ปทมุ มา (Siam tulip) 143 หมายเหตุ สารปอ้ งกนั กำจัดศตั รพู ืช ศัตรพู ชื ช่ือสามัญ % กลมุ่ ระดับ อตั รา วธิ ีการใช้ เพล้ียแปง้ สารออกฤทธ์ิ กลไกการ ความ การใช้ แช่หวั พันธป์ุ ทุมมา หรอื พ่น เพลี้ยหอย ไทอะมที อกแซม และสตู ร ออกฤทธิ์ เปน็ พิษ สารฆา่ แมลงบรเิ วณโคนตน้ (thiamethoxam) (LD50) เมอ่ื พบการระบาดในแปลง ด้วงกาแฟ ปทุมมา (Araecerus อิมดิ าโคลพริด 25% WG 4A น้อย 4 กรมั / fasciculatus) (imidacloprid) รองกน้ หลมุ ก่อนปลูก และ (1,563) นำ้ 20 โรยรอบ ๆ โคนต้นทุกเดือน ไดโนทีฟูแรน (dinotefuran) ลิตร พน่ สารฆ่าแมลงบรเิ วณโคน ตน้ ทกุ 7 วนั โพรไทโอฟอส 70% WG 4A ปาน 4 กรัม/ (prothiofos) กลาง นำ้ 20 มาลาไทออน (malathion) (131) ลิตร ไดโนทีฟูแรน 10% WP 4A น้อย 40 (dinotefuran) คาร์แทปไฮโดรคลอ (>2,000) กรมั /นำ้ ไรด์ (cartap hydrochloride) 20 ลิตร ฟิโพรนิล (fipronil) 50% EC 1B ปาน 50 มล./ ไทอะมีทอกแซม กลาง น้ำ 20 (thiamethoxam) (925) ลิตร อิมดิ าโคลพริด (imidacloprid) 83% EC 1A ปาน 20 กลาง กรัม/นำ้ (1,778) 20 ลติ ร 1 % G 4A น้อย 1 กรมั / (>2,000) หลุม 4 % G 14 ปาน 1 กรัม/ กลาง หลุม (250) 5% SC 2B รา้ ย 40 มล./ แรง นำ้ 20 (92) ลิตร 25% WG 4A นอ้ ย 2 กรัม/ (1,563) นำ้ 20 ลิตร 70% WG 4A ปาน 2 กรัม/ กลาง นำ้ 20 (131) ลติ ร
144 เยอร์บรี า่ (Gerbera) การพ่นสารฆ่าแมลงด้วยเครื่องพ่นสารแบบสบู โยกสะพายหลัง (knapsack sprayer) ใช้น้ำไรล่ ะ 140 ลติ ร สารปอ้ งกนั กำจดั ศตั รูพชื ศตั รูพชื % กลุม่ ระดับ วธิ กี ารใช้ หมายเหตุ สารออกฤทธ์ิ กลไกการ ความ อตั รา ถา้ มีการระบาดของ ช่อื สามญั และสูตร ออกฤทธ์ิ เปน็ พษิ การใช้ 10% SL 4A (LD50) เพล้ียไฟขอบ อมิ ิดาโคลพริด รา้ ย 10 มล./ พ่นเมือ่ พบการระบาด ควร ปลอ้ งหยัก (imidacloprid) แรง นำ้ 20 พ่นทกุ 3-4 วัน เพลี้ยอ่อนด้วย ควร (Microcephalo (131) ลิตร ใชส้ ารอิมิดาโคล -thrips ฟิโพรนิล (fipronil) 5% SC 2B ร้าย 30 มล./ พริด abdominalis) แรง น้ำ 20 (92) ลติ ร มะลิ (Jasmine) การพน่ สารฆ่าแมลงด้วยเครื่องพ่นสารแบบสูบโยกสะพายหลัง (knapsack sprayer) ตั้งแต่ปลูกถึงอายุ 6 เดอื น ใช้นำ้ ไรล่ ะ 60-80 ลติ ร อายเุ กิน 6 เดือน ใชน้ ำ้ ไรล่ ะ 120-140 ลติ ร สารปอ้ งกนั กำจัดศัตรพู ชื ศัตรูพืช ชือ่ สามญั % กลุม่ ระดบั อตั รา วิธกี ารใช้ หมายเหตุ สารออกฤทธิ์ กลไกการ ความ การใช้ เปน็ พษิ และสตู ร ออกฤทธิ์ (LD50) เพล้ยี ไฟพรกิ สไปนโี ทแรม 12% SC 5 นอ้ ย 20 มล./ พน่ เมื่อพบการระบาดของ (Scirtothrips (spinetoram) (>5,000) น้ำ 20 เพลี้ยไฟในมะลิ ควรพน่ สาร dorsalis) ลติ ร หมนุ เวยี นกลมุ่ กลไกการออก เพล้ียไฟกะเพรา อมิ ดิ าโคลพริด 70% WG 4A ปาน 15 ฤทธ์ิ โดยใช้วงรอบ 14 วนั (Bathrips กลาง กรัม/น้ำ ตอ่ หน่งึ กลมุ่ สาร โดยพน่ สาร (imidacloprid) melanicornis) (131) 20 ลติ ร วงรอบละไม่เกนิ 3 ครั้ง เพอื่ เพล้ียไฟดอกถัว่ อีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% EC 6 ร้าย 20 มล./ ชลอการสรา้ งความตา้ นทาน (Megarulothrips (emamectin แรง น้ำ 20 ตอ่ สารฆา่ แมลง usitatus) benzoate) (76) ลติ ร ฟโิ พรนลิ 5% SC 2B ร้าย 30 มล./ (fipronil) แรง นำ้ 20 (92) ลิตร หนอนเจาะดอก ฟิโพรนิล 5% SC 2B รา้ ย 40 มล./ พน่ สารฆา่ แมลงทุก 4 วัน มะลิ (fipronil) แรง น้ำ 20 เม่ือพบการระบาด (Hedecasis (92) ลิตร duplifascialis)
145 กล้วยไม้ (Dendrobium) การพ่นสารฆ่าแมลงและไรดว้ ยเครื่องพน่ สารแบบแรงดันนำ้ สงู (high pressure pump sprayer) พน่ ชอ่ ดอกใชน้ ้ำไรล่ ะ 120 ลติ ร พน่ ทัง้ ตน้ ใชน้ ำ้ ไรล่ ะ 120-200 ลติ ร (ขนึ้ อยู่กับขนาดและความสมบูรณ์ของตน้ กลว้ ยไม)้ สารปอ้ งกันกำจดั ศตั รพู ืช ศัตรพู ชื ชอื่ สามัญ % กลมุ่ ระดบั อตั รา วิธีการใช้ หมายเหตุ สารออกฤทธ์ิ กลไกการ ความ การใช้ และสูตร ออกฤทธ์ิ เป็นพิษ (LD50) เพลี้ยไฟเมลอ่ น สไปนีโทแรม 12% SC 5 นอ้ ย 10-20 พน่ สารแบบหมนุ เวียนตาม ประสิทธภิ าพการ (Thrips palmi) (spinetoram) (>5,000) มล./นำ้ กลุ่มกลไกการออกฤทธ์ิ โดย ปอ้ งกันกำจัด 80-92 20 ลติ ร ใช้รอบการหมนุ เวียนทกุ 14 % นาน 7-14 วนั คลอรฟ์ ีนาเพอร์ 10% SC 13 ปาน 30 มล./ วนั เม่ือพบการระบาด เพ่ือ ประสทิ ธภิ าพการ กลาง นำ้ 20 ชะลอความตา้ นทานต่อสาร ป้องกนั กำจดั 70- (chlorfenapyr) (441) ลิตร ฆา่ แมลง เนน้ การพ่นที่ 95% นาน 10-12 บริเวณชอ่ ดอก วัน ไซแอนทรานลิ ิโพรล 10% OD 28 นอ้ ย 40 มล./ ประสิทธภิ าพในการ cyantraniliprole (>5,000) น้ำ 20 ป้องกนั กำจดั 70- ลิตร 80% นาน 7-10 วัน ฟโิ พรนลิ 5% SC 2B ร้าย 30-50 ประสิทธภิ าพในการ (fipronil) แรง มล./นำ้ ปอ้ งกันกำจัด 70- (92) 20 ลติ ร 80% นาน 7-10วัน อมี าเมกตนิ เบนโซเอต 1.92% EC 6 ร้าย 20-30 ประสทิ ธภิ าพในการ (emamectin แรง มล./นำ้ ป้องกนั กำจดั 70- benzoate) (76) 20 ลติ ร 80% นาน 5 วนั บว่ั กล้วยไม้ ไทอะมที อกแซม 14.1/10.6 4A/3A ปาน 30 มล./ พน่ เมอ่ื พบอาการทำลาย ประสทิ ธภิ าพในการ (Contarinia แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน % ZC กลาง/ น้ำ 20 ของบั่วกล้วยไม้ 5-10 % ทกุ ปอ้ งกันกำจัด80-97% maculipennis) (thiamethoxam)/ ร้ายแรง ลิตร 5 วนั คร้งั จนกวา่ สมุ่ ไม่พบ lamdacyhalothrin) (>1,563 อาการทำลาย (สุ่ม 40 ชอ่ /56) ดอก/ไร)่ เนน้ การพ่นท่ี อิมิดาโคลพริด บริเวณช่อดอก ประสิทธภิ าพในการ 70% WG 4A + 3A ปาน 5 กรัม (imidacloprid) + + 35% กลาง + 30 ปอ้ งกันกำจัด75-95% ไซเพอร์เมทรนิ EC (450+287) มล./นำ้ (cypermethrin) 20 ลติ ร โพรฟีโนฟอส 50% EC 1B ปาน 60 มล./ ประสทิ ธภิ าพในการ (profenofos) กลาง 20 ลิตร ป้องกันกำจดั 70-90% (358) อะซีทามพิ รดิ 2.85% EC 4A ปาน 20 ประสิทธภิ าพในการ (acetamiprid) กลาง กรัม/20 ปอ้ งกันกำจัด70-90% (146) ลิตร อะบาเมกตนิ 1.8% EC 6 รา้ ย 40 มล./ ประสิทธภิ าพในการ (abamectin) แรง 20 ลติ ร ปอ้ งกันกำจัด70-90% มาก (10)
146 สารป้องกันกำจัดศัตรูพชื ศัตรพู ืช ชอ่ื สามัญ % กลุ่ม ระดับ อตั รา วิธีการใช้ หมายเหตุ สารออกฤทธ์ิ กลไกการ ความ การใช้ และสูตร ออกฤทธิ์ เปน็ พิษ (LD50) หนอนกระทู้ นิวเคลยี ร์โพลฮี ีโดรซสี SC UNV - 30 มล./ พ่นให้ทั่วเม่อื พบการระบาด หอม ไวรสั หรือ เอน็ พีวี น้ำ 20 ของหนอนกระทู้หอม 1 ตัว/ (Spodoptera หนอนกระทหู้ อม ลิตร ตน้ exigua) (Nucleopolyhedro virus or NPV) บาซลิ ลสั ทูริงเยนซิส WDG 11 - 60 (Bacillus กรมั /นำ้ thuringiensis) 20 ลิตร ฟลูเบนไดอะไมด์ 20% WG 28 น้อย 8 กรมั / (flubendiamide) (≥2,000) นำ้ 20 ลติ ร อมี าเมกตินเบนโซเอต 1.92% EC 6 รา้ ย 15 มล./ (emamectin แรง นำ้ 20 benzoate) (76) ลิตร โนวาลูรอน 10% EC 15 น้อย 10 มล./ (novanuron) (>5,000) น้ำ 20 ลติ ร เมทอกซฟี ีโนไซด์ 24% SC 18 นอ้ ย 10 มล./ (methoxyfenozide) (>5,000) นำ้ 20 ลติ ร หอยทากซคั ซิ นโิ คลซาไมด์ 83.1 % - น้อย 40 ผสมนำ้ พน่ ให้ถกู ตวั หอยทากท่ี - ถา้ พบหอยทากอยู่ เนีย (niclosamide) WP (5,000) กรมั / อยบู่ นพ้ืนดินตามทางเดนิ บนต้นมากใหพ้ ่น Succinea นำ้ 20 ระหว่างโตะ๊ วางกลว้ ยไม้ และ สารบนเคร่อื งปลกู minuta ลติ ร) บนวัสดุปลูก และสว่ นโคนตน้ หอยเจดยี ใ์ หญ่ เมทลั ดไี ฮด์ 5% GB - น้อย 1,000 ใชห้ วา่ นบนพืน้ ดนิ ตามทางเดิน กล้วยไม้ โดย Prosopea (metaldehyde) (630) กรัม/ไร่ ระหว่างโตะ๊ วางกล้วยไม้ และ หลีกเลยี่ งไมใ่ ห้ถูก walkeri บนวสั ดุปลูก หรอื วางเป็นจดุ ดอก หอยเจดียเ์ ล็ก บนพ้ืนดนิ ทีช่ ื้นบริเวณขาโตะ๊ - การพ่นดอ้ งให้ถกู Lamellaxis และบนวสั ดปุ ลกู ให้ท่วั สวน ตวั หอยทาก gracilis กากเมลด็ ชา 10% - - 1,000 นำผงกากชามาต้มกับนำ้ จน จำเปน็ ตอ้ งพน่ ทากเล็บมอื นาง (saponin) saponin กรมั /นำ้ เดอื ดประมาณ 10 นาที กรอง น้ำเปล่าให้ท่ัวสวน Parmarion 20 ลติ ร เอากากชาออกนำน้ำทีก่ รอง เพอ่ื ชกั นำใหห้ อย siamensis หรือ ไดม้ าพน่ ให้ถกู ตวั หอยทากที่ ออกจากทีห่ ลบซ่อน หว่าน อยู่บนพืน้ ดนิ ตามทางเดิน เสยี กอ่ น 5,000 ระหวา่ งโตะ๊ วางกลว้ ยไม้ และ - ควรพ่นตอนเช้าตรู่ และหยดุ การใหน้ ำ้ กรมั /ไร่ บนวัสดปุ ลกู - ใช้หวา่ นบนพ้ืนดนิ ตามทาง กล้วยไมน้ าน 1-2 เดินระหวา่ งโตะ๊ วางกล้วยไม้ วันหลังจากพน่ และบนวัสดปุ ลกู หรือวางเปน็ - ปรับหวั ฉดี ใหเ้ ป็น จุดบนพนื้ ดินทีช่ น้ื บรเิ วณขา ละอองฝอย และพน่ โต๊ะ และบนวสั ดุปลูกใหท้ ั่ว ให้ชุม่ ทว่ั สวน สวน
147 กุหลาบ (Rose) การพ่นสารฆ่าแมลงและไรดว้ ยเคร่ืองพ่นสารแบบแรงดันน้ำสูง (high pressure pump sprayer) พ่น อตั รา 120-160 ลติ ร/ไร่ (ขน้ึ อยู่กบั ขนาดของทรงพ่มุ ) สารปอ้ งกนั กำจัดศัตรูพืช ศัตรพู ืช ชอ่ื สามญั % กล่มุ ระดับ อตั รา วิธกี ารใช้ หมายเหตุ สารออกฤทธิ์ กลไกการ ความ การใช้ และสตู ร ออกฤทธิ์ เป็นพิษ (LD50) เพล้ียไฟพริก สไปนโี ทแรม 12% SC 5 นอ้ ย 10-20 พ่นสลับกล่มุ หมุนเวียนตาม ประสทิ ธภิ าพการ (Scirtothrips (spinetoram) (>5,000) มล./นำ้ กลไกการออกฤทธิ์ โดยใช้ ปอ้ งกันกำจดั dorsalis) 20 ลิตร รอบการหมุนเวยี นทุกรอบ 70-85% นาน 14 วนั รอบละไมเ่ กิน 3 คร้งั 10-12 วัน ไซแอนทรานลิ โิ พรล 10% OD 28 นอ้ ย 40 มล./ เมอื่ พบการระบาด เพ่ือ ประสทิ ธภิ าพการ (>5,000) นำ้ 20 ชะลอความตา้ นทานตอ่ สาร ปอ้ งกันกำจัด cyantraniliprole ลิตร ฆา่ แมลง 70-85% นาน 5-10 วนั คลอรฟ์ นี าเพอร์ 10% SC 13 ปาน 30 มล./ ประสทิ ธภิ าพการ (chlorfenapyr) กลาง น้ำ 20 ปอ้ งกันกำจัด (441) ลิตร 70-85% นาน 5-7 วนั ฟิโพรนลิ 5% SC 2B ร้าย 30 มล./ ประสทิ ธภิ าพการ (fipronil) แรง นำ้ 20 ปอ้ งกันกำจัด (92) ลิตร 70-80% นาน 5-10 วนั หนอนเจาะสมอ สไปนีโทแรม 12% SC 5 น้อย 15 มล./ พน่ สารฆ่าแมลงตดิ ตอ่ กันทุก ประสทิ ธภิ าพในการ ฝ้าย (spinetoram) (>5,000) น้ำ 20 5-7 วนั อย่างน้อย 2 ครั้ง เม่ือ ปอ้ งกนั กำจัด (Helicoverpa ลิตร พบการระบาดของหนอน 70-99 % นาน 7- armigera) เจาะสมอฝา้ ย 12 วนั คลอแรนทรานลิ ิ 20/20% 28 นอ้ ย 5 กรมั / ประสิทธภิ าพในการ โพรล/ไทอะมที อก WG /4A (>5,000 นำ้ 20 ปอ้ งกนั กำจดั 67- /1,563) ลิตร แซม 100 % นาน 5-7 (chlorantraniliprole/ วัน thiamethoxam คลอแรนทรานลิ โิ พรล 5.17% 28 น้อย 20 มล./ (chlorantraniliprole) SC (>5,000) นำ้ 20 ลิตร ลูเฟนนูรอน 5% EC 15 น้อย 20 มล./ (lufenuron) (>2,000) น้ำ 20 ลติ ร ไบเฟนทรนิ 2.5% EC 3A รา้ ย 20 มล./ (bifenthrin) แรง นำ้ 20 (54.5) ลิตร
148 ศตั รูพืช สารป้องกันกำจดั ศัตรูพชื ระดับ วธิ กี ารใช้ หมายเหตุ ความ อตั รา แมลงหวขี่ าว ช่ือสามัญ % กลุ่ม ยาสบู สารออกฤทธิ์ กลไกการ เปน็ พษิ การใช้ (Bemesia ไซแอนทรานลิ ิโพรล และสูตร ออกฤทธิ์ (LD50) tabaci) cyantraniliprole 10% OD 28 น้อย 30 มล./ พน่ สารฆ่าแมลงติดตอ่ กันทุก ประสทิ ธิภาพการ ไรแมงมมุ ไดโนทฟี ูแรน คันซาวา (dinotefuran) (>5,000) น้ำ 20 5-7 วัน อยา่ งนอ้ ย 2 คร้ัง เม่ือ ป้องกันกำจัด 65- (Tetranychus บโู พรเฟซนิ kanzawai) (buprofezin) ลิตร พบการระบาด 80% สไปโรเตตระแมท 10% SL 4A น้อย 15 มล./ (spirotetramat) 40% SC 16 (>2,000) 20 ลิตร ไบเฟนทริน (bifenthrin) น้อย 25 มล./ ไพรดิ าเบน (>2,198) นำ้ 20 (pyridaben) ลติ ร เฟนบูทาทินออกไซด์ (fenbutatinoxide๗ 15% OD 23 น้อย 20 มล./ เฟนไพรอกซเิ มต (>2,000) น้ำ 20 (fenpyroximate๗ ลิตร 2.5% EC 3A ร้าย 30 มล./ แรง น้ำ 20 (54.5) ลิตร 20% WP 21A ปาน 15 พน่ ใหท้ ่วั เม่ือพบไรระบาด ใชส้ ารนไ้ี ด้ในกรณีท่ี กลาง กรมั /นำ้ ทกุ 4-7 วนั ปล่อยไรตัวห้ำ (161) 20 ลิตร 55% SC 12B นอ้ ย 20 มล./ (2,631) น้ำ 20 ลิตร 5% SC 21A น้อย 20 มล./ (6,798) น้ำ 20 ลติ ร
149 การใชส้ ารฆ่าหนู (Rodenticide) ขา้ วและธัญพืชเมอื งหนาว (Rice and temperate cereal) สารฆ่าหนู ศัตรูพชื ชอื่ สามญั % กลมุ่ ระดับ อตั รา วธิ ีการใช้ หมายเหตุ สารออกฤทธิ์ กลไกการ ความ การใช้ ออกฤทธ์ิ เป็นพษิ และสูตร (LD50) หนูพกุ ใหญ่ ซิงค์ฟอสไฟด์ 80% 24A รา้ ย สาร 1 กก. ก่อนปลูกขา้ ว วาง เปน็ สารกำจดั หนู Bandicota (zinc powder แรง ผสมกบั เหยอ่ื พษิ ตามคนั นา ประเภทออกฤทธเิ์ รว็ indica phosphide) (45) เมลด็ พชื หรือตามแหลง่ ท่ีหนู ไมค่ วรใช้สารกำจดั หนู หนูพุกเล็ก (เช่น ปลาย อาศัยรอบ ๆ แปลงนา ประเภทนเ้ี กนิ 1 ครงั้ B.savilei ขา้ ว ข้าว เปน็ จดุ จดุ ละประมาณ ตอ่ 1ฤดูปลูก เพราะ หนนู าใหญ่ กลอ้ ง 1 ช้อนชา (ใชแ้ กลบ ทำให้หนเู ข็ดขยาดต่อ Rattus ข้าวโพดปน่ ) คลมุ ถ้าม)ี แตล่ ะจดุ เหยอื่ พิษได้งา่ ย สาร argentiventer 100 กก ห่างกนั ประมาณ 5-10 กำจดั หนดู ังกลา่ วมี หนูนาเลก็ เปน็ เหยือ่ เมตร จำหนา่ ยเปน็ เหยือ่ พิษ R. losea พิษ สำเรจ็ รปู บรรจุซอง หนทู อ้ งขาวบา้ น (sachet) ซองละ R. rattus ประมาณ 10 กรัม หนูหรงิ่ หางสัน้ โฟลคมู าเฟน 0.005% - 0.25 100 กรัม วางเหยื่อพิษบน เป็นสารกำจดั หนู M.us cervicolor (flocoumafen) Wax block หนูหริ่งหางยาว หรอื ทางเดินของหนตู ามคนั ประเภทออกฤทธิช์ า้ M. caroli) bait ประมาณ นา หรอื ใสล่ งในรูหนู ทำเปน็ เหย่ือพิษ 20 กอ้ น/ไร่ โดยตรง หรือวางตาม สำเรจ็ รูปชนิดก้อน โบรมาดโิ อโลน 0.005% - 1.12 100 กรมั แหล่งท่ีมหี นูระบาด ข้ีผ้งึ (wax block) - หรือ ควรใช้เหยื่อพษิ กำจดั กอ้ นละประมาณ 5 (bromadiolone) Wax block - ประมาณ หนู 2-3 ครงั้ คร้งั แรก กรมั บริเวณใด ห้าม bait 20 กอ้ น/ไร่ ใช้เมอ่ื ขา้ ว หรอื ธัญพชื บริโภคหนบู รเิ วณ ที่ โบรไดฟาคมู 0.005% 0.26 100 กรัม เมืองหนาวเร่มิ ปลูก ใช้สารกำจัดหนู (brodifacoum) Wax block หรือ คร้ังท่ี 2 และครัง้ ที่ 3 ประเภทน้ี ประมาณ ใช้หลงั วางเหยื่อพษิ bait 20 กอ้ น/ไร่ ครงั้ แรกไปแล้ว 30 ไดฟที อิ าโลน 0.0025% 0.56 100 กรมั และ 60 วัน ตามลำดับ (difethialone) BB หรือ อยา่ งไรกต็ าม ควรวาง ประมาณ เหยือ่ พิษในแนว 20 ก้อน/ไร่ ป้องกนั รอบ ๆ แปลง 16.5 400 กรมั เพ่ือปอ้ งกนั หนู คมู าเททราลลิ 0.0375% - เปน็ เหยอื่ พษิ สำเรจ็ รปู หรือ เคลือ่ นย้ายมาในแปลง ชนดิ ก้อนข้ีผ้ึง ก้อนละ (coumatetralyl) Bait ประมาณ ขา้ ว ประมาณ 10 กรัม 40 กอ้ น/ไร่ สกุลหนูพกุ เหยอื่ โปรโตซัว 2x105 - - 20 - 25 เปน็ เหย่อื แป้งน่มุ (Bandicota) และ Sarcocystis sporocysts กอ้ น/ไร่ ขนาดกอ้ นละ 1 กรมั หนทู อ้ งขาว singaporensis ขอ้ ระวงั ไมใ่ ห้โดนน้ำ (Rattus) และแสงแดด โดย เหยอื่ โปรโตซัวที่วาง ในสภาพธรรมชาติ
150 ศัตรูพชื ชือ่ สามัญ สารฆ่าหนู ระดับ อตั รา วิธกี ารใช้ หมายเหตุ ความ การใช้ % กลมุ่ เปน็ พษิ สารออกฤทธ์ิ กลไกการ (LD50) และสตู ร ออกฤทธิ์ ควรถกู หนกู ินภายใน 1 สัปดาห์
151 ข้าวโพด (Corn) สารฆ่าหนู ศตั รพู ชื ชอ่ื สามัญ % กลุม่ ระดับ อตั รา วิธีการใช้ หมายเหตุ สารออกฤทธิ์ กลไกการ ความ การใช้ ออกฤทธิ์ เปน็ พษิ และสตู ร (LD50) สาร 1 กก. ผสมกบั หนูหริ่งหางสนั้ ซิงค์ฟอสไฟด์ 80% 24A รา้ ย เมลด็ พืช ใชเ้ หยื่อพิษจดุ ละ เป็นสารกำจัดหนู Mus cervicolor (zinc (เชน่ ปลาย ประมาณ 1 ชอ้ นชา ประเภทออกฤทธ์ิ หนหู ริ่งหางยาว phosphide) powder แรง ขา้ ว ขา้ ว ใช้แกลบใหม่ 1 กำมือ เรว็ ไม่ควรใชส้ าร M. caroli กล้อง ข้า รองเหยอื่ พิษแล้วใช้ กำจดั หนปู ระเภทน้ี หนูท้องขาวบ้าน (45) โพดปน่ ) แกลบอกี 1 กำมือ เกนิ 1 คร้งั ตอ่ 1ฤดู Rattus rattus 100 กก. กลบ เม่อื พบร่องรอย ปลกู เพราะทำใหนู หนนู าใหญ่ 0.005% - 0.25 เป็นเหยอ่ื การทำลายในแปลง เข็ดขยาดตอ่ เหยื่อ R. argentiventer Wax block - 1.12 พิษ โดยวางให้ทัว่ แปลง พิษได้ง่าย สารกำจัด หนูพุกใหญ่ - 0.26 แตล่ ะจดุ หา่ งกัน 5-10 หนูดงั กลา่ วมี (Bandicota bait - 0.56 100 กรัม เมตร ขึน้ อยกู่ ับจำนวน จำหนา่ ยเป็นเหย่อื indica) หรือ ประชากรหนขู ณะนน้ั พิษสำเร็จรูปบรรจุ หนพู ุกเล็ก( 0.005% ประมาณ ในระยะเตรยี มแปลง ซอง (sachet) ซอง B. savilei) Wax block 20 กอ้ น/ไร่ 100 กรมั ละประมาณ 10 โฟลคมู าเฟน bait หรอื กรมั (flocoumafen) ประมาณ 0.005% 20 กอ้ น/ไร่ วางเหย่อื พษิ บริเวณ เปน็ สารกำจัดหนู โบรมาดโิ อโลน Wax block 100 กรัม รอบแปลงข้าวโพด ประเภทออกฤทธิ์ช้า (bromadiolone) หรือ โดยเฉพาะที่ตดิ ดง ทำเป็นเหยือ่ พิษ bait ประมาณ หญ้าแถบชายป่า ถ้า สำเรจ็ รูปชนิดก้อน โบรไดฟาคมู 20 กอ้ น/ไร่ เป็นหนพู ุกควรวาง ขผ้ี ึง้ (wax block) (brodifacoum) 0.0025% 100 กรัม เหยอ่ื พิษจุดละ 3-5 กอ้ นละประมาณ 5 BB หรือ กอ้ น วางตามรอย กรมั ห้าม บริโภค ประมาณ ทางเดิน และบริเวณ หนูบริเวณ ทีใ่ ชส้ าร 20 ก้อน/ไร่ รอบแหลง่ ที่พบความ กำจดั หนปู ระเภทนี้ 400 กรัม เสียหาย หรอื ไดฟที อิ าโลน ประมาณ (difethialone) 40 กอ้ น/ไร่ 20 - 25 คมู าเททราลลิ 0.0375% - 16.5 ก้อน/ไร่ เปน็ เหย่อื พิษ (coumatetralyl) Bait สำเรจ็ รูปชนดิ ก้อน ขี้ผงึ้ กอ้ นละ สกุลหนพู ุก เหย่อื โปรโตซวั 2x105 - - วางเหย่ือโปรโตซัว จุด ประมาณ 10 กรัม sporocysts ละ 1-3 กอ้ น บรเิ วณ (Bandicota) และ Sarcocystis รอยทางวงิ่ หนูหรอื เป็นเหยอื่ แปง้ นุ่ม รอยทำลาย ใหท้ ั่ว ขนาดก้อนละ 1 หนูท้องขาว singaporensis แปลง ตง้ั แต่หยอด กรมั ขอ้ ระวังไมใ่ ห้ เมลด็ จนระยะก่อน โดนน้ำและแสงแดด (Rattus) เก็บเกีย่ ว โดยแตล่ ะ โดยเหยอื่ โปรโตซัวท่ี วางในสภาพ ธรรมชาติ ควรถกู
152 ศตั รพู ชื ชือ่ สามญั สารฆ่าหนู ระดับ อตั รา วิธีการใช้ หมายเหตุ ความ การใช้ % กลมุ่ เป็นพิษ สารออกฤทธ์ิ กลไกการ (LD50) และสตู ร ออกฤทธ์ิ ครั้งวางเหย่ือพิษหา่ ง หนกู นิ ภายใน 1 กัน 15-20 วัน จำนวน สัปดาห์ ครง้ั ขน้ึ อยู่กบั จำนวน ประชากรหนูขณะน้ัน
153 ถว่ั เหลอื ง (Soybean) สารฆา่ หนู ศตั รูพชื ชอื่ สามัญ % กลุ่ม ระดับ อตั รา วิธกี ารใช้ หมายเหตุ ซิงคฟ์ อสไฟด์ สารออกฤทธิ์ กลไกการ ความ การใช้ หนูหริง่ หางสนั้ (zinc ออกฤทธ์ิ เปน็ พษิ ใชเ้ หย่ือพษิ จดุ ละ เป็นสารกำจดั หนู Mus cervicolor phosphide) และสูตร (LD50) ประมาณ 1 ชอ้ นชา ใช้ ประเภทออกฤทธ์ิ หนูหร่งิ หางยาว แกลบใหม่ 1 กำมือ เร็ว ไมค่ วรใชส้ าร M. caroli) โฟลคูมาเฟน 80% 24A ร้าย สาร 1 กก. กลบ เม่อื พบร่องรอย กำจัดหนปู ระเภท หนูท้องขาวบ้าน (flocoumafen) การทำลายในแปลง นีเ้ กิน 1 ครัง้ ต่อฤดู Rattus rattus powder แรง ผสมกับเลด็ โดยวางให้ทั่วแปลง แต่ ปลกู เพราะ หนูพกุ ใหญ่ โบรมาดโิ อโลน ละจดุ ห่างกนั 5-10 ทำใหนูเขด็ ขยาด Bandicota (bromadiolone) (45) พืช (เช่น เมตร ขน้ึ อย่กู ับจำนวน ตอ่ เหยื่อพิษได้ง่าย indica ประชากรหนูน้นั ใน นอกจากมี หนพู ุกเลก็ โบรไดฟาคมู ปลายขา้ ว ระยะเตรยี มแปลง จำหนา่ ยเป็นรปู ผง B. savileii (brodifacoum) แล้วมจี ำหนา่ ยเป็น ขา้ วกลอ้ ง วางเหยื่อพษิ บริเวณคนั เหยอื่ พิษสำเร็จรปู ไดฟที อิ าโลน นา คนู ้ำดงหญ้า หรือ บรรจซุ อง (difethialone) ขา้ โพดปน่ ) บรเิ วณในแปลงที่มี (sachet) ซองละ รอ่ งรอยความเสยี หาย ประมาณ 10 กรมั คูมาเททราลลิ 100 กก. บนทางเดนิ หนู ถา้ เปน็ เปน็ สารกำจดั หนู (coumatetralyl) หนูสกลุ หนทู อ้ งขาว ประเภทออกฤทธิ์ เป็นเหย่ือ ควรวางจุดละ 1 ก้อน ชา้ ทที่ ำเป็นเหยือ่ ถ้าเป็นสกุลหนูพุก ควร พษิ สำเร็จรปู ชนิด พิษ วางจุดละ 3-5 กอ้ น ใน ก้อนขี้ผง้ึ (wax พ้ืนทท่ี เ่ี คยมีประวตั ิ block) กอ้ นละ 0.005% - 0.25 100 กรมั การระบาดของหนใู น ประมาณ 5 กรัม Wax block - หรอื ฤดแู ลง้ ควรเริ่มวาง บรเิ วณใดที่ใช้สาร - ประมาณ สารกำจดั หนู ตง้ั แต่ กำจัดหนู หา้ ม bait - 20 กอ้ น/ไร่ กอ่ นเรมิ่ เตรยี มดินปลูก บริโภคหนูใน ถว่ั เหลือง เพอื ลดความ บริเวณนั้นๆ 0.005% 1.12 100 กรมั เสยี หายในระยะคน้ Wax block หรอื อ่อน โดยใช้สารซงิ ค์ เปน็ เหยื่อพิษ ประมาณ ฟอสไฟด์ 1 ครง้ั ตาม สำเรจ็ รปู ชนิดกอ้ น bait 20 กอ้ น/ไร่ ดว้ ยเหย่ือพษิ สำเร็จรปู ข้ผี ึ้ง ก้อนละ ทวั่ แปลง และทำการ ประมาณ 10 กรัม 0.005% 0.26 100 กรัม ป้องกันกำจัด Wax block หรอื เชน่ เดยี วกันนี้อกี 1 ประมาณ คร้ัง ช่วงทีถ่ ่ัวเหลือง bait 20 กอ้ น/ไร่ ออกดอก และเรมิ่ มฝี กั อ่อน หลงั จากน้นั ถ้ายัง 0.0025% 0.56 100 กรมั พบร่องรอยหนูใน BB หรือ ประมาณ 0.0375% - 20 กอ้ น/ไร่ Bait 16.5 400 กรัม หรือ ประมาณ 40 กอ้ น/ไร่
154 ศัตรพู ชื ชอ่ื สามัญ สารฆา่ หนู ระดับ อัตรา วธิ ีการใช้ หมายเหตุ ความ การใช้ % กลุ่ม เป็นพิษ สารออกฤทธ์ิ กลไกการ (LD50) และสูตร ออกฤทธิ์ สกุลหนูพกุ เหยื่อโปรโตซัว 2x105 - - 20 - 25 แปลงอกี เชน่ ทางเดิน sporocysts กอ้ น/ไร่ มลู ของหนูท่ถี ่ายทิ้งไว้ (Bandicota) และ Sarcocystis ใหท้ ำการป้องกันกำจดั คร้งั ที่ 3 โดยปฏิบัติ หนทู อ้ งขาว singaporensis เชน่ เดียวกบั ครั้ง 2 (Rattus) วางเหยือ่ โปรโตซัว จุด เปน็ เหย่อื แป้งนมุ่ ละ 1-3 กอ้ น บรเิ วณ ขนาดกอ้ นละ 1 รอยทางว่งิ หนูหรือรอย กรัม ขอ้ ระวงั ทำลาย ใหท้ ่ัวแปลง ไม่ให้โดนนำ้ และ ตั้งแตถ่ ว่ั เหลอื งออก แสงแดด โดย ดอก และเริม่ มฝี ักอ่อน เหย่ือโปรโตซัวที่ จนระยะก่อนเก็บเก่ยี ว วางในสภาพ โดยแตล่ ะคร้งั วางเหยอ่ื ธรรมชาติ ควรถูก พษิ ห่างกนั 15-20 วนั หนกู นิ ภายใน 1 จำนวนครั้งในการวาง สปั ดาห์ ข้ึนอยกู่ ับจำนวน ประชากรหนขู ณะน้นั
155 ถั่วเขยี ว (Mung bean) สารฆ่าหนู ศัตรูพืช ชอ่ื สามญั % กลมุ่ ระดับ อัตรา วธิ กี ารใช้ หมายเหตุ สารออกฤทธิ์ กลไกการ ความ การใช้ ออกฤทธ์ิ เปน็ พษิ และสูตร (LD50) หนูหรงิ่ หางสั้น ซงิ ค์ฟอสไฟด์ 80% 24A ร้าย สาร 1 กก. ใชเ้ หยือ่ พษิ จุดละ เปน็ สารกำจดั หนู Mus cervicolor (zinc ประมาณ 1 ชอ้ นชา ใช้ ประเภทออกฤทธิ์ หนหู ริ่งหางยาว phosphide) powder แรง ผสมกับเลด็ แกลบใหม่ 1 กำมอื เรว็ ไมค่ วรใชส้ าร M. caroli รองเหยือ่ พษิ แลว้ ใช้ กำจดั หนูประเภทน้ี หนูทอ้ งขาวบา้ น (45) พืช (เช่น แกลบอกี 1 กำมอื เกิน 1 ครั้งตอ่ ฤดู Rattus rattus) กลบเมอ่ื พบรอ่ งรอย ปลกู เพราะทำใหนู หนูพุกใหญ่ ปลายข้าว การทำลายในแปลง เข็ดขยาดตอ่ เหยอ่ื Bandicota โดยวางให้ทว่ั แปลง แต่ พษิ ได้งา่ ยสารกำจดั indica ข้าวกล้อง ละจดุ หา่ งกัน 5-10 หนูดังกลา่ วมี หนพู ุกเลก็ เมตร ขน้ึ อยู่กับจำนวน จำหน่ายเปน็ เหยือ่ B. savilei ข้าโพดป่น) ประชากรหนูขณะนนั้ พษิ สำเร็จรปู บรรจุ ในระยะเตรยี มแปลง ซอง (sachet) ซอง 100 กก. ละประมาณ 10 เป็นเหย่อื กรมั พิษ วางเหย่อื พิษบรเิ วณ เป็นสารกำจัดหนู รอบแปลงถวั่ เขยี วทต่ี ิด ประเภทออกฤทธช์ิ า้ โฟลคมู าเฟน 0.005% - 0.25 100 กรัม คนั นา คนู ้ำ ดงหญา้ ท่ี ทำเปน็ เหย่อื พิษ (flocoumafen) Wax block - หรือ มีรอยทางเดิน หรือ สำเรจ็ รูปชนดิ ก้อน - ประมาณ รอยทำลาย ถา้ เป็น ขีผ้ ้งึ (wax block) โบรมาดโิ อโลน bait - 20 ก้อน/ไร่ สกลุ หนูทองขาว วาง กอ้ นละประมาณ 5 (bromadiolone) จุดละ 1 ก้อน แตถ่ า้ กรัม บริเวณใดที่ใช้ 0.005% 1.12 100 กรัม เป็นสกุลหนพู ุก ควร สารกำจดั หนู หา้ ม โบรไดฟาคมู Wax block หรือ วาง 3-5 ก้อน ควรเริม่ บรโิ ภคหนูท่ีใชส้ าร (brodifacoum) ประมาณ วางสารกำจดั หนู กำจดั หนปู ระเภทนี้ bait 20 กอ้ น/ไร่ ตั้งแตถ่ ว่ั เขยี วเรม่ิ ติด ไดฟที อิ าโลน ฝักอ่อน ระยะกอ่ นเกบ็ (difethialone) 0.005% 0.26 100 กรมั เกย่ี วถา้ พบร่องรอยหนู Wax block หรือ ในแปลงอีก ใหว้ าง ประมาณ เหย่อื พษิ อีกครงั้ หนง่ึ bait 20 ก้อน/ไร่ 0.0025% 0.56 100 กรัม BB หรอื ประมาณ คูมาเททราลลิ 0.0375% - 20 กอ้ น/ไร่ เป็นเหยื่อพษิ (coumatetralyl) Bait สำเรจ็ รปู ชนิดกอ้ น 16.5 400 กรมั ขผี้ ้ึง กอ้ นละ สกุลหนูพุก เหยื่อโปรโตซวั 2x105 - หรือ วางเหย่อื โปรโตซัว จุด ประมาณ 10 กรมั sporocysts ประมาณ ละ 1-3 ก้อน บริเวณ (Bandicota) และ Sarcocystis 40 กอ้ น/ไร่ รอยทางวงิ่ หนูหรอื รอย เป็นเหยื่อแปง้ น่มุ ทำลาย ใหท้ ่วั แปลง ขนาดกอ้ นละ 1 - 20 - 25 ตั้งแตถ่ ่ัวเขยี วเรมิ่ ติด กรมั ข้อระวังไมใ่ ห้ กอ้ น/ไร่ ฝกั ออ่ น ระยะกอ่ นเก็บ โดนน้ำและแสงแดด เก่ียวถ้าพบร่องรอยหนู โดยเหยอื่ โปรโตซวั ท่ี หนูทอ้ งขาว singaporensis วางในสภาพ ธรรมชาติ ควรถูก (Rattus)
156 ศตั รพู ชื ชือ่ สามัญ สารฆ่าหนู ระดับ อตั รา วิธกี ารใช้ หมายเหตุ ความ การใช้ % กลุ่ม เปน็ พษิ สารออกฤทธ์ิ กลไกการ (LD50) และสตู ร ออกฤทธิ์ ในแปลงอีก ใหว้ าง หนูกินภายใน 1 เหยอื่ พษิ อีกครง้ั หน่ึง สปั ดาห์
157 อ้อย (Sugar cane) สารฆ่าหนู ศตั รูพชื ชอ่ื สามญั % กล่มุ ระดบั อตั รา วิธกี ารใช้ หมายเหตุ สารออกฤทธิ์ กลไกการ ความ การใช้ ออกฤทธิ์ เปน็ พิษ และสตู ร (LD50) หนทู ้องขาวบ้าน ซิงค์ฟอสไฟด์ 80% 24A รา้ ย สาร 1 กก. ใชเ้ หยอื่ พษิ จดุ ละ เปน็ สารกำจัดหนู Rattus rattus) (zinc ประมาณ 1 ช้อนชา ใช้ ประเภทออกฤทธิ์ หนูพกุ ใหญ่ phosphide) powder แรง ผสมกบั เลด็ แกลบใหม่ 1 กำมือ เร็ว ไมค่ วรใชส้ าร Bandicota รองเหยื่อพิษ แลว้ ใช้ กำจัดหนปู ระเภทน้ี indica (45) พืช (เช่น แกลบอีก 1 กำมือ เกิน 1 ครัง้ ตอ่ ฤดู หนูพกุ เล็ก กลบเมอ่ื พบร่องรอย ปลูก เพราะทำใหนู B. savilei ปลายขา้ ว การทำลายในแปลง เขด็ ขยาดตอ่ เหยอ่ื หนูหริง่ หางสน้ั โดยวางใหท้ ่ัวแปลง แต่ พษิ ไดง้ า่ ยสารกำจดั Mus cervicolor ข้าวกล้อง ละจดุ หา่ งกัน 5-10 หนูดังกลา่ วมี หนูหร่ิงหางยาว เมตร ขน้ึ อยู่กบั จำนวน จำหน่ายเปน็ เหยอ่ื M. caroli ข้าโพดปน่ ) ประชากรหนูขณะน้ัน พษิ สำเรจ็ รูปบรรจุ 100 กก. ซอง (sachet) ซอง ละประมาณ 10 เปน็ เหยอ่ื กรมั พิษ วางเหย่อื พิษบริเวณ เป็นสารกำจดั หนู รอบแปลงทต่ี ิดคันนา ประเภทออกฤทธิ์ช้า โฟลคมู าเฟน 0.005% - 0.25 100 กรมั คูนำ้ ดงหญ้า ทม่ี รี อย ทำเป็นเหยอ่ื พษิ (flocoumafen) Wax block - หรือ ทางเดนิ หรือรอย สำเรจ็ รูปชนิดก้อน - ประมาณ ทำลาย ถา้ เป็นสกลุ หนู ขผ้ี ึ้ง (wax block) โบรมาดโิ อโลน bait - 20 ก้อน/ไร่ ทองขาว วางจดุ ละ 1 กอ้ นละประมาณ 5 (bromadiolone) ก้อน แตถ่ า้ เป็นสกลุ กรมั บริเวณใดที่ใช้ 0.005% 1.12 100 กรัม หนูพุก ควรวาง 3-5 สารกำจดั หนู ห้าม โบรไดฟาคมู Wax block หรือ ก้อน ให้ท่วั แปลง ควร บรโิ ภคหนูที่ใชส้ าร (brodifacoum) ประมาณ เร่ิมวางสารกำจดั หนู กำจัดหนูประเภทนี้ bait 20 ก้อน/ไร่ ออกฤทธิช์ ้า หลงั จาก ไดฟีทอิ าโลน ออ้ ยอายุประมาณ 3 (difethialone) 0.005% 0.26 100 กรัม เดือน โดยแตล่ ะคร้ัง Wax block หรอื วางเหยื่อพิษห่างกนั 1 ประมาณ เดือน จนเกบ็ เกี่ยว bait 20 ก้อน/ไร่ 0.0025% 0.56 100 กรมั BB หรือ ประมาณ คูมาเททราลลิ 0.0375% - 20 กอ้ น/ไร่ เปน็ เหยอื่ พิษ (coumatetralyl) Bait สำเรจ็ รูปชนิดกอ้ น 16.5 400 กรมั ข้ีผ้งึ กอ้ นละ สกลุ หนพู ุก เหย่อื โปรโตซวั 2x105 - หรือ วางเหย่อื โปรโตซัว จุด ประมาณ 10 กรมั sporocysts ประมาณ ละ 1-3 ก้อน บริเวณ (Bandicota) และ Sarcocystis 40 กอ้ น/ไร่ รอยทางวิ่งหนูหรอื รอย เป็นเหยื่อแปง้ นุ่ม ทำลาย ให้ทัว่ แปลง ขนาดกอ้ นละ 1 - 20 - 25 ต้งั แตอ่ ้อยอายุ กรมั ข้อระวังไม่ให้ ก้อน/ไร่ ประมาณ 3 เดอื น จน โดนนำ้ และแสงแดด เกบ็ เกยี่ ว โดยแตล่ ะ โดยเหยือ่ โปรโตซัวท่ี หนูทอ้ งขาว singaporensis วางในสภาพ ธรรมชาติ ควรถูก (Rattus)
158 ศัตรูพชื ช่อื สามัญ สารฆา่ หนู ระดับ อตั รา วิธีการใช้ หมายเหตุ ความ การใช้ % กลุ่ม เปน็ พษิ สารออกฤทธิ์ กลไกการ (LD50) และสูตร ออกฤทธ์ิ ครัง้ วางเหยอ่ื พิษห่าง หนูกนิ ภายใน 1 กัน 1 เดือน สัปดาห์
159 โกโก้ (Cocoa) สารฆา่ หนู ศตั รูพืช ช่อื สามญั % กลุ่ม ระดับ อัตรา วธิ กี ารใช้ หมายเหตุ สารออกฤทธิ์ กลไกการ ความ การใช้ ออกฤทธ์ิ เปน็ พษิ 50 ก้อน/ และสูตร (LD50) ไร่ หนูทอ้ งขาว โฟลคมู าเฟน 0.005% - 0.25 20 - 25 เรม่ิ วางเหยอื่ พิษครง้ั แรก ในกรณีท่สี วนโกโก้ บา้ น (flocoumafen) กอ้ น/ไร่ Rattus rattus Wax block เมอ่ื ผลโกโกเ้ รมิ่ มขี นาด มีหญา้ ข้ึนรกมาก bait ประมาณน้วิ หวั แมม่ อื หรือมีทางมะพรา้ ว มากกวา่ 50 % ของทัง้ แหง้ สุมอยู่ ในการ สวน โดยวางตน้ ละ 1 วางยาคร้งั ที่ 1 ก้อน บรเิ วณคาคบหรอื และ 2 ควรวาง ผกู ตามก่งิ ของตน้ โกโก้ เหย่อื พิษเพ่มิ ทกุ ๆ 3-4 สัปดาห์ บรเิ วณทร่ี ก อีก จนกระทง่ั เกบ็ เก่ยี วผล 1-2 ก้อน สกุลหนูพุก เหยอ่ื โปรโตซวั 2x105 - - วางเหยอื่ โปรโตซัว จุด เปน็ เหยือ่ แป้งนมุ่ (Bandicota) Sarcocystis sporocysts และหนทู อ้ งขาว singaporensis ละ 1-3 กอ้ น บริเวณ ขนาดก้อนละ 1 (Rattus) โคนต้น รอยทางวง่ิ หนู กรัม ขอ้ ระวงั ไมใ่ ห้ หรอื รอยทำลาย ให้ทวั่ โดนนำ้ และ แปลง เม่อื พบว่า แสงแดด โดยเหยือ่ ประชากรหนเู รมิ่ สูงขึน้ โปรโตซัวทวี่ างใน และพบรอยทำลายมาก สภาพธรรมชาติ ขึ้น โดยแตล่ ะครงั้ วาง ควรถูกหนกู ิน เหย่ือพษิ หา่ งกนั 15-20 ภายใน 1 สัปดาห์ วัน จำนวนคร้งั ในการ วางขน้ึ อยกู่ ับจำนวน ประชากรหนขู ณะนน้ั
160 ปาล์มนำ้ มัน (Oil palm) สารฆ่าหนู ศัตรูพชื ชื่อสามัญ % กลุม่ ระดับ อัตรา วิธกี ารใช้ หมายเหตุ สารออกฤทธิ์ กลไกการ ความ การใช้ ออกฤทธ์ิ เป็นพษิ และสูตร (LD50) หนูนาใหญ่ โฟลคูมาเฟน 0.005% - 0.25 1 กอ้ น/ ทกุ ๆ 6 เดอื น วางเหยือ่ ควรวางเหย่อื พษิ Rattus (flocoumafen) Wax block ต้น พษิ ทโี่ คนต้นปาลม์ น้ำมัน ให้ชิดกบั โคนตน้ argrntiventer bait ตน้ ละ 1 กอ้ น ก้อนละ ปาลม์ น้ำมนั และ หนูท้องขาวบา้ น โบรมาดโิ อโลน 0.005% - 1.12 1 กอ้ น/ ประมาณ 5 กรัม อยา่ วางขวางทาง R. rattus (bromadiolone) Wax block ตน้ ตรวจสอบทุก ๆ 10 วนั น้ำไหล เพราะจะ หนปู า่ มาเลย์ bait ถา้ พบหนูกินเหย่ือ ทำใหน้ ำ้ พดั พา R. tiomanicus โบรไดฟาคมู 0.005% - 0.26 1 กอ้ น/ มากกวา่ 20 % ตอ้ งเติม เหยอ่ื พิษไปได้ หนบู ้านมาเลย์ (brodifacoum) Wax block ตน้ เหย่อื บรเิ วณทีถ่ กู กินจน บริเวณใดทีใ่ ช้สาร R. rattus diardi bait เทา่ เดมิ และหยดุ วาง กำจดั หนู ห้าม หนูพุกใหญ่ ไดฟีทอิ าโลน 0.0025% - 0.56 1 ก้อน/ เหยอ่ื เมือ่ หนกู นิ เหยอื่ บริโภคหนใู น Bandicota (difethialone) BB ต้น นอ้ ยกว่า 20 % บริเวณน้นั และตอ้ indica คมู าเททราลลิ 0.0375% - 16.5 400 กรัม ระวงั ไมใ่ หส้ ัตว์ หนฟู ันขาว ใหญ่ (coumatetralyl) Bait หรอื เลย้ี งมากนิ เหยื่อ R. bowersi ประมาณ พิษ และซากหนูท่ี หนูฟานเหลอื ง 40 ก้อน/ ตาย ในกรณที ีพ่ บ Maximus surifer ไร่ หนพู ุกใหญ่หรอื หนูท้องขาวสิงค์ หนูฟันขาวใหญใ่ ห้ โปร์ เพมิ่ เหยอ่ื พิษเปน็ R. annandalei ตน้ ละ 5 กอ้ น สกลุ หนูพุก เหย่ือโปรโตซัว 2x105 - - 20 - 25 วางเหยื่อโปรโตซวั จุด เป็นเหย่ือแป้งนมุ่ sporocysts ก้อน/ไร่ (Bandicota) และ Sarcocystis ละ 1-3 ก้อน บรเิ วณ ขนาดกอ้ นละ 1 หนทู อ้ งขาว singaporensis โคนต้น รอยทางวิ่งหนู กรัม ข้อระวงั ไม่ให้ (Rattus) หรือรอยทำลาย ใหท้ ั่ว โดนน้ำและ แปลง เม่อื พบวา่ แสงแดด โดยเหยอื่ ประชากรหนเู ริ่มสงู ขน้ึ โปรโตซวั ท่วี างใน และพบรอยทำลายมาก สภาพธรรมชาติ ข้ึน โดยแตล่ ะคร้ังวาง ควรถูกหนูกนิ เหยื่อพิษหา่ งกัน 15-20 ภายใน 1 สปั ดาห์ วนั จำนวนครงั้ ในการ วางขนึ้ อยกู่ ับจำนวน ประชากรหนขู ณะนน้ั
161 การใชส้ ารฆ่าหอย ข้าว(Rice) สารปอ้ งกันกำจดั ศัตรูพืช ศตั รูพืช ชือ่ สามญั % กลุ่ม ระดบั อตั ราการ วธิ ีการใช้ หมายเหตุ สารออก กลไกการ ความ ใช้ หอยเชอร่ี หรอื ฤทธิ์และ ออกฤทธิ์ เปน็ พษิ ผสมนำ้ พ่นลงในน้ำให้ท่ัว การใชส้ ารฆา่ หอย หอยโขง่ (LD50) นาข้าว และเนน้ บรเิ วณที่ ทกุ ชนิด ต้องใช้ อเมริกาใต้ สตู ร เปน็ แอ่ง หรอื ท่มี ีหอย ควบคู่ไปกับการใช้ Pomocea มาก ตาขา่ ยถีก่ ัน้ ทางน้ำ canaliculata นิโคลซาไมด์ -โอลามีน 83.1% - น้อย 50 กรมั / เขา้ ออกจากนา เพอ่ื (5,000) ไร่ (25 หวา่ นลงน้ำใหท้ ่ัวในนา กันไม่ใหห้ อยใหมเ่ ข้า (niclosamide- WP ขา้ ว และเนน้ เพ่มิ บริเวณ มาในนาอีก ขณะใช้ ท่ีเป็นแอ่งหรอื มหี อยมาก สารฆา่ หอยตอ้ งมนี ำ้ olamine) หรอื กรัม/น้ำ อยู่ในนาขา้ ว เพราะ หอยจะเปดิ ฝาออก นโิ คลซาไมด์ เอทาโนลา 20 ลิตร) และทำกจิ กรรม มีน (niclosamide ต่างๆ เมอ่ื มนี ้ำ เทา่ นน้ั และระดับ ethanolamine) น้ำต้องสูงประมาณ 5 ซม. นานติดต่อกัน เมทลั ดไี ฮด์ 5% G - นอ้ ย 500กรัม/ อยา่ งน้อย 3 วัน (metaldehyde) bait (630) ไร่ หลังใสส่ าร จึงจะ ได้ผลดีทส่ี ดุ ใช้สาร 3.5% G 2,000 ฆา่ หอยเพียงคร้ัง เดยี วต่อฤดปู ลกู และ กรัม/ไร่ ควรทำต่อเนอื่ งกนั ไปทกุ ๆ ฤดู กากเมลด็ ชา (saponin) 10% - - 3 กก./ไร่ saponin
162 พชื ตระกลู กะหล่ำ (Cruciferous) สารป้องกนั กำจดั ศตั รูพืช ศตั รพู ชื ชื่อสามัญ % กลมุ่ ระดับ อตั รา วิธีการใช้ หมายเหตุ นโิ คลซาไมด์ สารออกฤทธิ์ กลไกการ ความ การใช้ หอยทากยักษ์ (niclosamide) ออกฤทธ์ิ เปน็ พิษ - การพ่นดอ้ งใหถ้ ูกตวั แอฟริกา เมทัลดไี ฮด์ และสตู ร (LD50) หอยทาก จำเป็นตอ้ งพน่ Acatina fulica (metaldehyde) น้ำเปลา่ ใหท้ วั่ แปลง เพ่ือ หอยดกั ดาน 83.1 % WP - นอ้ ย 40 ผสมนำ้ พ่นใหถ้ กู ตวั หอย ชักนำให้หอยออกจากท่ี Cryptozona กากเมลด็ ชา หลบซ่อนเสยี ก่อน siamansis (saponin) (5,000) กรมั / ทากทีอ่ ยู่บนต้นและใต้ใบ - ควรพ่นตอนเช้าตรหู รือ หอยสารกิ า ช่วงเยน็ หลังการใหน้ ำ้ Sarika sp. นำ้ 20 ผกั ทโ่ี คนต้น และตาม หยุดการให้น้ำผกั นาน หอยเจดียใ์ หญ่ 1-2 วนั หลังจากพน่ Prosopea ลติ ร) พ้นื ดินใหท้ ัว่ แปลง - ปรับหวั ฉีดใหเ้ ปน็ walkeri ละอองฝอย และพน่ ให้ หอยเจดยี ์เลก็ 5% GB - น้อย 1,000 .ใชห้ ว่านบนพนื้ ดินท่ี โคน ชมุ่ ท่วั แปลง Lamellaxis gracilis (630) กรมั / ต้น ใหก้ ระจายทว่ั ทงั้ ทากเล็บมือนาง Parmarion ไร่ แปลง และบริเวณรอบ siamensis หอยซคั ซิเนยี นอกแปลงด้วย Succinea sp. 10% - - 1,000 -นำผงกากชามาตม้ กบี น้ำ saponin กรัม/ จนเดอื ดประมาณ 10 นำ้ 20 นาที กรองเอากากชาออก ลิตร นำน้ำทก่ี รองได้มาพน่ ให้ หรอื ถกู ตวั หอยทากท่อี ย่บู นต้น หวา่ น และใตใ้ บผกั ท่โี คนต้น 5,000 และตามพ้นื ดินให้ท่ัว กรมั / แปลง ไร่ - ใช้หวา่ นบนพื้นดินที่ โคนต้น ให้กระจายท่ัวทั้ง แปลง และบริเวณรอบ นอกแปลงด้วย
163 กลว้ ยไม้ (Orchid) สารป้องกนั กำจดั ศัตรูพืช ศัตรูพชื ชอื่ สามญั % กลมุ่ ระดบั อัตรา วิธกี ารใช้ หมายเหตุ สารออกฤทธ์ิ กลไกการ ความ การใช้ ออกฤทธ์ิ เป็นพิษ และสตู ร (LD50) หอยทากซคั ซเิ นยี นโิ คลซาไมด์ 83.1 % WP - น้อย 40 ผสมนำ้ พ่นใหถ้ ูกตวั หอย - ถ้าพบหอยทากอย่บู น Succinea (niclosamide) minuta (5,000) กรัม/ ทากท่อี ยบู่ นพนื้ ดนิ ตาม ต้นมากใหพ้ ่นสารบน หอยเจดีย์ใหญ่ เมทัลดไี ฮด์ Prosopea (metaldehyde) น้ำ 20 ทางเดนิ ระหว่างโต๊ะวาง เครอ่ื งปลูก และสว่ นโคน walkeri หอยเจดียเ์ ลก็ กากเมลด็ ชา ลิตร) กล้วยไม้ และบนวสั ดปุ ลกู ต้นกลว้ ยไม้ โดย Lamellaxis (saponin) gracilis 5% GB - น้อย 1,000 .ใชห้ ว่านบนพื้นดนิ ตาม หลกี เล่ียงไมใ่ ห้ถกู ดอก ทากเลบ็ มอื นาง (630) กรัม/ ทางเดนิ ระหวา่ งโต๊ะวาง - การพ่นดอ้ งให้ถูกตัว Parmarion ไร่ กล้วยไม้ และบนวสั ดปุ ลูก หอยทาก จำเป็นตอ้ งพน่ siamensis หรือวางเป็นจุดบนพน้ื ดิน นำ้ เปลา่ ใหท้ ่ัวสวน เพื่อ ท่ีชื้นบรเิ วณขาโตะ๊ และ ชักนำใหห้ อยออกจากที่ หอยเลขหนึ่ง บนวสั ดปุ ลูกให้ท่ัวสวน หลบซอ่ นเสียกอ่ น Ovachlamys - ควรพน่ ตอนเช้าตรแู ละ fulgen หยดุ การใหน้ ำ้ กลว้ ยไม้ 10% - 1,000 -นำผงกากชามาต้มกีบนำ้ นาน 1-2 วนั หลังจาก saponin กรมั / จนเดือดประมาณ 10 พน่ นำ้ 20 นาที กรองเอากากชาออก - ปรับหวั ฉดี ใหเ้ ปน็ ลิตร นำนำ้ ทกี่ รองไดม้ าพน่ ให้ ละอองฝอย และพ่นให้ หรอื ถูกตัวหอยทากทีอ่ ยู่บน ช่มุ ทั่วสวน หวา่ น พน้ื ดินตามทางเดิน 5,000 ระหว่างโตะ๊ วางกล้วยไม้ กรัม/ และบนวสั ดุปลูก ไร่ - ใชห้ ว่านบนพน้ื ดินตาม ทางเดนิ ระหวา่ งโต๊ะวาง กล้วยไม้ และบนวสั ดปุ ลกู หรอื วางเป็นจดุ บนพ้ืนดิน ท่ีช้นื บริเวณขาโต๊ะ และ บนวสั ดุปลกู ให้ท่วั สวน
นกศตั รูข้าว (Bird rice pest) 164 หมายเหตุ สารป้องกนั กำจัดศตั รูพชื ศตั รพู ชื ชอื่ สามัญ % กลุ่ม ระดบั อัตราการ วิธีการใช้ สารออก กลไกการ ความ ใช้ นกกระตดิ๊ ขห้ี มู ฤทธิ์และ ออกฤทธิ์ เปน็ พษิ 1.ใชว้ ิธีเขตกรรม กำจดั Lanchura (LD50) แหล่งที่อยอู่ าศยั ทำรงั ของ Punctulata สูตร นกดว้ ยการตดั ตน้ ไมใ้ กล้ นกกระตดิ๊ ตะโพกขาว แปลงนาออก L. striata 2. .ใช้ตาข่ายดักนก ดักจบั นกกระจอกตาล นกออกไปเพอื่ ลดจำนวน ถ้า Passer flaveolus เปน็ แปลงนาขนาดเลก็ ใชต้ า นกกระจาบธรรมดา ขา่ ยคลมุ ท้งั แปลง Ploceus philippinus 3. ใชเ้ สียงไล่ เชน่ ประทดั นกกระจาบอกลาย 4. .ใช้วสั คสุ ะท้อนแสงขงึ ใน P. manyar แปลงนาใหท้ ั่วแปลง ปนู า (Rice field crab) สารปอ้ งกันกำจัดศัตรูพืช ศตั รพู ชื ชอื่ สามัญ % กลุม่ ระดบั อตั ราการ วธิ กี ารใช้ หมายเหตุ สารออก กลไกการ ความ ใช้ ปูนา ฤทธ์แิ ละ ออกฤทธิ์ เป็นพษิ 1.ใช้วธิ ีเขตกรรม กำจัด Sayarmia (LD50) แหลง่ ท่ีอยูอ่ าศยั ทห่ี ลบซ่อน bangkokensis สตู ร ของปูนาเช่นวชั พชื S. germaini 2. ดกั จับขุดบ่อดักข้างคันนา S. sexpunctata เพื่อนำมาเปน็ อาหาร Esanthelphusa 3. ระบายน้ำออก dugasti
165 การใชต้ ัวหำ้ ตวั เบียน เชื้อจลุ ินทรีย์ คำแนะนำการใช้แตนเบยี นไข่ไตรโคแกรมมา (Trichogramma spp.) ควบคมุ แมลงศัตรูพชื แตนเบียนไข่ Trichogramma หรอื แตนตาแดง เป็นแมลงที่จดั อยู่ในอนั ดบั Hymenoptera วงศ์ Trichogram- matidae เป็นแมลงทม่ี ขี นาดเล็ก ตัวเตม็ วัยมีขนาด 0.5 มม. ตาสแี ดง หนวดเปน็ ปล้อง จดั เปน็ แมลงเบยี นไข่ จะเข้าทำลายแมลง ศัตรพู ืชเฉพาะระยะไข่ โดยเพศเมยี จะใช้สว่ นของอวัยวะวางไขเ่ จาะแทงเขา้ ไปเพื่อวางไขต่ รงสว่ นบนของไข่แมลงศัตรพู ชื ไข่ 1 ฟอง สามารถมแี ตนเบียนไข่ได้ 1-4 ตัว ทัง้ นี้ขนึ้ อยู่กับความสมบรู ณข์ องอาหารภายในไขท่ ถ่ี ูกเบียน ไข่ท่ีถูกเบียนแล้ว 3 วนั จะ เปล่ียนเป็นสดี ำ และไม่ฟักเป็นหนอน แต่จะมีตัวเตม็ วยั แตนเบียนไข่ ออกมาหลงั จากไข่ถกู เบียนแลว้ 7 วัน ซ่งึ จะผสมพนั ธุแ์ ละไป ทำลายไข่ของแมลงศัตรพู ชื ต่อไป แตนเบียนไข่สกุลนี้ เป็นแมลงศัตรูธรรมชาติที่สามารถนำไปใช้ควบคุมแมลงศัตรูพืชหลายชนิดในระยะไข่ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ เช่น หนอนเจาะสมอฝ้าย (Helicoverpa armigera) หนอนกออ้อย (Chilo infuscalellus และ Chilo tumicosditalis) หนอนเจาะลำต้นข้าวโพด (Ostrinia furnacalis) หนอนใยผัก (Plutella xylostella) หนอนคืบกะหล่ำปลี (Trichophusia ni) หนอนคืบละหงุ่ (Achaea janata) หนอนแกว้ ส้ม (Papillio demoleus malayanus) หนอนกอแถบลาย (Chilo suppressalis) หลายประเทศ ไดน้ ำไปใชค้ วบคุมแมลงศัตรูพืชที่สำคัญ เชน่ หนอนกออ้อย หนอนกอข้าว หนอนเจาะลำ ตน้ ข้าวโพด และหนอนเจาะสมอฝ้าย พบวา่ มปี ระสิทธิภาพในการควบคุมสูงถงึ 70-90% สามารถทจ่ี ะชว่ ยลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับ สารฆ่าแมลงได้มาก อีกทั้งไม่เป็นอันตรายต่อสภาพแวดล้อมและเกษตรกร แมลงศัตรูพืชไม่เกิดความต้านทานต่อแมลงศัตรู ธรรมชาติ ขอ้ ควรปฏบิ ัติในการปลอ่ ยแตนเบียนไข่ไตรโคแกรมมา 1. ก่อนปล่อยแตนเบยี นไข่ ต้องสำรวจประชากรไข่ของแมลงศัตรพู ืช ถา้ พบอยู่ที่ ระดับ 5-10% จงึ ทำการปลอ่ ยแตน เบยี นไข่ Trichogramma ได้ และควรปลอ่ ยระยะแรกทผ่ี เี สอื้ เริ่มวางไข่ 2. ต้องเลือกชนิดของแตนเบียนไข่ Trichogramma ท่ีมีประสทิ ธภิ าพสูงในการควบคุมไข่ของแมลงศตั รูพืชชนดิ น้นั ๆ แตนเบยี นไข่ทน่ี ำไปปล่อยควรจะทยอยออกเปน็ ตัวเต็มวยั เป็นระยะตั้งแต่ 1–5 วนั 3. อัตราการปล่อยแตนเบยี นไขท่ ีเ่ หมาะสม 20,000-30,000 ตัว/ไร่ อตั ราการออกเป็นตวั เต็มวัยเพศเมยี ควรอยู่ที่ 40- 50% ขึ้นไป ปล่อยแตล่ ะคร้ังห่างกนั 7 วัน 4. การปลอ่ ยแตนเบียนไข่ให้ครอบคลุมพนื้ ท่ปี ลกู พืชตอ้ งปล่อยเหนอื ทิศทางลม ไม่ควรปล่อยในสภาพอากาศที่มฝี นตก แสงแดด หรืออุณหภมู สิ งู เกินไป ควรปล่อยเวลาเยน็ ตง้ั แต่ 16.00 น. เปน็ ตน้ ไป จดุ ปลอ่ ยควรหา่ งกัน 15-20 เมตร และไม่ควร เกิน 6 จุด/ไร่ 5. ปลอ่ ยแตนเบยี นไข่โดยการนำไขแ่ มลงอาศยั ทภี่ ายในมดี กั แดแ้ ตนเบียนไข่อายุ 7 วนั ไปติดกบั ใบพืช หรอื เพ่ือป้องกัน ฝนควรตดิ แผน่ ไข่ไวด้ า้ นในถ้วยพลาสติกหรอื กรวยกระดาษ โดยวางคว่ำเสยี บไว้ที่ปลายไม้ไผ่สูงจากพ้ืน 50 เซนตเิ มตร และทา จารบบี รเิ วณรอบ ๆ ตน้ หรอื ก่ิงสว่ นท่ีปลอ่ ย หรอื โคนไม้ไผเ่ พ่อื ป้องกนั มดเข้าทำลาย 6. ประเมินประสิทธิภาพของแตนเบียนไข่ โดยสำรวจความเสียหายของพืช และประชากรแมลงศัตรูพืช รวมทั้ง ตรวจสอบปริมาณแตนเบียนไข่และผลการเบียนในแปลงที่ปล่อยและไม่ปล่อย แตนเบียนไข่เปรียบเทียบกัน โดยท ำการเก็บไข่ แมลงศัตรูพชื ในไรม่ าตรวจสอบ หลังจากปลอ่ ยแตนเบยี นไขไ่ ปแลว้ 4 วนั ขอ้ ดขี องการใช้การนำแตนเบยี นไข่ไตรโคแกรมมาควบคุมแมลงศตั รพู ืช 1. ใช้เวลาในการปลอ่ ยไม่มาก 2. แตนเบยี นสามารถบินไปวางไขแ่ มลงศตั รูพชื ได้เอง 3. ไม่เปน็ อันตรายตอ่ ส่ิงที่มีชีวติ เชน่ คน สัตว์ พชื ทุกชนดิ 4. ไม่ทำใหเ้ กดิ พิษตกค้างในพืชผลและไม่ก่อใหเ้ กดิ มลพษิ ต่อสภาพแวดลอ้ ม เชน่ ดนิ น้ำ และอากาศ 5. แมลงศตั รพู ชื ไมส่ ร้างความตา้ นทานต่อแตนเบียนไข่ไตรโคแกรมมา เหมือนการใชส้ ารเคมเี นือ่ งจากเปน็ แมลงศตั รู ธรรมชาติท่ีมีประโยชนไ์ มเ่ ปน็ อันตรายต่อผู้ใช้
166 6. ตน้ ทุนการผลิตขยายพนั ธแุ์ ตนเบยี นไข่ไตรโคแกรมมาไม่สูงมาก สามารถทจ่ี ะผลิตขยายได้ปรมิ าณมาก ขนึ้ อยู่กับ ความสามารถในการผลิตแมลงอาศัยใหม้ ปี รมิ าณมาก 7. สามารถทจ่ี ะนำไปใชร้ ว่ มกับวิธกี ารควบคมุ อ่นื ๆ ทำใหม้ ีประสทิ ธภิ าพในการควบคุมแมลงศตั รพู ชื ได้สูงขนึ้ การใช้ แตนเบยี นไข่ไตรโคแกรมมาควบคมุ แมลงศัตรูพชื จะเป็นอีกแนวทางหนง่ึ ท่จี ะช่วยอนุรักษ์ศตั รูธรรมชาตใิ หม้ ีปรมิ าณมากขึ้นและ ลดมลพษิ ภาวะให้มปี ริมาณน้อยลง ขอ้ จำกัดในการใชแ้ ตนเบียนไขไ่ ตรโคแกรมมา 1. ต้องใชช้ นดิ ของแตนเบยี นไข่ Trichogramma ให้ถูกกบั ชนิดของแมลงศัตรูพชื 2. ไมส่ ามารถจะเก็บไวใ้ นอุณหภมู ิ 13 องศาเซลเซยี ส เกนิ 2 สปั ดาห์ ถา้ เกนิ จะทำใหเ้ ปอรเ์ ซน็ ต์การออกเป็นตัวเตม็ วยั ลดลง 3. อายไุ ข่แมลงอาศัย 1-2 วนั จะดที ส่ี ดุ 4. เพศเมยี เทา่ นั้นที่จะทำลายไขแ่ มลงอาศยั 5. มคี วามอิสระ ไม่อยเู่ ฉพาะที่ 6. สภาพอณุ หภูมสิ งู กว่า 35 องศาเซลเซียส ประสิทธิภาพการเบียนจะต่ำ 7. สภาพฝนตกชกุ และลมแรงไม่เหมาะต่อการใช้แตนเบียน การเก็บรกั ษา ถ้าหากยังไม่ถึงชว่ งเวลาปล่อยแตนเบียนไข่ Trichogramma สามารถชะลอการฟักได้ โดยการนำแผน่ ไข่ไปใส่ในกล่อง พลาสตกิ เก็บเข้าตู้เย็น ทีอ่ ุณหภูมปิ ระมาณ 10–13 องศาเซลเซียส จะชะลอการฟักได้ประมาณ 2 สปั ดาห์ หลงั จากน้นั อัตราการ ออกเป็นตัวเต็มวยั จะลดลงจะลดลง การใช้แตนเบียนไข่ไตรโคแกรมมาในการควบคุมไข่ของแมลงศัตรูพชื ทางเศรษฐกิจ แมลงศตั รูพชื ชนิดแตนเบียนไข่ อัตราการปลอ่ ย (ตัว/ไร่) จำนวนครั้ง/ฤดู ไขห่ นอนกออ้อย 20,000 – 30,000 6 –10 T. japonicum ไข่หนอนกอข้าว T. confusum 20,000 – 30,000 4-8 ไขห่ นอนเจาะสมอฝา้ ย T. dendrolimi 20,000 – 30,000 6-8 ไขห่ นอนแก้วส้มและ T. japonicum 20,000 – 30,000 4-8 หนอนคืบละหุ่ง 40,000 – 60,000 6-10 ไขห่ นอนใยผัก T. confusum T. dendrolimi 20,000 – 30,000 6-10 ไข่หนอนเจาะลำตน้ T. petriosum 20,000 – 30,000 4-6 ข้าวโพด T. chilonis 40,000 – 60,000 6-8 ไข่หนอนคืบกะหล่ำ T. confusum ไขห่ นอนกระทู้ผักและ T. dendrolimi หนอนหลอดหอม T. confusum Trichogrammatoidae bactrea T. confusum T. chilonis T. confusum T. dendrolimi T. japonicum
167 การใชแ้ ตนเบียนเพลี้ยแป้งมนั สำปะหลงั สชี มพู (แตนเบยี นอะนาไกรัส) ควบคมุ เพล้ยี แปง้ มนั สำปะหลงั สชี มพู แตนเบียนอะนาไกรัส โลเปไซ (Anagyrus lopezi) เปน็ แตนเบยี นที่มีประโยชนช์ ่วยควบคมุ เพลย้ี แปง้ มนั สำปะหลงั สี ชมพู พฤติกรรมการเข้าทำลายของแตนเบยี น มี 2 วธิ ี ได้แก่ 1) การห้ำ แตนเบียนเพศเมียใช้อวยั วะวางไข่แทงเข้าไปในลำตวั เพลีย้ แป้งเพอ่ื สร้างบาดแผลจากน้นั ใช้ปากเลยี กินของเหลวจากรอยแผลเพือ่ นำโปรตนี จากของเหลวในลำตวั เพลี้ยแปง้ ไปใช้สรา้ ง ไข่ วธิ ีนจี้ ะทำให้เพลย้ี แปง้ ตายทนั ที 2) การเบียน แตนเบยี นเพศเมียใชอ้ วัยวะวางไขแ่ ทงเขา้ ไปในลำตัวเพลี้ยแปง้ และวางไข่ ภายใน หนอนแตนเบยี นดูดกินของเหลวในลำตัวเพลี้ยแป้งเจรญิ เตบิ โตเข้าดักแด้อยภู่ ายใน แตนเบียน 1 ตวั ฆา่ และทำลายเพลยี้ แป้งวันละ 20 - 30 ตัว และลงเบียนเพลยี้ แปง้ ได้วนั ละ 15 - 20 ตวั ลักษณะสำคญั ทีใ่ ชจ้ ำแนกเพศของแตนเบยี นชนิดนี้ คือ สว่ นหนวดแตนเบยี นเพศผูม้ ลี ักษณะยาวเรยี วสดี ำและมีขนเลก็ ทีส่ ่วนของปล้องหนวด เพศเมียมหี นวดปลอ้ งแรกของเพศเมยี มี ลักษณะแบนและใหญ่กว่าหนวดปล้องอื่นและปลอ้ งหนวดมีสีขาวสลับดำ วธิ กี ารปลอ่ ยแตนเบยี นอะนาไกรัส 1) ปลอ่ ยในพน้ื ท่ีที่มเี พลี้ยแปง้ มนั สำปะหลงั สชี มพู โดยนำภาชนะที่บรรจุแตนเบยี นวางใกล้ ยอดมนั สำปะหลงั ท่ีมีเพลย้ี แป้งมนั สำปะหลังสชี มพู 2) ปล่อยแตนเบยี นให้กระจายท่ัวแปลง อัตราการปลอ่ ย 50 - 100 ค/ู่ ไร่ หากเพลี้ยแป้งระบาดรนุ แรงให้ปลอ่ ย 200 คู่/ ไร่ 3) หลีกเลี่ยงการพน่ สารเคมีกำจัดแมลง ในบริเวณทป่ี ล่อยแตนเบียนและบรเิ วณใกลเ้ คียง การประเมนิ ผลสำเรจ็ 1) ตรวจดลู ักษณะหยดน้ำเหนียวๆ ท่ใี บมนั สำปะหลังจะลดลง 2) ยอดมันสำปะหลงั ที่แตกใหม่ พบอาการยอดหงิกลดลง 3) ตรวจสอบการปรากฏตวั ของแตนเบียน จะพบบนิ วนรอบยอดมนั สำปะหลงั ทม่ี ีเพลีย้ แปง้ ลงทำลายหลังการปล่อย 2 เดือน 4) เก็บตัวอย่างยอดมันสำปะหลังทมี่ เี พลี้ยแป้ง สังเกตจำนวนแตนเบียนท่ีบนิ ออกมา และนำไปใช้ประโยชน์ การเพาะเลี้ยงแตนเบยี นเพลี้ยแปง้ มันสำปะหลงั สีชมพู มี 2 วิธีการ วธิ กี ารที่ 1 การเพาะเล้ียงแตนเบยี น โดยใช้เพลย้ี แป้งมันสำปะหลังสชี มพูทเี่ ลี้ยงบนตน้ มันสำปะหลัง 1) ปลูกท่อนพนั ธมุ์ ันสำปะหลังในกระถาง ขนาด 8 น้ิว กระถางละ 2 ท่อน ให้ได้อายุ 6 สัปดาห์ 2) เข่ยี กลุ่มไข่เพลีย้ แป้งใส่บนยอดและใบของมนั สำปะหลัง ปลอ่ ยใหไ้ ขฟ่ ักและตวั อ่อนเจริญถึงวัยที่ 3 ใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ (21-25 วัน) 3) นำตน้ มันสำปะหลังท่มี เี พล้ียแปง้ จากข้อ 2) จำนวน 8 กระถาง ใสใ่ นกรงเล้ยี งแมลง ปล่อยแตนเบยี น 40 คู่ ในกรง ภายในกรงใหน้ ้ำผึง้ 50% เป็นอาหารของแตนเบยี น โดยทาน้าผึง้ บนกระดาษทชิ ชูแขวนไว้ภายในกรง จากน้นั ประมาณ 2 สปั ดาห์ (11-15 วนั ) เพล้ยี แป้งจะตายและกลายเป็นมมั ม่ี 4) เม่อื พบแตนเบยี นบนิ ออกมาจากมัมม่ใี ห้ใช้อุปกรณด์ ูดแมลงดูดเก็บแตนเบยี นใส่ในภาชนะทีม่ รี รู ะบายอากาศและให้ น้ำผ้ึงไว้ภายใน โดยตรวจนับเพศแตนเบยี นอตั ราเพศผู้ : เพศเมยี 1 : 1 ทีเ่ พาะเลย้ี งได้บรรจใุ ส่ภาชนะ 100 – 200 คู่ สำหรบั นำไปปลอ่ ย หรือนำไปใช้เปน็ พ่อแมพ่ นั ธ์ุเพาะเล้ียงขยายพันธ์ตุ ่อไป วธิ กี ารท่ี 2 การเพาะเลี้ยงแตนเบียน โดยใช้เพล้ียแป้งมนั สำปะหลังสชี มพูที่เลี้ยงบนผลฟักทอง 1) เก็บยอดมนั สำปะหลงั ที่มเี พล้ียแป้งลงทำลายมาวางเรยี งบนตะแกรง 2) เลือกผลฟกั ทองทไี่ ม่อ่อนหรือแก่เกนิ ไปและมสี เี ขยี วผวิ เรียบ ล้างทำความสะอาดและเชด็ ใหแ้ ห้ง นำเรียงทับบนยอด มนั สำปะหลงั ปล่อยไวป้ ระมาณ 3 - 7 วัน เพลีย้ แปง้ จะข้นึ มาอยบู่ นผลฟักทอง
168 3) นำผลฟกั ทองทมี่ ีเพลย้ี แป้งจากข้อ 2) ใสใ่ นกรงเลีย้ งแมลง 10 - 20 ผล ปล่อยแตนเบยี น 40 - 50 คู่ ในกรงเลย้ี ง แมลง ภายในกรงมนี ้ำผ้งึ 50% ทาบนกระดาษทิชชแู ขวนไวภ้ ายในเพ่อื เปน็ อาหารของแตนเบยี น แตนเบยี นจะลงทำลายเพลย้ี แป้งท่ีเลี้ยงบนผลฟักทอง ปล่อยไวป้ ระมาณ 2 สปั ดาห์ (11-15 วัน) เพล้ยี แปง้ จะตายกลายเปน็ มมั มี่ 4) เมือ่ พบแตนเบยี นบินออกมาจากมัมมใ่ี หใ้ ช้อุปกรณด์ ูดแมลงดูดเกบ็ แตนเบยี นใสใ่ นภาชนะทีม่ ีรูระบายอากาศและให้ น้ำผ้ึงไว้ภายใน โดยตรวจนับเพศแตนเบยี นอตั ราเพศผู้ : เพศเมีย 1 : 1 ที่เพาะเล้ียงได้บรรจุใส่ภาชนะ 100 - 200 คู่ สำหรบั นำไปปลอ่ ย หรือนำไปใช้เป็นพ่อแมพ่ ันธเุ์ พาะเล้ยี งขยายพันธุ์ตอ่ ไป การเกบ็ รกั ษาแตนเบียน 1) โดยทวั่ ไปแตนเบียนเพล้ยี แปง้ มนั สำปะหลงั สีชมพมู ีอายุประมาณ 2-3 วนั ถา้ ไม่มีอาหาร และมอี ายุ 7-12 วัน เมื่อให้ น้ำผ้งึ 50% เป็นอาหาร และถา้ เก็บไวใ้ นตูค้ วบคุมอุณหภมู ิ 15 องศาเซลเซียส จะมีชีวิตอย่ไู ดน้ าน 21 - 30 วัน 2) การปลอ่ ยแตนเบียนที่ออกจากมมั มใ่ี หมๆ่ ประสทิ ธภิ าพจะมากกวา่ แตนเบียนท่ีเก็บไวน้ าน 3) ไม่แนะนำใหเ้ กบ็ แตนเบียนไวน้ านมากกวา่ 14 วัน เน่ืองจากแตนเบยี นที่มอี ายมุ ากการเขา้ ทำลายเพลย้ี แปง้ จะลดลง
169 คำแนะนำการใช้แตนเบียนแมลงดำหนามมะพร้าว (แตนเบยี นอะซโี คเดส และแตนเบียนเตตระสตคิ ัส) ควบคุมแมลงดำหนามมะพรา้ ว แตนเบยี นอะซีโคเดส ฮสิ ไพนารัม (Asecodes hispinarum) เป็นแตนเบียนที่มีประสทิ ธิภาพชว่ ยทำลายหนอน แมลงดำหนามมะพรา้ ว โดยแตนเบียนเพศเมียท่ีผสมพันธุแ์ ลว้ วางไขเ่ ข้าไปในตัวหนอนแมลงดำหนามมะพร้าว หนอนของแตน เบยี นเม่ือฟักออกจากไข่ดดู กินของเหลวเจริญเตบิ โตและเข้าดักแดภ้ ายในลำตัวหนอนแมลงดำหนามมะพร้าว ทำใหห้ นอนท่ีถูก เบยี นเคลอื่ นไหวชา้ กนิ อาหารน้อยลง และตายในที่สุด ภายหลังท่ถี ูกเบยี น 7-10 วัน หนอนที่ถูกเบียนจะตายแล้วมลี ำตวั สดี ำ และแข็ง เรยี กวา่ “มัมม่”ี แตนเบยี นเมือ่ ออกจากดักแดจ้ ะกดั ผนัง “มมั ม่ี” ออกมาจับคู่ผสมพันธท์ุ นั ที ภายหลังจากผสมพันธุ์ 1-2 ช่วั โมง สามารถเข้าเบยี นหนอนแมลงดำหนามมะพร้าวไดท้ นั ที แตนเบยี นเตตระสตคิ ัส บรอนทสิ ป้ี (Tetrastichus brontispae) สามารถเขา้ ทำลายหนอนแมลงดำหนามมะพร้าว วยั ที่ 4 และดกั แดแ้ มลงดำหนามมะพรา้ ว แต่จะชอบเบียนระยะดักแด้มากท่ีสดุ แตนเบยี นเพศเมียทีผ่ สมพนั ธ์แุ ล้ววางไข่ในดกั แด้ แมลงดำหนามมะพร้าว หนอนของแตนเบียนเม่ือฟักออกจากไข่ดดู กนิ ของเหลวเจริญเติบโตภายในลำตัวแมลงดำหนามมะพร้าว ภายหลังจากถูกเบยี น 8 วัน แมลงดำหนามมะพรา้ วจะมีลำตัวแข็งกลายเป็นสนี ้ำตาลเขม้ เรียกวา่ “มมั มี่” แตนเบียนเม่ือออก จากดกั แด้จะกัดผนัง “มัมม”ี่ ออกมาจับคผู่ สมพันธท์ุ ันที ภายหลงั จากผสมพันธ์ุสามารถเข้าเบยี นแมลงดำหนามมะพรา้ วไดท้ นั ที อุปกรณ์สำหรบั ปล่อยแตนเบยี นอะซีโคเดสและแตนเบียนเตตระสติคสั ได้แก่ หลอดพลาสติกพร้อมฝาปดิ ขนาดเส้นผ่านศนู ย์กลาง 2.5 ซม. สูง 6 ซม. หรือถว้ ยพลาสตกิ ขนาดเล็กพรอ้ มฝาปิด ขนาดเส้นผ่านศนู ยก์ ลาง 4.5 ซม. สงู 4 ซม. ซึง่ ด้านข้างหลอดเจาะรู 3-4 รู ด้านล่าง 1 รู หรือเจาะ 4 รูท่มี ุมของถ้วยพลาสติก และทีฝ่ า 1 รู สำหรบั ร้อยเชือกหรอื ลวดสำหรบั แขวน วิธกี ารปล่อยแตนเบยี นอะซีโคเดสและแตนเบยี นเตตระสตคิ ัส 1. ปล่อยแตนเบยี นอะซโี คเดส/แตนเบยี นเตตระสติคัส จานวน 5-10 มัมมี/่ ไร่ ทกุ 7 วนั ต่อเนือ่ ง 1 เดอื น โดยบรรจุ มัมมี่แตนเบยี นในภาชนะปล่อย 2. นำไปแขวนทีต่ น้ มะพร้าวที่มแี มลงดำหนามมะพร้าวระบาดให้สงู จากพ้นื ดิน 1.5 เมตร โดยตอกตะปแู ละผูกเชือกตดิ ตะปูและทาจาระบีทเ่ี ชือกเพื่อกันมดเข้าไปทำลายมมั ม่ี (สามารถปลอ่ ยแตนเบียนทั้ง 2 ชนิดนีร้ ว่ มกนั ได้) การเพาะเล้ียงแตนเบียนหนอนแมลงดำหนามมะพรา้ ว (แตนเบียนอะซโี คเดส) การเพาะเลยี้ งแตนเบยี นหนอนแมลงดำหนามมะพร้าว จำเป็นตอ้ งใชห้ นอนแมลงดำหนามมะพร้าววยั 4 เป็นแมลง อาศยั จงึ ต้องเพาะเลี้ยงตามขั้นตอนและวิธกี าร ดงั น้ี วิธกี ารเพาะเลีย้ งหนอนแมลงดำหนามมะพรา้ ว การเตรยี มพ่อแม่พนั ธ์แุ มลงดำหนามมะพร้าว เกบ็ แมลงดำหนามมะพร้าวจากตน้ มะพร้าวทถี่ กู ทำลาย มาคัดแยกตัว เต็มวัยและหนอนโดยแยกเลยี้ งตวั เต็มวัยแมลงดำหนามมะพรา้ ว ด้วยใบอ่อนมะพร้าว ที่เชด็ ทำความสะอาดแลว้ ตดั ให้ได้ขนาด ยาว 20 ซม. จำนวน 50 ใบ ใสใ่ นกลอ่ งพลาสติกขนาด 17x27x9 ซม. โดยท่ฝี ากลอ่ งเจาะเป็นช่องบุดว้ ยผ้าใยแก้วขนาดกวา้ ง 9x19 ซม. สำหรับหนอนและดักแด้แมลงดำหนามมะพร้าวแยกเล้ียงในกลอ่ งพลาสตกิ รอให้ออกเปน็ ตวั เต็มวยั แลว้ จึงเล้ียงตอ่ ไป การเลยี้ งขยายหนอนแมลงดำหนามมะพรา้ ว 1) เมือ่ ตัวเต็มวยั ผสมพนั ธุ์และวางไข่ เกบ็ ไข่แมลงดำหนามมะพร้าวออกจากกล่องเลี้ยงตัวเต็มวัยทกุ 2-3 วัน นำไข่ ประมาณ 500 ฟอง มาโรยใส่ด้านในใบแก่มะพรา้ ว ซ่งึ เช็ดทำความสะอาดและตดั ให้ได้ขนาดยาว 10 ซม. จำนวน 25-30 ช้นิ มัด ซ้อนไว้ดว้ ยหนังยางวง วางไว้ในกลอ่ งพลาสติกรอให้หนอนฟักออกจากไขเ่ ป็นเวลา 3-4 วนั ท่ีอณุ หภมู ิ 25-28 องศาเซลเซียส 2) เม่ือไข่ฟัก ทำการเลี้ยงหนอนแมลงดำหนามมะพร้าวในกล่องพลาสติกขนาด 10x15x6 ซม. โดยท่ีฝากลอ่ งเจาะเป็น ชอ่ งบุดว้ ยผ้าใยแก้วขนาดกวา้ ง 4x10 ซม. เพอ่ื เป็นที่ระบายอากาศและป้องกันไม่ให้แมลงหนีออกจากกล่อง โดยเขีย่ หนอน
170 ประมาณ 300 ตวั ใส่ในกล่องทีม่ ใี บแกม่ ะพร้าวมัดรวมกันด้วยยางวง เกบ็ บนชั้นเลยี้ งแมลง เปลย่ี นใบมะพรา้ วทุก 5-7 วัน หรอื เมื่อใบเปลีย่ นเปน็ สีน้ำตาล 3) เลยี้ งหนอนประมาณ 15-18 วนั จะไดห้ นอนวยั 4 ขนาดยาวประมาณ 1 ซม. เหมาะสมสำหรับนำไปเล้ยี งแตน เบียนอะซโี คเดสได้ การเตรยี มพอ่ แม่พนั ธุ์แตนเบียนอะซีโคเดส 1) คัดเลอื กมัมมี่ท่ีมีพ่อแม่พันธุแ์ ตนเบยี นทสี่ มบรู ณ์อายุ 7-10 วนั นับจากวนั เบยี น ล้างผ่านด้วย Clorox 0.1% แล้วนำ ขน้ึ ผ่งึ ให้แห้งบนกระดาษทิชชู วางทง้ิ ไว้ 1 คืน นำใสใ่ นถ้วยพลาสตกิ เล็กขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4.5 ซม. สงู 4 ซม. 2) ตง้ั ทง้ิ ไวอ้ ีก 10-11 วัน (อายุ 17-21 วันนบั จากวนั เบยี น) จากนั้นนำใสก่ ลอ่ งพลาสติกเล้ยี งแมลงขนาด 10x15x6 ซม. ทีฝ่ าเจาะเปน็ ช่องบุดว้ ยผ้าใยแกว้ ขนาดกวา้ ง 4x10 ซม. เม่ือพบแตนเบียนออกจากมัมมี่ ใหป้ ล่อยทิง้ ไว้ 2-3 ซม. เพ่ือให้แตน เบียนไดผ้ สมพนั ธุ์กนั จากน้นั นำไปใชเ้ บยี นหนอนแมลงดำหนามมะพรา้ วรุ่นใหม่ การเพาะเลย้ี งแตนเบยี นอะซีโคเดส 1) คัดหนอนแมลงดำหนามมะพร้าววัย 4 จำนวน 150 ตัว ใส่กลอ่ งที่มใี บมะพรา้ วเช็ดทำความสะอาดและตัดให้ได้ ขนาดยาว 10 ซม. จำนวน 2-3 ช้ิน ดา้ นข้างกลอ่ งติดกระดาษชบุ น้ำผ้งึ เข้มขน้ 50% เพ่ือเป็นอาหารแตนเบียน แล้วปลอ่ ยพ่อแม่ พันธุแ์ ตนเบยี นจำนวน 400-500 ตัว (มมั มี่พ่อแม่พันธ์ุ 20 มัมมี่ (1 มัมมี่ มีแตนเบยี นอะซโี คเดส ประมาณ 25 ตวั ) ลงในกลอ่ ง 2) แตนเบยี นจะลงทำลายหนอนทันทีท่ีปลอ่ ยลงในกลอ่ ง นำกลอ่ งวางบนช้ันเล้ียงแมลง 3-4 วนั ที่อณุ หภมู ิ 25-28 องศา เซลเซยี ส 3) ยา้ ยหนอนแมลงดำหนามมะพร้าวท่ีถูกลงทำลายแลว้ 4-5 กลอ่ ง มาเล้ียงรวมกันในกลอ่ งใหม่ใสใ่ บมะพรา้ วทเี่ รียง ซ้อนและมดั รวมกันไว้ เพื่อเป็นอาหารของหนอนท่ถี ูกลงทำลายแต่ยงั ไม่ตาย หนอนที่ถกู ลงทำลายจะเริ่มตายและกลายเปน็ มมั ม่ี 7-10 วนั หลงั จากถกู ลงทำลาย 4) คัดแยกหนอนท่กี ลายเป็นมัมม่แี ล้ว ออกจากกล่องทุกวนั จดบนั ทกึ วนั ทเ่ี ก็บมัมม่ี 5) แบง่ มัมมี่เป็น 2 ส่วน สว่ นท่ี 1 ประมาณ 10% นำไปใช้เปน็ พอ่ แมพ่ ันธุ์ โดยแยกเกบ็ มัมม่ใี นหลอดพลาสติกมฝี าปิด สนทิ ส่วนทีเ่ หลือ 90% นำไปปลอ่ ยเพื่อควบคุมแมลงดำหนามมะพรา้ วในสวนมะพร้าว ซ่ึงแตนเบยี นจะออกเปน็ ตวั เต็มวัย หลงั จากเก็บมัมมี่พักไว้แลว้ ประมาณ 10-11 วัน การเพาะเล้ยี งแตนเบียนดักแดแ้ มลงดำหนามมะพรา้ ว (แตนเบยี นเตตระสติคสั ) ในการเพาะเลยี้ งแตนเบยี นดกั แดแ้ มลงดำหนามมะพรา้ ว จำเปน็ ต้องใช้ดักแด้แมลงดำหนามมะพร้าว อายุ 1-2 วัน เปน็ แมลงอาศัย จงึ ต้องเพาะเลย้ี งตามขัน้ ตอนและวธิ ีการ ดงั นี้ วธิ ีการเพาะเลีย้ งดักแด้แมลงดำหนามมะพรา้ ว เลี้ยงแมลงดำหนามมะพรา้ ววธิ กี ารเช่นเดยี วกันกับการเพาะเลีย้ งหนอนแมลงดำหนามมะพร้าว คือเลีย้ งให้หนอนโตเข้า ดกั แด้ อายุประมาณ 19-21 วนั หลังฟักออกจากไข่ จะได้ดักแดแ้ มลงดำหนามมะพร้าวที่เหมาะสมสำหรบั นำไปเล้ียงแตนเบียน เตตระสติคัส วิธีการเพาะเล้ยี งแตนเบียนดักแดเ้ ตตระสติคสั 1) การเตรียม “มมั ม”่ี พ่อแม่พันธ์แุ ตนเบียนดกั แด้แมลงดำหนามมะพร้าวใสก่ ล่องพลาสติกจำนวน 4-8 มัมม่ี ปล่อยให้ แตนเบียนออกเป็นตวั เต็มวัยทิ้งไว้ใหผ้ สมพนั ธ์ุ 2-3 ช่วั โมง 2) เตรียมกล่องพลาสติกส่ีเหลี่ยม ขนาด 10x15x6 ซม. ทม่ี ีฝาปดิ สนิท บนฝาตัดเป็นช่องส่เี หล่ียม ขนาดประมาณ 4x10 ซม. บดุ ว้ ยผ้าใยแก้ว เพ่ือใหอ้ ากาศภายในกล่องถา่ ยเทได้ ให้น้ำผ้งึ 50% เปน็ อาหารสำหรบั แตนเบยี นตัวเตม็ วยั โดยใชพ้ ูก่ นั ชบุ น้ำผึง้ ทาบนกระดาษทชิ ชชู นดิ หนา ทต่ี ัดเป็นแผน่ ส่ีเหลี่ยมขนาด 2X6 ซม. กดให้กระดาษทิชชตู ดิ กบั กลอ่ งด้านข้าง
171 3) เลือกดักแด้แมลงดำหนามมะพร้าว ประมาณ 300 ตัว ใสล่ งในกล่องเบียน ใส่ใบมะพร้าวแกต่ ดั ใหม้ ีขนาดยาว ประมาณ 10 ซม. จำนวน 2-3 ชิน้ จากนน้ั ใชแ้ ปรงเข่ียพอ่ แมพ่ ันธุ์แตนเบียนดกั แด้เตตระสติคสั ที่เตรยี มไวล้ งไป (ประมาณ 44- 88 ตวั (1 มัมม่ี มีแตนเบยี นประมาณ 11 ตัว)) แล้วปิดฝา 4) ปลอ่ ยท้งิ ไวป้ ระมาณ 10 วัน เพ่อื ให้แตนเบยี นดักแด้เตตระสติคสั เขา้ เบยี นดกั แด้แมลงดำหนามมะพร้าว 5) ดักแด้ถูกเบียนจะทยอยตายและกลายเปน็ มมั มี่ หลังจากให้เบียนแล้ว 10 วัน คัดแยกดักแดท้ ตี่ ายและแห้งแขง็ เปน็ มัมม่สี ดี ำ-หรอื น้ำตาล ออกจากแต่ละกล่อง และนำไปเกบ็ รวมไว้ในกล่องพลาสติกสเ่ี หลย่ี มมฝี าปิดสนทิ และรองพน้ื กล่องดว้ ย กระดาษทชิ ชู หากพบดักแด้ที่ตายจากเชอื้ รา หรือเนา่ ตาย ใหร้ ีบเกบ็ แยกออกจากกล่องทันที เพอื่ ป้องกนั ไมใ่ หด้ กั แด้ท่ีเหลือติด โรคตาย 6) นำ “มัมม่ี” อายุประมาณ 17 วัน นำใสล่ งในถว้ ยพลาสติกขนาดเสน้ ผา่ นศูนย์กลาง 4.5ซม. สงู 4 ซม. ทม่ี ีฝาปดิ พร้อมทจ่ี ะนำไปปล่อย หรอื ทิ้งไวแ้ ตนเบียนกจ็ ะเรมิ่ เจาะออกจาก “มัมม”่ี หลังจากถูกเบียนประมาณ 18-21 วัน ข้นึ กับสภาพ อุณหภูมิ 7) แตนเบยี นเพศผ้จู ะเจาะออกจากมัมม่ีก่อนแตนเบยี นเพศเมีย และจะเข้าผสมพันธุ์ ทนั ทีท่ีเพศเมยี เจาะออกจาก “มัมม่ี” นำแตนเบยี นท่เี จาะออกจากมัมมี่ไปเปน็ พ่อแม่พันธุ์ 8) โดยกระบวนการต้งั แต่ข้อ 1 ถงึ ข้อ 6 จะสามารถเพาะเลี้ยงแตนเบยี นดักแด้แมลงดำหนามมะพร้าว ได้มากเพียง พอที่จะนำไปปล่อยในสวนมะพร้าว เพ่อื ช่วยเพ่ิมการควบคุมแมลงดำหนามมะพรา้ วโดยชวี วธิ ี หรือใช้ร่วมกบั วธิ กี ารอื่น ๆ
172 การใชแ้ ตนเบียนหนอนหวั ดำมะพรา้ ว (แตนเบยี นโกนโิ อซสั ) ควบคมุ หนอนหวั ดำมะพรา้ ว แตนเบยี นโกนิโอซัส นแี ฟนตดิ ิส (Goniozus nephantidis) เป็นแมลงศัตรูธรรมชาติที่มีความเฉพาะเจาะจงต่อแมลง อาศัยคอื หนอนหัวดำมะพรา้ ว แตนเบยี นเพศเมียใช้อวยั วะคล้ายเข็มทีป่ ลายท้องต่อยหนอนหัวดำมะพร้าวใหห้ ยดุ การเคลื่อนไหว จากนน้ั วางไข่บนลำตวั หนอนหวั ดำมะพร้าว หนอนแตนเบียนเกาะดูดกินของเหลวในตัวหนอนหวั ดำมะพรา้ วอยภู่ ายนอก จนกระทั่งหนอนหัวดำมะพร้าวตายและเข้าดักแดภ้ ายนอกซากหนอนหวั ดำมะพรา้ ว แตนเบยี นเพศเมยี 1 ตวั สามารถเบยี น หนอนหวั ดำมะพรา้ วได้ 7-8 ตัว สามารถผลติ ร่นุ ลูกได้ 60-70 ตัว วธิ กี ารปล่อยแตนเบียนโกนโิ อซสั 1. บรรจุแตนเบียนโกนิโอซสั เพศเมียทป่ี ลอ่ ยให้ผสมพนั ธ์แุ ล้ว 4 วัน ในภาชนะสำหรบั ปลอ่ ยซ่งึ ภายในมีสำลีชุบน้ำผึ้ง เขม้ ข้น 50% เพ่ือเปน็ อาหารของแตนเบยี น 2. ปลอ่ ยแตนเบยี นในสวนมะพร้าวท่ีพบการระบาดของหนอนหัวดำมะพร้าวช่วงพลบค่ำ โดยเปดิ ฝาภาชนะให้แตน เบยี นบินออกจากภาชนะปล่อย อัตราการปล่อยแตนเบียน 200 ตวั /ไร่ ปล่อยทกุ 7 วนั ต่อเนอื่ ง 1 เดอื น การเพาะเลี้ยงแตนเบียนหนอนหวั ดำมะพร้าว (แตนเบียนโกนิโอซสั ) การเพาะเลยี้ งแตนเบยี นหนอนหวั ดำมะพร้าว (แตนเบียนโกนโิ อซัส) จะต้องใช้หนอนหัวดำมะพรา้ วและหนอนผเี สอ้ื ขา้ วสารเพ่ือเป็นแมลงอาศัย ดังนน้ั จึงตอ้ งทำการเพาะเล้ยี งแมลงอาศัยให้ได้วัยที่เหมาะสม คอื หนอนหัวดำมะพร้าววัย 6 ความ ยาวลำตวั ประมาณ 2.5 ซม. ใชเ้ วลาเลยี้ งประมาณ 35-40 วนั หรือหนอนผเี ส้อื ข้าวสาร ความยาวลำตัวประมาณ 1.5 ซม. ใช้ เวลาเลยี้ งประมาณ 35-40 วัน โดยเลยี้ งแตนเบยี นด้วยหนอนผเี สื้อข้าวสาร 3 ร่นุ สลบั กับเล้ยี งแตนเบียนดว้ ยหนอนหัวดำ มะพรา้ ว 1 รุ่น ซ่ึงขั้นตอนและวิธกี ารมดี ังนี้ การเตรยี มพ่อแม่พนั ธผ์ุ ีเส้ือหนอนหัวดำมะพรา้ ว 1) เกบ็ หนอนหัวดำมะพร้าวจากธรรมชาติ มาเลี้ยงด้วยใบมะพรา้ วในกล่องพลาสติกขนาด 13x18x7 ซม. เจาะรูท่ฝี าติด ตะแกรงระบายอากาศขนาด 4x10 ซม. เปล่ียนใบมะพรา้ วทกุ 3 วัน โดยใส่ใบมะพร้าวใหม่ลงในกลอ่ ง ปล่อยให้หนอน เคลอื่ นย้ายจากใบเก่ามาท่ีใบใหมเ่ องใชเ้ วลา 1-2 วัน จึงนำใบมะพร้าวเก่าออก นำกล่องพลาสติกเลย้ี งหนอนหัวดำมะพรา้ ววางไว้ บนช้ันเล้ยี งแมลงท่อี ุณหภูมิ 25-28 องศาเซลเซยี ส จนกระทั่งหนอนเจริญเติบโตเปน็ ดกั แด้ แลว้ แยกดักแด้ท่ีสมบรู ณ์เพื่อรอให้ เปน็ ผีเส้ือตวั เตม็ วัย 2) เตรยี มโหลพลาสติกสำหรับให้แมผ่ เี ส้ือวางไข่ ขนาดเสน้ ผา่ นศูนย์กลาง 16.5 ซม. สงู 17 ซม. ที่ฝาเจาะช่องระบาย อากาศตดิ ตะแกรงละเอยี ด ใช้พูก่ ันจุ่มน้ำผงึ้ เขม้ ขน้ 50% ป้ายลงบนกระดาษทชิ ชขู นาดเลก็ 3 แผน่ วางทาบไว้ที่ผนังด้านข้าง โหลพลาสตกิ 3 ดา้ น ด้านที่เหลอื ใชก้ ระดาษทชิ ชูทปี่ า้ ยด้วยน้ำสะอาด สำหรบั พ้ืนโหลวางกระดาษทชิ ชูไว้เพ่ือให้ผีเสอ้ื วางไข่ 3) นำผีเสอ้ื ที่ได้จากดักแด้ตามขอ้ 1) ใสล่ งในโหลพลาสติก โหลละ 25 คู่ (เพศผู้ 25 ตวั และเพศเมีย 25 ตวั ) ปล่อยไว้ 1-2 วัน เพอื่ ใหผ้ เี สอ้ื วางไข่บนกระดาษทิชชู เล้ยี งจนกระทงั่ ผีเส้ือหมดอายุขัย (ประมาณ 10 วัน) การเลี้ยงขยายหนอนหวั ดำมะพรา้ ว 1) เตรียมกล่องพลาสติกเลีย้ งแมลงและใส่ใบมะพร้าวท่ีทำความสะอาดแล้วตัดเปน็ ท่อนยาว 10 ซม. นำมาเรียงซ้อนกัน 8 ใบ ใช้กรรไกรตัดกระดาษทิชชูทม่ี ไี ข่หนอนหวั ดำมะพรา้ วออกเป็นช้ินเลก็ ๆ ขนาด 1-1.5 ซม. นำกระดาษทชิ ชูขนาดเล็กทีม่ ีไข่ ผีเสื้อวางสอดไปในใบมะพรา้ ว จากนน้ั ใชก้ ระดาษทชิ ชูปิดท่ีกลอ่ งด้านในก่อนปิดฝาเพื่อป้องกันหนอนวยั 1 หนีออกจากกล่อง 2) ต้ังกล่องทงิ้ ไว้ หนอนหัวดำมะพรา้ วจะทยอยฟักออกมาจากไข่ภายใน 4-5 วนั โดยระยะแรกๆ จะอยู่รวมกันเปน็ กล่มุ และบอบบางมาก การเปลี่ยนอาหารหรอื ใบมะพรา้ วจงึ ต้องใช้ความระมดั ระวัง (หา้ มใชพ้ ู่กนั เข่ยี ไขห่ รอื หนอนทีเ่ พง่ิ ฟกั ) โดยให้ใส่ ใบมะพร้าวใบใหมล่ งไปในกล่องหนอนหวั ดำมะพรา้ วจะย้ายมาที่ใบมะพรา้ วใบใหม่เอง ใชเ้ วลา 1-2 วนั จึงนำใบมะพร้าวเก่าออก 3) เปลยี่ นใบมะพรา้ วทุก 3-5 วัน (อย่าปลอ่ ยให้ใบมะพรา้ วแห้ง) ประมาณ 35-40 วนั จะได้หนอนหัวดำมะพรา้ วขนาด ใหญ่วยั 6 ความยาวลำตวั ประมาณ 2.5 ซม. ทสี่ ามารถนำไปเลี้ยงขยายแตนเบียนได้
173 การเตรียมอาหารสำหรับเล้ียงหนอนผีเสอื้ ขา้ วสาร ผสม รำละเอยี ด : ปลายขา้ ว : น้ำตาลทรายขาว ในถาดอลมู ิเนียม อตั ราส่วน 60 : 3 : 1 โดยน้ำหนกั แลว้ อบส่วนผสม ในตู้อบท่ีอุณหภมู ิ 80-90 องศาเซลเซียส นาน 8-9 ชั่วโมง เพื่อกำจัดแมลงท่ตี ดิ มากับรำ เช่น มอดข้าวสาร มอดแป้ง ด้วงงวงขา้ ว จากนน้ั วางตั้งไว้ให้อาหารเยน็ ลง แลว้ ใส่ในกลอ่ งพลาสติก กลอ่ งละ 1 กิโลกรัม การเลย้ี งขยายหนอนผีเสื้อข้าวสาร 1) นำผีเสอ้ื ข้าวสารตวั เตม็ วยั เพศผ้เู พศเมีย ใส่ตะกรา้ ทบี่ ุด้วยตาขา่ ยไนล่อน เพ่ือใหผ้ เี สือ้ ข้าวสารผสมพนั ธุ์และวางไข่ โดยปล่อยท้ิงไว้ 1 วนั จากนนั้ ใชแ้ ปรงปดั ที่ตาข่ายไนล่อนเพื่อแยกเอาไข่ออกใสใ่ นถาดและนำไปเพาะเลีย้ งต่อ 2) โรยไข่หนอนผเี สื้อขา้ วสาร ประมาณ 0.1 กรัม ให้ท่วั ถาดทใี่ ส่รำและปิดฝาครอบใหส้ นทิ บนฝาเจาะรรู ะบายอากาศ ขนาด 4x10 ซม. ตดิ ตะแกรงลวดตาละเอยี ดขนาด 60 mesh ทสี่ ามารถปอ้ งกันไมใ่ ห้แมลงชนดิ อื่นเข้าไป 3) วางกล่องท่โี รยไข่ของหนอนผีเสอ้ื ข้าวสารแล้วในห้องที่มีอณุ หภมู ิ 28-30 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 30-35 วนั จะได้ หนอนท่มี ีขนาดลำตัวยาว 1.5 ซม. เหมาะสำหรบั เลย้ี งขยายแตนเบยี น 4) แบ่งหนอนทแ่ี ข็งแรงส่วนหน่ึง เลยี้ งจนกระทั่งเจรญิ เตบิ โตเปน็ ดกั แด้และเปน็ ผีเสอื้ ตวั เต็มวยั พอ่ แม่พันธุ์ การเตรยี มพอ่ แมพ่ ันธแุ์ ตนเบยี นท่ีพร้อมสำหรับวางไข่ แตนเบยี นทพี่ ร้อมนำไปใชต้ ้องปลอ่ ยท้งิ ไว้ใหเ้ พศผ้แู ละเพศเมยี ผสมพันธุก์ ันเป็นเวลาอย่างนอ้ ย 4 วนั หลังออกจาก ดกั แด้ แตนเบียนเพศเมยี ที่ได้รบั การผสมพนั ธุ์แล้วเทา่ นน้ั ท่ีจะวางไข่ โดยวางไข่และเจริญเตบิ โตอยู่ภายนอกลำตวั หนอนหวั ดำ มะพรา้ ว แตนเบยี นเพศเมียจะมีขนาดใหญ่กวา่ เพศผู้ใช้พู่กันเบอร์ 0 เขย่ี แตนเบยี นเพศเมยี ออกมาอย่างเบามือ ใสใ่ นหลอด พลาสตกิ สำหรบั เบยี น การเตรยี มแมลงอาศัย หนอนหัวดำมะพร้าวและหนอนผีเสอื้ ขา้ วสาร การเพาะเลยี้ งแตนเบียนโกนิโอซัส ใชห้ นอนหัวดำมะพรา้ วและหนอนผีเสอ้ื ขา้ วสารเปน็ แมลงอาศัย โดยเล้ยี งแตนเบียน ดว้ ยหนอนผีเส้อื ขา้ วสาร 3 รุ่น สลบั กับเลีย้ งแตนเบยี นดว้ ยหนอนหวั ดำมะพรา้ ว 1 รุ่น (เพือ่ ป้องกันไม่ให้แตนเบยี นอ่อนแอและ วางไขน่ ้อยลง) หนอนทีน่ ำมาใช้เพาะเลย้ี งแตนเบยี น คือหนอนหัวดำมะพรา้ ว ความยาวลำตัวประมาณ 2.5 ซม. ใช้เวลาเลี้ยง ประมาณ 35-40 วนั หรอื หนอนผเี สือ้ ขา้ วสาร ความยาวลำตวั ประมาณ 1.5 ซม. ใช้เวลาเล้ยี งประมาณ 35-40 วัน การเพาะเลีย้ งขยายแตนเบยี นโกนิโอซัส 1) ปล่อยหนอนใสใ่ นหลอดเบียนท่มี ีแตนเบียนเพศเมียท่ีไดร้ ับการผสมพนั ธุ์แล้วอยู่ภายในโดยใช้หนอนหวั ดำมะพร้าว หนึ่งตัวต่อแตนเบยี นเพศเมีย 1 ตัว ปิดดว้ ยฝาที่ติดตะแกรงลวดละเอยี ด และมชี น้ิ ฟองน้ำท่ใี ส่น้ำผึ้งไว้ 1 หยดเรียบร้อยแลว้ 2) นำหลอดท่ีใสแ่ ตนเบยี นและหนอนหวั ดำมะพรา้ วแลว้ วางเรยี งในตะกร้าตามแนวนอนบนั ทกึ รายละเอียดแตนเบยี น และวนั ที่เบยี นบนหลอดเบียน 3) ปลอ่ ยใหแ้ ตนเบียนเข้าเบยี นหนอนหวั ดำมะพรา้ ว เป็นเวลา 4 วัน เมอื่ พบการวางไข่ของแตนจึงตรวจนบั จำนวนไข่ ของแตนเบยี น ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ หรอื แว่นขยาย 4) ใช้ปากคบี นำตวั หนอนท่ีมีไข่แตนเบียนออกจากหลอดเบียน และใส่หนอนแมลงอาศยั ตัวใหม่ให้แตนเบยี นลงเบียน โดยนำไปวางในกระดาษขนาด 5x7.5 ซม. โดยพบั ขอบกระดาษใหม้ ีลักษณะคลา้ ยกระบะเลก็ ๆ ซึ่งจะวางหนอน 10 ตัวตอ่ หน่งึ กระบะ (ไม่ควรวางหนอนซ้อนทบั กันเนื่องจากจะมีผลต่อหนอนแตนเบียนทีก่ ำลังเจรญิ เติบโตอย)ู่ จากนั้นนำไปเกบ็ ในกล่อง พลาสตกิ ที่เจาะฝากล่องและปิดดว้ ยผา้ แกว้ เพ่ือระบายอากาศ ตง้ั ท้งิ ไว้ 1 สปั ดาห์ 5) เปล่ียนหนอนแมลงอาศยั ตัวใหมใ่ ห้แตนเบยี นวางไขใ่ นหลอดเดมิ ทำเช่นเดียวกับข้อ 3-4 จนกระทงั่ แตนเบยี นตาย 6) หนอนแตนเบยี นจะฟกั ออกจากไขเ่ จริญเติบโตและเข้าระยะดักแด้ คอยสงั เกตตัวหนอนแมลงอาศยั หากเริ่มมีสีดำ คลา้ ใหค้ ีบหนอนท้งิ เพราะอาจทำให้ดักแดแ้ ตนเบียนติดเช้ือโรคและไม่ฟักเป็นตัวเต็มวยั 7) นำกระบะกระดาษท่ีมดี กั แด้ของแตนเบยี นบรรจุใสห่ ลอดขนาดเสน้ ผ่านศูนย์กลาง 3.5 ซม.สูง 7 ซม. และปิดฝาท่ี เจาะรปู ดิ ดว้ ยผ้าแก้วเพ่ือระบายอากาศ
174 8) จากน้ันประมาณ 1 สัปดาหค์ อยสังเกตการฟักตวั ของแตนเบยี น เมอื่ พบแตนเบียนตวั เตม็ วยั จึงเตมิ น้ำผึง้ ลงในช้ิน ฟองน้ำเพื่อเปน็ อาหารให้กับแตนเบยี น เม่อื แตนเบยี นออกจากดักแด้หมดแลว้ ปล่อยใหผ้ สมพนั ธต์ุ อ่ ไปอีก 4 วนั จงึ จะนำไป ปล่อยควบคุมหนอนหวั ดำมะพร้าว และสว่ นหนึ่งใชเ้ ปน็ พ่อแมพ่ นั ธุ์ต่อไป
175 คำแนะนำการใช้มวนพฆิ าต Eocanthecona furcellata (Wolff) ควบคมุ แมลงศัตรพู ชื มวนพิฆาตเปน็ แมลงศัตรธู รรมชาติประเภทแมลงห้ำ มีความสำคัญและมีประโยชนท์ างการเกษตรอยา่ งมาก เนือ่ งจาก สามารถกินหนอนศัตรูพืชได้หลายชนดิ โดยเฉพาะศัตรูพชื ในกลุ่มหนอนผีเสอื้ เช่น หนอนกระทู้ผกั หนอนกระท้หู อม หนอนเจาะ สมอฝ้าย หนอนแก้วส้ม หนอนหวั ดำมะพรา้ ว หรือแม้กระทง่ั ศัตรูพชื ในระยะดักแด้ มวนพิฆาตมีพฤติกรรมเปน็ ตวั ห้ำ ทง้ั ในระยะ ตวั อ่อน และตวั เตม็ วยั ทัง้ เพศผู้และเพศเมีย มวนพิฆาตน้สี ามารถนำไปปล่อยเพื่อควบคุมแมลงศตั รูพชื และยังสามารถดำรงชีวติ อยู่เองได้ทั้งในสภาพสวนและสภาพไร่ จึงนบั เปน็ แมลงตวั ห้ำท่ีมีศักยภาพสงู ในการควบคุมแมลงศตั รูพืช มวนพิฆาตมปี ากแบบแทงดดู คล้ายเขม็ ฉีดยา ตามปกติปากของมวนพฆิ าตจะพับเก็บไวใ้ ต้ทอ้ ง แต่เม่อื เจอเหยื่อจงึ จะ ตวัดออกมาดา้ นหนา้ และเข้าจ่โู จมเหย่อื ทนั ที จะกนิ เหยื่อโดยการแทงปากเขา้ ไปในตัวเหยอื่ แลว้ ปลอ่ ยสารพิษ (venom) ทำให้ เหยอ่ื เป็นอัมพาตไมส่ ามารถเคล่อื นไหวได้ จากน้ันจะดดู กนิ ของเหลวจากตวั เหย่ือ จนเหยอื่ ตายในท่สี ดุ แลว้ จึงทิ้งเหยอ่ื เดมิ เพื่อ ไปหาเหย่อื ใหมต่ ่อไป มวนพฆิ าตสามารถกนิ หนอนไดท้ ุกขนาด ตลอดชีวติ ของมวนพฆิ าต 1 ตวั กนิ หนอนศตั รูพชื ไดป้ ระมาณ 200-300 ตวั การผลติ ขยาย การเลี้ยงเหย่ืออาหาร(หนอนนก) 1) นำดกั แดห้ นอนนกท่ีมีขนาดใหญ่และสมบูรณ์ จำนวน 40 กรัม ใสล่ งในถาดพลาสติก 1 ถาด จำนวนทเ่ี ริม่ ผลติ ตอ่ ถาดเปน็ จำนวนทเี่ หมาะสมที่ทำให้จำนวนหนอนและดกั แด้ทผ่ี ลิตไดม้ ปี ริมาณที่พอเหมาะท่ที ำให้หนอนและดักแด้ทุกตัวมีขนาด ใหญ่และสมบรูณ์ และมีอายุ 8 วนั จะลอกคราบเปน็ ตัวเต็มวยั 2) โรยอาหารไก่ใหญล่ งในถาด 40 กรัม พร้อมสำลหี รือผา้ ยดื หรอื ผา้ สำลขี นาด 4 x 4 ตารางนิว้ ชบุ น้ำพอหมาดลงบน เพลทพลาสติกวางบนพน้ื ถาด ชุบน้ำ 2 ครง้ั /สปั ดาห์ ตวั เต็มวัยอายุ 7–10 วัน จะเริ่มวางไขต่ ิดบนพื้นถาดโดยมเี ศษอาหารปก คลมุ ปล่อยไว้จนตัวเต็มวัยตายหมด และไข่ฟักเปน็ หนอนขนาดเล็ก 3) ใชต้ ะกรา้ รอ่ นหนอนออกจากอาหาร ใสล่ งถาดใบใหมเ่ ติมอาหารไก่ หนกั 40 กรมั /ถาด พร้อมสำลหี รือเศษผ้ายืด หรือผา้ สำลีชบุ น้ำพอหมาด 4) หนอนนกต้งั แต่วยั 1-13 เล้ยี งดว้ ยอาหารไก่ เมือ่ อาหารในถาดถูกกนิ จนป่นจะเตมิ อาหารอีกคร้ังละ 500 กรมั /ถาด เมอื่ หนอนนกลอกคราบคร้งั สุดทา้ ยจะเปลี่ยนเปน็ ดักแด้ อาหารจะถกู กนิ จนป่นเกือบหมด 5) เมื่อหนอนมีอายปุ ระมาณ 107 วัน จะลอกคราบเปน็ ดักแด้ 6) เกบ็ ดักแดท้ ี่ได้เพ่อื ใชเ้ ล้ยี งมวนพฆิ าต 7) ดกั แดบ้ างส่วนทำการเล้ียงต่อ ดักแดจ้ ะฟกั เป็นตวั เต็มวยั เพอ่ื การผลิตหนอนนกรอบถัดไป 8) การทำความสะอาดถาดเล้ียงหนอน อาจใช้พัดหรือพดั ลมพัดคราบผนงั ลำตัวท่หี นอนลอกออกมา และใชต้ ะแกรง รอ่ นเศษอาหารที่ป่นและมูลหนอนออกทงิ้ ทุก 30 วัน จนถงึ หนอนอายุ 90 วัน และหลงั จากน้ที ุก 10 วัน จะใชพ้ ดั หรือพัดลมพัด คราบผนงั ลำตัวท่ีหนอนลอกออกมาเพ่ือสะดวกในการเกบ็ ดักแด้ การเลีย้ งมวนพฆิ าต 1. นำมวนพิฆาตพ่อแม่พนั ธตุ์ ัวเต็มวัยจำนวน 40 คู่ ในกล่องพลาสติก ให้ดักแด้หนอนนกเป็นอาหาร นำสาลีชบุ น้ำหมาด ๆ วางในกล่อง มวนพิฆาตจะเริม่ วางไข่ เก็บไข่สปั ดาห์ละ 2 ครั้ง แยกไข่ใสก่ ล่องพลาสติกเพ่ือรอการฟัก 2. ไข่จะฟกั ภายใน 6-7 วนั ใหน้ ้ำเปล่าและดกั แด้หนอนนกเป็นอาหารของมวนพิฆาตวยั 1-2 3. เม่ือตัวอ่อนมวนเจริญเติบโตจนถึงวัยที่ 3 ให้ดักแด้หนอนนกเปน็ อาหาร แบ่งตัวอ่อนวัย 3-4 ไปปล่อยในแปลงพชื ที่ เกิดการระบาดของหนอนศัตรูพชื 4.บางสว่ นเลยี้ งตอ่ เป็นตัวเต็มวัยเพอ่ื เป็นพอ่ แม่พันธ์ุ โดยใหด้ ักแด้หนอนนกหรือหนอนนกเปน็ อาหาร การนำมวนพิฆาตไปใช้ควบคมุ แมลงศตั รูในพืช หากมีการระบาดของหนอนศัตรูพชื สามารถนำมวนพิฆาตไปใชค้ วบคุมแมลงศตั รูพืชโดยการปล่อยมวนพิฆาตระยะตัว ออ่ นวัย 3 ขึน้ ไปหรอื หลังจากฟักจากไข่ประมาณ 20 วนั โดยปลอ่ ยกระจายให้ทัว่ แปลง หรือบรเิ วณทมี่ ีหนอนระบาด ตัวอ่อน
176 ของมวนพฆิ าตระยะนี้ 1 ตวั จะสามารถทำลายหนอนไดป้ ระมาณ 28 ตัว ซ่ึงจะลดปรมิ าณหนอนศัตรพู ชื ได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ สูงถึง 80–90% และควบคมุ การระบาด ภายในเวลา 5 วันหลงั ปลอ่ ย นอกจากนี้มวนพิฆาตสามารถนำไปใช้รว่ มผสมผสานกับจุลินทรยี ช์ นิดอ่นื ได้ ได้แก่ เชอ้ื ไวรัส NPV เชอ้ื แบคทีเรีย Bacillus thuringiensis ในการควบคมุ หนอนกระทู้หอม หนอนกระท้ผู กั และหนอนเจาะสมอฝ้าย ในพชื ตา่ ง ๆ ได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ และทำใหเ้ กิดความหลากหลายในการควบคุมโดยชวี วิธี สว่ นในกรณที ่มี ีการระบาดของแมลงศตั รูพชื รนุ แรง จำเปน็ ตอ้ งใช้สารฆา่ แมลง ควรพน่ สารฆ่าแมลงก่อนปล่อยมวน พฆิ าตอย่างน้อย 15 วนั หรอื หลังปลอ่ ยมวนพฆิ าต 15 วัน ประโยชน์ : การนำมวนพิฆาตไปใช้ควบคุมแมลงศัตรูพืช เป็นอีกทางเลือกหน่งึ ของเกษตรกรท่จี ะช่วยลดหรอื ทดแทนการใช้สารเคมี ปอ้ งกันกาจัดศัตรพู ชื เพิ่มคณุ ภาพผลผลิตทางการเกษตรให้มีความปลอดภัยต่อผู้บรโิ ภค เกษตรกร และปลอดภัยต่อ สภาพแวดล้อม อนั จะเปน็ แนวทางนาไปสรู่ ะบบการเกษตรทย่ี ัง่ ยนื ตอ่ ไป การปล่อยมวนพิฆาตเพื่อควบคุมแมลงศัตรพู ืชในพชื ตา่ งๆ พชื แมลงศตั รูพชื อตั ราการปล่อย (ตัว/ไร)่ หนอ่ ไมฝ้ ร่งั 3,200 ตวั /ไร่/คร้ัง/การระบาด 1 คร้ัง หนอนกระทหู้ อม (Spodoptera exigua) องุน่ หนอนเจาะสมอฝา้ ย (Helicoverpa armigera) 2,400 ตัว/ไร/่ ครง้ั /การระบาด 1 ครง้ั ถั่วฝกั ยาว หนอนกระทผู้ กั (Spodoptera litura) 3,200 ตัว/ไร/่ ครงั้ /การระบาด 1 ครง้ั หนอนกระทูห้ อม (Spodoptera exigua) ถ่ัวเหลอื งและถั่ว หนอนเจาะสมอฝา้ ย (Helicoverpa armigera) 3,900 ตวั /ไร่/ครง้ั /การระบาด 1 ครัง้ เขยี ว หนอนกระทู้หอม (Spodoptera exigua) หนอนเจาะสมอฝ้าย (Helicoverpa armigera) หนอนกระทูผ้ ัก (Spodoptera litura) หนอนกระทผู้ ัก (Spodoptera litura)
177 คำแนะนำการใช้แมลงหางหนีบขาวงแหวน (Ring-legged earwig) ควบคุมแมลงศัตรูพชื แมลงหางหนีบขาวงแหวน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Euborellia annulipes (Lucus) อยู่ในวงศ์ Anisolabidae อันดับ Dermaptera มีขนาดเล็ก ลำตัวแบนยาวสีน้ำตาลดำเป็นมัน ตัวเต็มวัยเมือ่ โตเต็มที่มีความยาวเฉลี่ย 1.6-1.8 เซนติเมตร พบตา รวมเพียงอยา่ งเดียว หนวดแบบเส้นดา้ ย ขาค่อนขา้ งยาวมีสีเหลืองและมีแถบสดี ำเปน็ วงรอบขา ไม่มีปกี บริเวณปลายส่วนท้องมี อวัยวะคล้ายคีม 1 คู่ ใช้สาหรับหนีบจับเหยื่อ เป็นศัตรูธรรมชาติที่สำคัญอีกชนิดหนึ่ง สามารถใช้ควบคุมไข่และตัวหนอนของ ผเี สอ้ื ชนดิ ต่างๆ เช่น หนอนกออ้อย เพล้ียออ่ น และเมลงขนาดเล็กชนิดอ่ืนท่มี ีลำตวั อ่อนนม่ิ วงจรชวี ติ ระยะไข่ ตัวเต็มวัยเพศเมียวางไข่เป็นกลุ่มตามซอกใบพืชหรือใต้ผิวดินใกล้ ๆ ที่มันอาศัยหรือหลบซ่อนอยู่ ไข่มีลักษณะ กลมรี วางไข่เปน็ กล่มุ กลมุ่ ละ 30-60 ฟอง ตลอดชวี ติ เพศเมียอาจวางไขไ่ ด้ถงึ 240 ฟอง ไข่ในระยะแรกมีสีขาวนวล แล้วค่อย ๆ เปล่ียนสีเปน็ สีเหลอื งและเปน็ สีน้ำตาลเม่ือใกลร้ ะยะฟักเป็นตวั อ่อน ระยะไข่ประมาณ 6-8 วนั ตวั อ่อน ระยะตวั อ่อนมี 3 วยั โดยตวั ออ่ นทีฟ่ ักใหม่ ๆ จะมีสขี าวแล้วสีค่อย ๆ เปลย่ี นเปน็ สเี ข้มขน้ึ รปู รา่ งของตัวออ่ นใน แต่ละวยั จะไมแ่ ตกตา่ งกนั นอกจากขนาดของลำตวั ทใี่ หญข่ ้นึ ตามวยั รวมระยะเวลาในชว่ งตัวอ่อนประมาณ 50-60 วนั ตวั เตม็ วัย ลำตวั ยาว 1.6-1.8 เซนติเมตร สีดำเป็นมัน เพศเมียใหญ่กว่าเพศผเู้ ล็กน้อย หนวดมี 17 ปล้อง โดยปลอ้ งที่ 3- 4 จากปลายหนวดมีสีซีด แพนหางคลา้ ยคีม สนี ้ำตาลปนดำยาว 0.6-0.7 เซนติเมตร เพศผ้มู ีปุม่ เล็ก ๆ ยืน่ ออกมาทางด้านในของ แพนหาง เพศเมียแพนหางเรียบ อายุตัวเต็มวัยประมาณ 60-90 วัน รวมระยะเวลาตั้งแต่ระยะไข่ถึงตัวเต็มวัยประมาณ 4-5 เดอื น การเพาะขยายแมลงหางหนบี วสั ดุและอุปกรณ์เล้ียงแมลงหางหนีบ 1. แกลบดำ หรอื ดนิ ผสมเศษใบไมแ้ หง้ 2. กล่องพลาสตกิ เล้ยี งแมลงหางหนีบขนาด 18x27x10 เซนติเมตร 3. กระบอกฉีดนำ้ 4. จานพลาสติกหรอื ฟอยสข์ นาดเล็กสำหรบั ใส่อาหาร 5. อาหารเลย้ี งสัตว์ ไดแ้ ก่ อาหารแมว วธิ เี พาะขยาย 1. อบแกลบดำที่อุณภูมิ 100 องศาเซลเซียส นาน 3 ชั่วโมง หรือตากแดดจัด ๆ อย่างน้อย 2 วัน โดยพยายามพลิก แกลบใหท้ ัว่ เพ่อื ทำลายโรคและแมลงชนิดอ่ืน ๆ ทตี่ ิดมากบั แกลบ 2. นำแกลบทผี่ า่ นการอบแล้วมาใสใ่ นกลอ่ งเล้ยี งแมลงหนาประมาณ 2-3 ซม. พน่ น้ำบนแกลบให้ทั่วเพ่ือใหค้ วามชนื้ 3. นำแมลงหางหนีบตัวเต็มวัยใส่ลงในกล่องจำนวน 40 ตัว โดยใส่เพศผู้ 10 ตัว เพศเมีย 30 ตัว (อัตราส่วน เพศผู้:เพศ เมยี เทา่ กบั 1:3) 4. สามารถใช้อาหารสตั ว์สำเรจ็ รูป ได้แก่ อาหารแมว ให้อาหารปรมิ าณ 30 กรมั ตอ่ กลอ่ ง และพน่ น้ำไปบนแกลบดำให้มี ความชน้ื อยเู่ สมอทกุ สัปดาห์หรือเมอ่ื แกลบหมดความชืน้ เปล่ียนอาหารทุก 3 วัน เพอื่ ป้องกันอาหารเน่าเสยี หรือเติมอาหารเพ่ิม เมอ่ื อาหารเดิมหมด 5. ตวั เต็มวยั แมลงหางหนีบเพศเมียวางไขเ่ ป็นกลุม่ ๆ ละ 30-60 ฟอง ตลอดชวี ติ วางไข่ได้ 4-5 คร้งั 6. เพศเมียมีนิสัยหวงไข่ การแยกไข่ออกมาเพื่อเพาะขยาย อาจรบกวนแมลงเกินไป จะทำให้ตัวแม่กินไข่ได้ ควรรอจน ตัวออ่ นฟักออกจากไข่หมด อย่างนอ้ ย 14 วนั จึงแยกไปเลย้ี งในกล่องใหม่ 7. เมอ่ื ตัวออ่ นแมลงหางหนบี ฟักออกมา ใหอ้ าหารแมวบดให้ละเอยี ดมากข้ึนกว่าปกติ เมอื่ ครบ 2 สัปดาห์ จึงเปล่ียนมา ให้อาหารผสมเหมือนข้อ 4 และพ่นน้ำใหแ้ กลบมคี วามชืน้ อยเู่ สมอ 8. เมอื่ แมลงหางหนีบอายุ 30-40 วัน สามารถนำไปปล่อยในไร่ หรอื นำไปแยกเลยี้ งในกล่อง ๆ ละ 40 ตัว ในอัตราส่วน เช่นเดิม
178 การนำไปใช้ควบคุมศตั รพู ืช ออ้ ย สามารถนำไปใช้กำจัดแมลงศัตรูอ้อย เช่น ไข่และหนอนกออ้อยชนิดต่าง ๆ รวมถึงแมลงขนาดเล็กที่มีลำตัวอ่อนนุ่มอีก หลายชนิด ให้ทำการสำรวจแมลงศัตรูอ้อยก่อนปล่อยแมลงหางหนีบ 1 วัน และหลังปล่อย 15 วัน เมื่อพบแมลงศัตรูอ้อย ให้ ปล่อยแมลงหางหนีบในอัตรา 500 ตัวต่อไร่ ในเวลาเย็น โดยปล่อยให้กระจายทั่วแปลงปลูก ปล่อยแมลงหางหนีบใหช้ ิดกออ้อย และหาเศษใบอ้อยหรือเศษฟางที่เปียกชื้นคลุมดา้ นบน เพื่อช่วยใหแ้ มลงหางหนีบปรับตัวได้ก่อน ช่วยให้แมลงหางหนีบมีโอกาส รอดสูงขึ้น และทำการปล่อยซ้ำเมื่อการระบาดไม่ลดลง ข้อควรระวัง ไม่ควรปล่อยแมลงหางหนีบหากไม่พบศัตรูพืช เนื่องจาก อาจทำให้แมลงหางหนีบขาดอาหาร เคลื่อนย้ายไปที่อื่นเพื่อหาอาหาร หรืออาจทำให้แมลงหางหนีบไปทำลายแมลงศัตรู ธรรมชาตชิ นิดอื่นแทน
179 คำแนะนำการใช้แมลงช้างปกี ใส Plesiochrysa ramburi ควบคุมแมลงศตั รูพืช แมลงช้างปกี ใส ในระยะตวั อ่อน เปน็ ตวั ห้ำทีม่ ปี ระโยชน์ในการช่วยกาจัดศตั รูพืชทีม่ ีขนาดเล็ก ได้แก่ เพลี้ยแป้ง เพล้ยี ออ่ น เพลีย้ ไฟ เพล้ียหอย ตัวอ่อนแมลงหวขี่ าว หนอนตัวเล็ก ๆ ไรแดง และไข่ของแมลงศัตรพู ืชหลายชนิด เฉพาะตวั อ่อนของ แมลงช้างปีกใสเท่าน้นั ทีม่ ีพฤตกิ รรมการเป็นตวั ห้ำ ซง่ึ เขา้ ทำลายเหยื่อโดยใชฟ้ นั กรามทโี่ ค้งยาวย่นื ไปดา้ นหนา้ จับเหย่ือแทง และ ดดู กินของเหลวภายในตวั เหยือ่ จนเหย่ือตาย สำหรบั ตวั เตม็ วัย กนิ น้ำหวานและน้ำเป็นอาหาร ท้งั ตวั อ่อน และตัวเตม็ วัยไม่ ทำลายพชื จงึ นับเป็นแมลงศตั รธู รรมชาติ ท่ีเกษตรกรสามารถนำไปใช้ประโยชน์เพอ่ื ควบคุมแมลงศัตรูพชื โดยชวี วิธีในสภาพไร่ได้ รปู รา่ งลกั ษณะและชวี วิทยาของแมลงช้างปีกใส ไข่ ไขจ่ ะวางเป็นกลุม่ หรือฟองเดี่ยว ๆ มกี า้ นชสู ีขาวใสคลา้ ยเสน้ ด้าย ลักษณะไข่รปู รา่ งยาวรี สเี ขยี วออ่ นเมื่อวางใหม่ ๆ เมอ่ื ใกล้ฟักจะเปลีย่ นเป็นสนี ้ำตาล และเปน็ สขี าวเม่ือฟักแล้วไข่มีขนาดความกว้างประมาณ 0.4 มิลลเิ มตร ยาว ประมาณ 0.7 มลิ ลเิ มตร ระยะฟักไขป่ ระมาณ 3-4วัน ตัวอ่อน ระยะตวั อ่อนจะมีสีน้ำตาลออ่ น และเปลยี่ นเปน็ สนี ้ำตาลเขม้ เมื่ออายมุ ากขึน้ บริเวณด้านบนและด้านขา้ งของ ลำตัวจะมเี สน้ ขนจำนวนมากจะเป็นท่ยี ดึ เกาะของเศษอาหารและขยะ ตัวอ่อนที่ออกจากไขจ่ ะมีพฤตกิ รรมเป็นตวั ห้ำทันที ระยะ ตวั อ่อนมี 3 วยั ใชเ้ วลาประมาณ 10-13 วนั ดกั แด้ ดกั แด้เมื่อสงั เกตภายนอกมีรูปรา่ งกลม ตวั ออ่ นวยั 3 จะสร้างเส้นใยสีขาวปกคลมุ ลำตวั แลว้ เข้าดักแด้อยูภ่ ายใน ตัวออ่ นมักจะเขา้ ดักแดต้ ดิ กบั ใบพชื ระยะดักแด้มีอายุ 9-11 วนั ตัวเตม็ วัย ตวั เต็มวัยมลี ำตัวสเี ขยี วอ่อน ตาสีทองอมแดง หนวดเรียวยาว ปกี สีเขยี วออ่ นใส เหน็ เสน้ ปกี ชัดเจน ขนาด เกือบเท่ากันทั้ง 4 ปีก เมื่อเกาะนง่ิ ปกี จะแนบลำตวั คลา้ ยรูปหลงั คา เพศเมยี มีขนาดลำตวั ใหญ่กว่าเพศผู้ หลังจากจบั คู่ผสมพันธ์ุ แลว้ 2-3 วนั เพศเมียจึงจะเริ่มวางไข่ และสามารถวางไข่ได้ 300 –450 ฟอง ตัวเต็มวัยเพศผูม้ อี ายุประมาณ 15-25 วัน เพศเมีย มีอายุประมาณ 20-30 วนั การใชแ้ มลงช้างปกี ใส ปล่อยแมลงชา้ งปีกใสระยะตัวอ่อน ในอัตรา 1,000 – 2,000 ตวั /ไร่ ปลอ่ ยแมลงช้างปีกใสระยะตัวเตม็ วยั ในอตั รา 2,000 – 3,000 ตวั /ไร่ ควรปลอ่ ยทุก ๆ 7 วัน หมายเหตุ ถา้ มีแมลงชา้ งปีกใสมาก กส็ ามารถปลอ่ ยได้ในปริมาณมาก ขอ้ แนะนำ - ควรสำรวจการระบาดของแมลงศัตรูพชื อย่างสม่ำเสมอ - ควรปลอ่ ยแมลงชา้ งปีกใสให้สัมพนั ธก์ ับการระบาดของแมลงศัตรพู ืช - อัตราการใช้จะขึน้ กบั ชนดิ พืช และปรมิ าณแมลงศัตรูพชื - สามารถเปลีย่ นอตั ราการใช้ หรือจำนวนครั้งในการปลอ่ ยได้ ข้นึ อยกู่ ับสถานการณก์ ารระบาดของแมลงศัตรูพืช การอนุรกั ษ์ - ควรปลอ่ ยในชว่ งทส่ี ภาพแวดล้อมเหมาะสม - หลีกเลยี่ งการใช้สารฆา่ แมลงบริเวณที่ปล่อยแมลงชา้ งปีกใส - ควรมแี หลง่ อาหาร หรอื พชื อาศยั ให้ ตวั อ่อน และตัวเต็มวัยแมลงช้างปกี ใส
180 วธิ ีการเลี้ยงแมลงชา้ งปีกใส Plesiochrysa ramburi เพื่อควบคุมเพลี้ยแป้ง ขั้นตอนการเพาะเล้ียงมี 2 ขั้นตอน ดังนี้ 1. เลยี้ งขยายเพล้ียแป้งเพ่ือเป็นเหย่อื เลี้ยงตัวอ่อนแมลงช้างปกี ใส เก็บรวบรวมเพลยี้ แปง้ จากแหล่งปลกู พืชตา่ ง ๆ ที่มเี พลี้ยแป้ง นำมาเลย้ี งบนผลฟักทอง โดยใชผ้ ลฟกั ทองขนาดเส้น ผ่านศูนย์กลาง 20 -25 เซนตเิ มตร ใส่ฟกั ทองในตะกรา้ พลาสตกิ สเี่ หลี่ยม ขนาด 32 x 40 x 12 เซนตเิ มตร จำนวน 5 -6 ลกู ตอ่ ตะกรา้ พลาสติก รองกน้ ตะกร้าพลาสติกด้วยกระดาษเพื่อซับความชื้น เข่ยี เพลย้ี แป้งหรอื นำพืชท่ีมเี พลย้ี แป้งอยู่วางบนผลฟกั ทอง ทอี่ ยู่ในตะกร้า ปิดดา้ นบนด้วยผา้ ขาวบาง วางทง้ิ ไวป้ ระมาณ 20-25 วนั ไดเ้ พลี้ยแปง้ ท้ังตัวเตม็ วยั และตัวอ่อนอยู่บนผลฟักทอง สำหรับนำไปใชเ้ ล้ยี งตัวอ่อนของแมลงช้างปีกใส 2. เลยี้ งขยายแมลงช้างปีกใสตัวเต็มวัย นำแมลงช้างปกี ใสพ่อแม่พันธทุ์ ไี่ ดจ้ ากสำนักวจิ ัยพัฒนาการอารกั ขาพืช ใช้อัตราแมลงช้างปีกใสตัวเต็มวัยเพศผู้ 40 ตัว เพศเมีย 60 ตัวใส่กลอ่ งสเ่ี หลยี่ มขนาด 18×26×10 เซนติเมตร ทร่ี องพ้นื กลอ่ งแลว้ ดว้ ยกระดาษ ปิดกล่องด้วยผา้ ขาวบาง ภายในกล่องติด กระดาษไขที่มนี ้ำผง้ึ ผสมยีสต์ เพอื่ เปน็ อาหารของแมลงช้างปกี ใสตัวเต็มวัย วางแผ่นสำลชี ุ่มน้ำไวด้ า้ นบนผ้าขาว บางเพื่อให้ความช้ืนแก่ตวั เต็มวัย เปลย่ี นกล่องตัวเตม็ วยั แมลงช้างปกี ใสทกุ ๆ 3 วัน เน่ืองจากตัวเต็มวัยแมลงชา้ งปีกใสจะวางไข่ ไว้ในกลอ่ ง ตอ่ จากนน้ั นำฟักทองทม่ี ีเพลีย้ แปง้ จากข้นั ตอนที่ 1 ใสใ่ นกล่องที่มีไขข่ องแมลงชา้ งปีกใสเพื่อเลีย้ งตัวอ่อนแมลงช้างปีก ใส โรยกระดาษทชิ ชทู ีต่ ัดเป็นร้ิวๆลงในกล่อง ปดิ กลอ่ งดว้ ยผ้าขาวบาง วางไวป้ ระมาณ 15-20 วนั เพ่ือใหต้ วั อ่อนเจริญเตบิ โต (สามารถเกบ็ ตวั อ่อนระยะนไี้ ปปล่อยควบคุมศตั รูพืชได้ ) จนกระท่ังเขา้ ดักแด้ จากนน้ั เก็บดักแด้ เพอ่ื ให้ฟกั เปน็ ตัวเต็มวยั (สามารถนำตัวเต็มวัยไปปล่อยควบคมุ ศตั รูพืชได้) วธิ กี ารเพิ่มประชากรแมลงชา้ งปีกใส ทำโดยนำแมลงชา้ งปกี ใสทเ่ี ปลี่ยนจาก กล่องเดิม นำไปเลย้ี งในกล่องใหม่มีวธิ กี ารทำเชน่ เดยี วกบั วิธกี ารข้างต้น
181 คำแนะนำการใช้เชื้อแบคทีเรยี ควบคุมแมลงศัตรพู ชื เชื้อแบคทีเรยี Bacillus thuringiensis เป็นชนดิ แบคทเี รียที่รจู้ ักกันในช่ือ Bt หรือ B.T. หรือ บที ี เป็นแบคทเี รีย แก รมบวก (gram positive) มีรูปรา่ งเป็นทอ่ น (rod shape ) มกี ารสร้างสปอร์ มคี วามปลอดภยั จากการใชเ้ ช้ือ Bt กับสัตวเ์ ลอื ดอุน่ เชน่ นก สตั ว์น้ำพวกปลา และแมลงที่เปน็ ประโยชน์ เช่น ผงึ้ แมลงห้ำ แมลงเบียนด้วย ลักษณะเฉพาะของ Bt คือสามารถสรา้ ง สารพิษ ซง่ึ เมื่อแมลงกนิ เขา้ ไปจะทำให้แมลงตาย ดงั นน้ั จึงมปี ระสทิ ธภิ าพเฉพาะกบั ตัวอ่อนหรือวัยหนอนของแมลง ยกเว้นบาง สายพันธุ์ของ Bt ที่ทำลายไดท้ ัง้ ตวั ออ่ นและตัวเตม็ วยั ของด้วงปกี แขง็ บางชนิด จงึ ได้มีการนำไปใช้ควบคุมแมลงทก่ี ินพืชผล ทางการเกษตร เช้อื แบคทเี รีย Bacillus thuringiensis ฆา่ แมลงได้อย่างไร สารฆ่าแมลงมีทั้งชนิดที่ถูกตัวตายและกินตาย ซึ่งแตกต่างจาก Bt เพราะแมลงจะต้องกินเข้าไปและจะมีประสิทธิภาพ เฉพาะกับตัวอ่อนหรือวัยหนอนของแมลง ยกเว้นบางสายพันธุ์ของ Bt ที่ทำลายได้ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยของด้วงปีกแข็งบาง ชนิด ผลึกโปรตีนของ Bt ที่เป็นสารพิษที่นำมาใช้ในการควบคุมแมลงศัตรูพืช เมื่อเข้าไปอยู่ในกระเพาะอาหารส่วนกลางของ แมลง (mid gut) ที่มีสภาพเป็นด่าง คือมีค่า pH ประมาณ 8.9 หรือมากกว่านั้น จะเกิดการย่อยสลายของผลึกโปรตีนและถูก กระตนุ้ ใหม้ ีการเปลยี่ นแปลงโครงสร้างของโมเลกุลโดยน้ำย่อยของแมลง กลายเป็นสารพิษ ซ่งึ สารพษิ นจ้ี ะทำใหเ้ กิดรใู นกระเพาะ อาหารส่วนกลางของแมลง ทำให้เซลล์ผนังกระเพาะอาหารบวมและแตกออก ของเหลวที่อยู่ในกระเพาะจะไหลออกตามรอย แผลไปอยู่ที่ช่องว่างภายในลำตัวของแมลง ส่งผลให้แรงดันของระบบเลือดเสียสมดุล แมลงจะเป็นอัมพาต กินอาหารและ เคลื่อนไหวไม่ได้และตายในที่สุด นอกจากนี้สปอร์ที่แมลงกินเข้าไปจะไปขยายพันธุ์อยู่ที่กระเพาะ และบางส่วนก็จะเข้าไปตาม รอยแผล ไปแบ่งตัวอย่ตู ามเนอ้ื เยื่อต่าง ๆ ในตวั แมลง ซ่งึ เป็นสาเหตุของโลหิตเป็นพิษ แมลงจะตายในที่สุด การที่แมลงศตั รูพืชจะตายเร็วหรือช้าขนึ้ กบั ปจั จัย 1. ความเป็นกรด-ดา่ ง ภายในลำไส้ของแมลงแตล่ ะชนิดจะมี pH ทไี่ มเ่ หมือนกันซงึ่ pH ที่เหมาะสมคือ 8.9 ขึ้นไป 2. ชนิดของแมลง, อายุ, ความแขง็ แรง (healthy) และวัยท่ีเหมาะสม (คือระยะตวั อ่อน) 3. สภาพแวดลอ้ ม ไดแ้ ก่ อุณหภูมิ ความช้ืน แสงแดด พืชอาหาร ฯลฯ 4. ชนดิ ของเชือ้ Bt ซ่งึ มหี ลาย subspecies หรอื varieties หรือ serovar ความแขง็ แรงของเช้ือ Bt และการปนเปือ้ น ของเชื้อBt การใช้ Bacillus thuringiensis ควบคุมแมลงศัตรพู ชื 1. อา่ นฉลากขา้ งภาชนะบรรจุก่อน เพ่ือทราบวา่ Bt ใชค้ วบคมุ แมลงศัตรูพืชชนิดใดได้บ้าง มชี ่อื ของแมลงศตั รูพชื ท่เี รา ต้องการกำจดั ระบอุ ยหู่ รือไม่ ท้งั น้เี นือ่ งจาก Bt ทมี่ จี ำหน่ายในท้องตลาดมหี ลากสายพันธุ์ ประสทิ ธิภาพในการควบคุมแมลง ศตั รูพืชแตกต่างกนั ไป 2. การผสม Bt กบั น้ำกอ่ นการพ่น ในท้องตลาดมี Bt จำหน่ายหลายรปู แบบเช่น รปู ผงละลายน้ำ รปู น้ำหรอื ในรูป สารละลายน้ำเขม้ ขน้ เป็นตน้ ในกรณีท่เี ป็น Bt รูปเมด็ ละลายน้ำ รูปผงละลายน้ำไม่ควรผสม Bt กับน้ำในถงั เลยทเี ดียว ควรแบง่ น้ำจำนวน 1 –2 ลิตร แล้วผสม Bt ใหเ้ ขา้ กนั ให้ดเี สียก่อนจึงค่อยเทใสถ่ ังน้ำท่เี ตรียมเอาไว้ กวนให้เข้ากันอีกทจี งึ เทลงในถงั เครื่อง พ่นสาร การใช้ Bt ควรผสมสารจบั ใบด้วยทุกคร้ัง โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงการพน่ Bt ในพชื ตระกลู กะหล่ำ ซงึ่ มลี ักษณะใบเป็นมนั สารจับใบจะชว่ ยให้ Bt เคลอื บคลุมผิวใบให้ทัว่ ใบได้ดีขนึ้ และช่วยลดการชะล้างของน้ำฝนหรือน้ำท่รี ดแปลงตอ่ Bt ที่พ่นไวบ้ น พชื 3. ศึกษาอปุ นสิ ัยของแมลงศัตรพู ชื ทที่ ำลายพืช ต้องรู้ว่าแมลงอาศยั กัดกนิ อยูส่ ่วนใดของพชื เชน่ คะนา้ จะมีหนอนใย ผกั และหนอนคบื กะหล่ำเปน็ แมลงศัตรูทีส่ ำคัญ แมลงทั้ง 2 ชนิดน้อี าศยั กัดกินอยทู่ างด้านลา่ งของใบคะนา้ โดยท่วั ไปเกษตรกร มักพน่ สารโดยใหห้ ัวฉีดของเครอ่ื งพน่ สารอยูเ่ หนอื แปลงปลูกและเดินพน่ ไป ละอองของสารฆา่ แมลงจะตกอยสู่ ่วนบนของใบ คะนา้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องพ่นยาชนดิ สบู โยกสะพายหลังท่มี แี รงดนั ของหวั ฉีดน้อย ดงั น้นั การพน่ บนพชื ตระกูลกะหล่า ควร เอียงหวั ฉดี เข้าทางด้านลา่ งของตน้ เพื่อให้ละอองของสารฆ่าแมลงลงสใู่ ตใ้ บซึ่งเป็นแหลง่ ท่ีหนอนใยผกั และหนอนคบื กะหล่ำอาศัย อยู่
182 4. การปรับขนาดของละอองสารของหัวฉดี เครือ่ งพน่ สาร ใหล้ ะอองสารมีขนาดเล็กที่สุดจะทาให้จับผิวใบได้ดกี วา่ การ พ่นทมี่ ีขนาดละอองสารใหญ่ ซง่ึ สารฆ่าแมลงจะไหลลงดินเปน็ ส่วนใหญ่ และมผี ลตอ่ การเปลอื งสารกำจดั แมลงด้วย เน่ืองจากใช้ ปรมิ าณน้ำต่อไรส่ ูง 5. ระยะเวลาพ่น Bt เปน็ จลุ ินทรยี ท์ ่ีเป็นสง่ิ มีชวี ติ ขอ้ จากัดของมันคือ จะถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วโดยรงั สีอุลตร้าไวโอ เลตจากแสงแดด ดังนนั้ จึงควรหลกี เลย่ี งการพ่น Bt ในขณะแสงแดดจัดในชว่ ง 10.00 น. ถึง 15.00 น. ควรพ่นหลังเวลาบ่าย หลัง เวลา 15.00 น.ไปแล้ว จะช่วยให้ Bt คงอยบู่ นต้นพชื ได้นานข้ึน 6. ใช้ Bt ตามอตั ราที่แนะนา Bt มีข้อจำกดั ในเรื่องของการฆ่าหนอนจะไม่ทำให้หนอนทีก่ นิ เชอื้ เขา้ ไปตายในทนั ที ต้อง ใช้เวลา 1 -2 วนั ดังนนั้ การใช้ Bt ตำ่ กวา่ อตั ราที่ได้แนะนำเอาไว้ พืชผักอาจได้รบั ความเสียหาย เพราะบางคร้ังพบวา่ การใชอ้ ัตรา ตำ่ ไมส่ ามารถกำจัดแมลงศตั รูพืชในแปลงได้ 7. หมั่นตรวจตราดูแปลงปลูกพชื เน่ืองจากเชอื้ Bt ต้องใช้เวลา 1 –2 วัน ในการกำจัดแมลงศัตรูพืชทท่ี ำลายพืชผัก ดงั นน้ั การใช้ Bt ให้ไดผ้ ลดี เกษตรกรต้องหมนั่ ตรวจตราดูแปลงปลกู พืช เช่น กะหล่ำปลี ควรมีการตรวจตราดแู ปลงโดยเดิน สำรวจและพลกิ ใบดูหนอน ยกตวั อย่างเชน่ หนอนใยผัก การป้องกันกำจัดท่ีได้ผลดคี วรจะกระทำในระยะแรกที่พบหนอนขนาด ตัวเล็ก ๆ ท่เี พงิ่ ฟกั ออกจากไข่ เกษตรกรอาจจะสงั เกตดูจากจำนวนของตวั เต็มวัยเพศเมยี ศึกษาดใู หค้ ้นุ เคยกับรูปร่างหนา้ ตาของ ไข่ของหนอนใยผกั การใชส้ ารฆา่ แมลงไมว่ า่ จะเป็นสารเคมีหรือ Bt กับหนอนใยผักทม่ี ีขนาดตัวโตมกั จะไม่ได้ผล เปน็ ผลทำให้เกดิ ความเสียหายต่อพชื ผัก การพ่น Bt ในแหล่งทีม่ ีการระบาดของหนอนใยผักไมร่ นุ แรง ควรพน่ สัปดาหล์ ะครัง้ ในแหล่งที่พบการ ระบาดอยู่เป็นประจำ เช่น แหลง่ ปลกู ผกั ทร่ี าบภาคกลาง การใช้ Bt ควรพน่ ทกุ 5 วนั เมอ่ื ปรมิ าณหนอนถงึ จำนวนที่กำหนดเอาไว้ ในช่วงหนา้ แลง้ ในท้องทีภ่ าคกลางพบวา่ ถ้ามีการระบาดของหนอนใยผกั จะตอ้ งพน่ Bt ทุก 4 วนั จึงจะสามารถเกบ็ เก่ียวผลผลิต ผักให้มีคุณภาพตามทีต่ ลาดต้องการ ข้อดีของการใช้ Bt 1. Bt เปน็ เชือ้ จุลนิ ทรีย์ที่มคี วามเฉพาะเจาะจงต่อแมลงเปา้ หมายสงู จงึ สามารถนำไปใช้กับแมลงท่ตี ้องการกำจดั เท่านัน้ โดยไม่มีผลกระทบต่อแมลงชนิดอืน่ ๆ ทไี่ ม่ต้องการกำจัด เชน่ แมลงศตั รธู รรมชาติ (แมลงห้ำ แมลงเบียน) ตลอดจนแมลงทม่ี ี ประโยชนอ์ นื่ ๆ 2. Bt ได้มกี ารทดลองแลว้ ว่าปลอดภัยต่อมนุษย์ สตั ว์ และพชื ดงั นั้นจงึ ปลอดภยั ต่อเกษตรกรผู้ใช้และผบู้ ริโภคพืชผล 3. Bt ไม่มฤี ทธ์ิตกค้างเมื่อนามาใชบ้ นพืชผัก หลังจากเก็บผลิตผลแล้วสามารถนำมาลา้ งทำความสะอาดแลว้ บริโภคได้ ทันที 4. Bt จดั เปน็ จลุ นิ ทรียท์ ่ีมปี ระสิทธิภาพสูงเม่ือเปรียบเทยี บกับจลุ ินทรีย์ชนดิ อ่ืน ๆ ที่สามารถนำมาใช้ควบคุมแมลงศตั รูพืช ได้ มีการผลิตจำหน่ายอย่างกว้างขวางสามารถนำมาใช้ทดแทนสารเคมีกำจัดแมลงศัตรพู ืชได้ 5. Bt ไดม้ ีการศกึ ษาและพฒั นาพบสายพนั ธหุ์ ลากหลาย มีความสามารถในการควบคมุ แมลงศัตรพู ืชอย่างกวา้ งขวาง โอกาสทีแ่ มลงสร้างความต้านทานต่อ Bt มีน้อยกว่าสารฆ่าแมลง จะเห็นได้วา่ Bt ไดน้ ำเข้ามาใชต้ ้ังแต่ปี 2512 จนกระท่งั ปัจจบุ นั ยังใช้ Bt ควบคุมแมลงศตั รพู ชื อย่างไดผ้ ล ขณะท่กี ารใช้สารเคมปี ระสบปัญหาเร่อื งแมลงสร้างความต้านทานต่อสารเคมีอย่าง รวดเรว็ ทำใหต้ อ้ งพฒั นาสารเคมชี นิดใหม่มาใชต้ ลอดเวลา 6. Bt สามารถนำไปใชร้ ว่ มกับวธิ ีป้องกนั กำจดั วธิ กี ารอื่น ๆ ได้เป็นอยา่ งดี สามารถนาไปใช้รว่ มกบั สารเคมี หรือนำไป ทดแทนการใชส้ ารเคมีฆ่าแมลงในแหลง่ ท่ีมปี ัญหาแมลงศัตรูพชื ทด่ี ื้อต่อสารเคมี ข้อจำกดั ของการใช้ Bt 1. Bt มีความเฉพาะเจาะจงต่อแมลงเปา้ หมายสงู จงึ ไมส่ ามารถใช้กับแมลงศัตรูพืชทพ่ี บว่ามีการระบาดในแปลงหลายๆ ชนิด จำเป็นตอ้ งศึกษาก่อนว่า Bt สามารถใช้ควบคมุ แมลงศัตรูพชื ชนดิ ใดบา้ งก่อนทจ่ี ะนำไปใช้ 2. Bt ออกฤทธิช์ ้า ใชเ้ วลา 1 –2 วนั หนอนจงึ จะตาย เกษตรกรคนุ้ เคยกบั การใชส้ ารฆ่าแมลงซึง่ ออกฤทธิ์เรว็ หนอนจะ ตายทันทเี ม่ือพน่ สาร เป็นเหตุให้เกษตรกรไมน่ ยิ มใชเ้ ช้อื Bt 3. Bt เปน็ สิ่งมีชวี ิตขนาดเลก็ มกั ถูกทำลายโดยรังสอี ุลตร้าไวโอเล็ตจากแสงอาทติ ย์ เม่ือพ่นไปบนพืช Bt จึงอยู่บนต้นพืช ได้ไมน่ าน ดังน้นั จงึ ควรพน่ Bt หลงั เวลา 15.00 น. ไปแลว้ เพ่ือหลีกเลี่ยงแสงอลุ ตร้าไวโอเลต จะช่วยให้ Bt คงอยู่บนใบพชื ไดน้ าน ขึน้
183 4. Bt โดยท่ัวไปราคาสูงกว่าสารฆา่ แมลง เกษตรกรมักนยิ มใชส้ ารเคมีท่มี ีราคาถูกมากกว่าโดยลมื นึกถึงข้อเปรยี บเทยี บ ความปลอดภัยต่อตัวเกษตรกรเอง และผลกระทบต่อผูบ้ ริโภคในเรื่องของพษิ ตกค้าง 5. ไมค่ วรผสม Bt กบั สารเคมีกำจัดโรคพืช เน่ืองจากสารเคมีกำจัดโรคพชื บางชนดิ มีฤทธทิ์ ำให้ Bt เส่อื มคุณภาพ ถา้ จำเปน็ ต้องพน่ สารกำจัดโรคพืชควรแยกพน่ กับ Bt
184 คำแนะนำการใช้เชือ้ ไวรสั NPV ควบคุมแมลงศัตรูพืช ไวรสั ชนิดนิวเคลยี รโ์ พลีฮีโดรซีสไวรัส (Nucleopolyhedro virus, NPV) ทำใหเ้ กิดโรคกับหนอนผีเส้ือศตั รูท่มี ี ความสำคญั ของพืชเศรษฐกจิ มากทส่ี ดุ ไวรัส NPV เป็นไวรัสทีเ่ กดิ โรคกบั แมลง พบระบาดตามธรรมชาติในประเทศไทย มี คณุ สมบัติพิเศษ คอื มคี วามเฉพาะเจาะจงต่อแมลงเปา้ หมายเทา่ นนั้ เช่น ไวรัส NPV ของหนอนกระท้หู อมจะทำลายเฉพาะ หนอนกระทูห้ อม หรือไวรัส NPV ของหนอนเจาะสมอฝ้ายจะทำลายเฉพาะหนอนเจาะสมอฝา้ ย จงึ มีความปลอดภยั ตอ่ มนุษย์ สัตว์ และส่ิงแวดลอ้ ม การนำไปใช้ควบคมุ แมลงศตั รูพชื เป็นการช่วยอนรุ กั ษ์แมลงศตั รูธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ้ ม หนอนได้รบั ไวรัส NPV จากการกนิ พืชอาหารทพี่ น่ ไวรัสลงไป ไวรัสจะเขา้ ทำลายนิวเคลียสของเซลล์กระเพาะอาหารสว่ นกลางกอ่ น จากนั้น เข้าทำลายนิวเคลยี สของเซลล์เมด็ เลือด ไขมนั กลา้ มเน้ือทางเดนิ อาหาร ท่อหายใจและผนงั ลำตวั หนอนจะตายภายใน 2-7 วัน (ข้นึ อยู่กับขนาดของหนอนและไวรสั ท่ีกนิ ไป) ลกั ษณะอาการสำคญั ของโรคทเ่ี กิดจากไวรัส NPV คือ หนอนจะมลี กั ษณะลำตัวสี ขาวขุ่นหรือสีครีม ผนังลำตัวแตกเละง่าย หนอนมักตายในลักษณะห้อยหัวและสว่ นทอ้ งคล้ายรปู ตัว”ว”ี หัวกลับ โดยใชข้ าเทียม 1 คู่ เกาะตน้ พืชไว้ เม่ือหนอนตายผนกึ ไวรัสทีอ่ ยู่ในลำตัวหนอนจำนวนมากจะกระจายออกไปโดยลม นำ้ หรือสัตวพ์ าไป ทำให้ เกดิ ระบาดของเชอื้ ไวรสั NPV ในประชากรของหนอนชนิดนัน้ ๆ และสามารถถ่ายทอดไปสู่รุน่ ลูกหลานตอ่ ไปได้ ชนิดของไวรัส NPV ทีน่ ำมาใชค้ วบคมุ แมลงศัตรพู ชื ในขณะทกี่ รมวชิ าการเกษตรได้ดำเนินการผลติ และขยายปริมาณไวรัส NPV ของหนอน 3 ชนิด คอื ไวรสั NPV ของ หนอนกระท้หู อม (SeNPV) ไวรัส NPV ของหนอนเจาะสมอฝา้ ย (HaNPV0 และไวรสั NPV ของหนอนกระทูผ้ ัก (SlNPV) เน่อื งจากเกษตรกรประสบปัญหาจากแมลงศัตรูทั้ง 3 ชนดิ บนพืชเศรษฐกจิ มากกว่า 20 พืช วธิ ใี ช้ไวรัส NPV 1. วธิ ีใชไ้ วรสั NPV เหมือนกับสารฆ่าแมลงท่วั ๆ ไป คอื ผสมน้ำตามอตั ราที่กำหนดบนฉลาก 2. เนอ่ื งจากไวรัส NPV ทำงานช้ากวา่ สารฆ่าแมลง ดงั นั้นจำเปน็ ต้องพ่นคลุมให้ทวั่ บริเวณท่ีหนอนอาศัยอยู่ เพ่อื ทจี่ ะใหห้ นอนกนิ เชื้อไวรัสมากทีส่ ุด 3. ไวรัส NPV เปน็ จลุ นิ ทรียข์ นาดเล็กมาก มักถูกทำลายได้ง่ายจากรังสอี ลุ ตรา้ ไวโอเลต็ จากแสงแดด จึงควรพน่ ไวรสั หลัง 15.00 น. ไปแลว้ เพื่อชว่ ยให้ไวรสั อยู่บนตน้ พชื ไดน้ านขึน้ 4. การพ่นไวรสั ในขณะท่ีพบหนอนขนาดเลก็ หรือเพิ่งฟักออกจากไข่ จะสามารถควบคมุ ได้ดีกว่าหนอนทมี่ ขี นาดใหญ่ ดงั น้นั ควรหมัน่ ตรวจดแู ปลงปลกู พืชสปั ดาห์ละ 2 ครงั้ เพื่อสามารถใช้ไวรัสควบคุมศัตรูไดร้ วดเร็วขึน้ 5. การพ่นไวรัส NPV ควรผสมสารจบั ใบอัตราตามฉลากทุกคร้ัง ยกเวน้ ในระยะทีช่ ่อดอกส้มและองุ่นบาน ไม่ควรผสม สารจบั ใบ การผลติ ไวรสั NPV หนอนกระท้หู อมไว้ใช้เองในไร่ของเกษตรกร วิธใี ชไ้ วรัส NPV หนอนกระทู้หอม เกษตรกรสามารถทำการผลติ เพื่อเอาไว้ใช้ในแปลงปลูกพืชของตนเองได้ โดยนำเชอ้ื ไวรสั NPV จากกลมุ่ กีฏและสัตววิทยา สำนักวิจัยพฒั นาการอารกั ขาพืช กรมวิชาการเกษตร มาผลติ ขยายเองได้ 2 วธิ ี ดังนี้ การผลติ ในสภาพไร่ เตรยี มแปลงปลูกหอมแดงหรือผกั ชนดิ อืน่ ขนาด 10 ตารางเมตร เมือ่ ต้นหอมหรือผกั มีอายุ 1 เดือน เกบ็ รวบรวมหนอน กระท้หู อมจากแปลงท่ีมกี ารระบาด คัดหนอนขนาดกลางความยาวประมาณ 1.2 เซนติเมตร (หรอื มีขนาดเท่ากับกา้ นไมข้ ดี ไฟ) นำมาปล่อยในแปลงทเี่ ตรียมไว้ ใส่หนอนประมาณ 1,000-2,000 ตัว พน่ ไวรัส NPV หนอนกระทูห้ อม อัตรา 20 มลิ ลิลิตรต่อนำ้ 20 ลติ ร ลงในแปลงดงั กล่าว พ่นตดิ ต่อกนั 2 วัน ในตอนเย็น หลงั จากปลอ่ ยหนอนแลว้ 3-5 วัน จะพบหนอนแสดงอาการเปน็ โรค ลำตวั สีขาวขนุ่ หรือสีครมี ออกมาเกาะอยูบ่ นส่วนของใบหอม บบี ดูตัวหนอนจะแตกง่าย และหนอนจะตายมากในวันท่ี 5 เป็นต้นไป เกบ็ หนอนทแ่ี สดงอาการเปน็ โรคดังกลา่ วใสข่ วดทีส่ ะอาด นับจำนวนตัวหนอนแต่ละขวดไว้ เช่น 500 ตัวต่อขวด เติม น้ำสะอาดลงไปเล็กน้อยเกบ็ ท้ิงไว้ 3-5 วัน เขยา่ ขวดจนหนอนแตกเละ แลว้ นำมากรองดว้ ยผา้ ขาวบาง แยกเอากากตวั หนอนท้ิง
185 ไป วธิ ีการนำไปใช้ คือ หนอนตายตวั โตเต็มท่ี 2 ตวั ตอ่ นำ้ 1 ลติ ร เม่ือแปลงท่ปี ล่อยหนอนโทรมเปล่ียนแปลงปลูกพืชใหม่ และทำ การต่อเช้ือวิธกี ารเดิม การต่อเช้ือ นำใบผักหรอื ใบพืชทหี่ นอนกระทู้หอมกนิ เปน็ อาหารมาจ่มุ สารละลายไวรสั NPV ทีผ่ สมน้ำอตั รา 50 มิลลิลติ รต่อน้ำ 1 ลติ ร (ไวรัสท่เี หลอื เกบ็ ไว้ใชค้ รั้งต่อไปได้อีก) นำใบพชื มาผ่งึ ลมใหแ้ ห้ง แลว้ ใสภ่ าชนะ เช่น กะละมงั หรือปบี๊ จำนวนใบพืชเพียงพอ กับจำนวนหนอนที่สามารถกนิ ใบพืชหมดใน 1 วนั คัดหนอนกระทหู้ อมให้ไดข้ นาดตัวดังกล่าวมาแลว้ ใสล่ งไปในภาชนะ คลมุ ภาชนะด้วยม้งุ ลวด หรือผ้าขาวบาง วนั ร่งุ ขนึ้ เข่ยี มูลของหนอนและเศษผักทิ้งไป และใสใ่ บผักใหม่ที่จ่มุ สารละลายไวรัสลงไป ทำ ตดิ ตอ่ กัน 2-3 วัน หนอนจะแสดงอาการเปน็ โรคให้เหน็ ในวันที่ 4 และวนั ตอ่ ๆ ไปให้ดำเนนิ การเก็บเชอ้ื เหมือนวิธกี ารผลติ ใน สภาพไร่ ไวรสั ทผี่ ลติ ได้สามารถเก็บไว้ใชไ้ ด้อีก ควรเก็บในที่เยน็ อย่าใหถ้ ูกแดด เช่น ฝังดิน หรือแช่ไว้ในต่มุ น้ำ หรอื บอ่ น้ำ จะเกบ็ ได้นาน 3-6 เดือน และถ้าเก็บไวใ้ นตูเ้ ยน็ จะเกบ็ ไดน้ านกวา่ 1 ปี การใช้ไวรสั NPV ของหนอนกระทู้หอม หนอนกระท้ผู ักและหนอนเจาะสมอฝา้ ยบนพืชต่าง ๆ พชื ลกั ษณะการเข้าทำลายของ อตั ราและวธิ ีการใช้ 1. ข้าวโพดฝักอ่อน พืช 30 มลิ ลิลิตร/นำ้ 20 ลติ ร พ่นเมอื่ พบการทำลายของหนอน ขา้ วโพดหวาน หนอนกระท้หู อม กระทหู้ อมเกิน 20 เปอร์เซน็ ต์ 2. พชื ตะกลู กะหลำ่ (Spodoptera exigua) 30 มลิ ลลิ ิตร/น้ำ 20 ลติ ร พ่นทกุ 7-10 วัน ควรพ่นในระยะที่ พบหนอนขนาดเล็กและอยรู่ วมกนั เปน็ กลุ่ม เมอื่ พบการ กะหล่ำปลี กะหล่ำ หนอนกระทู้หอม ระบาดรุนแรงควรพน่ ตดิ ต่อกัน 2 ครงั้ ระยะหา่ ง 4 วัน ดอก คะน้า (Spodoptera exigua) 40-50 มลิ ลิลิตร/นำ้ 20 ลติ ร พ่นทกุ 7-10 วนั ควรพน่ เมื่อ ผักกาดขาวปลี หนอนมขี นาดเลก็ จะให้ผลในการควบคมุ ได้รวดเร็ว กรณี หนอนกระทผู้ ัก หนอนระบาดรุนแรงพน่ อัตรา 50 มลิ ลิลิตร/นำ้ 20 ลิตร 3. พชื ตระกลู หอม (Spodoptera litura) ตดิ ต่อกัน 2 ครงั้ ทุก 4 วนั หอมแดง หอมหัวใหญ่ 20-30 มลิ ลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร พ่นทุก 7 วัน เม่ือพบต้นที่มี กระเทยี ม หนอนกระทหู้ อม รอยทำลายเกิน 10 เปอรเ์ ซน็ ต์ เมอ่ื พบระบาดรนุ แรง มีความ (Spodoptera exigua) เสยี หายเกิน 20 เปอร์เซ็นต์ ควรพน่ ตดิ ตอ่ กนั 2 คร้งั ทุก 4 5. มะเขือเทศ วนั หนอนเจาะสมอฝา้ ย 30 มลิ ลิลิตร/นำ้ 20 ลิตร พ่นทกุ 7 วัน ระยะทีอ่ อกดอกและ 6. พชื ตระกูลถัว่ (Helicoverpa armigera) ติดผลออ่ น เมื่อพบท่มี ีปริมาณหนอนเฉลย่ี เกิน 50 ตวั / ถั่วฝกั ยาว ถว่ั ลนั เตา มะเขือเทศ 100 ตน้ ควรพน่ ติดตอ่ กัน 2 ครัง้ ทกุ 4 วัน ถว่ั เขียว หนอนกระทหู้ อม 30 มลิ ลลิ ติ ร/น้ำ 20 ลิตร ระยะหลงั งอกพน่ ทกุ 7-10 วนั (Spodoptera exigua) ระยะถ่ัวตดิ ดอกและติดฝกั ถ้ามีหนอนระบาดรนุ แรงควรพน่ 7. หน่อไมฝ้ รงั่ ติดตอ่ กนั 2 คร้งั ห่างกนั 4 วัน หนอนเจาะสมอฝ้าย 30 มลิ ลิลิตร/นำ้ 20 ลติ ร พน่ สปั ดาห์ละ 1 ครั้ง เม่ือพบการ (Helicoverpa armigera) ระบาดของหนอนในระยะถ่ัวอายุ 30-50 วัน ควรพน่ ติดตอ่ กนั ทกุ 5-7 วนั หนอนกระทหู้ อม 20-30 มิลลลิ ิตร/น้ำ 20 ลติ ร พน่ ทุก 7 วนั หลงั จากหน่อไม้ (Spodoptera exigua) พักตวั 20-30 วนั เมอ่ื พบการระบาดรุนแรง (เฉลยี่ พบหนอน เกนิ 3 ตัว/กอ) ควรพน่ ติดต่อกนั 2-3 คร้ัง ทุก 7 วัน
186 พืช ลักษณะการเข้าทำลายของ อัตราและวิธีการใช้ 8. กระเจี๊ยบเขียว พืช 30 มลิ ลิลิตร/น้ำ 20 ลติ ร ระยะหลังงอกพ่นทกุ 5-7 วัน เม่ือ 9. พรกิ หนอนเจาะสมอฝา้ ย พบการระบาดรนุ แรงควรพน่ ตดิ ต่อกนั 2 คร้ัง ระยะหา่ งกนั 10. มะเขือเทศ (Helicoverpa armigera) 4 วนั 20-30 มลิ ลลิ ิตร/น้ำ 20 ลติ ร พน่ ทกุ 7 วนั ระยะท่ีเริ่มติด 11. องุ่น หนอนกระทหู้ อม ดอกและใหฝ้ ัก ควรพน่ ทุก 5-7 วัน เมื่อพบการระบาดรุนแรง (Spodoptera exigua) ให้พน่ ตดิ ต่อกนั 2 คร้ัง ห่างกัน 4 วัน 12. สม้ เขียวหวาน 30 มิลลลิ ิตร/น้ำ 20 ลติ ร พน่ ทกุ สัปดาห์ เมื่อพบการระบาด 13. ไมด้ อก เชน่ เดซ่ี หนอนเจาะสมอฝา้ ย รนุ แรง พบหนอนเฉลยี่ เกนิ 30 ตวั /100 ตน้ ควรพน่ ดาวเรอื ง กุหลาบ และ (Helicoverpa armigera) ติดต่อกัน 2 คร้ัง ทุก 4 วัน เบญจมาศ 30 มิลลลิ ติ ร/นำ้ 20 ลิตร พน่ เมื่อพบการระบาดของหนอน 14. กล้วยไม้ หนอนเจาะสมอฝ้าย โดยพ่นสปั ดาหล์ ะคร้ัง เมื่อมกี ารระบาดรนุ แรงควรพ่น (Helicoverpa armigera) ตดิ ต่อกัน 2 คร้ัง ทุก 4 วนั 30 มิลลลิ ติ ร/นำ้ 20 ลิตร พน่ ทกุ 7 วนั ระยะที่ออกดอกและ หนอนเจาะสมอฝ้าย ตดิ ผลออ่ น เม่ือพบทม่ี ีปริมาณหนอนเฉล่ียเกนิ 50 ตัว/ (Helicoverpa armigera) มะเขือเทศ 100 ต้น ควรพน่ ติดตอ่ กนั 2 ครง้ั ทุก 4 วัน 40-50 มลิ ลลิ ิตร/น้ำ 20 ลิตร พน่ ทุก 7-10 วัน ควรพน่ เม่ือ หนอนกระท้ผู ัก หนอนมขี นาดเล็กจะให้ผลในการควบคมุ ไดร้ วดเรว็ กรณี (Spodoptera litura) หนอนระบาดรุนแรงพน่ อัตรา 50 มลิ ลิลติ ร/นำ้ 20 ลติ ร ติดต่อกัน 2 คร้งั ทุก 4 วนั หนอนกระทู้หอม ระยะท่ีองนุ่ แตกยอดอ่อน ใช้อัตรา 20-30 มิลลิลิตร/นำ้ 20 (Spodoptera exigua) ลติ ร พ่นทุก 7-10 วนั ระยะท่ีเร่ิมแทงช่อดอกและดอกบาน พน่ ทกุ 5 วนั ติดต่อกนั 3-4 ครง้ั ระยะองนุ่ ตดิ ผลแล้ว 30 วนั หนอนเจาะสมอฝ้าย ควรพน่ ทกุ 7-10 วนั (Helicoverpa armigera) พน่ ไวรสั HaNPV อตั รา 30 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร ในระยะ ก่อนท่ีช่อดอกอง่นุ บาน 2-3 วัน จากน้ันพน่ ติดต่อกนั อีก 2 หนอนกระทู้ผัก ครัง้ ระยะห่างจากครงั้ แรก 4 วัน (Spodoptera litura) 40-50 มิลลิลิตร/นำ้ 20 ลิตร พน่ ทุก 7-10 วนั ควรพ่นเมื่อ หนอนมขี นาดเลก็ จะให้ผลในการควบคมุ ได้รวดเร็ว กรณี หนอนเจาะสมอฝ้าย หนอนระบาดรนุ แรงพ่นอตั รา 50 มิลลิลติ ร/นำ้ 20 ลติ ร (Helicoverpa armigera) ติดตอ่ กัน 2 ครั้ง ทุก 4 วัน พ่นไวรสั HaNPV อัตรา 200 มิลลลิ ติ ร/ไร่ ตดิ ต่อกนั 2-3 หนอนกระทหู้ อม ครง้ั โดยปรับหวั ฉีดเครอ่ื งพน่ สารใหอ้ ยู่ท่ีอตั รา 200-250 (Spodoptera exigua) ลติ ร/ไร่ เริม่ พ่นสารคร้ังแรกก่อนสม้ ดอกบาน 2-3 วัน พน่ ครงั้ ท่ี 2 และ 3 หลังจากพ่นคร้งั แรกทุก 4 วัน หนอนกระทผู้ กั ระยะกอ่ นออกดอกใช้อัตรา 20-30 มิลลิลติ ร/น้ำ 20 ลติ ร (Spodoptera litura) พน่ ทกุ 7-10 วัน ระยะที่เริม่ ออกดอกควรลดระยะพ่นเป็นทุก 5-7 วัน 40-50 มิลลลิ ิตร/น้ำ 20 ลิตร พ่นทกุ 5-7 วนั 2 ครัง้ ตดิ ตอ่ กนั ควรพน่ เม่ือหนอนมีขนาดเล็กจะให้ผลในการ
187 พืช ลกั ษณะการเขา้ ทำลายของ อัตราและวธิ ีการใช้ 15. ผักไฮโดรโปนิค พชื ควบคุมได้รวดเร็ว กรณีหนอนระบาดรนุ แรงพ่นอัตรา 50 หนอนกระทูผ้ กั มลิ ลลิ ติ ร/น้ำ 20 ลิตร ติดตอ่ กัน 2 ครั้ง ทกุ 4 วนั (Spodoptera litura) 40-50 มิลลิลติ ร/นำ้ 20 ลติ ร พ่นทุก 7-10 วัน 2 ครง้ั ติดต่อกันควรพน่ เมื่อหนอนมีขนาดเลก็ จะให้ผลในการ ควบคุมได้รวดเรว็ กรณีหนอนระบาดรนุ แรงพน่ อัตรา 50 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร ตดิ ตอ่ กัน 2 คร้ัง ทุก 4 วัน
188 คำแนะนำการใชไ้ สเ้ ดือนฝอยควบคุมแมลงศตั รพู ชื ไส้เดือนฝอยศตั รูแมลง (Entomopathogenic Nematodes) ไส้เดือนฝอย เปน็ สง่ิ มชี วี ติ ขนาดเล็กมองเห็นได้ยากดว้ ยตาเปล่า มีรปู รา่ งยาวเรียวบางคล้ายเส้นด้าย ส่วนหัวกลมมนไม่ มีข้อปล้อง ส่วนหางแคบและปลายเรียว มีลำตัวยาวประมาณ 0.4 - 1 มิลลิเมตร ไส้เดือนฝอยเจริญเติบโตและขยายพันธุ์อยู่ ภายในตัวแมลงเทา่ นั้น เรยี กวา่ เป็นพาราสิตถาวร หรือ พยาธขิ องแมลง ไส้เดือนฝอย Steinernema และ Heterorhabditis เป็นไส้เดือนฝอยที่มีประโยชน์ สามารถนำมาใช้ควบคุมแมลง ศตั รพู ชื ได้มากมายหลายชนิด มีการศกึ ษาวิจัยและพัฒนากันอย่างแพรห่ ลายในหลายประเทศ โดยมีจดุ มุ่งหมายเพ่ือนำมาใช้เป็น ชวี นิ ทรีย์ควบคมุ แมลงศตั รูพืช (Biological agent) เน่ืองจากไสเ้ ดือนฝอยมีคุณสมบัตใิ นการคน้ หาแมลงศัตรเู ป้าหมายและทำให้ แมลงตายในเวลาอันรวดเร็วภายใน 24-48 ชั่วโมง สามารถเลี้ยงเพิ่มปริมาณมากได้ด้วยอาหารเทียมและมีความปลอดภัยต่อ มนษุ ย์และสัตวเ์ ลอื ดอ่นุ รวมทงั้ ปลา นก ชวี วิทยาของไส้เดือนฝอยสไตเนอรน์ มี า วงจรชวี ติ ของไส้เดอื นฝอยสไตเนอร์นีมา (Steinernema sp.) ประกอบด้วย ตัวเต็มวยั เพศเมยี ซ่งึ มขี นาดยาวกวา่ ตัวเต็ม วัยเพศผู้ประมาณ 3-4 เท่า ภายหลังการจับคู่ผสมพันธุ์ภายในตัวแมลง ไส้เดือนฝอยจะวางไข่และไข่พัฒนาเป็นตัวอ่อนซึ่งมี 4 ระยะ โดยธรรมชาติไส้เดือนฝอยสไตเนอร์นีมามีแบคทีเรียชื่อว่า Xenorhabdus (ซีโนแรบดัส) อยู่ร่วมอาศัย (symbiotic bacteria) ท่ลี ำไสส้ ่วนหน้าของไส้เดือนฝอย ไส้เดอื นฝอยวัย 3 เป็นระยะทส่ี ามารถเข้าทำลายแมลงได้ เรยี กระยะน้ีว่า ระยะเข้า ทำลายแมลง (Infective Juvenile : IJ) ซึ่งมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากระยะอื่น คือ มีผนังลำตัวท่ีหนากว่าตัวอ่อนระยะอืน่ จึง ทำให้ทนตอ่ สภาพแวดล้อมภายนอกตัวแมลงไดแ้ ละเม่ืออยใู่ นท่ีมีความชื้นเหมาะสม สามารถมชี ีวิตอยู่ไดน้ านหลายเดือน เพื่อรอ เขา้ ทำลายแมลงศัตรพู ืช ไสเ้ ดือนฝอยทำให้แมลงตายได้อย่างไร ไส้เดือนฝอยวยั 3 ระยะเขา้ ทำลายแมลง จะเข้าสู่ภายในตัวแมลง โดยผา่ นเขา้ ทางปาก ทวาร รหู ายใจ แลว้ ชอนไชเข้าสู่ กระแสเลือด และเจริญเติบโตโดยกินของเหลวและเนือ้ เยื่อแมลงเปน็ อาหาร ขณะเดียวกันไส้เดือนฝอยจะขับถ่ายแบคทีเรียรว่ ม อาศัยออกมา ซึ่งแบคทีเรียนี้เป็นพิษตอ่ แมลงเป็นสาเหตุสำคญั ทำให้แมลงตายภายใน 1-2 วัน เพราะเลือดเป็นพิษ ส่วนไส้เดือน ฝอยจะยังคงเจริญเติบโตและขยายพันธุ์อยู่ในซากแมลงจนอาหารในตัวแมลงหมด ไส้เดือนฝอยวัย 3 ระยะเข้าทำลายแมลงจึง ออกจากซากหนอนเพื่อหาแมลงอาศัยตวั ใหม่ต่อไป ไสเ้ ดือนฝอยสามารถเขา้ ทำลายแมลงได้หลายชนิด ได้แก่ หนอนผีเสอ้ื ตา่ ง ๆ เช่น หนอนกระท้หู อม หนอนกระทู้ผัก หนอนเจาะสมอฝา้ ย หนอนใยผัก หนอนกนิ ใตผ้ ิวเปลือกลองกอง หนอนด้วงชนิดตา่ ง ๆ เชน่ ด้วงหมัดผกั ด้วงงวงมันเทศ วธิ ีการใช้ไส้เดือนฝอยศัตรูแมลง ไสเ้ ดอื นฝอยศัตรูแมลง มี 2 รูปแบบ 1. ไส้เดือนฝอยแบบบรรจุในฟองน้ำสังเคราะห์ บรรจุไส้เดอื นฝอยจำนวน 4 ลา้ นตวั ต่อซอง ในฟองน้ำสังเคราะห์ส่ีเหลย่ี มลูกเต๋าขนาด 1.5x1.5x1.5 ลบ.ซม. เกบ็ ใน ถงุ พลาสติก ปดิ ผนึก วิธใี ช้ 1. ตดั ซองที่บรรจุไสเ้ ดือนฝอย แลว้ เทฟองน้ำทีบ่ รรจอุ ยู่ในซองลงในถังน้ำท่สี ะอาด 2. เตรยี มน้ำตามอตั ราการใช้ โดยแบง่ เทนำ้ สะอาดลงในถังท่ีมไี ส้เดือนฝอย (ควรแบง่ น้ำไว้ 3 สว่ น) 3. ขยำฟองน้ำในน้ำสะอาดเพื่อใหไ้ สเ้ ดือนฝอยออกมาอยูใ่ นน้ำ เทน้ำสว่ นท่ี 2 และ 3 เพื่อขยำให้ไสเ้ ดือนฝอยออก จากฟองน้ำใหห้ มด แล้วแยกฟองน้ำทิ้ง 4. เทน้ำทีม่ ีไส้เดือนฝอยลงในถังเคร่ืองพ่นสารหรือบัวรดน้ำทีส่ ะอาด
189 5. พน่ ตามกิ่งและลำต้นท่ีมีหนอนทำลาย สำหรบั หนอนกนิ ใตเ้ ปลือก สว่ นผกั กาดหวั ดาวเรือง และพืชตระกลู กะหล่ำ ราดหรือพ่นในแปลงพืช 2. ไสเ้ ดือนฝอยแบบผงละลายน้ำ กรมวิชาการเกษตร โดยกลุม่ งานวิจัยการปราบศตั รูพชื ทางชีวภาพ กลมุ่ กีฏและสตั ววิทยา สำนักวจิ ยั พฒั นาการ อารักขาพืช ได้มกี ารพฒั นาการเก็บรกั ษาไส้เดือนฝอยให้อย่ใู นรปู แบบผงละลายน้ำเพ่อื สะดวกต่อการนำไปใช้ และการเกบ็ รกั ษา โดยผลิตไส้เดอื นฝอยบรรจใุ นผงดินละลายน้ำบรรจใุ นกระป๋องพลาสติก ขนาดบรรจุ 50 ล้านตวั ตอ่ กระป๋อง วิธใี ช้ 1. เตรียมน้ำสะอาดใส่ในถงั ทผี่ สม 2. เทไสเ้ ดือนฝอยรูปแบบผงลงในน้ำ กวนใหผ้ งละลายท้ังหมด 3. ขณะพน่ ควรเขยา่ หรือกวนเพื่อไมใ่ หต้ กตะกอน 4. ควรพน่ ไส้เดือนฝอยท่เี ตรยี มไว้ให้หมดในการใช้แต่ละคร้ัง ข้อดี ของการใช้ไส้เดือนฝอยควบคุมแมลงศตั รูพชื 1. ไมม่ อี ันตรายต่อสงิ่ มชี ีวิตอ่ืนๆ เชน่ มนษุ ย์ สัตว์ พืช ทกุ ชนิด 2. ไม่มีพิษตกค้างในพืชผลและไมก่ ่อใหเ้ กิดมลพิษต่อสภาพแวดลอ้ มในน้ำ ดิน อากาศ 3. ไมม่ ีกลิน่ เหม็น และไมม่ พี ษิ ต่อผิวหนัง ผูใ้ ชไ้ มจ่ ำเป็นต้องใช้ผ้าปดิ จมูก และร่างกาย 4. หนอนไมส่ ามารถสร้างความตา้ นทานต่อไส้เดือนฝอย 5. ไส้เดือนฝอยมีความทนทานต่อสารเคมีหลายชนิด ฉะนั้นผู้ใช้ไม่จำเป็น ต้องซื้อเครื่องพ่นยาใหม่ เพราะใช้เครื่อง เดียวกบั ที่ใช้พน่ สารเคมีได้ 6. การใช้ไส้เดือนฝอยควบคมุ แมลงศตั รูพืชจะเปน็ แนวทางหนึ่งทีช่ ่วยอนุรกั ษ์ศตั รธู รรมชาติทมี่ ปี ระโยชน์ ขอ้ พึงระวัง ในการใชไ้ สเ้ ดอื นฝอยศตั รูแมลงควบคมุ แมลงศตั รูพชื 1. ไส้เดือนฝอยที่นำมาใช้ตอ้ งมชี วี ิต มีความแขง็ แรงและมจี ำนวนตรงตามคำแนะนำ 2. ควรพน่ ไสเ้ ดอื นฝอยหลังการให้น้ำในแปลงปลกู พืช เพื่อใหส้ ภาพแวดล้อมมคี วามช่มุ ชืน้ 3. ควรพน่ ไสเ้ ดือนฝอยในชว่ งเย็น เพอ่ื หลกี เลยี่ งแสงแดดซ่ึงจะทำใหไ้ สเ้ ดือนฝอยเสื่อมประสทิ ธภิ าพ 4. ควรเขย่าและคนเปน็ ระยะเพอ่ื ใหไ้ สเ้ ดอื นฝอยกระจายในน้ำทัว่ ถึง 5. ควรพ่นไสเ้ ดอื นฝอยทเี่ ตรยี มไวใ้ หห้ มดในการใชแ้ ต่ละครัง้ 6. เกบ็ รักษาชีวภัณฑ์ไส้เดอื นฝอยในตูค้ วบคมุ อณุ หภูมิ 6-10 องศาเซลเซยี ส (ห้ามแช่แข็ง) 7. ไม่ควรเก็บชีวภัณฑ์ไสเ้ ดอื นฝอยไวน้ านเกิน 6 เดอื น 8. การใชไ้ ส้เดอื นฝอยควบคุมแมลงศัตรูพืชท่ีอาศยั อยู่ในทีซ่ ่อนเรน้ เชน่ ในดนิ ใตเ้ ปลือก ในรู หรือซอกกลีบดอกจะใช้ ได้ผลดกี ว่าการพน่ ไสเ้ ดือนฝอยในทโ่ี ล่งแจ้ง 9. เครือ่ งพ่นไสเ้ ดือนฝอยควรอยูในสภาพท่ีเหมาะสม หัวฉีดพ่นสะอาดไมอ่ ดุ ตัน ขนาดรหู ัวฉีดไม่ควรเล็กกว่า 0.4 มม. เพ่อื ให้ปริมาณและประสทิ ธิภาพของไส้เดือนฝอยทีอ่ อกมามากพอท่จี ะเข้าทำลายศัตรูพืช
การใชไ้ สเ้ ดอื นฝอยควบคุมแมลงศัตรพู ืชต่าง ๆ 190 พชื แมลงศตั รูพชื อตั ราและวธิ กี ารใช้ 1. ลองกอง ลางสาด หนอนกินใต้ผิวเปลอื ก (Cossus sp.) ใช้ไส้เดือนฝอยอตั รา 50 ล้านตวั ตอ่ น้ำ 20 ลิตร พน่ ตามกง่ิ และลำต้นท่มี ีหนอนอัตรา 2-3 ลติ ร ต่อ ตน้ (1 ไร่ = 30 ต้น, 60 - 90 ลติ ร/ไร)่ พน่ ทุก 15 วัน ติดต่อกัน 2 ครั้ง 2. ผกั กาดหัวและพืช ตวั ออ่ นด้วงหมัดผักแถบลาย ใชไ้ ส้เดอื นฝอยอัตรา 50 ลา้ นตวั ต่อนำ้ 20 ลติ ร ตอ่ 267 ตารางเมตร พน่ หรือราดลงดินก่อนปลูก ตระกลู กะหลำ่ (Phyllotreta sinuata) หลังการใหน้ ำ้ และพน่ ทุก 7 วันหลังปลูก 3. ดาวเรอื ง หนอนกระทู้หอม (Spodotera exigua) ใชไ้ ส้เดอื นฝอยอัตรา 50 ล้านตวั ตอ่ นำ้ 20 ลิตร ตอ่ 267 ตารางเมตร (ปรบั หัวฉีดใหพ้ ่นฝอย ละเอยี ด พน่ ตามยอดและดอกในตอนเย็นหลังรด น้ำแปลง พ่นทุก 5-7 วนั หลงั เพาะเมล็ดได้ 15 วัน 4. เหด็ หนอนผเี ส้ือกนิ กอ้ นเชื้อเหด็ (Dasyses sp.) ใชไ้ ส้เดือนฝอยอัตรา 50 ล้านตัว ตอ่ นำ้ 60 ลติ ร เรม่ิ พ่นเมื่อเปิดปากถุงเห็ด โดยพ่นไสเ้ ดือนฝอยเข้า ทางปากถงุ หรือเมื่อพบการเข้าทำลายของหนอนใน กอ้ นเชอ้ื เห็ด หลังจากน้นั พ่นสัปดาห์ละครงั้ 5. หญา้ สนาม ด้วงขนสตั ว์ (Ataenius nigricans) ใชไ้ สเ้ ดือนฝอยอัตรา 50 ลา้ นตวั ตอ่ นำ้ 64 ลติ ร ต่อ 640 ตารางเมตร พ่นหรอื ปลอ่ ยตามท่อนำ้ เหว่ยี งในสนามหญา้ เมื่อเรม่ิ มีการระบาดของ แมลงกัดกินรากหญ้า 6. มนั เทศ ด้วงงวงมนั เทศ (Cylas formicarius) ใชไ้ สเ้ ดอื นฝอยอัตรา 50 ล้านตวั ต่อน้ำ 20 ลิตร ตอ่ 267 ตารางเมตร พ่นหรอื ราดลงดินในแปลง ปลกู มันเทศ เมอื่ มันเทศมีอายุได้ 60 วันหลังปลูก และใชต้ ดิ ต่อกันทุก 15-20 วนั รวม 3-4 ครั้ง 7. สตรอว์เบอร์รี่ หนอนด้วงกนิ รากสตรอเบอรร์ ี่ ใช้ไสเ้ ดอื นฝอยอัตรา 50 ล้านตัว ต่อนำ้ 4 ลิตร ตอ่ (Mimela schneideri) 40 ตารางเมตร พน่ ไส้เดือนฝอยลงดนิ หลงั ให้น้ำ โดยเฉพาะทโี่ คนต้นหลงั ปลกู สตรอเบอร์ร่ี 30 และ 60 วนั
191 คำแนะนำการใช้ราเขียวเมทาไรเซยี มควบคมุ ด้วงแรด กรมวชิ าการเกษตรได้คดั เลอื กราเขียวเมทาไรเซยี ม (Metarhizium anisopliae) สายพนั ธ์ุ M5 ท่ีมีความจำเพาะ เจาะจงในการเข้าทำลายดว้ งแรดซงึ่ เป็นศตั รูทส่ี ำคญั ในมะพรา้ วและพืชตระกลู ปาล์ม โดยราเขียวสามารถทำลายเหย่ือไดท้ ง้ั ใน ระยะตวั หนอน ดักแด้ และตวั เตม็ วัย การเข้าทำลาย เข้าทำลายแมลงโดยผ่านทางผนังลำตัวแมลง เมอื่ ไดร้ ับความช้นื และอุณหภูมทิ ีเ่ หมาะสมโคนเิ ดียเชอื้ จะงอกและแทง ทะลุผา่ นชน้ั ผนงั ลำตวั เข้าสู่ภายใน เชอ้ื ราจะทำลายช้นั ไขมนั เปน็ ส่วนแรกและแพร่เข้าสู่ช่องวา่ งภายในลำตัวแมลง เส้นใยราเขยี ว เจรญิ เตบิ โตโดยการดดู ซมึ และใช้อาหารภายในลำตวั แมลงอาศัย ในขณะเดียวกันจะทำลายเนือ้ เย่อื หรืออวยั วะภายในของแมลง ให้ได้รับความเสียหาย ราเขียวจะเจรญิ เตบิ โตและแพรก่ ระจายจนเตม็ ตวั เหยื่อ แมลงท่ีตายดว้ ยเชือ้ รามักมลี กั ษณะแห้งและแขง็ เรียกลักษณะเช่นนี้วา่ “มัมมี”่ เน่ืองจากมีเสน้ ใยเช้ือราเจริญอดั แน่นอยู่ภายในลำตัว หลังจากแมลงตายราเขยี วจะแทงทะลุผา่ น ผนังลำตัวออกมาแพรก่ ระจายพนั ธ์ุภายนอก ในชว่ งแรกจะพบเสน้ ใยสขี าวข้ึนปกคลมุ ลำตัว และจะเปลีย่ นเปน็ สเี ขยี วในเวลา ต่อมา วธิ กี ารทำกองกับดกั เพ่ือควบคุมดว้ งแรด เลือกพน้ื ทท่ี ี่พบการระบาดของด้วงแรด โดยสงั เกตจากทางใบเกิดใหม่ที่ไมส่ มบรู ณ์ มรี อยขาดแหว่งเปน็ ริว้ ๆ คล้ายหาง ปลา หรือรปู พัด ซ่ึงเกิดจากการเข้าทำลายของด้วงแรดมะพร้าวตวั เต็มวัย จัดเตรยี มกองกับดักในพืน้ ทีด่ ังกล่าวเพ่ือล่อให้ดว้ งแรด ตวั เต็มวยั มาจับคูผ่ สมพันธ์แุ ละวางไข่ วิธีเตรียม 1. เลอื กวสั ดทุ หี่ าได้งา่ ยในพน้ื ท่ี มาวางก้นั เปน็ ขอบกองกบั ดัก ขนาด 1.5 X 1.5 X 0.50 เมตร 2. ผสมปุ๋ยคอกและมะพร้าวสับ อัตราสว่ น 0.5 : 1 ใสล่ งในกองกบั ดกั ทีเ่ ตรยี ม 3. รดน้ำใหท้ ั่วทั้งกอง เพื่อใหเ้ กดิ ขบวนการหมกั ทส่ี มบรู ณ์ ทง้ิ ไวป้ ระมาณ 1-2 เดือน ตัวเต็มวัยด้วงแรดจะเรม่ิ มาวางไข่ วิธใี ชร้ าเขยี วเมทาไรเซียม 1. เมอ่ื พบตัวหนอนด้วงแรดในกองกับดกั ใช้ราเขยี วเมทาไรเซียมรปู แบบเช้อื สด ในอัตรา 2 ถุง (800 กรมั โดยปริมาตร) ตอ่ กอง 2. เกล่ียให้เชือ้ กระจายทัว่ ทงั่ กอง และรดน้ำเพ่มิ ความชนื้ ในกองกับดัก 3. หาวัสดคุ ลมุ กอง เชน่ ทางมะพรา้ ว หรือเศษใบไม้ เพือ่ ปกป้องแสงแดด และรักษาความช้นื ในกองกบั ดัก 4. ทิ้งไว้ประมาณ 3-4 สัปดาห์ หนอนด้วงแรดจะเริ่มตดิ เช้ือ สังเกตจุ ากรอยแผลสนี ้าตาลข้างลำตัว 5. การทำกองกับดกั ควรทำอยา่ งต่อเน่ือง โดยการเติมวสั ดใุ นการกองกับดักและใสร่ าเขยี วเมทาไรเซยี มเพ่ือช่วยควบคุม ตัวหนอนด้วงแรดท่ีเกิดขนึ้ ใหม่ ควรเติมวสั ดใุ นกองกบั ดกั อย่างน้อยปีละ 2 –3 คร้งั และเติมราเขียวเมทาไรเซียมในกองกับดกั ทุก ๆ 3-4 เดือน เพ่ือเพิม่ ประสิทธิภาพในการควบคุมใหด้ ยี ่งิ ข้ึน วธิ ีการเลย้ี งขยายเชื้อราเขียวเมทาไรเซียมอยา่ งงา่ ย อปุ กรณ์ - หัวเชื้อราเขียวเมตาไรเซียมรูปแบบเชอ้ื สด - ข้าวโพดบดหยาบ - ตูเ้ ขี่ยเช้อื ติดต้ังหลอดไฟสอ่ งสว่าง และหลอด UV ฆ่าเชื้อ - ตะเกียงแอลกอฮอล์ 95% (เพ่ือใช้ฆา่ เชอ้ื อปุ กรณ์ทีใ่ ช้เลยี้ ง) - แอลกอฮอล์ 70% (เพอ่ื ใชท้ าความสะอาดอปุ กรณ์และพน้ื ผวิ บริเวณท่ีใชเ้ ล้ียง) - ชอ้ น
192 - ไฟเช็ค - ถงุ พลาสตกิ ทนร้อน(ถงุ เพาะเหด็ ) - สาลี และกระดาษ วิธกี าร ข้นั ตอนท่ี 1 การเตรยี มอาหารเล้ียงเช้ือ - ชั่งขา้ วโพดบดหยาบ 200 กรมั เติมน้ำ 200 มิลลลิ ติ ร ใส่ถุงพลาสติกทนร้อน (ถงุ เพาะเห็ด) ปิดปากถุงดว้ ยจุกสำลีและ หุ้มทบั ด้วยกระดาษ นำไปนึ่งฆา่ เชือ้ ที่อุณหภูมิ 121 องศาเซลเซยี ล ความดัน 15 ปอนด/์ ตารางน้วิ เปน็ เวลา 20 นาที ปล่อยทง้ิ ไว้ใหเ้ ยน็ หมายเหตุ: ในกรณีที่ใชห้ มอ้ น่ึงลกู ทุ่ง ควรใช้เวลานึ่งไมต่ ่ำกว่า 2 ช่ัวโมง ขน้ั ตอนที่ 2 การผลิตขยายเชอ้ื - ทำความสะอาดพน้ื ผิวบรเิ วณทีจ่ ะใชเ้ ลีย้ งเชื้อ โดยใชแ้ อลกอฮอล์ 70% เช็ดให้ท่วั บริเวณทใ่ี ช้ปฏิบัตงิ าน จุดตะเกยี ง แอลกอฮอล์ นำชอ้ นท่จี ะใช้ลนไฟฆ่าเช้อื ให้ทว่ั แลว้ พักไวใ้ ห้เย็น เปดิ ถงุ หวั เชื้อ (เช้ือเมทาไรเซียมรปู แบบเชอื้ สด) และถุงอาหาร เลยี้ งเชื้อท่เี ตรียมไว้ ตกั หวั เช้อื ท่ีเตรยี มไวใ้ นปริมาณเทา่ ๆ กัน 1 ชอ้ นโตะ๊ แลว้ ถา่ ยใส่ในถุงอาหารเล้ยี งเชือ้ (หัวเชอื้ ราเขียว 1 ถงุ สามารถใสใ่ นอาหารได้ 30 ถงุ ) ปิดถงุ ดว้ ยจุกสาลี และหุ้มทับดว้ ยกระดาษ เขยา่ ถุงเพื่อคลกุ ผสมให้เช้ือกระจายทัว่ อาหาร เลีย้ ง ไวท้ ี่อุณหภมู หิ อ้ ง ประมาณ 14 วันเชือ้ ราจะเรม่ิ เจรญิ เตบิ โตและสร้างโคนิเดยี จนเตม็ ถงุ พร้อมทจี่ ะนำไปใชง้ าน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241