Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย-พุทธศักราช-2564

หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย-พุทธศักราช-2564

Published by som.phuket2524, 2022-03-29 03:34:20

Description: หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย-พุทธศักราช-2564

Search

Read the Text Version

๔๔ ตวั บ่งชี้ สภาพทพี่ งึ ประสงค์ สาระการเรยี นรรู้ ายปี ชั้นอนบุ าลปที ี่ ๒ ประสบการณส์ ำคญั สาระทค่ี วรเรียนรู้ ๔. การเล่นรายบุคคล กลมุ่ ยอ่ ย และ กล่มุ ใหญ่ ๕. การเลน่ ตามมมุ ประสบการณ/์ มุม เล่นตา่ งๆ ๕.๓ มีความเห็นอก -แสดงสีหน้าหรือท่าทางรับรู้ ๑. การเลน่ และทำงานร่วมกบั ผ้อู ่ืน ๑. คุณธรรมจริยธรรม เห็นใจผูอ้ ่นื ความรูส้ กึ ผ้อู ่ืน ๒. การเล่นบทบาทสมมตุ ิ - ความเห็นอกเหน็ ใจผูอ้ น่ื ๓. การแสดงความยินดีเมื่อผู้อื่นมี ความสุข เห็นใจเมื่อผู้อื่นเศร้าหรือ เสียใจและการช่วยเหลือปลอบโยน เมอื่ ผูอ้ น่ื ได้รับบาดเจ็บ ๕.๔ มีความ -ทำงานที่ได้รับมอบหมายจน ๑. การทำกจิ กรรมศิลปะตา่ งๆ ๑. คณุ ธรรมจรยิ ธรรม รับผิดชอบ สำเรจ็ เมือ่ มีผชู้ ้แี นะ ๒. การดแู ลห้องเรียนร่วมกนั - ความรบั ผดิ ชอบ ๓. การมสี ว่ นรว่ มรบั ผดิ ชอบ ดูแล - ความอดทน มุง่ ม่นั รกั ษาส่งิ แวดลอ้ มทั้งภายในและ - ความเพียร ภายนอกหอ้ งเรียน ๔. การร่วมกำหนดข้อตกลงของ หอ้ งเรยี น ๓.พฒั นาการดา้ นสังคม มาตรฐานที่ ๖ มีทักษะชวี ติ และปฏิบัตติ นตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ตัวบ่งช้ี สภาพท่ีพงึ ประสงค์ สาระการเรียนรูร้ ายปี ชน้ั อนุบาลปีที่ ๒ ประสบการณส์ ำคญั สาระทีค่ วรเรียนรู้ ๖.๑ ชว่ ยเหลอื ตนเองใน - แตง่ ตวั ด้วยตนเอง ๑. การชว่ ยเหลอื ตนเองในกจิ วัตร ๑. การชว่ ยเหลอื ตนเอง การปฏบิ ัตกิ ิจวตั ร -รบั ประทานอาหารด้วยตนเอง ประจำวัน ๒. มารยาทในการรับประทาน ประจำวัน ๒. การใหค้ วามร่วมมือในการ อาหาร - ใชห้ ้องนำ้ ห้องส้วมด้วย ปฏิบัตกิ ิจกรรมต่างๆ ตนเอง ๓. การปฏิบตั กิ ิจกรรมต่างๆตาม ความสามารถของตนเอง ๖.๒ มีวินัยในตนอง -เกบ็ ของเล่นของใช้เข้าที่ด้วย ๑. การร่วมกำหนดขอ้ ตกลงของ ๑. การเลน่ และการเก็บส่ิงของ ตนเอง ห้องเรียน -เขา้ แถวตามลำดับก่อนหลังได้ ๒. การปฏบิ ัตติ นเปน็ สมาชกิ ท่ีดี ๑. การรอคอยตามลำดับกอ่ นหลัง ๒. การเขา้ แถว ดว้ ยตนเอง ของหอ้ งเรียน ๓. การใหค้ วามรว่ มมอื ในการ ปฏบิ ตั ิกจิ กรรมตา่ งๆ ๔. การดูแลห้องเรยี นร่วมกนั

๔๕ ตวั บง่ ช้ี สภาพทพ่ี ึงประสงค์ สาระการเรยี นรู้รายปี ๖.๓ ประหยัดและ -ใช้ส่งิ ของเครอื่ งใช้อย่าง ๑. การปฏบิ ตั ติ นตามแนวทางหลัก ๑. การเลือกใช้สิ่งของเครื่องใช้ พอเพยี ง ประหยดั และพอเพียงเม่ือมผี ู้ ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง อยา่ งประหยัด ชแี้ นะ ๒. การใชว้ ัสดแุ ละสิง่ ของเคร่ืองใชอ้ ยา่ งคุม้ คา่ มาตรฐานท่ี ๗ รกั ธรรมชาติ สง่ิ แวดล้อม วัฒนธรรม และความเป็นไทย ตัวบง่ ชี้ สภาพท่ีพงึ ประสงค์ สาระการเรียนรูร้ ายปี ๗.๑ ดูแลรกั ษาธรรมชาติ ชั้นอนุบาลปีท่ี ๒ ประสบการณส์ ำคญั สาระที่ควรเรียนรู้ และสิง่ แวดล้อม -มีส่วนร่วมในการดูแล ๑. การมสี ่วนร่วมในการดูแลรักษา ๑. สิ่งแวดล้อมในโรงเรียนและ รักษาธรรมชาติและ ส่ิงแวดล้อมเมื่อมีผชู้ แ้ี นะ สิง่ แวดล้อมทั้งภายในและภายนอก การดูแลรกั ษา -ทง้ิ ขยะได้ถกู ท่ี ห้องเรยี น ๒. สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ ๒.การสนทนาข่าวและเหตุการณ์ท่ี และการอนุรักษส์ ่งิ แวดลอ้ ม เกี่ยวกบั ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมใน ๓. การรักษาสาธารณสมบัติใน ชีวติ ประจำวัน ห้องเรยี น ๓. การเพาะปลูกและดูแลตน้ ไม้ ๔. การอธิบายเชื่อมโยงสาเหตุและ ผลที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์หรือการ กระทำ ๕. การตดั สนิ ใจและมีส่วนร่วมใน กระบวนการแก้ปญั หา ๑. การคัดแยก การจัดกลุ่มและ ๑. ขยะและการคดั แยกขยะ จำแนกสิ่งต่างๆตามลักษณะและ ๒. การดูแลรักษาส่งิ แวดล้อม รปู รา่ ง รปู ทรง ๒. การใช้วัสดุและสิ่งของเครื่องใช้ อย่างคุ้มค่า ๓. การทำงานศิลปะที่นำวัสดุหรือ สิ่งของเครื่องใช้ที่ใช้แล้วมาใช้ซ้ำหรือ แปรรปู แล้วนำกลับมาใชใ้ หม่ ๔. การสรา้ งสรรคช์ ้ินงานโดยใช้ รูปรา่ งรปู ทรงจากวัสดทุ ี่หลากหลาย ๕. การปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของ หอ้ งเรยี น

๔๖ ตัวบ่งช้ี สภาพท่พี ึงประสงค์ สาระการเรยี นรู้รายปี ๗.๒ มีมารยาทตาม ช้นั อนุบาลปีที่ ๒ ประสบการณ์สำคัญ สาระทค่ี วรเรียนรู้ วฒั นธรรมไทยและรักความ เปน็ ไทย -ปฏบิ ัตติ นตามมารยาท ๑. การปฏบิ ตั ติ นตามวัฒนธรรมทอ้ ง ๑. การปฏิบัติตนตามมารยาท ไทยไดด้ ว้ ยตนเอง ถิ่นท่ีอาศยั และประเพณีไทย และวฒั นธรรมไทย ๒. การเล่นบทบาทสมมตุ กิ ารปฏบิ ตั ิ - การแสดงความเคารพ ตนในความเปน็ คนไทย -กล่าวคำขอบคุณและ ๑. การปฏบิ ัติตนตามวฒั นธรรมทอ้ ง ๑. การปฏิบัติตนตามมารยาท ขอโทษด้วยตนเอง ถ่นิ ท่ีอาศัยและประเพณไี ทย และวฒั นธรรมไทย ๒. การเลน่ บทบาทสมมุติการปฏิบตั ิ - การพูดสุภาพ ตนในความเป็นไทย - การกล่าวคำขอบคุณและขอ ๓. การพูดสะท้อนความรู้สึกของ โทษ ตนเองและผอู้ นื่ -หยดุ เมอ่ื ไดย้ นิ เพลงชาติ ๑. การปฏบิ ัตติ นตามวฒั นธรรมทอ้ ง - การแสดงออกท่เี หมาะสมกับ ไทยและเพลงสรรเสริญ ถิ่นทอ่ี าศัยและประเพณไี ทย สถานการณ์ พระบารมี ๒. การเลน่ บทบาทสมมุตกิ ารปฏบิ ตั ิ ตนในความเปน็ ไทย ๓. การร่วมกิจกรรมวนั สำคญั มาตรฐานที่ ๘ อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมในระบอบ ประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษตั รยิ ์ทรงเปน็ ประมขุ ตัวบง่ ช้ี สภาพทพี่ งึ ประสงค์ สาระการเรียนรรู้ ายปี ชน้ั อนบุ าลปีท่ี ๒ ประสบการณ์สำคัญ สาระที่ควรเรียนรู้ ๘.๑ ยอมรบั ความเหมือน -เล่นและทำกิจกรรมร่วมกับ ๑.การเล่นและทำงาน - การเลน่ และการทำ และความแตกตา่ ง กลุ่มเดก็ ท่แี ตกต่างไปจากตน รว่ มกบั ผอู้ น่ื กจิ กรรมรว่ มกับผอู้ ืน่ ระหว่างบคุ คล ๒. การเลน่ พ้ืนบา้ นของไทย - การเล่นและทำ ๓. การศึกษานอกสถานท่ี ๘.๒ มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับ -เล่นหรือทำงานร่วมกับเพื่อน ๔. การเล่นและทำกิจกรรม กจิ กรรมกล่มุ ใหญ่ ผอู้ นื่ เปน็ กล่มุ ร่วมกบั กลุม่ เพื่อน - การปฏิบตั ิตาม ๕. การทำศลิ ปะแบบร่วมมือ -ยิ้มหรือทักทายหรือพูดคุยกับ วฒั นธรรมท้องถิ่นและ ผู้ใหญ่และบุคคลที่คุ้นเคยได้ ๖. การรว่ มสนทนาและ ความเป็นไทย แลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ ด้วยตนเอง ๗. การเล่นรายบคุ คล กลุม่ ย่อยและกล่มุ ใหญ่

๔๗ ตวั บ่งช้ี สภาพทพ่ี งึ ประสงค์ สาระการเรยี นรู้รายปี ๘.๓ ปฏิบัติตนเบื้องต้นใน -มีส่วนร่วมสร้างข้อตกลงและ ๑. การรว่ มกำหนดขอ้ ตกลง - การปฏบิ ตั ิตามกฎระเบยี บ และขอ้ ตกลง การเป็นสมาชิกที่ดีของ ปฏิบัติตามข้อตกลงเมื่อมีผู้ ของห้องเรยี น สังคม ชี้แนะ ๒.การปฏบิ ตั ติ นเป็นสมาชิก - ผนู้ ำผู้ตาม -ปฏิบัตติ นเปน็ ผนู้ ำและผู้ตามที่ ที่ดีของหอ้ งเรียน - การแสดงออกทางอารมณ์ ๓. การให้ความร่วมมอื ใน และความร้สู ึกอยา่ ง ดีไดด้ ้วยตนเอง เหมาะสม การปฏิบตั ิกจิ กรรมต่างๆ -ประนีประนอมแก้ไขปัญหา ๔. การร่วมกจิ กรรมวนั โดยปราศจากการใช้ความ สำคญั รุนแรงเมอื่ มีผูช้ ้ีแนะ ๕. การมสี ว่ นรว่ มในการ เลือกวธิ ีการแกป้ ญั หา ๖. การมสี ่วนร่วมในการ แกป้ ญั หาความขดั แยง้ ๔. ดา้ นสตปิ ญั ญา มาตรฐานท่ี ๙ ใชภ้ าษาสอ่ื สารไดเ้ หมาะสมกับวยั ตัวบ่งช้ี สภาพที่พงึ ประสงค์ สาระการเรยี นรู้รายปี ชน้ั อนบุ าลปที ี่ ๒ ประสบการณส์ ำคัญ สาระทค่ี วรเรียนรู้ ๙.๑ สนทนาโต้ตอบและเล่า -ฟังผอู้ ื่นพูดจนจบ ๑. การฟังเสยี งตา่ งๆในสง่ิ แวดล้อม มารยาทในการฟัง เรอื่ งใหผ้ ู้อ่นื เขา้ ใจ และสนทนาโตต้ อบ ๒. การฟังและปฏบิ ัตติ ามคำแนะนำ - การรบั ฟัง สอดคลอ้ งกบั เร่อื งที่ ๓. การฟังเพลง นิทาน คำคล้องจอง บท ฟงั ร้อยกรอง หรือเร่อื งราวต่างๆ ๔. การเล่นเกมทางภาษา -เลา่ เรอ่ื งเป็น ๑. การพดู แสดงความคดิ ความรู้สกึ - การเลา่ เรอ่ื งราวหรือนทิ าน ประโยคอยา่ ง และความตอ้ งการ ต่อเนอ่ื ง ๒. การพูดเกีย่ วกับประสบการณข์ อง ตนเอง หรือพดู เรอ่ื งราวเก่ยี วกับตนเอง ๓. การพูดอธิบายเก่ยี วกบั สง่ิ ของ เหตกุ ารณ์ และความสัมพนั ธข์ องสิง่ ตา่ งๆ ๔. การพูดอยา่ งสร้างสรรคใ์ นการเลน่ และการกระทำตา่ งๆ ๕. การรอจงั หวะทเ่ี หมาะสมในการพูด ๖. การพูดเรียงลำดบั เพอื่ ใชใ้ นการ ส่อื สาร

๔๘ ตวั บง่ ช้ี สภาพทพ่ี ึงประสงค์ สาระการเรยี นรรู้ ายปี ชั้นอนุบาลปที ี่ ๒ ประสบการณส์ ำคญั สาระที่ควรเรียนรู้ ๗. การเลน่ เกมทางภาษา ๙.๒ อ่าน เขียนภาพ และ -อา่ นภาพ ๑. การอา่ นหนงั สอื ภาพ นทิ าน - การอ่านภาพ สัญลกั ษณ์ นิทาน สญั ลกั ษณไ์ ด้ สัญลักษณ์ คำ หลากหลายประเภท/รูปแบบ พร้อมท้ังชี้ หรอื ๒. การอ่านอย่างอิสระตามลำพงั การ กวาดตามอง อ่านร่วมกัน การอ่านโดยมผี ้ชู ้แี นะ ขอ้ ความตามบรรทดั ๓. การเห็นแบบอยา่ งของการอ่านท่ี ถกู ต้อง ๔. การสังเกตทศิ ทางการอ่านตัวอกั ษร คำ และขอ้ ความ ๕. การอ่านและชี้ข้อความ โดยกวาด สายตาตามบรรทัดจากซ้ายไปขวา จาก บนลงลา่ ง ๖. การสงั เกตตัวอักษรในชอื่ ของตน หรือ คำคนุ้ เคย ๗. การสังเกตตวั อกั ษรที่ประกอบเปน็ คำ ผ่านการอา่ นหรือเขยี นของผ้ใู หญ่ ๘. การคาดเดาคำ วลี หรือประโยคที่มี โครงสร้างซ้ำๆกันจากนิทาน เพลง คำ คล้องจอง ๙. การเล่นเกมทางภาษา ๑๐. การเห็นแบบอย่างของการเขียนที่ ถกู ตอ้ ง -เขียนคลา้ ย ๑. การเขียนร่วมกนั ตามโอกาส และการ - การใช้มือทำสง่ิ ตา่ ง ๆ ตวั อักษร เขียนอิสระ - การเขียนภาพ สัญลักษณ์ ๒. การเขียนคำที่มีความหมายกับตัว ตัวอกั ษร เดก็ /คำคุ้นเคย ๓. การคิดสะกดคำและเขียนเพื่อสื่อ ความหมายดว้ ยตนเองอย่างอิสระ ๔. การเลน่ เกมทางภาษา

๔๙ มาตรฐานท่ี ๑๐ มคี วามสามารถในการคดิ ทเี่ ปน็ พนื้ ฐานในการเรียนรู้ ตัวบง่ ช้ี สภาพทพ่ี ึงประสงค์ สาระการเรยี นรู้รายปี ๑๐.๑ มคี วามสามารถในการคิด ช้นั อนุบาลปที ่ี ๒ ประสบการณส์ ำคญั สาระทีค่ วรเรยี นรู้ รวบยอด -บอกลกั ษณะและ ๑. การสงั เกตลกั ษณะ สว่ นประกอบ ๑. การคิด สว่ นประกอบของสิง่ ของ การเปลยี่ นแปลง และความสัมพันธ์ของ - ประสาทสมั ผัส ตา่ งๆจากการสงั เกตโดย ส่ิงตา่ งๆโดยใช้ประสาทสมั ผสั อยา่ ง - การสงั เกต ใชป้ ระสาทสมั ผสั เหมาะสม ๒. การเปลี่ยนแปลงและ ๒. การสงั เกตสิ่งต่างๆแลละสถานที่จาก ความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ มมุ มองท่ตี ่างกนั รอบตวั ๓. การเลน่ กับสอื่ ตา่ งๆทเ่ี ป็นทรงกลม ทรงสี่เหล่ียมมมุ ฉาก ทรงกระบอก กรวย ๔. การใช้ภาษาทางคณติ ศาสตร์กับ เหตกุ ารณ์ในชวี ติ ประจำวัน -จับคู่และเปรียบเทียบ ๑. การคัดแยก การจัดกลุ่ม และการ ๑. การคดิ ความแตกต่างหรือความ จำแนกสิ่งต่างๆตามลักษณะและรูปร่าง - การจบั คู่ เหมือนของสิ่งต่างๆโดย รปู ทรง - การเปรียบเทียบความ ใช้ลักษณะที่สังเกตพบ ๒. การต่อของชิ้นเล็กเติมในชิ้นใหญ่ให้ เหมอื นความต่าง เพยี งลักษณะเดียว สมบูรณ์ และการแยกชิน้ สว่ น ๓. การจบั คู่ การเปรียบเทยี บและการ เรยี งลำดับสิง่ ตา่ งๆตามลกั ษณะความ ยาว/ความสูง น้ำหนกั ปรมิ าตร ๔. การใชภ้ าษาทางคณติ ศาสตร์กับ เหตกุ ารณ์ในชวี ิตประจำวนั -จำแนกและจัดกลุ่มส่ิง ๑. การคัดแยก การจัดกลุ่ม และการ ๑. การคดิ ต่างๆโดยใช้อย่างน้อย จำแนกสิ่งต่างๆตามลักษณะและรูปร่าง - การจำแนก หนง่ึ ลกั ษณะเปน็ เกณฑ์ รูปทรง - การจัดกลุ่ม สิ่งของหน่ึง ๒. การทำซ้ำ การต่อเติม และการสร้าง ลกั ษณะ แบบรูป ๓. การรวมและการแยกส่งิ ต่างๆ ๔. การใช้ภาษาทางคณิตศาสตร์กับ เหตกุ ารณ์ในชีวิตประจำวัน -เรียงลำดับสิ่งของหรือ ๑. การนับและแสดงจำนวนของสงิ่ ตา่ งๆ ๑. การคิด เหตุการณ์อย่างน้อย ๔ ในชวี ติ ประจำวนั - การเรียงลำดับเหตุการณ์ ลำดับ ๒. การเปรยี บเทยี บและเรยี งลำดบั ๔ ลำดบั จำนวนของส่งิ ต่าง ๆ - จำนวนและตัวเลข ๓. การบอกและแสดงอันดบั ทข่ี องสิง่ ตา่ ง ๆ

๕๐ ๔. การบอกและเรยี งลำดับกจิ กรรมหรอื เหตุการณ์ตามช่วงหรอื เวลา ๕. การใชภ้ าษาทางคณติ ศาสตรก์ บั เหตกุ ารณ์ในชวี ติ ประจำวนั ๖. การบอกและแสดงตำแหนง่ ทิศทาง และระยะทางของส่ิงตา่ งด้วยการกระทำ ภาพวาด ภาพถา่ ย และรูปภาพ ๑๐.๒ มีความสามารถในการคิด -ระบุสาเหตุหรือผลท่ี ๑. การชั่ง ตวง วดั สิง่ ตา่ งๆโดยใช้ ๑. การแสดงความคิดเหน็ เชิงเหตผุ ล เกิดขึ้นในเหตุการณ์หรือ เครอื่ งมือและหน่วยท่ีไม่ใชห่ นว่ ย - การชงั่ การกระทำเมอ่ื มผี ชู้ ี้แนะ มาตรฐาน - การตวง ๒. การอธิบายเชื่อมโยง สาเหตุและผลที่ - การวัด เกิดขน้ึ ในเหตุการณห์ รือการกระทำ - คาดเดา หรือคาดคะเน ๑. การคาดเดาหรือการคาดคะเนสิ่งที่ -การหาความสัมพันธ์ และ สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น หรือ อาจจะเกิดข้นึ อยา่ งมีเหตผุ ล แสดงความคิดเหน็ มีส่วนร่วมในการลง ๒. การมีส่วนร่วมในการลงความเหน็ จาก ความเหน็ จากขอ้ มลู ข้อมูลอย่างมเี หตุผล ๑๐.๓ มีความสามารถในการคิด -ตัดสินใจในเรื่องง่ายๆ ๑. การตดั สินใจและมีสว่ นร่วมใน ๑. การตัดสินใจสิ่งต่างๆ แก้ปัญหาและตัดสินใจ และเริ่มเรียนรู้ผลที่ กระบวนการแก้ปญั หา ดว้ ยตนเอง เกิดข้ึน ๒. การอธบิ ายเช่ือมโยง สาเหตุและผลที่ เกิดขนึ้ ในเหตุการณห์ รอื การกระทำ -ระบปุ ัญหา และ ๑. การตดั สินใจและมสี ่วนร่วมใน ๑. การแก้ปัญหาด้วย แกป้ ัญหาโดยลองผดิ ลอง กระบวนการแกป้ ญั หา ตนเอง ถกู ๒. การคาดเดาหรอื การคาดคะเนสงิ่ ท่ี อาจจะเกดิ ข้ึนอยา่ งมเี หตผุ ล ๓. การมสี ่วนรว่ มในการลงความเห็น จากข้อมูลอยา่ งมีเหตผุ ล มาตรฐานท่ี ๑๑ มีจนิ ตนาการและความคดิ สร้างสรรค์ ตัวบง่ ช้ี สภาพที่พงึ ประสงค์ สาระการเรยี นร้รู ายปี ๑๑.๑ เลน่ /ทำงานศลิ ปะ ชั้นอนบุ าลปีท่ี ๒ ประสบการณส์ ำคัญ สาระทค่ี วรเรยี นรู้ ตามจนิ ตนาการและ ความคิดสรา้ งสรรค์ -สร้างผลงานศลิ ปะเพ่ือส่ือสาร ๑. การสังเกตลักษณะ การทำงานศิลปะ ความคิด ความรสู้ ึกของตนเองโดยมี สว่ นประกอบ การ - วิธกี ารใช้เครอ่ื งมอื เครอ่ื งใช้ การดดั แปลงและแปลกใหมจ่ ากเดมิ เปลย่ี นแปลง และ ในการทำงานศลิ ปะอย่างถูก หรือมีรายละเอยี ดเพม่ิ ขน้ึ ความสมั พันธ์ของส่ิงตา่ งๆโดย วิธแี ละปลอดภัย ใช้ประสาทสมั ผสั อยา่ ง เหมาะสม ๒. การสงั เกตสง่ิ ตา่ งๆแลละ สถานที่จากมมุ มองทต่ี า่ งกนั

๕๑ ๓. การเล่นกบั สอ่ื ต่างๆท่ีเป็น ทรงกลม ทรงสเ่ี หล่ยี มมุมฉาก ทรงกระบอก ทรงกรวย ๔. การใชภ้ าษาทาง คณิตศาสตร์กบั เหตุการณใ์ น ชีวติ ประจำวนั ๑๑.๒ แสดงทา่ ทาง/ -เคลื่อนไหวท่าทางเพื่อสื่อสาร ๑. การเคลือ่ นไหวอยกู่ ับท่ี ๑. การเคลื่อนไหวร่างกายใน เคลื่อนไหวตาม จินตนาการอย่าง ความคดิ ความรูส้ กึ ของตนเอง ๒. การเคลอ่ื นไหวเคลอื่ นท่ี ทศิ ทางระดับและพน้ื ท่ตี า่ งๆ สรา้ งสรรค์ อยา่ งหลากหลายหรอื แปลกใหม่ ๓. การเคลื่อนไหวพร้อม ๒. การแสดงท่าทางอย่าง วัสดอุ ปุ กรณ์ อิสระ ๔. การแสดงความคิด สรา้ งสรรคผ์ า่ นภาษา ท่าทาง การเคล่ือนไหว และศิลปะ ๕. การเคลื่อนไหวโดย ควบคมุ ตนเองไปในทิศทาง ระดับและพื้นท่ี ๖. การเคล่อื นไหวตาม เสยี งเพลง/ดนตรี ๗. การฟังเพลง การร้อง เพลงและการแสดง ปฏิกิริยาโต้ตอบ เสยี งดนตรี มาตรฐานท่ี ๑๒ มเี จตคตทิ ่ดี ตี อ่ การเรียนรู้ และมคี วามสามารถในการแสวงหาความรไู้ ดเ้ หมาะสมกับวัย ตวั บง่ ชี้ สภาพที่พงึ ประสงค์ สาระการเรยี นร้รู ายปี ชั้นอนบุ าลปีท่ี ๒ ประสบการณส์ ำคญั สาระทค่ี วรเรยี นรู้ ๑๒.๑ มีเจตคติที่ดีต่อ -สนใจซักถามเกีย่ วกบั ๑. การสำรวจสิ่งต่างๆ และแหลง่ - ความรพู้ ้ืนฐานเกี่ยวกับการใช้หนังสือ การเรียนรู้ สญั ลักษณ์หรือตัวหนังสอื ที่ เรยี นรู้รอบตวั และตวั หนังสือ พบเหน็ ๒. การต้ังคำถามในเร่ืองทสี่ นใจ -กระตือรือร้นในการเข้าร่วม ๑. การให้ความร่วมมือในการ ๑.การแสดงออกทางอารมณ์และ กิจกรรม ปฏบิ ตั กิ ิจกรรมตา่ งๆ ความรู้สกึ อย่างเหมาะสม ๒. การต้ังคำถามในเรื่องท่สี นใจ ๒. ความสนใจในการทำกิจกรรม

๕๒ ๑๒.๒ มีความสามารถใน ๓. การมีส่วนร่วมในการรวบรวม การแสวงหาความรู้ ข้อมูลและนำเสนอข้อมูลจากการ สบื เสาะหาความรูใ้ นรปู แบบตา่ งๆ และแผนภูมิอยา่ งงา่ ย -ค้นหาคำตอบของข้อสงสัย ๑. การสำรวจสิง่ ต่างๆ และแหลง่ - การเรียนรู้ทีจ่ ะเลน่ และทำสิง่ ตา่ งๆ ต่างๆ ตามวิธีการของตนเอง เรยี นรรู้ อบตวั ๒. การต้งั คำถามในเร่ืองที่สนใจ ๓. การสืบเสาะหาความรู้เพ่ือ ค้นหาคำตอบของขอ้ สงสัยต่างๆ ๔. การมีส่วนร่วมในการรวบรวม ข้อมูลและนำเสนอข้อมูลจากการ สืบเสาะหาความรู้ในรปู แบบตา่ งๆ และแผนภมู อิ ย่างงา่ ย -ใช้ประโยคคำถามว่า “ที่ ๑. การตงั้ คำถามในเรอื่ งทส่ี นใจ - การสนใจซักถามคำถามเพื่อค้นหา ไหน” “ทำไม” ในการค้นหา ๒. การสืบเสาะหาความรู้เพ่ือ คำตอบ คำตอบ คน้ หาคำตอบของขอ้ สงสยั ตา่ งๆ

๕๓ ตารางวเิ คราะหส์ าระการเรยี นรู้รายปี ชว่ งอายุ ๕ – ๖ ปี ๑.พฒั นาการด้านร่างกาย มาตรฐานที่ ๑ รา่ งกายเจรญิ เติบโตตามวัยเดก็ มีสขุ นิสัยท่ดี ี ตัวบ่งชี้ สภาพทพี่ งึ ประสงค์ สาระการเรยี นร้รู ายปี ช้ันอนบุ าลปีที่ ๓ (๕-๖ป)ี ประสบการณส์ ำคญั สาระทีค่ วรเรยี นรู้ ๑.๑ มีน้ำหนัก -น้ำหนกั และสว่ นสูงตาม ๑.การปฏิบตั ิตนตามสุขอนามัย การปฏบิ ัติกิจวตั รประจำวัน และส่วนสูง เกณฑ์ของกรมอนามัย ตามเกณฑ์ สุขนิสัยทด่ี ใี นกจิ วตั รประจำวัน - การเจริญเตบิ โตของ ๑.๒ มี -รบั ประทานอาหารท่ีมี สขุ ภาพ ประโยชนไ์ ด้หลายชนิด รา่ งกาย อนามัย สุข และดื่มน้ำสะอาดได้ด้วย นสิ ัยท่ีดี ตนเอง ๑.การปฏิบตั ติ นตามสขุ อนามัย การปฏิบัติกจิ วตั รประจำวัน สขุ นสิ ยั ท่ดี ใี นกิจวตั รประจำวัน ๑. อาหารทม่ี ปี ระโยชนแ์ ละ ๒. การประกอบอาหารไทย ไมม่ ีประโยชน์ ๒. อาหารหลัก๕ หมู่ ๓. การมีเจตคตทิ ่ดี ีต่อการ รบั ประทานอาหารที่มี ประโยชน์ -ลา้ งมอื กอ่ นรับประทาน ๑.การปฏบิ ัติตนตามสุขอนามัย การปฏิบัตกิ ิจวตั รประจำวัน อาหารและหลงั จากใช้ สขุ นสิ ยั ท่ดี ใี นกจิ วตั รประจำวนั ๑. อวัยวะตา่ งๆของร่างกาย ห้องน้ำห้องสว้ มดว้ ย ๒. การช่วยเหลือตนเองในการ และการรักษาความ ตนเอง ปฏบิ ตั กิ จิ กวตั รประจำวัน ปลอดภยั ๓. การปฏบิ ัติตนใหป้ ลอดภัยใน ๒. วธิ รี ักษารา่ งกายให้ -ล้างหนา้ และแปรงฟัน กจิ วตั รประจำวนั สะอาดและมีสุขอนามยั ทีด่ ี ถูกวิธีหลงั รบั ประทาน ๔. การฟังนทิ าน เรื่องราว อาหารดว้ ยตนเอง เหตุการณ์เกย่ี วกบั การป้องกัน การปฏิบัติกิจวตั รประจำวนั และรักษาความปลอดภัย ๑. อวัยวะต่างๆของร่างกาย ๑.การปฏบิ ตั ติ นตามสุขอนามัย และการรักษาความ สขุ นิสัยทีด่ ีในกิจวัตรประจำวัน ปลอดภัย ๒. การช่วยเหลอื ตนเองในการ ๒. วธิ รี กั ษารา่ งกายให้ ปฏิบัติกิจวตั รประจำวนั สะอาดและมสี ุขอนามัยท่ดี ี ๓. การปฏิบตั ติ นใหป้ ลอดภัยใน กิจวตั รประจำวัน

๕๔ ๔. การฟงั นทิ าน เร่ืองราว เหตกุ ารณ์เก่ียวกับการป้องกัน และรกั ษาความปลอดภยั -นอนพักผ่อนเปน็ เวลา - การปฏบิ ัติตนตามสุขอนามัย -ประโยชน์ของการนอนหลบั -ออกกำลังกายเปน็ เวลา สุขนสิ ยั ทดี่ ใี นกิจวัตรประจำวนั พักผอ่ น ๑.๓ รกั ษา -เลน่ และทำกจิ กรรม ความ รว่ มกบั ผูอ้ ่นื ด้วยความ ๑. การเล่นอิสระ ๑. ประโยชนข์ องการออก ปลอดภัยของ ระมดั ระวงั อย่าง ตนเองและ ปลอดภยั ๒. การเคลือ่ นไหวข้ามส่งิ กีดขวาง กำลังกาย ผอู้ ืน่ ๓. การเล่นเครอื่ งเลน่ อย่าง ๒. การเลน่ เครือ่ งเลน่ สนาม ปลอดภัย อย่างถูกวิธี ๔. การละเล่นพื้นบา้ นไทย ๕. การเลน่ นอกหอ้ งเรียน ๖. การเลน่ เครื่องเลน่ สนามอยา่ ง อสิ ระ ๑.การปฏิบัตติ นให้ปลอดภัยใน ๑. การรักษาความปลอดภัย กิจวัตรประจำวนั ของตนเองและการปฏิบตั ิ ๒. การฟงั นิทาน เร่ืองราว ต่อผู้อน่ื อยา่ งปลอดภัยใน เหตกุ ารณ์เกย่ี วกับการป้องกัน ชีวติ ประจำวนั และรักษาความปลอดภยั ๒. การปฏิบัติตนอยา่ ง ๓. การเลน่ บทบาทสมมตุ ิ เหมาะสมเมือ่ เจ็บป่วย เหตกุ ารณ์ตา่ งๆ ๓. การระวังภัยจากคน ๔. การพดู กบั ผู้อ่ืนเก่ียวกับ แปลกหน้าและอบุ ัตภิ ยั ตา่ งๆ ประสบการณ์ของตนเองหรือพดู เรอ่ื งราวเกยี่ วกับตนเอง ๕. การเลน่ เครื่องเล่นอย่าง ปลอดภยั ๖. การเลน่ และทำงานร่วมกับ ผู้อนื่

๕๕ มาตรฐานท่ี ๒ กล้ามเนอ้ื ใหญ่และกล้ามเน้ือเล็กแข็งแรงใชไ้ ดอ้ ยา่ งคลอ่ งแคลว่ และประสานสัมพนั ธก์ ัน ตัวบ่งชี้ สภาพทพ่ี งึ ประสงค์ สาระการเรยี นรู้รายปี ชน้ั อนบุ าลปที ี่ ๓ (๕-๖ปี) ประสบการณส์ ำคญั สาระทค่ี วรเรยี นรู้ ตวั บง่ ชีท้ ี่ ๒.๑ -เดินต่อเท้าถอยหลังเป็น ๑. การเคลอื่ นไหวอยู่กบั ที่ ๑. การออกกำลังกาย เคล่ือนไหวร่างกายอยา่ ง เสน้ ตรงไดอ้ ยา่ งคล่องแคลว่ ๒. การเคลื่อนไหวเคลอื่ นท่ี ๒. การเคลอื่ นไหวร่างกาย คล่องแคล่วประสาน -กระโดดขาเดียว ไปข้างหน้า ๓. การเคลื่อนไหวพร้อม สัมพันธ์และทรงตัวได้ ได้อย่างต่อเน่ืองโดยไม่เสียการ อปุ กรณ์ ทรงตวั ๔. การเคล่ือนไหวท่ใี ช้การ -ว่งิ หลบหลกี สิง่ กดี ขวางได้ ประสานสมั พนั ธ์ของ อยา่ งคล่องแคล่ว กลา้ มเนอื้ ใหญใ่ นการขว้าง -โยนรับลูกบอลที่กระดอนขึ้น การจบั การโยน การเตะ จากพื้นโดยใช้มือท้ัง ๒ ข้างได้ ๕. การเล่นเครื่องเล่นสนาม อย่างอสิ ระ ๖. การเคลื่อนไหวข้ามสิ่งกีด ขวาง ๗. การเคลอ่ื นไหวโดยควบคุม ตนเองไปในทิศทาง ระดับ และพืน้ ที่ ตัวบ่งชี้ที่ ๒.๒ ใช้มือ-ตา -ใช้กรรไกรตัดกระดาษตาม ๑. การเล่นเครือ่ งเล่นสัมผัส ๑. การเล่นและการทำงาน ประสานสัมพันธก์ ัน แนวเส้นโคง้ ได้ และการสร้างสิ่งต่างๆจาก รว่ มกบั ผอู้ น่ื -เขียนรูปสามเหลี่ยมตามแบบ แท่งไมบ้ ลอ็ ก ๒. การทำงานศิลปะ ไดอ้ ยา่ งมีมุมชัดเจน ๒.การเขียนภาพและการเล่น -ร้อยวัสดุที่มีรูขนาดเส้นผ่าน กับสี ศนู ยก์ ลาง๐.๒๕ ซม.ได้ ๓. การประดิษฐ์สิ่งต่างๆด้วย เศษวัสดุ ๔. การหยิบจับ การใช้ กรรไกร การฉีก การตัด การ ปะ การรอ้ ยวัสดุ

๕๖ ๒.พัฒนาการด้านอารมณ์ จติ ใจ มาตรฐานที่ ๓ มีสขุ ภาพจติ ดแี ละมคี วามสุข ตวั บง่ ช้ี สภาพทพ่ี ึงประสงค์ สาระการเรียนรู้รายปี ๓.๑ แสดงออกทางอารมณ์ ช้ันอนบุ าลปีที่ ๓ (๕-๖ปี) ประสบการณส์ ำคัญ สาระทคี่ วรเรยี นรู้ อยา่ งเหมาะสม -แสดงอารมณ์ ความรสู้ ึกได้ ๑. การพูดสะทอ้ นความรสู้ ึก - การแสดงทางอารมณ์ สอดคลอ้ งกบั สถานการณ์อยา่ ง ของตนเองและผอู้ นื่ และความรูส้ กึ อยา่ ง เหมาะสม ๒. การเลน่ บทบาทสมมุติ เหมาะสมกับสถานการณ์ ๓. การเคลื่อนไหวตาม ๓.๒ มีความร้สู ึกที่ดีตอ่ ตนเอง -กลา้ พดู กล้าแสดงออกอยา่ ง เสียงเพลง ดนตรี - การรู้จกั แสดงความคดิ เหน็ และผูอ้ ่ืน เหมาะสมตามสถานการณ์ ๔. การร้องเพลง อยา่ งเหมาะสมกบั สถานการณ์ -แสดงความพอใจในผลงานและ ๕. การทำงานศลิ ปะ ความสามารถของตนเองและผอู้ ่ืน - การประสบความสำเร็จ ในส่ิงต่างๆที่ทำดว้ ยตนเอง มาตรฐานท่ี ๔ ชนื่ ชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว ตวั บ่งชี้ สภาพทพ่ี งึ ประสงค์ สาระการเรยี นร้รู ายปี ชน้ั อนบุ าลปีที่ ๓ (๕-๖ปี) ๔.๑ สนใจและมีความสุข ประสบการณ์สำคญั สาระทีค่ วรเรียนรู้ และแสดงออกผา่ นงาน -สนใจและมคี วามสุขและ ศลิ ปะ ดนตรีและการ แสดงออกผา่ นงานศลิ ปะ ๑. การทำกจิ กรรมศลิ ปะต่างๆ - การทำกจิ กรรมศลิ ปะ เคลื่อนไหว -สนใจ มีความสขุ และแสดงออก ๒. การสรา้ งสรรคส์ ่งิ สวยงาม สรา้ งสรรค์ ผา่ นเสียงเพลง ดนตรี ๓. การรบั รู้และแสดงความคดิ -สนใจ มีความสขุ และแสดง ท่าทาง/เคลื่อนไหวประกอบเพลง ความรสู้ ึกผา่ นสื่อ วัสดุ ของ จังหวะและ ดนตรี เลน่ และช้ินงาน ๔. การปฏิบตั ิกิจกรรมต่างๆ ตามความสามารถของตนเอง ๑. การฟงั เพลง การร้องเพลง - การฟงั การร้องเพลง และการแสดงปฏกิ ริ ิยาโตต้ อบ เสยี งดนตรี ๒. การเล่นเครือ่ งดนตรี ประกอบจังหวะ ๔. การปฏบิ ัติกจิ กรรมตา่ งๆ ตามความสามารถของตนเอง ๑. การฟังเพลง การรอ้ งเพลง - การแสดงท่าทางเคลอื่ นไหว และการแสดงปฏิกริ ิยาโต้ตอบ ประกอบเพลง จงั หวะและ เสยี งดนตรี ดนตรี

๕๗ ๒. การเคลอื่ นไหวตาม เสยี งเพลง ดนตรี ๔. การปฏิบตั ิกิจกรรมต่างๆ ตามความสามารถของตนเอง ๕. การเลน่ เครื่องดนตรี ประกอบจังหวะ มาตรฐานท่ี ๕ มคี ณุ ธรรม จรยิ ธรรมและมีจิตใจทีด่ ีงาม ตวั บง่ ชี้ สภาพที่พงึ ประสงค์ สาระการเรยี นร้รู ายปี ชน้ั อนุบาลปที ่ี ๓ (๕-๖ปี) ประสบการณ์สำคญั สาระทค่ี วรเรียนรู้ ๕.๑ ซื่อสัตย์ สุจริต - ขออนุญาตหรือรอคอยเม่ือ ๑. ปฏบิ ัตติ นเป็นสมาชกิ ทด่ี ขี อง ๑. คุณธรรมจริยธรรม ตอ้ งการสงิ่ ของของผอู้ ื่นด้วยตนเอง ห้องเรียน - ความซ่ือสัตย์ สจุ รติ ๒. การฟงั นทิ านเก่ียวกับคณุ ธรรม - ความเกรงใจ จรยิ ธรรม ๒. การเคารพสิทธิของตนเอง ๓. การรว่ มสนทนาและแลกเปลี่ยน และผอู้ ืน่ ความคดิ เหน็ เชิงจริยธรรม ๔. เลน่ บทบาทสมมตุ ิ ๕. การเลน่ และทำงานร่วมกบั ผ้อู นื่ ๖. การปฏิบตั ติ นตามหลักศาสนาที่นบั ถอื ๕.๒ มีความเมตตา กรุณา มี -แสดงความรักเพื่อนและมีเมตตา ๑. การฟงั นิทานเกย่ี วกบั คณุ ธรรม ๑. คุณธรรมจริยธรรม นำ้ ใจและชว่ ยเหลอื แบ่งปนั สัตวเ์ ลีย้ ง จรยิ ธรรม - ความเมตตากรณุ า ๒. เลน่ บทบาทสมมตุ ิ - ความมีน้ำใจเออ้ื เฟอ้ื เผื่อแผ่ ๓. การเลยี้ งสตั ว์ -ช่วยเหลือและแบ่งปันผู้อื่นได้ด้วย ๑. การฟังนิทานเกย่ี วกับคณุ ธรรม ๑. คณุ ธรรมจรยิ ธรรม ตนเอง จรยิ ธรรม - ความมีน้ำใจ ช่วยเหลือ ๒. เลน่ บทบาทสมมตุ ิ แบง่ ปัน ๓. ปฏิบตั ติ นเปน็ สมาชิกทด่ี ขี อง - ความกตัญญู ห้องเรียน - ความมนี ้ำใจเอื้อเฟอ้ื เผื่อแผ่ ๔. การเลน่ รายบุคคล กลุ่มยอ่ ย และ กลุ่มใหญ่ ๕. การเล่นตามมุมประสบการณ/์ มุม เล่นต่างๆ ๕.๓ มีความเห็นอกเห็นใจ -แสดงสีหน้าหรือท่าทางรับรู้ ๑. การเลน่ และทำงานร่วมกบั ผู้อื่น ๑. คณุ ธรรมจริยธรรม ผูอ้ ื่น ความรู้สึกผู้อื่นอย่างสอดคล้องกบ ๒. การเล่นบทบาทสมมุติ - ความเหน็ อกเหน็ ใจผูอ้ ่นื สถานการณ์ - ความมีนำ้ ใจเออื้ เฟ้ือเผ่ือแผ่

๕๘ ๓. การแสดงความยินดีเมื่อผู้อื่นมี ความสุข เห็นใจเมื่อผู้อื่นเศร้าหรือ เสียใจและการช่วยเหลือปลอบโยนเม่ือ ผู้อืน่ ได้รบั บาดเจบ็ ๕.๔ มีความรบั ผิดชอบ -ทำงานที่ได้รับมอบหมายจนสำเรจ็ ๑. การทำกจิ กรรมศลิ ปะตา่ งๆ ๑. คณุ ธรรมจริยธรรม ด้วยตนเอง ๒. การดแู ลหอ้ งเรยี นร่วมกนั - ความรบั ผดิ ชอบ ๓. การมสี ว่ นร่วมรับผดิ ชอบ ดูแล - ความอดทน มุ่งมน่ั รกั ษาสง่ิ แวดล้อมท้ังภายในและ - ความเพียร ภายนอกห้องเรียน ๔. การร่วมกำหนดข้อตกลงของ ห้องเรียน ๓.พัฒนาการดา้ นสงั คม มาตรฐานที่ ๖ มีทกั ษะชวี ิตและปฏบิ ัตติ นตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตัวบ่งชี้ สภาพทพี่ ึงประสงค์ สาระการเรียนรรู้ ายปี ชั้นอนุบาลปีที่ ๓ (๕-๖ปี) ประสบการณส์ ำคญั สาระทีค่ วรเรียนรู้ ๖.๑ ชว่ ยเหลือตนเองใน - แต่งตวั ด้วยตนเองไดอ้ ย่าง ๑. การช่วยเหลอื ตนเองในกิจวัตร ๑. การช่วยเหลอื ตนเอง การปฏบิ ตั กิ ิจวัตร คลอ่ งแคลว่ ประจำวนั ๒. มารยาทในการรับประทาน ประจำวัน - รับประทานอาหารดว้ ยตนเอง ๒. การใหค้ วามรว่ มมือในการ อาหาร อย่างถกู วิธี ปฏบิ ตั ิกจิ กรรมตา่ งๆ ๓. การปฏิบัติกจิ กรรมตา่ งๆตาม - ใชแ้ ละทำความสะอาดหลงั ใช้ ความสามารถของตนเอง หอ้ งนำ้ หอ้ งส้วมด้วยตนเอง ๖.๒ มีวินัยในตนอง -เกบ็ ของเลน่ ของใช้เข้าทอ่ี ยา่ ง ๑. การร่วมกำหนดข้อตกลงของ ๑. การเล่นและการเก็บสิ่งของ เรยี บรอ้ ยด้วยตนเอง หอ้ งเรียน อยา่ งถกู วธิ ี -เข้าแถวตามลำดับก่อนหลังได้ด้วย ๒. การปฏิบตั ิตนเปน็ สมาชกิ ทีด่ ี ๑ . ก า ร ร อ ค อ ย ต า ม ล ำ ดั บ ตนเอง ของหอ้ งเรียน กอ่ นหลัง ๒. การเข้าแถว ๓. การให้ความร่วมมือในการ ปฏิบัติกิจกรรมตา่ งๆ ๔. การดแู ลหอ้ งเรยี นร่วมกัน ๖.๓ ประหยดั และ -ใช้สิง่ ของเครือ่ งใช้อยา่ งประหยดั ๑. การปฏิบตั ติ นตามแนวทางหลัก - การเลอื กใชส้ ่ิงของเครือ่ งใช้ น้ำ พอเพียง และพอเพียงดว้ ยตนเอง ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ไฟอย่างประหยัด ๒. การใช้วสั ดุและส่งิ ของเครื่องใช้อยา่ งคุ้มค่า

๕๙ มาตรฐานที่ ๗ รกั ธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อม วัฒนธรรม และความเปน็ ไทย สภาพท่พี ึงประสงค์ สาระการเรยี นรู้รายปี ชนั้ อนุบาลปที ่ี ๓ (๕-๖ ตัวบง่ ชี้ ประสบการณ์สำคญั สาระที่ควรเรยี นรู้ ป)ี ๗.๑ ดแู ลรกั ษาธรรมชาติ ๑. การมสี ว่ นรว่ มในการดแู ลรักษา ๑. สิ่งแวดล้อมในโรงเรียนและ และสิ่งแวดล้อม -มีส่วนร่วมในการดูแลรักษา ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สงิ่ แวดล้อมท้งั ภายในและภายนอก การดูแลรกั ษา ๗.๒ มมี ารยาทตาม ด้วยตนเอง วัฒนธรรมไทยและรักความ หอ้ งเรยี น ๒. สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ เป็นไทย -ทิง้ ขยะได้ถูกที่ ๒.การสนทนาข่าวและเหตุการณ์ที่ และการอนุรักษส์ ่ิงแวดลอ้ ม -ปฏิบัตติ นตามมารยาทไทย ได้ ตามกาลเทศะ เกย่ี วกบั ธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อมใน ๓. การรักษาสาธารณสมบัติใน -กล่าวคำขอบคุณและขอ ชีวติ ประจำวัน ห้องเรียน โทษดว้ ยตนเอง ๓. การเพาะปลกู และดแู ลต้นไม้ ๔. การอธิบายเชื่อมโยงสาเหตุและ ผลที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์หรือการ กระทำ ๕. การตดั สนิ ใจและมีสว่ นร่วมใน กระบวนการแกป้ ญั หา ๑. การคัดแยก การจัดกลุ่มและ ๑. ขยะและการคดั แยกขยะ จำแนกสิ่งต่างๆตามลักษณะและ ๒. การดแู ลรกั ษาสง่ิ แวดล้อม รูปร่าง รปู ทรง ๒. การใช้วัสดุและสิ่งของเครื่องใช้ อย่างค้มุ คา่ ๓. การทำงานศิลปะที่นำวัสดุหรือ สง่ิ ของเคร่อื งใชท้ ่ีใช้แลว้ มาใช้ซ้ำหรือ แปรรปู แลว้ นำกลับมาใชใ้ หม่ ๔. การสรา้ งสรรคช์ ้นิ งานโดยใช้ รปู รา่ งรปู ทรงจากวสั ดุที่หลากหลาย ๕. การปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของ ห้องเรยี น ๑. การปฏบิ ัตติ นตามวฒั นธรรมทอ้ ง ๑. การปฏิบัติตนตามมารยาท ถ่นิ ท่อี าศัยและประเพณไี ทย และวฒั นธรรมไทย ๒. การเลน่ บทบาทสมมตุ ิการปฏิบตั ิ - การแสดงความเคารพ ตนในความเป็นคนไทย -การพูดสุภาพ - การกล่าวคำขอบคุณและขอ โทษ ๑. การปฏบิ ตั ิตนตามวัฒนธรรมทอ้ ง ๑. การปฏิบัติตนตามมารยาท ถน่ิ ทีอ่ าศัยและประเพณไี ทย และวฒั นธรรมไทย - การพดู สภุ าพ

๖๐ ๒. การเล่นบทบาทสมมตุ ิการปฏบิ ตั ิ - การกล่าวคำขอบคุณและขอ ตนในความเปน็ ไทย โทษ ๓. การพูดสะท้อนความรู้สึกของ ตนเองและผู้อืน่ -ยืนตรงและร่วมร้องเพลง ๑. การปฏบิ ัติตนตามวัฒนธรรมทอ้ ง ๑. วันสำคัญของชาติ ศาสนา ชาติไทยและเพลงสรรเสริญ ถ่นิ ทีอ่ าศัยและประเพณีไทย พระมหากษตั รยิ ์ พระมารมี ๒. การเล่นบทบาทสมมตุ ิการปฏิบตั ิ ๒. สัญลักษณส์ ำคญั ของชาติไทย ตนในความเป็นไทย ๓. การแสดงความจงรักภัคดีต่อ ๓. การรว่ มกิจกรรมวนั สำคญั ชาติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์ มาตรฐานที่ ๘ อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมในระบอบ ประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษัตรยิ ์ทรงเป็นประมขุ ตวั บ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ สาระการเรียนร้รู ายปี ชนั้ อนบุ าลปีท่ี ๓ (๕-๖ปี) ประสบการณ์สำคัญ สาระทคี่ วรเรียนรู้ ๘.๑ ยอมรบั ความเหมือน -เล่นและทำกิจกรรมร่วมกับเด็กท่ี ๑.การเล่นและทำงานรว่ มกบั ๑. การเล่นและการทำ และความแตกต่าง แตกต่างไปจากตน ผู้อื่น กิจกรรมรว่ มกับผอู้ ื่น ระหว่างบคุ คล ๒. การเลน่ พื้นบา้ นของไทย ๒. การปฏบิ ัตติ าม ๓. การศกึ ษานอกสถานท่ี ๘.๒ มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับ -เล่นหรือทำงานร่วมกบั เพื่อนอย่าง ๔. การเล่นและทำกิจกรรม วฒั นธรรมท้องถิน่ และ ผู้อ่ืน มเี ปา้ หมาย รว่ มกับกลุ่มเพือ่ น ความเปน็ ไทย -ยิ้มหรือทักทายหรือพูดคุยกับ ๕. การทำศลิ ปะแบบรว่ มมือ ผ ู ้ ใ ห ญ ่ แ ล ะ บ ุ ค ค ล ท ี ่ ค ุ ้ น เ ค ย ไ ด้ ๖. การรว่ มสนทนาและ เหมาะสมกับสถานการณ์ แลกเปลยี่ นความคดิ เห็น ๗. การเล่นรายบคุ คล กลุ่มยอ่ ย และกลมุ่ ใหญ่ ๘.๓ ปฏิบัติตนเบื้องต้นใน -มีส่วนร่วมสร้างข้อตกลงและ ๑. การรว่ มกำหนดขอ้ ตกลงของ ๑. การปฏบิ ตั ติ ามกฎระเบยี บ การเป็นสมาชิกที่ดีของ ปฏบิ ตั ติ ามข้อตกลงดว้ ยตนเอง หอ้ งเรียน และข้อตกลง สังคม ๒.การปฏบิ ตั ติ นเป็นสมาชกิ ทด่ี ี - ผูน้ ำผตู้ าม ๒. การแสดงออกทางอารมณ์ -ปฏิบัติตนเป็นผู้นำและผู้ตามได้ ของหอ้ งเรียน และความร้สู ึกอยา่ งเหมาะสม ๓. การให้ความรว่ มมอื ในการ ๓. การแสดงมารยาทท่ดี ี เหมาะสมกับสถานการณ์ ปฏบิ ัตกิ ิจกรรมต่างๆ -ประนีประนอมแก้ไขปัญหาโดย ๔. การรว่ มกิจกรรมวนั สำคญั ปราศจากการใช้ความรุนแรงด้วย ๕. การมสี ว่ นร่วมในการเลอื ก ตนเอง วธิ กี ารแก้ปญั หา ๖. การมสี ่วนร่วมในการ แกป้ ญั หาความขดั แย้ง

๖๑ ๔. ด้านสตปิ ญั ญา มาตรฐานท่ี ๙ ใช้ภาษาส่ือสารไดเ้ หมาะสมกับวยั ตวั บ่งช้ี สภาพท่พี งึ ประสงค์ สาระการเรียนร้รู ายปี ช้ันอนุบาลปที ่ี ๓ (๕-๖ปี) ประสบการณส์ ำคญั สาระที่ควรเรียนรู้ ๙.๑ สนทนาโต้ตอบและเล่า -ฟังผู้อื่นพูดจนจบและสนทนา ๑ . ก า ร ฟ ั ง เ ส ี ย ง ต ่ า ง ๆ ใ น มารยาทในการฟงั เรื่องใหผ้ ้อู ื่นเขา้ ใจ โต้ตอบอย่างต่อเนื่องเชื่อมโยงกับ สง่ิ แวดล้อม - การรับฟงั เร่อื งท่ฟี งั ๒. การฟังและปฏิบัติตาม - การสนทนาเช่ือมโยงสิง่ ต่างๆ คำแนะนำ ๓. การฟังเพลง นิทาน คำคล้อง จอง บทร้อยกรอง หรือเรื่องราว ตา่ งๆ ๔. การเล่นเกมทางภาษา -เล่าเป็นเรื่องราวต่อเนอ่ื งได้ ๑ . ก า ร พ ู ด แ ส ด ง ค วา ม คิ ด ๑. การใช้ภาษาในการสื่อ ความรู้สึก และความตอ้ งการ ความหมายในชีวิตประจำวัน ๒. การพูดเก่ียวกับประสบการณ์ ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการใช้ ของตนเอง หรือพูดเรื่องราว หนังสอื และตัวหนังสือ เก่ยี วกบั ตนเอง ๓. การพดู อธบิ ายเกีย่ วกบั สงิ่ ของ เหตุการณ์ และความสัมพันธ์ ของสิง่ ตา่ งๆ ๔. การพูดอย่างสร้างสรรค์ใน การเลน่ และการกระทำต่างๆ ๕. การรอจังหวะที่เหมาะสมใน การพดู ๖. การพูดเรียงลำดับเพื่อใช้ใน การสือ่ สาร ๗. การเลน่ เกมทางภาษา ๙.๒ อ่าน เขียนภาพ และ -อ่านภาพ สญั ลักษณ์ คำ ด้วยการ ๑. การอา่ นหนังสอื ภาพ นิทาน ๑. การใชภ้ าษาในการส่อื สญั ลกั ษณ์ได้ ช้ี หรอื กวาดตามองจดุ เริ่มต้นและ หลากหลายประเภท/รูปแบบ ความหมายในชีวิตประจำวนั จุดจบของขอ้ ความ ๒. การอ่านอยา่ งอสิ ระตามลำพัง ความรพู้ นื้ ฐานเกีย่ วกบั การใช้ การอา่ นร่วมกัน การอ่านโดยมผี ู้ หนงั สือและตัวหนังสอื ชแี้ นะ - การอ่านภาพ สัญลักษณ์ ๓. การเห็นแบบอย่างของการ นทิ าน อ่านท่ถี ูกต้อง ๔. การสงั เกตทิศทางการอ่าน ตัวอกั ษร คำ และข้อความ

๖๒ ๕. การอ่านและชี้ข้อความ โดย กวาดสายตาตามบรรทัดจาก ซ้ายไปขวา จากบนลงลา่ ง ๖. การสงั เกตตัวอักษรในชื่อของ ตน หรือคำคนุ้ เคย ๗ . กา ร ส ั งเ กต ต ั วอั กษรท่ี ประกอบเป็นคำผ่านการอ่าน หรอื เขยี นของผูใ้ หญ่ ๘. การคาดเดาคำ วลี หรือ ประโยคที่มีโครงสร้างซ้ำๆกัน จากนิทาน เพลง คำคลอ้ งจอง ๙. การเลน่ เกมทางภาษา ๑๐. การเห็นแบบอย่างของการ เขียนทถ่ี กู ตอ้ ง -เขยี นชอ่ื ของตนเอง ตามแบบ ๑. การเขียนร่วมกันตามโอกาส ๑. การใช้ภาษาในการส่อื เขียนข้อความดว้ ยวิธีที่คดิ ขึ้นเอง และการเขยี นอสิ ระ ความหมายในชวี ติ ประจำวนั ๒. การเขียนคำที่มีความหมาย ความร้พู ้ืนฐานเกี่ยวกับการใช้ กับตวั เด็ก/คำคุ้นเคย หนังสือและตวั หนงั สอื ๓. การคิดสะกดคำและเขียน - การเขียนภาพ สัญลักษณ์ เพื่อสื่อความหมายด้วยตนเอง ตัวอักษร ช่ือ- สกลุ ของตนเอง อย่างอสิ ระ ๔. การเลน่ เกมทางภาษา มาตรฐานที่ ๑๐ มีความสามารถในการคดิ ทเี่ ปน็ พืน้ ฐานในการเรยี นรู้ ตวั บง่ ชี้ สภาพท่ีพึงประสงค์ สาระการเรียนรรู้ ายปี ชน้ั อนบุ าลปที ่ี ๓ (๕-๖ปี) ประสบการณส์ ำคญั สาระทคี่ วรเรยี นรู้ ๑๐.๑ มีความสามารถในการคิด -บอกลักษณะ ๑. การสงั เกตลกั ษณะ ส่วนประกอบ ๑. การคิด รวบยอด สว่ นประกอบ การ การเปลย่ี นแปลง และความสัมพันธ์ของ - ประสาทสมั ผัส เปล่ยี นแปลง หรือ สงิ่ ต่างๆโดยใช้ประสาทสมั ผสั อย่าง - การสงั เกต ความสมั พันธ์ของสิง่ ของ เหมาะสม ๒. การเปลี่ยนแปลงและ ตา่ งๆจากการสงั เกตโดย ๒. การสังเกตสงิ่ ตา่ งๆแลละสถานที่จาก ความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ใช้ประสาทสมั ผสั มมุ มองท่ีตา่ งกนั รอบตัว

๖๓ ๓. การเล่นกบั สอ่ื ต่างๆท่ีเปน็ ทรงกลม ทรงส่เี หล่ยี มมมุ ฉาก ทรงกระบอก ทรง กรวย ๔. การใช้ภาษาทางคณติ ศาสตร์กับ เหตุการณ์ในชีวติ ประจำวัน -จับคู่และเปรียบเทียบ ๑. การคัดแยก การจัดกลุ่ม และการ ๑. การคดิ ความแตกต่างหรือความ จำแนกสิ่งต่างๆตามลักษณะและรูปร่าง - การจับคู่ เหมือนของสิ่งต่างๆโดย รปู ทรง - การเปรียบเทียบลักษณะ ใช้ลักษณะที่สังเกตพบ ๒. การต่อของชิ้นเล็กเติมในชิ้นใหญ่ให้ ต่างๆ สองลกั ษณะขนึ้ ไป สมบรู ณ์ และการแยกช้ินส่วน ๓. การจับคู่ การเปรยี บเทียบและการ เรยี งลำดับสิ่งตา่ งๆตามลกั ษณะความ ยาว/ความสูง น้ำหนกั ปริมาตร ๔. การใชภ้ าษาทางคณติ ศาสตร์กบั เหตุการณใ์ นชวี ติ ประจำวนั -จำแนกและจัดกลุ่มส่ิง ๑. การคัดแยก การจัดกลุ่ม และการ ๑. การคดิ ต่างๆโดยใช้ตั้งแต่สอง จำแนกสิ่งต่างๆตามลักษณะและรูปร่าง - การจำแนกสิ่งของตั้งแต่ ลกั ษณะข้ึนไปเป็นเกณฑ์ รปู ทรง ๒ลักษณะ ๒. การทำซ้ำ การต่อเติม และการสร้าง - การจดั กลุ่ม แบบรูป ๓. การรวมและการแยกสิง่ ต่างๆ ๔. การใช้ภาษาทางคณิตศาสตร์กับ เหตุการณใ์ นชีวิตประจำวัน -เรียงลำดับสิ่งของหรือ ๑. การนบั และแสดงจำนวนของสงิ่ ตา่ งๆ ๑. การคดิ เหตุการณ์อย่างน้อย ๕ ในชีวติ ประจำวัน - การเรียงลำดับ อย่างน้อย ลำดบั ๒. การเปรยี บเทยี บและเรยี งลำดบั ๕ ลำดบั จำนวนของสิ่งตา่ ง ๆ - จำนวนและตวั เลข ๓. การบอกและแสดงอนั ดับท่ีของสง่ิ ตา่ ง ๆ ๔. การบอกและเรยี งลำดับกิจกรรมหรือ เหตุการณต์ ามช่วงหรอื เวลา ๕. การใชภ้ าษาทางคณติ ศาสตร์กับ เหตกุ ารณใ์ นชวี ติ ประจำวนั ๖. การบอกและแสดงตำแหน่ง ทิศทาง และระยะทางของสง่ิ ตา่ งดว้ ยการกระทำ ภาพวาด ภาพถ่าย และรูปภาพ ๑๐.๒ มีความสามารถในการคิด -อธิบายเช่ือมโยงสาเหตุ ๑. การชง่ั ตวง วัดส่ิงต่างๆโดยใช้ ๑. การแสดงความคิดเหน็ เชิงเหตผุ ล และผลทเ่ี กดิ ขน้ึ ใน เครอ่ื งมอื และหนว่ ยทีไ่ มใ่ ช่หนว่ ย - การช่งั มาตรฐาน - การตวง

๖๔ เหตุการณห์ รือการ ๒. การอธิบายเชื่อมโยง สาเหตุและผลที่ - การวัด กระทำด้วยตนเอง เกิดขน้ึ ในเหตกุ ารณห์ รือการกระทำ ๒. การเชื่อมโยงสิ่งต่างๆใน ชวี ิตประจำวนั -คาดคะเนสิ่งที่อาจจะ ๑. การคาดเดาหรือการคาดคะเนสิ่งท่ี -การหาความสัมพันธ์อย่าง เกิดขึ้น และมีส่วนร่วม อาจจะเกิดขน้ึ อยา่ งมีเหตุผล มีเหตผุ ล ในการลงความเห็นจาก ๒. การมีส่วนรว่ มในการลงความเหน็ จาก ข้อมูลอยา่ งมีเหตุผล ขอ้ มูลอย่างมีเหตผุ ล ๑๐.๓ มีความสามารถในการคิด -ตัดสินใจในเรื่องง่ายๆ ๑. การตดั สินใจและมีสว่ นรว่ มใน ๑. การตัดสินใจสิ่งต่างๆ แกป้ ญั หาและตัดสนิ ใจ และยอมรับผลทเี่ กดิ ขน้ึ กระบวนการแกป้ ญั หา ด้วยตนเอง ๒. การอธบิ ายเชื่อมโยง สาเหตุและผลที่ เกิดขึน้ ในเหตกุ ารณห์ รือการกระทำ -ระบุปญั หาสรา้ ง ๑. การตดั สนิ ใจและมีส่วนรว่ มใน ๑. การแก้ปัญหาด้วย ทางเลือกและเลอื กวธิ ี กระบวนการแก้ปญั หา ตนเองอยา่ งมน่ั ใจ แก้ปญั หา ๒. การคาดเดาหรือการคาดคะเนสิ่งท่ี อาจจะเกิดข้นึ อย่างมเี หตผุ ล ๓. การมสี ว่ นรว่ มในการลงความเหน็ จากข้อมูลอย่างมีเหตผุ ล มาตรฐานที่ ๑๑ มจี ินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ตัวบ่งช้ี สภาพท่พี ึงประสงค์ สาระการเรียนรรู้ ายปี ๑๑.๑ เลน่ /ทำงานศิลปะ ช้นั อนบุ าลปที ่ี ๓ (๕-๖ป)ี ประสบการณส์ ำคญั สาระทค่ี วรเรียนรู้ ตามจนิ ตนาการและ ความคดิ สร้างสรรค์ -สร้างผลงานศิลปะเพื่อสื่อสาร ๑. การแสดงความคดิ ๑.การทำงานศลิ ปะทแ่ี ปลก ความคิด ความรู้สึกของตนเองโดย สรา้ งสรรคผ์ า่ นภาษา ท่าทาง ใหม่ มีการดัดแปลงและแปลกใหม่จาก การเคลือ่ นไหว และศลิ ปะ ๒. วิธีการใช้เคร่อื งมือ เดิมและมีรายละเอยี ดเพิม่ ขนึ้ ๒. การเขียนภาพและการเล่น เคร่ืองใชใ้ นการทำงานศลิ ปะ กับสี อยา่ งถกู วธิ ีและปลอดภัย เช่น ๓. การปัน้ กรรไกร ๔. การประดิษฐ์สิ่งต่างๆด้วย เศษวัสดุ ๕. การทำงานศิลปะที่นำวัสดุ หรือสิ่งของเครื่องใช้ที่ใช้แล้ว มาใช้ซ้ำหรือแปรรูปแล้วนำ กลับมาใชใ้ หม่

๖๕ ๖. การหยบิ จบั การใช้กรรไกร การฉีก การตัด การปะและ การรอ้ ยวัสดุ ๗.การแสดงความคิด สร้างสรรคผ์ า่ นภาษา ท่าทาง การเคลอื่ นไหว และศลิ ปะ ๘. การทำงานศลิ ปะ ๙. การสร้างสรรค์ชิ้นงานโดย ใช้รูปร่าง รูปทรง จากวัสดุที่ หลากหลาย ๑๐. การรับรู้และแสดง ความคิด ความรสู้ กึ ผ่านส่อื วสั ดุ ของเล่น และชิ้นงาน ๑๑.๒ แสดงท่าทาง/ -เคลื่อนไหวท่าทางเพื่อสื่อสาร ๑. การเคลอื่ นไหวอยกู่ ับที่ ๑. การเคลื่อนไหวร่างกายใน เคลอื่ นไหวตาม จินตนาการอย่าง ความคิด ความรูส้ ึกของตนเอง ๒. การเคล่อื นไหวเคลอื่ นที่ ทศิ ทางระดับและพื้นท่ตี ่างๆ สร้างสรรค์ อย่างหลากหลายและแปลกใหม่ ๓. การเคลื่อนไหวพร้อม ๒. การแสดงท่าทางต่างๆตาม วสั ดุอปุ กรณ์ ความคดิ ของตนเอง ๔. การแสดงความคิด สรา้ งสรรค์ผา่ นภาษา ท่าทาง การเคล่ือนไหว และศิลปะ ๕. การเคลื่อนไหวโดย ควบคุมตนเองไปในทิศทาง ระดับและพ้ืนท่ี ๖. การเคล่อื นไหวตาม เสียงเพลง/ดนตรี ๗. การฟังเพลง การร้อง เพลงและการแสดง ปฏิกิริยาโต้ตอบ เสียงดนตรี

๖๖ มาตรฐานท่ี ๑๒ มเี จตคติทด่ี ีตอ่ การเรียนรู้ และมีความสามารถในการแสวงหาความรูไ้ ด้เหมาะสมกบั วยั ตัวบ่งช้ี สภาพที่พึงประสงค์ สาระการเรียนรู้รายปี ชัน้ อนบุ าลปที ่ี ๓ (๕-๖ป)ี ประสบการณ์สำคญั สาระทีค่ วรเรยี นรู้ ๑๒.๑ มีเจตคติที่ดีต่อการ -หยบิ หนงั สอื มาอ่านและเขยี นส่ือ ๑. การสำรวจสิ่งต่างๆ และ ๑. ความรพู้ น้ื ฐานเก่ยี วกับการ เรยี นรู้ ความคิดด้วยตนเองเป็นประจำ แหลง่ เรียนรรู้ อบตวั ใชห้ นังสอื และตวั หนงั สอื อย่าง อย่างต่อเน่ือง ๒. การตั้งคำถามในเรื่องที่ อิสระ สนใจ -กระตอื รือร้นในการร่วมกิจกรรม ๑. การให้ความร่วมมือในการ ๑. การแสดงออกทางอารมณ์ ต้ังแต่ต้นจนจบ ปฏบิ ัติกิจกรรมตา่ งๆ และความรสู้ กึ อย่างเหมาะสม ๒. การตั้งคำถามในเรื่องที่ ๒. ความสนใจในการทำ สนใจ กิจกรรม ๓. การมีส่วนร่วมในการ รวบรวมข้อมูลและนำเสนอ ข้อมูลจากการสืบเสาะหา ความรู้ในรูปแบบต่างๆและ แผนภูมอิ ยา่ งง่าย ๑๒.๒ มคี วามสามารถในการ -ค้นหาคำตอบของข้อสงสยั ต่างๆ ๑. การสำรวจสิ่งต่างๆ และ - การเรียนรู้ที่จะเล่นและทำ แสวงหาความรู้ ตามวิธีการที่หลากหลายด้วย แหลง่ เรียนรู้รอบตัว สิ่งต่างๆอย่างหลากหลายด้วย ตนเอง ๒. การตั้งคำถามในเรื่องท่ี ตนเอง สนใจ ๓. การสืบเสาะหาความรู้เพ่ือ ค้นหาคำตอบของข้อสงสัย ต่างๆ ๔. การมีส่วนร่วมในการ รวบรวมข้อมูลและนำเสนอ ข้อมูลจากการสืบเสาะหา ความรู้ในรูปแบบต่างๆและ แผนภมู ิอยา่ งง่าย -ใช้ประโยคคำถามว่า “เมื่อไร” ๑. การตั้งคำถามในเรื่องท่ี - การสนใจซกั ถามคำถามเพือ่ อย่างไร” ในการคน้ หาคำตอบ สนใจ ค้นหาคำตอบดว้ ยตนเอง ๒. การสืบเสาะหาความรู้เพอื่ ค้นหาคำตอบของข้อสงสัย ต่างๆ

๘. การจัดประสบการณ์ การจดั ประสบการณส์ ําหรบั เด็กวยั ๓-๖ ปี จะจดั ในรูปแบบของกิจกรรมบูรณาการผ่านการเล่น ด้วยการ ปฏิบัติจริงโดยใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า เพื่อให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรง เกิดความรู้ ทักษะ และเจตคติ ในการเรยี นรู้ ได้พัฒนาทัง้ ด้านร่างกาย อารมณ์ จติ ใจ สงั คม และสติปัญญา ดังนั้นการจัด กิจกรรมจะต้อง ครอบคลุมประสบการณ์สําคัญและสาระที่ควรเรียนรู้ที่กําหนดในหลักสูตรการศึกษา ปฐมวัย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ (ปรับปรงุ พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๓) การจัดประสบการณ์ควรยึดหยุ่นให้มีสาระที่ควรเรียนรู้ที่เด็กสนใจและการกําหนดกิจกรรมให้ เด็ก ในแต่ละวันไม่จัดเป็นรายวิชา และอาจใช้ชื่อเรียกกิจกรรมแตกต่างกนั ไปในแต่ละหน่วยงาน การ นําแนวคิดการ จัดการศึกษาปฐมวัยต่างๆมาประยุกต์ใช้ในการจัดประสบการณ์ ผู้สอนต้องทําความ เข้าใจแนวคิดการจดั การศึกษาปฐมวัยนั้นๆ ซึ่งแต่ละแนวคิดการจัดการศึกษาปฐมวัยจะมจี ุดเด่นของ ตนเอง แต่โดยภาพรวมแล้ว แนวคิดการจัดการศึกษาปฐมวัยส่วนใหญ่ยึดเด็กเป็นสําคัญ การลงมือ ปฏิบัติจริงด้วยตัวเด็กจึงเป็นหัวใจสําคัญ ของการพัฒนาเด็กโดยองค์รวม นอกจากนี้ผู้สอนต้องศึกษา และทําความเข้าใจในหลักการจัดประสบการณ์ แนวการจัดประสบการณ์ และการจัดกิจกรรม ประจาํ วนั เพ่ือนําหลักสูตรสถานศกึ ษาลงสู่การปฏบิ ัติ ดังนี้ ๘.๑ หลักการจัดประสบการณ์ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยโรงเรียนวัดทุ่งหล่อ พุทธศักราช ๒๕๖๐ (ปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๖๓) ไดก้ าํ หนดหลักการจดั ประสบการณ์ไว้ ดังนี้ ๘.๑.๑ จดั ประสบการณ์การเลน่ และการเรยี นรู้อยา่ งหลากหลาย เพอ่ื พฒั นาเด็กโดยองค์รวม อยา่ งสมดลุ และต่อเน่ือง ๘.๑.๒ เน้นเด็กเป็นสําคัญ สนองความต้องการ ความสนใจ ความแตกต่างระหว่างบุคคล และ บริบทของสงั คมท่ีเด็กอาศยั อยู่ ๘.๑.๓ จัดให้เด็กได้รับการพัฒนา โดยให้ความสําคัญทั้งด้านกระบวนการเรียนรู้และ พัฒนาการของเดก็ ๘.๑.๔ จัดการประเมินพัฒนาการให้เป็นกระบวนการอย่างต่อเนื่อง และเป็นส่วนหนึ่งของ การจดั ประสบการณ์ พร้อมทัง้ นาํ ผลการประเมินมาพัฒนาเดก็ อยา่ งตอ่ เนื่อง ๘.๑.๕ ให้พ่อแม่ ครอบครวั ชมุ ชน และทกุ ฝ่ายท่เี ก่ียวข้อง มีสว่ นร่วมในการพัฒนาเดก็ ๘.๒ แนวทางการจดั ประสบการณ์ การจดั ประสบการณ์สาํ หรบั เดก็ ปฐมวยั ควรดําเนนิ การตามแนวทางดังต่อไปน้ี ๘.๒.๑ จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการและการทํางานของสมอง ที่ เหมาะสมกับ อายุ วุฒภิ าวะ และระดับพัฒนาการ เพอ่ื ใหเ้ ด็กทุกคนไดพ้ ฒั นาเต็มตามศักยภาพ ๘.๒.๒ จัดประสบการณ์ใหส้ อดคล้องกับแบบการเรียนรู้ของเด็ก เด็กได้ลงมือกระทํา เรียนรู้

๗๑ ผ่าน ประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้เคลื่อนไหว สํารวจ เล่น สังเกต สืบค้น ทดลอง และคิดแก้ปัญหาด้วย ตนเอง ๘.๒.๓ จัดประสบการณ์แบบบูรณาการ โดยบูรณาการทั้งกิจกรรม ทักษะ และสาระการ เรียนรู้ ๘.๒.๔ จัดประสบการณ์ให้เด็กได้คิดริเริ่ม วางแผน ตัดสินใจ ลงมือกระทําและนําเสนอ ความคิด โดยผู้สอน หรือผู้จัดประสบการณ์เป็นผู้สนับสนุน อํานวยความสะดวก และเรียนรู้ร่วมกับ เด็ก ๘.๒.๕ จดั ประสบการณใ์ หเ้ ด็กมีปฏิสมั พันธ์กับเด็กอ่นื กับผใู้ หญ่ ภายใต้สภาพแวดล้อมทเ่ี อ้ือ ต่อ การเรียนรู้ในบรรยากาศที่อบอุ่น มีความสุข และเรียนรู้การทํากิจกรรมแบบร่วมมือในลักษณะ ต่างๆ ๘.๒.๖ จดั ประสบการณ์ใหเ้ ด็กมปี ฏสิ มั พันธ์กบั สื่อ และแหลง่ การเรียนรูท้ ีห่ ลากหลายและอยู่ ในวิถีชีวติ ของเดก็ สอดคลอ้ งกบั บรบิ ท สังคม และวัฒนธรรมท่ีแวดลอ้ มเด็ก ๘.๒.๗ จัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมลักษณะนิสัยที่ดีและทักษะการใช้ชีวิตประจําวัน ตาม แนวทาง หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตลอดจนสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม และการมีวินัย ให้เปน็ สว่ นหนง่ึ ของ การจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้อย่างต่อเนื่อง ๘.๒.๘ จัดประสบการณ์ทง้ั ในลักษณะท่มี ีการวางแผนไว้ลว่ งหนา้ และแผนที่เกิดข้ึนในสภาพ จรงิ โดยไม่ได้คาดการณไ์ ว้ ๘.๒.๙ จัดทําสารนิทัศน์ด้วยการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก เปน็ รายบุคคล นํามาไตรต่ รองเพ่ือใช้ประโยชนใ์ นการพฒั นาเด็กและการวิจยั ในช้นั เรยี น ๘.๒.๑๐ จัดประสบการณ์โดยให้พ่อแม่ ครอบครัว และชุมชนมีส่วนร่วม ทั้งการวางแผน การสนับสนนุ ส่อื แหลง่ เรียนรู้ การเข้ารว่ มกจิ กรรม และการประเมินพฒั นาการ ๘.๓. การจัดกจิ กรรมประจาํ วัน การจัดประสบการณ์ในกิจกรรมประจําวันสําหรับเด็กอายุ ๓-๖ ปี สามารถนํามาจัดได้หลาย รูปแบบ ขึน้ อยกู่ บั ความเหมาะสมในการนาํ ไปใช้ของแตล่ ะหน่วยงาน ซ่งึ เป็นการช่วยใหผ้ ้สู อนทราบว่า ในแต่ละวนั จะทาํ กจิ กรรมอะไร เมื่อใด และอย่างไร และทสี่ ําคัญผู้สอนต้องคาํ นงึ ถึงการจดั กิจกรรมให้ ครอบคลุมพฒั นาการ ทุกด้าน การจัดกิจกรรมประจาํ วันมีหลกั การจัดและขอบขา่ ยของกิจกรรม ดังน้ี ๘.๓.๑ หลกั การจัดกจิ กรรมประจาํ วนั การจัดกิจกรรมประจําวันจะต้องคํานึงถึง อายุ และความสนใจของเด็กในแต่ละช่วงวัย ดงั นี้ ๘.๓.๑.๑. การกําหนดระยะเวลาในการจัดกิจกรรมแต่ละกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัย ของเดก็ ใน แต่ละวัน แตย่ ดื หยุ่นได้ตามความตอ้ งการและความสนใจของเด็ก เชน่ เด็กวยั ๓-๔ ปี มคี วามสนใจประมาณ ๘-๑๒ นาที เดก็ วยั ๔-๕ ปี มีความสนใจประมาณ ๑๒-๑๕ นาที

๗๒ เด็กวยั ๕-๖ ปี มีความสนใจประมาณ ๑๕-๒๐ นาที ๘.๓.๑.๒. กิจกรรมที่ต้องใช้ความคิดทั้งในกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ ไม่ควรใช้เวลาต่อเนื่อง นานเกินกว่า ๒๐ นาที ๘.๓.๑.๓. กิจกรรมที่เด็กมีอิสระเลือกเล่นอย่างเสรี เพื่อช่วยให้เด็กเรียนรู้การเลือก การ ตดั สนิ ใจ การคิดแกป้ ัญหา และความคิดสร้างสรรค์ ใช้เวลาประมาณ ๔๐-๖๐ นาที เช่น กิจกรรมการ เล่นตามมมุ กิจกรรม การเลน่ กลางแจง้ กจิ กรรมศลิ ปะสรา้ งสรรค์ ๘.๓.๑.๔. กิจกรรมควรมีความสมดุลระหว่างกิจกรรมในห้องและนอกห้อง กิจกรรมที่ใช้ กล้ามเนื้อใหญ่ และกล้ามเนื้อเล็ก กิจกรรมที่เป็นรายบุคคล กลุ่มย่อย และกลุ่มใหญ่ กิจกรรมที่เด็ก เป็นผู้ริเริ่มและผู้สอนเป็น ผู้ริเริ่ม กิจกรรมที่ใช้กําลังและไม่ใช้กําลัง จัดให้ครบทุกประเภท ทั้งน้ี กิจกรรมที่ต้องออกกําลังกายควรจัดสลับกับ กิจกรรมที่ไม่ต้องออกกําลังมากนัก เพื่อเด็กจะได้ไม่ เหน่ือยเกนิ ไป ๘.๓.๒ ขอบข่ายของกจิ กรรรมประจาํ วัน การเลือกกิจกรรมที่จะนํามาจัดในแต่ละวัน สามารถจัดได้หลายรูปแบบ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ ความ เหมาะสมในการนําไปใช้ของแต่ละหน่วยงานและสภาพชุมชน ที่สําคัญผู้สอนต้องคํานึงถึงการ จดั กิจกรรมให้ ครอบคลุมพฒั นาการทกุ ดา้ นดังต่อไปนี้ ๘.๓.๒.๑ การพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ เป็นการพัฒนาความแข็งแรง การทรงตัว การ ยืดหยุ่น ความคล่องแคล่วในการใช้อวัยวะต่างๆ การประสานสัมพันธ์ และจังหวะการเคลื่อนไหวใน การใช้กล้ามเนื้อใหญ่ โดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้เล่นอิสระกลางแจ้ง เล่นเครื่องเล่นสนาม เล่นปีนป่าย อย่างอิสระ และเคลื่อนไหว ร่างกายตามจงั หวะดนตรี ๘.๓.๒.๒ การพฒั นากลา้ มเนือ้ เล็ก เป็นการพัฒนาความแขง็ แรงของกล้ามเนื้อมือ นว้ิ มือ และ การประสานสมั พันธร์ ะหวา่ งมอื กบั ตาได้อยา่ งคล่องแคล่ว โดยจดั กิจกรรมใหเ้ ดก็ ไดเ้ ลน่ เคร่ือง เล่นสัมผัส ฝึกชว่ ยเหลอื ตนเองในการแตง่ กาย การหยบิ จบั สิง่ ของ และอุปกรณ์ตา่ งๆ เชน่ ช้อนส้อม สี เทยี น กรรไกร พู่กัน ดินเหนียว ๘.๓.๒.๓ การพัฒนาอารมณ์ จิตใจ และปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม เป็นการ ปลูกฝังให้เด็กมี ความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น มีความเชื่อมั่น กล้าแสดงออก มีวินัย รับผิดชอบ ซื่อสัตย์ ประหยัด เมตตา กรุณา เอื้อเฟื้อ แบ่งปัน มีมารยาท และปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทยและ ศาสนาที่นับถือ โดยจัดกิจกรรมต่างๆ ผ่านการเล่นให้เด็กได้มีโอกาสตัดสินใจเลือก ได้รับการ ตอบสนองตามความต้องการ ได้ฝึกปฏบิ ตั โิ ดยสอดแทรก คุณธรรม จรยิ ธรรมอยา่ งต่อเน่ือง ๘.๓.๒.๔ การพัฒนาสังคมนิสัย เป็นการพัฒนาให้เด็กมีลักษณะนิสัยที่ดี แสดงออก อย่าง เหมาะสมและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ช่วยเหลือตนเองในการทํากิจวัตรประจําวนั มี นิสยั รักการทํางาน รักษาความปลอดภัยของตนเองและผู้อ่ืน รวมทงั้ ระมัดระวังอันตรายจากคนแปลก หน้า ให้เด็กได้ปฏิบัติ กิจวัตรประจําวันอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหาร พักผ่อนนอนหลับ ขับถ่าย ทําความสะอาดร่างกาย เล่นและทํางานร่วมกับผู้อื่น ปฏิบัติตามกฎกติกา ข้อตกลงของส่วนรวม เก็บ

๗๓ ของเข้าทเ่ี มอื่ เล่นหรือทํางานเสร็จ ๘.๓.๒.๕ การพัฒนาการคดิ เป็นการพัฒนาให้เด็กมีความสามารถในการคิดแก้ปัญหา การคิดรวบยอดและการคิดเชิงเหตุผลทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ โดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้ สังเกต จําแนก เปรียบเทียบ สืบเสาะหาความรู้ สนทนา อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เชิญ วิทยากรมาพูดคุยกับเด็กศึกษานอกสถานที่ เล่นเกมการศึกษา ฝึกแก้ปัญหาในชีวิตประจําวัน ฝึก ออกแบบและสร้างช้นิ งาน และ ทาํ กิจกรรมเป็นรายบคุ คล กลมุ่ ยอ่ ย และกล่มุ ใหญ่ ๘.๓.๒.๖ การพัฒนาภาษา เป็นการพัฒนาให้เด็กใช้ภาษาในการสื่อสารถ่ายทอด ความรู้สึก ความคิด ความเข้าใจในสิ่งต่างๆ ที่เด็กมีประสบการณ์ โดยสามารถตั้งคําถามในสิ่งที่สงสยั ใคร่รู้ จัดกิจกรรม ทางภาษาให้มีความหลากหลายในสภาพแวดล้อมที่เอือ้ ต่อการเรียนรู้ มุ่งปลูกฝังให้ เด็กไดก้ ล้าแสดงออกใน การฟัง การพดู การอา่ น การเขียน มีนิสัยรกั การอา่ น และบุคคลแวดลอ้ มต้อง เป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้ภาษา ทั้งนี้ต้องคํานึงถึงหลักการจัดกิจกรรมทางภาษาที่เหมาะสมกับเด็ก เปน็ สาํ คัญ ๘.๓.๒.๗ การส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เป็นการส่งเสรมิ ให้เด็กมี ความคิดริเริ่มสรา้ งสรรค์ ไดถ้ า่ ยทอดอารมณ์และความรสู้ ึกและเหน็ ความสวยงามของส่ิงตา่ งๆ โดยจัด กิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์ การเคลื่อนไหวและจังหวะตามจินตนาการ ประดิษฐ์สิ่งต่าง ๆ อย่างอิสระ เลน่ บทบาทสมมติ เล่นนำ้ เลน่ ทราย เล่นบล็อก และเลน่ กอ่ สร้าง

๗๔ ๘.๓.๓ รูปแบบการจัดกจิ กรรมประจาํ วัน การจัดตารางกิจกรรมประจําวันสามารถจดั ได้หลายรูปแบบ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ในการนําไปใช้ของแต่ละหน่วยงาน ทีส่ ําคัญผู้สอนต้องคาํ นงึ ถงึ การจดั กจิ กรรมให้ครอบคลมุ พฒั นาการ ทุกดา้ น จงึ ขอเสนอแนะสัดส่วนเวลาในการพัฒนาเดก็ แตล่ ะวนั ดังนี้ อายุ ๓-๔ ปี อายุ ๔-๕ ปี อายุ ๕-๖ ปี การพัฒนา ชวั่ โมง : วนั ช่ัวโมง : วัน ชัว่ โมง : วนั (ประมาณ) (ประมาณ) (ประมาณ) ๑. การพัฒนาทกั ษะพื้นฐานในชวี ิตประจาํ วัน (รวมทั้งการช่วยตนเองในการแต่งกาย การ ๓ ๒ ๑/๒ ๒ ๑/๔ รบั ประทานอาหาร สุขอนามยั และการนอนพกั ผอ่ น) ๒. การเลน่ ตามมุมประสบการณ์/มมุ เลน่ ๑๑๑ ๓. การคดิ และความคดิ ริเร่ิมสรา้ งสรรค์ ๑๑๑ ๔. กิจกรรมด้านสงั คม การทํางานร่วมกบั ผู้อ่นื ) ๑/๒ ๓/๔ ๑ ๕.กิจกรรมพฒั นากลา้ มเนือ้ ใหญ่ ๓/๔ ๓/๔ ๓/๔ ๖.กิจกรรมที่มกี ารวางแผนโดยผสู้ อน ๓/๔ ๑ ๑ เวลาโดยประมาณ ๗ ๗ ๗ จากตารางกจิ กรรมประจาํ วนั ผ้สู อนต้องจัดกจิ กรรมโดยคํานงึ ถึงประเดน็ ดังต่อไปนี้ ๑. การจัดสัดส่วนของเวลาในแต่ละวันที่เสนอไว้สามารถปรับและยืดหยุ่นได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ ผู้สอนและ สภาพการณ์ โดยยึดหลักการจดั กิจกรรมประจาํ วนั ๒. การจัดกิจกรรมประจําวันควรจัดเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานในชีวิตประจําวันของเด็ก โดย ผู้สอนต้องให้ ความสําคัญในการส่งเสริมให้เด็กได้ใช้กล้ามเนื้อเล็กในการหยิบ จับ วัสดุต่างๆเพ่ือ ช่วยเหลือตนเองในการปฏิบัติ กิจวัตรประจําวันและถือเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย เชน่ เด็กอายุ ๓ ปีตอ้ งใหเ้ วลาในการทํา กิจวัตรประจาํ วันมากและเมือ่ เดก็ อายุมากขน้ึ เวลาท่ีทาํ กิจวัตร ประจําวันจะน้อยลงตามลาํ ดบั เนื่องจากเด็ก ช่วยเหลือตนเองได้มากขึน้ ๓. การจัดกิจกรรมพัฒนากลา้ มเน้ือใหญ่ เป็นกิจกรรมทีช่ ่วยให้เด็กมีร่างกายแข็งแรง มีการทรง ตัวที่ดี มีการยืดหยุ่นและความคล่องแคล่วในการใช้อวัยวะต่าง ๆ ตามจังหวะการเคลื่อนไหวและการ ประสานสมั พนั ธก์ ัน ๔. การจัดกิจกรรมการเล่นอิสระ เป็นสิ่งสําคัญและจําเป็นสําหรับเด็กปฐมวัย ช่วยให้เด็กเลือก ตัดสินใจ คิดแก้ปัญหา คิดสร้างสรรค์ในแต่ละวัน เด็กทุกวัยควรมีโอกาสเล่นอิสระกลางแจง้ อยา่ งน้อย ๑ ช่วั โมง : วนั ๕. การคิดและความคิดสร้างสรรค์ ทําให้เด็กเกิดความคิดรวยยอด การคิดเชิงเหตุผล มี ความสามารถ ในการแกป้ ญั หาและตดั สนิ ใจ มีจินตนาการและความคดิ สรา้ งสรรค์

๗๕ ๖. กิจกรรมพัฒนาทักษะทางสังคม เป็นกิจกรรมที่เด็กได้พัฒนาลักษณะนิสัยที่ดี แสดงออก อย่างเหมาะสม มีปฏิสัมพันธ์และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข เด็กที่อายุน้อยยังยึดตัวเองเป็ น ศนู ย์กลาง ดงั นนั้ การใหเ้ วลา ในชว่ งวัย ๓ ขวบจงึ ให้เวลานอ้ ยในการทาํ กจิ กรรมกลุ่ม เน่ืองจากเด็กยัง ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง และจะเพิ่มเวลาเมื่อเด็กอายุมากขึ้น เพราะเด็กต้องการเวลาในการเล่นและ ทาํ กิจกรรมร่วมกับคนอน่ื มากขึ้น ๗. กิจกรรมที่มีการวางแผนโดยครูผู้สอน ให้คิดรวบยอดโดยครูผู้สอน จะช่วยให้เด็กเกิดทักษะ หรือ ความคิดรวบยอดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามสาระการเรียนรู้ที่กําหนดไว้ในหลักสูตร เช่นผู้สอน ต้องการให้เกิด ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับน้ำ ผู้สอนต้องวางแผนกิจกรรมล่วงหน้า เวลาที่ใช้ในแต่ละ วันที่กําหนดไว้ ๓/๔ ชั่วโมง (๔๕ นาที) ทั้งนี้มิได้หมายความว่าให้ผู้สอนสอนต่อเนื่อง ๔๕ นาทีใน ๑ กิจกรรม ผู้สอนต้องพิจารณาว่า เด็กมีช่วงความสนใจสั้นตามพัฒนาการ จําเป็นต้องจัดแบ่งเวลาเป็น หลายช่วงและในหลากหลายกิจกรรม กิจกรรมทตี่ ้องใช้ความคดิ ทั้งในกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ ไม่ควรใช้ เวลาต่อเน่อื งนานกว่า ๒๐ นาที ๘.๓.๔ แนวทางการจดั กจิ กรรมประจาํ วัน การจัดกิจกรรมประจําวัน ครูสามารถนําไปปรับใช้ได้ หรือนํานวัตกรรมต่างๆมาปรับใช้ใน การจัด กิจกรรมประจําวันให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของสถานศึกษา โดยมีแนวทางในการจัด กิจกรรม และ การใชส้ ่ือ ดงั น้ี ๑. กจิ กรรมเคลื่อนไหวและจงั หวะ การเคลื่อนไหวและจังหวะ เป็นกิจกรรมที่จดั ให้เดก็ ได้เคลือ่ นไหวสว่ นตา่ งๆ ของร่างกาย อย่าง อิสระตามจังหวะ โดยใช้เสียงเพลง คําคล้องจอง เครื่องเคาะจังหวะ และอุปกรณ์อื่นๆ มา ประกอบการ เคลื่อนไหว ซึ่งจังหวะและเครื่องดนตรีประกอบ ได้แก่ การปรบมือ การร้องเพลง การ เคาะไม้ กรุ้งกริ่ง รํามะนา กลอง กรับ เพื่อส่งเสริมให้เด็กพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็ก อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา เกิดจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ สอดคล้องกับจุดประสงค์ ดังน้ี จุดประสงค์ ๑. เพ่อื พฒั นาอวัยวะทกุ สว่ นใหม้ คี วามสมั พันธก์ ันอยา่ งดใี นการเคลื่อนไหว ๒. เพอ่ื ฝึกทักษะภาษา ฝึกฟงั คําสงั่ และขอ้ ตกลง ๓. เพ่อื ฝกึ ใหเ้ กดิ ทกั ษะในการฟังดนตรี หรอื จงั หวะตา่ ง ๆ ๔. เพอ่ื ใหเ้ กิดความซาบซง้ึ และสนุ ทรียภาพ ๕. เพอ่ื ฝึกความจาํ และเสรมิ สร้างประสบการณ์ ๖. เพ่ือฝึกการเป็นผ้นู ําและผตู้ ามทดี่ ี ๗. เพือ่ พัฒนาดา้ นสังคม การปรบั ตวั และความรว่ มมอื ในกลมุ่ ๘. เพื่อให้โอกาสเด็กได้แสดงออก มีความเชื่อมั่นในตนเอง และความคิดริเริ่ม สรา้ งสรรค์

๗๖ ๙. เพอ่ื ให้เกดิ ความสนกุ สนาน ผ่อนคลายความตงึ เครยี ดทงั้ ร่างกายและจติ ใจ ขอบขา่ ยของการจดั กิจกรรมเคล่อื นไหวและจังหวะ ๑. การเคล่ือนไหวร่างกาย ๒. การฟงั สัญญาณและการปฏบิ ัติตามขอ้ ตกลง ๓. การฝกึ การเป็นผ้นู ําและผตู้ ามทีด่ ี ๔. การฝึกจินตนาการและความคดิ สรา้ งสรรค์ ๕. ความมีระเบยี บวนิ ยั ๖. การเรยี นรู้จงั หวะ ๗. ความเพลดิ เพลนิ สนกุ สนาน ๘. การฝกึ ความจาํ ๙. การแสดงออก ๑๐. เนอ้ื หาของหนว่ ยการสอน รูปแบบการเคล่อื นไหว ๑. การเคลือ่ นไหวพ้ืนฐาน เปน็ กิจกรรมที่ตอ้ งฝึกทกุ ครง้ั ก่อนทจ่ี ะเรม่ิ ฝึกกจิ กรรมอ่นื ๆต่อไป ลักษณะการจัดกิจกรรมมีจุดเน้นในเรื่องจังหวะและการเคลื่อนไหวหรือท่าทางอย่างอิสระ การ เคลอ่ื นไหวตาม ธรรมชาติของเดก็ มี ๒ ประเภท ไดแ้ ก่ ๑.๑ การเคลื่อนไหวอยู่กับท่ี เช่น ปรบมือ ผงกศีรษะ ขยิบตา ชันเข่า ขยับมือและแขน มือและ น้วิ มอื เท้าและปลายเทา้ ๑.๒ การเคลื่อนไหวเคลื่อนที่ เช่น คลาน คืบ เดิน วิ่ง กระโดด ควบม้า ก้าวกระโดด เขยง่ กา้ วชดิ ๒. การเคลื่อนไหวที่สัมพันธ์กับเนื้อหา เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกายโดย เน้น การทบทวนเรือ่ งทีไ่ ด้รับรู้จากกิจกรรมอื่นและนํามาสัมพันธ์กับสาระการเรียนรู้ หรือเรื่องอืน่ ๆ ที่ เดก็ สนใจ ได้แก่ ๒.๑ การเคลือ่ นไหวเลียนแบบ เป็นการเคลื่อนไหวเลียนแบบส่ิงต่างๆ รอบตัว เช่น การ เลียนแบบ ท่าทางสัตว์ การเลียนแบบท่าทางคน การเลียนแบบเครื่องยนต์กลไกและเครื่องเล่น และ การเลียนแบบ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ๒.๒ การเคลือ่ นไหวตามบทเพลง เปน็ การเคลื่อนไหวหรือทาํ ทา่ ทางประกอบเพลง เช่น เพลงไก่ เพลงขา้ มถนน เพลงสวสั ดี ๒.๓ การทําทา่ ทางกายบรหิ ารประกอบเพลงหรือคาํ คลอ้ งจอง เป็นการเคล่ือนไหวแบบ กายบริหาร อาจจะมีท่าทางไม่สัมพันธ์กับเนื้อหาของเพลงหรือคําคล้องจอง เช่น เพลงกํามือแบมือ เพลงออกกําลงั คาํ คลอ้ งจองฝนตกพราํ พราํ ๒.๔ การเคลื่อนไหวเชิงสร้างสรรค์ เป็นการเคลือ่ นไหวท่ีให้เด็กคิดสรา้ งสรรค์ท่าทางขนึ้ เอง หรอื อาจใช้คาํ ถามหรือคาํ ส่ัง หรอื ใชอ้ ุปกรณ์ประกอบ เช่น หว่ งหวาย แถบผา้ รบิ บ้นิ ถงุ ทราย

๗๗ ๒.๕ การเคลื่อนไหวหรือการแสดงท่าทางตามคําบรรยายที่ครูเล่า หรือเรื่องราว หรือ นิทาน ๒.๖ การเคลื่อนไหวหรือการแสดงท่าทางตามคําสั่ง เป็นการเคลื่อนไหวหรอื ทําท่าทาง ตามคาํ สัง่ ของครู เชน่ การจัดกลมุ่ ตามจํานวน การทาํ ท่าทางตามคาํ ส่ัง ๒.๗ การเคลื่อนไหวหรือการแสดงท่าทางตามข้อตกลง เป็นการเคลื่อนไหวหรือทํา ท่าทาง ตามขอ้ ตกลงท่ไี ดต้ กลงไวก้ อ่ นเรมิ่ กิจกรรม ๒.๘ การเคลื่อนไหวหรือการแสดงท่าทางเป็นผู้นํา ผู้ตาม เป็นการคิดท่าทางการ เคล่ือนไหว อย่างสร้างสรรคข์ องเดก็ เองแล้วให้เพื่อนปฏิบตั ติ าม จากขอบข่ายของการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะข้างต้น ผู้สอนควรตระหนักถึงลกั ษณะ ของการ เคลื่อนไหวโดยการใช้ส่วนต่างๆ ของร่างกายให้ประสานสัมพันธ์กันอย่างสมบูรณ์ ด้วยการ เคลอ่ื นไหวลักษณะ ช้า เร็ว นุ่มนวล ทําท่าทางขึงขัง ร่าเริง มีความสุข หรือเศร้าโศก เสียใจ และเคลื่อนไหวในทิศทางที่ แตกต่างกัน เพื่อเป็นการฝึกให้เด็กได้เคลื่อนที่อิสระโดยใช้บริเวณที่อยู่รอบๆ ตัวเด็ก ได้แก่ การ เคลื่อนไหวไปข้างหน้าและ ข้างหลัง ไปข้างซ้ายและข้างขวา เคลื่อนตัวขึ้นและลง หรือหมุนไปรอบตัว โดยให้มรี ะดับของการเคลอ่ื นไหวสงู กลาง และ ต่ำ ในบริเวณพน้ื ทที่ ี่เดก็ ตอ้ งการเคลือ่ นไหว สอื่ กิจกรรมเคล่อื นไหวและจงั หวะ ๑. เครอื่ งเคาะจังหวะ เช่น นิง่ เหล็กสามเหลี่ยม กรบั รํามะนา กลอง ๒. อุปกรณ์ประกอบการเคลื่อนไหว เช่น หนังสือพิมพ์ ริบบิ้น แถบผ้า ห่วงหวาย หว่ งพลาสติก ฮูลาฮูบ ถุงทราย แนวการจดั กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ ๑. เริ่มจากการทํากิจกรรมเคลื่อนไหวพื้นฐาน เพื่อเป็นการเตรียม โดยการแตะสัมผัสส่วน ตา่ งๆ ของร่างกาย สาํ รวจการใช้สว่ นต่างๆ ของร่างกายในการเคลอื่ นไหว ๒. อธิบายหรอื สร้างขอ้ ตกลงรว่ มกนั ในการกําหนดสัญญาณ การใชเ้ ครอื่ งใหจ้ ังหวะ และการ กําหนด จังหวะ เช่น ข้อตกลงเกี่ยวกับสัญญาณและจังหวะ จะใช้เครื่องเคาะจังหวะเป็นการกําหนด จงั หวะให้สมํา่ เสมอ และชดั เจน อาจจะกําหนดดังนี้ ๒.๑ ให้จังหวะ ๑ ครั้ง สม่ำเสมอ แสดงว่า ให้เด็กเดินหรือเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ ตาม จังหวะ ๒.๒ ให้จังหวะ ๒ ครั้งติดกัน แสดงว่า ให้เด็กหยุดการเคลื่อนไหว โดยเด็กจะต้องหยุดน่งิ จริงๆ หากกาํ ลงั อยใู่ นท่าใด ก็ตอ้ งหยดุ นงิ่ ในท่านัน้ จะเคล่ือนไหวหรือเปล่ยี นทา่ ไม่ได้ ๒.๓ ให้จังหวะรวั แสดงว่า ให้เดก็ เคล่อื นไหวอยา่ งเรว็ หรือเคลื่อนทเี่ รว็ ขึ้นแต่ไม่ใช่การว่ิง และสง่ เสยี งดงั บางกจิ กรรมอาจจะหมายถงึ การเปล่ียนตาํ แหน่ง การทาํ ตามคาํ สัง่ หรอื ข้อตกลง ๓. ให้เด็กเคลื่อนไหวอย่างอิสระตามความคิด หรือจินตนาการของตนเอง โดยใช้ส่วนต่างๆ ของ ร่างกายให้มากที่สุด ในขณะเดียวกันต้องคํานึงถึงองค์ประกอบพื้นฐานในการเคลื่อนไหว ได้แก่

๗๘ การใชร้ ่างกาย ตนเอง การใชพ้ นื้ ท่ี การเคล่ือนไหวอย่างมีอิสระ มีระดบั และทิศทาง ๔. ให้เดก็ ทดลองปฏบิ ัตแิ ละปฏิบตั ิเพ่อื ใหเ้ ดก็ ได้เคล่อื นไหวหลากหลายรูปแบบ ๕. หลงั จากปฏบิ ัติกิจกรรมให้เด็กได้พักผ่อนตามอัธยาศยั โดยใหเ้ ดก็ นง่ั กับพืน้ หอ้ ง ผูส้ อนเปิด เพลงเบาๆ ข้อเสนอแนะ ๑. ควรเริ่มกิจกรรมจากการเคลื่อนไหวที่เป็นอิสระ และมีวิธีการที่ไม่ยุ่งยากมากนัก เช่น ให้ เด็กได้ กระจายอยูภ่ ายในหอ้ งหรอื บรเิ วณท่ีฝึก และให้เคล่อื นไหวไปตามธรรมชาตขิ องเด็ก ๒. ควรให้เด็กได้แสดงออกด้วยตนเองอย่างอิสระและเป็นไปตามความนึกคิดของเด็กเอง ครู ไม่ควรชแ้ี นะ ๓. ควรเปิดโอกาสให้เด็กคิดหาวิธีเคลื่อนไหวทั้งที่ต้องเคลื่อนที่และไม่ต้องเคลื่อนที่เป็น รายบุคคล เป็นคู่ เปน็ กลุ่ม ตามลําดบั และกล่มุ ไมค่ วรเกิน ๕ - ๖ คน ๔. ควรใช้สิ่งของที่หาได้ง่าย เช่น ของเล่น กระดาษ หนังสือพิมพ์ เศษผ้า เชือก ท่อนไม้ ประกอบการ เคล่อื นไหวและการให้จงั หวะ ๕. ควรกําหนดจังหวะสัญญาณนัดหมายในการเคล่ือนไหวต่าง ๆ หรอื เปล่ียนท่า หรือหยุดให้ เด็กทราบ เมื่อทํากิจกรรมทกุ คร้ัง เชน่ เมือ่ ให้จังหวะ ๑ จงั หวะ ให้เด็กทาํ ท่าทาง ๑ ทา่ ทาง ฯลฯ ๖. ควรสร้างบรรยากาศอย่างอิสระ ช่วยให้เด็กรู้สึกอบอุ่น เพลิดเพลิน และรู้สึกสบายและ สนุกสนาน ๗. ควรจดั ใหม้ รี ปู แบบของการเคลือ่ นไหวที่หลากหลาย เพอ่ื ช่วยให้เด็กสนใจมากขนึ้ ๘. กรณีเด็กไม่ยอมเข้าร่วมกิจกรรม ครูไม่ควรใช้วิธีบังคับ ควรให้เวลาและโน้มน้าวให้เด็ก สนใจเขา้ รว่ ม กจิ กรรมด้วยความสมัครใจ ๙. หลังจากเด็กได้ทํากิจกรรมแล้ว ต้องให้เด็กได้พักและผ่อนคลายอิริยาบถ โดยเปิดเพลง จงั หวะช้าๆ เบาๆ ๑๐. การจัดกิจกรรมควรจัดตามตารางกิจวัตรประจําวัน และควรจัดให้เป็นที่น่าสนใจ เกิด ความ สนุกสนาน ๒. กจิ กรรมเสริมประสบการณ์/กิจกรรมในวงกลม กิจกรรมเสริมประสบการณ์/กิจกรรมในวงกลม เป็นกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้เด็กได้พัฒนา ทักษะการ เรียนรู้ มีทักษะการฟัง การพูด การอ่าน การสังเกต การคิดแก้ปัญหา การใช้เหตุผล โดย การฝึกปฏบิ ตั ริ ว่ มกัน และการทํางานเป็นกลุ่ม ทัง้ กลุ่มย่อยและกลุ่มใหญ่ เพอื่ ให้เกิดความคิดรวบยอด เก่ียวกบั เรอื่ งท่ไี ดเ้ รียนรู้ สอดคลอ้ งกับจุดประสงคด์ ังนี้

๗๙ จุดประสงค์ ๑. เพื่อให้เดก็ เขา้ ใจเนอื้ หาและเร่ืองราวในหนว่ ยการจัดประสบการณ์ ๒. เพือ่ ฝึกการใชภ้ าษาในการฟัง พดู และการถ่ายทอดเร่ืองราว ๓. เพ่อื ฝึกมารยาทในการฟัง การพูด ๔. เพือ่ ฝึกความมีระเบยี บวินัย ๕. เพ่ือให้เด็กเรียนรู้ผ่านการสงั เกต เปรยี บเทียบ ๖. เพ่ือสง่ เสรมิ ความสามารถในการคดิ รวบยอด การคิดแกป้ ัญหาและตดั สินใจ ๗. เพ่อื ส่งเสรมิ การเรยี นรวู้ ิธีแสวงหาความรู้ เกิดการเรียนรจู้ ากการค้นพบด้วยตนเอง ๘. เพ่อื ฝึกให้กล้าแสดงความคิดเห็น รว่ มแสดงความคดิ เห็นอย่างมีเหตุผลและยอมรับฟัง ความ คดิ เห็นของผู้อื่น ๙. เพอื่ ฝกึ ให้มลี กั ษณะนิสัยใฝ่รู้ใฝเ่ รียน ๑๐. เพื่อฝึกลกั ษณะนิสยั ใหม้ ีคุณธรรม จรยิ ธรรม ขอบขา่ ยสาระของกิจกรรมเสรมิ ประสบการณ์/กิจกรรมในวงกลม สาระที่ควรเรียนรู้ สาระในส่วนนี้กําหนดเฉพาะหัวข้อไม่มีรายละเอียด ทั้งนี้เพื่อ ประสงคจ์ ะให้ ผ้สู อนสามารถกาํ หนดรายละเอียดขน้ึ เองใหส้ อดคล้องกับวยั ความตอ้ งการ ความสนใจ ของเด็ก อาจยืดหยุ่น เนื้อหาได้โดยคํานึงถึงประสบการณ์ และสิ่งแวดล้อมในชีวิตจริงของเด็ก ผู้สอน สามารถนําสาระที่ควรเรียนรู้มา บูรณาการจัดประสบการณ์ต่างๆ ให้ง่ายต่อการเรียนรู้ ทั้งนี้มิได้ ประสงค์ให้เด็กท่องจําเนื้อหา แต่ต้องการให้ เด็กเกิดแนวคิดหลังจากนําสาระการเรียนรู้นั้นๆมาจัด ประสบการณ์ให้เด็กเพื่อให้บรรลุจุดหมายที่กําหนดไว้ นอกจากนี้สาระที่ควรเรียนรูย้ ังใช้เป็นแนวทาง ช่วยผสู้ อนกําหนดรายละเอียดและความยากง่ายของเนื้อหาให้ เหมาะสมกบั พัฒนาการของเด็ก สาระ ที่ควรเรียนรู้ประกอบด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคล และสถานที่แวดล้อมเด็ก ธรรมชาตริ อบตัว และส่งิ ต่างๆรอบตวั เดก็ ดังน้ี ๑. เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับชื่อ นามสกุล รูปร่างหน้าตา อวัยวะต่างๆ วิธีระวังรักษาร่างกายให้สะอาดและมีสุขภาพอนามัยที่ดี การรับประทานอาหารที่เป็น ประโยชน์ การรักษาความ ปลอดภัยของตนเอง รวมทั้งการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างปลอดภัย การรู้จัก ประวัติความเป็นมาของตนเองและ ครอบครัว การปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัวและ โรงเรียน การเคารพสิทธิของตนเองและผู้อื่น การรู้จัก แสดงความคิดเห็นของตนเองและรับฟังความ คิดเห็นของผู้อื่น การกํากับตนเอง การเล่นและทําสิ่งต่างๆ ด้วยตนเองตามลําพังหรือกับผู้อื่น การ ตระหนักรู้เกี่ยวกับตนเอง ความภาคภูมิใจในตนเอง การสะท้อนการรับรู้ อารมณ์และความรู้สึกของ ตนเองและผู้อืน่ การแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกอย่างเหมาะสม การแสดง มารยาทท่ดี ี การมี คุณธรรมจริยธรรม ๒. เร่อื งราวเกีย่ วกับบคุ คลและสถานที่แวดล้อมเด็ก เดก็ ควรเรยี นรูเ้ กี่ยวกับครอบครัว สถานศกึ ษา ชมุ ชน และบุคคลต่างๆ ที่เดก็ ตอ้ งเกีย่ วข้องหรือใกล้ชิดและมปี ฏสิ ัมพันธ์ในชีวิตประจําวัน

๘๐ สถานที่สําคัญ วันสําคัญ อาชีพของคนในชุมชน ศาสนา แหล่งวัฒนธรรมในชุมชน สัญลักษณ์สําคัญ ของชาติไทย และการปฏิบัติตามวัฒนธรรมท้องถ่นิ และความเป็นไทย หรือแหลง่ เรียนรู้จากภูมิปัญญา ท้องถ่นิ อื่นๆ ๓. ธรรมชาติรอบตัว เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับชื่อ ลักษณะ ส่วนประกอบ การ เปลี่ยนแปลงและ ความสัมพันธ์ของมนุษย์ สัตว์ พืช ตลอดจนการรู้จักเกี่ยวกับดิน น้ำ ท้องฟ้า สภาพ อากาศ ภยั ธรรมชาติ แรง และพลังงานในชีวิตประจําวนั ท่ีแวดล้อมเด็ก รวมทั้งการอนุรักษส์ ง่ิ แวดล้อม และการรกั ษาสาธารณสมบตั ิ ๔. สิ่งต่างๆ รอบตัวเด็ก เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย ใน ชีวิตประจําวัน ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการใช้หนังสือและตัวหนังสือ รู้จักชื่อ ลักษ ณะ สี ผิวสัมผัส ขนาด รปู ร่าง รูปทรง ปรมิ าตร น้ำหนัก จาํ นวน ส่วนประกอบ การเปลย่ี นแปลงและความสัมพันธ์ของ สิ่งต่างๆ รอบตัว เวลา เงิน ประโยชน์ การใช้งาน และการเลือกใช้สิ่งของเครื่องใช้ ยานพาหนะ การ คมนาคม เทคโนโลยแี ละการ สื่อสารต่างๆ ทใ่ี ช้อยใู่ นชีวติ ประจาํ วนั อย่างประหยัด ปลอดภยั และรักษา สง่ิ แวดล้อม สอื่ กิจกรรมเสริมประสบการณ์ /กจิ กรรมในวงกลม ๑. สอ่ื ของจริงทอ่ี ยใู่ กล้ตัวและส่ือจากธรรมชาติหรือวสั ดุทอ้ งถิ่น เช่น ตน้ ไมใ้ บไม้ เปลือก หอย เสื้อผ้า ๒. สื่อทจ่ี ําลองข้ึน เช่น ตน้ ไม้ ตกุ๊ ตาสัตว์ ๓. สอ่ื ประเภทภาพ เชน่ ภาพพลิก ภาพโปสเตอร์ หนังสอื ภาพ ๔. สื่อ เทคโนโลยี เช่น เครื่องบันทึกเสียง เครื่องขยายเสียง โทรศัพท์ แม่เหล็ก แว่น ขยาย เคร่ืองชง่ั กลอ้ งถา่ ยรปู ดจิ ิตอล ๕. สื่อ แหล่งเรียนรู้ เช่น แหล่งเรียนรู้ภายในและนอกสถานศึกษา เช่น แปลงเกษตร สวนผกั สมนุ ไพร รา้ นค้า สวนสัตว์ แหล่งประกอบการในท้องถิ่น แนวการจัดกจิ กรรมเสรมิ ประสบการณ์/กิจกรรมในวงกลม การจัดกจิ กรรมเสริมประสบการณ์/กิจกรรมในวงกลม จัดไดห้ ลายวธิ ี ไดแ้ ก่ ๑. การสนทนาหรือการอภิปราย เป็นการพูดคุย ซักถามระหว่างเด็กกับครู หรือเด็กกับ เด็ก เป็น การส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาด้านการพูดและการฟัง โดยการกําหนดประเด็นในการ สนทนาหรืออภิปราย เด็กจะได้แสดงความคิดเหน็ และยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ครูหรือผูส้ อน เปดิ โอกาสให้เด็กซกั ถาม โดยใช้คาํ ถามกระตนุ้ หรือเลา่ ประสบการณ์ท่แี ปลกใหม่ นาํ เสนอปัญหาท่ี ท้า ทายความคดิ การยกตวั อย่าง การ ใช้สอื่ ประกอบการสนทนาหรือการอภิปรายควรใชส้ ่ือของจริง ของ จําลอง รปู ภาพ หรอื สถานการณจ์ าํ ลอง ๒. การเล่านิทาน และการอา่ นนทิ าน เป็นกจิ กรรมท่ีครหู รือผู้สอนเล่าหรืออ่านเร่ืองราว จาก นิทาน โดยการใช้น้ําเสียงประกอบการเล่าแตกต่างตามบุคลิกของตัวละคร ซึ่งครูหรือผู้สอนควร เลือกสาระของ นทิ านให้เหมาะสมกับวยั สื่อที่ใชอ้ าจเปน็ หนังสือนทิ าน หนงั สือภาพ แผ่นภาพ หุ่นมือ

๘๑ หุน่ น้ิวมือ หรือการแสดง ท่าทางประกอบการเล่าเร่ือง โดยครูใชค้ ําถามเพ่ือกระตนุ้ การเรยี นรู้ เช่น ใน นิทานเรื่องน้ีมีตัวละครอะไรบ้าง เหตุการณ์ในนิทานเรือ่ งนี้เกิดท่ีไหน เวลาใด หรือ ลําดับเหตุการณ์ท่ี เกดิ ขน้ึ ในนทิ าน นิทานเรอ่ื งนมี้ ีปัญหา อะไรบ้าง และเดก็ ๆชอบเหตกุ ารณ์ใดในนอทานเรอื่ งนีม้ ากทีส่ ดุ ๓. การสาธิต เป็นกิจกรรมที่เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง โดยแสดงหรือทําสิ่งท่ี ตอ้ งการให้ เด็กได้สังเกตและเรียนรตู้ ามขนั้ ตอนของกิจกรรมนัน้ ๆ และเด็กได้อภิปรายและร่วมกันสรุป การเรียนรู้ การสาธิต ในบางครั้งอาจให้เด็กอาสาสมัครเป็นผู้สาธิตร่วมกับครูหรือผู้สอน เพื่อนําไปสู่ การปฏิบัติจริงด้วยตนเอง เช่น การเพาะเมล็ดพืช การประกอบอาหาร การเป่าลูกโป่ง การเล่นเกม การศกึ ษา ๔. การทดลองปฏบิ ตั กิ าร เป็นกิจกรรมท่ีจัดใหเ้ ด็กได้รับประสบการณ์ตรง จากการลงมือ ปฏิบัติ ทดลอง การคิดแก้ปัญหา มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะคณิตศาสตร์ ทักษะ ภาษา ส่งเสริมให้เด็ก เกิดข้อสงสัย สืบค้นคําตอบด้วยตนเอง ผ่านการวิเคราะห์ สังเคราะห์อย่างง่าย สรุปผลการทดลอง อภิปรายผล การทดลอง และสรุปการเรียนรู้ โดยกจิ กรรมการทดลองวิทยาศาสตร์ งา่ ย ๆ เชน่ การเลย้ี งหนอนผเี สือ้ การปลูกพืช ฝึก การสงั เกตการณไ์ หลของนำ้ ๕. การประกอบอาหาร เป็นกิจกรรมท่ีจัดให้เด็กได้เรียนรผู้ ่านการทดลองโดยเปิดโอกาส ให้เดก็ ได้ ลงมอื ทดสอบและปฏบิ ัติการด้วยตนเองเกยี่ วกบั การเปลี่ยนแปลงของผัก เนอ้ื สัตว์ ผลไม้ด้วย วิธีการต่างๆ เช่น ต้ม นึ่ง ผัด ทอด หรือการรับประทานสด เด็กจะได้รับประสบการณ์จากการสังเกต การเปลี่ยนแปลงของอาหาร การรับรู้รสชาติและกลิ่นของอาหาร ด้วยการใช้ประสาทสัมผัสและการ ทาํ งานรว่ มกนั เชน่ การทาํ อาหารจากไข่ ๖. การเพาะปลูก เป็นกิจกรรมที่เน้นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ซ่ึง เด็กจะได้ เรียนรู้การบูรณาการจะทําให้เด็กได้รับประสบการณ์โดยทําความเข้าใจความต้องการของ สิ่งมีชีวิตในโลก และ ช่วยให้เด็กเข้าใจความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่รอบตัวโดยการสังเกต เปรยี บเทยี บ และการคิดอย่างมเี หตผุ ล ซงึ่ เปน็ การเปดิ โอกาสใหเ้ ด็กไดค้ น้ พบและเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง ๗. การศึกษานอกสถานที่ เป็นการจัดกิจกรรมทัศนศึกษาที่ให้เด็กได้เรียนรู้สภาพความ เปน็ จรงิ นอกห้องเรียน จากแหล่งเรียนรู้ในสถานศกึ ษา หรอื แหลง่ เรียนร้ใู นชุมชน เชน่ หอ้ งสมุด สวน สมุนไพรวัด ไปรษณีย์ พิพิธภัณฑ์ เพื่อเป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์แก่เด็ก โดยครูและเด็กร่วมกัน วางแผนศึกษาสิ่งที่ต้องการเรียนรู้การ เดินทาง และสรุปผลการเรียนรู้ที่ได้จากการไปศึกษานอก สถานที่ ๘. การเล่นบทบาทสมมติ เป็นกิจกรรมให้เด็กสมมติตนเองเป็นตัวละคร และแสดง บทบาทต่างๆ ตามเนื้อเรื่องในนทิ าน เรื่องราวหรอื สถานการณ์ต่าง ๆ โดยใช้ความรู้สึกของเดก็ ในการ แสดง เพื่อให้เด็กเข้าใจ เรื่องราว ความรู้สึกและพฤติกรรมของตนเองและผู้อื่น ๆ ควรใช้สื่อ ประกอบการเล่นสมมติ เช่น หุ่นสวมศีรษะ ที่คาดศีรษะรูปคนและสัตว์รูปแบบต่างๆ เครื่องแต่งกาย และอุปกรณข์ องจริงชนิดตา่ ง ๆ

๘๒ ๙. การร้องเพลง ท่องคําคล้องจอง เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับภาษา จังหวะ และ การแสดงท่าทางให้สัมพันธ์กับเนือ้ หาของเพลงหรอื คําคล้องจอง ครูหรือผู้สอนควรเลอื ก ให้เหมาะกบั วัยของเดก็ ๑๐. การเลน่ เกม เปน็ กจิ กรรมทน่ี ําเกมการเรียนรู้เพื่อฝกึ ทักษะการคิด การแกป้ ญั หา และ การทํางานเปน็ กลมุ่ เกมที่นาํ มาเล่นไม่ควรเนน้ การแขง่ ขนั ๑๑. การแสดงละคร เป็น กิจกรรมที่เด็กจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการลําดับเรื่องราว การ เรียงลําดับเหตุการณ์ หรือเรื่องราวจากนิทาน การใช้ภาษาในการสื่อสารของตัวละคร เพื่อให้เด็กได้ เรียนรู้ และทําความเข้าใจบุคลิกลักษณะของตัวละครที่เด็กสวมบทบาท สื่อที่ใช้ เช่น ชุดการแสดงท่ี สอดคล้องกบั บทบาทท่ีไดร้ ับ บทสนทนาท่ีเดก็ ใชฝ้ ึกสนทนาประกอบการแสดง ๑๒. การใช้สถานการณจ์ ําลอง เป็นกิจกรรมที่เด็กได้เรียนรู้แนวทางการปฏิบัติตนเม่ืออยู่ ใน สถานการณท์ ค่ี รูหรือผสู้ อนกําหนด เพ่ือให้เด็กได้ฝึกการแก้ปัญหา เช่น น้ำทว่ ม โรคระบาด พบคน แปลกหน้า ขอ้ เสนอแนะ ๑. การจัดกิจกรรมควรให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรง ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าและมีโอกาส ค้นพบดว้ ยตนเองใหม้ ากทีส่ ุด ๒. ผู้สอนควรยอมรับความคิดเห็นที่หลากหลายของเด็กและให้โอกาสเด็กได้ฝึกคิดแสดง ความ คิดเหน็ ฝึกตง้ั คาํ ถาม ๓. การจัดกิจกรรมอาจเชิญวิทยากรมาให้ความรู้เพิ่มเติม เพื่อช่วยให้เด็กสนใจและ สนุกสนานยง่ิ ขึ้น ๔. ในขณะที่เด็กทํากิจกรรม หรือหลังจากทํากิจกรรมเสร็จแล้ว ผู้สอนควรใช้คําถาม ปลายเปิด ที่ชวนให้เด็กคิดหลีกเลี่ยงการใช้คําถามที่มีคําตอบ“ใช่”“ไม่ใช่”หรือมีคําตอบให้เด็กเลือก และผสู้ อนควรใหเ้ วลาเด็กคดิ คําตอบ ๕. ช่วงระยะเวลาที่จัดกิจกรรมสามารถยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม โดยคํานึงถึงความ สนใจของเด็กและความเหมาะสมของกิจกรรมนั้น ๆ เช่น กิจกรรมการศึกษานอกสถานที่ การ ประกอบอาหาร การปลูกพืช อาจใช้เวลานานกวา่ ที่กาํ หนดไว้ ๖. ควรสรปุ สงิ่ ตา่ งๆทีไ่ ด้เรยี นรใู้ ห้เด็กเข้าใจ ซ่ึงครูหรือผูส้ อน อาจใช้คําถาม เพลง คําคล้อง จอง เกมการเรียนรู้ แผนภูมิ แผนผังกราฟิก ฯลฯ เพ่อื นาํ ไปใช้ในชีวิตประจาํ วนั ๓. กจิ กรรมศิลปะสรา้ งสรรค์ กิจกรรมสร้างสรรค์ เป็นกิจกรรมที่มุ่งพัฒนากระบวนการคิด การรับรู้เกี่ยวกับความงาม และ สง่ เสรมิ กระต้นุ ใหเ้ ด็กแสดงออกทางอารมณ์ ความรูส้ ึก ความคดิ รเิ ริม่ สร้างสรรคแ์ ละจินตนาการ โดย ใช้กิจกรรมศิลปะ หรือกิจกรรมอื่นที่เหมาะกับพัฒนาการของเด็กแต่ละวัยและสอดคล้องกับ จุดประสงค์ดงั น้ี

๘๓ จดุ ประสงค์ ๑. เพอ่ื พฒั นากล้ามเนือ้ มอื และตาใหป้ ระสานสมั พันธ์กนั ๒. เพอ่ื ใหเ้ กิดความเพลิดเพลิน ช่นื ชมในสง่ิ ท่สี วยงาม ๓. เพื่อส่งเสรมิ การปรบั ตวั ในการทาํ งานร่วมกบั ผู้อ่ืน ๔. เพ่ือสง่ เสริมการแสดงออกและความมนั่ ใจในตนเอง ๕. เพ่อื ส่งเสรมิ คณุ ธรรม จริยธรรม และทักษะทางสังคม ๖. เพอ่ื สง่ เสรมิ ทักษะทางภาษา ๗. เพอ่ื ฝึกทักษะการสังเกต และการแกป้ ญั หา ๔. เพอ่ื สง่ เสรมิ ความคิดรเิ รมิ่ สรา้ งสรรค์ และจนิ ตนาการ ขอบขา่ ยการจัดกิจกรรมศลิ ปะสร้างสรรค์ การจัดกจิ กรรมสรา้ งสรรค์ ประกอบด้วย ๑. การวาดภาพและระบายสี เชน่ การวาดภาพด้วยสเี ทียน หรือสีไม้ การวาดภาพดว้ ยสนี ำ้ ๒. การเล่นกับสีน้ำ เช่น การหยดสี การเทสี การเปา่ สี ละเลงสดี ว้ ยนิว้ มอื ๓. การพิมพ์ภาพ เชน่ การพิมพ์ภาพดว้ ยพืช การพิมพ์ภาพดว้ ยวัสดุตา่ งๆ ๔. การป้นั เช่น การป้ันดินเหนียว การปนั้ แป้งปน้ั การป้นั ดนิ นำ้ มัน การป้ันแปง้ ขนมปงั ๕. การพบั ฉกี ตัด ปะ เช่น การพบั ใบตอง การฉกี กระดาษเสน้ การตัดภาพตา่ งๆ ๖. การปะติดวสั ดุ ๗. การประดษิ ฐ์ เช่น การประดิษฐ์เศษวสั ดุ การรอ้ ย การสาน ส่ือกจิ กรรมศลิ ปะสร้างสรรค์ ๑. การวาดภาพและระบายสี ๑.๑ สีเทยี นแทง่ ใหญ่ สไี ม้ สีชอล์ก สีน้ำ ๑.๒ พูก่ ันขนาดใหญ่ (ประมาณเบอร์ ๑๒) ๑.๓ กระดาษ ๑.๔ เสื้อคลมุ หรอื ผ้ากันเป้อื น ๒. การเล่นกบั สี ๒.๑ การเป่าสี มี กระดาษ หลอดกาแฟ สีน้ำ ๒.๒ การหยดสี มี กระดาษ หลอดกาแฟ พกู่ นั สนี ำ้ ๒.๓ การพบั สี มี กระดาษ สนี ำ้ พูก่ นั ๒.๔ การเทสี มี กระดาษ สีนำ้ ๒.๕ การละเลงสี มี กระดาษ สนี ้ำ แปง้ เปยี ก ๓. การพมิ พ์ภาพ ๓.๑ แม่พมิ พต์ ่าง ๆ จากของจรงิ เชน่ น้วิ มอื ใบไม้ กา้ นกล้วย ๓.๒ แม่พมิ พ์จากวัสดอุ ่นื ๆ เช่น เชือก เสน้ ด้าย ตรายาง

๘๔ ๓.๓ กระดาษ ผ้าเชด็ มือ สีโปสเตอร์ (สีน้ำ สีฝนุ่ ฯลฯ) ๔. การปั้น เช่น ดนิ น้ำมนั ดินเหนยี ว แป้งโดว์ แผน่ รองปัน้ แม่พิมพ์รปู ตา่ งๆ ไมน้ วดแป้ง ๕. การพับ ฉีก ตัดปะ เช่น กระดาษ หรือวัสดุอื่นๆที่จะใช้พับ ฉีก ตัด ปะ กรรไกรขนาดเล็ก ปลายมน กาวนำ้ หรอื แปง้ เปียก ผา้ เชด็ มือ ๖. การประดิษฐ์เศษวัสดุ เช่น เศษวัสดุต่าง ๆ มีกล่องกระดาษ แกนกระดาษ เศษผ้า เศษ ไหม กาว กรรไกร สี ผ้าเช็ดมือ ๗. การรอ้ ย เช่น ลูกปัด หลอดกาแฟ หลอดด้าย ๘. การสาน เชน่ กระดาษ ใบตอง ใบมะพรา้ ว แนวการจดั กจิ กรรมศลิ ปะสรา้ งสรรค์ ๑. เตรียมจัดโต๊ะและอุปกรณ์ให้พร้อม และเพียงพอก่อนทํากิจกรรม โดยจัดไว้หลายๆ กิจกรรม และอยา่ งนอ้ ย ๓-๕ กจิ กรรม เพ่อื ใหเ้ ดก็ มีอิสระในการเลือกทํากิจกรรมทสี่ นใจ ๒. ควรสร้างขอ้ ตกลงในการทํากจิ กรรม เพื่อฝกึ ให้เด็กมวี นิ ัยในการอยู่รว่ มกัน ๓. การจัดให้เด็กทํากิจกรรม ควรให้เด็กเลือกทํากิจกรรมอย่างมีระเบียบ และทยอยเข้า ทาํ กิจกรรม โดยจัดโต๊ะละ ๕-๖ คน ๔. การเปลี่ยนและหมุนเวียนทํากิจกรรม ต้องสร้างข้อตกลงกับเด็กให้ชัดเจน เช่น หาก กิจกรรมใด มีเพือ่ นครบจาํ นวนที่กาํ หนดแลว้ ให้คอยจนกวา่ จะมที ีว่ ่าง หรอื ใหท้ าํ กจิ กรรรมอนื่ ก่อน ๕. กิจกรรมใดเป็นกิจกรรมใหม่ หรือการใช้วัสดุ อุปกรณ์ใหม่ ครูจะต้องอธิบายวิธีการทาํ วธิ ีการใช้ วธิ กี ารทาํ ความสะอาด และการเกบ็ ของเข้าที่ ๖. เมื่อทํางานเสร็จหรือหมดเวลา ควรเตือนให้เด็กเก็บวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ เข้าที่ และช่วยกนั ดูแลหอ้ งใหส้ ะอาด ข้อเสนอแนะ ๑. ควรจัดการจดั กจิ กรรมศลิ ปะสรา้ งสรรค์ ใหเ้ ดก็ ทําทุกวนั วนั ละ ๓-๕ กจิ กรรม และให้ เดก็ เลือกทําอย่างน้อย ๑-๒ กิจกรรมตามความสนใจ ควรเน้นกระบวนการทางศิลปะของเด็กและไม่เน้น ให้ เด็กทําเหมือนกนั ทั้งหอ้ ง ๒. การจดั เตรยี มวสั ดอุ ปุ กรณ์ ควรพยายามหาวัสดทุ อ้ งถ่ินมาใช้ก่อนเป็นอนั ดบั แรก ๓. ก่อนให้เด็กทํากิจกรรม ต้องอธิบายวิธีใช้วัสดุที่ถูกต้องให้เด็กทราบพร้อมทั้งสาธิตให้ดูจน เข้าใจ เช่น การใช้พู่กันหรือกาว จะต้องปาดหูกันหรือกาวนั้นกับขอบภาชนะที่ใส่ เพื่อไม่ให้กาวหรือสี ไหลเลอะเทอะ ๔. ควรให้เด็กทํากิจกรรมอิสระ หรือเป็นกลุ่มย่อย เพื่อฝึกการวางแผน และการทํางาน ร่วมกันกับผอู้ ืน่ ๕. ควรแสดงความสนใจ และชื่นชมผลงานของเด็กทุกคน และนําผลงานของเด็กทุกคน หมนุ เวียนจดั แสดงท่ีป้ายนิเทศ ๖. หากพบว่าเด็กคนใดสนใจทํากิจกรรมเดียวทุกครั้ง ควรชักชวนให้เด็กเปลี่ยนทํากิจกรรม

๘๕ อื่นบ้าง เพราะกิจกรรมสร้างสรรค์แต่ละประเภทพัฒนาเด็กแต่ละด้านแตกต่างกัน และเมื่อเด็กทํา ตามท่แี นะนาํ ได้ ควร ใหแ้ รงเสรมิ ทางบวกทุกคร้งั ๗. เมื่อเด็กทํางานเสร็จ ควรให้เล่าเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ทําหรือภาพที่วาด โดยครูหรือผู้สอน บนั ทึกเรื่องราว ที่เดก็ เลา่ และวันทที่ ีท่ ํา เพอื่ ใหท้ ราบความก้าวหน้าและระดับพฒั นาการของเด็ก โดย เขยี นดว้ ยตวั บรรจงและให้ เดก็ เหน็ ลลี ามอื ในการเขยี นที่ถูกต้อง ๘. เกบ็ ผลงานชิน้ ท่แี สดงความกา้ วหนา้ ของเดก็ เป็นรายบคุ คลเพื่อเปน็ ขอ้ มลู สังเกตพัฒนาการ ของเด็ก ๔. กจิ กรรมการเลน่ ตามมุม กิจกรรมการเล่นตามมุม เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กเล่นอิสระตามมุมเล่น หรือมุม ประสบการณ์ หรือกําหนดเป็นพื้นที่เล่นที่จัดไว้ในห้องเรียน ซึ่งพื้นที่หรือมุมต่างๆเหล่านี้เด็กมีโอกาส เลือกเล่นได้อย่างเสรีตาม ความสนใจและความต้องการของเด็ก ทั้งเป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่มย่อย เด็กอาจจะเลือกทํากิจกรรมทคี่ รจู ัด เสริมขึน้ เช่น เกมการศึกษา เคร่อื งเล่นสมั ผัส โดยจดั ให้สอดคล้อง กับจุดประสงค์ ดงั นี้ จุดประสงค์ ๑. เพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อใหญ่ กล้ามเนื้อเล็ก และการประสานสัมพันธ์ ระหว่างมือกบั ตา ๒. เพอื่ สง่ เสริมใหร้ ้จู ักปรับตวั อยรู่ ่วมกับผู้อืน่ มีวนิ ยั เชงิ บวกรู้จักการรอคอย เอ้ือเฟ้ือเผ่ือแผ่ และให้อภัย ๓. เพ่ือสง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ มโี อกาสปฏสิ ัมพนั ธ์กับเพ่ือน ครู และสง่ิ แวดล้อม ๔. เพ่อื สง่ เสรมิ พฒั นาการทางดา้ นภาษา ๕. เพื่อสง่ เสรมิ ใหเ้ ด็กมนี สิ ัยรักการอา่ น ๖. เพ่ือส่งเสรมิ ใหเ้ ด็กเกิดการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองจากการสาํ รวจ การสังเกต และการทดลอง ๗. เพ่ือสง่ เสรมิ ให้เดก็ พฒั นาความคิดสรา้ งสรรค์และจินตนาการ ๘. เพ่อื ส่งเสรมิ การคิดแกป้ ัญหา การคิดอยา่ งมีเหตผุ ลเหมาะสมกับวยั ๙. เพือ่ สง่ เสรมิ ใหเ้ ด็กฝึกคิด วางแผน และตัดสินในการทํากิจกรรม ๑๐. เพอ่ื ส่งเสริมให้มีทกั ษะพน้ื ฐานทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ๑๑. เพือ่ ฝกึ การทํางานร่วมกัน ความรับผิดชอบ และระเบยี บวินยั ขอบขา่ ยของการจดั กิจกรรมการเล่นตามมุม ๑. เปิดโอกาสให้เด็กเลือกทํากิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ และเล่นตามมุมเล่นในช่วงเวลา เดยี วกัน อย่างอิสระ ๒. การจัดมุมเลน่ หรือมมุ ประสบการณ์ ควรจัดอยา่ งน้อย ๓-๕ มุม ดังตัวอย่างมมุ เล่นหรือ มุม ประสบการณ์ ดงั นี้ ๒.๑ มมุ บล็อก เป็นมุมทส่ี ง่ เสรมิ ใหเ้ ด็กเรียนรเู้ กย่ี วกบั มติ สิ มั พันธผ์ ่านการสรา้ ง

๘๖ ๒.๒ มุมหนังสือ เป็นมมุ ท่ีเดก็ เรยี นรูเ้ กยี่ วกบั ภาษา จากการฟัง การพดู การอา่ น การเล่า เร่ือง หรือการยมื – คืน หนงั สือ ๒.๓ มุมวิทยาศาสตร์หรือมุมธรรมชาติศึกษา เป็นมุมที่เด็กได้เรียนรู้ธรรมชาติรอบตัว ผ่านการ เล่นทดลองอย่างงา่ ย ๒.๔ มุมเครื่องเล่นสัมผัส เป็นมุมที่เด็กจะได้ฝึกการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา การ สรา้ งสรรค์ เช่น การร้อย การสาน การต่อเข้า การถอดออก ฯลฯ ๒.๕ มมุ บทบาทสมมติ เปน็ มมุ ท่เี ดก็ ได้เรยี นรูเ้ กยี่ วกบั บทบาทของแตล่ ะอาชีพหรือแต่ละ หน้าท่ที ่ีเด็กๆเลียนแบบบทบาท ส่ือกจิ กรรมการเลน่ ตามมุม ๑. มุมบทบาทสมมติ อาจจัดเปน็ มุมเล่นตา่ งๆ เช่น ๑.๑ มมุ บา้ น ๑) ของเล่นเครื่องใช้ในครัวขนาดเล็ก หรือของจําลอง เช่น เตา กระทะ ครก กาน้ำ เขียง มดี พลาสติก หม้อ จาน ชอ้ น ถ้วยชาม กะละมัง ๒) เคร่ืองเล่นตุก๊ ตา เส้อื ผา้ ต๊กุ ตา เตยี ง เปลเด็ก ตกุ๊ ตา ๓) เครื่องแต่งบ้านจําลอง เช่น ชุดรับแขก โต๊ะเครื่องแป้ง หมอนอิง หวี ตลับแป้ง กระจก ขนาดเห็นเต็มตัว ๔) เครื่องแต่งกายบุคคลอาชีพต่าง ๆ ที่ใช้แล้ว เช่น ชุดเครื่องแบบทหาร ตํารวจ ชุด เสอ้ื ผ้า ผใู้ หญ่ชายและหญงิ รองเทา้ กระเป๋าถือท่ไี มใ่ ชแ้ ลว้ ๕) โทรศัพท์ เตารีดจาํ ลอง ทรี่ ีดผ้าจําลอง ๖) ภาพถ่ายและรายการอาหาร ๑.๒ มมุ หมอ ๑) เคร่ืองเลน่ จาํ ลองแบบเครอ่ื งมือแพทย์และอุปกรณ์การรักษาผู้ปว่ ย เช่น หูฟัง เสื้อ คลุมหมอ ๒) อปุ กรณส์ าํ หรบั เลยี นแบบการบันทึกขอ้ มลู ผูป้ ่วย เช่น กระดาษ ดนิ สอ ฯลฯ ๓) เครอ่ื งชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง ๑.๓ มมุ รา้ นคา้ ๑) กล่องและขวดผลติ ภัณฑ์ตา่ งๆ ทใี่ ช้แล้ว ๒) ผลไม้จาํ ลอง ผกั จําลอง ๓) อปุ กรณ์ประกอบการเล่น เช่น เครือ่ งคิดเลข ลูกคดิ ธนบัตรจําลอง ฯลฯ ๔) ป้ายช่อื ร้าน ๕) ป้ายชื่อผลไม้ ผกั จาํ ลอง

๘๗ ๒. มมุ บลอ็ ก ๒.๑ ไม้บล็อกหรอื แท่งไม้ที่มีขนาดและรูปทรงตา่ งๆกัน เช่นบล็อกตนั บล็อกโต๊ะ จาํ นวน ต้งั แต่ ๙๐๐ ช้นิ ขนึ้ ไป ๒.๒ ของเล่นจาํ ลอง เช่น รถยนต์ เครอ่ื งบนิ รถไฟ คน สตั ว์ ตน้ ไม้ ๒.๓ ภาพถา่ ยต่างๆ ๒.๔ ที่จัดเก็บไม้บล็อกหรือแท่งไม้อาจเป็นชั้น ลังไม้หรือพลาสติก แยกตาม รูปทรง ขนาด ๓. มมุ หนังสือ ๓.๑ หนังสอื ภาพนทิ าน หนังสือภาพท่มี คี าํ และประโยคสน้ั ๆ พร้อมภาพ ๓.๒ ชนั้ หรอื ท่วี างหนังสอื ๓.๓ อปุ กรณ์ตา่ ง ๆ ทใ่ี ชใ้ นการสรา้ งบรรยากาศการอ่าน เชน่ เสื้อ พรม หมอน ๓.๔ สมุดเซ็นยมื หนังสอื กลบั บา้ น ๓.๕ อปุ กรณส์ ําหรบั การเขยี น ๓.๖ อุปกรณ์เสรมิ เชน่ เคร่อื งเสยี ง แผ่นนิทานพรอ้ มหนงั สือนทิ าน หฟู งั ๔. มมุ วิทยาศาสตร์ หรอื มมุ ธรรมชาตศิ กึ ษา ๔.๑ วสั ดุต่าง ๆ จากธรรมชาติ เชน่ เมลด็ พืชต่างๆ เปลอื กหอย ดิน หนิ แร่ ฯลฯ ๔.๒ เครอ่ื งมอื เครอื่ งใช้ในการสํารวจ สังเกต ทดลอง เชน่ แว่นขยาย แมเ่ หล็ก เขม็ ทศิ เครอื่ งชง่ั แนวการจดั กิจกรรมการเล่นตามมุม ๑. แนะนาํ มุมเล่นใหม่ เสนอแนะวธิ ีใช้ การเลน่ ของเลน่ บางชนิด ๒. เดก็ และครูร่วมกันสรา้ งข้อตกลงเก่ียวกับการเลน่ ๓. ครูเปิดโอกาสใหเ้ ด็กคิด วางแผน ตดั สนิ ใจเลือกเลน่ อยา่ งอิสระ เลือกทํากิจกรรมท่ีจัด ข้นึ ตามความสนใจของเด็กแตล่ ะคน ๔. ขณะเด็กเล่น / ทํางาน ครอู าจชแ้ี นะ หรือมสี ่วนรว่ มในการเลน่ กับเดก็ ได้ ๕. เด็กต้องการความช่วยเหลือและคอยสังเกตพฤติกรรมการเล่นของเด็กพร้อมทั้งจด บนั ทกึ พฤตกิ รรมทีน่ ่าสนใจ ๖. เตอื นใหเ้ ดก็ ทราบลว่ งหนา้ ก่อนหมดเวลาเล่น ประมาณ ๓ - ๕ นาที ๗. ใหเ้ ดก็ เกบ็ ของเล่นเขา้ ทใ่ี หเ้ รียบรอ้ ยทกุ ครั้งเมื่อเสร็จสนิ้ กจิ กรรม ข้อเสนอแนะ ๑. ขณะเด็กเล่น ครูต้องสังเกตความสนใจในการเล่นของเด็ก หากพบว่ามุมใด เด็กส่วน ใหญ่ ไม่สนใจที่จะเล่นควรเปลี่ยนหรือจัดสื่อในมุมเล่นใหม่ เช่น มุมบ้าน อาจดัดแปลงหรือเพิ่มเติม หรือเปลย่ี นเป็น มุมรา้ นคา้ มุมเสริมสวย มมุ หมอ ฯลฯ ๒. หากมมุ ใดมจี าํ นวนเด็กในมุมมากเกินไปควรเปิดโอกาสใหเ้ ดก็ เลือกเลน่ มุมใหม่

๘๘ ๓. หากเด็กเลือกมุมเล่นมุมเดียวเป็นระยะเวลานาน ควรชักชวนให้เด็กเลือกมุมอื่นๆ ดว้ ย เพื่อให้เดก็ มีประสบการณก์ ารเรียนรูใ้ นดา้ นอน่ื ๆด้วย ๔. การจัดสื่อหรือเครื่องเล่นในแต่ละมุม ควรมีการทําความสะอาด และสับเปลี่ยนหรือ เพมิ่ เตมิ เป็นระยะโดยคํานึงถงึ ลําดับขนั้ การเรียนรู้ เพ่อื ใหเ้ ดก็ เกดิ การเรยี นรู้ทหี่ ลากหลาย ๕. กิจกรรมการเลน่ กลางแจง้ กิจกรรมการเล่นกลางแจ้ง เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้มีโอกาสออกไปนอกห้องเรียนเพื่อ เคล่อื นไหว ร่างกายออกกําลัง และแสดงออกอยา่ งอสิ ระ โดยยึดความสนใจและความสามารถของเด็ก แต่ละคนเป็นหลกั โดยจัดใหส้ อดคลอ้ งกับจุดประสงค์ ดงั น้ี จุดประสงค์ ๑. เพื่อพฒั นากลา้ มเน้ือใหญ่ กลา้ มเนื้อเลก็ และการประสานสมั พนั ธ์ของอวยั วะต่าง ๆ ๒. เพอื่ ส่งเสริมให้มรี า่ งกายแขง็ แรง สุขภาพดี ๓. เพอ่ื สง่ เสรมิ ให้เกิดความสนุกสนาน ผอ่ นคลายความเครียด ๔. เพือ่ ปรับตวั เลน่ และทํางานรว่ มกบั ผูอ้ ่นื ๕. เพื่อเรยี นรู้การระมัดระวงั รักษาความปลอดภัยทัง้ ของตนเองและผู้อน่ื ๖. เพอ่ื ฝกึ การตดั สนิ ใจ และแก้ปญั หาด้วยตนเอง ๗. เพ่ือสง่ เสรมิ ให้มีความอยากรูอ้ ยากเหน็ สงิ่ ต่างๆ ทแี่ วดลอ้ มรอบตัว ๘. เพือ่ พัฒนาทักษะการเรยี นรู้ตา่ ง ๆ เชน่ การสงั เกต การเปรียบเทยี บ การจาํ แนก ขอบขา่ ยของกิจกรรมการเลน่ กลางแจง้ ลักษณะกจิ กรรมการเล่นกลางแจง้ ทคี่ รูควรจดั ให้เด็กได้เลน่ ไดแ้ ก่ ๑. การเลน่ เครอ่ื งเล่นสนาม เครื่องเล่นสนาม หมายถึง เครื่องเล่นที่เด็กอาจปีนป่าย หมุน ซึ่งทําออกมาใน รูปแบบต่างๆ เช่น ๑.) เครือ่ งเลน่ สาํ หรับปีนป่าย หรือตาขา่ ยสาํ หรับปนื เล่น ๒.) เครอื่ งเล่นสาํ หรับโยกหรอื ไกว เชน่ ม้าไม้ ชงิ ช้า มา้ นั่งโยก ไม้กระดก ๓.) เคร่ืองเล่นสําหรบั หมุน เชน่ มา้ หมนุ พวงมาลยั รถสาํ หรับหมนุ เล่น ๔.) ราวโหนขนาดเลก็ สาํ หรบั เดก็ ๕.) ต้นไม้สําหรับเดินทรงตัว หรอื ไมก้ ระดานแผน่ เดียว ๖.) เครอ่ื งเลน่ ประเภทลอ้ เลื่อน เชน่ รถสามลอ้ รถลากจูง ๒. การเล่นทราย ทรายเป็นสง่ิ ท่เี ด็กๆ ชอบเลน่ ทง้ั ทรายแห้ง ทรายเปยี ก นํามากอ่ เป็นรูปต่างๆ ได้ และสามารถนําวัสดุอืน่ มาประกอบการเล่นตกแต่งได้ เช่น กิ่งไม้ ดอกไม้ เปลือกหอย พิมพ์ขนม ที่ตัก ทราย

๘๙ ปกติบ่อทรายจะอยู่กลางแจ้ง โดยอาจจัดให้อยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้หรือสร้าง หลังคา ทําขอบกั้น เพื่อมิให้ทรายกระจัดกระจาย บางโอกาสอาจพรมน้ำให้ขึ้นเพื่อเด็กจะได้ก่อเล่น นอกจากน้ี ควรมี วิธกี ารปดิ กั้นมิให้สตั วเ์ ล้ียงลงไปทาํ ความสกปรกในบ่อทรายได้ ๓. การเล่นน้ำ เด็กทั่วไปชอบเล่นน้ำมาก การเล่นน้ำนอกจากสร้างความพอใจและคลาย ความเครียด ให้เด็กแล้วยังทําให้เด็กเกิดการเรียนรู้อีกด้วย เช่น เรียนรู้ทักษะการสังเกต จําแนก เปรียบเทยี บปรมิ าตร อุปกรณ์ที่ใส่น้ำอาจเป็นถังที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะหรืออ่างน้ำวางบนขาตั้งที่มั่นคง ความ สงู พอท่ีเด็กจะยืนได้พอดี และควรมีผา้ พลาสติกกนั เส้ือผ้าเปยี กให้เด็กใชค้ ลมุ ระหวา่ งเลน่ ๔. การเล่นสมมตใิ นบา้ นตกุ๊ ตาหรอื บ้านจําลอง เป็นบา้ นจําลองสาํ หรบั ให้เดก็ เลน่ จาํ ลองแบบจากบา้ นจริงๆ อาจทาํ ดว้ ยเศษวัสดุ ประเภทผ้าใบ กระสอบป่าน ของจริงที่ไม่ใช้แล้ว เช่น หม้อ เตา ชาม อ่าง เตารีด เครื่องครัว ตุ๊กตา สมมติ เป็นบุคคลในครอบครัว เสื้อผ้าผู้ใหญ่ที่ไม่ใช้แล้วสําหรับผลัดเปลี่ยน มีการตกแต่งบริเวณ ใกล้เคียงให้เหมือนบ้าน จริง ๆ บางครั้งอาจจัดเปน็ ร้านขายของ สถานที่ทําการต่าง ๆ เพื่อให้เด็กเลน่ สมมติตามจนิ ตนาการของเด็กเอง ๕. การเล่นในมมุ ชา่ งไม้ เด็กต้องการออกแรงเคาะ ตอก กิจกรรมการเล่นในมุมช่างไม้นี้จะช่วยในการ พัฒนา กล้ามเนอ้ื ให้แขง็ แรง ช่วยฝกึ การใช้มือและการประสานสัมพนั ธร์ ะหว่างมือกับตา นอกจากน้ียัง ฝกึ ใหร้ กั งาน และส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์อกี ด้วย ๖. การเล่นเกมการละเล่น กิจกรรมการเล่นเกมการละเล่นที่จัดให้เด็กเล่น เช่น เกมการละเล่นของไทย เกม การละเล่นของท้องถิ่น เช่น มอญซ่อนผ้า รีรีข้าวสาร แม่งู โพงพาง ฯลฯ การละเล่นเหล่านี้ ต้องใช้ บริเวณที่ กว้าง การเล่นอาจเล่นเป็นกลุ่มเล็ก/กลุม่ ใหญก่ ็ได้ ก่อนเล่นครอู ธบิ ายกตกิ าและสาธิตใหเ้ ดก็ เข้าใจ ไม่ควรนํา เกมการละเล่นที่มีกติกายุ่งยากและเน้นการแข่งขันแพช้ นะ มาจัดกิจกรรมให้กับเด็ก วยั น้ี เพราะเดก็ จะเกดิ ความเครยี ดและสรา้ งความรูส้ ึกท่ไี ม่ดตี ่อตนเอง สื่อกจิ กรรมการเล่นกลางแจง้ ๑. การเล่นเครอ่ื งเล่นสนาม เครื่องเล่นสนาม หมายถึง เครื่องเล่นที่เด็กอาจปีนป่าย หมุน ซึ่งทําออกมาใน รูปแบบต่างๆเช่น ๑.๑ เครือ่ งเล่นสําหรบั ปนี ป่าย หรือตาข่ายสาํ หรบั ปนื เลน่ ๑.๒ เครอ่ื งเล่นสําหรบั โยกหรือไกว เช่น มา้ ไม้ ชงิ ชา้ ม้านัง่ โยก ไม้กระดก ๑.๓ เครื่องเลน่ สาํ หรบั หมนุ เชน่ ม้าหมนุ พวงมาลัยรถสาํ หรับหมนุ เลน่

๙๐ ๑.๔ ราวโหนขนาดเล็กสาํ หรบั เด็ก ๑.๕ ตน้ ไมส้ าํ หรบั เดินทรงตวั หรอื ไม้กระดานแผน่ เดียว ๑.๖ เครอ่ื งเล่นประเภทลอ้ เลอ่ื น เช่น รถสามลอ้ รถลากจูง ๒. การเลน่ ทราย ทรายเป็นสง่ิ ทเ่ี ด็กๆ ชอบเล่น ทง้ั ทรายแหง้ ทรายเปยี ก นาํ มากอ่ เป็นรูปต่างๆ ได้ และ สามารถนาํ วัสดอุ นื่ มาประกอบการเล่นตกแต่งได้ เช่น กิ่งไม้ ดอกไม้ เปลอื กหอย พมิ พ์ขนม ที่ตัก ทราย ปกติบ่อทรายจะอยู่กลางแจ้ง โดยอาจจัดให้อยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้หรือสร้าง หลังคา ทําขอบกั้น เพื่อมิให้ทรายกระจัดกระจาย บางโอกาสอาจพรมน้ำให้ขึ้นเพื่อเด็กจะได้ก่อเล่น นอกจากน้ี ควรมี วิธีการปิดกน้ั มิใหส้ ตั วเ์ ล้ียงลงไปทําความสกปรกในบ่อทรายได้ ๓. การเล่นน้ำ เด็กทั่วไปชอบเล่นน้ำมาก การเล่นน้ำนอกจากสร้างความพอใจและคลาย ความเครียดให้ เด็กแล้วยังทําให้เด็กเกิดการเรียนรู้อีกด้วย เช่น เรียนรู้ทักษะการสังเกต จําแนก เปรียบเทียบปริมาตร อุปกรณ์ ทใ่ี สน่ ้ำอาจเป็นถังทีส่ ร้างข้ึนโดยเฉพาะหรืออ่างน้ำวางบนขาต้ังที่ม่ันคง ความสูงพอทเ่ี ด็กจะยนื ได้พอดี และควร มีผ้าพลาสตกิ กันเส้อื ผา้ เปยี กให้เด็กใชค้ ลมุ ระหว่างเลน่ ๔. การเล่นสมมติในบา้ นตกุ๊ ตาหรือบ้านจาํ ลอง เป็นบ้านจาํ ลองสําหรบั ใหเ้ ดก็ เล่น จําลองแบบจากบา้ นจรงิ ๆ อาจทําดว้ ยเศษวัสดุ ประเภท ผ้าใบ กระสอบป่าน ของจริงที่ไม่ใช้แล้ว เช่น หม้อ เตา ชาม อ่าง เตารีด เครื่องครัว ตุ๊กตา สมมติเป็นบุคคลใน ครอบครัว เสื้อผ้าผู้ใหญ่ที่ไม่ใช้แล้วสําหรับผลัดเปลี่ยน มีการตกแต่งบริเวณ ใกล้เคียงให้เหมือนบ้านจริงๆ บางครั้งอาจจัดเป็นร้านขายของ สถานที่ทําการต่าง ๆ เพื่อให้เด็กเล่น สมมติตามจนิ ตนาการของเด็กเอง ๕. การเล่นในมมุ ชา่ งไม้ เด็กต้องการออกแรงเคาะ ตอก กิจกรรมการเล่นในมุมช่างไม้นี้จะช่วยในการ พฒั นากลา้ มเนือ้ ใหแ้ ข็งแรง ช่วยฝกึ การใช้มือและการประสานสมั พนั ธร์ ะหว่างมือกับตา นอกจากน้ียัง ฝกึ ใหร้ ักงานและส่งเสริม ความคดิ สร้างสรรคอ์ ีกดว้ ย ๖. การเล่นเกมการละเล่น กิจกรรมการเล่นเกมการละเล่นที่จัดให้เด็กเล่น เช่น เกมการละเล่นของไทย เกม การละเล่น ของท้องถิ่น เช่น มอญซ่อนผ้า รีรีข้าวสาร แม่งู โพงพาง ฯลฯ การละเล่นเหล่านี้ ต้องใช้ บริเวณที่กว้าง การเล่นอาจเล่นเป็นกลุ่มเล็ก/กลุ่มใหญ่ก็ได้ ก่อนเล่นครูอธิบายกติกาและสาธิตให้เด็ก เข้าใจ ไม่ควรนํา เกมการละเล่นที่มีกติกายุ่งยากและเน้นการแขง่ ขันแพ้ชนะ มาจัดกิจกรรมให้กับเดก็ วัยนี้ เพราะเดก็ จะเกิด ความเครยี ดและสรา้ งความรู้สึกที่ไมด่ ตี ่อตนเอง

๙๑ แนวการจัดกจิ กรรม ๑. เด็กและครูรว่ มกันสร้างข้อตกลง ๒. จัดเตรยี มวสั ดอุ ุปกรณป์ ระกอบการเลน่ ให้พรอ้ ม ๓. สาธติ การเล่นเครือ่ งเล่นสนามบางชนดิ ๔. ใหเ้ ด็กเลอื กเลน่ อสิ ระตามความสนใจและใหเ้ วลาเล่นนานพอควร ๕. ครูควรจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัย (ไม่ควรจัดกิจกรรมพลศึกษา) เช่น การเล่นน้ำ เล่น ทราย เล่นบ้านตุ๊กตา เล่นในมุมช่างไม้ เล่นบล็อกกลวง เครื่องเล่นสนาม เกมการละเล่น เล่นอุปกรณ์ กีฬา สําหรบั เด็ก เล่นเคร่อื งเลน่ ประเภทล้อเลื่อน เลน่ ของเลน่ พน้ื บ้าน (เดนิ กะลา ฯลฯ) ๖. ขณะเด็กเล่นครูต้องคอยดูแลความปลอดภัยและสังเกตพฤติกรรมการเล่น การอยู่ร่วมกนั กับเพื่อนของเดก็ อย่างใกลช้ ิด ๗. เมอื่ หมดเวลาควรให้เด็กเกบ็ ของใชห้ รือของเล่นให้เรยี บร้อย ๘. ให้เดก็ ทาํ ความสะอาดรา่ งกายและดแู ลเครอ่ื งแตง่ กายให้เรียบร้อยหลงั เลน่ ข้อเสนอแนะ ๑. หมั่นตรวจตราเครื่องเลน่ สนามและอุปกรณ์ประกอบใหอ้ ยูใ่ นสภาพทีป่ ลอดภยั และใช้การ ไดด้ อี ยู่เสมอ ๒. ให้โอกาสเด็กเลือกเล่นกลางแจ้งอย่างอสิ ระทกุ วนั อย่างน้อยวนั ละ ๓๐ นาที ๓. ขณะเด็กเลน่ กลางแจ้ง ครูต้องคอยดูแลอย่างใกลช้ ิดเพื่อระมดั ระวังความ ปลอดภัยในการ เล่น หากพบวา่ เดก็ แสดงอาการเหนอ่ื ย ออ่ นลา้ ควรให้เด็กหยุดพกั ๔. ไม่ควรนํากิจกรรมพลศึกษาสําหรับเด็กระดับประถมศึกษามาใช้สอนกับเด็กระดับปฐมวยั เพราะยงั ไม่เหมาะสมกบั วยั ๕. หลงั จากเลกิ กิจกรรมกลางแจ้ง ควรให้เดก็ ไดพ้ กั ผ่อนหรือน่งั พัก ไมค่ วรให้เดก็ รบั ประทาน อาหารกลางวนั หรือด่มื นมทันที เพราะอาจทาํ ใหเ้ ดก็ อาเจยี น เกิดอาการจกุ แน่นได้ ๖. เกมการศึกษา เกมการศึกษา (Didactic games) เป็นเกมที่ช่วยพัฒนาสติปญั ญาช่วยส่งเสริมใหเ้ ด็กเกิด การเรยี นรู้ เป็นพืน้ ฐานการศึกษา มกี ฎเกณฑก์ ตกิ าง่ายๆ เด็กสามารถเล่นคนเดียวหรือเล่นเป็นกลุ่มได้ ช่วยให้เด็กรู้จัก สังเกต คิดหาเหตุผลและเกิดความคิดรวบยอด เกี่ยวกับสี รูปร่าง จํานวน ประเภท และความสัมพนั ธ์ เก่ยี วกบั พ้นื ที่ ระยะ เกมการศึกษาที่เหมาะสมจะช่วยฝึกทักษะความพร้อมทางด้าน ร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปญั ญาสําหรับเด็กวัย ๓-๖ ปี มีจุดประสงค์ ดงั น้ี จดุ ประสงค์ ๑. เพ่ือฝึกทกั ษะการสงั เกต จําแนกและเปรยี บเทียบ ๒. เพื่อฝึกการแยกประเภท การจัดหมวดหมู่ ๓. เพอื่ สง่ เสรมิ การคิดหาเหตุผล และตัดสนิ ใจแกป้ ัญหา ๔. เพือ่ สง่ เสริมใหเ้ ดก็ เกดิ ความคิดรวบยอดเก่ยี วกบั สง่ิ ทไี่ ด้เรยี นรู้

๙๒ ๕. เพื่อสง่ เสริมการประสานสัมพนั ธ์ระหวา่ งมอื กับตา ๖. เพื่อปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมต่างๆ เช่น ความรับผิดชอบ ความ เอื้อเฟอื้ เผ่ือแผ่ ประเภทของเกมการศึกษา ๑. เกมจบั คู่ เช่น จบั คู่ภาพเหมือน จับคู่ภาพกบั เงา จับคภู่ าพกบั โครงร่าง จับคู่ภาพท่ีซ่อนอยู่ ใน ภาพหลัก จับคู่ภาพที่มีความสัมพันธ์กัน จับคู่ภาพสัมพันธ์แบบตรงกันข้าม จับคู่ภาพที่สมมาตร จับคู่ ภาพแบบอนุกรม ฯลฯ ๒. เกมตอ่ ภาพให้สมบูรณ์ (Jigsaws) หรือภาพตัดตอ่ ๓. เกมวางภาพตอ่ ปลาย (โดมิโน) ๔. เกมเรยี งลําดับ ๕. เกมการจัดหมวดหมู่ ๖. เกมการศกึ ษารายละเอยี ดของภาพ (ลอตโต้) ๗. เกมจบั คู่แบบตารางสมั พนั ธ์ (เมตรกิ เกม) ๘. เกมพืน้ ฐานการบวก ๙. เกมหาความสมั พันธ์ตามลําดับที่กาํ หนด ส่ือเกมการศกึ ษา ๑. เกมจบั คู่ เพื่อให้เด็กได้ฝึกสังเกตสิ่งที่เหมือนกันหรือต่างกันซึ่งอาจเป็นการเปรียบเทียบภาพต่างๆ แลว้ จัดเป็นคู่ๆ ตามจดุ ม่งุ หมายของเกมแต่ละชุด เกมประเภทจบั คนู่ ส้ี ามารถแบง่ ได้หลายแบบ ดงั นี้ ๑.๑ เกมจับคู่ภาพทเ่ี หมือนกนั หรือจบั คูส่ ่งิ ของเดยี วกัน ๑.๒ เกมจบั คู่ภาพสิ่งท่มี ีความสมั พันธก์ นั ๑.๓ เกมจบั คู่ภาพชิน้ สว่ นที่หายไป ๑.๔ เกมจบั คภู่ าพทสี่ มมาตรกนั ๑.๕ เกมจับคู่ภาพทสี่ ัมพนั ธก์ ันแบบอุปมาอปุ ไมย ๑.๖ เกมจับคแู่ บบอนกุ รม ๒. เกมภาพตดั ต่อ ๒.๑ ภาพตดั ต่อท่ีสมั พันธก์ ับหน่วยการเรียนต่าง ๆ เชน่ ผลไม้ ผกั ๒.๒ ภาพตัดตอ่ แบบมิตสิ ัมพนั ธ์ ๓. เกมจดั หมวดหมู่ ๓.๑ ภาพสิ่งตา่ ง ๆ ทน่ี ํามาจัดเปน็ พวก ๆ ๓.๒ ภาพเกี่ยวกบั ประเภทของใชใ้ นชวี ติ ประจาํ วนั ๓.๓ ภาพจัดหมวดหมู่ตามรปู รา่ ง สี ขนาด รปู ทรงเรขาคณติ

๙๓ ๔. เกมวางภาพต่อปลาย (โดมิโน) ๔.๑ โดมโิ นภาพเหมือน ๔.๒ โดมโิ นภาพสัมพนั ธ์ ๕. เกมเรียงลําดบั ๕.๑ เรียงลาํ ดับภาพเหตกุ ารณต์ ่อเนอื่ ง ๕.๒ เรียงลาํ ดับขนาด ๖. เกมศกึ ษารายละเอยี ดของภาพ (ลอตโต) ๗. เกมจบั คแู่ บบตารางสมั พนั ธ์ (เมตริกเกม) ๘. เกมพื้นฐานการบวก แนวการจัดกิจกรรมเกมการศึกษา ๑. แนะนาํ กิจกรรมใหม่ ๒. สาธิต / อธบิ าย วิธีเลน่ เกมอยา่ งเปน็ ขัน้ ตอนตามประเภทของเกม ๓. ใหเ้ ดก็ หมุนเวียนเข้ามาเล่นเปน็ กลมุ่ หรอื รายบุคคล ๔. ขณะทเี่ ด็กเล่นเกม ครูเป็นเพยี งผแู้ นะนาํ ๕. เม่อื เดก็ เล่นเกมแต่ละชุดเสร็จเรียบร้อย ควรให้เดก็ ตรวจสอบความถูกต้องดว้ ยตนเอง หรอื รว่ มกันตรวจกบั เพ่อื น หรือครเู ปน็ ผชู้ ว่ ยตรวจ ๖. ให้เดก็ นําเกมที่เลน่ แลว้ เกบ็ ใส่กล่อง เข้าทีใ่ หเ้ รียบร้อยทุกครั้งกอ่ นเล่นเกมชุดอ่ืน ข้อเสนอแนะ ๑. การจัดประสบการณ์เกมการศึกษาในระยะแรก ควรเริ่มสอนโดยใช้ของจริง เช่น การจับคู่ กระปอ๋ งแปง้ ทเ่ี หมือนกัน หรอื การเรยี งลําดบั กระปอ๋ งแปง้ ตามลาํ ดบั สงู - ตำ่ ๒. การเล่นเกมในแตล่ ะวัน อาจจดั ใหเ้ ล่นทั้งเกมชดุ ใหมแ่ ละเกมชดุ เกา่ ๓. ครอู าจใหเ้ ดก็ หมนุ เวียนเขา้ มาเล่นเกมกับครทู ลี่ ะกล่มุ หรอื สอนทัง้ ช้ันตามความเหมาะสม ๔. ครูอาจให้เด็กท่ีเล่นได้แล้ว มาช่วยแนะนาํ กติกาการเลน่ ในบางโอกาสได้ ๕. การเล่นเกมการศึกษา นอกจากใช้เวลาในช่วงกิจกรรมเกมการศึกษาตามตารางกิจกรรม ประจาํ วันแลว้ อาจใหเ้ ดก็ เลือกเล่นอสิ ระในชว่ งเวลากจิ กรรมการเลน่ ตามมมุ ได้ ๖. การเก็บเกมที่เล่นแล้ว อาจเก็บใส่กล่องเล็กๆ หรือใส่ถุงพลาสติกหรือใชย้ างรัดแยก แต่ละ เกม แลว้ จดั ใส่กล่องใหญร่ วมไวเ้ ป็นชุด

๙๔ หลกั สูตรต้านทุจรติ ศกึ ษา (Anti-Corruption Education) ในระดับปฐมวัย กรอบการจดั ทำหลกั สูตรหรือชุดการเรยี นรู้และสื่อประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกนั การ ทุจริต โดยท่ีประชมุ ไดเ้ หน็ ชอบร่วมกันในการจัดทำหลักสตู รหรือชดุ การเรียนรแู้ ละสือ่ ประกอบการ เรยี นรู้ ด้านการปอ้ งกันการทุจริต หวั ข้อวชิ า 4 วชิ า ประกอบดว้ ย 1) การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนกับผลประโยชน์สว่ นรวม 2) ความอายและความไม่ทนต่อการทจุ รติ 3) STRONG : จติ พอเพยี งต้านทจุ ริต 4) พลเมืองและความรับผดิ ชอบตอ่ สังคม หลกั สตู รต้านทุจริตศึกษา ระดบั ปฐมวยั จะใช้เวลาเรยี นทั้งปี จำนวน 40 ช่ัวโมง จัดทำเนอ้ื หา และกจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามความเหมาะสมและการเรียนรใู้ นชว่ งวยั โดยมีรายละเอยี ดดังน้ี ๑. ช่ือหลกั สูตรตา้ นทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education) ในระดับปฐมวัย “รายวิชา เพ่มิ เติม การป้องกนั การทจุ ริต” ตามท่สี ำนกั งานคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจรติ แห่งชาติ ร่วมกบั สำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขนั้ พื้นฐาน และหน่วยงานทีเ่ ก่ียวข้อง ดำเนนิ การจดั ทำหลักสูตรหรือชดุ การ เรยี นรแู้ ละสื่อประกอบการเรียนรู้ ด้านการปอ้ งกนั การทุจริต สำหรบั ใชเ้ ป็นเนอ้ื หามาตรฐานกลางให้ สถาบันการศึกษาหรือหน่วยงานทเี่ กยี่ วข้องนำไปใช้ในการเรยี นการสอนให้กบั กลมุ่ เป้าหมายในระดบั ปฐมวัย เพอ่ื ปลูกฝงั จิตสำนึกในการแยกประโยชนส์ ่วนบคุ คลและประโยชน์สว่ นรวม จิตพอเพียง การ ไม่ยอมรบั และไม่ทนตอ่ การทุจริต โดยใช้ชอ่ื ว่าหลักสูตรตา้ นทจุ ริตศึกษา (Anti-Corruption Education) หลักสตู รท่ี ๑ หลักสตู รการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน โดยมีแนวทางการนำไปใชต้ ามความ เหมาะสมของแตล่ ะโรงเรยี น ดงั น้ี ๑.นำไปจดั เป็นรายวิชาเพ่มิ เติมของโรงเรยี น ๒.นำไปจดั ในช่ัวโมงลดเวลาเรียนเพิม่ เวลารู้ ๓.นำไปบูรณาการกบั การจัดการเรยี นการสอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม (สาระหนา้ ที่พลเมอื ง) หรอื นำไปบูรณาการกับกล่มุ สาระการเรียนรู้อ่นื ๆ ๒. จุดมุง่ หมายของรายวชิ า เพ่ือใหน้ ักเรียนปฐมวัย ๒.๑ มคี วามรู้ ความเขา้ ใจเกี่ยวกับการแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตนกับผลประโยชน์ ส่วนรวม ๒.๒ มคี วามรู้ ความเข้าใจเก่ยี วกับความละอายและความไม่ทนตอ่ การทุจริต ๒.๓ มคี วามรู้ ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั STRONG / จติ พอเพยี งตอ่ ตา้ นการทุจริต

๙๕ ๒.๔ มคี วามรู้ ความเขา้ ใจเกีย่ วกับพลเมืองและมคี วามรับผิดชอบต่อสังคม ๒.๕ สามารถคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนกบั ผลประโยชน์ส่วนรวมได้ ๒.๖ ปฏิบัติตนเปน็ ผลู้ ะอายและไม่ทนตอ่ การทจุ รติ ทกุ รูปแบบ ๒.๗ ปฏิบัตติ นเปน็ ผูท้ ่ี STRONG / จติ พอเพยี งต่อตา้ นการทุจรติ ๒.๘ ปฏบิ ัติตนตามหน้าท่ีพลเมอื งและมีความรบั ผิดชอบต่อสังคม ๓. คำอธบิ ายรายวชิ า ศกึ ษาเกยี่ วกับการแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตนกบั ผลประโยชนส์ ่วนรวม ความ ละอายและความไม่ทนต่อการทุจริต STRONG / จติ พอเพยี งตอ่ ต้านการทุจริต รู้หน้าที่ของพลเมือง และรบั ผดิ ชอบต่อสงั คมในการต่อต้านการทจุ ริต โดยใช้กระบวนการคิด วิเคราะห์ จำแนก แยกแยะ การฝกึ ปฏิบัตจิ ริง การทำโครงงาน กระบวนการเรียนรู้ ๕ ขั้นตอน (๕ STEPs) การอภิปราย การสืบสอบ การแก้ปญั หา ทกั ษะการอา่ น และการเขยี น เพ่ือใหม้ ีความตระหนักและเห็นความสำคญั ของการต่อต้านและการป้องกันการทุจริต ๔.ผลการเรยี นรู้ ๑. มีความรู้ ความเขา้ ใจเก่ยี วกับการแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตน กบั ผลประโยชน์ ส่วนรวม ๒. มคี วามรู้ ความเขา้ ใจเกีย่ วกับความละอายและความไม่ทนตอ่ การทจุ ริต ๓. มคี วามรู้ ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั STRONG / จิตพอเพยี งต่อตา้ นการทุจริต ๔. มีความรู้ ความเข้าใจเกย่ี วกับพลเมืองและมีความรบั ผดิ ชอบต่อสงั คม ๕. สามารถคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตน กบั ผลประโยชน์ส่วนรวมได้ ๖. ปฏบิ ัตติ นเป็นผลู้ ะอายและไม่ทนต่อการทจุ รติ ทุกรูปแบบ ๗. ปฏบิ ตั ติ นเปน็ ผทู้ ี่ STRONG / จิตพอเพียงตอ่ ตา้ นการทุจริต ๘. ปฏิบัติตนตามหน้าทพ่ี ลเมืองและมคี วามรบั ผิดชอบตอ่ สังคม ๙. ตระหนกั และเหน็ ความสำคัญของการต่อตา้ นและป้องกันการทจุ รติ รวมทง้ั หมด ๙ ผลการเรียนรู้

๙๖ ๘.๔ ตารางกจิ กรรมประจำวนั เวลา กจิ กรรมประจำวนั หมายเหตุ ๐๗.๐๐ - ๐๘.๐๐ น. รบั เด็กเปน็ รายบุคคล ๐๘.๐๐ - ๐๘.๑๕ น. เคารพธงชาติและสวดมนต์ ๐๘.๑๕ - ๐๘.๓๐ น. สนทนา ข่าว เหตกุ ารณ์ ตรวจสขุ ภาพ ๐๘.๓๐ - ๐๘.๕๐ น. กจิ กรรมเคลือ่ นไหวและจงั หวะ ๐๘.๕๐ - ๐๙.๕๐ น. กิจกรรมเสรมิ ประสบการณ์ ๐๙.๕๐ - ๑๐.๐๐ น. รบั ประทานอาหารว่างเช้า ๑๐.๐๐ - ๑๐.๒๐ น. กจิ กรรมสรา้ งสรรค์และกจิ กรรมเสรี ๑๐.๒๐ - ๑๑.๐๐ น. กจิ กรรมกลางแจง้ ๑๑.๐๐ - ๑๑.๔๕ น. พกั รับประทานอาหารกลางวนั ๑๑.๔๕ - ๑๒.๐๐ น. แปรงฟนั ๑๒.๐๐ - ๑๔.๐๐ น. นอนพักผ่อน ๑๔.๐๐ - ๑๔.๑๕ น. เก็บท่นี อน ล้างหน้า (รับประทานอาหารเสริม ( นม) ๑๔.๑๕ - ๑๔.๓๐ น. กจิ กรรมเกมการศกึ ษา ๑๔.๓๐ - ๑๔.๔๕ น. เตรยี มตวั กลบั บ้าน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook