Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สรุปนักธรรมโท

สรุปนักธรรมโท

Published by takfcpb4, 2021-08-30 21:25:09

Description: Summary_DhammaToe_v64

Search

Read the Text Version

ทบทวนนักธรรมโท เวอรช์ ่ัน ๒๕๖๔

ทบทวนกระทู้ธรร กระทู้ธรรมทอ่ี อกขอ้ สอบแต่ละปี ปี พ.ศ. ภาษิต 2563 อคคฺ ทายี วรทายี เสฎฺ ฐทายี จ โย นโร ทฆี ายุ ยสวา โหติ ยตฺถ ยตฺถูปปชฺชติ. ผใู้ หส้ ิ่งท่เี ลศิ ใหส้ ง่ิ ทด่ี ี ใหส้ ง่ิ ท่ปี ระเสรฐิ ยอ่ มเป็นผมู้ ีอายยุ ืน มยี ศในภพท่ตี นเกดิ . (พทุ ธฺ ) อง.ฺ ปญฺจก. ๒๒/๕๖. 2562 มธุวา มญญฺ ตี พาโล ยาว ปาปํ น ปจจฺ ติ, ยทา จ ปจจฺ ตี ปาปํ อถ ทกุ ขํ นคิ จฺฉติ. ตราบเทา่ ท่บี าปยงั ไมใ่ หผ้ ล คนเขลายงั เขา้ ใจว่ามีรสหวาน แต่บาปใหผ้ ลเม่ือใด คนเขลายอ่ มประสบทกุ ขเ์ ม่ือนนั้ . (พทุ ธฺ ) ขุ. ธ. ๒๕/๒๔. 2561 อาทิ สลี ํ ปตฏิ ฺ า จ กลฺยาณานญฺจ มาตกุ ํ ปมขุ ํ สพพฺ ธมมฺ านํ ตสมฺ า สีลํ วโิ สธเย. ศลี เป็นท่พี ่ึงเบอื้ งตน้ เป็นมารดาของกลั ยาณธรรมทงั้ หลาย เป็นประมขุ ของธรรมทง้ั ปวง เพราะฉะนนั้ ควรชาระศลี ใหบ้ รสิ ทุ ธิ.์ (สีลวตฺเถร) ขุ. เถร. ๒๖/๓๕๘. 2560 เอโกปิ สทโฺ ธ เมธาวี อสสฺ ทธฺ านํ ญาตนิ ํ ธมฺมฏฺ โฐ สีลสมฺปนฺโน โหติ อตถฺ าย พนฺธนุ ํ. ผมู้ ศี รทั ธา มีปัญญา ตงั้ ในธรรม ถงึ พรอ้ มดว้ ยศีล แมค้ นเดยี ว

รม นักธรรมชน้ั โท หมวด ทาน บุคคล ศีล ศรัทธา 1|P a g e

ย่อมเป็นประโยชนแ์ ก่ญาตแิ ละพวกพอ้ งผไู้ ม่มศี รทั ธา. (ปสฺสกิ เถร) ขุ. เถร. ๒๖/๓๐๖. 2559 อจฺจยนฺติ อโหรตฺตา ชีวิตํ อุปรุชฺฌติ อายุ ขีวติ มจจฺ านํ กุนนฺ ทนี วํ โอทก.ํ . วนั คนื ย่อมลว่ งไป ชวี ิตยอ่ มหมดเขา้ ไป อายขุ องสตั วย์ อ่ มสนิ้ ไป เหมอื นนา้ แหง่ แม่นา้ นอ้ ย ๆ ฉะนนั้ (พทุ ธฺ ) ส.ํ ส. ๑๕/๑๕๙ ขุ. มหา. ๒๙/๑๔๔ 2558 อวณฺณญฺจ อกติ ฺตญิ จฺ ทสุ ฺสโี ล ลภเต นโร วณฺณํ กติ ฺตึ ปสสํ ญจฺ สทา ลภติ สีลวา. คนผทู้ ศุ ีล ย่อมไดร้ บั ความตเิ ตยี น และความเสียช่อื เสยี ง ส่วนผมู้ ีศลี ยอ่ มไดร้ บั ช่ือเ ย่องสรรเสรญิ ทกุ เม่ือ. (สีลวตเฺ ถร) ข.ุ เถร. ๒๖/๓๕๗. 2557 โย จ วสฺสสตํ ชีเว ทุปปฺ ญฺโญ อสมาหโิ ต เอกาหํ ชีวติ ํ เสยฺโย ปญญฺ วนตฺ สฺส ฌายิโน. ผใู้ ดมีปัญญาทราม มใี จไมม่ ่นั คง พงึ เป็นอยตู่ งั้ รอ้ ยปี, สว่ นผมู้ ปี ัญญาเพง่ พินิจ มชี ีวติ อย่เู พยี งวนั เดยี ว ดีกว่า. (พทุ ธฺ ) ข.ุ ธ. ๒๕/๒๙. 2556 มธุวา มญฺญตี พาโล ยาว ปาปํ น ปจจฺ ติ, ยทา จ ปจจฺ ตี ปาปํ อถ ทกุ ขํ นิคจฉฺ ติ ตราบเทา่ ท่บี าปยงั ไม่ใหผ้ ล คนเขลายงั เขา้ ใจว่ามีรสหวาน, แตบ่ าปใหผ้ ลเม่ือใด คนเขลาย่อมประสบทกุ ขเ์ ม่ือนน้ั .

ความตาย ศีล เสยี ง และความยก ปัญญา บคุ คล 2|P a g e

(พทุ ฺธ) ขุ.ธ. ๒๕/๒๔. 2555 อทุ พนิ ทฺ นุ ปิ าเตน อุทกุมโฺ ภปิ ปรู ติ อาปรู ติ พาโล ปาปสฺส โถกํ โถกปํ ิ อาจนิ ํ. แมห้ มอ้ นา้ ยงั เตม็ ดว้ ยหยาดนา้ ฉนั ใด คนเขลาส่งั สมบาป แมท้ ลี ะนอ้ ย กเ็ ตม็ ดว้ ยบาปฉนั นนั้ . (พทุ ฺธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๓๑. 2554 อคฺคสมฺ ึ ทานํ ททตํ อคฺคํ ปญุ ญฺ ํ ปวฑฺฒติ อคฺคํ อายุ จ วณโฺ ณ จ ยโส กติ ตฺ ิ สุขํ พล.ํ เม่ือใหท้ านในวตั ถอุ นั เลศิ บญุ อนั เลิศ อายวุ รรณะยศเกียรติสขุ และ กาลงั อนั เลิศ ก็เจรญิ . (พทุ ฺธ) ข.ุ อิติ. ๒๕/๒๙๙ 2553 กลยฺ าณเิ มว มญุ ฺเจยยฺ น หิ มุญเฺ จยฺย ปาปิ กํ โมกโฺ ข กลยฺ าณิยา สาธุ มุตวฺ า ตปปฺ ติ ปาปิ ก.ํ พึงเปล่งวาจางามเทา่ นน้ั ไม่พงึ เปล่งวาจาช่วั เลย การเปลง่ วาจางาม ยงั ประโยชนใ์ หส้ าเรจ็ คนเปลง่ วาจาช่วั ย่อมเดือดรอ้ น. (พทุ ฺธ) ข.ุ ชา. เอก. ๒๗/๒๘ 2552 อวณณฺ ญฺจ อกติ ตฺ ญิ ฺจ ทุสสฺ ีโล ลภเต นโร

บาป ทาน วาจา ศลี 3|P a g e

วณณฺ ํ กติ ตฺ ึ ปสสํ ญจฺ สทา ลภติ สลี วา. คนผทู้ ศุ ลี ย่อมไดร้ บั ความตเิ ตยี นและความเสียช่ือเสยี ง สว่ นผมู้ ศี ลี ยอ่ มไดร้ บั ช่ือเสยี งและความยกย่องสรรเสรญิ ทกุ เม่ือ. (สีลวตฺเถร) ขุ.เถร. ๒๖/๓๕๗. 2551 ขนฺติโก เมตฺตวา ลาภี ยสสสฺ ี สุขสีลวา ปิ โย เทวมนุสสฺ านํ มนาโป โหติ ขนฺตโิ ก. ผมู้ ีขนั ตนิ บั ว่ามเี มตตา มีลาภ มียศ และมีสขุ เสมอ, ผมู้ ขี นั ตเิ ป็นท่รี กั ท่ชี อบใจของเทวดาและมนษุ ยท์ งั้ หลาย. ส.ม. ๒๒๒. 2550 สลี สมาธคิ ณุ านํ ขนฺติ ปธานการณํ สพเฺ พปิ กสุ ลา ธมฺมา ขนฺตยฺ าเยว วฑฺฒนตฺ ิ เต ฯ ขนั ตเิ ป็นประธาน เป็นเหตแุ หง่ คณุ คอื ศลี และสมาธิ กศุ ลธรรมทง้ั ปวงยอ่ มเจรญิ เพ ส. ม. ๒๒๒ 2549 อถ ปาปานิ กมฺมานิ กรํ พาโล น พุชฌฺ ติ เสหิ กมเฺ มหิ ทมุ เฺ มโธ อคฺคทิ ฑโฺ ฒว ตปปฺ ติ. เม่ือคนโงม่ ปี ัญญาทราม ทากรรมช่วั อยกู่ ็ไมร่ ูส้ กึ เขาเดอื ดรอ้ นเพราะกรรมของตน เหมอื นถกู ไฟไหม.้ (พทุ ธฺ ) ขุ. ธ. ๒๕/๓๓. 2548 ยมหฺ ิ กิจจฺ ํ ตทปวทิ ธฺ ํ อกจิ จฺ ํ ปน กยีรติ อนุ ฺนฬานํ ปมตฺตานํ เตสํ วฑฺฒนฺติ อาสวา.

อดทน อดทน พราะขนั ตเิ ทา่ นน้ั ฯ กรรม ประมาท 4|P a g e

คนทอดทงิ้ กจิ ท่คี วรทา ไปทากจิ ท่ไี มค่ วรทา เมอ่ื เขา ถือตวั มวั ประมาท อาสวะยอ่ มเจรญิ . (พทุ ฺธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๕๔. 2547 ยาทสิ ํ วปเต พีชํ ตาทสิ ํ ลภเต ผลํ กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ บคุ คลหวา่ นพชื เชน่ ใด ย่อมไดร้ บั ผลเช่นนน้ั ผทู้ ากรรมดี ยอ่ มไดร้ บั ผลดี ผทู้ ากรรมช่วั ยอ่ มไดร้ บั ผลช่วั . (พทุ ธ) ส.ํ ส. ๑๕/๓๓๓. 2546 พฺรหมฺ าติ มาตาปิ ตโร ปุพพฺ าจรยิ าติ วจุ ฺจเร อาหเุ นยฺยา จ ปตุ ตานํ ปชาย อนุกมฺปกา. มารดาบิดา ทา่ นวา่ เป็นพรหม เป็นบรุ พาจารย์ เป็นท่นี บั ถือของบตุ ร และเป็นผอู้ นเุ คราะหบ์ ตุ ร. (โสณโพธิสตตฺ ) ข.ุ ชา.สตตฺ ติ. ๒๗/๖๖. 2545 อฏุ ฺ ฐานวโต สตมิ โต สุจิกมฺมสฺส นสิ มฺมการโิ น สญญฺ ตสสฺ จ ธมฺมชวี ิโน อปปฺ มตตฺ สฺส ยโสภวิ ฑฺฒติ. ยศย่อมเจรญิ แก่ผมู้ คี วามหม่นั มีสติ มกี ารงานสะอาด ใครค่ รวญแลว้ ทา ระวงั ดแี ลว้ เป็นอย่โู ดยธรรม และไม่ประมาท. (พทุ ฺธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๑๘. 2544 พหมุ ปฺ ิ เจ สหํ ติ ภาสมาโน น ตกกฺ โร โหติ นโร ปมตโฺ ต

กรรม บคุ คล ไม่ประมาท ประมาท 5|P a g e

โคโปว คาโว คณยํ ปเรสํ ขุ. อิต.ิ ๒๕/๒ น ภาควา สามญฺญสสฺ โหติ. ข.ุ ธ. ๒๕/๒๙ หากกล่าวพทุ ธพจนไ์ ดม้ าก แตเ่ ป็นคนประมาท ไมท่ าตามพทุ ธพจนน์ นั้ กไ็ มม่ ีส่วนแหง่ สามญั ผล เหมอื นคนเลยี้ งโค คอยนบั โคใหผ้ อู้ ่นื ฉะนน้ั . 2543 โย จ วสฺสสตํ ชเี ว ทุปฺปญฺโญ อสมาหโิ ต เอกาหํ ชวี ติ ํ เสยฺโย ปญฺญวนตฺ สสฺ ฌายิโน. ผใู้ ดมีปัญญาทราม มใี จไมม่ ่นั คง พงึ เป็นอยตู่ งั้ รอ้ ยปี, สว่ นผมู้ ปี ัญญาเพง่ พนิ ิจ มชี วี ติ อย่สู นิ้ วนั เดยี ว ดกี ว่า.

๒๔๒. ปัญญา ๙ 6|P a g e

แบบฟอร์มการเขียนวชิ าเรียงความแกก้ ระทูธ้ รรม ธรรมศึกษาช้นั โท เลขท…่ี …. ประโยคนกั ธรรมชนั้ ……… วชิ า………………………………. สอบในสนามหลวง วนั ท…่ี ….เดอื น…………………..พ.ศ…………… oooooooooooooooooo oooooooooooooooooo oooooooooooooooooooooooooooooooooooooooo oooooooooooooooooooooooooooooooooooooooo บดั น้ีจกั ไดบ้ รรยายขยายความตามธรรมภาษติ ทไ่ี ดล้ ขิ ติ ไว้ ณ เบอ้ื งตน้ เพอ่ื เป็นแนวทาง แหง่ การประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ องสาธุชนผใู้ ครใ่ นธรรมสบื ไป อธบิ ายความวา่ (หรอื ใช้ “อธบิ ายวา่ ,ดาเนินความวา่ ” กไ็ ด)้ ................................................... ............................................................................................................................. ........................ ....................................................น้ีสมดว้ ยภาษติ ทม่ี าใน....................................ความวา่ oooooooooooooooooo oooooooooooooooooo oooooooooooooooooooooooooooooooooooooooo oooooooooooooooooooooooooooooooooooooooo อธบิ ายความวา่ (หรอื ใช้ “อธบิ ายวา่ ,ดาเนินความวา่ ” กไ็ ด)้ ................................................... ................................................................................................................................... .................. ....................................................น้ีสมดว้ ยภาษติ ทม่ี าใน....................................ความวา่ oooooooooooooooooo oooooooooooooooooo oooooooooooooooooooooooooooooooooooooooo oooooooooooooooooooooooooooooooooooooooo อธบิ ายความวา่ (หรอื ใช้ “อธบิ ายวา่ ,ดาเนินความวา่ ” กไ็ ด)้ .................................................... .................................................................................................................................................. .... สรุปความวา่ (หรอื ใช้ “รวมความวา่ ,ประมวลความวา่ ” กไ็ ด)้ ................................................... .............................................................................................................................................. ........ สมดว้ ยภาษติ ทไ่ี ดล้ ขิ ติ ไว้ ณ เบอ้ื งตน้ วา่ oooooooooooooooooo oooooooooooooooooo oooooooooooooooooooooooooooooooooooooooo oooooooooooooooooooooooooooooooooooooooo มอี รรถาธบิ ายดงั ไดพ้ รรณามาดว้ ยประการฉะน้ี --------------------------------------------------------------------------------- **(ตอ้ งเขยี นใหไ้ ดอ้ ยา่ งน้อย ๓ หน้าขน้ึ ไป) ** (ตอ้ งมกี ระทมู้ ารบั ๒ กระท)ู้

สว่ นตา่ งๆ ของโครงรา่ งกระทู้ ๑. การเขยี นหวั กระดาษ ๒. กระทตู้ งั้ ๓. คานาและเน้ือเรอ่ื งและ ๔. กรทรู้ บั ๕. สรุปความกระทู้ ๖. กระทตู้ งั้ แนวการใหค้ ะแนน วชิ ากระทธู้ รรม นกั ธรรมและธรรมศกึ ษาชนั้ โท (๑) แต่งได้ตามกฏ ( เขยี นใหไ้ ดค้ วามยาว ๓ หน้ากระดาษขน้ึ ไป เวน้ บรรทดั ) (๒) อ้างกระท้ไู ด้ตามกฏ (กระทรู้ บั ๒ ขอ้ และบอกชอื่ ทมี่ าของกระทรู้ บั ดว้ ย) (๓) เชื่อมกระท้ไู ด้ดี (อธบิ ายกระทตู้ งั้ กบั กระทรู้ บั ใหม้ เี น้ือความสมั พนั ธก์ นั สมกบั ทยี่ กกระทรู้ บั มาอา้ ง) (๔) อธิบายความสมกบั กระท้ทู ี่ตงั้ ไว้ (อธบิ ายไมห่ ลดุ ประเดน็ ของกระทูต้ งั้ ) (๕) ใช้สานวนสภุ าพเรียบร้อย (๖) สะกดคา/การนั ต์ ถกู เป็ นส่วนมาก (๗) สะอาดไม่เปรอะเปื้ อน

ทบทวน ธรรมวิภาค นักธรรมชั้นโท หมวด ๒ ➢ กรรมฐาน ๒ ทตี่ งั้ ของการงาน หรือ อารมณอ์ นั เป็นทตี่ งั้ แหง่ การงาน ๑. สมถกรรมฐาน กรรมฐานเป็นอบุ ายสงบใจ ๒. วิปัสสนากรรมฐาน กรรมฐานเป็นอบุ ายเรืองปัญญา (ปี 63, 58) สมถกรรมฐาน และวปิ ัสสนากรรมฐาน มงุ่ ผลแห่งการปฏิบตั อิ ยา่ งไร ? ตอบ สมถกรรมฐานม่งุ ผลคอื ความสงบใจ สว่ นวปิ ัสสนากรรมฐานมงุ่ ผลคอื ความเรอื งปัญญา ฯ (ปี 60) การพจิ ารณาสงั ขารทง้ั หลายโดยความเป็นไตรลกั ษณ์ จดั เป็นกมั มฏั ฐานอะไร ? มีประโยชนอ์ ย่างไร ? ตอบ จดั เป็นวปิ ัสสนากมั มฏั ฐาน ฯ มปี ระโยชน์ คือทาใหร้ ูจ้ กั สภาพท่เี ป็นจรงิ แหง่ สงั ขารทงั้ หลายวา่ ไม่เท่ยี ง เป็นทกุ ข์ เป็นอนตั ตา แลว้ เกดิ ความเบอื่ หนา่ ยในสงั ขารทงั้ หลายเหลา่ นน้ั ฯ (ปี 57) ตจปัญจกกมั มฏั ฐาน มีอะไรบา้ ง? เรยี กอกี อยา่ งหนึ่งวา่ อยา่ งไร? เป็นอารมณข์ องสมถกมั มฏั ฐานหรือของวิปัสสนากมั มฏั ฐาน? ตอบ มี เกสา ผม โลมา ขน นขา เล็บ ทนฺตา ฟัน และตโจ หนงั ฯ เรียกอกี อยา่ งวา่ มลู กมั มฏั ฐาน ฯ เป็นอารมณไ์ ดท้ งั้ สมถกมั มฏั ฐาน และ วปิ ัสสนากมั มฏั ฐาน ฯ (ปี 55) กมั มฏั ฐานท่พี ระอปุ ัชฌายส์ อนแก่ผขู้ อบรรพชาอปุ สมบทวา่ เกสา โลมา นขา ทนตฺ า ตโจ ตโจ ทนตฺ า นขา โลมา เกสา นนั้ เรยี กช่อื วา่ อะไร? เป็นสมถกมั มฏั ฐานหรอื วปิ ัสสนากมั มฏั ฐาน? ตอบ ช่ือวา่ ตจปัญจกกรรมฐาน หรือมลู กมั มฏั ฐาน ฯ เป็นไดท้ งั้ สมถกมั มฏั ฐานและวิปัสสนากมั มฏั ฐาน ฯ (ปี 52) ตจปัญจกกมั มฏั ฐานเรยี กอกี อยา่ งหนึง่ วา่ อะไร มอี ะไรบา้ ง จดั เป็นสมถกมั มฏั ฐานหรือวปิ ัสสนากมั มฏั ฐาน? ตอบ เรยี กอกี อยา่ งหน่ึงวา่ มลู กมั มฏั ฐาน มีเกสา ผม, โลมา ขน, นขา เลบ็ , ทนั ตา ฟัน และตโจ หนงั เป็นไดท้ ง้ั สมถกมั มฏั ฐานและวปิ ัสสนา กรรมฐาน ฯ (ปี 49) มลู กมั มฏั ฐาน คอื อะไร ? เจรญิ อยา่ งไรเป็นอารมณข์ องสมถะ ? เจรญิ อยา่ งไรเป็นอารมณข์ องวิปัสสนา ? ตอบ คอื กมั มฏั ฐานเดมิ ไดแ้ ก่ เกสา โลมา นขา ทนั ตา ตโจ ท่ีพระอปุ ัชฌายส์ อนก่อนบรรพชา ฯ ถา้ เพง่ กาหนดใหจ้ ติ สงบดว้ ยภาวนา จดั เป็นอารมณข์ องสมถะ ฯ ถา้ ยกขึน้ พจิ ารณาแยกออกเป็นส่วนๆใหเ้ หน็ ตามความเป็นจรงิ โดยสามญั ลกั ษณะจดั เป็นอารมณข์ องวปิ ัสสนาฯ (ปี 48) ตจปัญจกกมั มฏั ฐานไดแ้ ก่อะไรบา้ ง ? จดั เป็นสมถะหรือวปิ ัสสนา ? จงอธิบาย ตอบ ไดแ้ ก่ เกสา โลมา นขา ทนั ตา และตโจ ฯ เป็นไดท้ งั้ สมถะและวปิ ัสสนา ฯ ถา้ เพง่ กาหนดยงั จติ ใหส้ งบดว้ ยภาวนาเป็นสมถะ ถา้ เพง่ พิจารณาถึงความแปรปรวนเปลยี่ นแปลงไป หรอื ใหเ้ หน็ วา่ เป็นทกุ ข์ คอื ทนอยไู่ ดย้ ากและทนอยไู่ มไ่ ด้ ตอ้ งเสือ่ มสลายไปในท่สี ดุ หรือให้ เห็นวา่ เป็นอนตั ตา บงั คบั บญั ชาไม่ได้ ไม่ใช่ตวั ตน พิจารณาเชน่ นเี้ ป็นวปิ ัสสนา ฯ (ปี 47) ความรูช้ นั้ วปิ ัสสนาภาวนา หมายถึงความรูอ้ ยา่ งไร ? ตอบ หมายถงึ ความรูเ้ ท่าทนั สภาวธรรมตามความเป็นจรงิ เหน็ อาการแหง่ สภาวธรรมโดยความเป็นของไม่เท่ยี ง เป็นทกุ ข์ เป็นอนตั ตา ซง่ึ เรียกวา่ สามญั ญลกั ษณะ ฯ ➢ ปริเยสนา ๒ การแสวงหา ๑. อริยปริเยสนา แสวงหาอย่างประเสรฐิ ๒. อนรยิ ปริเยสนา แสวงหาอยา่ งไมป่ ระเสรฐิ (ปี 55) แสวงหาอะไรเป็นการแสวงหาอยา่ งประเสรฐิ แสวงหาอะไรเป็นการแสวงหาไมป่ ระเสรฐิ ? 1|P a g e

ตอบ ในพระสตู รแสดงว่า แสวงหาสภาพอนั มใิ ช่ของมีชรา พยาธิ มรณะ คอื คุณธรรมมพี ระนพิ พานเป็นอย่างสงู เป็นการแสวงหาอยา่ งประ เสรฐ็ เรยี กว่าอรยิ ปรเิ ยสนา ฯ แสวงหาของมชี รา พยาธิ มรณะ เช่นหาของเลน่ เป็นการแสวงหาไมป่ ระเสรฐิ เรยี กวา่ อนรยิ ปรเิ ยสนา ฯ (ปี 43) ปรเิ ยสนา ๒ อย่างตามความในพระสตู รท่านแสดงไวอ้ ยา่ งไร? ภิกษุควรแสวงหาเลยี้ งชพี อยา่ งไรจงึ เป็นการแสวงหาอย่างประเสรฐิ ? ตอบ แสดงวา่ แสวงหาส่ิงอนั มใิ ชข่ องมชี รา พยาธิ มรณะ โสกะและสงั กเิ ลส เป็นธรรมดา คอื ธรรมอนั เกษมมีพระนิพพานเป็นอยา่ งสงู จดั เป็น อรยิ ปรเิ ยสนา แสวงหาส่ิงอนั มชี รา พยาธิ มรณะ โสกะและสงั กเิ ลสเป็นธรรมดา ทงั้ ท่สี ภาพเช่นนน้ั กม็ ีในตนอย่พู รอ้ มแลว้ จดั เป็นอนรยิ ปริ เยสนา ฯ ภกิ ษุแสวงหาเลยี้ งชีพโดยอบุ ายอนั สมควร ทง้ั ไมเ่ ป็นโลกวชั ชะมีโทษทางโลกและไมเ่ ป็นปัณณตั ตวิ ชั ชะมโี ทษทางพระบญั ญตั ิ ไมส่ รา้ ง ความเดือดรอ้ นใหแ้ กต่ นและผอู้ นื่ จึงจะเป็นการแสวงหาอยา่ งประเสรฐิ ฯ หมายเหตุ ความรู้เพ่ิมเตมิ ไม่ต้องท่องไม่ต้องจา… พยาธิ หมายถึง ความเจ็บไข้ สงั กิเลส หมายถึง เครือ่ งทาํ ใหใ้ จเศรา้ หมอง ชรา ความแก่ ความชาํ รุดทรุดโทรมของกาย เป็นทกุ ข์. มรณะ ความสลาย หรือความทาํ ลาย ความตาย เป็นทกุ ข.์ โสกะ ความแหง้ ใจ คอื หวั ใจทเี่ หยี่ วแหง้ . ➢ อริยบุคคล ๒ บคุ คลผเู้ ป็นอรยิ ะหรอื บคุ คลผูป้ ระเสรฐิ ๑. พระเสขะ พระผูย้ งั ตอ้ งศกึ ษา คอื พระอริยบคุ คล ๗ เบอื้ งตน้ ช่อื ว่าพระเสขะ เพราะเป็นผยู้ งั ตอ้ งปฏบิ ตั เิ พอื่ มรรคผลเบือ้ งสงู ขึน้ ไป. ๒. พระอเสขะ พระผไู้ มต่ อ้ งศกึ ษา คอื พระอริยบคุ คลผตู้ ง้ั อย่ใู นพระอรหตั ตผล ช่อื วา่ พระอเสขะ เพราะเสรจ็ กิจอนั จะตอ้ งทาแลว้ ➢ พระอรยิ บคุ คล ๔ บคุ คลผูป้ ระเสริฐ ๑. พระโสดาบนั ผแู้ รกเขา้ ถงึ กระแสพระนิพพาน (ละสกั กายทฏิ ฐิ วจิ ิกิจฉา และสีลพั พตปรามาสไดข้ าด) ๒. พระสกทาคามี ผกู้ ลบั มาส่โู ลกนอี้ กี ครงั้ เดยี ว (ละสงั โยชนไ์ ด้ ๓ ประการเหมอื นพระโสดาบนั แลว้ ยงั บรรเทา ราคะ โทสะ โมหะ ใหเ้ บาบางไดด้ ว้ ย) ๓. พระอนาคามี ผไู้ ม่กลบั มาสโู่ ลกนีอ้ กี (ละกามราคะ และปฏฆิ ะไดข้ าด) ๔. พระอรหันต์ ผหู้ ่างไกลจากกเิ ลส (ละรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อทุ ธจั จะ และอวชิ ชาไดข้ าด) ➢ พระอริยบคุ คล ๘ ผบู้ รรลโุ ลกุตรธรรม ๑. พระโสดาปัตติมรรค ๕. พระอนาคามิมรรค ๒. พระโสดาปัตตผิ ล ๖. พระอนาคามิผล ๓. พระสกทาคามิมรรค ๗. พระอรหตั ตมรรค ๔. พระสกทาคามิผล ๘. พระอรหัตตผล ➢ โสดาบนั ๓ พระอริยบคุ คลผูไ้ ดบ้ รรลอุ ริยผลขนั้ แรก ๑. เอกพชี ี พระโสดาบนั ผจู้ ะเกดิ อกี ๑ ชาตเิ ป็นอยา่ งยงิ่ ๒. โกลังโกละ พระโสดาบนั ผจู้ ะเกดิ อีก ๒-๓ ชาตเิ ป็นอยา่ งยง่ิ ๓. สตั ตกั ขตั ตปุ รมะ พระโสดาบนั ผจู้ ะเกดิ อกี ๗ ชาตเิ ป็นอยา่ งยิ่ง (ปี 63) พระอรยิ บคุ คล ๔ ไดแ้ ก่ใครบา้ ง ? พระอรยิ บคุ คลประเภทใดละอวชิ ชาไดเ้ ดด็ ขาด ? ตอบ ไดแ้ ก่ พระโสดาบนั พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหนั ต์ ฯ พระอรหนั ตล์ ะอวชิ ชาไดเ้ ดด็ ขาด ฯ 2|P a g e

(ปี 59) พระอรยิ บคุ คล ๘ จาพวก จาพวกไหนช่ือวา่ พระเสขะ และพระอเสขะ ? เพราะเหตไุ ร ? ตอบ พระอรยิ บคุ คล ๗ เบอื้ งตน้ ช่ือวา่ พระเสขะ เพราะเป็นผยู้ งั ตอ้ งปฏบิ ตั ิเพ่อื บรรลมุ รรคผลเบอื้ งสงู ฯ พระอรยิ บคุ คลผตู้ งั้ อยใู่ นอรหตั ตผล ช่อื วา่ พระอเสขะ เพราะเสรจ็ กจิ อนั จะตอ้ งทาแลว้ ฯ (ปี 59 , 53, 46) คาวา่ \"โสดาบนั \" แปลวา่ อะไร ? ผบู้ รรลโุ สดาบนั นน้ั ละสงั โยชนอ์ ะไรไดเ้ ดด็ ขาด ? ตอบ โสดาบนั แปลวา่ ผแู้ รกถึงกระแสพระนิพพาน ฯ ทา่ นละสงั โยชนไ์ ดเ้ ดด็ ขาด ๓ อยา่ ง คือ ๑. สกั กายทิฏฐิ ๒. วจิ กิ จิ ฉา ๓. สีลพั พตปรามาส ฯ (ปี 54) ในอรยิ บคุ คล ๒ พระเสขะผยู้ งั ตอ้ งศกึ ษา คือศกึ ษาเร่อื งอะไร? ผศู้ กึ ษากาลงั สอบธรรมอยนู่ เี้ รยี กวา่ พระเสขะไดห้ รือไม่? ตอบ คือศกึ ษา ในอธิสลี ในอธจิ ิต และในอธิปัญญา อีกอยา่ งหนง่ึ หมายถงึ ตอ้ งศกึ ษาและตอ้ งปฏิบตั ิเพ่อื มรรคผลเบอื้ งสงู ขนึ้ ไป ฯ ยงั เรียกวา่ พระเสขะไมไ่ ด้ ถา้ ไมใ่ ชพ่ ระอรยิ บคุ คล ๗ จาพวกเบอื้ งตน้ ฯ (ปี 54) คาวา่ พระสงฆ์ ในบทสงั ฆคณุ นน้ั ท่านประสงคบ์ คุ คลเชน่ ไร? จงจาแนกมาดู ตอบ ทา่ นประสงคพ์ ระอรยิ บคุ คล ๔ คู่ ๘ บคุ คล ซ่งึ ลว้ นแตท่ ่านผทู้ ่ตี งั้ อย่ใู น มรรคผลทงั้ สนิ้ คอื พระโสดาปัตตมิ รรค พระโสดาปัตตผิ ล คู่ ๑ พระสกทาคามมิ รรค พระสกทาคามผิ ล คู่ ๑ พระอนาคามมิ รรค พระอนาคามิผล คู่ ๑ พระอรหตั ตมรรค พระอรหตั ตผล คู่ ๑ ฯ (ปี 52) สงั โยชนค์ อื อะไร พระโสดาบนั ละสงั โยชนอ์ ะไรไดข้ าดบา้ ง? ตอบ คือ กเิ ลสอนั ผกู ใจสตั วไ์ ว้ ละสงั โยชน์ ๓ เบอื้ งตน้ ไดข้ าด คือ ๑. สกั กายทฏิ ฐิ ๒. วจิ กิ ิจฉา ๓. สลี พั พตปรามาส ฯ (ปี 51) คาวา่ พระโสดาบนั และ สตั ตกั ขตั ตปุ รมะ มีอธิบายอยา่ งไร ? ตอบ พระโสดาบนั คอื พระอรยิ บคุ คลผไู้ ดบ้ รรลอุ รยิ ผลขนั้ แรก ฯ สตั ตกั ขตั ตปุ รมะ คอื พระโสดาบนั ผจู้ ะเกิดอกี ๗ ชาตเิ ป็นอยา่ งยงิ่ ฯ (ปี 50) พระเสขะ ผยู้ งั ตอ้ งศกึ ษา คอื ศกึ ษาอะไร ? ช่ือวา่ พระอเสขะ เพราะอะไร ? ตอบ ศกึ ษาสิกขา ๓ คอื ๑. อธิสีลสิกขา ๒. อธิจิตตสกิ ขา ๓. อธิปัญญาสิกขา ฯ เพราะเสรจ็ กจิ อนั จะตอ้ งทาแลว้ ฯ (ปี 50) พระอรยิ บคุ คล ๔ ไดแ้ กใ่ ครบา้ ง ? พระโสดาบนั ละสงั โยชนอ์ ะไรไดบ้ า้ ง ? ตอบ ไดแ้ ก่ พระโสดาบนั พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหนั ต์ ฯ พระโสดาบนั ละสงั โยชนไ์ ด้ ๓ คือ สกั กายทฏิ ฐิ วิจกิ จิ ฉา สีลพั พตปรามาส ฯ (ปี 47) อรยิ บคุ คล ๘ ไดแ้ กใ่ ครบา้ ง ? จดั เขา้ ในพระเสขะและพระอเสขะไดอ้ ย่างไร ? ตอบ ไดแ้ ก่ พระผตู้ งั้ อย่ใู นโสดาปัตตมิ รรค ๑ พระผตู้ งั้ อย่ใู นโสดาปัตตผิ ล ๑ พระผตู้ งั้ อย่ใู นสกทาคามมิ รรค ๑ พระผตู้ งั้ อยใู่ นสกทาคามผิ ล ๑ พระผตู้ งั้ อยใู่ นอนาคามมิ รรค ๑ พระผตู้ งั้ อยใู่ นอนาคามิผล ๑ พระผตู้ งั้ อยใู่ นอรหตั ตมรรค ๑ พระผตู้ งั้ อยใู่ นอรหตั ตผล ๑ ฯ จดั เขา้ ไดอ้ ยา่ งนี้ อรยิ บคุ คล ๗ ประเภทแรก เรยี กวา่ พระเสขะ อรยิ บคุ คล ๑ ประเภทหลงั เรยี กวา่ พระอเสขะ ฯ ➢ รูป ๒ สง่ิ ท่ตี อ้ งสลายไปเพราะเหตปุ ัจจยั ต่างๆ ขดั แยง้ กนั , สง่ิ ทเ่ี ป็นรูปรา่ งพรอ้ มทง้ั ลกั ษณะอาการของมนั ๑. มหาภูตรูป รูปใหญ่ ไดแ้ กธ่ าตุ ๔ มี ปฐวี อาโป เตโช วาโย ๒. อุปาทายรูป รูปอาศยั มหาภตู รูปนน้ั ฯ (ปี 57) มหาภตู รูป คืออะไร? มีความเกี่ยวเน่อื งกบั อปุ าทายรูปอย่างไร? ตอบ คอื รูปท่เี ป็นใหญ่เป็นประธาน อนั ประกอบดว้ ยธาตุ ๔ ไดแ้ กด่ นิ นา้ ไฟ ลม ฯ 3|P a g e

เป็นท่ตี งั้ อาศยั แหง่ อปุ าทายรูปหรอื รูปยอ่ ย เม่อื รูปใหญ่แตกทาลายไป อปุ าทายรูปท่อี งิ อาศยั มหาภตู รูปนน้ั ก็แตกทาลายไปดว้ ย ฯ (ปี 54) มหาภตู รูปและอปุ าทายรูปคอื อะไร? ตอบ มหาภตู รูป คือรูปใหญ่ ไดแ้ กธ่ าตุ ๔ มี ปฐวี อาโป เตโช วาโย อปุ าทายรูป คือรูปอาศยั มหาภตู รูปนน้ั ฯ (ปี 51) รูปในขนั ธ์ ๕ แบ่งเป็น ๒ ไดแ้ ก่อะไรบา้ ง ? จงอธิบายมาสนั้ ๆ พอเขา้ ใจ ตอบ ไดแ้ ก่ มหาภตู รูป และ อปุ าทายรูป มหาภตู รูป คือ รูปใหญ่ อนั ไดแ้ ก่ ธาตุ ๔ มีดนิ นา้ ไฟ ลม อปุ าทายรูป คอื รูปอาศยั เป็นอาการของมหาภตู รูป เช่น ประสาท ๕ มจี กั ขปุ ระสาทเป็นตน้ โคจร ๕ มรี ูปารมณเ์ ป็นตน้ ฯ (ปี 48) มหาภตู รูป คอื อะไร ? มีความเกี่ยวเน่อื งกบั อปุ าทายรูปอยา่ งไร ? ตอบ คอื รูปท่เี ป็นใหญ่เป็นประธาน อนั ประกอบดว้ ย ธาตุ ๔ ไดแ้ ก่ ดิน นา้ ไฟ ลม ฯ เป็นท่ตี งั้ อาศยั แหง่ รูปย่อยซง่ึ เรยี กวา่ อปุ าทายรูป เม่ือรูปใหญ่แตกทาลายไป อปุ าทายรูปท่อี ิงอาศัยมหาภตู รูปนน้ั ก็แตกทาลายไปดว้ ยฯ ➢ วิมตุ ติ ๒ ความหลดุ พน้ ๑. เจโตวมิ ุตติ ความหลดุ พน้ ดว้ ยอานาจแหง่ ใจ ๒. ปัญญาวมิ ตุ ติ ความหลดุ พน้ ดว้ ยอานาจแห่งปัญญา ➢ วิมตุ ติ ๕ ความทาจิตใจใหห้ ลดุ พน้ จากกิเลสาสวะ ๑. ตทังควิมตุ ติ หลดุ พน้ ดว้ ยองคธ์ รรมนน้ั ๆ [พน้ ช่วั คราว] ๒. วกิ ขัมภนวมิ ุตติ หลดุ พน้ ดว้ ยข่มไว้ [พน้ ดว้ ยสะกด] ๓. สมุจเฉทวิมตุ ติ หลดุ พน้ ดว้ ยการตดั ขาด [พน้ ดว้ ยเดด็ ขาด] ๔. ปฏิปัสสัทธวิ มิ ตุ ติ หลดุ พน้ ดว้ ยความสงบ [พน้ ดว้ ยสงบ] ๕. นิสสรณวิมตุ ติ หลดุ พน้ ดว้ ยการสลดั ออก [พน้ ดว้ ยออกไป] ➢ วิโมกข์ ๓ ความท่ีจิตหลดุ พน้ จากอานาจกเิ ลส ๑. สุญญตวิโมกข์ หลดุ พน้ ดว้ ยความวา่ ง (พจิ ารณาเหน็ นามรูปโดยความเป็นอนตั ตา) ๒. อนิมติ ตวิโมกข์ หลดุ พน้ ดว้ ยไมถ่ ือนมิ ิต (พจิ ารณาเหน็ นามรูปโดยความเป็นอนิจจงั ) ๓. อัปปณหิ ติ วิโมกข์ หลดุ พน้ ดว้ ยไม่ทาความปรารถนา (พจิ ารณาเห็นนามรูปโดยความเป็นทกุ ข)์ (ปี 60, 48) ในวมิ ตุ ติ ๕ วมิ ตุ ติอย่างไหนเป็นโลกยิ ะ อย่างไหนเป็นโลกตุ ระ ? ตอบ ตทงั ควิมตุ ติ และวกิ ขมั ภนวมิ ตุ ติ จดั เป็นโลกิยะ สว่ นสมจุ เฉทวมิ ตุ ติ ปฏิปัสสทั ธิวมิ ตุ ติ และนสิ สรณวิมตุ ติ จดั เป็นโลกตุ ระ ฯ (ปี 59, 51) เจโตวมิ ตุ ติ กบั ปัญญาวิมตุ ติ ตา่ งกนั อยา่ งไร ? ตอบ เจโตวมิ ตุ ติ เป็นวมิ ตุ ติของท่านผไู้ ดบ้ รรลฌุ านมาก่อนแลว้ จงึ บาเพ็ญวปิ ัสสนาตอ่ สว่ นปัญญาวมิ ตุ ติ เป็นวมิ ตุ ตขิ องท่านผไู้ ดบ้ รรลดุ ว้ ยลาพงั บาเพ็ญวิปัสสนาลว้ น อีกนยั หน่ึง เรยี กเจโตวมิ ตุ ตเิ พราะพน้ จากราคะ เรยี กปัญญาวมิ ตุ ติเพราะพน้ จากอวชิ ชา ฯ (ปี 53) วมิ ตุ ติ กบั วิโมกข์ ตา่ งกนั อย่างไร ? สมจุ เฉทวมิ ตุ ติ มอี ธิบายอยา่ งไร ? ตอบ ตา่ งกนั แต่โดยพยญั ชนะ แต่กพ็ น้ จาก ราคะ โทสะ โมหะไดเ้ ทา่ กนั โดยอรรถ ฯ มีอธิบายว่า ความพน้ จากกเิ ลสดว้ ยอานาจอรยิ มรรค กเิ ลสเหลา่ นั้นขาดเดด็ ไป ไมก่ ลบั เกดิ อีก ฯ (ปี 50) วิโมกข์ คอื อะไร ? มอี ะไรบา้ ง ? ตอบ คอื ความพน้ จากกเิ ลส ฯ มี สญุ ญตวิโมกข์ อนิมติ ตวิโมกข์ อปั ปณิหิตวโิ มกข์ ฯ (ปี 47) วมิ ตุ ติ คอื อะไร? ตทงั ควมิ ตุ ติ มีอธิบายอยา่ งไร? 4|P a g e

ตอบ คือ ความทาจิตใจใหห้ ลดุ พน้ จากกเิ ลสาสวะ ฯ มีอธิบายว่า ความพน้ จากกเิ ลสไดช้ ่วั คราว เช่นเกิดเหตเุ ป็นท่ตี งั้ แห่งสงั เวชขึน้ หาย กาหนดั ในกาม เกดิ เมตตาขนึ้ หายโกรธ แต่ความกาหนดั และความโกรธนนั้ ไมห่ ายทเี ดยี ว ทาในใจถึงอารมณง์ าม ความกาหนดั กลบั เกดิ ขึน้ อีก ทาในใจถงึ วตั ถแุ ห่งอาฆาต ความโกรธกลบั เกิดขนึ้ อีก อยา่ งนจี้ ดั เป็นตทงั ควิมตุ ติ ฯ (ปี 45) วมิ ตุ ตคิ ืออะไร ? วิมตุ ติ ๒ อยา่ ง มีอะไรบา้ ง ? วิมตุ ติ ๒ กบั วมิ ตุ ติ ๕ จดั เป็นโลกยิ ะและโลกตุ ตระอยา่ งไร ? ตอบ คือความหลดุ พน้ มี ๑. เจโตวิมตุ ติ ความหลดุ พน้ ดว้ ยอานาจแหง่ ใจ ๒. ปัญญาวิมตุ ติ ความหลดุ พน้ ดว้ ยอานาจแหง่ ปัญญา ฯ วมิ ตุ ติ ๒ เป็นโลกตุ ตระอยา่ งเดยี ว สว่ นวมิ ตุ ติ ๕ เป็นไดท้ ง้ั โลกยิ ะและโลกตุ ตระ ฯ ➢ ทฏิ ฐิ ๒ ความเห็นผิด ๑. สัสสตทฏิ ฐิ ความเห็นวา่ เท่ยี ง ๒. อจุ เฉททฏิ ฐิ ความเห็นวา่ ขาดสญู ➢ ทฏิ ฐิ ๓ ความเหน็ ผิด ๑. อกิรยิ ทฏิ ฐิ ความเห็นว่าไมเ่ ป็นอนั ทา ๒. อเหตุกทฏิ ฐิ ความเห็นวา่ หาเหตมุ ไิ ด้ ๓. นัตถิกทฏิ ฐิ ความเห็นว่าไมม่ ี (ปี 56) ทิฏฐิ ท่หี มายถงึ ความเหน็ ผดิ ๒ อยา่ ง มีอะไรบา้ ง? ตอบ มี ๑. สสั สตทฏิ ฐิ ความเหน็ วา่ เทย่ี ง ๒. อจุ เฉททฏิ ฐิ ความเหน็ วา่ ขาดสญู ฯ (ปี 50) ความเห็นวา่ เท่ยี งและเหน็ วา่ ขาดสญู คอื เหน็ อยา่ งไร ? มติในทางพระพทุ ธศาสนาเป็นเชน่ ไร จงอธิบาย ? ตอบ เห็นว่าเท่ยี ง คอื เห็นวา่ คนและสตั วต์ ายแลว้ ชวี ะไมส่ ญู ตอ้ งเกดิ อกี ต่อไป หรอื เคยเป็นอะไร กเ็ ป็นอย่างนนั้ ตลอดไปหรือมสี ภาพ อยา่ งนน้ั ไมแ่ ปรผนั เป็นตน้ สว่ นเห็นวา่ ขาดสญู คือเห็นว่า อตั ภาพจตุ แิ ลว้ เป็นอนั สญู สนิ้ ไป หรือคนสตั วต์ ายแลว้ ขาดสญู ไปโดยประการทงั้ ปวง ฯ พระพทุ ธศาสนาปฏิเสธความเหน็ ทงั้ ๒ นนั้ มคี วามเหน็ ประกอบดว้ ยสมั มาญาณ อิงเหตผุ ล ยึดเหตผุ ลเป็นท่ตี งั้ โดยเห็นว่า คนและสตั วต์ าย แลว้ จะเกดิ อีกหรือไม่ ขนึ้ อยกู่ บั เหตปุ ัจจยั ฯ (ปี 45) ความเหน็ วา่ \"ถึงคราวเคราะหด์ ีกด็ เี อง ถึงคราวเคราะหร์ า้ ยกร็ า้ ยเอง\" อยา่ งนเี้ ป็นทิฏฐิอะไร ? จงอธิบาย คติทางพระพทุ ธศาสนาตา่ งจากความเหน็ นอี้ ยา่ งไร ? ตอบ เป็นอเหตกุ ทฏิ ฐิ คอื เหน็ วา่ สิ่งทง้ั หลายไมม่ ีเหตปุ ัจจยั คนเราจะไดด้ หี รอื ไดร้ า้ ยตามคราวเคราะห์ ถงึ คราวจะดกี ด็ เี อง ถึงคราวจะรา้ ยก็ รา้ ยเอง ไม่มเี หตปุ ัจจยั อ่ืน ฯ พระพทุ ธศาสนาถือวา่ สงั ขตธรรมทงั้ ปวงเกดิ แต่เหตุ ฯ ➢ ปาพจน์ ๒ คาสอนอนั เป็นหลกั ใหญ่ของพระพทุ ธเจา้ ๑. ธรรม หลกั คาสอน ๒. วนิ ัย บทบญั ญัติ/ขอ้ หา้ ม ➢ ปิ ฎก ๓ คมั ภีรท์ ่รี วบรวมพระธรรมวินยั ของพระพทุ ธเจา้ มี ๓ คมั ภรี ใ์ หญ่ๆ คอื ๑. พระวินัยปิ ฎก วา่ ดว้ ยเรอ่ื งกฎระเบียบขอ้ บงั คบั ท่นี าความประพฤติใหส้ ม่าเสมอกนั หรือเป็นเคร่อื งบรหิ ารคณะ ๒. พระสุตตนั ตปิ ฎก วา่ ดว้ ยคาสอนยกบคุ คลเป็นทต่ี งั้ ๓. พระอภธิ รรมปิ ฎก วา่ ดว้ ยคาสอนยกธรรมลว้ นๆ ไมเ่ จือดว้ ยสตั วห์ รือบคุ คลเป็นท่ตี งั้ (ปี 58) ปาพจน์ ๒ คือธรรมและวนิ ยั นนั้ ทราบแลว้ อยากทราบวา่ ความปฏิบตั อิ ยา่ งไรจดั เป็นธรรม ความปฏิบตั ิอยา่ งไรจดั เป็นวนิ ยั ? ตอบ ความปฏบิ ตั ิเป็นทางนาความประพฤติและอธั ยาศยั ใหป้ ระณีตขึน้ จดั เป็นธรรม ความปฏิบตั เิ น่อื งดว้ ยระเบียบอนั ทรงตงั้ ไวด้ ว้ ยพทุ ธ อาณา เป็นสกิ ขาบทหรืออภิสมาจาร เป็นทางนาความประพฤติใหส้ ม่าเสมอกนั หรอื เป็นเครื่องบรหิ ารคณะ จดั เป็นวินยั ฯ (ปี 52) ปิฎก ๓ ไดแ้ ก่อะไรบา้ ง แตล่ ะปิฎกว่าดว้ ยเร่ืองอะไร? ตอบ ไดแ้ ก่พระวนิ ยั ปิฎก พระสตุ ตนั ตปิฎก และพระอภธิ รรมปิฎก 5|P a g e

พระวนิ ยั ปิฎก วา่ ดว้ ยเร่ืองกฎระเบยี บขอ้ บงั คบั ท่นี าความประพฤติใหส้ ม่าเสมอกนั หรือเป็นเครือ่ งบรหิ ารคณะ พระสตุ ตนั ตปิฎก วา่ ดว้ ยคาสอนยกบคุ คลเป็นท่ตี งั้ พระอภิธรรมปิฎก ว่าดว้ ยคาสอนยกธรรมลว้ นๆ ไม่เจอื ดว้ ยสตั วห์ รอื บคุ คลเป็นท่ตี งั้ ฯ (ปี 50) ปาพจน์ ๒ ไดแ้ กอ่ ะไรบา้ ง ? ถา้ แจกเป็น ๓ จะไดอ้ ะไรบา้ ง ? ตอบ ไดแ้ ก่ พระธรรม และ พระวินยั ฯ ถา้ แจกเป็น ๓ จะได้ พระวนิ ยั ๑ พระสตู ร ๑ พระอภิธรรม ๑ ฯ ➢ บูชา ๒ มี ๑. อามิสบชู า บชู าดว้ ยอามิสส่ิงของ ๒. ปฏิปัตติบชู า บชู าดว้ ยปฏบิ ตั ิตาม. (ปี 61) บชู า ๒ คืออะไรบา้ ง ? การสมาทานศลี ๕ เป็นประจา จดั เป็นบชู า ประเภทใด ? ตอบ คอื อามิสบชู า บชู าดว้ ยอามิสสิ่งของ ๑ ปฏิบตั ิบชู า บชู าดว้ ยการปฏิบตั ิตาม ๑ ฯ จดั เป็นปฏบิ ตั ิบชู า ฯ ➢ ปฏิสนั ถาร ๒ การตอ้ นรบั ผมู้ าเยอื นดว้ ยการพดู จาปราศรยั หรอื ดว้ ยการรบั รองดว้ ยของ ตอ้ นรบั ตามสมควรดว้ ยไมตรจี ติ ๑. อามิสปฏิสนั ถาร ปฏิสนั ถารดว้ ยสงิ่ ของ ๒. ธัมมปฏสิ นั ถาร ปฏสิ นั ถารดว้ ยธรรม (ปี 60, 45) ปฏสิ นั ถาร คอื อะไร ? มีอะไรบา้ ง ? มีประโยชนแ์ กผ่ ทู้ าอย่างไรบา้ ง ? ตอบ คือการตอ้ นรบั แขกผมู้ าถึงถ่ิน ฯ มี ๒ อยา่ ง ๑. อามสิ ปฏิสนั ถาร ปฏิสนั ถารดว้ ยส่งิ ของ ๒. ธมั มปฏสิ นั ถาร ปฏสิ นั ถารดว้ ยธรรม ฯ มีประโยชนแ์ ก่ผทู้ าอยา่ งนี้ คอื ๑. เป็นอบุ ายสรา้ งความสามคั คแี ละยึดเหน่ยี วนา้ ใจกนั ๒. เป็นการรกั ษาไมตรจี ติ ระหวา่ งกนั และกนั ใหม้ ่นั คงยง่ิ ขนึ้ ฯ (ปี 49) ปฏสิ นั ถาร คืออะไร ? จงแสดงวธิ ีปฏสิ นั ถารตามความรูท้ ่ไี ดศ้ กึ ษามา ? ตอบ คือ การตอ้ นรบั ผมู้ าเยอื นดว้ ยการพดู จาปราศรยั หรอื ดว้ ยการรบั รองดว้ ยของ ตอ้ นรบั ตามสมควรดว้ ยไมตรีจติ ฯ ปฏสิ นั ถารท่ไี ดศ้ กึ ษามามี ๒ อยา่ ง คอื ๑.อามิสปฏิสนั ถาร ปฏสิ นั ถารดว้ ยส่งิ ของ ไดแ้ กก่ ารจดั หาวตั ถสุ ิ่งของตอ้ นรบั เช่น ขา้ ว นา้ หรือท่พี กั เป็นตน้ ๒.ธมั มปฏสิ นั ถาร ปฏิสนั ถารดว้ ยธรรม ไดแ้ ก่การแสดงการตอ้ นรบั ตามความเหมาะสมแก่ผมู้ าเยือน หรอื การใหค้ าแนะนา ในส่ิงท่เี ป็นประโยชน์ เป็นตน้ ฯ ➢ เทสนา ๒ วธิ ีการแสดงธรรมเพ่อื ส่งั สอนผอู้ ืน่ มี ๑. ปุคคลาธฏิ ฐานา มีบคุ คลเป็นท่ตี งั้ ๒. ธมั มาธิฏฐานา มีธรรมเป็นท่ตี งั้ (ปี 62) บคุ คลาธิฏฐานาเทศนา เทศนามบี คุ คลเป็นท่ตี งั้ มีอธิบายวา่ อยา่ งไร ? ตอบ มีอธิบายว่า การสอนท่ยี กบคุ คลมาเป็นตวั อย่าง เช่น ใน มหาชนกชาดก สอนเรอื่ งความเพียรโดยกล่าวถงึ พระมหาชนกโพธิสตั วว์ า่ ทรงมคี วามเพยี รอย่างยงิ่ พยายามว่าย นา้ ในทา่ มกลางมหาสมทุ รท่ี กวา้ งใหญ่ มองไมเ่ หน็ ฝ่ังอยา่ งไมย่ อ่ ทอ้ ดว้ ยความมงุ่ ม่นั ทจ่ี ะถงึ ฝ่ังใหไ้ ด้ และทรงถงึ ฝ่ังไดด้ งั ประสงค์ ฯ (ปี 46) เทสนา ๒ มีอะไรบา้ ง ? เทสนา ๒ อย่างนนั้ ตา่ งกนั อยา่ งไร จงอธิบาย ? ตอบ มี ปคุ คลาธิฏฐานา มีบคุ คลเป็นท่ตี งั้ ๑ ธัมมาธิฏฐานา มีธรรมเป็นท่ตี งั้ ๑ ฯ ตา่ งกนั อยา่ งนี้ การสอนท่ยี กบคุ คลมาเป็นตวั อยา่ ง เชน่ ในมหาชนกชาดก สอนเรอ่ื งความเพยี ร โดยกลา่ วถงึ พระมหาชนกโพธิสตั วว์ า่ ทรงมคี วาม เพยี รอยา่ งยง่ิ พยายามว่ายนา้ ในทา่ มกลางมหาสมทุ รท่กี วา้ งใหญ่มองไม่เห็นฝ่ังอยา่ งไมย่ ่อทอ้ ดว้ ยความม่งุ ม่นั ท่จี ะถงึ ฝ่ังใหไ้ ด้ เป็น ปคุ ค ลาธิฏฐานา ฯ 6|P a g e

ส่วนการยกธรรมแตล่ ะขอ้ มาอธิบายความหมายอยา่ งเดยี ว เชน่ สติ แปลว่า ความระลกึ ได้ หมายความวา่ ก่อนจะทา ก่อนจะพดู อะไร ตอ้ งคดิ ใหร้ อบคอบเสยี ก่อน จึงทา จงึ พดู ออกไป เป็นตน้ เป็น ธัมมาธิฏฐานา ฯ ➢ ธรรม ๒ ๑. โลกิยธรรม ธรรมอนั เป็นวสิ ยั ของโลก ๒. โลกตุ ตรธรรม ธรรมอนั พน้ วสิ ยั ของโลก ➢ ธรรม ๒ ๑. สังขตธรรม ธรรมอนั ปัจจยั ปรุงแตง่ [สภาพเกดิ แต่เหตทุ งั้ ปวง มแี ปรไปในทา่ มกลางและมดี บั ในท่สี ดุ ] ๒. อสงั ขตธรรม ธรรมอนั ปัจจยั ไม่ไดป้ รุงแตง่ [นิพพานจดั เป็นอสงั ขตธรรม] ➢ สังขตธรรม หรอื สงั ขตลักษณะ ๓ ธรรมอนั ปัจจยั ปรุงแตง่ ๑. ความเกิด ปรากฏ ๒. ความดบั ปรากฏ ๓. เมื่อยงั ตง้ั อยู่ ความผนั แปรปรากฏ (ปี 62, 53) สงั ขตธรรม คืออะไร ? มลี กั ษณะอยา่ งไร ? ตอบ คอื ธรรมอนั ปัจจยั ปรุงแตง่ ฯ มลี กั ษณะ คือ มคี วามเกิดขนึ้ ในเบอื้ งตน้ มคี วามแปรปรวนในทา่ มกลางและมคี วามดบั ไปในท่สี ดุ ฯ (ปี 57) สงั ขตธรรม และ อสงั ขตธรรม ต่างกนั อย่างไร? สตั ว์ ตน้ ไม้ ภเู ขา เป็นสงั ขตธรรม เพราะมีลกั ษณะอยา่ งไร? ตอบ สงั ขตธรรม คอื ธรรมอนั ปัจจยั ปรุงแต่ง ส่วนอสงั ขตธรรม คือธรรมอนั ปัจจยั ไมไ่ ดป้ รุงแตง่ ฯ เพราะมีลกั ษณะ คือมคี วามเกดิ ขนึ้ ในเบอื้ งตน้ มีความดบั ในท่สี ดุ และเม่ือยงั ตงั้ อยู่ ความแปรผนั ปรากฏ ฯ (ปี 52) ความเกดิ ขึน้ ความตงั้ อยู่ ความดบั ไป เป็นลกั ษณะของธรรมอะไร สตั วบ์ คุ คลมลี กั ษณะเชน่ นนั้ หรอื ไม่? จงอธิบาย ตอบ เป็นลกั ษณะ ของสงั ขตธรรม มลี กั ษณะเช่นนนั้ คือเม่ือสตั วบ์ คุ คลเกดิ มาแลว้ ก็เป็นความเกดิ ขนึ้ ต่อมากเ็ จรญิ เติบโตผา่ นวยั ทง้ั ๓ กเ็ ป็นความตงั้ อยู่ เม่ือตาย ก็เป็นความดบั ไป ฯ (ปี 47) สงั ขารทงั้ หลายไมเ่ ป็นอนตั ตาหรอื เพราะเหตไุ รในธรรมนิยามจงึ ใชค้ าวา่ ธรรมทง้ั หลายเป็นอนตั ตา ? จงอธิบาย ตอบ สงั ขารทง้ั หลายก็เป็นอนตั ตา แตท่ ่ีใชค้ าวา่ ธรรมทงั้ หลายเป็นอนตั ตา นน้ั เพราะธรรมนน้ั หมายเอาธรรมคือสงั ขตธรรมและอสงั ขตธรรม สงั ขตธรรมไดแ้ กส่ งั ขารน่นั เอง อสงั ขตธรรมไดแ้ กว่ ิสงั ขารคือพระนพิ พาน ฯ ➢ กาม ๒ ๑. กเิ ลสกาม กเิ ลสเป็นเหตใุ คร่ [ไดแ้ ก่ กเิ ลสใหใ้ คร่ คือ ราคะ โลภะ อิจฉา เป็นตน้ ] ๒. วัตถุกาม วตั ถอุ นั นา่ ใคร่ [ไดแ้ กก่ ามคณุ ๕ รูป รส กลิ่น เสยี ง โผฏฐัพพะ อนั เป็นท่นี ่าปรารถนารกั ใครช่ อบใจ] ➢ กามคุณ ๕ รูป เสียง กลิน่ รส โผฏฐัพพะ อนั น่าปรารถนา นา่ ใคร่ นา่ พอใจ (ปี 63, 59) ราคะ โลภะ อิสสา กล่ิน รส อยา่ งไหนเป็นกิเลสกาม อยา่ งไหนเป็นวตั ถกุ าม ? ตอบ ราคะ โลภะ อิสสา เป็นกิเลสกาม กลนิ่ รส เป็นวตั ถกุ าม ฯ (ปี 44) กาม และ กามคณุ มีอธิบายอยา่ งไร ? รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทงั้ ๕ นี้ เพราะเหตไุ รจึงเรยี กวา่ กามคณุ ? ตอบ กาม ไดแ้ ก่ ความใคร่ ความนา่ ปรารถนา ความพอใจ แบง่ เป็น กิเลสกาม และวตั ถกุ าม สว่ นกามคณุ ไดแ้ กอ่ ารมณท์ ่นี า่ ปรารถนา น่าใคร่ นา่ พอใจ มี รูป เสยี ง กล่นิ รส โผฏฐัพพะ ซ่งึ เป็นวตั ถกุ ามน่นั เอง เพราะเป็นกล่มุ แหง่ กาม และเป็นสิง่ ท่ใี หเ้ กดิ ความสขุ ความพอใจได้ 7|P a g e

หมวด ๓ ➢ วิเวก ๓ ๑. กายวเิ วก สงดั กาย ไดแ้ ก่อยใู่ นทส่ี งดั ๒. จิตตวิเวก สงดั จติ ไดแ้ กท่ าจิตใหส้ งบดว้ ยสมถภาวนา ๓. อปุ ธวิ ิเวก สงดั กเิ ลส ไดแ้ กท่ าใจใหบ้ รสิ ทุ ธิ์จากกเิ ลสดว้ ยวิปัสสนาภาวนา (ปี 58) วเิ วก ๓ คอื อะไรบา้ ง ? จงอธิบายแตล่ ะอยา่ งพอเขา้ ใจ ตอบ คอื กายวิเวก สงดั กาย ไดแ้ กอ่ ย่ใู นท่ีสงดั จติ ตวเิ วก สงดั จติ ไดแ้ ก่ทาจติ ใหส้ งบดว้ ยสมถภาวนา อปุ ธิวิเวก สงดั กิเลส ไดแ้ ก่ทาใจ ใหบ้ รสิ ทุ ธิจ์ ากกิเลสดว้ ยวปิ ัสสนาภาวนา ฯ ➢ อธิปเตยยะ ๓ (ความเป็นใหญ)่ สิ่งท่ยี ดึ ถือเป็นสาคญั ในการกระทาหรือดาเนินชีวติ ๑. อัตตาธปิ เตยยะ ความมตี นเป็นใหญ่ ๒. โลกาธิปเตยยะ ความมโี ลกเป็นใหญ่ ๓. ธมั มาธปิ เตยยะ ความมธี รรมเป็นใหญ่ (ปี 62, 44) อธิปเตยยะ ๓ มอี ะไรบา้ ง ? บคุ คลผถู้ ือความถกู ตอ้ งเป็นใหญ่ทาดว้ ยอานาจ เมตตา กรุณา เป็นตน้ จดั เขา้ ในขอ้ ไหน ? ตอบ มี ๓ คือ ๑.อตั ตาธิปเตยยะ ความมีตนเป็นใหญ่ ๒. โลกาธิปเตยยะ ความมีโลกเป็นใหญ่ ๓. ธมั มาธิปเตยยะ ความมธี รรมเป็นใหญ่ ฯ จดั เขา้ ในธมั มาธิปเตยยะได้ ฯ (ปี 55) ผมู้ ีอตั ตาธิปเตยยะกบั ผมู้ ธี ัมมาธิปเตยยะ มคี วามมงุ่ หมายในการทางานตา่ งกนั อยา่ งไร? ตอบ ผมู้ อี ตั ตาธิปเตยยะปรารภภาวะของตนเป็นใหญ่ ทาดว้ ยมงุ่ ใหส้ มภาวะของตน ผทู้ าม่งุ ผลอนั จะไดแ้ ก่ตน หรือมงุ่ ความสะดวกแห่งตน ส่วนผมู้ ีธมั มาธิปเตยยะ ทาดว้ ยไม่มงุ่ หมายอยา่ งอื่น เป็นแตเ่ หน็ สมควรเหน็ วา่ ถกู ก็ทา หรอื ทาดว้ ยอานาจเมตตากรุณาเป็นอาทิ ฯ (ปี 44) คาวา่ อธิปเตยยะ แปลวา่ อะไร ? มอี ะไรบา้ ง ? บคุ คลผถู้ ือความถกู ตอ้ งเป็นใหญ่ ทาดว้ ยอานาจเมตตา กรุณา เป็นตน้ จดั เขา้ ในอธิป เตยยะขอ้ ไหนไดห้ รอื ไม่ ? ตอบ แปลวา่ ความเป็นใหญ่ มี ๓ คือ ๑.อตั ตาธิปเตยยะ ความมตี นเป็นใหญ่ ๒. โลกาธิปเตยยะ ความมโี ลกเป็นใหญ่ ๓. ธัมมาธิปเตยยะ ความมีธรรมเป็นใหญ่ ฯ จดั เขา้ ในธมั มาธิปเตยยะได้ ➢ ญาณ ๓ ความรูแ้ จง้ ในอรยิ สัจ ๔ ๑. สจั จญาณ ปรชี าหย่งั รูอ้ รยิ สจั ๒. กจิ จญาณ ปรีชาหย่งั รูก้ จิ อนั ควรทา ๓. กตญาณ ปรชี าหย่งั รูก้ จิ อนั ทาแลว้ อรยิ สจั ๔ ญาณ ๓ สจั จญาณ กิจจญาณ กตญาณ ทกุ ข์ รูว้ ่าความเกดิ รูว้ า่ ทกุ ข์ รูว้ ่าทกุ ข์ เป็นตน้ เป็นทกุ ข์ ควรกาหนดรู้ ไดก้ าหนดรูแ้ ลว้ สมุทยั รูว้ า่ ตณั หาเป็น รูว้ า่ สมทุ ยั รูว้ า่ สมทุ ยั เหตเุ กดิ ทกุ ข์ ควรละ ไดล้ ะแลว้ นิโรธ รูว้ ่าความดบั ทกุ ข์ รูว้ า่ นิโรธ รูว้ า่ นิโรธ คอื การดบั ตณั หา ควรทาใหแ้ จง้ ไดท้ าใหแ้ จง้ แลว้ มรรค รูว้ ่ามรรค ๘ คอื รูว้ ่ามรรค รูว้ า่ มรรค เป็นทางดบั ทกุ ข์ ควรเจรญิ ไดเ้ จรญิ แลว้ 8|P a g e

(ปี 61, 56) ญาณ ๓ ท่เี ป็นไปในทกุ ขสมทุ ยสจั มีอธิบายอยา่ งไร? ตอบ มีอธิบายวา่ ๑. ปรชี าหย่งั รูว้ า่ นที้ กุ ขสมทุ ยั เป็นเหตใุ หท้ กุ ขเ์ กดิ จรงิ จดั เป็นสจั ญาณ ๒. ปรีชาหย่งั รูว้ ่า นที้ กุ ขสมทุ ยั ควรละ จดั เป็นกจิ ญาณ ๓. ปรชี าหย่งั รูว้ ่า นที้ กุ ขสมทุ ยั ละไดแ้ ลว้ จดั เป็นกตญาณ ฯ (ปี 57) กตญาณ เป็นไปในอรยิ สจั ๔ อย่างไร? ตอบ ปรชี าหย่งั รูว้ ่า ทกุ ขค์ วรกาหนดรูไ้ ดก้ าหนดรูแ้ ลว้ ทกุ ขสมทุ ยั ท่คี วรละไดล้ ะแลว้ ทกุ ขนิโรธท่คี วรทาใหแ้ จง้ ไดท้ าใหแ้ จง้ แลว้ ทกุ ขนิโรธคา มินปี ฏิปทาท่คี วรเจรญิ ไดเ้ จรญิ แลว้ ฯ (ปี 55) ญาณ ๓ ท่เี ป็นไปในทกุ ขสจั มีอธิบายอยา่ งไร? ตอบ มีอธิบายวา่ ๑. ปรชี าหย่งั รูว้ า่ นที้ กุ ขสจั จดั เป็นสจั จญาณ ๒. ปรชี าหย่งั รูว้ า่ ทกุ ขสจั เป็นสภาพท่ีควรกาหนดรู้ จดั เป็นกจิ จญาณ ๓. ปรชี าหย่งั รูว้ ่า ทกุ ขสจั ท่คี วรกาหนดรู้ ไดก้ าหนดรูแ้ ลว้ จดั เป็นกตญาณ ฯ (ปี 53) ญาณ ๓ ท่เี ป็นไปในอรยิ สจั ๔ มอี ะไรบา้ ง ? ญาณ ๓ ท่เี ป็นไปในทกุ ขนิโรธสจั มอี ธิบายอยา่ งไร ? ตอบ มี ๑. สจั จญาณ ปรชี าหย่งั รูอ้ รยิ สจั ๒. กจิ จญาณ ปรชี าหย่งั รูก้ ิจอนั ควรทา ๓. กตญาณ ปรชี าหย่งั รูก้ จิ อนั ทาแลว้ ฯ มอี ธิบายว่า ๑. ปรีชาหย่งั รูว้ า่ นที้ กุ ขนโิ รธสจั จดั เป็นสจั จญาณ ๒. ปรีชาหย่งั รูว้ า่ ทกุ ขนิโรธสจั เป็นสภาพท่คี วรทาใหแ้ จง้ จดั เป็นกิจจญาณ ๓. ปรีชาหย่งั รูว้ า่ ทุกขนโิ รธสจั ท่คี วรทาใหแ้ จง้ ๆ แลว้ จดั เป็นกตญาณ ฯ (ปี 51) กจิ จญาณ คอื อะไร ? เป็นไปในอรยิ สจั ๔ อยา่ งไร ? ตอบ คือ ปรีชาหย่งั รูก้ จิ อนั ควรทา ฯ ปรีชาหย่งั รูว้ า่ ทกุ ขเ์ ป็นธรรมชาติท่คี วรกาหนดรู้ ทกุ ขสมทุ ยั เป็นธรรมชาติท่คี วรละ ทกุ ขนิโรธเป็นธรรมชาตทิ ่คี วรทาใหแ้ จง้ ทกุ ขนิโรธคามนิ ปี ฏปิ ทาเป็นธรรมชาติทค่ี วรทาใหเ้ กิด ฯ (ปี 46) ญาณ ๓ ท่เี ป็นไปในอรยิ สจั ๔ มอี ะไรบา้ ง ? ญาณ ๓ ท่เี ป็นไปในทกุ ขนิโรธ มอี ธิบายอยา่ งไร ? ตอบ มี ๑. สจั จญาณ ปรีชาหย่งั รูอ้ รยิ สจั ๒. กิจจญาณ ปรชี าหย่งั รูก้ ิจอนั ควรทา ๓. กตญาณ ปรชี าหย่งั รูก้ จิ อนั ทาแลว้ ฯ มีอธิบายอย่างนี้ ๑. ปรีชาหย่งั รูว้ า่ นที้ กุ ขนโิ รธ จดั เป็นสจั จญาณ ๒. ปรีชาหย่งั รูว้ า่ ทกุ ขนโิ รธ เป็นสภาพท่คี วรทาใหแ้ จง้ จดั เป็นกจิ จญาณ ๓. ปรีชาหย่งั รูว้ า่ ทกุ ขนิโรธ เป็นสภาพท่คี วรทาใหแ้ จง้ ทาใหแ้ จง้ แลว้ จดั เป็นกตญาณ ฯ (ปี 45) ญาณ ๓ ท่เี ป็นไปในจตรุ ารยิ สจั มีอะไรบา้ ง ? ญาณ ๓ ทเ่ี ป็นไปในทกุ ขสมทุ ยั มอี ธิบายอยา่ งไร ? ตอบ ญาณ ๓ ท่เี ป็นไปในจตรุ ารยิ สจั มี ๑. สจั จญาณ ปรชี าหย่งั รูอ้ รยิ สจั ๒. กจิ จญาณ ปรีชาหย่งั รูก้ จิ อนั ควรทา ๓. กตญาณ ปรีชาหย่งั รูก้ จิ อนั ทาแลว้ ฯ ญาณ ๓ ท่เี ป็นไปในทกุ ขสมทุ ยั ดงั นี้ ๑. ปรชี าหย่งั รูว้ า่ นที้ กุ ขสมทุ ยั จดั เป็นสจั จญาณ ๒. ปรชี าหย่งั รูว้ า่ ทกุ ขสมทุ ยั เป็นสภาพท่ีควรละเสีย จดั เป็นกจิ จญาณ ๓. ปรีชาหย่งั รูว้ า่ ทกุ ขสมทุ ยั ท่คี วรละๆ ไดแ้ ลว้ จดั เป็นกตญาณ ฯ (ปี 43) ปรชี าหย่งั รูอ้ ะไรจดั เป็นกจิ จญาณ ? สกิ ขาคืออะไร ? มเี ทา่ ไร ? อะไรบา้ ง ? ตอบ ปรีชาหย่งั รูว้ า่ ทกุ ขเ์ ป็นธรรมชาติท่คี วรกาหนดรู้ ทกุ ขสมทุ ยั เป็นสภาพท่คี วรละเสีย ทกุ ขนิโรธเป็นสภาพท่คี วรทาใหแ้ จง้ ทกุ ขนิโรธคามินี ปฏิปทาเป็นธรรมชาติท่ีควรทาใหเ้ กดิ จดั เป็นกจิ จญาณ ฯ 9|P a g e

ปฏปิ ทาท่ตี งั้ ไวเ้ พ่อื ศกึ ษา คอื ฝึกหดั ไตรทวารไปตาม ช่ือวา่ สิกขา มี ๓ อย่างคือ อธิสลี สิกขา สกิ ขาคอื ศีลยง่ิ ๑ อธิจติ ตสิกขา สิกขาคือจติ ยงิ่ ๑ อธิปัญญาสกิ ขา สิกขาคือปัญญายิง่ ๑ ฯ ➢ วฏั ฏะ ๓ หรอื เรียกวา่ ไตรวฏั ฏะ (วน, การหมนุ เวยี นไปเป็นวงกลม) การหมนุ เวียนไปตามอานาจของกเิ ลส กรรม และวบิ าก ๑. กิเลสวัฏฏะ ๒. กมั มวัฏฏะ ๓. วปิ ากวฏั ฏะ (ปี 63) กเิ ลส กรรม วบิ าก ไดช้ ่ือว่า วฏั ฏะ ท่แี ปลวา่ ความหมนุ เวยี น อยากทราบวา่ หมนุ เวียน อยา่ งไร ? ตอบ อยา่ งนี้ คือ กเิ ลสเกดิ ขนึ้ แลว้ เป็นเหตใุ หท้ ากรรม ครนั้ ทากรรมแลว้ ยอ่ มไดร้ บั วบิ ากแห่งกรรม เม่ือไดร้ บั วบิ าก กเิ ลสเกิดขนึ้ อกี วนกนั ไป อย่างนี้ ฯ (ปี 57) กเิ ลส กรรม วิบาก ไดช้ ่ือว่า วฏั ฏะ เพราะเหตไุ ร? จะตดั ใหข้ าดไดด้ ว้ ยอะไร? ตอบ เพราะหมนุ เวียนกนั ไป คอื กเิ ลสเกิดขนึ้ แลว้ เป็นเหตใุ หท้ ากรรม ครนั้ ทากรรมแลว้ ย่อมไดร้ บั วบิ ากแห่งกรรม เม่ือไดร้ บั วบิ าก กิเลสเกิดขนึ้ อกี วนกนั ไปอย่างนี้ ฯ ดว้ ยอรหตั ตมรรค ฯ (ปี 54) ไตรวฏั ฏะ อนั ไดแ้ ก่ กิเลสวฏั ฏะ กมั มวฏั ฏะ วิปากวฏั ฏะ มีสภาพเก่ียวเน่อื งวนกนั ไปอยา่ งไร? ตดั ใหข้ าดไดด้ ว้ ยอะไร? ตอบ อยา่ งนี้ คือ กเิ ลสเกดิ ขึน้ แลว้ ใหท้ ากรรม ครนั้ ทากรรมแลว้ ย่อมไดร้ บั วบิ ากแห่งกรรม เมอ่ื ไดร้ บั วิบาก กิเลสกเ็ กดิ ขึน้ อกี วนกนั ไป อยา่ งนี้ ฯ ไดด้ ว้ ยอรหตั ตมรรคญาณ ฯ (ปี 51) กเิ ลส กรรม วบิ าก เรยี กวา่ วฏั ฏะ เพราะเหตไุ ร ? จงอธิบาย ตอบ เพราะวน คอื หมนุ เวยี นกนั ไป ฯ อธิบายว่า กิเลสเกิดขนึ้ แลว้ ใหท้ ากรรม ครนั้ ทากรรมแลว้ ยอ่ มไดร้ บั วบิ ากแหง่ กรรม เม่ือได้รบั วิบาก กเิ ลสกเ็ กดิ ขึน้ อกี วนกนั ไปอย่างนี้ ฯ ➢ อกศุ ลวติ ก ๓ ความตรใิ นทางไมด่ ไี มง่ าม ๑. กามวิตก ความตรใิ นทางกาม ๒. พยาบาทวติ ก ความตรใิ นทางพยาบาท ๓. วิหงิ สาวติ ก ความตรใิ นทางเบียดเบยี น (ปี 63, 59) ความตรใิ นฝ่ายช่วั เรยี กวา่ อะไร ? มีก่ีอย่าง ? อะไรบา้ ง ? ตอบ เรยี กวา่ อกศุ ลวิตก ฯ มี ๓ อยา่ ง ฯ คอื ๑. กามวติ ก ความตรใิ นทางกาม ๒. พยาบาทวติ ก ความตรใิ นทางพยาบาท ๓. วิหงิ สาวติ ก ความตรใิ นทางเบยี ดเบยี น ฯ (ปี 54) เมตตากบั ปรานมี คี วามหมายตา่ งกนั หรือเหมือนกนั อยา่ งไร ? และอยา่ งไหนกาจดั วติ กอะไร ? ตอบ เมตตาหมายถึงความรกั ใครห่ รอื ความหวงั ดี ปรานีหมายถงึ ความปรารถนาใหผ้ อู้ ื่นพน้ จากความทกุ ขเ์ ขา้ ลกั ษณะแหง่ กรุณา ฯ เมตตากาจดั พยาบาทวิตก ปรานีกาจดั วหิ งิ สาวติ ก ฯ (หมายเหตุ คาํ วา่ “เมตตา” กบั “ปราณี” ในทนี่ เี้ ป็นธรรมทอี่ ยใู่ น อปั ปมญั ญา ๔) (ปี 49) อกศุ ลวิตก ๓ มโี ทษอยา่ งไร ? แกด้ ว้ ยวธิ ีอย่างไร ? ตอบ กามวิตก ทาใจใหเ้ ศรา้ หมอง เป็นเหตใุ หม้ วั เมาตดิ อย่ใู นกามสมบตั ิ พยาบาทวิตก ทาใหเ้ ดือดรอ้ นกระวนกระวายใจ คดิ ทารา้ ยผอู้ น่ื วหิ ิงสาวิตก ย่อมครอบงาจติ ใหค้ ดิ เบยี ดเบยี นผอู้ ่นื โดยเห็นแกป่ ระโยชนส์ ขุ ส่วนตวั ฯ กามวิตก แกด้ ว้ ยการเจรญิ กายคตาสติและอสภุ กมั มฏั ฐาน พยาบาทวิตก แกด้ ว้ ยการเจรญิ เมตตาพรหมวิหาร วิหงิ สาวิตก แกด้ ว้ ยการเจรญิ กรุณาพรหมวิหารและโยนโิ สมนสิการ ฯ 10 | P a g e

➢ กุศลวติ ก ๓ ความตรใิ นทางดงี าม (ปี 56) กศุ ลวิตก มอี ะไรบา้ ง? สงเคราะหเ์ ขา้ ในมรรคมอี งค์ ๘ ขอ้ ไหนได?้ ตอบ มี ๑. เนกขมั มวติ ก ความตรใิ นทางพรากจากกาม ๒. อพยาบาทวติ ก ความตรใิ นทางไม่พยาบาท ๓. อวิหงิ สาวติ ก ความตรใิ นทางไมเ่ บยี ดเบียน ฯ สงเคราะหเ์ ขา้ ในขอ้ สมั มาสงั กปั ปะ ฯ ➢ สังขาร ๓ มี ๑. กายสังขาร สภาพอนั แต่งกาย ๒. วจีสังขาร สภาพอนั แต่งวาจา ๓. จิตตสงั ขาร สภาพอนั แต่งจติ (ปี 58) ในสงั ขาร ๓ อะไรช่ือวา่ กายสงั ขารและวจสี งั ขาร ? เพราะเหตไุ รจึงไดช้ ่ืออย่างนนั้ ? ตอบ ลมอสั สาสะปัสสาสะ ไดช้ ่ือว่ากายสงั ขาร เพราะปรนปรอื กายใหเ้ ป็นอยู่ วิตก กบั วจิ าร ไดช้ ่ือวา่ วจสี งั ขาร เพราะตรแิ ลว้ ตรองแลว้ จงึ พดู ไมเ่ ชน่ นน้ั วาจานน้ั จกั ไมเ่ ป็นภาษา ฯ ➢ อภสิ ังขาร ๓ สภาพผูต้ กแตง่ สภาพท่ปี รุงแตง่ ผลแหง่ การกระทาของบคุ คล หรอื เจตนาท่เี ป็นตวั การในการทากรรม ๑. ปุญญาภสิ ังขาร อภิสงั ขารคือบญุ [ปรุงด]ี ๒. อปุญญาภสิ ังขาร อภิสงั ขารคือบาป [ปรุงช่วั ] ๓. อเนญชาภสิ งั ขาร อภสิ งั ขารคอื อเนญชา [ความตงั้ ใจปรุงแตง่ ใหเ้ ป็นบญุ อยา่ งม่นั คงไม่หว่นั ไหว เชน่ สมาธิฌาณ ๔ ฌาณ ๘] (ปี 54) พระบาลวี ่า “อวชิ ฺชาปจจฺ ยา สงขฺ ารา” เพราะอวชิ ชาเป็นปัจจยั จงึ มีสงั ขารดงั นี้ คาว่า สงั ขารหมายถงึ อะไร? ไดแ้ กอ่ ะไรบา้ ง? ตอบ หมายถงึ สภาพผปู้ รุงแตง่ ฯ ไดแ้ ก่ ๑. ปญุ ญาภิสงั ขาร อภิสงั ขารคอื บญุ ๒. อปญุ ญาภิสงั ขาร อภสิ งั ขารคือบาป ๓. อเนญชาภิสงั ขาร อภสิ งั ขารคืออเนญชา ฯ ➢ ภพ ๓ โลกเป็นท่อี ยตู่ ่างชนั้ แห่งหม่สู ตั ว์ ๑. กามภพ ภพเป็นกามาวจร ๒. รูปภพ ภพเป็นรูปาวจร ๓. อรูปภพ ภพเป็นอรูปาวจร ➢ ภมู ิ ๔ ภาวะอนั ประณีตขึน้ ไปเป็นชน้ั ๆ แหง่ จิตและเจตสิก ๑. กามาวจรภูมิ ชนั้ ท่องเทย่ี วอย่ใู นกาม ๓. อรูปาวจรภูมิ ชน้ั ท่องเท่ยี วอย่ใู นอรูป ๒. รูปาวจรภมู ิ ชนั้ ทอ่ งเท่ยี วอยใู่ นรูป ๔. โลกตุ รภมู ิ ชนั้ พน้ จากโลก (ปี 53) ภพกบั ภมู ิตา่ งกนั อยา่ งไร ? มอี ย่างละเทา่ ไร ? ตอบ ภพ หมายถึงโลกเป็นท่อี ยตู่ า่ งชนั้ แห่งหม่สู ตั ว์ มี ๓ ฯ ภมู ิ หมายถงึ ภาวะอนั ประณตี ขนึ้ ไปเป็นชน้ั ๆ แหง่ จติ และเจตสกิ มี ๔ ฯ ➢ วชิ ชา ๓ ความรูแ้ จง้ หรือความรูท้ พ่ี ิเศษ ท่เี กิดแกพ่ ระพทุ ธเจา้ ในวนั ตรสั รู้ ๑. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ญาณเป็นเหตใุ หร้ ะลกึ อดีตชาติได้ ๒. จุตูปปาตญาณ ญาณเป็นเหตใุ หร้ ูจ้ ตุ ิและอบุ ตั ิแหง่ สตั วท์ งั้ หลาย ๓. อาสวกั ขยญาณ ญาณเป็นเหตใุ หส้ นิ้ อาสวะ (ปี 52) อาสวกั ขยญาณ รูจ้ กั ทาอาสวะใหส้ นิ้ อธิบายอยา่ งไร? 11 | P a g e

ตอบ มีอธิบายอย่างนี้ รูช้ ดั ตามจริงวา่ นที้ กุ ข์ นที้ กุ ขสมทุ ยั นที้ กุ ขนิโรธ นที้ กุ ขนโิ รธคามนิ ปี ฏิปทา เหล่านอี้ าสวะ นเี้ หตเุ กดิ อาสวะ นคี้ วามดบั อาสวะ นที้ างไปถงึ ความดบั อาสวะ เม่ือรูเ้ หน็ อยา่ งนจี้ ติ พน้ แลว้ จากกามาสวะ ภวาสวะ อวชิ ชาสวะ ฯ (ปี 47) คาวา่ ทิพพจกั ษุ คือ ตาทพิ ย์ ในนิทเทสแหง่ วชิ ชา ๓ หมายถงึ เห็นอยา่ งไร ? ตอบ หมายถงึ การเหน็ เหลา่ สตั วท์ ่กี าลงั จตุ ิ กาลงั เกดิ เลว ดี มีผวิ พรรณงาม มผี วิ พรรณไม่งาม ไดด้ ี ตกยาก รูช้ ดั วา่ เหล่าสตั วเ์ ป็นไปตามกรรมฯ ➢ ปาฏหิ าริยะ ๓ หรอื ปาฏหิ าริย์ ๓ ความอศั จรรย์ ๑. อิทธปิ าฏหิ าริยะ ฤทธิ์เป็นอศั จรรย์ ๒. อาเทสนาปาฏหิ าริยะ ดกั ใจเป็นอศั จรรย์ ๓. อนุสาสนีปาฏหิ ารยิ ะ คาสอนเป็นอศั จรรย์ (ปี 62, 44) ปาฏหิ ารยิ ค์ อื อะไร ? พระพทุ ธเจา้ ทรงยกยอ่ งปาฏิหารยิ อ์ ะไรวา่ เป็นอศั จรรยย์ ่ิงกวา่ ปาฏิหารยิ อ์ ื่น ? ตอบ คือ การกระทาท่ใี หบ้ งั เกดิ ผลเป็นอศั จรรย์ ฯ ทรงยกย่องอนสุ าสนีปาฏิหารยิ ว์ า่ เป็นอศั จรรยย์ งิ่ กวา่ ปาฏหิ ารยิ อ์ ื่น ฯ (ปี 60) ปาฏหิ ารยิ ม์ ีอะไรบา้ ง ? ทาไมจึงยกย่องอนสุ าสนปี าฏิหารยิ ว์ ่าอศั จรรย์ ? ตอบ มี ๓ อยา่ ง คอื ๑. อิทธิปาฏหิ ารยิ ์ ฤทธิ์เป็นอศั จรรย์ ๒. อาเทสนาปาฏหิ ารยิ ์ รูใ้ จเป็นอศั จรรย์ ๓. อนสุ าสนีปาฏหิ ารยิ ์ คาสอนเป็นอศั จรรย์ ฯ เพราะอาจจงู ใจผฟู้ ังใหเ้ หน็ คลอ้ ยตาม ละความช่วั ทาความดี ตงั้ แต่ขนั้ ต่าคือการถึงสรณะและรกั ษาศลี ตลอดถงึ ขน้ั สงู คอื มรรคผลนิพพานได้ ฯ (ปี 51) ปาฏหิ ารยิ ์ ๓ มอี ะไรบา้ ง ? อยา่ งไหนเป็นอศั จรรยท์ ่สี ดุ ? ตอบ มี ๑. อิทธิปาฏิหารยิ ์ ฤทธิเ์ ป็นอศั จรรย์ ๒. อาเทสนาปาฏิหารยิ ์ รูใ้ จเป็นอศั จรรย์ ๓. อนสุ าสนีปาฏิหารยิ ์ คาสอนเป็นอศั จรรย์ ฯ อนสุ าสนปี าฏิหารยิ ์ เป็นอศั จรรยท์ ่สี ดุ ฯ (ปี 44) ปาฏิหารยิ ค์ อื อะไร ? พระพทุ ธเจา้ ทรงยกย่องปาฏหิ ารยิ อ์ ะไรวา่ เป็นอศั จรรยย์ ง่ิ กว่าปาฏหิ ารยิ อ์ ่ืน ? พทุ ธจรยิ า และพทุ ธิจรติ ตา่ งกนั อยา่ งไร ? ตอบ คือ การกระทาท่ใี หบ้ งั เกดิ ผลเป็นอศั จรรย์ ฯ ทรงยกย่องอนสุ าสนปี าฏหิ ารยิ ว์ า่ เป็นอศั จรรยย์ ง่ิ กวา่ ปาฏิหารยิ ์อ่นื ฯ พทุ ธจรยิ า คือพระจรยิ าของพระพทุ ธเจา้ พทุ ธิจรติ คอื ผมู้ ีความรูเ้ ป็นปกติ ฯ ➢ อคั คิ ๓ ไฟกเิ ลสท่แี ผดเผาใจใหเ้ รา่ รอ้ น มี ๑. ราคคั คิ ไฟคอื ราคะ ๒. โทสัคคิ ไฟคอื โทสะ ๓. โมหคั คิ ไฟคือโมหะ (ปี 50) พระพทุ ธเจา้ ทรงอปุ มากิเลสเหลา่ ไหนวา่ มลี กั ษณะเหมือนกบั ไฟ ? ท่ที รงอปุ มาเชน่ นน้ั เพราะเหตไุ ร ? ตอบ กเิ ลสเหลา่ นี้ คือ ราคะ โทสะ โมหะ ฯ เพราะเม่ือกเิ ลสทง้ั ๓ กองนี้ กองใดกองหน่ึงเกิดขนึ้ ภายในใจของบคุ คล จะแผดเผากอ่ ใหเ้ กิดความเรา่ รอ้ นขนึ้ ภายในใจ ฯ ➢ กรรม ๓ การกระทา ๓. มโนกรรม กรรมท่ที าดว้ ยใจ ๑. กายกรรม กรรมท่ที าดว้ ยกาย ๒. วจีกรรม กรรมท่ที าดว้ ยวาจา ➢ กรรม ๑๒ หมวดที่ ๑ ให้ผลตามคราว (*กรรมทจ่ี ัดตามช่วงเวลาของการใหผ้ ล*) ๑. ทฏิ ฐธรรมเวทนียกรรม กรรมใหผ้ ลในภพนี้ ๒. อปุ ปัชชเวทนียกรรม กรรมใหผ้ ลในภพหนา้ 12 | P a g e

๓. อปราปรเวทนียกรรม กรรมใหผ้ ลในภพต่อๆ ไป ๔. อโหสกิ รรม กรรมใหผ้ ลสาเรจ็ แลว้ [กรรมเลกิ ใหผ้ ล] หมวด ๒ ใหผ้ ลตามกจิ (*กรรมทจี่ ดั ตามหน้าท*่ี ) ๕. ชนกกรรม กรรมแตง่ ใหเ้ กดิ ๖. อปุ ัตถมั ภกกรรม กรรมสนบั สนนุ ๗. อปุ ปี ฬกกรรม กรรมบีบคนั้ ๘. อุปฆาตกกรรม กรรมตดั รอน หมวด ๓ ให้ผลตามลาดับ (*กรรมทจ่ี ดั ตามการให้ผลตามลาดบั ความหนักเบาของกรรม*) ๙. ครุกรรม กรรมหนกั ๑๐. พหุลกรรม กรรมชิน ๑๑. อาสันนกรรม กรรมเม่ือจวนเจยี น ๑๒.กตตั ตากรรม กรรมสกั ว่าทา ➢ ทวาร ๓ ทางเกิดของกรรม ๑. กายทวาร ทวารคือกาย ๒. วจที วาร ทวารคอื วาจา ๓. มโนทวาร ทวารคอื ใจ (ปี 60, 50) ในกรรม ๑๒ อปุ ัตถมั ภกกรรม กบั อปุ ปีฬกกรรม ทาหนา้ ท่ตี ่างกนั อยา่ งไร ? ตอบ อปุ ัตถมั ภกกรรม ทาหนา้ ท่ีสนบั สนนุ ผลแห่งชนกกรรม อปุ ปีฬกกรรม ทาหนา้ ท่บี บี คนั้ ผลแห่งชนกกรรม ฯ (ปี 59, 46) จงใหค้ วามหมายของคาต่อไปนี้ ก. อโหสกิ รรม ข. กตตั ตากรรม ตอบ ก. อโหสกิ รรม คือกรรมใหผ้ ลสาเรจ็ แลว้ เป็นกรรมลว่ งคราวแลว้ เลกิ ใหผ้ ลเปรยี บเหมอื นพชื สนิ้ ยางแลว้ เพาะไมข่ นึ้ ข. กตตั ตากรรม คือกรรมสกั วา่ ทา ไดแ้ ก่กรรมอนั ทาดว้ ยไม่จงใจ ฯ (ปี 58) อปุ ฆาตกกรรม คือกรรมตดั รอน ทาหนา้ ท่อี ะไร ? ตอบ ทาหนา้ ท่ตี ดั รอนผลแหง่ ชนกกรรมและอปุ ัตถมั ภกกรรมใหข้ าดแลว้ เขา้ ใหผ้ ล แทนท่ี (ชนกกรรมและอปุ ัตถมั ภกกรรมนน้ั ) ฯ ขบดว้ ยทิฏฐิ (ทฏิ ฐิยา สปุ ฏิวิทธา) ฯ (ปี 56) การฆา่ สตั ว์ อยา่ งไรเกดิ ทางกายทวาร อยา่ งไรเกิดทางวจที วาร ? ตอบ ฆา่ ดว้ ยตนเองเกดิ ทางกายทวาร ใชใ้ หผ้ อู้ น่ื ฆ่าเกิดทางวจีทวาร ฯ (ปี 55) กรรมท่บี คุ คลทาไว้ ทาหนา้ ท่อี ย่างไรบา้ ง? ตอบ ทาหนา้ ท่ี คือ ๑. แต่ง (วิบาก) ใหเ้ กิด เรยี กวา่ ชนกกรรม ๒. สนบั สนนุ (วบิ ากของกรรมอน่ื ) เรยี กวา่ อปุ ัตถมั ภกกรรม ๓. บีบคนั้ (วิบากของกรรมอน่ื ) เรยี กวา่ อปุ ปีฬกกรรม ๔. ตดั รอน (วิบากของกรรมอืน่ ) เรยี กวา่ อปุ ฆาตกกรรม ฯ (ปี 50) กรรมและทวาร คืออะไร ? อภชิ ฌาเป็นกรรมใดและเกิดทางทวารใดบา้ ง จงอธิบาย ? ตอบ กรรม คอื การกระทา สว่ นทวาร คอื ทางเกดิ ของกรรม ฯ อภิชฌา ความอยากได้ เป็นมโนกรรมไดอ้ ยา่ งเดยี ว และเกดิ ไดท้ ง้ั ๓ ทวาร เป็นกายทวาร เชน่ มีความอยากไดแ้ ลว้ ลบู คลาพสั ดทุ ่อี ยากไดน้ นั้ แต่ไม่มีไถยจติ เป็นวจีทวาร เช่น มีความอยากไดแ้ ลว้ บ่นวา่ ทาอยา่ งไรดีหนอ จกั ไดพ้ สั ดนุ น้ั และเป็นมโนทวาร เช่น มคี วามอยากไดแ้ ลว้ ราพงึ ในใจ ฯ 13 | P a g e

(ปี 49) คาต่อไปนมี้ คี วามหมายอย่างไร ? ก.ชนกกรรม ข.อปุ ัตถมั ภกกรรม ค.ทิฏฐธมั มเวทนียกรรม ง.อปุ ปัชชเวทนียกรรม จ.กตตั ตากรรม ตอบ ก. กรรมแตง่ ใหเ้ กดิ ข. กรรมสนบั สนนุ ค. กรรมใหผ้ ลในภพนี้ ง. กรรมใหผ้ ลในภพหนา้ จ. กรรมสกั ว่าทา คอื กรรมท่ีทาดว้ ยไม่จงใจ ฯ (ปี 48) พทุ ธภาษิตวา่ ผทู้ ากรรมดีย่อมไดร้ บั ผลดี ผทู้ ากรรมช่วั ย่อมไดร้ บั ผลช่วั แต่ปรากฏว่าผทู้ ากรรมช่วั ยงั ไดร้ บั สขุ กม็ ี ผทู้ ากรรมดยี งั ไดร้ บั ทกุ ขก์ ม็ ี ท่เี ป็นเช่นนี้ เพราะเหตใุ ด ? ตอบ เพราะกรรมบางอย่างใหผ้ ลในภพนี้ บางอยา่ งใหผ้ ลในภพหนา้ หรือในภพตอ่ ๆ ไป ผทู้ ากรรมช่วั ไดร้ บั สขุ เพราะกรรมช่วั ยงั ไมไ่ ดช้ อ่ ง ใหผ้ ลในขณะนนั้ กรรมดที ่เี ขาทาไวใ้ นอดีตกาลงั ใหผ้ ลอยู่ แตก่ รรมช่วั นน้ั ยงั ไมส่ ญู หายไป ยงั ตดิ ตามใหผ้ ลอยเู่ สมอ เป็นแตย่ งั ไม่ไดช้ อ่ งเท่านน้ั สว่ นผทู้ ากรรมดี ท่ไี มไ่ ดร้ บั สขุ ในขณะนนั้ เพราะกรรมช่วั ท่ีเขาไดท้ าไวใ้ นอดีตกาลงั ใหผ้ ลอยู่ จงึ ตอ้ งรบั ทกุ ขล์ าบากอยใู่ นขณะนนั้ แตก่ รรมดีท่ี ทาไวน้ น้ั ยงั ไม่สญู หายไป ยงั ตดิ ตามเขาไปเหมือนเงาตามตวั ฉะนนั้ เม่ือไดช้ อ่ งก็ยอ่ มใหผ้ ลทนั ที ฯ (ปี 45) ในกรรม ๑๒ กรรมท่ใี หผ้ ลตามลาดบั ไดแ้ กก่ รรมอะไรบา้ ง ? อปุ ฆาตกกรรม มอี ธิบายอยา่ งไร ? ตอบ ไดแ้ ก่ ๑. ครุกรรม กรรมหนกั ๒. พหลุ กรรม หรือ อาจิณณกรรม กรรมชนิ ๓. อาสนั นกรรม กรรมเม่ือจวนเจียน ๔. กตตั ตากรรม กรรมสกั วา่ ทา ฯ อปุ ฆาตกกรรมเป็นกรรมท่แี รง ซง่ึ ตรงกนั ขา้ มกบั ชนกกรรม และอปุ ัตถมั ภกกรรม เขา้ ตดั รอนการใหผ้ ลของกรรมสองอยา่ งนนั้ ใหข้ าดไปเสยี ทเี ดียว เชน่ เกิดในตระกลู สงู ม่งั ค่งั แต่อายสุ นั้ เป็นตน้ ฯ (ปี 44) กรรมหมายถึงการกระทาเช่นไร ? ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม และอปุ ปัชชเวทนยี กรรม คือกรรมเชน่ ไร ? ตอบ หมายถงึ การกระทาทางกาย วาจา ใจ ท่มี เี จตนาจงใจทา เป็นไดท้ งั้ ฝ่ายดี ฝ่ายช่วั หรือเป็นกลาง ๆ ฯ ทิฏฐธรรมเวทนยี กรรม คือกรรมใหผ้ ลในภพปัจจบุ นั อปุ ปัชชเวทนยี กรรม คอื กรรมใหผ้ ลในภพท่จี ะเกิดถดั ไป ฯ ➢ เวทนา ๓ ไดแ้ ก่ สขุ ทกุ ข์ เฉย ๆ ➢ เวทนา ๕ ๑. สุข ความสบายกาย ๔. โทมนัส ความทกุ ขท์ างใจ ๒. โสมนัส ความสขุ ทางใจ ๕. อเุ บกขา ความรูส้ กึ เฉยๆ ๓. ทกุ ข์ ความไม่สบายกาย (ปี 57) ความรูส้ กึ เฉยๆ ทางกาย กบั ความรูส้ กึ เฉยๆ ทางใจ จดั เขา้ ในเวทนา ๕ อย่างไร? ตอบ ความรูส้ กึ เฉยๆ ทางกาย จดั เป็นสขุ ความรูส้ กึ เฉยๆ ทางใจ จดั เป็นอเุ บกขา ฯ (ปี 50) เวทนา ๓ และเวทนา ๕ ไดแ้ ก่อะไรบา้ ง ? จดั กล่มุ เทยี บกนั ไดอ้ ย่างไร ? ตอบ เวทนา ๓ ไดแ้ ก่ สขุ ทกุ ข์ เฉย ๆ คอื ไมส่ ขุ ไม่ทกุ ข์ ส่วนเวทนา ๕ ไดแ้ ก่ สขุ โสมนสั ทกุ ข์ โทมนสั อเุ บกขา ฯ ในเวทนา ๓ สขุ คือ สขุ กายและสขุ ใจ ซง่ึ ในเวทนา ๕ สขุ กายกค็ อื สขุ และสขุ ใจกค็ อื โสมนสั ในเวทนา ๓ ทกุ ข์ คือ ทกุ ขก์ ายและทกุ ขใ์ จ ซง่ึ ในเวทนา ๕ ทกุ ขก์ ายกค็ ือทกุ ข์ และทุกขใ์ จก็คอื โทมนสั ส่วนในเวทนา ๓ เฉย ๆ คือไม่สขุ ไมท่ กุ ข์ ในเวทนา ๕ ก็คอื อเุ บกขาน่นั เอง 14 | P a g e

➢ พทุ ธจริยา ๓ พระจรยิ าวตั รของพระพทุ ธเจา้ ๑. โลกตั ถจริยา การบาเพ็ญประโยชนแ์ ก่ชาวโลก ในฐานะท่ที รงเป็นโลกนาถ ๒. ญาตตั ถจรยิ า การบาเพญ็ ประโยชนแ์ กเ่ หลา่ พระประยรู ญาติ ในฐานะท่ที รงเป็นสายโลหิตเดยี วกนั ๓. พทุ ธตั ถจริยา การบาเพ็ญประโยชนใ์ นฐานะท่ที รงเป็นพระพทุ ธเจา้ (ปี 58) โลกตั ถจรยิ า ท่พี ระพทุ ธองคท์ รงประพฤตเิ ป็นประโยชนแ์ กโ่ ลกนน้ั มีอธิบายอยา่ งไร ? ตอบ มีอธิบายวา่ ทรงประพฤตเิ ป็นประโยชนแ์ กม่ หาชนท่นี บั วา่ สตั วโลกท่วั ไป เช่น ทรงแผ่ พระญาณตรวจดสู ตั วโลกทกุ เชา้ ค่า ผใู้ ดปรากฏใน ขา่ ยพระญาณ เสด็จไปโปรดผนู้ นั้ สรุปคือ ทรงสงเคราะหค์ นทง้ั หลายโดยฐานเป็นเพ่อื นมนษุ ยด์ ว้ ยกนั ฯ (ปี 48) พระพทุ ธเจา้ ทรงประพฤติประโยชนโ์ ดยฐานเป็นพระพทุ ธเจา้ ท่เี รยี กว่าพทุ ธตั ถจรยิ า คอื ทรงประพฤตอิ ยา่ งไร ? ตอบ ทรงทาหนา้ ท่ขี องพระพทุ ธเจา้ คอื ไดท้ รงแสดงธรรมประกาศพระศาสนาใหบ้ รษิ ทั ทงั้ คฤหสั ถแ์ ละบรรพชิตรูท้ ่วั ถงึ ธรรมตามภมู ชิ นั้ และ ทรงบญั ญัติสิกขาบท อนั เป็นอาทพิ รหมจรรยแ์ ละอภสิ มาจาร ฯ (ปี 44) ปาฏิหารยิ ค์ ืออะไร ? พระพทุ ธเจา้ ทรงยกยอ่ งปาฏหิ ารยิ อ์ ะไรว่าเป็นอศั จรรยย์ ่ิงกว่าปาฏหิ ารยิ อ์ ื่น ? พทุ ธจรยิ า และพทุ ธิจรติ ตา่ งกนั อย่างไร ? ตอบ คือ การกระทาท่ใี หบ้ งั เกดิ ผลเป็นอศั จรรย์ ฯ ทรงยกยอ่ งอนสุ าสนีปาฏหิ ารยิ ว์ า่ เป็นอศั จรรยย์ งิ่ กวา่ ปาฏิหารยิ อ์ น่ื ฯ พทุ ธจรยิ า คอื พระจรยิ าของพระพทุ ธเจา้ พทุ ธิจรติ คือผมู้ ีความรูเ้ ป็นปกติ ฯ หมวด ๔ ➢ อปัสเสนธรรม ๔ ธรรมเป็นทพี่ งึ พงิ ๑. พจิ ารณาแล้วเสพของอยา่ งหน่ึง ๓. พิจารณาแล้วเวน้ ของอยา่ งหนึ่ง ๒. พจิ ารณาแล้วอดกลน้ั ของอย่างหนึ่ง ๔. พจิ ารณาแลว้ บรรเทาของอย่างหนึ่ง (ปี 58) อปัสเสนธรรมขอ้ วา่ “พจิ ารณาแลว้ บรรเทาของอยา่ งหนง่ึ ” ของอย่างหนึง่ นนั้ คืออะไร ? ตอบ คืออกศุ ลวติ กอนั สมั ปยตุ ดว้ ยกาม พยาบาท วิหงิ สา ฯ (ปี 55) อปัสเสนธรรม (ธรรมเป็นท่พี ึงพงิ ) ขอ้ ท่ี ๒ วา่ พิจารณาแลว้ อดกลนั้ ของอย่างหน่ึง นนั้ มอี ธิบายอยา่ งไร? ตอบ มีอธิบายว่า อดกลนั้ อารมณอ์ นั ไมเ่ ป็นท่เี จรญิ ใจ ตา่ งโดยหนาว รอ้ น หิว กระหาย ถอ้ ยคาเสยี ดแทง และทกุ ขเวทนาอนั แรงกลา้ ฯ (ปี 46) ในอปัสเสนธรรม ขอ้ วา่ “ พิจารณาแลว้ เสพของอย่างหนึง่ ” คาวา่ “ ของอยา่ งหนง่ึ ” ในขอ้ นไี้ ดแ้ กอ่ ะไร ? ผพู้ ิจารณาตามขอ้ \"พิจารณาแลว้ เสพของอยา่ งหนง่ึ \" นน้ั ไดป้ ระโยชนอ์ ย่างไร ? ตอบ ไดแ้ ก่ ปัจจยั ๔ บคุ คล และธรรม เป็นตน้ ท่ที าใหเ้ กดิ ความสบาย ฯ ไดป้ ระโยชนอ์ ย่างนี้ คือ ทากศุ ลท่ยี งั ไมเ่ กิดใหเ้ กดิ ขึน้ ทากศุ ลท่เี กดิ ขึน้ แลว้ ใหเ้ จรญิ ยงิ่ ขนึ้ ทากเิ ลสและอกศุ ลท่เี กดิ ขึน้ แลว้ ใหเ้ สอ่ื มไป ฯ ➢ อรยิ วงศ์ ๔ ปฏิปทาของพระอรยิ บคุ คลผเู้ ป็นสมณะ ๑. สันโดษด้วยจวี รตามมตี ามเกดิ ๓. สนั โดษดว้ ยเสนาสนะตามมีตามเกดิ ๒. สนั โดษดว้ ยบิณฑบาตตามมตี ามเกดิ ๔. ยินดใี นการเจรญิ กุศลและในการละอกศุ ล (ปี 62) ปฏปิ ทาของพระอรยิ บคุ คลผเู้ ป็นสมณะ เรียกวา่ อะไร ? มีอะไรบา้ ง ? ตอบ เรยี กวา่ อรยิ วงศ์ ฯ มี ๔ คือ ๑. สนั โดษดว้ ยจีวรตามมีตามเกดิ ๒. สนั โดษดว้ ยบณิ ฑบาตตามมตี ามเกดิ ๓. สนั โดษดว้ ยเสนาสนะตามมตี ามเกดิ ๔. ยนิ ดีในการเจรญิ กศุ ลและในการละอกศุ ลฯ 15 | P a g e

(ปี 55) อรยิ วงศค์ อื อะไร มีก่ีอยา่ ง ขอ้ ท่ี ๔ ว่าอยา่ งไร? ตอบ คือ ปฏิปทาของพระอรยิ บคุ คลผเู้ ป็นสมณะ มี ๔ อยา่ ง ฯ ขอ้ ท่ี ๔ วา่ ยนิ ดใี นการเจรญิ กศุ ลและในการละอกศุ ล ฯ (ปี 47) ภิกษุผไู้ ดร้ บั การสรรเสรญิ วา่ ดารงอยใู่ นอรยิ วงศ์ เพราะเป็นผปู้ ฏิบตั อิ ยา่ งไร ? เม่ือดารงอยใู่ นอรยิ วงศถ์ กู ตอ้ งดแี ลว้ จะไดร้ บั ผลอย่างไร ? ตอบ เพราะเป็นผสู้ นั โดษดว้ ยจวี ร บิณฑบาต เสนาสนะตามมตี ามได้ และยนิ ดใี นการเจรญิ กศุ ลและในการละอกศุ ล ไม่ยกตนขม่ ผอู้ ่ืน ขยนั ไมเ่ กียจครา้ น มีสมั ปชญั ญะ มสี ติ ฯ ยอ่ มไดร้ บั ผลคือความสขุ ใจและปลอดโปรง่ ใจเพราะความประพฤตดิ ีปฏิบตั ชิ อบของตน และไม่ตอ้ งเดือดรอ้ นใจเพราะความเดือดรอ้ นเน่อื ง ดว้ ยการแสวงหาไมส่ มควรและประพฤติเสยี หายโดยประการตา่ งๆ ย่อมครอบงาความยนิ ดแี ละความไมย่ นิ ดเี สยี ได้ ความยนิ ดแี ละความไม่ ยินดีกไ็ มอ่ าจครอบงาทา่ นได้ และใครๆ ก็ไมอ่ าจตเิ ตยี นทา่ นได้ ฯ (ปี 43) อปั ปมญั ญา ๔ กบั พรหมวิหาร ๔ ตา่ งกนั อย่างไร ?อะไรเรียกวา่ อรยิ วงศ์ ? แจกออกเป็นเทา่ ไร ? อะไรบา้ ง ? ตอบ ตา่ งกนั อย่างนคี้ อื อปั ปมญั ญาไดแ้ กก่ ารแผโ่ ดยไม่เจาะจงตวั และไมม่ จี ากดั สว่ นพรหมวหิ ารไดแ้ กก่ ารแผ่โดยเจาะจงตวั หรอื โดยไม่ เจาะจงตวั แตย่ งั จากดั ม่งุ เอาหมนู่ หี้ มนู่ นั้ ฯ ปฏปิ ทาของพระอรยิ บคุ คลผเู้ ป็นสมณะเรียกว่า อรยิ วงศ์ แจกออกเป็น ๔ คอื ๑. สนั โดษดว้ ยจีวรตามมตี ามเกดิ ๒. สนั โดษดว้ ยบณิ ฑบาต ตามมตี ามเกิด ๓. สนั โดษดว้ ยเสนาสนะตามมีตามเกดิ ๔. ยินดีในการเจรญิ กศุ ลและในการละอกศุ ลฯ ➢ อปั ปมัญญา ๔ (ไมม่ ขี อบเขต, ไม่มปี ระมาณ) ธรรมคอื เมตตา กรุณา มทุ ติ า อเุ บกขา ท่แี ผ่ไปในสรรพสตั วท์ ง้ั หลายอย่างไม่มี ขอบเขต ๑. เมตตา ความรกั ใคร่ ,ความหวงั ดี หรอื ปรารถนาใหผ้ อู้ น่ื เป็นสขุ ๒. กรุณา สงสาร หรือปรารถนาใหผ้ อู้ ่นื พน้ จากความทกุ ข์ หรอื ความปราณี ๓. มทุ ติ า พลอยยินดี หรือยนิ ดีเม่ือผอู้ ่ืนมีความสขุ ๔. อเุ บกขา วางเฉย หรือวางใจเป็นกลางเม่ือเห็นวา่ สตั วโ์ ลกยอ่ มเป็นไปตามกรรม ไม่อาจชว่ ยเหลอื ได้ (ปี 61) เมตตา มคี วามหมายวา่ อยา่ งไร ? เมตตาในพรหมวิหารและในอปั ปมญั ญา ตา่ งกนั อยา่ งไร ? ตอบ มคี วามหมายวา่ ปรารถนาความสขุ ความเจรญิ ต่อผอู้ ่ืนดว้ ยความจรงิ ใจ ฯ ต่างกนั โดยวธิ ีแผ่ คอื แผโ่ ดยเจาะจงกด็ ี โดยไม่เจาะจงกด็ ี จดั เป็นพรหมวหิ าร ถา้ แผ่โดยไม่เจาะจงไม่จากดั จดั เป็นอปั ปมญั ญา ฯ (ปี 57) การแผเ่ มตตาในพรหมวหิ าร กบั ในอปั ปมญั ญา ตา่ งกนั อย่างไร? ตอบ ในพรหมวหิ ารเป็นการแผ่เมตตาโดยเจาะจงตวั หรือเจาะจงหม่คู ณะ สว่ นในอปั ปมญั ญาเป็นการแผ่มเตตาโดยไมเ่ จาะจงตวั ไมม่ ีจากดั ฯ (ปี 54) เมตตากบั ปรานมี ีความหมายตา่ งกนั หรอื เหมอื นกนั อยา่ งไร ? และอยา่ งไหนกาจดั วิตกอะไร ? ตอบ เมตตาหมายถงึ ความรกั ใครห่ รือความหวงั ดี ปรานีหมายถึงความปรารถนาใหผ้ อู้ ื่นพน้ จากความทกุ ขเ์ ขา้ ลกั ษณะแห่งกรุณา ฯ เมตตา กาจดั พยาบาทวติ ก ปรานีกาจดั วหิ งิ สาวิตก ฯ (หมายเหตุ คาํ วา่ “วติ ก” ในทนี่ ี้ หมายถึง อกศุ ลวติ ก ๓ ไดแ้ ก่ กามวติ ก พยาบาทวิตก วิหงิ สาวติ ก) (ปี 49) พรหมวิหารกบั อปั ปมญั ญา ต่างกนั อยา่ งไร ? อยา่ งไหนเป็นปฏปิ ทาโดยตรงของภิกษุในพระธรรมวนิ ยั นี้ ? ตอบ ตา่ งกนั โดยวธิ ีแผ่ คอื แผ่โดยเจาะจงตวั กด็ ี โดยไมเ่ จาะจงตวั ก็ดี แต่ยงั จากดั หมนู่ นั้ หมนู่ จี้ ดั เป็นพรหมวหิ าร ถา้ แผ่โดยไมเ่ จาะจงไมจ่ ากดั จดั เป็นอปั ปมญั ญา ฯ อปั ปมญั ญาเป็นปฏิปทาของภกิ ษุในพระธรรมวนิ ยั นี้ ฯ (ปี 43) อปั ปมญั ญา ๔ กบั พรหมวิหาร ๔ ต่างกนั อย่างไร ?อะไรเรยี กวา่ อรยิ วงศ์ ? แจกออกเป็นเทา่ ไร ? อะไรบา้ ง ? 16 | P a g e

ตอบ ตา่ งกนั อยา่ งนคี้ อื อปั ปมญั ญาไดแ้ กก่ ารแผ่โดยไม่เจาะจงตวั และไม่มจี ากดั สว่ นพรหมวิหารไดแ้ ก่การแผ่โดยเจาะจงตวั หรือโดยไม่ เจาะจงตวั แตย่ งั จากดั มงุ่ เอาหมนู่ หี้ มนู่ น้ั ฯ ปฏิปทาของพระอรยิ บคุ คลผเู้ ป็นสมณะเรยี กวา่ อรยิ วงศ์ แจกออกเป็น ๔ คือ ๑. สนั โดษดว้ ยจีวรตามมตี ามเกดิ ๒. สนั โดษดว้ ยบิณฑบาต ตามมีตามเกิด ๓. สนั โดษดว้ ยเสนาสนะตามมตี ามเกิด ๔. ยนิ ดใี นการเจรญิ กศุ ลและในการละอกศุ ลฯ ➢ ทักขิณาวสิ ุทธิ ๔ ความบรสิ ทุ ธิแ์ หง่ ทกั ขิณา (ทกั ขิณา คอื ของทาบญุ ) ๑. บริสุทธิ์ฝ่ ายทายก ฝ่ ายปฏคิ าหกไม่บรสิ ุทธิ์ ๓. ไม่บริสุทธทิ์ งั้ ฝ่ ายทายก และฝ่ ายปฏคิ าหก ๒. บรสิ ุทธิฝ์ ่ ายปฏิคาหก ฝ่ ายทายกไมบ่ รสิ ทุ ธ์ิ ๔. บรสิ ุทธิท์ งั้ ฝ่ ายทายก และฝ่ ายปฏคิ าหก (ปี 56) ทกั ขิณาวิสทุ ธิ มอี ะไรบา้ ง? อยา่ งไหนใหอ้ านสิ งสม์ ากท่ีสดุ ? ตอบ ทกั ขิณาบางอยา่ ง บรสิ ทุ ธฝ์ ่ายทายก ไม่บรสิ ทุ ธฝ์ ่ายปฏคิ าหก ทกั ขณิ าบางอยา่ ง บรสิ ทุ ธฝ์ ่ายปฏิคาหก ไม่บรสิ ทุ ธฝ์ ่ายทายก ทกั ขณิ าบางอยา่ ง ไมบ่ รสิ ทุ ธท์ ง้ั ฝ่ายทายก ทงั้ ฝ่ายปฏิคาหก ทกั ขณิ าบางอยา่ ง บรสิ ทุ ธท์ ง้ั ฝ่ายทายก ทงั้ ฝ่ายปฏิคาหก ฯ อย่างท่ี ๔ คอื ทกั ขณิ าท่บี รสิ ทุ ธท์ งั้ ฝ่ายทายก ทงั้ ฝ่ายปฏคิ าหก ฯ (ปี 54) ทกั ขิณา คอื อะไร? ทกั ขณิ านนั้ จะบรสิ ทุ ธิ์หรอื ไมบ่ รสิ ทุ ธิ์ ในฝ่ายทายกและในฝ่ายปฏิคาหกนน้ั มีอะไรเป็นเครอื่ งหมาย? ตอบ คือ ของทาบญุ ฯ ทกั ขิณาจะบรสิ ทุ ธิ์ มีศลี มกี ลั ยาณธรรมเป็นเครอื่ งหมาย ทกั ขณิ าจะไมบ่ รสิ ทุ ธิ์ มีทศุ ีลมีบาปธรรมเป็นเครอื่ งหมายฯ (ปี 49) ทกั ขณิ า คืออะไร ? ทกั ขณิ านน้ั จะบรสิ ทุ ธิห์ รอื ไมบ่ รสิ ทุ ธิ์ มอี ะไรเป็นเครอื่ งหมาย ? ตอบ คือ ของทาบญุ ฯ มีศีลมกี ลั ยาณธรรมของทายก หรือปฏิคาหกฝ่ายใดฝ่ายหนง่ึ เป็นเคร่ืองหมายใหร้ ูว้ ่า บรสิ ทุ ธิ์ และมีความเป็นผทู้ ศุ ีลและอธรรม ของทายกหรือปฏคิ าหกฝ่ายใดฝ่ายหนึง่ เป็นเครอ่ื งหมายใหร้ ูว้ า่ ไมบ่ รสิ ทุ ธิ์ ฯ (ปี 46) คาวา่ ทกั ขิณา ในทกั ขณิ าวิสทุ ธินนั้ หมายถงึ อะไร ? ทกั ขิณาจะไม่บรสิ ทุ ธิ์ และบรสิ ทุ ธิ์ กาหนดรูไ้ ดอ้ ย่างไร ? ตอบ หมายถงึ ของทาบญุ ฯ กาหนดรูไ้ ดอ้ ยา่ งนี้ ทงั้ ทายก ทง้ั ปฏิคาหกเป็นผไู้ มบ่ รสิ ทุ ธิ์ ทกั ขณิ านน้ั ช่ือวา่ ไม่บรสิ ทุ ธิท์ งั้ สองฝ่าย ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบรสิ ทุ ธิ์ ช่ือวา่ บรสิ ทุ ธิ์ฝ่ายเดยี ว ทงั้ สองฝ่ายบรสิ ทุ ธิ์ ช่ือวา่ บรสิ ทุ ธทิ์ งั้ สองฝ่าย ฯ ➢ อวิชชา ๔ ความไมร่ ู้ ๑. ไม่รู้ในทกุ ข์ ๓. ไมร่ ู้ในทกุ ขนิโรธ ๒. ไมร่ ู้ในทกุ ขสมุทยั ๔. ไมร่ ู้ในทกุ ขนิโรธคามินีปฏปิ ทา. ➢ อวิชชา ๘ ความไม่รู้ ๑. ไม่รู้จกั ทุกข์ ๒. ไมร่ ู้จักเหตเุ กดิ แห่งทกุ ข์ ๓. ไม่รู้จกั ความดบั ทกุ ข์ ๔. ไมร่ ู้จักทางถงึ ความดบั ทกุ ข์ ๕. ไมร่ ู้จกั อดตี คอื ไม่รูจ้ กั สาวหลงั เม่ือพบเห็นผลในปัจจบุ นั ไมร่ ูจ้ กั สาวหาตน้ เคา้ วา่ อะไรเป็นเหตใุ หเ้ กดิ มขี นึ้ . 17 | P a g e

๖. ไมร่ ู้จกั อนาคต คอื ไมร่ ูจ้ กั คดิ ลว่ งหนา้ ไมอ่ าจปรารภการท่ที า หรอื เหตอุ นั เกิดขนึ้ ในปัจจบุ นั วา่ จกั มผี ลเป็นอย่างนน้ั ๆ. ๗. ไมร่ ู้จกั ทัง้ อดตี ทัง้ อนาคต คอื ไม่รูจ้ กั โยงเหตใุ นอดีต และผลในอนาคตใหเ้ น่อื งถึงกนั . ๘. ไม่รู้จักปฏจิ จสมุปบาท คือไมร่ ูจ้ กั กาหนดสภาวะนนั้ ๆ โดยความเป็นเหตเุ ป็นผลแห่งกนั และกนั เน่อื งกนั ไป ดจุ ลกู โซเ่ ก่ยี วกนั เป็นสาย (ปี 61) ในอวชิ ชา ๘ ขอ้ ทว่ี า่ ไมร่ ูจ้ กั อนาคต มีอธิบายว่าอยา่ งไร ? ตอบ มีอธิบายว่า ไมร่ ูจ้ กั คิดลว่ งหนา้ ไมอ่ าจปรารภการท่ที า หรือเหตอุ นั เกดิ ขนึ้ ในปัจจบุ นั วา่ จกั มผี ลเป็นอยา่ งนน้ั ๆ ฯ ➢ โอฆะ ๔ กิเลสเป็นดจุ กระแสนา้ อนั ท่วมใจสตั ว์ (กาม ภพ ทฏิ ฐิ และอวชิ ชา) ๑. กาโมฆะ โอฆะคือกาม ๓. ทฏิ โฐฆะ โอฆะคอื ทิฏฐิ ๒. ภโวฆะ โอฆะคอื ภพ ๔. อวชิ โชฆะ โอฆะคอื อวชิ ชา ➢ อาสวะ ๔ กเิ ลสเป็นสภาพหมกั หมมอยใู่ นสนั ดาน ๑. กามาสวะ อาสวะคือกาม (อาสวะเป็นเหตอุ ยากได)้ ๓. ทฏิ ฐาสวะ อาสวะคือทฏิ ฐิ ๒. ภวาสวะ อาสวะคอื ภพ (อาสวะเป็นเหตอุ ยากเป็น) ๔. อวชิ ชาสวะ อาสวะคอื อวชิ ชาความเขลา ➢ โยคะ ๔ กเิ ลสเครอ่ื งประกอบสตั วไ์ วใ้ นภพ ๑. กามโยคะ กเิ ลสเคร่ืองประกอบคือกาม (ตรงึ ใหต้ ดิ อย่กู บั กามคณุ ) ๒. ภวโยคะ กเิ ลสเคร่ืองประกอบคอื ภพ (ตรงึ ใหต้ ดิ อยกู่ บั ความยินดีในอตั ภาพของตน ตลอดจนชอบใจ ในรูปภพ อรูปภพ) ๓. ทฏิ ฐิโยคะ กเิ ลสเครือ่ งประกอบคือทิฏฐิ (ตรงึ ใหต้ ดิ อย่กู บั ความเหน็ ผดิ จากทานองคลองธรรม) ๔. อวชิ ชาโยคะ กเิ ลสเคร่อื งประกอบคอื อวิชชา (ตรงึ ใหต้ ดิ อยกู่ บั ความหลง) (ปี 60) ทฏิ ฐิ ความเหน็ ผิด ทา่ นเรียกวา่ โอฆะ โยคะ อาสวะ เพราะเหตใุ ด ? ตอบ เรยี กวา่ โอฆะ เพราะเป็นดจุ กระแสนา้ าอนั ท่วมใจสตั ว์ เรียกวา่ โยคะ เพราะประกอบสตั วไ์ วใ้ นภพ เรยี กว่า อาสวะ เพราะเป็นสภาพหมกั หมมอยใู่ นกระแสจิต ฯ (ปี 57) กเิ ลส ช่อื ว่าโอฆะ โยคะ และอาสวะ เพราะเหตไุ ร? ตอบ ช่ือวา่ โอฆะ เพราะดจุ เป็นกระแสนา้ อนั ทว่ มใจสตั ว์ ช่ือว่าโยคะ เพราะประกอบสตั วไ์ วใ้ นภพ ช่ือวา่ อาสวะ เพราะเป็นสภาพหมกั หมมอย่ใู นสนั ดาน ฯ (ปี 53) กาม ภพ ทิฏฐิ และอวิชชา ไดช้ ่ือว่า โอฆะ โยคะ และอาสวะ เพราะเหตไุ ร ? ตอบ ไดช้ ่ือวา่ โอฆะ เพราะเป็นดจุ กระแสนา้ อนั ทว่ มใจสตั ว์ ไดช้ ่ือวา่ โยคะ เพราะประกอบสตั วไ์ วใ้ นภพ ไดช้ ่ือวา่ อาสวะ เพราะเป็นสภาพหมกั หมมอย่ใู นสนั ดาน ฯ (ปี 44) กาม ภพ ทฏิ ฐิ อวชิ ชา เพราะเหตไุ รจงึ เรยี กวา่ โอฆะ โยคะ อาสวะ ? กิจในอรยิ สจั แตล่ ะอย่างนนั้ มีอะไรบา้ ง ? ตอบ เรยี กวา่ โอฆะ เพราะเป็นดจุ กระแสนา้ อนั ทว่ มใจสตั ว์ เรยี กวา่ โยคะ เพราะประกอบสตั วไ์ วใ้ นภพ เรยี กวา่ อาสวะ เพราะเป็นสภาพหมกั หมมอย่ใู นสนั ดาน ฯ มี ๔ คือ ๑. ปรญิ ญา กาหนดรูท้ กุ ขสจั ๒. ปหานะ ละสมทุ ยั สจั ๓. สจั ฉิกรณะ ทาใหแ้ จง้ นิโรธสจั ๔. ภาวนา ทามคั คสจั ใหเ้ กิดฯ ➢ อบาย ๔ ภมู ิ กาเนดิ หรอื พวก อนั หาความเจรญิ มไิ ด้ ๑. นิรยะ นรก ๓. ปิ ตตวิ สิ ยั ภมู ิแห่งเปรต ๒. ตริ ัจฉานโยนิ กาเนดิ ดริ จั ฉาน ๔. อสุรกาย พวกอสรุ 18 | P a g e

(ปี 51) อบาย ไดแ้ ก่อะไร ? มีอะไรบา้ ง ? ตอบ ไดแ้ ก่ ภมู ิ กาเนดิ หรอื พวก อนั หาความเจรญิ มิได้ ฯ มี ๑.นิรยะ คอื นรก ๒.ตริ จั ฉานโยนิ คือกาเนดิ ดิรจั ฉาน ๓.ปิตตวิ ิสยั คอื ภมู แิ หง่ เปรต ๔.อสรุ กาย คอื พวกอสรุ ะ ฯ (ปี 45) อาหารของสตั วน์ รก และเปรต คืออะไร ? คนจาพวกไหนเปรียบเหมอื นอสรุ กาย ในอบาย ๔ ? ตอบ อาหารของสตั วน์ รกคอื กรรม สว่ นของเปรตคือกรรมและผลทานท่ญี าตมิ ิตรทาบญุ อทุ ศิ ให้ ฯ คนลอบทาโจรกรรม หลอกลวงฉกชิงเอาทรพั ยข์ องผอู้ น่ื เปรยี บเหมือนอสรุ กาย ฯ ➢ โยนิ ๔ หรอื เรยี กอกี อยา่ งหนงึ่ วา่ กาเนิด ๔ ๑. ชลาพชุ ะ เกิดในครรภ์ ๓. สงั เสทชะ เกิดในเถา้ ไคล ๒. อัณฑชะ เกดิ ในไข่ ๔. โอปปาตกิ ะ เกิดผดุ ขนึ้ (ปี 50) โยนิ คืออะไร ? มีอะไรบา้ ง ? เทวดา และสตั วน์ รก จดั อยใู่ นโยนิไหน ? ตอบ คือ กาเนดิ ฯ มี ๑.ชลาพชุ ะ เกิดในครรภ์ ๒.อณั ฑชะ เกดิ ในไข่ ๓.สงั เสทชะ เกดิ ในเถา้ ไคล ๔.โอปปาติกะ เกดิ ผดุ ขึน้ ฯ จดั อยใู่ น โอปปาตกิ ะ ฯ (ปี 43) อปุ าทานคอื อะไร ? มกี ี่อย่าง ? อะไรบา้ ง ? กาเนดิ ๔ มีอะไรบา้ ง ? ตอบ อปุ าทาน คอื การถือม่นั ขา้ งเลว ไดแ้ ก่การถือรนั้ มี ๔ คือ กามปุ าทาน ถือม่นั ในกาม ๑ ทิฏฐุปาทาน ถือม่นั ทฏิ ฐิ ๑ สีลพั พตปุ าทาน ถือม่นั ศลี พรต ๑ อตั ตวาทปุ าทาน ถือม่นั วาทะวา่ ตน ๑ ฯ กาเนดิ ๔ คอื ชลาพชุ ะ เกดิ ในครรภ์ ๑ อณั ฑชะ เกดิ ในไข่ ๑ สงั เสทชะ เกิดในเถา้ ไคล ๑ โอปปาติกะ เกิดผดุ ขึน้ ๑ ➢ อปุ าทาน ๔ ความยึดม่นั ถือม่นั (คือ ถือม่นั ขา้ งเลว ไดแ้ กถ่ ือรนั้ ) ๑. กามุปาทาน ความถือม่นั ในกาม (ถือม่นั วตั ถกุ ามดว้ ยอานาจกามตณั หา หมกม่นุ อยวู่ า่ น่นั ของเรา จนเป็น เหตอุ ิสสาหรือ หงึ ) ๒. ทฏิ ฐุปาทาน ความถือม่นั ในทิฐิ (ถือม่นั ความเหน็ ผดิ ดว้ ยอานาจหวั ดือ้ จนเป็นเหตเุ ถียงกนั ทะเลาะกนั ) ๓. สีลัพพตปุ าทาน ความถือม่นั ในศีลพรต (ถือม่นั ศลี พรต คอื ธรรมเนยี มท่เี คยประพฤตมิ าจนชนิ ดว้ ยอานาจความเช่ือว่า ขลงั จนเป็นเหตหุ วั ดือ้ งมงาย) ๔. อตั ตวาทุปาทาน ความถือม่นั ในวาทะว่าตน (ถือเรา ถือเขาดว้ ยอานาจมานะ จนเป็นเหตถุ ือพวก) (ปี 58) อปุ าทาน คืออะไร ? การถือเราถือเขาดว้ ยอานาจมานะ จนเป็นเหตถุ ือพวก จดั เป็นอปุ าทานอะไร ในอปุ าทาน ๔ ? ตอบ คอื การถือม่นั ขา้ งเลว ไดแ้ กถ่ ือรนั้ ฯ จดั เป็นอตั ตวาทปุ าทาน ฯ (ปี 48) ทฏิ ฐุปาทาน และสีลพั พตปุ าทาน คอื อะไร ? ตอบ ทฏิ ฐุปาทาน คือถือม่นั ความเห็นผดิ ดว้ ยอานาจหวั ดือ้ จนเป็นเหตเุ ถยี งกนั ทะเลาะกนั สลี พั พตปุ าทาน คือ ถือม่นั ธรรมเนียมท่ีเคยประพฤตมิ าจนชนิ ดว้ ยอานาจความเช่ือว่าขลงั จนเป็นเหตหุ วั ดือ้ งมงาย ฯ (ปี 43) อปุ าทานคืออะไร ? มีกี่อยา่ ง ? อะไรบา้ ง ? กาเนดิ ๔ มอี ะไรบา้ ง ? ตอบ อปุ าทาน คือการถือม่นั ขา้ งเลว ไดแ้ ก่การถือรนั้ มี ๔ คอื กามปุ าทาน ถือม่นั ในกาม ๑ ทฏิ ฐุปาทาน ถือม่นั ทฏิ ฐิ ๑ สลี พั พตปุ าทาน ถือม่นั ศลี พรต ๑ อตั ตวาทปุ าทาน ถือม่นั วาทะวา่ ตน ๑ ฯ กาเนดิ ๔ คอื ชลาพชุ ะ เกดิ ในครรภ์ ๑ อณั ฑชะ เกิดในไข่ ๑ สงั เสทชะ เกิดในเถา้ ไคล ๑ โอปปาติกะ เกดิ ผดุ ขึน้ ๑ 19 | P a g e

➢ กจิ ในอริยสัจ ๔ สง่ิ ท่คี วรทา หรือขอ้ ท่คี วรปฏิบตั ใิ นอรยิ สจั ๑. ปรญิ ญา กาหนดรูท้ กุ ขสจั ๓. สจั ฉิกรณะ ทาใหแ้ จง้ นิโรธสจั ๒. ปหานะ ละสมทุ ยั สจั ๔. ภาวนา ทามคั คสจั ใหเ้ กดิ (ปี 62) กจิ ในอรยิ สจั ๔ มอี ะไรบา้ ง ? ตอบ มี ๑. ปรญิ ญา กาหนดรูท้ กุ ขสจั ๒. ปหานะ ละสมทุ ยั สจั ๓. สจั ฉิกรณะ ทาใหแ้ จง้ นิโรธสจั ๔. ภาวนา ทามคั คสจั ใหเ้ กดิ ฯ (ปี 44) กาม ภพ ทฏิ ฐิ อวิชชา เพราะเหตไุ รจงึ เรยี กวา่ โอฆะ โยคะ อาสวะ ? กจิ ในอรยิ สจั แต่ละอย่างนน้ั มีอะไรบา้ ง ? ตอบ เรยี กวา่ โอฆะ เพราะเป็นดจุ กระแสนา้ อนั ทว่ มใจสตั ว์ เรียกวา่ โยคะ เพราะประกอบสตั วไ์ วใ้ นภพ เรียกว่า อาสวะ เพราะเป็นสภาพหมกั หมมอย่ใู นสนั ดาน ฯ มี ๔ คือ ๑. ปรญิ ญา กาหนดรูท้ กุ ขสจั ๒. ปหานะ ละสมทุ ยั สจั ๓. สจั ฉิกรณะ ทาใหแ้ จง้ นโิ รธสจั ๔. ภาวนา ทามคั คสจั ใหเ้ กิด ฯ หมวด ๕ ➢ มาร ๕ (ผูฆ้ า่ หรอื ผกู้ าํ จดั ) สิง่ ท่ลี า้ งผลาญทาลายความดี ชกั นาใหท้ าบาปกรรม ปิดกนั้ ไม่ใหท้ าความดี จนถึงปิดกนั้ ไมใ่ หเ้ ขา้ ใจ สรรพสงิ่ ตามความเป็นจรงิ ฯ ๑. ขนั ธมาร มารคือขนั ธ์ ๕ (ปัญจขนั ธ)์ ๔. เทวปตุ ตมาร มารคอื เทวดา ๒. กิเลสมาร มารคือกิเลส ๕ มัจจมุ าร มารคอื ความตาย ๓. อภสิ ังขารมาร มารคืออภิสงั ขาร (ปี 63) มาร ๕ คอื อะไรบา้ ง ? ปัญจขนั ธ์ ไดช้ ่ือวา่ เป็นมารเพราะเหตไุ ร ? ตอบ คอื ขนั ธมาร กเิ ลสมาร อภิสงั ขารมาร มจั จมุ าร และ เทวปตุ ตมาร ฯ เพราะปัญจขนั ธน์ นั้ บางทที าความลาบากให้ อนั เป็นเหตเุ บ่อื หนา่ ยจนถงึ ฆา่ ตวั ตายเสยี เองกม็ ี ฯ (ปี 61) มาร ๕ คืออะไรบา้ ง ? กิเลสไดช้ ่ือวา่ มารเพราะเหตไุ ร ? ตอบ คอื ปัญจขนั ธ์ กิเลส อภิสงั ขาร มรณะ และ เทวบตุ ร ฯ ไดช้ ่ือวา่ มาร เพราะผทู้ ่ตี กอย่ใู นอานาจแหง่ กเิ ลสแลว้ กเิ ลสย่อมผกู รดั ไวบ้ า้ ง ย่อมทาใหเ้ สยี คนบา้ ง ฯ (ปี 60, 55) ปัญจขนั ธ์ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั วา่ เป็นมาร มอี ธิบายว่าอยา่ งไร ? ตอบ มอี ธิบายวา่ ปัญจขนั ธน์ นั้ บางทีทาความลาบาก บางทีทาใหเ้ กิดความเบือ่ หนา่ ย จนถึงฆา่ ตวั ตายกม็ ี ฯ (ปี 59, 48) มจั จมุ ารไดแ้ กอ่ ะไร ? ไดช้ ่ือวา่ เป็นมารเพราะเหตไุ ร ? ตอบ ไดแ้ กค่ วามตาย ฯ ช่ือวา่ เป็นมาร เพราะเม่ือความตายเกิดขนึ้ บคุ คลย่อมหมดโอกาสท่จี ะทาประโยชนใ์ ด ๆ อีกตอ่ ไป ฯ (ปี 56) ในพระพทุ ธศาสนาพดู เรอ่ื งมารไวม้ าก อยากทราบวา่ คาว่า มาร หมายถงึ อะไร? กเิ ลสไดช้ อ่ื ว่ามารเพราะเหตไุ ร? ตอบหมายถึงสงิ่ ท่ลี า้ งผลาญทาลายความดี ชกั นาใหท้ าบาปกรรม ปิดกนั้ ไม่ใหท้ าความดี จนถงึ ปิดกนั้ ไมใ่ หเ้ ขา้ ใจสรรพสงิ่ ตามความเป็นจริงฯ เพราะผทู้ ่ตี กอย่ใู นอานาจของกิเลสแลว้ ยอ่ มจะถกู ผกู มดั ไวบ้ า้ ง ถกู ทาใหเ้ สียคนบา้ ง ฯ (ปี 52) มารมอี ะไรบา้ ง อกศุ ลกรรมจดั เป็นมารประเภทใด? ตอบ มดี งั นี้ ๑.ขนั ธมาร มารคอื ปัญจขนั ธ์ ๒.กเิ ลสมาร มารคอื กเิ ลส ๓.อภิสงั ขารมาร มารคอื อภสิ งั ขาร ๔.เทวปตุ ตมาร มารคอื เทวดา ๕.มจั จมุ าร มารคอื ความตาย อกศุ ลกรรมเป็นมารประเภทอภสิ งั ขารมาร ฯ (ปี 49) มาร คืออะไร ? เฉพาะอภิสงั ขารมาร หมายถงึ อะไร ? 20 | P a g e

ตอบ คือ สง่ิ ท่ลี า้ งผลาญทาลายความดี ชกั นาใหท้ าบาปกรรม ปิดกนั้ ไม่ใหท้ าความดี จนถงึ ปิดกนั้ ไมใ่ หเ้ ขา้ ใจสรรพสง่ิ ตามความเป็นจรงิ ฯ หมายถึง อกศุ ลกรรม ฯ (ปี 46) ปัญจขนั ธ์ ไดช้ ่ือวา่ มาร เพราะเหตไุ ร ? กเิ ลสมาร และมจั จมุ าร จดั เขา้ ในอรยิ สจั ขอ้ ใดไดห้ รอื ไม่ ? เพราะเหตไุ ร ? ตอบ เพราะบางทที าความลาบากให้ อนั เป็นเหตเุ บื่อหนา่ ย จนถงึ ฆา่ ตวั ตายเสียเองกม็ ี ฯ ได้ ฯ กิเลสมาร จดั เขา้ ในทกุ ขสมทุ ยั สจั เพราะกิเลสเป็นเหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข์ มจั จมุ าร จดั เขา้ ในทกุ ขสจั เพราะเป็นตวั ทกุ ข์ ฯ (ปี 44) กรรมฝ่ายอกศุ ลจดั เป็นมารอะไรในมาร ๕ ? เพราะเหตไุ รจึงไดช้ ่ือวา่ มาร ? สทุ ธาวาสมกี ่ีชน้ั ? อะไรบา้ ง ? เป็นท่เี กิดของใคร ? ตอบ จดั เป็นอภิสงั ขารมาร ฯ ท่ไี ดช้ ่ือวา่ มารเพราะทาใหเ้ ป็นผทู้ รุ พล ฯ มี ๕ ชนั้ ฯ คอื ๑. อวหิ า ๒. อตปั ปา ๓. สทุ สั สา ๔. สทุ สั สี ๕. อกนฏิ ฐา ฯ เป็นท่เี กิดของพระอนาคามี ฯ ➢ วญิ ญาณ ๕ ความรูแ้ จง้ อารมณ์ ๑. จกั ขุวิญญาณ ความรูอ้ ารมณท์ างตา ๔. ชวิ หาวิญญาณ ความรูอ้ ารมณท์ างลนิ้ ๒. โสตวญิ ญาณ ความรูอ้ ารมณท์ างหู ๕. กายวญิ ญาณ ความรูอ้ ารมณท์ างกาย ๓. ฆานวญิ ญาณ ความรูอ้ ารมณท์ างจมกู ➢ สัญญา ๑๐ ความกาหนดหมายรู้ เป็นแนวสาหรบั ยกพิจารณาในการเจรญิ วิปัสสนากรรมฐาน เพ่อื ทาใหเ้ กิดปัญญารอบรูส้ งั ขาร ธรรรมทงั้ หลาย ๑. อนิจจสญั ญา กาหนดพจิ ารณาขนั ธ์ ๕ ใหเ้ ห็นของไมเ่ ท่ยี ง ๒. อนัตตสัญญา กาหนดพจิ ารณาอายตนะภายในและอายตนะภายนอก ใหเ้ ป็นอนตั ตา ๓. อสุภสญั ญา กาหนดพิจารณารา่ งกาย ใหเ้ หน็ เป็นของสกปรก ๔. อาทนี วสญั ญา กาหนดพจิ ารณารา่ งกายโดยความเป็นโทษ ๕. ปหานสญั ญา กาหนดพิจารณาเพ่อื ละอกศุ ลวติ กรวมไปถงึ อกศุ ลธรรมทงั้ หลายใหห้ มดสนิ้ ไป ๖. วริ าคสัญญา กาหนดพิจารณาวริ าคะ ๗. นิโรธสัญญา กาหนดหมายนโิ รธวา่ เป็นธรรมอนั ละเอยี ดประณีต เป็นธรรมท่ดี บั กิเลสและกองทกุ ข์ ๘. สพั พโลเก อนภริ ตสัญญา กาหนดพจิ ารณาเพ่ือละอบุ ายและอปุ าทานในโลก ๙. สพั พสังขาเรสุ อนิฏฐสญั ญา กาหนดพจิ ารณาในสงั ขารทงั้ หลายท่เี ป็นไปตามกฏธรรมดา ๑๐. อานาปานสติ การตงั้ สตกิ าหนดดลู มหายใจเขา้ -ออก (ปี 58) ชวิ หาวิญญาณ และกายวิญญาณ เกิดขนึ้ ไดเ้ พราะอาศยั อะไรบา้ ง ? ตอบ ชวิ หาวญิ ญาณเกดิ ขึน้ เพราะอาศยั ลนิ้ กบั รส (กระทบกนั ) และกายวญิ ญาณเกิดขนึ้ เพราะอาศยั กายกบั โผฏฐัพพะ (กระทบกนั )ฯ (ปี 47) วญิ ญาณกบั สญั ญา ทาหนา้ ท่ตี า่ งกนั อยา่ งไร ? ตอบ ทาหนา้ ท่ตี า่ งกนั อย่างนคี้ ือ วิญญาณทาหนา้ ท่รี ูแ้ จง้ อารมณท์ ่เี กิดขนึ้ เม่ืออายตนะภายในและอายตนะภายนอกมากระทบกนั เชน่ เม่ือ รูปมากระทบตา เกดิ การเห็นขนึ้ เป็นตน้ ส่วนสญั ญา ทาหนา้ ท่จี าไดห้ มายรูเ้ ท่านน้ั คือหมายรูไ้ วซ้ ง่ึ รูป เสียง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ว่า เขียว ขาว ดา แดง ดัง เบาเป็นตน้ ฯ 21 | P a g e

➢ มัจฉรยิ ะ ๕ ความตระหน่ี การหวงแหนไม่อยากให้ ๑. อาวาสมัจฉรยิ ะ ตระหน่ที ่อี ยู่ ๔. วัณณมจั ฉริยะ ตระหน่วี รรณะ ๒. กลุ มจั ฉริยะ ตระหน่สี กลุ ๕. ธัมมมจั ฉรยิ ะ ตระหน่ธี รรม ๓. ลาภมจั ฉริยะ ตระหน่ลี าภ (ปี 58) ธรรมมจั ฉรยิ ะ ความตระหน่ธี รรม มอี ธิบายอย่างไร ? ตอบ มอี ธิบายว่า ความหวงธรรม หวงศิลปวิทยา ไมป่ รารถนาจะแสดงจะบอกแก่คนอนื่ เกรงวา่ เขาจะรูเ้ ทยี มตน ฯ (ปี 45) กลุ มจั ฉรยิ ะ ตระหน่ตี ระกลู คอื อยา่ งไร ? ครูสอนศิษย์ ปิดบงั อาพรางความรู้ ไมบ่ อกใหส้ นิ้ เชงิ จดั เขา้ ในมจั ฉรยิ ะขอ้ ไหน ? ตอบ คอื หวงแหนตระกลู ไมย่ อมใหต้ ระกลู อื่นมาเก่ียวดองดว้ ย ถา้ เป็นบรรพชิตกห็ วงอปุ ัฏฐาก ไม่พอใจใหไ้ ปบารุงภิกษุอ่นื ฯ ธัมมมจั ฉรยิ ะฯ ➢ สุทธาวาส ๕ ภมู เิ ป็นทอี่ ยขู่ องทา่ นผูบ้ ริสทุ ธิ์ เป็ นชอ่ื ของพรหมโลกอนั เป็นท่เี กิดและทอ่ี ยู่ของพระอนาคามี ๑. อวิหา ๒. อตปั ปา ๓. สทุ สั สา ๔. สทุ สั สี ๕. อกนฏิ ฐา (ปี 44) กรรมฝ่ายอกศุ ลจดั เป็นมารอะไรในมาร ๕ ? เพราะเหตไุ รจึงไดช้ ่ือว่ามาร ? สทุ ธาวาสมกี ี่ชน้ั ? อะไรบา้ ง ? เป็นท่เี กดิ ของใคร ? ตอบ จดั เป็นอภสิ งั ขารมาร ฯ ท่ไี ดช้ ่ือวา่ มารเพราะทาใหเ้ ป็นผทู้ รุ พล ฯ มี ๕ ชน้ั ฯ คือ ๑. อวหิ า ๒. อตปั ปา ๓. สทุ สั สา ๔. สทุ สั สี ๕. อกนฏิ ฐา ฯ เป็นท่เี กดิ ของพระอนาคามี ฯ ➢ สังวร ๕ การสารวมระวงั ปิดกนั้ อกศุ ล ๑. สลี สงั วร สารวมดว้ ยศีล ๔. ขนั ตสิ งั วร สารวมดว้ ยขนั ติ ๒. สตสิ งั วร สารวมดว้ ยสติ ๕. วริ ยิ สงั วร สารวมดว้ ยความเพยี ร ๓. ญาณสงั วร สารวมดว้ ยญาณ (ปี 62) สงั วรคอื อะไร ? สติสงั วร สารวมดว้ ยสตนิ นั้ มอี ธิบายอยา่ งไร ? ตอบ คอื การสารวมระวงั ปิดกนั้ อกศุ ล ฯ มีอธิบายวา่ สารวมอินทรยี ม์ จี กั ษุเป็นตน้ ระวงั รกั ษามใิ หอ้ กศุ ลกรรมเขา้ ครอบงา เม่ือเหน็ รูปเป็นตน้ ทงั้ มสี ตไิ มฟ่ ่ันเฟือนหลงลมื ระลกึ ไดก้ อ่ นแต่ทา พดู คดิ ไม่ใหผ้ ิดทางกายวาจาใจ ไมป่ ระมาทหลงทากรรมช่วั ฯ (ปี 43) การสารวมระวงั ปิดกนั้ อกศุ ลเรยี กว่าอะไร? มเี ทา่ ไร? อะไรบา้ ง? สติสงั วร สารวมดว้ ยสตินนั้ มีอธิบายอยา่ งไร ? ตอบ เรยี กวา่ สงั วร มี ๕ คอื ๑. สลี สงั วร สารวมดว้ ยศลี ๒. สติสงั วร สารวมดว้ ยสติ ๓. ญาณสงั วร สารวมดว้ ยญาณ ๔. ขนั ตสิ งั วร สารวมดว้ ยขนั ติ ๕. วิรยิ สงั วร สารวมดว้ ยความเพยี ร ฯ มีอธิบายวา่ สารวมอินทรียม์ ีจกั ษุเป็นตน้ ระวงั รกั ษามใิ หอ้ กศุ ลธรรมเข้า ครอบงา เม่ือเห็นรูปเป็นตน้ ทง้ั มสี ติไมฟ่ ่ันเฟือนลืมหลง ระลกึ ไดก้ อ่ นแต่ทา พดู คดิ ไมใ่ หผ้ ดิ ทางกาย วาจา ใจ ไม่ประมาทหลงทากรรมช่วั ฯ หมวด ๖ ➢ ธรรมคุณ ๖ คณุ ความดีของพระธรรม ๑. สฺวากขฺ าโต ภควตา ธมฺโม เป็นธรรมท่พี ระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั ไวด้ แี ลว้ ๒. สนฺทฏิ ฺ ฐิโก เป็นสง่ิ ท่ผี ปู้ ฏบิ ตั จิ ะพงึ เห็นผลดว้ ยตวั เอง ๓. อกาลิโก เป็นส่งิ ท่ไี มป่ ระกอบดว้ ยกาลเวลา ๔. เอหปิ สสฺ โิ ก เป็นสิง่ ท่คี วรกล่าวกบั ผอู้ ื่นวา่ ท่านจงมาดเู ถดิ ๕. โอปนยิโก เป็นสง่ิ ท่คี วรนอ้ มเขา้ มาใสต่ วั 22 | P a g e

๖. ปจจฺ ตตฺ เวทติ พโฺ พ วิญญฺ หู ิ เป็นสิง่ ท่ผี รู้ ูพ้ งึ รูเ้ ฉพาะตน (ปี 61, 56) ในธรรมคณุ บทว่า \"พระธรรมอนั พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั ดแี ลว้ \" พระธรรมนน้ั หมายถงึ อะไร ? ตอบ หมายถงึ ปรยิ ตั ิธรรม กบั ปฏิเวธธรรม (หรือโดยพิสดารไดแ้ ก่ สทั ธรรม ๑๐ คอื โลกตุ รธรรม ๙ กบั ปรยิ ตั ิธรรม ๑) ฯ (ปี 54) บทนมสั การพระธรรมวา่ สฺวากขฺ าโต ภควตา ธมฺโม ธมมฺ นมสฺสามิ ขา้ พเจา้ นมสั การพระธรรมอนั พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ตรสั ดีแลว้ ท่วี า่ ตรสั ดีแลว้ นน้ั มีอธิบายอยา่ งไร? ตอบ มีอธิบายอย่างนคี้ ือ ดีทง้ั ในส่วนปรยิ ตั แิ ละดที ง้ั ในสว่ นปฏเิ วธ ในสว่ นปรยิ ตั ิ ไดช้ ่ือวา่ ดีเพราะตรสั ไม่วิปรติ เพราะแสดงขอ้ ปฏบิ ตั โิ ดย ลาดบั กนั มีความไพเราะในเบอื้ งตน้ ท่ามกลาง ท่สี ดุ พรอ้ มทงั้ อรรถทงั้ พยัญชนะ บรสิ ทุ ธิ์บรบิ รู ณส์ นิ้ เชงิ ในส่วนปฏิเวธนนั้ ไดช้ ่ือวา่ ดี เพราะ ปฏิปทากบั พระนิพพานย่อมสมควรแกก่ นั และกนั ฯ (ปี 49) พระธรรมคณุ บทใด มคี วามหมายตรงกบั คาวา่ “ทา้ ใหม้ าพสิ จู นไ์ ด”้ ? พระธรรมคณุ บทนน้ั มอี ธิบายว่าอย่างไร ? ตอบ บทวา่ เอหปิ ัสสิโก ฯ มอี ธิบายว่า พระธรรมของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ สามารถท่จี ะใหพ้ สิ จู นไ์ ดท้ กุ เวลาและสามารถนาไปประพฤตใิ น ชีวิตประจาวนั เพ่อื ประโยชนส์ ขุ ได้ ฯ (ปี 47) พระธรรมคณุ บทว่า สวฺ ากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอนั พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ตรสั ดีแลว้ ท่วี ่า ดีแลว้ นนั้ มอี ธิบายอยา่ งไร ? ตอบ มีอธิบายอยา่ งนคี้ อื ดีทง้ั ในส่วนปรยิ ตั ิและดที ง้ั ในสว่ นปฏิเวธ ในส่วนปรยิ ตั ิ ไดช้ ่ือวา่ ดี เพราะตรสั ไม่วิปรติ เพราะแสดงขอ้ ปฏบิ ตั ิโดย ลาดบั กนั มคี วามไพเราะในเบอื้ งตน้ ทา่ มกลาง ท่สี ดุ มที ง้ั อรรถทงั้ พยญั ชนะบรสิ ทุ ธิ์บรบิ รู ณส์ นิ้ เชงิ และเพราะประกาศพรหมจรรยอ์ ย่างนน้ั สว่ นในปฏเิ วธนนั้ ไดช้ ่ือวา่ ดี เพราะปฏปิ ทากบั พระนพิ พานยอ่ มสมควรแก่กนั และกนั ฯ (ปี 43) จงใหค้ วามหมายของคาต่อไปนี้ ก. ภควา ข. โอปนยิโก ตอบ ก. ภควา คอื พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงเป็นผมู้ โี ชค คอื จะทรงทาการใดกล็ ลุ ่วงปลอดภยั ทกุ ประการ อกี อยา่ งหนึง่ เป็นผจู้ าแนกแจกธรรม ข. โอปนยโิ ก คอื พระธรรมมีคณุ ควรนอ้ มเขา้ มาในใจของตนหรือควรนอ้ มใจเขา้ ไปหาพระธรรมนนั้ ดว้ ยการปฏิบตั ิใหเ้ กดิ มีขนึ้ ในใจ ➢ จรติ ๖ อปุ นสิ ยั สว่ นตวั ของมนษุ ย์ ๑. ราคจริต ผมู้ รี าคะเป็นปกติ ๔. วิตกจรติ ผมู้ ีวิตกเป็นปกติ ๒. โทสจรติ ผมู้ โี ทสะเป็นปกติ ๕. สัทธาจรติ ผมู้ ีศรทั ธาเป็นปกติ ๓. โมหจรติ ผมู้ ีโมหะเป็นปกติ ๖. พทุ ธิจรติ ผมู้ คี วามรูเ้ ป็นปกติ (ปี 63) คนมปี กตริ กั สวยรกั งาม จดั เป็นจรติ อะไร ? จะพงึ แกไ้ ดด้ ว้ ยการพจิ ารณากรรมฐานขอ้ ใดไดบ้ า้ ง ? ตอบ จดั เป็นราคจรติ ฯ จะพงึ แกไ้ ดด้ ว้ ยการพจิ ารณากายคตาสติ หรือ อสภุ กรรมฐาน ฯ (ปี 59) จรติ คืออะไร ? คนมีปกตเิ ช่ืองา่ ยเป็นจรติ อะไร ? ตอบ คือ พนื้ เพอธั ยาศยั ของบคุ คลท่แี สดงออกมาตามปกติเป็นประจา ฯ เป็นสทั ธาจรติ ฯ (ปี 53) จรติ ๖ ไดแ้ ก่อะไรบา้ ง ? คนมจี รติ มกั นกึ พลา่ นจะพงึ แกด้ ว้ ยกมั มฏั ฐานอะไร ? ตอบ ไดแ้ ก่ ๑. ราคจรติ ๒. โทสจรติ ๓. โมหจรติ ๔. วติ กจรติ ๕. สทั ธาจรติ ๖. พทุ ธิจรติ ฯ พึงแกด้ ว้ ยวิธีเพง่ กสณิ หรือเจรญิ อานาปานสั สติกมั มฏั ฐาน ฯ (ปี 46) บคุ คลผมู้ ีปกตติ ่อไปนี้ จดั เขา้ ในจรติ อะไร ? จะพึงแกด้ ว้ ยธรรมขอ้ ใด ?ก. ผมู้ ปี กตริ กั สวยรกั งาม ข. ผมู้ ีปกตินึกพลา่ น ตอบ ก. จดั เขา้ ในราคจรติ ฯ จะพงึ แกด้ ว้ ยเจรญิ กายคตาสติ หรืออสภุ กมั มฏั ฐาน ฯ ข. จดั เขา้ ในวิตกั กจรติ ฯ จะพงึ แกด้ ว้ ยเพ่งกสิณ หรอื เจรญิ อานาปานสติ ฯ (ปี 44) ปาฏิหารยิ ค์ ืออะไร ? พระพทุ ธเจา้ ทรงยกย่องปาฏหิ าริยอ์ ะไรวา่ เป็นอศั จรรยย์ ง่ิ กว่าปาฏหิ ารยิ อ์ ืน่ ? 23 | P a g e

พทุ ธจรยิ า และพทุ ธิจรติ ตา่ งกนั อย่างไร ? ตอบ คือ การกระทาท่ใี หบ้ งั เกดิ ผลเป็นอศั จรรย์ ฯ ทรงยกย่องอนสุ าสนีปาฏิหารยิ ว์ า่ เป็นอศั จรรยย์ ง่ิ กวา่ ปาฏหิ ารยิ อ์ ่ืน ฯ พทุ ธจรยิ า คอื พระจรยิ าของพระพทุ ธเจา้ พทุ ธิจรติ คอื ผมู้ คี วามรูเ้ ป็นปกติ ฯ ➢ สวรรค์ ๖ ชน้ั ภมู ิอนั เป็นท่อี ยขู่ องเทวดา (ปี 52) สวรรคม์ ีก่ีชนั้ อะไรบา้ ง? ตอบ มี ๖ ชนั้ ไดแ้ ก่ ๑. ชน้ั จาตมุ หาราชิกา ๒. ชั้นดาวดึงส์ ๓. ชัน้ ยามา ๔. ชน้ั ดุสติ ๕. ช้ันนิมมานรดี ๖. ชนั้ ปรนิมมิตวสวตั ดี ฯ ➢ ปิ ยรูปสาตรูป สภาวะทรี่ กั ทชี่ นื่ ใจ ดว้ ยเพง่ อฏิ ฐารมณเ์ ป็นทตี่ งั้ มที ง้ั หมด ๑๐ หมวด หมวดละ ๖ คอื อายตนะภายใน ๖, อายตนะภายนอก ๖, วญิ ญาณ ๖, สัมผสั ๖, เวทนา ๖, สญั ญา ๖, ตัณหา ๖, วติ ก ๖ ,วิจาร ๖ (ปี 47) อายตนะภายใน อายตนะภายนอกเป็นตน้ ไดช้ ่ือวา่ ปิยรูป สาตรูป เพราะเหตไุ ร? โดยตรงเป็นท่เี กดิ เป็นท่ดี บั แหง่ กเิ ลสอะไร? ตอบ เพราะเป็นสภาวะท่รี กั ท่ชี ่ืนใจ ดว้ ยเพง่ อฏิ ฐารมณเ์ ป็นท่ตี งั้ ฯ เป็นท่เี กิด เป็นท่ดี บั แหง่ ตณั หา ฯ ➢ อภฐิ าน ๖ ฐานะอนั มีโทษหนกั ๑. มาตุฆาต ฆา่ มารดา ๔. โลหติ ปุ บาท ทารา้ ยพระพทุ ธเจา้ จนพระโลหติ หอ้ ๒. ปิ ตฆุ าต ฆา่ บดิ า ๕. สังฆเภท ทาลายสงฆใ์ หแ้ ตกกนั ๓. อรหันตฆาต ฆา่ พระอรหนั ต์ ๖. อัญญสตั ถุทเทส นบั ถือศาสดาอน่ื (ปี 44) อญั ญสตั ถทุ เทสคืออะไร ? หมายถงึ ผปู้ ระพฤติเชน่ ไร ? อญั ญสตั ถทุ เทสตา่ งจากสงั ฆเภทอย่างไร ? ตอบ คอื ถือศาสดาอื่น หมายถงึ ภกิ ษุผไู้ ปเขา้ รตี เดยี รถีย์ คอื หนั เหไปนบั ถือศาสนาอน่ื ทง้ั ท่ยี งั ถือเพศบรรพชิตอยู่ ตอ้ งหา้ มมใิ หอ้ ปุ สมบทอกี ฯ ต่างกนั คอื อญั ญสตั ถทุ เทสนน้ั ละทงิ้ ศาสนาเดมิ ของตน เปลีย่ นไปนบั ถือศาสนาอื่น แตไ่ ม่ทาลายพวกเดมิ ของตน ส่วนสงั ฆเภทนน้ั ยงั อยใู่ น ศาสนาเดิมของตน แต่ทาลายพวกตนเองใหแ้ ตกแยกเป็นพรรคเป็นพวกฯ หมวด ๗ ➢ วสิ ุทธิ ๗ ปัจจยั สง่ ต่อกนั ขนึ้ ไปเพอื่ บรรลพุ ระนพิ พาน ๑. สลี วิสทุ ธิ ความหมดจดแหง่ ศลี ๒. จิตตวสิ ทุ ธิ ความหมดจดแห่งจติ ๓. ทฏิ ฐวิ สิ ุทธิ ความหมดจดแหง่ ทฏิ ฐิ ๔. กังขาวติ รณวิสุทธิ ความหมดจดแหง่ ญาณ เป็นเครอ่ื งขา้ มพน้ ความสงสยั ๕. มัคคามคั คญาณทสั สนวสิ ุทธิ ความหมดจดแหง่ ญาณเป็นเครอ่ื งเห็นวา่ ทางหรือมใิ ช่ทาง ๖. ปฏปิ ทาญาณทัสสนวสิ ุทธิ ความหมดจดแหง่ ญาณเป็นเคร่อื งเหน็ ทางปฏบิ ตั ิ ๗. ญาณทัสสนวสิ ุทธิ ความหมดจดแหง่ ญาณทสั สนะ (ปี 55) สมาธิระดบั ไหนจงึ จดั เป็นจิตตวสิ ทุ ธิ ความหมดจดแหง่ จติ ? ตอบ สมาธิทงั้ ท่เี ป็นอปุ จาระทง้ั ท่เี ป็นอปั ปนา โดยท่สี ดุ ขณิกสมาธิ คือสมาธชิ ่วั ขณะพอเป็นรากฐานแหง่ วปิ ัสสนา จดั เป็นจติ ตวสิ ทุ ธิ ฯ 24 | P a g e

(ปี 43) ทาไมทา่ นจงึ เปรียบวสิ ทุ ธิ ๗ เหมือนรถ ๗ ผลดั ? อะไรจดั เป็นปฏปิ ทาญาณทสั สนวิสทุ ธิ ? ตอบ เพราะวสิ ทุ ธิ ๗ นี้ เป็นปัจจยั สง่ ตอ่ กนั ขนึ้ ไปเพ่ือบรรลพุ ระนพิ พาน ท่านจงึ เปรยี บเหมือนรถ ๗ ผลดั ต่างส่งตอ่ ซง่ึ คนผไู้ ปใหถ้ งึ สถานท่ี ปรารถนา ฯ วิปัสสนาญาณ ๙ จดั เป็นปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ ฯ ➢ อนุสยั ๗ กเิ ลสอยา่ งละเอยี ดทนี่ อนเนอื่ งอยใู่ นสนั ดาน มกั ไม่ปรากฏ ต่อเม่ือมีอารมณม์ าย่วั จึงปรากฏขนึ้ ๑. กามราคะ ความกาหนดั ในกาม ๒. ปฏฆิ ะ ความขดั เคอื งใจ ๓. ทฏิ ฐิ ความเหน็ ผดิ ๔. วิจิกจิ ฉา ความลงั เล ๕. มานะ ความถือตวั ๖. ภวราคะ ความกาหนดั ในภพ ๗. อวชิ ชา ความไม่รูจ้ รงิ ➢ สังโยชน์ ๑๐ กิเลสอนั ผกู ใจสตั วไ์ ว้ โอรัมภาคิยสังโยชน์ สงั โยชนเ์ บอื้ งต่า ๕ ไดแ้ ก่ ๑. สักกายทฏิ ฐิ ความเหน็ ว่าเป็นตวั ของตน ๒. วิจิกิจฉา ความลงั เลสงสยั ๓. สีลพั พตปรามาส ความยดึ ม่นั ในศลี พรต ๔. กามราคะ ความพอใจรกั ใครใ่ นกามคณุ ๕. ปฏฆิ ะ ความขดั เคืองใจ อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สงั โยชนเ์ บอื้ งสงู ๕ ไดแ้ ก่ ๖. รูปราคะ ความตดิ ใจอยใู่ นรูปธรรมอนั ประณีต ๗. อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม ๘. มานะ ความถือตวั ๙. อุทธจั จะ ความฟ้งุ ซา่ น ๑๐. อวิชชา ความไม่รูจ้ รงิ (ปี 63, 56) อนสุ ยั หมายถึงกเิ ลสประเภทใด? ไดช้ ่ือเช่นนนั้ เพราะเหตไุ ร? ตอบ หมายถงึ กเิ ลสอยา่ งละเอยี ดท่นี อนเน่อื งอยใู่ นสนั ดานฯ เพราะกิเลสชนดิ นี้ บางทีไมป่ รากฏ แตเ่ ม่ือมีอารมณม์ าย่วั ยอ่ มเกดิ ขึน้ ในทนั ใดฯ (ปี 61, 52) สงั โยชน์ คอื อะไร ? พระโสดาบนั ละสงั โยชนอ์ ะไรไดข้ าดบา้ ง ? ตอบ คือ กเิ ลสอนั ผกู ใจสตั วไ์ ว้ ฯ ละสงั โยชน์ ๓ เบอื้ งตน้ ไดข้ าด คอื ๑. สกั กายทิฏฐิ ๒. วิจกิ จิ ฉา ๓. สีลพั พตปรามาส ฯ (ปี 59, 48) กเิ ลสท่ไี ดช้ ่ือว่าอนสุ ยั และไดช้ ่ือวา่ สงั โยชน์ มอี ธิบายอยา่ งไร ? ตอบ กิเลสท่ไี ดช้ ่ือวา่ อนสุ ยั เพราะเป็นกเิ ลสอย่างละเอยี ด นอนเน่อื งอยใู่ นสนั ดานของสตั ว์ มกั ไมป่ รากฏ ตอ่ เม่ือมีอารมณม์ าย่วั จึงปรากฏขนึ้ กเิ ลสท่ไี ดช้ ่ือวา่ โยชน์ เพราะเป็นกิเลสท่ผี กู ใจสตั วไ์ วก้ บั ภพไมใ่ หห้ ลดุ พน้ ไปได้ ฯ (ปี 44) อะไรเรียกวา่ อนสุ ยั ? เพราะเหตไุ รจงึ ไดช้ ่ือเชน่ นนั้ ? การจอ้ งตาตอ่ ตากบั หญงิ สาวแลว้ ช่ืนใจ จดั เป็นเมถนุ สงั โยคไดห้ รอื ไม่ ? เพราะเหตไุ ร ? 25 | P a g e

ตอบ กเิ ลสท่นี อนเน่อื งอยใู่ นสนั ดาน เรยี กวา่ อนสุ ยั เพราะกเิ ลสทง้ั ๗ อยา่ งลว้ นเป็นกเิ ลสอยา่ งละเอียดท่ีนอนเน่อื งอยใู่ นสนั ดาน บางทีไม่ แสดงอาการท่แี ทจ้ รงิ ออกมาใหป้ รากฏ ต่อเม่อื มีอารมณภ์ ายนอกอย่างใดอยา่ งหนึ่งมาย่วั ยวน ก็แสดงออกมาใหป้ รากฏและทาจิตใหข้ ่นุ มวั เม่ือไมม่ อี ารมณม์ าย่วั ยวน กน็ อนสงบน่งิ อย่ปู ระหน่ึงว่าเป็นผไู้ มม่ กี ิเลส เป็นอย่เู ช่นนี้ จงึ ไดช้ ่ือว่าอนสุ ยั ฯ ได้ เพราะอาการเชน่ นนั้ อิงอาศยั กาม ฯ (ปี 43) บารมคี อื อะไร ? มีก่ีอย่าง ? อะไรบา้ ง ? สงั โยชนอ์ ะไรเรยี กว่า โอรมั ภาคิยสงั โยชน์ ? มอี ะไรบา้ ง ? ตอบ คอื คณุ สมบตั ิหรอื ปฏิปทาอนั ยวดยิ่ง มี ๑๐ อย่าง คอื ทาน ๑ ศีล ๑ เนกขมั มะ ๑ ปัญญา ๑ วริ ยิ ะ ๑ ขนั ติ ๑ สจั จะ ๑ อธิษฐาน ๑ เมตตา ๑ อเุ บกขา ๑ ฯ สงั โยชนเ์ บือ้ งตา่ คอื อยา่ งหยาบ เรียกวา่ โอรัมภาคยิ สงั โยชน์ มี ๕ อย่างคอื สกั กายทิฏฐิ ๑ วิจกิ ิจฉา ๑ สีลพั พตปรามาส ๑ กามราคะ ๑ ปฏฆิ ะ ๑ ฯ ➢ วญิ ญาณฐติ ิ ๗ ภมู ิเป็นท่ตี งั้ แหง่ วญิ ญาณ ๑. สัตวเ์ หล่าหนึ่ง มีกายตา่ งกนั มีสัญญาตา่ งกนั เชน่ พวกมนุษย์ พวกเทพบางหมู่ พวกวนิ ิปาติกะ(เปรต)บางหมู่ ๒. สัตวเ์ หล่าหนึ่ง มกี ายตา่ งกนั มีสญั ญาอยา่ งเดียวกนั เชน่ พวกเทพผอู้ ย่ใู นจาพวกพรหม ผู้เกิดในภมู ิปฐมฌาน ๓. สตั วเ์ หลา่ หน่ึง มกี ายอย่างเดยี วกนั มสี ญั ญาตา่ งกนั เชน่ พวกเทพอาภัสสระ ๔. สตั วเ์ หลา่ หนึ่ง มกี ายอยา่ งเดียวกนั มสี ัญญาอยา่ งเดยี วกนั เชน่ พวกเทพสุภกิณหะ ๕. สตั วเ์ หลา่ หน่ึง ผเู้ ขา้ ถืงชน้ั อากาสานัญจายตนะ ๖. สตั วเ์ หลา่ หนึ่ง ผูเ้ ขา้ ถงื ชน้ั วญิ ญาณัญจายตนะ ๗. สัตวเ์ หล่าหน่ึง ผู้เข้าถืงชน้ั อากญิ จญั ญายตนะ ➢ สตั ตาวาส ๙ ภพเป็นท่อี ย่แู หง่ สตั ว์ ๑. สตั วเ์ หล่าหนึ่ง มกี ายตา่ งกนั มสี ัญญาตา่ งกนั เชน่ พวกมนุษย์ พวกเทวดาบางหมู่ พวกวนิ ิปาตกิ ะ(เปรต)บางหมู่ ๒. สัตวเ์ หล่าหน่ึง มกี ายต่างกนั มีสัญญาอย่างเดียวกนั เชน่ พวกเทพผู้อยใู่ นจาพวกพรหม ผ้เู กดิ ในภูมิปฐมฌาน ๓. สตั วเ์ หลา่ หน่ึง มกี ายอยา่ งเดยี วกนั มีสญั ญาต่างกนั เชน่ พวกเทพอาภสั สระ ๔. สัตวเ์ หลา่ หน่ึง มีกายอย่างเดยี วกนั มสี ญั ญาอย่างเดียวกัน เชน่ พวกเทพสุภกิณหะ ๕. สัตวเ์ หลา่ หนึ่ง ไม่มีสัญญา ไมเ่ สวยเวทนา เชน่ พวกเทพผเู้ ป็ นอสญั ญสี ตั ว์ ๖. สตั วเ์ หลา่ หนึ่ง ผู้เข้าถืงชน้ั อากาสานัญจายตนะ ๗. สัตวเ์ หล่าหน่ึง ผ้เู ข้าถงื ชน้ั วิญญาณัญจายตนะ ๘. สัตวเ์ หลา่ หนึ่ง ผเู้ ข้าถงื ชน้ั อากญิ จัญญายตนะ ๙. สัตวเ์ หล่าหน่ึง ผู้เข้าถงื ชนั้ เนวสัญญานาสญั ญายตนะ (ปี 61) วิญญาณฐิติตา่ งจากสตั ตาวาสอยา่ งไร ? ตอบ ตา่ งกนั อยา่ งนี้ ภมู ิเป็นท่ตี งั้ แหง่ วญิ ญาณ เรียกวา่ วญิ ญาณฐิติ ภพเป็นท่อี ยแู่ ห่งสตั ว์ เรยี กว่า สตั ตาวาส ฯ (ปี 45) วญิ ญาณฐิตติ า่ งจากสตั ตาวาสอยา่ งไร ? สญั ญาเวทยติ นโิ รธกบั นิโรธสมาบตั ิตา่ งกนั หรือเหมอื นกนั ? ตอบ ตา่ งกนั อยา่ งนี้ ภมู เิ ป็นท่ตี งั้ แหง่ วญิ ญาณเรยี กว่า วญิ ญาณฐิติ ภพเป็นท่อี ยแู่ หง่ สตั ว์ เรยี กวา่ สตั ตาวาส ฯ ตา่ งกนั โดยพยญั ชนะ โดยอรรถเป็นอย่างเดยี วกนั คือทา่ นผเู้ ขา้ ถงึ สมาบตั ชิ นิดนแี้ ลว้ ย่อมไมม่ สี ญั ญาและเวทนา ฯ 26 | P a g e

➢ เมถุนสงั โยค ๗ กิรยิ าอาการท่ยี งั เก่ียวขอ้ งกบั เรอ่ื งเมถนุ อยู่ ถือเป็นกิรยิ าอาการทเ่ี ป็นมลทนิ ของบรรพชิต ๑. ยินดกี ารลบู ไล้ ขดั สี ใหอ้ าบนา้ และการนวดของมาตคุ าม ปลมื้ ใจดว้ ยการบาเรอนัน้ ๒. ไม่ถงึ อยา่ งนนั้ แตย่ ังกระซกิ ระซี้ เล่นหวั สพั ยอกกับมาตคุ าม ปลืม้ ใจด้วยการสรวลเสน้ัน ๓. ไม่ถึงอยา่ งน้นั แตย่ งั เพง่ ดู จอ้ งดูตากบั มาตุคาม ปลืม้ ใจดว้ ยการเพ่งดนู นั้ ๔. ไม่ถงึ อยา่ งน้ัน แตย่ ังชอบฟังเสยี งมาตคุ ามหัวเราะ พูดจาขบั ร้อง ร้องไห้ ขา้ งนอกฝา นอกกาแพง แลว้ ปลมื้ ใจ ๕. ไมถ่ งึ อย่างน้ัน แตย่ งั ชอบตามนึกถอื อดตี ทไี่ ดเ้ คยหวั เราะพูดเลน่ กับมาตคุ าม แลว้ ปลมื้ ใจ ๖. ไมถ่ ึงอย่างน้ัน แตช่ อบดคู ฤหบดี หรอื บตุ รคฤหบดีผอู้ ม่ิ เอิบพร่ังพร้อมด้วยกามคณุ ๕ บาเรอตนอยู่ แลว้ ปลมื้ ใจ ๗. ไมถ่ งึ อยา่ งน้นั แต่ประพฤตพิ รหมจรรย์ ต้งั ปรารถนาเพอื่ จะได้เป็ นเทพเจา้ หรอื เทพองคใ์ ดองคห์ นึ่ง แลว้ ปลมื้ ใจ (ปี 44) อะไรเรียกวา่ อนสุ ยั ? เพราะเหตไุ รจงึ ไดช้ ่ือเช่นนน้ั ? การจอ้ งตาตอ่ ตากบั หญงิ สาวแลว้ ช่ืนใจ จดั เป็นเมถนุ สงั โยคไดห้ รอื ไม่ ? เพราะเหตไุ ร ? ตอบ กเิ ลสท่นี อนเน่อื งอยใู่ นสนั ดาน เรียกว่าอนสุ ยั เพราะกเิ ลสทง้ั ๗ อยา่ งลว้ นเป็นกเิ ลสอย่างละเอยี ดท่นี อนเน่อื งอยใู่ นสนั ดาน บางทไี ม่ แสดงอาการท่แี ทจ้ รงิ ออกมาใหป้ รากฏ ตอ่ เม่ือมอี ารมณภ์ ายนอกอยา่ งใดอยา่ งหนึ่งมาย่วั ยวน ก็แสดงออกมาใหป้ รากฏและทาจติ ใหข้ ่นุ มวั เม่ือไมม่ ีอารมณม์ าย่วั ยวน ก็นอนสงบน่งิ อย่ปู ระหนงึ่ ว่าเป็นผไู้ มม่ กี เิ ลส เป็นอยเู่ ช่นนี้ จงึ ไดช้ ่ือว่าอนสุ ยั ฯ ได้ เพราะอาการเชน่ นนั้ อิงอาศยั กาม ฯ หมวด ๘ ➢ สมาบัติ ๘ ธรรมท่ีควรเขา้ ถงึ ๑. ปฐมฌาณ ๕. อากาสานัญจายตนะ ๒. ทตุ ยิ ฌาณ ๖. วญิ ญาณัญจายตนะ ๓. ตติยฌาณ ๗. อากญิ จัญญายตนะ ๔. จตุตถฌาณ ๘. เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ (ปี 61) ครุกรรม คืออะไร ? ในฝ่ายอกศุ ลและฝ่ายกศุ ลไดแ้ ก่อะไร ? ตอบ คอื กรรมหนกั ฯ ครุกรรมในฝ่ายอกศุ ล ไดแ้ ก่ อนนั ตรยิ กรรม ๕ ครุกรรมในฝ่ายกศุ ล ไดแ้ ก่ สมาบตั ิ ๘ ประการ ฯ (ปี 54) ครุกรรม คอื อะไร ? อนนั ตรยิ กรรมกบั สมาบตั ิ ๘ เป็นครุกรรมฝ่ายกศุ ล หรืออกศุ ล ? ตอบ คือ กรรมหนกั ฯ อนนั ตรยิ กรรม เป็นครุกรรมฝ่ายอกศุ ล สมาบตั ิ ๘ เป็นครุกรรมฝ่ายกศุ ล ฯ (ปี 45) วญิ ญาณฐิติตา่ งจากสตั ตาวาสอยา่ งไร ? สญั ญาเวทยติ นโิ รธกบั นโิ รธสมาบตั ติ า่ งกนั หรอื เหมือนกนั ? ตอบ ตา่ งกนั อย่างนี้ ภมู ิเป็นท่ตี งั้ แหง่ วิญญาณเรยี กวา่ วญิ ญาณฐิติ ภพเป็นท่อี ย่แู หง่ สตั ว์ เรียกวา่ สตั ตาวาส ฯ ตา่ งกนั โดยพยญั ชนะ โดยอรรถเป็นอยา่ งเดียวกนั คือทา่ นผเู้ ขา้ ถงึ สมาบตั ชิ นิดนีแ้ ลว้ ยอ่ มไมม่ ีสญั ญาและเวทนา ฯ หมวด ๙ ➢ พุทธคณุ ๙ คณุ ความดีของพระพทุ ธเจา้ ๑. อรห เป็นพระอรหนั ต์ (มคี วามหมายหลายประการ ๑.เป็ นผ้เู วน้ ไกลจากกเิ ลสและบาปธรรม ๒.เป็ นผหู้ กั กาแหง่ สงั สารจักร ๓.เป็ นผ้คู วรแนะนาส่งั สอนเขา ๔.เป็ นผคู้ วรรับความเคารพนับถอื ของเขา ๕.เป็ นผูไ้ ม่มีขอ้ ลบั ไมไ่ ดท้ า ความเสียหายอนั จะพึงซอ่ นเพอ่ื มใิ ห้คนอนื่ รู้) 27 | P a g e

๒. สมมฺ าสมพฺ ทุ โฺ ธ เป็นผตู้ รสั รูช้ อบไดด้ ว้ ยพระองคเ์ อง ๓. วชิ ชฺ าจรณสมปฺ นฺโน เป็นผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ยวิชชาและจรณะ (วชิ ชา ๓ และจรณะ ๑๕) ๔. สุคโต เป็นผเู้ สดจ็ ไปดแี ลว้ ๕. โลกวทิ ู เป็นผรู้ ูแ้ จง้ โลก ๖. อนุตตฺ โร ปุริสทมฺมสารถิ เป็นผฝู้ ึกบรุ ุษท่สี มควรฝึกไดอ้ ย่างไมม่ ใี ครย่งิ กวา่ ๗. สตฺถา เทวมนุสฺสาน เป็นครูผสู้ อนของเทวดาและมนษุ ยท์ งั้ หลาย ๘. พทุ โฺ ธ เป็นผรู้ ู้ ผตู้ นื่ ผเู้ บิกบาน ๙. ภควา ๑.เป็นผมู้ ีโชค ๒.เป็นผจู้ าแนกธรรม (ปี 62, 44) พระพทุ ธคณุ บทวา่ อรห แปลวา่ อย่างไรไดบ้ า้ ง ? ตอบ แปลวา่ เป็นผเู้ วน้ ไกลจากกเิ ลสและบาปกรรม เป็นผหู้ กั กาแหง่ สงั สารจกั ร เป็นผคู้ วรแนะนาส่งั สอนเขา เป็นผคู้ วรรบั ความเคารพนบั ถือของเขา เป็นผไู้ มม่ ีขอ้ ลบั ไมไ่ ดท้ าความเสยี หายอนั จะพึงซอ่ นเพ่อื มใิ หค้ นอนื่ รู้ ฯ (ปี 60, 45) พระพทุ ธคณุ บทวา่ อรห ท่แี ปลว่า เป็นผหู้ กั กาแห่งสงั สารจกั รนนั้ กาแหง่ สงั สารจกั ร ไดแ้ ก่อะไร ? ตอบ ไดแ้ ก่ อวิชชา ตณั หา อปุ าทาน และกรรม ฯ (ปี 59) พระพทุ ธคณุ บทว่า อรห เป็นพระอรหนั ต์ มีความหมายอยา่ งไรบา้ ง ? เลอื กตอบมา ๒ อย่าง ตอบ มคี วามหมายได้ ๔ อยา่ ง ฯ คือ ๑. ช่ือวา่ เป็นพระอรหนั ต์ เพราะเป็นผไู้ กลจากกเิ ลสและบาปธรรม กล่าวคือ เป็นผบู้ รสิ ทุ ธิ์ ๒. ช่ือวา่ เป็นพระอรหนั ต์ เพราะเป็นผหู้ กั กาสงั สารจกั ร คอื อวชิ ชา ตณั หา อปุ าทาน กรรม ได้ ๓. ช่ือว่าเป็นพระอรหนั ต์ เพราะเป็นผคู้ วรแนะนาส่งั สอนเขา หรือเป็นผคู้ วรรบั ความเคารพนบั ถือ ๔. ช่ือว่าเป็นพระอรหนั ต์ เพราะเป็นผไู้ ม่มคี วามลบั คือมิไดท้ าความเสียหายอนั ใดท่ีจะพงึ ซอ่ นเรน้ ฯ (ปี 56) พทุ ธคณุ ๒ กม็ ี พทุ ธคณุ ๓ ก็มี พทุ ธคณุ ๙ ก็มี จงแจกแจงแตล่ ะอย่างวา่ มอี ะไรบา้ ง? ตอบ พทุ ธคณุ ๒ คอื อตั ตสมบตั ิ และ ปรหติ ปฏบิ ตั ิ พทุ ธคณุ ๓ คือ พระปัญญาคณุ พระวิสทุ ธิคณุ และพระกรุณาคณุ พทุ ธคณุ ๙ คอื อรห, สมฺมาสมพฺ ทุ ฺโธ, วชิ ฺชาจรณสมปฺ นโฺ น, สคุ โต,โลกวทิ ,ู อนตุ ฺตโร ปรุ สิ ทมมฺ สารถิ, สตฺถา เทวมนสุ ฺสาน, พทุ ฺโธ,ภควา ฯ (ปี 54) พระพทุ ธคณุ วา่ อรห ใชเ้ ป็นคณุ บทของพระสาวกไดด้ ว้ ยหรอื ไม่? ถา้ ได้ จะมีคาอะไรมาประกอบรว่ มดว้ ย เป็นเคร่อื งหมายใหร้ ูว้ ่าเป็น คณุ บทของพระศาสดาหรือของพระสาวก? ตอบ ได้ ฯ สาหรบั พระศาสดา ใชว้ ่า อรห สมมฺ าสมพฺ ทุ โฺ ธ แปลวา่ พระอรหนั ต์ ผตู้ รสั รูช้ อบเอง สาหรบั พระสาวกใชว้ ่า อรห ขีณาสโว แปลวา่ พระอรหนั ตผ์ มู้ อี าสวะสนิ้ แลว้ ฯ (ปี 53) พระพทุ ธคณุ ๙ บท คอื อะไรบา้ ง? บทไหนจดั เป็นอตั ตหติ สมบตั ิและปรหติ ปฏบิ ตั ิ ? ตอบ คือ อรห, สมมฺ าสมพฺ ทุ ฺโธ, วิชชฺ าจรณสมฺปนฺโน, สคุ โต, โลกวทิ ,ู อนตุ ฺตโร ปรุ สิ ทมมฺ สารถิ, สตฺถา เทวมนสุ ฺสาน, พทุ โฺ ธ, ภควา ฯ ๕ บท เบอื้ งตน้ เป็นอตั ตหติ สมบตั ิ ๔ บทเบอื้ งปลายเป็นปรหติ ปฏิบตั ิ ฯ (ปี 52) พระพทุ ธคณุ บทหนงึ่ วา่ เป็นผหู้ กั กาแห่งสงั สารจกั ร ถามวา่ กาไดแ้ กอ่ ะไร สงั สารจกั รไดแ้ ก่อะไร? 28 | P a g e

ตอบ กา ไดแ้ ก่ อวชิ ชา ตณั หา อปุ าทาน กรรม สงั สารจกั ร ไดแ้ ก่ กเิ ลส กรรม วบิ าก ฯ (หมายเหตุ \" กเิ ลส กรรม วบิ าก \" เรยี กว่า วัฏฏะ ๓) (ปี 48) พระพทุ ธคณุ บทว่า “อนตุ ฺตโร ปรุ สิ ทมฺมสารถิ เป็นสารถีฝึกบรุ ุษท่คี วรฝึกไดไ้ มม่ ีใครยง่ิ กวา่ ” คาวา่ “บรุ ุษท่คี วรฝึกได”้ นน้ั หมายถึงบคุ คลเชน่ ไร ? ตอบ หมายถงึ บคุ คลผมู้ อี ปุ นิสยั ท่อี าจฝึกใหด้ ีไดแ้ ละตงั้ ใจจะเขา้ ใจพระธรรมเทศนา แมฟ้ ังดว้ ยตงั้ ใจจะจบั ขอ้ บกพรอ่ งขึน้ ยกโทษเชน่ เดยี รถียก์ ็ ตาม ฯ (ปี 45) พระพทุ ธคณุ ต่อไปนมี้ คี าแปลวา่ อยา่ งไร ? ก. สคุ โต ข. อนตุ ฺตโร ปรุ สิ ทมฺมสารถิ ตอบ ก. เป็นผเู้ สดจ็ ไปดีแลว้ ฯ ข. เป็นสารถีแหง่ บรุ ุษพงึ ฝึกได้ ไมม่ ีบรุ ุษอ่ืนยง่ิ ไปกวา่ ฯ (ปี 44) พระพทุ ธคณุ บทวา่ อรห แปลวา่ อยา่ งไรไดบ้ า้ ง ? พระสงฆด์ อี ยา่ งไร จึงจดั วา่ เป็นนาบญุ ของโลก ? ตอบ แปลวา่ เป็นผเู้ วน้ ไกลจากกเิ ลสและบาปธรรม เป็นผหู้ กั กาแหง่ สงั สารจกั ร เป็นผคู้ วรแนะนาส่งั สอนเขา เป็นผคู้ วรรบั ความเคารพนบั ถือของเขา เป็นผไู้ มม่ ขี อ้ ลบั ไม่ไดท้ าความเสยี หายอนั จะพึงซ่อนเพ่อื มใิ หค้ นอน่ื รู้ ฯ พระสงฆเ์ ป็นผบู้ รสิ ทุ ธิ์ ทกั ขิณาทบ่ี รจิ าคแกท่ า่ น ยอ่ มมีผลานสิ งส์ ดจุ นาทม่ี ีดนิ ดแี ละไถดี พืชท่หี วา่ นท่ปี ลกู ลงย่อมเผล็ดผลไพบลู ย์ จึงช่ือวา่ นา บญุ ของโลก ฯ (ปี 43) จงใหค้ วามหมายของคาตอ่ ไปนี้ ก. ภควา ข. โอปนยิโก ตอบ ก. ภควา คือพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงเป็นผมู้ โี ชค คือจะทรงทาการใด ก็ลลุ ว่ งปลอดภยั ทกุ ประการ อีกอย่างหนงึ่ เป็นผจู้ าแนกแจกธรรม ข. โอปนยิโก คอื พระธรรมมคี ณุ ควรนอ้ มเขา้ มาในใจของตนหรือควรนอ้ มใจเขา้ ไปหาพระธรรมนนั้ ดว้ ยการปฏบิ ตั ใิ หเ้ กดิ มขี นึ้ ในใจ ➢ สังฆคณุ ๙ คณุ ความดอี งพระสงฆผ์ เู้ ป็นสาวกของพระพทุ ธเจา้ ๑. สุปฏิปนฺโน เป็นผปู้ ฏบิ ตั ดิ ีแลว้ ๖. ปาหเุ นยฺโย เป็นผคู้ วรของตอ้ นรบั ๒. อชุ ุปฏปิ นโฺ น เป็นผปู้ ฏบิ ตั ิตรงแลว้ ๗. ทกฺขเิ ณยฺโย เป็นผคู้ วรของทาบญุ ๓. ญายปฏปิ นฺโน เป็นผปู้ ฏบิ ตั ิเป็นธรรม ๘. อญชฺ ลิกรณโี ย เป็นผคู้ วรทาอญั ชลี (ประณมมอื ไหว)้ ๔. สามจี ิปฏปิ นฺโน เป็นผปู้ ฏิบตั สิ มควร ๙. อนุตตฺ ร ปุญฺญกฺเขตตฺ โลกสฺส เป็นนาบญุ ของโลก ไม่มนี าบญุ อื่นยิ่งกวา่ ๕. อาหุเนยโฺ ย เป็นผคู้ วรของคานบั (ปี 63) พระสงฆป์ ฏบิ ตั อิ ยา่ งไร จงึ ไดช้ ่ือวา่ อชุ ปุ ฏิปันโน เป็นผปู้ ฏิบตั ิตรง ? ตอบ คอื ไม่ปฏบิ ตั ลิ วงโลก ไมม่ มี ายาสาไถย ประพฤตติ รงๆ ต่อพระศาสดาและเพ่อื นสาวกดว้ ยกนั ไม่อาพรางความในใจ ไมม่ แี งม่ งี อน ฯ (ปี 62) คาวา่ พระสงฆ์ ในบทสงั ฆคณุ นนั้ ทา่ นประสงคบ์ คุ คลเช่นไร ? จงจาแนกมาดู ตอบ ทา่ นประสงคพ์ ระอรยิ บคุ คล ๔ คู่ ๘ บคุ คล ซ่งึ ลว้ นแตท่ า่ นผทู้ ่ตี งั้ อยใู่ นมรรคผลทงั้ สนิ้ คอื พระโสดาปัตติมรรค พระโสดาปัตติผล คู่ ๑ พระสกทาคามมิ รรค พระสกทาคามิผล คู่ ๑ พระอนาคามมิ รรค พระอนาคามผิ ล คู่ ๑ พระอรหตั มรรค พระอรหตั ผล คู่ ๑ ฯ (ปี 61) คาวา่ \"อชุ ปุ ฏิปนโฺ น เป็นผปู้ ฏบิ ตั ิตรง\" คือปฏิบตั ิเชน่ ไร ? ตอบ คอื ไม่ปฏิบตั ลิ วงโลก ไม่มมี ายาสาไถย ประพฤติตรงต่อพระศาสดา และเพ่อื นสาวกดว้ ยกนั ไมอ่ าพรางความในใจ ฯ 29 | P a g e

(ปี 60, 46) พระสงฆ์ ในบทสงั ฆคณุ ๙ ทา่ นหมายถงึ พระสงฆเ์ ชน่ ไร? คาวา่ \"อชุ ปุ ฏปิ นฺโน เป็นผปู้ ฏบิ ตั ิตรง\"คอื ปฏบิ ตั เิ ชน่ ไร? ตอบ หมายถงึ พระสาวกผไู้ ดบ้ รรลธุ รรมวเิ ศษตงั้ แต่โสดาปัตตมิ รรคเป็นตน้ ฯ คอื ไม่ปฏิบตั ิลวงโลก ไมม่ มี ายาสาไถย ประพฤตติ รง ตรงต่อพระศาสดาและเพ่อื นสาวกดว้ ยกนั ไมอ่ าพรางความในใจ ไม่มีแงง่ อน ฯ (ปี 55) สงั ฆคณุ ๙ มอี ะไรบา้ ง จะยน่ ใหเ้ หลอื เพยี ง ๒ ไดอ้ ยา่ งไร? ตอบ มี ๑. สปุ ฏปิ นฺโน เป็นผปู้ ฏิบตั ดิ ีแลว้ ๖. ปาหเุ นยฺโย เป็นผคู้ วรของตอ้ นรบั ๒. อชุ ปุ ฏปิ นโฺ น เป็นผปู้ ฏบิ ตั ติ รงแลว้ ๗. ทกขฺ เิ ณยโฺ ย เป็นผคู้ วรของทาบญุ ๓. ญายปฏิปนฺโน เป็นผปู้ ฏบิ ตั เิ ป็นธรรม ๘. อญฺชลิกรณีโย เป็นผคู้ วรทาอญั ชลี (ประณมมอื ไหว)้ ๔. สามีจิปฏปิ นฺโน เป็นผปู้ ฏิบตั ิสมควร ๙. อนตุ ฺตร ปญุ ฺญกฺเขตตฺ โลกสสฺ เป็นนาบญุ ของโลก ไม่มีนาบญุ อน่ื ยิง่ กวา่ ฯ ๕. อาหเุ นยโฺ ย เป็นผคู้ วรของคานบั ขอ้ ๑ ถึงขอ้ ๔ เป็นอตั ตหติ คณุ คอื คณุ เกือ้ กลู แกต่ นเอง ขอ้ ๕ ถึงขอ้ ๙ เป็นปรหติ คณุ คอื คณุ เกือ้ กลู แกผ่ อู้ นื่ ฯ (ปี 44) พระพทุ ธคณุ บทวา่ อรห แปลวา่ อย่างไรไดบ้ า้ ง ? พระสงฆด์ อี ยา่ งไร จงึ จดั วา่ เป็นนาบญุ ของโลก ? ตอบ แปลวา่ เป็นผเู้ วน้ ไกลจากกเิ ลสและบาปธรรม เป็นผหู้ กั กาแหง่ สงั สารจกั ร เป็นผคู้ วรแนะนาส่งั สอนเขา เป็นผคู้ วรรบั ความเคารพนบั ถือของเขา เป็นผไู้ มม่ ีขอ้ ลบั ไม่ไดท้ าความเสยี หายอนั จะพึงซ่อนเพ่อื มใิ หค้ นอนื่ รู้ ฯ พระสงฆเ์ ป็นผบู้ รสิ ทุ ธิ์ ทกั ขณิ าทบ่ี รจิ าคแก่ทา่ น ยอ่ มมีผลานิสงสด์ จุ นาท่มี ดี ินดีและไถดี พืชท่หี วา่ นท่ปี ลกู ลงย่อมเผล็ดผลไพบลู ย์ จึงช่ือว่านา บญุ ของโลก ฯ ➢ มานะ ๙ (ความถือตวั ) ความสาคญั ตวั วา่ เป็นน่นั เป็นน่ี ๑. เป็ นผู้เลิศกวา่ เขา สาคัญตวั วา่ เลิศกว่าเขา ๒. เป็ นผู้เลศิ กว่าเขา สาคญั ตวั วา่ เสมอเขา ๓. เป็ นผเู้ ลิศกวา่ เขา สาคญั ตวั วา่ เลวกวา่ เขา ๔. เป็ นผู้เสมอกวา่ เขา สาคัญตวั วา่ เลิศกว่าเขา ๕. เป็ นผู้เสมอกว่าเขา สาคัญตวั วา่ เสมอเขา ๖. เป็ นผ้เู สมอกว่าเขา สาคัญตวั วา่ เลวกวา่ เขา ๗. เป็ นผู้เลวกวา่ เขา สาคญั ตวั วา่ เลศิ กว่าเขา ๘. เป็ นผูเ้ ลวกว่าเขา สาคัญตวั ว่า เสมอเขา ๙. เป็ นผู้เลวกว่าเขา สาคญั ตวั วา่ เลวกว่าเขา (ปี 51) มานะ คอื อะไร ? ว่าโดยยอ่ ๓ อย่าง ไดแ้ ก่อะไรบา้ ง ? ตอบ คือ ความสาคญั ตวั วา่ เป็นน่นั เป็นน่ี ฯ ไดแ้ ก่ ๑. สาคญั ตวั ว่าเลศิ กวา่ เขา ๒. สาคญั ตวั ว่าเสมอเขา ๓. สาคญั ตวั วา่ เลวกวา่ เขาฯ 30 | P a g e

หมวด ๑๐ ➢ มจิ ฉัตตะ ๑๐ ความเป็นสง่ิ ท่ผี ดิ ๑. มิจฉาทฏิ ฐิ เหน็ ผิด ๖. มจิ ฉาวายามะ พยายามผดิ ๒. มจิ ฉาสงั กัปปะดารผิ ิด ๗. มจิ ฉาสติ ระลกึ ผดิ ๓. มิจฉาวาจา วาจาผดิ ๘. มจิ ฉาสมาธิ ตงั้ จติ ผดิ ๔. มิจฉากัมมนั ตะ การงานผดิ ๙. มิจฉาญาณะ รูผ้ ิด ๕. มจิ ฉาอาชีวะ เลยี้ งชีพผดิ ๑๐. มจิ ฉาวมิ ุตติ พน้ ผดิ (ปี 52) มจิ ฉตั ตะคืออะไร มอี ะไรบา้ ง มิจฉาวายามะไดแ้ ก่พยายามผิดอย่างไร? ตอบ ความเป็นสิง่ ท่ผี ิด มี ๑. มิจฉาทิฏฐิ ๖. มิจฉาวายามะ ๒. มิจฉาสงั กปั ปะ ๗. มิจฉาสติ ๓. มิจฉาวาจา ๘. มิจฉาสมาธิ ๔. มิจฉากมั มนั ตะ ๙. มิจฉาญาณะ ๕. มจิ ฉาอาชวี ะ ๑๐. มจิ ฉาวมิ ตุ ติ มจิ ฉาวายามะ ไดแ้ ก่ พยายามในทางยงั บาปธรรมใหเ้ กดิ ขนึ้ และใหเ้ จรญิ และในทางยงั กศุ ลธรรมไม่ใหเ้ กดิ ขนึ้ และใหเ้ สือ่ มสนิ้ ฯ (ปี 43) จงอธิบายคาตอ่ ไปนี้ ก. มจิ ฉาสมาธิ ข. สมั มาสมาธิ ตอบ ก. มจิ ฉาสมาธิ คือการตงั้ จติ ไวผ้ ิด โดยนาสมาธิท่ไี ดน้ นั้ ไปใชใ้ นผดิ ทาง เชน่ สะกดจิตในทางหาลาภใหแ้ กต่ นเอง ในทางหาผลประโยชน์ ทาใหผ้ อู้ นื่ หลงงมงายในวชิ าความรู้ ในทางใหร้ า้ ยผอู้ ืน่ และในทางนาใหห้ ลง ฯ ข. สมั มาสมาธิ คือการตงั้ จติ ไวช้ อบในองคฌ์ าน ๔ หรอื มนี ยั ตรงกนั ขา้ มกบั มจิ ฉาสมาธิขา้ งตน้ ➢ บารมี ๑๐ ปฏปิ ทาอนั ย่ิงยวด หรอื คณุ ธรรมท่ปี ระพฤติอย่างยงิ่ ยวด ไดแ้ ก่ ความดีท่บี าเพ็ญอย่างพเิ ศษ เพ่อื บรรลเุ ป้าหมายสงู สดุ ฯ ๑. ทานบารมี การให้ ๖. ขันตบิ ารมี ความอดทนอดกลนั้ ๒. สลี บารมี การรกั ษาศีลใหเ้ ป็นปกติ ๗. สจั จบารมี ความตงั้ ใจจรงิ การทาจรงิ พดู จรงิ และความจรงิ ใจ ๓. เนกขัมมบารมี การออกจากกาม ๘. อธษิ ฐานบารมี ความตงั้ ใจม่นั ๔. ปัญญาบารมี ความรอบรู้ ๙. เมตตาบารมี ความรกั ใคร่ ความปรารถนาดี ๕. วิริยบารมี ความเพยี ร ๑๐. อุเบกขาบารมี ความวางเฉย (ปี 62, 60, 49) บารมี คืออะไร ? อธิษฐานบารมี คือการทาอย่างไร ? ตอบ ปฏปิ ทาอนั ยง่ิ ยวด หรอื คณุ ธรรมท่ปี ระพฤติอยา่ งยิ่งยวด ไดแ้ ก่ ความดีท่บี าเพ็ญอย่างพเิ ศษ เพ่อื บรรลเุ ปา้ หมายสงู สดุ ฯ คือความตงั้ ใจม่นั ตดั สนิ ใจเดด็ เดย่ี ว วางจดุ หมายแหง่ การกระทาของตนไวแ้ น่นอนและดาเนนิ ตามนนั้ อยา่ งแนว่ แน่ ฯ (ปี 57) ผบู้ รจิ าคทานระดบั ใดจดั เป็นทานบารมี ทานอปุ บารมี และทานปรมตั ถบารมี? ตอบ บรจิ าคพสั ดภุ ายนอก จดั เป็นทานบารมี บรจิ าคอวยั วะ จดั เป็นทานอปุ บารมี บรจิ าคชีวติ จดั เป็นทานปรมตั ถบารมี ฯ (ปี 43) บารมคี ืออะไร ? มกี ี่อยา่ ง ? อะไรบา้ ง ? สงั โยชนอ์ ะไรเรียกว่า โอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ? มอี ะไรบา้ ง ? ตอบ คอื คณุ สมบตั หิ รือปฏิปทาอนั ยวดยงิ่ มี ๑๐ อย่าง คอื ทาน ๑ ศีล ๑ เนกขมั มะ ๑ ปัญญา ๑ วิรยิ ะ ๑ ขนั ติ ๑ สจั จะ ๑ อธิษฐาน ๑ เมตตา ๑ อเุ บกขา ๑ ฯ สงั โยชนเ์ บอื้ งต่าคอื อยา่ งหยาบเรยี กวา่ โอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ มี ๕ อย่างคือ สักกายทิฏฐิ ๑ วจิ กิ ิจฉา ๑ สลี พั พตปรามาส ๑ กามราคะ ๑ ปฏิฆะ ๑ ฯ 31 | P a g e

หมวด ๑๒ ➢ ปฏจิ จสมปุ บาท หรอื ปัจจยาการ ๑๒ ธรรมท่ีอิงอาศยั กนั และกนั เกดิ ขนึ้ ๑. อวิชชา ความไมร่ ู้ ๒. สงั ขาร สภาพท่ปี รุงแต่ง ไดแ้ ก่ อภสิ งั ขาร ๓ ๓. วิญญาณ ปฏสิ นธิวิญญาณ วญิ ญาณท่จี ะไปถือกาเนดิ ใหม่อยา่ งหน่งึ หมายถึง วิญญาณ ๖ ๔. นามรูป ไดแ้ ก่ การประกอบกนั ของนามรูปเป็นอตั ภาพ ๕. สฬายตนะ ไดแ้ ก่ อายตนะ ๖ ๖. ผัสสะ การสมั ผสั การกระทบกนั ระหวา่ งอายตนะภายในอายตนะภายนอกและวิญญาณ ๗. เวทนา ความรูส้ กึ การเสวยอารมณท์ ่เี กดิ จากผสั สะ สขุ ทกุ ข์ เฉยๆ ๘. ตณั หา ความทะยานอยาก ๙. อปุ าทาน ความยดึ ม่นั ถือม่นั ๑๐. ภพ ไดแ้ ก่ กรรมภพ(กรรมท่ีนาสตั วใ์ หไ้ ปอบุ ตั ใิ นภพตา่ งๆ อนั ไดแ้ ก่ อภสิ งั ขาร ๓) และอปุ ัตติภพ(สถานท่ีท่สี ตั วไ์ ปเกดิ และ ดารงชวี ติ อยู่ อนั ไดแ้ ก่ ภพ ๓) ๑๑. ชาติ การเกดิ ๑๒. ชรามรณะ ความเส่ือมสลาย (ปี 51) สมทุ ยั วาร กบั นิโรธวาร ในปฏิจจสมปุ บาท ต่างกนั อยา่ งไร ? ตอบ สมทุ ยั วาร คือการแสดงความเกดิ แหง่ ผล เพราะเกิดแหง่ เหตุ ส่วนนิโรธวาร คอื การแสดงความดบั แหง่ ผล เพราะดบั แห่งเหตุ ฯ หมวด ๑๓ ➢ ธุดงค์ ๑๓ (องคค์ ณุ เป็นเคร่อื งฆา่ หรือกาจดั กเิ ลส) วตั ตจรยิ าพเิ ศษอย่างหน่งึ พระพทุ ธเจา้ ทา่ นทรงบัญญัติไวเ้ พอ่ื เป็ นอบุ ายขดั เกลากเิ ลส และเป็ นไปเพอ่ื ความมักน้อยสนั โดษ หมวด ๑ จวี รปฏิสงั ยตุ ต์ ธุดงคท์ เ่ี กี่ยวกบั จีวร ๑. ปังสุกูลกิ ังคะ ถือการใชผ้ า้ บงั สกุ ลุ เป็นวตั ร ๒. เตจวี รกิ งั คะ ถือการใชผ้ า้ ไตรจวี รเป็นวตั ร หมวด ๒ ปิ ณฑปาตปฏิสงั ยตุ ต์ ธุดงคท์ เ่ี กย่ี วกบั บิณฑบาต ๓. ปิ ณฑปาตกิ งั คะ ถือการเท่ยี วบณิ ฑบาตเป็นวตั ร ๔. สปทานจาริกังคะ ถือการเท่ยี วบณิ ฑบาตไปตามลาดบั บา้ นเป็นวตั ร ๕. เอกาสนิกงั คะ ถือการน่งั ฉนั อาสนะเดยี วเป็นวตั ร ๖. ปัตตปิ ณฑกิ งั คะ ถือการฉนั ในบาตรเป็นวตั ร ๗. ขลุปัจฉาภตั ตกิ ังคะ ถือการไม่ฉนั ปัจฉาภตั เป็นวตั ร หมวด ๓ เสนาสนปฏิสงั ยตุ ต์ ธุดงคท์ เ่ี ก่ียวกบั เสนาสนะ ๘. อรัญญิกังคะ ถือการอย่ปู ่าเป็นวตั ร ๙. รุกขมลู กิ ังคะ ถือการอย่โู คนตน้ ไมเ้ ป็นวตั ร ๑๐. อพั โภกาสกิ งั คะ ถือการอยกู่ ลางแจง้ เป็นวตั ร 32 | P a g e

๑๑. โสสานิกงั คะ ถือการอย่ปู ่าชา้ เป็นวตั ร ๑๒. ยถาสนั ถติกงั คะ ถือการอยเู่ สนาสนะตามท่ไี ดเ้ ป็นวตั ร หมวด ๔ วริ ยิ ปฏสิ ังยุตต์ ธดุ งคท์ เ่ี กี่ยวกบั ความเพียร ๑๓. เนสชั ชกิ งั คะ ถือการน่งั เป็นวตั ร (ปี 63) ธุดงค์ ท่านบญั ญตั ิไวเ้ พ่อื ประโยชนอ์ ะไร ? ภิกษุผถู้ ือบิณฑบาตเป็นวตั รอยา่ งเครง่ ท่านใหถ้ ือปฏบิ ตั อิ ย่างไร ? ตอบเพ่อื เป็นอบุ ายขดั เกลากเิ ลส และเป็นไปเพ่อื ความมกั นอ้ ยสนั โดษฯ อย่างเครง่ เม่ือเลกิ บณิ ฑบาต น่งั ลงแลว้ แมม้ ีผมู้ าใส่บาตรอกี กไ็ มร่ บั ฯ (ปี 56) ธุดงค์ คืออะไร? มกี ่ีหมวด? หมวดไหนวา่ ดว้ ยเรอ่ื งอะไร? ตอบ คือ วตั ตจรยิ าพเิ ศษอยา่ งหนง่ึ เป็นอบุ ายขดั เกลากเิ ลส และเป็นไปเพ่ือความมกั นอ้ ยสนั โดษ ฯ มี ๔ หมวด ฯ ดงั นี้ หมวดท่ี ๑ วา่ ดว้ ยเรื่องจวี ร หมวดท่ี ๒ วา่ ดว้ ยเรื่องบิณฑบาต หมวดท่ี ๓ วา่ ดว้ ยเรือ่ งเสนาสนะ หมวดท่ี ๔ วา่ ดว้ ยเร่ืองความเพยี ร ฯ (ปี 53) ธดุ งคท์ า่ นบญั ญัตไิ วเ้ พ่อื ประโยชนอ์ ะไร ? ธดุ งคท์ ่ภี กิ ษุถอื ไดม้ กี าหนดเฉพาะกาล คอื ขอ้ ใด ? เพราะเหตใุ ด ฯ ตอบ เพ่อื เป็นอบุ ายขดั เกลากเิ ลส และเป็นไปเพ่อื ความมกั นอ้ ยสนั โดษ ฯ ขอ้ รุกขมลู กิ งั คะ และ อพั โภกาสิกงั คะ ฯ ธุดงค์ ๒ ขอ้ นภี้ กิ ษถุ ือไดเ้ ฉพาะกาลนอกพรรษา เพราะในพรรษาภิกษุตอ้ งถือเสนาสนะเป็นท่อี ยู่อาศยั ประจา ตามพระวนิ ยั นิยม ฯ (ปี 52) ธดุ งคไ์ ดแ้ กอ่ ะไร การสมาทานธุดงคด์ ว้ ยการฉนั มอื้ เดียวเป็นวตั รท่เี รียกกนั ท่วั ไปว่า “ฉนั เอกา” จดั เขา้ ในธดุ งคข์ อ้ ไหน? ตอบ ไดแ้ ก่ วตั ตจรยิ าพเิ ศษอยา่ งหน่ึง เป็นอบุ ายขดั เกลากเิ ลสและเป็นไปเพ่ือความมกั นอ้ ยสนั โดษ จดั เขา้ ในขอ้ เอกาสนกิ งั คะ คือถือน่งั ฉนั ณ อาสนะ เดยี วเป็นวตั ร ฯ (ปี 51) ธุดงค์ คอื อะไร ? ขอ้ ใดของปัจจยั ๔ ไมม่ ใี นธดุ งค์ ? ตอบ คอื วตั ตจรยิ าพเิ ศษอยา่ งหนึ่ง บญั ญัตขิ นึ้ ดว้ ยหมายจะใหเ้ ป็นอบุ าย ขดั เกลากเิ ลส และเป็นไปเพ่ือความมกั นอ้ ยสนั โดษ ฯ ขอ้ ยารกั ษาโรค ฯ (ปี 49) ธดุ งค์ ท่านบญั ญตั ไิ วเ้ พ่อื ประโยชนอ์ ะไร ? อารญั ญิกงั คธดุ งค์ คือการถือปฏิบตั อิ ย่างไร ? ตอบ เพ่อื เป็นอบุ ายขดั เกลากเิ ลส และเป็นไปเพ่ือความมกั นอ้ ยสนั โดษ ฯ คือ การถืออย่ปู ่าเป็นวตั ร หมายถงึ การพกั อาศยั ปฏิบตั ิธรรมอยใู่ นป่า หรือ บรเิ วณป่าและจะตอ้ งหา่ งจากบา้ นคนอย่างนอ้ ย ๒๕ เสน้ หรือ ๕๐๐ ช่วั ธนู ฯ (ปี 48) คาวา่ “วตั ร” ในธุดงควตั ร หมายถงึ อะไร ? ผถู้ ือธุดงคข์ อ้ เตจวี รกิ งั คะอยา่ งเครง่ มวี ิธีปฏบิ ตั ิอย่างไร ? ตอบ หมายถงึ ขอ้ ปฏิบตั พิ ิเศษอย่างหน่งึ ตามแตใ่ ครจะสมคั รถือ บญั ญัติขนึ้ ดว้ ยหมายจะใหเ้ ป็นอบุ ายขดั เกลากเิ ลส และเป็นไปเพ่อื ความมกั นอ้ ยสนั โดษ ฯ มวี ธิ ีปฏบิ ตั ิอยา่ งนี้ ใชเ้ ฉพาะไตรจีวรของตนเทา่ นน้ั แมจ้ ะซกั หรอื จะยอ้ มอนั ตรวาสก ยอ่ มใชอ้ ตุ ตราสงคน์ งุ่ และใชส้ งั ฆาฏิห่ม ฯ (ปี 47) อตั ตกลิ มถานโุ ยค กบั การบาเพญ็ ธุดงควตั ร ตา่ งกนั อยา่ งไร ? เตจีวรกิ งั คธดุ งค์ หมายความว่าอยา่ งไร ? ตอบ ตา่ งกนั อยา่ งนี้ อตั ตกลิ มถานโุ ยค การทรมานตนใหล้ าบากเพ่อื ใหบ้ าปกรรมหมดไป เพราะการทรมานนน้ั หรือเพ่อื บชู าพระเจา้ ซ่งึ เม่ือ ทราบแลว้ จะทรงโปรดใหป้ ระสบผลท่ีนา่ ปรารถนา ส่วนการบาเพญ็ ธุดงควตั ร บญั ญตั ขิ นึ้ เพ่อื จะใหเ้ ป็นอบุ ายขดั เกลากเิ ลสและเป็นไปเพ่ือ ความมกั นอ้ ยสนั โดษ ฯ เตจวี รกิ งั คธดุ งค์ หมายถงึ ธุดงคข์ องภิกษุผถู้ ือเตจีวรกิ งั คะ ย่อมไมใ่ ชจ้ วี รผืนท่ี ๔ น่งุ หม่ เฉพาะไตรจวี รอนั เป็นผา้ อธิษฐาน ฯ (ปี 46) ปังสกุ ลู ิกงั คะ องคแ์ ห่งผถู้ ือผา้ บงั สกุ ลุ เป็นวตั ร คืออยา่ งไร ? ธดุ งคข์ อ้ ใด ท่ภี ิกษุสมาทานสาเรจ็ ดว้ ยอิรยิ าบถ ๓ คือ ยืน เดิน น่งั ? ตอบ คือไม่รบั จีวรจากทายก เท่ยี วแสวงหาและใชเ้ ฉพาะแต่ผา้ บงั สกุ ลุ มาเยบ็ ยอ้ มทาจวี รใชเ้ อง ฯ คือ เนสชั ชิกงั คะ องคแ์ หง่ ภิกษุผถู้ ือการน่งั เป็นวตั ร ถือเฉพาะอิรยิ าบถ ๓ คอื ยืน เดิน และน่งั เทา่ นนั้ ฯ (ปี 45) ในธดุ งค์ ๑๓ นนั้ ธุดงคท์ ่ถี ือไดเ้ ฉพาะกาลมีอะไรบา้ ง ? การถือธุดงค์ ย่อมสาเรจ็ ดว้ ยอาการอยา่ งไร ? 33 | P a g e

ตอบ ๑. รุกขมลู กิ งั คะ ถืออย่โู คนไมเ้ ป็นวตั ร ๒. อพั โภกาสิกงั คะ ถืออยใู่ นท่แี จง้ ๆ เป็นวตั ร ฯ สาเรจ็ ดว้ ยการสมาทาน คือดว้ ยอธิษฐานใจหรือแมด้ ว้ ยเปล่งวาจา ฯ (ปี 43) ธุดงค์ ๑๓ ทา่ นกลา่ วว่า เป็นวตั รจรยิ าพิเศษอย่างหนึง่ ไม่ใชศ่ ลี นน้ั คืออย่างไร ? ธุดงคน์ น้ั ทา่ นบญั ญตั ไิ วเ้ พ่อื อะไร ? ตอบ คอื การสมาทานหรือขอ้ ท่ถี ือปฏิบตั จิ าเพาะผสู้ มคั รใจจะพึงสมาทานประพฤติไมม่ ีโทษ มีแตใ่ หค้ ณุ แก่ผถู้ ือปฏบิ ตั ิ ฯ เพ่อื เป็นอบุ ายบรรเทาขดั เกลาและกาจดั กเิ ลส เป็นไปเพ่อื ความมกั นอ้ ยและสนั โดษ เป็นตน้ ฯ หมวด ๑๕ ➢ จรณะ ๑๕ (ความประพฤต)ิ ขอ้ ปฏบิ ตั ทิ ่จี ะนาไปส่กู ารบรรลวุ ิชชาหรือนพิ พาน อนั ประกอบดว้ ย สลี สมั ปทา ๑, อปัณณกปฏปิ ทา ๓, สัปปุริสธรรม ๗ และ ฌาณ ๔ ๑. สลี สมั ปทา ความถงึ พรอ้ มดว้ ยศลี ความเป็นผมู้ ศี ลี บรสิ ทุ ธิ์ สลี สัมปทา ๑ ๒. อนิ ทรยี ส์ งั วร การสารวมในอนิ ทรยี ์ ๖ อปัณณกปฏิปทา ๓ ๓. โภชเนมตั ตญั ญตุ า ความรูจ้ กั ประมาณในการบรโิ ภคอาหาร ๔.ชาครยิ านุโยค หม่นั ประกอบความเพยี รดว้ ยการตืน่ อยเู่ สมอ ๕. สทั ธา ความเช่ือ สปั ปุริสธรรม ๗ ๖. หริ ิ ความละอายแก่ใจ (หรือเรยี กว่า สทั ธรรม) ๗. โอตตปั ปะ ความเกรงกลวั ผดิ ๘. พาหุสจั จะ ความเป็นผไู้ ดฟ้ ังมาก ๙, วิริยะ ความเพยี ร ๑๐. สติ ความระลกึ ได้ ๑๑. ปัญญา ความรอบรู้ ๑๒. ปฐมฌาน ฌาณ ๔ ๑๓, ทตุ ิยฌาน ๑๔. ตติยฌาน ๑๕. จตตุ ถฌาน (ปี 57, 53) บคุ คลผไู้ ดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เป็ นพหูสตู เพราะประกอบดว้ ยคุณสมบตั ิอะไรบา้ ง ? ตอบ ประกอบดว้ ย ๑. พหุสฺสุตา ไดย้ นิ ไดฟ้ ังมาก ๔. มนสานุเปกขฺ ิตา เอาใจจดจอ่ ๒. ธตา ทรงจาได้ ๕. ทฏิ ฺ ฐยิ า สุปฏิวทิ ธฺ า ขบดว้ ยทฏิ ฐิ ฯ ๓. วจสา ปรจิ ติ า ท่องไวด้ ว้ ยวาจา (ปี 44) สทั ธรรมในจรณะ ๑๕ คอื อะไรบา้ ง ? พาหสุ จั จะ ความเป็นผไู้ ดฟ้ ังมาก หมายถงึ ฟังอะไร ? ประกอบดว้ ยองคเ์ ทา่ ไร ? อะไรบา้ ง ? ตอบ คอื ๑.สทั ธา ความเช่ือ ๒.หิริ ความละอายแกใ่ จ ๓.โอตตปั ปะ ความเกรงกลวั ผดิ ๔.พาหสุ จั จะ ความเป็นผไู้ ดฟ้ ังมาก ๕.วริ ยิ ะ ความเพยี ร ๖.สติ ความระลกึ ได้ ๗.ปัญญา ความรอบรู้ ฯ หมายถึงฟังธรรม ซ่งึ ไพเราะในเบอื้ งตน้ ไพเราะในทา่ มกลาง ไพเราะในท่สี ดุ ประกอบดว้ ยอรรถ ดว้ ยพยญั ชนะ ประกาศพรหมจรรยบ์ รสิ ทุ ธิ์ บรบิ รู ณส์ นิ้ เชิง ฯ ประกอบดว้ ยองค์ ๕ คือ ๑. พหสุ ฺสตุ า ไดย้ ินไดฟ้ ังมาก ๒. ธตา ทรงจาได้ ๓. วจสา ปรจิ ิตา ท่องไวด้ ว้ ยวาจา ๔. มนสานเุ ปกขฺ ติ า เอาใจจดจ่อ ๕. ทฏิ ฺฐิยา สปุ ฏวิ ทิ ฺธา ขบดว้ ยทฏิ ฐิ ฯ 34 | P a g e

ทบทวน อนุพุทธประวัติ นักธรรมชนั้ โท ประโยชนแ์ ละความสาคญั ของอนุพทุ ธะ (ปี 62, 57) พระอรหนั ต์ ๖๐ องค์ ท่พี ระพทุ ธเจา้ ทรงสง่ ไปประกาศพระศาสนา ครงั้ แรกมใี ครบา้ ง ? ตอบ มีพระปัญจวคั คีย์ ๕ พระยสะ ๑ สหายของพระยสะท่ปี รากฏนาม ๔ และท่ไี ม่ปรากฏนามอกี ๕๐ ฯ (ปี 61, 56) อนพุ ทุ ธบคุ คล คือใคร ? มคี วามสาคญั อยา่ งไร ? ตอบ คือ สาวกผตู้ รสั รูต้ ามพระพทุ ธเจา้ ฯ อนพุ ทุ ธบคุ คลเป็นสงั ฆรตั นะในรตั นะ ๓ เป็นพยานยนื ยนั ความตรสั รูข้ องพระพทุ ธเจา้ และเป็น กาลงั สาคญั ชว่ ยพระองคป์ ระกาศพระพทุ ธศาสนา อนั เป็นประโยชนส์ ขุ แกช่ นเป็นอนั มาก จนแพรห่ ลายมาถงึ ปัจจบุ นั ฯ (ปี 59, 48) ประวตั อิ นพุ ทุ ธบคุ คลมีความสาคญั ตอ่ ผศู้ กึ ษาอยา่ งไร? ตอบ ทาใหผ้ ศู้ กึ ษาไดร้ บั ความรูใ้ นจรยิ าวตั รและคณุ ความดีท่ที า่ นไดบ้ าเพญ็ มา ตลอดจนถึงผลงานในการชว่ ยเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาอนั ทาให้ เจรญิ สืบมาถงึ ทกุ วนั นี้ นาใหเ้ กดิ ความเลือ่ มใสและความนบั ถือ เป็นทฏิ ฐานคุ ตอิ นั ดี สามารถนอ้ มนามาปฏบิ ตั ติ ามได้ ฯ (ปี 57) พระสาวกท่พี ระพทุ ธองคท์ รงสง่ ไปประกาศพระศาสนาครงั้ แรก มีจานวนเทา่ ไร? ประกอบดว้ ยใครบา้ ง? ตอบ มี ๖๐ องค์ ฯ ประกอบดว้ ยพระปัญจวคั คยี ์ พระยสะ สหายพระยสท่ปี รากฏนาม ๔ องค์ และไม่ปรากฏนามอกี ๕๐ องค์ ฯ (ปี 50) สมั มาสมั พทุ ธะ ปัจเจกพทุ ธะ และอนพุ ทุ ธะ ต่างกนั อยา่ งไร? การเรยี นอนพุ ทุ ธประวตั ิสาเรจ็ ประโยชนอ์ ยา่ งไร? ตอบ สมั มาสมั พทุ ธะ ตรสั รูเ้ องโดยชอบ และสอนผอู้ น่ื ใหร้ ูต้ ามไดด้ ว้ ย ปัจเจกพทุ ธะ ตรสั รูเ้ ฉพาะตน แตไ่ มส่ ามารถสอนผอู้ ่นื ใหร้ ูต้ ามได้ อนพุ ทุ ธะ ตรสั รูต้ าม คือมีพระพทุ ธเจา้ ส่งั สอนจงึ รูต้ ามได้ และสามารถสอนผอู้ ื่นใหก้ ระทาตามดว้ ย ฯ เพ่อื จะไดท้ ราบความเป็นไปและปฏิปทาของทา่ น ท่ไี ดช้ ว่ ยประกาศพระศาสนาในท่นี น้ั ๆ จนเป็นเหตเุ จรญิ แพรห่ ลายและม่นั คง แลว้ จกั ไดถ้ ือ เป็นทิฏฐานคุ ติ บาเพ็ญประโยชนต์ นและประโยชนท์ า่ นโดยควรแกฐ่ านะของตน ทงั้ ใหส้ าเรจ็ เป็นสงั ฆานสุ ตมิ ่นั คงอีกดว้ ย ฯ (ปี 45) การศกึ ษาอนพุ ทุ ธประวตั มิ ีประโยชนอ์ ยา่ งไร? เม่ือครงั้ ท่พี ระอรหนั ต์ ๖๑ องค์ เกดิ ขนึ้ ในโลก มใี ครบา้ ง? ตอบ นาใหเ้ กิดความเลอ่ื มใสและความนบั ถือ กาหนดและจดจาวตั รปฏบิ ตั ิอนั งดงามของทา่ นมาเป็นปฏปิ ทาเคร่ืองดาเนินชวี ติ ของตน และ เม่ือความดขี องพระสาวกปรากฏแลว้ จะเชิดชเู กียรตคิ ณุ ของพระศาสดาใหย้ ิ่งขนึ้ ฯ มพี ระพทุ ธองค์ ๑ พระปัญจวคั คยี ์ ๕ พระยสะ ๑ สหายของพระยสะท่ปี รากฏนาม ๔ และท่ไี มป่ รากฏนามอกี ๕๐ ฯ (ปี 43) การศกึ ษาอนพุ ทุ ธประวตั ใิ หป้ ระโยชนอ์ ยา่ งไรตอ่ เจา้ ของประวัติ? การศกึ ษาอนพุ ทุ ธประวตั ใิ หค้ ณุ คา่ อยา่ งไรตอ่ ผศู้ กึ ษา? ตอบ เป็นการประกาศเกียรตคิ ณุ พระสาวกผเู้ ป็นอปุ การะแกพ่ ระศาสนา ไดเ้ ชดิ ชพู ระคณุ ท่าน นาเพ่อื นรว่ มศาสนาใหเ้ กิดปสาทะและนบั ถือ ความดีของพระสาวกปรากฏแลว้ จกั เชิดชพู ระเกยี รติคณุ ของพระศาสดายงิ่ ขนึ้ ฯ ใหค้ ณุ คา่ ในดา้ นกาหนดและจดจาวตั รปฏิบตั อิ นั งดงามของทา่ นมาเป็นปฏปิ ทาเครอ่ื งดาเนนิ ชวี ติ ของตน ฯ • พุทธบคุ คล มี ๓ ประเภท คอื ๑. สัมมาสัมพุทธะ ตรสั รูเ้ องโดยชอบ และสอนผอู้ ่ืนใหร้ ูต้ ามไดด้ ว้ ย ๒. ปัจเจกพทุ ธะ ตรสั รูเ้ ฉพาะตน แต่ไมส่ ามารถสอนผอู้ น่ื ใหร้ ูต้ ามได้ ๓. อนุพทุ ธะ ตรสั รูต้ าม คือมพี ระพทุ ธเจา้ ส่งั สอนจึงรูต้ ามได้ และสามารถสอนผอู้ น่ื ใหก้ ระทาตามดว้ ย (ปี 63, 51) พทุ ธบคุ คล มีกี่ประเภท? อะไรบา้ ง? ตอบ มี ๓ ประเภท ฯ คือ ๑. พระสมั มาสมั พทุ ธะ ๒. พระปัจเจกพทุ ธะ ๓. พระอนพุ ทุ ธะฯ (ปี 62, 47) อนพุ ทุ ธบคุ คล คอื ใคร ? เป็นไดเ้ ฉพาะบรรพชิตหรอื เฉพาะคฤหสั ถ์ ? 1|P a g e


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook