ทบทวนนักธรรมตรี เวอรช์ ่ัน ๒๕๖๔
ทบทวนกร ฝึ กเขยี นกระทจู้ าก ปี พ.ศ. ภาษติ ทอี่ อกข้อสอบ 2563 ปมาโท มจจฺ โุ น ปท.ํ ความประมาท เป็นทางแห่งความตาย. ขุ. ธ. ๒๕/๑๘. ข.ุ ชา. ตสึ . ๒๗/๕๒๔. 2562 ททํ มติ ฺตานิ คนฺถติ. ผใู้ ห้ ยอ่ มผกู ไมตรไี วไ้ ด.้ ส.ํ ส. ๑๕/๓๑๖. 2561 สพพฺ ทานํ ธมฺมทานํ ชนิ าติ. การใหธ้ รรม ยอ่ มชนะการใหท้ งั้ ปวง. ขุ. ธ. ๒๕/๖๓. 2560 สาธุ ปาเปน ทกุ กฺ ร.ํ ความดี อนั คนช่วั ทายาก ว.ิ จุล. ๗/๑๙๕ ขุ. อ.ุ ๒๕/๑๖๗. 2559 ผาตึ กยริ า อวเิ หฐย ปร.ํ ควรทาแตค่ วามเจรญิ อยา่ เบียดเบียนเขา. ขุ. ชา. สตตฺ ก. ๒๗/๒๑ 2558 สุขา สงฆฺ สสฺ สามคฺคี ความพรอ้ มเพรยี งของหมู่ ใหเ้ กิดสขุ . ขุ. ธ. ๒๕/๔๑. ขุ. อติ ิ. ๒๕/๒๓ 2557 อพยฺ าปชฌฺ ํ สขุ ํ โลเก
ระทธู้ รรม กข้อสอบทผ่ี ่านมา อยู่ในหมวด ปัญญา ๑๒ ทาน ๓๘. อง.ฺ ทสก. ๒๔/๘๐ ชนะ กรรม บคุ คล สามคั คี สขุ 1|P a g e
ความไมเ่ บยี ดเบยี น เป็นสขุ ในโลก. (พทุ ธ) วิ. มหา. ๔/๖. ขุ. อ.ุ ๒ 2556 โกโธ ทมุ ฺเมธโคจโร. ความโกรธเป็นอารมณข์ องคนมีปัญญาทราม ขุ.ชา.ทสก. ๒๗/๒๘๐ 2555 หริ ิโอตฺตปฺปิ ยญเฺ ญว โลกํ ปาเลติ สาธกุ ํ หิรแิ ละโอตตปั ปะ ยอ่ มรกั ษาโลกไวเ้ ป็นอนั ดี (ว.ว) 2554 ททมาโน ปิ โย โหติ ผใู้ ห้ ย่อมเป็นท่รี กั องฺ ปญจฺ ก. ๒๒/๔๔ 2553 โมกโฺ ข กลฺยาณิยา สาธุ เปลง่ วาจางาม ยงั ประโยชนใ์ หส้ าเรจ็ ขุ. ชา. เอก. ๒๗/๒๘ 2552 กาโล ฆสติ ภูตานิ สพพฺ าเนว สหตตฺ นา กาลเวลา ย่อมกินสรรพสตั วพ์ รอ้ มทงั้ ตวั มนั เอง ขุ. ชา. เอก. ๒๗/๒ 2551 สพเฺ พสํ สงฆฺ ภตู านํ สามคคฺ ี วุฑฒฺ สิ าธกิ า ความพรอ้ มเพรียงของปวงชนผเู้ ป็นหมู่ ยงั ความเจรญิ ใหส้ าเรจ็ ส. ส 2550 โกธาภภิ โู ต กสุ ลํ ชหาติ ผถู้ กู ความโกรธครอบงา ยอ่ มละกศุ ลเสยี นัย. ขุ. ชา. ทสก. ๒๗/๒ 2549 สติมโต สุเว เสยฺโย คนมีสติ เป็นผปู้ ระเสรฐิ ทกุ วนั . ส.ํ ส. ๑๕/๓๐๖.
๒๕/๘๖. โกรธ ๐ เบด็ เตล็ด ทาน ๒๘ วาจา ส. เบ็ดเตล็ด ๒๘๖. สามคั คี โกรธ สติ 2|P a g e
2548 อนตฺถํ ปริวชฺเชติ อตถฺ ํ คณหฺ าติ ปณฑฺ ิโต. บณั ฑิตยอ่ มเวน้ ส่ิงท่ีไมเ่ ป็นประโยชน์ ถือเอาแต่สิ่งท่เี ป็นประโยชน.์ 2547 ขนฺติ หติ สุขาวหา. ความอดทน นามาซ่งึ ประโยชนส์ ขุ . ส. ม. 2546 สณฺหํ คริ ํ อตถฺ วตึ ปมุญเฺ จ. ควรเปลง่ วาจาไพเราะท่ีมปี ระโยชน.์ ขุ. ชา. เตรส. ๒๗/๓๕๐ 2545 อตตฺ า หิ อตตฺ โน นาโถ ตนแล เป็นท่ีพ่งึ แห่งตน. ขุ. ธ. ๒๕/๓๖,๖๖. 2544 อปปฺ มตโฺ ต อโุ ภ อตเฺ ถ อธิคคฺ ณฺหาติ ปณฺฑิโต. บณั ฑติ ผไู้ ม่ประมาท ย่อมไดร้ บั ประโยชนท์ งั้ สอง. ขุ. อิต.ิ ๒๕/๒๔๒ 2543 สีลํ โลเก อนุตตฺ ร.ํ ศีลเป็นเย่ียมในโลก. ขฺุ ชา. เอก. ๒๗/๒๘
อง.ฺ จตกุ กฺ . ๒๑/๕๙ บคุ คล ๒. อดทน วาจา ตน ไม่ประมาท ศีล 3|P a g e
ทบทวน ธรรมวภิ าค นักธรรมช้ันตรี หมวด ๒ ๑. สติ ความระลกึ ได้ ๒. สมั ปชัญญะ ความรูต้ วั ➢ ธรรมมีอปุ การะมาก ๒ อยา่ ง สติ และ สมั ปชญั ญะ ทงั้ สองนี้ ช่ือว่า มอี ปุ การะมาก เพราะเป็นคณุ ธรรมอดุ หนนุ ใหส้ าเรจ็ กิจในทางดี ไม่หลงลืม ไมผ่ ดิ พลาด, เป็นเคร่ือง นามาซง่ึ ประโยชนเ์ กือ้ กลู ในกจิ การทง้ั ปวง และเป็นอปุ การะใหธ้ รรมเหล่าอ่ืนเกิดขนึ้ (ปี 63, 60) สติ แปลว่าอะไร ? เพราะเหตไุ รจงึ ช่ือว่าเป็นธรรมมีอปุ การะมาก ? ตอบ สติ แปลวา่ ความระลกึ ได้ ฯ เพราะชว่ ยใหส้ าเรจ็ กจิ ในทางทด่ี ี ฯ (ปี 62, 45) คนท่ที าอะไรมกั พลงั้ พลาด เพราะขาดธรรมอะไร? ตอบ เพราะขาดสติ ความระลกึ ไดก้ อ่ นแตจ่ ะทา และขาดสมั ปชญั ญะ ความรูต้ วั ในขณะทา ฯ (ปี 57) ธรรมท่ีไดช้ ่ือว่ามอี ปุ การะมาก คือธรรมอะไร? เพราะเหตไุ รจึงจดั วา่ มอี ปุ การะมาก? ตอบ คอื สติ ความระลกึ ได้ และสมั ปชญั ญะ ความรูต้ วั ฯ เพราะเป็นคณุ ธรรมอดุ หนนุ ใหส้ าเรจ็ ประโยชนเ์ กือ้ กลู ในกจิ ทง้ั ปวง ฯ (ปี 55) สมั ปชญั ญะ หมายความว่าอยา่ งไร ตอบ สมั ปชญั ญะ หมายถงึ ความรูต้ วั (ปี 53) ธรรมมอี ปุ การะมากมีอะไรบา้ ง? ท่วี า่ อปุ การะมากนน้ั เพราะเหตไุ ร? ตอบ มี สติ ความระลกึ ได้ สมั ปชญั ญะ ความรูต้ วั ฯ ท่วี า่ อปุ การะมากนนั้ เพราะทาใหเ้ ป็นผไู้ มป่ ระมาทในการทากจิ กรรมงานใดๆและเป็นอปุ การะใหธ้ รรมเหลา่ อน่ื เกิดขนึ้ ฯ (ปี 48) ธรรมมอี ปุ การะมาก ไดแ้ กอ่ ะไรบา้ ง? บคุ คลผขู้ าดธรรมนจี้ ะเป็นเชน่ ไร? ตอบ ไดแ้ ก่ สติ ความระลกึ ได้ และ สมั ปชญั ญะ ความรูต้ วั ฯ จะเป็นคนหลงลมื จะทาจะพดู หรอื จะคดิ อะไรมกั ผิดพลาด ฯ ➢ ธรรมเป็ นโลกบาล คือ ธรรมค้มุ ครองโลก ๒ อย่าง ๑.หริ ิ ความละอายแก่ใจ ไดแ้ ก่ความละอายใจในการประพฤตชิ ่วั ๒.โอตตปั ปะ ความเกรงกลวั ไดแ้ ก่ความเกรงกลวั ผลช่วั ไม่กลา้ ทาเหตชุ ่วั ธรรมเป็ นโลกบาล (เป็ นธรรมคุ้มครองโลก) เพราะเป็นคณุ ธรรมทาบคุ คลใหร้ งั เกยี จ และเกรงกลวั ตอ่ ความช่วั ไมก่ ลา้ ทาช่วั ทง้ั ในทลี่ บั และทแี่ จง้ (ปี 63, 51) การท่บี คุ คลพบงพู ิษแลว้ สะดงุ้ กลวั วา่ จะถกู กดั ตาย จดั เป็นโอตตปั ปะ ไดห้ รอื ไม่ ? เพราะเหตใุ ด ? ตอบ ไมไ่ ด้ ฯ เพราะโอตตปั ปะ หมายความวา่ ความเกรงกลวั ต่อบาปฯ (ปี 62, 60, 46, 43) โลก (สงั คม) เดอื ดรอ้ นว่นุ วาย (ในปัจจบุ นั น)ี้ เพราะขาดธรรมอะไร? ตอบ เพราะขาดธรรมคมุ้ ครองโลก ๒ อย่าง คอื ๑.หริ ิ ความละอายแกใ่ จ ๒.โอตตปั ปะ ความเกรงกลวั ฯ (ปี 61) ธรรมคมุ้ ครองโลก มกี ่ีอยา่ ง ? อะไรบา้ ง ? ตอบ มี ๒ อยา่ ง ฯ คอื ๑. หริ ิ ความละอายบาป ๒. โอตตปั ปะ ความกลวั บาป (ปี 56) หริ ิ และ โอตตปั ปะ ไดช้ ่ือว่า ธรรมเป็นโลกบาล เพราะเหตไุ ร? ตอบ เพราะเป็นคณุ ธรรมทาบคุ คลใหร้ งั เกียจ และเกรงกลวั ต่อบาปทจุ รติ ไมก่ ลา้ ทาความช่วั ทง้ั ในท่ลี บั และท่แี จง้ ฯ (ปี 55) พระพทุ ธเจา้ ทรงสอนธรรมอะไรไวส้ าหรบั คมุ้ ครองโลก? ตอบ ทรงสอนไว้ ๒ คอื ๑. หิริ ความละอายต่อบาป ๒. โอตตปั ปะ ความเกรงกลวั ตอ่ ผลบาป ฯ (ปี 49) หิรกิ บั โอตตปั ปะ ตา่ งกนั อย่างไร? ตอบ ตา่ งกนั อยา่ งนี้ หริ ิ คือความละอายใจตนเองทจ่ี ะประพฤตชิ ่วั สว่ นโอตตปั ปะ คอื ความเกรงกลวั ผลของความช่วั ท่ตี นจะไดร้ บั ฯ (ปี 44) ธรรมขอ้ นจี้ ะคมุ้ ครองโลกไดอ้ ยา่ งไร? ตอบ ธรรมขอ้ นจี้ ะคมุ้ ครองโลกได้ เน่ืองจากปัจจบุ นั โลกท่เี กดิ วกิ ฤตการณใ์ นดา้ นตา่ ง ๆ สว่ นหนงึ่ นน้ั เป็นเพราะชาวโลกละทงิ้ ธรรม คอื หริ ิ และโอตตปั ปะ ไมล่ ะอายแกใ่ จ ไม่เกรงกลวั ต่อผลแหง่ ความช่วั ขาดเมตตา 1|P a g e
➢ ธรรมอนั ทาใหง้ าม ๒ อย่าง ๑. ขันติ ความอดทน ๒. โสรัจจะ ความสงบเสง่ียม เป็นธรรมทาใหง้ าม เพราะผทู้ ่สี มบรู ณด์ ว้ ยขนั ติและโสรจั จะ ย่อมมใี จหนกั แน่น ไมแ่ สดงอาการสงู ๆ ต่า ๆ แมจ้ ะประสบความดใี จหรอื เสยี ใจ กอ็ ดกลนั้ ได้ รกั ษากาย วาจา ใจ ใหส้ ภุ าพเรยี บรอ้ ยเป็นปกติ (ปี 59, 50) ในทางโลก ดคู นงามท่รี ูปรา่ งหนา้ ตา ส่วนในทางพระพทุ ธศาสนา ดคู นงามท่ีไหน ? ตอบ ในทางพระพทุ ธศาสนา ดคู นงามกนั ท่มี ีคณุ ธรรมอนั ทาใหง้ าม ๒ ประการ คอื ๑.ขนั ติ ความอดทน ๒.โสรจั จะ ความเสง่ยี ม ฯ (ปี 47) ขนั ติ กบั โสรจั จะ เป็นธรรมทาใหง้ ามไดอ้ ย่างไร? ตอบ ขนั ติ ความอดทน โสรจั จะ ความเสงย่ี ม ผทู้ ่สี มบรู ณด์ ว้ ยธรรมทั้ง ๒ นี้ ยอ่ มมใี จหนกั แนน่ ไมแ่ สดงความวิการออกมาใหป้ รากฏ แมจ้ ะ ประสบความดใี จ เสียใจ กอ็ ดกลนั้ ได้ รกั ษากาย วาจา ใจใหส้ ภุ าพ สงบเสง่ียมเป็นปกติไวไ้ ด้ จงึ ทาใหง้ าม ฯ (ปี 46) บคุ คลมกี าย วาจา ใจ งดงาม เพราะปฏิบตั ิธรรมอะไร? ตอบ เพราะปฏบิ ตั ธิ รรมอนั ทาใหง้ าม ๒ อยา่ ง คอื ๑. ขนั ติ ความอดทน ๒. โสรจั จะ ความเสงย่ี ม ฯ ➢ บคุ คลหาไดย้ าก ๒ อยา่ ง ๑.บุพพการี บคุ คลผทู้ าอปุ การะก่อน ๒.กตญั ญูกตเวที บคุ คลผรู้ ูอ้ ปุ การะท่ที า่ นทาแลว้ และตอบแทน. (ปี 62, 54, 52, 48) บพุ พการแี ละกตญั ญกู ตเวทไี ดแ้ กบ่ คุ คลเชน่ ไร ? ตอบ บพุ พการี ไดแ้ ก่ บคุ คลผทู้ าอปุ การะกอ่ น กตญั ญกู ตเวที ไดแ้ ก่ บคุ คลผรู้ ูอ้ ปุ การะท่ผี อู้ ่นื ทาแกต่ น แลว้ ทาตอบแทน ฯ (ปี 61, 47) บพุ พการี ไดแ้ ก่บคุ คลเช่นไร? พระพทุ ธเจา้ ทรงเป็นบพุ พการขี องพทุ ธบรษิ ัทอยา่ งไร ? จงอธิบาย ตอบ ไดแ้ ก่ บคุ คลผทู้ าอปุ การะกอ่ น ฯ พระพทุ ธเจา้ ทรงกระทาอปุ การะแก่พทุ ธบรษิ ัทก่อน ดว้ ยการทรงแนะนาส่งั สอนใหร้ ูด้ รี ูช้ อบตามพระองค์ เพ่อื ใหไ้ ดบ้ รรลปุ ระโยชน์ ทง้ั ๓ คอื ประโยชนใ์ นโลกนี้ ประโยชนใ์ นโลกหนา้ และประโยชนอ์ ยา่ งยิ่งคอื พระนพิ พาน จึงช่ือวา่ เป็นบพุ พการี ฯ (ปี 59) ในโลกนี้ มบี คุ คลประเภทใดบา้ งท่หี าไดย้ าก ? ตอบ มบี คุ คลท่หี าไดย้ าก ๒ ประเภท คอื ๑. บพุ พการี บคุ คลผทู้ าอปุ การะกอ่ น ๒. กตญั ญกู ตเวที บคุ คลผรู้ ูอ้ ปุ การะท่ที า่ นทาแลว้ และทาตอบแทนท่าน ฯ (ปี 58) บพุ พการี และ กตญั ญกู ตเวที หมายถงึ บคุ คลเชน่ ไร ? ตอบ บพุ พการี หมายถงึ บคุ คลผทู้ าอปุ การะกอ่ น กตญั ญกู ตเวที หมายถึงบคุ คลผรู้ ู้ อปุ การะท่ที า่ นทาแลว้ และ ตอบแทน ฯ (ปี 55) กตญั ญกู ตเวที หมายความวา่ อย่างไร? ตอบ กตญั ญกู ตเวที หมายถงึ บคุ คลผรู้ ูอ้ ปุ การะท่ที ่านทาแลว้ และตอบแทน ฯ (ปี 54, 52, 48) บพุ พการแี ละกตญั ญกู ตเวที ไดแ้ กบ่ คุ คลเช่นไร? จงยกตวั อย่างมาสกั ๒ คู่ ตอบ บพุ พการี ไดแ้ ก่บคุ คลผทู้ าอปุ การะก่อน กตญั ญกู ตเวที ไดแ้ กบ่ คุ คลผรู้ ูอ้ ุปการะท่ที า่ นทาแลว้ และตอบแทน ฯ (ตอบเพยี ง ๒ ค)ู่ คทู่ ่ี ๑ มารดาบดิ ากบั บตุ รธิดา ค่ทู ่ี ๒ ครูอาจารยก์ บั ศษิ ย์ ค่ทู ่ี ๓ พระราชากบั ราษฎร ค่ทู ่ี ๔ พระพทุ ธเจา้ กบั พทุ ธบรษิ ทั ฯ (ปี 45) ไดช้ ่ือว่ากตญั ญกู ตเวทีบคุ คล เพราะปฏบิ ตั ติ นอย่างไร? ตอบ เพราะเป็นผรู้ ูอ้ ปุ การะท่ที า่ นทาแลว้ และตอบแทน ฯ หมวด ๓ ➢ รัตนะ ๓ คือ แกว้ ๓ ดวง ๑. พระพุทธ ทา่ นผสู้ อนใหป้ ระชาชนประพฤตชิ อบดว้ ยกาย วาจา ใจ ตามพระธรรมวนิ ยั ๒. พระธรรม พระธรรมวินยั ท่ีเป็นคาส่งั สอนของพระพทุ ธเจา้ ๓. พระสงฆ์ หม่ชู นท่ฟี ังคาส่งั สอนของพระพทุ ธเจา้ แลว้ ปฏบิ ตั ชิ อบตามพระธรรมวนิ ยั 2|P a g e
พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ ไดช้ ่ือวา่ รัตนะ เพราะเป็นของมีคณุ คา่ และหาไดย้ าก เหมือนเพชรนลิ จนิ ดามคี ่ามาก นาประโยชนแ์ ละ ความสขุ มาใหแ้ ก่ผเู้ ป็นเจา้ ของ ➢ คุณของรตนะ ๓ อยา่ ง ๑. พระพุทธเจา้ รูด้ รี ูช้ อบดว้ ยพระองคเ์ องก่อนแลว้ สอนผอู้ ื่นใหร้ ูต้ ามดว้ ย. ๒. พระธรรม ยอ่ มรกั ษาผปู้ ฏิบตั ไิ มใ่ หต้ กไปในท่ชี ่วั . ๓. พระสงฆ์ ปฏบิ ตั ชิ อบตามคาส่งั สอนของพระพทุ ธแลว้ สอนผอู้ ื่นใหก้ ระทาตามดว้ ย. ➢ อาการทพี่ ระพุทธเจา้ ทรงส่ังสอน ๓ อย่าง ๑. ทรงส่งั สอนเพ่อื ใหผ้ ฟู้ ังรูย้ ิ่งเหน็ จรงิ ในธรรมทค่ี วรรูค้ วรเหน็ ๒. ทรงส่งั สอนมีเหตทุ ่ผี ฟู้ ังอาจตรองตามใหเ้ หน็ จรงิ ได.้ ๓. ทรงส่งั สอนเป็นอศั จรรย์ คือผปู้ ฏิบตั ิตามย่อมไดป้ ระโยชนโ์ ดยสมควรแกค่ วามปฏิบตั ิ. (ปี 63, 58, 53, 49) พระธรรม คอื อะไร ? มคี ณุ ตอ่ ผปู้ ฏบิ ตั อิ ย่างไร ? ตอบ พระธรรม คือคาส่งั สอนของพระพทุ ธเจา้ ฯ มีคณุ คอื ยอ่ มรกั ษาผปู้ ฏบิ ตั ไิ มใ่ หต้ กไปในท่ชี ่วั ฯ (ปี 62, 46) รตั นะ ๓ มีอะไรบา้ ง? รตั นะ ๓ นน้ั มคี ณุ อย่างไร? ตอบ มี พระพทุ ธ ๑ พระธรรม ๑ พระสงฆ์ ๑ ฯ มคี ณุ อย่างนี้ คือ ๑.พระพทุ ธเจา้ รูด้ ีรูช้ อบดว้ ยพระองคเ์ องก่อนแลว้ สอนผอู้ ื่นใหร้ ูต้ าม ๒. พระธรรมยอ่ มรกั ษาผปู้ ฏบิ ตั ไิ ม่ใหต้ กไปในท่ชี ่วั ๓. พระสงฆป์ ฏิบตั ชิ อบตามคาสอนของพระพทุ ธเจา้ แลว้ สอนผอู้ ่นื ใหก้ ระทาตาม ฯ (ปี 60, 48) พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ ไดช้ ่ือวา่ รตั นะ เพราะเหตไุ ร ? ตอบ เพราะเป็นของมคี ณุ ค่าและหาไดย้ าก เหมอื นเพชรนลิ จินดามีคา่ มาก นาประโยชนแ์ ละความสขุ มาใหแ้ ก่ผเู้ ป็นเจา้ ของ ฯ (ปี 59, 44) พระรตั นตรยั กบั ไตรสรณคมน์ เป็นอย่างเดียวกนั หรอื ต่างกนั อยา่ งไร ? การเปล่งวาจาถึงรตั นะ ๓ เป็นท่พี ง่ึ จดั เป็นอยา่ งไหน ใน ๒ อยา่ งนน้ั ? ตอบ ตา่ งกนั คอื พระรตั นตรยั หมายถงึ สิ่งท่เี ป็นท่พี ่ึง ๓ ประการ ไดแ้ ก่ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ สว่ นไตรสรณคมน์ หมายถงึ การยอมรบั นบั ถือพระรตั นตรยั ไวเ้ ป็นท่พี ึ่งของตน หรือการถงึ (เขา้ ถึง) พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ ฯ จดั เป็นไตรสรณคมน์ ฯ (ปี 57) รตั นะ ๓ อยา่ ง คอื อะไรบา้ ง? รตั นะท่ี ๒ มคี ณุ อย่างไร? ตอบ คือพทุ ธรตั นะ ธรรมรตั นะ สงั ฆรตั นะ ฯ ยอ่ มรกั ษาผปู้ ฏบิ ตั ไิ ม่ใหต้ กไปในท่ชี ่วั ฯ (ปี 54) พระพทุ ธเจา้ คือใคร? ทรงส่งั สอนเป็นอศั จรรยอ์ ย่างไร? ตอบ พระพทุ ธเจา้ คือทา่ นผสู้ อนใหป้ ระชมุ ชนประพฤตชิ อบดว้ ยกาย วาจา ใจ ตามพระธรรมวินยั ฯ ทรงส่งั สอนเป็นอศั จรรย์ คอื ผปู้ ฏบิ ตั ิตามย่อมไดป้ ระโยชนโ์ ดยสมควรแกค่ วามปฏบิ ตั ิ ฯ (ปี 52) อาการท่พี ระพทุ ธเจา้ ทรงส่งั สอนมกี ่ีอยา่ ง? ขอ้ ท่วี ่า “ทรงส่งั สอนเป็นอศั จรรย”์ นนั้ คืออยา่ งไร? ตอบ มี ๓ อยา่ ง ฯ คือ ผปู้ ฏบิ ตั ติ ามยอ่ มไดป้ ระโยชนโ์ ดยสมควรแก่ความปฏิบตั ิ ฯ (ปี 51) พระสงฆใ์ นรตั นตรยั มคี ณุ อยา่ งไร? ตอบ พระสงฆใ์ นรตั นตรยั มคี ณุ คือ ท่านปฏิบตั ชิ อบตามคาสอนของพระพทุ ธเจา้ แลว้ สอนใหผ้ อู้ ืน่ กระทาตามดว้ ย ฯ (ปี 45) รตั นะท่ี ๑ หมายถงึ ใคร? จงอธิบาย ตอบ หมายถงึ พระพทุ ธเจา้ ฯ ไดแ้ กท่ า่ นผสู้ อนใหป้ ระชมุ ชนประพฤตชิ อบดว้ ยกาย วาจา ใจ ตามพระธรรมวนิ ยั ท่ที า่ นเรียกวา่ พระพทุ ธศาสนาฯ 3|P a g e
➢ โอวาท ๓ คอื ๑.เวน้ จากทจุ รติ ๒.ประกอบสจุ รติ ๓.ทาจิตใจใหห้ มดจดจากเครือ่ งเศรา้ หมอง มีโลภ โกรธ หลง เป็นตน้ • พระพทุ ธศาสนาสอนเรอื่ งการทาใจของตนใหห้ มดจดจากเคร่อื งเศร้าหมอง เพราะใจเป็นธรรมชาตสิ าคญั ถา้ ใจเศรา้ หมอง กเ็ ป็นเหตใุ หท้ าช่วั การทาช่วั มผี ลเป็นความทกุ ข์ ถา้ ใจผอ่ งแผว้ กเ็ ป็นเหตใุ หท้ าดี การทาดีมีผลเป็นความสขุ • ทจุ ริต ๓ คือ ประพฤติช่วั ทางกาย วาจา ใจ กายทุจรติ ๓ ประพฤตชิ ่วั ทางกาย คอื ฆ่าสตั ว,์ ลกั ทรพั ย,์ ประพฤติทางกาม วจีทุจรติ ๔ ประพฤติช่วั ทางวาจา คือ พดู เทจ็ , พดู ส่อเสยี ด, พดู คาหยาบ, พดู เพอ้ เจอ้ มโนทจุ ริต ๓ ประพฤตชิ ่วั ทางใจ คือ โลภอยากไดข้ องเขา, พยาบาทปองรา้ ยเขา, เหน็ ผิดจากคลองธรรม(เชน่ เหน็ วา่ บญุ บาป ไมม่ ี บดิ ามารดาไมม่ พี ระคณุ คณุ บิดามารดาครูบาอาจารยไ์ มม่ ี) • สุจรติ ๓ คอื ประพฤตชิ อบทางกาย วาจา ใจ กายสุจรติ ๓ ประพฤตชิ อบทางกาย คือ เวน้ จากฆา่ สตั ว,์ เวน้ จากลกั ทรพั ย,์ เวน้ จากประพฤติทางกาม วจีสุจรติ ๔ ประพฤตชิ อบทางวาจา คือ เวน้ จากพดู เท็จ, เวน้ จากพดู ส่อเสยี ด, เวน้ จากพดู คาหยาบ, เวน้ จากพดู เพอ้ เจอ้ มโนสุจริต ๓ ประพฤตชิ อบทางใจ คือ ไม่โลภอยากไดข้ องเขา, ไมพ่ ยาบาทปองรา้ ยเขา, เห็นชอบตามคลองธรรม (ปี 61) ทจุ รติ คอื อะไร ? พดู ใสร่ า้ ยผอู้ น่ื จดั เขา้ ในทจุ รติ ขอ้ ไหน ? ตอบ ทจุ รติ คอื ความประพฤตชิ ่วั ฯ จดั เขา้ ในวจีทจุ รติ ฯ (ปี 55) กายทจุ รติ หมายความวา่ อย่างไร? ตอบ กายทจุ รติ หมายถึง ความประพฤตชิ ่วั ทางกาย (ปี 54) เห็นผิดจากคลองธรรม คอื เหน็ อยา่ งไร? จดั เขา้ ในทจุ รติ ขอ้ ไหน? ตอบ เห็นผิดจากคลองธรรม คือเหน็ ผดิ จากความจรงิ เช่น เหน็ วา่ บญุ บาปไม่มี บิดามารดาไมม่ ีพระคณุ เป็นตน้ ฯ จดั เขา้ ในมโนทจุ รติ ฯ (ปี 53) พระโอวาทของพระพทุ ธเจา้ หรือท่เี รียกกนั วา่ หวั ใจพระศาสนา มกี ่ีขอ้ ? อะไรบา้ ง? ตอบ มี ๓ ขอ้ ฯ คอื ๑. เวน้ จากทกุ จรติ คือประพฤติช่วั ดว้ ยกาย วาจา ใจ ๒. ประกอบสจุ รติ คือประพฤตดิ ดี ว้ ยกาย วาจา ใจ ๓. ทาใจของตนใหห้ มดจดจากเครือ่ งเศรา้ หมอง มโี ลภ โกรธ หลง เป็นตน้ ฯ (ปี 53) ทจุ รติ คอื ะไร? ความเห็นวา่ คณุ ของบดิ ามารดาครูบาอาจารยไ์ มม่ ี บญุ บาปไมม่ ี จดั เป็นทจุ รติ ขอ้ ไหน? ตอบ ทจุ รติ คอื ประพฤตชิ ่วั ดว้ ยกาย วาจา ใจ ฯ จดั เป็นมโนทจุ รติ ฯ (ปี 51, 49, 45) โอวาทของพระพทุ ธเจา้ มีก่ีอย่าง? อะไรบา้ ง? ตอบ มี ๓ อยา่ ง คือ ๑. เวน้ จากทจุ รติ คือ ประพฤตชิ ่วั ดว้ ยกาย วาจา ใจ ๒. ประกอบสจุ รติ คอื ประพฤติชอบดว้ ยกาย วาจา ใจ ๓. กระทาใจของตนใหห้ มดจดจากเคร่ืองเศรา้ หมองใจ มโี ลภ โกรธ หลงเป็นตน้ ฯ (ปี 50) มโนสจุ รติ คืออะไร? มอี ะไรบา้ ง? ตอบ มโนสจุ รติ คอื การประพฤตชิ อบดว้ ยใจ ฯ มี ๑.ไมโ่ ลภอยากไดข้ องเขา ๒.ไมพ่ ยาบาทปองรา้ ย เขา ๓.เหน็ ชอบตามคลองธรรม ฯ (ปี 47) เพราะเหตไุ ร หลกั คาสอนในทางพระพทุ ธศาสนาจึงสอนเร่อื งการทาใจของตนใหห้ มดจดจากเครือ่ งเศรา้ หมอง? ตอบ เพราะใจเป็นธรรมชาติสาคญั ถา้ ใจเศรา้ หมอง กเ็ ป็นเหตใุ หท้ าช่วั การทาช่วั มผี ลเป็นความทกุ ข์ ถา้ ใจผอ่ งแผว้ กเ็ ป็นเหตใุ หท้ าดี การ ทาดมี ีผลเป็นความสขุ ฯ (ปี 43) คนท่รี บั ปากรบั คาเขาไวแ้ ลว้ แต่ไมท่ าตามนนั้ จดั เขา้ ในทจุ รติ ขอ้ ไหน? ตอบ จดั เขา้ ในวจที จุ รติ ➢ อกศุ ลมูล ๓ รากเหงา้ ของอกศุ ล ๑. โลภะ อยากไดข้ องเขา ๒. โทสะ คิดประทษุ รา้ ยเขา ๓.โมหะ หลงไม่รูจ้ รงิ เม่ืออกศุ ลมลู เหล่านมี้ ีอยแู่ ลว้ อกศุ ลอืน่ ท่ยี งั ไมเ่ กดิ กเ็ กิดขนึ้ ท่เี กดิ ขนึ้ แลว้ ก็เจรญิ มากขึน้ เหตนุ นั้ ควรละเสีย. 4|P a g e
(ปี 63, 52, 43) มลู เหตทุ ่ที าใหบ้ คุ คลทาความช่วั เรียกวา่ อะไร? มอี ะไรบา้ ง? เม่ือเกิดขนึ้ แลว้ ควรปฏบิ ตั ิอยา่ งไร ? ตอบ เรยี กวา่ อกศุ ลมลู ฯ มี ๑. โลภะ อยากได้ ๒. โทสะ คดิ ประทษุ รา้ ยเขา ๓. โมหะ หลงไมร่ ูจ้ รงิ ฯ เม่ือเกดิ ขนึ้ แลว้ ควรละเสยี ดว้ ย ทาน ศีล ภาวนา ฯ (ปี 56) จงใหค้ วามหมายของคาว่า อกสุ ลมลู ตอบ หมายถึง รากเหงา้ ของอกศุ ล (ปี 54) รากเหงา้ ของอกศุ ลเรยี กวา่ อะไร? มีอะไรบา้ ง? เพราะเหตใุ ดจงึ ควรละเลีย? ตอบ เรยี กวา่ อกศุ ลมลู ฯ มี โลภะ โทสะ โมหะ ฯ เหตทุ ่ตี อ้ งละเสียเพราะเม่ืออกศุ ลมลู เหล่านมี้ อี ยู่ อกศุ ลอนื่ ท่ยี งั ไมเ่ กดิ ก็เกดิ ขึน้ ท่เี กดิ แลว้ ก็ เจรญิ มากขึน้ ➢ กศุ ลมูล ๓ รากเหงา้ ของกศุ ล ๑. อโลภะ ไม่อยากไดข้ องเขา ๒. อโทสะ ไม่คดิ ประทษุ รา้ ยเขา ๓. อโมหะ ไม่หลงงมงาย ถา้ กศุ ลมลู เหลา่ นมี้ ีอย่แู ลว้ กศุ ลอนื่ ท่ยี งั ไมเ่ กิดกเ็ กิดขนึ้ ท่เี กิดแลว้ กเ็ จรญิ มากขนึ้ เหตนุ น้ั ควรให้เกิดมีในสันดาน. (ปี 49) คนเราจะประพฤตดิ ีหรอื ประพฤตชิ ่วั มีมลู เหตมุ าจากอะไร? ตอบ คนประพฤตดิ มี มี ลู เหตมุ าจากอโลภะ อโทสะ อโมหะ สว่ นคนประพฤติช่วั มมี ลู เหตมุ าจากโลภะ โทสะ โมหะ ฯ ➢ สปั ปุรสิ บญั ญตั ิ ๓ ขอ้ ท่สี ตั บรุ ุษตงั้ ไว้ หรอื เรยี กอีกอยา่ งว่า บณั ฑติ บญั ญัติ ๑. ทาน สละสง่ิ ของของตนเพ่อื ประโยชนแ์ ก่ผอู้ ่ืน ๒. ปัพพัชชา ถือบวช เป็นอบุ ายเวน้ จากเบยี ดเบียนกนั และกนั ๓. มาตาปิ ตอุ ุปัฏฐาน การบารุงบดิ ามารดาของตนใหเ้ ป็นสขุ (ปี 55) มาตาปิตอุ ปุ ัฏฐาน หมายความวา่ อยา่ งไร? ตอบ มาตาปิตอุ ปุ ัฏฐาน หมายถงึ การบารุงบิดามารดาของตนใหเ้ ป็นสขุ ➢ บุญกิริยาวตั ถุ ๓ ส่ิงเป็นท่ตี งั้ แหง่ การบาเพ็ญบญุ ๑. ทานมยั บญุ สาเรจ็ ดว้ ยการบรจิ าคทาน ๒. สลี มยั บญุ สาเรจ็ ดว้ ยการรกั ษาศีล ๓.ภาวนามัย บญุ สาเรจ็ ดว้ ยการเจรญิ ภาวนา (ปี 62, 43) สงิ่ เป็นท่ตี งั้ แหง่ การบาเพ็ญบญุ เรียกว่าอะไร? โดยยอ่ มเี ท่าไร? อะไรบา้ ง? ตอบ เรยี กวา่ บญุ กริ ยิ าวตั ถุ โดยยอ่ มี ๓ คือ ๑. ทานมยั บญุ สาเรจ็ ดว้ ยการบรจิ าคทาน ๒. สีลมยั บญุ สาเรจ็ ดว้ ยการรกั ษาศีล ๓. ภาวนามยั บญุ สาเรจ็ ดว้ ยการเจรญิ ภาวนา (ปี 58) บญุ กริ ยิ าวตั ถุ คอื อะไร ? โดยยอ่ มเี ทา่ ไร ? อะไรบา้ ง ? ตอบ คอื สิง่ เป็นท่ตี งั้ แห่งการบาเพญ็ บญุ ฯ มี ๓ ฯ คอื ๑. ทานมยั บญุ สาเรจ็ ดว้ ยการบรจิ าคทาน ๒. สีลมยั บญุ สาเรจ็ ดว้ ยการรกั ษาศีล ๓. ภาวนามยั บญุ สาเรจ็ ดว้ ยการเจรญิ ภาวนา ฯ (ปี 56) การทาบญุ โดยย่อมีก่ีอยา่ ง? อะไรบา้ ง? ตอบ มี ๓ อยา่ ง ฯ คอื ทาน ศลี ภาวนา ฯ (ปี 47) บญุ กิรยิ าวตั ถุ คืออะไร? ในบญุ กริ ยิ าวตั ถุ ๓ นน้ั ขอ้ ไหนกาจดั ความโลภ ความโกรธ และ ความหลง? ตอบ คอื สง่ิ เป็นท่ตี งั้ แหง่ การบาเพญ็ บญุ ฯ ทานมยั กาจดั ความโลภ สีลมยั กาจดั ความโกรธ ภาวนามยั กาจดั ความหลง ฯ ➢ สามัญลกั ษณะ ๓ (ไตรลกั ษณะ ๓) คอื ลกั ษณะ ๓ ประการของสงั ขารทงั้ ปวง ไดแ้ ก่ ๑. อนิจจตา ความเป็นของไม่เทย่ี ง ๒. ทกุ ขตา ความเป็นทกุ ข์ ๓. อนัตตตา ความเป็นของไม่ใชต่ น (ปี 60, 53) ไตรลกั ษณ์ ไดแ้ ก่อะไรบา้ ง? ตอบ ๑.อนิจจตา ความเป็นของไม่เท่ยี ง ๒.ทกุ ขตา ความเป็นทกุ ข์ ๓.อนตั ตตา ความเป็นของไมใ่ ช่ตน (ปี 56) จงใหค้ วามหมายของคาวา่ อนตั ตตา ตอบ อนตั ตตา ความเป็นของไมใ่ ชต่ น 5|P a g e
หมวด ๔ ➢ วุฑฒิ ๔ ธรรมเป็นเครอ่ื งเจรญิ ๔ อย่าง ๑. สัปปรุ ิสสังเสวะ คบสตั บรุ ุษ ๓. โยนิโสมนสกิ าร ตรติ รองใหร้ ูจ้ กั สิ่งท่ดี ีหรือช่วั โดยอบุ ายท่ชี อบ ๒. สัทธมั มัสสวนะ ฟังคาส่งั สอนของทา่ นโดยเคารพ ๔. ธมั มานุธัมมปฏิปัตติ ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรมซ่งึ ไดต้ รองเหน็ แลว้ (ปี 45) บคุ คลผหู้ วงั ความเจรญิ ควรตงั้ อยใู่ นธรรมอะไร? มีอะไรบา้ ง? ตอบ ควรตงั้ อยใู่ นวฑุ ฒธิ รรม ฯ มี ๑. คบสตั บรุ ุษ ๒. ฟังคาส่งั สอนของทา่ นโดยเคารพ ๓. ตรติ รองใหร้ ูจ้ กั สิง่ ท่ดี หี รอื ช่วั โดยอบุ ายท่ชี อบ ๔. ประพฤติธรรมสมควรแกธ่ รรมซ่งึ ไดต้ รองเห็นแลว้ ฯ ➢ จักร ๔ ธรรมเป็นดจุ ลอ้ รถนาไปส่คู วามเจรญิ . ๑. ปฏิรูปเทสวาสะ อยใู่ นประเทศอนั สมควร ๓. อัตตสมั มาปณิธิ ตงั้ ตนไวช้ อบ ๒. สปั ปุริสปู ัสสยะ คบสตั บรุ ุษ ๔. ปุพเพกตปุญญตา ความเป็นผไู้ ดท้ าความดีไวใ้ นปางก่อน (ปี 58, 46) ธรรมดจุ ลอ้ รถนาไปสคู่ วามเจรญิ เรยี กว่าอะไร ? จงบอกมาสกั ๒ ขอ้ ตอบ เรยี กวา่ จกั ร ฯ ไดแ้ ก่ (เลอื กตอบเพียง ๒ ขอ้ ) ๑. ปฏริ ูปเทสวาสะ อยใู่ นประเทศอนั สมควร ๒. สปั ปรุ สิ ปู ัสสยะ คบสตั บรุ ุษ ๓. อตั ตสมั มาปณธิ ิ ตงั้ ตนไวช้ อบ ๔. ปพุ เพกตปญุ ญตา ความเป็นผไู้ ดท้ าความดไี วใ้ นปางก่อน ฯ (ปี 55, 46) ปพุ เพกตปญุ ญตา หมายความวา่ อยา่ งไร? ตอบ ปพุ เพกตปญุ ญตา หมายถงึ ความเป็นผไู้ ดท้ าความดีไวใ้ นปางกอ่ น (ปี 48) ธรรม ๔ อยา่ ง ดจุ ลอ้ รถนาไปส่คู วามเจรญิ ขอ้ วา่ “คบสตั บรุ ุษ คอื คนดี” นนั้ จะนาไปส่คู วามเจรญิ ไดอ้ ยา่ งไร? ตอบ เม่ือคบสตั บรุ ุษแลว้ ยอ่ มเป็นเหตใุ หค้ ิดดีพดู ดีทาดี อนั ก่อใหเ้ กดิ ความสขุ ความเจรญิ ทงั้ แก่ตนเองและผอู้ ื่น พน้ จากความทกุ ขค์ วาม เดอื ดรอ้ น ทง้ั ยงั ใหถ้ ึงความเจรญิ อยา่ งท่สี ดุ คอื พระนพิ พานได้ ฯ (ปี 43) หลกั ธรรมดจุ ลอ้ รถนาไปส่คู วามเจรญิ มกี ่ีอยา่ ง? อะไรบา้ ง? ตอบ มี ๔ อยา่ งคือ ๑. ปฏิรูปเทสวาสะ อย่ใู นประเทศอนั สมควร ๒. สปั ปรุ สิ ปู ัสสยะ คบสตั บรุ ุษ ๓. อตั ตสมั มาปณิธิ ตงั้ ตนไวช้ อบ ๔. ปพุ เพกตปญุ ญตา ความเป็นผไู้ ดท้ าความดีไวใ้ นปางก่อน ➢ อคติ ๔ ความประพฤติท่ผี ดิ ดว้ ยความลาเอยี ง ดว้ ยความไม่เทย่ี งธรรม ๑. ฉันทาคติ ลาเอยี งเพราะรกั ใครก่ นั ๓. โมหาคติ ลาเอยี งเพราะโง่เขลา ๒. โทสาคติ ลาเอยี งเพราะไม่ชอบกนั ๔. ภยาคติ ลาเอยี งเพราะกลวั (ปี 58) บคุ คลผรู้ กั ษาความยตุ ิธรรมไวไ้ ด้ ควรเวน้ จากธรรมอะไร ? ธรรมนนั้ มอี ะไรบา้ ง ? ตอบ ควรเวน้ จากอคติ ๔ ฯ มี ๑. ความลาเอยี งเพราะรกั ใครก่ นั เรยี กวา่ ฉนั ทาคติ ๒. ความลาเอียงเพราะไมช่ อบกนั เรยี กวา่ โทสาคติ ๓. ความลาเอียงเพราะเขลา เรยี กวา่ โมหาคติ ๔. ความลาเอียงเพราะกลวั เรียกว่า ภยาคติ ฯ (ปี 55) ผจู้ ะดารงความยตุ ิธรรมไวไ้ ด้ ตอ้ งประพฤติอยา่ งไรบา้ ง? ตอบ ตอ้ งประพฤตดิ งั นี้ ๑. ไม่ลาเอียงเพราะรกั ใครก่ นั อนั เรียกว่า ฉนั ทาคติ ๒. ไม่ลาเอียงเพราะไมช่ อบกนั อนั เรียกวา่ โทสาคติ ๓.ไม่ลาเอียงเพราะเขลา อนั เรยี กวา่ โมหาคติ ๔.ไม่ลาเอียงเพราะกลวั อนั เรียกวา่ ภยาคติ ฯ (ปี 51) ธรรมหมวดหนงึ่ เป็นเหตใุ หผ้ ปู้ ระพฤติขาดความเท่ียงธรรมช่อื วา่ อะไร? มอี ะไรบา้ ง? ตอบ ช่ือว่า อคติ ความลาเอยี ง ฯ มี ๑. ฉนั ทาคติ ลาเอยี งเพราะรกั ใครก่ นั ๒. โทสาคติ ลาเอียงเพราะไมช่ อบกนั ๓. โมหาคติ ลาเอยี งเพราะเขลา ๔. ภยาคติ ลาเอยี งเพราะกลวั ฯ 6|P a g e
➢ อนั ตรายของภกิ ษุสามเณรผบู้ วชใหม่ ๔ อย่าง ๑. อดทนต่อคาส่งั สอนไม่ได้ คอื เบื่อต่อคาส่งั สอนขเี้ กียจทาตาม. ๓. เพลิดเพลินในกามคณุ ทะยานอยากไดส้ ขุ ยง่ิ ๆ ขนึ้ ไป. ๒. เป็นคนเหน็ แกป่ ากแกท่ อ้ ง ทนความอดอยากไม่ได.้ ๔. รกั ผหู้ ญิง. (ปี 59) ภิกษุสามเณรผบู้ วชใหมค่ วรเวน้ อนั ตราย ๔ อย่าง คืออะไรบา้ ง ? ตอบ ควรเวน้ อนั ตราย ๔ อย่าง คอื ๑. อดทนตอ่ คาสอนไม่ได้ คือเบ่ือหนา่ ยตอ่ คาส่งั สอน ขเี้ กียจทาตาม ๒. เป็นคนเห็นแก่ปากแก่ทอ้ ง ทนตอ่ ความอยากไมไ่ ด้ ๓. เพลดิ เพลินในกามคณุ ทะยานอยากไดส้ ขุ ยง่ิ ๆ ขนึ้ ไป ๔. รกั ผหู้ ญิง ฯ (ปี 43) อนั ตรายของภกิ ษุสามเณรผบู้ วชใหม่ ขอ้ ไหนเป็นอนั ตรายท่ีสดุ ? เพราะเหตไุ ร? ตอบ ขอ้ ๓ คอื เพลิดเพลินในกามคณุ ทะยานอยากไดส้ ขุ ย่ิง ๆ ขนึ้ ไป เป็นอนั ตรายท่สี ดุ เพราะอนั ตรายขอ้ อ่นื ๆ ยอ่ มรวมลงในกามคณุ ทงั้ สนิ้ ➢ ปธาน คอื ความเพยี ร ๔ อย่าง หรือเรียกอีกอยา่ งหนึ่งวา่ สัมมัปปธาน ๔ ๑. สังวรปธาน เพยี รระวงั มิใหป้ าปเกดิ ขึน้ ในสนั ดาน. ๓. ภาวนาปธาน เพยี รใหก้ ศุ ลเกดิ ขึน้ ในสนั ดาน. ๒. ปหานปธาน เพยี รละบาปท่เี กิดขนึ้ แลว้ . ๔. อนุรักขนาปธาน เพยี รรกั ษากศุ ลท่เี กดิ ขึน้ แลว้ ไมใ่ หเ้ สื่อม. ความเพยี ร ๔ อยา่ งนี้ เป็ นความเพียรชอบ ควรประกอบใหม้ ใี นตน. (ปี 49) ปธานคอื ความเพยี ร ๔ มีอะไรบา้ ง? งดเหลา้ เขา้ พรรษาอนุโลมเขา้ ในปธานขอ้ ไหน? ตอบ มี ๑.สงั วรปธาน เพยี รระวงั ไม่ใหบ้ าปเกิดขนึ้ ในสนั ดาน ๒.ปหานปธาน เพียรละบาปท่เี กดิ ขึน้ แลว้ ๓.ภาวนาปธาน เพียรใหก้ ศุ ลเกดิ ขนึ้ ในสนั ดาน ๔.อนรุ กั ขนาปธาน เพยี รรกั ษากศุ ลท่เี กิดขนึ้ แลว้ มใิ หเ้ สอื่ ม ฯ งดเหลา้ เขา้ พรรษาอนโุ ลมเขา้ ในปหานปธาน ฯ (ปี 46) เพยี รระวงั ตนใหห้ า่ งไกลจากส่ิงเสพติด จดั เขา้ ในปธานขอ้ ไหน? ตอบ จดั เขา้ ในสงั วรปธาน ฯ (ปี 44) คนเสพยาเสพยต์ ิด เพียรพยายามจะเลกิ ใหไ้ ด้ ช่ือวา่ ตงั้ อยใู่ นปธานขอ้ ไหน? ตอบ ตงั้ อยใู่ นปหานปธาน ➢ อธิษฐานธรรม ๔ คือ ธรรมท่คี วรตงั้ ไวใ้ นใจ ๔ อยา่ ง (ปี 43) อธิษฐานธรรมคอื ธรรมท่คี วรตงั้ ไวใ้ นใจ มกี ่ีอยา่ ง? อะไรบา้ ง? ตอบ ๑. ปัญญา รอบรูส้ ่ิงท่คี วรรู.้ ๓. จาคะ สละส่ิงท่เี ป็นขา้ ศกึ แก่ความจรงิ ใจ. ๒. สัจจะ ความจรงิ ใจ คือประพฤติสิง่ ใดกใ็ หไ้ ดจ้ รงิ . ๔. อุปสมะ สงบใจจากสงิ่ ท่เี ป็นขา้ ศกึ แก่ความสงบ. ➢ อทิ ธบิ าท ๔ คณุ ธรรมเครือ่ งใหส้ าเรจ็ ความประสงค์ ๑. ฉันทะ พอใจรกั ใครใ่ นสง่ิ นนั้ ๓. จิตตะ เอาใจฝักใฝ่ในสง่ิ นน้ั ไม่วางธรุ ะ ๒. วริ ิยะ เพียรประกอบสงิ่ นน้ั ๔. วมิ ังสา หม่นั ตรติ รองพจิ ารณาเหตผุ ลในสิง่ นน้ั (ปี 62, 60, 43) ผทู้ ่ที างานไม่สาเรจ็ ผลตามท่มี งุ่ หมายเพราะขาดคณุ ธรรมอะไรบา้ ง? ตอบ เพราะขาดอิทธิบาท คอื คณุ เครือ่ งใหส้ าเรจ็ ความประสงค์ ๔ อย่าง คือ ๑. ฉนั ทะ พอใจรกั ใครใ่ นส่งิ นน้ั ๒. วิรยิ ะ เพยี รประกอบสิง่ นน้ั ๓. จติ ตะ เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนน้ั ไมว่ างธรุ ะ ๔. วิมงั สา หม่นั ตรติ รองพจิ ารณาเหตผุ ลในสิง่ นนั้ (ปี 57) คณุ ธรรมเครือ่ งใหส้ าเรจ็ ความประสงค์ คืออะไร? มีอะไรบา้ ง? ตอบ คืออทิ ธิบาท ๔ ฯ มี ๑. ฉนั ทะ พอใจรกั ใครใ่ นสงิ่ นนั้ ๒. วิรยิ ะ เพยี รประกอบสง่ิ นนั้ ๓. จิตตะ เอาใจฝักใฝ่ในส่ิงนนั้ ไม่วางธุระ ๔. วิมงั สา หม่นั ตรติ รองพจิ ารณาเหตผุ ลในส่ิงนน้ั ฯ 7|P a g e
(ปี 53) นกั เรียนผตู้ อ้ งการจะเรยี นหนงั สือใหไ้ ดผ้ ลดี จะนาอทิ ธิบาทมาใชอ้ ยา่ งไร? ตอบ ในเบอื้ งตน้ ตอ้ งสรา้ งฉนั ทะคอื ความพอใจในการศกึ ษาเล่าเรยี นกอ่ น เมอ่ื มีความพอใจ จะเป็นเหตใุ หข้ ยนั ศกึ ษาหาความรูท้ ่เี รียกวา่ วิรยิ ะ และเกิดความใฝ่ใจใครรูส้ ิ่งตา่ งๆ มากขนึ้ ท่เี รยี กวา่ จติ ตะ เม่ือเรยี นรูแ้ ลว้ ก็ตอ้ งนาความรูน้ ้ันมาใครค่ รวญพจิ ารณาใหเ้ ขา้ ใจเหตแุ ละผลอยา่ ง ถกู ตอ้ งท่เี รียกวา่ วิมงั สา ดงั นกี้ ็จะประสบผลสาเรจ็ ในการศกึ ษาเล่าเรยี นได้ (ปี 45) ผปู้ ระกอบกจิ การงานสาเรจ็ ตามความประสงคเ์ พราะประพฤติธรรมอะไร? มอี ะไรบา้ ง? ตอบ เพราะประพฤตอิ ิทธิบาท ๔ มี ๑. ฉนั ทะ พอใจรกั ใครใ่ นสงิ่ นน้ั ๒. วริ ยิ ะ เพียรประกอบส่ิงนนั้ ๓. จิตตะ เอาใจฝักใฝ่ในสิง่ นน้ั ไมว่ างธุระ ๔. วมิ งั สา หม่นั ตรติ รองพจิ ารณาเหตผุ ลในสงิ่ นนั้ ฯ ➢ ปารสิ ุทธิศีล ๔ ขอ้ ปฏบิ ตั ทิ ่ีทาใหศ้ ลี บรสิ ทุ ธิ์ ๑. ปาติโมกขสงั วร สารวมในพระปาติโมกข์ เวน้ ขอ้ ท่พี ระพทุ ธเจา้ หา้ ม ทาตามขอ้ ท่พี ระองคท์ รงอนญุ าต. ๒. อนิ ทรียสงั วร สารวมอินทรีย์ ๖ คอื ตา หู จมกู ลนิ้ กาย ใจ ไม่ใหย้ ินดยี ินรา้ ย ในเวลาเหน็ รูป ฟังเสียง ดมกล่ิน ลมิ้ รส กายสมั ผสั รูธ้ รรมารมณ.์ ๓. อาชีวปารสิ ทุ ธิ เลยี้ งชวี ิตโดยทางท่ชี อบ ไม่หลอกลวงเขาเลยี้ งชีวติ . ๔. ปัจจยปัจจเวกขณะ พจิ ารณาเสียกอ่ นจงึ บรโิ ภคปัจจยั ๔ คือ จวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และเภสชั ไม่บรโิ ภคดว้ ยตณั หา. (ปี 56) จงใหค้ วามหมายของคาวา่ อนิ ทรยี สงั วร ตอบ หมายถึง ความสารวมอนิ ทรยี ์ (ปี 55) การสารวมอนิ ทรีย์ ไดแ้ กก่ ารกระทาอยา่ งไร? เม่ือกระทาเช่นนนั้ แลว้ จะไดร้ บั ประโยชนอ์ ะไร? ตอบ การสารวมอนิ ทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมกู ลิน้ กาย ใจ ไมใ่ หย้ ินดี ยินรา้ ย เม่ือเห็นรูป ไดย้ นิ เสียง ดมกล่นิ ลมิ้ รส กายสมั ผสั รูธ้ รรมารมณ์ ฯ ไดป้ ระโยชน์ คือ ไมเ่ กิดความยินดี ไมเ่ กดิ ความยนิ รา้ ย ในเวลาเห็นรูป ไดย้ นิ เสียง เป็นตน้ ฯ (ปี 51) อนิ ทรียสงั วร คอื สารวมอนิ ทรีย์ อนิ ทรยี ไ์ ดแ้ กอ่ ะไรบา้ ง ? ตอบ อินทรยี ์ ไดแ้ ก่ ตา หู จมกู ลนิ้ กาย ใจ ฯ (ปี 50) ภกิ ษุสามเณรผบู้ วชใหมจ่ ะตอ้ งมีอินทรียสงั วร คอื สารวมอินทรีย์ สารวมอนิ ทรียน์ นั้ คอื อยา่ งไร ? ตอบ สารวมอนิ ทรยี ์ คือระวงั ตา หู จมกู ลนิ้ กาย ใจ ไมใ่ หค้ วามยนิ ดยี ินรา้ ยครอบงาได้ ในเวลาเหน็ รูป ฟังเสยี ง ดมกล่ิน ลิม้ รส ถกู ตอ้ ง โผฏฐัพพะ รูธ้ รรมารมณ์ ฯ (ปี 48) ปัจจยปัจจเวกขณะ หมายความวา่ อยา่ งไร ? ตอบ หมายความวา่ พิจารณา (ถงึ คณุ และโทษของปัจจยั ๔) กอ่ น จึงบรโิ ภคปัจจยั ๔ คือ จีวร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และเภสชั ไม่บรโิ ภคดว้ ยตณั หา ฯ (ปี 46) จงอธิบายความหมายของคาต่อไปนี้ ? ก. ปัจจยปัจจเวกขณะ ข. อภิณหปัจจเวกขณะ ตอบ ก. ปัจจยปัจจเวกขณะคอื พิจารณาเสียกอ่ นจึงบรโิ ภคปัจจยั ๔ คอื จวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และเภสชั ไม่บรโิ ภคดว้ ยตัณหา ฯ ข. อภณิ หปัจจเวกขณะคือพจิ ารณาทกุ ๆ วนั วา่ เรามีความแก่ มคี วามเจบ็ มคี วามตายเป็นธรรมดา ไม่ลว่ งพน้ ความแก่ เจ็บ ตายไปได้ เรา ตอ้ งพลดั พรากจากของรกั ของชอบใจทง้ั สนิ้ เรามีกรรมเป็นของ ๆ ตน เราทาดี จกั ไดด้ ี ทาช่วั จกั ไดช้ ่วั ฯ ➢ พรหมวหิ าร ๔ ธรรมเป็นเคร่อื งอย่ขู องทา่ นผใู้ หญ่ ๑. เมตตา ความรกั ใคร่ ปรารถนาจะใหเ้ ป็นสขุ . ๓. มทุ ติ า ความพลอยยนิ ดี เม่ือผอู้ น่ื ไดด้ ี. ๒. กรุณา ความสงสาร คดิ จะชว่ ยใหพ้ น้ ทกุ ข.์ ๔. อเุ บกขา ความวางเฉย ไม่ดใี จ ไม่เสยี ใจ เม่ือผอู้ ่ืนถงึ ความวบิ ตั ิ. (ปี 57)เม่ือเพ่อื นรว่ มงานไดเ้ ล่ือนตาแหนง่ ไมค่ ดิ รษิ ยา พลอยยินดกี บั เขาดว้ ย ช่ือวา่ ปฏบิ ตั ติ ามพรหมวิหารธรรมขอ้ ใด? ตอบมทุ ิตาฯ (ปี 53) พรหมวิหาร ๔ มอี ะไรบา้ ง? ตอบ มี เมตตา กรุณา มทุ ติ า อเุ บกขา ฯ 8|P a g e
➢ ธาตุกมั มฏั ฐาน ๔ การกาหนดพจิ ารณารา่ งกายท่ีประกอบดว้ ยธาตุ ๔ คือ ๑. ปฐวธี าตุ ธาตดุ นิ ๒. อาโปธาตุ ธาตนุ า้ ๓. เตโชธาตุ ธาตไุ ฟ ๔. วาโยธาตุ ธาตลุ ม (ปี 63) ธาตุ ๔ คอื อะไรบา้ ง ? ฟันจดั เป็นธาตอุ ะไร ? ตอบ คอื ธาตดุ ิน ธาตนุ ํา้ ธาตไุ ฟ ธาตลุ มฯ เป็นธาตดุ นิ ฯ (ปี 51) ธาตุ ๔ มธี าตอุ ะไรบา้ ง? ธาตมุ ีลกั ษณะแขน้ แข็ง คือธาตอุ ะไร? ตอบ ธาตุ ๔ คือ ธาตดุ นิ ธาตนุ า้ ธาตไุ ฟ ธาตลุ ม ฯ ธาตมุ ีลกั ษณะแขน้ แข็ง คือ ธาตดุ นิ ฯ (ปี 46) ธาตกุ มั มฏั ฐาน มอี ะไรบา้ ง? กาหนดพจิ ารณาอยา่ งไร เรยี กวา่ ธาตุกมั มฏั ฐาน? ตอบ มี ๔ คือ ธาตดุ นิ ธาตนุ า้ ธาตไุ ฟ ธาตลุ ม ฯ กาหนดพจิ ารณากายนี้ ใหเ้ ห็นวา่ เป็นแต่เพยี งธาตุ ๔ คอื ดนิ นา้ ไฟ ลม ประชมุ กนั อยู่ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เรยี กวา่ ธาตกุ มั มฏั ฐาน ฯ ➢ อรยิ สัจ ๔ ความจรงิ อนั ประเสรฐิ ๑. ทุกข์ ความไมส่ บายกายไม่สบายใจ ๓. นิโรธ ความดบั ทกุ ข์ ๒. สมทุ ยั เหตใุ หท้ กุ ขเ์ กิด คอื ตณั หา (ความทะยานอยาก) ๔. มรรค ขอ้ ปฏบิ ตั ิใหถ้ ึงความดบั ทกุ ข์ คอื มรรคมอี งค์ ๘ • ความไม่สบายกาย ไมส่ บายใจ ไดช้ ่ือวา่ ทกุ ข์ เพราะเป็นของทนไดย้ าก. • ตณั หา คอื ความทะยานอยาก ไดช้ ่ือวา่ สมทุ ัย เพราะเป็นเหตใุ หท้ กุ ขเ์ กดิ . • ตณั หานนั้ มี ๓ ประเภท คือ ความอยากในอารมณท์ ่นี า่ รกั ใคร่ เรียกวา่ กามตณั หา ความอยากเป็นโน่นเป็นน่ี เรยี กวา่ ภวตณั หา ความอยากไม่เป็นโนน่ เป็นน่ี เรยี กวา่ วภิ วตัณหา • ความดบั ตณั หาไดส้ นิ้ เชงิ ทกุ ขด์ บั ไปหมด ไดช้ ่ือว่านิโรธ เพราะเป็นความดบั ทกุ ข.์ • ปัญญาอนั เหน็ ชอบวา่ สิ่งนที้ กุ ข์ ส่งิ นเี้ หตใุ หท้ กุ ขเ์ กิด สง่ิ นคี้ วามดบั ทกุ ข์ ส่ิงนที้ างใหถ้ งึ ความดบั ทกุ ข์ ไดช้ ่ือวา่ มรรค เพราะเป็นขอ้ ปฏบิ ตั ิใหถ้ งึ ความดบั ทกุ ข.์ • มรรคน้ันมอี งค์ ๘ ประการ คอื ปัญญาอนั เห็นชอบ ๑ ดารชิ อบ ๑ เจรจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ เลยี้ งชวี ติ ชอบ ๑ เพยี ร ชอบ ๑ ตงั้ สตชิ อบ ๑ ตงั้ ใจชอบ ๑. [หมายเหตุ ปัญญาอนั เหน็ ชอบ เรานยิ มพดู สนั้ ๆ วา่ “ความเหน็ ชอบ” ] (ปี 61) อรยิ สจั ๔ มีอะไรบา้ ง ? ความไม่สบายกายไมส่ บายใจ จดั เป็นอรยิ สจั ขอ้ ไหน ? ตอบ มี ๑. ทกุ ข์ ๒. สมทุ ยั คือเหตใุ หเ้ กิดทกุ ข์ ๓. นิโรธ คอื ความดบั ทกุ ข์ ๔. มรรค คือขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ความดบั ทกุ ข์ ฯ จดั เป็นทกุ ข์ ฯ (ปี 57, 56) เหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ขใ์ นอรยิ สจั ๔ คอื อะไร? ตอบ คือตณั หา ความทะยานอยาก ฯ (ปี 54, 45) ทกุ ขใ์ นอรยิ สจั ๔ คอื อะไร? เหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ขค์ ืออะไร? ตอบ ทกุ ข์ คอื ความไมส่ บายกายไม่สบายใจ เหตใุ หเ้ กิดทกุ ขค์ อื ตณั หา (ความทะยานอยาก) (ปี 52) ปัญญาอนั เห็นชอบอยา่ งไร จงึ ช่ือวา่ มรรคในอรยิ สจั ๔? เพราะเหตไุ ร? ตอบ ปัญญาอนั เห็นชอบว่าส่ิงนที้ กุ ข์ ส่งิ นเี้ หตใุ หท้ กุ ขเ์ กิด สิ่งนคี้ วามดบั ทกุ ข์ ส่งิ นที้ างใหถ้ งึ ความดบั ทกุ ข์ ไดช้ ่ือวา่ มรรค ฯ เพราะเป็นขอ้ ปฏิบตั ิ ใหถ้ งึ ความดบั ทกุ ข์ ฯ (ปี 44) อรยิ สจั ๔ มอี ะไรบา้ ง? ปรารถนาสิง่ ใด ไม่ไดส้ มหวงั จดั เป็นอรยิ สจั ขอ้ ไหน ? ตอบ มี ๑. ทกุ ข์ ๒. สมทุ ยั คอื เหตใุ หท้ กุ ขเ์ กิด ๓. นโิ รธ คือ ความดบั ทกุ ข์ ๔. มรรค คอื ขอ้ ปฏิบตั ิใหถ้ ึงความดบั ทกุ ข์ ฯ จดั เป็นทกุ ข์ ฯ 9|P a g e
หมวด ๕ ➢ อนันตรยิ กรรม ๕ กรรมอนั เป็นบาปหนกั ท่ีสดุ หา้ มสวรรค์ หา้ มนพิ พาน ตงั้ อยใู่ นฐานปาราชิกของผถู้ ือพระพทุ ธศาสนา หา้ มไม่ให้ ทาเป็นเด็ดขาด. ๑. มาตฆุ าต ฆา่ มารดา. ๔. โลหติ ุปบาท ทารา้ ยพระพทุ ธเจา้ จนถงึ ยงั พระโลหติ ใหห้ อ้ ขนึ้ ไป. ๒. ปิ ตุฆาต ฆา่ บิดา. ๕. สังฆเภท ยงั สงฆใ์ หแ้ ตกจากกนั . ๓. อรหนั ตฆาต ฆา่ พระอรหนั ต.์ (ปี 62, 44) กรรมท่เี ป็นบาปหนกั ท่สี ดุ มีช่อื เรยี กวา่ อะไร ? คืออะไรบา้ ง ? ตอบ มชี ่ือเรียกวา่ อนนั ตรยิ กรรม ฯ คอื ๑. มาตฆุ าต ฆ่ามารดา ๒. ปิตฆุ าต ฆา่ บดิ า ๓. อรหนั ตฆาต ฆ่าพระอรหนั ต์ ๔. โลหติ ปุ บาท ทารา้ ยพระพทุ ธเจา้ จนถึงยงั พระโลหติ ใหห้ อ้ ขนึ้ ไป ๕. สงั ฆเภท ยงั สงฆใ์ หแ้ ตกจากกนั ฯ (ปี 58) กรรมอนั เป็นบาปหนกั ท่สี ดุ หา้ มสวรรค์ หา้ มนิพพาน คอื กรรมอะไร ? จงยกตวั อยา่ งสกั ๓ ขอ้ ตอบ คอื อนนั ตรยิ กรรม ฯ มี (เลอื กตอบเพียง ๓ ขอ้ ) ๑. มาตฆุ าต ฆ่ามารดา ๒. ปิตฆุ าต ฆ่าบดิ า ๓. อรหนั ตฆาต ฆา่ พระอรหนั ต์ ๔. โลหติ ปุ บาท ทารา้ ยพระพทุ ธเจา้ จนถงึ ยงั พระโลหิตใหห้ อ้ ขนึ้ ไป ๕. สงั ฆเภท ยงั สงฆใ์ หแ้ ตกจากกนั ฯ (ปี 47) ในพระพทุ ธศาสนา บคุ คลผฆู้ ่ามารดาบิดา ไดช้ ่ือวา่ เป็นผทู้ าอนนั ตรยิ กรรม จะไดร้ บั โทษอย่างไร ? ตอบ จะไดร้ บั โทษคือ ตอ้ งไปสทู่ คุ ติ หา้ มสวรรค์ หา้ มนิพพาน ฯ (ปี 44) กรรมท่เี ป็นบาปหนกั ท่ีสดุ มชี ่ือเรียกวา่ อะไร? คอื อะไรบา้ ง? เพราะเหตไุ รจงึ เป็นกรรมท่เี ป็นบาปหนกั ท่สี ดุ ? ตอบ มชี ่ือเรยี กวา่ อนนั ตรยิ กรรม ฯ คือ ๑. มาตฆุ าต ฆ่ามารดา ๒. ปิตฆุ าต ฆ่าบดิ า ๓. อรหนั ตฆาต ฆา่ พระอรหนั ต์ ๔. โลหติ ปุ บาท ทารา้ ยพระพทุ ธเจา้ จนถึงยงั พระโลหิตใหห้ อ้ ขนึ้ ไป ๕. สงั ฆเภท ยงั สงฆใ์ หแ้ ตกจากกนั ฯ เพราะหา้ มสวรรค์ หา้ มนิพพาน ตงั้ อยใู่ นฐานปาราชกิ ของผนู้ บั ถือพระพทุ ธศาสนา หา้ มไม่ใหท้ าเป็นเดด็ ขาด ฯ ➢ อภณิ หปัจจเวกขณ์ ๕ สง่ิ ท่คี วรพิจารณาทกุ วนั ๆ ๑. ควรพจิ ารณาทุกวนั ๆ ว่า เรามคี วามแกเ่ ป็ นธรรมดา ไมล่ ว่ งพ้นความแกไ่ ปได้. ประโยชนค์ ือ เพ่อื บรรเทาความเมาในความเป็นเดก็ หรอื ในความเป็นหนมุ่ เป็นสาว เหน็ แกค่ วามสนุกเพลดิ เพลิน ใหต้ งั้ ใจศกึ ษา เล่าเรยี น และทากจิ ท่คี วรทาในขณะท่ยี งั ไม่แก่. ๒. ควรพิจารณาทกุ ๆ วันวา่ เรามคี วามเจบ็ เป็ นธรรมดา ไมล่ ว่ งพน้ ความเจบ็ ไปได.้ ประโยชนค์ ือ เพ่อื บรรเทาความเมาในความไม่มีโรคภยั ไขเ้ จ็บแลว้ รีบเรง่ ศกึ ษาเล่าเรียน และทากจิ ท่คี วรทาในขณะท่ยี งั ไม่มีโรค. ๓. ควรพิจารณาทุก ๆ วนั วา่ เรามีความตายเป็ นธรรมดา ไมล่ ว่ งพน้ ความตายไปได้. ประโยชนค์ ือ เพ่อื บรรเทาความเมาในชวี ติ แลว้ รีบเรง่ ทากจิ ท่ีควรทาใหส้ าเรจ็ ก่อนทค่ี วรตายจะมาถงึ . ๔. ควรพจิ ารณาทุก ๆ วันวา่ เราจะตอ้ งพลดั พรากจากของรักของชอบใจทัง้ สนิ้ . ประโยชนค์ ือ เพ่อื บรรเทาความยดึ ม่นั ถือม่นั วา่ สิ่งนน้ั คนนนั้ เป็นท่รี กั ของเรา จกั ไมต่ อ้ งเสยี ใจในเม่ือตอ้ งพลดั พรากจรงิ ๆ. ๕. ควรพจิ ารณาทุกวนั ๆ ว่า เรามกี รรมเป็ นของตวั เราทาดจี ักได้ดี ทาช่วั จักได้ช่วั . ประโยชนค์ อื เพื่อบรรเทาความเห็นผดิ วา่ คนจะดกี ด็ เี อง จะช่วั ก็ช่วั เอง จะไดส้ ขุ ทุกขก์ ็ไดเ้ อง แลว้ รีบเรง่ ทาแต่กรรมดี งดเวน้ กรรมช่วั . (ปี 61) สิ่งท่พี ระพทุ ธเจา้ ทรงสอนใหพ้ ิจารณาเนอื งๆ มีอะไรบา้ ง ? ทรงใหพ้ ิจารณาอยา่ งไร ? ตอบ มี ความแก่ ความเจ็บไข้ ความตาย ความพลดั พราก และกรรม ฯ 10 | P a g e
ทรงสอนใหพ้ จิ ารณาวา่ ๑. เรามคี วามแกเ่ ป็นธรรมดาไม่ล่วงพน้ ความแก่ไปได้ ๒. เรามีความเจบ็ ไขเ้ ป็นธรรมดาไมล่ ว่ งพน้ ความเจ็บไขไ้ ปได้ ๓. เรามคี วามตายเป็นธรรมดาไม่ลว่ งพน้ ความตายไปได้ ๔. เราจะตอ้ งพลดั พรากจากของรกั ของชอบใจทง้ั สนิ้ ๕. เรามีกรรมเป็นของตวั เรา ทาดจี กั ไดด้ ีทาช่วั จกั ไดช้ ่วั ฯ (ปี 56) อภิณหปัจจเวกขณ์ คอื ขอ้ ท่คี วรพิจารณาเนอื ง ๆ ๕ อยา่ ง ทรงสอนใหพ้ จิ ารณาอะไรบา้ ง? ตอบ ทรงสอนใหพ้ จิ ารณา ๑. ความแก่ วา่ เรามีความแกเ่ ป็นธรรมดาไมล่ ่วงพน้ ความแกไ่ ปได้ ๒. ความเจ็บไข้ วา่ เรามีความเจบ็ ไขเ้ ป็นธรรมดาไม่ลว่ งพน้ ความเจ็บไขไ้ ปได้ ๓. ความตาย ว่าเรามีความตายเป็นธรรมดาไม่ล่วงพน้ ความตายไปได้ ๔. ความพลดั พราก ว่าเราจะตอ้ งพลดั พรากจากของรกั ของชอบใจทงั้ สนิ้ ๕. กรรม วา่ เรามกี รรมเป็นของตวั เราทาดจี กั ไดด้ ีทาช่วั จกั ไดช้ ่วั ฯ (ปี 54) อภิณหปัจจเวกขณข์ อ้ ว่า ควรพจิ ารณาทกุ ๆ วนั วา่ เราจะตอ้ งพลดั พรากจากของรกั ของชอบใจทง้ั สนิ้ ดงั นี้ ผพู้ ิจารณาไดร้ บั ประโยชน์ อย่างไร? ตอบ ประโยชนค์ อื ชว่ ยบรรเทาความพอใจรกั ใครใ่ นของรกั ของชอบใจและปอ้ งกนั ความทกุ ขโ์ ทมนสั ในเวลาเม่ือตนตอ้ งพลดั พราก จากของรกั ของชอบใจ (ปี 50) ควรพิจารณาทกุ ๆ วนั วา่ เราจะตอ้ งพลดั พรากจากของรกั ของชอบใจทง้ั สนิ้ ขอ้ ความนอี้ ยใู่ นหมวดธรรมอะไร? ทา่ นใหพ้ ิจารณาอย่าง นเี้ พ่อื อะไร? ตอบ อยใู่ นธรรมหมวดอภณิ หปัจจเวกขณ์ ๕ ฯ เพ่อื บรรเทาความยึดม่นั ถือม่นั ว่า สิ่งนนั้ คนนนั้ เป็นท่รี กั ของเรา จกั ไม่ตอ้ ง เสยี ใจในเม่ือตอ้ งพลดั พรากจากสิง่ นน้ั คนนน้ั จรงิ ๆ ฯ (ปี 46) จงอธิบายความหมายของคาต่อไปนี้ ? ก. ปัจจยปัจจเวกขณะ ข. อภิณหปัจจเวกขณะ ตอบ ก.ปัจจยปัจจเวกขณะ คอื พิจารณาเสยี กอ่ นจงึ บรโิ ภคปัจจยั ๔ คือ จวี ร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสชั ไมบ่ รโิ ภคดว้ ยตณั หา ฯ ข.อภณิ หปัจจเวกขณะ คอื พิจารณาทกุ ๆ วนั วา่ เรามีความแก่ มีความเจ็บมีความตายเป็นธรรมดา ไมล่ ว่ งพน้ ความแก่ เจ็บ ตายไปได้ เรา ตอ้ งพลดั พรากจากของรกั ของชอบใจทงั้ สิน้ เรามีกรรมเป็นของ ๆ ตน เราทาดี จกั ไดด้ ี ทาช่วั จกั ไดช้ ่วั ฯ ➢ องคแ์ หง่ พระธรรมกถกึ ๕ คณุ สมบตั ิของนกั เทศน์ (ปี 57) การจะเป็นนกั เทศกท์ ่ดี จี ะตอ้ งมคี ณุ สมบตั อิ ะไรบา้ ง? จงตอบมาสกั ๓ ขอ้ ตอบ ๑. แสดงธรรมโดยลาดบั ไม่ตดั ลดั ใหข้ าดความ ๔. ไม่แสดงธรรมเพราะเหน็ แก่ลาภ ๒. อา้ งเหตผุ ลแนะนาใหผ้ ฟู้ ังเขา้ ใจ ๕. ไมแ่ สดงธรรมกระทบตนและผอู้ ่นื คอื ไมย่ กตนเสยี ดสีผอู้ น่ื ฯ ๓. ตงั้ จิตเมตตาปรารถนาใหเ้ ป็นประโยชนแ์ ก่ผฟู้ ัง (เลอื กตอบเพียง ๓ ขอ้ ) ➢ อานิสงสแ์ ห่งการฟังธรรม ๕ อย่าง ๔. ทาความเห็นใหถ้ กู ตอ้ งได้ (ปี 58) อานิสงสแ์ ห่งการฟังธรรม มีอะไรบา้ ง ? ๕. จิตของผฟู้ ังย่อมผ่องใส ฯ ตอบ มี ๑. ผฟู้ ังธรรมย่อมไดฟ้ ังส่งิ ท่ยี งั ไมเ่ คยฟัง ๒. สงิ่ ใดไดเ้ คยฟังแลว้ แตไ่ มเ่ ขา้ ใจชดั ย่อมเขา้ ใจสง่ิ นน้ั ชดั ๓. บรรเทาความสงสยั เสียได้ 11 | P a g e
➢ พละ ๕ ธรรมเป็นกาลงั ๕ อยา่ ง (หรอื จะเรยี กอีกอยา่ งหนง่ึ วา่ อนิ ทรยี ์ ๕ เพราะเป็นใหญ่ในกจิ ของตน) ๑. สัทธา ความเช่ือ ๔. สมาธิ ความตงั้ ใจม่นั ๒. วิริยะ ความเพยี ร ๕. ปัญญา ความรอบรู้ ๓. สติ ความระลกึ ได้ (ปี 52) ธรรมเป็นกาลงั ๕ อยา่ ง คืออะไรบา้ ง? ธรรม ๕ อย่างนนั้ เรียกวา่ อนิ ทรีย์ เพราะเหตไุ ร? ตอบ ธรรมเป็นกาลงั ๕ อย่าง คอื ๑. สทั ธา ความเช่ือ ๒. วริ ยิ ะ ความเพยี ร ๓. สติ ความระลกึ ได้ ๔. สมาธิ ความตงั้ ใจม่นั ๕. ปัญญา ความรอบรู้ ฯ ธรรม ๕ อย่างนนั้ เรยี กวา่ อินทรยี ์ เพราะเป็นใหญ่ในกจิ ของตน ฯ ➢ นิวรณ์ ๕ ธรรมอนั กนั้ จิตไมใ่ หบ้ รรลคุ วามดี ๑. กามฉันทะ พอใจรกั ใครอ่ ารมณท์ ่ชี อบใจ มรี ูป เป็นตน้ ๔. อุทธจั จกุกกจุ จะ ฟ้งุ ซา่ นและราคาญ ๒. พยาบาท ปองรา้ ยผอู้ ื่น ๕. วิจกิ จิ ฉา ลงั เลไมต่ กลงได้ ๓. ถีนมทิ ธะ ความทจ่ี ิตหดหแู่ ละเคลบิ เคลมิ้ (ปี 60, 50) ธรรมอนั เป็นเคร่อื งกนั้ จติ ไมใ่ หบ้ รรลคุ วามดี คอื อะไร ? มีอะไรบา้ ง ? ตอบ คือ นวิ รณ์ ๕ ฯ มี ๑. กามฉนั ท์ พอใจรกั ใครใ่ นอารมณท์ ่ีชอบใจมรี ูปเป็นตน้ ๒. พยาบาท ปองรา้ ยผอู้ น่ื ๓. ถีนมิทธะ ความท่จี ติ หดหแู่ ละเคลบิ เคลมิ้ ๔. อทุ ธัจจกกุ กจุ จะ ฟ้งุ ซา่ นและราคาญ ๕. วิจกิ ิจฉา ลงั เลไมต่ กลงใจ ฯ (ปี 56) จงใหค้ วามหมายของคาว่า กามฉนั ท์ ตอบ หมายถงึ ความพอใจรกั ใครใ่ นอารมณท์ ่ชี อบใจมีรูปเป็นตน้ ฯ (ปี 55) คดิ อย่างไรเรียกวา่ พยาบาท? คิดอยา่ งนน้ั เกิดโทษอะไร? ตอบ คดิ ปองรา้ ยผอู้ ่นื ฯ เกดิ โทษคือปิดกนั้ จติ ใจไมใ่ หบ้ รรลคุ วามดีฯ (ปี 49) อทุ ธัจจกกุ กจุ จะ คอื ความฟ้งุ ซา่ นและราคาญ จดั เขา้ ในขนั ธไ์ หนในขนั ธ์ ๕? เพราะเหตไุ ร? ตอบ จดั เขา้ ในสงั ขารขนั ธ์ ฯ เพราะความฟงุ้ ซา่ นและราคาญ เป็นเจตสิกธรรมทเ่ี กดิ ขึน้ กบั ใจ ฯ (ปี 47) ธรรมอนั กนั้ จิตไมใ่ หบ้ รรลคุ วามดี เรียกวา่ อะไร? ความดที ถี่ ูกกั้นไวไ้ ม่ใหบ้ รรลุ หมายถึง ความดอี ย่างไหน? ตอบ เรยี กวา่ นิวรณ์ ฯ หมายถึงความดีทกุ ๆ อยา่ ง ความดีทถ่ี กู กนั้ ไวไ้ ม่ใหบ้ รรลแุ ตเ่ ม่ือกลา่ วโดยตรง ไดแ้ กส่ มาธิ คือการทาจิตใจใหส้ งบ ฯ ➢ ขันธ์ ๕ \" ขนั ธ์ \" แปลว่า \" กอง \" คอื กายกบั ใจ ๑. รูป ธาตุ ๔ คอื ดิน นา้ ไฟ ลม มาประชมุ กนั เป็นกายนี้ ๒. เวทนา ความเสวยอารมณ์ สขุ ทกุ ข์ เฉยๆ ๓. สญั ญา ความจาไดห้ มายรู้ ๔. สังขาร สิง่ ท่ปี ัจจยั ปรุงแตง่ หรอื ความคิด (คดิ ปรุง คดิ ดีบา้ ง คิดช่วั บา้ ง คิดไม่ดไี มช่ ่วั บา้ ง ความคดิ ปรุงแต่งจติ ใหม้ ีอาการตา่ ง ๆ) ๕. วญิ ญาณ ความรูแ้ จง้ อารมณ์ ในเวลาเม่ือรูปมากระทบตาเป็นตน้ ขนั ธ์ ๕ นี้ เรยี กโดยย่อวา่ นามรูป. เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ รวมเขา้ เป็นนาม, รูปคงเป็นรูป. (ปี 63) ขนั ธ์ ๕ ไดแ้ กอ่ ะไรบา้ ง ? สงั ขารขนั ธจ์ ดั เป็นรูปหรอื นาม ? ตอบ ไดแ้ ก่ รูปขนั ธ์ เวทนาขนั ธ์ สญั ญาขนั ธ์ สงั ขารขนั ธ์ และวิญญาณขนั ธ์ฯ จดั เป็นนามฯ (ปี 59) กายกบั ใจของเรานแี้ บ่งออกเป็นก่ีกอง ? อะไรบา้ ง ? ตอบ แบ่งออกเป็น ๕ กอง ฯ คือ ๑. กองรูป ๒. กองเวทนา ๓. กองสญั ญา ๔.กองสงั ขาร ๕. กองวญิ ญาณ ฯ (ปี 56) ขนั ธ์ ๕ ไดแ้ ก่อะไรบา้ ง ? ย่อเป็น ๒ อย่างไร? ตอบ ไดแ้ ก่ รูปขนั ธ์ เวทนาขนั ธ์ สญั ญาขนั ธ์ สงั ขารขนั ธ์ และวญิ ญาณขนั ธ์ ฯ 12 | P a g e
อยา่ งนคี้ ือ รูปขนั ธ์ คงเป็นรูป เวทนาขนั ธ์ สญั ญาขนั ธ์ สงั ขารขนั ธ์ และวิญญาณขนั ธ์ ๔ ขนั ธน์ เี้ ป็นนาม ฯ (ปี 51, 48) ขนั ธ์ ๕ ไดแ้ ก่อะไรบา้ ง? โดยยอ่ เรยี กวา่ อะไร? ตอบ ขนั ธ์ ๕ ไดแ้ ก่ รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ ฯ โดยย่อเรยี กว่า นามรูป ฯ หมวด ๖ ➢ คารวะ ๖ คือ ความเคารพ เออื้ เฟื้อ มี ๖ อย่าง ๑. ความเคารพในพระพุทธเจา้ (พุทธคารวะ) คอื เคารพเออื้ เฟื้อนบั ถือบูชาดว้ ยอามิสและดว้ ยการปฏิบตั ิดีปฏิบตั ชิ อบ ทางกายวาจา ใจ อนั ประกอบดว้ ยความเช่ือความเล่ือมใสในพระพทุ ธเจา้ แมด้ บั ขนั ธปรนิ พิ พานนานแลว้ กไ็ ม่ลบหลดู่ หู มิ่น แมท้ าท่าเลน่ พดู เล่นเพ่อื สรวลเสเฮฮา ก็ไมค่ วร ตอ้ งเคารพสารวมกิรยิ ามารยาท ๒. ความเคารพในพระธรรม (ธัมมคารวะ) คือเคารพเออื้ เฟื้อ เล่อื มใสในพระธรรม คอื คาส่งั สอนของพระพทุ ธเจา้ ทง้ั หมด แมว้ ตั ถทุ ่ี จารกึ พระธรรมก็ตอ้ งใหค้ วามเคารพ ไมเ่ หยยี บย่าขา้ มกราย. ๓. ความเคารพในพระสงฆ์ (สงั ฆคารวะ) คอื เคารพเออื้ เฟื้อ เลอื่ มใสในพระสงฆ์ คอื ภิกษุ (สามเณร) ทง้ั ท่ีเป็นอรยิ สงฆ์ ทง้ั ท่เี ป็นสมมติ สงฆ์ แมก้ าสาวพสั ตร์ คอื ผา้ ยอ้ มนา้ ฝาดท่ีพระสงฆน์ งุ่ หม่ อนั เป็นดจุ ธงชยั ในพระพทุ ธศาสนา กต็ อ้ งใหค้ วามเคารพ. ไม่แสดงกริ ยิ าอาการ ลอ้ เลน่ ดถู กู ดหู มิ่นพระสงฆ์ ซง่ึ เป็นผสู้ อนพระธรรมรกั ษาพระธรรม นาพระศาสนาสบื ตอ่ มาไมข่ าดสาย. ตงั้ ใจกราบไหว้ และปฏิบตั ิตาม คาสอนของพระสงฆ์ ซง่ึ เป็นผแู้ ทนพระพทุ ธเจา้ . ๔. ความเคารพในการศึกษา (สกิ ขาคารวะ) คอื เคารพเออื้ เฟื้อในความศกึ ษา ตงั้ ใจศกึ ษาหาความรูค้ วามเขา้ ใจความชานาญ ในส่งิ ท่ี ควรรู้ ทง้ั ทางโลก (ไดแ้ กศ่ ิลปวิชาสาขาตา่ ง ๆ ซง่ึ เป็นทางใหด้ ารงชพี อยโู่ ดยผาสกุ ในโลก) และทางธรรม (ไดแ้ ก่ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปัญญา) ๕. ความเคารพในความไม่ประมาท (อัปปมาทคารวะ) คือเคารพเออื้ เฟื้อในความไมป่ ระมาท คือ มสี ติควบคมุ กาย วาจา จติ ในกาล ทาพดู คดิ อย่าใหผ้ ิดสมา่ เสมอ ไม่พลงั้ เผลอ ในท่ที กุ สถาน ในกาลทกุ เม่ือ. ๖. ความคารพในการตอ้ นรับ (ปฏสิ ันถารคารวะ) คือความเคารพเอือ้ เฟื้อในปฏิสนั ถาร ๒ อย่าง คือ ก. อามสิ ปฏสิ นั ถาร ตอ้ นรบั แขกดว้ ยวตั ถสุ งิ่ ของ เช่น ท่นี ่งั ท่พี กั ขา้ ว นา้ เป็นตน้ . ข. ธรรมปฏิสันถาร ตอ้ นรบั แขก ดว้ ยการกลา่ วเชือ้ เชิญสนทนาปราศรยั ดว้ ยไมตรจี ติ และจดั แจงอามสิ ใหพ้ อสมควรแกฐ่ านะของ แขก ตามสมควรแกฐ่ านะของตน (ปี 52) คารวะ คืออะไร? มกี ่ีอยา่ ง? ขอ้ วา่ คารวะในความศกึ ษา หมายถงึ อะไร ? ตอบ คารวะ คอื ความเคารพ เออื้ เฟื้อ ฯ มี ๖ อยา่ ง ฯ คารวะในความศกึ ษา หมายถงึ ความเคารพ เออื้ เฟื้อในไตรสิกขา ฯ ➢ สาราณิยธรรม ๖ ธรรมเป็นท่ตี งั้ แหง่ ความใหร้ ะลกึ ถงึ ๑. เขา้ ไปตงั้ กายกรรมประกอบดว้ ยเมตตา ในเพ่อื นภิกษุสามเณร ทงั้ ต่อหนา้ และลบั หลงั คือชว่ ยขวนขวายกิจธุระของเพ่อื นกนั ดว้ ยการมี พยาบาลภิกษุไขเ้ ป็นตน้ ดว้ ยจติ เมตตา. ๒. เขา้ ไปตงั้ วจกี รรมประกอบดว้ ยเมตตา ฯลฯ ดว้ ยวาจา เชน่ กลา่ วส่งั สอนเป็นตน้ ๓. เขา้ ไปตงั้ มโนกรรมประกอบดว้ ยเมตตา ฯลฯ คือคดิ แต่สิง่ ท่เี ป็นประโยชนแ์ กเ่ พ่อื นกนั . ๔. แบง่ ปันลาภท่ตี นไดม้ าแลว้ โดยชอบธรรม ใหแ้ ก่เพ่อื นภกิ ษุสามเณร ไมห่ วงไวบ้ รโิ ภคจาเพาะผเู้ ดยี ว. ๕. รกั ษาศลี บรสิ ทุ ธิ์เสมอกนั กบั เพ่อื นภิกษุสามเณรอ่นื ๆ ไม่ทาตนใหเ้ ป็นท่รี งั เกียจของผอู้ นื่ . ๖. มคี วามเห็นวา่ รว่ มกนั กบั ภิกษุสามเณรอ่นื ๆ ไม่ววิ าทกับใคร ๆ เพราะมคี วามเหน็ ผดิ กนั . 13 | P a g e
ธรรม ๖ อย่างนี้ ทาผปู้ ระพฤติใหเ้ ป็นท่รี กั เคารพของผอู้ น่ื เป็นไปเพ่อื ความสงเคราะหก์ นั และกนั เป็นไปเพ่อื ความไมว่ วิ าทกนั และกนั เป็นไป เพ่อื ความสามัคคเี ป็นอนั หนึ่งอนั เดียวกนั . (ปี 47) สาราณิยธรรม แปลวา่ อะไร? ธรรมขอ้ นยี้ อ่ มอานวยผลแกผ่ ปู้ ฏบิ ตั ิตามอยา่ งไร? ตอบ ธรรมเป็นท่ตี งั้ แหง่ ความใหร้ ะลกึ ถึง ฯ ทาผปู้ ฏบิ ตั ติ ามใหเ้ ป็นท่รี กั เป็นท่เี คารพของผอู้ นื่ เป็นไปเพ่ือความสงเคราะหก์ นั และกนั เป็นไป เพ่อื ความไมว่ ิวาทกนั และกนั เป็นไปเพ่อื ความพรอ้ มเพรยี งกนั เป็นไปเพ่ือความเป็นอนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั ฯ (ปี 45) \"รู้รักสามคั ค\"ี เกดิ ขนึ้ เพราะปฏบิ ตั ิธรรมอะไร? ตอบ สาราณิยธรรม ฯ ➢ ๑.ตา ๒.หู ๓.จมกู ๔.ลนิ้ ๕.กาย ๖.ใจ เรียกว่า อายตนะภายใน ๖ เพราะทง้ั ๖ นเี้ ป็นของเน่อื งอยใู่ นรา่ งกาย คอื ในตวั และ เพราะเป็นเครอื่ งตอ่ หรือเป็นบ่อเกิด คอื เป็นเครื่องตอ่ กบั อายตนะภายนอก ๖ เช่นตาสาหรบั ตอ่ กบั รูป, หสู าหรบั ต่อกบั เสียงเป็นตน้ . หรอื ตาเป็นบอ่ เกดิ ปรากฏแห่งรูป, หเู ป็นบ่อเกดิ ปรากฏแหง่ เสยี งเป็นตน้ ➢ ๑.ตา ๒.หู ๓.จมกู ๔.ลนิ้ ๕.กาย ๖.ใจ เรยี กอกี อยา่ งหนงึ่ วา่ อนิ ทรีย์ ๖ เพราะเป็นใหญ่ในกจิ ของตน คอื ตาเป็นใหญ่ในกจิ คอื การ เห็นรูป หเู ป็นใหญ่ในกจิ คอื การฟังเสยี ง จมกู เป็นใหญ่ในกจิ คือการรบั สมั ผสั ลนิ้ เป็นใหญ่ในกจิ คอื การลมิ้ รส การเป็นใหญ่ในกจิ คือ การรบั สมั ผสั ใจเป็นใหญ่ในกจิ คอื รบั รูเ้ ร่ือง. จะสบั เปลี่ยนกนั ไม่ไดเ้ ลย เช่นจะใชต้ าฟังเสียง หรอื ใชห้ ดู รู ูปไม่ได.้ ➢ ๑.ตา ๒.หู ๓.จมกู ๔.ลนิ้ ๕.กาย ๖.ใจ เรยี กอกี อยา่ งหนง่ึ วา่ ทวาร ๖ เพราะเป็นประตแู หง่ อารมณ์ ๖, คืออารมณม์ รี ูปารมณ์ (อารมณค์ ือรูป) เป็นตน้ เขา้ มาภายในบคุ คล กต็ อ้ งผ่านเขา้ มาทางจกั ษุทวาร ประตูคอื ตา เป็นตน้ . ➢ ๑.รูป ๒.รส ๓.กลนิ่ ๔.เสียง ๕.โผฏฐัพพะ(คืออารมณท์ ่มี าถกู ตอ้ งกาย) ๖.ธรรม(คอื อารมณเ์ กดิ กบั ใจ) เรยี กวา่ อายตนะ ภายนอก ๖ เพราะเป็นเคร่อื งตอ่ กบั อายตนะภายใน ๖ เชน่ รูปตอ่ กบั ตา เป็นตน้ . และเพราะรูปเป็นตน้ นเี้ ป็นของอยนู่ อกจาก รา่ งกายออกไป ➢ ๑.รูป ๒.รส ๓.กลน่ิ ๔.เสยี ง ๕.โผฏฐัพพะ(คืออารมณท์ ่มี าถกู ตอ้ งกาย) ๖.ธรรม(คอื อารมณเ์ กดิ กบั ใจ) เรยี กอีกอย่างหนึ่งว่า อารมณ์ ๖ เพราะเป็นท่หี นว่ งเหน่ยี วของจติ หรอื เป็นท่ยี นิ ดีของตาเป็นตน้ จงึ มีช่อื เรยี ก ดงั นี้ :- ๑. รูปารมณ์ สง่ิ เป็นท่หี นว่ งเหน่ยี วจติ คอื รูป เป็นท่ียนิ ดขี องตา เขา้ มาทางประตคู อื ตา. ๒. สทั ทารมณ์ ส่ิงเป็นท่หี นว่ งเหน่ยี วจติ คือ เสยี ง เป็นท่ยี นิ ดขี องหู เขา้ มาทางประตคู อื ห.ู ๓. คนั ธารมณ์ สิ่งเป็นท่หี นว่ งเหน่ยี วจติ คอื กลน่ิ เป็นท่ยี ินดีของจมกู เขา้ มาทางประตคู ือลนิ้ . ๔. รสารมณ์ สง่ิ เป็นท่หี น่วงเหนย่ี วจติ คอื รส เป็นท่ยี นิ ดขี องลนิ้ เขา้ มาทางประตคู ือลนิ้ . ๕. โผฐัพพารมณ์ ส่งิ เป็นท่หี น่วงเหน่ยี วจิต คอื สงิ่ ถกู กาย เป็นท่ยี นิ ดขี องกาย เขา้ มาทางประตคู อื กาย. ๖. ธรรมารมณ์ ส่ิงเป็นท่หี น่วงเหน่ยี วจติ คือ เรือ่ ง เป็นทย่ี นิ ดขี องใจ เขา้ มาทางประตคู ือใจ ➢ วญิ ญาณ ๖ ความรู้ หรือความรูแ้ จง้ อารมณ์ อาศยั รูปกระทบตา เกดิ ความรูข้ นึ้ เรียก จกั ขวุ ิญญาณ อาศยั เสยี งกระทบหู เกดิ ความรูข้ นึ้ เรยี ก โสตวิญญาณ อาศยั กลนิ่ กระทบจมกู เกดิ ความรูข้ นึ้ เรียก ฆานวิญญาณ อาศยั รสกระทบลนิ้ เกดิ ความรูข้ นึ้ เรียก ชิวหาวญิ ญาณ อาศยั โผฏฐัพพะกระทบกาย เกิดความรูข้ ึน้ เรียก กายวิญญาณ อาศยั ธรรมเกดิ กบั ใจ เกดิ ความรูข้ นึ้ เรียก มโนวญิ ญาณ. 14 | P a g e
เพราะอาศยั ๒ สงิ่ คือ อายตนะภายใน ๑ อายตนะภายนอก ๑ กระทบกนั , หรอื ทวาร ๑ อารมณ์ ๑ ประจวบกนั จงึ เกิดวญิ ญาณ คอื ความรูข้ นึ้ , ความรูท้ ่เี กดิ ขนึ้ นนั้ มชี ่ือเรียกไปตามช่ือของอายตนะภายใน เชน่ จักขวุ ิญญาณ แปลว่า ความรูท้ างตาเป็นตน้ . วญิ ญาณทงั้ ๖ นี้ รวมเขา้ เป็นกองหนึ่ง เรียกวา่ วญิ ญาณขนั ธ์ ➢ สมั ผัส ๖ การกระทบกนั ระหวา่ งอายตนะภายในมตี าเป็นตน้ กบั อายตนะภายนอกมรี ูปเป็นตน้ วญิ ญาณ มีจกั ขวุ ญิ ญาณเป็นตน้ เพราะอาศยั ๓ ส่งิ คือ อายตนะภายใน ๑ อาตนะภายนอก ๑ วญิ ญาณ ๑ ประชมุ กนั เขา้ จงึ เรยี กวา่ สมั ผัส สมั ผสั มี ๖ อย่าง เรยี กช่อื ตามอายตะนะภายใน คอื จักขสุ ัมผสั กระทบทางตา, โสตสมั ผัส กระทบทางห,ู ฆานสัมผัส กระทบทาง จมกู , ชวิ หาสมั ผสั กระทบทางลนิ้ กายสมั ผัส กระทบทางกาย, มโนสมั ผัส กระทบทางใจ. (ปี 61) อายตนะภายนอก ๖ ไดแ้ ก่อะไรบา้ ง ? ตอบ ไดแ้ ก่ รูป เสยี ง กลนิ่ รส โผฏฐัพพะ อารมณท์ ่มี าถกู ตอ้ งกาย ธรรม คืออารมณท์ ่เี กดิ กบั ใจ ฯ (ปี 59, 43) อินทรยี ์ ๖ กบั อารมณ์ ๖ มคี วามสมั พนั ธก์ นั อยา่ งไร? อะไรเรียกว่า สมั ผสั ? ตอบ มคี วามสมั พนั ธก์ นั อยา่ งนี้ ตา เป็นใหญ่ในการเหน็ อารมณ์ คอื รูป หู เป็นใหญ่ในการฟังอารมณ์ คอื เสียง จมกู เป็นใหญ่ในการสดู ดมอารมณ์ คอื กลน่ิ ลนิ้ เป็นใหญ่ในการลมิ้ อารมณ์ คอื รส กาย เป็นใหญ่ในการถกู ตอ้ งอารมณ์ คอื โผฏฐัพพะ ใจ เป็นใหญ่ในการรูอ้ ารมณ์ คอื ธรรม ฯ การกระทบกนั ระหวา่ งอายตนะภายในมี ตา เป็นตน้ กบั อายตนะภายนอก มีรูปเป็นตน้ เกดิ ความรูข้ นึ้ เรยี กวา่ จกั ขวุ ิญญาณ เป็นตน้ ทง้ั ๓ อย่างนรี้ วมกนั ในขณะเดียวกนั เรยี กวา่ สมั ผสั ฯ (ปี 54) อายตนะภายใน ๖ ไดแ้ กอ่ ะไรบา้ ง? ตอบ ไดแ้ ก่ ตา หู จมกู ลนิ้ กาย ใจ ฯ หมวด ๗ ➢ อปรหิ านิยธรรม ๗ ธรรมไมเ่ ป็นท่ตี งั้ แหง่ ความเสอ่ื ม เป็นไปเพ่อื ความเจรญิ ฝ่ายเดยี ว (ปี 48) อปรหิ านยิ ธรรม คืออะไร? ขอ้ ท่ี ๔ ความว่าอยา่ งไร? ตอบ คือ ธรรมไม่เป็นท่ตี งั้ แหง่ ความเสอื่ ม เป็นไปเพ่อื ความเจรญิ ฝ่ายเดยี ว ฯ ขอ้ ท่ี ๔ ความวา่ ภกิ ษุเหลา่ ใดเป็นผใู้ หญ่เป็นประธานในสงฆ์ เคารพนบั ถือภกิ ษุเหล่านนั้ เช่ือฟังถอ้ ยคาของท่าน ฯ (ปี 45) อปรหิ านยิ ธรรม คอื อะไร? มีกี่ขอ้ ? จงแสดงมา ๑ ขอ้ ตอบ คือธรรมไมเ่ ป็นท่ีตงั้ แห่งความเสอ่ื ม มี ๗ ขอ้ ฯ (ตอบขอ้ ใดขอ้ หนึ่ง) คือ ๑)หม่นั ประชุมกนั เนืองนติ ย์ ๒)เมอ่ื ประชุมกพ็ ร้อมเพรียงกนั ประชุม เมื่อเลกิ ประชุมกพ็ ร้อมเพรยี งกนั เลกิ และพร้อมเพรียงกนั ชว่ ยทากจิ ทสี่ งฆจ์ ะตอ้ งทา ๓)ไม่บญั ญตั สิ งิ่ ทพี่ ระพทุ ธเจา้ ไมบ่ ญั ญัตขิ นึ้ ไมถ่ อนสง่ิ ทพ่ี ระองคท์ รงบญั ญัติไว้แล้ว สมาทานศึกษาอยใู่ นสกิ ขาบทตามทพ่ี ระองค์ ทรงบญั ญัติไว้ ๔)ภกิ ษุเหลา่ ใดเป็ นผใู้ หญ่ เป็ นประธานในสงฆ์ เคารพนับถอื ภกิ ษุเหลา่ นนั้ เชอ่ื ฟังถอ้ ยคาของทา่ น ๕)ไม่ลุอานาจแกค่ วามอยากทเี่ กดิ ขึน้ ๖)ยินดีในเสนาสนะป่ า ๗)ต้ังใจอยวู่ า่ เพอื่ นภกิ ษุสามเณรซ่ึงเป็ นผ้มู ศี ลี ซง่ึ ยงั ไม่มาสอู่ าวาส ขอใหม้ าทมี่ าแลว้ ขอให้อยเู่ ป็ นสุข ฯ 15 | P a g e
➢ อรยิ ทรัพย์ ๗ ทรพั ย์ คือคณุ ความดที ่ีมใี นสนั ดานอยา่ งประเสรฐิ เรยี ก อริยทรัพย์ มี ๗ อย่างคือ ๑. สทั ธา เช่ือสง่ิ ท่คี วรเช่ือ. ๕. พาหสุ ัจจะ ความเป็นคนเคยไดย้ ินไดฟ้ ังมาก คอื ทรงธรรมและรูศ้ ิลปวทิ ยามาก. ๒. สีล รกั ษากาย วาจา ใหเ้ รยี บรอ้ ย. ๖. จาคะ สละใหป้ ันส่ิงของของตนแก่คนท่คี วรใหป้ ัน. ๓. หริ ิ ความละอายตอ่ บาปทจุ รติ . ๗. ปัญญา รอบรูส้ ง่ิ ท่เี ป็นประโยชนแ์ ละไมเ่ ป็นประโยชน.์ ๔. โอตตปั ปะ สะดงุ้ กลวั ต่อบาป. อรยิ ทรัพย์ ๗ ประการนี้ ดกี ว่าทรัพยภ์ ายนอก เพราะอรยิ ทรพั ยเ์ ป็นคณุ ธรรม เคร่ืองบารุงจิตใจใหป้ ลืม้ ใหอ้ บอนุ่ มีแลว้ ไมต่ อ้ งเป็นทกุ ข์ กงั วลในการคมุ้ ครองปอ้ งกนั โจรภยั เป็นตน้ ใครแย่งชิงไปไมไ่ ด้ ใชเ้ ท่าใดก็ไมต่ อ้ งกลวั หมดสนิ้ ไมต่ อ้ งเส่ียงภยั ในการแสวงหา เป็นตน้ ทงั้ สามารถติดตามเป็นท่พี ึ่งในสมั ปรายภพไดด้ ว้ ย (ปี 56) จงใหค้ วามหมายของคาวา่ พาหสุ จั จะ ตอบ หมายถงึ ความเป็นผศู้ กึ ษามาก (ปี 49) อรยิ ทรพั ย์ คอื ทรพั ยเ์ ช่นไร ? เม่ือเทยี บกบั ทรพั ยส์ นิ มีเงนิ ทอง เป็นตน้ ดีกวา่ กนั อยา่ งไร? ตอบ คือ คณุ งามความดีอยา่ งประเสรฐิ ท่ีเกดิ มีขนึ้ ในสนั ดาน มี ศรทั ธา ศีล เป็นตน้ ฯ ดีกวา่ กนั เพราะเป็นคณุ ธรรมเครอื่ งบารุงจติ ใหอ้ บอ่นุ ไม่ตอ้ งกงั วล เดือดรอ้ น ใครจะแยง่ ชงิ ไปไม่ได้ ใชเ้ ทา่ ใดกไ็ ม่ตอ้ งกลวั หมดสนิ้ ทง้ั สามารถ ตดิ ตามไปไดถ้ งึ ชาตหิ นา้ เป็นท่พี งึ่ ในสมั ปรายภพไดด้ ว้ ย ฯ (ปี 46) พาหสุ จั จะ หมายความวา่ อย่างไร? พาหสุ จั จะ เป็นอรยิ ทรพั ยอ์ ย่างหนง่ึ นนั้ อธิบายอยา่ งไร? ตอบ หมายความวา่ ความเป็นผูเ้ คยไดย้ นิ ไดฟ้ ังมามาก ฯ อธิบายวา่ พาหสุ จั จะ คอื ความเป็นผเู้ คยไดย้ นิ ไดฟ้ ังมามากนนั้ (ทรงจาธรรมและศลิ ปวิทยามาก) ไดช้ ่ือวา่ อรยิ ทรพั ย์ เพราะเป็นเหตใุ หไ้ ดอ้ ิฏฐ ผล มลี าภ ยศ สรรเสรญิ สขุ และไมตรีเป็นตน้ ทง้ั ไมเ่ ป็นภาระแกเ่ จา้ ของและท่ดี พี ิเศษกวา่ ทรพั ยส์ นิ เงินทองท่วั ไปคอื ย่งิ ใชย้ ง่ิ มฯี (ปี 44) ทรพั ยป์ ระเภทไหนเรยี กวา่ อรยิ ทรพั ย?์ อรยิ ทรพั ยด์ กี วา่ ทรพั ยภ์ ายนอกเพราะเหตไุ ร? ตอบ ทรพั ย์ คือคณุ ความดีทม่ี ีในสนั ดานอย่างประเสริฐ เรียกวา่ อรยิ ทรพั ย์ มี ศรทั ธา ศีล เป็นตน้ ฯ ดกี วา่ เพราะอรยิ ทรพั ย์ เป็นคณุ ธรรม เคร่ืองบารุงจิตใจใหป้ ลมื้ ใหอ้ บอ่นุ มแี ลว้ ไมต่ อ้ งเป็นทกุ ขก์ งั วลในการคมุ้ ครองป้องกนั โจรภยั เป็นตน้ ใคร แย่งชงิ ไปไม่ได้ ใชเ้ ท่าใดก็ไมต่ อ้ งกลวั หมดสนิ้ ไมต่ อ้ งเสี่ยงภยั ในการแสวงหา เป็นตน้ ทง้ั สามารถตดิ ตามเป็นท่พี ่งึ ในสมั ปรายภพไดด้ ว้ ย ฯ ➢ สัปปุริสธรรม ๗ ธรรมของสตั บรุ ุษ ๑. ธัมมัญญตุ า ความเป็นผรู้ ูจ้ กั เหตุ เช่นรูจ้ กั ว่า สิ่งนเี้ ป็นเหตแุ หง่ ความสขุ สิ่งนเี้ ป็นเหตแุ หง่ ทกุ ข.์ ๒. อตั ตถญั ญตุ า ความเป็นผรู้ กั จกั ผล เชน่ รูจ้ กั วา่ สขุ เป็นผลแหง่ เหตอุ ันนี้ ทกุ ขเ์ ป็นผลแหง่ เหตอุ นั น.ี้ ๓. อัตตญั ญตุ า ความเป็นผรู้ ูจ้ กั ตน ว่าเรากโ็ ดยชาติตระกลู ยศศกั ด์ิ สมบตั ิ บรวิ าร ความรู้ และคณุ ธรรม เพียงเท่านี้ ๆ แลว้ ประพฤตติ นใหส้ มควรแกท่ ่เี ป็นอยอู่ ยา่ งไร. ๔. มตั ตัญญตุ า ความเป็นผรู้ ูจ้ กั ประมาณ ในการแสวงหาเครอ่ื งเลยี้ งชีวติ แต่โดยทางท่ชี อบ และรูจ้ กั ประมาณในการบรโิ ภคแต่ พอสมควร. ๕. กาลญั ญตุ า ความเป็นผรู้ ูจ้ กั กาลเวลา อนั สมควรในอนั ประกอบกจิ นน้ั ๆ. ๖. ปริสัญญุตา ความเป็นผรู้ ูจ้ กั ชมุ ชน และกิรยิ าทต่ี อ้ งประพฤตติ อ่ ประชมุ ชนนน้ั ๆ วา่ หม่นู เี้ ม่อื เขา้ ไปหา จะตอ้ งทากิรยิ าอย่างนี้ จะตอ้ งพดู อยา่ งนี้ เป็นตน้ . ๗. ปุคคลปโรปรัญญตุ า ความเป็นผรู้ ูจ้ กั เลอื กบคุ คลวา่ ผนู้ เี้ ป็นคนดคี วรคบ ผูน้ เี้ ป็นคนไมด่ ีไม่ควรคบ เป็นตน้ . 16 | P a g e
(ปี 57) จงใหค้ วามหมายของคาต่อไปนี้ ๑. ธัมมญั ญตุ า ๒. มตั ตญั ญตุ า ๓. กาลญั ญตุ า ตอบ ๑. ธัมมญั ญตุ า ความเป็นผรู้ ูจ้ กั เหตุ เช่นรูจ้ กั ว่า ส่งิ นเี้ ป็นเหตุแห่งสขุ สิ่งนเี้ ป็นเหตแุ ห่งทกุ ข์ ๒. มตั ตญั ญตุ า ความเป็นผรู้ ูป้ ระมาณ ในการแสวงหาเครือ่ งเลยี้ งชีวติ แต่โดยทางท่ชี อบ และรูป้ ระมาณในการบรโิ ภคแต่พอสมควร ๓. กาลญั ญตุ า ความเป็นผรู้ ูจ้ กั กาลเวลาอนั สมควรในอนั ประกอบกจิ นน้ั ๆ ฯ (ปี 45) มตั ตญั ญตุ า ความเป็นผรู้ ูป้ ระมาณ ในสปั ปรุ สิ ธรรม มอี ธิบายไวอ้ ยา่ งไร? ตอบ ความเป็นผรู้ ูป้ ระมาณในการแสวงหาเคร่อื งเลยี้ งชวี ิตแตโ่ ดยทางท่ีชอบและรูจ้ กั ประมาณในการบรโิ ภคแต่พอควร ฯ หมวด ๘ ➢ โลกธรรม ๘ ธรรมท่คี รอบงาสตั วโลกอยู่ และสตั วโลกย่อมเป็นไปตามธรรมนน้ั ๑.มลี าภ ๒.ไม่มีลาภ ๓.มียศ ๔.ไมม่ ยี ศ ๕.นนิ ทา ๖.สรรเสรญิ ๗.สขุ ๘.ทกุ ข์ ในโลกธรรม ๘ ประการนี้ อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ เกิดขนึ้ ควรพจิ ารณาวา่ สิ่งนเี้ กดิ ขึน้ แลว้ แกเ่ รา กแ็ ต่ว่ามนั ไม่เท่ยี ง เป็นทกุ ข์ มีความแปรปรวน เป็นธรรมดา ควรรูต้ ามท่ีเป็นจรงิ อย่าใหม้ นั ครอบงาจติ ไดค้ ือ อยา่ ยินดีในสว่ นท่นี า่ ปรารถนา อยา่ ยนิ รา้ ยในส่วนท่ไี ม่นา่ ปรารถนา. (ปี 63, 55) โลกธรรม ๘ มอี ะไรบา้ ง? ตอบ คือ ๑.มลี าภ ๒.ไมม่ ีลาภ ๓.มียศ ๔.ไม่มียศ ๕.นินทา ๖.สรรเสรญิ ๗.สขุ ๘.ทกุ ข์ (ปี 59) เม่ือโลกธรรม ๘ เกดิ ขนึ้ แกต่ น ควรพจิ ารณาอยา่ งไร ? ตอบ ควรพจิ ารณาวา่ ส่งิ นเี้ กิดขนึ้ แลว้ แก่เรา ก็สกั แตว่ า่ เกดิ ขนึ้ มนั ไมเ่ ท่ยี ง เป็นทกุ ข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เม่ือพจิ ารณาเหน็ แลว้ ก็อยา่ ยินดี ในส่วนท่นี า่ ปรารถนา และอย่ายินรา้ ยในสว่ นท่ไี มน่ ่าปรารถนา ฯ (ปี 47) โลกธรรม คืออะไร? เม่ือเกดิ ขนึ้ แลว้ ควรพิจารณาอยา่ งไร? ตอบ คือ ธรรมท่คี รอบงาสตั วโลกอยู่ และสตั วโลกย่อมเป็นไปตามธรรมนนั้ ฯ ในโลกธรรม ๘ ประการนี้ อย่างใดอย่างหน่งึ เกดิ ขึน้ ควรพจิ ารณาว่า สง่ิ นเี้ กิดขนึ้ แลว้ แก่เรา ก็แตว่ า่ มนั ไมเ่ ท่ยี ง เป็นทกุ ข์ มคี วามแปรปรวนเป็น ธรรมดา ควรรูต้ ามท่ีเป็นจรงิ อย่าใหม้ นั ครอบงาจติ ได้ คืออยา่ ยนิ ดใี นส่วนท่ปี รารถนา อย่ายินรา้ ยในส่วนท่ไี ม่ปรารถนา ฯ (ปี 44) โลกธรรมมกี ่ีอยา่ ง? อะไรบา้ ง? ทา่ นสอนใหป้ ฏิบตั ติ ่อโลกธรรมอย่างไร? ตอบ มี ๘ อยา่ ง ฯ คอื มลี าภ ๑ ไมม่ ลี าภ ๑ มียศ ๑ ไมม่ ยี ศ ๑ สรรเสรญิ ๑ นนิ ทา ๑ สขุ ๑ ทกุ ข์ ๑ ฯ สอนอยา่ งนี้ คือในโลกธรรมทง้ั ๘ อย่างนี้ อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ เกิดขนึ้ ควรพิจารณาวา่ ส่งิ นเี้ กดิ ขึน้ แลว้ แก่เรา มนั เป็นของไมเ่ ท่ียง เป็นทกุ ข์ มี ความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรรูต้ ามท่เี ป็นจรงิ อยา่ ใหค้ รอบงาจติ ได้ คอื อยา่ ยนิ ดใี นส่วนท่ปี รารถนา อย่ายินรา้ ยในส่วนท่ไี มป่ รารถนา ฯ ➢ มรรคมอี งค์ ๘ ทางปฏิบตั ใิ หถ้ งึ ความดบั ทกุ ข์ ๑.สัมมาทฏิ ฐิ เหน็ ชอบ คอื เหน็ อรยิ สัจ ๔(ทุกข์ สมทุ ัย นิโรธ มรรค) ๒.สมั มาสังกปั ปะ ดารชิ อบ คอื ดาริจะออกจากกาม ๑ ดารใิ นอนั ไมพ่ ยาบาท ๑ ดารใิ นอนั ไมเ่ บียดเบียน ๑. ๓.สมั มาวาจา เจรจาชอบ คอื เวน้ จากวจที จุ รติ ๔ (เทจ็ สอ่ เสียด หยาบ เพอ้ เจอ้ ) ๔.สมั มากัมมนั ตะ การงานชอบ คอื เวน้ จากกายทุจรติ ๓(ฆา่ สตั ว์ ลกั ทรัพย์ ประพฤตผิ ดิ ในกาม) ๕.สัมมาอาชีวะ เลยี้ งชวี ิตชอบ คอื เวน้ จากความเลยี้ งชวี ติ โดยทางท่ผี ิด 17 | P a g e
๖. สัมมาวายามะ เพยี รชอบ คอื เพียรในท่ี ๔ สถาน (สัมมปั ปธาน ๔) คอื เพียรระวังไม่ใหบ้ าปเกิดขนึ้ เพยี รละบาปทเี กดิ ขนึ้ แลว้ เพียรให้กศุ ลเกดิ ขนึ้ เพียรรักษากุศลทเ่ี กดิ ขนึ้ แลว้ ๗.สัมมาสติ ระลกึ ชอบ คอื ระลึกในสติปัฏฐาน ๔ (กาย เวทนา จิต ธรรม) ๘.สัมมาสมาธิ ตงั้ ใจไวช้ อบ คือเจรญิ ฌาน ๔ ในองคท์ ง้ั ๘ นน้ั , เหน็ ชอบ ดารชิ อบ สงเคราะหเ์ ขา้ ในปัญญาสกิ ขา. วาจาชอบ การงานชอบ เลยี้ งชีพชอบ สงเคราะหเ์ ขา้ ในสลี สิกขา. เพียรชอบ ระลกึ ชอบ ตงั้ ใจไวช้ อบ สงเคราะหเ์ ขา้ ในจิตตสกิ ขา. (ปี 61) สมั มากมั มนั ตะ ทาการงานชอบ คอื ทาอยา่ งไร ? ตอบ คอื ทาโดยเวน้ จากกายทจุ รติ ๓ ไดแ้ ก่ เวน้ จากการฆา่ สตั ว์ เวน้ จากการลกั ทรพั ย์ เวน้ จากการประพฤตผิ ิดในกาม ฯ (ปี 60, 45) คาว่า เจรจาชอบ ในมรรคมีองค์ ๘ นนั้ คอื เจรจาอยา่ งไร? ตอบ คือเวน้ จากพดู เทจ็ เวน้ จากพดู ส่อเสยี ด เวน้ จากพดู คาหยาบ และเวน้ จากพดู เพอ้ เจอ้ ฯ (ปี 55, 48) สมั มาวายามะ เพียรชอบ คอื เพียรอย่างไร? ตอบ เพยี รในท่ี ๔ สถาน (สมั มปั ปธาน ๔) คือ ๑.เพยี รระวงั ไมใ่ หบ้ าปเกดิ ขึน้ ๒.เพยี รละบาปทเี กิดขนึ้ แลว้ ๓.เพยี รใหก้ ศุ ลเกิดขนึ้ ๔.เพยี รรกั ษา กศุ ลท่เี กดิ ขึน้ แลว้ ฯ (ปี 50) มรรคมอี งคแ์ ปดจดั เขา้ ในสกิ ขา ๓ ไดห้ รือไม่ ? ถา้ ไดจ้ งจดั มาดู ตอบ ได้ ฯ จดั ดงั นี้ สมั มาทฏิ ฐิและสมั มาสงั กปั ปะ จดั เขา้ ในปัญญาสกิ ขา สมั มาวาจา สมั มากมั มนั ตะ สมั มาอาชวี ะ จดั เขา้ ในสลี สิกขา สมั มาวายามะ สมั มาสติ สมั มาสมาธิ จดั เขา้ ในจติ ตสิกขา ฯ (ปี 46) สมั มาสงั กปั ปะ ดารชิ อบ คอื ดารอิ ยา่ งไร? มรรคมีองค์ ๘ ขอ้ ใดบา้ งสงเคราะหเ์ ขา้ ในสลี สกิ ขา? ตอบ คือ ดารจิ ะออกจากกาม ๑ ดารใิ นอนั ไม่พยาบาท ๑ ดารใิ นอนั ไมเ่ บียดเบยี น ๑ ฯ วาจาชอบ การงานชอบ เลยี้ งชวี ติ ชอบ สงเคราะหเ์ ขา้ ในสลี สิกขา ฯ หมวด ๙ ➢ มละ ๙ คอื มลทิน ๑.โกธะ (โกรธ) แกด้ ว้ ยเจรญิ เมตตา ....(*ข้อนีเ้ คยออกขอ้ สอบ) ๒.มักขะ (ลบหล่บู ญุ คณุ ทา่ น) แกด้ ว้ ยกตญั ญกู ตเวที ....(*ขอ้ นีเ้ คยออกข้อสอบ) ๓.อสิ สา (รษิ ยา) แกด้ ว้ ยมทุ ิตา ๔.มัจฉรยิ ะ (ตระหน่ี) แกด้ ว้ ยทาน ๕.มายา (มายา หรอื มารยา) แกด้ ว้ ย อชุ ุ, อาชวะ ความซอื่ ตรง ๖.สาเถยยะ (มกั อวด) แกด้ ว้ ยอตั ตญั ญตุ า, อปจายนะ ๗.มสุ าวาท (พดู ปด) แกด้ ว้ ยสจั จวาจา ๘.ปาปิ จฉา (มคี วามปรารถนาลามก) แกด้ ว้ ยสนั โดษ, มกั นอ้ ย 18 | P a g e
๙.มจิ ฉาทฏิ ฐิ (เหน็ ผดิ ) แกด้ ว้ ยสมั มาทฏิ ฐิ ....(*ขอ้ นีเ้ คยออกขอ้ สอบ) (ปี 52, 50) มละ คืออะไร? เป็นศษิ ยไ์ ดด้ ีแลว้ ทามนึ ตงึ กบั อาจารย์ จดั เขา้ ในมละอย่างไหน และควรชาระมละอยา่ งนน้ั ดว้ ยธรรมอะไร? ตอบ มละคอื มลทิน ฯ เป็นศษิ ยไ์ ดด้ ีแลว้ ทามึนตงึ กบั อาจารย์ จดั เขา้ ใน มกั ขะ ลบหล่คู ณุ ทา่ น และควรชาระดว้ ยกตญั ญกู ตเวทติ า ความรูค้ ณุ ทา่ น แลว้ ตอบแทน ฯ (ปี 43) มละคอื มลทิน หมายถึงอะไร? มลทินขอ้ ท่ี ๑ และขอ้ ท่ี ๙ คืออะไร? แกด้ ว้ ยธรรมอะไร? ตอบ หมายถงึ กเิ ลสเป็นเคร่ืองทาจิตใหเ้ ศรา้ หมอง ไม่ผอ่ งใส ฯ มลทินขอ้ ท่ี ๑ คอื โกรธ แกด้ ว้ ยเจรญิ เมตตา และมลทินขอ้ ท่ี ๙ คอื เห็นผดิ แกด้ ว้ ยสมั มาทิฏฐิ หมวด ๑๐ ➢ ธรรมทบี่ รรพชิตควรพจิ ารณาเนืองๆ ๑๐ อย่าง ๑. บดั นี้ เรามเี พศตา่ งจากคฤหสั ถแ์ ลว้ อาการกิรยิ าใดๆ ของสมณะ เราตอ้ งทาอาการกริ ยิ านนั้ ๆ ๒. การเลยี้ งชวี ิตของเราเน่อื งดว้ ยผอู้ ืน่ เราควรทาตวั ใหเ้ ขาเลยี้ งงา่ ย ๓. อาการทางกาย วาจา อยา่ งอน่ื ทเ่ี ราจะตอ้ งทาใหด้ ีขึน้ ไปกว่านยี้ งั มอี ย่อู ีก ไมใ่ ชเ่ พียงเทา่ นี้ ๔. ตวั เราเองติเตียนตวั เราเองโดยศลี ไดห้ รือไม่ ๕. ผรู้ ูใ้ ครค่ รวญแลว้ ตเิ ตียนเราโดยศลี ไดห้ รอื ไม่ ๖. เราจะตอ้ งพลดั พรากจากของรกั ของชอบใจทง้ั สนิ้ ๗. เรามกี รรมเป็นของตวั เราทาดีจกั ไดด้ ี ทาช่วั จกั ไดช้ ่วั ๘. วนั คนื ลว่ งไป ๆ บดั นี้ เราทาอะไรอยู่ ๙. เรายนิ ดใี นท่สี งดั หรือไม่ ๑๐. คณุ วเิ ศษของเรามอี ยหู่ รอื ไม่ ท่จี ะทาใหเ้ ราเป็นผไู้ ม่เกอ้ เขินในเวลาเพ่อื นบรรพชิตถามในกาลภายหลงั (ปี 56) บรรพชิตผพู้ จิ ารณาเนอื ง ๆ วา่ วนั คืนลว่ งไป ๆ บดั นเี้ ราทาอะไรอยู่ จะไดร้ บั ประโยชนอ์ ะไร? ตอบ จะไดร้ บั ประโยชนค์ อื เป็นผไู้ ม่ประมาท มคี วามเพยี ร งดเวน้ สง่ิ ท่เี ป็นโทษ ทาในสงิ่ ท่เี ป็นประโยชน์ ฯ ➢ นาถกรณธรรม ๑๐ ๑. ศีล รกั ษากายวาจาใหเ้ รยี บรอ้ ย. ๖. ธัมมกามตา ความใครใ่ นธรรมท่ชี อบ. ๒. พาหสุ ัจจะ ความเป็นผไู้ ดส้ ดบั ตรบั ฟังมาก. ๗. วริ ยิ ะ เพยี รเพ่ือจะละความช่วั ประพฤตคิ วามด.ี ๓. กัลยาณมติ ตตา ความเป็นผมู้ ีเพ่อื นดงี าม. ๘. สนั โดษ ยินดดี ว้ ยผา้ นงุ่ ผา้ ห่ม อาหาร ท่นี อนท่นี ่งั และยาตามมตี ามได.้ ๔. โสวจสั สตา ความเป็นผวู้ ่างา่ ยสอนงา่ ย. ๙. สติ จาการท่ที า และคาท่พี ดู แลว้ แมน้ านได.้ ๕. กงิ กรณีเยสุ ทกั ขตา ความขยนั ชว่ ยเอาใจใส่ในกจิ ธุระของเพอ่ื นภกิ ษุสามเณร. ๑๐. ปัญญา รอบรูใ้ นกองสงั ขารตามเป็นจรงิ อย่างไร. (ปี 45) นาถกรณธรรมคืออะไร? นาถกรณธรรมขอ้ วา่ กลั ยาณมิตตตา หมายความวา่ อยา่ งไร? ตอบ คอื ธรรมทาท่พี ่งึ ฯ ความเป็นผมู้ ีเพ่อื นดีงาม ไมค่ บคนช่วั ฯ 19 | P a g e
คิหปิ ฎบิ ัติ หลกั ปฏบิ ัตขิ องคฤหัสถ์ (ปี 49) คหิ ปิ ฏบิ ตั ิ คืออะไร? หมวดธรรมต่อไปนี้ คือ ๑. อิทธิบาท ๔ ๒. สงั คหวตั ถุ ๔ ๓. อธิษฐานธรรม ๔ ๔. ทฏิ ฐธัมมกิ ตั ถประโยชน์ ๔ ๕. ปารสิ ทุ ธิศลี ๔ หมวดไหนมใี นคหิ ิปฏิบตั ิ ? ตอบ คอื หลกั ปฏบิ ตั ิของคฤหสั ถ์ ฯ ขอ้ ๒. และขอ้ ๔. มใี นคหิ ิปฏบิ ตั ิ ฯ หมวด ๔ ➢ อบายมขุ คือ เหตเุ ครือ่ งฉิบหาย หรือ ทางแหง่ ความเส่อื ม อบายมขุ ๔ มี ๔ อยา่ งดงั นี้ ๑.ความเป็นนกั เลงหญิง ๓.ความเป็นนกั เลงเลน่ การพนนั ๒.ความเป็นนกั เลงสรุ า ๔.ความคบคนช่วั เป็นมิตร อบายมขุ ๖ มี ๖ อยา่ งดงั นี้ ๑.ดมื่ นา้ เมา ๔.เลน่ การพนนั ๒.เท่ยี วกลางคนื ๕.คบคนชว่ั เป็นมติ ร ๓.เท่ยี วดกู ารเล่น ๖.เกียจครา้ นทาการงาน โทษของคบคนช่วั เป็ นมิตร คอื (มาจากอบายมขุ ๔ และ อบายมุข ๖) ๑.ทาใหเ้ ป็นนกั เลงการพนนั ๔. ทาใหเ้ ป็นคนลวงเขาดว้ ยของปลอม ๒. ทาใหเ้ ป็นนกั เลงเจา้ ชู้ ๕. ทาใหเ้ ป็นคนโกงเขาซง่ึ หนา้ ๓. ทาใหเ้ ป็นนกั เลงเหลา้ ๖. ทาใหเ้ ป็นนกั เลงหวั ไม้ ฯ (ปี 60) อบายมขุ ๔ มอี ะไรบา้ ง ? ตอบ มี ๑. ความเป็นนกั เลงหญิง ๒. ความเป็นนกั เลงสรุ า ๓. ความเป็นนกั เลงเลน่ การพนนั ๔. ความคบคนช่วั เป็นมติ ร ฯ (ปี 59) การคบคนช่วั เป็นมิตร เป็นเหตใุ หเ้ กดิ ความเสยี หายอย่างไร ? ตอบ เป็นเหตใุ หเ้ กดิ ความเสียหายอย่างนี้ คอื การรว่ มกินรว่ มนอน ร่วมเท่ยี ว รว่ มพรรครว่ มพวก รว่ มไปมาหาสกู่ บั คนช่วั มกั จะถกู คนช่วั ชกั จงู ไปในทางช่วั เชน่ คนไม่เคยเป็นนกั เลงหญงิ ไม่ตดิ สรุ า ไม่เล่นการพนนั ไม่เป็นอนั ธพาล กย็ ่อมถกู ชกั จงู ไปจนกลายเป็นนกั เลงหญิงได้ เป็นตน้ ฯ (ปี 52) อบายมขุ คอื อะไร ? คบคนช่วั เป็นมติ รมีโทษอยา่ งไร ? ตอบ อบายมขุ คือ ทางแหง่ ความเส่ือม ฯ คบคนช่วั เป็นมติ รมโี ทษอย่างนี้ คือ ๑.นาใหเ้ ป็นนกั เลงการพนนั ๒.นาใหเ้ ป็นนกั เลงเจา้ ชู้ ๓.นาใหเ้ ป็นนกั เลงเหลา้ ๔.นาใหเ้ ป็นคนลวงเขาดว้ ยของปลอม ๕.นาใหเ้ ป็นคนลวงเขาซง่ึ หนา้ ๖.นาใหเ้ ป็นคนหวั ไม้ ฯ โทษของการด่มื สุรา (มาจากอบายมุข ๖ เร่ืองด่มื นา้ เมา) ๔. ถกู ติเตยี น ๕. ไม่รูจ้ กั อาย ๖. ทอนกาลงั ปัญญา ฯ ๑. เสยี ทรพั ย์ ๒. ก่อการทะเลาะววิ าท ๓. เกิดโรค 20 | P a g e
(ปี 62, 60, 46) อบายมขุ คอื อะไร? ดื่มนา้ เมามีโทษอย่างไรบา้ ง? ตอบ คือ เหตเุ คร่ืองฉิบหาย ฯ มีโทษ ๖ อย่าง คอื ๑. เสยี ทรพั ย์ ๒. ก่อการทะเลาะววิ าท ๓. เกดิ โรค ๔. ถกู ติเตยี น ๕. ไม่รูจ้ กั อาย ๖. ทอนกาลงั ปัญญา ฯ (ปี 57) อบายมขุ คืออะไร? ความเป็นนกั เลงสรุ าจดั เป็นอบายมขุ เพราะเหตไุ ร? ตอบ คอื เหตเุ ครอ่ื งฉิบหาย ฯ เพราะเป็นเหตใุ หเ้ สียทรพั ย์ ก่อการทะเลาะววิ าท เกดิ โรค ตอ้ งตเิ ตยี น ไม่รูจ้ กั อาย ทอนกาลงั ปัญญา ฯ (ปี 53) จงบอกโทษของการด่ืมสรุ ามาสกั ๓ ขอ้ โทษของการเทย่ี วกลางคนื (ใน อบายมขุ ๖) (ปี 44) การเท่ยี วกลางคนื มีโทษอยา่ งไรบา้ ง? ตอบ มโี ทษ ๖ อยา่ งคอื ๑. ช่ือว่าไม่รกั ษาตวั ๒. ช่ือว่าไม่รกั ษาลกู เมีย ๓. ช่ือวา่ ไมร่ กั ษาทรพั ยส์ มบตั ิ ๔. เป็นท่รี ะแวงของคนทง้ั หลาย ๕. มกั ถกู ใส่ความ ๖. ไดค้ วามลาบากมาก ➢ ธรรมท่ีเป็นไปเพ่ือประโยชนใ์ นปัจจบุ นั เรยี กว่า ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถประโยชน์ ๑.อุฏฐานสัมปทา ถงึ พรอ้ มดว้ ยความหม่นั ในการประกอบกิจเคร่ืองเลยี้ งชวี ิตกด็ ี ในการศกึ ษาเลา่ เรียนกด็ ี ในการทาธรุ ะหนา้ ทขี่ องตนกด็ ี ๒.อารักขสมั ปทา ถึงพรอ้ มดว้ ยการรกั ษา คอื รกั ษาทรพั ยท์ ี่แสวงหามาไดด้ ว้ ยความหม่นั ไมใ่ หเ้ ป็นอนั ตรายก็ดี รกั ษาการงานของตน ไม่ใหเ้ สือ่ มเสียไปก็ดี ๓.กลั ยาณมิตตตา ความมเี พ่อื นเป็นคนดี ไมค่ บคนช่วั ๔.สมชวี ิตา ความเลยี้ งชวี ิตตามสมควรแกก่ าลงั ทรพั ยท์ ่หี าไดไ้ มใ่ ห้ ฝืดเคอื งนกั ไม่ใหฟ้ มู ฟายนกั เม่ือปฏิบตั ติ ามทฏิ ฐธัมมกิ ตั ถประโยชน์ ผลท่ตี อ้ งการในปัจจบุ นั ทนั ตาเหน็ นี้ ไดแ้ ก่ ทรัพย์ ยศ ไมตรี เป็ นต้น (ปี 62) ผหู้ วงั ประโยชนป์ ัจจบุ นั จะตอ้ งปฏิบตั อิ ยา่ งไรจงึ จะไดส้ มหวงั ? ตอบ ตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามหลกั ทฏิ ฐธมั มิกตั ถประโยชน์ ๔ ประการ คือ ๑. อฏุ ฐานสมั ปทา ถึงพรอ้ มดว้ ยความหม่นั ในการประกอบกจิ การงานในการศกึ ษาเลา่ เรียนในการทาธรุ ะหน้าท่ขี องตน ๒. อารกั ขสมั ปทา ถงึ พรอ้ มดว้ ยการรกั ษาทงั้ ทรพั ยแ์ ละการงานไม่ใหเ้ ส่ือมไป ๓. กลั ยาณมติ ตตา ความมเี พ่อื นเป็นคนดี ไม่คบคนช่วั ๔. สมชวี ิตา ความเลยี้ งชีวิตตามสมควรแกก่ าลงั ทรพั ยท์ ่หี าได้ ฯ (ปี 58) ธรรม ๔ ประการ ท่เี ป็นไปเพ่อื ประโยชนเ์ กือ้ กลู เพ่อื สขุ ในปัจจบุ นั เรยี กวา่ อะไร ? มีอะไรบา้ ง ? ตอบ เรยี กวา่ ทฏิ ฐธัมมิกตั ถประโยชน์ ฯ มี ๑. อฏุ ฐานสมั ปทา ถงึ พรอ้ มดว้ ยความหม่นั ในการประกอบกจิ อนั ควร ๒. อารกั ขสมั ปทา ถงึ พรอ้ มดว้ ยการรกั ษา ทงั้ ทรพั ยแ์ ละการงานของตน ไม่ใหเ้ สื่อมไป ๓. กลั ยาณมิตตตา ความมเี พ่อื นเป็นคนดี ไมค่ บคนช่วั ๔. สมชีวิตา ความเลีย้ งชีวติ ตามสมควรแกก่ าลงั ทรพั ยท์ ่หี าได้ ฯ (ปี 52) ธรรมท่เี ป็นไปเพ่ือประโยชนใ์ นปัจจบุ นั เรยี กวา่ อะไร? มีอะไรบา้ ง? (ปี 48) บคุ คลจะไดร้ บั ประโยชนป์ ัจจบุ นั จะตอ้ งปฏิบตั ติ ามหลกั ธรรมอะไร? ตอบ ตอ้ งปฏิบตั ิตามหลกั ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถประโยชน์ ๔ ประการ คือ ๑. อฏุ ฐานสมั ปทา ถงึ พรอ้ มดว้ ยความหม่นั ในการประกอบกิจการงาน ในการศกึ ษาเล่าเรยี น ในการทาธุระหนา้ ท่ขี องตน ๒. อารกั ขสมั ปทา ถงึ พรอ้ มดว้ ยการรกั ษา ทง้ั ทรพั ยแ์ ละการงาน ไมใ่ หเ้ ส่ือมไป 21 | P a g e
๓. กลั ยาณมิตตตาความมเี พ่อื นเป็นคนดี ไม่คบคนช่วั ๔. สมชวี ติ า ความเลยี้ งชีวิตตามสมควรแกก่ าลงั ทรพั ยท์ ่หี าได้ ฯ (ปี 43) เหตใุ หเ้ กิดประโยชนใ์ นปัจจบุ นั เรียกวา่ อะไร? มกี ี่อยา่ ง? อะไรบา้ ง? เม่ือปฏบิ ตั ิตามเหตนุ น้ั แลว้ จะไดร้ บั ผลอะไร? ตอบ เรยี กวา่ ทิฏฐธัมมิกตั ถะ ฯ มี ๔ อยา่ ง ฯ คอื ๑. อฏุ ฐานสมั ปทา ถงึ พรอ้ มดว้ ยความหม่นั ๒. อารกั ขสมั ปทา ถงึ พรอ้ มดว้ ยการรกั ษา ๓. กลั ยาณมิตตตา ความมเี พ่อื นเป็นคนดี ๔. สมชีวติ า ความเลยี้ งชีวติ ตามสมควร ฯ จะไดร้ บั ผล คือ ทรพั ย์ ยศ ไมตรี เป็นตน้ ในปัจจบุ นั ฯ ➢ มติ รแท้ ๔ มี ๑. มิตรมอี ปุ การะ ๒. มิตรรว่ มสขุ รว่ มทกุ ข์ ๓. มิตรแนะประโยชน์ ๔. มติ รมคี วามรกั ใคร่ (ปี 63, 60, 58, 56, 45) มติ รแท้ มกี ี่ประเภท ? อะไรบา้ ง ? มิตรมีอุปการะ มี ๔ ลกั ษณะ (ในเร่ืองมติ รแท)้ ๑.ปอ้ งกนั เพ่อื นผปู้ ระมาทแลว้ ๓.เม่ือมีภยั เอาเป็นท่พี ง่ึ พานกั ได้ ๒.ปอ้ งกนั ทรพั ยส์ มบตั ิของเพ่อื นผปู้ ระมาทแลว้ ๔.เม่ือมีธรุ ะ ชว่ ยออกทรพั ยใ์ หเ้ กนิ กวา่ ท่อี อกปาก มิตรร่วมสุขร่วมทกุ ข์ มี ๔ ลักษณะ (ในเรื่องมติ รแท)้ ๑.ขยายความลบั ของตนแก่เพ่อื น ๓.ไม่ละทงิ้ ในยามวิบตั ิ ๒.ปิดความลบั ของเพ่อื นไม่ใหแ้ พรง่ พราย ๔.แมช้ วี ติ กอ็ าจสละแทนได้ มิตรแนะประโยชน์ มี ๔ ลักษณะ (ในเรื่องมติ รแท้) ๑.หา้ มไม่ใหท้ าความช่วั ๓.ใหฟ้ ังสงิ่ ท่ียงั ไม่เคยฟัง ๒.แนะนาใหต้ งั้ อยใู่ นความดี ๔.บอกทางสวรรคใ์ ห้ มิตรมีความรักใคร่ มี ๔ ลกั ษณะ (ในเรอื่ งมติ รแท้) ๑.ทกุ ข์ ทกุ ขด์ ว้ ย ๓.โตเ้ ถียงคนท่พี ดู ตเิ ตยี นเพ่อื น ๒.สขุ สขุ ดว้ ย ๔.รบั รองคนท่พี ดู สรรเสรญิ เพ่ือน ➢ มิตรเทยี ม ๔ หรือเรยี กอีกอยา่ งหนึ่งวา่ มติ รปฏริ ูป ๑.คนปอกลอก ๓.คนหวั ประจบ ๒.คนดแี ตพ่ ดู ๔.คนชกั ชวนในทางฉิบหาย มติ รปอกลอก มี ๔ ลกั ษณะ (ในเรอ่ื งมติ รเทยี ม) ๑.คิดเอาแตไ่ ดฝ้ ่ายเดยี ว ๓.เม่ือมีภยั แก่ตวั จึงรบั ทากจิ ของเพ่อื น ๒.เสยี ใหน้ อ้ ย คดิ เอาใหไ้ ดม้ าก ๔.คบเพ่อื นเพราะเห็นแก่ประโยชนข์ องตวั 22 | P a g e
มติ รดีแต่พดู มี ๔ ลกั ษณะ (ในเร่อื งมติ รเทยี ม) ๑.เกบ็ เอาของท่ลี ว่ งแลว้ มาปราศรยั ๓.สงเคราะหด์ ว้ ยสิง่ ท่หี าประโยชนม์ ไิ ด้ ๒.อา้ งเอาของท่ยี งั ไมม่ ีมาปราศรยั ๔.ออกปากพงึ่ มิได้ มิตรหัวประจบ มี ๔ ลกั ษณะ (ในเรอื่ งมติ รเทยี ม) ๑.จะทาช่วั ก็คลอ้ ยตาม ๓.ตอ่ หนา้ วา่ สรรเสรญิ ๒.จะทาดกี ็คลอ้ ยตาม ๔.ลบั หลงั ตงั้ นนิ ทา มติ รชักชวนในทางฉิบหาย มี ๔ ลักษณะ (ในเร่ืองมติ รเทยี ม) ๑.ชกั ชวนด่ืมนา้ เมา ๓.ชกั ชวนใหม้ วั เมาในการเลน่ ๒.ชกั ชวนเท่ยี วกลางคนื ๔.ชกั ชวนเลน่ การพนนั (ปี 54) คนชกั ชวนในทางฉิบหาย มีลกั ษณะอยา่ งไร? (ปี 53) จงจบั คขู่ อ้ ทางซา้ ยมือกบั ขอ้ ทางขวามือใหถ้ กู ตอ้ ง ก. จะทาดีทาช่วั ก็ตอ้ งคลอ้ ยตาม ๑. มติ รดีแตพ่ ดู ข. ป้องกนั เพ่อื นผปู้ ระมาทแลว้ ๒. มติ รหวั ประจบ ค. สงเคราะหด์ ว้ ยสิ่งหาประโยชนม์ ไิ ด้ ๓. มิตรมคี วามรกั ใคร่ ง. หา้ มไมใ่ หท้ าความช่วั ๔. มิตรมอี ปุ การะ จ. ทกุ ข์ ๆ ดว้ ย สขุ ๆ ดว้ ย ๕. มิตรแนะประโยชน์ ตอบ ขอ้ ก. คกู่ บั ขอ้ ๒, ขอ้ ข. คกู่ บั ขอ้ ๔, ขอ้ ค คกู่ บั ขอ้ ๑, ขอ้ ง ค่กู บั ขอ้ ๕, ขอ้ จ ค่กู บั ขอ้ ๓. (ปี 51) ขอ้ วา่ “แมช้ ีวติ กอ็ าจสละแทนได”้ ดงั นี้ เป็นลกั ษณะของมติ รแทป้ ระเภทใด ? ตอบ มิตรรว่ มสขุ รว่ มทกุ ข์ ฯ (ปี 49) นาย ก เป็นผฉู้ ลาดในการเล่นพนนั ฟุตบอล เขาหวงั ใหน้ าย ข ผเู้ ป็นเพ่ือน มเี งนิ ทองไวก้ อ่ รา่ งสรา้ งตวั จงึ ชกั ชวน นาย ข ใหเ้ ลน่ ดว้ ย นาย ก จดั เขา้ ในประเภทมติ รแนะประโยชนไ์ ดห้ รือไม่? เพราะเหตไุ ร? ตอบ ไมไ่ ด้ ฯ เพราะ นาย ก กาลงั ชกั ชวนในทางฉิบหาย ผิดลกั ษณะมิตรแนะประโยชน์ ฯ (ปี 49) พระพทุ ธเจา้ ทรงสอนใหป้ ฏิบตั ิต่อพวกมิตรเทยี มอยา่ งไร? ตอบ ทรงสอนใหห้ ลกี เลย่ี งไมค่ วรคบเป็นมติ ร เหมือนคนเดนิ ทางหลีกเล่ียงทางท่มี ภี ยั อนั ตรายเสยี ฉะนน้ั (ปี 44) มติ รปฏริ ูปไดแ้ กค่ นพวกไหนบา้ ง? พระพทุ ธเจา้ ทรงสอนใหป้ ฏิบตั ิตอ่ คนพวกนีอ้ ยา่ งไร? ตอบ ไดแ้ ก่ ๑. คนปอกลอก ๒. คนดแี ต่พดู ๓. คนหวั ประจบ ๔. คนชกั ชวนในทางฉิบหาย ฯ ทรงสอนใหห้ ลกี เลย่ี งไมค่ วรคบเป็นมิตร เหมอื นคนเดินทางหลกี เลย่ี งทางท่มี ีภยั อนั ตรายเสีย ฉะนนั้ ฯ ➢ ธรรมเป็นเคร่ืองยึดเหน่ยี วใจของผอู้ น่ื ไวไ้ ด้ คอื สงั คหวัตถุ ๔ ๑. ทาน ใหส้ ิง่ ของของตนแก่ผอู้ ่ืนท่คี วรใหป้ ัน ๓. อัตถจรยิ า ประพฤติส่งิ ท่ีเป็นประโยชนแ์ ก่ผอู้ น่ื ๒. ปิ ยวาจา เจรจาวาจาท่อี ่อนหวาน ๔. สมานัตตา ความเป็นคนมตี นสม่าเสมอไม่ถือตวั (ปี 61, 56, 54, 51, 46) คณุ ธรรมเป็นเครอ่ื งยดึ เหน่ยี วนา้ ใจของผอู้ น่ื ไวไ้ ด้ คอื อะไร? มอี ะไรบา้ ง? ตอบ คือ สงั คหวตั ถุ ๔ ฯ มี ๑. ทาน ใหป้ ันสิ่งของของตนแก่ผอู้ ่นื ท่คี วรใหป้ ัน ๒. ปิยวาจา เจรจาวาจาท่อี ่อนหวาน 23 | P a g e
๓. อตั ถจรยิ า ประพฤติสง่ิ ท่เี ป็นประโยชนแ์ ก่ผอู้ ื่น ๔. สมานตั ตตา ความเป็นคนมตี นเสมอไม่ถือตวั ฯ ➢ สุขของคฤหัสถ์ ๔ อย่าง ๑. สขุ เกิดแต่ความมีทรพั ย์ ๓. สขุ เกดิ แตค่ วามไม่ตอ้ งเป็นหนี้ ๒. สขุ เกิดแตก่ ารจา่ ยทรพั ยบ์ รโิ ภค ๔. สขุ เกิดแตป่ ระกอบการงานทป่ี ราศจากโทษ (ปี 62) ความสขุ ของผคู้ รองเรอื นตามหลกั พระพทุ ธศาสนาเกดิ มาจากเหตอุ ะไรบา้ ง ? ตอบ เกิดจากเหตุ ๔ อยา่ ง คอื ๑. สขุ เกดิ แต่ความมที รพั ย์ ๒. สขุ เกดิ แตก่ ารจา่ ยทรพั ยบ์ รโิ ภค ๓. สขุ เกดิ แตค่ วามไมต่ อ้ งเป็นหนี้ ๔. สขุ เกิดแตป่ ระกอบการงานท่ปี ราศจากโทษ ฯ (ปี 48) มนษุ ยท์ กุ คนลว้ นปรารถนาความสขุ พระพทุ ธศาสนาแสดงความสขุ ของผคู้ รองเรอื นไวอ้ ยา่ งไร? ตอบ ความสขุ ของผคู้ รองเรอื น แสดงไว้ ๔ อยา่ ง คือ ๑. สขุ เกดิ แตค่ วามมที รพั ย์ ๒. สขุ เกดิ แต่การจา่ ยทรพั ยบ์ รโิ ภค ๓. สขุ เกดิ แตค่ วามไมต่ อ้ งเป็นหนี้ ๔. สขุ เกิดแตป่ ระกอบการงานท่ปี ราศจากโทษ ฯ ➢ ความปรารถนาทสี่ มหมายไดย้ าก ๔ อย่าง ๑. ขอสมบตั ิ จงเกิดมแี กเ่ ราโดยทางท่ชี อบ. ๓. ขอเราจงรกั ษาอายใุ ห้ยนื นาน. ๒. ขอยศ จงมแี กเ่ รากบั ญาตพิ วกพอ้ ง. ๔. เม่ือสนิ้ ชพี แลว้ ขอเราจงไปบงั เกิดในสวรรค.์ ➢ ธรรมเป็ นเหตใุ หส้ มหมาย ๔ อยา่ ง (หรอื เรยี กอกี หนงึ่ ว่า สัมปรายกิ ตั ถประโยชน์ คือ ประโยชนภ์ ายหนา้ ๔ อย่าง) ๑. สทั ธาสมั ปทา ถงึ พรอ้ มดว้ ยศรทั ธา ๓. จาคสมั ปทา ถงึ พรอ้ มดว้ ยการบรจิ าคทาน ๒. สีลสมั ปทา ถึงพรอ้ มดว้ ยศลี ๔. ปัญญาสมั ปทา ถึงพรอ้ มดว้ ยปัญญา (ปี 47) สมบตั ิ ยศ อายุยนื สวรรค์ ทา่ นวา่ เป็นผลท่ไี ดส้ มหมายยาก บคุ คลพงึ บาเพญ็ ธรรมอะไร จึงจะไดส้ มหมาย ? ตอบ พงึ บาเพญ็ ธรรมเป็นเหตใุ หไ้ ดส้ มหมาย ๔ อยา่ ง คือ ๑. สทั ธาสมั ปทา ถึงพรอ้ มดว้ ยศรทั ธา ๒. สลี สมั ปทา ถึงพรอ้ มดว้ ยศลี ๓. จาคสมั ปทา ถงึ พรอ้ มดว้ ยการบรจิ าคทาน ๔. ปัญญาสมั ปทา ถึงพรอ้ มดว้ ยปัญญา ฯ ➢ ตระกลู อนั ม่ังค่ังจะต้ังนานไม่ได้เพราะสถาน ๔ ๑.ไมแ่ สวงหาพสั ดทุ ่หี ายแลว้ ๓.ไม่รูจ้ กั ประมาณในการบรโิ ภคสมบตั ิ ๒.ไมบ่ รู ณะพสั ดทุ ่คี ร่าครา่ ๔.ตงั้ สตรหี รือบรุ ุษทศุ ีลใหเ้ ป็นแมเ่ รอื นพ่อเรือน (ปี 55) ตระกลู อนั ม่งั ค่งั จะตงั้ นานไม่ได้ เพราะเหตอุ ะไร? ตอบ เพราะเหตุ ๔ อย่าง คอื ๑.ไม่แสวงหาพสั ดทุ ่หี ายแลว้ ๒.ไมบ่ รู ณะพสั ดทุ ่คี รา่ ครา่ ๓.ไม่รูจ้ กั ประมาณในการบรโิ ภคสมบตั ิ ๔. ตงั้ สตรีหรือบรุ ุษทศุ ีลใหเ้ ป็นแมเ่ รอื นพอ่ เรอื น (ปี 43) ตระกลู อนั ม่งั ค่งั จะตงั้ อยไู่ ดน้ านเพราะสถานใดบา้ ง? ตอบ เพราะสถาน ๔ คอื ๑.ไม่แสวงหาพสั ดทุ ่หี ายแลว้ ๒.ไมบ่ รู ณะพสั ดทุ ่คี รา่ ครา่ ๓.ไม่รูจ้ กั ประมาณในการบรโิ ภคสมบตั ิ ๔. ตงั้ สตรหี รอื บรุ ุษทศุ ีลใหเ้ ป็นแมเ่ รอื นพ่อเรอื น ➢ ฆราวาสธรรม ๔ ธรรมะสาหรบั การอย่คู รองเรือนของคฤหสั ๑. สัจจะ สตั ยซ์ ือ่ ต่อกนั ๓. ขนั ติ ความอดทน ๒. ทมะ รูจ้ กั ข่มจติ ของตน ๔. จาคะ สละใหป้ ันสง่ิ ของของตนแก่คนท่คี วรใหป้ ัน 24 | P a g e
(ปี 61, 59, 43) ฆราวาสผคู้ รองเรือนควรตงั้ อยใู่ นธรรมขอ้ ใดบา้ ง ? ตอบ ควรตงั้ อย่ใู นฆราวาสธรรม ๔ ประการ คอื ๑. สจั จะ สตั ยซ์ ือ่ ต่อกนั ๒. ทมะ รูจ้ กั ข่มจติ ของตน ๓. ขนั ติ อดทน ๔. จาคะ สละใหป้ ันส่งิ ของของตนแกค่ นท่คี วรใหป้ ัน ฯ (ปี 55) การอย่คู รองเรือนนนั้ ควรมีธรรมอะไร? อะไรบา้ ง? (ปี 49) ผอู้ ย่คู รองเรือนควรมีธรรมของฆราวาสเป็นหลกั ปฏบิ ตั ิจงึ จะอย่เู ป็นสขุ ธรรมของฆราวาสนน้ั มีอะไรบา้ ง ? หมวด ๕ ➢ ประโยชนเ์ กดิ แตก่ ารถือโภคทรัพย์ ๕ อยา่ ง (ปี 50) เม่ือแสวงหาโภคทรพั ยไ์ ดโ้ ดยทางท่ชี อบแลว้ ควรทาอะไรบา้ งเพ่อื ใหเ้ กิดประโยชนใ์ นโภคทรพั ยท์ ่ไี ดม้ านนั้ ? ตอบ ควรทา ประโยชนเ์ กิดแตก่ ารถือโภคทรพั ย์ ๕ อยา่ ง ๑.เลยี้ งตวั มารดา บดิ า บตุ ร ภรรยา บ่าวไพร่ ใหเ้ ป็ นสขุ ๒.เลยี้ งเพอ่ื นฝูงใหเ้ ป็ นสุข ๓.บาบัดอันตรายทเ่ี กิดแต่เหตตุ ่าง ๆ ๔.ทาพลี ๕ อย่าง คือ ๔.๑ ญาตพิ ลี สงเคราะหญ์ าติ ๔.๒ อติถพิ ลี ต้อนรับแขก ๔.๓ ปุพพเปตพลี ทาบญุ อทุ ศิ ใหผ้ ตู้ าย ๔.๔ ราชพลี ถวายเป็ นหลวง มภี าษอี ากรเป็ นตน้ ๔.๕ เทวตาพลี ทาบุญอทุ ศิ ให้เทวดา ๕.บรจิ าคทานในสมณพราหมณผ์ ู้ประพฤตชิ อบ ฯ (ปี 45) คาต่อไปนแี้ ปลวา่ อย่างไร? ก)อตถิ พิ ลี ข)ปพุ พเปตพลี ➢ ศลี ๕ แปลว่า ความปกติ ๕ อยา่ ง คอื ความประพฤติดีทางกายวาจา ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เวน้ จากทาชีวติ สตั วใ์ หต้ กลว่ งไป. ๒. อทนิ นาทานา เวรมณี เวน้ จากถือเอาส่ิงของท่ีเจา้ ของไม่ไดใ้ หด้ ว้ ยอาการแหง่ ขโมย. ๓. กาเมสุ มจิ ฉาจารา เวรมณี เวน้ จากประพฤติผิดในกาม. ๔. มุสาวาทา เวรมณี เวน้ จากพดู เทจ็ . ๕. สุราเมรยมชั ชปมาทฏั ฐานา เวรมณี เวน้ จากดืม่ นา้ เมา คือสรุ าและเมรยั อนั เป็นท่ตี งั้ แหง่ ความประมาท. (ปี 63, 61, 56, 53) ศีลท่คี ฤหสั ถค์ วรรกั ษาเป็นนติ ย์ คอื ศีลอะไร ? ไดแ้ กอ่ ะไรบา้ ง ? ตอบ คือ ศีล ๕ ฯ ไดแ้ ก่ ๑. เวน้ จากทาชวี ติ สตั วใ์ หต้ กลว่ งไป ๒. เวน้ จากถือเอาส่ิงของท่เี จา้ ของไมไ่ ดใ้ หด้ ว้ ยอาการแหง่ ขโมย ๓. เวน้ จากประพฤติผดิ ในกาม ๔. เวน้ จากพดู เท็จ ๕. เวน้ จากดมื่ นา้ เมาคอื สรุ าและเมรยั อนั เป็นท่ตี งั้ แห่งความประมาท ฯ (ปี 44) จงเขยี นศลี ๕ ขอ้ ท่ี ๓ พรอ้ มทงั้ คาแปล ตอบ กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี เวน้ จากการประพฤติผดิ ในกาม (ปี 43) จงเขยี นศลี ๕ ขอ้ ท่ี ๕ พรอ้ มทงั้ คาแปล ตอบ สรุ าเมรยมชั ชปมาทฏั ฐานา เวรมณี แปลความวา่ เวน้ จากการดืม่ นา้ เมา คอื สรุ าและเมรยั อนั เป็นท่ตี งั้ แหง่ ความประมาท 25 | P a g e
➢ มิจฉาวณชิ ชา ๕ คอื การคา้ ขายไม่ชอบธรรม ๕ อยา่ ง เป็นขอ้ หา้ มอบุ าสกอบุ าสกิ าไมใ่ หป้ ระกอบ ๑.คา้ ขายเครื่องประหาร ๒.คา้ ขายมนษุ ย์ ๓.คา้ ขายสตั วเ์ ป็นสาหรบั ฆา่ เพ่อื เป็นอาหาร ๔.คา้ ขายนา้ เมา ๕.คา้ ขายยาพษิ ➢ อุบาสกอุบาสกิ า ไดแ้ ก่ คฤหสั ถผ์ ถู้ งึ พระรตั นตรยั เป็นสรณะ (ปี 54, 44) อบุ าสกอบุ าสกิ า ไดแ้ กบ่ คุ คลเชน่ ไร? การคา้ ขายท่หี า้ มอบุ าสกอุบาสกิ าประกอบ คืออะไรบา้ ง? ตอบ อบุ าสกอบุ าสกิ า ไดแ้ ก่ คฤหสั ถผ์ ถู้ ึงพระรตั นตรยั เป็นสรณะ ฯ หา้ มคา้ ขายคอื ๑.คา้ ขายเคร่ืองประหาร ๒.คา้ ขายมนษุ ย์ ๓.คา้ ขายสตั ว์ เป็นสาหรบั ฆา่ เพ่อื เป็นอาหาร ๔.คา้ ขายนา้ เมา ๕.คา้ ขายยาพิษ ฯ (ปี 52) มจิ ฉาวณิชชา คอื อะไร? การคา้ ขายเดก็ การคา้ ขายยาเสพติด การคา้ ขายเบด็ ตกปลา จดั เป็นมจิ ฉาวณิชชาขอ้ ใด? ตอบ มิจฉาวณิชชา คอื การคา้ ขายไมช่ อบธรรม ฯ การคา้ ขายเดก็ จดั เขา้ ในคา้ ขายมนษุ ย์ การคา้ ขายยาเสพติด จดั เขา้ ในคา้ ขายนา้ เมา การคา้ ขายเบ็ดตกปลา จดั เขา้ ในคา้ ขายเครือ่ งประหาร ฯ (ปี 51) การคา้ ขายสรุ า เป็นอาชพี ท่ถี กู ตอ้ งตามกฎหมาย ในทางพระพทุ ธศาสนา มคี วามเห็นไวอ้ ยา่ งไร? ตอบ การคา้ ขายสรุ าทางพระพทุ ธศาสนา จดั เป็นมจิ ฉาวณิชชา การคา้ ขายไมช่ อบธรรม เป็นขอ้ หา้ ม อบุ าสกไมค่ วรประกอบ ฯ (ปี 50) การคา้ ขายสตั วเ์ พ่อื เอาไปฆ่าเป็นอาหาร เป็นการผิดศลี ขอ้ ปาณาติบาตหรอื ไม่? เพราะเหตไุ ร? อบุ าสกควรปฏบิ ตั ิอยา่ งไรในเรื่องนี?้ ตอบ ไม่ผิด ฯ เพราะไมไ่ ดเ้ ป็นผฆู้ ่าหรือส่งั ใหฆ้ า่ ฯ อบุ าสกควรเวน้ การคา้ ขายชนิดนเี้ สีย ฯ (ปี 45) คาวา่ อบุ าสก อบุ าสิกา แปลวา่ อะไร? การคา้ ขายยาเสพตดิ มียาบา้ เป็นตน้ จดั เขา้ ในมิจฉาวณิชชาขอ้ ไหน? ตอบ อบุ าสก แปลวา่ ชายผเู้ ขา้ ถงึ พระรตั นตรยั อบุ าสกิ า แปลวา่ หญิงผเู้ ขา้ ถงึ พระรตั นตรยั ฯ การคา้ ขายนา้ เมา ฯ ➢ สมบัตแิ ละวิบตั ิ ๕ สมบตั ิของอุบาสกอุบาสกิ า ๕ ประการ ๑. ประกอบดว้ ยศรทั ธา. ๔. ไม่แสวงหาเขตบญุ นอกพทุ ธศาสนา. ๒. มีศลี บรสิ ทุ ธิ์. ๕. บาเพญ็ บญุ แตใ่ นพทุ ธศาสนา. ๓. ไมถ่ ือมงคลตืน่ ขา่ ว คอื เช่อื กรรมไมเ่ ช่ือมงคล. ตรงขา้ มกบั สมบตั ทิ งั้ ๕ นี้ เป็นวบิ ัตขิ องอบุ าสกอุบาสกิ า (ปี 57) อบุ าสกอบุ สิกาควรตงั้ อยใู่ นคณุ สมบตั อิ ะไรบา้ ง? (ปี 43) สมบตั ิและวบิ ตั ขิ องอบุ าสกอบุ าสิกามอี ะไรบา้ ง? ตอบ มี ๑. ประกอบดว้ ยศรทั ธา ๒. มีศีลบรสิ ทุ ธิ์ ๓. ไมถ่ ือมงคลตนื่ ข่าว คอื เช่ือกรรม ไมเ่ ช่ือมงคล ๔) ไมแ่ สวงหาเขตบญุ นอกพระพทุ ธศาสนา ๕. บาเพญ็ บญุ แตใ่ นพระพทุ ธศาสนา ตรงขา้ มกบั สมบตั ทิ งั้ ๕ นี้ เป็นวบิ ตั ขิ องอบุ าสกอบุ าสกิ า หมวด ๖ ➢ ทศิ ๖ บคุ คลประเภทตา่ งๆ ท่เี ราตอ้ งเก่ียวขอ้ งสมั พนั ธท์ างสงั คมดจุ ทศิ ท่ีอย่รู อบตวั ๑.ทศิ เบอื้ งหน้า บดิ ามารดา ๔.ทศิ เบอื้ งซ้าย มติ ร ๒.ทศิ เบอื้ งขวา ครูอาจารย์ ๕.ทศิ เบือ้ งลา่ ง บ่าว ๓.ทศิ เบือ้ งหลัง บตุ รภรรยา ๖.ทศิ เบือ้ งบน สมณพราหมณ์ 26 | P a g e
(ปี 57) ในทศิ ๖ ทศิ เหล่านหี้ มายถงึ ใคร? ก. ทศิ เบอื้ งหนา้ ข. ทิศเบอื้ งขวา ค. ทศิ เบอื้ งหลงั ง. ทิศเบอื้ งซา้ ย จ. ทศิ เบอื้ งบน ตอบ ก. มารดาบดิ า ข. ครูอาจารย์ ค. บตุ รภรรยา ง. มิตร จ. สมณพราหมณ์ ฯ (ปี 50) ทิศ ๖ ในคิหิปฏิบตั ิ มีอะไรบา้ ง? แตล่ ะทิศหมายถงึ ใคร? บุตรพึงบารุงมารดาบดิ า ๕ สถาน (ในเรื่องทศิ ๖) ๑.ท่านไดเ้ ลยี้ งมาแลว้ เลยี้ งทา่ นตอบ ๔.ประพฤตติ นใหเ้ ป็นคนควรรบั ทรพั ยม์ รดก ๒.ชว่ ยทากจิ ของทา่ น ๕.เม่ือทา่ นล่วงลบั ไปแลว้ ทาบญุ อทุ ศิ ใหท้ ่าน ๓.ดารงวงศส์ กลุ (ปี 63, 58, 55) บตุ รธดิ าพงึ ปฏิบตั ติ ่อมารดาบดิ าอย่างไร ? ศิษยพ์ ึงปฏบิ ัตติ อ่ ครูอาจารย์ ๕ สถาน (ในเรื่องทศิ ๖) ๑. ลกุ ขึน้ ยนื รบั ๔. อปุ ัฏฐาก ๒. เขา้ ไปยนื คอยรบั ใช้ ๕.เรยี นศลิ ปวิทยาโดยเคารพ ๓. เช่ือฟัง (ปี 59) ศษิ ยท์ ่ดี พี งึ ปฏิบตั ติ ่อครูอาจารย์ อยา่ งไรบา้ ง? ➢ คฤหสั ถค์ วรบารุงบรรพชิตดว้ ยการทา การพดู การคดิ ประกอบดว้ ยเมตตา ดว้ ยความเป็นผไู้ มป่ ิดประตู คอื มไิ ดห้ า้ มเขา้ บา้ นเรอื น ดว้ ยใหอ้ ามสิ ทาน ➢ บรรพชิตควรอนุเคราะหต์ อ่ คฤหสั ถด์ ว้ ยหา้ มไมใ่ หก้ ระทาความช่วั ใหต้ งั้ อย่ใู นความดี อนเุ คราะหด์ ว้ ยนา้ ใจอนั งาม ใหไ้ ดฟ้ ังส่งิ ท่ี ยงั ไมเ่ คยฟัง ทาสง่ิ ท่เี คยฟังมาแลว้ ใหแ้ จ่ม บอกทางสวรรคใ์ ห้ (ปี 47) คฤหสั ถแ์ ละบรรพชิต มหี น้าทจ่ี ะพงึ ปฏบิ ตั แิ กก่ นั และกนั อย่างไรบา้ ง? ตอบ คฤหสั ถค์ วรบารุงบรรพชติ ดว้ ยการทา การพดู การคดิ ประกอบดว้ ยเมตตา ดว้ ยความเป็นผไู้ มป่ ิดประตู คอื มิไดห้ า้ มเขา้ บา้ นเรอื น ดว้ ยให้ อามสิ ทาน ส่วนบรรพชิตควรอนเุ คราะหต์ ่อคฤหสั ถด์ ว้ ยหา้ มไมใ่ หก้ ระทาความช่วั ใหต้ งั้ อย่ใู นความดี อนเุ คราะหด์ ว้ ยนา้ ใจอนั งาม ใหไ้ ดฟ้ ังส่ิงท่ยี งั ไมเ่ คย ฟัง ทาสงิ่ ท่เี คยฟังมาแลว้ ใหแ้ จ่ม บอกทางสวรรคใ์ ห้ ฯ (ปี 45) การถอื มงคลตนื่ ขา่ วคอื ถืออยา่ งไร? พระพทุ ธศาสนาสอนใหถ้ ืออยา่ งนน้ั หรืออยา่ งไร? สมณพราหมณ์ เมอ่ื ไดร้ บั การบารุงแลว้ ย่อมอนเุ คราะหก์ ลุ บตุ รอย่างไรบา้ ง ? ตอบ ถือว่านีฤ้ กษด์ ี ยามดี เป็ นมงคลดี นีฤ้ กษไ์ มด่ ี ยามไม่ดี ไม่เป็ นสวสั ดิมงคล ฯ พระพทุ ธศาสนาสอนไมใ่ หถ้ ือเชน่ นนั้ สอนใหเ้ ช่ือวา่ เรามกี รรมเป็นของของตน เราทาดจี กั ไดด้ ี ทาช่วั จกั ไดช้ ่วั ฯ อยา่ งนี้ คือ ๑. หา้ มไม่ใหก้ ระทาความช่วั ๒. ใหต้ งั้ อยใู่ นความดี ๓. อนเุ คราะหด์ ว้ ยนา้ ใจอนั งาม ๔. ใหไ้ ดฟ้ ังสง่ิ ท่ยี งั ไมเ่ คยฟัง ๕. ทาส่งิ ท่เี คยฟังแลว้ ใหแ้ จม่ ๖. บอกทางสวรรคใ์ ห้ ฯ 27 | P a g e
ทบทวน พทุ ธประวตั ิ นักธรรมชนั้ ตรี ความหมาย/ประโยชนว์ ิชาพทุ ธประวตั ิ (ปี 61) พทุ ธประวตั ิ คืออะไร? การเรยี นรูพ้ ทุ ธประวตั ินนั้ ไดป้ ระโยชนอ์ ย่างไร? ตอบ คือ เรอื่ งท่พี รรณนาความเป็นไปของสมเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ฯ ไดป้ ระโยชน์ คือทาใหท้ ราบความเป็นมาของพระพทุ ธเจา้ และแนวทางในการดาเนนิ ชวี ิตตามพระพทุ ธจรยิ า ฯ (ปี 59, 52) การเรียนรูพ้ ทุ ธประวตั ไิ ดป้ ระโยชนอ์ ยา่ งไร ? ตอบ ไดป้ ระโยชน์ ๒ ประการ คอื ๑. ในดา้ นการศกึ ษา ทาใหท้ ราบความเป็นมาของพระพทุ ธเจา้ เชน่ เดียวกบั การศกึ ษาตานานความเป็นมาของชาตติ น ทาใหบ้ คุ คลไดท้ ราบว่า ชาติของตนเป็นมาอยา่ งไร มคี วามสาคญั อยา่ งไร เป็นตน้ ๒. ในดา้ นปฏบิ ตั ิ ทาใหบ้ คุ คลไดแ้ นวในการดาเนินชวี ิตตามพระพทุ ธจรยิ า อนั เป็นปฏิปทานาความสขุ ความเจรญิ มาใหแ้ กบ่ คุ คลตามสมควร แกก่ ารประพฤติปฏบิ ตั ิ ฯ (ปี 58, 43) พทุ ธประวตั ิ คืออะไร ? มีความสาคญั อยา่ งไรจึงตอ้ งเรียนรู้ ? ตอบ คอื เรอื่ งท่ีพรรณนาความเป็นไปของสมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ฯ มคี วามสาคญั ในการศกึ ษาและปฏบิ ตั ิพระพทุ ธศาสนา เพราะแสดง พระพทุ ธจรยิ าใหป้ รากฏ ฯ (ปี 49) พทุ ธประวตั ิวา่ ด้วยเรือ่ งอะไร? มคี วามสาคญั อยา่ งไรท่ตี อ้ งเรยี นรู?้ ตอบ วา่ ดว้ ยเรอ่ื งความเป็นมาของพระพทุ ธเจา้ เป็นการแสดงพระพทุ ธจรยิ าในดา้ นตา่ งๆ ของพระองคใ์ หป้ รากฏ ฯ มีความสาคญั ในการศกึ ษาและปฏบิ ตั ิพระพทุ ธศาสนา เพราะแสดงพระพทุ ธจรยิ าใหป้ รากฏ เชน่ เดยี วกบั ตานานย่อมมคี วามสาคญั ตอ่ ชาติ ของตนท่ใี หร้ ูไ้ ดว้ า่ ชาติไดเ้ ป็นมาแลว้ อยา่ งไร ฯ (ปี 45) พทุ ธประวตั วิ า่ ดว้ ยเรื่องอะไร? การเรยี นรูพ้ ทุ ธประวตั ิไดป้ ระโยชนอ์ ย่างไร? ตอบ วา่ ดว้ ยเร่อื งความเป็นมาของพระพทุ ธเจา้ เป็นการแสดงพระพทุ ธจรยิ าในดา้ นตา่ งๆ ของพระองคใ์ หป้ รากฏ ฯ ไดป้ ระโยชน์ ๒ ประการ คือ ๑. ในดา้ นการศกึ ษา ทาใหท้ ราบความเป็นมาของพระพทุ ธเจา้ เชน่ เดยี วกบั การศกึ ษาตานานความเป็นมาของชาตติ น ทาใหบ้ คุ คลไดท้ ราบว่า ชาตขิ องตนเป็นมาอยา่ งไร มีความสาคญั อยา่ งไรเป็นตน้ ๒. ในดา้ นปฏิบตั ิ ทาใหบ้ คุ คลไดแ้ นวในการดาเนนิ ชวี ิตตามพระพทุ ธจรยิ า อนั เป็นปฏปิ ทานาความสขุ ความเจรญิ มาใหแ้ กบ่ คุ คล ตามสมควร แกก่ ารประพฤติปฏบิ ตั ิ ฯ ชมพทู วปี วรรณะ๔ มี กษัตริย(์ ปกครองบา้ นเมือง) ,พราหมณ์ (ส่งั สอน ทาพธิ ีกรรม), แพศย์ (เป็นทานาคา้ ขาย), ศูทร (รบั จา้ งทางาน เป็นกรรมกร) (ปี 63, 56) คนในชมพทู วปี แบง่ ออกเป็นกีว่ รรณะ? อะไรบา้ ง? ตอบ แบ่งเป็น ๔ วรรณะ ฯ คอื วรรณะกษตั รยิ ์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศทู ร ฯ (ปี 63, 61) เจา้ ชายสิทธตั ถะอบุ ตั ขิ ึน้ ในวรรณะใด ? ชนชาตไิ หน ? ตอบ วรรณะกษตั รยิ ์ ฯ ชนชาตอิ รยิ กะ ฯ (ปี 62) พระพทุ ธเจา้ สืบเชือ้ สายมาจากชนชาตใิ ด ? ชนชาตนิ น้ั มาตงั้ ถ่ินฐานในชมพทู วีปไดอ้ ยา่ งไร ? ตอบ สบื เชอื้ สายมาจากชนชาตอิ รยิ กะ ฯ ชาวอรยิ กะนนั้ เป็นผเู้ จรญิ ดว้ ยความรูแ้ ละขนบธรรมเนยี ม มีสตปิ ัญญามากกวา่ พวกมลิ กั ขะ เจา้ ของ ถ่ินเดิม เม่ือขา้ มภเู ขาหิมาลยั มา ก็รุกไลพ่ วกมลิ กั ขะ เจา้ ของถ่ินเดมิ ใหถ้ อยเลอ่ื นลงมาทางใตแ้ ลว้ เขา้ ตงั้ ถ่ินฐานในชมพทู วปี แทน ฯ 1|P a g e
(ปี 60, 54, 46) ประชาชนในชมพทู วีป มีกี่จาพวก ? พระพทุ ธเจา้ สบื เชือ้ สายมาจากชนชาตใิ ด ? ตอบ มี ๒ จาพวก คือ ๑)มลิ กั ขะ เจา้ ของถ่ินเดิม ๒) อรยิ กะ พวกอพยพมาใหม่ ฯ สืบเชอื้ สายมาจากชนชาตอิ รยิ กะ ฯ (ปี 59) วรรณะทง้ั ๔ มหี นา้ ท่ตี า่ งกนั อย่างไร ? ตอบ มีหนา้ ท่ตี า่ งกนั อย่างนี้ ๑. วรรณะกษตั รยิ ์ มหี นา้ ท่ปี กครอง ๒. วรรณะพรามหณ์ มีหนา้ ท่ที างฝึกสอนและทาพธิ ีกรรม ๓. วรรณะแพศย์ มีหนา้ ท่ที างทานาคา้ ขาย ๔. วรรณะศทู ร มหี นา้ ท่รี บั จา้ ง ฯ (ปี 57) ชมพทู วีปแบง่ เป็น ๒ สว่ นใหญ่ ๆ คืออะไรบา้ ง? ตอบ คือมชั ฌิมชนบท และ ปัจจนั ตชนบท ฯ (ปี 51) คนในชมพทู วปี แบ่งเป็นก่ีวรรณะ? อะไรบา้ ง? พระพทุ ธบิดาอย่ใู นวรรณะอะไร? ตอบ แบง่ เป็น ๔ วรรณะ ฯ คือ วรรณะกษตั รยิ ์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ วรรณะศทู ร ฯ อย่ใู นวรรณะกษตั รยิ ์ ฯ (ปี 48) ประชาชนในชมพทู วปี แบง่ ออกเป็นกี่วรรณะ? อะไรบา้ ง? มหี นา้ ท่ตี ่างกนั อยา่ งไร? ตอบ แบง่ ออกเป็น ๔ วรรณะ คอื ๑. กษตั รยิ ์ มหี นา้ ท่ปี กครอง ๒. พราหมณ์ มีหนา้ ท่ที างฝึกสอนและทาพิธี ๓. แพศย์ มีหนา้ ท่ที างทานาคา้ ขาย ๔. ศทู ร มหี นา้ ท่รี บั จา้ ง ฯ (ปี 44) ในครงั้ พทุ ธกาล ชาวชมพทู วปี ส่วนมากนบั ถือศาสนาอะไร? ชนเหล่านนั้ มคี วามคดิ เหน็ เรอ่ื งความตาย และความเกดิ โดยสรุป อย่างไร? ตอบ ศาสนาพราหมณ์ ฯ เหน็ อย่างนี้ คอื เห็นวา่ ตายแลว้ เกดิ อย่างหนึง่ เห็นว่าตายแลว้ สญู อย่างหนงึ่ ฯ ศากยวงศ์ • ศากยวงศ์ สืบเชอื้ สายมาจาก ชนชาตอิ ริยกะ เป็นชนชาตทิ ่มี คี วามเจรญิ ดว้ ยความรูแ้ ละขนบธรรมเนยี ม มอี านาจมากกวา่ พวก มลิ ักขะเป็นเจา้ ของถ่ินเดมิ เม่อื ชาวอรยิ กะขา้ มภเู ขาหมิ าลยั กม็ ารุกไล่ชาวมิลกั ขะเจา้ ของถ่ินเดมิ ใหถ้ อยรน่ ลงมาทางใต้ แลว้ ชาว อรยิ กะกต็ งั้ ถ่ินฐานท่ชี มพทู วปี แทน • พระเจ้าโอกกากราช เป็นตน้ วงศข์ องศากยสกลุ • สกั ชนบท แบ่งออกเป็ น ๓ นคร คือ ๑.นครเดมิ ของพระเจา้ โอกกากราช ๒.นครกบลิ พสั ดุ์ ๓.นครเทวทหะ • (ปี 55) พระเจ้าสหี หนุ ป่ขู องพระพทุ ธเจา้ • (ปี 60, 47) พระเจ้าสุทโธทนะ พอ่ ของพระพทุ ธเจา้ • (ปี 60, 47) พระนางสริ มิ หามายา แม่ของพระพทุ ธเจา้ (ทา่ นสวรรคตแลว้ ไปเกดิ ท่สี วรรคช์ นั้ ดสุ ติ ) • (ปี 59, 55) พระนางมหาปชาบดีโครตมี พระนา้ นางของพระพทุ ธเจา้ • (ปี 60, 47) พระนันทะ นอ้ งชายตา่ งมารดาของพระพทุ ธเจา้ (พระเจา้ สทุ โธทนะ+พระนางมหาปชาบดีโครตม)ี • รูปนันทา นอ้ งสาวตา่ งมารดาของพระพทุ ธเจา้ (พระเจา้ สทุ โธทนะ+พระนางมหาปชาบดโี ครตม)ี • (ปี 55) พระนางพิมพา หรอื ยโสธรา พระชายาของพระพทุ ธเจา้ (ปี 60) พระเจา้ สทุ โธทนะ มีพระราชโอรสพระราชธิดาก่ีพระองค์ ? มพี ระนาม ว่าอะไรบา้ ง ? ตอบ มพี ระราชโอรส ๒ พระองค์ คือ ๑. พระสิทธตั ถกมุ าร ๒. พระนนั ทกมุ าร มีพระราชธิดา ๑ พระองค์ คอื พระนางรูปนนั ทา ฯ (ปี 59, 49) อสติ ดาบส (กาฬเทวลิ ดาบส) และ มหาปชาบดโี คตมี เกี่ยวขอ้ งกบั เจา้ ชายสทิ ธตั ถะอยา่ งไร? ตอบ อสติ ดาบส (กาฬเทวิลดาบส) คือ ดาบสผเู้ ป็นท่คี นุ้ เคยของราชสกลุ ไดเ้ ขา้ เฝา้ พระเจา้ สทุ โธทนะ เม่ือเจา้ ชายสิทธตั ถะ ประสตู ใิ หม่ๆ และ พยากรณว์ ่า พระราชกมุ ารจะไดเ้ ป็นพระเจา้ จกั รพรรดิราช หรอื ศาสดาเอกในโลก ฯ ส่วน มหาปชาบดโี คตมี เป็นพระมาตจุ ฉา คอื พระนา้ นางของเจา้ ชายสทิ ธตั ถะ ฯ 2|P a g e
(ปี 56) พระพทุ ธบดิ าทรงมีพระนามวา่ อะไร ? ทรงปกครองแควน้ อะไร ? เมืองหลวงช่ืออะไร ? ตอบ พระนามวา่ พระเจา้ สทุ โธทนะ ฯ แควน้ สกั กะ ฯ ช่ือกบิลพสั ดุ์ ฯ (ปี 53, 47) ศากยวงศส์ บื เชือ้ สายมาจากชนชาตใิ ด? ชนชาตินนั้ มาตงั้ ถ่ินฐานในชมพทู วปี ไดอ้ ยา่ งไร? ตอบ สืบเชอื้ สายมาจากชนชาตอิ รยิ กะ ฯ ชาวอรยิ กะนน้ั เป็นผเู้ จรญิ ดว้ ยความรูแ้ ละขนบธรรมเนยี ม มอี านาจมากกวา่ พวกมิลกั ขะเจา้ ของถ่ิน เดิม เม่ือขา้ มภเู ขาหมิ าลยั มากร็ ุกไลพ่ วกมลิ กั ขะ เจา้ ของถ่ินเดิมใหถ้ อยรน่ ลงมาทางใตแ้ ลว้ เขา้ ตงั้ ถน่ิ ฐานในชมพทู วปี แทน ฯ (ปี 50) เจา้ ชายนนั ทกมุ ารกบั เจา้ หญิงรูปนนั ทา เป็นพระโอรสและพระธิดาของใคร? มีความเกี่ยวขอ้ งกบั เจา้ ชายสทิ ธตั ถกมุ ารอยา่ งไร? ตอบ เป็นพระโอรสและพระธิดาของพระเจา้ สทุ โธทนะกบั พระนางปชาบดีโคตมี ฯ มีความเก่ียวขอ้ งกบั เจา้ ชายสทิ ธัตถกมุ ารโดยเป็นพระกนิฏฐ ภาดาและ กนฏิ ฐภคนิ ตี ่างพระมารดา ฯ (ปี 46) กษัตรยิ พ์ ระองคใ์ ดท่เี ป็นตน้ ศากยวงศ?์ พระโอรสและพระธิดาของเจา้ ศากยะไปสรา้ งพระนครขนึ้ ใหมช่ ่ือวา่ เมืองอะไร? ท่ชี ่ืออยา่ งนนั้ เพราะเหตไุ ร? ตอบ พระเจา้ โอกกากราช ฯ เมอื งกบลิ พสั ดุ์ ฯ เพราะเป็นท่อี ย่ขู องกบลิ ดาบสมากอ่ น ฯ (ปี 44) กาฬเทวิลดาบส กราบท่พี ระบาทพระราชโอรสของพระเจา้ สทุ โธทนะ เพราะเหตไุ ร? ตอบ เพราะเหน็ พระราชโอรสนน้ั มลี กั ษณะตอ้ งดว้ ยตารบั มหาบรุ ุษลกั ษณะครนั้ เหน็ อศั จรรยเ์ ช่นนน้ั แลว้ ก็มคี วามเคารพนบั ถือจงึ กราบท่พี ระ บาทของพระราชโอรสนน้ั กลุ่มคนและบคุ คลในพทุ ธกาล • สหชาติ ๗ มี คน ๔ สตั ว์ ๑ ตน้ ไม้ ๑ ส่งิ ของ ๑ ๑.พมิ พา (ยโสธรา) ๕.ม้ากณั ฐกะ (ตายแลว้ ไปเกดิ ทด่ี าวดงึ ส)์ ๒.อานนท์ ๖.ต้นพระศรีมหาโพธ์ิ ๓. (ปี 60, 55, 47) ฉันนะ เป็นผตู้ ามเสด็จคราวเสด็จออกบวช ๗.ขมุ ทรัพยท์ งั้ ๔ ๔.กาฬุทายี • อสิตดาบส (เรียกอกี ช่อื วา่ กาฬเทวิลดาบส) เม่ือเจา้ ชายสทิ ธัตถะประสตู ิใหมๆ่ อสิตดาบสไดเ้ ขา้ เฝา้ และทายพระลกั ษณะวา่ ถา้ อย่คู รองสมบตั จิ ะไดเ้ ป็นพระเจา้ จกั รพรรดิ ถา้ ออกบวชจะไดเ้ ป็นศาสดาเอกของโลก • (ปี 60, 47) วิศวามติ ร ป็นครูผสู้ อนศลิ ปวิทยาของเจา้ ชายสติ ธตั ถะ เม่ือยงั ทรงพระเยาว์ (ปี 63, 57) อสติ ดาบสกลา่ วทานายพระมหาบรุ ุษไวว้ า่ อยา่ งไร? ตอบ วา่ มคี ติเป็น ๒ คือ ถา้ อยคู่ รองฆราวาสจกั ไดเ้ ป็นพระเจา้ จกั รพรรดิ ถา้ ออกบวชจกั ไดต้ รสั รูเ้ ป็นพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ฯ (ปี 61, 51) อสิตดาบสไดท้ านายสทิ ธัตถกมุ ารวา่ อยา่ งไร ? ตอบ ทานายวา่ ถา้ อยคู่ รองสมบตั ิ จกั ไดเ้ ป็นพระเจา้ จกั รพรรดิ์ ถา้ ออกบวช จกั ไดเ้ ป็นพระศาสดาเอกในโลก ฯ (ปี 56) อสติ ดาบส อาฬารดาบส และอทุ กดาบส มีความเก่ียวขอ้ งกบั พระมหาบรุ ุษอยา่ งไร? ตอบ อสิตดาบส เป็นผคู้ นุ้ เคยเป็นท่เี คารพนบั ถือของศากยสกลุ ในเวลาท่พี ระมหาบรุ ุษประสตู ใิ หมๆ่ ทา่ นไดไ้ ปเย่ยี ม และไดพ้ ยากรณท์ านาย พระลกั ษณะของพระมหาบรุ ุษ วา่ มีคตเิ ป็น ๒ กอ่ นคนอื่นทง้ั หมด อาฬารดาบสและอทุ กดาบส เป็นผทู้ ่พี ระองคไ์ ดเ้ คยอย่อู าศยั ศกึ ษาลทั ธิของ ทา่ นทง้ั ๒ ฯ 3|P a g e
เหตกุ ารณใ์ นระหวา่ งพระชนมข์ องพระพทุ ธเจา้ เมื่อประสตู ใิ หมๆ่ อสิตดาบส(กาฬเทวลิ ดาลส) เขา้ เฝา้ และทายพระลกั ษณะ ๕ วัน ขนานพระนาม (ตงั้ ช่ือ) วา่ “สทิ ธตั ถกมุ าร” ๗ วนั พระมารดาสวรรคต ๗ ปี พระราชบิดาตรสั ส่งั ใหข้ ดุ สระโบกขรณี ๓ สระในพระราชวงั ใหเ้ ป็นท่เี ล่นสาราญแก่พระองค์ และ ทรงศกึ ษาศิลปวิทยา (เรียน) ๑๖ ปี พระราชบดิ าตรสั ส่งั ใหส้ รา้ งปราสาท ๓ หลงั เพ่อื เป็นท่เี สดจ็ อยใู่ น ๓ ฤดู และตรสั ขอพระนางยโสธรามาอภเิ ษกเป็นพระชายา ๒๙ ปี ไดพ้ ระโอรสนามว่าพระราหลุ และเสด็จออกบรรพชา ๓๕ ปี ตรสั รู้ ๘๐ ปี ปรนิ ิพพาน (ปี 63) พระพทุ ธเจา้ ประสตู ิ ตรสั รู้ แสดงปฐมเทศนา ปรนิ พิ พาน และถวายพระเพลิงในวนั ใด ? ตอบ ประสตู ิในวนั เพญ็ เดือน ๖ ตรสั รูใ้ นวนั เพญ็ เดือน ๖ แสดงปฐมเทศนาในวนั เพญ็ เดอื น ๘ ปรนิ ิพพานในวนั เพญ็ เดือน ๖ ถวายพระเพลิงในวนั อฏั ฐมแี รม ๘ ค่ําเดอื น ๖ฯ (ปี 62, 59, 53) พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ออกผนวช ตรสั รู้ และปรนิ ิพพาน เม่ือมพี ระชนมายเุ ท่าไรบา้ ง ? ตอบ เสด็จออกผนวช เม่ือมพี ระชนมายุ ๒๙ ปี ตรสั รู้ เม่ือมพี ระชนมายุ ๓๕ ปี ปรนิ พิ พาน เม่ือมีพระชนมายุ ๘๐ ปี ฯ (ปี 61, 60, 58, 49, 43) เจา้ ชายสทิ ธตั ถะทรงปรารภอะไรจงึ เสดจ็ ออกบวช ? ทรงบวชไดก้ ี่ปี จงึ ตรสั รู้ ? ตอบ ทรงปรารภความแก่ ความเจบ็ ความตาย และสมณะ ฯ ๖ ปี จงึ ตรสั รู้ ฯ (ปี 57) พระมหาบรุ ุษประสตู ทิ ่ไี หน? เม่ือไร? ตอบ ลมุ พินีวนั ระหว่างกรุงกบิลพสั ดกุ์ ับกรุงเทวทหะ ฯ วนั เพ็ญ เดือน ๖ ก่อนพทุ ธศก ๘๐ ปี ฯ (ปี 56) เม่ือเจา้ ชายสทิ ธัตถะประสตู ิได้ ๕ วนั พระราชบดิ าโปรดใหท้ าอะไรเพ่อื พระราชกมุ ารบา้ ง? ตอบ โปรดใหช้ มุ นมุ พระญาตวิ งศ์ และเสนามาตยพ์ รอ้ มกบั เชิญพราหมณร์ อ้ ยแปดคนมาฉนั โภชนาหาร แลว้ ทามงคลรบั พระลกั ษณะ และ ขนานพระนามว่าสทิ ธตั ถกมุ าร ฯ (ปี 54) เม่ือพระมหาบรุ ษมีพระชนมายไุ ด้ ๕ วนั ๗ วนั ๗ ปี ๑๖ ปี ๒๙ ปี มเี หตกุ ารณส์ าคญั เกดิ แกพ่ ระองคอ์ ะไรบา้ ง? (ปี 53) ภายใน ๗ วนั หลงั จากสทิ ธตั ถะราชกมุ ารประสตู ิแลว้ มเี หตกุ ารณส์ าคญั เกดิ ขนึ้ แก่พระองคอ์ ยา่ งไรบา้ ง? ตอบ ๑. เม่ือประสตู แิ ลว้ ใหม่ ๆ อสิตดาบส (หรอื กาฬเทวลิ ดาบส) เขา้ ไปเฝา้ เยย่ี มและทานายพระลกั ษณะ ๒. วนั ท่ี ๕ พระเจา้ สทุ โธทนะเชญิ พราหมณ์ ๑๐๘ คนมาฉนั โภชนาหารและขนานพระนามพระราชกมุ ารวา่ สิทธัตถกมุ าร ๓. วนั ท่ี ๗ พระราชมารดาทวิ งคต ฯ (ปี 58, 49) พระพทุ ธเจา้ ประสตู ิ ตรสั รู้ ปรนิ ิพพานท่ใี ตต้ น้ ไมอ้ ะไร?ตอบ ประสตู ิและปรนิ พิ พาน ใตต้ น้ สาละฯ ตรสั รู้ ใตต้ น้ โพธิ์(อสั สตั ถพฤกษ์ฯ (ปี 50) พระพทุ ธเจา้ ประสตู ิ ตรสั รู้ และปรนิ พิ พาน ในวนั ใด? ท่ไี หน? ตอบ ประสตู ใิ นวนั เพญ็ เดอื น ๖ ก่อนพทุ ธศก ๘๐ ปี 4|P a g e
ตรสั รูใ้ นวนั เพญ็ เดอื น ๖ ก่อนพทุ ธศก ๔๕ ปี และปรนิ ิพพานในวนั เพญ็ เดอื น ๖ ปีตงั้ ตน้ พทุ ธศก ฯ ส่วนสถานท่นี น้ั คือ ประสตู ิท่ใี ตร้ ม่ ไมส้ าละในลมุ พินวี นั ระหว่างกรุงกบิลพสั ดแุ์ ละกรุงเทวทหะ ตรสั รูท้ ่ีใตต้ น้ โพธิ์ (อสั สตั ถพฤกษ)์ รมิ ฝ่ังแม่นา้ เนรญั ชรา ปรนิ พิ พานท่ปี ่าไมส้ าละ (สาลวโนทยาน) เมืองกสุ นิ ารา ฯ (ปี 50, 44) เม่ือพระพทุ ธเจา้ ประสตู ิได้ ๕ วนั และ ๗ วนั มีเหตกุ ารณส์ าคญั อะไรเกิดขนึ้ ? ตอบ เม่ือประสตู ิได้ ๕ วนั พระราชบดิ าเชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คนมาฉนั โภชนาหาร ทานายพระลกั ษณะและขนานพระนาม และเม่ือประสตู ไิ ด้ ๗ วนั พระราชมารดาเสด็จสวรรคต ฯ พธิ ีแรกนาขวญั (เรียกอีกอยา่ งว่า พิธวี ัปปมงคล) (ปี 50) เหตกุ ารณท์ เ่ี งาตน้ หวา้ ในเวลาบา่ ยแลว้ ไมค่ ลอ้ ยไปตามตะวนั กลบั ตงั้ อยดู่ จุ เวลาเท่ยี ง ปรากฏเม่ือคราวพระมหาบรุ ุษทรงทาอะไรอย่?ู ตอบ ทรงน่งั ขดั บลั ลงั กส์ มาธิ เจรญิ อานาปานสตกิ มั มฏั ฐาน ทาปฐมฌาน ใหเ้ กดิ ขนึ้ ฯ (ปี 48) ในวนั เสดจ็ แรกนาขวญั พระเจา้ สทุ โธทนะบงั คมสิทธตั ถราชกมุ ารผปู้ ระทบั น่งั ใตต้ น้ หวา้ เพราะเหตไุ ร? ตอบ เพราะทรงเห็นอศั จรรยใ์ นขณะท่สี ิทธัตถราชกมุ ารประทบั น่งั ใตต้ น้ หวา้ เงาของตน้ หวา้ ไมค่ ลอ้ ยไปตามตะวนั แมจ้ ะเป็นเวลาบา่ ยแลว้ ยงั ดารงอย่เู สมือนเท่ยี งวนั ฯ เสด็จออกบวช • บรรพชา รมิ ฝ่ังแม่นา้ อโนมา ณ อนปุ ิยอมั พวนั แควน้ มลั ละ • อาฬารดาบส มหาบรุษไดไ้ ปศกึ ษาดว้ ยจนสาเรจ็ สมาบตั ิ ๗ (รูปฌาณ ๔ อรูปฌาณ ๓) • อทุ ทกดาบส มหาบรุษไดไ้ ปศกึ ษาดว้ ยจนสาเร็จ สมาบตั ิ ๘ (อรูปฌาณ ๔) (ปี 62) อาฬารดาบสและอทุ กดาบส มคี วามเกย่ี วขอ้ งกบั พระพทุ ธเจา้ อย่างไร ? ตอบ อาฬารดาบสและอทุ กดาบส เป็นผทู้ ่พี ระองคไ์ ดเ้ คยอย่อู าศยั ศกึ ษาลทั ธิของทา่ นทงั้ ๒ ฯ (ปี 56) อสิตดาบส อาฬารดาบส และอทุ กดาบส มคี วามเกี่ยวขอ้ งกบั พระมหาบรุ ุษอย่างไร? ตอบ อสติ ดาบส เป็นผคู้ นุ้ เคยเป็นท่เี คารพนบั ถือของศากยสกลุ ในเวลาท่พี ระมหาบรุ ุษประสตู ิใหมๆ่ ท่านไดไ้ ปเย่ยี ม และไดพ้ ยากรณท์ านาย พระลกั ษณะของพระมหาบรุ ุษ วา่ มีคติเป็น ๒ ก่อนคนอน่ื ทงั้ หมด ฯ อาฬารดาบสและอทุ กดาบส เป็นผทู้ ่พี ระองคไ์ ดเ้ คยอย่อู าศยั ศกึ ษาลทั ธิของท่านท้ัง ๒ ฯ (ปี 63, 60, 58, 49, 43) เจา้ ชายสทิ ธัตถะทรงปรารภอะไรจึงเสด็จออกบวช ? ทรงบวชไดก้ ่ีปี จงึ ตรสั รู้ ? ตอบ ทรงปรารภความแก่ ความเจ็บ ความตาย และสมณะ ฯ ๖ ปี จึงตรสั รู้ ฯ (ปี 62) อะไรเป็นมลู เหตใุ หเ้ จา้ ชายสิทธตั ถะเสดจ็ ออกผนวช ? ตอบ พระอรรถกถาจารยแ์ สดงตามนยั มหาปทานสตู รว่า ไดท้ อดพระเนตรเหน็ เทวทตู ทง้ั ๔ คอื คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ทรงสงั เวช เพราะไดท้ อดพระเนตรเหน็ เทวทตู ๓ ขา้ งตน้ ยงั ความพอพระหฤทยั ในการออกผนวชใหเ้ กดิ ขนึ้ เพราะไดท้ อดพระเนตรเห็นสมณะ ฯ (ปี 56) พระมหาบรุ ุษทรงทอดพระเนตรเห็นคนแกค่ นเจ็บคนตาย และบรรพชติ แลว้ ทรงดารอิ ยา่ งไร? 5|P a g e
ตอบ เม่ือทรงเห็นคนแกค่ นเจ็บคนตายแลว้ ทรงนอ้ มเขา้ มาเปรียบกบั พระองคเ์ อง เกิดความสงั เวชวา่ เราจะตอ้ งแกต่ อ้ งเจ็บตอ้ งตายเช่นกนั เม่ือทรงเหน็ บรรพชติ ทรงดารวิ า่ สาธโุ ขปพพฺ ชฺชา บวชดีนกั แล ฯ (ปี 55) พระมหาบรุ ุษเสดจ็ ออกบรรพชา เพราะทรงปรารภเหตอุ ะไร? ตอบ พระมหาบรุ ุษเสดจ็ ออกบรรพชา เพราะทรงปรารภความแก่ ความเจบ็ ความตาย อนั ครอบงามหาชนทกุ คน อีกนัยหนึ่ง เพราะทรง ทอดพระเนตรเห็นเทวทตู ทง้ั ๔ คอื คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ทรงสลดพระทยั เพราะไมเ่ คยพบเห็นมาแต่กอ่ น ครนั้ ไดท้ อดพระเนตร เหน็ สมณะเขา้ เกิดพระทยั ในการบรรพชา ฯ (ปี 52) เทวทตู ๔ ท่เี จา้ ชายสทิ ธตั ถะทรงเหน็ คอื อะไรบา้ ง? ทรงเหน็ แลว้ มพี ระดารอิ ยา่ งไร? ตอบ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ฯ ทรงมพี ระดารวิ า่ บคุ คลท่วั ไปถกู ความเจบ็ ความแก่ ความตายครอบงา ไมล่ ่วงพน้ ไปได้ ถึง พระองคเ์ องกม็ อี ย่างนนั้ เป็นธรรมดา ควรแสวงหา อบุ ายเครอ่ื งพน้ แต่ฆราวาสเป็นท่คี บั แคบ ดจุ เป็นทางท่มี าแหง่ ธลุ ี บรรพชาเป็นชอ่ งวา่ ง พอท่จี ะแสวงหาอบุ ายนนั้ ได้ จงึ นอ้ มพระหฤทยั ไปในบรรพชา ฯ (ปี 48) พระมหาบรุ ุษเสด็จออกบรรพชา เพราะทอดพระเนตรเห็นอะไร? และเม่ือเหน็ แลว้ ทรงพระดารอิ ย่างไร? ตอบ เพราะทอดพระเนตรเห็นเทวทตู ๔ คือ คนแก่ คนเจบ็ คนตาย และสมณะ ฯ ทรงพระดารวิ ่า บคุ คลท่วั ไปเมาอยใู่ นวยั ในความไมม่ ีโรค และในชีวติ ถกู ความเจบ็ ความแก่ ความตายครอบงา ไม่ลว่ งพน้ ไปได้ ถึงพระองคเ์ องก็มีอยา่ งนนั้ เป็นธรรมดา ควรแสวงหาอบุ ายเครอื่ งพน้ ธรรมดาสภาวะทง้ั ปวงย่อมมีของท่เี ป็นฝ่ายตรงกนั ขา้ มแกก้ นั เชน่ มรี อ้ นก็ตอ้ งมเี ย็นแก้ มมี ดื ก็ตอ้ งมสี ว่างแก้ แต่ฆราวาสเป็นท่คี บั แคบ ดจุ เป็น ทางท่มี าแห่งธุลี บรรพชาเป็นชอ่ งว่าง พอท่จี ะแสวงหาอบุ ายนน้ั ได้ จึงนอ้ มพระทยั ไปในบรรพชา ฯ (ปี 47) การท่พี ระราชบดิ าและพระญาติวงศ์ คดิ ผกู พนั เจา้ ชายสทิ ธัตถะไวใ้ หเ้ พลิดเพลินอย่ใู นกามสขุ เพราะเหตไุ ร? และดว้ ยวธิ ีใด? ตอบ เพราะพระราชบิดาและพระญาติวงศไ์ ดท้ รงฟังคาทานายของอสติ ดาบสวา่ พระราชกมุ ารนจี้ กั มคี ติเป็นสอง คอื ถา้ อยู่ ครองราชสมบตั จิ กั ไดเ้ ป็นจกั รพรรดริ าช หรอื ถา้ ออกบรรพชาจกั ไดเ้ ป็นศาสดาเอกในโลก จึงปรารถนาใหอ้ ย่คู รองราชสมบตั ิมากกวา่ ท่จี ะยอม ใหเ้ สด็จออกบรรพชา ฯ ดว้ ยการตรสั ใหข้ ดุ สระโบกขรณีในพระราชนิเวศน์ ๓ สระ เพ่ือใหเ้ ป็นท่เี ลน่ สาราญพระราชหฤทยั ใหจ้ ดั เครื่องทรง คือจนั ทนส์ าหรบั ทา ผา้ โพก พระเศยี ร ฉลองพระองค์ ผา้ ทรงสะพกั พระภษู า ลว้ นเป็นของประณีต ใหส้ รา้ งปราสาท ๓ หลงั สาหรบั เป็นท่ปี ระทบั ทง้ั ๓ ฤดู ตรสั ขอพระนาง ยโสธรามาอภิเษกเป็นพระชายา ฯ (ปี 45) พระมหาบรุ ุษทรงอธิษฐานเพศเป็นบรรพชติ ท่ีไหน ? ตอบ ท่รี มิ ฝ่ังแมน่ า้ อโนมา ณ อนปุ ิยอมั พวนั แควน้ มลั ละ ฯ (ปี 44) อะไรเป็นมลู เหตใุ หเ้ จา้ ชายสทิ ธัตถะเสดจ็ ออกผนวช? พระสทิ ธตั ถะทรงบาเพญ็ ทกุ รกริ ยิ า ดว้ ยวธิ ีอยา่ งไรบา้ ง? ตอบ พระอรรถกถาจารยแ์ สดงตามนยั มหาปทานสตู รว่า ไดท้ อดพระเนตรเหน็ เทวทตู ทง้ั ๔ คือ คนแก่ คนเจบ็ คนตาย และสมณะ ทรงสงั เวช เพราะไดท้ อดพระเนตรเหน็ เทวทตู ๓ ขา้ งตน้ ยงั ความพอพระหฤทยั ในการออกผนวชใหเ้ กดิ ขึน้ เพราะไดท้ อดพระเนตรเห็นสมณะ ฯ วธิ ีแรก ทรงกดพระทนตด์ ว้ ยพระทนต์ กดพระตาลดุ ว้ ยพระชิวหา วธิ ีท่สี อง ทรงผอ่ นกลนั้ ลมอสั สาสะปัสสาสะ วิธีท่สี าม ทรงอดพระกระยาหาร ฯ (ปี 54) พระมหาบรุ ุษไดท้ รงศกึ ษาในสานกั อาฬารดาบสและอทุ กดาบสจนจบวิชาความรูข้ องอาจารย์ การท่จี ะกล่าวว่า พระองคต์ รสั รูช้ อบดว้ ย พระองคเ์ องโดยไมม่ ใี ครเป็นครูอาจารย์ นน้ั เพราะเหตไุ ร? ตอบ เพราะความรูท้ ่เี รียนในสานกั ดาบสทง้ั ๒ นนั้ เป็นโลกิยธรรม สว่ นความรูท้ ่ตี รสั รูเ้ อง เป็นโลกตุ รธรรมท่ไี มม่ ีใครรูม้ ากอ่ น 6|P a g e
บาเพ็ญทกุ รกริ ยิ า (ปี 56) พระมหาบรุ ุษเสด็จประทบั บาเพ็ญเพยี รจนถงึ ตรสั รู้ ณ ตาบลใด? ตอบ ณ ตาบลอรุ ุเวลาเสนานคิ ม ฯ (ปี 55) ทกุ รกิรยิ า คืออะไร? พระมหาบรุ ุษทรงบาเพญ็ ทกุ รกิรยิ าดว้ ยอยา่ งไรบา้ ง? จงบอกมา ๑ ขอ้ ตอบ ทุกรกิรยิ า คอื การทรมานกายใหล้ าบาก ฯ พระพทุ ธเจา้ ทรงบาเพญ็ ทกุ รกริ ยิ า ๓ วาระ ๑.ทรงกดพระทนตด์ ว้ ยพระทนต์ (กดั ฟัน) กดพระตาลดุ ว้ ยพระชิวหา (เอาลนิ้ ดนุ เพดาน) ไวจ้ นแนจ่ นพระเสโท (เหง่อื ) ไหลออกจากพระกจั ฉะ(รกั แร)้ ๒.ทรงผอ่ นกลนั้ ลมหายใจเขา้ ออก ๓.ทรงอดพระกระยาหาร ฯ (ปี 54) พระมหาบรุ ุษทรงบาเพญ็ ทกุ รกริ ยิ า ณ ท่ีไหน? ผทู้ ่รี ูเ้ ห็นเป็นพยานในเรื่องนีค้ อื ใคร? ตอบ ณ ตาบลอรุ ุเวลาเสนานคิ ม แควน้ มคธ ท่รี ูเ้ ห็นเป็นพยานคอื พระปัญจวคั คี (ปี 52) การท่พี ระมหาบรุ ุษทรงเลิกบาเพ็ญทกุ กรกริ ยิ านน้ั เพราะเหตไุ ร? ตอบ เพราะทรงดารวิ ่า ทกุ กรกิรยิ าท่ที รงบาเพญ็ นน้ั จะยิง่ ไปกวา่ นไี้ มม่ ี แต่ก็ไมเ่ ป็นทางใหต้ รสั รูไ้ ด้ การบาเพญ็ เพยี รทางจิตจกั เป็นทางตรสั รูไ้ ด้ กระมงั แตค่ นซบู ผอมเชน่ นไี้ ม่สามารถทาได้ จงึ ทรงเลิกบาเพ็ญทกุ กรกริ ยิ า กลบั มาเสวย พระอาหารตามปกติ ฯ ก่อนตรัสรู้ • (ปี 55) นางสุชาดา เป็นผถู้ วายขา้ วมธุปายาสกอ่ นตรสั รู้ (ปี 44) ในวนั ตรสั รูท้ รงอธษิ ฐานพระหฤทยั ท่ใี ตต้ น้ มหาโพธิ์วา่ อยา่ งไร? ตอบ ทรงอธษิ ฐานพระหฤทยั วา่ \"ยงั ไมบ่ รรลุโพธญิ าณเพยี งใด จักไม่ลุกขนึ้ เพียงน้ัน เนือ้ เลอื ดแหง้ ไป เหลอื หนังหุ้มกระดูกกต็ าม\" (ปี 44) พระสทิ ธัตถะทรงผจญมารไดช้ ยั ชนะดว้ ยบารมธี รรมอะไรบา้ ง? ตอบ ดว้ ยบารมธี รรม ๑๐ อยา่ ง คอื ทาน ศลี เนกขมั มะ ปัญญา วริ ยิ ะ ขนั ติ สจั จะ อธิษฐาน เมตตา อเุ บกขา (ปี 48) พระญาณท่เี กดิ ขึน้ แก่พระมหาบรุ ุษในวนั ทต่ี รสั รูน้ นั้ คืออะไรบา้ ง? ตอบ คือ ๑.ปพุ เพนวิ าสานสุ สตญิ าณ ญาณเป็นเครือ่ งระลกึ ถงึ ชาตหิ นหลงั ของพระองคไ์ ด้ ๒.จตุ ปู ปาตญาณหรือทพิ พจกั ขญุ าณ ญาณหย่งั รูก้ ารจุตแิ ละการเกิดของสตั วท์ ง้ั หลายท่เี ป็นไปตามกรรม ๓.อาสวกั ขยญาณ ญาณเป็นเหตสุ นิ้ อาสวะอนั หมกั หมมอยใู่ นจติ ตสนั ดาน ฯ (เรอ่ื งญาณ ๓ ปี 45, 43) ในราตรแี ห่งการตรสั รู้ พระมหาบรุ ุษทรงบรรลญุ าณอะไรในแต่ละยาม? ตอบ ทรงบรรลปุ พุ เพนิวาสานสุ สติญาณ ในปฐมยาม ทรงบรรลจุ ตุ ปู ปาตญาณหรือทิพพจกั ษุญาณ ในมชั ฌมิ ยาม ทรงบรรลอุ าสวกั ขยญาณ ในปัจฉิมยาม ฯ (ปี 43) ญาณขอ้ ไหน ท่ที าใหพ้ ระองคท์ รงสาเรจ็ ความเป็นพทุ ธะโดยสมบรู ณ์ ? ตอบ ญาณ ขอ้ ท่ี ๓ หลังตรัสรู้ (ปี 53) เม่ือพระพทุ ธเจา้ ตรสั รูใ้ หม่ ๆ พระองคท์ รงพจิ ารณาบคุ คลผสู้ ามารถจะตรสั รูธ้ รรมไดโ้ ดยเปรียบเทยี บกบั บวั ๓ เหลา่ อยา่ งไรบา้ ง? ตอบ บวั ๓ เหลา่ 7|P a g e
๑.ดอกบัวทโ่ี ผลพ่ น้ น้าแลว้ เมอ่ื ถกู แสงพระอาทติ ยก์ พ็ ร้อมทจี่ ะเบ่งบานทนั ที คอื ผเู้ ขา้ ใจเรว็ พลนั เพยี งท่านยกหวั ขอ้ ธรรมขึน้ แสดง (กเิ ลสนอ้ ย อนิ ทรียก์ ลา้ ) ๒.ดอกบวั ทอ่ี ยเู่ สมอน้า พร้อมจะบานในวันพรุ่ง คือผรู้ ูแ้ ละเขา้ ใจไดต้ อ่ เม่ือท่านอธิบายขยายเนอื้ ความจงึ รูแ้ จง้ (กเิ ลสปานกลาง อนิ ทรยี ์ ปานกลาง) ๓.ดอกบวั ทอี่ ยู่ใตน้ า้ พร้อมทจี่ ะบานในวันต่อๆ ไป คือผพู้ อแนะนาพร่าสอนบ่อยๆ ค่อยเขา้ ใจได้ (กิเลสหนา อนิ ทรยี อ์ ่อน) (ปี 58) ผปู้ ระกาศตนเป็นอบุ าสกดว้ ยการถงึ รตั นะ ๒ เป็นครงั้ แรก คือใคร ? ไดพ้ บพระพทุ ธเจา้ ท่ไี หน ? ตอบ คือตปสุ สะ และภลั ลกิ ะ ฯ ท่ใี ตต้ น้ ราชายตนะ ฯ (ปี 51) พระกระยาหารมอื้ แรกของพระพทุ ธเจา้ หลงั ตรสั รูค้ อื อะไร? ใครเป็นผถู้ วาย? ตอบ คอื ขา้ วสตั ตผุ ง ขา้ วสตั ตกุ อ้ น ฯ พ่อคา้ ๒ คน ช่ือตปสุ สะและภลั ลกิ ะ ฯ (ปี 45) พระพทุ ธองคท์ รงตดั สินพระทยั แสดงธรรมโปรดเวไนยสตั วเ์ พราะทรงพิจารณาอย่างไร? ตอบ เพราะทรงพจิ ารณาวา่ บคุ คลผมู้ กี ิเลสนอ้ ยเบาบางกม็ ี หนาก็มี ผมู้ อี ินทรียก์ ลา้ กม็ ี ออ่ นก็มี เป็นผจู้ ะพึงสอนใหร้ ูไ้ ดโ้ ดยงา่ ยกม็ ี โดยยากก็มี เป็นผสู้ ามารถจะรูไ้ ดก้ ม็ ี ไม่สามารถจะรูไ้ ดก้ ม็ ี เปรียบเหมือนดอกบวั ๔ เหล่า เม่ือเป็นเชน่ นนั้ พระธรรมเทศนาคงไมไ่ รผ้ ล จกั ยงั ประโยชนใ์ ห้ สาเรจ็ แกค่ นทกุ เหล่า เวน้ แต่จาพวกท่ีมใิ ชเ่ วไนยสตั วท์ ่เี ปรยี บดว้ ยดอกบวั อนั เป็นภกั ษาแหง่ ปลาและเตา่ ฯ (ปี 44) พระสทิ ธตั ถะทรงบาเพญ็ เพียรอยเู่ ป็นเวลาก่ีปีจงึ ไดต้ รสั รู้ ? ตอบ เป็นเวลา ๖ ปี (ปี 56) เม่ือพระศาสดาเสด็จไปเมอื งพาราณสีเพ่อื โปรดปัญจวคั คยี ์ ทรงพบใครในระหวา่ งทาง? และหลงั สนทนากนั แลว้ ผนู้ น้ั ไดบ้ รรลผุ ลอะไร? ตอบ ทรงพบอปุ กาชวี ก ฯ ไมไ่ ดบ้ รรลผุ ลอะไร ฯ (ปี 47) หลงั จากตรสั รูแ้ ลว้ ในระหว่างทางทเ่ี สดจ็ ไปป่าอิสปิ ตนมฤคทายวนั พระพทุ ธองคท์ รงสนทนากบั ใคร? และผนู้ นั้ ไดบ้ รรลธุ รรมชนั้ ไหน? ตอบ ทรงพบอปุ กาชวี ก ฯ อปุ กาชวี กไม่ไดบ้ รรลธุ รรมชน้ั ไหนเลย ฯ (ปี 45) พระพทุ ธองคต์ รสั รูธ้ รรมพเิ ศษแลว้ ในพรรษาแรกเสด็จประทบั อย่ทู ่ไี หน? และทรงบาเพ็ญพทุ ธกิจไวอ้ ยา่ งไร? ตอบ ประทบั อยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวนั แขวงเมืองพาราณสี ฯ ไดท้ รงบาเพ็ญพทุ ธกจิ ท่สี าคญั ไวด้ งั นี้ ๑.ทรงแสดงธรรมโปรดพระภิกษุปัญจวคั คียใ์ หไ้ ดส้ าเรจ็ มรรคผลสงู สดุ ๒.ทรงแสดงธรรมโปรดพระยสะพรอ้ มดว้ ยสหายอีก ๕๔ คน จนสาเรจ็ พระอรหตั ผลทง้ั หมด ๓.ทรงแสดงธรรมโปรดบดิ ามารดาและภรรยาเกา่ ของพระยสะใหไ้ ดด้ วงตาเห็นธรรม แลว้ แสดงตนเป็นอบุ าสกอบุ าสกิ า ผถู้ ึงพระรตั นตรยั ก่อน กวา่ ชนทง้ั ปวงในโลก ๔. ทรงส่งพระอรหนั ตสาวก ๖๐ องค์ ไปประกาศพระศาสนายงั ถ่นิ ตา่ งๆ เพ่อื ประโยชนส์ ขุ แกช่ าวโลก ฯ ปัญจวัคคีย์ • ปัญจวคั คยี ์ (คอยอุปัฏฐาก) ไดแ้ ก่ โกณฑญั ญะ วัปปะ ภัททยิ ะ มหานามะ อัสสชิ วนั อาสาฬหบชู า พระพทุ ธเจา้ แสดงธรรมจกั รกัปปวตั ตนสตู ร บรรพชิตไม่ควรเสพ ๑.กามสขุ ลั ลกิ านโุ ยค ๒.อตั ตกลิ มถานโุ ยค มัชฌมิ าปฏปิ ทา ขอ้ ปฏบิ ตั อิ นั เป็นทางสายกลางอรยิ มรรคมีองค์ ๘ และอริยสัจ ๔] 8|P a g e
บรรลเุ ป็นพระอรหนั ตพ์ รอ้ มกนั ทงั้ หมดในวนั แรม ๕ คา่ เดือน ๘ ดว้ ยธรรมะช่ือวา่ อนัตตลักขณสตู ร (ขนั ธท์ งั้ ๕ เป็นของไม่เท่ยี ง เป็น ทกุ ข์ เป็นอนตั ตา ไม่ควรยึดม่นั ) • พระอัญญาโกณฑัญญะ ไดด้ วงตาเห็นธรรมวา่ “สิ่งใดส่ิงหน่ึง มคี วามเกดิ เป็ นธรรมดา สงิ่ นนั้ ทัง้ หมดมคี วามดับไปเป็ น ธรรมดา” • ปัญจวคั คยี ์ -> ไดฟ้ ัง ธรรมจกั รกปั ปวตั ตนสตู ร มชั ฌมิ าปฏปิ ทา อรยิ สจั ๔ และอตั ตลกั ขณสตู ร (ปี 63, 61, 55) พระพทุ ธเจา้ ทรงตดั สินพระทยั จะแสดงธรรมแกป่ ัญจวคั คยี ก์ อ่ นเพราะเหตไุ ร? ตอบ เพราะทรงระลกึ ถงึ อปุ การคณุ ของปัญจวคั คยี ท์ ่ไี ดค้ อยอปุ ัฏฐากพระองคเ์ ม่ือครงั้ ทรงบาเพญ็ ทกุ รกิรยิ า ฯ (ปี 62, 54) พระอญั ญาโกณฑญั ญะไดช้ ่ือวา่ เป็นปฐมสาวก เพราะเหตไุ ร ? ตอบ เพราะไดฟ้ ังธมั มจกั กปั ปวตั ตนสตู ร ไดด้ วงตาเหน็ ธรรมแลว้ อปุ สมบทในพระพทุ ธศาสนาเป็นองคแ์ รก ฯ (ปี 59) พระอรหนั ตสาวก ๕ รูปแรก คอื ใครบา้ ง ? ตอบ ๑. พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ๒. พระวปั ปะ ๓. พระภทั ทิยะ ๔. พระมหานามะ ๕. พระอสั สชิ เรียกวา่ พระปัญจวคั คยี ์ ฯ (ปี 59) หลงั จากตรสั รูแ้ ลว้ พระพทุ ธเจา้ ทรงพระประสงคจ์ กั แสดงธรรมแก่ใครกอ่ น? และสมพระประสงคห์ รอื ไม่ ? เพราะเหตไุ ร ? ตอบ ทรงพระประสงคจ์ กั แสดงแกอ่ าฬารดาบส กาลามโคตร และอทุ กดาบส รามบตุ ร ฯ ไมส่ มพระประสงค์ ฯ เพราะทา่ นทง้ั ๒ นนั้ สนิ้ ชีพเสยี แลว้ ฯ (ปี 58) ปัญจวคั คยี ์ ไดแ้ กใ่ ครบา้ ง ? ทา่ นเหล่านนั้ อปุ สมบทดว้ ยวธิ ีอะไร ? ตอบ ไดแ้ กพ่ ระอญั ญาโกณฑญั ญะ พระวปั ปะ พระภทั ทยิ ะ พระมหานามะ และ พระอสั สชิ ฯ ดว้ ยวิธีเอหิภิกขอุ ปุ สมั ปทาฯ (ปี 57) พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงปฐมเทศนาแกใ่ คร และบงั เกดิ ผลเลศิ อย่างไร? ตอบ แก่พระปัญจวคั คยี ์ ฯ บงั เกดิ ผลเลศิ คอื พระอญั ญาโกณฑญั ญะไดด้ วงตาเห็นธรรมแลว้ ทลู ขอบรรพชา ฯ (ปี 53) ปัญจวคั คีย์ คอื ใคร? มคี วามเกย่ี วขอ้ งกบั พระพทุ ธเจา้ ขณะท่ยี งั ทรงบาเพ็ญทกุ รกิรยิ าอย่างไร? ตอบ คือ นกั บวชกลมุ่ หนึ่ง มที งั้ หมด ๕ คน มที ่านโกณทญั ญะเป็นหวั หนา้ ฯ ไดต้ ามเสดจ็ คอยอปุ ัฏฐากรบั ใชอ้ ยตู่ ลอดเวลา ฯ (ปี 46) ปัญจวคั คยี ์ ไดแ้ กใ่ ครบา้ ง? ท่านเหลา่ นนั้ อปุ สมบทดว้ ยวิธีอะไร? และบรรลอุ รหตั ผลท่ไี หน? ตอบ ไดแ้ ก่ พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ๑ พระวปั ปะ ๑ พระภทั ทยิ ะ ๑ พระมหานามะ ๑ พระอสั สชิ ๑ ฯ อปุ สมบทดว้ ยวิธีเอหภิ ิกขอุ ปุ สมั ปทา ฯ บรรลอุ รหตั ผลท่ปี ่าอิสิปตนมฤคทายวนั เมืองพาราณสี ฯ (ปี 44) จงใหค้ วามหมายของคาวา่ ปฐมเทศนา และมชั ฌมิ าปฏปิ ทา ดอบ ปฐมเทศนา คอื การแสดงธรรมครงั้ แรก มชั ฌิมาปฏิปทา คอื ขอ้ ปฏบิ ตั อิ นั เป็นทางสายกลาง (ปี 43) พระพทุ ธองคท์ รงแสดงปฐมเทศนาเม่ือไร? ใจความแห่งปฐมเทศนานน้ั วา่ ดว้ ยเรอื่ งอะไร? ตอบ เม่ือวนั เพ็ญ เดอื นอาสาฬหะ สองเดอื นหลงั จากตรสั รู้ ว่าดว้ ยท่สี ดุ สองอยา่ งอนั บรรพชิตไม่ควรเสพ, มชั ฌิมาปฏปิ ทา, และอรยิ สจั ๔ ยสะกลุ บุตร • ยสกุลบตุ ร -> ไดฟ้ ัง อนปุ พุ พกี ถา และ อรยิ สจั ๔ (ปี 62, 59, 55, 44 ออกแทบทกุ ปี ) คาวา่ \"ท่นี ่วี นุ่ วายหนอ ท่นี ่ขี ดั ขอ้ งหนอ\" เป็นคาอทุ านของใคร ? เพราะเหตใุ ดจงึ อุทานเชน่ นนั้ ? ตอบ ของยสกลุ บตุ ร ฯ เพราะเห็นอาการพกิ ลตา่ ง ๆ ของหมชู่ นบรวิ ารท่นี อนหลบั ไมเ่ ป็นท่ตี ัง้ แหง่ ความยนิ ดีเหมอื นเม่ือก่อน หมชู่ นบรวิ ารเหล่านน้ั ปรากฏแกย่ สกลุ บตุ ร ดจุ ซากศพท่ที งิ้ อย่ใู นป่าชา้ ครนั้ เห็นแลว้ เกดิ ความสงั เวชสลดใจ คดิ เบือ่ หนา่ ย จงึ ไดอ้ อกอทุ านเชน่ นน้ั ฯ 9|P a g e
(ปี 58) อนปุ พุ พีกถา ๕ วา่ ดว้ ยเรอื่ งอะไร ? ทรงแสดงครงั้ แรกแกใ่ คร ? ตอบ วา่ ดว้ ยทาน ศีล สวรรค์ โทษแหง่ กาม และอานสิ งสแ์ ห่งการออกจากกาม ฯ แกย่ สกลุ บตุ ร ฯ (ปี 57) คาวา่ “ท่นี ่ไี ม่ว่นุ วาย ท่ีน่ไี มข่ ดั ขอ้ ง” เป็นวาจาของใคร? กลา่ วกะใคร? ตอบ ของพระพทุ ธเจา้ ฯ กะยสกลุ บตุ ร ฯ (ปี 54) ทนี่ ่วี ุ่นวายหนอ ทน่ี ่ีขดั ขอ้ งหนอ” เป็ นคาอทุ านของใคร? ความวุ่นวายขัดขอ้ งนั้นสงบลงไดอ้ ยา่ งไร ตอบ คาอทุ านของ ยสะกลุ บตุ ร ความว่นุ วายขดั ขอ้ งนนั้ สงบลงไดโ้ ดยการฟังพระธรรมเทศนา อนปุ พุ พีกถาและอรยิ สจั ๔ ท่พี ระพทุ ธเจา้ แสดง โปรด ชฎิล ๓ พี่นอ้ ง • ชฎิล ๓ พน่ี ้อง -> ไดฟ้ ัง อาทติ ตปรยิ ายสตู ร • ชฎลิ ๓ พน่ี ้อง คอื อรุ ุเวลกัสสปะ นทกี สั สปะ คยากัสสปะ และบรวิ าร ๑,๐๐๐ คน พระพทุ ธเจา้ แสดงอาทติ ตปรยิ ายสตู ร ท่ี ตาบลคยาสีสะ ใกลแ้ ม่นา้ คยา ใจความว่า “อายตนะภายใน อายตนะภายนอก เป็นของรอ้ นๆ เพราะไฟกิเลสมคี วามกาหนดั ความ โกรธหรือความหลง เผาลนจติ ใจ และรอ้ นเพราะไฟทกุ ข์ มีความเกดิ แก่ เจ็บ ตาย ความโศก ร่าไร ราพนั ความคบั แคน้ ใจ เป็นตน้ มา เผาลนใหร้ อ้ น” (ปี 51) พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงอาทติ ตปรยิ ายสตู รแกใ่ คร? ท่ไี หน? ตอบ แกช่ ฎิล ๓ พ่นี อ้ ง และบรวิ าร ๑,๐๐๐ คน ฯ ท่ตี าบลคยาสีสะ ใกลแ้ ม่นา้ คยา ฯ โปรดพระเจ้าพิมพิสาร • ลัฏฐิวนั (สวนตาลหน่มุ ) เมืองราชคฤห์ แควน้ มคธ เป็นสถานท่แี สดงธรรมเทศนาโปรดพระเจา้ พมิ พสิ ารและขา้ ราชบรพิ ารจนสาเรจ็ เป็นพระโสดาบนั (๑๑ นหตุ บรรลโุ สดาบนั สว่ นอีก ๑ นหตุ ขอถงึ พระรตั นตรยั ) นหตุ คอื หนง่ึ หม่ืน (ปี 52) พระพทุ ธเจา้ ทรงเลือกแควน้ มคธเป็นท่ปี ระดิษฐานพระพทุ ธศาสนาเป็นแหง่ แรก เพราะเหตไุ ร ? ตอบ เพราะแควน้ มคธ เป็นแควน้ ใหญ่มีอานาจและบรบิ รู ณด์ ว้ ยสมบตั ิ มปี ระชาชนมาก มเี จา้ ลทั ธิมาก จงึ ทรงเลอื ก ฯ (ปี 49) เพราะเหตใุ ดพระพทุ ธเจา้ ทรงเลือกแควน้ มคธเป็นท่ปี ระดษิ ฐานพระพทุ ธศาสนาเป็นครงั้ แรก ? ตอบ เพราะแควน้ มคธเป็นเมืองใหญ่มีอานาจและบรบิ รู ณด์ ว้ ยสมบตั ิ คบั ค่งั ดว้ ยประชาชน พระเจา้ พิมพิสารทรงปกครองโดยสิทธิ์ขาด ทง้ั เป็น ท่อี ย่แู ห่งครูเจา้ ลทั ธิมากกวา่ มาก ฯ (ปี 45) พระราชาของแควน้ ไหนท่นี บั ถือพระพทุ ธศาสนาเป็นองคแ์ รก? และทรงพระนามว่าอะไร? ความปรารถนาวา่ \"ขอใหข้ า้ พเจา้ รูท้ ่วั ถงึ ธรรมของพระอรหนั ต\"์ เป็นความปรารถนาของใคร? และความปรารถนานน้ั สาเรจ็ บรบิ รู ณเ์ ม่ือไร? ตอบ พระราชาของแควน้ มคธ ทรงพระนามว่า พมิ พิสาร ฯ ของพระเจา้ พมิ พสิ ารครงั้ ยงั ทรงเป็นพระราชกมุ าร ฯ สาเรจ็ บรบิ รู ณใ์ นวนั ท่ีไดฟ้ ังอนุ ปพุ พกี ถาและอรยิ สจั ๔ ท่พี ระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงโปรด ณ สวนตาลหนมุ่ จนไดด้ วงตาเหน็ ธรรม ฯ (ปี 43) พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ กรุงราชคฤหค์ รงั้ แรกภายหลงั ตรสั รูป้ ระทบั ท่ไี หน? ทรงรบั ถวายพระอารามแหง่ แรกช่ืออะไร? ตอบ ประทบั ณ ลฏั ฐิวนั สวนตาลหนมุ่ ฯ ช่ือวา่ เวฬวุ นารามฯ พระอสั สชิ พระสารบี ุตร พระพระโมคคัลลานะ • พระอัสสชิ แสดงธรรมใหอ้ ปุ ติสสะวา่ “ธรรมเหล่าใดเกดิ แตเ่ หตุ พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงเหตแุ ห่งธรรมเหล่าน้ัน และความ ดบั ของธรรมเหลา่ นนั้ พระองคม์ ปี กติตรัสอย่างนี”้ 10 | P a g e
• พระสารีบุตร(อุปตสิ สะ) สาเรจ็ เป็นพระโสดาบนั เพราะฟังธรรมจากพระอสั สชิ ไดด้ วงตาเหน็ ธรรมว่า “สิ่งใดสิง่ หนึ่ง มคี วามเกดิ เป็ นธรรมดา สงิ่ นั้นทงั้ หมดมีความดับไปเป็ นธรรมดา” และหลงั บวชได๑้ ๕ วนั บรรลพุ ระอรหนั ต์ • พระโมคคัลลานะ(โกลติ ะ) สาเรจ็ เป็นพระโสดาบนั เพราะฟังธรรมจากพระสารบี ตุ ร ไดด้ วงตาเหน็ ธรรมเพราะฟังธรรมจากพระสารี บตุ ร และหลงั บวชได้ ๗ วนั บรรลพุ ระอรหนั ต์ (ปี 61) พระสารีบตุ รสาเรจ็ เป็นพระโสดาบนั เพราะไดฟ้ ังธรรมจากใคร ? ธรรมนนั้ มใี จความวา่ อยา่ งไร ? ตอบ จากพระอสั สชเิ ถระ ฯ ใจความวา่ \"ธรรมใดเกดิ แต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตแุ หง่ ธรรมนนั้ และความดบั แหง่ ธรรมนนั้ \" ฯ (ปี 60, 52) พระอคั รสาวกทงั้ ๒ องคส์ าเรจ็ เป็นพระโสดาบนั เพราะฟังธรรมจากใคร ? ตอบ พระสารบี ตุ ร ฟังธรรมจากพระอสั สชเิ ถระ ฯ พระโมคคลั ลานะ ฟังธรรมจากพระสารีบตุ ร ฯ (ปี 57) พระสารบี ตุ ร พระโมคคลั ลานะ ไดด้ วงตาเห็นธรรมเพราะฟังธรรมจากใคร? ตอบ พระสารีบตุ รฟังธรรมจากพระอสั สชิ พระโมคคลั ลานะฟังธรรมจากพระสารบี ตุ ร ฯ (ปี 53) คาวา่ ดวงตาเหน็ ธรรม นน้ั คือเห็นอยา่ งไร? พระโมคคลั ลานะและพระสารีบตุ รไดด้ วงตาเหน็ ธรรมเพราะฟังธรรมจากใคร? ตอบ คือเห็นวา่ สิ่งใดสิ่งหนง่ึ มคี วามเกดิ ขึน้ เป็นธรรมดา สง่ิ นน้ั ทง้ั มวลมคี วามดบั เป็นธรรมดา ฯ พระโมคคลั ลานะไดด้ วงตาเหน็ ธรรมเพราะฟัง ธรรมจากพระสารบี ตุ ร และพระสารบี ตุ รไดด้ วงตาเหน็ ธรรมเพราะฟังธรรมจากพระอสั สชิเถระ ฯ จาตุรงคสนั นิบาต (วนั มาฆบขู า) • จาตุรงคสนั นบิ าต เกิดขนึ้ ท่วี ดั เวฬวุ นั (ปี 51) จาตรุ งคสนั นิบาต คือ การประชมุ ท่ีประกอบดว้ ยองคอ์ ะไรบา้ ง? ตอบ ดว้ ยองค์ คอื ๑. พระสาวกผเู้ ขา้ ประชมุ นน้ั ลว้ นเป็นพระอรหนั ต์ ๒. ทกุ ทา่ นลว้ นไดร้ บั เอหภิ กิ ขอุ ปุ สมั ปทา ๓. ไม่ไดม้ ีการนดั หมาย ตา่ งมาประชมุ พรอ้ มกนั เอง ๔. วนั นนั้ เป็นวนั เพ็ญเดือนมาฆะ และพระศาสดาประทาน พระบรมพทุ โธวาท ซง่ึ เรยี กวา่ โอวาทปาฏโิ มกข์ ฯ (ปี 48) ในวนั จาตรุ งคสนั นิบาต พระศาสดาทรงแสดงโอวาทปาฏโิ มกขแ์ กใ่ คร? ท่ไี หน? ทรงยกธรรมขอ้ ใดขนึ้ แสดงเป็นขอ้ ตน้ ? ตอบ ทรงแสดงแก่พระอรหนั ตขณี าสพ จานวน ๑,๒๕๐ องค์ ฯ ณ เวฬวุ นาราม ยกธรรมขอ้ ขนั ตขิ นึ้ แสดงเป็นขอ้ ตน้ พระธรรมเทศนาพระสูตร • อริยสจั ๔ (ปี 49) ในปฐมเทศนา พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงอรยิ สจั ไวเ้ ท่าไร? อะไรบา้ ง? ตอบ ทรงแสดงอรยิ สจั ไว้ ๔ ประการ ฯ คือ ๑.ทกุ ข์ ๒.สมทุ ยั ๓.นโิ รธ ๔.มรรค ฯ • อนัตตลกั ขณสูตร (ขนั ธท์ ง้ั ๕ เป็นของไมเ่ ท่ียง เป็นทกุ ข์ เป็นอนตั ตา ไม่ควรยดึ ม่นั ) มผี ลใหพ้ ระปัญจวคั คีทงั้ ๕ บรรลอุ รหตั ตผล (ปี 52) อนตั ตลกั ขณสตู ร วา่ ดว้ ยเร่ืองอะไร? ทรงแสดงเม่ือไร? ผลเป็นอยา่ งไร? ตอบ วา่ ดว้ ย ขนั ธ์ ๕ เป็นอนตั ตา ฯ เม่ือวนั แรม ๕ ค่า เดือน ๘ ฯ ผลคอื จิตของพระปัญจวคั คยี ท์ ง้ั ๕ พน้ แลว้ จากอาสวะ ไมถ่ ือม่นั ดว้ ย อปุ าทาน ฯ 11 | P a g e
(ปี 43) พระธรรมเทศนาตอ่ ไปนี้ พระพทุ ธองคท์ รงแสดงท่ีไหน และมีผลอยา่ งไร ? ก.อนตั ตลกั ขณสตู ร ข.อาทิตตปรยิ ายสตู ร ตอบ ก.ทรงแสดงท่ปี ่าอิสปิ ตนมฤคทายวนั มีผลใหพ้ ระปัญจวคั คยี ท์ งั้ ๕ ไดบ้ รรลอุ รหตั ตผล ข.ทรงแสดงท่ตี าบลคยาสีสะ ใกลแ้ ม่นา้ คยา มีผลใหพ้ ระภกิ ษุปรุ าณชฎลิ บรรลอุ รหตั ตผล • อนุปพุ พีกถา (ปี 58) อนปุ พุ พีกถา ๕ วา่ ดว้ ยเรอ่ื งอะไร ? ทรงแสดงครงั้ แรกแกใ่ คร ? ตอบ วา่ ดว้ ยทาน ศลี สวรรค์ โทษแหง่ กาม และอานิสงสแ์ ห่งการออกจากกาม ฯ แกย่ สกลุ บตุ ร ฯ (ปี 48) อนปุ พุ พกี ถา คืออะไรบา้ ง? ทรงแสดงแกใ่ ครเป็นครงั้ แรก? ตอบ คอื ทาน ศลี สวรรค์ กามาทีนพ และเนกขมั มานิสงสฯ์ แก่ยสกลุ บตุ รฯ • อาทติ ตปริยายสูตร ท่ตี าบลคยาสีสะ ใกลแ้ มน่ า้ คยา ใจความว่า “อายตนะภายใน อายตนะภายนอก เป็นของรอ้ นๆ เพราะไฟกิเลส มีความกาหนดั ความโกรธหรอื ความหลง เผาลนจิตใจ และรอ้ นเพราะไฟทกุ ข์ มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความโศก ร่าไร ราพนั ความ คบั แคน้ ใจ เป็นตน้ มาเผาลนใหร้ อ้ น” มีผลทาใหช้ ฎิล บรรลอุ รหตั ตผล • เวทนาปรคิ คหสตู ร แก่ทฆี นขปรพิ าชก ณ ถา้ สกุ รขาตา เขาคชิ ฌกฏู แขวงเมอื งราชคฤห์ ฯ มีใจความวา่ “ใหพ้ จิ ารณารา่ งกาย ซง่ึ มี ความแตกทาลายไมย่ ่งั ยืน และแสดงผลเสยี ของการยดึ ม่นั พรอ้ มกบั ตรสั ใหล้ ะเลกิ ทิฏฐิอย่างนน้ั เสยี ” (ปี 45) พระพทุ ธองคท์ รงแสดงธรรมตอ่ ไปนแี้ ก่ใคร? ท่ไี หน? ก. โอวาทปาฏิโมกข์ ข. เวทนาปรคิ คหสตู ร ตอบ ก. แก่พระอรหนั ตขีณาสพ ๑,๒๕๐ องค์ ณ เวฬวุ นาราม แควน้ มคธ ข. แกท่ ีฆนขปรพิ าชก ณ ถา้ สกุ รขาตา เขาคชิ ฌกฏู แขวงเมืองราชคฤห์ ฯ ส่ิงแรก/สงิ่ สุดทา้ ย ทนี่ ่าจา (ปี 63, 58) ใครถวายบิณฑบาตแดพ่ ระพทุ ธองคก์ ่อนตรสั รู้ และกอ่ นปรนิ ิพพาน ? ตอบ ก่อนตรสั รู้ คอื นางสชุ าดา กอ่ นปรนิ ิพพาน คอื นายจนุ ทะ ฯ (ปี 62, 54) พระอญั ญาโกณฑญั ญะไดช้ ่ือวา่ เป็นปฐมสาวก เพราะเหตไุ ร ? ตอบ เพราะไดฟ้ ังธมั มจกั กปั ปวตั ตนสตู ร ไดด้ วงตาเห็นธรรมแลว้ อปุ สมบทในพระพทุ ธศาสนาเป็นองคแ์ รก ฯ (ปี 61) ปฐมสาวกและปัจฉิมสาวก คอื ใคร ? ตอบ ปฐมสาวก คอื พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ปัจฉิมสาวก คอื พระสภุ ทั ทะ ฯ (ปี 60, 55, 46) เทศนากณั ฑแ์ รก ช่อื อะไร ? ปัจฉิมสกั ขิสาวก คอื สาวกองคส์ ดุ ทา้ ย ท่ไี ดเ้ หน็ พระศาสดา ไดแ้ ก่ใคร ? ตอบ เทศนากณั ฑแ์ รก ช่อื ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสตู ร ฯ ปัจฉิมสกั ขิสาวก ไดแ้ ก่ พระสภุ ทั ทะ ฯ (ปี 60, 50) ธรรมจกั ษุ ดวงตาเหน็ ธรรมนนั้ คือเหน็ วา่ อย่างไร? ไดเ้ กิดขนึ้ แก่ ผใู้ ดเป็นคนแรก? ตอบ เหน็ วา่ “ส่ิงใดสง่ิ หน่ึงมคี วามเกิดขนึ้ เป็นธรรมดา สง่ิ นนั้ ทง้ั หมดลว้ นมคี วามดบั เป็นธรรมดา” ฯ เกดิ แกโ่ กณฑญั ญพราหมณเ์ ป็นคนแรก ฯ (ปี 58) ผปู้ ระกาศตนเป็นอบุ าสกดว้ ยการถงึ รตั นะ ๒ เป็นครงั้ แรก คอื ใคร ? ไดพ้ บพระพทุ ธเจา้ ท่ไี หน ? ตอบ คอื ตปสุ สะ และภลั ลิกะ ฯ ท่ใี ตต้ น้ ราชายตนะ ฯ (ปี 56) บคุ คลผแู้ สดงตนเป็นอบุ าสกดว้ ยการถึงรตั นะ ๒ และรตั นะ ๓ เป็นคนแรกคอื ใคร ? ตอบ ผถู้ งึ รตั นะ ๒ คอื ตปสุ สะและภลั ลกิ ะ ฯ ผถู้ ึงรตั นะ ๓ คอื บดิ าพระยสะ ฯ (ปี 55) พระโสดาบัน องคแ์ รก เรยี กว่าเป็น ปฐมสาวก คือ พระอญั ญาโกณฑญั ญะ 12 | P a g e
(ปี 55) พระอรหนั ต์ มคี รงั้ แรก คอื พระปัญจวคั คีย์ (ปี 60, 52) คฤหสั ถท์ ่บี รรลพุ ระอรหตั ผลคนแรกคือใคร ? เพราะฟังธรรมอะไร ? ตอบ คือ ยสกลุ บตุ ร ฯ เพราะฟังอนปุ พุ พีกถา และอรยิ สจั ๔ ฯ (ปี 52) พระพทุ ธเจา้ ทรงเลือกแควน้ มคธเป็นท่ีประดษิ ฐานพระพุทธศาสนาเป็ นแหง่ แรก เพราะเหตไุ ร ? ตอบ เพราะแควน้ มคธ เป็นแควน้ ใหญ่มีอานาจและบรบิ รู ณด์ ว้ ยสมบตั ิ มีประชาชนมาก มเี จา้ ลทั ธิมาก จงึ ทรงเลอื ก ฯ (ปี 51) พระอรหนั ตสาวก ๕ รูปแรก คือใครบา้ ง? ตอบ คือ ๑. พระโกณฑญั ญะ ๒. วปั ปะ ๓. ภทั ทยิ ะ ๔. มหานามะ ๕. อสั สชิ (ปี 49) ผใู้ ดไดถ้ วายภตั ตาหารมอื้ แรกหลงั จากตรสั รู้ และภตั ตาหารมอื้ สดุ ทา้ ยก่อนปรนิ พิ พานแกพ่ ระพทุ ธเจา้ ? ตอบ ตปุสสะและภลั ลิกะ ๒ พาณิช ไดถ้ วายภตั ตาหารมอื้ แรกหลงั จากตรสั รูแ้ ลว้ นายจุนทกัมมารบุตร ไดถ้ วายภตั ตาหารมือ้ สดุ ทา้ ยก่อนปรนิ พิ พาน ฯ (ปี 48) อนปุ พุ พีกถา คอื อะไรบา้ ง? ทรงแสดงแกใ่ ครเป็นครงั้ แรก? ตอบ คือ ทาน ศีล สวรรค์ กามาทนี พ และเนกขมั มานสิ งสฯ์ แกย่ สกลุ บตุ รฯ (ปี 45) พระพทุ ธองคป์ ระทบั จาพรรษาสดุ ทา้ ย ณ ท่ใี ด? พระองคท์ รงปลงอายสุ งั ขารเม่ือใด? ตอบ ณ บา้ นเวฬวุ คาม กรุงเวสาลี แควน้ วชั ชี ฯ เม่ือวนั เพญ็ เดอื น ๓ คือ ๓ เดอื นก่อนเสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ พิ พาน ฯ (ปี 43) พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ กรุงราชคฤหค์ รงั้ แรกภายหลงั ตรสั รูป้ ระทบั ท่ไี หน? ทรงรบั ถวายพระอารามแห่งแรกช่ืออะไร? ตอบ ประทบั ณ ลฏั ฐิวนั สวนตาลหน่มุ ฯ ช่ือวา่ เวฬวุ นารามฯ กอ่ นปรนิ ิพพาน (ปี 62, 47) การปลงอายสุ งั ขารของพระพทุ ธองค์ ถือโดยใจความวา่ อยา่ งไร ? และทรงปลงอายสุ งั ขารเม่อื ใด ? ตอบ ถือโดยใจความว่า พระองคท์ รงปรารภถงึ สงั ขารวา่ ทรงพระชราล่วงกาลผา่ นไปไม่สามารถ บาเพญ็ พทุ ธกจิ ตอ่ ไปไดอ้ กี แลว้ ฯ เม่ือวนั เพ็ญ เดือน ๓ ก่อนวนั ปรนิ พิ พาน ๓ เดือน ฯ (ปี 50) พระพทุ ธองคท์ รงปลงอายสุ งั ขาร คอื ทรงทาอยา่ งไร? ท่ไี หน? เม่ือไร? ตอบ คอื ทรงกาหนดพระหฤทยั วา่ “จกั ปรนิ พิ พานในอกี ๓ เดือนขา้ งหนา้ ” ฯ ทรงทาท่ปี าวาลเจดยี ์ เมืองเวสาลี แควน้ วชั ชี ฯ เม่ือวนั เพ็ญเดอื น ๓ กอ่ นปรนิ ิพพาน ๓ เดอื น (วนั มาฆบชู า) ฯ (ปี 45) พระพทุ ธองคป์ ระทบั จาพรรษาสดุ ทา้ ย ณ ท่ใี ด? พระองคท์ รงปลงอายสุ งั ขารเม่ือใด? ตอบ ณ บา้ นเวฬวุ คาม กรุงเวสาลี แควน้ วชั ชี ฯ เม่ือวนั เพญ็ เดือน ๓ คอื ๓ เดอื นก่อนเสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ พิ พาน ฯ (ปี 43) พระพทุ ธองคท์ รงจาพรรษาสดุ ทา้ ยท่ีเมืองอะไร? ทรงรบั ภตั ตาหารมอื้ สดุ ทา้ ยท่ีเมอื งอะไร? ตอบ ท่เี วฬวุ คาม เขตเมอื งเวสาลฯี ท่ปี าวานคร ฯ (ปี 44) พระพทุ ธองคไ์ ดต้ รสั ถงึ สาเหตขุ องแผน่ ดินไหวไวอ้ ย่างไรบา้ ง ? จงบอกมา ๕ สาเหตุ ตอบ ตรสั ถงึ สาเหตดุ งั ตอ่ ไปนี้ (เลือกตอบเพยี ง ๕ ขอ้ ) ๑. ลมกาเรบิ ๕. พระพทุ ธเจา้ ตรสั รูพ้ ระอนตุ ตรสมั มาสมั โพธิญาณ ๒. ทา่ นผมู้ ฤี ทธิบ์ นั ดาล ๖. พระพทุ ธเจา้ ยงั ธรรมจกั รใหเ้ ป็นไป ๓. พระโพธิสตั วจ์ ตุ ิจากดสุ ติ ลงสพู่ ระครรภ์ ๗. พระพทุ ธเจา้ ทรงปลงอายสุ งั ขาร ๔. พระโพธิสตั วป์ ระสตู ิ ๘. พระพทุ ธเจา้ ปรนิ พิ พานดว้ ยอนปุ าทเิ สสนพิ พานธาตุ (ปี 50) พระพทุ ธเจา้ เสวยพระกระยาหารอะไร ก่อนแตเ่ สดจ็ ปรนิ ิพพาน? ใครถวาย? ตอบ เสวยมงั สะสกุ รอ่อน (สกู รมทั ทวะ) ฯ นายจนุ ทกมั มารบตุ รถวาย ฯ 13 | P a g e
(ปี 45) เม่ือจะเสด็จดบั ขนั ธปรนิ พิ พาน พระพทุ ธองคไ์ ดป้ ระทานพระโอวาทเร่อื งศาสดาแทนพระองคไ์ วอ้ ยา่ งไร? พระผมู้ ีพระภาคไดต้ รสั ถึงวธิ ีปฏบิ ตั ติ อ่ ภิกษุผถู้ กู ลงพรหมทณั ฑไ์ วอ้ ยา่ งไร? ตอบ ไดป้ ระทานพระโอวาทว่า \"ดูกอ่ นอานนท์ ธรรมกด็ ี วนิ ัยกด็ ี อนั ใด อนั เราไดแ้ สดงแลว้ ไดบ้ ัญญตั ิแลว้ แกท่ า่ นทัง้ หลาย ธรรม และวินัยนนั้ จักเป็ นศาสดาแหง่ ท่านทงั้ หลาย โดยกาลทลี่ ว่ งไปแล้วแหง่ เรา\" ฯ ตรสั ไวว้ ่า \"ภิกษุนน้ั จะพึงปรารถนาเจรจาคาใด ก็พงึ เจรจาคานนั้ ภิกษุทง้ั หลายไม่พงึ ว่า ไม่พงึ โอวาท ไม่พงึ ส่ังสอนเลย\" ฯ (ปี 44) พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงแกพ่ ระอานนทเ์ กีย่ วกบั การท่ภี ิกษุจะพึงปฏิบตั ติ อ่ สตรีไวอ้ ยา่ งไร? ตอบ ทรงแสดงว่า \" ไม่เหน็ เสียเลยดกี วา่ ถ้าจาเป็ นจะต้องเหน็ ก็อยา่ พูดดว้ ย ถา้ จาเป็ นจะตอ้ งพดู กใ็ ห้มสี ติสารวมระวังอยา่ ให้ แปรปรวนไปดว้ ยราคะ \" (ปี 48) พระปัจฉิมโอวาท มใี จความวา่ อยา่ งไร? ทรงประทานท่ไี หน? ตอบ พระปัจฉมิ โอวาท มใี จความ “ดกู รภกิ ษุทงั้ หลาย บดั นเี้ ราขอเตือนท่านทงั้ หลายวา่ สงั ขารทง้ั ปวงมคี วามเส่อื มไปเป็นธรรมดา ท่าน ทงั้ หลายจงยงั กิจของตนและของคนอ่นื ใหถ้ งึ พรอ้ ม ดว้ ยความไมป่ ระมาทเถดิ ” ทรงประทานท่ี สาลวโนทยาน เมอื งกสุ นิ ารา แควน้ มลั ละ (ปี 61, 53) พระพทุ ธเจา้ ทรงสรรเสรญิ ปฏบิ ัติบูชายง่ิ กว่าอามิสบชู าเพราะเหตไุ ร ? ตอบ การปฏิบัตบิ ชู า ถา้ ปฏบิ ตั สิ มควรแกธ่ รรม กจ็ ะเป็นเหตปุ ัจจยั ใหต้ รสั รูธ้ รรมได้ เป็นไปตามจดุ ม่งุ หมายสงู สดุ ในพระศาสนา เป็นพทุ ธ ประสงคห์ ลกั ในการเผยแผศ่ าสนา และทาใหศ้ าสนาตงั้ อยไู่ ดน้ าน ถูปารหบุคคล คอื บคุ คลท่คี วรแกก่ ารบรรจุอฐั ิธาตไุ วใ้ นสถปู เพ่อื บชู า มี ๔ ประเภท ไดแ้ ก่ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ , พระปัจเจกพทุ ธเจา้ , พระ อรหนั ตสาวก และพระเจา้ จกั รพรรดิ์ (ปี 59) ถปู ารหบคุ คล มกี ี่ประเภท ? คอื ใครบา้ ง ? ตอบ มี ๔ ประเภท ฯ คอื ๑. พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ๒. พระปัจเจกพทุ ธเจา้ ๓. พระอรหนั ตสาวก ๔. พระเจา้ จกั รพรรด์ิ ฯ (ปี 54, 46) ถปู ารหบคุ คล คอื บคุ คลเช่นไร? ไดแ้ กใ่ ครบา้ ง? หลงั ปรินพิ พาน (ปี 58) สถานทถ่ี วายพระเพลงิ พระพทุ ธสรีระ ช่ือวา่ อะไร ? ตงั้ อยใู่ นเมืองอะไร ? ตอบ ช่ือวา่ มกฏุ พนั ธนเจดยี ์ ฯ เมืองกสุ นิ ารา ฯ (ปี 57) ผทู้ ่กี ลา่ วสนุ ทรพจนร์ ะงบั ไมใ่ หเ้ กดิ สงครามแยง่ ชงิ พระบรมสารรี กิ ธาตุ คือใคร? ตอบ โทณพราหมณ์ ฯ (ปี 46) เม่ือวนั พระศาสดาปรนิ พิ พาน มพี ระสาวกผใู้ หญ่อยใู่ นท่นี นั้ กี่รูป? ใครบา้ ง? หลงั พทุ ธปรนิ ิพพานแลว้ ไดม้ ีการถวายพระเพลิงพระพทุ ธสรรี ะท่ไี หน? เม่ือไร? ตอบ มี ๒ รูป คือ พระอนรุ ุทธเถระ และพระอานนทเถระ ฯ ท่ี มกฏุ พนั ธนเจดยี ์ ฯ หลงั พทุ ธปรนิ ิพพานได้ ๗ วนั ฯ สงั คายนา (ปี 47) พระพทุ ธศาสนาสืบเน่อื งมาถงึ ปัจจบุ นั นไี้ ดอ้ ยา่ งไร? ตอบ ไดด้ ว้ ยการท่บี รษิ ัททงั้ ๔ ปฏิบตั ิตามพระธรรมวินยั และดว้ ยวิธีท่พี ระสงฆส์ าวกผใู้ หญ่ มีพระมหากสั สปะเป็นตน้ เป็นประธานจดั ทา สงั คายนาพระธรรมวินยั วางแบบแผนท่ถี กู ตอ้ งลงไวใ้ นพระพทุ ธศาสนาเป็นครงั้ แรก เพ่อื ใหบ้ รษิ ัท ๔ ไดเ้ ล่าเรยี นปฏิบตั ิตาม เม่ือมสี ่งิ ไรไม่เป็น 14 | P a g e
ธรรมเกิดขนึ้ ในพระพทุ ธศาสนา พระอรยิ สงฆใ์ นยคุ นน้ั ๆ ไดช้ ว่ ยกนั ทาสงั คายนาเป็นครงั้ ท่ี ๒ และครงั้ ท่ี ๓ เป็นลาดบั มา เพ่อื ชาระสทั ธรรม ปฏิรูปนน้ั เสยี จนไดจ้ ารกึ ไวใ้ นพระคมั ภีรใ์ หแ้ พรห่ ลาย รวมทงั้ จดั การสง่ พระสงฆไ์ ปประกาศพระพทุ ธศาสนาในดนิ แดนต่างๆ ใหช้ มุ ชนใน ดนิ แดนนนั้ ๆ เลือ่ มใสปฏบิ ตั ิตาม จึงทาใหพ้ ระพทุ ธศาสนาสบื เน่อื งมาจนปัจจบุ นั นี้ ฯ สถานทเ่ี กีย่ วกับพระพทุ ธเจา้ สงั เวชนีสถาน ๔ • ประสตู ิ ใตต้ น้ สาละ สวนลมุ พนิ วี นั • ตรัสรู้ ตน้ พระศรีมหาโพธิ์ รมิ ฝ่ังแมน่ า้ เนรญั ชรา ตาบลอรุ ุเวลาเสนานคิ ม • ปฐมเทศนา ป่าอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั เมอื งพาราณสี แควน้ มคธ • ปรนิ ิพพาน ใตต้ น้ สาละคู่ ณ สาลวนั (สาลวโนทยาน) เมอื งกสุ นิ ารา แควน้ มลั ละ (ปี 63, 57) สงั เวชนยี สถาน ๔ ตาบล เป็นสถานท่ใี หร้ ะลกึ ถงึ เหตกุ ารณส์ าคญั อะไรบา้ ง? ตอบ เหตกุ ารณท์ ่พี ระพทุ ธองค์ ๑. ประสตู ิ ๒. ตรสั รู้ ๓. ทรงแสดงธรรมจกั กปั ปวตั ตนสตู รเป็นครงั้ แรก ๔. เสดจ็ ปรนิ ิพพาน ฯ (ปี 53, 44) สงั เวชนยี สถาน ๔ ไดแ้ กท่ ่ใี ดบา้ ง? ตอบ ไดแ้ ก่ ๑.สถานท่ปี ระสตู ิ ๒.สถานท่ตี รสั รู้ ๓.สถานท่แี สดงปฐมเทศนา ๔.สถานท่ปี รนิ ิพพานฯ (ปี 51) สถานท่ตี อ่ ไปนเี้ กี่ยวขอ้ งกบั พระพทุ ธเจา้ อยา่ งไร ก. ลมุ พนิ ีวนั ข. อิสปิ ตนมฤคทายวนั ค. สาลวโนทยาน ตอบ ก. ลมุ พนิ วี นั เป็นสถานท่ีประสตู ิ ข. อิสปิ ตนมฤคทายวนั เป็นสถานท่ที รงแสดงปฐมเทศนา ค. สาลวโนทยาน เป็นสถานท่ปี รนิ พิ พาน สถานทอี่ ่ืนๆ ➢ ป่ าอิสิปตนมฤคทายวนั เมืองพาราณสี แควน้ มคธ ทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดปัญจวคั คีย์ ➢ ลัฏฐิวนั (สวนตาลหน่มุ ) เมอื งราชคฤห์ แควน้ มคธ เป็นสถานท่ีแสดงอนปุ พุ พกี ถาและอรยิ สจั ๔ เพอ่ื โปรดพระเจา้ พมิ พิสารและขา้ ราช บรพิ ารจนสาเรจ็ เป็นพระโสดาบนั (๑๑ นหตุ บรรลโุ สดาบนั ส่วนอกี ๑ นหตุ ขอถึงพระรตั นตรยั ) นหตุ คือหน่ึงหม่ืน ➢ วดั เวฬุวนั (สวนไมไ้ ผ่ หรอื เวฬวุ นาราม) เมืองราชคฤห์ แควน้ มคธ วดั แรกในพระพทุ ธศาสนา พระเจา้ พมิ พิสาร เป็นผสู้ รา้ งถวาย เป็ น สถานทพี่ ระพทุ ธเจา้ แสดงโอวาทปาฏโิ มกขแ์ กพ่ ระอรหนั ตขีณาสพ ๑,๒๕๐ องค์ ➢ วดั เชตวัน เมอื งสาวตั ถี แควน้ โกศล อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นผสู้ รา้ งถวาย และพระพทุ ธองคป์ ระทบั จาพรรษานานถึง ๑๙ พรรษา ➢ สาลวนั (สาลวโนทยาน) เมืองกสุ นิ ารา แควน้ มลั ละ ทรงแสดงมรรคมีองคแ์ ปดแก่สภุ สั ททปรพิ าชก เป็นสถานท่ปี รนิ พิ พาน (ปี 62, 55) ครงั้ พทุ ธกาล วดั เชตวนั ตงั้ อย่ทู เ่ี มืองอะไร ? ใครเป็นผสู้ รา้ งถวาย ? ตอบ เมืองสาวตั ถี ฯ อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐีเป็นผสู้ รา้ งถวาย ฯ (ปี 54, 46) สถานท่ตี อ่ ไปนเี้ ก่ียวขอ้ งกบั พระบรมศาสดาอย่างไร? ๑. ลมุ พินวี นั ๒. อิสปิ ตนมฤคทายวนั ๓. ลฏั ฐิวนั ๔. เวฬวุ นั ๕. สาลวนั ตอบ ๑. ลมุ พินวี นั เป็นสถานท่ปี ระสตู ิ ๒. อสิ ิปตนมฤคทายวนั เป็นสถานท่ที รงแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวคั คีย์ ๓. ลฏั ฐิวนั เป็นสถานท่ที รงแสดงธรรมเทศนาโปรดพระเจา้ พิมพสิ ารและบรวิ ารจนสาเรจ็ เป็นพระโสดาบนั ๔. เวฬวุ นั เป็นสถานท่ที รงแสดงโอวาทปาตโิ มกข์ ๕. สาลวนั เป็นสถานท่ที รงแสดงมรรคมอี งคแ์ ปดแก่สภุ ทั ทปริพาชก และเป็นสถานท่เี สด็จดบั ขนั ธปรนิ พิ พาน ฯ (ปี 46) สถานท่ตี ่อไปนเี้ ก่ียวขอ้ งกบั พระพทุ ธเจา้ อยา่ งไร ? ก. ลฏั ฐิวนั ข. เชตวนั 15 | P a g e
Search