Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือแจ้งเบาะแส

คู่มือแจ้งเบาะแส

Published by Sedtanun Chofa, 2021-09-29 04:40:18

Description: คู่มือแจ้งเบาะแส

Search

Read the Text Version

คู่มือ สำนักสง่ เสริมและบรู ณำกำรกำรมสี ่วนร่วมตำ้ นทุจริต สำนกั งำน ป.ป.ช.

“ประเทศไทยใสสะอำด ไทยทงั้ ชำติตำ้ นทจุ รติ ” สำนักงำนคณะกรรมกำรปอ้ งกันและปรำบปรำมกำรทุจริตแห่งชำติ 361 ถนนนนทบรุ ี ตำบลท่ำทรำย อำเภอเมอื งนนทบุรี จงั หวัดนนทบุรี 11000 โทรศพั ท์ 02 528 4800 - 01 สำยด่วน ป.ป.ช. 1205 โทรสำร 0 2528 4913 www.nacc.go.th

คำนำ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช 2560 มาตรา 63 ได้กาหนดว่า รัฐต้องส่งเสรมิ สนับสนุน และให้ความรู้แก่ประชาชนถึงอันตรายที่เกิดจากการทุจริตและประพฤติมิชอบท้ังในภาครัฐและภาคเอกชน และ จัดให้มีมาตรการและกลไกที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบดังกล่าวอย่างเข้มงวด รวมทั้ง กลไกในการส่งเสริมให้ประชาชนรวมตัวกันเพ่ือมีส่วนร่วมในการรณรงค์ให้ความรู้ ต่อต้าน หรือชี้เบาะแส โดยไดร้ บั ความคุ้มครองจากรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 33 ได้กาหนดให้มีมาตรการและกลไกการส่งเสริมให้ประชาชน และหน่วยงานของรัฐมีส่วนร่วมและให้ความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้แต่งต้ังคณะกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนและหน่วยงานของรัฐมีส่วนร่วมในการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต เพื่อให้คาแนะนา ช่วยเหลือ และร่วมมือกันดาเนินการขับเคลื่อนการป้องกันและ ปราบปรามการทจุ ริต ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) ได้กาหนดวิสัยทัศน์ ว่า “ประเทศไทยใสสะอาด ไทยท้ังชาติต้านทุจริต (Zero Tolerance & Clean Thailand)” พันธกจิ คอื “สรา้ งวัฒนธรรมตอ่ ต้านการทจุ ริต ยกระดับธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการทุกภาคส่วนแบบบูรณาการ และปฏิรปู กระบวนการป้องกนั และปราบปรามการทจุ รติ ท้ังระบบให้มมี าตรฐานสากล” ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) ครอบคลุมกระบวนการดาเนินงานด้านการป้องกัน ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยกาหนด ยุทธศาสตร์การดาเนินงานหลักเป็น 6 ยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์ท่ี 1 สร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต ยุทธศาสตร์ท่ี 2 ยกระดับเจตจานงทางการเมืองในการต่อต้านการทุจริต ยุทธศาสตร์ท่ี 3 สกัดกั้นการทุจริต เชิงนโยบาย ยุทธศาสตร์ท่ี 4 พัฒนาระบบการป้องกันการทุจริตเชิงรุก ยุทธศาสตร์ที่ 5 ปฏิรูปกลไกและ กระบวนการปราบปรามการทุจริต ยุทธศาสตร์ที่ 6 ยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทย โดยเปา้ ประสงคข์ องยทุ ธศาสตรช์ าตฯิ คือ ประเทศไทยมีค่าดัชนกี ารรบั รู้การทุจริตสูงกวา่ ร้อยละ 50 คณะอนุกรรมการศึกษาและให้ข้อเสนอแนะการจัดให้มีช่องทางการแจ้งข้อมูล เบาะแส หรือ พยานหลกั ฐาน สาหรับการกระทาความผิดที่อยู่ในหน้าที่และอานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. สานักงาน ป.ป.ช. จัดทาคู่มือการแจ้งข้อมูล เบาะแส หรือพยานหลักฐานสาหรับการกระทาความผิดที่อยู่ในหน้าที่และอานาจของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีวัตถุประสงค์เพ่ือเป็นคู่มือในการแจ้งข้อมูล เบาะแส เก่ียวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบของ เจ้าพนักงานของรฐั และสร้างความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับปัญหาการทุจริต การป้องกันและแนวทางการแก้ไข การเข้ามา มสี ่วนร่วมและใหค้ วามรว่ มมอื ในการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริต รวมถึงแนวทางการส่งเสริมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต สาหรับเจ้าพนักงานของรัฐและประชาชนได้ศึกษาและร่วมมือกันในการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต ดังนนั้ การมสี ว่ นร่วมของภาคสว่ นต่างๆ ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตจะสามารถ ช่วยผลักดันให้ประเทศไทยสามารถลดปัญหาการทุจริตลงได้ อันจะสอดรับกับวิสัยทัศน์ของยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) ที่ว่า “ประเทศไทยใสสะอาด ไทยท้ังชาติ ตา้ นทุจรติ (Zero Tolerance & Clean Thailand)” คณะอนกุ รรมการศึกษาและใหข้ อ้ เสนอแนะการจดั ให้มีช่องทางการแจ้งข้อมลู เบาะแส หรือ พยานหลักฐาน สาหรับการกระทาความผิดที่อยู่ในหนา้ ทแ่ี ละอานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. สานักงาน ป.ป.ช. ตุลาคม 2562



สำรบัญ หนำ้ บทที่ 1 บทนำ 1 1.1 หลกั การและเหตุผล 1 1.2 วตั ถปุ ระสงค์ 2 1.3 สถานการณ์การทุจริตของประเทศไทย 2 1.4 การปอ้ งกนั และแก้ไขปัญหาการทจุ ริต 7 บทท่ี 2 กำรมสี ่วนรว่ มของประชำชนในกำรต่อต้ำนกำรทจุ ริต 17 2.1 การสารวจความคดิ เหน็ ของประชาชนเก่ยี วกบั สทิ ธกิ ารรับรู้ข่าวสารการรบั รู้ 17 การทจุ ริต ผลกระทบและความเสียหายท่เี กิดจากการทจุ รติ ตอ่ ประชาชน 2.2 รูปแบบการมสี ่วนร่วม 23 2.3 กฎหมายทีเ่ กย่ี วข้อง 24 บทท่ี 3 กำรขัดกนั ระหวำ่ งประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม 29 3.1 รูปแบบการขัดกันระหว่างประโยชนส์ ่วนบคุ คลกบั ประโยชน์ส่วนรวม 30 3.2 กฎหมายท่เี กย่ี วข้อง 35 บทที่ 4 กำรแจ้งเบำะแส/กำรร้องเรยี นกำรทจุ ริตต่อหนำ้ ที่ 37 4.1 การแจ้งเบาะแส/การรอ้ งเรียนการทุจริตต่อหน้าที่ 37 4.2 ตวั อยา่ งการตรวจสอบ 43 4.2.1 การตรวจสอบการจัดซอื้ จดั จ้าง 47 4.2.2 การตรวจสอบงานกอ่ สรา้ ง 48 4.2.3 ทด่ี นิ และทรัพยากรธรรมชาติ 52 4.3 ตวั อย่างคดีทุจรติ 53 บทท่ี 5 กำรส่งเสริมกำรป้องกนั และปรำบปรำมกำรทุจริต 59 5.1 การสง่ เสริมให้ประชาชนร่วมมอื กับคณะกรรมการ ป.ป.ช. 59 5.1.1 การจดั ให้มีมาตรการคุ้มครองช่วยเหลือ 59 5.1.2 การจดั ให้มรี างวัล 61 5.1.3 กองทนุ ป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาติ 63 5.2 กฎหมายที่เกี่ยวข้อง 64 ภำคผนวก 69 71 ก แบบหนงั สือแจง้ คากล่าวหา (การร้องเรียน/แจง้ เบาะแส) ข ตัวอยา่ งการร้องเรียนเจ้าพนกั งานของรฐั กระทาการทุจริตต่อหนา้ ที่

สำรบัญ (ต่อ) หน้ำ ค แบบการร้องเรยี น/แจง้ เบาะแสทางเว็บไซต์สานักงาน ป.ป.ช. 72 ง ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาติวา่ ด้วยการค้มุ ครอง 75 ชว่ ยเหลือพยาน พ.ศ. 2562 82 จ ระเบยี บคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาตวิ า่ ด้วยกองทุนป้องกันและ 90 ปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ พ.ศ. 2562 91 ฉ รายช่อื คณะกรรมการ ป.ป.ช. ช คาสั่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ท่ี 69/2562 เรอ่ื ง แตง่ ต้งั คณะกรรมการสง่ เสรมิ และ 93 สนบั สนนุ ใหป้ ระชาชนและหน่วยงานของรัฐมีส่วนร่วมในการปอ้ งกันและปราบปราม การทุจรติ ซ คาสัง่ คณะกรรมการ สปท. ท่ี 2/2562 เรื่อง แต่งต้งั คณะอนุกรรมการศึกษาและให้ ขอ้ เสนอแนะการจดั ให้มีช่องทางการแจง้ ขอ้ มลู เบาะแสหรือพยานหลกั ฐาน สาหรับ การกระทาความผิดทอี่ ยู่ในหนา้ ที่และอานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.

บทที่ 1 บทนำ 1.1 หลักกำรและเหตุผล ปัญหาการทจุ รติ ถอื เป็นปญั หาท่สี าคญั สง่ ผลกระทบต่อประเทศชาติอย่างมากและเป็นอุปสรรคต่อการ พฒั นาประเทศในด้านต่าง ๆ รูปแบบการทุจริตได้ปรับเปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็นการทุจริตอย่างง่ายเป็นการทุจริต ที่มีความซับซ้อนมากยิ่งข้ึน เช่น การทุจริตเชิงนโยบาย การฟอกเงิน เป็นต้น การทุจริตที่เกิดขึ้นภายในประเทศและ ขยายสู่ต่างประเทศ (International) ท้ังรูปแบบการข้ามแดน (Cross-border) หรือข้ามชาติ (Transnational) ซ่ึงเป็นผลมาจากการเคลื่อนตัวของประชาชนระหว่างประเทศ สะดวกและรวดเร็วมากข้ึน รวมทั้งการใช้เทคโนโลยี ทันสมัยและการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ในทางท่ีผิด ทาให้การตรวจสอบ การรวบรวมข้อมูล การติดตามรวบรวม พยานหลกั ฐานและการนาผู้ท่ีกระทาผดิ เพอ่ื ดาเนนิ คดยี งุ่ ยาก ประเทศไทยได้เข้าร่วมให้สัตยาบันในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 (United Nations Convention against Corruption : UNCAC) เม่ือวนั ท่ี 31 มีนาคม 2554 ซึ่งประเทศไทย ได้ดาเนินการเร่ืองการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมาอย่างต่อเน่ือง มีการจัดทายุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการ ปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ มาอย่างต่อเนือ่ ง ซ่ึงปัจจุบันได้ดาเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทจุ ริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) โดยกาหนดเป้าประสงค์ของยุทธศาสตร์ชาติ คือ ประเทศไทย มีค่าดัชนีการรับรู้การทุจริตสูงกว่าร้อยละ 50 เพ่ือเป็นการยกระดับของประเทศไทยให้สามารถลดปัญหาการทุจริต ลงได้ การทุจริตในประเทศไทยสามารถแบ่งเป็น 2 ระดับใหญ่ ๆ ได้แก่ การทุจริตระดับชาติและการทุจริต ระดบั ท้องถิ่น ซึ่งท้ัง 2 ระดบั มคี วามแตกต่างกนั ในเรื่องของขอบเขตอานาจท่ีใช้ โดยการทุจริตระดับชาติ มักจะเป็น ในลักษณะของการออกกฎหมาย การแก้ไขกฎหมายเพ่ือเอ้ือประโยชน์ให้กับตนเองและพรรคพวก การทุจริต เชิงนโยบายต่าง ๆ เช่น การซ้ือขายตาแหน่ง การอนุมัติจัดซ้ือจัดจ้างโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะโครงการที่มี งบประมาณที่สูงมากจะเป็นช่องทางให้เกิดการกอบโกยผลประโยชน์ได้มากข้ึนด้วย ส่วนการทุจริตระดับท้องถิ่น จะมีลักษณะเป็นการทุจริตด้านงบประมาณ การจัดซ้ือจัดจ้าง อิทธิพล เป็นต้น ท้ังน้ี ปัญหาอย่างหนึ่งที่สามารถพบ ได้ทัง้ ในระดับประเทศและระดับทอ้ งถ่นิ คือ ระบบอุปถมั ภ์ที่จะนาไปสู่การทจุ ริตได้ การป้องกันและปราบปรามการทุจริตท่ีผ่านมาอาศัยเพียงการดาเนินกา รของหน่วยงานของรัฐท่ีมี หน้าที่เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตเพียงอย่างเดียว ยังขาดความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ อย่างจริงจัง ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันท่ี 24 กรกฎาคม 2555 เห็นชอบให้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้าน การทุจริต (ศปท.) ในทุกส่วนราชการ และได้มีคาส่ังหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเกี่ยวกับเรื่อง การ ตรวจสอบการปฏิบัติราชการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบราชการ (คาส่ังหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔๗/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๙) โดยการดาเนินการตามคาส่ังดังกล่าวกาหนดให้มีศูนย์อานวยการ ต่อต้านการทุจริต (ศอตช.) และศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต (ศปท.) เป็นกลไกในการประสานงานและ ตรวจสอบ ดังน้ัน จึงใหท้ กุ สว่ นราชการให้ความรว่ มมือในการปฏิบัตงิ านของ ศอตช. และ ศปท. เพ่ือไม่ให้เกิดการทุจริต คอร์รัปชันในระบบราชการ รวมท้ังให้ส่วนราชการกากับดูแลบุคลากรในสังกัดท่ีปฏิบัติหน้าที่ที่เก่ียวข้องกับการ ให้บริการและการอานวยความสะดวกแก่ประชาชนให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรวดเร็ว เท่าเทียมกันและเป็นธรรม โดยไม่ให้มีการแสวงประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าท่ีดังกล่าว แต่การอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐเพียง อย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริตท่ีจะต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคประชาชน

2 ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดาเนินการต่อต้านการทุจริต รวมถึงการดาเนินการป้องกันการทุจริตของ หน่วยงานภาครฐั จะต้องเน้นในเชงิ รุกมากขึ้น ส่ิงหนง่ึ ทีจ่ ะมสี ่วนในการชว่ ยให้การป้องกันการทจุ ริตเกิดประสิทธิภาพ ประสทิ ธิผลไดม้ ากขึน้ คือ การแจง้ เบาะแสการทจุ ริต ทงั้ น้ี เนอ่ื งจากการตรวจสอบการทุจริตของหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง จะไม่สามารถดาเนินการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพได้ หากไม่ได้รับความร่วมมือในการแจ้งข้อมูล เบาะแส การทจุ ริต ซ่ึงข้อมลู ดงั กลา่ วจะมสี ว่ นชว่ ยใหก้ ารตดิ ตามขอ้ มูล บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตมีความรวดเร็วมากขึ้น และถือเป็นการยับย้ังการกระทาที่จะก่อให้เกิดความเสียหายกับประเทศชาติ หรือเป็นการบรรเทาความเสียหาย ทีจ่ ะเกิดขน้ึ การเขา้ มามีสว่ นร่วมในการป้องกนั และปราบปรามการทุจริต จึงถือเป็นเร่ืองที่สาคัญเพราะการแก้ไข ปัญหาการทจุ ริตจะต้องไดร้ ับความรว่ มมือจากทุกภาคส่วน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 63 ได้บัญญัติถึงการมีส่วนร่วมของ ประชาชนในการต่อต้านการทุจริต เม่ือกฎหมายระดับสูงสุดของประเทศได้มีการบัญญัติไว้ดังกล่าวเท่ากับว่า การดาเนินการต่าง ๆ ของทุกภาคส่วนในประเทศจะต้องเน้นในเรื่องการมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปราม การทจุ ริตดว้ ย ซึ่งการเข้ามามสี ่วนรว่ มในการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริตสามารถเข้ามาได้หลายลักษณะและ หลายรูปแบบ รวมถึงการส่งเสริมและสนับสนุนข้อมูล ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดาเนินโครงการ/กิจกรรมของ หน่วยงานของรัฐทอี่ าจสอ่ ไปในทางทุจริตเพื่อใหห้ น่วยงานท่ีเกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบได้อย่างรวดเร็ว นอกจากน้ี ยังได้มีกฎหมายท่เี กี่ยวขอ้ งเพ่อื ชว่ ยสนับสนนุ ให้ประชาชนหรอื บคุ คลต่าง ๆ ไดเ้ ข้ามามีส่วนรว่ มในการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตได้สะดวกมากขึ้น รวมถึงการได้รับความคุ้มครองต่าง ๆ ในฐานะของผู้แจ้งข้อมูล เบาะแสหรือ พยานหลักฐานเก่ียวกับการทุจริต ซึ่งคู่มือการแจ้งข้อมูล เบาะแส หรือพยานหลักฐาน สาหรับการกระทาความผิด ท่ีอยู่ในหน้าที่และอานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เล่มน้ีจะกล่าวถึงสถานการการณ์ทุจริตของประเทศไทย การป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริต การเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน การแจ้งเบาะแส/การร้องเรียนการทุจริต ต่อหน้าที่ และการสง่ เสริมการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ 1.2 วัตถุประสงค์ 1.2.1 เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจ เก่ียวกับปัญหาการทุจริต การป้องกันและแนวทางการแก้ไขปัญหา การทจุ รติ 1.2.2 เพ่ือให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และร่วมมือกันท่ีจะเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปราม การทจุ รติ 1.2.3 เพ่อื ให้ทราบถงึ แนวทางการส่งเสรมิ การป้องกนั และปราบปรามการทจุ รติ 1.2.4 เพื่อเป็นคู่มือสาหรับประชาชนในการแจ้งข้อมูล เบาะแส หรือพยานหลักฐาน สาหรับการกระทา ความผดิ ของเจา้ พนักงานของรัฐเก่ียวกบั การทจุ ริตและประพฤติมชิ อบ 1.3 สถำนกำรณ์กำรทุจรติ ของประเทศไทย ปัญหาการทุจริตได้เกิดขึ้นทุกภาคส่วนท้ังภาครัฐและภาคเอกชน โดยท่ีน่าเป็นห่วงอย่างมากคือ ผลเสีย ท่ีเกิดข้ึนจากการทุจริต ปัจจุบันการทุจริตได้เกิดข้ึน แม้แต่ในองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกาไร องค์กรเพ่ือการกุศล การดาเนินคดีทุจริต จึงมีความยากลาบากข้ึนมากตามไปด้วย ทั้งปัญหาการทุจริตท่ีขยายวงกว้างขึ้น รูปแบบที่ ซับซ้อนยากแก่การตรวจสอบ ความเชื่อมโยงของระบบอุปถัมภ์ เล่นพรรคเล่นพวก ทาให้การตรวจสอบของหน่วยงาน ท่ีทาหน้าที่ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตไม่สามารถดาเนินการได้อย่างรวดเร็ว แม้ภายหลังจะมีการ จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เพ่ือดาเนินการพิจารณาคดีที่เก่ียวกับการทุจริตโดยเฉพาะและ เพอ่ื ให้มคี วามรวดเรว็ มากขน้ึ ในการดาเนนิ คดีในศาล

3 ปัจจุบันการกล่าวหา ฟ้องร้องคดีการทุจริตถือเป็นบทบาทสาคัญของภาคส่วนต่าง ๆ ในการเข้ามา มีสว่ นร่วมในการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริต แต่บางครั้งก็เป็นโอกาสให้เกิดการกล่าวหากันในทางที่ไม่ชอบ ภาคส่วนที่มีบทบาทมาก คือ ภาคการเมือง กล่าวคือ ปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทยช่วงหลายปี ท่ีผา่ นมา ส่วนหนึ่งเกิดจากการตื่นตัวของประชาชนในการไม่ยอม ไม่ทนต่อการทุจริตและเรียกร้องให้หน่วยงานต่าง ๆ ท่ีมีหน้าที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบการกระทาของบุคคลเหล่านั้น จากปัญหาดังกล่าวจึงได้เกิดการลุกลามมากขึ้น จนนาไปสู่การยดึ อานาจจากรฐั บาล เพือ่ ดาเนนิ การควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในสภาวะปกติ ซึ่งหลาย ๆ ประเทศ ได้มีความเหน็ พอ้ งตอ้ งกนั ว่าการทุจรติ เป็นปัญหาใหญ่ท่ีเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม โดยส่วนมากการทุจริตจะเกิดข้นึ ได้ในประเทศทมี่ สี ถานการณ์ ดังน้ี 1) มีกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อกาหนด จานวนมากที่เก่ียวข้องกับการดาเนินการทางธุรกิจ ซึ่งจะเป็นโอกาสที่จะทาให้เกิดมูลค่าเพ่ิมหรือกาไรส่วนเกินทางเศรษฐกิจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมาตรการ หรือข้อกาหนดดังกลา่ วมคี วามซับซอ้ น คลุมเครือ เลือกปฏิบตั เิ ป็นความลบั หรือไม่โปร่งใส 2) เจ้าหน้าที่ผู้มีอานาจมีสิทธิขาดในการใช้ดุลยพินิจ ซึ่งให้อิสระในการเลือกปฏิบัติเป็นอย่าง มากวา่ จะเลอื กใชอ้ านาจใด กบั ใครกไ็ ด้ 3) ไม่มีกลไกที่มีประสิทธิภาพหรือองค์กรที่มีหน้าท่ีควบคุมดูแลและจัดการต่อการกระทาของ เจา้ หนา้ ท่ีท่ีมีอานาจ ประเทศทกี่ าลงั พฒั นาจะมกี ารทจุ รติ เกิดขน้ึ ไดอ้ ยา่ งมาก เนอ่ื งจากสาเหตุหลายประการ เช่น ความอยากมี อยากได้ รายได้ท่ีไม่เพียงพอต่อการดารงชีพ กฎ ระเบียบท่ีเอื้อต่อการทุจริต ความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง เป็นต้น กำรทุจริตในประเทศไทย อาจจาแนกออกเป็น 2 ระดับ ได้แก่ การทุจริตในระดับชาติ และการทุจริต ในระดบั ทอ้ งถนิ่ 1. กำรทุจริตในระดับชำติ การทุจริตเชิงนโยบาย (Policy Corruption) เป็นรูปแบบการทุจริตที่นักการเมือง ใช้อานาจทางด้านการบริหารราชการแผ่นดิน รวมถึงอานาจนิติบัญญัติท่ีได้มาจากความไว้วางใจของประชาชน เปน็ เครอื่ งมอื ในการออกกฎหมาย การแก้ไขกฎหมาย การแก้ไขระเบียบ ข้อบังคับและนโยบายโดยอาศัยช่องโหว่ ของกฎหมาย กฎระเบียบ และตีความกฎหมาย กฎ ระเบียบ และนโยบายรองรบั การทุจรติ เชิงนโยบายยังปรากฏ ในรูปแบบอ่ืน ๆ เช่น การซ้ือขายตาแหน่งในระดับสูงทางราชการ ได้แก่ ตาแหน่งอธิ บดี ตาแหน่งผู้บริหารใน รัฐวสิ าหกิจ ในตาแหน่งทีม่ อี านาจอนมุ ัตเิ หน็ ชอบโครงการต่างๆ ได้ นาไปสู่การตรวจสอบท่ีหละหลวมในโครงการ ก่อสร้าง การจัดซื้อจัดจ้างในภาครัฐ และการใช้วิธีพิเศษในการดาเนินการหลีกเล่ียงกฎเกณฑ์ มาตรการป้องกัน การทจุ รติ ต่าง ๆ ในแต่ละกระบวนการ ขั้นตอนมีการแบ่งผลประโยชน์กันในหมู่พวกพ้อง เช่น การทาแบบก่อสร้างที่ ไม่มคี วามชัดเจน การใช้เงินกู้จากต่างประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ระเบียบสานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุฯ รวมทงั้ เสนอโครงการเร่งดว่ นเพอื่ จัดจ้างโดยวิธพี ิเศษ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมรี ปู แบบของการว่าจ้างแบบเหมารวม (Turnkey) ซ่ึงผู้รับเหมาโครงการสามารถปรับเปล่ียนแผนงานต่าง ๆ ได้ตลอดเวลา สามารถปรับเพ่ิมค่าใช้จ่าย และขออนมุ ตั งิ บประมาณเพ่ิมไดง้ า่ ย อกี ท้ังยังเปิดช่องให้บริษัทเอกชนเรียกร้องค่าชดเชยจากรัฐได้ ซึ่งมักเกิดจาก การทาสญั ญาท่หี ละหลวม มีชอ่ งวา่ งใหห้ น่วยงานรัฐเสียเปรยี บ 2. กำรทุจรติ ในระดบั ท้องถ่ิน การกระจายอานาจลงสู่ท้องถิ่นที่มีวัตถุประสงค์สาคัญเพื่อให้บริการต่าง ๆ ของรัฐสามารถตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ในทางปฏิบัติเกิดการทุจริต ในท้องถ่ินเพิ่มมากย่ิงขึ้นเช่นเดียวกัน ลักษณะการทุจริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินจาแนกเป็น 7 ประเภท ดงั น้ี

4 1. การทุจรติ ด้านงบประมาณ การทาบญั ชี การจัดซื้อจัดจ้าง และการเงินการคลัง ส่วนใหญ่เกิดจาก การละเลยขององค์กรปกครองส่วนท้องถนิ่ 2. การทจุ รติ ทีเ่ กดิ จากตวั บคุ คล 3. การทุจรติ ท่ีเกดิ จากชอ่ งวา่ งของกฎ ระเบียบ และกฎหมาย 4. การทจุ รติ ทีเ่ กดิ จากการขาดความรูค้ วามเขา้ ใจและขาดคุณธรรมจริยธรรม 5. การทุจริตที่เกดิ จากการขาดการประชาสมั พันธใ์ หป้ ระชาชนทราบ 6. การทจุ รติ ทเ่ี กิดจากการตรวจสอบขาดความหลากหลายในการตรวจสอบจากภาคสว่ นตา่ ง ๆ 7. การทจุ ริตที่เกดิ จากอานาจ บารมี และอิทธิพลท้องถิ่น รูปแบบกำรทุจริตในประเทศไทย องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparent International : TI) ไดก้ าหนดนิยามและรปู แบบของการทุจริต เปน็ 7 ประเภท ได้แก่ 1. การทุจริตขนาดใหญ่ (Grand Corruption) เป็นการกระทาของเจา้ หน้าที่รัฐระดับสงู เพ่อื บิดเบอื น นโยบายหรือการใช้อานาจรัฐในทางมิชอบ เพ่ือให้ผู้นาหรือผู้บริหารประเทศได้รับผลประโยชน์จากการใช้ทรัพยากร ของชาติ 2. การทจุ รติ ขนาดเลก็ (Petty Corruption) เป็นการกระทาของเจ้าพนักงานของรัฐระดับกลาง และระดบั ล่างต่อประชาชนทั่วไป โดยการใช้อานาจหน้าท่ที ีไ่ ดร้ บั มอบหมายในทางมชิ อบ 3. การตดิ สนิ บน (Bribery) เปน็ การเสนอ การให้ หรือสัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์ทั้งในรูปของ เงิน สิง่ ของ และส่ิงตอบแทนต่าง ๆ เพอ่ื เป็นแรงจูงใจให้เกดิ การกระทาผิดกฎหมายหรอื ศีลธรรมอันดี 4. การยักยอก (Embezzlement) คือ การท่ีพนักงานหรือเจ้าหน้าที่องค์กรของรัฐนาเงินหรือ ส่ิงของทีไ่ ดร้ บั มอบหมายใหใ้ ชใ้ นหน้าท่ีราชการ มาใช้เพ่ือประโยชนส์ ่วนตนหรือเพ่ือกิจกรรมอื่นที่ไมเ่ กีย่ วขอ้ ง 5. การอุปถัมภ์ (Patronage) เป็นรูปแบบหน่ึงของการเล่นพรรคเล่นพวก ด้วยการคัดเลือกบุคคลจาก สายสมั พนั ธท์ างการเมือง หรือเครือข่าย (Connection) เพ่ือเข้ามาทางานหรือเพ่ือได้รับผลประโยชน์โดยไม่คานึงถึง คุณสมบตั ิและความเหมาะสม 6. การเลือกท่ีรักมักที่ชัง (Nepotism) เป็นรูปแบบหนึ่งของการเล่นพรรคเล่นพวก โดยเจ้าพนักงาน ของรัฐจะใช้อานาจท่มี ีในการใหผ้ ลประโยชน์หรือให้หน้าท่ีการงานแก่เพื่อน ครอบครัว หรือบุคคลใกล้ชิด โดยไม่คานึง ถงึ คณุ สมบตั แิ ละความเหมาะสม 7. ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) คือการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับ ประโยชน์ส่วนรวมอนั เกดิ จากการท่ีบคุ คลตอ้ งมหี น้าทห่ี รือสถานะมากกว่า 1 สถานะ สถำนกำรณ์กำรทุจริตในประเทศไทย เม่ือพิจารณาจากเรื่องกล่าวหาร้องเรียนที่เข้าสู่การพิจารณา ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. 5 ปีย้อนหลัง สามารถจัดกลุ่มประเภทคดีทุจริตที่พบการกล่าวหาร้องเรียนมากท่ีสุด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 - 2561 จานวน 3 ลาดบั คอื 1. การทจุ ริตเกย่ี วกับจัดซอ้ื จดั จ้าง 2. การทจุ ริตเกยี่ วกับกระบวนการยตุ ิธรรมและความม่นั คง 3. การทจุ รติ เกยี่ วกบั ทรพั ยากรธรรมชาติ

5 แผนภาพกลุ่มประเภทคดที จุ รติ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 (ข้อมลู ณ วันท่ี 7 มถิ ุนายน 2562) 11% 11% 20% กระบวนการยุติธรรมและความ 2% 10% มนั่ คง (20%) ทรัพยากรธรรมชาติและ สง่ิ แวดล้อม (10%) การศกึ ษา (9%) การจดั ซื้อจัดจ้าง (47%) ดา้ นเศรษฐกจิ (2%) 47% 9% การให้บริการสาธารณูปโภค (การก่อสร้างพื้นฐาน) (11%) ทม่ี า : ระบบติดตามเรื่องกล่าวหาในความรบั ผิดชอบ Case Follow System (CFS) องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparent International : TI) ได้ทาการประเมินดัชนีการรับรู้ การทจุ ริต (Corruption Perceptions Index : CPI) เพื่อเป็นการวัดถึงสถานการณ์การทุจริตของประเทศต่าง ๆ ว่าอยใู่ นระดับใด ซ่ึงการประเมินคะแนนของประเทศไทยใช้แหล่งการประเมินจากจานวน 9 แหล่ง ผลการจัดอันดับ ของประเทศไทยได้คะแนนดชั นกี ารรับรู้การทุจริต ดงั น้ี ตารางแสดงคะแนนดชั นีการรับรกู้ ารทุจรติ ของประเทศไทย ระหวา่ งปี พ.ศ. 2547 – 2561 ปี พ.ศ. คะแนน อนั ดับ จำนวนประเทศ 2547 3.60 (คะแนนเต็ม 10) 64 146 2548 3.80 (คะแนนเตม็ 10) 59 159 2549 3.60 (คะแนนเต็ม 10) 63 163 2550 3.30 (คะแนนเต็ม 10) 84 179 2551 3.50 (คะแนนเตม็ 10) 80 180 2552 3.40 (คะแนนเตม็ 10) 84 180 2553 3.50 (คะแนนเตม็ 10) 78 178 2554 3.40 (คะแนนเต็ม 10) 80 183 2555 37 (คะแนนเตม็ 100) 88 176 2556 35 (คะแนนเตม็ 100) 102 177 2557 38 (คะแนนเต็ม 100) 85 175 2558 38 (คะแนนเตม็ 100) 76 168 2559 35 (คะแนนเตม็ 100) 101 176 2560 37 (คะแนนเต็ม 100) 96 180 2561 36 (คะแนนเตม็ 100) 99 180 ทมี่ า : องคก์ รเพือ่ ความโปรง่ ใสนานาชาติ

6 แผนภาพ ดชั นกี ารรับรู้การทจุ ริตของประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2538 - 2561 หมำยเหตุ : ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 มกี ารเปลย่ี นแปลงคา่ ดัชนีช้วี ัดจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน เปน็ คะแนนเตม็ 100 คะแนน ทมี่ า : http://cpi.transparency.org/cpi2015/results ตารางแสดงดัชนีการรบั รู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index : CPI) พ.ศ. 2561 (จากจานวน 180 ประเทศทั่วโลก) อันดับ ประเทศ คะแนน อันดบั ประเทศ คะแนน (100) (100) 1 ราชอาณาจกั รเดนมารก์ 88 93 โคโซโว 37 2 นิวซแี ลนด์ 87 93 มาซโิ ดเนยี 37 3 สาธารณรัฐฟนิ แลนด์ 85 93 มองโกเลยี 37 3 สาธารณรฐั สงิ คโปร์ 85 93 ปานามา 37 3 ราชอาณาจกั รสวีเดน 85 99 อัลบาเนีย 36 3 สมาพนั ธรฐั สวสิ 85 99 บาหเ์ รน 36 7 ราชอาณาจกั รนอร์เวย์ 84 99 โคลอมเบีย 36 8 ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ 82 99 สาธารณรฐั ฟิลปิ ปนิ ส์ 36 9 แคนาดา 81 99 แทนซาเนยี 36 9 ราชรัฐเซมเบิร์ก 81 99 ราชอาณาจกั รไทย 36 11 เยอรมนี 80 105 อลั จเี รีย 35 11 สหราชอาณาจกั ร 80 105 อารม์ าเนีย 35

7 ตารางแสดงดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index : CPI) ของประเทศสมาชิกอาเซียน ระหว่างปี พ.ศ. 2560 – 2561 ปี พ.ศ. 2560 ปี พ.ศ. 2561 อนั ดบั อันดบั โลก ประเทศ คะแนน อันดบั อนั ดับโลก ประเทศ คะแนน ในอาเซยี น (176 ประเทศ) (100) ในอาเซยี น (176 ประเทศ) (100) 84 85 1 6 สงิ คโปร์ 62 1 3 สงิ คโปร์ 63 47 2 47 2 32 บรูไน 37 3 31 บรูไน 38 37 4 36 3 62 มาเลเซีย 35 5 61 มาเลเซยี 36 34 5 33 4 96 อินโดนีเซยี 30 6 89 อินโดนีเซีย 29 29 7 29 4 96 ไทย 21 7 99 ไทย 20 8 5 107 เวียดนาม 99 เวยี ดนาม 6 111 ฟิลปิ ปนิ ส์ 117 ฟิลิปปนิ ส์ 7 130 เมียนมา 132 เมียนมา 8 135 ลาว 132 ลาว 9 161 กัมพชู า 161 กัมพชู า ทมี่ า : www.transparency.org คะแนนดชั นกี ารรับรู้การทจุ รติ ของประเทศไทยที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าปัญหาการทุจริตของประเทศไทย ยังคงมีปัญหาสาคัญท่ีต้องได้รับความร่วมมืออย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน เพื่อทาให้ปัญหาดังกล่าวลดลง ดังน้ัน ในยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) จึงได้กาหนด ประเด็นยทุ ธศาสตร์ท่ี 6 คอื ยกระดับคะแนนดัชนีการรบั ร้กู ารทุจริต โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือยกระดับคะแนนดัชนี การรบั รกู้ ารทุจรติ ของประเทศไทยใหม้ รี ะดับสงู กว่าร้อยละ 50 1.4 กำรป้องกันและแกไ้ ขปญั หำกำรทจุ ริต ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ดาเนินการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมาเป็นระยะเวลายาวนาน มีการ กาหนดกฎหมาย ยุทธศาสตร์ แผนงาน กลยุทธ์ต่าง ๆ ไว้เป็นจานวนมาก ซ่ึงปัจจุบันได้กาหนดเก่ียวกับการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต เพื่อแก้ไขปัญหาการทุจริตให้มีประสิทธิภาพไว้ในกฎหมายและยุทธศาสตร์ที่เก่ียวข้อง ดังนี้ 1.4.1 รฐั ธรรมนญู แห่งรำชอำณำจกั รไทย พุทธศกั รำช 2560 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้กาหนดหน้าที่ของปวงชนชาวไทย และของรัฐเก่ยี วกบั การปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ ริตไวด้ ังนี้ หมวด 4 หน้ำที่ของปวงชนชำวไทย มำตรำ 50 บคุ คลต้องมีหนา้ ท่ี ดังต่อไปน้ี (1) ......................................................................................................... (๑๐) ไม่รว่ มมือหรอื สนับสนนุ การทุจริตและประพฤติมชิ อบทุกรูปแบบ

8 หมวด 5 หน้ำท่ขี องรัฐ มำตรำ 63 รัฐต้องส่งเสริม สนับสนุน และให้ความรู้แก่ประชาชนถึงอันตรายที่เกิดจากการทุจริต และประพฤติมิชอบทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน และจัดให้มีมาตรการและกลไกท่ีมีประสิทธิภาพเพ่ือป้องกันและ ขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบดังกล่าวอย่างเข้มงวด รวมทั้งกลไกในการส่งเสริมให้ประชาชนรวมตัวกัน เพือ่ มีส่วนรว่ มในการรณรงค์ให้ความรู้ ตอ่ ตา้ น หรือชีเ้ บาะแส โดยได้รบั ความคมุ้ ครองจากรฐั ตามที่กฎหมายบัญญตั ิ มำตรำ 68 รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ และให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว และไม่เสีย ค่าใชจ้ ่ายสงู เกินควร รัฐพึงมีมาตรการคุ้มครองเจ้าพนักงานของรัฐในกระบวนการยุติธรรม ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ ได้โดยเครง่ ครดั ปราศจากการแทรกแซงหรอื ครอบงาใด ๆ รัฐพึงใหค้ วามช่วยเหลือทางกฎหมายที่จาเป็นและเหมาะสมแก่ผู้ยากไร้หรือผู้ด้อยโอกาสในการ เขา้ ถึงกระบวนการยตุ ิธรรม รวมตลอดถงึ การจดั หาทนายความให้ 1.4.2 พระรำชบัญญัติแผนและขัน้ ตอนกำรดำเนนิ กำรปฏิรปู ประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐ พระราชบัญญัติแผนและข้ันตอนการดาเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐ สืบเนื่องมาจาก รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 หมวด 16 การปฏิรูปประเทศ ท่ีกาหนดให้ต้องมีการ จัดทาแผนการปฏิรูปประเทศเพ่ือบรรลุเป้าหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ความสามัคคีปรองดอง การพัฒนา อย่างย่ังยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สังคมมีความสุข เป็นธรรม มีคุณภาพชีวิตท่ีดี และมีส่วนร่วมในการ พัฒนาประเทศและการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซ่ึงการจัดทาแผน ปฏิรูปประเทศที่สาคัญด้านหนึ่ง คือ การจัดทาแผนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2561 – 2565 โดยกาหนดประเด็นการปฏิรูปใน 4 ด้าน และมีจุดเน้นในแต่ละด้าน คือ - ด้านการป้องกัน/เฝ้าระวัง เน้นการผลักดันให้มีกฎหมายรองรับการรวมตัวของประชาชน เพื่อต่อตา้ นการทจุ รติ ประพฤตมิ ชิ อบ ภายใน ๒ ปี - ด้านการป้องปราม เน้นให้มีการลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าพนักงานของรัฐในการใช้อานาจ ผลักดนั ใหม้ กี ฎหมายว่าดว้ ยข้อมูลขา่ วสารสาธารณะภายใน ๒ ปี ท่ปี ระชาชนสามารถเขา้ ถึงขอ้ มูลข่าวสารได้โดยไม่ต้อง ร้องขอ กาหนดให้มีการแสดงฐานะทางการเงินของเจ้าพนักงานของรัฐที่เปิดเผย ตรวจสอบได้และการกาหนด ให้มีมาตรการที่เป็นไปได้ในการสืบหาและกากับดูแลการเคล่ือนย้ายข้ามพรมแดนของตนซึ่งเงินสดและตราสาร เปลยี่ นมอื ได้ - ดา้ นการปราบปราม เน้นให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐมีหน้าท่ีต้องดาเนินมาตรการทางวินัย มาตรการทางปกครอง และมาตรการทางกฎหมายต่อเจ้าพนักงานของรัฐในสังกัดท่ีถูกกล่าวหาหรือพบเหตุอันควร สงสัยว่าประพฤติมิชอบ หรือกระทาการทุจริต การให้มีกฎหมายกาหนดความผิดจากการกระทาโดยเจตนาของ เจ้าพนักงานของรัฐท่ีทุจริตต่อหน้าที่ การใช้อานาจโดยมิชอบ และการร่ารวยผิดปกติที่ชัดเจน เพื่อความรวดเร็ว ในการไต่สวนและเป็นไปตามมาตรฐานสากล หากกรณีท่ีหัวหน้าส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐละเลย ละเว้น รู้เห็นเป็นใจหรือมีสถานะเป็นผู้ถูกกล่าวหาในกรณีทุจริตหรือประพฤติมิชอบ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดาเนินการ ตามอานาจหน้าท่ีโดยแจ้งให้ผู้มีอานาจในการแต่งตั้งหรือถอดถอนใช้อานาจทางปกครองทันที การเร่งรัดติดตาม ทรพั ย์สินที่เกิดจากการกระทาผดิ ทงั้ ในประเทศและตา่ งประเทศใหต้ กเปน็ ของแผ่นดิน และออกแบบกระบวนการ บรหิ ารคดีใหม่ ให้มขี นั้ ตอนเท่าท่จี าเปน็ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความรวดเรว็

9 - ดา้ นบริหารจัดการ เนน้ การปรบั ปรุงกลไกการประสานการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ โดยแบง่ เปน็ ๒ สว่ น ได้แก่ สว่ นประสานการบริหารกับส่วนประสานการตรวจสอบการใช้อานาจรัฐ และการจัดต้ัง สถาบันการสรา้ งเสรมิ สมรรถนะดา้ นการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ ริต 1.4.3 ยทุ ธศำสตรช์ ำติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) การจัดทายุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 – 2580) สืบเน่ืองจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 65 ได้กาหนดว่า รัฐพึงจัดให้มียุทธศาสตร์ชาติเป็นเป้าหมายการพัฒนาประเทศ อย่างยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาลเพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทาแผนต่าง ๆ ให้สอดคล้องและบูรณาการกันเพ่ือให้ เกิดเป็นพลังผลักดันร่วมกันไปสู่เป้าหมายดังกล่าว เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ของประเทศไทยคือ “ประเทศไทยมีความ ม่ันคง ม่งั คัง่ ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแลว้ ด้วยการพฒั นาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” โดยมีเป้าหมาย การพัฒนาประเทศ คือ “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข เศรษฐกิจพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สังคมเป็นธรรม ฐานทรัพยากร ธรรมชาติยั่งยืน” ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์ชาติด้านความม่ันคง ยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบน คณุ ภาพชีวติ ทีเ่ ปน็ มติ รตอ่ สิ่งแวดล้อม และยทุ ธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการ ภาครัฐ ยทุ ธศาสตรช์ าติดา้ นการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ มีเป้าหมายที่สาคัญ โดยยึด หลักท่ีว่า “ภาครัฐของประชาชนเพ่ือประชาชนและประโยชน์ส่วนรวม” มีการปรับเปล่ียนภาครัฐให้มีความทันสมัย สะดวกมากขึ้น ตอบสนองต่อความต้องการในการให้บริการแก่ประชาชน มีการปฏิบัติงานที่เป็นธรรม โดยมีตัวช้ีวัด ในด้านนี้ คือ ระดับความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการสาธารณะของภาครัฐ ประสิทธิภาพของ การบริการภาครัฐ ระดับความโปร่งใสการทุจริต ประพฤติมิชอบ และความเสมอภาคในกระบวนการยุติธรรม ซ่ึงการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ จะมีอยู่ในส่วนประเด็นของยุทธศาสตร์ ได้แก่ - บุคลากรภาครัฐ เป็นคนดีและเก่ง ยึดหลักคุณธรรมจริยธรรม มีจิตสานึก มีความสามารถสูง มงุ่ มนั่ และเปน็ มอื อาชพี - ภาครฐั มีความโปรง่ ใส ปลอดการทุจริตและประพฤติมิชอบ - กฎหมายมคี วามสอดคล้องเหมาะสมกบั บรบิ ทต่างๆ และมีเท่าท่ีจาเป็น - กระบวนการยตุ ิธรรมเคารพสทิ ธิมนษุ ยชนและปฏบิ ตั ิตอ่ ประชาชนโดยเสมอภาค 1.4.4 แผนแม่บทภำยใตย้ ุทธศำสตรช์ ำติ 20 ปี (พ.ศ.2561 – 2580) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา ๖๕ กาหนดให้รัฐพึงจัดให้มี ยุทธศาสตร์ชาติเป็นเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทา แผนต่าง ๆ และพระราชบญั ญัติการจัดทายทุ ธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้กาหนดให้มีการจัดทายุทธศาสตร์ชาติ แตล่ ะด้าน รวมถงึ จดั ทาแผนแม่บทเพ่ือบรรลุเปา้ หมายตามยุทธศาสตร์ชาติ มีจานวน ๒๓ ฉบับ ซ่ึงฉบับท่ีเกี่ยวข้อง กบั การปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ จานวน 2 ฉบับ คอื - ฉบับที่ ๒๑ การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ มีเป้าหมายหลักเพ่ือให้ภาครัฐ มีความ โปร่งใส ปลอดจากการทจุ รติ และประพฤตมิ ิชอบ สร้างให้คนในสังคมเกิดจิตสานกึ และพฤตกิ รรมของความซื่อสัตยส์ จุ รติ การส่งเสรมิ และพัฒนานวัตกรรมในการต่อต้านการทุจริตในหน่วยงานภาครัฐที่เหมาะสมกับบริบท สภาพปัญหา รวมทั้ง การเพิ่มประสิทธิภาพการดาเนินงานของกระบวนการและกลไกท่ีเก่ียวข้องในการปราบปรามการทุจริต ซ่ึงประกอบ ด้วยการพัฒนาหลัก 2 ประเด็นคือ (1) การป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ มุ่งเน้นการปรับ พฤติกรรมของคนในการปลูกฝังวิธีคิดในกลุ่มเด็กและเยาวชนให้มีจิตสานึกในความซ่ือสัตย์สุจริต เพื่อสร้างพลัง

10 ร่วมในการแก้ไขปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบ และการปรับระบบโดยการสร้างนวัตกรรมการต่อต้าน การทุจริต เพ่ือให้การดาเนินงานของหน่วยงานภาครัฐมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ (2) การปราบปรามการทุจริต มุ่งเน้นการเสริมสร้างประสิทธิภาพของกระบวนการ และกลไกการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและ ประพฤตมิ ชิ อบ ท้งั ในดา้ นของการดาเนนิ คดีทุจริตทมี่ คี วามรวดเร็ว เปน็ ธรรม และการพัฒนาปรับปรงุ มาตรการ ทางกฎหมายเพื่อส่งเสริมและสนับสนนุ การปราบปรามการทุจริตให้ได้ผลและมีประสิทธภิ าพ - ฉบับที่ ๒๒ กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ได้ให้ความสาคัญกับการมีส่วนร่วมของ ประชาชนที่จะเป็นกลไกในการขับเคลื่อนและสร้างการเปล่ียนแปลง มุ่งเน้นการนานวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล มาดาเนินการและเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้มีโอกาสในการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาประเทศอย่างเท่าเทียม เป็นธรรม ทั่วถึง ซึ่งประกอบด้วยแผนงาน 2 แผนงาน คือ (1) การพัฒนากฎหมาย เน้นการปรับปรุง แก้ไข ยกเลิกกฎหมายให้มีเท่าที่จาเป็นและไม่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ มีการนาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ สง่ เสริมใหป้ ระชาชนไดเ้ ข้ามามีสว่ นร่วมอยา่ งเปน็ รูปธรรม และบูรณาการเชื่อมโยงกฎหมายทุกลาดับชัน้ ใหเ้ ป็นเอกภาพ ไมข่ ดั กนั (2) การพฒั นากระบวนการยุตธิ รรม โดยอานวยความยุติธรรมให้เป็นไปอย่างเสมอภาค โปร่งใส เป็นธรรม ทั่วถึง ปราศจากการเลือกปฏิบัติ บูรณาการการทางานของหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องในการประสานงานกันอย่างมี ประสทิ ธภิ าพ 1.4.5 แผนแม่บทบรู ณำกำรป้องกัน ปรำบปรำมกำรทุจรติ และประพฤติมิชอบ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) การบูรณาการป้องกัน ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบของประเทศไทยในภาพรวม มีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องภายใต้เงื่อนไขท้ังพลวัตความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์การทุจริตและบริบท แวดล้อมทเ่ี ปลย่ี นแปลงไปในมติ ิตา่ ง ๆ ท้งั ภายในและภายนอกประเทศ สานักงาน ป.ป.ช. ร่วมกบั ศนู ยป์ ฏบิ ตั ิการตอ่ ต้านการทุจริต (ศปท.) ได้จัดทาแผนแม่บทบูรณาการ ป้องกัน ปราบปรามการทุจริตและประพฤตมิ ิชอบ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) โดยได้กาหนด วิสัยทัศน์ “ประเทศไทยใสสะอาด ไทยทั้งชาติต้านทุจริต (Zero Tolerance & Clean Thailand)” พนั ธกจิ “สร้างวฒั นธรรมต่อต้านการทุจริต ยกระดับธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการทุกภาคส่วน แบบบรู ณาการและปฏิรปู กระบวนการป้องกนั และปราบปรามการทุจริตทง้ั ระบบให้มีมาตรฐานสากล” โดยมีการกาหนดยทุ ธศาสตร์ไว้ 3 ด้าน คือ - ยุทธศาสตรท์ ่ี 1 สร้างวัฒนธรรมตา้ นทุจรติ ดว้ ยหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง - ยุทธศาสตร์ที่ 2 ป้องกันการทจุ ริตเชงิ รกุ - ยทุ ธศาสตรท์ ่ี 3 ปราบปรามการทจุ รติ และประพฤติมิชอบทเ่ี ปน็ สากล การดาเนินการตามแผนแม่บทบูรณาการฯ ตามยุทธศาสตร์ทั้ง 3 ด้าน เน้นการสร้างวัฒนธรรม ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงโดยการปลูกฝังวิธีคิด การปลุกจิตสานึกด้านความซ่ือสัตย์สุจริต สร้างการรับรู้ เรื่องผลเสียของการทุจริต ผ่านการบูรณาการโครงการต่าง ๆ การสร้างและเพ่ิมประสิทธิภาพกลไก มาตรการ กระบวนงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์และปัญหาการทุจริต พัฒนาระบบการปฏิบัติงานและการให้บริการของ หน่วยงานภาครฐั ใหม้ คี วามโปร่งใส การทาความเข้าใจเรือ่ งกลไกการป้องกันการทุจริตโดยการสร้างการมีส่วนร่วม การสร้างและพัฒนากลไกและกระบวนการปราบปรามการทุจริตให้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ จัดทาระบบฐานข้อมูล องคค์ วามรู้ดา้ นการปราบปรามการทุจริต รวมถงึ การเพมิ่ ประสทิ ธิภาพในการคุม้ ครองพยานและผู้แจ้งเบาะแส

11 1.4.6 แผนพัฒนำเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชำติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560 - 2564) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ ฉบับท่ี 12 ได้จัดทาขึ้นโดยสืบเนื่องมาจากการกาหนด ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ.2561 – 2580) ที่เป็นแผนหลักในการพัฒนาประเทศ ซ่ึงได้มีการให้ความสาคัญกับการ มีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ในการพัฒนาประเทศ โดยแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 12 ได้มีการกาหนดยุทธศาสตร์ไว้ 10 ด้าน ซึ่งด้านที่เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต คือ ยุทธศาสตร์ท่ี 6 การบริหารจัดการในภาครัฐ การป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบและธรรมาภิบาลในสังคมไทย ซ่ึงได้มีการ กาหนดแนวทางการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ และประพฤติมชิ อบ คือ - การปลูกฝังให้คนไทยไม่โกง โดยการส่งเสริม สนับสนุนให้ทุกภาคส่วนมุ่งสร้างจิตสานึก ในการรักษาประโยชนส์ าธารณะ คณุ ธรรม จริยธรรม และหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พัฒนากลไกและระบบ การดาเนินงานที่ทาให้เจ้าพนักงานของรัฐและผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมและ มาตรฐานจรยิ ธรรม - ป้องกันการทุจริต โดยการปฏิรูปกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารพัสดุและการจัดซ้ือจัดจ้าง ภาครัฐให้มีระบบที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ การจัดต้ังกองทุนสนับสนุนการต่อต้านการทุจริต การคุ้มครองพยานในคดี ทุจริตและประพฤติมิชอบ เร่งรัดหน่วยงานภาครัฐให้มีการดาเนินงานในการกาหนดมาตรการป้องกันและแก้ไข ปัญหาการทจุ ริตและประพฤตมิ ชิ อบ 1.4.7 ยุทธศำสตร์ชำตวิ ำ่ ดว้ ยกำรปอ้ งกันและปรำบปรำมกำรทุจรติ ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) ประเทศไทยยังตอ้ งดาเนินการตามข้อตกลงของอนุสญั ญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 (United Nations Convention against Corruption : UNCAC) และคณะรัฐมนตรีได้มีการกาหนด แนวทาง การปรบั โครงสรา้ งของส่วนราชการ การออกกฎหมาย ตลอดจนอาศัยกลไก มาตรการต่าง ๆ ในการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต จนนาไปสู่การต่ืนตัวของทุกภาคส่วนท่ีตระหนักถึงผลเสียของการทุจริต หากมีการ ทุจริตมาก ประเทศจะไม่สามารถพัฒนาไปได้มากเน่ืองจากขาดงบประมาณที่ใช้ในการพัฒนาด้านต่าง ๆ เม่ือเป็น เช่นนี้ การขับเคล่ือนให้ประเทศไทยเป็นประเทศท่ีพัฒนาแล้วจึงเป็นเร่ืองท่ียาก ท่ีผ่านมาประเทศไทยได้มีความ พยายามในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอยา่ งต่อเน่อื ง มกี ารผลกั ดันแนวทางตา่ ง ๆ ทีจ่ ะทาใหเ้ กิดการแก้ไขปญั หาการทุจริต โดยยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) ได้เน้นถึงการ ปรับฐานความคิดของคนในสังคม สนับสนุนให้ประชาชน เจ้าพนักงานของรัฐ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต รวมถึงการกาหนดให้ผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองมีการปฏิบัติตามเจตจานงทาง การเมืองในการต่อต้านการทุจริต ซึ่งเห็นได้ว่ากลุ่มนักการเมืองได้นามาเป็นยุทธศาสตร์ท่ี 2 จากทั้งหมด 6 ยุทธศาสตร์ เน่ืองจากนักการเมืองถือเป็นกลไกสาคัญอย่างหนึ่งที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตได้ ไดก้ าหนด ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) วิสยั ทัศน์ “ประเทศไทยใสสะอำด ไทยทง้ั ชำติตำ้ นทุจริต (Zero Tolerance & Clean Thailand)” คาอธิบายวสิ ัยทศั น์ ประเทศไทยในระยะ 5 ปขี ้างหนา้ จะมงุ่ สู่การเป็นประเทศทมี่ มี าตรฐานทางคุณธรรมจริยธรรม เป็นสังคมมิติใหม่ที่ประชาชนไม่เพิกเฉยต่อการทุจริตทุกรูปแบบ โดยได้รับความร่วมมือจาก ฝ่าย การเมือง

12 หนว่ ยงานของรฐั ตลอดจนประชาชน ในการพทิ กั ษร์ ักษาผลประโยชน์ของชาติและประชาชน เพ่อื ให้ประเทศไทย มีศักด์ิศรแี ละเกยี รติภูมิในด้านความโปรง่ ใสทดั เทยี มนานาอารยประเทศ พนั ธกิจ “สร้ำงวัฒนธรรมต่อต้ำนกำรทุจริต ยกระดับธรรมำภิบำลในกำรบริหำรจัดกำรทุกภำคส่วน แบบบูรณำกำรและปฏริ ูปกระบวนกำรป้องกนั และปรำบปรำมกำรทุจริตทงั้ ระบบ ให้มมี ำตรฐำนสำกล” คาอธิบายพันธกจิ การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในระยะ 5 ปขี า้ งหนา้ จะเปน็ การปฏริ ปู กระบวนการดาเนนิ งาน จากเดิมไปสกู่ ระบวนการทางานแบบบรู ณาการทั้งระบบ โดยเริ่มจากการวางรากฐานทางความคิดของประชาชน ทีน่ อกจากตนเองจะไมก่ ระทาการทุจริตแล้ว จะต้องไม่อดทนต่อการทุจริตที่เกิดข้ึนในสังคมไทยอีกต่อไป ประชาชนไทย ต้องกา้ วขา้ มคา่ นยิ มอปุ ถมั ภแ์ ละความเพิกเฉยต่อการทุจริตประพฤติมิชอบ เจตจานงทางการเมืองของประชาชน ท่ีต้องการสร้างชาติท่ีสะอาดปราศจากการทุจริต จะต้องได้รับการสานต่อจากฝ่ายการเมืองและเจ้าหน้าท่ีรัฐ การขับเคลื่อนนโยบายท่ีมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ทุกข้ันตอน ขณะเดียวกันกลไกการป้องกันและปราบปราม การทุจรติ ต้องเป็นท่ีไดร้ บั ความไว้วางใจ และความเช่ือมั่นจากประชาชนว่าจะสามารถเป็นผู้ปกป้องผลประโยชน์ ของชาติและประชาชนได้อย่างรวดเรว็ เป็นธรรม และเท่าเทียม ทั้งน้ี เพื่อยกระดับมาตรฐานจริยธรรม คุณธรรม และความโปร่งใสของประเทศไทยในทุกมิติให้มีมาตรฐานตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 (United Nations Convention Against Corruption C.C. 2003 : UNCAC 2003) ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖4 ยุทธศาสตร์มีความครอบคลุมกระบวนการดาเนินงานด้านการป้องกัน ปราบปรามการทุจริต และประพฤตมิ ิชอบ โดยกาหนดยทุ ธศาสตรก์ ารดาเนินงานหลักออกเป็น 6 ยุทธศาสตร์ ดงั น้ี ยทุ ธศำสตร์ที่ 1 สร้ำงสังคมทีไ่ มท่ นตอ่ กำรทุจรติ เป็นแนวทางยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้นให้ความสาคัญกับการสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต โดยเร่ิมต้ังแต่กระบวนการกล่อมเกลาทางสังคม ปลูกฝังความพอเพียง มีวินัย ซ่ือสัตย์สุจริต จิตอาสา จิตสาธารณะ เสริมสร้างให้ทุกภาคส่วนมีพฤติกรรมที่ไม่ยอมรับและต่อต้านการทุจริตในทุกรูปแบบโดยดาเนิน กลยุทธ์ คือ ปรับฐานความคิดทุกช่วงวัยให้สามารถแยกระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม ส่งเสริมให้มีระบบและกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมเพื่อต้านทุจริต ประยุกต์หลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียงเป็นเคร่ืองมือต้านทุจริต เสริมพลังการมีส่วนร่วมของชุมชนและบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อการต่อต้าน การทจุ รติ ยทุ ธศำสตร์ที่ 2 ยกระดบั เจตจำนงทำงกำรเมอื งในกำรต่อต้ำนกำรทจุ รติ ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าสังคมไทยมีความตื่นตัวต่อการ ปฏิบัติตนของนักการเมือง หากเห็นว่ามีการทุจริตหรือพฤติกรรมไม่เหมาะสมในการที่อาจจะก่อให้เกิดการทุจริต ซึ่งส่งผลให้มีการรวมตัวกัน ชุมนุมประท้วง เพราะต้องการให้นักการเมืองมีการปฏิบัติตนท่ีสุจริต โปร่งใสในการ ปฏิบตั งิ าน ดงั นั้น ยทุ ธศาสตร์ชาตวิ า่ ดว้ ยการป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริต ระยะที่ 3 จึงได้มีการกาหนดให้มี ยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการดาเนินการทางการเมือง โดยมุ่งเน้นให้ประชาชนและรัฐบาลมีการนาเร่ืองการ ป้องกนั และปราบปรามการทุจริตไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้สังคมเกิดความสงบสุข ลดปัญหาการทุจริต โดยมีกลยุทธ์ คือ พัฒนา กลไกการกาหนดให้นักการเมืองแสดงเจตจานงทางการเมืองในการต่อต้านการทุจริตต่อ สาธารณชน เร่งรัดการกากับติดตามมาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมืองและเจ้าพนักงานของรัฐในทุกระดับ สนบั สนนุ ให้ทุกภาคส่วนกาหนดกลยุทธ์และมาตรการสาหรับเจตจานงในการต่อต้านการทุจริต พัฒนาระบบการ

13 บริหารงบประมาณด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตเพ่ือให้ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจาปี ท่ีมีสัดส่วนเหมาะสมกับการแก้ไขปัญหา ส่งเสริมการจัดตั้งกองทุนต่อต้านการทุจริตสาหรับภาคเอกชนและ ประชาชน โดยรัฐให้การสนับสนุนต้ังแต่ต้น ประยุกต์นวัตกรรมในการกากับดูแลและควบคุมการดาเนินงาน ตามเจตจานงทางการเมอื งของพรรคการเมืองที่ได้แสดงไวต้ ่อสาธารณะ ยุทธศำสตร์ท่ี 3 สกัดกน้ั กำรทจุ ริตเชิงนโยบำย การทุจริตเชิงนโยบาย คือ การแสวงหาประโยชน์อันเกิดจาการใช้อานาจทางการบริหาร ในการเสนอโครงการหรือการดาเนินโครงการต่างๆ ท่ีเป็นผลให้ตนเองหรือบุคคลอื่นได้ประโยชน์จากการดาเนินการ นั้น ผลการวิจัยที่ผ่านมาพบว่าการทุจริตเชิงนโยบายส่วนมากเกิดจากการใช้ช่องว่างทางกฎหมายในการแสวงหา ประโยชน์ส่วนตน ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานต่างๆ ได้มีการดาเนินการปราบปราบการทุจริตอย่างต่อเน่ือง แต่มีข้อจากัด เร่ืองของอานาจตามกฎหมาย จึงไม่สามารถดาเนินการต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ โดยมีกลยุทธ์ คือ วางมาตรการเสริม ในการสกัดกั้นการทุจริตเชิงนโยบายบนฐานธรรมาภิบาล การรายงานผลสะท้อนการสกัดกั้นการทุจริตเชิงนโยบาย พัฒนานวัตกรรมสาหรับการรายงานและตรวจสอบธรรมาภิบาลในการนานโยบายไปปฏิบัติ ส่งเสริมให้มีการศึกษา วเิ คราะห์ ตดิ ตาม และตรวจสอบการทุจรติ เชงิ นโยบายในองคก์ รปกครองส่วนท้องถน่ิ ยุทธศำสตร์ที่ 4 พฒั นำระบบปอ้ งกันกำรทุจริตเชงิ รกุ ยุทธศาสตร์พัฒนาระบบป้องกันการทุจริตเชิงรุก มุ่งเน้นการพัฒนากลไกและกระบวนงาน ด้านการป้องกันการทุจริตของประเทศไทยให้มีความเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยกลไกด้านกฎหมาย กลไกการบริหาร ฯลฯ ในการดาเนินการมีกลยุทธ์ คือ เพิ่มประสิทธิภาพระบบงานป้องกันการทุจริต สร้างกลไก การป้องกันเพ่ือยับยั้งการทุจริต พัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือลดปัญหาการทุจริต พัฒนา รปู แบบการสอ่ื สารสาธารณะเชิงสรา้ งสรรค์เพื่อปรบั เปลยี่ นพฤติกรรม พัฒนา วิเคราะห์ และบูรณาการระบบการ ประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดาเนินงานของหน่วยงาน เพ่ือเช่ือมโยงกับแนวทางการยกระดับดัชนี การรับรู้การทุจริตของประเทศไทย สนับสนุนให้ภาคเอกชนดาเนินการตามหลักบรรษัทภิบาล พัฒนาสมรรถนะ และองค์ความรู้เชิงสร้างสรรค์ของบุคลากรด้านการป้องกันการทุจริต การพัฒนาระบบและส่งเสริมการ ดาเนนิ การตามอนุสัญญาสหประชาชาตวิ า่ ดว้ ยการตอ่ ต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 ยุทธศำสตร์ที่ 5 ปฏิรูปกลไกและกระบวนกำรกำรปรำบปรำมกำรทจุ ริต ยทุ ธศาสตรป์ ฏิรปู กลไกและกระบวนการการปราบปรามการทุจริต มุ่งเน้นการปรับปรุงและ พัฒนากลไกและกระบวนการต่าง ๆ ของการปราบปรามการทุจรติ ทั้งระบบให้สามารถดาเนินการได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพและเป็นที่ยอมรับ ตั้งแต่ข้ันตอนการรับเร่ืองร้องเรียน การพัฒนาระบบตรวจสอบทรัพย์สิน เพื่อตรวจสอบการทุจริต การปฏิรูปกลไกและกระบวนการในการสอบสวนและไต่สวน การวางแผนกาหนดทิศทาง ในการปราบปรามการทุจริต การศึกษาวิเคราะห์พลวัติของการทุจริตเพื่อกาหนดกฎหมายการป้องกันและปราบปราม การทจุ รติ การคมุ้ ครองพยานและผูแ้ จ้งเบาะแสในคดีทุจริตท่ีมีประสิทธิภาพ รวมถึงการปรับปรุงและพัฒนาระบบ การปราบปราม การทุจริตตามแนวทางของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 โดยมกี ลยุทธ์ คอื ปรบั ปรงุ ระบบรับเรอื่ งรอ้ งเรียนการทุจริตให้มีประสิทธิภาพ ปรับปรุงการตรวจสอบความเคล่ือนไหว และความถูกต้องของทรัพย์สินและหน้ีสิน ปรับปรุงกระบวนการพัฒนากลไกพิเศษในการปราบปรามการทุจริตท่ีมี ความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ตรากฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายในการปราบปรามการทุจริตให้เท่าทัน ต่อพลวัตของการทุจริตและสอดคล้องกับสนธิสัญญาและมาตรฐานสากล บูรณาการข้อมูลและข่าวกรองในการ ปราบปรามการทุจริต การเพ่ิมประสิทธิภาพในการคุ้มครองพยานและผู้แจ้งเบาะแส และเจ้าหน้าที่ในกระบวนการ ปราบปรามการทุจริต พัฒนาสมรรถนะและองค์ความรู้เชิงสหวิทยาการของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการปราบปราม

14 การทุจริต การเปิดโปงผู้กระทาความผิดให้สาธารณะชนรับทราบและตระหนักถึงโทษของการกระทาทุจริตเมื่อคดี ถงึ ทส่ี ุด การเพม่ิ ประสิทธิภาพในการดาเนินคดีทจุ รติ ระหวา่ งประเทศ ยุทธศำสตรท์ ี่ 6 ยกระดับคะแนนดัชนีกำรรับรู้กำรทุจริต (Corruption Perceptions Index: CPI) ของประเทศไทย ยุทธศาสตร์ยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต เป็นยุทธศาสตร์ท่ีมุ่งเน้นการยกระดับ มาตรฐานด้านความโปร่งใสและการยกระดับค่าดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทย โดยการศึกษา วิเคราะห์ ประเด็นการประเมิน วิธีการสารวจตามแหล่งข้อมูล และเร่งรัด กากับ ติดตามให้หน่วยงานที่เก่ียวข้องปฏิบัติตาม การบูรณาการการทางานร่วมระหว่างภาครัฐ หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ภาคเอกชน และต่างประเทศ โดยมีกลยุทธ์ คือ ศึกษา กากับ และติดตามการยกระดับดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทย และบูรณาการ เป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตเพื่อยกระดับดัชนีการรับรู้การทุจริตของ ประเทศไทย 1.4.8 นโยบำยกำรบรหิ ำรรำชกำรแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีของรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีการแถลงนโยบายการ บริหารราชการแผ่นดินต่อรัฐสภาเม่ือวันพฤหัสบดีท่ี 25 กรกฎาคม 2562 โดยมีนโยบายหลัก 12 ด้าน และ นโยบายเร่งดว่ น 12 เร่ือง ซ่ึงไดม้ นี โยบายทเ่ี กี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ดงั นี้ นโยบำยหลักทเ่ี กี่ยวข้องกบั การป้องกนั และปราบปรามการทุจริต คือ นโยบำยหลักด้ำนท่ี 12 กำรป้องกันและปรำบปรำมกำรทุจริตและประพฤติมิชอบ และ กระบวนกำรยุติธรรม 1) แก้ไขปัญหำกำรทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยจัดให้มีมาตรการและระบบเทคโนโลยี นวตั กรรมท่ีชว่ ยปอ้ งกนั และลดการทุจริตประพฤติมิชอบอย่างจริงจังและเข้มงวด รวมท้ังเป็นเครื่องมือในการติดตาม การแก้ไขปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งเร่งสร้างจิตสานึกของคนในสังคมให้ยึดมั่น ในความซ่ือสัตย์สุจริต ถูกต้อง ชอบธรรม และสนับสนุนทุกภาคส่วนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและเฝ้าระวัง การทจุ ริตประพฤติมชิ อบ 2) ปฏริ ูปกระบวนกำรยุตธิ รรม โดยส่งเสริมให้มีรปู แบบการลงโทษอื่นที่ไม่ใช่โทษทางอาญา ตามหลักสากล มุ่งเน้นยกระดับการพัฒนาระบบ แก้ไข บาบัด ฟื้นฟูผู้กระทาความผิด ส่งเสริม ปกป้อง คุ้มครอง สิทธิมนุษยชน พัฒนาประสิทธิภาพระบบการสืบสวนสอบสวนด้านการปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ กาหนด มาตรการคมุ้ ครองเจา้ พนกั งานของรัฐในกระบวนการยุติธรรมให้สามารถปฏิบัติหน้าท่ีโดยปราศจากการแทรกแซงหรือ ครอบงาใด ๆ พร้อมท้ังบูรณาการหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องในกระบวนการยุติธรรมให้ดาเนินงานสอดประสานกัน อย่างเป็นองคาพยพ เพื่อให้สามารถจัดการกับข้อขัดแย้งและกรณีพิพาทได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นการ ทางานเชิงรุก รวมท้ังพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมให้สามารถอานวยความยุติธรรมได้อย่างเป็นธรรม เสมอภาค โปร่งใส รวดเร็ว ท่ัวถึง และปราศจากการเลือกปฏิบัติ สร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมได้ และสร้างสังคมทพ่ี ฒั นาอย่างเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้า เกิดความเสมอภาคและเท่าเทียม พร้อมท้ังผลักดันให้ เกดิ การนาเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมสมัยใหม่มาใช้ในการพัฒนาระบบฐานข้อมูลกฎหมาย พัฒนากฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติ และ เปน็ ธรรม รวมทง้ั ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย ท่ีจาเป็นและเหมาะสมแก่ผู้ยากไร้หรือผู้ด้อยโอกาสในการเข้าถึง กระบวนการยตุ ิธรรมได้โดยสะดวกและรวดเรว็

15 นโยบำยเร่งด่วน 12 เรอ่ื ง โดยเร่ืองที่เกีย่ วข้องกบั การป้องกนั และปราบปรามการทุจริต คือ เรื่องที่ 8 กำรแก้ไขปัญหำกำรทุจริตและประพฤติมิชอบในวงรำชกำร ท้ังฝ่ำยกำรเมืองและ ฝำ่ ยข้ำรำชกำรประจำ เร่งรัดการดาเนินมาตรการทางการเมืองควบคู่ไปกับมาตรการทางกฎหมายเมื่อพบผู้กระทาผิด อย่างเคร่งครดั นาเทคโนโลยสี มยั ใหม่มาใชใ้ นการเฝา้ ระวงั การทุจริตประพฤติมิชอบอย่างจริงจังและเข้มงวด และ เร่งรัดดาเนินการตามข้ันตอนของกฎหมายเม่ือพบผู้กระทาผิดอย่างเคร่งครัด เพ่ือให้ภาครัฐปลอดการทุจริตและ ประพฤติมิชอบโดยเร็วท่ีสุด พร้อมทั้งให้ภาคสังคม ภาคเอกชน และประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและ เฝา้ ระวงั การทุจริตประพฤติมิชอบ

16

17 บทที่ 2 กำรมีส่วนรว่ มของประชำชนในกำรตอ่ ต้ำนกำรทจุ ริต ประเทศไทยมคี วามพยายามแก้ไขปัญหาการทุจริต โดยหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องกับการป้องกันและปราบปราม การทจุ ริต ได้ร่วมกนั สร้างเคร่ืองมอื กลไก และกาหนดเป้าหมายสาหรับการปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปราม การทุจริตให้เป็นไปในทิศทางและรูปแบบเดียวกัน ซ่ึงเคร่ืองมือหรือกลไกท่ีมีประสิทธิภาพมากท่ีสุดในการดาเนินการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตก็คือการได้รับความร่วมมือของประชาชนในการผลักดันให้มาตรการป้องกัน การทุจริตต่าง ๆ มีประสิทธิภาพย่ิงข้ึน โดยจะต้องสร้างให้ทุกภาคส่วนในสังคมเกิดความต่ืนตัวและเข้ามามีส่วนร่วม ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตตามบทบาทและภาระหน้าที่ของตนเอง และอาศัยความร่วมมือจาก ภาคสว่ นต่าง ๆ ในการรว่ มมอื รณรงค์ ปอ้ งกนั เฝ้าระวงั แจง้ เบาะแสเกยี่ วกับการทุจรติ ในปจั จุบันคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ตระหนกั และมองเห็นถึงความสาคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชน ไม่ว่าจะเป็น นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ นักการเมือง นักธุรกิจ และประชาชนทั่วไปทุกสาขาอาชีพ ซึ่งบุคคล เหล่านี้เป็นกลไกสาคัญท่ีสามารถป้องกันการทุจริตได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถให้ความร่วมมือกับ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้โดยการให้ข้อมูลหรือพยานหลักฐานท่ีเป็นประโยชน์ในการป้องกันการเกิดการทุจริตขึ้น หรือในการนาตัวผู้กระทาความผิดมาลงโทษได้ ดังน้ัน จึงต้องกระทาการให้ความรู้ความเข้าใจท่ีถูกต้องเก่ียวกับ อันตรายของการทุจริต รวมถึงค่านิยมท่ีเน้นการพึ่งพาระบบอุปถัมภ์ในสังคม เพ่ือให้เกิดการต่อต้านการทุจริตและ ประพฤติมิชอบ อย่างกว้างขวาง รวมท้ังส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกัน ปราบปรามการ ทุจริตและประพฤติมิชอบ ทกุ รปู แบบ 2.1 กำรสำรวจควำมคิดเห็นของประชำชนเก่ียวกับสิทธิกำรรับรู้ข่ำวสำร กำรรับรู้กำรทุจริต ผลกระทบ และควำมเสยี หำยที่เกิดจำกกำรทุจริตต่อประชำชน1 สานักวิจัยและบริการวิชาการด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต สานักงาน ป.ป.ช. ได้ดาเนินการ สารวจความคิดเห็นของประชาชนที่เก่ียวกับสิทธิการรับรู้ข่าวสาร การรับรู้การทุจริต ผลกระทบและความเสียหาย ท่ีเกิดจากการทุจริตต่อประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 มีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) ศึกษาระดับความรู้ของ ประชาชนเกี่ยวกับการมีสิทธิรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของสานักงาน ป.ป.ช. 2) ศึกษาระดับ การรับรู้การทุจริต ผลกระทบและความเสียหายที่เกิดจากการทุจริตต่อประชาชน และการมีส่วนร่วมในการแก้ไข ปัญหาการทุจริตของประชาชน 3) เปรียบเทียบภูมิหลังของประชาชนเกี่ยวกับการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของ สานักงาน ป.ป.ช. การรับรู้การทุจริต ผลกระทบและความเสียหายที่เกิดจากการทุจริตต่อประชาชน และ 4) ให้สานักงาน ป.ป.ช. ได้มีข้อมูลประกอบ การปรับปรุงแก้ไขและยกระดับการดาเนินงาน/การกาหนดมาตรการ เพื่อให้สนองตอบต่อสิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ และการจัดทาแผนการดาเนินงาน ตลอดจนมาตรการ ต่าง ๆ ให้ประชาชนมีความรู้เกี่ยวกับพิษภัยของการทุจริตประพฤติมิชอบ และเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตในระดับต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปที่เคยมาติดต่อกับสานักงาน ป.ป.ช. และประชาชนท่ีไม่เคยติดต่อกับสานักงาน ป.ป.ช. รวมจานวน ทั้งส้ิน 1,041 ราย 1 เสาวนีย์ ทพิ อุต และคณะ. (2562). รายงานการวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณ์ โครงการสารวจความคดิ เห็นของประชาชนที่เกยี่ วกบั สทิ ธิการรับรู้ขา่ วสาร การรับรู้การทจุ ริต ผลกระทบและความเสียหายที่เกิดจากการทุจริตตอ่ ประชาชน. สานกั งาน ป.ป.ช.

18 จากผลการสารวจความคิดเห็นของประชาชนที่เก่ียวกับสิทธิการรับรู้ข่าวสาร การรับรู้การทุจริต ผลกระทบ และความเสยี หายที่เกดิ จากการทุจรติ ต่อประชาชน สามารถสรปุ เปน็ รายประเด็นดังนี้ กำรรับรู้เกย่ี วกับสิทธิในกำรรับรู้ข้อมูลข่ำวสำรและกำรเข้ำถึงข้อมูลข่ำวสำรของสำนักงำน ป.ป.ช. การสารวจความคิดเห็นของประชาชนตัวอย่าง จานวนท้ังส้ิน 1,041 ราย พบว่าประมาณร้อยละ 52.64 ของประชาชนมกี ารรบั ร/ู้ รบั ทราบว่าตนเองมีสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของ สานักงาน ป.ป.ช. โดยกลุ่ม ประชาชนที่เคยติดต่อ/เข้าร่วมโครงการกับสานักงาน ป.ป.ช. มีสัดส่วนการรับรู้หรือรับทราบว่าตนเองมีสิทธิในการ รับรู้ข้อมูลข่าวสารของสานักงาน ป.ป.ช. (ร้อยละ 69.23) สูงกว่าประชาชนที่ไม่เคยมาติดต่อกับสานักงาน ป.ป.ช. (ร้อยละ 41.01) แผนภาพรอ้ ยละของประชาชนทร่ี บั ร้/ู รบั ทราบเกยี่ วกบั สิทธิในการรับรูข้ า่ วสารของสานักงาน ป.ป.ช. 47.36 58.99 30.77 69.23 ไมร่ บั ร/ู้ รบั ทราบ รับร้/ู รับทราบ 52.64 41.01 รวม กลุ่มประชาชนไม่เคยมา กลมุ่ ประชาชนทีเ่ คยตดิ ตอ่ /เขา้ ร่วม ตดิ ตอ่ กับสานักงาน ป.ป.ช. โครงการกบั สานกั งาน ป.ป.ช. เมื่อพิจารณาการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ก็พบว่า ประมาณก่ึงหน่ึงของประชาชนตัวอย่างมีการเข้าถึงข้อมูล ข่าวสารของสานักงาน ป.ป.ช. (ร้อยละ 51.68) โดยช่องทางที่ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร 5 อันดับแรก คือ (1) การเข้าร่วมกิจกรรม/โครงการมากท่ีสุด (2) สื่อโทรทัศน์/วิทยุ (3) สังคมออนไลน์ (Social media) เช่น Facebook Twitter Line (4) เว็บไซต์ของสานักงาน ป.ป.ช. และ (5) ส่ือหนังสือพิมพ์/วารสาร/นิตยสาร ตามลาดับ

19 แผนภาพรอ้ ยละของประชาชนทีเ่ ข้าถงึ ขอ้ มลู ขา่ วสารของสานกั งาน ป.ป.ช. ประชาชนมสี ดั ส่วนการเข้าถึงขอ้ มลู ข่าวสารของสานกั งาน ป.ป.ช. รอ้ ยละ 51.68 ชอ่ งทางการเข้าถึงข้อมลู ข่าวสารของสานกั งาน ป.ป.ช. 5 อันดับแรก 1,041 56.42 การเข้าร่วมกจิ กรรม/โครงการ รำย 54.28 สื่อโทรทัศน/์ วทิ ยุ 50.37 ส่ือสังคมออนไลน์ (Social media) เชน่ Facebook 37.36 Twitter Line และอื่นๆ เวบ็ ไซตข์ องสานักงาน ป.ป.ช. 26.39 สือ่ หนังสือพิมพ์/วารสาร/นติ ยสาร ตารางจานวน รอ้ ยละของประชาชน จาแนกตามช่องทางการรบั รขู้ อ้ มลู ข่าวสารของสานักงาน ป.ป.ช. ช่องทำงกำรรบั รขู้ อ้ มลู ข่ำวสำร ประชำชนทไ่ี ม่เคยมำ ประชำชนทเี่ คยติดต่อกับ รวม ตดิ ตอ่ กบั สำนักงำน สำนักงำน ป.ป.ช. 1) เวบ็ ไซต์ของสานักงาน ป.ป.ช. ป.ป.ช. จำนวน ร้อยละ 2) คาบอกเลา่ จากบคุ คล จำนวน รอ้ ยละ จำนวน รอ้ ยละ 201 37.36 3) ส่อื หนงั สอื พมิ พ์/วารสาร/นติ ยสาร 140 47.95 129 23.98 4) สือ่ โทรทศั น/์ วทิ ยุ 61 24.80 62 21.23 142 26.39 5) หนังสอื ราชการ/ประกาศราชการ / 67 27.24 79 27.05 292 54.28 ปา้ ย/โปสเตอรป์ ระชาสมั พนั ธข์ องส่วน 142 48.63 129 23.98 ราชการ 63 25.61 94 32.19 6) สังคมออนไลน์ (Social media) เช่น 150 60.98 271 50.37 Facebook Twitter Line และอนื่ ๆ 7) การเข้าร่วมกจิ กรรม/โครงการ 35 14.23 303 56.42 หมำยเหต:ุ ตอบได้มากกวา่ 1 ข้อ 136 55.28 135 46.23 - - 292 100.00 กำรรบั รูก้ ำรทจุ รติ ประชาชนมีระดับรับรู้การทุจริตหรือเหตุการณ์หรือพฤติกรรมของเจ้าพนักงานของรัฐท้ังในรูปแบบ การทุจรติ เชงิ นโยบาย และการทจุ รติ ของหนว่ ยงาน/ตัวบคุ คล โดยในภาพรวมมีระดับการรับรู้เฉล่ียอยู่ที่ 3.00 คะแนน จากคะแนนเตม็ 4 คะแนน อยู่ในระดับการทุจริตเกิดบ่อยคร้ัง โดยเหตุการณ์หรือพฤติกรรมที่ประชาชนรับรู้การ กระทาการทจุ รติ ของพนักงานของรัฐมากทส่ี ดุ คอื การใช้อานาจหนา้ ท่ใี นการโยกยา้ ยตาแหนง่ ใหก้ บั พวกพ้อง

20 รองลงมาเป็นการสร้างถนนท่ีไม่ได้มาตรฐาน หรือเลือกเส้นทางตัดถนนให้ผ่านที่ดินของพวกพ้อง การใช้งบประมาณ ของรัฐบาลที่กระจายสู่ท้องถ่ิน ท่ีบิดเบือน ไม่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐ การใช้อานาจในการจัดสรรผลประโยชน์ ให้กับภาคเอกชน ผ่านโครงการท่ีรัฐอ้างว่าเป็นประโยชน์ของประเทศชาติ/ประชาชน และการแก้ไขกฎหมาย เพื่อเอื้อประโยชน์หรือการแสวงหาผลประโยชน์อันมิชอบ ตามลาดับ และยังเห็นว่าปัญหาการทุจริตของ ประเทศไทยมีความรุนแรงอยใู่ นระดับมากท่สี ดุ และมแี นวโนม้ เพ่มิ ขึน้ อย่างรวดเรว็ แผนภาพ ระดับการรับรู้เหตุการณ์หรือพฤติกรรมของเจ้าพนักงานของรัฐในการกระทาการทุจริต จาแนกตามประเภท/รูปแบบการทุจรติ ประชาชนมีระดับการรับรกู้ ารทจุ รติ หรอื กำรรับรู้รปู แบบกำรทจุ รติ เหตุการณ์หรอื พฤติกรรมของเจา้ พนักงาน 3.01 การใช้อานาจหน้าท่ใี นการโยกย้ายตาแหน่งให้กบั ของรฐั ทงั้ ในรปู แบบของการทุจรติ เชงิ นโยบาย พวกพอ้ ง และการทจุ ริตของหน่วยงาน/ตวั บคุ คล 2.99 การสร้างถนนที่ไม่ไดม้ าตรฐาน หรือเลือกเส้นทางตัดถนน โดยในภาพรวมมรี ะดับการรับรูเ้ ฉล่ยี อยู่ท่ี ให้ผ่านทีด่ ินของพวกพอ้ ง 3.00 คะแนน 2.98 การใช้งบประมาณของรฐั บาลทก่ี ระจายสู่ท้องถ่นิ ที่บิดเบอื น ไม่สอดคล้องกบั นโยบายของรัฐ (จากคะแนนเต็ม 4 คะแนน) 2.97 การใช้อานาจในการจัดสรรผลประโยชน์ให้กับภาคเอกชนผ่าน โครงการที่รฐั อา้ งว่าเป็นประโยชน์ของประเทศชาต/ิ ประชาชน 2.95 การแกไ้ ขกฎหมาย เพอื่ เออ้ื ประโยชนห์ รอื การแสวงหา ผลประโยชน์อนั มชิ อบ 2.88 การจัดซื้อจดั จา้ ง โดยทาการซื้อสนิ คา้ /จา้ งบริการจาก บรษิ ทั ของตนเอง หรือพวกพ้อง 2.88 การเรียกรบั สินบน 2.83 การนาทรัพยส์ ินของราชการไปใชเ้ พอ่ื ประโยชน์ส่วนตวั เช่น นารถหลวงไปใช้ท่ีบา้ น เป็นต้น 2.76 การใช้อานาจออกใบอนุญาตเพื่อเป็นเครื่องมือตอ่ รอง เรยี กรับประโยชนโ์ ดยมิชอบ 2.76 การยกั ยอกทรพั ย์ ควำมคดิ เห็นเกี่ยวกับผลกระทบและควำมเสียหำยที่เกดิ จำกกำรทจุ รติ ต่อประชำชน ประชาชนเห็นวา่ การทุจริตสง่ ผลผลกระทบและความเสียหายต่อประชาชนอยู่ในระดับมาก (เฉล่ียอยู่ที่ 3.84 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน) โดยประชาชนเห็นว่าการทุจริตส่งผลกระทบมากท่ีสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ (1) ทาให้รัฐบาลไม่มีเงินเพียงพอในการพัฒนาประเทศ การสร้างถนน/โรงเรียน/โรงพยาบาลไม่ได้มาตรฐาน ชารุดงา่ ย (2) ทาให้ประชาชนต้องซ้ือสนิ คา้ อปุ โภคบริโภค/บริการ ในราคาท่ีสูงขึ้น แต่ได้สินค้าท่ีมีคุณภาพลดลง และ (3) ทาให้ประชาชนต้องจ่ายค่าบริการสาธารณะ เช่น ค่าน้า ค่าไฟฟ้า ค่ารถประจาทาง เป็นต้น ในอัตราท่ี สงู ข้ึน

21 แผนภาพระดับความคิดเห็นเก่ียวกับผลกระทบและความเสียหายท่ีเกิดจากการทุจริต ของประชาชน ผู้ท่เี คยมาติดต่อกับสานักงาน ป.ป.ช. ประชาชนมีระดบั ความคดิ เห็น การรับร้ผู ลกระทบและความเสยี หายท่เี กิดจากการทุจริต เกย่ี วกับผลกระทบและความ เสียหายทีเ่ กิดจากการทุจรติ 3.97 ทาใหร้ ฐั บาลไมม่ ีเงินเพียงพอในการพัฒนาประเทศ 3.91 การสรา้ งถนน/โรงเรียน/โรงพยาบาล ทาให้ไม่ได้ เฉล่ยี อยทู่ ่ี 3.84 คะแนน 3.88 มาตรฐาน ชารุดงา่ ย ทาให้ทา่ นตอ้ งซอ้ื สินคา้ อปุ โภคบรโิ ภค/บริการ (จากคะแนนเตม็ 5 คะแนน) 3.82 ในราคาทีส่ งู ขน้ึ และไดส้ นิ คา้ ท่มี คี ณุ ภาพลดลง 3.78 3.77 ทาให้ท่านตอ้ งจา่ ยค่าบรกิ ารสาธารณะ เชน่ คา่ นา้ 3.73 คา่ ไฟฟา้ ค่ารถประจาทาง เปน็ ตน้ ในอตั ราท่ีสูงข้ึน ทาให้ได้รบั บริการจากภาครัฐเกิดความเหลอ่ื มลา้ ด้านต่างๆ เชน่ โอกาสเข้าเรยี น โอกาสในการเขา้ ถึง การบริการสาธารณสขุ เปน็ ตน้ ทาใหผ้ ้มู รี ายไดต้ ้องจ่ายภาษมี ากขึ้น ทาใหเ้ กดิ ความสูญเสยี ทรัพยากร ธรรมชาติ เชน่ เกดิ การบกุ รุกปา่ นา้ เสีย เกดิ มลพษิ ทางอากาศ ทาให้เกดิ ภยั ธรรมชาติตา่ งๆ ทาใหไ้ ด้รบั ความไม่เทา่ เทียมกันในการให้บรกิ าร จากเจ้าหนา้ ทีร่ ัฐ เชน่ การถูกแซงควิ จากผ้ทู ีจ่ า่ ย สนิ บนหรือผ้ทู ม่ี ีอานาจ กำรมสี ว่ นร่วมในกำรปอ้ งกันและปรำบปรำมกำรทจุ ริต นอกจากนี้ในผลการสารวจยังได้ชี้ให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยหากประชาชนพบเห็นพฤติกรรมไม่เหมาะสมหรือส่อไปในทางทุจริต ประชาชนจะมีการแจ้งหน่วยงาน ราชการ และวางเฉยในสัดส่วนท่ีใกล้เคียงกัน คือ ร้อยละ 30.24 โดยเหตุผล 3 อันดับแรกที่ประชาชนวางเฉย/ ไม่แจ้งเบาะแสต่อหน่วยงานรัฐ คือ (1) การแจ้งเบาะแสและร้องเรียนไปก็ไม่ได้รับการตรวจสอบ หรือปรับปรุง/ แก้ไขอย่างจริงจัง (2) เกรงกลัวผลกระทบต่อความไม่ปลอดภัย หรือการถูกกลั่นแกล้งจากผู้มีอานาจ และ (3) ไม่ทราบชอ่ งทางวา่ จะตอ้ งร้องเรียนหรอื แจ้งเบาะแสท่ไี หน/อยา่ งไร ตามลาดบั

22 แผนภาพพฤติกรรมประชาชน หลังจากพบเห็นเจ้าพนักงานของรัฐท่ีมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหรือส่อไป ในทางทจุ รติ หมำยเหต:ุ ตอบได้มากกวา่ 1 คาตอบ จากข้อมูลข้างต้นท่ีพบว่า ประชาชนมีการเพิกเฉย ด้วยเหตุผล 3 อันดับแรกว่าแม้จะแจ้งเบาะแสหรือ ร้องเรียนไปก็ไม่ได้รับการตรวจสอบ/ปรับปรุง/แก้ไขอย่างจริงจัง เกิดความเกรงกลัวผลกระทบต่อความไม่ ปลอดภัยหรือการถูกกล่ันแกล้งจากผู้มีอานาจ และประชาชนไม่ทราบช่องทางการร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแส การทุจริต ดงั นนั้ เพื่อให้ประชาชนมีสว่ นร่วมในการแจง้ เบาะแสการทุจริต สานักงาน ป.ป.ช. ควรดาเนนิ การ ดงั น้ี - ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับช่องทาง ข้ันตอนการแจ้งเบาะแส การคุ้มครองความปลอดภัยของ ผู้แจ้งเบาะแส และการอานวยความสะดวกในการแจ้งเบาะแสการทุจริตในพ้ืนที่ต่าง ๆ เช่น การนาเทคโนโลยี มาประชาสัมพันธ์การร้องเรียน โดยการรณรงค์ให้ผู้ร้องเรียนเปิดเผยข้อมูลการทุจริตผ่านสังคมออนไลน์ต่างๆ พรอ้ มกับทาการเชื่อมโยงการรอ้ งเรียนมายังเพจของสานักงาน ป.ป.ช. ด้วยการพิมพ์เคร่ืองหมาย “#” (Hashtag) นาหน้าคาวา่ สานกั งาน ป.ป.ช. “#สานกั งาน ป.ป.ช.” - สรา้ งแรงจูงใจในการแจง้ เบาะแสการทุจรติ ดว้ ยการให้เงนิ รางวลั แกผ่ ้แู จ้งเบาะแส - พฒั นาระบบการแจ้งเบาะแสที่ใช้งานง่าย เพื่อให้เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายและครอบคลุม เชิงพ้ืนที่ และมีฐานข้อมูลรวมหน่ึงเดียว ท้ังนี้เพ่ือให้สามารถนาข้อมูลการแจ้งเบาะแสการทุจริตมาประมวลผล และบูรณาการฐานข้อมูลท้ังภายในสานักงาน ป.ป.ช. และหน่วยงานอ่ืน ๆ ท่ีเกี่ยวข้องที่จะสามารถนาข้อมูล ดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม เพ่ือให้ประชาชนได้รับรู้ และเข้าถงึ ขอ้ มลู ขา่ วสารได้มากขน้ึ - เผยแพร่ผลการดาเนินคดีที่สาคัญท่ีเป็นท่ีสนใจของสังคม ว่าได้รับการดาเนินการและเอาผิด กับผู้กระทาการทุจริต และควรระบุระยะเวลาของคดีทีมีการดาเนินการท่ีรวดเร็ว เพ่ือเป็นการป้องปรามการทุจริต และสร้างความเชื่อม่ันในการดาเนินงานของสานักงาน ป.ป.ช. อีกทั้งเป็นการเชิญชวนให้ประชาชนสนใจและ รว่ มแจ้งเบาะแสการทุจรติ

23 2.2 รูปแบบกำรมสี ่วนร่วม กำรมีส่วนรว่ ม คอื การทบ่ี ุคคลตา่ ง ๆ ไดเ้ ขา้ มารว่ มดาเนินการ ร่วมทากิจกรรมโดยมีวัตถุประสงค์หรือ จดุ มงุ่ หมายรว่ มกันหรอื เปน็ ไปในทศิ ทางเดยี วกัน และมักจะเกดิ จากการตดั สินใจของตนเอง การแก้ไขปัญหาการทุจริต ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เข้ามาช่วยกัน สอดส่อง ตรวจสอบการดาเนินงานของภาครัฐ โดยเฉพาะภาคประชาชน ซ่ึงการเข้ามามีส่วนร่วมที่แท้จริงโดยความ สมัครใจจะก่อให้เกิดประโยชน์มากกว่าการบังคับให้เข้ามาร่วมดาเนินการ ร่วมทากิจกรรม การเข้ามามีส่วนร่วมนั้น อาจเป็นในลักษณะของบุคคลเพียงคนเดียวเข้าไปร่วมกับกลุ่มต่าง ๆ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือการรวมตัว ของภาคประชาชนจัดต้ังเป็นชมรม สมาคม เพ่ือดาเนินการท่ีมีวัตถุประสงค์เดียวกันในการเข้ามามีส่วนร่วม ดังกล่าวจะต้องมีการเปิดโอกาสให้สมาชิกได้ร่วมแสดงความคิดเห็นของตนเองด้วย เพ่ือเป็นการพัฒนา ปรับปรุง การดาเนินการต่าง ๆ ให้เกิดความเหมาะสม และบุคคลต่าง ๆ สามารถใช้สิทธิพื้นฐานตามท่ีสมควรเพื่อขอข้อมูล ข่าวสารหรือเข้ามามีส่วนร่วมในการดาเนินการของรัฐ ดังน้ัน จึงมีความจาเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องปรับฐานความคิด และสร้างความตระหนักรู้ให้ทุกภาคส่วนของสังคมได้เข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต อย่างเป็นรูปธรรม และต่อเนื่องเป็นระยะยาว ซึ่งทุกภาคส่วนของสังคมสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกัน และปราบปรามการทจุ ริตได้หลายวธิ แี ละหลายระดับ ระดบั ของกำรมีส่วนรว่ ม2 การมีส่วนร่วมสามารถแบ่งออกได้หลายวิธีและหลายระดับข้ึนอยู่กับวัตถุประสงค์และความต้องการ ของผู้ที่เกี่ยวขอ้ งเป็นสาคญั โดยระดับของการมีส่วนร่วมมี 6 ระดบั คือ 1. กำรใหข้ อ้ มูล เปน็ การให้ข้อมลู กับผ้ทู เ่ี ก่ียวข้องหรือผู้ท่ีมีส่วนได้ส่วนเสียในเร่ืองน้ัน ๆ เพื่อให้ กลุ่มเป้าหมายได้รับทราบข้อมลู การดาเนนิ การของหนว่ ยงาน 2. กำรรับฟังควำมคิดเห็น เป็นระดับของการมีส่วนร่วมที่สูงข้ึน กล่าวคือ เม่ือมีการเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์การดาเนินการของหน่วยงานแล้ว ยังเปิดโอกาสให้มีการแสดงความคิดเห็นในเร่ืองดังกล่าวได้ว่า มีความเหมาะสมหรอื ไม่ อยา่ งไร เพื่อนามาพัฒนา ปรับปรุงการปฏิบัตงิ านต่อไป 3. กำรปรกึ ษำหำรือ เป็นการประชุมร่วมกันของแต่ละฝ่ายเพ่ือรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ถอื วา่ เปน็ การประชุมโต้ตอบข้อซักถามรว่ มกันเพื่อใหเ้ กิดความเขา้ ใจที่ถูกต้องเหมือนกนั 4. กำรวำงแผนร่วมกัน เป็นการร่วมกันวางแผนการดาเนินงานของฝ่ายต่าง ๆ ที่เก่ียวข้อง เมื่อได้มี การรบั ฟังความคิดเหน็ ประชุมร่วมกันแล้ว ก็นามาวางแผนการดาเนินงานร่วมกัน และอาจเชิญบุคคลท่ีมีความรู้ มาให้คาแนะนาเพิ่มเติมเพอื่ ให้การดาเนินงานมปี ระสบผลสาเร็จมากข้ึน 5. กำรร่วมปฏิบัติ เมื่อได้มีการวางแผนร่วมกันแล้วในขั้นตอนการนาไปปฏิบัติเป็นการเปิดโอกาส ใหผ้ ทู้ ่ีเก่ียวข้องไดร้ ว่ มดาเนินการ รว่ มทากจิ กรรมตามทไ่ี ด้วางแผนไว้ 6. กำรควบคมุ เปน็ ระดับการมสี ว่ นรว่ มท่ีสูงสดุ กล่าวคอื เมอ่ื มีการดาเนินการตามท่ีได้วางแผนไวแ้ ล้ว เพ่อื ให้เกดิ ผลสาเร็จมากขึ้นจงึ ตอ้ งมกี ารควบคุมการปฏิบตั งิ าน อาจควบคุมจากหน่วยงานภายในองค์กร หรือควบคุม จากภายนอก เชน่ หน่วยงานที่ทาหน้าท่ีด้านตรวจสอบ ประชาชนที่อยู่ในพื้นท่ี เป็นต้น สาหรับประชาชนที่อยู่ใน พื้นทจ่ี ะมีข้อดีคือสามารถรับรู้การดาเนินการต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ดังน้ัน ในระดับนี้ประชาชนจะมีความสาคัญมาก ในการร่วมมอื ป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ 2 บวรศกั ดิ์ อวุ รรณโณ และถวิลวดี บุรีกุล. ประชาธปิ ไตยแบบมสี ว่ นร่วม (Participatory Democracy). กรงุ เทพฯ : สถาบัน พระปกเกลา้ , 2548. หนา้ 29 – 30

24 กำรมสี ่วนรว่ มในกำรปอ้ งกนั และปรำบปรำมกำรทุจริตกับสำนกั งำน ป.ป.ช. ประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมกับสานักงาน ป.ป.ช. ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ได้ดงั น้ี ๑. เป็นผกู้ ลา่ วหา ผู้ทาคารอ้ ง ผู้รอ้ งทุกขก์ ลา่ วโทษ ผู้ให้ถ้อยคา หรือแจ้งเบาะแส หรือข้อมูลเกี่ยวกับ การกระทาการทุจริตต่อหน้าท่ีของเจ้าพนักงานของรัฐ หรือเจ้าพนักงานของรัฐร่ารวยผิดปกติ หรือข้อมูลอ่ืนที่เป็น ประโยชน์ตอ่ การทางานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และสานกั งาน ป.ป.ช. โดยไดร้ ับความคุ้มครอง ๒. เสนอความคดิ เห็น ขอ้ เสนอแนะ หรอื มาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ 3. เขา้ รว่ มการดาเนินโครงการ/กิจกรรม หรือให้การช่วยเหลือ หรือสนับสนุนงานป้องกันและปราบปราม การทุจริต 4. เสนอแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยประชาชนเป็น ผู้กาหนดเอง หรือที่สานักงาน ป.ป.ช. กาหนด เพ่ือขอรับทุนสนับสนุนจากกองทุนป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยจะเสนอในนามของบุคคล คณะบคุ คล สถาบนั หรอื หน่วยงานทง้ั ภาครัฐและเอกชน ก็ได้ 5. ร่วมเปน็ เครอื ขา่ ยในการเฝ้าระวังการทจุ ริตกบั สานักงาน ป.ป.ช. 2.3 กฎหมำยท่ีเก่ียวข้อง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ให้ความสาคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ หรือการเข้ามามีส่วนร่วมในการดาเนินการของรัฐ หรือการส่งเสริม และสนับสนุนใหป้ ระชาชนรวมตวั กันในการป้องกัน ปราบปรามการทุจรติ และประพฤตมิ ชิ อบ รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช 2560 ได้กาหนดถึงสิทธิและเสรีภาพของปวงชน ชาวไทย การเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดาเนินการของรัฐ รวมถึงการให้ความรู้ ไม่ร่วมมือ หรอื สนบั สนุนการทจุ ริตและประพฤตมิ ิชอบ อาทิเช่น หมวด 3 สทิ ธิและเสรภี ำพของปวงชนชำวไทย มำตรำ 41 บุคคลและชุมชนยอ่ มมีสิทธิ (1) ได้รับทราบและเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วยงานของรัฐตามท่ี กฎหมายบัญญตั ิ (2) เสนอเร่ืองราวร้องทกุ ขต์ อ่ หนว่ ยงานของรัฐและได้รบั การพจิ ารณาโดยเร็ว (3) ฟ้องหน่วยงานของรัฐให้รับผิดเนื่องจากการกระทาหรือการละเว้นการกระทาของข้าราชการ พนกั งาน หรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ มำตรำ 43 บคุ คลและชุมชนยอ่ มมสี ทิ ธิ (1) อนุรักษ์ ฟนื้ ฟู หรือส่งเสรมิ ภูมิปัญญา ศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณีอันดีงาม ทั้งของทอ้ งถน่ิ และของชาติ (2) จัดการ บารุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อม และความหลากหลาย ทางชวี ภาพอยา่ งสมบรู ณแ์ ละยั่งยืนตามวธิ กี ารทีก่ ฎหมายบัญญตั ิ (3) เข้าชื่อกนั เพอ่ื เสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐให้ดาเนินการใดอันจะกระทบต่อความเป็นอยู่อย่าง สงบสุขของประชาชนหรือชุมชน หรืองดเว้นการดาเนินการใดอันจะกระทบต่อความเป็นอยู่อย่างสงบสุข

25 ของประชาชนหรือชุมชน และได้รับแจ้งผลการพิจารณาโดยเร็ว ทั้งน้ี หน่วยงานของรัฐต้องพิจารณาข้อเสนอแนะนั้น โดยใหป้ ระชาชนที่เกย่ี วขอ้ งมสี ่วนร่วมในการพิจารณาด้วยตามวธิ ีที่กฎหมายบัญญตั ิ (4) จดั ใหม้ ีระบบสวสั ดิการของชุมชน สิทธิของบุคคลและชุมชนตามวรรคหน่ึง หมายความรวมถึงสิทธิท่ีจะร่วมกับองค์กรปกครองส่วน ท้องถ่ินหรอื รัฐในการดาเนินการดงั กลา่ วดว้ ย หมวด 4 หน้ำที่ของปวงชนชำวไทย มำตรำ 50 บุคคลมหี น้าที่ ดังตอ่ ไปน้ี (1) ..................................................................................................................... (10) ไม่ร่วมมือหรือสนับสนนุ การทจุ รติ และประพฤติมชิ อบทุกรูปแบบ มำตรำ 58 การดาเนินการใดของรัฐหรือที่รัฐจะอนุญาตให้ผู้ใดดาเนินการ ถ้าการน้ันอาจมีผลกระทบ ต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพส่ิงแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสาคัญอ่ืนใดของประชาชน หรือชุมชนหรือสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง รัฐต้องดาเนินการให้มีการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพ ส่ิงแวดล้อมและคุณภาพของประชาชนหรือชุมชน และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและ ประชาชนและชมุ ชนที่เกี่ยวข้องก่อน เพอ่ื นามาประกอบการพิจารณาดาเนนิ การหรืออนุญาตตามท่ีกฎหมายบัญญัติ บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูล คาช้ีแจง และเหตุผลจากหน่วยงานของรัฐก่อนการดาเนินการ หรืออนญุ าตตามท่ีกฎหมายบญั ญัติ ในการดาเนินการหรืออนุญาตตามวรรคหนึ่ง รัฐต้องระมัดระวังให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน ชุมชน ส่ิงแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพน้อยที่สุด และต้องดาเนินการให้มีการเยียวยาความเดือดร้อน หรอื เสียหายให้แกป่ ระชาชนหรอื ชุมชนทไ่ี ดร้ บั ผลกระทบอย่างเปน็ ธรรมโดยไมช่ กั ชา้ หมวดที่ 5 หนำ้ ที่ของรฐั มำตรำ 63 รัฐต้องส่งเสริม สนับสนุน และให้ความรู้แก่ประชาชนถึงอันตรายท่ีเกิดจากการทุจริต และประพฤตมิ ิชอบทงั้ ในภาครฐั และภาคเอกชน และจดั ใหม้ มี าตรการและกลไกท่ีมีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันและ ขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบดังกล่าวอย่างเข้มงวด รวมทั้งกลไกในการส่งเสริมให้ประชาชนรวมตัวกัน เพ่ือมีส่วนร่วมในการรณรงค์ให้ความรู้ ต่อต้าน หรือชี้เบาะแส โดยได้รับความคุ้มครองจากรัฐตามท่ีกฎหมาย บญั ญตั ิ หมวดท่ี 6 แนวนโยบำยแห่งรฐั มำตรำ 78 รัฐพึงส่งเสริมให้ประชาชนและชุมชนมีความรู้ความเข้าใจท่ีถูกต้องเก่ียวกับการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ ด้านต่างๆ การ จัดทาบริการสาธารณะทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น การตรวจสอบการใช้อานาจรัฐ การต่อต้านการทุจริต และประพฤติมิชอบ รวมตลอดท้ังการตัดสินใจทางการเมือง และการอ่ืนใด บรรดาท่ีอาจมีผลกระทบต่อ ประชาชนหรอื ชุมชน ฉะนนั้ รฐั ธรรมนญู ได้กาหนดใหส้ ิทธกิ บั ประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร รวมถึงการตัดสินใจต่าง ๆ ซง่ึ หนว่ ยงานของรัฐจะตอ้ งนาไปถือปฏบิ ัติ โดยประโยชนข์ องการเปดิ โอกาสให้เข้ามามีส่วนร่วมจะทาให้เกิดการตัดสินใจ ท่ีรอบคอบมากขึ้น เน่ืองจากมีบุคคลท่ีเข้ามาร่วมให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ หากพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายและ เวลาในการดาเนินการให้รอบคอบต้ังแต่เริ่มแรกจะทาให้ประหยัดงบประมาณและเวลาเป็นอย่างมาก กล่าวคือ การดาเนินการใด ๆ จะได้รับความร่วมมือและการยอมรับจากบุคคลท่ีเกี่ยวข้องเนื่องจากได้ผ่านการตัดสินใจร่วมกัน ทาให้สามารถนาไปปฏิบตั ไิ ดง้ ่ายข้ึน มคี วามน่าเชื่อถอื และชอบธรรมในการดาเนินการ ซึ่งการดาเนินการร่วมกันน้ี

26 จะเป็นส่วนสาคัญในการพัฒนาสังคม ประเทศชาติต่อไปได้ แต่ท้ังนี้ เงื่อนไขท่ีสาคัญของการมีส่วนร่วม คือ ตอ้ งมีอสิ ระในการเขา้ มามสี ่วนร่วม เป็นไปด้วยความสมัครใจ มีความเสมอภาคในการเขา้ มามสี ่วนร่วม และบุคคล ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมต้องมีศักยภาพเพียงพอ เน่ืองจากการดาเนินการบางอย่างจาเป็นต้องอาศัยความ สามารถ ของผู้ที่เข้ามามีส่วนร่วม แต่หากผู้ท่ีจะเข้ามามีส่วนร่วมยังขาดความรู้ ความเข้าใจเร่ืองท่ีจะดาเนินการ ผู้ที่รับผิดชอบ ต้องจัดให้มีการศึกษา อบรม เพ่ือให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในการท่ีจะไปร่วมดาเนินการได้อย่างถูกต้องตาม วัตถุประสงค์ที่วางไว้ รวมทั้งกาหนดให้รัฐต้องดาเนินการกาหนดมาตรการและกลไกท่ีจาเป็นส่งเสริมและสนับสนุน ใหท้ ุกภาคส่วนเข้ามามสี ่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริตอยา่ งชัดเจนและจรงิ จัง พระรำชบัญญัติประกอบรฐั ธรรมนญู ว่ำดว้ ยกำรป้องกนั และปรำบปรำมกำรทจุ รติ พ.ศ. 2561 พระราชบัญญตั ิประกอบรฐั ธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ได้กาหนด หน้าท่ีและอานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. รวมทั้งมีมาตรการ กลไก กระบวนการดาเนินการที่จาเป็นและสาคัญ หลายประการเพือ่ ให้ประชาชนและหน่วยงานของรัฐเขา้ มามสี ว่ นร่วมและใหค้ วามรว่ มมอื ในการป้องกันและปราบปราม การทุจริต ซ่งึ จะช่วยเพ่มิ ประสทิ ธิภาพในการดาเนินงานด้านการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ ริตมากย่ิงขนึ้ เช่น มำตรำ 32 คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าท่ีและอานาจเสนอมาตรการ ความเห็นและข้อเสนอแนะ ตอ่ คณะรฐั มนตรี รัฐสภา ศาล องค์กรอสิ ระ หรือองค์กรอยั การ ในเรือ่ งดังตอ่ ไปนี้ (1) ปรับปรุงการปฏิบัติราชการ หรือวางแผนงานโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงาน ของรฐั เพือ่ ป้องกันหรือปราบปรามการทุจริต การกระทาความผิดต่อตาแหน่งหน้าท่ีราชการ หรือการกระทาความผิด ตอ่ ตาแหนง่ หนา้ ที่ในการยุติธรรม (2) จัดใหม้ ีมาตรการและกลไกท่ีมปี ระสทิ ธภิ าพ เพ่ือป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบ ทั้งในภาครฐั และภาคเอกชนอยา่ งเขม้ งวด (3) เสนอแนะให้มีการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือมาตรการใดท่ีเป็นช่องทาง ใหม้ กี ารทุจรติ หรือประพฤติมชิ อบ หรอื เปน็ เหตใุ ห้เจา้ หนา้ ท่ีของรัฐไม่อาจปฏบิ ัตหิ น้าที่ให้เกดิ ผลดีต่อราชการได้ ในการจดั ทามาตรการ ความเห็นและขอ้ เสนอแนะตามวรรคหนึ่ง คณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจจัดให้ มีการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะในเรื่องที่กระทบต่อประโยชน์สาธารณะก็ได้ ทั้งน้ี ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ทคี่ ณะกรรมการ ป.ป.ช. กาหนด เมอ่ื องคก์ รตามวรรคหนง่ึ ไดร้ ับแจ้งมาตรการ ความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้ว หากเป็นกรณีท่ีไม่อาจดาเนินการได้ ให้แจ้งปัญหาอุปสรรคต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบต่อไป ท้ังน้ี ไม่เกิน เกา้ สิบวนั นับแตไ่ ด้รบั แจง้ จากคณะกรรมการ ป.ป.ช. มำตรำ 33 เพื่อให้ประชาชนและหน่วยงานของรัฐมีส่วนร่วมและให้ความร่วมมือในการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. กาหนดมาตรการและกลไกที่จาเป็นต่อการดาเนินการ ในเร่อื งดังต่อไปนี้ (1) การส่งเสริมให้ประชาชนรวมตัวกันเพื่อมีส่วนร่วมในการรณรงค์ให้ความรู้ ต่อต้าน หรือช้ีเบาะแส โดยได้รับความคมุ้ ครอง รวมทงั้ จดั ให้มีช่องทางการแจ้งข้อมูล เบาะแส หรือพยานหลักฐานสาหรับการกระทาความผิด ท่ีอยู่ในหน้าที่และอานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยช่องทางดังกล่าวต้องมีวิธีที่ง่าย สะดวก ไม่มีขั้นตอนท่ี ยุง่ ยาก และไม่กอ่ ผลร้ายกับผู้แจ้งดังกล่าว รวมทั้งดาเนินการเพ่ือป้องกันการทุจริต ตลอดจนเสริมสร้างทัศนคติและ ค่านิยมเกี่ยวกับความซือ่ สตั ย์สจุ รติ (2) ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนหน่วยงานของรัฐในการจัดให้มีกลไกการแจ้งเตือนกรณีพบว่า มีพฤตกิ ารณ์ทส่ี อ่ ว่าอาจมกี ารทุจริตในหนว่ ยงานของตน

27 (3) ส่งเสริมให้ประชาชนและชุมชนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเก่ียวกับอันตรายของการทุจริต รวมถึงค่านิยมที่เน้นการพ่ึงพาระบบอุปถัมภ์ในสังคม เพ่ือให้เกิดการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบอย่าง กว้างขวาง (4) รบั ฟังขอ้ เสนอแนะจากประชาชนหรือหน่วยงานของรัฐเพ่ือนาไปปรับปรุงการปฏิบัติหน้าท่ีของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. และสานักงานให้มปี ระสิทธิภาพย่งิ ขนึ้ ในการดาเนินการตาม (1) (2) และ (3) ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่งตั้งคณะกรรมการข้ึนคณะหน่ึง เพ่อื ให้คาเสนอแนะ ช่วยเหลอื และร่วมมือกนั ดาเนนิ การ มำตรำ 35 ในกรณที ี่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มเี หตอุ ันควรสงสัยว่ามีการดาเนินการอย่างใดในหน่วยงาน ของรฐั อันอาจนาไปสกู่ ารทุจริตหรอื ส่อว่าอาจมกี ารทุจริต ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดาเนินการตรวจสอบโดยเร็ว ถ้าผลการตรวจสอบปรากฏว่ากรณีมีเหตุอันควรระมัดระวัง คณะกรรมการ ป.ป.ช.อาจมีมติด้วยคะแนนเสียง ไมน่ อ้ ยกวา่ สองในสามของกรรมการท้งั หมดเท่าที่มีอยู่ มีหนังสือแจ้งให้หน่วยงานของรัฐดังกล่าวและคณะรัฐมนตรีทราบ พร้อมด้วยขอ้ เสนอแนะแนวทางการแก้ไข หนว่ ยงานของรฐั และคณะรัฐมนตรีมีหน้าท่ีต้องดาเนินการตามควรแก่กรณีเพ่ือป้องกันมิให้เกิดการ ทจุ รติ หรือเกิดความเสียหายตอ่ ประโยชน์ของรัฐหรือประชาชนโดยเรว็ และถ้าไมเ่ ก่ียวกบั ความลับของทางราชการ ใหเ้ ปดิ เผยใหป้ ระชาชนทราบเป็นการทว่ั ไป

28

29 บทท่ี 3 กำรขัดกนั ระหว่ำงประโยชนส์ ่วนบุคคลกบั ประโยชน์สว่ นรวม กำรขดั กันระหว่ำงประโยชน์ส่วนบคุ คลกบั ประโยชน์สว่ นรวม (Conflict of interests) คาว่า Conflict of interests3 มีผู้ให้คาแปลเป็นภาษาไทยไว้หลากหลาย เช่น “การขัดกันแห่งผลประโยชน์ ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม” หรือ “การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม” หรือ “การขดั กนั ระหว่างผลประโยชน์สาธารณะและผลประโยชน์ส่วนรวม” หรือ “ประโยชน์ทับซ้อน” หรือ “ผลประโยชน์ ทับซ้อน” หรอื “ผลประโยชนข์ ัดกนั ” หรือ “ผลประโยชน์ขัดแย้ง” หรือ“ความขดั แย้งทางผลประโยชน์” ประโยชน์ส่วนบคุ คล คือ การท่ีบุคคลท่ัวไปในสถานะเอกชนหรือเจ้าพนักงานของรัฐในสถานะเอกชน ได้ทากิจกรรม หรือได้กระทาการต่าง ๆ เพ่ือประโยชน์ส่วนตน ครอบครัว เครือญาติพวกพ้อง หรือของกลุ่มในสังคม ท่ีมีความสัมพันธ์กันในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การประกอบอาชีพ การทาธุรกิจ การค้า การลงทุน เพ่ือหาประโยชน์ ในทางการเงนิ หรอื ทางธรุ กิจ เปน็ ต้น ประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์สำธำรณะ คือ การท่ีบุคคลใด ๆ ในสถานะที่เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ได้กระทาการใด ๆ ตามหน้าที่หรือได้ปฏิบัติหน้าที่อันเป็นการดาเนินการในอีกส่วนหน่ึงท่ีแยกออกมาจากการ ดาเนินการตามหน้าท่ีในสถานะของเอกชน การกระทาการใด ๆ ตามหน้าที่ของเจ้าพนักงานของรัฐจึงมีวัตถุประสงค์ หรือมีเป้าหมายเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม หรือการรักษาประโยชน์ส่วนรวมที่เป็นประโยชน์ของรัฐ การทาหน้าท่ี ของเจา้ พนักงานของรัฐจึงมีความเกี่ยวเนื่องเช่ือมโยงกับอานาจหน้าท่ีตามกฎหมายและจะมีรูปแบบของความสัมพันธ์ หรือมกี ารกระทาในลักษณะตา่ ง ๆ กันท่เี หมือนหรือคล้ายกับการกระทาของบุคคลในสถานะเอกชน เพียงแต่การ กระทาในสถานะที่เป็นเจ้าพนักงานของรัฐกับการกระทาในสถานะเอกชน จะมีความแตกต่างกันท่ีวัตถุประสงค์ เปา้ หมายหรอื ประโยชนส์ ุดทา้ ยทแ่ี ตกต่างกนั กำรขัดกันระหว่ำงประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม (Conflict of interests) มีลักษณะ ทานองเดียวกันกับกฎศีลธรรม ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี หลักคุณธรรม จริยธรรม คือ การที่เจ้าพนักงาน ของรัฐกระทาการใด ๆ หรือดาเนินการในกิจการสาธารณะท่ีเป็นการดาเนินการตามหน้าที่และอานาจหรือความ รับผิดชอบในกิจการของรัฐหรือองค์กรของรัฐ เพื่อประโยชน์ของรัฐหรือเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมแต่เจ้าพนักงาน ของรัฐได้มีผลประโยชน์ส่วนตนเข้าไปแอบแฝง หรือเป็นผู้ท่ีมีส่วนได้เสียในรูปแบบต่าง ๆ หรือนาประโยชน์ส่วนตน หรือความสัมพันธ์ส่วนตนเข้ามามีอิทธิพลหรือเกี่ยวข้องในการใช้อานาจหน้าท่ีหรือ ดุลยพินิจในการพิจารณา ตัดสินใจในการกระทาการใด ๆ หรือดาเนินการดังกล่าวนั้นเพ่ือแสวงหาประโยชน์ในทางการเงินหรือประโยชน์อื่น ๆ สาหรบั ตนเองหรือบุคคลใดบุคคลหนง่ึ การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม เป็นการกระทาที่ไม่ถูกต้อง ย่อมถือว่า เป็นการกระทาผดิ ทางจริยธรรม จริยธรรม (Ethics) ความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง ธรรมท่ีเป็นข้อประพฤติ ศีลธรรม กฎศีลธรรม 3 ศาสตราจารย์ ดร.กาชัย จงจักรพันธ์ “การขัดกันแหง่ ผลประโยชน์ และมาตรา 100 พ.ร.บ.ป.ป.ช.” หน้า 27 – 30.

30 จริยธรรม (Ethics) เป็นกรอบใหญ่ทางสังคมที่เป็นพื้นฐานของแนวคิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวมและการทุจริต การกระทาใดที่ผิดต่อกฎหมายการขัดกันระหว่างประโยชน์ ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวมและการทุจริต ย่อมเป็นความผิดต่อจริยธรรมด้วย แต่ตรงกันข้ามการกระทาใด ท่ีฝ่าฝืนจริยธรรมอาจไม่เป็นความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วน บุคคลกับประโยชน์ส่วนรวมและ การทุจรติ เชน่ การมีพฤตกิ รรมสว่ นตัวทีไ่ ม่เหมาะสม การมีพฤติกรรมช้สู าว เป็นตน้ จริยธรรม กำรขัดกันระหว่ำงประโยชน์ ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม กำรทุจริตต่อหนำ้ ท่ี แผนภาพแสดงความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งจริยธรรมกบั การขดั กันระหวา่ งประโยชนส์ ่วนบคุ คลกบั ประโยชนส์ ่วนรวม และการทจุ รติ ตอ่ หน้าที่ ความแตกต่างของคาว่า “จริยธรรม” กับ “การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม และการทจุ ริต” คือ จรยิ ธรรม ถอื เปน็ หลกั สาคัญในการควบคุมพฤติกรรมของเจ้าพนักงานของรัฐเปรียบเสมือน โครงสรา้ งพน้ื ฐานท่ีเจ้าพนักงานของรัฐต้องยึดถือปฏิบัติ สาหรับ กำรขัดกันระหว่ำงประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม เปน็ พฤตกิ รรมท่ีอยรู่ ะหว่างจริยธรรมกับการทจุ ริต ท่ีจะก่อให้เกิดผลประโยชน์ส่วนตนกระทบต่อผลประโยชน์ส่วนรวม ซ่ึงพฤติกรรมบางประเภทมีการบัญญัติเป็นความผิดทางกฎหมายมีบทลงโทษชัดเจน แต่พฤติกรรมบางประเภทยังไม่มี การบญั ญัตขิ อ้ หา้ มไวใ้ นกฎหมาย และกำรทุจริต เป็นพฤติกรรมที่ฝ่าฝืนกฎหมายโดยตรง ถือเป็นความผิดอย่างชัดเจน สังคมส่วนใหญ่จะมีการบัญญัติกฎหมายออกมารองรับ มีบทลงโทษชัดเจน ถือเป็นความผิดข้ันรุนแรงท่ีสุดท่ี เจ้าพนักงานของรัฐตอ้ งไม่ปฏิบัติ 3.1 รปู แบบกำรขดั กนั ระหวำ่ งประโยชน์สว่ นบุคคลกับประโยชนส์ ่วนรวม การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวมมีได้หลายรูปแบบไม่จากัดอยู่เฉพาะ ในรูปแบบของตัวเงิน หรือทรัพย์สินเท่านั้น แต่รวมถึงผลประโยชน์อ่ืน ๆ ท่ีไม่ได้อยู่ในรูปแบบของตัวเงินหรือ ทรพั ยส์ นิ ดว้ ย John Langford & Kenneth Kernaghan ไดจ้ าแนกรปู แบบของการขัดกันระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นบคุ คล กับประโยชน์ส่วนรวม ออกเปน็ 7 รปู แบบ คือ ๑) กำรรับผลประโยชนต์ ่ำง ๆ (Accepting benefits) การรบั ผลประโยชน์ เช่น การรบั ของขวัญ การรับ ส่วนลดราคา การรับความบันเทิง การรับบริการ การรับการฝึกอบรม หรือสิ่งอื่นใดในลักษณะเดียวกันนี้ ซ่ึงการ รับผลประโยชนต์ ่าง ๆ มีผลต่อการตดั สินใจของเจ้าพนักงานของรัฐ

31 ๒) กำรทำธุรกิจกับตนเอง (Self - dealing) หรือเป็นคู่สัญญำ (Contracts) เป็นกรณีที่เจ้าพนักงาน ของรัฐที่มีอานาจในการตัดสินใจ เข้าไปมีส่วนได้เสียในสัญญาท่ีทากับหน่วยงานท่ีตนสังกัด โดยอาจจะเป็นเจ้าของ บริษัทที่ทาสัญญาหรือเป็นของเครือญาติ ตัวอย่างเช่น การใช้ตาแหน่งหน้าที่ทาให้หน่วยงานทาสัญญาซ้ือสินค้า จากบริษัทของตนเองหรือเครือญาติ หรือจ้างบริษัทของตนเป็นที่ปรึกษา หรือซ้ือที่ดินของตนในการจัดสร้าง สานักงาน ๓) กำรทำงำนหลังจำกออกจำกตำแหน่งหน้ำท่ีสำธำรณะหรือหลังเกษียณ (Post - employment) เป็นกรณีท่ีเจ้าพนักงานของรัฐลาออกจากหน่วยงานของรัฐ และไปทางานในบริษัทเอกชนท่ีมีธุรกิจประเภท เดยี วกนั หรือมีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานเดิมโดยใช้อิทธิพลหรือความสัมพันธ์จากหน่วยงานเดิมในการหาประโยชน์ ให้กับบริษทั ๔) กำรทำงำนพิเศษ (Outside employment or moonlighting) รูปแบบการทางานพิเศษ มไี ดห้ ลายลกั ษณะ อาทเิ ช่น เจ้าพนักงานของรัฐตั้งบริษัทที่ทาธุรกิจท่ีเป็นการแข่งขันกับหน่วยงานที่ตนสังกัด หรือ รับเป็นท่ีปรึกษาโครงการ โดยอาศัยตาแหน่งทางราชการในการสร้างความน่าเช่ือถือ หรือกรณีท่ีเป็นผู้ตรวจสอบ บัญชีของกรมสรรพากร ก็รับงานพเิ ศษเปน็ ทปี่ รกึ ษาหรอื เปน็ ผู้ทาบัญชใี หก้ บั บริษทั ทต่ี ้องถูกตรวจสอบ ๕) กำรรู้ข้อมูลภำยใน (Inside information) เป็นกรณีท่ีเจ้าพนักงานของรัฐใช้ประโยชน์จากการที่ ตนเองรับรู้ข้อมูลภายในหน่วยงาน และนาข้อมลู นั้นไปหาผลประโยชนใ์ ห้กบั ตนเองหรอื พวกพ้อง ๖) กำรใช้ทรัพย์สินของรำชกำรเพื่อประโยชน์ธุรกิจส่วนตัว (Using your employer’s property for private advantage) เป็นกรณีที่เจ้าพนักงานของรัฐเอาทรัพย์สินของทางราชการไปใช้เพื่อประโยชน์ของ ตนเองหรือพวกพอ้ ง หรอื การใชใ้ ห้ผ้ใู ต้บังคบั บัญชาไปทางานสว่ นตัว เช่น การนาเครอ่ื งใช้สานักงานต่างๆ กลับไป ใช้ทบ่ี ้าน การนารถยนต์ราชการไปใชใ้ นงานสว่ นตัว ๗) กำรนำโครงกำรสำธำรณะลงในเขตเลือกต้ังเพ่ือประโยชน์ทำงกำรเมือง (Pork - barreling) เป็น กรณีท่ีผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองหรือผู้บริหารระดับสูงอนุมัติโครงการไปลงในพื้นท่ีหรือบ้านเกิดของตนเอง หรอื การใชง้ บประมาณสาธารณะเพ่อื หาเสยี ง เม่ือพิจารณา ร่ำงพระรำชบัญญัติว่ำด้วยควำมผิดเก่ียวกับกำรขัดกันระหว่ำงประโยชน์ส่วนบุคคล และประโยชน์ส่วนรวม พ.ศ. .... (ร่างพระราชบัญญัติฯ ท่ีสานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจพิจารณาแล้ว เรื่องเสรจ็ ท่ี 81/2560) ทาใหม้ ีรปู แบบเพ่มิ เติมจากท่กี ล่าวมาแลว้ ขา้ งต้นอีก 2 กรณี คือ 1) กำรใช้ตำแหน่งหน้ำท่ีแสวงหำประโยชน์แก่เครือญำติหรือพวกพ้อง (Nepotism) หรืออาจ เรียกว่า ระบบอุปถัมภ์พิเศษ เช่น การที่เจ้าหน้าท่ีของรัฐใช้อิทธิพลหรือใช้อานาจหน้าที่ทาให้หน่วยงานของตน เข้าทาสัญญากับบรษิ ทั ของพ่ีนอ้ งของตน 2) กำรใช้อิทธิพลเขำ้ ไปมีผลตอ่ กำรตัดสินใจของเจ้ำหน้ำท่ีรัฐ หรือหน่วยงำนของรัฐอื่น (Influence) เพือ่ ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองหรือพวกพ้อง เช่น เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตาแหน่งหน้าท่ีข่มขู่ผู้ใต้บังคับบัญชาให้หยุด ทาการตรวจสอบบริษทั ของเครอื ญาติของตน

32 ดังน้ัน จึงสามารถสรุปรปู แบบของการกระทาทเ่ี ข้าข่ายเปน็ การขัดกันระหวา่ ง ประโยชน์ส่วนบุคคลกับ ประโยชนส์ ว่ นรวม (Conflict of interests) เปน็ 9 รปู แบบ ดังนี้ 11 กำรรับผลประโยชนต์ ่ำง ๆ (Accepting benefits) 12 กำรทำธรุ กิจกบั ตนเอง (Self - dealing) หรอื เปน็ คสู่ ญั ญำ (Contracts) 13 กำรทำงำนหลังจำกออกจำกตำแหน่งหน้ำท่ีสำธำรณะ หรอื หลังเกษียณ (Post - employment) 14 กำรทำงำนพเิ ศษ 15 (Outside employment or moonlighting) 16 17 กำรรขู้ อ้ มูลภำยใน 18 (Inside information) 19 กำรใชท้ รพั ย์สินของรำชกำรเพ่อื ประโยชนธ์ ุรกจิ ส่วนตัว (Using your employer’s property for private advantage) กำรนำโครงกำรสำธำรณะลงในเขตเลอื กตง้ั เพื่อประโยชน์ทำงกำรเมือง (Pork - barreling) กำรใชต้ ำแหนง่ หน้ำที่แสวงหำประโยชนแ์ ก่เครอื ญำติหรือพวกพ้อง (Nepotism) กำรใชอ้ ิทธิพลเขำ้ ไปมผี ลต่อกำรตดั สินใจของเจ้ำหนำ้ ทร่ี ัฐ หรอื หน่วยงำนของรฐั อนื่ (Influence)

33 พระรำชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวำ่ ดว้ ยกำรปอ้ งกันและปรำบปรำมกำรทุจริต พ.ศ. 2561 ได้กาหนด หมวด การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม เพื่อเป็นหลักปฏิบัติ โดยให้การบริหารงาน ของรัฐจะต้องเป็นไปด้วยความโปรง่ ใสและเกิดประโยชนส์ ูงสดุ ตอ่ ประชาชน รวมทั้งให้ประชาชนปราศจากความ เคลือบแคลงสงสยั ในความซอ่ื สตั ย์สุจริตของผ้มู ีหนา้ ทีใ่ นการบรหิ ารงานของรัฐ จึงต้องห้ามการกระทาอันเป็นการ ขดั ระหว่างประโยชนส์ ่วนบุคคลของผู้มหี นา้ ทดี่ ังกลา่ วกับประโยชน์สว่ นรวม กล่าวคือ - กำรดำเนินกจิ กำรในฐำนะท่ตี นเป็นผู้มีอำนำจในกำรกำกบั ดแู ล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี ไม่วำ่ โดยตรงหรือโดยอ้อม (มำตรำ 126) - หา้ มบุคคลดงั น้ี กรรมการ ผู้ดารงตาแหน่งในองค์กรอิสระ และเจ้าพนักงานของรัฐที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ประกาศกาหนด รวมถึงค่สู มรสของบคุ คลดังกลา่ วด้วย ค่สู มรส หมายความรวมถึงผซู้ ึง่ อยกู่ นิ กันฉันสามีภริยาโดยมไิ ด้จดทะเบยี นสมรสด้วย หลกั เกณฑก์ ารอย่กู นิ กันฉนั สามภี รยิ า - ไดท้ าพธิ ีมงคลสมรสหรือพิธีอน่ื ใดในทานองเดยี วกัน - เจ้าพนักงานของรัฐแสดงให้ปรากฏว่ามีสถานะเป็นสามีภรรยากันหรือมีพฤติการณ์ เป็นท่รี ับร้ขู องสงั คมทวั่ ไป - เคยจดทะเบยี นสมรส ต่อมาจดทะเบียนหย่าขาดกัน แต่ยังแสดงหรือมีพฤติการณ์เป็นที่ รบั รูข้ องสงั คมท่วั ไปว่าเปน็ สามภี รยิ ากนั - หา้ มดาเนินกจิ การดังต่อไปนี้ - เป็นคู่สญั ญา หรอื มสี ่วนไดเ้ สยี ในสัญญาทท่ี ากับหน่วยงานของรัฐท่ีตนปฏบิ ัตหิ น้าที่อยู่ - เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทท่ีเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐที่ตน ปฏบิ ตั หิ น้าทอี่ ยู่ - รับสัมปทานหรือคงถอื ไว้ซ่ึงสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถ่ิน หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วน ท้องถิ่น อันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน หรือเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทท่ีรับสัมปทาน หรือเข้าเปน็ ค่สู ัญญาในลกั ษณะดังกลา่ ว - เข้าไปมีส่วนได้เสียในธุรกิจของเอกชน ซึ่งอยู่ภายใต้การกากับ ดูแล ควบคุม หรือตรวจสอบ ของหน่วยงานของรัฐท่ีตนสังกัดอยู่ โดยเข้าไปมีส่วนได้เสียในฐานะกรรมการ ท่ีปรึกษา ตัวแทน พนักงานหรือลูกจ้าง ซ่ึงโดยสภาพของผลประโยชน์ของธุรกิจของเอกชนน้ันอาจขัดหรือแย้งต่อประโยชน์ส่วนรวม หรือประโยชน์ทาง ราชการ หรือกระทบตอ่ ความมีอิสระในการปฏิบตั ิหนา้ ทีข่ องตน - กำรเขำ้ ไปมีส่วนได้เสยี ในธรุ กจิ เอกชน (มำตรำ 127) - ห้ามบุคคลดังน้ี กรรมการ ผู้ดารงตาแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ดารงตาแหน่งระดับสูงและผู้ดารง ตาแหนง่ ทางการเมืองทีค่ ณะกรรมการ ป.ป.ช. กาหนด - หา้ มดาเนนิ การใดนับแตพ่ น้ จากตาแหนง่ ภายใน 2 ปี - หา้ มเข้าไปมสี ่วนได้เสียในธุรกจิ ของเอกชนในฐานะ กรรมการ ท่ีปรึกษา ตัวแทน พนักงานหรือ ลกู จา้ ง ซึ่งธุรกิจนั้นอยู่ภายใต้การกากับ ดูแล ควบคุม หรือตรวจสอบของหน่วยงานของรัฐที่ตนเองสังกัดหรือปฏิบัติ หน้าท่ีอยู่ ซ่ึงโดยสภาพของผลประโยชน์ของธุรกิจของเอกชนอาจขัดหรือแย้งต่อประโยชน์ส่วนรวม หรือประโยชน์ ทางราชการ หรือกระทบต่อความมอี ิสระในการปฏิบัตหิ น้าที่ของตน

34 - กำรรับทรพั ย์สนิ หรอื ประโยชนอ์ ่ืนใด (มำตรำ 128) - ห้ามบุคคลดังน้ี เจา้ พนักงานของรัฐ (เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาล รัฐธรรมนญู ผ้ดู ารงตาแหน่งในองค์กรอิสระ และคณะกรรมการ ป.ป.ช.) -ห้ามเจ้าพนักงานของรัฐรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อ่ืนใดอันอาจคานวณเป็นเงินได้ (ประโยชน์ อื่นใดอันอาจคานวณเป็นเงินได้ หมายถึง ส่ิงที่มีมูลค่า ได้แก่ การลดราคา การรับความบันเทิง การรับบริการ การรับการฝึกอบรมหรือสิ่งอื่นใดในลักษณะเดียวกัน) และยังห้ามผู้ซึ่งพ้นจากการเป็นเจ้าพนักงานของรัฐมาแล้ว ยังไมถ่ ึง 2 ปี ด้วย -ขอ้ ยกเวน้ เจ้าพนกั งานของรฐั สามารถรับทรัพย์สนิ หรือประโยชน์อ่ืนใดได้ ในกรณีดงั นี้ - มกี ฎหมายอนุญาตให้สามารถรับได้ - เป็นการรับจากบุพการี ผู้สืบสันดานหรือญาติท่ีให้ตามประเพณี หรือตามธรรมจรรยา ตามฐานานุรปู - เป็นการรับโดยธรรมจรรยาจากบุคคลอื่นซ่ึงมิใช่ญาติ คือ การรับจากบุคคลที่ให้กันใน โอกาสเทศกาลหรือวันสาคัญ รวมถึงการแสดงความยินดี การแสดงความขอบคุณ การต้อนรับ การแสดงความเสียใจ หรือการใหต้ ามมารยาททีถ่ อื ปฏิบตั ิกันในสังคม ตามหลักเกณฑ์ดังน้ี การรับจากผู้ซึ่งมิใช่ญาติที่มีราคาหรือมูลค่า ในการรับจากแต่ละบุคคล แต่ละโอกาส ไม่เกิน 3,000 บาท หรือการให้นั้นเป็นการให้ในลักษณะให้กับบุคคล ทั่วไป ตวั อย่ำงลกั ษณะกำรกระทำท่เี ป็นกำรขัดกนั ระหว่ำงประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชนส์ ว่ นรวม เช่น ๑) เจ้าพนักงานของรัฐรับของขวัญจากบริษัทเอกชน เพ่ือช่วยให้บริษัทเอกชนรายนั้นชนะการประมูล โครงการของรัฐ 2) บริษัทแห่งหนึ่งให้ของขวัญแก่เจ้าหน้าท่ีเพื่อจูงใจให้เจ้าหน้าท่ีดังกล่าวพิจารณาเอกสารข้อเสนอ โครงการของบริษัทตนเองกอ่ นบรษิ ัทอ่นื 3) การทเ่ี จ้าพนักงานของรัฐไปเป็นกรรมการของบริษัทเอกชน หรือรัฐวิสาหกิจและได้รับความบันเทิง หรือส่วนลดจากการเข้าเย่ียมชมสถานที่ต่างๆ จากบริษัท ซึ่งการรับผลประโยชน์ดังกล่าวมีผลต่อการใช้ดุลยพินิจ ในการพจิ ารณาท่ีเป็นการเอือ้ ประโยชนใ์ ห้กบั บรษิ ทั 4) การท่ีเจา้ หนา้ ท่ใี นกระบวนการจัดซ้ือจดั จ้างทาสัญญาให้หน่วยงานต้นสังกัดซื้อคอมพิวเตอร์สานักงาน จากบรษิ ทั ของครอบครัวตนเอง หรอื บริษัททีต่ นเองมีหุน้ ส่วนอยู่ 5) ผู้บริหารหน่วยงานทาสัญญาเช่ารถไปสัมมนาและดูงานกับบริษัท ซ่ึงเป็นของเจ้าหน้าท่ีหรือบริษัท ทีผ่ บู้ ริหารมหี ้นุ สว่ นอยู่ 6) อดีตผู้อานวยการหน่วยงานของรัฐแห่งหน่ึงเพิ่งเกษียณอายุราชการไปทางานเป็นท่ีปรึกษาในบริษัท ผลิตหรือขายยา โดยใช้อิทธิพลจากที่เคยดารงตาแหน่งในหน่วยงานของรัฐท่ีเก่าทาให้โรงพยาบาลซ้ือยาจากบริษัท ทต่ี นเองเป็นทป่ี รกึ ษาอยู่ 7) นติ กิ ร ฝา่ ยกฎหมายและเร่งรดั ภาษีอากรค้าง สานกั งานสรรพากรจงั หวัดหารายได้พิเศษโดยการ เป็นตัวแทนขายประกันชีวิต ได้อาศัยโอกาสที่ตนปฏิบัติหน้าที่ เร่งรัดภาษีอากรค้างผู้ประกอบการรายหนึ่งให้หา ประโยชน์ให้แก่ตนเองด้วยการขายประกันชีวิตให้แก่หุ้นส่วนผู้จัดการของผู้ประกอบการดังกล่าว รวมท้ังพนักงาน ของผู้ประกอบการในขณะที่ตนกาลังดาเนินการเรง่ รดั ภาษีอากรคา้ ง

35 8) นายชา่ ง 5 แผนกชุมสายโทรศพั ท์เคลือ่ นท่ขี ององคก์ ารโทรศพั ทแ์ ห่งประเทศไทย ไดน้ าข้อมูลเลขหมาย โทรศัพท์เคลื่อนท่ีระบบ 470 MHZ และระบบปลดล็อคไปขายให้แก่ผู้อ่ืน จานวน 40 หมายเลข เพ่ือนาไปปรับจูน เข้ากบั โทรศพั ทเ์ คลอ่ื นท่ีทนี่ าไปใชร้ ับจา้ งให้บริการโทรศพั ท์แกบ่ ุคคลทั่วไป 9) เจา้ พนกั งานของรฐั นาน้ามนั ในรถยนตข์ องทางราชการไปขาย และนาเงินมาไว้ใช้จ่ายส่วนตัวทา ใหส้ ว่ นราชการต้องเสียงบประมาณ เพื่อซื้อน้ามันรถมากกว่าท่ีควรพฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นการทุจริต เป็นการเบียดบัง ผลประโยชน์ของส่วนรวมเพื่อประโยชน์ของตนเอง และมีความผดิ ฐานลักทรพั ย์ตามประมวลกฎหมายอาญา 10) นักการเมืองในจังหวัดขอเพิ่มงบประมาณเพ่ือทาโครงการสร้างถนนลงในจังหวัด โดยใช้ช่ือ หรือนามสกุลของตนเอง 3.2 กฎหมำยทีเ่ ก่ียวขอ้ ง การกระทาท่ีถือเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม นอกจากจะมีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญาแลว้ ยังมคี วามผดิ ตามกฎหมายฉบบั อน่ื ดว้ ย เช่น พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การ หรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเก่ียวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ซงึ่ กรณที ม่ี กี ารกระทาความผดิ เกดิ ขึน้ อาจเกย่ี วข้องกบั กฎหมายหลายฉบบั พระราชบัญญตั ิประกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ด้วยการป้องกนั และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ได้บัญญัติถึง การกระทาท่ีถอื เป็นการขัดกนั ระหวา่ งประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม ในหมวด 6 การขัดกันระหว่าง ประโยชน์ส่วนบคุ คลกับประโยชนส์ ่วนรวม ดังนี้ มำตรำ ๑๒๖ นอกจากเจ้าพนักงานของรัฐท่ีรัฐธรรมนูญกาหนดไว้เป็นการเฉพาะแล้ว ห้ามมิให้กรรมการ ผู้ดารงตาแหน่งในองค์กรอิสระ และเจ้าพนักงานของรัฐที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ประกาศกาหนด ดาเนินกิจการ ดังตอ่ ไปน้ี (๑) เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาท่ีทากับหน่วยงานของรัฐที่เจ้าพนักงานของรัฐผู้นั้นปฏิบัติ หน้าท่ีในฐานะท่ีเป็นเจ้าพนักงานของรัฐซึ่งมีอานาจไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมในการกากับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรอื ดาเนนิ คดี (๒) เป็นหุ้นส่วนหรือผถู้ ือห้นุ ในห้างหุ้นสว่ นหรือบริษทั ท่เี ข้าเป็นคสู่ ญั ญากบั หนว่ ยงานของรัฐท่ีเจ้าพนักงาน ของรฐั ผูน้ ้นั ปฏิบัตหิ น้าท่ใี นฐานะท่เี ปน็ เจ้าพนกั งานของรัฐซึง่ มีอานาจไมว่ ่าโดยตรงหรอื โดยอ้อมในการกากับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบหรือดาเนินคดี เว้นแต่จะเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจากัดหรือบริษัทมหาชนจากัดไม่เกินจานวนท่ี คณะกรรมการ ป.ป.ช. กาหนด (๓) รับสัมปทานหรือคงถือไว้ซ่ึงสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วน ท้องถ่ิน อันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน หรือเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทท่ีรับสัมปทาน หรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว ในฐานะที่เป็นเจ้าพนักงานของรัฐซ่ึงมีอานาจไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม ในการกากับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบหรือดาเนินคดี เว้นแต่จะเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจากัดหรือบริษัทมหาชน จากดั ไมเ่ กินจานวนทีค่ ณะกรรมการ ป.ป.ช. กาหนด (๔) เข้าไปมีส่วนได้เสียในฐานะเป็นกรรมการ ท่ีปรึกษา ตัวแทน พนักงานหรือลูกจ้างในธุรกิจของ เอกชนซึ่งอย่ภู ายใต้การกากับ ดูแล ควบคุม หรือตรวจสอบของหน่วยงานของรัฐท่ีเจ้าพนักงานของรัฐผู้นั้นสังกัด อยู่หรือปฏิบัติหน้าท่ีในฐานะเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ซึ่งโดยสภาพของผลประโยชน์ของธุรกิจของเอกชนนั้น

36 อาจขดั หรือแยง้ ตอ่ ประโยชน์สว่ นรวม หรอื ประโยชน์ทางราชการ หรือกระทบต่อความมีอิสระในการปฏิบัติหน้าท่ี ของเจ้าพนักงานของรฐั ผู้นน้ั ให้นาความในวรรคหนง่ึ มาใชบ้ งั คับกับคู่สมรสของเจ้าพนักงานของรัฐตามวรรคหนึ่งด้วย โดยให้ถือว่า การดาเนินกิจการของคู่สมรสเป็นการดาเนินกิจการของเจ้าพนักงานของรัฐ เว้นแต่เป็นกรณีที่คู่สมรสนั้นดาเนินการ อยู่กอ่ นท่ีเจ้าพนักงานของรัฐจะเข้าดารงตาแหน่ง คูส่ มรสตามวรรคสองให้หมายความรวมถงึ ผซู้ ึง่ อยู่กนิ กนั ฉนั สามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสด้วย ท้งั น้ี ตามหลกั เกณฑ์ท่คี ณะกรรมการ ป.ป.ช. กาหนด เจา้ พนกั งานของรัฐทีม่ ลี กั ษณะตาม (๒) หรือ (๓) ต้องดาเนินการไม่ให้มีลักษณะดังกล่าวภายในสามสิบวัน นบั แต่วนั ท่ีเขา้ ดารงตาแหนง่ มำตรำ ๑๒๗ ห้ามมิให้กรรมการ ผู้ดารงตาแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ดารงตาแหน่งระดับสูงและผู้ดารง ตาแหน่งทางการเมืองท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. กาหนด ดาเนินการใดตามมาตรา ๑๒๖ (๔) ภายในสองปีนับแต่ วนั ทพี่ น้ จากตาแหนง่ มำตรำ ๑๒๘ ห้ามมิให้เจ้าพนักงานของรัฐผู้ใดรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อ่ืนใดอันอาจคานวณเป็น เงินได้จากผู้ใด นอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับท่ีออกโดยอาศัย อานาจตามบทบัญญัตแิ ห่งกฎหมาย เว้นแต่การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาตามหลักเกณฑ์และ จานวนท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. กาหนด ความในวรรคหน่ึงมิให้ใช้บังคับกับการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากบุพการี ผู้สืบสันดาน หรอื ญาตทิ ่ีให้ตามประเพณี หรอื ตามธรรมจรรยาตามฐานานุรปู บทบัญญัติในวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับกับการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อ่ืนใดของผู้ซ่ึงพ้นจากการเป็น เจา้ พนกั งานของรฐั มาแลว้ ยงั ไม่ถึงสองปดี ้วยโดยอนุโลม มำตรำ ๑๒๙ การกระทาอันเปน็ การฝา่ ฝนื บทบญั ญัติในหมวดนใี้ ห้ถือว่าเป็นการกระทาความผิดต่อ ตาแหน่งหนา้ ที่ราชการหรือความผิดต่อตาแหน่งหน้าทีใ่ นการยุติธรรม สาหรับการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อ่ืนใด และการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ ได้มีการวางแนวทาง ปฏิบัติไว้ในระเบียบสานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้หรือรับของขวัญของเจ้าพนักงานของรัฐ พ.ศ. 2544 ระเบียบสานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2544 เพ่ือเป็นการเสริมสร้างค่านิยม ให้เกิดการประหยัด มิให้มีการเบียดเบียนข้าราชการโดยไม่จาเป็นและสร้างทัศนคติท่ีไม่ถูกต้องเน่ืองจากมีการ แข่งขนั กันใหข้ องขวัญในราคาแพง ทัง้ ยังเปน็ ชอ่ งทางให้เกิดการประพฤติมิชอบอื่น ๆ ในวงราชการอีกด้วยและในการ กาหนดจรรยาบรรณของเจ้าพนักงานของรัฐประเภทต่าง ๆ ก็มีการกาหนดในเร่ืองทานองเดียวกัน ประกอบกับ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติไดป้ ระกาศกาหนดหลักเกณฑ์และจานวนท่ีเจ้าพนักงาน ของรฐั จะรบั ทรัพย์สนิ หรือประโยชน์อ่ืนใดโดยธรรมจรรยาได้ไวด้ ้วย

37 บทที่ 4 กำรแจง้ เบำะแส/กำรร้องเรียนกำรทุจริตตอ่ หน้ำท่ี 4.1 กำรแจง้ เบำะแส/กำรรอ้ งเรียนกำรทจุ ริตต่อหน้ำที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ความสาคัญกับการให้ประชาชนและหน่วยงานของรัฐมีส่วนร่วมและให้ ความรว่ มมือในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยการกาหนดมาตรการและกลไกท่ีจาเป็นต่อการดาเนินการ การแจง้ เบาะแส/การร้องเรียนการทุจริต และได้รับความคุ้มครอง ซ่ึงกลไกท่ีจะส่งเสริมให้บุคคลมาแจ้งเบาะแส หรอื ร้องเรียน คือ การสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับบุคคลทั่วไปเพื่อให้ทราบถึงช่องทางการร้องเรียน แจ้งข้อมูล เบาะแส หรือพยานหลักฐาน สาหรับการกระทาความผิดที่อยู่ในหน้าที่และอานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยชอ่ งทางดังกล่าวมีวธิ กี ารทง่ี า่ ย สะดวก ไมม่ ีขนั้ ตอนยุ่งยาก และไม่ก่อผลร้ายกบั ผูแ้ จง้ ดังกลา่ ว หนำ้ ทแ่ี ละอำนำจของคณะกรรมกำร ป.ป.ช. พระราชบัญญัติประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ได้กาหนด หน้าทแี่ ละอานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และห้ามบุคลากรของสานักงาน ป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูลต่าง ๆ ที่เป็น ขอ้ มูลเฉพาะของบุคคล และบรรดาทไี่ ดม้ าจากการปฏิบัตหิ นา้ ท่ี ไวด้ ังนี้ มำตรำ ๒๘ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าทแี่ ละอานาจ ดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) ไต่สวนและมีความเห็นกรณีมีการกล่าวหาผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรอื ผู้ดารงตาแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ใดมีพฤตกิ ารณ์รา่ รวยผดิ ปกติ ทจุ รติ ต่อหน้าท่ี หรอื จงใจปฏิบัติหน้าท่ีหรือใช้ อานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่าง รา้ ยแรง (๒) ไต่สวนและวินิจฉัยว่าเจ้าพนักงานของรัฐร่ารวยผิดปกติ กระทาความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือ กระทาความผิดตอ่ ตาแหน่งหน้าทีร่ าชการ หรือความผดิ ต่อตาแหนง่ หน้าทีใ่ นการยุติธรรม (๓) กาหนดให้ผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดารงตาแหน่งในองค์กรอิสระ และเจ้าพนกั งานของรฐั ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรท่ียังไม่บรรลุนิติภาวะ รวมทั้งตรวจสอบ และเปดิ เผยผลการตรวจสอบทรพั ย์สินและหน้ีสินของบคุ คลดงั กลา่ ว (๔) ไต่สวนเพ่ือดาเนินคดีในฐานความผิดอ่ืนท่ีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้กาหนดหรือที่มี กฎหมายกาหนดให้อยู่ในหน้าทแี่ ละอานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. (๕) หน้าท่ีและอานาจอ่ืนตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ หรือกฎหมายอ่นื ในการดาเนินการตาม (๔) ในส่วนท่ีเกี่ยวกับความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะดาเนินการเอง หรือมอบหมายให้หน่วยงานท่ีมีหน้าท่ีและอานาจในการดาเนินการเป็น ผ้ดู าเนินการก็ได้ มำตรำ 36 คณะกรรมการ ป.ป.ช. พนักงานเจา้ หนา้ ที่ และบุคคลซ่ึงคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่งต้ัง หรือมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าท่ีอย่างใด จะเปิดเผยข้อมูลซึ่งมีลักษณะเป็นข้อมูลเฉพาะของบุคคล บรรดาที่ได้มา จากการปฏิบัตหิ น้าทีม่ ิได้

38 การเปิดเผยข้อมูลการดาเนินการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในแต่ละข้ันตอน ห้ามเปิดเผยข้อมูล ที่เป็นรายละเอียดของผู้กล่าวหา ผู้แจ้งเบาะแส และผู้ซึ่งเป็นพยาน หรือกระทาการใดอันจะทาให้ทราบรายละเอียด เกย่ี วกับบคุ คลดงั กลา่ ว การเปดิ เผยขอ้ มูลอน่ื ใดเพ่ือใหส้ าธารณชนได้ทราบ ให้อยภู่ ายใต้เง่อื นไข ดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) ในช้ันก่อนการไต่สวน ห้ามเปิดเผยช่ือผู้ถูกร้อง เว้นแต่มีเหตุอันจาเป็นเพื่อประโยชน์ในการ ไตส่ วนหรือไตส่ วนเบ้อื งตน้ และไดร้ บั อนุญาตจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. แลว้ (๒) เมอ่ื ได้ดาเนินการไต่สวนหรือไต่สวนเบ้ืองต้นแล้วมีพยานหลักฐานพอสมควรก่อนท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะพิจารณาวินิจฉยั การเปดิ เผยข้อมูลใหเ้ ป็นไปตามวธิ กี ารและ เง่อื นไขท่คี ณะกรรมการ ป.ป.ช. กาหนด (๓) เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีความเห็นหรือวินิจฉัยว่าผู้ถูกกล่าวหามีพฤติการณ์การกระทา ความผิด ให้เปดิ เผยความเห็นหรือคาวินิจฉัยได้ เว้นแต่จะเปิดเผยชื่อผู้กล่าวหา ผู้แจ้งเบาะแสและผู้ซึ่งเป็นพยาน มไิ ด้ และต้องไม่กระทบต่อรปู คดีหรอื ความปลอดภยั ในชวี ติ หรอื ทรพั ยส์ นิ ของบุคคลท่เี กีย่ วข้อง ห้ามมิให้มีการเปิดเผยหรือเผยแพร่ข้อมูลรายงานและสานวนการตรวจสอบ การสอบสวน การไต่สวน หรือการไต่สวนเบื้องต้น รวมทั้งบรรดาเอกสารที่เก่ียวข้องกับการตรวจสอบ สอบสวน ไต่สวน หรือไต่สวน เบื้องต้นที่อยู่ระหว่างการดาเนินการจนกว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะได้พิจารณาและมีมติในเร่ืองดังกล่าวแล้ว เว้นแต่จะเป็นการเปิดเผยเพื่อประโยชน์ในการไต่สวนหรือไต่สวนเบื้องต้น ท้ังนี้ ให้ถือว่าเป็นความลับของ ทางราชการ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าที่และอานาจในการไต่สวนการกระทาความผิดของเจ้าพนักงานของรัฐ และ บคุ คลอืน่ ตามที่กฎหมายกาหนด ได้ดงั น้ี (๑) ทจุ รติ ตอ่ หนา้ ที่ หรอื จงใจปฏิบัตหิ น้าทห่ี รือใชอ้ านาจขัดตอ่ บทบัญญตั แิ หง่ รฐั ธรรมนญู หรอื กฎหมาย (๒) ฝา่ ฝนื หรือไม่ปฏิบตั ติ ามมาตรฐานทางจรยิ ธรรมอย่างรา้ ยแรง (๓) กระทาความผิดฐานทุจริตต่อหน้าท่ี หรือกระทาความผิดต่อตาแหน่งหน้าท่ีราชการ หรือความผิด ต่อตาแหนง่ หนา้ ทใี่ นการยุติธรรม (๔) ร่ารวยผิดปกติ (๕) ความผิดอ่ืนที่กฎหมายกาหนดให้อยู่ในหน้าที่และอานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เช่น กฎหมาย ว่าด้วยความผิดเก่ียวกบั การเสนอราคาตอ่ หนว่ ยงานของรฐั กฎหมายวา่ ด้วยการขัดกนั แหง่ ผลประโยชน์ เปน็ ตน้ (6) เจ้าพนักงานของรัฐกระทาความผิดกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทและบทใดบทหน่ึง เป็นฐานความผิดท่ีอยู่ในหน้าที่และอานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และหากความผิดของกรรมต่าง ๆ มีความ เกย่ี วข้องกนั และต้องดาเนนิ การในคราวเดียวกัน กส็ ามารถดาเนินการได้ (ตามมาตรา 30) (7) กฎหมายกาหนดให้แม้เจ้าพนักงานของรัฐจะมิได้เป็นผู้กระทาความผิด แต่ก็อยู่ในหน้าท่ีและ อานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เช่น ความผิดฐานขัดขวางกระบวนการยุติธรรม ความผิดฐานไม่ปฏิบัติตาม คาส่ังของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ความผิดฐานเปิดเผยข้อความ ข้อเท็จจริง หรือข้อมูลที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือพนกั งานเจ้าหน้าท่ีได้มาเน่อื งจากการปฏิบัตหิ นา้ ท่ี เปน็ ตน้ (ตามมาตรา ๑๗๗, ๑๗๘, ๑๗๙ และ 180) (8) เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศหรือเจ้าหน้าท่ีขององค์กรระหว่างประเทศ กระทาความผิด เรียก รบั หรอื ยอมจะรบั ทรัพยส์ ินหรือประโยชนอ์ ืน่ ใดสาหรบั ตนเองหรือผู้อน่ื โดยมชิ อบ (ตามมาตรา ๑๗๓ และ ๑๗๔) (9) กรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนเจ้าพนักงานของรัฐบุคคลใดแล้ว ปรากฏว่ามีตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน รวมทงั้ ผใู้ ห้ ผู้ขอให้ หรอื รับวา่ จะให้ หรอื นิตบิ ุคคลที่เกี่ยวข้องกับการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อ่ืนใด แก่เจ้าพนักงานของรัฐน้ันเพ่ือจูงใจให้กระทาการ ไม่กระทาการ หรือประวิงการกระทาอันมิชอบด้วยกฎหมาย แมต้ ัวการ ผู้ใช้ สนับสนนุ ดังกล่าวจะมิใช่เจ้าพนักงานของรฐั เจ้าหน้าทขี่ องรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่องค์การ ระหว่างประเทศ คณะกรรมการ ป.ป.ช. กม็ อี านาจไต่สวนตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน รวมท้ังผู้ให้ ผู้ขอให้ หรือรับว่า จะใหด้ ว้ ย ซ่ึงรวมถึงกรณีการให้ ขอให้ หรือรับวา่ จะใหท้ รัพยส์ นิ หรือประโยชนอ์ ่ืนใดแก่ (ตามมาตรา ๓๐ และ ๑๗๖)

39 กำรแจ้งเบำะแส/กำรร้องเรียนกำรทุจริตต่อหน้ำท่ีต่อคณะกรรมกำร ป.ป.ช. หรือสำนักงำน ป.ป.ช. ต้องเป็นเรื่องท่ีอยู่ในหน้าท่ีและอานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่จะสามารถดาเนินการได้ หากกรณีท่ีได้มีรับ แจ้งเบาะแส/ร้องเรียนการทุจริตไว้พิจารณาแล้ว พบว่าเรื่องดังกล่าวอยู่ในหน้าท่ีและอานาจของหน่วยงานอื่น จะดาเนินการส่งเรอ่ื งไปยงั หนว่ ยงานท่ีเก่ียวขอ้ งต่อไป วธิ ีกำรและช่องทำงกำรแจ้งเบำะแส/กำรรอ้ งเรยี นกำรทุจริต หากประชาชนพบเห็นเจ้าพนักงานของรัฐทุจริตต่อหน้าท่ีหรือร่ารวยผิดปกติ สามารถแจ้งเบาะแส หรอื ร้องเรียนมายังหน่วยงานของรฐั หรือหน่วยงานทีเ่ ก่ยี วข้องได้หลากหลายวธิ กี าร กำรแจ้งเบำะแส/กำรร้องเรียนกำรทุจริต สำมำรถแจ้งเข้ำมำที่ สำนักงำน ป.ป.ช. โดยวิธีการ ดงั ต่อไปน้ี ๑. กล่ำวหำเป็นหนังสือ “เรียน เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.” สานักงาน ป.ป.ช. เลขที่ ๓๖๑ ถนนนนทบุรี ตาบลท่าทราย อาเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ๑๑๐๐๐ หรือส่งท่ี สานักงาน ป.ป.ช. ภาค 1 – 9 หรือส่งท่ี สานกั งาน ป.ป.ช. ประจาจังหวดั ท้ังนี้ จะยนื่ ด้วยตนเอง หรือมอบหมายใหผ้ ูอ้ ่ืนยนื่ แทน หรอื ย่นื ทางไปรษณยี ์ หรือยื่นทางจดหมาย อเิ ล็กทรอนกิ ส์ ก็ได้ ๒. กลำ่ วหำด้วยวำจำต่อพนักงำนเจ้ำหน้ำที่ ทส่ี านักงาน ป.ป.ช. ส่วนกลาง หรือสานักงาน ป.ป.ช. ภาค 1 – 9 หรือสานักงาน ป.ป.ช. ประจาจังหวัด เพ่ือให้พนักงานเจ้าหน้าท่ีทาการบันทึกคากล่าวหาไว้เป็น พยานหลกั ฐาน 3. รอ้ งเรียนผ่ำนเว็บไซต์ สานกั งาน ป.ป.ช. www.nacc.go.th หรือสานักงาน ป.ป.ช. ภาค 1 – 9 หรอื สานกั งาน ป.ป.ช. ประจาจังหวัด 4. ร้องเรียนผ่ำนทำงโทรศัพท์ สานักงาน ป.ป.ช. หมายเลข ๐ ๒๕๒๘ ๔๘๐๐ – 01 หรือ สายด่วน ป.ป.ช. โทร. ๑๒๐๕ หรือสานักงาน ป.ป.ช. ภาค 1 – 9 หรือสานักงาน ป.ป.ช. ประจาจังหวัด โดยพนักงาน เจ้าหน้าท่ีจะทาการบนั ทกึ คากลา่ วหาไวเ้ ปน็ พยานหลกั ฐาน 5.รอ้ งเรียนผ่ำนเครือขำ่ ยเฝ้ำระวงั ของสำนกั งำนป.ป.ช. ApplicationWEหรือhttps://www.nacc.go.th/we/ 6. กลอ่ งรับเรอื่ งรอ้ งเรยี น ท่ีสานกั งาน ป.ป.ช. ประจาจงั หวัด 7. ร้องเรยี นผ่านชอ่ งทางอื่น ๆ ท่ีไมเ่ ป็นทางการ เช่น เฟสบคุ๊ ไลน์ คำกล่ำวหำ อยา่ งน้อยต้องมีรายละเอยี ด ดังน้ี ๑. ชอ่ื -สกุล ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ของผู้กล่าวหา ๒. ชือ่ หรือตาแหนง่ ของผถู้ ูกร้อง ๓. ข้อกล่าวหาและพฤติการณ์แห่งกระทาความผิดตามข้อกล่าวหา พร้อมพยานหลักฐานหรือ อ้างพยานหลกั ฐาน ผกู้ ลา่ วหาจะเป็นผูเ้ สียหายหรือมใิ ช่ผู้เสยี หายก็ได้ กรณี ไม่เปิดเผยช่ือ-สกุลจริง ถือว่าเป็น \"บัตรสนเท่ห์\" แต่ถ้าระบุรายละเอียดการกระทา ความผดิ เพยี งพอทจ่ี ะดาเนินการไต่สวนขอ้ เทจ็ จรงิ ได้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะรับไว้พจิ ารณา

40 สำนักงำน ป.ป.ช. จะไม่เปิดเผยข้อมูลรำยละเอียดของผู้กล่ำวหำ ผู้แจ้งเบำะแส และผู้ซึ่ง เปน็ พยำน หรือกระทำกำรใดอนั จะทำให้ทรำบรำยละเอียดเก่ียวกับบุคคลดังกล่ำว โดยข้อมูลรำยละเอียดจะ ถกู เก็บเป็นควำมลบั ทีส่ ดุ การกล่าวหาเจ้าพนักงานของรฐั ต้องกลา่ วหาในขณะท่ีผู้ถูกร้องเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ หรือพ้น จากการเป็นเจ้าพนักงานของรัฐไม่เกินห้าปี แต่ไม่ตัดอานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ท่ีจะยกคากล่าวหาที่ได้มี การกลา่ วหาไวแ้ ลว้ หรอื กรณที ี่มีเหตุอันควรสงสัยข้ึนไต่สวนได้ แต่ต้องไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่ผู้ถูกร้องพ้นจากการ เปน็ เจา้ พนกั งานของรัฐหรอื พ้นจากตาแหนง่ ดงั กลา่ ว กำรเขยี นบรรยำยกำรกระทำควำมผดิ ตอ้ งมรี ำยละเอียดตำมหวั ข้อ ดงั น้ี 1) หากเป็นการกระทาความผิดต่อหน้าที่ กระทาความผิดต่อตาแหน่งหน้าที่ราชการ กระทาความผดิ ตอ่ ตาแหนง่ หน้าทีใ่ นการยุติธรรม จะต้องระบุวา่ การกระทาความผิดเกิดขึ้นเม่ือใด มีขั้นตอนหรือ รายละเอียดการกระทาความผิดอย่างไร มีพยานบุคคลรู้เห็นเหตุการณ์หรือไม่ (ถ้าไม่สามารถนามาได้ให้ระบุว่า ใครเป็นผเู้ ก็บรกั ษา และในเรือ่ งน้ีไดร้ ้องเรียนต่อหนว่ ยงานใด หรือยนื่ ฟ้องตอ่ ศาลเมื่อใด และผลเป็นประการใด) 2) หากเป็นการกล่าวหาว่าร่ารวยผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพ่ิมขึ้นผิดปกติ จะต้องระบุว่า ฐานะเดมิ ของผู้ถูกร้อง และภรรยาหรอื สามี รวมท้งั บดิ า มารดาของท้ังสองฝ่ายเป็นอย่างไร ผู้ถูกร้อง และภรรยาหรือ สามี มีอาชีพอื่น ๆ หรือไม่ ถ้ามีอาชีพอื่นแล้วมีรายได้มากน้อยเพียงใด และทรัพย์สินที่จะแสดงให้เห็นว่าร่ารวย ผิดปกติ มีอะไรบา้ ง เชน่ - บ้าน มจี านวนกี่หลงั ต้ังอยู่ทใี่ ด (เลขทบ่ี า้ น ถนน ซอย ตาบล/แขวง อาเภอ/เขต จังหวัด) ซอ้ื เมอ่ื ใด และราคาขณะซ้ือเท่าใด - ที่ดิน มีจานวนกี่แปลง ต้ังอยู่ที่ใด (ถนน ซอย ตาบล/แขวง อาเภอ/เขต จังหวัด) ซอื้ เมื่อใด และราคาขณะซอ้ื เท่าใด - รถยนต์ มจี านวนก่คี นั ยี่หอ้ รุน่ สี หมายเลขทะเบียนรถ ซื้อเมอื่ ใด จากใคร และ ราคาขณะซ้ือเทา่ ใด - เงนิ ฝากทธ่ี นาคารใด สาขาใด - ทรพั ยส์ ินอน่ื ๆ ประชำชนสำมำรถติดตำมกำรเรื่องรอ้ งเรียน/กำรแจ้งเบำะแส ได้ทำง ๑. ทางเวบ็ ไซตw์ ww.nacc.go.th หวั ขอ้ ตดิ ตามเรือ่ งร้องเรียน ๒. ทางโทรศัพท์ สานกั งาน ป.ป.ช. (สว่ นกลาง) หมายเลข ๐ ๒๕๒๘ ๔๘๐๐ – 01 หรือ สายดว่ น ป.ป.ช. โทร. ๑๒๐๕ หรือสานักงาน ป.ป.ช. ภาค 1 – 9 หรือสานักงาน ป.ป.ช. ประจาจังหวัด ๓. ติดต่อด้วยตนเองท่ีสานักงาน ป.ป.ช. (ส่วนกลาง) หรือสานักงาน ป.ป.ช. ภาค 1 – 9 หรอื สานักงาน ป.ป.ช. ประจาจงั หวดั ท้ังนี้ ต้องจำเลขรับเร่ืองของสำนักงำน ป.ป.ช. /วัน เดือน ปีท่ียื่นเรื่อง / ชื่อ – สกุล กำรกระทำควำมผดิ ของผู้ถูกร้อง

41 ขอ้ พึงระวังในกำรร้องเรียน/แจง้ เบำะแส และกำรเปิดเผยขอ้ มูล - ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ เพ่ือจะแกล้งบุคคลใดให้ถูกไต่สวน ให้ได้รับโทษหรือรับโทษ หนักขึ้น ต้องระวางโทษไมเ่ กนิ เจ็ดปี หรือปรับไมเ่ กินหน่งึ แสนสหี่ มน่ื บาท หรือทง้ั จาท้งั ปรับ - ผใู้ ดเปิดเผยขอ้ ความ ข้อเท็จจรงิ หรอื ข้อมูลท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือพนักงานเจ้าหน้าท่ี ไดม้ าเนือ่ งจากการปฏิบตั ิหนา้ ท่ีตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไมเ่ กนิ หน่งึ ปี หรือปรบั ไมเ่ กินสองหมื่นบาท หรอื ทั้งจาทง้ั ปรบั นอกจากนี้ สามารถร้องเรียนเจ้าพนักงานของรัฐท่ีกระทาการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ ไปยัง หน่วยงานอน่ื ๆ ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง อาทเิ ชน่ ๑. ศูนย์บริการประชาชน สานักงานปลัดสานักนายกรัฐมนตรี สายด่วน ทาเนียบรัฐบาล หมายเลข ๑๑๑๑ บริการรับแจ้งเร่ืองร้องทุกข์ ตลอด ๒๔ ช่ัวโมง หรอื รบั ร้องเรียนผา่ นทาง โทร. ๐ ๒๒๘๓ ๑๒๗๑ - ๘๔ โทรสาร 0 2283 1286 – 7 2. สานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สานักงาน ป.ป.ท.) สายด่วน โทร. ๑๒๐๖ 3. สานกั งานการตรวจเงินแผ่นดนิ โทร. ๐ ๒๒๗๑ ๘๐๐๐ 4. สานักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน สายดว่ น 1676 หรอื โทรศัพทห์ มายเลข 0 2141 9100 5. ศูนย์ดารงธรรม กระทรวงมหาดไทย สายด่วน โทร. ๑๕๖๗ หรือร้องเรียนผ่านทาง โทร. 0 2241 9000 หรือศูนย์ดารงธรรมจงั หวดั หรือศูนยด์ ารงธรรมอาเภอ 6. คณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด แต่ละจงั หวดั 7. กรมส่งเสรมิ การปกครองท้องถ่นิ กระทรวงมหาดไทย 8. พนักงานสอบสวน ณ สถานีตารวจในเขตอานาจสอบสวน โดยหน่วยงาน ตามข้อ 1 – 8 จะส่งเร่ืองร้องเรียนเก่ียวกับคดีทุจริตไปยังสานักงาน ป.ป.ช. เพื่อดาเนินการตอ่ ไป

42 แผนผังกำรร้องเรยี น/แจ้งเบำะแสของสำนกั งำน ป.ป.ช. คำกล่ำวหำ - บัตรสนเทห่ ์ - เวบ็ ไซต์ - เบำะแส ส่วนกลำง/สปจ. สำนกั งำน ป.ป.ช. ภำค สบก./สปจ. บนั ทึกขอ้ มลู ในระบบอเิ ล็กทรอนกิ ส์ บนั ทกึ ข้อมูลในระบบอิเลก็ ทรอนกิ ส์ แลว้ ส่งเรอ่ื งให้สำนักไตส่ วนกำรทจุ ริต สำนักตรวจสอบทรพั ยส์ นิ สปจ. ทมี่ ีเขตอำนำจ คำกลำ่ วหำอยูใ่ นเขตพน้ื ท่รี บั ผดิ ชอบของสำนกั ทรี่ บั เรอื่ ง คำกลำ่ วหำไม่อยู่ในเขตพ้ืนท่รี บั ผิดชอบของสำนกั ทร่ี ับเร่ือง กรณสี ว่ นกลำง สบก. รับเร่อื งและ สำนักงำน ป.ป.ช. ประจำจังหวดั สง่ สำนกั ไต่สวนกำรทุจรติ สำนักตรวจสอบทรัพยส์ ิน ส่งสำนักไตส่ วน/สำนกั ตรวจสอบ หรอื สำนักงำน ป.ป.ช. ประจำจังหวดั ที่มเี ขตอำนำจ แล้วแต่กรณี ทรัพยส์ นิ ผู้อำนวยกำร หรอื พนกั งำนเจ้ำหน้ำท่ีทีไ่ ดร้ ับมอบหมำยบันทึกข้อมูลคำกล่ำวหำในระบบอิเลก็ ทรอนกิ ส์ และพจิ ำรณำ วำ่ มรี ำยละเอียดและพฤตกิ ำรณเ์ พยี งพอทจ่ี ะรบั ไวด้ ำเนินกำรหรือไม่ ในกรณเี ห็นวำ่ ควรตรวจสอบเบื้องต้นเพ่ิมเติม เพือ่ ให้ข้อเทจ็ จริงหรือพยำนหลกั ฐำนชดั เจนยง่ิ ขน้ึ กอ็ ำจดำเนินกำรตรวจสอบไดต้ ำมหลักเกณฑ์ทกี่ ำหนด มีรำยละเอยี ดเพียงพอ ไมม่ ีรำยละเอยี ดเพยี งพอ คณะอนุกรรมกำร ผอ.อำจมอบหมำยพนักงำนเจำ้ หนำ้ ที่ กลน่ั กรอง พจิ ำรณำ เพอื่ ดำเนินกำรตรวจสอบเบ้ืองตน้ เพ่มิ เตมิ ประกอบกำรพจิ ำรณำได้ รบั ดำเนินกำรเอง เห็นควรมอบหมำยใหห้ นว่ ยงำนอนื่ เห็นควรไม่รับพจิ ำรณำ เหน็ ควรไม่รบั พจิ ำรณำ แตเ่ ปน็ บคุ คล เสนอกรรมกำร ป.ป.ช. หรอื คดตี ำมคำสั่งคณะกรรมกำร ป.ป.ช. สบก./สปจ. บันทึกข้อมลู และ สำนักท่ีรบั ผดิ ชอบเสนอ ทก่ี ำกับดูแล มคี ำสงั่ ออกเลขเรอ่ื งกลำ่ วหำ คณะกรรมกำร ป.ป.ช. 1. ผถู้ กู ร้องเป็นผดู้ ำรงตำแหนง่ นำยก รฐั มนตรี รฐั มนตรี สส. สว. ตลุ ำกำร สบก. สง่ สำนกั ไต่สวน สำนกั ตรวจสอบทรพั ย์สนิ ศำลรัฐธรรมนญู ผดู้ ำรงตำแหนง่ ใน สปจ. มอบหมำยพนกั งำนไต่สวน องคก์ รอิสระ ผดู้ ำรงตำแหน่งระดบั สงู 2. เรื่องเกย่ี วกบั ทรพั ยำกรธรรมชำตแิ ละ สง่ิ แวดลอ้ ม 3. เรอ่ื งสำคญั ท่มี ผี ลกระทบอย่ำงกวำ้ ง 4. เรือ่ งทเ่ี ห็นควรเสนอคณะกรรมกำร ป.ป.ช.

43 4.2 ตัวอยำ่ งกำรตรวจสอบ กำรจดั ซ้ือจัดจำ้ ง การจดั ซ้ือจดั จ้างและการบรหิ ารพสั ดขุ องหน่วยงานภาครฐั ต้องถือปฏบิ ตั ติ ามพระราชบัญญัติการจัดซ้ือ จดั จ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยต้องก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่หน่วยงานของรัฐ และต้อง สอดคลอ้ งกบั หลักการดังต่อไปนี้ ๑) คุ้มค่ำ โดยพัสดุท่ีจัดซื้อจัดจ้างต้องมีคุณภาพหรือคุณลักษณะที่ตอบสนองวัตถุประสงค์ ในการ ใชง้ านของหนว่ ยงานของรัฐ มรี าคาที่เหมาะสม และมีแผนการบรหิ ารพัสดุทเี่ หมาะสมและชดั เจน ๒) โปร่งใส โดยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุต้องกระทาโดยเปิดเผย เปิดโอกาสให้มีการ แข่งขันอย่างเป็นธรรม มีการปฏิบัติต่อผู้ประกอบการทุกรายโดยเท่าเทียมกัน มีระยะเวลาท่ีเหมาะสม และเพียงพอ ต่อการยื่นข้อเสนอ มีหลักฐานการดาเนินงานชัดเจน และมีการเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง และการบริหาร พสั ดุในทกุ ขนั้ ตอน ๓) มีประสิทธิภำพและประสิทธิผล โดยต้องมีการวางแผนการจัดซ้ือจัดจ้างและการบริหารพัสดุ ลว่ งหนา้ เพื่อให้การจัดซอื้ จดั จ้างและการบรหิ ารพัสดเุ ป็นไปอยา่ งต่อเนอ่ื งและมกี าหนดเวลาท่ีเหมาะสม โดยมีการ ประเมินและเปดิ เผยผลสัมฤทธิข์ องการจัดซื้อจัดจ้างและการบรหิ ารพัสดุ ๔) ตรวจสอบได้ โดยมกี ารเกบ็ ขอ้ มูลการจดั ซื้อจดั จา้ งและการบริหารพัสดุอย่างเป็นระบบ เพื่อประโยชน์ ในการตรวจสอบ พระราชบญั ญตั ิการจดั ซื้อจดั จ้างและการบรหิ ารพัสดภุ าครัฐ พ.ศ. 2560 มิใหใ้ ช้บงั คบั แก่ 1) การจัดซือ้ จดั จ้างของรัฐวิสาหกิจทีเ่ กีย่ วกับการพาณิชยโ์ ดยตรง 2) การจัดซื้อจัดจ้างยุทโธปกรณ์และการบริการท่ีเกี่ยวกับความม่ันคงของชาติโดยวิธีรัฐบาล ต่อ รฐั บาลหรอื โดยการจดั ซอื้ จัดจ้างจากตา่ งประเทศที่กฎหมายของประเทศนั้นกาหนดไว้เปน็ อย่างอ่ืน ๓) การจัดซ้ือจัดจ้างเพ่ือการวิจัยและพัฒนา เพ่ือการให้บริการทางวิชาการของสถาบัน อุดมศึกษา หรอื การจา้ งท่ปี รึกษา ทัง้ น้ี ท่ีไม่สามารถดาเนนิ การตามพระราชบัญญัตินี้ได้ ๔) การจดั ซื้อจัดจา้ งโดยใช้เงินกู้หรอื เงนิ ช่วยเหลือจากรัฐบาลต่างประเทศ องค์การระหว่างประเทศ สถาบันการเงินระหว่างประเทศ องค์การต่างประเทศท้ังในระดับรัฐบาลและที่มิใช่ระดับรัฐบาล มูลนิธิ หรือ เอกชนตา่ งประเทศ ทสี่ ญั ญาหรอื ขอ้ กาหนดในการใหเ้ งนิ ก้หู รือเงนิ ชว่ ยเหลือกาหนดไวเ้ ป็นอยา่ งอน่ื ๕) การจดั ซ้อื จดั จา้ งโดยใช้เงินกูห้ รอื เงนิ ช่วยเหลอื จากรัฐบาลต่างประเทศ องค์การระหว่างประเทศ สถาบนั การเงนิ ระหวา่ งประเทศ องคก์ ารต่างประเทศท้งั ในระดับรัฐบาลและทม่ี ใิ ช่ระดับรัฐบาล มูลนิธิหรือเอกชน ตา่ งประเทศ ที่สญั ญาหรอื ข้อกาหนดในการให้เงินกู้หรือเงินช่วยเหลือกาหนดไว้เป็นอย่างอ่ืน โดยใช้เงินกู้หรือเงิน ช่วยเหลอื นนั้ รว่ มกับเงินงบประมาณ ซ่ึงจานวนเงินกู้หรือเงินช่วยเหลือที่ใช้นั้นเป็นไป ตามหลักเกณฑ์ท่ีคณะกรรมการ นโยบายประกาศกาหนดในราชกิจจานเุ บกษา ๖) การจัดซ้ือจัดจ้างของสถาบันอุดมศึกษาหรือสถานพยาบาลที่เป็นหน่วยงานของรัฐโดยใช้เงิน บริจาครวมทัง้ ดอกผลของเงนิ บริจาค โดยไม่ใช้เงินบริจาคนั้นรว่ มกับเงินงบประมาณ หน่วยงานท่ีสนับสนุนดูแลการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ คือ กรมบัญชีกลาง มหี น้าทใ่ี นการดแู ลระบบการจดั ซอื้ จดั จ้าง ดแู ลและพัฒนาระบบการจัดซือ้ จดั จ้างผา่ นระบบอิเล็กทรอนิกส์ จัดทา ฐานข้อมูลการอ้างอิง รวบรวม วิเคราะห์ และประเมินผลการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติ จัดฝึกอบรม เจ้าหนา้ ทีต่ ามหลักวชิ าชีพ

44 กำรจดั ซ้ือจัดจ้ำงพัสดุ การจดั ซ้อื จัดจ้างพสั ดุ มี 3 วธิ ี คือ 1) วิธปี ระกำศเชญิ ชวนทวั่ ไป เป็นการเชิญชวนให้ผู้ประกอบการทั่วไปที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไข ทกี่ าหนดเข้าย่นื ขอ้ เสนอ 2) วิธีคัดเลือก เป็นการเชิญชวนเฉพาะผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติตรงตามท่ีกาหนด ซ่ึงต้องไม่ น้อยกว่า 3 ราย ให้เข้าย่นื ข้อเสนอ เวน้ แต่งานน้นั มีผู้ประกอบการทม่ี คี ุณสมบัตติ รงตามท่กี าหนดน้อยกว่า 3 ราย ซงึ่ วธิ ีการจดั ซ้ือจัดจา้ งประเภทนี้จะดาเนินการได้ในกรณี - ใช้วิธปี ระกาศเชิญชวนทวั่ ไปแล้วไม่มีผู้ยน่ื ข้อเสนอ หรอื ข้อเสนอไม่ไดร้ บั การคดั เลือก - พัสดุที่มีคุณลักษณะเฉพาะเป็นพิเศษหรือซับซ้อน หรือต้องผลิต ก่อสร้าง หรือให้บริการ โดยผู้ประกอบการที่มีฝีมือโดยเฉพาะ หรือมีความชานาญเป็นพิเศษ หรือมีทักษะสูงและผู้ประกอบการมีจานวน จากดั - มคี วามจาเป็นเรง่ ด่วนอันเนื่องมาจากเกิดเหตกุ ารณ์ทีไ่ มอ่ าจคาดหมายได้ - ลักษณะของการใช้งานหรือมขี อ้ จากัดทางเทคนิคที่จาเป็นต้องระบุยี่หอ้ เปน็ การเฉพาะ - ตอ้ งซ้อื โดยตรงจากตา่ งประเทศหรอื ดาเนนิ การโดยผา่ นองคก์ ารระหวา่ งประเทศ - ใช้ในราชการลับหรือเป็นงานที่ต้องปกปิดเป็นความลับของทางราชการหรือเกี่ยวกับความ มั่นคงของประเทศ - งานจ้างซ่อมพัสดุทีจ่ าเป็นถอดตรวจให้ทราบความชารุดเสียหายเสียก่อนจึงจะ ประมาณค่าซ่อมได้ - กรณีอนื่ ท่ีกาหนดในกฎกระทรวง 3) วิธเี ฉพำะเจำะจง หน่วยงานภาครัฐเชิญชวนผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติตรงตามท่ีกาหนดราย ใดรายหน่ึง ใหเ้ ขา้ ยนื่ ข้อเสนอหรือใหเ้ ขา้ มาเจรจาตอ่ รองราคากับหน่วยงานของรัฐโดยตรง ซึ่งวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง ประเภทนี้จะดาเนินการได้ในกรณี - ใช้ทั้งวิธีประกาศเชิญชวนท่ัวไปและวิธีคัดเลือก หรือใช้วิธีคัดเลือกแล้วแต่ไม่มีผู้ยื่นข้อเสนอ หรอื ขอ้ เสนอไมไ่ ด้รับการคัดเลือก - การจัดซ้ือจัดจ้างพัสดุท่ีการผลิต จาหน่าย หรือให้บริการทั่วไป และมีวงเงินในการจัดซ้ือจัดจ้าง ครั้งหนง่ึ ไมเ่ กนิ วงเงนิ ตามท่กี าหนดในกฎกระทรวง - มีผู้ประกอบการท่ีมีคุณสมบัติโดยตรงเพียงรายเดียว หรือผู้ประกอบการซ่ึงเป็นตัวแทนจาหน่าย หรอื ตัวแทนผูใ้ หบ้ ริการโดยชอบด้วยกฎหมายเพียงรายเดียวในประเทศ และไมม่ พี สั ดอุ น่ื ท่จี ะใช้ทดแทนได้ - มีความจาเป็นต้องใช้พัสดุโดยฉุกเฉินเน่ืองจากอุบัติภัยหรือธรรมชาติพิบัติภัย และการจัดซื้อ จัดจ้างโดยวิธีประกาศเชิญชวนท่ัวไปหรือวิธีคัดเลือกอาจก่อให้เกิดความล่าช้าและอาจทาให้เกิดความเสียหาย ร้ายแรง - เป็นพัสดุที่เก่ียวพันกับพัสดุท่ีได้จัดซ้ือจัดจ้างไว้ก่อนแล้ว และมีความจาเป็น ต้องจัดซื้อจัดจ้าง เพม่ิ เติม โดยมูลคา่ ของพัสดุทีจ่ ดั ซ้ือจัดจ้างเพิ่มเติมจะตอ้ งไมส่ ูงกวา่ พัสดุทไี่ ด้จัดซ้ือจัดจ้างไวก้ ่อนแลว้ - เป็นพัสดุท่ีจะขายทอดตลาด โดยหน่วยงานของรัฐ องค์การระหว่างประเทศ หรือหน่วยงาน ของต่างประเทศ - ที่ดินและส่ิงก่อสรา้ ง - กรณอี น่ื ท่ีกาหนดในกฎกระทรวง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook