Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย-พุทธศักราช-2564

หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย-พุทธศักราช-2564

Published by som.phuket2524, 2022-03-29 03:34:20

Description: หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย-พุทธศักราช-2564

Search

Read the Text Version

๙๗ ๘.๕ หน่วยการจดั ประสบการณ์ ๘.๕.๑ หนว่ ยการจดั ประสบการณ์ ชั้นอนบุ าลปที ่ี ๑ ( ๓ ปี) สปั ดาห์ที่ สาระการเรียนรู้ ชอ่ื เรอ่ื ง/ชอ่ื หนว่ ย หมายเหตุ บรู ณาการ ๑ เร่ืองราวเกี่ยวกับตัวเด็ก ปฐมนิเทศ หมายเหตุ การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนและ ผลประโยชนส์ ว่ นรวม - การคดิ แยกแยะ ๒ บคุ คลและสถานทแี่ วดล้อมเดก็ โรงเรยี นของเรา การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและ ผลประโยชนส์ ่วนรวม - การคิดแยกแยะ ๓ เรอ่ื งราวเกย่ี วกบั ตวั เด็ก ตัวเรา การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนและ ผลประโยชนส์ ่วนรวม - ระบบคดิ ฐาน ๒ ๔ เรอ่ื งราวเกย่ี วกับตัวเดก็ หนูทำได้ การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนและ ผลประโยชน์สว่ นรวม - ระบบคดิ ฐาน ๒ ๕ บุคคลและสถานทแี่ วดล้อมเด็ก ครอบครวั มสี ขุ การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและ ผลประโยชนส์ ว่ นรวม - ของเล่น ๖ ธรรมชาตริ อบตวั เดก็ อาหารดีมีประโยชน์ การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและ ผลประโยชนส์ ว่ นรวม - ของเล่น ๗ ธรรมชาตริ อบตัวเดก็ ฝน การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและ ผลประโยชนส์ ่วนรวม - การรับประทานอาหาร สัปดาหท์ ี่ สาระการเรียนรู้ ช่ือเรื่อง/ชอ่ื หนว่ ย ๘ ธรรมชาตริ อบตัวเดก็ ขา้ ว

๙๘ การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและ ผลประโยชน์ส่วนรวม - การเขา้ แถว ๙ ส่งิ ตา่ งๆรอบตัวเดก็ ปลอดภยั ไว้กอ่ น - การเก็บของใชส้ ่วนตวั ๑๐ บุคคลและสถานที่แวดลอ้ มเด็ก วนั เฉลมิ ฯ การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนและ ผลประโยชนส์ ว่ นรวม - ทำงานทไ่ี ด้รับมอบหมาย ๑๑ บุคคลและสถานท่ีแวดลอ้ มเด็ก วนั แม่ การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและ ผลประโยชน์ส่วนรวม - การแบง่ ปัน ๑๒ ส่งิ ตา่ งๆรอบตวั เดก็ รกั เมอื งไทย การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและ ผลประโยชน์สว่ นรวม - การแต่งกาย ๑๓ สิ่งตา่ งๆรอบตวั เด็ก ของเล่นของใช้ การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนและ ผลประโยชน์ส่วนรวม - การทำกจิ วตั รประจำวนั ๑๔ บุคคลและสถานที่แวดลอ้ มเด็ก ชมุ ชนของเรา ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทุจริต - ของเล่น ๑๕ ธรรมชาตริ อบตวั เดก็ ตน้ ไมท้ ร่ี ัก ความละอายและความไมท่ นต่อการทุจรติ - การรับประทานอาหาร ๑๖ สิ่งตา่ งๆรอบตวั เดก็ หนิ ดนิ ทราย ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทจุ รติ - การเขา้ แถว

สัปดาห์ที่ สาระการเรียนรู้ ช่อื เรื่อง/ช่ือหนว่ ย ๙๙ สตั วน์ า่ รัก หมายเหตุ ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทจุ รติ ๑๗ ส่ิงตา่ งๆรอบตวั เด็ก - การเกบ็ ของใช้ส่วนตวั ๑๘ ส่ิงตา่ งๆรอบตัวเดก็ คมนาคม ๑๙ สิ่งตา่ งๆรอบตัวเดก็ ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทจุ รติ - ทางานท่ไี ดร้ บั มอบหมาย รรู้ อบ ปลอดภยั ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทุจริต - ทางานท่ไี ดร้ บั มอบหมาย ๒๐ บคุ คลและสถานทแ่ี วดล้อมเด็ก ลอยกระทง ความละอายและความไมท่ นต่อการทจุ ริต - การแบง่ ปัน ๒๑ สิง่ ตา่ งๆรอบตัวเด็ก กลางวนั กลางคืน ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจรติ - การแบง่ ปัน ๒๒ บุคคลและสถานที่แวดลอ้ มเดก็ คา่ นยิ มไทย ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจรติ - การแตง่ กาย ๒๓ บคุ คลและสถานทแ่ี วดล้อมเดก็ วันชาติ ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริต - การแต่งกาย ๒๔ บุคคลและสถานทแ่ี วดลอ้ มเด็ก เศรษฐกิจพอเพียง ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทจุ ริต - การทากิจวตั รประจาวนั ๒๕ สิ่งตา่ งๆรอบตัวเด็ก เทคโนโลยีและการสอ่ื สาร ความละอายและความไมท่ นต่อการทจุ รติ - การทากิจวตั รประจาวนั ๒๖ บุคคลและสถานทแ่ี วดล้อมเดก็ วันข้ึนปีใหม่ STRONG / จติ พอเพียงต่อตา้ นการทุจรติ - ความพอเพียง

สัปดาห์ที่ สาระการเรยี นรู้ ช่ือเรอื่ ง/ช่ือหน่วย ๑๐๐ หมายเหตุ ๒๗ สิ่งตา่ งๆรอบตวั เด็ก สนกุ ตวั เลข STRONG / จิตพอเพยี งต่อตา้ นการทจุ รติ - ความโปร่งใส ๒๘ สิ่งตา่ งๆรอบตัวเดก็ ขนาด รูปรา่ ง รูปทรง STRONG / จิตพอเพยี งต่อตา้ นการทุจริต - ความตนื่ รู้ / ความรู้ ๒๙ บคุ คลและสถานท่ีแวดล้อมเด็ก วนั เด็ก วันครู STRONG / จติ พอเพียงต่อต้านการทุจรติ - ตา้ นทจุ รติ ๓๐ ธรรมชาตริ อบตวั เด็ก โลกสวยดว้ ยสสี นั STRONG / จติ พอเพยี งต่อตา้ นการทุจริต - มงุ่ ไปขา้ งหน้ำ ๓๑ ธรรมชาตริ อบตวั เด็ก ฤดหู นาว - ความเอ้อื อาทร ๓๒ ธรรมชาตริ อบตวั เดก็ แรงและพลังงานในชวี ติ ประจำวัน STRONG / จิตพอเพยี งต่อต้านการทุจริต - การรบั ประทานอาหาร ๓๓ สงิ่ ต่างๆรอบตวั เดก็ เสียงรอบตัว STRONG / จิตพอเพียงต่อตา้ นการทจุ รติ - การชว่ ยเหลอื เพ่ือน ๓๔ สงิ่ ต่างๆรอบตัวเด็ก รกั การอา่ น STRONG / จิตพอเพียงต่อต้านการทุจรติ - การใชก้ ระดาษ ๓๕ ส่งิ ตา่ งๆรอบตวั เด็ก ปรมิ าตร นำ้ หนัก พลเมืองกับความรับผิดชอบต่อสังคม - ความรบั ผิดชอบต่อตนเอง ๓๖ ธรรมชาตริ อบตัวเด็ก ฤดรู ้อน พลเมืองกบั ความรับผดิ ชอบต่อสงั คม - ความรบั ผิดชอบต่อผอู้ ่นื ๓๗ บุคคลและสถานท่แี วดล้อมเดก็ จังหวัดของเรา พลเมอื งกบั ความรบั ผิดชอบต่อสังคม - การตรงต่อเวลา

๑๐๑ สปั ดาหท์ ี่ สาระการเรยี นรู้ ชือ่ เรอ่ื ง/ชื่อหนว่ ย หมายเหตุ อาชีพในฝัน ๓๘ บคุ คลและสถานที่แวดล้อมเดก็ พลเมืองกับความรบั ผิดชอบต่อสังคม ๓๙ ธรรมชาตริ อบตัวเดก็ - การทำความสะอาดห้องเรียน ๔๐ เรื่องราวเก่ียวกบั ตวั เดก็ สิ่งมชี วี ิตและสง่ิ ไม่มีชวี ิต พลเมืองกับความรับผิดชอบต่อสังคม - การชว่ ยเหลือตนเอง หนูน้อยนกั สัมผสั ประเมินผลหลักสตู รต้านทจุ ริตศกึ ษาระดับปฐมวยั ๘.๕.๒ หน่วยการจัดประสบการณ์ ชน้ั อนบุ าลปีท่ี ๒ ( ๔ ป)ี สัปดาหท์ ี่ สาระการเรียนรู้ ชอ่ื เรอ่ื ง/ช่อื หน่วย หมายเหตุ บูรณาการ ๑ เร่อื งราวเก่ยี วกับตัวเดก็ ปฐมนิเทศ การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและ ผลประโยชน์สว่ นรวม - การคดิ แยกแยะ ๒ บคุ คลและสถานท่แี วดล้อมเด็ก โรงเรยี นของเรา การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและ ผลประโยชน์สว่ นรวม - การคิดแยกแยะ ๓ เรื่องราวเก่ยี วกบั ตวั เด็ก ตัวเรา การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและ ผลประโยชน์ส่วนรวม - ระบบคดิ ฐาน ๒ ๔ เร่อื งราวเกย่ี วกับตัวเดก็ หนทู ำได้ การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนและ ผลประโยชน์ส่วนรวม - ระบบคดิ ฐาน ๒ ๕ บคุ คลและสถานท่แี วดลอ้ มเด็ก ครอบครวั มสี ขุ การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและ ผลประโยชนส์ ว่ นรวม - ของเล่น

๑๐๒ สัปดาห์ท่ี สาระการเรียนรู้ ช่ือเรอื่ ง/ชอื่ หน่วย หมายเหตุ อาหารดมี ปี ระโยชน์ ๖ ธรรมชาตริ อบตวั เดก็ การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและ ๗ ธรรมชาตริ อบตัวเด็ก ผลประโยชน์ส่วนรวม - ของเล่น ๘ ธรรมชาตริ อบตัวเด็ก ฝน ๙ สิ่งต่างๆรอบตัวเดก็ ๑๐ บคุ คลและสถานที่แวดลอ้ มเด็ก การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและ ผลประโยชนส์ ่วนรวม ๑๑ บุคคลและสถานทแี่ วดลอ้ มเด็ก - การรับประทานอาหาร ๑๒ สิ่งตา่ งๆรอบตัวเดก็ ข้าว ๑๓ สิ่งต่างๆรอบตวั เด็ก การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตนและ ๑๔ บคุ คลและสถานที่แวดล้อมเดก็ ผลประโยชนส์ ่วนรวม - การเขา้ แถว ปลอดภัยไว้กอ่ น - การเกบ็ ของใช้ส่วนตัว วนั เฉลิมฯ การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและ ผลประโยชน์สว่ นรวม - ทำงานทไี่ ดร้ บั มอบหมาย วนั แม่ การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและ ผลประโยชน์ส่วนรวม - การแบง่ ปัน รักเมอื งไทย การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนและ ผลประโยชนส์ ่วนรวม - การแตง่ กาย ของเลน่ ของใช้ การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตนและ ผลประโยชนส์ ว่ นรวม - การทำกิจวัตรประจำวนั ชมุ ชนของเรา ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทจุ รติ - ของเล่น

สัปดาห์ที่ สาระการเรียนรู้ ชอ่ื เรื่อง/ช่ือหนว่ ย ๑๐๓ ต้นไม้ทร่ี กั หมายเหตุ ความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ รติ ๑๕ ธรรมชาตริ อบตัวเด็ก - การรับประทานอาหาร ๑๖ สิง่ ต่างๆรอบตวั เด็ก หิน ดนิ ทราย ๑๗ ส่งิ ต่างๆรอบตวั เด็ก ความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ รติ - การเขา้ แถว ๑๘ สิ่งต่างๆรอบตวั เด็ก สตั ว์นา่ รกั ๑๙ สง่ิ ต่างๆรอบตัวเด็ก ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทุจรติ - การเก็บของใช้สว่ นตวั คมนาคม ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทจุ ริต - ทางานท่ไี ดร้ บั มอบหมาย รู้รอบ ปลอดภยั ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทจุ รติ - ทางานท่ไี ดร้ บั มอบหมาย ๒๐ บคุ คลและสถานท่แี วดลอ้ มเดก็ ลอยกระทง ความละอายและความไมท่ นต่อการทจุ ริต - การแบ่งปัน ๒๑ ส่งิ ตา่ งๆรอบตวั เดก็ กลางวัน กลางคืน ความละอายและความไมท่ นต่อการทุจริต - การแบ่งปัน ๒๒ บคุ คลและสถานท่ีแวดล้อมเดก็ คา่ นิยมไทย ความละอายและความไมท่ นต่อการทจุ ริต - การแตง่ กาย ๒๓ บุคคลและสถานที่แวดลอ้ มเดก็ วันชาติ ความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ รติ - การแต่งกาย ๒๔ บุคคลและสถานท่แี วดลอ้ มเด็ก เศรษฐกิจพอเพียง ความละอายและความไมท่ นต่อการทุจริต - การทากจิ วตั รประจาวนั

สัปดาห์ที่ สาระการเรยี นรู้ ช่อื เรอื่ ง/ชื่อหนว่ ย ๑๐๔ หมายเหตุ ๒๕ สิ่งตา่ งๆรอบตวั เด็ก เทคโนโลยีและการสือ่ สาร ความละอายและความไมท่ นต่อการทจุ รติ - การทากิจวตั รประจาวนั ๒๖ บุคคลและสถานทแ่ี วดลอ้ มเด็ก วันขึน้ ปใี หม่ STRONG / จิตพอเพยี งต่อต้านการทจุ รติ - ความพอเพียง ๒๗ สิ่งต่างๆรอบตวั เด็ก สนกุ ตัวเลข STRONG / จติ พอเพยี งต่อตา้ นการทุจรติ - ความโปร่งใส ๒๘ สง่ิ ตา่ งๆรอบตวั เด็ก ขนาด รปู ร่าง รูปทรง STRONG / จิตพอเพียงต่อตา้ นการทจุ รติ - ความตน่ื รู้ / ความรู้ ๒๙ บุคคลและสถานทแ่ี วดล้อมเด็ก วันเด็ก วันครู STRONG / จติ พอเพยี งต่อต้านการทจุ ริต - ตา้ นทจุ รติ ๓๐ ธรรมชาตริ อบตวั เดก็ โลกสวยดว้ ยสีสัน STRONG / จิตพอเพยี งต่อต้านการทุจริต - มุ่งไปขา้ งหน้ำ ๓๑ ธรรมชาตริ อบตวั เดก็ ฤดหู นาว - ความเอ้ืออาทร ๓๒ ธรรมชาตริ อบตวั เด็ก แรงและพลงั งานในชีวติ ประจำวนั STRONG / จติ พอเพียงต่อต้านการทจุ รติ - การรับประทานอาหาร ๓๓ สิ่งตา่ งๆรอบตวั เดก็ เสยี งรอบตัว STRONG / จติ พอเพยี งต่อตา้ นการทุจรติ - การชว่ ยเหลือเพ่ือน ๓๔ สงิ่ ตา่ งๆรอบตัวเด็ก รักการอา่ น STRONG / จติ พอเพียงต่อตา้ นการทจุ ริต - การใชก้ ระดาษ ๓๕ สิ่งตา่ งๆรอบตวั เดก็ ปริมาตร นำ้ หนกั พลเมอื งกบั ความรบั ผดิ ชอบต่อสังคม - ความรบั ผิดชอบต่อตนเอง

สัปดาหท์ ่ี สาระการเรยี นรู้ ช่ือเรอ่ื ง/ชอ่ื หนว่ ย ๑๐๕ ๓๖ ธรรมชาตริ อบตวั เดก็ ฤดูร้อน หมายเหตุ ๓๗ บุคคลและสถานท่แี วดล้อมเด็ก พลเมอื งกับความรบั ผิดชอบต่อสังคม - ความรบั ผิดชอบต่อผอู้ ่นื ๓๘ บุคคลและสถานที่แวดล้อมเดก็ จงั หวัดของเรา ๓๙ ธรรมชาตริ อบตวั เดก็ พลเมอื งกบั ความรับผิดชอบต่อสังคม ๔๐ เรอื่ งราวเกยี่ วกับตวั เดก็ - การตรงต่อเวลา อาชพี ในฝนั พลเมอื งกบั ความรับผิดชอบต่อสังคม - การทำความสะอาดห้องเรียน สงิ่ มชี วี ิตและส่งิ ไมม่ ชี วี ิต พลเมอื งกับความรบั ผดิ ชอบต่อสงั คม - การชว่ ยเหลือตนเอง หนนู ้อยนกั สัมผัส ประเมินผลหลักสตู รตา้ นทุจรติ ศึกษาระดบั ปฐมวยั ๘.๕.๓ หน่วยการจัดประสบการณ์ ชัน้ อนุบาลปที ่ี ๓ (๕-๖ ปี) สปั ดาหท์ ี่ สาระการเรียนรู้ ช่ือเรอื่ ง/ชื่อหน่วย หมายเหตุ บูรณาการ ๑ เรื่องราวเกี่ยวกบั ตวั เดก็ ปฐมนเิ ทศ การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนและ ผลประโยชน์สว่ นรวม - การคดิ แยกแยะ ๒ บุคคลและสถานที่แวดลอ้ มเด็ก โรงเรียนของเรา การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและ ผลประโยชน์ส่วนรวม - การคิดแยกแยะ ๓ เร่ืองราวเกี่ยวกบั ตวั เด็ก ตวั เรา การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและ ผลประโยชน์ส่วนรวม - ระบบคดิ ฐาน ๒

๑๐๖ สัปดาห์ท่ี สาระการเรยี นรู้ ชอื่ เรื่อง/ชื่อหนว่ ย หมายเหตุ หนทู ำได้ ๔ เรอ่ื งราวเก่ยี วกบั ตัวเดก็ การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและ ๕ บุคคลและสถานที่แวดลอ้ มเดก็ ผลประโยชน์ส่วนรวม - ระบบคดิ ฐาน ๒ ๖ ธรรมชาตริ อบตวั เด็ก ครอบครวั มสี ุข ๗ ธรรมชาตริ อบตัวเด็ก การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและ ๘ ธรรมชาตริ อบตัวเด็ก ผลประโยชน์ส่วนรวม - ของเล่น ๙ ส่ิงตา่ งๆรอบตวั เด็ก ๑๐ บุคคลและสถานทแี่ วดลอ้ มเด็ก อาหารดมี ีประโยชน์ ๑๑ บุคคลและสถานทแี่ วดลอ้ มเด็ก การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนและ ผลประโยชน์สว่ นรวม - ของเลน่ ฝน การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนและ ผลประโยชน์ส่วนรวม - การรบั ประทานอาหาร ข้าว การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและ ผลประโยชนส์ ่วนรวม - การเขา้ แถว ปลอดภัยไวก้ ่อน - การเกบ็ ของใช้สว่ นตัว วันเฉลิมฯ การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและ ผลประโยชน์สว่ นรวม - ทำงานทไี่ ดร้ บั มอบหมาย วันแม่ การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและ ผลประโยชนส์ ่วนรวม - การแบ่งปัน

๑๐๗ สัปดาหท์ ่ี สาระการเรยี นรู้ ช่อื เรือ่ ง/ช่อื หนว่ ย หมายเหตุ รักเมืองไทย ๑๒ สงิ่ ต่างๆรอบตัวเดก็ การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนและ ๑๓ ส่ิงต่างๆรอบตัวเด็ก ผลประโยชน์ส่วนรวม - การแต่งกาย ๑๔ บุคคลและสถานท่แี วดลอ้ มเด็ก ๑๕ ธรรมชาตริ อบตัวเดก็ ของเล่นของใช้ ๑๖ สิง่ ต่างๆรอบตัวเดก็ ๑๗ สง่ิ ตา่ งๆรอบตวั เด็ก การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและ ๑๘ สง่ิ ตา่ งๆรอบตัวเดก็ ผลประโยชน์ส่วนรวม ๑๙ ส่งิ ตา่ งๆรอบตัวเด็ก - การทำกจิ วตั รประจำวัน ชมุ ชนของเรา ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทุจรติ - ของเล่น ตน้ ไมท้ ร่ี ัก ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทุจริต - การรับประทานอาหาร หนิ ดิน ทราย ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทจุ ริต - การเขา้ แถว สัตว์นา่ รัก ความละอายและความไมท่ นต่อการทุจริต - การเก็บของใชส้ ว่ นตวั คมนาคม ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทจุ ริต - ทางานท่ไี ดร้ บั มอบหมาย รู้รอบ ปลอดภัย ความละอายและความไมท่ นต่อการทจุ รติ - ทางานท่ไี ดร้ บั มอบหมาย ๒๐ บคุ คลและสถานทแ่ี วดล้อมเดก็ ลอยกระทง ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจรติ - การแบ่งปัน ๒๑ สง่ิ ตา่ งๆรอบตัวเดก็ กลางวนั กลางคืน ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทจุ ริต - การแบง่ ปัน

สัปดาหท์ ี่ สาระการเรียนรู้ ชื่อเร่ือง/ช่อื หนว่ ย ๑๐๘ หมายเหตุ ๒๒ บุคคลและสถานทีแ่ วดล้อมเด็ก ค่านยิ มไทย ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทจุ รติ - การแตง่ กาย ๒๓ บคุ คลและสถานท่ีแวดลอ้ มเดก็ วันชาติ ความละอายและความไมท่ นต่อการทุจริต - การแตง่ กาย ๒๔ บุคคลและสถานท่ีแวดล้อมเด็ก เศรษฐกจิ พอเพยี ง ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทุจรติ - การทากิจวตั รประจาวนั ๒๕ สิง่ ต่างๆรอบตวั เด็ก เทคโนโลยแี ละการส่ือสาร ความละอายและความไมท่ นต่อการทจุ รติ - การทากิจวตั รประจาวนั ๒๖ บคุ คลและสถานที่แวดลอ้ มเด็ก วนั ขึน้ ปใี หม่ STRONG / จิตพอเพียงต่อต้านการทุจรติ - ความพอเพียง ๒๗ สง่ิ ตา่ งๆรอบตัวเดก็ สนกุ ตวั เลข STRONG / จติ พอเพยี งต่อตา้ นการทจุ รติ - ความโปรง่ ใส ๒๘ สงิ่ ต่างๆรอบตวั เดก็ ขนาด รปู ร่าง รปู ทรง STRONG / จิตพอเพียงต่อต้านการทุจริต - ความต่ืนรู้ / ความรู้ ๒๙ บุคคลและสถานที่แวดลอ้ มเด็ก วันเด็ก วนั ครู STRONG / จิตพอเพียงต่อตา้ นการทุจรติ - ตา้ นทจุ รติ ๓๐ ธรรมชาตริ อบตัวเดก็ โลกสวยด้วยสีสัน STRONG / จิตพอเพียงต่อต้านการทจุ รติ - มุ่งไปขา้ งหน้ำ ๓๑ ธรรมชาตริ อบตวั เดก็ ฤดูหนาว - ความเอ้ืออาทร ๓๒ ธรรมชาตริ อบตวั เดก็ แรงและพลงั งานในชีวิตประจำวนั STRONG / จติ พอเพียงต่อตา้ นการทุจรติ - การรบั ประทานอาหาร

๑๐๙ สปั ดาหท์ ี่ สาระการเรยี นรู้ ช่ือเรือ่ ง/ช่ือหน่วย หมายเหตุ ๓๓ สง่ิ ต่างๆรอบตวั เด็ก เสียงรอบตัว STRONG / จิตพอเพียงต่อตา้ นการทุจรติ - การช่วยเหลอื เพ่ือน ๓๔ สง่ิ ต่างๆรอบตัวเด็ก รักการอ่าน STRONG / จิตพอเพียงต่อต้านการทุจรติ - การใชก้ ระดาษ ๓๕ สงิ่ ตา่ งๆรอบตัวเดก็ ปรมิ าตร น้ำหนกั พลเมอื งกับความรับผดิ ชอบต่อสังคม - ความรบั ผิดชอบต่อตนเอง ๓๖ ธรรมชาตริ อบตวั เดก็ ฤดูร้อน พลเมอื งกับความรบั ผดิ ชอบต่อสงั คม - ความรบั ผิดชอบต่อผอู้ ่นื ๓๗ บุคคลและสถานที่แวดลอ้ มเด็ก จงั หวดั ของเรา พลเมืองกบั ความรบั ผิดชอบต่อสังคม - การตรงต่อเวลา ๓๘ บุคคลและสถานทแี่ วดลอ้ มเด็ก อาชีพในฝัน พลเมืองกับความรับผดิ ชอบต่อสังคม - การทำความสะอาดห้องเรยี น ๓๙ ธรรมชาตริ อบตัวเดก็ ส่งิ มีชีวติ และสิ่งไม่มีชีวิต พลเมอื งกับความรับผิดชอบต่อสังคม - การช่วยเหลือตนเอง ๔๐ เรือ่ งราวเกย่ี วกบั ตวั เด็ก หนนู ้อยนกั สมั ผัส ประเมินผลหลกั สูตรตา้ นทุจรติ ศึกษาระดบั ปฐมวัย ๙. การจดั สภาพแวดล้อม สือ่ และแหลง่ เรียนรู้ ๙.๑ การจัดสภาพแวดลอ้ ม การจัดสภาพแวดล้อมและแหล่งเรียนรู้สำหรับการจัดการศึกษาระดับปฐมวัย มี ความสำคัญต่อเด็กเนื่องจากธรรมชาติของเด็กในวัยนี้สนใจที่จะเรียนรู้ ค้นคว้า ทดลองและต้องการ สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวอีกครั้งสภาพแวดล้อมและแหล่งเรียนรู้ เป็นตัวกลางนำความรู้จาก ผสู้ อนสู่เดก็ ทำใหเ้ ด็กเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ทว่ี างไว้ ช่วยใหเ้ ดก็ ไดร้ ับประสบการณ์ตรง ทำให้ ส่ิงทีเ่ ป็นนามธรรมเขา้ ใจยากเปลยี่ นเปน็ รปู ประธรรมที่เด็กเข้าใจง่าย เรียนรไู้ ดง้ ่าย รวดเร็ว เพลิดเพลิน เด็กสามารถเรยี นร้จู ากการเลน่ ที่เป็นประสบการณ์ตรงท่ีเกิดจากการรบั รดู้ ว้ ยประสาทสัมผสั ทั้ง ๕ เกิด

๑๑๐ การเรียนรู้และค้นพบด้วยตนเอง ดังนั้น การจัดสภาพแวดล้อมและแหล่งเรียนรู้ ตามความต้องการ ของเดก็ จึงมคี วามสำคัญทีเ่ ก่ยี วข้องกับพฤติกรรมและกระบวนการเรียนรู้ของเด็ก ท้ังในหอ้ งเรียนและ นอกห้องเรียนของสถานศึกษา ให้สอดคล้องกับเป้าหมาย ของหลักสูตรสถานศึกษาการศึกษาปฐมวยั ตามบริบทของสถานศึกษาและท้องถิ่นอย่างเหมาะสม เพื่อส่งผลให้บรรลุจุดหมายในการพัฒนาเด็ก ปฐมวยั ตอ่ ไป การจัดสภาพแวดล้อม การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ถ้าหากเด็กอยู่ใน สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม มีการสนับสนุนอำนวยความสะดวกจากผู้ใหญ่ ภายใต้บรรยากาศที่มี ความสขุ ไมเ่ ครง่ เครยี ดด้วยกฎระเบียบที่เคร่งครดั หรือยากต่อการปฏบิ ัติ การจัดบรรยากาศการเรียนรู้ จงึ จัดแบง่ เปน็ ๓ ด้าน การจัดสภาพแวดล้อมด้านกายภาพ เป็นการจัดสภาพแวดล้อมตามแนวคิดเรื่อง การ ตอบสนองความต้องการพื้นฐาน และการเรียนรู้โดยการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม การจัดการจึงมี เป้าหมายให้เด็กอยู่ร่วมกันอย่างมีสุข อนามัยที่ดีมีพื้นที่ในการตอบสนอง การทำกิจกรรมต่างๆ อย่าง คล่องตัว และตอบสนองการทำกิจกรรมที่หลากหลาย ลักษณะการจัดการจึงเน้นในเรื่องความสะอาด ความปลอดภัย ความอิสระอย่างมีขอบเขตในการเล่น ความสะดวกที่จะทำให้รู้สึกคล่องตัว สดใส กระฉับกระเฉง ความพร้อมของห้องเรียนในสถานศึกษาที่มีลักษณะกายภาพที่ดีคือ มีการถ่ายเท อากาศที่ดี มีอุณหภูมิที่เหมาะสม มีแสงสว่างพอเพียง มีความสงบที่จะทำกิจกรรมอย่างสบายและมี สมาธิ มีที่ให้เก็บวัสดุของใช้และผลงาน มีที่จัดแสดงเพื่อการสื่อสารข้อมูล แต่ละจุดของพื้นที่จะต้อง สะดวกในการเข้าออก พ่อแมผ่ ูป้ กครองสามารถเขา้ ไปดูแลไดอ้ ย่างทว่ั ถงึ ในทุกพ้ืนท่ี สภาพแวดล้อมในห้องเรียน หลักการสำคัญในการจัดต้องคำนึงถึงความปลอดภัยความ สะอาด เป็นเปา้ หมายการพัฒนาเด็ก ความเปน็ ระเบียบ ความเปน็ ตวั ของเด็กเอง ใหเ้ ด็กเกดิ ความรู้สึก อบอนุ่ มัน่ ใจ และมคี วามสุข โดยคำนงึ ถงึ เรอื่ งตอ่ ไปน้ี ๑)การจัดวางวัสดุ อุปกรณ์ สื่อ เครื่องเล่น คุรุภัณฑ์ ควรจัดใหเ้ หมาะสมสอดคล้องกับวัยและ พฒั นาการเพือ่ ให้เดก็ สามารถใชห้ รอื ทำกิจกรรม ได้สะดวกดว้ ยตนเอง ๒)วัสดุ อุปกรณ์ สอ่ื เคร่อื งเลน่ ครุ ภุ ัณฑ์ ควรใหม้ ขี นาดเหมาะสมกบั เด็กปฐมวัย ๓)การจัดพื้นที่ในห้องเรียนควรจัดให้เหมาะสม เลือกที่ตั้งคุรุภัณฑ์ อุปกรณ์ต่างๆ และมุม ประสบการณ์ โดยคำนึงถึงทิศทางลม แสงสว่างพอเพียงต่อการทำกิจกรรม ไม่มีแสงสว่างส่งรบกวน สายตาเด็กขณะปฏบิ ัติกิจกรรม ทกุ จุดของหอ้ งควรใหม้ องเหน็ ได้โดยรวม ๔) สภาพแวดล้อมในห้องปลอดภัยจากสัตว์ แมลง พืช และสารเคมีที่มีพิษ คุรุภัณฑ์ โต๊ะ เก้าอี้ ไมค่ วรเป็นมมุ แหลมท่เี ปน็ อนั ตราย ๕) การแบง่ พน้ื ในห้องเรยี นให้เหมาะสมกับการจัดกจิ กรรมมีดงั นี้ ๕.๑ พ้นื ทอ่ี ำนวยความสะดวกเพอ่ื เดก็ และผู้สอน ๑) ทแี่ สดงผลงานของเด็ก อาจจดั เป็นแผ่นปา้ ย หรือที่แขวนผลงาน

๑๑๑ ๒) ทเ่ี กบ็ แฟม้ ผลงานของเดก็ อาจจะทำเปน็ กล่อง หรอื จะใสเ่ ปน็ รายบุคคล ๓) ทีเ่ กบ็ เคร่ืองใช้สว่ นตัวของเด็ก อาจทำเป็นช่องครบตามจำนวนเด็ก ๔) ที่เก็บเครื่องใช้ของผู้สอน เช่น อุปกรณ์การสอน ของใช้ส่วนตัวผู้สอน ๕) ปา้ ยนิเทศตามหน่วยการสอนหรอื สง่ิ ท่เี ดก็ สนใจ ๕.๒ พ้ืนทปี่ ฏบิ ตั กิ ิจกรรมและการเคลือ่ นไหว ควรกำหนดใหช้ ัดเจน ควรมีพ้ืนที่ท่ีเด็ก สามารถจะทำงานได้ด้วยตนเอง และทำกิจกรรมด้วยกันในกลุ่มเล็ก หรือกลุ่มใหญ่ เด็ก สามารถเคลอื่ นไหวไดอ้ ยา่ งอสิ ระจากกจิ กรรมหน่งึ ไปยงั กจิ กรรมหนง่ึ โดยไม่รบกวนผู้อื่น ๕.๓ พื้นที่จัดมุมเลน่ หรือมุมประสบการณ์ สามารถจัดได้ตามความเหมาะสม ขึ้นอยู่ กับสภาพของห้องเรียน จัดแยกส่วนที่ใช้เสียงดังและเงียบออกจากกัน ต้องมีของเล่น วัสดุ อปุ กรณใ์ นมุมอย่างพอเพียงต่อการเรียนรู้ของเด็ก การเล่นในมุมเล่นอย่างมีเสรีมักถูกกำหนด ไว้ในตารางกิจกรรมประจำวัน เพื่อให้โอกาสเด็กได้เล่นอย่างเสรี ประมาณวันละ ๑ ชั่วโมง การจดั มมุ เล่นต่างๆ ผสู้ อนควรคำนงึ ถึงส่งิ ตอ่ ไปนี้ ๑) ในห้องเรียนควรมีมุมเล่นอย่างน้อย ๓-๕ มมุ ทง้ั น้ี ขึ้นอยูก่ ับพน้ื ท่ีและขนาดของ หอ้ ง ๒) ควรมีการเปล่ยี นสขี องเลน่ ตามมมุ ตามหนว่ ยการจดั ประสบการณก์ ารเรียนรู้ และตามความสนใจของเด็ก ๓) ควรจดั ใหม้ สี ่อื และผลงานท่เี ดก็ ได้เรยี นรู้ไปแล้ว จัดวางอยูใ่ นมมุ เลน่ เช่น การ ทดลองอย่างง่าย เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสี เป็นต้น โดยผู้สอนจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ให้ เดก็ ได้แลน่ ๔) ควรเปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมในการจัดมุมเล่น เพื่อจูงใจให้เด็กรู้สึกเป็น เจ้าของ อยากเรยี นรู้ อยากเขา้ เล่น ๕) ควรสร้างข้อตกลงในการทำกจิ กรรม เพื่อเสริมสร้างวินัยเชิงบวกให้กับเดก็ เชน่ สร้างข้อตกลงร่วมกนั วา่ เม่ือเล่นเสร็จแลว้ จะตอ้ งจดั เก็บอุปกรณ์ทกุ อย่างเขา้ ที่ใหเ้ รียบร้อย ๖) การจดั แสดงผลงานและการเก็บของควรคำนงึ ถงึ เร่ืองตอ่ ไปนี้ - จะให้มีที่แสดงผลงาน เสนอภาพวาด งานเขียนอิสระหรืองานปั้น งาน ประดิษฐ์ของเด็กๆ - จดั ทีแ่ สดงผลงานใหน้ ่าสนใจและสดชืน่ - ใหเ้ ด็กเห็นของแปลกๆ ใหม่ๆ ท่ีเด็กไม่เคยเหน็ - ส่งเสรมิ ให้เดก็ ๆ รจู้ ักเลอื กสรรหาวา่ จะทำอะไร จะแสดงอะไร - กระตนุ้ ใหเ้ กิดความอยากรอู้ ยากเหน็ - สอนให้รู้จักจัดของเป็นตาม ชนิด/ ประเภท และเลือกของออกมาใช้ตาม ความต้องการ - สร้างนสิ ัยในการเก็บของใหเ้ ปน็ ทเ่ี ป็นทาง

๑๑๒ ตัวอย่างมมุ เล่นหรือมมุ ประสบการณ์ทีค่ วรจดั มดี งั นี้ มุมบล็อก เป็นมุมที่จัดเก็บบล็อกไม้ตันที่มีขนาดและรูปทรงต่างๆกัน เด็กสามารถนำมาเล่นต่อ ประกอบกนั เป็นสง่ิ ตา่ งๆ ตามจนิ ตนาการ ความคิดสรา้ งสรรค์ของตนเอง นอกจากน้คี วรมีส่ืออ่นื ๆ เช่น ยานพาหนะ หรือสัตว์จำลอง ฯลฯ เพือ่ ประกอบการเล่น แนวทางการจดั มุมบล็อกเป็นมมุ ที่ควรจดั ให้อยหู่ า่ งจากมุมทตี่ ้องการความสงบ เช่น มมุ หนังสือ ท้ังน้ี เพราะเสียงจากการเล่นต่อไม้บล็อก อาจรบกวนสมาธเิ ด็กที่อยู่ในมุมหนังสอื ได้ นอกจากนี้ควรอยู่ห่าง จากทางเดินผ่านหรือทางเข้าออกของห้อง เพื่อไม่ให้กีดขวางทางเดินหรือเกิดอันตรายจากการเดิน สะดุดไม้บล็อกถ้ากรณีเด็กยังเล่นไม่เสร็จครูหรือเด็กร่วมกันกำหนดพื้นที่โดยใช้สัญลักษณ์สีหรือ เครื่องหมายการจราจรมากัน้ ไวเ้ พอื่ ให้เด็กกลับมาเลน่ ต่อได้ การจัดเก็บไม้บล็อกเรานี้ ควรจะวางไว้ในระดับที่เด็กสามารถหยิบมาเล่น หรือนำ เก็บด้วยตนเองได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และควรฝึกให้เด็กหัดจัดเก็บเป็นหมวดหมู่เพื่อความเป็น ระเบียบ และสะดวกต่อการหยิบใช้และเก็บคืนโดยทำภาพสญั ลกั ษณ์ รูปร่างของไม้บล็อกติดไว้ทีช่ อ่ ง จัดเก็บ มมุ หนงั สือ ในห้องเรียนควรมีบริเวณที่เงียบ สำหรับให้เด็กได้ดูรูปภาพ อ่านหนังสือนิทาน ฟัง นิทาน ผู้สอนควรจัดมุมหนงั สือให้เด็กได้คุ้นเคยกับตวั หนังสือ และทำกิจกรรมตามลำพังหรือเปน็ กลมุ่ เลก็ ๆ แนวทางการจัด มุมหนังสือ เป็นมุมที่ต้องการความสงบ ควรจัดห่างจากมุมท่ีมีเสียง เช่น มุมบล๊อก มุมบทบาทสมมุติ ฯลฯ และควรจัดบรรยากาศจูงใจให้เด็กได้เข้าไปใช้เกิดความรักและทะนุถนอม หนังสอื และ ปลูกฝงั นิสยั รกั การอา่ น มีจำนวนหนังสอื เพยี งพอกบั เด็กและเหมาะสมกับวยั ของเด็ก ควร มกี ารเปลี่ยนหนงั สอื ทุกสปั ดาห์ และเลอื กหนังสอื ทส่ี ่งเสริมคณุ ธรรมจริยธรรมใหก้ บั เด็กด้วย มุมบทบาทสมมุติ มุมบทบาทสมมุติ เป็นมุมที่จัดขึ้นเพื่อให้เด็กมีโอกาสได้นำเอาประสบการณ์ที่ได้รับ จากบ้านหรือชุมชนมาเล่น แสดงบทบาทสมมุติ เลียนแบบบุคคลต่างๆ ตามจินตนาการของตน เช่น เป็นพ่อแม่ในมุมบ้าน เป็นหมอ ในมุมหมอเป็น พ่อค้าแม่ค้าในมุมร้านค้า ฯลฯ การเล่นดังกล่าวเป็น การปลกู ฝงั ความสำนึกถงึ บทบาททางสงั คมท่เี ด็กได้พบเห็นในชีวิตจรงิ แนวทางการจัด มุมบทบาทสมมตินี้ ควรอยู่ใกล้มุม บล๊อก หรืออาจจะให้เป็นสถานที่ต่างๆ นอกเหนอื จากการจดั เป็นบา้ นโดยสงั เกตการเล่นและความสนใจของเด็กว่ามีการเปล่ียนแปลงบทบาท การเล่นจากบทบาทเดิมไปสู่รูปแบบการเล่นอื่นหรือไม่ อุปกรณ์ที่นำมาจัดควรเปลี่ยนไปตามความ

๑๑๓ สนใจของเด็กเช่นกัน มุมบทบาทสมมุติอาจจะเป็นบ้าน/ร้านอาหาร/ร้านขายของ ร้านเสริมสวย โรงพยาบาล ฯลฯ ในขณะเดียวกันอุปกรณ์ที่นำมาจัดให้เด็กควรหมั่นดูแลและทำความสะอาดทุก สัปดาห์ ไม่เป็นอันตราย และความเหมาะสมกับสภาพทอ้ งถ่นิ มุมวทิ ยาศาสตร/์ มมุ ธรรมชาติ มมุ วิทยาศาสตร์หรอื มุมธรรมชาติ เปน็ มมุ เล่นทีผ่ สู้ อนจะรวบรวมสง่ิ ของตา่ งๆหรอื ส่งิ ที่มีในธรรมชาติมาให้เด็กได้สำรวจ สังเกต ทดลอง ค้นพบด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการช่วยพัฒนาทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ใหก้ บั เด็ก แนวทางการจดั มุมวทิ ยาศาสตร์หรอื มมุ ธรรมชาติ อาจจะไว้ใกล้ มุมหนงั สือ สิง่ ของท่จี ดั วางต้องคำนงึ ถึงความ ปลอดภัยของเด็กในขณะที่ใช้หรือเก็บควรอยู่ในระดับที่เด็กหยิบ จับ ดูวัสดุอุปกรณ์ เหล่านั้นได้โดย สะดวกควรจะปรับเปล่ยี นส่ิงของทีน่ ำมาจัดแสดง อาจมีการจำลองการทดลองอย่างง่าย เพื่อให้เด็กได้ เรยี นรู้ สภาพแวดล้อมนอกห้องเรียน คือการจัดสภาพแวดล้อมบริเวณในสถานศึกษา รวมทงั้ จดั สนามเด็กเล่น พรอ้ มเคร่ืองเลน่ สนาม จะระวงั รักษาความปลอดภัยภายในสถานศึกษา ดูแล รกั ษาความสะอาด ปลูกต้นไมใ้ หค้ วามรม่ ร่ืนรอบๆ บริเวณสถานศกึ ษา สิ่งต่างๆ เหล่าน้เี ปน็ ส่วนหนึ่งท่ี สง่ ผลตอ่ การเรยี นรูแ้ ละพฒั นาการของเด็ก สภาพแวดล้อมนอกหอ้ งเรยี น ประกอบดว้ ย ๑) สนามเดก็ เล่น ควรมีพื้นผิว หลายประเภท เช่น ดนิ ทราย หญ้า พนื้ ท่ีสำหรบั เล่น ของเล่นที่มีล้อรวมท้ังที่ร่ม ที่โล่งแจ้ง พื้นดินสําหรบั ขุด ที่เล่นน้ำ บ่อทรายพร้อมอุปกรณ์ประกอบการ เล่น เครอ่ื งเล่นสนามสำหรับปีนป่าย การทรงตวั ฯลฯ ทง้ั น้ีต้องไม่ตดิ กับบริเวณที่มีอันตราย ตอ้ งหม่ัน ตรวจตราเครอื่ งเล่นใหอ้ ยู่ในสภาพแขง็ แรง ปลอดภัยอยเู่ สมอและหมนั่ ดูแลเร่ืองความสะอาด ๒) ที่นั่งเลน่ พกั ผอ่ น จัดที่นัง่ ไว้ใตต้ ้นไม้มีร่มเงา อาจใช้กิจกรรมยอ่ ยๆ หรือกิจกรรม ที่ต้องการความสงบ หรืออาจจัดเป็นพื้นที่ให้ความรู้ ประชาสัมพันธ์ ป้ายนิเทศ เพื่อให้ความรู้แก่เด็ก และผูป้ กครอง ๓) บริเวณธรรมชาติ ปลูกไม้ดอก ไม้ประดับ แปลงปลูกพืชสวนครัว หากบริเวณ สถานศึกษามไี มม่ ากนักอาจปลูกพชื ในกระบะหรอื กระถาง หรอื เศษวสั ดใุ นท้องถ่นิ ๔) ห้องปฏิบัติการ และอาคารประกอบต่างๆ เช่น โรงอาหาร เรือนเพาะชำ ห้องสมุดห้องปฏิบัติการต่างๆ ควรจัดให้มีพื้นที่สำหรับให้เด็กทำกิจกรรมและเรียนรู้ ที่สะอาดแล ะ ปลอดภยั สำหรับเดก็ การจัดสภาพแวดล้อมด้านจิตภาพ เป็นการจัดห้องเรียนตามแนวคิดเรื่องการ เรียนรูอ้ ย่างมีความสุข การจดั สภาพแวดล้อมจึงเป็นการจดั เพื่อให้เกดิ บรรยากาศที่ดีในการอยู่ร่วมกัน ซึ่งจะเกิดความสะดวก ปลอดภัย ราบรื่นจากการทำกิจกรรมในห้อง ที่มีลักษณะทางกา ยภาพท่ี เหมาะสมและมีการปฏิบัติตอ่ กันทีเ่ หมาะสมของผูท้ ่ีอยู่ในสภาพแวดล้อมทั้งเด็กและผูส้ อน นอกจากน้ี

๑๑๔ ยังรวมถึงกฎ ระเบียบ กติกา ข้อตกลงที่ทุกคนสามารถปฏิบัติร่วมกันได้และเกิดความสุขในการอยู่ รว่ มกนั การจดั บรรยากาศด้านจติ ภาพ จงึ เป็นเป้าหมายเพ่ือให้เด็กไดเ้ รียนรู้การอยู่รว่ มกันในสระภาพ แวดล้อมแห่งความสุข ผสู้ อนมีทา่ ทที ่ีอบอ่นุ ให้ความมั่นใจแก่เด็กสนบั สนนุ ให้เด็กไดป้ ระสบความสำเร็จ ในกิจกรรมต่างๆ มีสถานที่ที่เด็กสามารถมีความเป็นส่วนตัว หรือเมื่อต้องการอยู่ตามลำพัง ต้องการ ความสงบ ให้อิสระเด็กในการสื่อสาร เคลื่อนไหว ทำกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งข้อตกลงต่างๆ สามารถ ยืดหยนุ่ ไดเ้ มื่อจำเป็น การจดั สภาพแวดล้อมทางจิตภาพมรี ายละเอียดดังนี้ บคุ ลกิ ภาพผสู้ อน บุคลิกภาพผู้สอนช่วยเสริมบรรยากาศในการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นในห้องได้เป็นอย่างดี ยิ้มแย้ม แจ่มใส มีกิริยามารยาทแบบไทย แต่งกายเหมาะสมกับวัฒนธรรมท้องถิน่ ใช้ภาษาถูกต้องชัดเจน เต็ม ใจตอบคำถามของเด็ก พูดกับเด็กด้วยเสียงนุ่มนวลเป็นมิตร และพูดชี้แจงเหตุผลแก่เด็กด้วยน้ำเสียง ปกติ การจัดการชนั้ เรยี นของผู้สอน ผู้สอนควรใส่ใจดูแลให้เด็กอยู่ร่วมกันในห้องเรียนอย่างมีความสุข พร้อมทั้งเรียนรู้สิทธิและ หน้าทข่ี องตน มกี ารสร้างข้อตกลงในการปฏบิ ัติตนร่วมกันระหว่างครูกบั เด็ก และเด็กกับเด็ก การแบ่ง หน้าที่ความรับผิดชอบ แนวทางปฏิบัติเมื่อเด็กไม่ทำตามข้อตกลง และแก้ไขปัญหาเมื่อมีข้อขัดแย้ง เกดิ ขึน้ การสรา้ งความสมั พันธ์ระหวา่ งผ้สู อนกับเดก็ ความสมั พันธ์อนั ดรี ะหว่างผูส้ อนกบั เด็กชว่ ยเสรมิ สรา้ งให้เด็กรสู้ ึกอบอนุ่ ปลอดภัย สรา้ งความ มั่นใจในตนเอง และเกิดความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง ผู้สอนควรสร้างความสัมพันธ์กับเด็กด้วยท่าทาง เช่น ยม้ิ สัมผัส ทกั ทาย และพูดคยุ กับเด็ก ดแู ลเดก็ ท่มี ปี ญั หาสุขภาพ ไมส่ บาย หรือตอ้ งการกำลังใจ รับฟัง เมื่อเด็กพูดด้วย ให้โอกาสเด็กที่ต้องการพูดคุยกับผู้สอน ตอบเมื่อเด็กถาม และยอมรับการช่วยเหลือ ของเดก็ การสรา้ งความสัมพันธ์ระหว่างเดก็ กบั เดก็ ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเด็กกับเด็กในสถานศึกษา จะทำให้เด็กอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างเด็กกับเด็ก ผู้สอนควรจัดให้มีกิจกรรมที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดี ระหวา่ งเดก็ กบั เด็ก โดยการจัดกิจกรรมท่สี ่งเสริมการชว่ ยเหลือซึ่งกันและกัน สร้างความรับผิดชอบใน การทำงาน ให้เดก็ ไดร้ ่วมคิด รว่ มทำ และรว่ มแก้ปัญหา เชน่ การจัดของเล่นการดูแลความสะอาดการ ทำงานกล่มุ เปน็ ต้น การสรา้ งความสัมพันธ์ระหวา่ งผู้ปกครองและสถานศึกษา ผู้สอนมีบทบาทสำคัญยิ่งในการสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครอง กับสถานศึกษา ผู้สอนจึงควรสร้างความสัมพันธ์กับผู้ปกครองด้วยการจัดทําป้ายนิเทศซึ่งมีสาระ เกี่ยวกับเด็ก ผู้ปกครอง ชุมชน และโรงเรียน จัดทำจดหมายข่าวถึงผู้ปกครอง หรือการสื่อสารผ่านสือ่ และเทคโนโลยี กระตนุ้ ใหผ้ ปู้ กครองแลกเปลีย่ นเรียนรู้กับทางโรงเรียน สนับสนนุ ให้ผู้ปกครองเยี่ยมชั้น

๑๑๕ เรียนของเด็กจัดประชุมพบปะระหว่างผู้ปกครองและผู้สอน รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองได้ทำงาน อาสาสมัครร่วมกับทางโรงเรยี น การจัดสภาพแวดล้อมด้านสังคม เป็นการจัดสภาพแวดล้อมที่เกิดจากแนวคิดเรื่องการ เรยี นรทู้ างสังคมของเด็กปฐมวัยทีเ่ รียนรู้ทางสงั คมจากการเลน่ การทำกจิ กรรมและการทำงานร่วมกับ ผอู้ ่นื ทงั้ เด็กและผ้ใู หญ่ การจัดสภาพแวดล้อมด้านสังคมจงึ เป็นการจัดการที่ให้เด็กร่วมกับผู้อื่นได้อย่าง มคี วามสขุ สนบั สนนุ ใหป้ ฏิบตั ิตนในลกั ษณะที่สังคมยอมรับและเกิดทักษะทางสังคม มีสมั พันธภาพท่ีดี กับผู้สนับสนุนให้เกิดการแบ่งปันกันทั้งในด้านความคิด ความรู้สึก พื้นที่และอุปกรณ์ต่างๆ จัดให้มี บรรยากาศแบบประชาธิปไตย เด็กได้แสดงความเห็นและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจต่างๆ เช่น การ กำหนดขอ้ ตกลง กตกิ า กฎ ระเบียบต่างๆ การแบ่งหนา้ ที่ การฝึกการมีวินยั ในตนเอง การเรียนรู้ของเด็กที่ได้ปฏิสัมพันธ์สิ่งแวดล้อมทั้งด้านวัตถุและบุคคล ผู้สอนจะต้องพยายาม จัดสภาพแวดล้อมให้สอดคล้องกับธรรมชาติของเด็ก ให้เด็กทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น กับสิ่งของและ กระบวนการต่างๆรวมถึงให้เด็กได้ปฏิสัมพันธ์กับประสบการณ์ต่างๆ และผู้สอนจะต้องมีการวาง แผนการจัดกิจกรรมประจำวันให้เด็กได้พัฒนาทางร่างกายและสังคม โดยการเตรียมสื่อ วัสดุ ที่ เหมาะสม เพื่อกระตุ้นให้เด็กได้เกิดกระบวนการคิด ให้เด็กได้เห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ โดยจัด สภาพแวดล้อมให้เด็กได้ปฏิสัมพันธ์กับผู้คนและกระบวนการต่างๆ อย่างกว้างขวาง การที่เด็กอยู่ใน สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เด็กจะพัฒนาความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง เกิดความเชื่อมั่นในตนเองและมี ความคดิ สร้างสรรค์ ๙.๒ สอ่ื สื่อเพื่อส่งเสริมพัฒนาการและการเรยี นรู้ของเด็ก เป็นตัวกลางกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ตาม จุดมุ่งหมายทีก่ ำหนดการเรียนรู้ ของเด็กอายุ ๔-๖ ปีจำเป็นต้องผ่านการลงมือปฏบิ ัตจิ ริงหรือเกิดการ ค้นพบด้วยตนเองเป็นประสบการณ์ตรง ซึ่งเด็กจะเรียนรู้จากสิ่งที่เป็นรูปประธรรมหรือมองเห็น จับ ต้องได้ไปสู่สิ่งที่เปน็ นามธรรม เพื่อเข้าสู่อายุที่สูงขึ้น การเรียนรู้ของเด็กวัยนี้จึงขึ้นอยู่กับของจริงทีพ่ บ เหน็ ของเล่นทีเ่ ลียนแบบของจริง นทิ านและเพลงดังน้ี ๑) ของเล่น ของเล่นเป็นสิ่งที่ประกอบการเลน่ ของเด็ก ของเล่นช่วยกระตุ้นให้เด็กเกิดการเรยี นรู้ และเกิดความมั่นใจในการเล่น ของเล่นอาจจัดทําขึ้นเองจากวัสดุ สิ่งของ เศษวัสดุเหลือใช้รอบตัวใน ชีวิตประจำวันหรือเป็นการเลือกซื้อของเล่นที่มีขายในท้องตลาด ซึ่งมีการจัดหาของเล่นให้เด็กต้อง คำนงึ ถงึ ความปลอดภัยและเหมาะสมกับวยั ของเด็ก ๑.๑ ลักษณะของเลน่ เด็ก ของเลน่ เกย่ี วขอ้ งกับการเล่นของเด็กแบง่ เปน็ ๑.๑.๑ ของจริง เป็นของเล่นที่เป็นสิ่งหรือเครื่องใช้ในชีวิตจริง ของจริงที่เด็กเล่นได้ เช่น ชอ้ นถว้ ย พลาสติก หม้อ จาน ๑.๑.๒ ของเล่นเลียนแบบของจริง เปน็ ของเล่นทีท่ ําขน้ึ ให้มรี ปู แบบเหมือนของจรงิ

๑๑๖ ที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน ทำจากวัสดุประเภทไม้ พลาสติก โลหะ กระดาษ ก็ได้ เช่น ตุ๊กตาสัตว์ขนนุ่ม ตุ๊กตาคน ลูกบอลเดก็ เล่น รถเด็กเล่น ของเลน่ เครอื่ งครัว/ เครือ่ งใชใ้ นบ้าน ๑.๑.๓ ของเลน่ สร้างสรรค์ เปน็ ของเล่นท่ีทาํ ข้นึ ไม่มีรูปแบบท่ีแน่นอนตายตวั สามารถประกอบเข้าด้วยกันให้เป็นอะไรก็ได้ตามความต้องการหรือจินตนาการของผู้เล่น เช่น ตัวต่อ พลาสติก พลาสตกิ สร้างสรรค์ บล็อกพลาสตกิ / ไม้ วัสดุทใี่ ช้ในการวาดภาพ/ การปน้ั /การประดษิ ฐ์ ๑.๑.๔ ของเลน่ เพ่ือการศกึ ษา เปน็ ของเล่นทที่ าํ ขนึ้ มีรปู แบบช่วยพัฒนาทกั ษะการ สังเกต ทักษะกล้ามเน้ือมือ ประสานสัมพนั ธ์กบั ตา ทักษะการคิด เชน่ ไม้บลอ็ ก เกมภาพตดั ต่อ เกมโด มโิ น่ ๑.๑.๕ ของเล่นพน้ื บ้าน เป็นของเลน่ ทที่ ำจากวัสดุตามธรรมชาติหรอื วัสดุทม่ี อี ยูใ่ น ท้องถิน่ ดว้ ยเชน่ โมบายปลาตะเพียน ตะกร้อใบลาน ต๊กุ ตาสตั วท์ ำจากฟาง กงั หันลมใบตาล ล้อกลิ้งไม้ ไผ่ นก/ ตั๊กแตนสานใบมะพร้าว กะลารองเท้า ปี่ใบมะพร้าว และปั้นดินเหนียวรูปสัตว์ ๑.๒ ประเภทของเล่นเดก็ ของเล่นเด็กมหี ลากหลายรูปแบบ ขึน้ อยกู่ บั วัตถุประสงค์ ของการใชเ้ ล่นแบ่งเปน็ ๑.๒.๑ ของเลน่ ฝึกประสาทสัมผสั เป็นของเลน่ ท่ดี ึงดูดความสนใจของเด็ก ในการ มองเห็น ได้ยินและสัมผัส เช่น ของเล่นที่มีผิวสัมผัสเรียบ- ขรุขระ ของเล่น หยิบจับไว้ในมือได้ เสยี งเพลง ๑.๒.๒ ของเล่นฝึกการเคลอื่ นไหว เป็นของเล่นทเี่ คล่ือนทไ่ี ปมาได้ กระตนุ้ ให้เด็ก ใชก้ ลา้ มเนื้อแขน ขา เชน่ ลูกบอล ของเลน่ ลากจูงได้ ของเลน่ ไขลาน ของเลน่ มลี อ้ เลือ่ น ๑.๒.๓ ของเล่นฝึกความสัมพันธ์มือตา เป็นของเล่นที่ฝึกให้เด็กได้พัฒนาการ ประสานสัมพันธ์ระหว่างการใช้กล้ามเนื้อมือและตาอย่างมีจุดหมาย เช่น กระดานค้อนตอก กล่อง หยอดรูปทรง ของเลน่ รอ้ ยลูกปดั เมด็ โต ของเลน่ รอ้ ยเชอื กตามรู ของเลน่ ผูกเชือก/รดู ซปิ /ตดิ กระดุม ๑.๒.๔ ของเลน่ ฝึกภาษา เป็นของเล่นท่ีช่วยในการฟงั การสอ่ื สารทางด้านการฟัง การพูดเล่าเรือ่ ง เชน่ หนังสอื ภาพนทิ าน เทป เพลงเดก็ เครื่องดนตรี หุ่นมอื ๑.๒.๕ ของเลน่ ฝึกการสงั เกต เป็นของเลน่ ฝกึ ทักษะการเปรยี บเทียบ การจำแนก หรอื จดั กลมุ่ ของ เชน่ ของเลน่ รปู ทรงเรขาคณติ แผ่นภาพจบั คู่ บล็อกตา่ งสีตา่ งขนาด ๑.๒.๖ ของเล่นฝึกการคิด เป็นของเลน่ สอนใหเ้ ดก็ มสี มาธแิ ละรจู้ กั แก้ปญั หา คดิ ใช้ เหตุผล เช่น ภาพตัดตอ่ ตวั ตอ่ ภาพ ปริศนา บลอ็ กไม้ ๑.๒.๗ ของเล่นฝึกความคิดสรา้ งสรรค์ เป็นของเล่นทีส่ ่งเสริมใหเ้ ดก็ สรา้ ง จนิ ตนาการตามความนกึ คิดหรือแสดงบทบาทสมมุติ เช่น บล็อกไม้ ตัวต่อ ของเลน่ เครื่องครัว ของเล่น รา้ นค้า ของเล่นเครอื่ งมอื แพทย์ ๑.๓ การเลอื กของเล่นเด็ก หลักเกณฑท์ ีค่ วรคำนงึ ถงึ มีดังน้ี ๑.๓.๑ ความปลอดภยั ในการเล่น ของเล่นสำหรบั เดก็ อาจทำด้วยไม้ ผา้ พลาสติก

๑๑๗ หรือโลหะ ที่ไม่มีอันตรายเกี่ยวกับผิวสัมผัสที่แหลมคม หรือมีชิ้นส่วนที่หลุดหรือแตกหักได้ ตลอดจน ทำให้วัสดุที่ไม่มีพิษมีภัยต่อเด็กในสีที่ทา หรือส่วนผสมในการผลิตมีขนาดไม่เล็กเกินไป จนทำให้เด็ก กลนื หรือหยิบใสร่ จู มกู หรอื เขา้ ปากได้ รวมทั้งมนี ำ้ หนักพอเหมาะที่เดก็ สามารถหยบิ เล่นเองได้ ๑.๓.๒ ประโยชน์ในการเล่น ของเล่นท่ีดีควรช่วยเร้าความสนใจของเด็กให้อยากรูอ้ ยากเหน็ มี สีสันสวยงามสะดุดตาเด็ก มีการออกแบบที่ส่งเสริมให้เด็กใช้ความคิดและจินตนาการที่จะเล่นอย่าง ริเริ่มสร้างสรรค์หรือแก้ปัญหาช่วยในการพัฒนากล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหว และการใช้มือได้อย่าง คลอ่ งแคลว่ ท้งั ยงั เสรมิ สร้างการพัฒนาประสาทมอื และตาให้สมั พนั ธ์กัน ๑.๓.๓ ประสิทธิภาพในการใช้เลน่ ของเล่นที่เหมาะในการเล่นควรมีความยากงา่ ยกับอายุและ ความสามารถตามพัฒนาการของเด็ก ของเล่นที่ยากเกินไปจะบั่นทอนความสนใจในการเล่นของเด็ก และทำให้เด็กรู้สึกท้อถอยได้ง่าย ส่วนของเล่นที่ง่ายเกินไปก็ทำให้เด็กเบื่อไม่อยากเล่นได้ นอกจากน้ี ของเล่นควรทำให้เด็กได้ใช้ประสบการณ์ตรงและเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีความแข็งแรงทนทาน และปรับเปลีย่ นแปลงใชป้ ระโยชนไ์ ด้หลายโอกาส หลายรปู แบบเล่นไดห้ ลายคน ๑.๓.๔ ความประหยัดทรัพยากร ของเล่นทดี่ ไี ม่จำเปน็ ตอ้ งมีราคาแพงหรือผลิตด้วย เทคโนโลยีที่ทันสมัย มีตราเครื่องหมายผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่มีชื่อเสียงเป็นที่นิยมทั่วไป หากแต่เป็น วัสดุของหรือของเล่นที่สามารถจัดหาง่ายๆ มีราคาย่อมเยา และมีอยู่ในท้องถิ่นนั้นโดยหาซื้อได้ง่าย หรือทำข้ึนเองได้จากภมู ปิ ัญญาพื้นบ้านหรอื วฒั นธรรมท้องถิน่ ตารางเกณฑ์พิจารณาการเลอื กซ้ือของเล่นให้เด็ก ประเด็นการพจิ ารณา ๑. ของเลน่ ทีม่ ีลักษณะปลอดภยั สำหรับเด็กตามวัย สีที่ใช้ เปน็ สีที่ปลอดภัย ไมม่ ีชิ้นส่วนแหลมคมหรอื แตกหกั ง่าย ๒. ของเลน่ เหมาะกับวยั ของเดก็ ไมย่ ากหรือง่ายเกินไปที่เด็กจะเล่นได้เอง ๓. ของเลน่ ดึงดูดความสนใจการเลน่ ท้าทายความสามารถของเด็ก ๔. ของเลน่ มกี ารออกแบบอยา่ งพถิ ีพิถนั มองดูเหมาะกับธรรมชาติของเดก็ ๕. ของเล่นสามารถปรับเปล่ียนรปู แบบได้หลากหลาย ใชเ้ ล่นไดห้ ลายแบบ หลายวธิ ีตามความตอ้ งการของผเู้ ล่น ๖. ของเล่นมีความคงทนใชเ้ ลน่ ไดน้ าน ไมบ่ ุบสลายง่าย ๗. ของเลน่ ชว่ ยส่งเสริมทักษะการเรยี นรู้ของเด็ก ทำใหเ้ ดก็ เรยี นรหู้ ลายๆด้านเกย่ี วกบั สง่ิ แวดลอ้ มรอบตัว ๘. ของเลน่ ชว่ ยขยายความคดิ สรา้ งสรรค์ของเด็กทำให้เด็กใชจ้ นิ ตนาการ การคดิ ทำส่งิ ใหม่ๆ ๙. ของเลน่ ทำใหเ้ ดก็ มสี มาธิ ใจจดจ่ออยกู่ บั การเลน่ เปน็ เวลานานพอควรตามช่วงความสนใจของวัย ๑๐. ของเล่นทำความสะอาดได้ง่าย หรอื นำกลับมาเลน่ ใหมไ่ ด้ ๑๑. ของเล่นทำให้เดก็ เกิดความร้สู กึ ดตี ่อตนเองและคน้ พบความสำเร็จ ๑๒. ของเลน่ มรี าคาไม่แพงจนเกินไป เม่อื เปรยี บเทียบกับคุณภาพของวัสดุและการใชป้ ระโยชน์

๑๑๘ ๒.นทิ าน นิทานเป็นสื่อ เครื่องมือและวิธีการที่สำคัญในการพัฒนาเด็ก การอ่านหนังสือให้เด็กฟัง จะ ช่วยสร้างความคุ้นเคยระหว่างเด็กกับหนังสือ ถือเป็นการบ่มเพาะนิสัยรักการอ่านหนังสือในเด็กได้ อย่างแยบยล ๒.๑ ประโยชน์ของนิทาน นทิ านมีบทบาทสำคัญต่อการเสรมิ สรา้ งพัฒนาการเดก็ ดังนี้ ๒.๑.๑ ด้านร่างกาย การอ่านหนังสือให้เด็กฟัง เด็กจะได้บริหารร่างกายตามเรื่องราว ของนิทาน ทำใหอ้ วัยวะสว่ นตา่ งๆของร่างกายแขง็ แรง ๒.๑.๒ ด้านอารมณ์ จติ ใจ การอ่านหนงั สือให้เดก็ ฟงั เดก็ จะรู้สกึ สนุกสนานมีความสุขที่ได้ ฟังเรื่องราวหรือท่องบทกลอนและแสดงท่าทางอย่างอิสระตามความต้องการ เด็กจะมีอารมณ์ดี ยิ้ม แย้ม แจม่ ใส ๒.๑.๓ ด้านสังคม สร้างความสมั พนั ธใ์ นครอบครัวและสังคมรอบด้าน ๒.๑.๔ ด้านสติปัญญา การอ่านหนังสือจะช่วยให้เด็กสามารถจดจำถ้อยคำ จำประโยค และเรื่องราวในหนังสือได้ รู้จักเรียนแบบคำพูด เข้าใจความหมายของเรื่องที่จะอ่าน รู้จักคิดและรู้จัก จินตนาการ ๒.๒ วิธกี ารเลา่ นิทานและเรอ่ื งราวสำหรับเด็ก เมื่อเลือกนิทานเรื่องราวที่เหมาะสมกับวัยของเด็กได้แล้ว วิธีการเล่านิทาน หรือเรอ่ื งราวเพอ่ื ให้เด็กเกิดความสนใจติดตามฟังเนื้อเรื่องจนจบ จงึ จำเป็นตอ้ งทำให้เหมาะสมกับเร่ือง ที่จะเล่าด้วย ในการเล่าเร่อื งนิทานท่นี ยิ มใช้มี ๒ วธิ ีดงั นี้ ๒.๒.๑ การเลา่ เร่ืองโดยไม่มีอุปกรณ์ เป็นการเล่านิทานเรื่องการบอกเล่าด้วยน้ำเสียง และลีลาของผูเ้ ลา่ ซึง่ มรี ายละเอยี ดดงั น้ี ๑) การขึ้นต้นเรื่องท่ีจะเลา่ ควรดึงดูดความสนใจเด็ก โดยค่อยๆ เริ่มเล่าด้วยเสียงพูดท่ชี ัดเจน ลีลา่ ของการเลา่ ชา้ ชา้ และเรม่ิ เรว็ ข้นึ จนเป็นการเล่าด้วยจังหวะปกติ ๒) ระดับเสยี งท่ีใช้ควรดัง และประโยคที่เล่าควรแบ่งเปน็ ประโยคส้นั ๆ แตไ่ ด้ใจความ การเล่า ควรดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ควรจังหวะการเล่าให้นานและจะทำให้เด็กเบื่อ อีกทั้งไม่ควรมีคำถาม หรอื คำพูดอื่นๆ ท่เี ปน็ การขัดจงั หวะทำใหเ้ ดก็ หมดสนุก ๓) การใช้น้ำเสียง สีหน้า ท่าทาง ควรแสดงให้สอดคล้องกับลักษณะของตัวละคร ไม่ควรพูด เนือ่ ยๆ เรือ่ ยๆ เพราะขาดให้ความตื่นเตน้ ๔) การน่ังเลา่ เรอื่ ง ควรจัดหาเกา้ อีน้ ่ังใหเ้ หมาะกับระดับสายตาเดก็ ควรเวน้ ระยะหา่ งของการ นง่ั เผชิญหน้าเด็กพอประมาณทจ่ี ะสามารถสบตาเด็กขณะเล่าเร่ืองได้ทว่ั ถึง ๕) การใช้เวลาไม่ควรเกิน ๒๐ นาที โดยสังเกตจากท่าทางการแสดงออกของเด็ก ซึ่งไม่ได้ให้ ความสนใจจดจ่อกบั เรือ่ งท่เี ลา่ ๖) การเปิดโอกาสให้เด็กไดค้ ิดและวิจารณเ์ ร่ืองท่ีเล่า ควรใชค้ ำถามสอบถามความคิดของเด็ก

๑๑๙ เกย่ี วกบั เรอ่ื งราวที่ไดฟ้ ัง ให้เดก็ มีโอกาสแสดงความคิดเหน็ ภายหลังท่ีเร่ืองเล่าจบลง ๒.๒.๒ การเลา่ เรอื่ งโดยมอี ปุ กรณช์ ่วย อุปกรณท์ ชี่ ่วยในการเลา่ เรอื่ งมีหลายประเภท ไดแ้ ก่ ๑) สิ่งแวดล้อมรอบตวั เดก็ ซึ่งสามารถนำมาเลา่ เร่ืองราวประสบการณไ์ ด้แก่เด็กได้ อุปกรณ์ที่ เป็นสิ่งแวดล้อมไดแ้ กส่ ัตว์ พืช บุคคลสำคัญ สถานที่สำคัญ ข่าวและเหตกุ ารณ์ ตลอดจนสิง่ ทีม่ อี ยูต่ าม ธรรมชาติ ๒) วัสดุเหลือใช้ สิ่งของท่ีไม่เป็นที่ต้องการ แต่ยังมีประโยชน์ เช่น ภาพจากหนังสือนิตยสาร ก่ิงไม้ ของกระดาษ สิง่ เหล่าน้ีอาจนำมาใชป้ ระโยชน์ในการเลา่ เร่ืองได้ ๓) ภาพ ใช้รูปภาพที่มีเรื่องราวเล่าได้ เช่น ภาพที่มีเรื่องราวรวมอยู่ในแผ่นเดียวหรือทำเป็น แผน่ ภาพพลกิ หลายๆแผ่น ขนาดใหญพ่ อควรและมเี นื้อเร่ืองเขียนไวด้ า้ นหลงั ๔) ห่นุ จำลอง ใช้หุ่นทท่ี ำดว้ ยผา้ หรอื กระดาษทำเปน็ ละครหุ่นมือ หุน่ เชิด หุ่นชัก ๕) สไลดป์ ระกอบการเลา่ เรือ่ ง ใชภ้ าพถ่ายเปน็ สไลดเ์ เผ่นฉายใชท้ ีละภาพ ๖) หนา้ กาก ทำเป็นรปู ตวั ละคร ใชว้ ัสดทุ ำเปน็ หนา้ กากรูปตวั ละครต่างๆ ๗) เทปนิทานหรือเร่ืองราว ใชก้ ารเปดิ เทปทม่ี เี สยี งเล่าเร่อื งราว ๘) นิ้วมอื ประกอบการเลา่ เร่ือง ใชน้ ว้ิ มือเคลอื่ นไหวเปน็ ตัวละครตา่ งๆ ๒.๓ การอ่านนทิ าน การสร้างนิสัยรักการอ่านให้เด็กเป็นหน้าที่สำคัญประการหนึ่งของผู้สอน เพราะ หนังสอื คอื อาหารสมองและอาหารใจ หนังสือคือความสขุ หนังสอื คือเพอ่ื น หนงั สอื คอื แหล่งเรยี นรู้ของ เด็กไปตลอดชีวิต การสร้างนิสัยรักการอ่านให้เด็ก จึงเป็นการสร้างพื้นฐานสำคัญของชีวิตให้เด็ก เด็ก จะรักหนังสือได้จากการที่ผู้สอนอ่านหนังสือที่เด็กชอบให้ฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าเท่าที่เด็กเรียกร้องต้องการ เด็กจะรู้สึกพอใจและมีความสุขมากในขณะที่ผู้ใหญ่อ่านหนังสือให้ฟัง และจะตื่นโตขึ้นมาเป็นคนรัก หนังสือ และรักการอ่านหนังสือ การการอ่านนิทานให้เด็กฟัง คือการอ่านหนังสือที่ไม่ปล่อยให้เด็ก เดินทางไปคนเดยี ว หรอื เป็นผ้รู ับฟังเพยี งอย่างเดียว แตผ่ ้สู อนต้องมีส่วนรว่ มไปกบั เด็กดว้ ย นิทานเป็น สื่อสำหรับผู้สอนในการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีเด็กที่เติบโตมาด้วยการหล่อหลอมให้ฟังนิทาน มักจะเป็น เด็กที่ใช้ภาษาไดด้ ีมากกวา่ เด็กในวัยเดยี วกันทีไ่ ม่ได้ถูกหล่อหลอมมาด้วยหนังสือหรือนิทาน อีกทั้งเดก็ ที่มีนิสัยรักการอ่านจะพัฒนาในด้านอื่นๆได้อย่างรวดเร็วตามมา เช่นสมองพฤติกรรมและอารมณ์ที่ดี การพฒั นาส่ือ การพัฒนาสื่อเพื่อใช้ประกอบการจัดกิจกรรมในระดับปฐมวัยนั้น ก่อนอื่นควรได้สำรวจข้อมูล สภาพปญั หาต่างๆของส่ือทุกประเภทท่ีใช้อย่วู า่ มีอะไรบ้างท่ีจะต้องปรับปรงุ แก้ไข เพ่ือจะได้ปรับเปลี่ยน ใหเ้ หมาะสมกับความตอ้ งการ

๑๒๐ แนวทางการพัฒนาสื่อ ควรมีลักษณะเฉพาะ ดงั น้ี ๑. ปรับปรุงสื่อให้ทันสมัยเข้ากับเหตุการณ์ ใช้ได้สะดวก ไม่ซับซ้อนเกินไป เหมาะสมกับวัย ของเดก็ ๒. รกั ษาความสะอาดของส่ือ ถ้าเป็นวัสดุที่ล้างน้ำได้ เม่อื ใช้แลว้ ควรได้ล้างเช็ด หรือ ปัดฝุ่น ใหส้ ะอาด เกบ็ ไว้เป็นหมวดหมู่ วางเป็นระเบียบหยิบใช้ง่าย ๓. ถ้าเป็นสื่อที่ผู้สอนผลิตขึ้นมาใช้เองและผ่านการทดลองใช้มาแล้ว ควรเขียนคู่มือ ประกอบการใช้สื่อนั้น โดยบอกชื่อสื่อ ประโยชน์และวิธีใช้สื่อ รวมทั้งจำนวนชิ้นส่วนของสื่อในชุดนั้น และเกบ็ คมู่ ือไวใ้ นซองหรือถงุ พร้อมสอื่ ที่ผลิต ๔. พัฒนาสือ่ ท่สี ร้างสรรค์ ใชไ้ ดเ้ อนกประสงค์ คือ เปน็ ไดท้ ้งั สือ่ เสริมพฒั นาการ และเปน็ ของเลน่ สนกุ สนานเพลดิ เพลิน ๙.๓ แหล่งเรยี นรู้ แหลง่ เรยี นรเู้ พอ่ื ส่งเสริมพัฒนาการและการเรยี นร้ขู องเด็ก แหล่งเรียนร้มู คี วามสำคัญคือ เป็นแหล่งการศึกษาตามความสนใจและความต้องการตามอัธยาศัยปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน การ สืบเสาะหาความรู้ การแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง การสร้างเสริมประสบการณ์ด้วยประสบการณ์ตรง เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต สภาพแวดล้อมที่เป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวยั ขอเสนอแหล่ง เรียนรู้ที่เป็นตัวอย่างแหล่งวิทยาการการเรียนรู้ในชุมชน และกิจกรรมการเรียนรู้ที่จัดในชุมชนและ ธรรมชาติดังน้ี แหล่งเรียนรู้ในชุมชน เช่น วัดและในชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ เทศบาล ตำบล สถานตี ำรวจ พพิ ธิ ภัณฑ์ธรรมชาติ ต่างๆ เปน็ ต้น แหล่งเรยี นรู้ในชุมชนอีกประเภทหน่ึง เป็น สถาบันของชุมชนท่ีมีอยู่ในวิถชี ีวิตและการทำมาหากินในชุมชน เชน่ โบสถ์ วหิ าร ศาลาการเปรียญใน วัด หรือ ศาสนสถาน ซึ่งเป็นสถานที่ทำบุญตามประเพณี ตลาด ร้านขายของชำ ซึ่งเป็นแหล่งชุมชน ชาวบ้าน สถานีอนามัย ป่าทุกแห่ง ล้วนเป็นห้องเรียนธรรมชาติที่เปิดกว้างสร้างบรรยากาศและ จินตนาการการเรยี นรู้ของเด็ก แหล่งเรียนรู้ภายใน แหลง่ เรยี นรภู้ ายนอก  อาคารเรียนตา่ งๆ  โรงเรยี นต่างๆ ในเขตตำบลควนชุม  หอ้ งสมุด  โรงพยาบาลส่งเสรมิ สขุ ภาพทงุ่ หลอ่  หอ้ งคอมพวิ เตอร์  วัดทุง่ หลอ่  ห้องประชมุ วดั สามัคยาราม  ห้องแนะแนว วดั น้อมนาวาส  ห้องพยาบาล ศนู ย์วิจัยและบำรงุ สัตว์นครศรีธรรมราช  สวนเกษตรพอเพียง สถานตี ำรวจอำเภอร่อนพบิ ูลย์

๑๒๑  หอ้ งวิชาการ สนามกฬี าร่อนพิบลู ย์  หอ้ งสหกรณ์โรงเรยี น โรงพยาบาลรอ่ นพบิ ูลย์  สนามเดก็ เลน่ สวนสตั ว์เปิดทา่ ลาด  สนามกีฬา สถานีรถไฟวดั ทงุ่ หล่อ  สวนดาวเรอื ง สวนไผก่ มิ ซุงสามร้อยกล้า  บอ่ ปลา ภมู ิปัญญาทอ้ งถ่นิ ปราชญ์ชาวบา้ น / ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น / ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่สถานศึกษาเชิญมาใหค้ วามรแู้ ก่ ครู / นักเรียน ได้แก่ การทำข้าวเหนียวหลาม การทำขนมทองม้วน การทำกล้วยฉาบ กระเป๋าสาน พลาสตกิ การเพาะเห็ด ฯลฯ ๑๐. การประเมินพฒั นาการ การประเมนิ พัฒนาการเด็กอายุ ๓-๖ปี เป็นการประเมินพัฒนาการทางด้านรา่ งกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสตปิ ญั ญาของเดก็ ถือเป็นส่วนหน่ึงของการจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้และการปฏิบตั ิ กจิ วตั รประจำวันเปน็ ความรบั ผดิ ชอบของผสู้ อนท่ีต้องดำเนินการต่อเน่ือง โดยเปดิ โอกาสใหผ้ เู้ กีย่ วขอ้ ง มีส่วนร่วมวธิ ีการประเมนิ ที่เหมาะสม ได้แก่ การสงั เกต การบนั ทกึ พฤติกรรม การสนทนาหรือ สมั ภาษณ์ การวิเคราะหข์ ้อมูลจากผลงานเด็กและสรปุ ผลการประเมิน เพื่อใหไ้ ด้ข้อมูลว่าเด็กบรรลุ ตามสภาพที่พงึ ประสงค์ ตัวบ่งชี้ และมาตรฐานคณุ ลักษณะท่ีพงึ ประสงค์หรือไมเ่ พียงใด ผู้สอนควร วางแผนและพัฒนาการจดั ประสบการณ์อยา่ งไรต่อไป โดยมกี ารประเมินพฒั นาการเด็กปฐมวยั ควรยึด หลกั การ ดงั น้ี ๑. วางแผนการประเมินพฒั นาการอยา่ งเปน็ ระบบ การวางแผนการประเมินพฒั นาการอย่าง เป็นระบบ เป็นภารกจิ หนึง่ ของผู้สอนโดยเริ่มต้นจาก ๑.๑ นำหลกั สตู รสถานศึกษาระดับปฐมวยั ไปสู่การปฏิบตั ิดว้ ยการออกแบบและจดั ทำหน่วย การเรียนรูแ้ ละแผนการจัดการประสบการณเ์ รียนรู้ ๑.๒ กำหนดวตั ถุประสงคก์ ารประเมนิ วธิ ีการและเครอื่ งมือที่ใชใ้ นการประเมิน ๑.๓ เก็บรวบรวมข้อมลู ซึ่งผสู้ อนจะต้องวางแผนและออกแบบว่าในแต่ละวนั แต่ละกจิ กรรม จะสงั เกตพฤติกรรมใด สังเกตเดก็ คนใดบ้าง และนำข้อมลู ที่ได้ไปสู่การวเิ คราะหข์ ้อมูลและการแปลผล ต่อไป ๒. ประเมินพฒั นาการเดก็ ครบทุกด้าน การประเมินพัฒนาการเดก็ ครบทุกด้านตามหลักการ น้ี คอื การประเมินพัฒนาการเดก็ ด้านรา่ งกาย อารมณ์ จติ ใจ สงั คม และสติปัญญา ซ่งึ ต้อง

๑๒๒ สอดคล้องและครอบคลุมมาตรฐานคณุ ลกั ษณะท่ีพงึ ประสงค์ ตวั บง่ ชี้ และสภาพที่พึงประสงค์แต่ละ วยั ท่ีกำหนดไวใ้ นหลกั สูตรสถานศกึ ษา และสอดคล้องกับวสิ ัยทัศนข์ องหลักสูตรการศึกษาปฐมวยั ท่ี มุ่งเน้นพัฒนาเด็กทุกคนให้ได้รบั การพฒั นาด้านรา่ งกาย อารมณ์ จติ ใจ สังคม และสติปญั ญาอย่างมี คุณภาพและต่อเนื่องนนั่ เอง ๓. ประเมินพัฒนาการเด็กเป็นรายบคุ คลอย่างสม่ำเสมอต่อเนอ่ื งตลอดปี จุดมุ่งหมายของ การประเมินพัฒนาการเดก็ เพื่อพฒั นาความกา้ วหนา้ ของเดก็ เปน็ รายบุคคลใหเ้ ตม็ ตามศักยภาพ ทัง้ น้ี ความนา่ เชือ่ ถือของผลการประเมนิ จึงเปน็ สง่ิ สำคัญ ผู้สอนต้องสังเกตพฤตกิ รรมหรือการปฏิบตั ิตนของ เดก็ เป็นระยะๆ ตลอดปีการศึกษา มจี ำนวนคร้งั ในการสังเกตพฤติกรรมอย่างเหมาะสมและเพยี งพอ ก่อนจะสรปุ หรือให้ระดบั คุณภาพของพฤตกิ รรมตามสภาพทพี่ งึ ประสงค์ในแตล่ ะวยั ๔.ประเมนิ พฒั นาการตามสภาพจรงิ จากกิจกรรมประจำวนั ดว้ ยเคร่อื งมือและวธิ กี ารท่ี หลากหลาย ไมค่ วรใชแ้ บบทดสอบ เนอื่ งจากแนวคิดการจัดการศึกษาปฐมวยั ให้ความสำคัญกบั ตวั เดก็ ทงั้ การพฒั นาเด็กโดยองคร์ วมและการปฏิบัตทิ ่เี หมาะสมกับพัฒนาการ การอบรมเลี้ยงดูและให้ การศึกษา การเลน่ และการเรียนรขู้ องเด็กภายใต้บรบิ ทสังคมและวฒั นธรรมทีเ่ ด็กอาศัยอยู่ ดงั น้ัน การประเมนิ พัฒนาการตามสภาพจรงิ จากการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ หรือการปฏิบัตกิ ิจวัตร ประจำวัน ดว้ ยวธิ กี ารสังเกต การบันทึกพฤติกรรม การสนทนา การสมั ภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูล จากผลงานเด็ก จงึ เป็นวิธกี ารประเมนิ ท่ีเหมาะสมและสอดคลอ้ งกับเด็กวยั นี้ ผู้สอนจงึ ไมค่ วรใช้ แบบทดสอบทใ่ี ชก้ ระดาษและดินสอในการเขียนตอบ เพื่อประเมินพฒั นาเดก็ วยั น้ี ๕. สรุปผลการประเมิน จัดทำขอ้ มูลและนำผลการประเมินไปใช้พัฒนาเด็ก ขอ้ มลู ท่ไี ด้จาก การสงั เกตพฤติกรรมของเด็กแตล่ ะคนตามสภาพท่ีพงึ ประสงค์ รวบรวมได้จากการจดั ประสบการณ์ การเรียนรใู้ นแตล่ ะหนว่ ยการเรยี นรู้และการปฏิบตั ิกจิ วัตรประจำวนั ผ้สู อนต้องนำไปเทียบเกณฑ์การ ให้ระดับคุณภาพใจ แต่ละสภาพท่ีพึงประสงค์ ตัวบง่ ชแี้ ละมาตรฐานคุณลกั ษณ์ที่พึงประสงค์ พรอ้ ม จัดทำเปน็ ข้อมลู สารสนเทศในระดับหอ้ งเรียนวา่ เดก็ แตล่ ะคนมีพัฒนาการใดบ้างเป็นจดุ เด่นหรือควร ไดร้ บั การส่งเสรมิ และนำไปใช้ในการพฒั นาเด็กเปน็ รายบคุ คลและใชเ้ ปน็ ขอ้ มูลสื่อสารกับผูป้ กครอง ในการเสรมิ ศักยภาพเด็กเป็นรายบคุ คลต่อไป แนวทางการประเมนิ พัฒนาการตามหลักสตู รการศึกษาปฐมวยั พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ (ฉบบั ปรับปรุง พทุ ธศักราช ๒๕๖๓) หลกั สตู รการศึกษาปฐมวยั พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ (ฉบับปรบั ปรุง พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๓) กำหนดเป้าหมายคณุ ภาพของเด็กปฐมวยั โดยยึดพัฒนาการเดก็ ปฐมวัยดา้ นรา่ งกาย อารมณ์ จิตใจ สงั คม และสติปญั ญา ดงั น้ี ๑) พัฒนาการด้านรา่ งกาย เปน็ การเปล่ยี นแปลงความสามารถของร่างกายในการ เคล่ือนไหวสุขภาพอนามัยทดี่ ีรวมถึงการใช้มือกับตาทปี่ ระสานสัมพันธ์กันในการทำกจิ กรรมต่างๆ

๑๒๓ การประเมินพฒั นาการดา้ นร่างกาย ประกอบด้วย การประเมนิ น้ำหนักและสว่ นสงู ตาม เกณฑ์ สุขภาพอนามยั สุขนิสยั ทีด่ ี การรจู้ กั ความปลอดภัย การเคลอื่ นไหวและการทรงตวั การเล่น และการออกกำลังกายและการใชก้ ล้ามเนอ้ื เล็กอย่างประสานสมั พันธ์กนั ๒) พฒั นาการด้านอารมณ์ จิตใจ เปน็ ความสามารถในการแสดงอารมณ์และความร้สู ึก โดยทเี่ ดก็ ร้จู ักควบคมุ อารมณ์และแสดงออกอย่างเหมาะสมกับวัยและสถานการณ์ เพื่อเผชิญกับ เหตุการณ์ต่างๆ ตลอดจนการร้สู ึกท่ดี ตี ่อตนเองและผ้อู นื่ การประเมนิ พัฒนาการด้านอารมณ์ จติ ใจ ประกอบด้วย การประเมินความสามารถใน การแสดงออกทางอารมณอ์ ย่างเหมาะสมกบั วยั และสถานการณ์ ความรสู้ กึ ท่ีดีตอ่ ตนเองและผู้อ่ืน มี ความเหน็ อกเหน็ ใจ ความสนใจ ความสามารถ และมคี วามสุขในการทำงานศิลปะ ดนตรี และการ เคลื่อนไหวความรบั ผิดชอบในการทำงาน ความซ่ือสัตยส์ จุ รติ และร้สู กึ ถูกผิด ความเมตตากรุณา มี นำ้ ใจและช่วยเหลอื แบง่ ปนั ตลอดจนการประหยดั อดออม และพอเพียง ๓) พัฒนาการดา้ นสังคม เปน็ ความสามารถในการสรา้ งสัมพนั ธภาพกับผู้อน่ื ปรับตัวในการ เล่นและอยู่ร่วมกับผอู้ ่ืน สามารถทำหน้าที่ตามบทบาทของตน ทำงานรว่ มกบั ผูอ้ ืน่ มีความรับผิดชอบ รูก้ าลเทศะ สามารถชว่ ยเหลือตนเองในชีวิตประจำวนั เรยี นร้กู ารปรับตวั ใหเ้ ข้ากับเด็กอื่น ร้จู กั รวม มือในการเลน่ กบั กลุ่มเพ่ือน ปฏิบัติตามข้อตกลงในการเล่น รจู้ กั รอคอยตามลำดับก่อน-หลัง การประเมินพัฒนาการดา้ นสังคม ประกอบด้วย การประเมินความมวี ินัยในตนเอง การ ช่วยเหลอื ตนเองในการปฏบิ ัติกจิ วัตรประจำวนั การระวังภายจากคนแปลกหนา้ และสถานการณ์ที่ เสี่ยงอันตราย การดแู ลรักษาธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม การมสี ัมมาคาระและมารยาทตามวฒั นธรรม ไทย รกั ความเป็นไทย การยอมรบั ความเหมือนความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล การมปี ฏิสัมพันธ์ทด่ี กี บั ผู้อน่ื การปฏิบตั ติ นเบ้ืองต้นในการเปน็ สมาชิกท่ีดีของสังคมในระบอบประชาธปิ ไตยอันมปี ระมหา กษตั รยิ ์ทรงเปน็ ประมขุ ๔) พัฒนาการดา้ นสตปิ ญั ญา เป็นการเปลยี่ นแปลงความสามารถทางสมองท่ีเกิดขึ้นจาก การเรยี นร้สู ิง่ ต่างๆ รอบตวั และความสัมพนั ธร์ ะหว่างตนเองและสง่ิ แวดลอ้ ม ด้วยการรบั รู้ สังเกต จดจำ วเิ คราะห์ รู้คดิ ร้เู หตผุ ล และแก้ปัญหา ทำให้สามารถปรับตัวและเพิ่มทกั ษะใหม่ ซึ่ง แสดงออกดว้ ยการใช้ภาษา สอื่ ความหมายและการกระทำ เด็กวยั นส้ี ามารถโตตอบหรือมปี ฏสิ ัมพนั ธ์ กบั วัตถุและสงิ่ ของที่อยู่รอบตัวได้ สามารถจำสง่ิ ต่างๆ ท่ีไดก้ ระทำซำ้ กนั บ่อยๆ ไดด้ ี เรยี นรูส้ ่งิ ต่างๆ ได้ดขี น้ึ แต่ยังอาศัยการรบั รูเ้ ป็นสว่ นใหญ่แกป้ ญั หาการลองผิดลองถูกจากการบั รู้มากกวา่ การใชเ้ หตุผล ความคิดรวบยอดเกยี่ วกับสิ่งต่างๆ ที่อยูร่ อบตัวพฒั นาอย่างรวดเรว็ ตามอายุท่เี พม่ิ ขึ้นในสว่ นของ พัฒนาการทางภาษาของเด็กวัยนี้ เปน็ ระยะพฒั นาภาษาอย่างรวดเร็ว โดยมโี อกาสใชภ้ าษาจากการ ทำกิจกรรมต่างๆ ในรปู ของการสนทนา ตอบคำถาม เลา่ เร่ืองนิทานและทำกจิ กรรมต่างๆ การประเมินพฒั นาการดา้ นสติปัญญา ประกอบด้วย การประเมินความสามารถในการ สนทนาโตต้ อบและเล่าเร่ืองใหผ้ ้อู น่ื เข้าใจ ความสามารถในการอ่าน เขยี นภาพ และสัญลกั ษณ์ ความสามารถในการคดิ รวบยอม การคิดเชิงเหตผุ ล การคิดแกป้ ญั หาและตดั สินใจ การทำงานศลิ ปะ

๑๒๔ การแสดงทา่ ทาง/เคลื่อนไหวตามจนิ ตนาการและความสรา้ งสรรค์ การมีเจตคตทิ ี่ดีต่อการเรยี นรู้และ ความสามารถในการแสดงหาความรู้ สำหรับหลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ (ฉบับปรบั ปรุง พทุ ธศักราช ๒๕๖๓)ไดก้ ำหนดมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ที่ตอ้ งการให้เกิดขนึ้ ในตัวเด็ก เพอ่ื ใหส้ ถานศกึ ษา และหนว่ ยงานทเี่ ก่ยี วขอ้ งท่มี ีหนา้ ทร่ี ับผิดชอบในการจดั การศึกษาระดบั ปฐมวยั ใชเ้ ป็นจุดหมายในการ พฒั นาและการประเมินเด็กให้บรรลุคณุ ภาพตามมาตรฐานคุณลกั ษณะที่พงึ ประสงค์ จำนวน ๑๒ ข้อ ดงั นี้ ๑. พัฒนาการดา้ นรา่ งกาย ประกอบด้วย ๒ มาตรฐาน คอื มาตรฐานท่ี ๑ รา่ งการเจริญเติบโตตามวัยและมสี ุขนิสยั ท่ีดี มาตรฐานท่ี ๒ กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนือ้ เล็กแข็งแรง ใช้ไดอ้ ยา่ งคลอ่ งแคล่วและ ประสานสัมพันธ์กนั ๒. พฒั นาการดา้ นอารมณ์ จิตใจ ประกอบดว้ ย ๓ มาตรฐาน คอื มาตรฐานที่ ๓ มสี ุขภาพจติ ดีและมคี วามสขุ มาตรฐานท่ี ๔ ชนื่ ชมและแสดงออกทางศลิ ปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว มาตรฐานท่ี ๕ มีคุณธรรม จริยธรรม และมีจติ ใจท่ีดีงาม ๓. พัฒนาการดา้ นสงั คม ประกอบด้วย ๓ มาตรฐาน คอื มาตรฐานท่ี ๖ มที ักษะชวี ิตและปฏิบตั ิตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง มาตรฐานท่ี ๗ รกั ธรรมชาติ ส่งิ แวดลอ้ ม วฒั นธรรมและความเปน็ ไทย มาตรฐานท่ี ๘ อยู่ร่วมกบั ผู้อื่นไดอ้ ย่างมคี วามสุขและปฏบิ ัตติ นเป็นสมาชกิ ทด่ี ีของ สงั คมในระบอบประชาธปิ ไตย อันมพี ระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมุข รวมทั้งเกดิ วัฒนธรรมต่อตา้ น การทุจริต สรา้ งความตระหนักใหน้ กั เรยี น ยดึ ถือประโยชน์สว่ นรวมมากกวา่ ประโยชนส์ ว่ นตน มีจิต พอเพยี งต้านทจุ ริต ละอายและเกรงกลวั ที่จะไม่ทจุ รติ และไม่ทนตอ่ การทุจริตทกุ รปู แบบ ๔. พัฒนาการดา้ นสตปิ ญั ญา ประกอบด้วย ๔ มาตรฐาน คอื มาตรฐานท่ี ๙ ใชภ้ าษาสอื่ สารได้เหมาะสมกับวัย มาตรฐานท่ี ๑๐ มคี วามสามารถในการคิดทีเ่ ปน็ พ้นื ฐานในการเรยี นรู้ มาตรฐานท่ี ๑๑ มีจนิ ตนาการและความคิดสรา้ งสรรค์ มาตรฐานท่ี ๑๒ มีเจตคติท่ดี ีตอ่ การเรียนรูแ้ ละมีความสามารถในการแสวงหาความรู้ ได้เหมาะสมกับวยั

๑๒๕ แผนภาพแสดงความเชื่อมโยงของหลกั สตู รสถานศกึ ษาปฐมวัย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ (ฉบบั ปรบั ปรุง พทุ ธศักราช ๒๕๖๓) กับการประเมินพัฒนาการ การประเมนิ พัฒนาการ หลกั สตู รสถานศกึ ษา กจิ วัตรประจำวัน ปฐมวัย การจดั ประสบการณ์ มาตรฐาน หน่วยการจดั ๑. การวิเคราะหม์ าตรฐาน คุณลกั ษณะ ประสบการณ์ ตวั บง่ ชี้ สภาพท่พี ึงประสงค์ ทพ่ี งึ ประสงค์ และกำหนดการประเมนิ ตัวบ่งชี้ สภาพทพ่ี ึงประสงค์ แผนการจัด ๒. การกำหนดวธิ ีการและ ประสบการณ์ เคร่อื งมือทใ่ี ชป้ ระเมนิ สาระการเรยี นรู้ - จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ๓. การกำหนดเกณฑก์ าร - ประสบการณ์สำคัญ - สาระการเรยี นรู้ ประเมนิ และระดับคณุ ภาพ - สาระท่คี วรเรียนรู้ - กิจกรรมการเรียนรู้ - สือ่ ๔. การดำเนนิ การเกบ็ - การประเมนิ ผล รวบรวมข้อมูล - บนั ทกึ หลังการจัด ประสบการณ์ ๕. การสรปุ ผลการประเมนิ พัฒนาการ ๖. การรายงานผลการประเมิน และการนำข้อมลู ไปใช้

๑๒๖ ขน้ั ตอนการประเมินพฒั นาการ การประเมินพัฒนาการตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพนั้น เกิดขึ้นในห้องเรียนขณะจัดประสบการณ์การเรียนรู้และการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของเด็ก มี ขั้นตอนดงั นี้ ๑. การวิเคราะห์มาตรฐาน ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ และการกำหนดประเด็นการ ประเมนิ ผ้สู อนตอ้ งวิเคราะห์มาตรฐาน ตัวบ่งช้ี สภาพท่ีพงึ ประสงค์ และกำหนดส่งิ ท่จี ะประเมิน จากการจัดประสบการณ์การเรียนรู้และการปฏิบัติกิจกวัตรประจำวัน เพื่อวางแผนการประเมิน พัฒนาการและการตรวจสอบทบทวนความถูกต้อง ความครอบคลุมและความเชื่อมโยง อันจะเป็น ประโยชนใ์ นการดำเนินงานประเมินพฒั นาการเดก็ ปฐมวยั อยา่ งเป็นระบบ ดังน้ี ๑.๑ การวเิ คราะห์มาตรฐาน ตวั บง่ ช้ี สภาพท่พี งึ ประสงค์ การนำหลักสตู รสถานศึกษาไปสู่การจดั ประสบการณ์ ได้มวี เิ คราะห์สาระการเรียนรู้ รายปที ีส่ อดคล้องของมาตรฐาน ตัวบง่ ชี้ สภาพทีพ่ ึงประสงค์ และสาระการเรยี นร้เู พื่อกำหนดหน่วย การเรียนรู้ โดยการนำสภาพที่พึงประสงค์ได้จากการวิเคราะห์มากำหนดเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ ของหน่วยการเรียนรู้นั้นๆ และกำหนดกิจกรรมหนัก ๖ กิจกรรม หรือใช้รูปแบบการจัด ประสบการณ์ตามที่สถานศึกษากำหนดในการพัฒนาเด็กปฐมวัยให้บรรลุตามจุ ดประสงค์การเรียนรู้ ดังนั้น ผู้สอนต้องวางแผนการประเมินพัฒนาการให้เหมาะสมและสอดคล้องกับมาตรฐาน ตัวบ่งชี้ และสภาพทพ่ี ึงประสงค์ ๑.๒ การกำหนดประเด็นการประเมิน เป็นการกำหนดพัฒนาการที่ต้องการประเมิน คือ สภาพที่พึงประสงค์ที่นำมากำหนดเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ของหน่วยการเรียนรู้ซึ่งครอบคลุม พัฒนาการทั้ง ๔ ด้านในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ และเชื่อมโยงไปยังจุดประสงค์ของแผนการจัด ประสบการณ์ในแต่ละวัน ดังนั้นประเด็นการประเมินจึงประกอบไปด้วยจุดประสงค์ของแผนการจัด ประสบการณ์ท่ีสอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์การเรยี นรู้ของหน่วยการเรยี นรนู้ ั้นๆ เมื่อกำหนดประเด็นการประเมินได้แล้วให้พิจารณาว่า ในแต่ละจุดประสงค์การ เรียนรขู้ องหน่วยการเรยี นรูส้ ามารถเกบ็ ขอ้ มูลการประเมินได้จากการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ และ จากกิจวัตรประจำวันโดยการตรวจสอบขอ้ มูลทีเ่ กิดจากจัดกจิ กรรมในแต่ละแผนการจัดประสบการณ์ และการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน เนื่องจากกิจวัตรประจำวันของเด็กเป็นสิ่งที่ปฏิบัติเป็นประจำซ้ำๆ จนเกิดเปน็ ทักษะและมกี ารพฒั นาจนเป็นลกั ษณะนสิ ยั ๒. การกำหนดวิธกี ารและเคร่อื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการประเมนิ พฒั นาการ เมื่อผู้สอนกำหนดประเด็กการประเมินพัฒนาได้ชัดเจนแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การ กำหนดวิธีการและเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินพัฒนาการ ครูผู้สอนต้องวางแผนและกำหนดวิธีการ ประเมินให้เหมาะสมกับกิจกรรม เช่น ใช้การสังเกตพฤติกรรม การประเมินผลงาน/ชิ้นงาน การ

๑๒๗ พูดคุยหรือสัมภาษณ์เด็ก ฯลฯ วิธีการที่ครูผู้สอนเลือกใช้ต้องมากกว่า ๒ วิธีการ หรือใช้วิธีการ หลากหลาย ซง่ึ วิธกี ารท่ีเหมาะสมและนิยมใชใ้ นการประเมินเดก็ ปฐมวยั มีดงั ต่อไปน้ี ๒.๑ การสังเกตและการบันทึก แบ่งออกเป็น ๒ แบบ ได้แก่ ๑) การสังเกตแบบ เป็นทางการ คือ การสังเกตอย่างมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอนตามแผนที่วางไว้ และ ๒) การสังเกตแบบ ไม่เปน็ ทางการ คือ การสังเกตในขณะที่เด็กทำกิจกรรมประจำวันและเกิดพฤติกรรมที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดข้ึน ครูผู้สอนต้องจดบันทึกสิ่งที่รวบรวมได้จากการสังเกตอย่างเหมาะสม ทั้งนี้การบันทึกพฤติกรรม ความสำคัญอย่างยง่ิ ท่ีต้องทำอยา่ งชดั เจนและสม่ำเสมอ เน่อื งจากเด็กเจริญเติบโตและมีเปล่ียนแปลง อยา่ งรวดเรว็ การสังเกตและบนั ทึกพฒั นาการเด็กปฐมวัยสามารถใชแ้ บบง่ายๆ ดงั นี้ ๑) แบบบันทึกพฤติกรรมแบบเป็นทางการ โดยกำหนดประเดน็ หรือพัฒนาการท่ี ต้องการสังเกต (สอดคล้องกับสภาพที่พึงประสงค์หรือจุดประสงค์การเรียนรู้ของหน่วยการเรียนรู้) ระบุชอื่ นามสกลุ เดก็ วนั เดอื น ปี เกิด ไวล้ ว่ งหนา้ รวมท้งั ชื่อผู้ทำการสังเกต ดำเนินการสังเกต โดยบรรยายพฤติกรรมเดก็ ท่ีสังเกตไว้ตามประเดน็ ผู้สังเกตตอ้ งบนั ทึกวนั เดือน ปที ี่ทำการสังเกตแต่ ละครั้ง ข้อมูลการสังเกตที่ครูผู้สอนบันทึกลงในแบบบันทึกพฤติกรรมนี้จะช่วยให้ครูผู้สอนเข้าใจ พฤติกรรมเด็กได้ดีขึ้น และทราบว่าเด็กแต่ละคนมีจุดเด่น มีความต้องการ มีความสนใจ หรือ ต้องการความช่วยเกลอื ในเรอ่ื งใดบา้ ง ๒) แบบบันทึกพฤติกรรมแบบไม่เป็นทางการ เป็นการบันทึกพฤติกรรม เหตุการณ์ หรือจากการจัดประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนทุกวัน โดยระบุชื่อ นามสกุล วัน เดอื น ปเี กดิ เดก็ ผู้สังเกต วัน เดือน ปที ี่บนั ทกึ อาจบนั ทกึ โดยใช้การบรรยาย ใคร ทำอะไร ที่ไหน ทำอย่างไร ซึ่งจะเน้นเฉพาะเด็กรายกรณีที่ต้องการศึกษา ควรมีรายละเอียดและข้อมูลที่ชัดเจน ครูผู้สอนควรบรรยายส่ิงทีเ่ ด็กทำไดม้ ากกว่าสิ่งที่เด็กทำไม่ได้ และวิเคราะห์ประเด็นการประเมินตาม สภาพที่พึงประสงค์อย่างเป็นระบบ ข้อมูลในการบันทึกต้องเป็นตามความเป็นจริง ซึ่งข้อดีของการ บันทึกรายวัน คือ การชี้ให้เห็นความสามารถเฉพาะอย่างของเด็ก จะช่วยครูผู้สอนได้พิจารณา ปัญหาของเด็กเป็นรายบุคคล รวมทั้งช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญมีข้อมูลสำหรับวินิจฉัยเด็กได้ชัดเจนขึ้นว่า สมควรจะได้รับคำปรกึ ษาเพ่อื ลดปัญหา หรอื สง่ เสริมพฒั นาการของเดก็ ได้อยา่ งถกู ต้องและเป็นข้อมูล ในการพจิ ารณาปรับปรงุ แกไ้ ขหรือพัฒนาการจัดกิจกรรมและประสบการณข์ องครูให้ดยี ิง่ ขึ้น ๓) แบบสำรวจรายการ โดยกำหนดประเด็กหรือพัฒนาการที่ต้องการสำรวจ (สอดคล้องกบั สภาพท่ีพึงประสงค์หรือจดุ ประสงค์การเรียนรู้ของหนว่ ยการเรยี นร้)ู ระบชุ ่ือ นามสกุล เด็ก วัน เดอื น ปี เกิด ลว่ งหน้า มีการกำหนดรายการพฤตกิ รรมท่ตี ้องการสำรวจละเอยี ดข้ึน และ กำหนดเกณฑ์ในการสำรวจพฤติกรรม เช่น ปฏิบัติ-ไม่ปฏิบัติ ทำได้-ทำไม่ได้ เป็นต้น ช่วยให้ครู สามารถบันทึกได้สะดวกขึ้น ควรมีการสำรวจพฤติกรรมในเรื่องเดียวกันอย่างน้อย ๓ ครั้ง เพื่อ ยนื ยนั ว่าเดก็ ทำไดจ้ ริง ข้อพึงระวังในการสังเกตพฤติกรรมของเดก็ ระหวา่ งการสงั เกต ไม่ควรแปลความพฤติกรรมของเด็ก ให้สงั เกตการแสดงออกของเดก็ ทเ่ี ดก็ ใช้ ประสาทสมั ผัสทงั้ ๕ คือ ตา หู จมกู ล้ิน และรา่ งกายหรอื สมั ผสั การแปลความจะดำเนินการหลงั เสรจ็ สิ้น การสงั เกตในส่วนของการบนั ทึก ครูอาจบนั ทกึ ย่อหรือทำสัญลกั ษณ์ไว้และบนั ทกึ เปน็ หลักฐานทนั ทเี มื่อมเี วลา

๑๒๘ ๒.๒ การบันทึกการสนทนา เป็นการบันทึกการสนทนาทั้งแบบเป็นกลุ่มหรือรายบุคคล เพื่อประเมินความสามารถในการแสดงความคิดเห็นและพัฒนาการด้านการใช้ภาษาของเด็ก ความสามารถในการคิดรวบยอด การแก้ปัญหา รวมถึงพัฒนาการด้านสังคม อารมณ์ จิตใจ และ บนั ทกึ ผลการสนทนาลงในแบบบันทึกพฤติกรรมหรือบันทึกรายวนั โดยระบุ ชื่อ นามสกลุ อายุเด็ก ภาคเรียนที่ และกิจกรรมทีใ่ ช้สนทนา ช่องที่ใช้ในการบันทึกในแบบสนทนาให้ระบุ วัน เดือน ปี / คำพูดของเด็ก / ความคิดเห็นของครูผู้สอนที่สะท้อนพฤติกรรมที่แสดงออกของเด็กสอดคล้องกับ สภาพที่พึงประสงค์หรือจุดประสงค์การเรียนรู้ของหน่วยการเรียน ซึ่งข้อมูลเหล่านน้ีจะเปน็ สว่ นหนง่ึ ในการพจิ ารณาการผ่านสภาพท่พี ึงประสงค์ที่เกย่ี วข้องในแต่ละเรอื่ ง ๒.๓ การสัมภาษณ์ เป็นวิธีการพูดคุยกับเด็กเป็นรายบุคคลและควรจัดในสภาวะ แวดล้อมที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดความเครียดและวิตกกังวล ครูผู้สอนควรใช้คำถามที่เหมาะสมเปิด โอกาสใหเ้ ด็กได้คิดและตอบอย่างอิสระจะทำให้ครูผ้สู อนสามารถประเมินความสามารถทางสติปัญญา ของเด็กและค้นพบศักยภาพในตัวเด็กได้โดยบันทึกข้อมูลลงในแบบสัมภาษณ์ ครูผู้สอนควรปฏิบัติ ดังน้ี การเตรียมการก่อนการสัมภาษณ์ โดยกำหนดวัตถุประสงค์ของการสัมภาษณ์ กำหนดคำพูด/คำถามท่จี ะพูดกับเด็ก ควรเป็นคำถามทเ่ี ด็กสามารถตอบโตห้ ลากหลายไมม่ ผี ดิ /ถูก การปฏิบัติขณะสัมภาษณ์ ครูผู้สอนควรสร้างความคุ้นเคยเป็นกันเอง สร้าง สภาพแวดลอ้ ม ทีอ่ บอนุ่ ไมเ่ คร่งเครียด ใช้คำถามที่กำหนดไว้ถามเด็กทีล่ ะคำถาม ให้เด็กมีโอกาสคิด และมีเวลาในการตอบคำถามอยา่ งอิสระ ใช้ระยะเวลาสัมภาษณไ์ ม่ควรเกนิ ๑๐ นาที หลงั การสมั ภาษณ์ บันทึกในแบบสัมภาษณ์ ใหบ้ ันทกึ คำพูดของเด็กตามความเป็น จรงิ หลังเสร็จการสัมภาษณ์ครูผู้สอนค่อยพิจารณาข้อมูลจากคำพูดเด็กและลงความคิดเห็นท่ีสะท้อน พฤตกิ รรมทแี่ สดงออกของเด็ก สอดคลอ้ งกบั สภาพที่พงึ ประสงค์หรือจุดประสงค์การเรยี นรู้ของหน่วย การเรียนรู้ที่กำหนดไว้ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาการผ่านสภาพที่พึงประสงค์ที่ เก่ียวขอ้ งในแต่ละเรอ่ื ง ๒.๔ สารนิทัศนส์ ำหรบั เดก็ ปฐมวยั เพอื่ การประเมินพัฒนาการ การจัดทำสารนิทัศน์ (Documentation) เป็นการจัดทำข้อมูลที่เป็นหลักฐานหรอื แสดงให้เห็นร่องรอยของการเจริญเติบโต พัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยจากการทำ กิจกรรมทั้งรายบุคคลและรายกลุ่ม ซึ่งหลักฐานและข้อมูลที่บันทึกเป็นระยะๆ จะเป็นข้อมูลอธิบาย ภาพเด็ก สามารถบ่งบอกถงึ พัฒนาการทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา สาร นิทัศน์จึงเป็นการประมวลผลที่แสดงให้เห็นถึงกระบวนการจัดประสบการณ์ของครูและร่องรอยผลง นของเด็ก จากการทำกิจกรรมที่สะท้อนถึงพัฒนาการในด้านต่างๆ การจัดทำสารนิทัศน์จึงเป็นส่วน หนง่ึ ของกระบวนการวัดและประเมินพัฒนากรเด็กปฐมวัย ซ่งึ มหี ลายรปู แบบ ได้แก่

๑๒๙ ๑) พอร์ตโฟลิโอสำหรบั เดก็ เปน็ รายบุคคล เช่น การเกบ็ ช้ินงานหรอื ภาพถ่ายเด็ก ขณะทำกิจกรรมมีการใช้เทคโนโลยีต่างๆ ในการบันทึกเสียง บันทึกภาพที่แสดงให้เห็นถึง ความก้าวหนา้ ในงานท่ีเดก็ ทำ เปน็ ต้น ๒) การบรรยายเกี่ยวกับเรื่องราวหรือประสบการณ์ที่เด็กได้รับ เช่น การสอน แบบโครงการ (Project Approach) สามารถให้สารนิทัศน์เกี่ยวกับพัฒนาการเด็กทุกด้าน ทั้ง ประสบการณ์การเรียนรู้ของเด็กและการสะท้อนตนเองของครู เด็กกับเด็ก การบันทึกของครู การ บรรยายของพ่อแม่ผู้ปกครองในรูปแบบหนังสอื หรือจดหมาย แม้กระทั่งการจัดแสดงบรรยายสรุปให้ เห็นภาพการเรียนรูท้ ั้งหมด ๓) การสังเกตและบันทึกพัฒนาการเด็ก เช่น ใช้แบบสังเกตพัฒนาการ การ บนั ทึกสั้น ๔) การสะท้อนตนเองของเด็ก เป็นคำพูดหรือข้อความที่สะท้อนความรู้ ความ เข้าใจ ความรู้สึกจาการสนทนา การอภิปรายแสดงความคิดเห็นของเด็กขณะทำกิจกรรม ซึ่งอาจ บันทึกดว้ ยเทคโนโลยบี นั ทึกเสียง หรอื บันทึกภาพ ๕) ผลงานรายบุคคลและรายกลุ่ม ที่แสดงให้เห็นถึงการเรียนรู้ ความสามารถ ทักษะ จิตนินัยของเด็ก ครูสามารถนำผลงานของเด็กมาใช้พิจารณาพัฒนาการและกระบวนการ ทำงานของเด็ก ครูส่วนใหญ่มักจะเก็บผลงานการเขียนและผลงานศิลปะ อย่างไรก็ตามครูควรเก็บ ผลงานหลากหลายประเภทของเด็ก เชน่ ภาพเขยี น การร่วมระดมความคิดเห็นและเขียนออกมาใน ลักษณะใยแมงมุม การแสดงออกทางดนตรี การก่อสร้างในรูปแบบต่างๆ ตัวอย่างคำพูด เป็นต้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการเก็บข้อมูลหลักฐานเพื่อประเมินการเรียนรู้และประเมินพัฒนาการของเด็ก วยั ข้างต้น ๒.๕ การประเมินการเจริญเติบโตของเด็ก เป็นการประเมินการเจริญเติบโตด้าน ร่างกายของเด็ก ซึ่งการพิจารณาการเจริญเติบโตในเด็กที่ใช้ทั่วๆ ไปอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ น้ำหนัก ส่วนสูง เส้นรอบศีรษะ ฟัน และการเจริญเติบโตของกระดูก สำหรับแนวทางประเมินการ เจรญิ เตบิ โต มดี ังน้ี ๒.๕.๑ การประเมินการเจริญเติบโต โดยการชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูงเด็กแล้ว นำไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์ปกติในการแสดงน้ำหนักตามเกณฑ์อายุของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งใช้ สำหรบั ติดตามการเจรญิ เตบิ โตโดยรวม ข้อควรคำนงึ ในการประเมินการเจริญเติบโตของเด็ก ๑) เดก็ แตล่ ะคนมคี วามแตกต่างกันในดา้ นการเจริญเติบโต บางคนรูปร่างอว้ นบางคนผอม บางคน รา่ งใหญ่ บางคนร่างเล็ก ๒) ภาวะโภชนาการเป็นตวั สำคัญที่เก่ยี วขอ้ งกบั ขนาดของรูปรา่ ง แต่ไม่ใชส่ าเหตุเดยี ว ๓) กรรมพนั ธ์ุ เดก็ อาจมรี ปู รา่ งเหมอื นพ่อหรือแม่คนใดคนหน่ึง ถา้ พอ่ หรือแมเ่ ต้ยี ลกู อาจเตี้ยและ กรณนี ้ีอาจมนี ้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์เฉล่ียไดแ้ ละมักจะเปน็ เด็กท่ีทานอาหารไดน้ ้อย ๔) ช่วงครึ่งหลังของขวบปีแรก น้ำหนักเด็กจะขึ้นช้า เนื่องจากห่วงเล่นมากขึ้นและความอยาก อาหารลดลง

๑๓๐ ๒.๕.๒ การตรวจสุขภาพอนามัย เป็นการตรวจสอบที่แสดงคุณภาพชีวิตของเด็ก โดยพิจารณาความสะอาด สิ่งผิดปกติของร่างกายที่จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตและการเจริญเติบโต ของเด็ก ๓. การกำหนดเกณฑก์ ารประเมนิ และระดับคณุ ภาพ การกำหนดเกณฑ์การประเมนิ และการให้ระดบั คุณภาพ ผลการประเมินพัฒนาการของ เด็กท้ัง ๔ ด้าน ในแต่ละสภาพที่พึงประสงค์ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การผ่านตัวบ่งชี้และมาตรฐาน คุณลักษณะที่พึงประสงค์ ดังนั้น ในระดับชั้นเรียนและระดับสถานศึกษาควรกำหนดในลักษณะ เดียวกัน สถานศึกษาสามารถกำหนดเกณฑ์การประเมินและการให้ระดับคุณภาพผลการประเมิน พัฒนาการของเด็กที่สะท้อนมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์หรือ พฤติกรรมที่จะประเมิน เป็นระบบตัวเลข เช่น ๓, ๒, ๑ หรือ เป็นระบบที่ใช้คำสำคัญ เช่น ดี, พอใช,้ ควรส่งเสรมิ ตามท่ีสถานศึกษากำหนด การกำหนดเกณฑ์การประเมินและการให้ระดบั คุณภาพ ระบบ ระบบท่ีใช้ ความหมาย ตัวเลข คำสำคญั ๓ ดี ปรากฏพฤติกรรมตามช่วงอายุ เป็นไปตามสภาพท่ีพึงประสงค์ ๒ พอใช้ ปรากฏพฤติกรรมตามชว่ งอายุ เปน็ ไปตามสภาพทพี่ งึ ประสงค์ โดยมกี ารกระตนุ้ ๑ ควรสง่ เสริม ไม่ปรากฏพฤตกิ รรมตามช่วงอายทุ ่เี ปน็ ไปตามสภาพท่ีพงึ ประสงค์ เพื่อนำไปสู่การกำหนดเกณฑ์การประเมินตามสภาพที่พึงประสงค์ที่กำหนดไว้ตามหลักสูตรการศึกษา ปฐมวัย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ (ฉบับปรับปรงุ พุทธศกั ราช ๒๕๖๓) สถานศึกษาอาจกำหนดคำอธิบายคุณภาพ ตามระดบั คุณภาพของสภาพทพี่ ึงประสงค์ของพฒั นาการแต่ละดา้ นเป็น ๓ ระดับ ดงั น้ี คำอธิบายคุณภาพตามระดับคุณภาพ ดา้ นรา่ งกาย : กระโดดขาเดียวไปข้างหนา้ อย่างต่อเน่ืองโดยไม่เสยี การทรงตวั ระดับคุณภาพ คำอธบิ ายคณุ ภาพ ๓ หรือ ดี กระโดดขาเดียวไปขา้ งหน้าอยา่ งตอ่ เนือ่ งโดยไมเ่ สียการทรงตัวได้อยา่ งคล่องแคล่ว ๒ หรอื พอใช้ กระโดดขาเดยี วไปขา่ งหน้าอย่างตอ่ เน่อื งโดยไม่เสยี การทรงตวั เปน็ บางครั้ง ๑ หรอื ควรส่งเสรมิ กระโดดขาเดยี วไปขา้ หน้าอย่างต่อเนอ่ื งไมไ่ ด้ ดา้ นอารมณ์ : สนใจ มีความสุข และแสดงออกผ่านงานศลิ ปะ ระดบั คณุ ภาพ คำอธิบายคณุ ภาพ ๓ หรือ ดี แสดงสีหนา้ ท่าทางสนใจ และมคี วามสขุ ขณะทำงานทุกชว่ งกจิ กรรมศิลปะ ๒ หรอื พอใช้ แสดงสีหน้า ทา่ ทางสนใจ และมคี วามสขุ ขณะทำงานบางช่วงกิจกรรมศลิ ปะ ๑ หรือ ควรสง่ เสริม ไม่แสดงสีหน้า ทา่ ทางสนใจ ขณะทำงานชว่ งกจิ กรรมศลิ ปะ ดา้ นสังคม : ใช่สิ่งของเคร่ืองใช้อยา่ งประหยัดและเพียงพอด้วยตนเอง

๑๓๑ ระดบั คุณภาพ คำอธบิ ายคณุ ภาพ ๓ หรอื ดี ใช้ส่ิงของเครอ่ื งใชอ้ ย่างประหยดั และเพยี งพอตามความจำเป็นทุกครั้ง ๒ หรอื พอใช้ ใชส้ ่งิ ของเครอื่ งใชอ้ ย่างประหยัดและเพียงพอตามความจำเป็น เป็นบางครัง้ ๑ หรอื ควรส่งเสริม ใช้สง่ิ ของเคร่อื งใช้เกินความจำเป็น ด้านสตปิ ัญญา : เขยี นชือ่ ของตนเองตามแบบ เขียนข้อความดว้ ยวธิ ีทค่ี ิดขนึ้ เอง ระดับคณุ ภาพ คำอธบิ ายคณุ ภาพ ๓ หรือ ดี เขียนชื่อตนเองตามแบบได้ ตัวอักษรไม่กลับหัว ไม่กลับด้าน ไม่สลับที่ และเขียน ข้อความด้วยวธิ ีที่คดิ ข้ึนเองได้ ๒ หรือ พอใช้ เขียนชื่อตนเองตามแบบได้ มีอักษรตามตัวกลับหัว กลับด้านหรือสลับที่มีความ พยายามท่ีจะเขยี นขอ้ ความทคี่ ดิ ขน้ึ เอง ๑ หรอื ควรส่งเสริม เขยี นชอ่ื ตนเองไม่ได้ หรือเขยี นเป็นสัญลกั ษณ์ทไี่ มเ่ ปน็ ตวั อักษร ๔. การดำเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมลู เมื่อผู้สอนวางแผนการประเมินพัฒนาการแล้วควรทำการสังเกตพฤติกรรมของเด็กเป็น รายบุคคลหรือรายกลุ่ม ด้วยวิธีการที่หลากหลาย เช่น การพูดคุย หรือสัมภาษณ์เด็ก หรือการ ประเมินผลงาน/ชิ้นงานของเด็กอย่างเป็นระบบ เพื่อรวบรวมข้อมูลพัฒนาการของเด็กให้ครอบคลุม เด็กทุกคนแล้วสรุปลงในแบบบนั ทกึ ผลการประเมนิ สภาพที่พึงประสงค์ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลผลการประเมินพัฒนาการเด็กตามสภาพที่พึงประสงค์ ผู้สอน ควรเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นรายบุคคล โดยสภาพที่พึงประสงค์ ๑ ตัว ควรได้รับการประเมิน พัฒนาการอย่างน้อย ๒ ครง้ั ตอ่ ๑ ภาคเรยี น ระยะแรกควรเป็นประเมินเพื่อความก้าวหน้าไม่ควร เป็นการประเมินเพ่ือตดั สินพัฒนาการของเดก็ ดังนั้น การเก็บรวบรวมขอ้ มูลการประเมินพัฒนาการ ตามสภาพทีพ่ งึ ประสงค์ จงึ เป็นการสะสมเพือ่ ยนื ยนั วา่ เดก็ เกดิ พฒั นาการตามสภาพที่พึงประสงค์นั้นๆ ชัดเจนและมคี วามน่าเชอ่ื ถอื ๕. การสรุปผลการประเมนิ พฒั นาการเด็ก หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ กำหนดเวลาเรียนสำหรับเด็กปฐมวัย ต่อปีการศึกษา ไม่น้อยกว่า ๑๘๐ วัน สถานศึกษาจึงควรบริหารจัดการเวลาเรียนให้เกดิ ประโยชน์ สูงสุดต่อการพัฒนาเด็กอย่างรอบด้านและสมดุล ผู้สอนต้องเก็บรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมที่แสดงถึง พัฒนาการของเด็กอย่างต่อเนื่อง มีการประเมินซ้ำของพฤติกรรมนั้นๆ เพื่อยืนยันความเชื่อมั่นของ ผลการประเมิน สรุปผลการประเมินพัฒนาการเด็กตามสภาพที่พึงประสงค์ให้ครบทุกสภาพที่พึง ประสงค์ ซึ่งจะเชื่อมโยงไปสู่การสรุปผลการประเมินพัฒนาการเด็กรายตัวบ่งชี้ รายมาตรฐาน คณุ ลกั ษณะทพี่ งึ ประสงคแ์ ละในภาพรวมพัฒนาการรายดา้ นของเดก็ แต่ละคนตามลำดับ สถานศึกษาควรสรุปผลการประเมินพฒั นาการเด็กรายตัวบ่งชี้ รายมาตรฐานคุณลักษณ์ ที่พึงประสงค์ และในภาพรวมของพัฒนาการรายด้าน ภาคเรียนละ ๑ ครั้ง สำหรับแนวทางการ

๑๓๒ สรุปผลการประเมินพฒั นาการเดก็ ตามสภาพที่พงึ ประสงค์ในแตล่ ะตวั บง่ ชค้ี วรใช้ฐานนยิ ม (Mode) ไม่ ควรนำค่าระดับคณุ ภาพของสภาพที่พึงประสงคม์ าหาค่าเฉล่ีย ในกรณมี ีฐานนิยมมากกว่า ๑ ฐานนยิ ม คือ มีระดับคุณภาพซ้ำมากกว่า ๑ ระดับคุณภาพ การสรุปผลการประเมินพัฒนาการเด็กในแต่ละ ตัวบ่งชี้ให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษา โดยคำนึงถึงปรัชญาการศึกษา และหลักการของหลักสตู ร การศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ รวมทั้งการนำข้อมูลผลการประเมินไปใช้เพื่อพัฒนาเด็ก ตอ่ ไป ๖. การรายงานผลการประเมินพฒั นาการและการนำข้อมูลไปใช้ การรายงานผลการประเมินพัฒนาการเป็นการสื่อสารให้พ่อแม่ ผู้ปกครองและ ผู้เกี่ยวข้องได้ทราบความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของเด็ก ซึ่งสถานศึกษาต้องสรุปผลการประเมิน พัฒนาการและจัดทำเอกสารรายงานให้ผู้ปกครองทราบเป็นระยะๆ หรืออย่างน้อยภาคเรียนละ ๑ ครั้ง การรายงานผลการประเมินพัฒนาการสามารถรายงานเป็นระดับคุณภาพตามพฤติกรรมที่ แสดงออกถึงพัฒนาการแต่ละด้านที่สะท้อนมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ทั้ง ๑๒ ข้อตาม หลักสูตรศึกษาปฐมวยั ๖.๑ จดุ มุง่ หมายการรายงานผลการประเมนิ พัฒนาการ ๑) เพื่อให้พ่อ แม่ ผู้ปกครอง และผู้เกี่ยวข้องใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงแก้ไข ส่งเสริม และพัฒนาเด็กให้มีคุณภาพตามมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ในหลักสูตรการศึกษา ปฐมวัย ๒) เพื่อให้ผู้สอนใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้มี ประสิทธิภาพย่ิงข้ึน ๓) เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับสถานศึกษา เขตพื้นที่การศึกษาและหน่วยงานต้นสังกัดใช้ ประกอบในการกำหนดนโยบายวางแผนพัฒนาคุณภาพการศกึ ษา ๖.๒ ขอ้ มลู ในการรายงานผลการประเมนิ พัฒนาการ ๖.๒.๑ ข้อมูลระดับชั้นเรียน ประกอบด้วย เวลามาเรียน บันทึกผลการประเมิน พัฒนาการตามหน่วยการเรียนรู้ บันทึกผลการประเมินพัฒนาการประจำชั้น และบันทึกผลการ พฒั นาการรายบคุ คล และจดั ทำสารนทัศน์ทส่ี ะท้อนการเรียนรขู้ องเด็ก เปน็ ขอ้ มูลสำหรบั รายงานให้ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ได้รับทราบ ความก้าวหน้า ความสำเร็จในการเรียนรู้ของเด็กเพื่อนำไปใช้ในการวางแผนกำหนดเป้าหมายและ วิธีการในการพฒั นาเดก็ ๖.๒.๒ ข้อมูลระดับสถานศึกษา ประกอบด้วย ผลการประเมินมาตรฐาน คุณลักษณะที่พึงประสงค์ทั้ง ๑๒ ข้อ ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย เพื่อใช้เป็นข้อมูลและ สารสนเทศในการพัฒนาการจัดประสบการณ์และคุณภาพของเด็ก ให้เป็นไปตามมาตรฐาน

๑๓๓ คุณลักษณะที่พึงประสงค์ รวมทั้งแจ้งให้ผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบข้อมูล โดยผู้มีหน้าที่ รับผิดชอบแต่ละฝ่ายนำไปใช้ปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาเด็กให้เกิดพัฒนาการอย่างถูกต้อง เหมาะสม รวมทงั้ นำไปจัดนำเอกสารหลกั ฐานแสดงพัฒนาการของผู้เรียน ๖.๒.๓ ข้อมูลระดับเขตพื้นที่การศึกษา ได้แก่ ผลการประเมินมาตรฐาน คุณลักษณะที่พึงประสงค์ ทั้ง ๑๒ ข้อ ตามหลักสูตรเป็นรายสถานศึกษา เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับ ศึกษานิเทศก์ ผู้บริหารการศึกษา ผู้เกี่ยวข้องใช้วางแผนและดำเนินการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ปฐมวัยของสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา ในการยกระดับคุณภาพเด็กปฐมวัยและมาตรฐาน การศกึ ษาปฐมวยั ของสถานศกึ ษา ๖.๓ ลกั ษณะข้อมลู สำหรับการรายงานผลการประเมนิ พัฒนาการ การรายงานผลการประเมินพัฒนาการ สถานศึกษาสามารถเลือกลักษณะข้อมูล สำหรับการรายงานได้หลายรูปแบบให้เหมาะสมกับวิธีการรายงานและสอดคล้องกับการให้ระดับผล การประเมินพัฒนาการ โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพของการรายงานและการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ ของผ้รู บั รายงานแต่ละฝา่ ยลักษณะข้อมูลมีรปู แบบ ดังน้ี ๖.๓.๑ รายงานเป็นตัวเลขหรือคำที่เป็นตัวแทนระดับคุณภาพการพัฒนาการของ เดก็ ทเ่ี กดิ จากการประมวลผล สรปุ ตัดสนิ ข้อมลู ผลการประเมนิ พัฒนาการของเด็ก ได้แก่ - ระดับผลการประเมินพฒั นาการมี ๓ ระดับ คือ ๓, ๒ , ๑ - ผลการประเมนิ คุณภาพ “ด”ี “พอใช”้ และ “ควรสง่ เสริม” ๖.๓.๒ รายงานโดยใช้สถิติ เป็นการรายงานจากข้อมูลที่เป็นตัวเลข หรือข้อความ ให้เป็นภาพแผนภูมิหรือเส้นพัฒนาการ ซึ่งจะแสดงให้เห็นพัฒนาการความก้าวหน้าของเด็กว่าดีข้ึน หรือควรได้รับการพัฒนาอยา่ งไร เมอ่ื เวลาเปลย่ี นแปลงไป ๖.๓.๓ รายงานเป็นข้อความ เป็นการบรรยายพฤติกรรมหรือคุณภาพที่ครูผู้สอน สังเกตพบ เพื่อรายงานให้ทราบว่า พ่อ แม่ ผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้องทราบว่าเด็กมีความสามารถ มีพฤติกรรมตามคณุ ลกั ษณะที่พึงประสงค์ของหลักสตู รอย่างไร ๖.๔ เป้าหมายของการรายงาน การดำเนินการจัดการศึกษาปฐมวัย ประกอบด้วย บุคลากรหลายฝ่ายมาร่วมมือ ประสานงานกันพัฒนาเด็กทั้งทางตรงและทางอ้อม ให้มีพัฒนาการทักษะ ความสามารถ คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมและคุณลักษณะอันพงึ ประสงคโ์ ดยผ้มู ีส่วนเกย่ี วข้องควรได้รับ การรายงานผลการ ประเมนิ พัฒนาการของเด็กเพ่ือใชเ้ ป็นขอ้ มูลในการดำเนินงาน ดังตารางต่อไปน้ี

๑๓๔ กลุม่ เปา้ หมาย การใช้ข้อมูล ผสู้ อน - วางแผนและดำเนนิ การปรบั ปรงุ แก้ไขและพัฒนาเดก็ - ปรบั ปรุงแกไ้ ขและพฒั นาการจดั ประสบการณ์ ผบู้ ริหารสถานศึกษา - ส่งเสริมและพฒั นากระบวนการจดั การจัดประสบการณเ์ รยี นรู้ระดับ ปฐมวยั ของสถานศึกษา พอ่ แม่ และผูป้ กครอง - รบั ทราบผลการประเมนิ พฒั นาการของเด็ก - ปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาการเรียนรู้ของเด็ก รวมทั้งการดูแล คณะกรรมการ สุขภาพอนามัย ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและพฤติกรรมต่างๆ สถานศกึ ษา ของเด็ก ข้นั พนื้ ฐาน - พัฒนาแนวทางการจัดการศกึ ษาปฐมวัยของสถานศกึ ษา สำนกั งานเขตพืน้ ที่ การศึกษา/หน่วยงานต้น - ยกระดับและพัฒนาคุณภาพการศึกษาปฐมวัยของสถานศึกษาใน สังกดั เขตพ้ืนท่กี ารศกึ ษา - นิเทศ กำกับ ติดตาม ประเมินผลและให้ความช่วยเหลือการ พัฒนาคุณภาพการศกึ ษาปฐมวยั ของสถานศกึ ษาในสงั กัด ๖.๕ วิธีการรายงานผลการประเมินพฒั นาการ การรายงานผลการประเมินพัฒนาการให้ผู้เกี่ยวข้องรับทราบ โดยบันทึกข้อมูลใน แบบรายงานต่างๆ สามารถใช้อ้างอิง ตรวจสอบ และรับรองผลพัฒนาการของเด็ก เช่น แบบ บันทึกผลการประเมินพัฒนาการประจำชั้น สมุดรายงานประจำตัวเด็ก แฟ้มสะสมงานของเด็ก รายบุคคล นอกจากนี้ การรายงานคุณภาพการศึกษาปฐมวัยให้ผู้เกี่ยวข้องทราบในระดับหน่วยงาน อาจใช้รายงานการพัฒนาคุณภาพการศึกษาปฐมวัยประจำปี จุลสารหรือวารสารของโรงเรียน หรือ อาจมีการใหข้ ้อมลู กบั ผูป้ กครองในลกั ษณะการใหค้ ำปรกึ ษาหรือทางการสง่ จดหมายส่วนตัว ฯลฯ ๑๑. การบริหารจดั การหลักสตู รศึกษาปฐมวยั หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยเป็นหัวใจสำคัญของการกำหนดเป้าหมายการพัฒนาคุณภาพเด็ก ปฐมวัยของสถานศกึ ษา ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้สอน และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจงึ มีบทบาทสำคัญในการ ดำเนินการบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้มีการ นำหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยไปสู่การปฏิบัติ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาคุณภาพเด็กการ บริหารจัดการหลักสตู รปฐมวัย จึงประกอบด้วยบุคคลที่เกี่ยวขอ้ งหลายฝ่าย ซึ่งมีบทบาทหนา้ ทีส่ ำคญั ดงั นี้

๑๓๕ บทบาทหนา้ ที่ของผ้เู กย่ี วข้องในการบรหิ ารจัดการหลกั สูตรสถานศกึ ษาปฐมวัย ๑. ผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษา มบี ทบาททสี่ ำคัญ ดังนี้ ๑) ศึกษาทำความเข้าใจหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ.๒๕๖๐(ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๖๒) และมีวิสยั ทัศนใ์ นการบริหารจดั การศกึ ษาตามหลกั การจดั การศึกษาปฐมวยั ๒) เป็นผู้นำในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาโดยร่วมให้ความเห็นชอบ กำหนดวิสัยทัศน์ และคุณลกั ษณะทพ่ี งึ ประสงค์ของเด็กทุกชว่ งอายุ ๓) คัดเลือกบุคลากรที่ทำงานกับเด็ก ได้แก่ ผู้สอน พี่เลี้ยง โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและ คณุ สมบตั ิของบคุ ลากร เช่น - มีวุฒิทางการศึกษาด้านการอนุบาลศึกษา/การศึกษาปฐมวัย หรือผ่านการอบรม เกย่ี วกบั การจัดการศึกษาปฐมวยั - มีความรักเด็ก จิตใจดี มีอารมณ์ขันและใจเย็น ให้ความเป็นกันเองกับเด็กอย่าง เสมอภาค - มบี ุคลกิ ของความเป็นผู้สอน เข้าใจและยอมรบั ธรรมชาตขิ องเดก็ ตามวัย - พดู จาสุภาพเรยี บรอ้ ย ชัดเจนเป็นแบบอยา่ งได้ - มีความเป็นระเบียบ สะอาด และรจู้ ักประหยดั - มคี วามอดทน ขยัน ซ่ือสัตย์ในการปฏบิ ัตงิ านในหนา้ ทีแ่ ละการปฏบิ ตั ติ ่อเด็ก - มีอารมณ์ร่วมกับเด็ก รู้จักรับฟัง พิจารณาเรื่องราวปัญหาต่างๆ ของเด็ก และ ตัดสนิ ปัญหาตา่ งๆ อย่างมเี หตผุ ลด้วยความเป็นธรรม - มีสุขภาพกายและสขุ ภาพจิตดี ๔) ส่งเสริมและจัดบริการทางการศึกษาให้เด็กได้เข้าเรียนอย่างทั่วถึง เสมอภาค และ ปฏบิ ตั ิการรบั เด็กตามเกณฑ์ทก่ี ำหน ๕) สง่ เสรมิ ใหผ้ สู้ อนและผทู้ ่ปี ฏิบตั งิ านกับเดก็ ได้พัฒนาตนเองใหม้ ีความรู้ก้าวหน้าอยเู่ สมอ ๖) สร้างความรว่ มมือและประสานกบั บุคลากรทกุ ฝ่ายในการจดั ทำหลกั สูตรสถานศกึ ษา ๗) จัดให้มีข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับตัวเด็ก งานวิชาการหลักสูตรอย่างเป็นระบบและมีการ ประชาสัมพนั ธ์หลกั สตู รสถานศกึ ษา ๘) สนับสนุนการจัดสภาพแวดล้อมสื่อ วัสดุ อุปกรณ์และแหล่งเรียนรู้ที่เอื้ออำนวยต่อการ เรยี นรแู้ ละสง่ เสรมิ พัฒนาการเด็ก ๙) นเิ ทศ กำกับ ตดิ ตามการใชห้ ลักสตู ร โดยจัดให้มีระบบนเิ ทศภายในอย่างมรี ะบบ ๑๐) กำกับติดตามให้มีการประเมินคุณภาพภายในระดับปฐมวัยในสถานศึกษาและนำผล จากการประเมินไปใชใ้ นการพัฒนาคุณภาพเด็ก

๑๓๖ ๑๑) กำกับติดตามให้มีการประเมินการนำหลักสูตรไปใช้ เพื่อนำผลจากการประเมินมา ปรับปรงุ และพฒั นาสาระของหลักสูตรสถานศึกษาใหส้ อดคล้องกบั ความต้องการของเด็ก บริบทสังคม และให้มีความทนั สมัย ๒. ผูส้ อนปฐมวัย การพัฒนาคุณภาพเด็กโดยถือว่าเด็กมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษา ต้องส่งเสริมให้เด็กสามารถพัฒนาตนตามธรรมชาติ สอดคล้องกับพัฒนาและเต็มตามศักยภาพ ผู้สอน จึงมีบทบาทสำคัญยิ่งในการจัดทำหลักสูตร พัฒนาหลักสูตรและนำหลักสูตรสถานศึกษาไปสู่การ ปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพทำให้กระบวนการจัดการเรียนรู้ดังกล่าวบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย ผู้สอน จึงควรมบี ทบาทหนา้ ที่ ดังน้ี ๑) บทบาทในฐานะผบู้ รหิ ารหลักสตู ร - ทำหน้าที่วางแผน จัดทำหลักสูตรและพัฒนาหลักสูตร หน่วยการเรียนรู้ การจัด ประสบการณ์การเรยี นรู้ การประเมนิ พัฒนาการ - จดั ทำแผนการจดั ประสบการณท์ ี่เนน้ เด็กเปน็ สำคัญ ให้เดก็ มอี ิสระในการเรียนรู้ เปิดโอกาส ใหเ้ ดก็ เลน่ /ทำงานและเรยี นรทู้ ัง้ รายบคุ คลและเปน็ กลุ่ม - ประเมินผลการใช้หลักสูตร เพื่อนำผลการประเมินมาปรับปรุงพัฒนาหลักสูตรให้ทันสมัย สอคล้องกับความต้องการผ้เู รียน ชุมชน และทอ้ งถน่ิ ๒. บทบาทในฐานะผูเ้ สรมิ สร้างการเรียนรู้ - จัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เด็กกำหนดขึ้นด้วยตัวเด็กเอง และผู้สอนกับเด็กร่วมกัน กำหนด เพื่อพัฒนาเด็กให้ครอบคลุมทุกด้าน ในชีวิตประจำวันในการแสวงหาคำตอบ หรือหาคำตอบ ในสง่ิ ท่เี ดก็ เรยี นรูอ้ ยา่ งมเี หตุผล - จัดประสบการณ์กระตุ้นใหเ้ ด็กร่วมคิด แก้ปญั หา คน้ คว้าหาคำตอบด้วยตนเอง ด้วยวิธีการ ศกึ ษาทนี่ ำไปส่กู ารใฝร่ ู้ และพัฒนาตนเอง - จัดสภาพแวดล้อมและสร้างบรรยากาศการเรียนที่สร้างเสริมให้เด็กปฏิบัติผ่านการเล่นได้ เต็มศักยภาพและความสามารถของเด็กแต่ละคน - สอดแทรกการอบรมด้านจริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์ในการจัดการเรียนรู้กิจกวัตร ประจำวัน และกิจกรรมต่างๆ อย่างสมำ่ เสมอ - จัดกิจกรรมการเล่น ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้สิ่งแวดล้อม ตลอดจนมี ปฏสิ มั พนั ธก์ บั ผอู้ ืน่ และเรียนรู้วธิ ีการแก้ปัญหาข้อขดั แยง้ ต่างๆ - ใช้ปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้สอนและเด็กในการดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนอย่าง สมำ่ เสมอ - จัดการประเมินพัฒนาการที่สอดคล้องกับสภาพจริงและนำผลการประเมินมาปรับปรุง พฒั นาคุณภาพเดก็ เตม็ ศักยภาพและการจดั ประสบการณข์ องตนใหม้ ปี ระสิทธิภาพ

๑๓๗ ๓) บทบาทในฐานะผู้ดแู ลเด็ก - สังเกตและส่งเสริมพัฒนาการเด็กทุกด้านทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และ สตปิ ัญญา - ฝกึ ให้เด็กช่วยเหลือตนเองในชวี ติ ประจำวนั - ฝกึ ให้เด็กมีความเช่ือม่นั มคี วามภมู ิใจในตนเองและกลา้ แสดงออก - ฝึกการเรียนรู้หนา้ ที่ ความมวี ินัย และการมนี ิสยั ท่ดี ี - จำแนกพฤตกิ รรมเดก็ และสร้างเสรมิ ลกั ษณะนิสัยและแก้ปัญหาเฉพาะบุคคล - ประสานความร่วมมือระหว่างสถานศึกษา บ้าน และชุมชน เพื่อให้เด็กได้พัฒนาเต็มตาม ศักยภาพและมมี าตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ๔) บทบาทในฐานะนกั พัฒนาเทคโนโลยกี ารสอน - นำนวัตกรรม เทคโนโลยีทางการสอนมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพบริบทสังคม ชมุ ชน และท้องถนิ่ - ใชเ้ ทคโนโลยแี ละแหล่งเรยี นรใู้ นชุมชนในการเสรมิ สรา้ งการเรยี นรใู้ หแ้ ก่เด็ก - จัดทำวจิ ัยในช้นั เรียน เพอ่ื นำไปปรบั ปรงุ พฒั นาหลกั สตู ร/กระบวนการเรียนรู้และพัฒนาสื่อ การเรยี นรู้ - พัฒนาตนเองให้เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ มีคุณลักษณ์ของผู้ใฝ่รู้ มีวิสัยทัศน์และทันสมัย ทันเหตกุ ารณใ์ นยคุ ของข้อมูลข่าวสาร ๓. พ่อแม่หรอื ผปู้ กครองเดก็ ปฐมวัย ผู้สอนระดับปฐมวัยและพ่อแม่หรือผูป้ กครองควรสื่อสารกันตลอดเวลา เพื่อสร้างความเขา้ ใจ และร่วมมือกันในการอบรมเลี้ยงดูแลให้การศึกษาแก่เด็ก พ่อแม่หรือผู้ปกครองควรมีบทบาทหน้าที่ ดงั น้ี ๑) มีส่วนร่วมในการให้ความคิดเห็นเพื่อนำไปกำหนดแผนพัฒนาสถานศึกษาและให้ความ เหน็ ชอบ กำหนด แผนการเรียนรขู้ องเด็กร่วมกบั ผู้สอน ๒) ร่วมมือและสนับสนุนกิจกรรมของสถานศึกษา และกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาเด็ก ตามศักยภาพ โดยเช่ือมโยงระหว่างสถานศึกษากับครอบครวั เพือ่ ให้การเรียนรู้ของเด็กต่อเน่ืองและมี ความหมายต่อเดก็ ๓) เป็นเครอื ข่ายการเรียนรู้ จดั บรรยากาศในบา้ นใหเ้ อื้อต่อการเรียนรู้ ๔) สนับสนนุ ทรัพยากรเพือ่ การศึกษาตามความเหมาะสมและจำเป็น ๕) อบรมเลี้ยงดู เอาใจใส่ให้ความรัก ความอบอุ่น ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาการด้ าน ตา่ งๆ ของเด็ก ๖) ป้องกันและแก้ไขปัญหาพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ตลอดจนส่งเสริมคุณลักษณะที่พึง ประสงค์ โดยประสานความร่วมมือกับผ้สู อนและผู้ทเี่ กีย่ วขอ้ ง

๑๓๘ ๗) เป็นแบบอย่างที่ดีทั้งในด้านการปฏิบัติตนให้เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ และมีคุณธรรม นำไปสกู่ ารพฒั นาให้เป็นสถาบนั แหง่ การเรียนรู้ ๘) มสี ว่ นรว่ มในการพฒั นาการเดก็ และในการประเมนิ การจดั การศึกษาของสถานศึกษา ๔. ชุมชน/ทอ้ งถิน่ ชุมชนท้องถิ่น มีบทบาทในการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา โดยการประสานความร่วมมือ เพอ่ื รว่ มกนั พฒั นาผ้เู รียนตามศักยภาพ ดังนัน้ ชุมชนจึงมีบทบาทในการจดั การศกึ ษาปฐมวัย ดงั นี้ ๑) มีส่วนรว่ มในการส่งเสริมการบริหารจัดการของสถานศึกษา ในบทบาทของคณะกรรมการ สถานศึกษา สมาคม / ชมรมผู้ปกครอง ๒) มีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาสถานศึกษาเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการของ สถานศึกษา ๓) เป็นเครือข่ายการเรียนรู้ ส่งเสริมสนับสนุนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของสถานศึกษาให้ เดก็ ได้เรยี นรู้ มีประสบการณจ์ ากสถานการณ์จรงิ ๔) ส่งเสริมให้มีการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา ตลอดจนวิทยาการภายนอก และภูมิ ปญั ญาทอ้ งถน่ิ เพ่ือเสริมสร้างพฒั นาการของเด็กทกุ ด้าน รวมทั้งสบื สานจารีตประเพณี ศิลปวัฒนธรรม ของท้องถ่ินและของชาติ ๕) ประสานงานกับองค์กรทัง้ ภาครัฐและเอกชน เพื่อให้สถานศึกษาเป็นแหล่งวิทยาการของ ชมุ ชนและมสี ่วนในการพัฒนาชุมชนและทอ้ งถ่ิน ๖) มสี ว่ นร่วมในการตรวจสอบ และปะเมินผลการจดั การศึกษาปฐมวยั ของสถานศึกษา โดย ทำหนา้ ทใ่ี ห้ข้อเสนอแนะในการพฒั นาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา การพัฒนาผ้สู อนและบุคลากรปฐมวัย การพัฒนาผู้สอนและบุคลากรปฐมวัย อย่างเป็นระบบและต่อเน่ือง มีความสำคัญมากในการ บริหารจัดการหลกั สูตรสถานศกึ ษา เพราะเป็นการสร้างความรู้ ความเข้าใจให้แก่ผู้สอนใหส้ ามารถนำ หลักสูตรไปสู่การปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการออกแบบพัฒนาหลักสูตร การจัด ประสบการณ์การเรยี นรู้การจดั สภาพแวดล้อมในและนอกห้องเรยี น การจดั พัฒนาสือ่ และแหล่งเรียนรู้ การวัดและประเมินพัฒนาการโดยมีมาตรฐาน ตัวบ่งชี้และสภาพที่พึงประสงค์ของหลักสูตร สถานศึกษาเป็นเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาคุณภาพเด็ก สถานศึกษาจึงควรมีกำหนดแนวทางการ พัฒนาบคุ ลากรปฐมวยั ดังนี้ ๑) สำรวจและประเมินความต้องการในการพัฒนาตนเองของผู้สอนและบุคลากรปฐมวัย และนำขอ้ มลู มาจัดทำแผนการพัฒนาตนเองทั้งแผนระยะสน้ั และแผนระยะยาว ๒) พัฒนาบุคลากรปฐมวัยในด้านการพัฒนาหลักสูตร การออกแบบการจัดประสบการณ์ เทคนิค วิธีการ จัดประสบการณ์ เทคนิคการควบคุมชั้นเรียน และด้านอื่นๆ ทั้งนี้การจัดกิจกรรม

๑๓๙ พัฒนาบุคลากรควรใช้เทคนิควิธีการที่หลากหลาย เช่น การอบรมเชิงปฏิบัติการ การประชุมสัมมนา การศึกษาดงู าน การจัดกิจกรรม PLC เปน็ ต้น ๓) ส่งเสริมสนับสนุนให้มีมุมความรู้โดยการจัดหารเอกสารด้านหลักสูตร แนวทางการจัด ประสบการณ์ตลอดจนองค์ความรู้ด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเปิดโอกาสให้ครูปฐมวัยศึกษาค้นคว้า เพ่ิมเตมิ ๔) ส่งเสริมให้ครูและบุคลากรปฐมวัยมีโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ร่วมปรึกษา และวางแผนการจัดการเรียนรู้ร่วมกับครูผู้สอนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ เพื่อให้ครูเข้าใจบทบาท หนา้ ที่และภารกจิ ของตนในการนำหลักสูตรไปสู่ปฏบิ ัติส่งผลดีต่อการทำงานรว่ มกนั ในการจัดกิจกรรม การเรยี นรู้ที่เปน็ การเช่อื ต่อในระดบั ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี ๑ ได้เป็นอยา่ งดี การสนบั สนนุ งบประมาณและทรพั ยากร การพัฒนาหลักสูตรและการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย โรงเรียนวัดทุ่งหล่อ พ.ศ.๒๕๖๐ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๖๓) มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ สถานศึกษาต้องจัดหางบประมาณและทรัยพากรที่จำเป็น เพื่อสนับสนุนให้การดำเนินการจัดการ เรียนรู้ตามหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวยั ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายท่ีกำหนด โดยมีแนวทางการ ดำเนินการ ดังน้ี ๑) จัดหาและจัดสรรงบประมาณอย่างเพียงพอสำหรับการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การ นำหลักสูตรไปใช้ในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ การจัดงบประมาณสง่ เสริมกจิ กรรม การเรียนรู้ / โครงการการทัศนศึกษานอกสถานที่ การพัฒนาบุคลกร การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการระดับ ปฐมวัยและการนเิ ทศ กำกบั ตดิ ตาม ๒) จดั หา จดั ซอ้ื ส่อื วัสดุอุปกรณ์ เพือ่ จดั สภาพแวดล้อมภายในและภายนอกหอ้ งเรียน จดั ซ้อื และจัดหาสอ่ื ของเล่นทส่ี ง่ เสรมิ พัฒนาการเดก็ ตามมุมประสบการณ์ตา่ งๆ การพฒั นาสนามเด็กเลน่ และ แหลง่ เรยี นร้ทู ่หี ลากหลาย รวมถึงการจัดเตรียมของใช้สว่ นตัวให้แก่เด็กตามความจำเป็น เพื่อการดูแล อนามัยสว่ นบคุ คลและการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมต่างๆ ของเด็กได้อยา่ งสะดวกและปลอดภยั ๓) กำกับตดิ ตามการใช้งบประมาณและทรัพยากรอย่างประหยดั และค้มุ ค่า ๔) การมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง ชุมชน องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานเอกชน ใน การสนับสนุนการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยให้เป็นไปตามหลักการพัฒนาเด็กทุกช่วงวัย ระดม ทรัพยากรในการจัดหาครูที่มีคุณวุฒิหรือประสบการณ์ด้านการศึกษาปฐมวัย พี่เลี้ยงเด็ก ภูมปัญญา ทอ้ งถิ่น รวมถงึ การพัฒนาสภาพแวดล้อมและแหลง่ เรียนรู้

๑๔๐ การนเิ ทศ ตดิ ตาม การนำหลกั สูตรสถานศึกษาปฐมวยั สกู่ ารปฏบิ ัติ การนิเทศ กำกับ ติดตามการนำหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติ เป็นกระบวนการสำคัญในการ ควบคุมคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา โดยผู้บริหารสถานศึกษาและผู้มีบทบาทหน้าที่ท่ี เกี่ยวข้องควรใช้วิธีการที่หลากหลาย เช่น การตรวจเยี่ยม การสังเกตการณ์สอนในชั้นเรียน การสอน แนะ ( Coaching) การตรวจแผนการจดั ประสบการณ์ ทั้งนี้ควรดำเนินการนิเทศ กำกับ ติดตามอย่าง เป็นระบบและเป็นกัลยาณมิตรเปดิ โอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน โดยมีแนวทางการ ดำเนินการ ดังนี้ ๑) ประชุมผู้บริหารและครูปฐมวัย เพื่อร่วมกันกำหนดความต้องการและช่วงเวลาในการ จัดทำปฏทิ ินการนิเทศหรือแผนการนิเทศ กำกบั ตติ ามทีเ่ หมาะสม ตอ่ เนื่องและเปน็ รปู ธรรม ๒) สร้างความเข้าใจและทัศนคติที่ดีในการจัดกิจกรรมการนิเทศ กำกับ ติดตาม ให้แก่ บุคลากรที่เก่ียวข้องทุกฝ่าย ๓) ดำเนินการนิเทศ กำกับ ติดตาม ตามแผนการนิเทศและนำผลการนิเทศมาวางแผนเพ่ือ จัดกจิ กรรมสง่ เสริมพัฒนาบคุ ลกรปฐมวยั ตามความต้องการจำเป็นอยา่ งต่อเนอ่ื ง ๔) นำข้อมูลสารสนเทศที่ได้รับจากการนิเทศ กำกับ ติดตาม มาใช้ส่วนหนึ่งในการพัฒนา หลักสตู รสถานศกึ ษาให้มปี ระสิทธิภาพมากข้นึ การประเมินหลกั สูตรสถานศึกษาปฐมวยั การประเมินหลกั สูตรสถานศกึ ษาปฐมวัย เป็นกระบวนการเชิงระบบเพ่ือให้ได้มาซึง่ ข้อมูลและ สารสนเทศที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับการศึกษาคุณภาพของหลักสูตร การปรับปรุง พัฒนาหลักสูตร การบริหารหลักสูตร และการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยให้เหมาะสม ตอ่ ไป ซ่ึงแนวทางการประเมินหลักสตู รสถานศึกษาปฐมวัย ประกอบดว้ ย ๑. การประเมินก่อนนำหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยไปใช้ เป็นการประเมินกระบวนการ ร่างหลกั สตู รสถานศกึ ษาปฐมวยั ควรดำเนนิ การดงั น้ี ๑) การวิเคราะห์ข้อมูลความจำเป็นพื้นฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาใช้ในการร่างหลักสูตร สถานศึกษาปฐมวัย โดยวิเคราะห์ข้อมูลและสารสนเทศจากการใช้หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยฉบับ เดิม ศึกษาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการใช้หลักสูตรที่ผ่านมามีผลสำเร็จอะไรบ้าง มีปัญหา และอุปสรรคอะไรบ้างในการใช้หลักสูตรสถานศึกษา โดยใช้ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น การประกัน คุณภาพการศึกษาภายในตามมาตรฐานการศึกษาปฐมวัยของสถานศึกษา การประเมนพัฒนาการ นโยบายทางการศึกษาของรัฐบาลกระทรวงศึกษาธิการ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม ผลการสอบถาม ความต้องการของผู้ปกครองและชุมชนเพื่อให้ได้สารสนเทศที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ในการร่างหลักสูตร สถานศกึ ษาปฐมวยั

๑๔๑ ๒) การตรวจสอบคุณภาพของร่างหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย เป็นการประเมินเอกสาร หลกั สตู รสถานศกึ ษาปฐมวัย เพื่อพจิ ารณาความสอดคล้อง เหมาะสมเกยี่ วกับองค์ประกอบต่างๆ ของ หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย โดยใช้วิธีการสอบถามความคิดเห็นจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้สอน ผู้บริหารสถานศึกษา กรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง ผู้แทนชุมชน องค์กร ผู้เชี่ยวชาญ และ ผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อให้ได้สารสนเทศที่จะนำไปใช้ในการปรับปรุงและแก้ไขเอกสารหลักสูตรให้มีความ เหมาะสม และมีคณุ ภาพ ๓) การประเมินความพร้อมก่อนนำหลักสูตรไปใช้ เป็นการประเมินความพร้อมและความ พอเพียงด้านปัจจัยหรือทรัพยากรในการใช้หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย ได้แก่ ด้านบุคลากรมีจำนวน พอเพียงหรือไม่ มีคุณลักษณะพร้อมที่จะจัดประสบการณ์มากนอ้ ยเพียงใด ด้านเอกสารหลักสูตรและ เอกสารประกอบหลักสูตรมีความพร้อมและพอเพยี งต่อการจัดประสบการณ์หรือไม่ ดา้ นสอื่ และแหล่ง เรยี นรทู้ ่ีเกี่ยวขอ้ งกับการจัดประสบการณม์ ีพอเพียงหรือไม่ เพือ่ การจดั การพัฒนาหรอื การจัดซื้อจัดหา ใหท้ ันต่อการใช้หลกั สูตรสถานศึกษาปฐมวัย ประเมนิ โดยใช้วิธีการสนทนากลุ่ม การตรวจสอบรายการ หรอื การสอบถาม ๒. การประเมินระหว่างการใช้หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย เป็นการประเมินกระบวนการ ใช้หลักสูตรเกี่ยวกับการบริหารหลักสตู ร การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ การส่งเสริมสนับสนนุ การใช้ หลักสูตร เพื่อศึกษาความก้าวหน้าของการใช้หลักสูตรเป็นระยะๆ เพื่อตรวจสอบว่าหลักสูตรเป็นไป ตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้หรือไม่ มีปัญหาและอุปสรรคอย่างไร ควรมีการปรับปรุงแก้ไขใน เรื่องใดบ้างประเด็นการประเมิน ได้แก่ วางแผนการใช้หลักสูตร การเตรียมความพร้อมและบุคลากร การนิเทศ การฝึกอบรมและพัฒนาครูและบุคลากรเพิ่มเติมระหว่างการใชห้ ลักสูตร การจัดปัจจัยและ สิ่งสนบั สนุนการใชห้ ลักสูตร ประเดน็ การประเมินเก่ียวกับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ได้แก่ การ จดั กิจกรรมและพฤตกิ รรมการจัดการเรยี นรู้ การจัดการชน้ั เรยี น การเลอื กใชส้ อื่ การจดั การเรียนรู้ การ ประเมนิ พัฒนาการ ความรคู้ วามสามารถของครูและบคุ ลากร และประเด็นประเมนิ เก่ยี วกับการจัดมุม ประสบการณ์ ได้แก่ การจัดสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกห้องเรียน การตรวจสอบคุณภาพ หลกั สตู รระหว่างการอาจใช้วธิ ีการนเิ ทศ ตดิ ตาม การสอบถาม การสนทนากล่มุ หรอื การสงั เกต ๓. การประเมินหลงั การใชห้ ลกั สูตรสถานศกึ ษาปฐมวัย เป็นการประเมนิ หลกั สูตรทง้ั ระบบ หลังจากดำเนินการใช้หลักสูตรครบวงจรแล้ว โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลของหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย และสรุปผลภาพรวมของหลักสูตรที่จัดทำว่าบรรลุผล ตามเป้าหมายของหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยหรือไม่ บรรลุผลมากน้อยเพียงใด ต้องมีการปรับปรุง หรือพัฒนาส่วนใดบ้างปรับปรุงหรือพัฒนาอย่างไร ประเด็นการประเมินเกี่ยวกับประสิทธิภาพของ หลักสูตร ได้แก่ การบรรลุผลตามมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ทั้ง ๑๒ มาตรฐาน การบรรลุผล ตามเป้าหมายของหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยที่กำหนไว้ ประเด็นการประเมินเกี่ยวกับประสิทธิภาพ ของหลักสูตร ได้แก่ หน่วยการเรียนรู้ทีส่ อดคลอ้ งกับหลักสูตรสถานศึกษาที่ การจัดประสบการณ์การ เรียนรู้ สื่อและแหล่งการเรยี นรู้ การประเมินพัฒนาการ การบริหารจัดการหลักสตู ร และการเชื่อมต่อ

๑๔๒ ของการศึกษา ประเมินโดยใช้วิธีการตรวจสอบรายการ การศึกษาเอกสาร การสอบถาม หรือการ สนทนากลุ่ม การกำกบั ตดิ ตาม ประเมินและรายงาน การจัดการศึกษาปฐมวัยมีหลักการสำคัญในการให้สังคม ชุมชน มีส่วนร่วมในการจัด การศึกษาและกระจายอำนาจการศึกษาลงไปยังท้องถิ่นโดยตรง โดยเฉพาะสถานศึกษาหรือสถาน พัฒนาเด็กปฐมวัยซึ่งเป็นผู้จัดการศึกษาในระดับนี้ ดังนั้น เพื่อให้ผลผลิตทางการศึกษาปฐมวัยมี คุณภาพตามมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์และสอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและสังคม จำเป็นตอ้ งมรี ะบบการกำกบั ตดิ ตาม ประเมนิ และรายงานที่มปี ระสิทธิภาพ เพ่ือให้ทุกกลุ่มทุกฝ่ายท่ีมี ส่วนร่วมรับผิดชอบในการจัดการศึกษา เห็นความก้าวหน้า ปัญหา อุปสรรค ตลอดจนการให้ความ ร่วมมือ ช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุน วางแผน และการดำเนินงานการจัดการศึกษาปฐมวัยให้มี คุณภาพอย่างแทจ้ ริง การกำกับ ติดตาม ประเมินละรายงานผลการจัดการศึกษาปฐมวัยเป็นส่วนหนึ่งของ กระบวนการบริหารการศึกษา กระบวนการนิเทศ และระบบการประกันคุณภาพการศึกษา ที่ต้อง ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพ่ือนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาปฐมวัย สร้างความ มั่นใจให้ผู้เกี่ยงข้อง โดยต้องมีการดำเนินการท่ีเปน็ ระบบเครือข่ายครอบคลมุ ทั้งหน่วยงานภายในและ ภายนอก ในรปู แบบของคณะกรรมการที่มาจากบุคคลทุกระดับและทุกอาชีพ การกำกับ ตดิ ตาม และ ประเมินต้องมีการรางงายผลจากทุกระดับให้ทุกฝ่ายรวมทั้งประชาชนทั่วไปทราบ เพื่อนำข้อมูลจาก รายงานผลมาจดั ทำแผนพฒั นาคุณภาพการศกึ ษาของสถานศกึ ษาหรือสถานพัฒนาเด็กปฐมวยั ตอ่ ไป ๑๒. การจัดการศกึ ษาระดับปฐมวยั (เด็กอายุ ๓ – ๖ ป)ี สำหรบั กลมุ่ เปา้ หมายเฉพาะ การจัดการศึกษาสำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะสามารถนำหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยไปปรับ ใช้ได้ ทั้งในส่วนของโคตรสร้างหลักสูตร สาระการเรียนรู้ การจัดประสบการณ์ และการประเมิน พฒั นาการใหเ้ หมาะสมกบั สภาพ บรบิ ท ความต้องการ และศกั ยภาพของเด็กแต่ละประเภทเพ่อื พัฒนา ให้เด็กมีคุณภาพตามมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ที่หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยกำหนดโดย ดำเนนิ การดงั นี้ ๑. เป้าหมายคุณภาพเด็ก หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยได้กำหนดมาตรฐานคุณลักษณะที่พึง ประสงค์ และสาระการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายและกรอบทิศทางเพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องใช้ในการ พัฒนาเด็ก สถานศึกษาหรือผู้จัดการศึกษาสำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ สามารถเลือกหรือปรบั ใช้ ตัว บ่งชี้และสภาพที่พึงประสงค์ในการพัฒนาเด็ก เพื่อนำไปทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลแต่ยัง คงไวซ้ ง่ึ คุณภาพพฒั นาการของเดก็ ทั้งดา้ นร่างกาย อารมณ์ จติ ใจ สงั คม และสติปญั ญา

๑๔๓ ๒. การประเมนิ พฒั นาการ จะตอ้ งคำนงึ ถงึ ปัจจัยความแตกตา่ งของเด็ก อาทิ เด็กท่ีพิการอาจ ต้องมีการปรับการประเมินพัฒนาการที่เอื้อต่อสภาพเด็ก ทั้งวิธีการเครื่องมือที่ใช้ หรือกลุ่มเด็กที่มี จดุ เนน้ เฉพาะดา้ น ๑๓. การเช่อื มต่อของการศกึ ษาระดับปฐมวัยกบั ระดับประถมศกึ ษาปีที่ ๑ การเชื่อมต่อของการศึกษาระดับปฐมวัยกับระดับประถมศึกษาปีที่ ๑ มีความสำคัญอย่างย่ิง บุคลากรทุกฝ่ายจะต้องให้ความสนใจต่อการช่วยลดช่องว่างของความไม่เข้าใจในการจัดการศึกษาท้งั สองระดับ ซึง่ จะสง่ ผลตอ่ การจัดการเรียนการสอน ตวั เดก็ ครู พ่อแม่ ผปู้ กครอง และบุคลากรทางการ ศึกษาอื่นๆท้ังระบบ การเชื่อมต่อของการศึกษาระดับปฐมวัยกับระดับประถมศึกษาปีที่ ๑ จะประสบ ผลสำเรจ็ ได้ต้องดำเนินการดังต่อไปนี้ ๑. ผบู้ ริหารสถานศกึ ษา ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาทเป็นผู้นำในการเชื่อมต่อโดยเฉพาะระหว่าง หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยในช่วงอายุ ๓ – ๖ ปี กับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานในช้ัน ประถมศกึ ษาปีที่ ๑ โดยต้องศกึ ษาหลักสูตรทั้งสองระดับ เพ่ือทำความเข้าใจ จดั ระบบการบริหารงาน ดา้ นวชิ าการทจ่ี ะเอ้ือต่อการเช่ือมโยงการศึกษาโดยการจดั กิจกรรมเพื่อเชื่อมต่อการศึกษา ดังตัวอย่าง กจิ กรรมต่อไปนี้ ๑.๑ จัดประชมครูระดับปฐมวัยและครูระดับประถมศึกษาร่วมกันสร้างรอยเชื่อมต่อของ หลักสูตรทั้งสองระดับให้เป็นแนวปฏิบัติของสถานศึกษาเพื่อครูทั้งสองระดับจะได้เตรียมการสอนให้ สอดคล้องกบั เดก็ วัยนี้ ๑.๒ จัดหารเอกสารด้านหลักสูตรและเอกสารทางวิชาการของทั้งสองระดับมาไว้ให้ครู และบคุ ลากรอื่นๆได้ศกึ ษาทำความเขา้ ใจ อยา่ งสะดวกและเพียงพอ ๑.๓ จัดกจิ กรรมให้ครทู ้งั สองระดบั มโี อกาสแลกเปลีย่ นเผยแพรค่ วามรูใ้ หม่ๆ ที่ไดร้ ับจาก การอบรม ดงู าน ซึง่ ไมค่ วรจัดใหเ้ ฉพาะครูในระดับเดียวกนั เทา่ นนั้ ๑.๔ จัดเอกสารเผยแพร่ตลอดจนกิจกรรมสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ ระหว่างสถานศึกษา พ่อแม่ ผปู้ กครองและบคุ ลากรทางการศกึ ษาอย่างสมำ่ เสมอ ๑.๕ จัดให้มีการพบปะ หรือการทำกิจกรรมร่วมกับพ่อแม่ ผู้ปกครองอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง ในระหว่างที่เด็กอยู่ในระดับปฐมวัย เพื่อพ่อแม่ ผู้ปกครอง จะได้สร้างความเข้าใจและ สนบั สนุนการเรียน การสอนของบตุ รหลานตนไดอ้ ยา่ งถูกต้อง ๑.๖ จดั กจิ กรรมให้ครูทง้ั สองระดบั ได้ทำกจิ กรรมรว่ มกันกบั พอ่ แม่ ผ้ปู กครองและเด็กใน บางโอกาส ๑.๗ จัดกิจกรรมปฐมนิเทศพ่อแม่ ผู้ปกครองอย่างน้อย ๒ ครั้ง คือ ก่อนเด็กเข้าเรียน ระดับปฐมวัยศึกษาและก่อนเด็กจะเลื่อนขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ เพื่อให้พ่อแม่ ผู้ปกครองเข้าใจ

๑๔๔ การศึกษาทั้งสองระดับและให้ความร่วมมือในการช่วยเด็กให้สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม ใหม่ได้ดี ๒. ครรู ะดับปฐมวัย ครูระดับปฐมวัย นอกจากจะต้องศึกษาทำความเข้าใจหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย และจัด กิจกรรมพัฒนาเด็กของตนแล้ว ควรศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน การจัดการเรียนการสอนใน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ และสร้างความเข้าใจให้กับพ่อแม่ ผู้ปกครองและบุคลากรอื่นๆ รวมทั้ง ช่วยเหลือเด็กในการปรับตัวก่อนเลื่อนขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ โดยครูอาจจัดกิจกรรมดังตัวอย่าง ต่อไปน้ี ๒.๑ เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กเป็นรายบุคคลเพื่อส่งต่อครูชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ซึ่งจะทำให้ครูระดับประถมศึกษาสามารถใช้ข้อมูลนั้นช่วยเหลือเด็กในการปรับตัวเข้ากับการเรียนรู้ ใหมต่ อ่ ไป ๒.๒ พูดคุยกับเด็กถึงประสบการณ์ที่ดีๆ เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ในระดับชั้น ประถมศึกษาปีท่ี ๑ เพื่อให้เดก็ เกดิ เจตคตทิ ี่ดตี ่อการเรียนรู้ ๒.๓ จัดให้เด็กได้มีโอกาสทำความรู้จักกับครูตลอดจนสภาพแวดล้อม บรรยากาศของ หอ้ งเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ ๑ ท้ังทีอ่ ยใู่ นสถานศึกษาเดยี วกันหรือสถานศกึ ษาอนื่ ๓. ครรู ะดบั ประถมศึกษา ครูระดับประถมศึกษาต้องมีความรู้ ความเข้าใจในพัฒนาการเด็กปฐมวัยและมีเจตคติที่ดีต่อ การจดั ประสบการณ์ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวยั เพื่อนำมาเป็นข้อมลู ในการพัฒนาจัดการเรียนรู้ใน ระดับช้ันประถมศึกษาปที ่ี ๑ ของตนใหต้ อ่ เนอ่ื งกับการพฒั นาเด็กในระดบั ปฐมวยั ดังตัวอย่าง ตอ่ ไปน้ี ๓.๑ จดั กิจกรรมให้เดก็ พอ่ แม่ และผู้ปกครอง มีโอกาสไดท้ ำความรู้จักคนุ้ เคยกับครูและ ห้องเรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ ๑ กอ่ นเปดิ ภาคเรยี น ๓.๒ จัดสภาพห้องเรียนให้ใกล้เคียงกับห้องเรียนระดับปฐมวัย โดยจัดให้มีมุม ประสบการณ์ภายในห้องเพื่อให้เด็กได้มีโอกาสทำกิจกรรมได้อย่างอิสระเช่น มุมหนังสือ มุมของเล่น มุมเกมการศึกษา เพือ่ ช่วยใหเ้ ดก็ ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี ๑ ได้ปรบั ตัวและเรียนรูจ้ ากการปฏบิ ตั จิ รงิ ๓.๓ จดั กจิ กรรมรว่ มกันกับเดก็ ในการสร้างข้อตกลงเก่ยี วกบั การปฏบิ ัตติ น ๓.๔ เผยแพร่ข่าวสารด้านการเรยี นรูแ้ ละสร้างความสัมพันธท์ ด่ี ีกบั เด็ก พ่อแม่ ผปู้ กครอง และชมุ ชน ๔. พอ่ แม่ ผปู้ กครองและบุคลากรทางการศึกษา พ่อแม่ ผู้ปกครอง และบุคลากรทางการศึกษาต้องทำความเข้าใจหลักสูตรของการศึกษาทั้ง สองระดบั และเขา้ ใจว่าถงึ แมเ้ ด็กจะอยู่ในระดับประถมศึกษาแล้วแต่เด็กยังต้องการความรักความเอา ใจใส่ การดูแลและการปฏิสัมพันธ์ที่ไม่ได้แตกต่างไปจากระดับปฐมวัย และควรให้ความร่วมมือกับครู และสถานศกึ ษาในการช่วยเตรยี มตัวเดก็ เพือ่ ใหเ้ ด็กสามารถปรับตัวได้เรว็ ย่งิ ข้ึน

๑๔๕ บรรณานกุ รม สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา, กระทรวงศกึ ษาธกิ าร.(๒๕๖๐). หลกั สตู รการศึกษาปฐมวยั พทุ ธศักราช ๒๕๖๐. กรุงเทพมหานคร: ชมุ นุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย. สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา, กระทรวงศกึ ษาธกิ าร.(เอกสารอัดสำเนา ๒๕๖๐). ค่มู ือ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐.

๑๔๖ ภาคผนวก


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook