Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือการวินิจฉัยโรคอ้อยและอาการผิดปกติ

คู่มือการวินิจฉัยโรคอ้อยและอาการผิดปกติ

Published by บันทึกเกษตร, 2021-06-11 02:34:29

Description: คู่มือการวินิจฉัยโรคอ้อยและอาการผิดปกติ

Search

Read the Text Version

• จดั ทำ� แปลงพนั ธอ์ุ อ้ ย เพอื่ ขยายปลกู ในปตี อ่ ไป การเตรยี มแปลง ปลกู พนั ธค์ุ วรใชท้ อ่ นพนั ธท์ุ สี่ มบรู ณ์ ปลอดโรค แชท่ อ่ นพนั ธใ์ุ นนำ้� รอ้ น50 องศาเซลเซยี ส 2-3 ชวั่ โมงกอ่ นปลกู แปลงพนั ธุ์ควรอยู่หา่ งจากพ้นื ทโี่ รค ระบาดและมีการตรวจโรคในแปลงสมำ�่ เสมอ หลงั การเก็บเก่ียว • ไถท�ำลายแปลงอ้อยตอท่ีเป็นโรครุนแรงทิ้งเพื่อไม่ให้เป็นแหล่ง ระบาดของเชอื้ • คราดตอเกา่ ออกใหห้ มด ปลกู พชื บำ� รงุ ดนิ หมนุ เวยี น และไถกลบ เป็นปยุ๋ พืชสดก่อนปลูกอ้อยใหม่ • เลอื กฤดปู ลกู ใหเ้ หมาะสม (ตลุ าคม-ธนั วาคม) เพอ่ื ลดการตดิ เชอื้ จากแมลงพาหะทรี่ ะบาดในฤดฝู น • ใชท้ อ่ นพันธ์สุ �ำหรับปลูกที่สมบูรณ์ ปลอดโรค จากแปลงพนั ธุท์ ่ี เตรยี มไวข้ า้ งตน้ และหากจำ� เปน็ ตอ้ งซอ้ื พนั ธ์ุ ควรคดั เลอื กทอ่ นพนั ธจ์ุ าก พ้ืนที่ท่ีไม่มีโรค และตรวจอ้อยพันธุ์ที่จะซ้ือตั้งแต่อ้อยยังยืนต้นอยู่ในไร่ วา่ ปราศจากอาการของโรคใบขาวจรงิ คู่มือการวนิ ิจฉัยโรคออ้ ย 51

โรคฟิจิ (ซ้าย) ไร่ออ้ ยทพ่ี บโรคฟิจิ (ขวา) รอยนนู ขนาดเล็กบนเสน้ กลางใบดา้ นหลังใบ รอยนนู บนใบ อาการรอยนูนขนาดใหญ่ สาเหตขุ องโรค เกดิ จากเชอื้ ไวรสั Sugarcane Fiji disease virus ลกั ษณะอาการโรค เรมิ่ แรก ยังมีลักษณะคลา้ ยกับออ้ ย ปกติ เพยี งแตใ่ ตใ้ บจะมรี อย นนู (gall) สไี มแ่ ตกตา่ งจาก สีของใบปกติ ขนาดกว้าง ประมาณ 0.5-1 มิลลเิ มตร ยาว 1-2 มิลลิเมตร ยาวไปตามความยาวของใบ ขนาดของรอยนูนมี ต้ังแต่ต้องส่องดูด้วยแว่นขยายไปจนถึงขนาดใหญ่มาก กว้าง 2-3 มิลลิเมตร ยาว 5 มลิ ลิเมตร สูงขึ้นมาจากผิวใบ 1-2 มิลลิเมตร รอยนนู เกิดจากการขยายตัวของเซลล์ท่ออาหารและเซลล์อ่นื ๆ ท่อี ยขู่ ้างเคียง 52 คู่มอื การวนิ จิ ฉัยโรคออ้ ย

สขี องรอยนูนนีจ้ ะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสเี หลอื ง น้�ำตาล หรือสฟี างขา้ วใน ทส่ี ุด ทบ่ี รเิ วณโคนๆ ของใบจะเห็นลกั ษณะดังกล่าวไดช้ ดั นอกจากนัน้ อาจปรากฏตามเสน้ กลางใบ หลงั ใบ และกาบใบ ปลอ้ งที่บริเวณยอด จะถีท่ ำ� ให้ใบถี่ ไมก่ ระจายตัวเหมือนอ้อยปกติ ใบที่เจริญออกมาจะสั้น อาจไม่คล่ี บิดเบ้ียว หรือมีลักษณะแข็งกรอบ ปลายตั้ง ขอบใบมีขน สขี องใบเขยี วเขม้ เปน็ มนั กวา่ ปกติ หนอ่ ทแี่ ตกออกมาใหมไ่ มค่ อ่ ยโต หรอื ไม่ย่างปลอ้ ง ซ่งึ จะดูคลา้ ย ๆ กอตะไคร้ แลว้ จะคอ่ ยๆแหง้ ตายไปเรอื่ ยๆ หรอื แคระแกรน็ แตกกอมากแตไ่ มม่ ลี ำ� การแพรร่ ะบาด โดยทอ่ นพันธ์แุ ละแมลงพาหะบางชนดิ ได้แก่ เพล้ยี กระโดด Perkinsiella saccharicida และ P.vastatrix ซ่ึงทง้ั ตวั แกแ่ ละ ตวั ออ่ นสามารถเปน็ พาหะนำ� ไวรสั ได้ ไวรสั จะฟกั ตวั ในแมลงไมน่ อ้ ยกวา่ 24 ชวั่ โมง หลงั จากทแ่ี มลงถา่ ยทอดไวรสั ลงสตู่ น้ ปกตอิ ยา่ งนอ้ ยประมาณ 2 อาทติ ย์ และบางทถี ึง 1 ปี อาการของโรคจงึ จะปรากฏ ระยะฟกั ตัว ทั่วไปประมาณ 2 เดือน ค�ำแนะนำ� การป้องกนั ก�ำจัด • ปลกู พนั ธุ์ต้านทาน • หมั่นตรวจไร่อ้อย ถ้าพบโรคนี้ให้ท�ำลายทันที โดยขุดถอนราก ถอนโคนกองรวมกันแล้วเผา • อย่าน�ำอ้อยที่เป็นโรคไปท�ำพันธุ์ ควรน�ำพันธุ์มาจากแหล่งท่ีไม่ เคยมโี รคเกดิ ข้ึน หรือปลูกอ้อยไวท้ ำ� พันธ์เุ อง • แชท่ อ่ นพันธ์ใุ นน�้ำร้อน 52 องศาเซลเซยี ส 30 นาที • ในการปลูกอ้อยแต่ละคร้ังหนึ่ง ๆ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เป็น ตอออ้ ยหลายปี • ท�ำลายพืชอาศัย และวัชพชื ตา่ ง ๆ และฉดี ยาก�ำจัดแมลงที่อาจ เปน็ พาหะของโรคนี ้ คู่มือการวินิจฉัยโรคออ้ ย 53

โรคยอดเน่า/ใบขดี แดง ลักษณะอาการยอดเนา่ และมขี ีดสแี ดงทีใ่ บออ้ ย สาเหตขุ องโรค เชอ้ื แบคทเี รยี Pseudomonas rubrilineans ลักษณะอาการโรค เรมิ่ เกิดรอยขดี เลก็ ๆ ฉำ่� น�ำ้ บนใบของต้นกลา้ อ้อย ตอ่ มาแผลขยายเปน็ รอยขีดยาวสีแดงกว้าง 0.5-4 มิลลิเมตร อาจยาว 1-2 เซนติเมตร หรือยาวตลอดความยาวใบ รอยขดี อาจเกดิ ติดกันเปน็ ปน้ื บนใบ มกั พบคราบแหง้ ของหยดแบคทเี รยี บรเิ วณรอยขดี ดา้ นหลงั ใบ เม่ือฝนตกชุกในฤดูฝน เช้ือจะลุกลามเข้าท�ำลายยอดและล�ำอ้อย ทำ� ใหย้ อดและลำ� ออ้ ยเนา่ ใบออ้ ยเหลอื ง ยอดแหง้ ถกู ดงึ หลดุ จากลำ� ได้ ง่าย ผวิ ลำ� บริเวณปลอ้ งเน่ายุบลง ลกั ษณะฉำ�่ น้�ำ เน้ืออ้อยภายในปล้อง เนา่ ฉำ�่ นำ้� มกี ลน่ิ เหมน็ เปร้ียว มักมขี อบสแี ดงเข้มใกล้ผิวเปลือก ล�ำอ้อย เนา่ ตายในทสี่ ดุ ทง้ั น้ี อาการยอดและลำ� เนา่ อาจเกดิ โดยไมม่ ขี ดี แดงบน ใบก็ได้ อ้อยอาจเน่าตายทงั้ กอ หรือตายเพยี งบางลำ� ในกอ ยอดท่เี หี่ยว 54 คมู่ อื การวินจิ ฉัยโรคออ้ ย

เมอ่ื ดงึ จะหลดุ ออกมา ตรงบรเิ วณทข่ี าดจะเหน็ แผลเนา่ เมอื่ ดมดจู ะเหมน็ เม่อื ยอดถูกท�ำลายแล้ว อ้อยพยายามจะแตกหนอ่ ขึน้ มาใหม่ ท�ำใหก้ าร เจริญเติบโตชา้ กวา่ ปกติ การแพร่ระบาด โรคมีการระบาดและสร้างปัญหาได้ในช่วงหน้าร้อน ฤดูฝน และอากาศช้ืนสูง และโรคจะลดการระบาดลงในปลายฤดูฝน เมอื่ อากาศเยน็ และแหง้ ออ้ ยฟน้ื ตวั ระยะหนงึ่ และกลบั โทรมลงไดอ้ กี ใน ระยะเก็บเกยี่ ว คำ� แนะนำ� การปอ้ งกนั ก�ำจดั • เตรียมดนิ ใหม้ กี ารระบายน�้ำดี ปรับดินใหม้ ีความเปน็ กลางดว้ ย ปนู ขาว และไถพลิกตากดิน • หลีกเล่ียงการปลูกพันธุ์อ้อยท่ีอ่อนแอในแหล่งท่ีพบการระบาด ของโรคอยา่ งรุนแรง • ตรวจไรอ่ ยา่ งสม่ำ� เสมอ เมอื่ พบลำ� ออ้ ยเริ่มมีใบเหลืองยอดเห่ยี ว ควรรบี ตดั ลำ� หรอื ขดุ กอออกเผาท�ำลาย กอ่ นทเ่ี นา่ และฉำ่� นำ�้ ควรตดั หรอื ขุดกอออ้ ยในขณะทอี่ ากาศแหง้ • อาจมกี ารฉกี พน่ กอออ้ ยดว้ ยสารปฏชิ วี นะ Tetramycin + Strep- tomycin ชว่ ยลดการลดลามของโรคได้ แตอ่ าจตอ้ งใชแ้ รงงงานและค่า ใชจ้ า่ ยในปรมิ าณทสี่ ูง • ตดั ออ้ ยแปลงทเี่ ปน็ โรคเขา้ หบี ทนั ทเี มอื่ เขา้ สฤู่ ดกู ารหบี ออ้ ย และ ไมค่ วรนำ� ออ้ ยจากแปลงทเี่ ปน็ โรคไปเปน็ ทอ่ นพนั ธต์ุ อ่ ไป และหากพบว่า ในไร่อ้อยมีกออ้อยท่ีตายมากกว่า 20% ให้ร้ือแปลงและปลูกใหม่ด้วย พนั ธ์ุอ้อยทีต่ ้านทาน ค่มู ือการวินจิ ฉัยโรคออ้ ย 55

โรคเน่าคอออ้ ย (แบคทรี ีโอซสี ) (ซา้ ย) เนอ้ื ออ้ ยภายในมกี ารเนา่ เละเปน็ สนี ำ้� ตาลและมกี ลนิ่ เหมน็ (ขวา) ออ้ ยมกี ารหกั พบั ยอดออ้ ยมกี ารหกั พบั ลง ทำ� ใหใ้ บออ้ ยกลายเปน็ สเี หลอื ง และสนี ำ้� ตาล สามารถดงึ ใหห้ ลดุ ออกจากกนั ไดง้ า่ ย สาเหตขุ องโรค เชอ้ื แบคทเี รีย Erwinia carotovora ลักษณะอาการโรค อาการเน่าปรากฏชัดเจนในระยะอ้อยย่างปล้อง ออ้ ยมใี บเหลือง ยอดแหง้ กอตายเป็นหยอ่ ม ๆ ในไร่ ลำ� ออ้ ยจะเน่าจาก ยอดลกุ ลามลงไปในล�ำ ยอดทเ่ี นา่ มกั หกั พบั บรเิ วณขอ้ ใกลย้ อด ขอ้ อ้อย 56 คู่มือการวินิจฉยั โรคออ้ ย

เปราะ ปลอ้ งอ้อยหลดุ จากกนั ได้งา่ ย เนือ้ ออ้ ยภายในลำ� เน่ามีลักษณะ ฉำ่� นำ�้ มกี ล่นิ เหม็นเปรย้ี ว บางครัง้ เนา่ เละ ยุบเปน็ โพรง เหลอื ส่วนทอ่ นำ้� ทอ่ อาหารเหน็ เป็นเสน้ ๆ ภายในปล้อง เมื่อตัดล�ำออ้ ยตามขวางบรเิ วณ โคนล�ำ จะเห็นวงสีแดงในเนื้ออ้อยใตผ้ ิวเปลือกโดยรอบลำ� การแพรร่ ะบาด เชอ้ื สาเหตโุ รคสามารถตดิ ไปกบั ทอ่ นพนั ธท์ุ น่ี ำ� ไปปลกู และเชื้อสาเหตุโรคสามารถแพร่กระจายตัวไปพร้อมกับการพัดพาของ สายลม และน�้ำฝนทชี่ ะล้าง พบว่าโรคมีการระบาดและสร้างความเสียหายได้มากขึ้นเมื่อสภาพ อากาศมคี วามชนื้ สงู คำ� แนะนำ� การป้องกนั ก�ำจัด • เตรยี มดนิ ให้มกี ารระบายน้�ำดี ปรับดนิ ให้มีความเป็นกลางด้วย ปนู ขาว และไถพลิกตากดนิ • หลีกเลี่ยงการปลูกพันธุ์อ้อยท่ีอ่อนแอในแหล่งท่ีพบการระบาด ของโรคอย่างรุนแรง • ตรวจไร่อย่างสม่ำ� เสมอ เมื่อพบลำ� อ้อยเรม่ิ มีใบเหลอื งยอดเห่ียว ควรรบี ตดั ลำ� หรอื ขดุ กอออกเผาท�ำลาย กอ่ นทเี่ นา่ และฉำ�่ นำ้� ควรตดั หรอื ขุดกอออ้ ยในขณะที่อากาศแหง้ • อาจมกี ารฉกี พน่ กอออ้ ยดว้ ยสารปฏชิ วี นะ Tetramycin + Strep- tomycin ช่วยลดการลดลามของโรคได้ แต่อาจตอ้ งใช้แรงงงานและค่า ใชจ้ า่ ยในปรมิ าณทสี่ งู • ตดั ออ้ ยแปลงทเี่ ปน็ โรคเขา้ หบี ทนั ทเี มอื่ เขา้ สฤู่ ดกู ารหบี ออ้ ย และ ไม่ควรน�ำอ้อยจากแปลงที่เป็นโรคไปเป็นท่อนพันธุ์ต่อไป และหากพบ วา่ ในไรอ่ อ้ ยมกี อออ้ ยทต่ี ายมากกวา่ 20% ใหร้ อื้ แปลงและปลกู ใหมด่ ว้ ย พนั ธุ์อ้อยท่ีตา้ นทาน คู่มอื การวนิ ิจฉัยโรคอ้อย 57

โรคแส้ด�ำ กอออ้ ยทแ่ี สดงอาการของโรคแสด้ ำ� พบเปน็ กา้ นแสส้ ดี ำ� ออกมาจากแตล่ ะยอด ลกั ษณะแสด้ ำ� และสปอรเ์ ชอื้ สาเหตโุ รค สาเหตุของการเกิดโรค เช้ือรา Ustilago scitaminea ลักษณะอาการของโรค อ้อยที่เป็นโรคจะแคระแกร็น แตกกอคล้าย ตะไคร้ ใบแคบและเลก็ ลำ� ผอมเรยี วขอ้ สนั้ เตยี้ สว่ นยอดสดุ ของหนอ่ หรอื ล�ำอ้อยเป็นโรค หรือยอดสุดของหน่ออ้อยที่งอกจากตาข้างของล�ำเป็น โรค มลี กั ษณะคลา้ ยแสย้ าวสดี ำ� ซง่ึ เกดิ จากการทเ่ี ชอื้ ราสรา้ งสปอรส์ ดี ำ� จ�ำนวนมาก รวมกันแน่นอยู่ภายในเนื้อเย่ือผิวของใบยอดสุดที่ม้วนอยู่ ระยะแรกจะเห็นเย่ือบาง ๆ สขี าวหุ้มแส้ดำ� เอาไว้ จนเม่ือสปอร์มจี ำ� นวน 58 ค่มู อื การวนิ จิ ฉัยโรคออ้ ย

มากจะดนั เยอื่ ทหี่ มุ้ อยใู่ หห้ ลดุ ออก เหน็ ผงสปอรส์ ดี ำ� จำ� นวนมากปกคลมุ สว่ นของใบยอดทม่ี ว้ นแนน่ จนมลี กั ษณะเปน็ กา้ นแขง็ ยาว แสด้ ำ� ทป่ี รากฏ อาจตงั้ ตรง หรอื มว้ นเปน็ วง กอออ้ ยทเ่ี ปน็ โรครนุ แรง จะแคระแกรน็ แตก กอมาก ลกั ษณะเปน็ พุ่มเหมือนกอหญา้ ใบเล็กแคบ ออ้ ยไมย่ า่ งปล้อง ถ้าเป็นรุนแรงมาก อ้อยอาจแห้งตายทั้งกอได้ กอท่ีบางล�ำในกอเจริญ เปน็ ลำ� ลำ� ออ้ ยจะผอมลบี กวา่ ลำ� ออ้ ยปกติ อาการปรากฏรนุ แรงในออ้ ย ตอมากกวา่ อ้อยปลูก การแพรร่ ะบาด ลมพัดพาสปอร์แพรไ่ ปเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ กม็ ี ฝนและนำ�้ หรอื ทอ่ นพนั ธอ์ุ าจไดร้ บั เชอื้ ทางสมั ผสั โดยตรง หรอื จากสปอร์ ที่มีอย่ใู นดินกอ่ นที่จะปลกู ค�ำแนะน�ำการป้องกนั ก�ำจดั • ไถแปลงออ้ ยตอทเี่ ปน็ โรครนุ แรง เพอ่ื ปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ ปน็ แหลง่ ของ เช้ือแพร่ระบาดตอ่ ไปในออ้ ยปลูก • ปลกู พนั ธอ์ุ อ้ ยทตี่ า้ นทาน และหากอยใู่ นพน้ื ทเี่ ปน็ โรครนุ แรง ควร หลกี เล่ียงการปลกู อ้อยพันธุอ์ ่อนแอ • ปลูกออ้ ยด้วยท่อนพันธุ์ออ้ นทีส่ มบูรณ์ ไม่เปน็ โรค เน่ืองจากโรค แส้ดำ� สามารถถา่ ยทอดผา่ นทางทอ่ นพนั ธ์ไุ ด้ • แชท่ อ่ นพนั ธอ์ุ อ้ ยในสารปอ้ งกนั กำ� จดั โรคพชื ไตรไดอามฟี อน 20% ดบั บลวิ พี อัตรา 40 กรมั ตอ่ น้�ำ 20 ลิตร หรอื โพรพิโคนาโซล 250 อีซี อตั รา 16 ซซี ีตอ่ น้�ำ 20 ลติ ร แช่นาน 30 นาทกี ่อนปลกู • ตรวจไร่อ้อยสม่�ำเสมอหลังจากปลูก เมื่อพบกออ้อยเร่ิมแสดง อาการแสด้ ำ� ควรตดั แสด้ ำ� ออกขณะเรมิ่ ปรากฏอาการ กอ่ นทเี่ ยอ่ื หมุ้ แส้ ด�ำจะหลุดออก หรือขดุ กอออ้ ยทเ่ี ปน็ โรคออกมาเผาทำ� ลาย • หลกี เลยี่ งการไวต้ อออ้ ยที่เปน็ โรคแส้ด�ำ คู่มอื การวินจิ ฉยั โรคออ้ ย 59

โรคยอดบดิ (พกกะบอง) (ซา้ ย) อาการบนยอดออ้ ยทเี่ รม่ิ แสดงอาการของโรค (ขวา) อาการของโรคทโ่ี คนใบและกาบใบ ซง่ึ เรมิ่ มกี ารเนา่ และแผลของโรคทชี่ ดั เจน สาเหตุของโรค เช้ือรา Fusarium  moniliforme ลกั ษณะอาการโรค เร่ิมแรกทีโ่ คนของใบออ่ น จะคอดกว่าปกติมีสขี าว ซดี หรอื เหลอื งซดี ยน่ ตอ่ ไปใบออ่ นทแี่ ตกออกมาใหมจ่ ะมลี กั ษณะเหยี่ วยน่ บิดม้วน ฉีกขาด ใบส้ัน เม่ือใบแก่ขึ้นตรงบริเวณที่เคยเป็นสีซีดจะมี แถบสแี ดง รูปร่างไม่แน่นอนเกดิ ขึ้น แถบน้อี าจจะลกุ ลามลงมายงั สว่ น ที่เป็นสีเขียวของกาบใบ ลักษณะของแผลบนใบและกาบใบมีรูปร่าง 60 ค่มู ือการวินิจฉัยโรคอ้อย

และการจัดเรยี งไม่แนน่ อนท้ังแผล ปลายใบและขอบใบทีเ่ ปน็ โรคมกั มี สีน้�ำตาลเข้มจนถึงสีด�ำทำ� ให้ดูคล้ายกับถูกไฟเผา อาการใบท่ีไม่คล่ีจะ เหน็ ยอดหดย่น เช้ือยังสามารถลกุ ลามเข้าไปยังลำ� ต้น และเข้าไปยงั จดุ เจรญิ ทำ� ใหเ้ กดิ แถบสนี ำ้� ตาลในลำ� ตน้ ซง่ึ อาจยาวลงไปหลายปลอ้ ง ใน ฤดูฝนท่สี ภาพอากาศมคี วามชื้นสูง เช้ือจากส่วนใบจะเจรญิ เขา้ ท�ำลาย ยอดออ้ ย ท�ำให้เนื้อเยือ่ เจรญิ ภายในยอดและปล้องอ้อยสว่ นบน ๆ ของ ลำ� เนา่ มสี แี ดงเขม้ เมอ่ื โรครนุ แรงยอดจะเนา่ แหง้ เปน็ สนี ำ�้ ตาลแดง และ ใบที่ม้วนอยู่ถูกท�ำลาย ล�ำตายในทีส่ ุด ดงั นน้ั หากโรคไม่รนุ แรงมากล�ำ ทเี่ หลอื อยใู่ นกอจะเจรญิ ตอ่ ไปไดโ้ ดยไมถ่ กู ทำ� ลายเมอื่ โรคลดการระบาด การแพรร่ ะบาด โรคระบาดรนุ แรงในฤดฝู นในระยะออ้ ยยา่ งปลอ้ ง โดย เฉพาะในชว่ งเวลาทม่ี คี วามชนื้ สงู และลดการระบาดเมอื่ อากาศแหง้ ลง ในปลายฤดูฝน ทั้งนี้ เชื้อสาเหตุโรคสามารถอยู่ข้ามฤดูได้ในเศษซาก อ้อยที่เป็นโรค โดยแผลที่เป็นโรคสามารถสร้างสปอร์และปล่อยสปอร์ ให้ลอยไปตามลมได้ ค�ำแนะน�ำการปอ้ งกันก�ำจัด • ใช้พันธุอ์ ้อยท่ตี ้านทานต่อโรค • เผาท�ำลายอ้อยที่แสดงอาการของโรค เพ่ือป้องกันไม่ให้มี การแพรร่ ะบาดไปยังแหล่งอื่น • ลดการใชป้ ุย๋ เด่ียวไนโตรเจนในขณะท่อี อ้ ยอายยุ ังน้อย คู่มือการวินจิ ฉยั โรคอ้อย 61

โรคเห่ียวเน่าแดง แสดงออ้ ยเปน็ โรคเหย่ี วเนา่ แดงยนื เหยี่ วกลายเปน็ สนี ำ�้ ตาล เนอ้ื ออ้ ยทถี่ กู เชอื้ เขา้ ทำ� ลายเนอ้ื กลายเปน็ สมี ว่ งแดงปนเทา และเนอ้ื ยบุ หายไปในทส่ี ดุ 62 คมู่ อื การวนิ ิจฉัยโรคอ้อย

สาเหตขุ องการเกดิ โรค เชอ้ื รา Fusarium moniliforme และเช้อื รา Colletotrichum falcatum ลักษณะอาการของโรค อ้อยเป็นโรคในระยะท่ีก�ำลังเจริญเติบโตย่าง ปลอ้ ง และระยะออ้ ยแก่ อาจสงั เกตเปลอื กภายนอกลำ� ตน้ เปน็ รอยแผล สีน�้ำตาล ยอดเหลือง และต้นอ้อยมองเหน็ เปน็ สนี ำ�้ ตาลตลอดตั้งแตใ่ บ บนลงมาถึงใบลา่ งมักพบว่าท�ำให้ออ้ ยตายท้งั กอ เมื่อผ่าภายในล�ำอ้อย พบว่า เนื้ออ้อยกลายเป็นสีแดงปนม่วงและสีเทา โดยอาจสังเกตเห็น เส้นใยของเช้ือรามีการฟูมองเห็นเป็นสีเทา เป็นการเน่าแบบแห้งลงไป และแผลเนา่ เปล่ยี นเปน็ สนี ำ�้ ตาล เมอ่ื อาการโรครุนแรง เนอ้ื อ้อยเน่าจะ ยบุ เป็นโพรง มีเส้นใยเชอื้ ราสีเทาอ่อนเจริญฟูอยู่ภายในปล้อง ในสภาพ อากาศช้ืนเช้ือราจะเจริญจากภายในล�ำเน่าออกมาสู่ภายนอกล�ำอ้อย สรา้ งกลมุ่ สปอร์บริเวณป่มุ รอบ ๆ ข้ออ้อย อ้อยเป็นโรคแสดงอาการใบ เหลอื ง ยอดแหง้ กอตายในทีส่ ุด การแพร่ระบาด เชื้อราสาเหตโุ รคสามารถอยใู่ นเศษซากอ้อย และใน ใบออ้ ยทพ่ี บอยใู่ นไรอ่ อ้ ย หรอื บนเศษซากออ้ ยทเ่ี ปน็ โรค จงึ สามารถแพร่ กระจายเชื้อต่อไปได้ โดยสปอร์สามารถกระจายไปกับลมและน�้ำฝน โดยเชอ้ื สาเหตโุ รคสามารถอยขู่ า้ มฤดไู ดใ้ นเศษซากพชื ดงั กลา่ ว และยง่ิ เม่ือมีความชื้นในอากาศสูงช่วงฤดูฝน และหากมีน�้ำท่วมขังจะส่งผล ใหก้ ารระบาดของเชอื้ สาเหตโุ รคมคี วามรนุ แรงมากยง่ิ ขนึ้ และออ้ ยยง่ิ มี ความเสีย่ งต่อการเกิดโรคเหี่ยวเนา่ แดงมากย่งิ ข้ึน คูม่ ือการวนิ ิจฉัยโรคอ้อย 63

ค�ำแนะนำ� การปอ้ งกันก�ำจัด • เมอ่ื พบออ้ ยในแปลงเป็นโรคเหย่ี วเนา่ แดง ใหข้ ดุ ทิง้ และนำ� ออก ไปเผาท้งิ ท�ำลายไม่ให้มีการระบาดไปยงั จดุ อน่ื • ไถทงิ้ รอ้ื แปลงออ้ ยทเ่ี ปน็ โรครนุ แรงทง้ิ คราดตอออ้ ยเกา่ ออกจาก พื้นทใี่ ห้หมดและเผาท้ิงท�ำลาย • ปลกู พชื อื่นหมนุ เวียนในพน้ื ทโ่ี รคระบาด โดยหลีกเลย่ี งพืชอาศยั ของโรค เชน่ พชื ปรับปรงุ ดินชนิดต่าง ๆ เพอ่ื ตดั วงจรการเกิดโรค • ตากดินนานเกินกวา่ 3 เดือนก่อนปลกู อ้อยใหม่ ปรบั ปรุงดนิ กรด ดว้ ยปูนขาว และเตรยี มดนิ ให้ระบายน�้ำดี ปอ้ งกันน้�ำท่วมขัง • ใชพ้ นั ธอุ์ ้อยทีต่ า้ นทานหรือตา้ นทานปานกลางปลูกในพ้นื ทีซ่ ่งึ มี ความเสย่ี งของการระบาดของโรค รวมทั้งหลีกเลีย่ งการทนี่ ำ้� ทว่ มขงั • หลกี เลย่ี งการปลกู ออ้ ยพนั ธเ์ุ ดยี วเพอ่ื ปอ้ งกนั ปญั หาความเสยี หาย ทีอ่ าจเกิดขน้ึ กบั อ้อยพันธุใ์ ดพนั ธุ์หน่งึ • คัดเลอื กท่อนพนั ธุอ์ อ้ ยทีส่ มบูรณ์และไม่เปน็ โรคนำ� มาปลกู และ ไม่ให้ปุ๋ยไนโตรเจนในระดับท่ีสูงเกินไป เพราะจะท�ำให้อ้อยยิ่งมีความ ออ่ นแอต่อเชอื้ สาเหตโุ รค • ก่อนปลูกอาจมีการแช่ท่อนพันธุ์อ้อยในสารเคมีก�ำจัดโรคพืช เบโนมลิ 50% ดับบลวิ พี อัตรา 20 กรัมตอ่ นำ้� 20 ลิตร หรือ ไธโอฟาเนต เมธลิ 70% ดบั บลิวพี อตั รา 15 กรัมตอ่ น้�ำ 20 ลิตร นาน 30 นาทกี อ่ น ปลกู และพน่ สารดงั กลา่ วบรเิ วณโคนกอออ้ ยเดอื นละครง้ั ระหวา่ งทอี่ อ้ ย อายุ 1-5 เดอื น ช่วยลดความรนุ แรงของโรคได้ • ปอ้ งกนั กำ� จดั หนอนเจาะลำ� ตน้ ออ้ ย เพอื่ ไมใ่ หเ้ กดิ ชอ่ งทางใหเ้ ชอ้ื โรคเข้าสตู่ ้นอ้อย 64 คมู่ อื การวินิจฉยั โรคออ้ ย

โรคเนา่ กลน่ิ สบั ปะรด ภายในลำ� ตน้ ออ้ นและสว่ นโคนออ้ ย เมอ่ื ผา่ ตามยาว อาการของโรคภายในเนอ้ื ออ้ ยเมอ่ื ตดั ตามขวาง สาเหตขุ องโรคเชอ้ื ราThielaviopsisparadoxaหรอื Ceratoxystisparadoxa ลกั ษณะอาการโรค เชอ้ื เขา้ ทำ� ลายทอ่ นพนั ธอ์ุ อ้ ยทปี่ ลกู ในดนิ ทางปลาย ตดั ของทอ่ นพนั ธ์ุ ทำ� ใหภ้ ายในทอ่ นพนั ธเ์ุ นา่ มสี แี ดง กลนิ่ คลา้ ยสบั ปะรด สกุ ตอ่ มาเนอ้ื อ้อยเน่าแหง้ ยุบตัวลงเปน็ โพรง เหน็ สว่ นทอ่ นำ�้ ท่ออาหาร เปน็ เสน้ ๆ อยใู่ นทอ่ นออ้ ย ปกคลมุ ดว้ ยผงสปอรส์ ดี ำ� ของเชอ้ื รา ทอ่ นออ้ ย อาจจะเนา่ ตายกอ่ นทต่ี าออ้ ยจะงอกเปน็ ตน้ กลา้ เชอื้ สามารถเขา้ ทำ� ลาย คู่มอื การวนิ ิจฉัยโรคออ้ ย 65

ล�ำออ้ ยท่โี ตแลว้ ได้ เม่อื ลำ� อ้อยเกดิ แผล เชน่ รอยหนูกดั รอยหนอนเจาะ ล�ำต้น หรือรอยอตกของล�ำ ท�ำให้เน้ืออ้อยภายในล�ำเน่าแดง ปกคลุม ด้วยผงสปอร์สีดำ� ของเชือ้ การแพรร่ ะบาด เชือ้ สาเหตโุ รคสามารถอยูข่ ้ามฤดูได้ในท่อนพันธุอ์ ้อย ทเี่ ปน็ โรค และโรคสามารถตดิ มากบั ดนิ หรอื ตดิ มากบั ทอ่ นพนั ธท์ุ เ่ี ปน็ โรค ออ้ ยแกอ่ าจะตดิ เชอ้ื จากดนิ หรอื ลมพดั พาสปอรห์ รอื สว่ นขยายพนั ธข์ุ อง เชอื้ ราบนดนิ ใหแ้ พรก่ ระจายออกไป หรอื มพี วกแมลงวนั และหนอนเจาะ ล�ำต้นเป็นตัวน�ำเชื้อโรค โรคมีการระบาดและสร้างปัญหาได้ในช่วง อณุ หภูมิ ระหวา่ ง 25-31 องศาเซลเซยี ส คำ� แนะนำ� การป้องกันก�ำจดั • ปฏบิ ัติวิธีการตา่ ง ๆ ท่จี ะเรง่ ใหท้ อ่ นพันธุ์ออ้ ยงอกเร็ว พ้นจาก การเข้าท�ำลายของเช้ือราในดิน เช่น การคัดเลือกท่อนพันธุ์ที่สมบูรณ์ แข็งแรงส�ำหรบั ปลูก ใชอ้ ้อยอายุ 8-9 เดอื นเปน็ ทอ่ นพันธุ์ เน่ืองจากออ้ ย ไม่แก่เกนิ ไป การใสป่ ยุ๋ ไนโตรเจนในระยะ 4-8 สปั ดาห์ก่อนตัดอ้อยเป็น ทอ่ นพันธ์ุ จะชว่ ยเร่งการงอกของทอ่ นพนั ธ์ุ • ในเขตโรคระบาด การปลกู ออ้ ยดว้ ยทอ่ นพนั ธุ์ขนาด 3 ตาดกี ว่า ขนาด 2 ตา เพราะหากเชื้อเข้าท�ำลายท่อนพันธุ์อ้อยปลายตัดทั้งสอง ด้าน ลุกลามเข้าสู่กลางท่อน จะมีข้ออ้อยค่ันอยู่สองด้านซ่ึงจะช่วยให้ ตากลางงอกไดก้ อ่ นทีเ่ ชอ้ื จะเข้าท�ำลายของเชอื้ • แชท่ อ่ นพนั ธก์ุ อ่ นปลกู ในสารปอ้ งกนั ก�ำจดั เชอ้ื รา ไตรอาไดมฟี อน 25% ดับบลวิ พี อัตรา 40 กรมั ต่อนำ้� 20 ลติ ร หรอื โพรพโิ คนาโซล 250 อซี ี อตั รา 16 ซีซตี ่อน�้ำ 20 ลติ ร หรอื เบโนมิล 50% ดับบลวิ พี อัตรา 20 กรมั ตอ่ น้ำ� 20 ลติ ร แช่นาน 30 นาที • หลกี เลยี่ งการปลกู อ้อยในท่ีซ่ึงมีอากาศเยน็ และมีความช้นื สงู 66 คมู่ ือการวินจิ ฉยั โรคอ้อย

โรคตอแคระแกร็น พบวา่ ออ้ ยมกี ารแคระแกรน็ ออ้ ยไมม่ กี ารยา่ งปลอ้ ง ขอ้ ปลอ้ งสนั้ บรเิ วณขอ้ หรอื ตาออ้ ยพบวา่ มสี แี ดง ซงึ่ เปน็ เชอ้ื อยบู่ รเิ วณขอ้ สาเหตขุ องโรค Leifsonia xyli subsp. xyli, ( Lxx) เปน็ แบคทีเรยี กลมุ่ Coryneform คมู่ อื การวินจิ ฉยั โรคออ้ ย 67

ลักษณะอาการโรค ออ้ ยแคระแกร็น หรือโตช้ากวา่ ปกติ ซึง่ พบว่าเกดิ กบั บางพนั ธเ์ุ ทา่ นนั้ ถา้ ผา่ ตน้ ออ่ นดตู ามทอ่ นำ้� ทอ่ อาหารทอี่ ยตู่ รงขอ้ หรอื ใต้ตา (bud base) จะพบว่าท่อน้�ำ ท่ออาหารจะมีสแี ดงแทนท่ีจะเปน็ สี เหลอื งหรอื ชมพูออ่ นตามปกติ แตถ่ า้ อ้อยแก่จะมีสีแดง หรือสีส้มจนถงึ นำ้� ตาลปนแดงก็ได้ การแพร่ระบาด ตดิ ต่อไปกับทอ่ นพันธแ์ุ ละเครอ่ื งมอื ทีใ่ ช้ตัดทอ่ นพนั ธุ์ อ้อย ซ่ึงโรคจะมีการแสดงอาการมากย่ิงขึ้นเมื่อมีความชื้นไม่เพียงพอ หรอื ธาตอุ าหารพชื ไมเ่ พียงพอ ค�ำแนะนำ� การปอ้ งกนั ก�ำจดั • ปลูกอ้อยพนั ธ์ทุ ่ีต้านทานโรค หรือพันธทุ์ คี่ อ่ นขา้ งต้านทาน • ใช้ทอ่ นพนั ธุ์ทปี่ ราศจากโรค • แช่ท่อนพันธุ์ท่ีจะปลูกในน้�ำร้อนอุณหภูมิประมาณ 50 องศา เซลเซยี ส 2 ชั่วโมง หรือใชอ้ บในห้องอณุ หภมู ิ 54 องศาเซลเซียส นาน ประมาณ 8 ชัว่ โมง • เคร่ืองมือต่าง ๆ ที่ใช้ตัดอ้อยควรจุ่มในน้�ำยาฆ่าเชื้อโรค เช่น Lysol 5-10% Formalin 5% น้�ำปนู ขาวที่มีความเขม้ ข้น หรอื ล้างด้วย ผงซักฟอก สบู่ ให้สะอาด และเชด็ ใหแ้ หง้ เสยี กอ่ นทกุ ครงั้ ทใ่ี ช้ • เมอ่ื พบลำ� ออ้ ย หรอื กอออ้ ยแสดงอาการของโรค ใหม้ กี ารทำ� ลาย ทิง้ โดยการเผาทันที 68 คู่มอื การวินจิ ฉัยโรคอ้อย

โรคกอตะไคร้ ออ้ ยมกี ารแตกกออยา่ งเดยี ว โดยไมม่ กี ารยา่ งปลอ้ ง จนลกั ษณะของการแตกกอเปน็ เหมอื นกอตะไคร้ คู่มือการวนิ จิ ฉยั โรคอ้อย 69

สาเหตุของโรค เกดิ จากเชือ้ ไฟโตพลาสมา ลักษณะอาการโรค ออ้ ยมกี ารแตกกอเป็นจำ� นวนมากคล้ายกอตะไคร้ ลกั ษณะใบทีแ่ ตกออกมาเป็นฝอย ใบเป็นสีเขียวปกติ หรอื อาจมกี ารซีด ใบเล็กมาก การแพรร่ ะบาด ติดไปกบั ท่อนพันธ์ุ คำ� แนะน�ำการปอ้ งกันก�ำจัด • งดใชท้ อ่ นพนั ธ์จุ ากแหลง่ ทเ่ี ป็นโรค หรือจากกอท่ีเป็นโรค • ทำ� ลายกออ้อยท่ีเป็นโรค โดยการขดุ ทิ้งท�ำลาย • เมอื่ ปลูกออ้ ยใหม่ ควรทำ� ลายตน้ ที่เป็นตอเก่าออกใหห้ มด • เลอื กใชพ้ นั ธุ์ออ้ ยท่ที นทาน หรอื ต้านทานต่อโรค • อาจมีการจัดท�ำแปลงท่อนพันธุ์ปลอดโรค โดยการจุ่มในน้�ำ รอ้ น 50 องศาเซลเซียส นาน 2 ชวั่ โมง 70 คมู่ ือการวินิจฉัยโรคออ้ ย

ขาดธาตุแมกนเี ซยี ม (Magnesium, Mg) การขาดแมกนเี ซยี มของออ้ ยนน้ั จะแสดงอาการทใ่ี บแก่ โดยเกดิ แผลแหง้ ตายสแี ดง ทำ� ใหม้ องเหน็ วา่ เปน็ สสี นมิ เกดิ ขนึ้ ภายใตส้ ภาพทม่ี กี ารขาดแมกนเี ซยี มอยา่ งรนุ แรง ลำ� ตน้ ออ้ ยจะมกี ารแคระแกรน็ ทำ� ให้ เกดิ เปน็ สสี นมิ อยา่ งรนุ แรงและมสี นี ำ้� ตาล โดยภายในลำ� ตน้ นน้ั อาจจะกลายเปน็ สนี ำ�้ ตาลได้ ซง่ึ สสี นมิ ทเ่ี กดิ ขนึ้ นนั้ สามารถกระจายไปทวั่ ทง้ั แผน่ ใบและ อาจจะทำ� ใหใ้ บแกน่ นั้ เกดิ การหลดุ หกั รว่ งกอ่ นอายจุ รงิ คู่มอื การวนิ ิจฉัยโรคออ้ ย 71

ลกั ษณะอาการโรค ออ้ ยทข่ี าดแมกนเี ซยี ม จะมจี ดุ ประคลา้ ยสนมิ เหลก็ ท่ัวบริเวณด้านบนของใบภายในล�ำอ้อย ถ้าผ่าดูจะมีสีน้�ำตาลท�ำให้ใบ แกแ่ ละหลดุ ร่วงกอ่ นอายุ ล�ำตน้ อาจแคระแกร็น ลกั ษณะคล้ายกบั อ้อย ขาดแคลเซียมมาก ล�ำต้นเลก็ ปล้องสัน้ ค�ำแนะน�ำการปอ้ งกนั ก�ำจดั การขาดแมกนีเซียมมักขาดในดินทราย และดินท่ีมีโพแทสเซียมสูง การใสโ่ พแทสเซยี มในอตั ราสงู จะท�ำใหเ้ กดิ การขาดแมกนเี ซยี มไดใ้ นดนิ ท่มี ีแมกนีเซยี มตำ่� ปุ๋ยทใี่ หแ้ มกนเี ซยี ม ไดแ้ ก่ โดโลไมท์ แมกนีไซด์ และ แมกนเี ซยี มซลั เฟต ในดนิ ทม่ี พี เี อช สูงกวา่ 6 การใสแ่ มกนีเซยี มซลั เฟต จะดกี วา่ การใสป่ ๋ยุ โพแทสเซียมมากจะทำ� ให้อ้อยขาดแมกนีเซยี มมาก ในทางกลับกันในใบอ้อยถ้าแมกนเี ซียมสงู (มากกวา่ 0.35-0.6%) และ มรี ะดบั ของไนโตรเจนทส่ี งู (3.5-4.0%) ออ้ ยอาจแสดงการขาดโพแทสเซยี ม ถ้ามแี มกนเี ซียมมากกว่า 0.6% จะเกดิ แมกนเี ซียมเป็นพิษ 72 คู่มือการวินจิ ฉัยโรคอ้อย

ขาดธาตุแคลเซยี ม (Calcium, Ca) ออ้ ยใบแกจ่ ะแสดงอาการขาดแคลเซียม โดยใบออ้ ยจะมีลักษณะเปน็ ทางสีเหลอื ง จนถึงสีนำ�้ ตาล โดยบนใบแกอ่ าจจะสงั เกตเห็นลกั ษณะเป็นสีสนิม แลว้ ใบกจ็ ะตายไปกอ่ นท่จี ะแก่ บ่อยครัง้ ทจี่ ะพบวา่ ยอดใบนนั้ จะมกี ารบิดม้วนไปตามความยาวของขอบใบ เมอื่ มีการขาดแคลเซียมอยา่ งต่อเน่อื ง ในใบออ่ นน้ันจะมกี ารผิดรปู รา่ งแห้งตาย อยา่ งไรก็ตามการขาดแคลเซยี มนน้ั พบไดไ้ ม่บอ่ ย คู่มอื การวนิ ิจฉยั โรคออ้ ย 73

ลกั ษณะอาการโรค ออ้ ยขาดแคลเซยี มจะทำ� ใหเ้ นอื้ เยอ่ื เจรญิ สว่ นยอด ตาย ใบออ่ นจะมอี าการยอดงอบดิ เบยี้ วและไหมท้ ส่ี ว่ นยอด และขอบใบ ใบจะมแี ผลเล็ก ๆ สีซดี และมจี ุดแหง้ ๆ ตรงกลาง ตอ่ มาแผลจะเปล่ยี น เปน็ สนี ำ้� ตาลแดงเปลอื กจะออ่ นนมุ่ และเปราะ ลำ� จะผอมเรยี วการเจรญิ เติบโตจะลดลงและอ่อนแอ ถ้าขาดแคลเซียมอย่างรุนแรงการเจริญ เติบโตจะหยุดชะงกั และตายในที่สุด ค�ำแนะน�ำการป้องกันก�ำจัด การใสป่ ยุ๋ โพแทสเซยี มในอตั ราสงู จะทำ� ใหเ้ กดิ การขาดแคลเซยี ม ใน ดนิ เปน็ กรดซง่ึ มแี คลเซยี มตำ�่ โดยปกตอิ าการขาดแคลเซยี มในออ้ ยของ ประเทศไทยไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนัก ส่วนใหญ่มักจะพบร่วมกับอาการ เปน็ พษิ ของอลมู เิ นยี มในดนิ กรดจดั ในประเทศบราซลิ ออ้ ยจะมรี ากยาว ข้ึนและหยั่งลึกลงในดินมากขึน้ เมอื่ มีการใส่แคลเซยี มในรปู ของยปิ ซ่ัม โดยปกติการแก้ปัญหาการขาดแคลเซียมมักจะใช้หินปูนบดละเอียด หรอื ยปิ ซมั่ การใชห้ นิ ปนู กเ็ พอ่ื จะทำ� ใหค้ วามเปน็ กรดของดนิ ลดลง และ เพอื่ ใหอ้ อ้ ยไดแ้ คลเซยี มและแมกนเี ซยี มดว้ ย สว่ นยปิ ซมั่ มกั จะใสใ่ นดนิ ที่เป็นด่าง หรือดินเค็ม เพ่ือปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพของดิน ใหด้ ขี ้ึน และเข้าไปแทนที่ขบั ไลเ่ กลอื ออกจากดนิ แล้วลดปรมิ าณเกลอื โดยการชะลา้ ง 74 คูม่ ือการวนิ ิจฉัยโรคออ้ ย

ขาดธาตซุ ลิ คิ อน (Silicon, Si) ออ้ ยมกั แสดงอาการขาดซลิ คิ อนเมอื่ มกี ารปลกู ในดนิ ทรายทม่ี รี ะบบ นำ�้ หยดซงึ่ ในแปลงจะเหน็ เปน็ ลกั ษณะอาการรอยขดี สขี าวถงึ เหลอื งสน้ั ๆ และพบรนุ แรงมากในใบแก่ ลกั ษณะอาการโรค เกดิ จดุ ขาวเลก็ ๆ บนใบ หรอื ขดี ยาว ๆ จะเปน็ รนุ แรง ในใบแก่ อ้อยแตกกอลดลง ใบจะแกก่ อ่ นกำ� หนด ค�ำแนะนำ� การป้องกันก�ำจดั การใสป่ นู slag จะชว่ ยปรบั ปรุงดินในระยะยาว อาการใบขีดจะยิ่ง เลวลง ถา้ มีการใสแ่ คลเซียมคารบ์ อเนต เน่ืองจากซิลคิ อนจะละลายได้ นอ้ ยลงถา้ ดนิ มี pH สงู ขน้ึ ในฮาวายถา้ สดั สว่ นของแมงกานสี กบั ซลิ เิ กต สงู กวา่ 70 แสดงว่าต้องใส่ซลิ เิ กตเพ่มิ เติม คมู่ อื การวินจิ ฉยั โรคอ้อย 75

ขาดธาตุโพแทสเซยี ม (Potassium, K) ใบแก่แสดงอาการขาดธาตุโปแตสเซียม อาการท่ีปรากฏจะพบรอยด่างเป็นจุด ๆ ใบอ้อยท่ีมีการแสดงอาการขาดโปแตสเซียมโดยจะมีสีแดงท่ีบริเวณเส้นกลางใบ อยา่ งไรก็ตามการอาจจะมีลักษณะทค่ี ล้ายกบั การขาดโปแตสเซยี ม หากมีการขาดโปแตสเซียมไม่มากนัก ใบอ่อนจะยังคงเป็นสีเขียวเข้มและล�ำต้นก็จะ เรียวเล็กลงหากมีการขาดฟอสฟอรัสอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ปลายยอดอ้อยมีการผิด รูปรา่ งไป เกดิ เปน็ ลกั ษณะคล้ายพัด 76 คูม่ อื การวนิ ิจฉัยโรคอ้อย

ลักษณะอาการโรค ออ้ ยท่ขี าดโพแทสเซียมจะมกี ารสงั เคราะหแ์ สงต�่ำ กว่าปกติ โดยแสดงอาการขาดภายใน 2-5 เดอื น ออ้ ยจะไมม่ กี ารแตก กอ ล�ำอ้อยเลก็ กวา่ ปกติ และเล็กเรียวไปทางยอด ยอดและขอบใบจะมี จุดประสีส้ม มีแผลแห้งตายระหว่างเส้นใบ ใบแก่จะมีสีน�้ำตาลท้ังใบ คลา้ ยไฟลวก เสน้ กลางใบดา้ นบนจะมสี แี ดง ใบออ่ นจะมสี เี ขยี วเขม้ บดิ เบยี้ วผิดรปู รา่ ง ใบจะเปน็ พมุ่ หรือคลา้ ยพัด อ้อยจะอ่อนแอตอ่ โรคและ สภาพแห้งแลง้ คำ� แนะนำ� การป้องกันก�ำจดั ออ้ ยตอ้ งการโพแทสเซยี มเปน็ ปริมาณมหาศาล ในดนิ ทรายจะมีการ ชะลา้ งโพแทสเซยี มมาก ทำ� ใหโ้ พแทสเซยี มอยใู่ นระดบั ตำ�่ สว่ นดนิ เหนยี ว จะมีโพแทสเซียมสงู อย่างไรก็ตาม โพแทสเซียมตามธรรมชาตอิ าจลด ลงอยา่ งรวดเรว็ จากการปลกู ออ้ ยอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ควรใสป่ ยุ๋ โพแทสเซยี ม ใหม้ ากกวา่ 10 กก.K/ไร่ ในดนิ ทราย สว่ นดินเหนียวควรใช้โพแทสเซยี ม เพียง 10 กก.K/ไร่ คมู่ อื การวนิ จิ ฉยั โรคอ้อย 77

ขาดธาตเุ หลก็ (Iron, Fe) การขาดธาตเุ หลก็ ของออ้ ยจะมกี ารแสดงอาการใหเ้ หน็ ทใี่ บออ่ น ตน้ ออ่ นทไี่ ดข้ าดธาตุ เหล็กก็จะอยู่ติดกับต้นที่ไม่ได้รับผลกระทบ ต้นอ่อนนั้นอาจจะรอดผ่านไปเป็นต้นโต และมกี ารพฒั นาของรากได้ การขาดธาตเุ หลก็ ของออ้ ยนนั้ พบไดม้ ากในพน้ื ทซี่ งึ่ มคี า่ pH สงู พบว่าต้นอ้อยท่ีแสดง อาการขาดธาตเุ หลก็ นน้ั จะ อยตู่ ิดกับตน้ โตทเ่ี ปน็ ปกติ เนอ่ื งมาจากระบบรากอาจ จะถกู แมลงเขา้ ทำ� ลาย หรอื อยู่ในพ้ืนท่ีซ่ึงดินมีความ เป็นเกลือสูง ท�ำให้มีการ แสดงอาการขาดท่ีไม่ สม�่ำเสมอมกี ารเวน้ ช่วง 78 คมู่ อื การวินจิ ฉัยโรคออ้ ย

ลกั ษณะอาการโรค ออ้ ยทข่ี าดเหลก็ จะเรมิ่ แสดงอาการทยี่ อด แลว้ ลาม ไปสว่ นทแ่ี กก่ วา่ โดยสขี องใบระหวา่ งทอ่ สง่ นำ้� จะซดี จางเปน็ ทาง ใบของ ต้นออ่ นของอ้อยตอเห็นเป็นสเี ขยี วเปน็ ทาง ๆ ตามความยาวของใบ ถ้า อาการรนุ แรงจะเหน็ เปน็ สขี าวทง้ั กอ อาการขาดเหลก็ จะลดความรนุ แรง ลงไดถ้ า้ ดนิ มคี วามชนื้ มากขน้ึ หรอื เมอ่ื ออ้ ยโตขนึ้ มกี ารพฒั นาระบบราก ไดด้ ขี นึ้ จะดดู ธาตเุ หลก็ จากดนิ ไดม้ ากขน้ึ สขี าวซดี จะคอ่ ย ๆ เปลยี่ นเปน็ สเี ขียว คำ� แนะน�ำการป้องกนั ก�ำจดั อาการขาดธาตเุ หลก็ จะเกดิ ในดนิ ดา่ ง เนอื่ งจากเหลก็ อยใู่ นรปู ไมเ่ ปน็ ประโยชน์ ในดนิ โซลกิ ทม่ี กี ารระบายน้�ำเลว จะท�ำให้รากอ้อยไมพ่ ฒั นา และถกู ท�ำลายเป็นบางส่วน อ้อยจะแสดงอาการขาดเหล็ก ออ้ ยที่ขาด เหลก็ ยงั แสดงอาการอ่อนแอตอ่ เชอื้ รา Cercospora sp. การขาดเหลก็ อาจแก้ไขโดยการท�ำให้ ความเป็นกรดของดินลดลง หรือฉีดพ่นสาร ละลายเฟอรสั ซลั เฟต 1% อาการขาดเหล็กจะหายไปภายหลังฉีดพน่ 3 เดอื น และท�ำให้ออ้ ยเติบโตอย่างรวดเร็ว สว่ นอ้อยท่ีไมไ่ ด้รบั การฉีดจะ แคระแกร็น และมใี บสขี าว คมู่ อื การวินิจฉยั โรคออ้ ย 79

ขาดธาตุสงั กะสี (Zinc, Zn) การขาดธาตุสังกะสีนั้นจะแสดงอาการท่ีใบอ่อนของอ้อย ซึ่งจะพบว่ามีแถบสีเหลือง ถึงสขี าวตลอดทงั้ ความยาวของใบ โดยทกี่ ลางใบและแนวเสน้ ใบน้ันยังคงเปน็ สเี ขยี ว ยกเวน้ เมอื่ มกี ารขาดธาตุสงั กะสอี ยา่ งรนุ แรง รอยแผลสีแดงนัน้ เป็นสัญญาณเตอื นท่ี เหน็ ไดบ้ อ่ ย ซงึ่ รอยแผลนน้ั อาจจะมีการเขา้ ท�ำลายของเชอ้ื ราสาเหตุโรคดว้ ยซง่ึ จะเขา้ ซ้�ำในรอยแผลท่เี กดิ จากการขาดธาตุสงั กะสี การขาดธาตสุ งั กะสอี ยา่ งรนุ แรงนนั้ มคี วามไมแ่ นน่ อน ลกั ษณะอาการอาจจะเพม่ิ มาก ขนึ้ ในดนิ ทเี่ ปน็ ดา่ งและเมอ่ื ดนิ ดา้ นลา่ งซง่ึ มธี าตสุ งั กะสอี ยตู่ ำ�่ ถกู พลกิ ขนึ้ มาอยดู่ า้ นบน 80 ค่มู ือการวนิ จิ ฉัยโรคอ้อย

ลักษณะอาการโรค อ้อยท่ีขาดสังกะสีจะมีแผลเป็นรอยขีดสีจางบน แผน่ ใบ มแี ถบสซี ดี จางทง้ั 2 ขา้ งของเสน้ กลางใบ แตไ่ มแ่ ผไ่ ปถงึ ขอบใบ ยกเว้น กรณีแสดงอาการรุนแรงสีซีดจางจะเร่ิมต้นจากเส้นใบเป็นทาง ยาวแถว ๆ ขอบใบ โดยเร่ิมจากยอดถึงกึ่งกลางใบ ระยะแรกระหว่าง เส้นใบยังเขียวอยู่ แต่ต่อมาใบท้ังใบจะมีสีซีดจนถึงฐานใบ ใบจะส้ัน ตรงกลางใบจะกวา้ ง และแผ่นใบ 2 ข้างไมเ่ ท่ากนั ถ้ารนุ แรงมากใบจะ แห้ง การแตกกอลดลง ปล้องสั้น ล�ำอ้อยจะผอม เล็กอาจจะสูญเสีย ความเต่ง หรือความยืดหยุน่ คำ� แนะน�ำการปอ้ งกนั ก�ำจัด ออ้ ยตอ้ งการสงั กะสใี นปรมิ าณคอ่ นขา้ งมาก จากการวเิ คราะหใ์ บออ้ ย ทป่ี กตจิ ะพบปรมิ าณสงั กะสี 15-50 ppm ดงั นนั้ ออ้ ยทม่ี ปี รมิ าณสงั กะสี ต่�ำกว่า 15 ppm จะถือเป็นค่าวิกฤต ที่ต้องใส่สังกะสีเพิ่มรูปปุ๋ย เช่น สังกะสีซีเลท (14% Zn) สังกะสีคลอไรด์ (30% Zn) สังกะสีออกไซด์ (50-80% Zn) และสังกะสีซัลเฟต (22-30% Zn) คู่มือการวินจิ ฉัยโรคออ้ ย 81

ขาดธาตุโบรอน (Boron, B) ลักษณะการขาดโบรอนจะปรากฏข้ึนที่ใบอ่อนของอ้อย ส่วนปลายยอดเจริญอาจจะ มีชีวิตอยู่หรือตายไปก่อนแล้ว และใบอ่อนนั้นจะมีการเปลี่ยนเป็นสีซีดจางลง แต่จะ ไม่มีอาการเห่ียว ใบอ้อยท่ีขาดโบรอนจะมีการผิดรูปร่างไป โดยจะสังเกตเห็นท่ีขอบ ของใบอ่อน โดยหากมกี ารขาดโบรอนอยา่ งรุนแรงใบอ่อนจะไม่มีการคล่ีขยายออก ในออ้ ยทม่ี ีการขาดโบรอนสว่ นปลายยอดมกั จะตาย ในกรณีท่มี ีการขาดโบรอนอย่าง รนุ แรง ต้นออ้ ยทอ่ี ายุนอ้ ย ๆ จะมีการเปราะหักได้งา่ ยและมีการแตกหนอ่ เป็นจ�ำนวน มาก ท้งั น้ี อาจจะพบวา่ มีขีดใสไปตามความยาวของขอบใบเม่ือการขาดโบรอนยังคง ตอ่ เน่อื งไป 82 ค่มู อื การวนิ จิ ฉยั โรคอ้อย

ลกั ษณะอาการโรค ออ้ ยทข่ี าดโบรอนจะมใี บมว้ นงอ เนอ่ื งจากเซลลไ์ ม่ สามารถรกั ษาความเต่งไว้ได้ เสน้ ใบจะใส ต้นออ่ นจะเปน็ พมุ่ และแตก กอมาก ใบจะเปราะ มว้ นงอ มสี ซี ดี ตอ่ มาจะแหง้ ตาย อาการคล้าย ๆ โรคพกกะบองและคล้ายๆ อ้อยท่ีถูกสารเคมีก�ำจัดวัชพืช มีผู้สังเกตว่า ออ้ ยทข่ี าดโบรอนจะมหี ยดนำ�้ เลก็ ๆ ทอ่ี อกมาจากใบเกาะอยทู่ ผี่ วิ ใบดา้ น บนทีใ่ บอ่อนจะมจี ุดเล็ก ๆ สขี าวเรยี งกนั อยู่ ในส่วนทข่ี าดคลอโรฟิลเปน็ เสน้ ขนานกบั แกนกลางใบ ยอดหยดุ การเจรญิ เตบิ โต ใบออ่ นจะมขี นาด เลก็ และสซี ีดขาดคลอโรฟิล ค�ำแนะน�ำการปอ้ งกันก�ำจัด การที่มีโบรอนสะสมอย่ทู ่สี ว่ นยอดสุดของล�ำต้นและบริเวณวงเจริญ แสดงวา่ ออ้ ยตอ้ งการโบรอนมากในสว่ นทก่ี ำ� ลงั เจรญิ เตบิ โตระดบั วกิ ฤต ของโบรอนประมาณ 4 ppm ทใ่ี บยอด แต่มผี พู้ บวา่ ระดับโบรอนที่ 1.8 ppm โบรอนจะเป็นตัวจ�ำกัดผลผลิตของอ้อย โบรอนที่อยู่ในดินจะอยู่ ใ(ทNน่ีอOรัตปู 3ร)ขาคอกอืงาบรถซอกู ึมเชรนะตล�้ำ(สา้BงูงOไดก3)ง้าซา่รย่ึงใสจดะ่ปงั มูนนีคขน้ั ณุากวสาเกมรขินบาขัตดนทิ โาบกุ ดอรกอย็เน่าปมง็นคกั สลจาา้ะเยเหกอตดิ นุทใุมน่ีทูลด�ำไในิ นหทเ้อตร้อารทยย ขาดโบรอนเชน่ กัน คู่มือการวนิ จิ ฉัยโรคอ้อย 83

ขาดธาตทุ องแดง (Copper, Cu) อาการขาดทองแดงนนั้ จะปรากฏบนใบออ่ น โดยในชว่ งแรกจะสงั เกตเหน็ จดุ รอยแตม้ สเี ขยี ว สว่ นยอดเจริญยงั คงมชี ีวติ อยู่แต่ขอ้ ปล้องจะมี การลดลงเปน็ อยา่ งมากเมอ่ื มกี ารขาดทองแดง อยา่ งรนุ แรง ความแขง็ แรงและการแตกกอของ ตน้ อ้อนจะลดลงเมือ่ มกี ารขาดทองแดง ลกั ษณะอาการโรค ออ้ ยทข่ี าดทองแดงจะมกี อไมส่ มบรู ณ์ ยอดลลู่ งดนิ ใบขาดคลอโรฟลิ ใบทยี่ อดไมส่ ามารถคลไ่ี ดต้ ามปกติ จะเปน็ ทางสเี ขยี ว ออ่ น จนในทสี่ ดุ สขี าวซดี ใบจะบางเปน็ แผน่ กระดาษและมว้ นงอถา้ อาการ รนุ แรงลำ� ออ้ ยและเนอ้ื เยอ่ื เจรญิ จะสญู เสยี ความเตง่ ยอดเหย่ี ว และการ แตกกอจะลดลง อาการขาดคลอโรฟลิ จะมลี กั ษณะเปน็ ทางขาว โดยมสี เี ขยี วของใบปกติ คน่ั เปน็ บางตอน ใบกวา้ งและนมิ่ กวา่ ใบปกติ ล�ำตน้ และยอดหยนุ่ ตวั ได้ พอควร เมอื่ ม้วนใบจะปรากฏวา่ ท�ำได้งา่ ยโดยไม่ฉกี ขาด คำ� แนะน�ำการป้องกันก�ำจัด การแก้อาการขาดทองแดง อาจใช้ปุ๋ยละลายน�้ำราดที่โคน หรือฉีด พ่นทางใบ ป๋ยุ ทีใ่ ชจ้ ะเปน็ ทองแดงซีเลท หรอื คอปเปอร์ซลั เฟต ในอตั รา 800-100 กรัม/ไร่ โดยปกติการฉีดพน่ คร้ังเดยี วก็เพยี งพอ 84 คู่มือการวินิจฉยั โรคอ้อย

ขาดธาตคุ ลอรนี /ธาตคุ ลอรนี เปน็ พษิ (Chorine, Cl) การขาดคลอรนี และอาการเปน็ พษิ จากคลอรนี นนั้ ระบุ ลกั ษณะอาการขาดคลอรนี ได้ยากในแปลง โดยการขาดคลอรีนจะเป็นสาเหตุให้ และการได้รับพิษจาก รากออ้ ยหดสน้ั ลงและมกี ารแตกรากแขนงมากขนึ้ สว่ น คลอรนี ทมี่ ากเกนิ ไปในใบ อ้อยที่ได้รับพิษจากคลอรีนท่ีมากเกินไปจะท�ำให้ราก อ่อนของอ้อย (จากซ้าย อ้อยหดสั้นลงและรากแขนงลดลงด้วย (จากซ้ายไป ไปขวา มคี ลอรนี 0 และ ขวา ออ้ ยไดร้ บั คลอรนี 0 , 1 และ 100 สว่ นในลา้ นสว่ น) 100 สว่ นในลา้ นส่วน) ลกั ษณะอาการโรค อาการขาดธาตคุ ลอรนี และอาการเปน็ พษิ จากธาตุ คลอรีนมากเกินไป มักจะแยกกันไม่ค่อยออก เน่ืองจากจะมีใบอ่อนท่ี กำ� ลงั โผลอ่ อกมาแสดงอาการเหยี่ วเฉา โดยเฉพาะในวนั ทม่ี อี ากาศรอ้ น และแสงแดดจดั แตจ่ ะกลบั เป็นปกติตอนกลางคืน ออ้ ยจะมีรากสนั้ ผิด ปกตเิ หมอื นกนั แตถ่ า้ ขาดคลอรนี ออ้ ยจะแตกรากแขนงมาก ถา้ คลอรนี มากจนเป็นพิษรากจะแตกแขนงเพียงเล็กน้อย ค�ำแนะนำ� การป้องกันก�ำจัด อาการขาดคลอรนี สามารถแก้ไขได้โดยใส่ปุ๋ยโพแทสเซยี มคลอไรด์ คมู่ ือการวนิ ิจฉัยโรคอ้อย 85

ขาดธาตุกำ� มะถัน (Sulphur, S) ใบอ่อนของอ้อยที่ได้รับพิษของซัลเฟอร์ไดออกไซด์ จะเกิดมีอาการด่างและรอยขีด สเี หลอื งไปตามความยาวของแผน่ ใบจนกระทงั่ เตม็ ทงั้ แผน่ ใบ การไดร้ บั พษิ จากซลั เฟอร์ ไดออกไซด์นม้ี ักจะพบในแหล่งทีม่ ีภเู ขาไฟ ปลายใบและขอบใบออ้ ยนน้ั จะมกี ารไหมห้ ลงั จากทไ่ี ดร้ บั ซลั เฟอรไ์ ดออกไซดป์ ระมาณ 3-7 วนั ใบทีแ่ สดงอาการขาดซลั เฟอร์ (ขวา) จะแสดงอาการท่ีมกี ารเป็นสีเหลืองซดี รวมทง้ั ขอบใบกลางเปน็ สมี ว่ ง ซงึ่ ตรงกนั ขา้ มกบั ใบทเี่ ปน็ ปกติ (ซา้ ย) ซง่ึ ไดร้ บั อลมู เิ นยี ม ซัลเฟต 86 ค่มู ือการวนิ ิจฉัยโรคอ้อย

อาการขาดธาตุซัลเฟอรข์ องออ้ ยนัน้ มกั จะปรากฏในดินทราย โดยใบอ้อยจะเรยี วเล็ก แคบลง รวมทงั้ หดสน้ั มากกวา่ ปกติ และลำ� ต้นอ้อยน้ันก็ผอมเล็กกว่าปกติ ลกั ษณะอาการโรค ออ้ ยทขี่ าดกำ� มะถนั จะมสี เี หลอื งซดี คลา้ ยกบั อาการ ขาดธาตุไนโตรเจน แต่ปลายใบไม่มีอาการไหม้และอาการไม่รุนแรง เหมอื นขาดไนโตรเจน ใบออ่ นสซี ดี จางตลอดทง้ั ใบ อาจจะเจอื สมี ว่ งจาง ๆ ทง้ั ใบ ใบแคบและสนั้ กว่าปกติ ลำ� อ้อยผอมเล็ก ไมเ่ จรญิ เตบิ โต คำ� แนะน�ำการป้องกนั ก�ำจดั การขาดกำ� มะถนั มกั เกดิ ในบรเิ วณทไี่ มม่ นี ำ�้ ชลประทาน ดนิ มอี นิ ทรยี วัตถุต�่ำและไมม่ ีการใสป่ ยุ๋ ท่มี ีกำ� มะถนั ออ้ ยมักจะไดธ้ าตกุ �ำมะถนั จาก การใสป่ ยุ๋ ในรปู ของเกลอื ซลั เฟต ทใี่ ชก้ นั อยทู่ วั่ ไปคอื แอมโมเนยี มซลั เฟต และยปิ ซม่ั โดยเฉพาะในดนิ ทม่ี คี วามเปน็ กรดเปน็ ดา่ งสงู กวา่ 6 แอมโมเนยี ซลั เฟตเปน็ ปุย๋ ที่เหมาะสมทสี่ ดุ สำ� หรับให้ธาตไุ นโตรเจนและก�ำมะถนั ค่มู อื การวนิ ิจฉยั โรคออ้ ย 87

ธาตอุ ลมู ิเนยี มเปน็ พษิ (Aluminium, Al) ความเปน็ พษิ จากอลมู เิ นยี มนน้ั ไมไ่ ดแ้ สดงอาการใหเ้ หน็ ไดโ้ ดยตรงทบ่ี นใบแตจ่ ะแสดง อาการทรี่ ะบบรากพบวา่ ระบบรากทไ่ี ดร้ บั พษิ จากอลมู เิ นยี มจะเกดิ ความผดิ ปกตคิ ลา้ ยกบั ทเ่ี กดิ จากการเขา้ ทำ� ลายของไสเ้ ดอื นฝอยสาเหตโุ รคพชื ซงึ่ จะพบวา่ สว่ นปลายของรากแขนง นนั้ จะมกี ารขยายขนาดใหญข่ น้ึ อยา่ งผดิ ปกติ โดยตน้ ออ้ ยจะมกี ารออ่ นแอตอ่ การขาดนำ�้ สงู ขน้ึ ซงึ่ จะพบความผดิ ปกตจิ ากพษิ ของอลมู เิ นยี มไดม้ ากในดนิ ทมี่ คี วามเปน็ กรดโดยจะ พบไดใ้ นดนิ ทมี่ คี า่ pH ตำ�่ กวา่ 5.2 แตส่ ามารถแกไ้ ขไดโ้ ดยการเตมิ ปนู ขาว ซงึ่ จะทำ� ให้ pH ของดนิ เพม่ิ ขน้ึ และการเตมิ แคลเซยี มเขา้ ไปจะชว่ ยบรรเทาความเปน็ พษิ ของอลมู เิ นยี มให้ ลดนอ้ ยลง ซงึ่ จะไดผ้ ลดยี ง่ิ ขน้ึ เมอ่ื มกี ารปรบั pH ใหเ้ พม่ิ สงู ขน้ึ ดว้ ย ลกั ษณะอาการโรค ออ้ ยทม่ี อี าการอลมู เิ นยี มเปน็ พษิ จะแตกรากแขนง นอ้ ย และรากแขนงทแี่ ตกออกมาจะมปี ลายรากบวมผดิ ปกติ คลา้ ย ๆ ราก ทถี่ กู เขา้ ทำ� ลายโดยไสเ้ ดอื น ออ้ ยจะดดู นำ�้ และธาตอุ าหารนอ้ ยลงเมอ่ื ฝน ตกทง้ิ ชว่ งหรอื ความชนื้ ในดนิ ลดลง ออ้ ยจะแสดงอาการขาดนำ้� อยา่ งรนุ แรง คำ� แนะนำ� การป้องกันกำ� จดั การใสป่ นู ขาวลงในดนิ เพอื่ ยกระดบั pH ใหส้ งู กวา่ 5.2 เปน็ คำ� แนะนำ� ท่ีเหมาะสมส�ำหรับลดความเป็นพิษของอลูมิเนียม นอกจากนั้น จะมี พันธุ์อ้อยบางพันธุ์สามารถทนความเป็นพิษ ถ้าอ้อยแสดงอาการขาด ฟอสฟอรสั ร่วมด้วยการเพม่ิ ป๋ยุ ฟอสเฟตใหส้ งู ขึ้น 88 คู่มอื การวินจิ ฉัยโรคออ้ ย

ขาดธาตไุ นโตรเจน (Nitrogen, N) ใบแก่ของอ้อยจะแสดง อาการขาดธาตไุ นโตรเจน ใบแก่นั้นจะมีการแห้ง ตายแลว้ จะมกี ารแหง้ ตาย ไปทั้งต้น ใบอ่อนนั้นจะ เปน็ สเี หลอื งอมเขยี วและ ล�ำอ้อยก็จะเรียวเล็กลง เม่ือมีการขาดไนโตรเจน อยา่ งตอ่ เนอื่ ง ชว่ งทมี่ กี าร ขาดธาตุไนโตรเจนข้อ ปล้องของอ้อยจะมีการ หดสนั้ ลง ในสภาพท่ขี าดไนโตรเจนกาบใบทยี่ ังไม่แกเ่ ต็มที่มีการลอกออกมาจากลำ� ต้น ขอ้ จะเปน็ สีเหลอื งอ่อนจนถงึ สเี หลือง คมู่ ือการวินจิ ฉยั โรคออ้ ย 89

ลกั ษณะอาการโรค เมอื่ ออ้ ยขาดไนโตรเจนจะแสดงอาการทใี่ บ โดยใบ จะเปล่ียนเป็นสีเหลือง มีคลอโรฟิลต�่ำ ใบอ่อนจะมีสีจาง ล�ำต้นแคระ แกรน็ การเจรญิ เตบิ โตลดลง ออ้ ยแตกกอนอ้ ย ออ้ ยจะมอี ตั ราสว่ นระหวา่ ง ซโู ครส และรดี วิ ซงิ่ ซกู ารส์ งู เพราะออ้ ยขาดไนโตรเจนจะสรา้ งซโู ครสมาก แต่จะสร้างเนื้อเยื่อเพื่อการเจรญิ เติบโต ลดลง เมอื่ ออ้ ยไดร้ บั ไนโตรเจน มากเกินไป อ้อยจะมีล�ำต้นอวบ มีการเจริญเติบโตด้านโครงสร้างและ คณุ ภาพลดลง การใส่ปยุ๋ ไนโตรเจนเกนิ พอดี ทำ� ใหป้ ริมาณของไฟเบอร์ ลดลง ออ้ ยจะลม้ งา่ ย ค�ำแนะนำ� การป้องกนั ก�ำจัด อนิ ทรยี วตั ถใุ นดนิ เปน็ แหลง่ ทส่ี ำ� คญั ของธาตไุ นโตรเจนตามธรรมชาติ ในดนิ ทปี่ ลกู ออ้ ยสว่ นใหญจ่ ะมอี นิ ทรยี วตั ถอุ ยรู่ ะหวา่ ง 1-3% มอี ยหู่ ลาย แหง่ ทเ่ี ปน็ ดนิ ทรายทางภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื มรี ะดบั อนิ ทรยี ว์ ตั ถตุ �่ำ กวา่ 1% ทำ� ใหอ้ อ้ ยทป่ี ลกู แสดงอาการขาดไนโตรเจน จำ� เปน็ ตอ้ งใสธ่ าตุ ไนโตรเจนในรูปของปุ๋ยเคมเี ปน็ ปริมาณมาก ๆ เนื่องจากอินทรียวัตถุเป็นแหล่งท่ีมาของไนโตรเจนในดินการใส่ปุ๋ย ไนโตรเจนให้แก่อ้อยจึงใช้ระดับอินทรียวัตถุในดินเป็นเกณฑ์พิจารณา ปริมาณของป๋ยุ ไนโตรเจน 90 คมู่ ือการวินจิ ฉัยโรคอ้อย

ขาดธาตุฟอสฟอรสั (Phosphorus, P) ใบแก่ของอ้อยแสดงอาการขาดธาตุ ฟอสฟอรสั ใบจะกลายเป็นสมี ว่ งอมแดง ซง่ึ มกั จะพบวา่ ออ้ ยมกี ารแสดงอาการเมอ่ื ออ้ ยยงั เลก็ และอณุ หภมู ติ ำ�่ กวา่ 10 องศา เซลเซยี ส ออ้ ยทขี่ าดฟอสฟอรสั นนั้ สง่ ผลให้ เกดิ ลำ� ตน้ เตย้ี และเลก็ ใบทแี่ กก่ วา่ จะมกี าร ตายไปกอ่ น คมู่ อื การวินจิ ฉยั โรคอ้อย 91

ลักษณะอาการโรค อ้อยทข่ี าดฟอสฟอรัสจะแสดงทใี่ บ โดยใบอ้อยจะ มีสเี ขยี วคล้�ำ มีสแี ดงหรอื มว่ งออ่ น ๆ ปนบา้ ง ในส่วนของยอดหรือขอบ ใบท่ีโดนแสงใบจะแคบและสั้นกว่าปกติ ใบแก่จะมีสีเหลืองและแห้ง ตายจากยอดและริมขอบใบ ลำ� ต้นจะผอมแตกกอน้อย และมปี ลอ้ งสนั้ คำ� แนะนำ� การป้องกนั กำ� จดั ปุ๋ยฟอสฟอรัสไม่แนะน�ำให้ใส่พร้อมกับน้�ำชลประทาน ท้ังนี้ เพราะ ฟอสฟอรสั จะถกู ตรงึ อยา่ งเหนยี วแนน่ โดยดนิ ชนั้ บน การเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพ ของฟอสฟอรัสควรค�ำนึงถึงการใส่ปุ๋ยดังกล่าวในรูปท่ีละลายน้�ำ ณ ตำ� แหนง่ ทเ่ี หมาะสมทสี่ ดุ นน่ั คอื ใกลร้ ากออ้ ย และใกลร้ ะดบั ลา่ งสดุ ของ ชนั้ ทม่ี รี ากมากทส่ี ดุ รว่ มกบั การไถใหล้ กึ ถงึ ดนิ ชน้ั ลา่ ง เพอ่ื ใหฟ้ อสฟอรสั ทดี่ นิ เกบ็ ไวจ้ ะไดเ้ ปน็ ประโยชนต์ อ่ พชื การผสมหนิ ฟอสเฟตทบ่ี ดละเอยี ด กบั ดนิ ชน้ั ลา่ งทขี่ าดฟอสฟอรสั จะชว่ ยสง่ เสรมิ ใหอ้ อ้ ยมรี ากมากและหยงั่ ลกึ ดว้ ย สำ� หรับอ้อยดดู กินฟอสฟอรสั ประมาณ 3.2-11.2 กก.P/ไร่ ดังนัน้ การแนะน�ำปุ๋ยจึงแตกต่างกันออกไป ชนิดของปุ๋ยฟอสฟอรัสท่ีใช้ใน เขตรอ้ น ไดแ้ ก่ โมโนแอมโมเนยี มฟอสเฟต หรอื ทรปิ เปลิ ซเู ปอรฟ์ อสเฟต แต่ต้องใส่คร้ังละไม่มากนักเพื่อลดการตรึงฟอสเฟตของดิน หรือใช้ปุ๋ย ฟอสเฟตทไี่ มล่ ะลายนำ้� เชน่ หนิ ฟอสเฟต (rock phosphate) โดยเฉพาะ อย่างย่ิงในดนิ กรดเขตรอ้ น 92 คมู่ อื การวนิ จิ ฉัยโรคอ้อย

ขาดธาตแุ มงกานสี (Manganese, Mn) การขาดแมงกานีสในอ้อย จะแสดงอาการท่ีใบอ่อน โดยระหวา่ งเสน้ ใบเกดิ เปน็ สเี หลอื งซดี จากปลายใบเขา้ มาจนถึงกลางใบ ภายใต้ สภาพทมี่ กี ารขาดแมงกานสี อย่างรุนแรงพบว่าใบอ้อย ทงั้ หมดมสี ที ี่ซีดจางลง ลักษณะอาการโรค อ้อยขาดแมงกานีสจะมีลักษณะอาการคล้ายกับ อาการขาดเหลก็ ซง่ึ มกั พบกบั ออ้ ยทปี่ ลกู ในดนิ ทมี่ ปี ฏกิ ริ ยิ าเปน็ ดา่ ง ออ้ ย จะมสี ขี าวซดี ระหวา่ งใบ เรม่ิ จากยอดลงมาจนถงึ กง่ึ กลางใบ แถบสซี ดี น้ี บางทีจะกลายเป็นสีขาวใบจะเปราะและแตกหักเม่ือมีลดพัด ถ้าอ้อย มีอาการขาดรุนแรงผลผลิตอ้อยจะลดลงอยา่ งมาก ออ้ ยอาจตาย คำ� แนะน�ำการป้องกันก�ำจดั ความไม่สมดุลของธาตุอาหารก็เป็นอีกสาเหตุหน่ึงที่ท�ำให้อ้อยขาด แมงกานีส เช่น ในดนิ ที่มีแมงกานีส แคลเซยี ม และไนโตรเจนสูง ออ้ ย จะแสดงอาการขาดแมงกานีส การขาดแมงกานีสแก้ไขได้โดยการใส่ แมงกานสี ซลั เฟต คู่มอื การวินิจฉยั โรคอ้อย 93

ธาตโุ ซเดียมเป็นพิษ (Sodium, Na) ในดนิ ทม่ี โี ซเดยี มสะสมอยสู่ งู นนั้ สง่ ผลตอ่ การพฒั นาของยอดและรากของออ้ ย ปลาย ใบและขอบใบนนั้ จะแหง้ ตาย อ้อยที่ไดร้ ับโซเดียมสูงนนั้ จะมกี ารกว้าง แตใ่ นกรณีที่มี โซเดียมเข้มข้นมากเกินไปนั้นส่งผลให้ปริมาณคลอโรฟิลล์ลงน้อยลง น้อยถึงระดับ สงั เคราะหด์ ว้ ยแสงสทุ ธติ อ่ พนื้ ทใ่ี บออ้ ย ภายใตส้ ภาพอยา่ งนนั้ ใบออ้ ยจะมสี เี ขยี วออ่ น ไปจนถึงสีเหลอื ง ทง้ั นี้ ระดับโซเดยี มท่ีสงู น้นั จะสอดคลอ้ งกับระดับคลอรนี ท่สี ูงดว้ ย ลกั ษณะอาการโรค ออ้ ยทปี่ ลกู ในดนิ เคม็ จะมกี ารสะสมโซเดยี มจนเปน็ พษิ ใบออ้ ยจะแสดงอาการยอดและขอบใบแหง้ และเปน็ แผลแหง้ เกรยี ม อ้อยมคี ลอโรฟิลลดลง และมกี ารสังเคราะหแ์ สงลดลง ท�ำให้ใบอ้อยมีสี ซดี จางดว้ ย อาการโซเดยี มเปน็ พษิ จะเกยี่ วขอ้ งกบั คลอรนี เปน็ พษิ เชน่ กนั คำ� แนะนำ� การป้องกันก�ำจดั ตรวจสอบให้แน่ใจว่าน�้ำชลประทานที่ให้กับอ้อยมีระดับเกลือไม่สูง กว่าระดับวิกฤต ควรปรบั ปรุงดินใหม้ กี ารระบายน้�ำดี เพ่อื ระบายเกลือ ทส่ี ะสมออกไป เมอื่ ดนิ ระบายน้�ำดแี ลว้ การใสย่ ปิ ซม่ั จะชว่ ยปรบั ปรงุ ดนิ ได้ สำ� หรบั ดนิ โซดกิ กม็ วี ธิ ปี รบั ปรงุ เชน่ เดยี วกนั โดยอยา่ ใหร้ ะดบั โซเดยี ม และ ไบคาร์บอเนตในน้�ำชลประทานสูงเกินไปการใส่ยิปซ่ัม และข้ีเถ้า จากโรงงานน�้ำตาลสามารถท�ำให้แคลเซียมเข้าไปไล่ที่โซเดียม ท�ำให้ โครงสรา้ งของดินดีขึน้ 94 ค่มู ือการวินิจฉัยโรคออ้ ย

ธาตุโบรอนเป็นพิษ (Boron, B) ในอ้อยท่ีได้รับโบรอนมากเกินไปจน เกิดความเป็นพิษ จะพบว่าขอบใบ กลายเปน็ สีเหลอื งซดี ลกั ษณะอาการโรค ออ้ ยทขี่ าดโบรอนจะมใี บมว้ นงอ เนอ่ื งจากเซลลไ์ ม่ สามารถรกั ษาความเต่งไวไ้ ด้ เส้นใบจะใส ตน้ อ่อนจะเปน็ พ่มุ และแตก กอมาก ใบจะเปราะ มว้ นงอ มีสซี ีด ตอ่ มาจะแหง้ ตาย อาการคลา้ ย ๆ โรคพกกะบองและคล้าย ๆ ออ้ ยทถ่ี ูกสารเคมกี ำ� จัดวัชพชื มผี ู้สังเกตว่า ออ้ ยทขี่ าดโบรอนจะมหี ยดนำ้� เลก็ ๆ ทอ่ี อกมาจากใบเกาะอยทู่ ผี่ วิ ใบดา้ น บนทใ่ี บอ่อนจะมีจุดเล็ก ๆ สีขาวเรยี งกนั อยู่ ในสว่ นทขี่ าดคลอโรฟิลเป็น เสน้ ขนานกบั แกนกลางใบยอดหยดุ การเจรญิ เตบิ โตใบออ่ นจะมขี นาดเลก็ และสซี ดี ขาดคลอโรฟลิ ค�ำแนะน�ำการป้องกนั ก�ำจัด การทม่ี ีโบรอนสะสมอยูท่ ่สี ่วนยอดสุดของล�ำตน้ และบรเิ วณวงเจรญิ แสดงวา่ ออ้ ยตอ้ งการโบรอนมากในสว่ นทกี่ ำ� ลงั เจรญิ เตบิ โตระดบั วกิ ฤต ของโบรอนประมาณ 4 ppm ท่ใี บยอด แต่มผี ู้พบว่าระดบั โบรอนท่ี 1.8 ppm โบรอนจะเป็นตัวจ�ำกัดผลผลิตของอ้อย โบรอนท่ีอยู่ในดินจะอยู่ ใท(Nนี่อOรัตปู 3ร)ขาคอกอืงาบรถซอกู ึมเชรนะตล้�ำ(สา้BงูงOไดก3)ง้าซา่รยงึ่ใสจดะ่ปงั มูนนคี ขน้ั ณุากวสาเกมรขินบาขตั ดนิทโาบุกดอรกอย็เน่าปมง็นคกั สลจา้าะเยเหกอตดิ นุทใุมน่ีทลู ด�ำไในิ นหทเ้อตร้อารทยย ขาดโบรอนเชน่ กัน คู่มือการวินิจฉัยโรคออ้ ย 95

ขาดธาตุโมลบิ ดินมั (Molydenum, Mo) มีการแสดงอาการขาด โมลบิ ดนิ มั ทใ่ี บแก่ จะเหน็ เปน็ เสน้ ขดี สเี หลอื งสนั้ ๆ ประมาณ 1ใน 3 ของใบ และอาการนนั้ จะมคี วาม คล้ายคลึงกับการเข้า ทำ� ลายของโรคพกกะบอง ลกั ษณะอาการโรค โดยทวั่ ไปแลว้ ออ้ ยจะไมค่ อ่ ยขาดโมลบิ ดนิ มั อาการ ขาดโมลบิ ดนิ มั ของออ้ ยจะคลา้ ยอาการขาดไนโตรเจนคอื ใบจะเปน็ ทาง สีเขียวในส่วนที่มีคลอโรฟิล อาการจะค่อย ๆ ชัดเมื่อใบมีอายุมากขึ้น ทางสเี หลืองมีขนาดกว้าง 1-3 มิลลเิ มตร ยาว 2-3 มิลลิเมตร จนถงึ 1 เซนติเมตร ทางดังกล่าวจะมีมากที่ส่วนปลายใบและลดลงสู่ฐานใบ ในใบแก่รอยจะเปน็ สีแดงเร่อื ๆ แล้วต่อมาจะเปน็ แผลแหง้ ตายไป ค�ำแนะนำ� การปอ้ งกันก�ำจดั ระดับวิกฤตของโมลิบดนิ ัมจะอยู่ประมาณ 0.05 ppm ซง่ึ อาการขาด โมลบิ ดนิ มั มกั ขาดในดนิ ทเี่ ปน็ กรด ดงั นนั้ การใสป่ นู จะชว่ ยแกป้ ญั หานไี้ ด้ โดยแนะน�ำให้ใสป่ นู 800 กก./ ไร่ หรือใส่โซเดยี มโมลิบเดท ประมาณ 23-30 กรมั /ไร่ กไ็ ดผ้ ลเชน่ เดยี วกนั 96 คู่มือการวนิ ิจฉยั โรคอ้อย

หนอนชอนใบอ้อย (แมลงด�ำหนามออ้ ย ) ชือ่ ภาษาอังกฤษ Sugarcane hispid beetle, sugarcane leaf miner ชอ่ื วิทยาศาสตร์ Rhadinosa reticulate Baly รูปร่างลักษณะและชวี ประวตั ิ แมลงด�ำหนามอ้อยเปน็ ดว้ งปกี แขง็ มีขนาดเล็ก ตัวยาวราว 3-4 มม. มสี ดี ำ� บนหลงั และปกี มหี นามแขง็ ยาวแหลมอยทู่ ว่ั ไปตวั เมยี วางไขใ่ บเดยี่ วๆ ไวใ้ ตพ้ น้ื ผวิ ใบ ไขฟ่ กั เปน็ ตวั ในเวลา 5-8 วนั ระยะตวั หนอน 12-15 วนั ระยะ ดกั แด้ 5-7 วนั ตอ่ จากนนั้ จงึ เปน็ ตวั เตม็ วยั มกี ารผสมพนั ธแ์ุ ละวางไขต่ อ่ ไป พชื อาหารและลักษณะการท�ำลาย แมลงด�ำหนามอ้อย สามารถท�ำลายอ้อยด้วยการไชชอนในระยะ หนอนเขา้ กดั กนิ เนอื้ ในภายใตเ้ ยอื่ ผวิ ใบ มลี กั ษณะเปน็ ทางยาว โดยเรม่ิ ต้ังแตข่ นาดเล็กมาก แล้วคอ่ ย ๆ กวา้ ง ๆ ข้นึ เห็นเปน็ ทางสีขาว เมื่อเปน็ ตัวเต็มวยั แลว้ ก็ยงั คงกัดกนิ ผิวใบตอ่ ไป การป้องกันและกำ� จดั โดยปกตใิ นไรอ่ อ้ ยไมพ่ บความเสยี หายถงึ ขนั้ ทต่ี อ้ งทำ� การกำ� จดั หาก จ�ำเป็นจะต้องใช้ยาฆ่าแมลงชนิดท่ีเหมาะแก่การใช้ก�ำจัดแมลงชนิดน้ี ไดแ้ ก่ ฟอสฟามดิ อน 0.03%, เมทาซสิ ทอ้ กซ์ 0.1% หรอื ไดอาซโี นน 0.2% สามารถท�ำลายหนอนซงึ่ อยูภ่ ายใตผ้ ิวใบได้ คู่มือการวินิจฉัยโรคอ้อย 97

แมลงหวี่ขาวอ้อย ชอ่ื สามญั ภาษาองั กฤษ Sugarcane whitefly ช่ือวทิ ยาศาสตร์ Aleurolobus barodensis Muskel รูปรา่ งลักษณะและชวี ประวตั ิ แมลงหวี่ขาวอ้อยเคยระบาดเข้าท�ำลายอ้อยมาแล้ว และมีผลทำ� ให้ นำ้� ตาลซโู ครสลดลงไปประมาณ 42%ผลจากการเขา้ ทำ� ลายทำ� ใหป้ รมิ าณ นำ้� ตาลในออ้ ยลดลงแลว้ ยงั มผี ลทำ� ใหอ้ อ้ ยชะงกั การเจรญิ เตบิ โต ซงึ่ อาจ จะทำ� ใหผ้ ลผลติ ของออ้ ยลดลงอกี ดว้ ย ทง้ั ตวั ออ่ นและตวั เตม็ วยั ดดู กนิ นำ�้ เลย้ี งอยใู่ ตใ้ บออ้ ย แตร่ ะยะตวั ออ่ นทำ� ความเสยี หายแกอ่ อ้ ยมาก มผี ล ทำ� ใหอ้ อ้ ยสซี ดี ลง และกลายเปน็ สเี หลอื ง มกั พบระบาดเปน็ หยอ่ ม ๆ การแพร่กระจายและฤดูกาลระบาด เข้าท�ำลายออ้ ยต้งั แต่เดอื นกรกฎาคม ถงึ เดือนตุลาคมกห็ ยุดระบาด คำ� แนะนำ� การป้องกนั ก�ำจดั •เกษตรกรพยายามรกั ษาไรใ่ หส้ ะอาด ไมป่ ลอ่ ยใหว้ ชั พชื ขน้ึ รก การ ปฏิบัติเช่นนี้นอกจากจะท�ำให้อ้อยเจริญเติบโตดีแล้ว ยังให้ผลผลิตสูง ยงั ทำ� ใหอ้ อ้ ยแขง็ แรงและตา้ นทานตอ่ การเขา้ ทำ� ลายของแมลงหวขี่ าวไดด้ ี 98 คูม่ อื การวินิจฉยั โรคออ้ ย

• ไรอ่ อ้ ยท่ีพบแมลงหวขี่ าวเขา้ ท�ำลายประปราย ยงั ไมค่ วรใชสั าร ฆ่าแมลงก�ำจัดและไม่ต้องกลัวว่าแมลงชนิดนี้จะแพร่ระบาดไปยังไร่ ออ้ ยอ่ืน ๆ เพราะการแพร่กระจายของแมลงชนดิ นีน้ อ้ ย ควรใสป่ ๋ยุ อตั รา 50 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ แล้วดายหญ้าพรวนดิน ถา้ เปน็ แหล่งทีส่ ามารถให้น�้ำ ได้ ก็ควรให้น้�ำในทันที สว่ นพื้นทนี่ อกเขตชลประทาน เมอื่ ฝนตกลงมา ออ้ ยจะสามารถฟื้นตวั ขึน้ มาได้เอง • ถา้ พบ % ใบเหลอื ง 2.5-31.1% ตอ้ งทำ� การปอ้ งกนั กำ� จดั ไมเ่ ชน่ นน้ั จะท�ำให้ผลผลติ อ้อยลดลง • ก่อนใช้สารฆ่าแมลงควรตรวจดูเปอร์เซนต์การเข้าท�ำลายของ แมลงเบยี นก่อน ถ้าพบแมลงเบยี นเขา้ ทำ� ลายมากกว่า 30% กไ็ มต่ ้อง ใชส้ ารฆา่ แมลง แตห่ ากตำ่� กวา่ กอ็ าจใชส้ ารฆา่ แมลงได้ และตอ้ งดคู วาม อดุ มสมบรู ณข์ องออ้ ยเปน็ องคป์ ระกอบดว้ ยกลา่ วคอื ถา้ ออ้ ยมคี วามสมบรู ณ์ ดี และมอี ายุเกิน 6 เดือนขนึ้ ไป กไ็ มส่ มควรใช้สารฆา่ แมลง แมว้ า่ พบ การเข้าท�ำลายของแมลงเบียนน้อยกว่า 30% แต่หากอ้อยมีการทรุด โทรมและใบอ้อยแสดงอาการค่อนข้างเหลืองก็ควรฉีดพ่นได้ สารฆ่า แมลงทีพ่ บและใชไ้ ดด้ ีคือ dimethoate (Dime 30%, Cygon 30-40%) อตั รา 40-50 ซซี ตี อ่ น้�ำ 20 ลิตร และในกรณีทแ่ี มลงหวข่ี าวออ้ ยระบาด มากควรใช้ carbosulfan (Posse 20% ชนิดน�้ำ) อัตรา 50 ซีซีต่อน�้ำ 20 ลติ ร • เลือกใช้พันธุ์อ้อยที่ต้านทานปลูกในแหล่งท่ีมีการระบาดของ แมลงหวีข่ าวอ้อยและหลกี เลี่ยงพนั ธ์ุออ้ ยทีอ่ อ่ นแอ คมู่ อื การวินิจฉัยโรคออ้ ย 99

ไรออ้ ยใยสขี าว ช่ือภาษาอังกฤษ Web-spinning mite ชือ่ วทิ ยาศาสตร์ Schizotetranychus andropogoni (Hirst) รปู รา่ งลักษณะและชวี ประวัติ ไข่ รปู รา่ งกลมผวิ เรยี บสขี าวใสเปน็ มนั วาว วางเรยี งรายอยภู่ ายใตฝ้ า้ สขี าวทตี่ วั แมถ่ กั ไวอ้ ยา่ งแนน่ หนาบนผวิ ใบ ลกั ษณะทเ่ี หน็ เปน็ ขดี ขาว ๆ บนใบอ้อยเป็นลายประไปตามยาวใบ คือแผ่นฝ้าท่ีไรถักใยและอาศัย อยู่ภายใน ในแต่ละขีดหรือรอยขาว ๆ นั้นมีไข่และไรขนาดต่าง ๆ อยู่ รวมกนั เปน็ กล่มุ จำ� นวนประมาณ 15 ตัว ระยะฟักไข่ 5-7 วัน ขนาดไข่ ประมาณ 0.1 มม. ตวั อ่อน สีเหลอื งซดี ๆ อาศัยอยภู่ ายใตฝ้ ้าผา่ นการ 100 คู่มือการวนิ จิ ฉัยโรคอ้อย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook