกิจ ไดแ้ ก่ กำรผลิต กำรบริโภค และอุปโภค กำรแลกเปล่ียน และกำรแจกจ่ำย ซ่ึง ในแต่ละสงั คมอำจจะแตกต่ำงกนั แต่มีเป้ำหมำยเหมือนกนั คือ กำรกินดีอยดู่ ีของสมำชิกในสงั คม (ณรงค์ เส็ง ประชำ, 2541) ภาพท่ี 1.8 ตลาด
บทบาทหน้าทขี่ องสถาบันเศรษฐกจิ 1. ผลิตสนิ คา้ เพ่ือสนองความตอ้ งการของสมาชกิ ในสงั คม ซง่ึ ประกอบไปดว้ ยสนิ คา้ พืน้ ฐานจนถึง สินคา้ อานวยความสะดวก 2. การกระจายสินคา้ ท่ีผลติ ไดไ้ ปสสู่ มาชิกในสงั คมอยา่ งท่วั ถึง 3. การกระจายบรกิ ารตา่ ง ๆ ไปสสู่ มาชิกในสงั คม 4. การกาหนดสถานภาพทางสงั คมและชนชนั้ ทางสงั คม 5. สถาบันทางเศรษฐกิจก่อใหเ้ กิดหนา้ ท่ีสาคญั คือ เป็นพืน้ ฐานอานาจทางการเมือง แบบแผน พฤตกิ รรมในการประพฤติ
4) สถาบนั การศึกษา สถาบนั การศึกษาเป็นสถำบนั ท่ีตอบสนองความต้องการด้านความรู้ ความคดิ ให้แก่สมาชิกในสังคมเพ่อื ให้ สมำชิกมีควำมรู้ ควำมสำมำรถ มีวฒั นธรรม คุณธรรม กำรสร้ำงสมและกำรถ่ำยทอดประสบกำรณ์ของมนุษยจ์ ำก รุ่นหน่ึงไปสู่อีกรุ่นหน่ึงเพื่อแกป้ ัญหำ และมีควำมเจริญทำงดำ้ นพทุ ธิปัญญำ จิตใจ อำรมณ์ สังคม สุขภำวะที่ดี สำมำรถนำองคค์ วำมรู้ไปพฒั นำคุณภำพชีวติ ของตน พฒั นำสังคมประเทศชำติ
ภาพที่ 1.9 สถาบนั การศึกษา
บทบาท หน้าทข่ี องสถาบันการศกึ ษา 1. อบรมใหเ้ รียนรูร้ ะเบียบแบบแผนของสงั คม สอนใหส้ มาชิกในสงั คมไดพ้ ัฒนาบุคลิกภาพ มีกิริยา มรรยาท มีจรยิ ธรรม คณุ ธรรม เคารพในสทิ ธิของผอู้ ่ืน ปฏบิ ตั ิตามหนา้ ท่ีของตน 2. อบรมใหส้ มาชิกไดเ้ รียนรูเ้ ก่ียวกับอาชีพ เพ่ือการดารงชีวิตเพ่ือเพิ่ม ผลผลิตในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การบริการ นอกจากสอนใหผ้ คู้ นไดเ้ รียนรูใ้ นการประกอบอาชีพแลว้ สถาบนั การศึกษายงั มี หนา้ ท่ีในการพฒั นาอาชีพ รเิ รม่ิ สรา้ งสรรคอ์ าชีพ เพ่ือผลผลติ ใหมท่ ่ีจะสนองความตอ้ งการของสงั คม 3. จัดสรรตาแหน่งและกาหนดหน้าท่ีการงานให้แก่บุคคล เพ่ือบุคคลได้เรียนรู้ในอาชีพ ใด มี ความสามารถในทางใด ก็จะไปทางานในอาชีพนนั้
4. ช่วยใหเ้ กิดนวตั กรรมใหม่ ๆ ในสงั คม เม่ือการศกึ ษาเจรญิ กา้ วหนา้ ขนึ้ ก่อใหเ้ กิดความรู้ แนวคิด เทคนิคใหม่ ๆ การคน้ พบต่าง ๆ ทาใหเ้ กิดการประดิษฐ์สิ่งของอุปกรณเ์ คร่ืองใชต้ ่าง ๆ และมีการพฒั นา สง่ิ ของเครอ่ื งใชต้ า่ ง ๆ ใหม้ ีคณุ ภาพมากยิง่ ขนึ้ 5. ช่วยให้สังคมเป็ นอันหน่ึงอันเดียวกัน ผลจากการศึกษาอบรมให้เรียนรูร้ ะเบียบแบบ แผน วฒั นธรรมเดียวกัน ย่ิงถา้ มีการใชภ้ าษาเดียวกันในการติดต่อส่ือสาร จะทาใหเ้ กิดความรูส้ ึกเป็นพวก เดียวกนั มีความผกู พนั กนั ดขี นึ้ 6. ชว่ ยใหเ้ กิดการเล่อื นชนั้ ทางสงั คม ในทกุ สงั คมยอ่ มประกอบดว้ ยชนชนั้ และจากการมีชนชนั้
5) สถาบันการเมือง สถาบนั การเมืองเป็นแบบแผนท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การสนองความต้องการของสมาชิกเกี่ยวกันเรื่องความ ม่ันคงและความปลอดภัยของสังคม ควบคุมใหก้ ลุ่มคนอยู่ในสังคมอย่างสงบสุข สถาบันการเมืองการ ปกครองเพ่ือช่วยแกป้ ัญหาต่าง ๆ ช่วยวางแผนนโยบายต่าง ๆ ใหห้ ลกั ประกนั เสรีภาพของแต่ละบคุ คลใหเ้ ท่า เทียมกนั เพ่ือความม่นั คงตอ่ ชีวติ ของบคุ คลในการดารงชีวิตในสงั คม
ภาพที่ 1.10 รัฐสภาไทย
บทบาท หน้าทขี่ องสถาบนั การเมอื ง 1. รกั ษาความม่นั คงปลอดภยั ของชาติ กลา่ วคอื ตอ้ งรกั ษาเอกราชของชาติใหป้ ลอดภยั จากการรุกราน ของศตั รูภายนอก 2. บาบดั ทกุ ขบ์ ารุงสขุ ใหร้ าษฎร เช่น ปราบปรามโจรผรู้ า้ ยท่ีทาลายความสงบสขุ ของประชาชน รวมทงั้ การสง่ เสรมิ สวสั ดภิ าพใหแ้ ก่ประชาชนอยา่ งท่วั หนา้ 3. พฒั นาการทางดา้ นเศรษฐกิจ คอื การช่วยใหป้ ระชาชนมีรายไดด้ ขี นึ้ มีความเป็นอย่อู ย่างสขุ สมบรู ณ์ มีการผลติ เครอ่ื งอปุ โภคอยา่ งพอเพียงกบั ความตอ้ งการของประชาชน เป็นตน้ 4. จดั ใหป้ ระชาชนไดร้ บั การศกึ ษาอยา่ งแทจ้ รงิ โดยเฉพาะการศกึ ษาภาคบงั คบั และในโอกาสเดียวกนั ก็ ตอ้ งปรบั ปรุงคณุ ภาพของการศกึ ษาใหด้ ยี ่งิ ขนึ้ ทงั้ สว่ นกลางและสว่ นภมู ิภาค
5. สรา้ งความสมั พนั ธร์ ะหว่างประเทศ ทงั้ นีเ้ พ่ือความม่นั คงปลอดภยั ของชาติ และเพ่ือความรว่ มมือในทาง การเมือง เศรษฐกิจ หรอื การศกึ ษา 6. หารายไดบ้ ารุงประเทศชาติ เช่น การเรียกเก็บภาษีจากราษฎรอย่างเป็นธรรม การคา้ ขายกบั ตา่ งประเทศ การประกอบการสาธารณปู โภค เป็นตน้ 7. สง่ เสรมิ ศีลธรรมและวฒั นธรรมแก่คนในชาติ โดยการกาหนดนโยบายหรือวางแผนใหห้ น่วยงานท่ีเก่ียวขอ้ ง รบั ไปดาเนินการ 8. สง่ เสรมิ ดา้ นสขุ ภาพอนามยั ใหแ้ กป่ ระชาชน เชน่ สง่ เสรมิ การกีฬาการรกั ษาพยาบาลผเู้ จ็บป่ วย เป็นตน้ 9. จดั สรรส่งิ อานวยความสะดวกตา่ ง ๆ ใหป้ ระชาชน เช่น การติดต่อส่อื สาร การขนสง่ เป็นตน้ 10. สง่ เสริมและควบคมุ การใชท้ รพั ยากรธรรมชาติอย่างประหยดั และเป็นประโยชนใ์ หม้ ากท่ีสดุ รวมทงั้ การ รกั ษาความสมดลุ ของธรรมชาติเพ่ือปอ้ งกนั การเกิดมลพษิ ตา่ ง ๆ ดว้ ย
6) สถาบันสื่อสารมวลชน สถำบนั ส่ือสำรมวลชน เป็นสถำบนั ทตี่ อบสนองความต้องการด้านการรับรู้เกยี่ วกบั ข่าวสาร ความรู้ ความคดิ ของสมาชิกในสังคม โดยอำศยั ภำษำของสงั คมเป็นสื่อกลำงโดยผำ่ นกำรสื่อสำรหลำยทิศทำง เช่น กำรพดู กำรเขียน สญั ลกั ษณ์ ทำงวิทยุ โทรทศั น์ ภำพยนตร์ โทรศพั ท์ และสื่ออินเตอร์เน็ต ซ่ึงปัจจุบนั ส่ือสำรมวลชนมีควำมสำคญั ต่อกำรดำรงชีวิตและควำมเจริญกำ้ วหนำ้ ของสงั คมสมยั ใหม่ ทำใหบ้ ุคคลเกิด ค่ำนิยม ท้งั ดำ้ นเชิงบวกและเชิงลบมำกข้ึน
ภาพที่ 1.11 Social Media
บทบาท หน้าทข่ี องสถาบันส่อื มวลชน 1. เป็นแหลง่ ขา่ วเก่ียวกบั ความเคล่อื นไหวของเหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ ท่ีเกิดขนึ้ ในสงั คม 2. เป็นแหลง่ ใหค้ วามรูค้ วามบนั เทิงขา่ วสารแก่ปวงชน 3. เป็นการสรา้ งประชามติ เป็นช่องส่ือสารระหว่างรฐั บาลกับประชาชน เป็นแหล่งเผยแพร่ ปลูกฝัง แนวคิดทางเศรษฐกิจ สงั คม การเมือง 4. ศนู ยก์ ลางท่ีเป็นรูปธรรม จากหนงั สอื พิมพ์ วทิ ยุ โทรทศั น์ โทรสาร ขอ้ มลู สารสนเทศ อินเตอรเ์ น็ต
7) สถาบนั นันทนาการ สถำบนั นนั ทนำกำร เก่ียวกบั แบบแผนในกำรดำเนินกิจกรรมกำรพกั ผอ่ นหยอ่ นใจ สถำบนั นนั ทนำกำรเกิด เพอื่ ตอบสนองต้องการผ่อนคลายความตงึ เครียดที่ไดร้ ับจำกกำรดำเนินกิจกรรมทำงสงั คม เช่น กำรทำงำนงำน กำรเรียน เป็นตน้ กิจกรรมนนั ทนำกำรจึงเป็นกิจกรรมท่ีบุคคลสมคั รใจ เขำ้ ร่วมกระทำเพอื่ ใชเ้ วลำวำ่ งใหเ้ ป็น ประโยชน์ เม่ือกระทำแลว้ เกิดควำมพงึ พอใจ และไดป้ ระโยชนแ์ ก่ร่ำงกำยและจิตใจ ภาพท่ี 1.12 การออกกาลงั กาย
บทบาท หน้าทข่ี องสถาบนั นันทนาการ 1. ชว่ ยใหส้ มาชิกของสงั คมมีรา่ งกายแข็งแรง 2. ชว่ ยใหส้ มาชกิ ของสงั คมมีสขุ ภาพจิตดี 3. ชว่ ยใหส้ มาชกิ ของสงั คมมีความสามคั คี 4. ปลกู ฝังความมีระเบียบวินยั แก่สมาชิกของสงั คม 5. ชว่ ยใหส้ มาชกิ ในสงั คมใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ป็นประโยชน์ การเรียนรู้ทาความเข้าใจเก่ยี วกับ สถาบันสังคม (Social Institution) ช่วยใหเ้ กิดความเข้าใจกฎเกณฑ์ และระเบยี บแบบแผนของสังคมทใ่ี ช้เป็ นแนวทางในการจัดระเบียบความประพฤตริ ะหว่างสมาชิกในสังคม เพื่อให้สามารถการดาเนินกิจกรรมเพ่ือตอบสนองความต้องการด้านต่าง ๆ ให้เป็ นไปตามบรรทัดฐานทด่ี ี งามของสังคม
1.4 การจัดระเบยี บทางสังคม การจัดระเบียบทางสังคม (Social organization) หรือระเบียบสังคม (Social order) หมายถึง กฎเกณฑห์ รือระเบียบแบบแผนทงั้ หลายท่ีเก่ียวกับความสมั พนั ธร์ ะหว่างบุคคลและกล่มุ การจัดระเบียบทาง สังคมเป็ นกระบวนการทางสังคมที่คอยควบคุมความประพฤติของบุคคลในสังคมให้อยู่ใน ระเบียบ กฎเกณฑ์ ที่สังคมกาหนดไว้เพื่อให้สังคมมีระเบียบและดารงอยู่ได้ ซ่ึงสมาชิกของสงั คมยอมรบั และยึดถือ เป็นแนวปฏิบตั ิ ระเบียบ กฎเกณฑ์ ขอ้ บงั คบั เป็นตน้ ดงั นนั้ การจดั ระเบียบทางสงั คมมีองคป์ ระกอบ คอื บรรทดั ฐานทางสงั คม สถานภาพ บทบาท และการควบคมุ ทางสงั คม
1.4.1 บรรทดั ฐานทางสังคม บรรทดั ฐาน หมายถึง แบบแผน แนวทาง กฎเกณฑข์ อ้ บงั คบั หรอื มาตรฐาน ในการ ปฏิบตั ิในการอย่รู ว่ มกนั ในสงั คม บรรทดั ฐานทางสงั คมเป็นมาตรฐานกาหนดว่าการกระทาใดถกู การ กระทาใดผิด ควรทา ไม่ควรทา ซ่งึ เป็นท่ียอมรบั กนั ทางสงั คมตามความคาดหมายของกลุ่ม หรอื ตามค านยิ มของสงั คมนนั้ ๆ เพ่ือการอยู รอดของสงั คมและความเป็นระเบียบเรยี บรอ้ ยในสงั คมเป็นสาคญั โดยท่วั ไปจะแบง่ ประเภทของบรรทดั ฐานได้ 3 ลกั ษณะ ดงั นี้
1) วถิ ปี ระชา (Folkways) หรือ ธรรมเนียม คือ แบบแผนกำรปฏิบตั ิในส่ิงท่ีเก่ียวกบั กำรใชช้ ีวิตประจำวนั เช่น กำรกิน กำรแต่งกำย เป็นตน้ ซ่ึงผคู้ นในสงั คมยดึ ถือและปฏิบตั ิกนั จนเป็นปกติ และยอมรับกนั วำ่ เป็นส่ิงท่ี เหมำะสม เป็นมำตรฐำนในกำรใชช้ ีวติ หากไม่ปฏิบตั ติ ามวถิ ปี ระชาจะมผี ลอย่างไร ? กำรไม่ปฏิบตั ิตำมธรรมเนียม หรือวิถีประชำ ไม่ถือเป็น เรื่องร้ำยแรง คนในสงั คมจะเป็นผคู้ วบคุมใหป้ ฏิบตั ิตำม หำกฝ่ ำฝืนจะโดนลงโทษ เช่น กำรนินทำ กำรหวั เรำะเยำะ กำรตำหนิ เป็นตน้ แต่ในสงั คมปัจจุบนั กำลงั อยใู่ นภำวะแห่งกำรเปลี่ยนแปลงทำใหเ้ กิดควำมสบั สนในมำตรฐำนกำร ปฏิบตั ิ ทำใหธ้ รรมเนียม หรือวถิ ีประชำไม่ไดม้ ีอำนำจบงั คบั ที่เคร่งครัดนกั บุคคลสำมำรถเลือกปฏิบตั ิไดต้ ำมบริบท ของตน จึงปรำกฏใหเ้ ห็นวำ่ มกั มีผฝู้ ่ ำหรือปฏิบตั ิผดิ แปลกไปจำกเดิม โดยเฉพำะอยำ่ งยง่ิ สงั คมในยคุ โลกำภิวตั น์
ภาพที่ 1.13 มารยาทการแต่งการไปงานอวมงคล
2) จารีต หรือทเี่ รียกว่า กฎศีลธรรม เป็นบรรทดั ฐำนท่ีสำคญั ในระดบั ควำมรู้สึกของคนในสงั คม จำรีตเป็นตวั กำหนดวำ่ กำรกระทำใดถูกหรือผดิ ดีหรือชวั่ บำปหรือบุญ ดว้ ยเหตุเพรำะจำรีต หรือกฎศีลธรรม น้ีมีที่มำจำกหลกั ธรรม คำสอนทำงศำสนำ กฎศีลธรรมจึงมีพลงั อำนำจในกำรควบคุมคนในสงั คมอยำ่ ง ลึกซ้ึง และมกั ไม่กลำ้ ฝ่ ำฝืนกฎศีลธรรม หำกฝ่ ำฝืนกจ็ ะถูกสงั คมตรำหนำ้ วำ่ เป็นคนชว่ั คนเลว ซ่ึงจะตอ้ ง ไดร้ ับกำรลงโทษจำกสงั คม
หากไม่ปฏิบัติตามจารีตจะมีผลอย่างไร ? ดว้ ยเหตุเพรำะจำรีตเป็นตวั กำหนดว่ำกำรกระทำใดถูก หรือผิด ดีหรือชวั่ อนั มีที่มำจำกหลกั ธรรม คำสอนทำงศำสนำ ผใู้ ดฝ่ ำฝื นจึงมกั ถูกลงโทษอยำ่ งรุนแรงจำก คนอื่น ๆ ในสงั คมเช่น ถูกขบั ออกจำกสงั คม (ในทำงศำสนำเรียกวำ่ “ปัพพำชนียกรรม”) กำรประณำม กำร รุมประชำทณั ฑ์ เป็ นตน้ แต่ในขณะเดียวกนั สังคมในปัจจุบนั เปล่ียนแปนงไป ค่ำนิยมของผูค้ นในสังคม ยอ่ มเปล่ียนแปลงตำม กำรควบคุมคนในสงั คมใหป้ ฏิบตั ิตำม “จำรีต” สำมำรถทำไดอ้ ยำ่ งเคร่งครัดในสงั คม เล็ก ๆ เช่น ในสังคมชนบท หรือสังคมท่ีประกำศเอำหลกั ศำสนำเป็นหลกั กฎหมำย ส่วนในสังคมเมืองท่ีมี ผูค้ นอยู่รวมกันอย่ำงหลำกหลำยและจำนวนมำก แก่งแย่งแข่งขนั ต่ำงคนต่ำงอยู่ จึงย่อมมีกำรละเมิด “จำรีต” ไดง้ ่ำยกว่ำ ในบำงสถำนกำรณ์กลไกของกฎศีลธรรม จำรีต ไม่สำมำรถท่ีจะเอำผิด หรือลงโทษ ผฝู้ ่ ำฝืน
ภาพท่ี 1.14 การรุมประชาทณั ฑ์
Search