Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือคำแนะนำการป้องกันกำจัดแมลง-สัตว์ศัตรูพืชอย่างปลอดภัย 2563

คู่มือคำแนะนำการป้องกันกำจัดแมลง-สัตว์ศัตรูพืชอย่างปลอดภัย 2563

Published by บันทึกเกษตร, 2021-05-21 06:57:48

Description: คู่มือคำแนะนำการป้องกันกำจัดแมลง-สัตว์ศัตรูพืชอย่างปลอดภัย

Search

Read the Text Version

193 คำแนะนำการใช้โปรโตซัวกำจดั หนศู ตั รพู ืช การปอ้ งกันกำจดั หนโู ดยการใช้สารกำจดั หนู (rodenticide) ในปัจจบุ นั มกี ารใช้สารกำจดั หนู 2 ประเภทหลัก คือสาร กำจดั หนูประเภทออกฤทธเ์ิ รว็ (acute rodenticide หรอื single dose rodenticide) เปน็ กลุม่ ท่ีมีความเปน็ พิษสูง ท้ังต่อ มนุษย์และสตั ว์อน่ื และมีขอ้ เสยี คือทำใหห้ นูเขด็ ขยาดต่อเหยอื่ พิษ (bait shyness) และสารกำจดั หนปู ระเภทออกฤทธิ์ช้า (chronic rodenticide หรือ multiple dose rodenticide) แตถ่ ้าใชเ้ ป็นระยะเวลานานทาใหห้ นสู ามารถสรา้ งความต้านทาน ขึน้ มาได้ ดงั นั้น วธิ ีการป้องกันกำจดั หนโู ดยใชจ้ ลุ ินทยี ์ชนิดต่าง ๆ จงึ เป็นทางเลือกหน่งึ ที่ชว่ ยลดปญั หาท่เี กดิ จากการใช้สารเคมี ดังกล่าวได้ โปรโตซวั กำจดั หนู Sarcocystis singaporensis โปรโตซัว Sarcocystis singaporensis เป็นโปรโตซวั ท่ีมคี วามเฉพาะเจาะจงต่อสตั ว์อาศยั มากและระบาดแพร่หลาย ทงั้ ในหนบู ้านและหนศู ตั รูพืชในประเทศแถบเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ มคี วามรนุ แรงสูงในการทำให้หนทู ี่ไดร้ บั เช้ือโรคชนิดนป้ี ว่ ย และตายในที่สุด จงึ เปน็ จลุ ินทรีย์ท่ีมศี ักยภาพสูง เหมาสมต่อการนำไปใช้เปน็ ชีวภัณฑ์ เพื่อกำจัดหนทู ั้งในแหล่งทาการเกษตรและ ในบ้านเรือนได้ ผลของโปรโตซวั Sarcocystis singaporensis ตอ่ สตั ว์ชนดิ อนื่ ๆ ทดสอบการเกิดโรคกบั สัตวช์ นดิ อื่น ๆ ในห้องปฏิบัตกิ าร ได้แก่ สัตว์คร่ึงบกครึ่งน้ำ เช่น กบและคางคก สตั ว์เลือ้ ยคลาน อีกหลายชนดิ และนกแสก ฯลฯ รวมไปถงึ สัตวใ์ นอันดบั สตั ว์ฟันแทะหลายชนิด ทีต่ ิดเชอื้ โปรโตซวั S. singaporensis พบวา่ ไม่ มผี ลทำให้สัตว์ทดลองปว่ ยเป็นโรคหรือตาย ยกเวน้ หนูสกลุ Rattus และสกุล Bandicota โดยจากการสำรวจซากสัตว์อน่ื ๆ ใน แปลงข้าวทดสอบขนาดใหญป่ ี 2543-2544 และการทดลองการใชเ้ หย่ือโปรโตซัวกำจดั หนสู กุล Rattus ในแปลงปาล์มน้ำมนั ใน ตลอดระยะการทดลอง ไม่พบซากหรืออาการเจบ็ ปว่ ยของสตั ว์อ่นื ๆ ทไ่ี ด้กินเหยือ่ โปรโตซัวโดยตรง เช่น ไก่ สนุ ขั หรือแมก้ ระท่งั สตั ว์กินเนื้อชนดิ อืน่ ทกี่ ินหนปู ่วยเนื่องจากติดเช้ือโปรโตซวั เชน่ เหยี่ยวขาว เหย่ียวทงุ่ นกแสก เหยีย่ วนกเขาซิครา และกระแตที่ กนิ เหยอ่ื โปรโตซวั ในแปลงทดลองอีกดว้ ย เรื่องน่าร้ขู องเหยือ่ โปรโตซัวกำจัดหนู การผลิตเหยอ่ื โปรโตซัวกำจดั หนูสำเร็จรูปท่ีใช้ในปัจจบุ นั ไดป้ รับปรุงสว่ นประกอบของอาหารบางชนดิ โดยใชว้ สั ดทุ มี่ ใี น ประเทศไทยทดแทนสูตรด้ังเดิม เหย่ือโปรโตซัวกำจัดหนสู าเร็จรปู เปน็ เหยือ่ แป้งแบบนุ่ม มสี ว่ นผสมของแป้งสำลี น้ำมันพืช น้ำตาลทราย ปลายขา้ วและเมล็ดขา้ วโพดบดเปน็ สว่ นประกอบสำคัญ เม่ือผ่านการนวดอยา่ งดแี ลว้ จงึ ปนั้ เปน็ ก้อนขนาดประมาณ 1 กรัม มีสารแขวนลอยสปอร์โรซสี ต์ของโปรโตซวั S. singaporensis บรรจอุ ยู่ (จานวน 1-2 x 105 สปอร์โรซีสต์ / เหย่อื 1 กอ้ น) วธิ กี ารใชเ้ หยือ่ โปรโตซัวเพ่ือกำจดั หนู ในฟารม์ เลย้ี งสตั ว์ เขตชุมชนเมือง และบา้ นเรอื น - ควรใช้ภาชนะสำหรบั ใส่เหย่อื (bait station) ทที่ ำดว้ ยไม้หรือพลาสติกหรือวัสดเุ หลอื ใช้ในบา้ นท่ีสามารถกันน้ำ และ ปอ้ งกนั มิให้สัตว์อน่ื เข้าไปได้ เพอื่ ใหห้ นรู ูส้ ึกปลอดภัยขณะกินเหย่ือ จำนวนภาชนะใสเ่ หย่อื ทใ่ี ช้ 1 อันต่อพื้นที่ 25 ตารางเมตร และควรวางบริเวณทางเดนิ หนู แนวกำแพงโรงเรือน หรอื แหลง่ ท่อี าศยั ของหนู เช่น ทอ่ ระบายน้ำบริเวณทางเขา้ ออก ทีเ่ ก็บขยะ ท่ีรกร้าง เป็นตน้ - จำนวนเหย่ือโปรโตซวั ที่ใชป้ ระมาณ 1-3 กอ้ น/ทใ่ี ส่เหยอื่ 1 อนั - ตรวจการกินเหยือ่ โปรโตซวั ทุกวัน ถา้ จดุ ใดหนูกนิ เหยอื่ หมดหรือมีการกินเหยื่อมากใหว้ างเหยื่อเพมิ่ เท่าจานวนเดมิ การเตมิ เหย่ือไม่ควรเกนิ 4 ครั้ง

194 ในสภาพไรน่ า และสวน - วางในรหู นู หรือทางเดนิ หนู หรอื บรเิ วณโคนตน้ ปาล์มน้ำมัน ไร่ละ 20-25 ก้อนตอ่ ไร่ โดยปริมาณของโปรโตซวั ที่ ตอ้ งการใช้จรงิ ขึ้นอยู่กบั ประชากรหนูในบริเวณที่ต้องการกำจัด หรือประมาณ 30x106 สปอร์โรซีสต์ ตอ่ 1 hectar (~ 6.25 ไร่ ) หรือเท่ากับ 4.8 x 106 ต่อไร่ สง่ิ ทค่ี วรคำนึง - เหยอ่ื โปรโตซวั ที่วางในสภาพธรรมชาติควรถูกหนูกนิ ภายใน 1 สัปดาห์ จึงจะไดผ้ ลสูงสุด - โดยการนำไปใชค้ วรระวงั ไม่ใหเ้ ปียกน้ำเน่ืองจากเหยื่อจะเสยี ได้งา่ ยและทำใหห้ นูไมก่ นิ เหย่ือ

195 คำแนะนำการพน่ เหย่ือพิษโปรตีนกำจดั แมลงวนั ผลไม้ การพน่ เหย่ือพิษโปรตีนสามารถพ่นได้ 2 วธิ ี คอื 1. การพ่นเหยื่อพิษโปรตีนแบบเป็นจุด เป็นวิธีที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ประหยัด ใช้สารฆ่าแมลงน้อย จึง ปลอดภัยต่อเกษตรกรผู้ใช้ ผู้บริโภค และสภาพแวดล้อม ตลอดจนช่วยอนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติ และแมลงที่มี ประโยชน์ต่าง ๆ การพ่นใช้เหยื่อโปรตีน ได้แก่ ยีสต์โปรตีนไฮโดรไลเซท หรือยีสต์ออโตไลเซท (แซนซ-ไฟล) อัตรา 200 มิลลลิ ิตร ผสมสารฆา่ แมลงมาลาไทออน 83% EC อัตรา 10 มลิ ลลิ ิตร ในนำ้ 5 ลิตร พน่ พชื ต้นละ 1-4 จุด จุด ละ 30 มิลลิลิตร ในเวลาเช้าตรู่ ควรเริ่มพ่น 1 เดือน ก่อนแมลงวันผลไม้เข้าทำลายผลผลิตนั้น ๆ และพ่นไปจนถึง ระยะเกบ็ เกยี่ วผลผลติ หมด จุดท่พี ่นเหยอ่ื ควรเป็นจดุ ทอี่ ยู่ในรม่ เงา 2. การพ่นเหยื่อพิษโปรตีนแบบเป็นแถบ เป็นวิธีที่เหมาะกับสภาพแปลงที่มีการปลูกเป็นแถวมีระเบียบ และการพ่น แบบเป็นแถบจะมีแนวพ่นของเหยื่อพิษกว้างกว่าแบบเป็นจุด จึงมีประสิทธิภาพในการดึงดูดแมลงวันผลไม้ได้ มากกว่า โดยใชอ้ ัตราเดยี วกับการพน่ แบบเปน็ จดุ สำหรับการติดตามและตรวจสอบปริมาณแมลงวันผลไม้ เพื่อพ่นเหยื่อพิษโปรตีน โดยการใช้สารล่อเมทธิลยูจีนอล (methyl eugenol) ผสมสารฆ่าแมลงมาลาไทออน 83% EC ในอัตรา 4 : 1 ชุบสำลีนำไปแขวนในกับดักแมลง แบบสไตเนอร์ (Steiner traps) หรือกับดกั แบบดัดแปลงดว้ ยขวดน้ำพลาสติก แลว้ นำไปแขวนในแปลงปลูก จำนวน 1 กับดักต่อไร่ ตรวจนับแมลงวันผลไม้ในกับดักทุก ๆ 7 วัน ถ้าพบปริมาณแมลงวันผลไม้เพิ่มมากขึ้นในกับดัก โดยเฉพาะช่วงที่ใกล้เก็บเกี่ยวควรดำเนินการพน่ เหยือ่ พิษโปรตีน ตำแหนง่ พชื จุดทีฉ่ ีดเหยอื่ พิษ ทศิ ทางการเดินฉีดเหยอ่ื พษิ รูปท่ี 1 แสดงการเดินและตำแหน่งการพน่ เหยื่อพิษโปรตนี แบบเป็นจดุ ๆ ต้นละ 4 จดุ

196 พมุ่ ตน้ ไม้ จดุ ทีฉ่ ีดเหย่ือพษิ ลำต้นพืช พืน้ ดิน รปู ท่ี 2 แสดงตำแหน่งการพ่นเหยือ่ พิษโปรตนี แบบเป็นจดุ บนตน้ พชื จำพวกไมผ้ ล พืชท่ีพน่ เหยอื่ พษิ รูปที่ 3 แสดงการเดนิ พ่นเหย่ือพิษโปรตีนแบบเป็นแถบ ตน้ ละ 2 แถบ ทิศตรงขา้ มกนั

197 พมุ่ ตน้ ไม้ แถบเหย่ือพิษท่ีพน่ บนพชื กวา้ งประมาณ 6 น้วิ ลำตน้ พืช พื้นดิน รูปที่ 4 แสดงลักษณะการพน่ เหยอ่ื พิษโปรตีนแบบเปน็ แถบบนตน้ พชื จำพวกไม้ผล

198 การใชส้ ารฆ่าแมลงแบบหมุนเวยี นเพ่ือแกป้ ญั หาความตา้ นทานในแมลงศัตรพู ชื บทนำ ศตั รพู ืชเปน็ ปัญหาสำคัญที่ทำใหผ้ ลผลติ ทางการเกษตรลดลงทง้ั ด้านปรมิ าณและคุณภาพ การแก้ปญั หาศัตรูพืชหลาย ๆ วธิ ใี ชแ้ รงงานและต้นทนุ คอ่ นข้างมากแต่ก็ไมส่ ามารถกำจัดศัตรูพชื ท่กี ำลังระบาดไดท้ นั ทว่ งที การใช้สารฆ่าแมลงเปน็ ปัจจัยการ ผลิตทางการเกษตรปัจจัยหน่งึ ใชต้ น้ ทนุ ค่อนขา้ งถกู กวา่ วิธีอน่ื ๆ ใชแ้ รงงานน้อยกว่า และสามารถป้องกนั กำจัดแมลงศัตรพู ืชได้ อย่างทันทว่ งที แต่การทเ่ี กษตรกรบางสว่ นใชส้ ารฆ่าแมลงอยา่ งไม่ถูกต้องทำใหเ้ กิดปัญหาศัตรพู ืชเกดิ ความต้านทานตอ่ สารฆ่า แมลงเพิ่มมากขึน้ ในปจั จุบนั ความต้านทานต่อสารฆ่าแมลงคอื “การเปลย่ี นแปลงทางพนั ธุกรรมของการตอบสนองของประชากรศัตรูพืชทส่ี ามารถ ถ่ายทอดได้ ซ่ึงการตอบสนองนี้จะทำให้การใชส้ ารฆ่าแมลงไม่ได้ผลในการป้องกันกำจัดแมลงตามท่คี าดหวังไวเ้ ม่ือใชส้ ารชนดิ นน้ั ๆ ตามอตั ราทแี่ นะนำในฉลากสำหรบั การปอ้ งกันกำจัดแมลงชนิดนัน้ ” (IRAC, 2020) การป้องกันและแกไ้ ขปญั หาความต้านทานตอ่ สารฆา่ แมลงจำเป็นทีจ่ ะต้องแนะนำใหเ้ กษตรกรทำการป้องกนั กำจดั แมลงตามหลักการบริหารจดั การความต้านทานต่อสารฆา่ แมลง (insecticide resistance management, IRM) ซึง่ การใชส้ ารฆ่าแมลงใน IRM จะต้องเป็นไปในรูปแบบการใช้สารแบบ หมนุ เวยี น (insecticide rotation) ตามกลมุ่ กลไกการออกฤทธ์ทิ ี่จำแนกโดย IRAC (Insecticide Resistance Action Committee) ที่ถูกต้องจงึ จะสามารถแก้ปัญหาความต้านทานในแมลงศัตรูพืชได้ สาเหตุการเกิดความตา้ นทานในแมลงศัตรูพืช ความต้านทานต่อสารฆา่ แมลงในศตั รูพชื เกิดจากการใช้สารอย่างผดิ วธิ ี คอื มีการใชส้ ารชนดิ เดมิ ๆ หรือใชส้ ารกล่มุ เดิม ๆ ซ้ำกันบอ่ ยครงั้ มากเกินไป เช่น ใชส้ ารชนดิ เดมิ พ่นติดต่อกันในชว่ งหน่ึง ๆ เกิน 3 ครั้งโดยไม่มีการหยดุ พักการใช้สารชนดิ น้ัน ๆ อยา่ งน้อย 1 เดือน หรือมกี ารใชส้ ารชนดิ เดมิ พน่ ตดิ ต่อกนั โดยใชส้ ารในอตั ราทีต่ ำ่ กว่าอัตราทแี่ นะนำในฉลาก การใช้สารวิธี ดงั กลา่ วทำให้เกดิ การคัดเลือกประชากรแมลงท่ตี ้านทาน (resistance population) โดยที่แมลงประชากรท่ีอ่อนแอต่อสาร (susceptible population) นัน้ ตายหมด เหลอื แตแ่ มลงท่ีต้านทานต่อสารน้ัน ๆ ที่มียีนตา้ นทาน (resistance genes) มาผสม พนั ธ์ุแพร่พนั ธุส์ ืบลูกหลานตอ่ ไป เหตุผลในการบรหิ ารจดั การความต้านทานตอ่ สารฆา่ แมลง การบริหารจัดการความต้านทานกเ็ พื่อทำใหเ้ กษตรกรสามารถปอ้ งกนั กำจัดศัตรูพชื ไดง้ ่าย ทำให้สามารถผลติ ผลผลติ ทางการเกษตรท่มี ีปริมาณและคณุ ภาพสงู การบรหิ ารจัดการความตา้ นทานของแมลงศตั รูพชื ต่อสารฆ่าแมลงเป็นการทำทุก วิถีทางเพ่ือชะลอกระบวนการววิ ัฒนาการในการเกิดประชากรแมลงต้านทานต่อสารฆา่ แมลง ทำให้แมลงเกดิ ความตา้ นทานชา้ ลง และทำให้ประชากรแมลงทีต่ า้ นทานตอ่ สารฆ่าแมลงกลับมาเปน็ ประชากรแมลงทอ่ี ่อนแอต่อสารฆา่ แมลง จึงทำให้เกษตรกร สามารถปอ้ งกันกำจัดแมลงศัตรพู ชื ได้งา่ ย และสามารถใชส้ ารฆา่ แมลงในอตั ราท่แี นะนำไดโ้ ดยที่ไมต่ ้องเพิม่ ปรมิ าณการใช้สาร จงึ เปน็ การรกั ษาไว้ซ่งึ ประสทิ ธิภาพของสารฆ่าแมลงหลาย ๆ ชนดิ ท่ปี ลอดภัยต่อคนสตั ว์และส่งิ แวดล้อม (IRAC, 2020) เกษตรกรจึง มีสารฆ่าแมลงหลาย ๆ ชนดิ ท่ีมปี ระสทิ ธภิ าพในการป้องกันกำจดั ศัตรูพืชใหส้ ามารถเลือกใชไ้ ด้ และสามารถใชส้ ารได้ในอตั ราท่ี ปลอดภัยและไมส่ ูงมากเหมือนอัตราที่ใช้กับประชากรแมลงที่ต้านทาน หลักการบริหารจดั การความต้านทาน การบริหารจดั การความต้านทานมหี ลกั การคือ จะต้องทำการลดการคัดเลือกความต้านทานตอ่ สารฆ่าแมลงแตล่ ะกลุ่มท่ี ใชใ้ นประชากรแมลง วิธกี ารท่ีใชล้ ดการคดั เลือกความต้านทานกค็ ือการใช้สารแบบหมุนเวียนระหวา่ งสารฆ่าแมลงกลุ่มต่าง ๆ และหลกี เล่ยี งการใช้สารฆา่ แมลงกล่มุ เดิมในชว่ งอายุขัยถัดไปของแมลง ดังนนั้ การใชส้ ารแบบหมนุ เวยี นควรใชส้ ารให้หลากหลาย

199 กลุม่ ใหม้ ากท่ีสดุ เท่าทจ่ี ะทำได้ (BASF, 2020) การหมนุ เวียนสารฆ่าแมลงกลุ่มตา่ ง ๆ เปน็ วธิ กี ารที่มปี ระสทิ ธิภาพมากท่ีสดุ ในการ ลดการคดั เลอื กความต้านทานตอ่ สารฆ่าแมลงชนดิ ใดชนดิ หนึ่ง ดงั นนั้ วิธนี ี้จึงเปน็ หวั ใจในการบรหิ ารจัดการความตา้ นทานตอ่ สาร ฆ่าแมลง (IRAC, 2020) การลดการคัดเลือกความตา้ นทานต่อสารฆ่าแมลงยงั สามารถทำได้โดยการลดจำนวนคร้งั ในการใช้สารฆ่าแมลง มกี ารใช้ สารเมอ่ื จำเปน็ จริง ๆ และการหยุดพกั การใช้สาร หรอื หยุดพักการปลกู พืชที่เป็นอาหารของศัตรูพืชชนดิ เดมิ ในบางชว่ งหรอื บาง ฤดูก็จัดเป็นการบริหารจัดการความต้านทานท่ดี ี เพราะเปน็ การลดประชากรแมลงต้านทานและเป็นการเพ่มิ โอกาสให้แมลง อ่อนแอต่อสารฆ่าแมลงผสมพันธกุ์ บั แมลงที่ตา้ นทาน ทำให้ได้แมลงลกู ผสมท่ีมีความต้านทานลดลง การบริหารจดั การความตา้ นทานโดยการทำลว่ งหนา้ ก่อนเกิดปัญหาแมลงตา้ นทานจะทำไดง้ า่ ยกวา่ การบริหารจดั การ ความต้านทานทท่ี ำเมอ่ื เกิดปัญหาความต้านทานขึน้ แลว้ (IRAC, 2020) หลักการใช้สารฆา่ แมลงแบบหมนุ เวียน การใชส้ ารแบบหมนุ เวยี นกเ็ พ่ือทำใหเ้ กดิ การคัดเลือกแมลงท่มี ีความตา้ นทานต่อสารฆา่ แมลงกลุ่มใดกล่มุ หน่ึงน้อยที่สดุ (IRAC, 2020) สำหรับหลกั ในการใชส้ ารแบบหมนุ เวียนตามกลุม่ สารก็คือ การใชส้ ารกลุ่มใดกล่มุ หนึง่ ในชว่ งเวลาใดเวลาหนง่ึ เชน่ ช่วงเวลา 1 ชัว่ อายขุ ยั (generation) ของแมลงชนิดหน่ึง แลว้ การใชส้ ารในช่วงเวลาถดั มาจะต้องหลกี เล่ยี งการใช้สารกลุม่ เดิมซำ้ กนั กบั สารที่ใช้ในชว่ งอายขุ ยั แรก (ภาพที่ 1) เรมิ่ ปลกู ต้นอ่อน เจรญิ เตบิ โต เจริญเตบิ โต ใหผ้ ลผลติ ใหผ้ ลผลติ ก่อนเกบ็ เกยี่ ว Window 1 Window 2 Window 3 Window 4 Window 5 Window 6 Window 7 (1 ชวั่ อายุขัย (1 ชว่ั อายขุ ัย (1 ช่วั อายขุ ยั (1 ชั่วอายุขัย (1 ชัว่ อายุขัย (1 ชว่ั อายุขัย (1 ช่ัวอายุขัย ของแมลง) ของแมลง) ของแมลง) ของแมลง) ของแมลง) ของแมลง) ของแมลง) พน่ สารกลุม่ A พน่ สารกลมุ่ B พ่นสารกลุม่ C พ่นสารกลมุ่ D พ่นสารกลมุ่ A พน่ สารกลุ่ม B พน่ สารกลมุ่ C มากทส่ี ดุ ไม่ มากทสี่ ุดไม่ มากทส่ี ุดไม่ มากทส่ี ุดไม่ มากทสี่ ุดไม่ มากทส่ี ดุ ไม่ มากทส่ี ุดไม่ เกนิ 3 คร้ัง เกิน 3 ครงั้ เกิน 3 ครงั้ เกนิ 3 ครง้ั เกิน 3 ครัง้ เกิน 3 ครั้ง เกิน 3 คร้งั ภาพท่ี 1 แผนการพ่นสารแบบหมุนเวยี นตามกลุ่มสารเปน็ วงจรตอ่ เนอ่ื งกนั เพอื่ แก้ปญั หาความตา้ นทานของศตั รูพชื ต่อสารฆา่ แมลง ในการหมนุ เวียนสารจะแบ่งช่วงเวลาออกเป็นแตล่ ะชว่ งท่ีเรียกวา่ “หนา้ ต่าง” หรือ “window” ซง่ึ มักมีช่วงระยะเวลา ยาวประมาณ 1 ชั่วอายุขยั ของแมลงศตั รูพชื ชนดิ น้นั ๆ ตัวอย่างการใชส้ ารฆ่าแมลงแบบหมนุ เวียนในหนอน เช่น ในหนอนกระทู้ หลาย ๆ ชนดิ มีระยะเวลา 1 ชว่ั อายขุ ยั (ระยะเวลาต้งั แต่การเปน็ ไข่+ระยะการเปน็ ตัวออ่ น+ระยะการเปน็ ตวั เต็มวยั ) ประมาณ 20-30 วัน จึงมีการแบ่งช่วงในการพ่นสารในหนอนกระทู้ หรือ window ท่มี ีความยาวชว่ งละ 30 วัน (เพ่ือให้จำไดง้ ่าย) แล้วมกี าร วางแผนการพน่ สารแตล่ ะกลุ่มในแตล่ ะชว่ ง หรือ window ไม่เกิน 3 ครัง้ ซ่งึ ในแต่ละช่วงหรือแตล่ ะ window อาจมีการพน่ สาร ฆ่าแมลงไดห้ ลายกลุ่มข้นึ กับสถานการณ์การระบาดของศตั รูพชื แตล่ ะชนิด แตใ่ นช่วงถดั ไปหรอื window ถัดไปจะตอ้ งไมใ่ ชส้ าร กลุ่มที่เคยใชใ้ นชว่ ง window แรก เชน่ 1. ในช่วง window 1 ใช้สารกลุ่ม A → window 2 ใช้สารกลุม่ B → window 3 ใช้สารกล่มุ C → window 4 ใช้ สารกลมุ่ A → window 5 ใชส้ ารกลุ่ม B → window 6 ใช้สารกลมุ่ C → window 7 ใช้สารกลมุ่ A →….หมนุ เวียน เปน็ วงจรต่อไปเรื่อย ๆ

200 2. ในช่วง window 1 ใชส้ ารกลมุ่ A และ B → window 2 ใช้สารกลมุ่ C และ D → window 3 ใช้สารกลุ่ม A และ B →….หมุนเวยี นเป็นวงจรตอ่ ไปเรือ่ ย ๆ จะเหน็ วา่ จะต้องงดเว้นหรือหยุดพกั การพ่นสารกล่มุ เดมิ (A / B) อย่างน้อย 1 ชัว่ อายขุ ัยของหนอนกระทู้หรอื ประมาณ 30 วนั จงึ จะกลบั มาใช้ สารกลุม่ เดิม (A / B) ได้ (ภาพท่ี 2) ซงึ่ การงดการ พ่นสารกลมุ่ เดิม (A / B) ยง่ิ นานเกนิ 30 วันกย็ งิ่ ดใี นกรณที ี่มสี ารกล่มุ อนื่ ๆ ให้เลือกใชแ้ ทนสารกล่มุ A / B เชน่ ใน window 3 อาจมีการใชส้ ารกลุม่ E / F แทน แล้ว window 4 จึงจะกลับมาใช้สารกลุ่มเดมิ (A / B) Window 1 Window 2 Window 3 ชว่ ง 30 วัน (1 ชั่วอายุขัย) ชว่ ง 30 วัน (1 ช่ัวอายขุ ยั ) ช่วง 30 วัน (1 ช่ัวอายุขยั ) (งดการพ่นสารกลุ่ม A / B) พ่นสารกลุ่ม A / B พ่นสารกล่มุ A / B มากทสี่ ดุ ได้ 3 / 3 คร้งั พ่นสารกลมุ่ C / D มากท่สี ุดได้ 3 / 3 คร้ัง มากท่สี ดุ ได้ 3 / 3 คร้งั ภาพที่ 2 แผนการพ่นสารแบบหมุนเวยี นตามกลุ่มสารเปน็ วงจรตอ่ เนอ่ื งกันเพ่อื แก้ปัญหาความตา้ นทานต่อสารฆ่าแมลงในหนอน กระทู้ ส่วนในเพล้ียไฟมีระยะเวลา 1 ชัว่ อายขุ ยั ประมาณ 15-20 วัน จึงมีการแบ่งชว่ งในการพ่นสารในเพล้ยี ไฟ หรอื window ที่มีความยาวชว่ งละ 15 วัน (เพ่ือใหจ้ ำได้ง่าย) แล้วมีการวางแผนการพ่นสารแต่ละกลุม่ ในแตล่ ะชว่ ง หรือ window ไมเ่ กิน 3 ครัง้ ซง่ึ ในแต่ละช่วงหรือแตล่ ะ window อาจมกี ารพน่ สารฆ่าแมลงไดห้ ลายกล่มุ ขน้ึ กับสถานการณก์ ารระบาดของ ศัตรูพชื แต่ละชนิด แตใ่ นชว่ งถัดไปหรอื window ถดั ไปจะต้องไม่ใชส้ ารกล่มุ ที่เคยใชใ้ นช่วง window แรก เชน่ ในชว่ ง window 1 ใชส้ ารกลมุ่ A → ในชว่ ง window 2 ใช้สารกลุ่ม B → ในช่วง window 3 ใช้สารกลุม่ C →…หมุนเวยี นเป็นวงจรตอ่ ไปเร่อื ย ๆ (ภาพที่ 3) โดยในชว่ ง window 4 จงึ ใชส้ ารกลุ่ม A ซำ้ กับ window 1 ได้ จะเหน็ ว่าจะตอ้ งงดเว้นหรอื หยดุ พกั การพน่ สารกล่มุ เดิมอยา่ งน้อย 2 ชัว่ อายขุ ัยของเพลี้ยไฟหรือประมาณ 30 วนั จึงจะกลบั มาใช้สารกลุ่มเดิมได้ เนื่องจากระยะการเจริญในหนง่ึ ชว่ ง อายขุ ัยของเพลีย้ ไฟมักแปรปรวนแตกตา่ งกันมากในเพลย้ี ไฟแต่ละชนดิ และในแต่ละสภาพภูมิอากาศในฤดกู าลต่าง ๆ ดังน้นั การ หยดุ พกั การพ่นสารของเพล้ียไฟถงึ 30 วนั จงึ แนน่ อนกว่า Window 1 Window 2 Window 3 Window 4 Window 5 Window 6 Window 7 ชว่ ง 15 วัน ช่วง 15 วนั ช่วง 15 วนั ชว่ ง 15 วัน ช่วง 15 วัน ชว่ ง 15 วัน ชว่ ง 15 วนั (1 ชวั่ อายขุ ัย) (1 ชว่ั อายุขยั ) (1 ชวั่ อายุขยั ) (1 ช่วั อายขุ ัย) (1 ชั่วอายุขัย) (1 ชั่วอายขุ ยั ) (1 ชั่วอายขุ ยั ) (งดการพน่ สาร (งดการพ่นสาร (งดการพ่นสาร (งดการพน่ สาร พน่ สารกลมุ่ A กลมุ่ A) กลุม่ A) พ่นสารกลุม่ A กล่มุ A) กล่มุ A) พน่ สารกลุม่ A มากทส่ี ุดได้ 3 มากทสี่ ดุ ได้ 3 มากที่สดุ ได้ 3 พ่นสารกลุ่ม B พ่นสารกลุม่ C พน่ สารกลุม่ B พน่ สารกลมุ่ C คร้งั มากท่ีสุดได้ 3 มากทส่ี ดุ ได้ 3 ครงั้ มากทส่ี ดุ ได้ 3 มากทสี่ ุดได้ 3 ครั้ง คร้งั คร้ัง คร้งั คร้ัง ภาพท่ี 3 แผนการพน่ สารแบบหมนุ เวยี นตามกลุ่มสารเป็นวงจรต่อเนื่องกันเพ่ือแก้ปัญหาความต้านทานต่อสารฆา่ แมลงในเพล้ียไฟ

201 การวางช่วงเวลาการพน่ สารฆา่ แมลงแบบหมุนเวียน การวางช่วงเวลาการพ่นสารแบบหมนุ เวียนแตกตา่ งกันในพืชหรอื ศัตรูพืชชนิดตา่ ง ๆ โดยชว่ งการพน่ สารแบบหมนุ เวยี น จะถกู จดั เปน็ ช่วง ๆ หรอื window ซงึ่ มีความยาวประมาณระยะเวลาการเจรญิ เตบิ โตของแมลงจนครบ 1 ชั่วอายุขัย (IRAC, 2020) หรือมีความยาวประมาณระยะเวลาการเจริญเติบโตของพชื ในช่วงหน่ึง ๆ เชน่ 30 วัน เป็นต้น การใช้สารแบบหมุนเวียน กบั หนอนกระทู้มักใชช้ ่วงการหมุนเวียนทุก ๆ 30 วัน การใชส้ ารแบบหมนุ เวียนกบั เพลี้ยไฟมักใชช้ ่วงการหมนุ เวียนทุก ๆ 15 วัน ในกรณีทพ่ี ชื มีอายสุ นั้ กว่า 50 วนั การหมนุ เวยี นมักจะใชช้ ่วงระยะเวลาการเจริญเติบโตจนถึงเกบ็ เกี่ยวของพชื นั้น ๆ เป็น 1 window โดยการปลูกพืชนั้นในชว่ งต่อไปจะจัดใหเ้ ป็น window ถัดไปและจะต้องใช้สารฆ่าแมลงตา่ งกลุ่มกันกับที่ใชใ้ นชว่ ง window แรก ดงั น้ันในพืชอายุส้ันกว่า 50 วนั จึงมีเพียง 1 window ในการปลูกแตล่ ะครั้ง แต่ถ้ามีการปลูกพืชท่มี ีอายุส้นั กว่า 50 วนั ชนิดนั้นติดตอ่ กันในหลายช่วงหรือในแตล่ ะฤดู เชน่ ช่วงแล้ง ช่วงต้นฝน ช่วงปลายฝน ในแต่ละชว่ งก็จะเป็น 1 window (ภาพท่ี 4) ในพชื ท่ีมีอายุมากกวา่ 50 วัน เช่น อายุ 60 วันอาจจะแบ่งได้เป็น 2 ช่วง (window) ช่วงละ 30 วัน หรือในพืชอายุ 70 วันอาจจะแบ่งได้เป็น 2 ช่วง ๆ ละ 35 วนั หรืออาจกลา่ วว่าในพชื เหลา่ นส้ี ามารถใชส้ ารกลุ่มเดียวกันกับท่ใี ช้ในชว่ ง (window) แรกได้ในระยะเวลาไมเ่ กนิ 50 เปอร์เซ็นต์ของอายพุ ชื ชนิดนั้น ๆ (ภาพท่ี 5) ในพืชทีม่ ีอายุยาว เชน่ ไม้ผล กล้วยไม้ มักใชช้ ว่ งการ หมนุ เวียนทุก ๆ 1 ช่วั อายุขยั ของแมลงศัตรูพชื ชนดิ นน้ั ๆ เชน่ ในหนอนมักใชช้ ว่ งการหมุนเวยี นทุก ๆ 30 วัน และในเพลยี้ ไฟมัก ใช้ชว่ งการหมุนเวียนทกุ ๆ 15 วนั โดยมชี ว่ งหยุดพักการพ่นสารกลมุ่ แต่ละกลมุ่ ประมาณ 1 เดือน อยา่ งไรก็ตามนักวชิ าการเกษตรทที่ ำงานในทอ้ งท่ีนนั้ ๆ ควรเป็นผใู้ ห้คำแนะนำวา่ ชว่ งระยะเวลา window ที่พ่นสารน้ัน ควรกำหนดอย่างไรจึงจะเหมาะสม และในแต่ละ window ควรใช้สารกลุ่มอะไรไดบ้ ้าง (IRAC, 2020) Window 1 (ช่วง 50 วนั ) Window 2 (ช่วง 50 วนั ) Window 3 (ช่วง 50 วนั ) ระยะเวลาการปลูกพืชครง้ั 1 ระยะเวลาการปลูกพืชคร้งั 2 ระยะเวลาการปลกู พืชครั้ง 3 (งดการพน่ สารกล่มุ A / B / C) พ่นสารกลุ่ม A / B / C พ่นสารกลุม่ A / B / C มากทส่ี ดุ ได้ 3 / 3 / 3 ครั้ง พ่นสารกลมุ่ D / E / F มากท่สี ุดได้ 3 / 3 / 3 ครัง้ มากทีส่ ุดได้ 3 / 3 / 3 ครั้ง ภาพที่ 4 แผนการพน่ สารแบบหมนุ เวยี นตามกลุ่มสารเปน็ วงจรตอ่ เนื่องกนั เพอื่ แกป้ ัญหาความตา้ นทานของศัตรูพืชต่อ สารฆ่าแมลงในพืชมีอายุสนั้ กว่า 50 วนั Window 1 Window 2 ระยะการเจริญเติบโต ระยะใหผ้ ลผลติ ระยะเวลาไมเ่ กนิ 50 เปอรเ์ ซ็นต์ของอายพุ ืช ระยะเวลาไม่เกนิ 50 เปอร์เซ็นตข์ องอายพุ ืช (งดการพน่ สารกลุ่ม A / B / C) พน่ สารกลุม่ A / B / C มากทสี่ ดุ ได้ 3 / 3 / 3 ครงั้ พน่ สารกลุ่ม D / E / F มากทีส่ ดุ ได้ 3 / 3 / 3 ครั้ง ภาพท่ี 5 แผนการพน่ สารแบบหมุนเวียนตามกลมุ่ สารเพ่ือแกป้ ญั หาความต้านทานของศัตรูพืชตอ่ สารฆา่ แมลงในพชื มี อายุประมาณ 50-70 วนั

202 สารฆ่าแมลงท่ีใช้ในการพ่นสารแบบหมุนเวียน สารฆ่าแมลงทส่ี ามารถใช้ในการพน่ สารแบบหมุนเวยี นควรเปน็ สารท่เี หมาะสมในหลาย ๆ ด้าน เช่น เป็นสารที่ขึ้น ทะเบียนให้ใช้กับแมลงศัตรูพืชชนดิ นัน้ ๆ และเป็นสารที่มีคำแนะนำวา่ มีประสิทธิภาพในการป้องกนั กำจดั ศตั รูพชื ชนิดนนั้ ๆ เกษตรกรสามารถหาซื้อสารดังกล่าวไดต้ ามท้องตลาดท่วั ไป (IRAC, 2008) ในการพ่นสารแบบหมุนเวยี นจะตอ้ งใชส้ ารในอัตราที่มีประสทิ ธภิ าพสงู ในการฆ่าแมลง สามารถฆ่าแมลงไดม้ ากในอัตรา ท่ีแนะนำ หา้ มลดอตั ราความเข้มข้นของสารต่ำกว่าอัตราแนะนำ เพราะการลดอตั ราความเขม้ ขน้ ของสารลงตำ่ กว่าอัตราแนะนำ จะทำให้แมลงที่มยี ีนตา้ นทานมีจำนวนอยู่รอดได้มากขึน้ จึงไม่เหมาะสมสำหรบั การบริหารจดั การความตา้ นทาน และสารฆ่า แมลงทีใ่ ชจ้ ะต้องไม่มปี ญั หาว่าแมลงมคี วามต้านทานตอ่ สารมากอ่ นหรืออาจใชส้ ารทแ่ี มลงมีความตา้ นทานในระดบั ตำ่ ไม่ควรใช้ สารทแ่ี มลงมีความตา้ นทานแบบ cross-resistance กันในแต่ละ window หรือใน window ท่ีติดกัน นอกจากน้คี วรเป็นสารท่ี ไม่แพงเกนิ ไป ใช้แล้วมปี ระสทิ ธิภาพสามารถป้องกันกำจัดแมลงได้อย่างคุ้มค่า การใช้สารฆ่าแมลงใน window ทต่ี ดิ กันควรใชส้ ารฆ่าแมลงทอ่ี ยูค่ นละกลมุ่ กนั และสารทีใ่ ชใ้ น window ท่ีตอิ กนั ต้อง ตอ้ งไมม่ ีความตา้ นทานแบบ cross-resistance ซึง่ กันและกัน ไมค่ วรใช้สารที่อยู่ในกลมุ่ ย่อยที่อยู่ในกล่มุ เดยี วกันใน window ท่ี ตดิ กนั เพราะวา่ สารในกลุ่มยอ่ ยทีอ่ ย่ใู นกล่มุ สารเดยี วกันจะมีโอกาสเกดิ ความต้านทานแบบ cross-resistance ระหวา่ งกนั ได้ มากกวา่ สารท่ีอยตู่ ่างกล่มุ กัน (IRAC, 2020) เชน่ การใช้สาร organophosphate ทอี่ ยใู่ นกลุ่ม 1 กลุม่ ย่อย 1b ใน window 1 และใช้สารคารบ์ าเมทที่อยูใ่ นกลมุ่ 1 กลมุ่ ย่อย 1 a ใน window 2 ไมถ่ ูกตอ้ งเพราะว่าโอกาสทส่ี ารกลมุ่ ย่อย 1a และ 1b ในสาร กลุ่ม 1 จะเกดิ ความต้านทานแบบ cross resistance ซง่ึ กนั และกันมีมาก การใช้สารฆา่ แมลงแบบสารผสม (mixture) ในการหมุนเวียนการใชส้ าร ในปัจจบุ ันนม้ี ีการใช้สารผสมหลายแบบ เช่น สารผสมสำเรจ็ รูป (premix) และสารผสมทเ่ี กษตรกรผสมเอง (tank mix) สารผสมมกั มีคุณสมบตั ใิ นการปอ้ งกนั กำจัดแมลงศตั รูพชื ได้หลายชนิดเพมิ่ มากขน้ึ และป้องกนั การเกิดความตา้ นทานในกรณที ี่ยัง ไมพ่ บว่าแมลงศัตรูพืชเกิดความตา้ นทาน แต่ไม่แนะนำใหใ้ ชส้ ารผสมถ้าพบวา่ แมลงมีความตา้ นทานต่อสารกลมุ่ ใดกลุ่มหนง่ึ ที่อยู่ ในสารผสมน้ัน เพราะจะเป็นการเร่งให้เกิดความตา้ นทานเรว็ ขน้ึ ดังนน้ั การใช้สารผสมจึงมีความเส่ยี งสงู ถา้ ไมม่ ขี ้อมูลว่าแมลงมี ความตา้ นทานต่อสารกลุ่มใดกลมุ่ หน่ึงที่อย่ใู นสารผสมนัน้ หรอื ไม่ การใช้สารผสมในการหมนุ เวยี นสารนน้ั จะตอ้ งใช้สารผสมในอตั ราทแี่ นะนำ (IRAC, 2008) และพิจารณาการใช้กลุ่มสาร แตล่ ะกลมุ่ ในสารผสมให้เป็นไปตามหลักการใชส้ ารแบบหมุนเวียน นอกจากนี้การใชส้ ารแบบผสมใด ๆ ในการใช้สารแบบ หมนุ เวียนจะตอ้ งเปล่ยี นกลุ่มสารที่เปน็ คู่ผสมกันอยเู่ สมอ ๆ ไม่ควรใช้กลมุ่ สารคูผ่ สมเดิมซ้ำ ๆ กัน ห้ามใชส้ ารผสมที่มคี ผู่ สมเปน็ สารกลุม่ เดียวกันกบั สารทใ่ี ชใ้ น window ติดกัน การใชส้ ารผสมซ้ำกันบ่อยครั้งอาจทำใหเ้ กิดประชากรแมลงท่ีตา้ นทานต่อสารท้ัง 2 กลมุ่ ทมี่ ีอยูใ่ นสารผสมนั้นได้ โดยจะทำใหเ้ กิดความต้านทานแบบ multiple resistance ข้นึ ได้ในทสี่ ุด ซ่ึงการแก้ปญั หาความ ต้านทานดังกล่าวจะทำไดย้ ากยง่ิ ข้ึน (IRAC, 2008) การใช้สารฆา่ แมลงแบบหมุนเวียนในสภาพพ้ืนทท่ี แี่ มลงมคี วามตา้ นทานแตกต่างกนั การใช้สารฆา่ แมลงแบบหมนุ เวียนในแหลง่ ท่ีแมลงศตั รพู ชื มีความตา้ นทานน้อย ๆ ตอ่ สารฆ่าแมลงชนิดตา่ ง ๆ จะ สามารถแก้ปัญหาความต้านทานได้ง่าย แต่การใช้สารฆา่ แมลงแบบหมนุ เวียนในแหลง่ ท่ีแมลงศตั รูพชื มีความต้านทานต่อสารฆา่ แมลงหลาย ๆ ชนิดในระดบั สูง จะแกป้ ัญหาความตา้ นทานไดย้ ากกวา่ ในกรณที ่ีพื้นท่ีน้นั มีประชากรแมลงท่ีมีความต้านทานสูง ๆ ตอ่ สารฆา่ แมลงหลาย ๆ กลุ่มจะต้องใชว้ ธิ ีการอ่นื มารว่ มดว้ ยในการป้องกันกำจัดศตั รูพชื เช่น การหยุดพักการปลูก การใช้ชวี วิธี และวิธอี ืน่ อีกหลาย ๆ วธิ รี ่วมกันในรปู แบบของการบริหารจัดการศัตรูพืชแบบบูรณาการ (integrated pest management, IPM) (Bielza, 2008)

203 การปลกู พชื ในสภาพโรงเรอื นจะพบวา่ แมลงศตั รูพืชเกิดความต้านทานต่อสารฆ่าแมลงเรว็ มาก ทง้ั น้ีเนอื่ งจากในสภาพ โรงเรอื นเป็นพ้นื ท่ีปดิ จึงไม่มีแมลงอ่อนแอ (susceptible population) สามารถเขา้ มาผสมพันธ์กุ บั แมลงตา้ นทานท่ีเกดิ ขึ้นใน โรงเรือน ทำให้ไม่มีการเจือจางยีนต้านทาน (dilution of resistance) ในประชากรแมลงทอี่ ยู่ในโรงเรือน แมลงตา้ นทานจึงผสม ระหว่างกันในประชากร ดงั น้ันความตา้ นทานของแมลงในสภาพโรงเรอื นจึงเกดิ ขึน้ เรว็ มาก ตัวอย่างท่ี 1. แนวทางการใช้สารฆา่ แมลงแบบหมุนเวียนเพอ่ื แก้ปัญหาความต้านทานในหนอนใยผกั ทท่ี ำลายพชื ตระกลู กะหล่ำ ตารางที่ 1 ตวั อย่างสารฆ่าแมลง (กล่มุ สารฆา่ แมลง) ท่สี ามารถใชใ้ นการป้องกันกำจัดหนอนใยผัก สารฆา่ แมลง กล่มุ สารฆ่าแมลง spinetoram 12%SC 5 emamectin benzoate 1.92% EC 6 tolfenpyrad 16%EC 21A fipronil 5%SC 2B Bacillus thuringiensis subsp. aizawai 11A chorfenapyr 10%SC 13 indoxacarb 15%EC 22A 3A lambda-cyhalothrin 2.5% EC Window 1 Window 2 ระยะก่อนเข้าปลี ระยะหลังเข้าปลี ระยะเวลา 30 วนั ระยะเวลา 35 วนั ช่วง 1-15 วัน ช่วง 16-30 วัน ช่วง 31-45 วัน ช่วง 46-65 วัน พ่นสารกลุม่ พ่นสารกลุม่ พ่นสารกล่มุ พ่นสารกลุม่ 21A / 13 2B / 3A 5 / 6 22A / 11A มากทสี่ ดุ ได้ 3 / 3 ครัง้ มากทส่ี ุดได้ 3 / 3 ครง้ั มากทส่ี ดุ ได้ 3 / 3 ครงั้ มากท่สี ุดได้ 3 / 3 ครงั้ ภาพที่ 6 ตวั อยา่ งแผนการพ่นสารแบบหมนุ เวียนตามกลุ่มสารเพือ่ แก้ปญั หาความต้านทานตอ่ สารฆา่ แมลงใน หนอนใยผักในพชื ตระกูลกะหล่ำ

204 ตัวอยา่ งท่ี 2. แนวทางการใช้สารฆา่ แมลงแบบหมุนเวียนเพื่อแก้ปัญหาความตา้ นทานในเพลย้ี ไฟที่ทำลายมะม่วง มะนาว เมล่อน และกล้วยไม้ ตารางที่ 2 ตัวอย่างสารฆ่าแมลง (กลมุ่ สารฆ่าแมลง) ทีส่ ามารถใชใ้ นการป้องกันกำจัดเพลี้ยไฟ สารฆา่ แมลง กลุ่มสารฆา่ แมลง spinetoram 12%SC 5 emamectin benzoate 1.92% EC 6 fipronil 5%SC 2B chorfenapyr 10%SC 13 Window 1 Window 2 Window 3 Window 4 Window 5 Window 6 Window 7 ชว่ ง 15 วนั ช่วง 15 วัน ชว่ ง 15 วนั ชว่ ง 15 วนั ช่วง 15 วัน ชว่ ง 15 วนั ชว่ ง 15 วนั (1 ชัว่ อายุขัย) (1 ชวั่ อายุขยั ) (1 ชวั่ อายขุ ัย) (1 ชั่วอายขุ ัย) (1 ชวั่ อายขุ ัย) (1 ชั่วอายุขยั ) (1 ช่ัวอายุขยั ) พ่นกลมุ่ 5 พ่นกลุ่ม 13 พ่นกลุ่ม 6 พ่นกลมุ่ 2B พน่ กลมุ่ 5 พ่นกลุ่ม 13 พ่นกลุ่ม 6 มากทีส่ ุดได้ 3 มากทีส่ ุดได้ 3 มากท่สี ดุ ได้ 3 มากทส่ี ดุ ได้ 3 มากทีส่ ุดได้ 3 มากทีส่ ุดได้ 3 มากท่ีสดุ ได้ 3 คร้ัง ครั้ง คร้ัง ครงั้ คร้งั คร้ัง ครง้ั ภาพท่ี 7 แผนการพ่นสารแบบหมุนเวยี นตามกลมุ่ สารเป็นวงจรต่อเนื่องกันเพ่ือแก้ปัญหาความต้านทานต่อสารฆ่าแมลงในเพล้ียไฟ บทสรปุ การใช้สารฆ่าแมลงแบบหมนุ เวยี นเพอ่ื แก้ปญั หาความต้านทานสารฆ่าแมลงในแมลงศัตรพู ืชจะตอ้ งดำเนินการตาม หลักการบริหารจัดการความต้านทานตอ่ สารฆา่ แมลงหรือทเ่ี รยี กวา่ IRM โดยต้องแนะนำใหเ้ กษตรกรใชส้ ารฆ่าแมลงแบบ หมนุ เวียนตามกลมุ่ กลไกการออกฤทธทิ์ ่ีจำแนกโดย IRAC อย่างถกู ต้อง ในการหมนุ เวยี นสารจะแบง่ ชว่ งเวลาการพ่นสารกลมุ่ ต่าง ๆ เปน็ window ซ่ึงมักมีระยะเวลาประมาณ 1 ชัว่ อายขุ ัยของแมลงศัตรูพชื การพน่ สารแต่ละกลมุ่ จะต้องไมเ่ กนิ ระยะเวลา 1 ชั่ว อายุขยั แลว้ ในช่วงระยะเวลา 1 ช่ัวอายุขยั ถัดมาจะต้องหลกี เล่ียงการใช้สารกลมุ่ เดิมซ้ำกนั อกี สารฆ่าแมลงที่ใช้ในการพน่ แบบหมุนเวยี นควรเป็นสารที่ขึน้ ทะเบียนให้ใช้ไดก้ บั แมลงศัตรูพืชชนิดนนั้ ๆ และเป็นสารที่มี คำแนะนำวา่ มีประสทิ ธิภาพในการป้องกนั กำจัดศตั รูพชื ชนดิ นน้ั ๆ เกษตรกรสามารถหาซอ้ื สารดังกล่าวได้ง่าย สารท่ใี ช้จะต้องไม่ มีปญั หาแมลงมีความตา้ นทานหรอื มคี วามต้านทานในระดับต่ำมาก ไมค่ วรใชส้ ารกลุ่มที่แมลงมีความตา้ นทานแบบ cross- resistance กนั ในแต่ละ window หรือใน window ที่ตดิ กนั ไม่ควรใช้สารท่อี ยู่ในกล่มุ ยอ่ ยที่อยู่ในกลุ่มเดียวกนั ใน window เดียวกันและใน window ท่ีตดิ กันเพราะว่าสารในกลุ่มย่อยท่อี ยูใ่ นกล่มุ สารเดียวกันจะมีโอกาสเกดิ ความตา้ นทานแบบ cross- resistance ระหว่างกนั ได้ การใช้สารฆ่าแมลงแบบหมุนเวียนในประชากรแมลงทมี่ ีความตา้ นทานสงู จะตอ้ งมกี ารใช้วิธกี ารอืน่ มารว่ มด้วยในรูปแบบของการบรหิ ารจดั การศัตรูพืชแบบบูรณาการ (IPM) จึงจะสามารถแกป้ ัญหาความต้านทานได้ วธิ ีการใช้สารฆา่ แมลงแบบหมุนเวียนเป็นวธิ ีที่ง่ายทสี่ ดุ ในการแกป้ ัญหาความตา้ นทานต่อสารฆ่าแมลงในแมลงศตั รูพืช ซึ่งถ้าเกษตรกรหลายๆ รายในพื้นที่ใกลเ้ คยี งนำไปใชป้ ฏบิ ตั อิ ย่างแพรห่ ลายในบรเิ วณกว้างขวางแลว้ กจ็ ะทำใหป้ ัญหาความ ตา้ นทานของแมลงศัตรูพชื ตอ่ สารฆ่าแมลงลดลง

205 หัวฉีดและเครอ่ื งพน่ สารป้องกันกำจดั ศัตรูพชื 1. หวั ฉดี และหน้าทขี่ องหัวฉีด หวั ฉีด (nozzles) เปน็ อุปกรณท์ ีส่ ำคัญสว่ นหนึ่งของเคร่ืองพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพชื ทำหน้าทีห่ ลาย ๆ อย่างพร้อม กนั ไดแ้ ก่ ทำให้สารป้องกนั กำจดั ศตั รูพืชแตกตวั เป็นละอองสารและมรี ปู แบบการกระจายของละอองสารบนเป้าหมาย ตลอดจน ทำควบคุมอัตราการไหลของสารปอ้ งกันกำจดั ศตั รูพืช 2. ประเภทของหัวฉดี หวั ฉดี ทใี่ ชใ้ นการพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพชื สามารถจัดแบง่ ออกตามลักษณะของแหล่งทีใ่ ห้กำเนิดพลงั งาน ไดด้ งั น้ี 2.1 หวั ฉีดชนิดใช้แรงดันของเหลว (hydraulic or pressure nozzles) หวั ฉีดชนดิ นน้ี ิยมใช้กันมาก ซง่ึ จะใชก้ บั เคร่ืองพ่นสารชนิดต่าง ๆ ทั้งเครือ่ งพ่นสารขนาดเล็กที่ไม่ใช้เครื่องยนต์และ เครื่องพ่นสารขนาดใหญ่ชนิดใช้เครื่องยนต์ หรือลากจูงด้วยรถแทรกเตอร์ มีหลักการ คือใช้ความดันซึ่งได้จากของเหลวหรือลม บังคับใหส้ ารละลายของเหลวไหลผา่ นรูหวั ฉีด เมื่อของเหลวผ่านจากรูหัวฉีดออกไปจะแตกตัวเป็นละอองสารขนาดต่าง ๆ กัน ท้ัง ขนาดเล็กและขนาดใหญ่ท่แี ตกต่างกันมาก ความดันและขนาดของรูหัวฉีดเปน็ ปัจจัยสำคัญควบคุมขนาดของละอองสารที่เกิดขึ้น ถ้าความดันสงู ละอองสารที่เกิดขึ้นจะเป็นฝอยละเอียด ตรงกันข้ามถา้ ใช้ความดันต่ำละอองสารท่เี กดิ ขึ้นจะมีขนาดโต ขนาดของรู หัวฉดี ก็เชน่ กนั รูหวั ฉดี ขนาดเลก็ จะได้ละอองสารทีเ่ ลก็ ละเอียด และถ้ารูหวั ฉดี มีขนาดใหญล่ ะอองสารท่ีไดจ้ ะหยาบ 2.1.1 สว่ นประกอบของหัวฉีดชนิดใช้แรงดนั ของเหลว หัวฉีดชนิดใช้แรงดันของเหลวมีส่วนประกอบใกล้เคียงกันมาก แตกต่างกันในส่วนของปลายหัวฉีด เท่าน้ัน ชนิ้ ส่วนต่าง ๆ ประกอบด้วย ตวั หัวฉีด (nozzle body) ตะแกรงกรอง แผ่นกระแสวน (swirl plate or core) (ใชเ้ ฉพาะในหวั ฉีด แบบรปู กรวย รหู วั ฉดี (nozzle tip or orifice) และฝาครอบหวั ฉดี (nozzle cap) ตำแหน่งการประกอบชิ้นส่วนต่าง ๆ ไดแ้ สดง ไว้ในภาพที่ 1 ภาพท่ี 1 ช้ินสว่ นตา่ ง ๆ ของหวั ฉีดชนดิ ใชแ้ รงดนั ของเหลว 2.1.2 ชนดิ ของหวั ฉีดแบบใช้แรงดันของเหลว หัวฉีดชนิดใช้แรงดันของเหลวแบ่งเป็น 3 แบบ คือ หัวฉีดแบบรูปกรวย (cone type nozzle) หัวฉีดแบบ แรงปะทะ (impact type nozzle) และหวั ฉีดแบบรปู พดั (fan type nozzle) 1) หัวฉีดแบบรปู กรวย เป็นหัวฉีดท่ีนิยมใชก้ ันมากในการป้องกนั กำจัดศัตรูพืช ประกอบด้วยชิ้นสว่ นสำคัญ 2 ชิ้น คือ รูหัวฉีด ทำด้วยโลหะบาง ๆ เจาะรูขนาดเล็กตรงกลาง และแผ่นทำให้เกิดกระแสวน ทำด้วยโลหะหรือวัสดุแขง็ เป็นแผน่ บาง ๆ หรือเป็นแท่งกลม มีรูหรือร่องเอียงให้ของเหลวไหลผ่านเพือ่ ให้เกิดการหมุนวนด้านหลังของรูหัวฉีด และเมื่อผ่านรูหัวฉดี ออกไปจะมีการกระจายของละอองสารเป็นรูปทรงกรวยกลม ลักษณะการกระจายของละอองสารมีด้วยกัน 2 รูปแบบ เมื่อทำ การพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช ถ้าพื้นที่ตรงกาลางของรูปกรวยนั้นว่าง เรียกว่า หัวฉีดแบบกรวยกลวง (hollow cone nozzle) แต่ถ้ารูปกรวยน้ันมีละอองสารกระจายเต็มในวงกลม เรียกว่า หัวฉีดแบบกรวยทึบ (solid cone type) โดยทั่วไปนยิ ม ใชห้ วั ฉดี แบบกรวยกลวงมากกว่ากรวยทบึ เนอ่ื งจากสิน้ เปลืองสารปอ้ งกนั กำจัดศัตรูพืชนอ้ ยกว่า หัวฉดี แบบนม้ี ขี นาดของรฉู ดี และ

206 แผ่นทำให้เกดิ กระแสวนให้เลอื กหลายขนาดเพื่อให้ไดอ้ ัตราการไหลและขนาดของละอองสารที่ตอ้ งการ โดยทั่วไปประสิทธิภาพ การทำงานของหวั ฉดี ชนิดน้ีจะสงู สุดเม่ือใชค้ วามดนั ตง้ั แต่ 40-60 ปอนด์ตอ่ ตารางน้ิว และเนอ่ื งจากละอองสารสามารถว่ิงเข้าหา เปา้ หมายไดท้ กุ ทิศทางจงึ นิยมใชพ้ ่นสารควบคมุ แมลง และสารป้องกันกำจัดโรคพชื นอกจากหัวฉีดทั้ง 2 แบบที่กล่าวแล้ว มีหัวฉีดแบบรูปกรวยอีกชนิดหนึ่งที่ผลิตมาเพื่อพ่นละอองสารให้สามารถคลุม พื้นท่ีกว้างๆ ได้ เปน็ หวั ฉดี แบบรปู กรวยทมี่ ีมมุ พ่นกวา้ งกวา่ ปกติ หัวฉีดชนิดนใ้ี ห้มมุ พ่นกว้างถึง 140 องศา มีวตั ถปุ ระสงค์เพื่อลด การฟ้งุ กระจายของละอองสาร เนอ่ื งจากละอองสารท่เี กิดขนึ้ มีขนาดใหญ่กว่าปกติ (ภาพท่ี 2) กรวยกลวง กรวยทบึ ภาพที่ 2 การกระจายของละอองสารจากหวั ฉีดแบบกรวยกลวงและกรวยทึบ 2) หวั ฉีดแบบแรงปะทะ เปน็ หัวฉดี สำหรบั พน่ สารกำจดั วชั พชื โดยเฉพาะ ทำดว้ ยโลหะหรือพลาสตกิ แขง็ เปน็ ชิน้ เดียว มรี ูขนาดตา่ ง ๆ ตรงกลางของเหลวทไ่ี หลผา่ นรูนีจ้ ะปะทะกับแผน่ ก้ัน แลว้ กระจายตวั ออกเป็นละอองในลักษณะของรูป พัด มีมมุ ระหวา่ ง 100-145 องศา ขน้ึ อยกู่ ับความดนั ท่ีใช้ แตโ่ ดยทัว่ ไป หวั ฉดี แบบนีใ้ ห้การกระจายของละอองสารกว้างมากกว่า หัวฉีดชนิดอื่น และใช้ความดันค่อนข้างต่ำประมาณ 5-15 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เพื่อต้องการให้ได้ละอองขนาดโตจะได้ไม่ปลิวไป ถกู พืชอ่ืนท่ีอย่ขู ้างเคียง พ้ืนที่ทล่ี ะอองสารตกลงจะเปน็ รูปวงรแี คบ ๆ บรเิ วณปลายทั้ง 2 ขา้ งจะบานออกเลก็ นอ้ ย (ภาพท่ี 3) ภาพท่ี 3 การกระจายของละอองสารจากหัวฉีดแบบแรงปะทะ 3) หัวฉีดแบบรูปพดั หัวฉีดแบบนี้ทำด้วยวัตถุชิ้นเดียว มีลักษณะกลมแบน ตรงกลางเจาะรเู ปน็ รูปวงรี เล็ก ๆ ใหข้ องเหลวไหลผา่ น ของเหลวท่ีไหลผ่านรหู วั ฉีดด้วยความดันสูงจะกระทบกนั และแผก่ ระจายออกเปน็ รูปพัด โดยมีการกระจาย บนเป้าหมายในลักษณะเรียวหัว-ท้าย (tapered edge pattern) มีความกว้างของมุมที่ของเหลวออกมาอยู่ระหว่าง 65-110 องศา อตั ราการไหลของของเหลวจะมีมากหรอื น้อยขึ้นอยู่กบั ขนาดของรหู วั ฉีดและความดนั หวั ฉีดชนิดนใี้ ชใ้ นการพน่ สารกำจัด วัชพืช โดยใช้ความดันต่ำประมาณ 15 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เพื่อบังคับให้ได้ละอองสารมีขนาดโตจะได้ไม่ปลิวไปถูกพืชข้างเคียง นอกจากนั้นยังสามารถใช้พ่นสารป้องกันกำจัดแมลงและโรคพืชได้ หรือใช้ในงานทางสาธารณสุขเพื่อพ่นสารกำจัดยุง โดยใช้ ความดันสูงขน้ึ ประมาณ 40-60 ปอนด์ตอ่ ตารางนวิ้ ทงั้ น้เี พื่อให้ไดล้ ะอองสารท่เี ลก็ ละเอยี ด เปน็ ตน้ หัวฉดี แบบรูปพดั มีหลายรูปแบบ ไดแ้ ก่ รปู พดั แบบมาตรฐาน (standard fan nozzle) รปู พดั แบบใชค้ วามดนั ตำ่ (flat fan low pressure) รูปพัดแบบละอองสารออก 2 ข้าง (twin fan) และรูปพัดแบบที่มีการกระจายของละอองสารสม่ำเสมอ (even fan spray nozzle) ซึ่งหัวฉีดแบบหลังนี้เหมาะสำหรับการพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชระหว่างแถวปลูกพืช (band treatment) หวั ฉดี แบบน้ีมอี ัตราการไหล และมมุ กวา้ งใหเ้ ลือกใชห้ ลายขนาด (ภาพที่ 4)

207 แบบมาตรฐาน แบบใหก้ ารกระจายสมำ่ เสมอ ภาพที่ 4 การกระจายของละอองสารจากหวั ฉีดแบบรูปพัดแบบตา่ ง ๆ 2.1.3 การเลอื กใช้หวั ฉดี ชนดิ ใช้แรงดันของเหลว 1) ตามวัตถุประสงคก์ ารใชง้ านและชนิดของสารปอ้ งกนั กำจัดศตั รพู ืช โดยพิจารณาพร้อมกับอุปกรณ์เครื่องพ่นสารทีใช้ และชนิดสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่จะทำการพ่น ซ่ึง รายละเอยี ดการเลือกใช้สามารถเลือกใชต้ ามไดต้ ารางที่ 1 ตารางที่ 1 การเลือกใช้หวั ฉีดชนิดใชแ้ รงดันของเหลวกบั การพน่ สารปอ้ งกนั กำจดั ศตั รพู ชื ชนิดตา่ ง ๆ เครือ่ งพ่นสาร สารปอ้ งกันกำจดั ศตั รูพืช หวั ฉดี ประกอบคานหวั ฉดี สารกำจดั วชั พชื สารควบคมุ แมลง รูปพัด สบู โยกสะพายหลัง รปู กรวย สารป้องกันกำจัดโรคพืช รปู พัด สารกำจดั วัชพชื รูปกรวย สารควบคุมแมลง รปู พดั สารปอ้ งกันกำจดั โรคพชื แรงปะทะ รูปกรวย รปู กรวย 2) อัตราการพ่นสารของหัวฉดี ต่อหนว่ ยเวลา (spray volume per time) ปัจจัยนี้จะเป็นตัวกำหนดความเร็วของการปฏิบัติงาน ได้แก่ ความเร็วของการเดินพ่น (walking speed) หรอื ความเร็วของรถแทรกเตอรท์ ่ีลากจงู เคร่ืองพ่นสาร 3) ความกวา้ งของแนวพน่ สาร (swath width) ปัจจัยนีเ้ ป็นตวั กำหนดจำนวนแนวของการพ่นสารปอ้ งกันกำจดั ศตั รพู ืช (แนวตอ่ พืน้ ที)่ แนวพ่นสารทก่ี ว้าง มาก จำนวนแนวการพ่นสารจะลดลง โดยทั่วไปการกระจายของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชจะกว้างหรือแคบนั้น ขึ้นอยู่กับแบบ และชนิดหัวฉีดท่ีเลือกใช้ หรือความยาวของคานหัวฉีด (boom & nozzles) หวั ฉีดชนิดใชแ้ รงดนั ของเหลวที่กลา่ วแลว้ ข้างต้นให้ การกระจายของของเหลวกว้างหรือแคบแตกต่างกัน ซึ่งตรวจวัดได้จากความกว้างของแนวพ่นสารที่ผ่านพ้นหัวฉีด เรียกว่า มุม พ่น และระดับความสูงของหวั ฉีดจากเปา้ หมาย การเลือกใช้หัวฉีดที่มี มุมพ่นกว้าง จะช่วยเพิ่มการกระจายของละอองสาร และ พน้ื ทีท่ ท่ี ำการพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพชื ได้มากข้ึน ทำนองเดยี วกันถา้ ยกระดับของหัวฉีดสูงข้ึน ความกว้างของแนวพ่นสารจะ เพม่ิ ข้นึ ดว้ ย

208 การเลือกใช้หัวฉีดชนิดใช้แรงดันของเหลวนี้ นอกจากข้อที่ควรพิจารณาดังได้กล่าวแล้ว ยังมีรายละเอียด ปลกี ยอ่ ยที่ควรพจิ ารณาอกี ไดแ้ ก่ ราคาของหัวฉดี ตัวแทนจำหน่าย หรอื ความสะดวกในการหาซื้อหัวฉีดมาใช้ เป็นตน้ 2.1.4 วัสดุทใี่ ช้ทำหวั ฉดี ชนดิ ใชแ้ รงดนั ของเหลว วสั ดทุ ใ่ี ชท้ ำหวั ฉดี เปน็ อีกปจั จัยหนึ่งท่ีมผี ลกระทบต่อประสิทธภิ าพการพ่นสาร และการสูญเสียสารป้องกันกำจัด ศัตรูพืช เนื่องจากการสึกกร่อนของหัวฉีดหลังตากการใช้งาน วัสดุที่ใช้ทำหัวฉีดมีหลายชนิดและมีความคงทนต่อการใช้งาน แตกต่างกัน ได้แก่ เซรามิค สแตนเลส ทองเหลือง พลาสติก และ sintered alumina วัสดุเหล่านี้ ทองเหลืองสึกกร่อนได้ง่าย ท่ีสดุ สแตนเลสอย่างแขง็ ทนต่อการสึกกรอ่ นได้สงู กว่าทองเหลอื งและ sintered alumina ทนต่อการสึกกรอ่ นได้ดีทสี่ ุด ดังนั้นการเลือกใช้หัวฉีด จึงควรพิจารณาถึงวัสดุที่ทำด้วย ทั้งนี้เพราะการสึกกร่อนของวัสดุทำให้ขนาดของรู หัวฉีดเปลี่ยนไป มีผลให้การกระจายของละอองสารไม่สม่ำเสมอ และอัตราการไหลของหัวฉีดเพิ่มขึ้น ดังนั้นหัวฉีดที่มีการสึก กร่อนง่ายจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ยู่เสมอ การตรวจสอบกว่าหัวฉีดที่ใช้สึกกร่อนหรือไม่ และการสึกกร่อนนั้นม ากน้อยระดับใด ตรวจสอบได้โดยใช้วิธีเปรียบเทียบอัตราการไหลของของเหลว ระหว่างหัวฉีดใหม่กับหัวฉีดที่ใช้แล้ว ถ้าอัตราการไหลของ ของเหลวมากกว่า 10เปอร์เซ็นต์ ของอตั ราเดมิ ควรเปลี่ยนหวั ฉดี ใหม่ 2.2 หวั ฉีดชนดิ ใชแ้ รงลม (gaseous nozzles) หวั ฉีดชนิดนี้ใช้ร่วมกบั เครื่องยนต์พ่นสารสะพายหลังชนดิ ใช้แรงลม ละอองสารเกิดข้ึนจากการเคลื่อนทขี่ องมวล 2 ชนิด ไดแ้ ก่ กระแสลม และของเหลว โดยมีหลักการดงั น้ี ของเหลวจากถงั บรรจสุ าร ถูกบังคบั ให้ไหลตามท่อส่งสาร ซงึ่ ปลายทาง ออกของท่อส่งสารจะโผล่ตรงกลางทางเดินของกระแสลมซึง่ เป่าออกมาด้วย ความเร็วสูง ของเหลวนั้นจะถูกกระแสลมตีให้แตก ตวั ออกเปน็ ละอองสารขนาดเล็ก และถูกพดั พาไปยังเปา้ หมาย (ภาพท่ี 5) ขนาดของละอองสารจะเล็กหรือโตขนึ้ อยู่กบั ความเร็ว ของลม และอัตราการไหลของของเหลว ถ้ากระแสลมมีความเร็วสูงและอัตราการไหลน้อย ละอองสารจะมีขนาดละเอียดมาก และตรงกันขา้ มถ้าความเรว็ ลมต่ำ อตั ราการไหลผา่ นหวั ฉดี มาก ละอองสารท่เี กิดขน้ึ มขี นาดโตขน้ึ ดว้ ย (ภาพที่ 6) ภาพท่ี 5 การเกิดของละอองสารจากหวั ฉดี ชนดิ ใช้แรงลม ภาพบนละอองเกดิ จากกระแสลม และใบพัดตขี องเหลวใหแ้ ตก กระจาย ภาพล่างละอองเกดิ จากกระแสลมตขี องเหลวให้แตกกระจาย ภาพที่ 6 การเกิดของละอองสารที่ขนาดแตกตา่ งกนั เนือ่ งจากความเรว็ กระแสลมและ อัตราการไหลของของเหลวทผ่ี า่ นลงในกระแสลม

209 2.3 หัวฉดี ชนิดใช้แรงเหวย่ี ง (centrifugal nozzles) หัวฉีดชนิดนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถผลิตละอองสารที่มีขนาดเล็กและสม่ำเสมอดีกว่าหัวฉีดต่าง ๆ ท่ี กล่าวมาแล้ว หลักการทำงานของหัวฉีดประเภทนี้ ได้แก่ ให้ของเหลวจำนวนน้อยไหลลงบนจานหรือตะแกรงลวดทรงกลม (spinning disc or spinning cage) ทห่ี มนุ ดว้ ยความเร็วสูง ของเหลวดังกล่าวจะถูกสลัดออกโดยรอบขอบจานทำให้เกิดละออง สารขึ้น เช่น หัวฉีดของเครื่องพ่นสารแบบจานหมุน (ULVA) ที่ทำงานด้วยแบตเตอรี่ หรือให้ของเหลวไหลผ่านตะแกรงลวดทรง กลมทก่ี ำลังหมุนอยู่ดว้ ยความเรว็ รอบสูง ของเหลวจะถูกเหวี่ยงออกมา ตะแกรงจะตีของเหลวนน้ั ให้แตกกระจายเป็นละอองสาร ที่ละเอียดมาก เช่น หัวฉีด micronair ขนาดของละอองสารที่เกิดขึ้นจากหัวฉีดแบบนี้ ขึ้นอยู่ที่ความเร็วรอบของจานหมุน หรือ ตะแกรงหมุน ถ้าจานหรือตะแกรงหมุนด้วยความเร็วรอบสูง ละอองสารที่เกิดขึ้นจะละเอียดมาก แต่ถ้าความเร็วรอบต่ำจะได้ ละอองสารขนาดโตขน้ึ (ภาพท่ี 7) ภาพที่ 7 การเกิดละอองสารของหวั ฉีดชนดิ ใชแ้ รงเหวย่ี ง และตะแกรงหมุน 3. ประเภทเครือ่ งพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรพู ืช เครื่องพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช เป็นอุปกรณ์สำคัญ สำหรับกระจายสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชให้คลุมเป้าหมายท่ี ต้องการ การใช้สารป้องกันกำจัดศตั รูพืชให้ไดผ้ ลและมีประสทิ ธิภาพตามวัตถปุ ระสงคน์ ้ัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยตา่ ง ๆ หลายประการ รวมทั้งสมรรถนะการทำงานของอุปกรณ์เครื่องพ่นสารด้วย เครื่องพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่ผ ลิตออกจำหน่ายปัจจุบันมี

210 หลายชนิด มีรูปแบบแตกต่างกันตามลักษณะการใช้งาน เครื่องพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชสามารถจำแนกตามระบบ การพ่น สารได้ 2 กลุม่ ไดแ้ ก่ 3.1 การพ่นสารทางภาคพนื้ ดนิ (ground application) การพ่นสารระบบนี้สามารถแบ่งชนิดของเครื่องพ่นตามระบบพลังงานแบบต่าง ๆ ทั้งจากผู้พ่นหรือเครื่องยนต์โดย อาจจะเป็นเครื่องขนาดเล็กที่สามารถใช้งานโดยคน 1-2 คน และขนาดใหญ่ซึ่งต้องใช้เครื่องยนต์หรือแทรกเตอร์ เป็นต้น ซ่ึง สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังต่อไปนี้ 3.1.1 เครอื่ งพ่นสารป้องกันกำจัดศตั รพู ืชชนิดใชแ้ รงคน เครื่องพ่นสารชนิดนี้เป็นเครื่องพ่นสารขนาดเล็ก ระบบการทำงานของเครื่องพ่นสารอาศัยพลังงาน ไฮดรอลิ คแบบง่าย ๆ คือ ลูกสูบจะดันของเหลวให้ผ่านรูหัวฉีด เครื่องพ่นสารชนิดนีบ้ างชนิดไม่มหี ้องเก็บความดนั ของเหลวที่สบู จากถัง พ่นสารจะถูกบงั คับใหผ้ า่ นออกทางหัวฉีด โดยลูกสูบของปมั๊ โดยตรง เครื่องพ่นสารที่ดีกว่าจะมีห้องสำหรับเก็บความดัน ความดันที่เกิดจากปั๊มจะถูกเก็บไว้ในห้องเก็บความดันซึ่งมี ลิ้นและปะเก็นปิดอยู่ อากาศเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่จะเพิ่มแรงดันในห้องเก็บความดัน ของเหลวในถังไม่สามารถจะเพ่ิม แรงดันได้ถ้าไม่มีอากาศ สิ่งสำคัญคือ ต้องรักษาระดับของแรงดันไว้โดยการปั๊มอากาศหรือของเหลวเข้าไปในห้องเก็บความดัน ภายในถังบรรจสุ ารจะมีท่อดูด ปลายท่อจะติดอยู่กับก้นถังบรรจสุ าร แรงดันในถังจะดันของเหลวออกไปทางหวั ฉีดเมือ่ เปิดกอ๊ ก ปิด-เปิด เครื่องพน่ สารกล่มุ นี้ แบง่ เปน็ 4 ประเภท ดังนี้ • เครือ่ งพ่นสารแบบสูบชัก เครอื่ งพน่ สารแบบนี้เป็นกระบอกสูบ คล้ายกระบอกสบู รถจักรยาน (ภาพที่ 8) ทำด้วยโลหะทีท่ นทานต่อ สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช มีอยู่ 2 แบบ คือ แบบสูบจังหวะเดียว (single action) และแบบสูบ 2 จังหวะ (double action) เคร่ืองพ่นสารชนิดน้ไี มม่ ถี ังบรรจุสารพร้อมในตวั แต่สามารถใชภ้ าชนะอ่ืนแทนได้ เชน่ ถงั น้ำ ภาพที่ 8 เคร่ืองพน่ สารแบบสูบชกั และถังบรรจสุ ารป้องกันกำจดั ศตั รูพชื เครื่องพ่นสารแบบนี้มขี ายทั่วไป ราคาถูกและเหมาะสำหรับพืชขนาดเล็ก เช่น กะหล่ำปลี หอม คะน้าและยาสูบ พ่นใน พ้ืนทขี่ นาดเล็ก และพน่ สารสปั ดาหล์ ะครั้ง • เครือ่ งพน่ สารแบบอดั ลม เครื่องพ่นสารแบบนี้เป็นรูปทรงกระบอก (ภาพที่ 9) ถังบรรจุสารต้องปิดสนิทสำหรับเก็บอากาศและ หน้าที่เก็บความดนั เมื่อจะใช้งานควรบรรจุสารของเหลวในถังประมาณ 2 ใน 3 ของถัง อัดอากาศเข้าไปในถงั โดยป๊ัม ทำให้เกิด ความดันในถัง เมอ่ื เปิดก๊อก ของเหลวจะถูกดันไปท่ีหัวฉีด เมอื่ ความดันในถงั บรรจสุ ารลดลงผู้ใชต้ ้องอัดลมเข้าไปในถังบรรจุสาร ใหม่ เครื่องพน่ สารแบบน้เี หมาะสำหรับใช้กบั พืชขนาดเลก็ เชน่ ผกั พืชไร่บางชนดิ ท่ีมีพื้นทีป่ ลูกประมาณ 2-3 ไร่

211 ภาพท่ี 9 เคร่ืองพ่นสารแบบชนดิ ถังอัดลม แบบทำดว้ ยโลหะ (ซ้าย) และพลาสติก (ขวา) เครื่องพ่นสารแบบนี้มอี ายุการใช้งานประมาณ 3 ปี แต่ถ้าใช้ประจำติดต่อกัน อายุการใช้งานอาจสั้นกวา่ นี้ และหากคิด ค่าใช้จา่ ยในการพน่ สารแต่ละครั้ง พบว่า เปน็ 2 เท่า ของเครอ่ื งพ่นสารแบบสูบโยก ถ้าจะยดื อายกุ ารใช้งานควรมีการบำรุงรักษา อย่างดี อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้ใช้ในการเกษตร เพราะราคาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับเครื่องพ่นสารแบบสูบโยก ซึ่งมี ประสิทธภิ าพดีกว่า • เครอื่ งพ่นสารแบบสูบโยกสะพายหลัง เครื่องพ่นสารแบบแบบสูบโยกสะพายหลัง (ภาพที่ 10) ถังบรรจุสารมคี วามจุ 10-20 ลิตร มีสายสะพาย 2 เส้น ตัวถังบรรจุสารทำด้วยสแตนเลส หรือพลาสติกอย่างแข็ง ปั๊มทำงานโดยการโยกไปข้างหน้า มีห้องเก็บความดันแยกออก จากกนั ภาพที่ 10 เคร่ืองพน่ สารแบบเคร่ืองพ่นสารแบบแบบสบู โยกสะพายหลงั เครื่องพ่นสารแบบน้ี อายุการใช้งานนานกว่า 6 ปี สามารถใช้พ่นสารในพื้นที่ขนาดใหญ่ได้อย่างต่อเนื่องตลอดฤดู และ ในปจั จบุ นั มีราคาไม่แพง จึงเปน็ ท่นี ยิ มของเกษตรกร 3.1.2 เคร่อื งพน่ สารป้องกันกำจัดศัตรพู ชื ชนิดใชเ้ คร่อื งยนต์ เคร่อื งพน่ สารปอ้ งกันกำจัดศตั รูพืชชนดิ นี้ขนาดและรปู แบบต่าง ๆ กันต้งั แตข่ นาดเลก็ สามารถทำงานได้ด้วยคน เดียว หรือขนาดกลางต้องใช้สองคนหาม หรืออาจจะติดตั้งบนล้อเข็น และขนาดใหญ่ติดตั้งบนรถแทรกเตอร์ แบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ • เครอ่ื งยนต์พ่นสารแบบใชแ้ รงดันน้ำ (power-operated hydraulic sprayers) แบง่ ออกเป็น 1) เคร่ืองยนตพ์ ่นสารสะพายหลงั แบบใช้แรงดนั นำ้ (motorised knapsack power sprayer)

212 ถังบรรจุสารมีขนาดตั้งแต่ 12-25 ลิตร ทำให้สามารถสะพายหลังได้ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องยนต์ 2 จังหวะ ซึ่งจะเป็นต้นกำลังให้ปั๊มทำงาน หัวฉีดเป็นชนิดกรวยกลวง อาจจะมี 1-4 หัว ติดอยู่บนก้านฉีดซึ่งมีก๊อกปิด-เปิด เครื่องยนต์พ่นสารชนิดนี้ใช้ในสวนผัก ข้าวและพืชไร่ที่ปลูกในพื้นที่ไม่มาก เนื่องจากจำเป็นต้องพ่นสารแบบผสมน้ำมาก ทำให้ ต้องเสียเวลาในการเติมสารหลายครัง้ เครอื่ งยนตพ์ ่นสารชนิดนยี้ ังสามารถใช้ไดก้ ับไม้ผลท่ีมีทรงพ่มุ ขนาดเล็ก (ภาพที่ 11) ภาพที่ 11 เครือ่ งยนต์พ่นสารสะพายหลงั แบบใชแ้ รงดันน้ำ 2) เครือ่ งยนต์พน่ สารแบบใช้แรงดนั น้ำสูง (motorised high pressure pump sprayer) เครื่องยนต์พ่นสารชนิดนี้มีขนาดกลาง โดยใช้สองคนหาม ทำการติดตั้งบนล้อเข็นรถยนต์ หรือรถ แทรกเตอร์ คือ ใช้เครื่องยนต์ซึ่งมีกำลังขนาดต่าง ๆ เป็นต้นกำลังฉุดปั๊มให้ดูดสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช จากถังบรรจุสารแล้ว ส่งไปยังหัวฉีด อาจมี 1-2 หัว โดยส่วนมากจะเป็นหัวฉีดแบบกรวยกลวงสามารถปรับมุมพ่นได้ นอกจากนี้สามารถปรับใช้กับ อปุ กรณป์ ระเภทคานและหัวฉีด (boom and nozzles) ทง้ั นีห้ ัวฉีดทใ่ี ช้อาจจะเป็นแบบกรวยกลวงหรือรูปพัด ข้ึนอยู่กับศัตรูพืช ที่จะพ่นป้องกันกำจัด เครื่องยนต์พ่นสารชนิดนี้เหมาะสมกับการพ่นไม้ผลทุกขนาด ข้าวและพืชไร่ที่ปลูกในพื้นทีม่ าก ๆ (ภาพที่ 12) ภาพที่ 12 เครอ่ื งยนต์พน่ สารแบบใช้แรงดันนำ้ สงู ประเภทสองคนหามและติดต้ังลอ้ เขน็ • เครื่องยนต์พน่ สารแบบใชแ้ รงลม (air-carrier sprayers) แบง่ ออกเปน็ 1) เครอ่ื งยนต์พน่ สารสะพายหลงั แบบใช้แรงลมขนาดเลก็ เครอื่ งยนตพ์ น่ สารชนดิ นีม้ ถี งั บรรจุสารทำด้วยพลาสติกมีขนาดต้ังแต่ 10-12 ลติ ร เมอ่ื บรรจุสารเต็มมี นำ้ หนกั รวมประมาร 20 กิโลกรมั ทำใหส้ ามารถสะพายหลงั ได้ เครอื่ งยนต์เปน็ แบบ 2 จงั หวะ ขนาดปริมาตรกระบอกสูบ 35-70 ลูกบาศก์เซนติเมตรระบายความร้อนด้วยอากาศ เครื่องยนต์พ่นสารชนิดนี้สามารถใชไ้ ด้ดกี ับพืชไร่ทั่ว ๆ ไป พืชผัก ข้าว และไม้ ผลที่มีความสูงและทรงพุ่มไม่ใหญ่มากนัก หลักการทำงานของเคร่ืองยนตพ์ ่นสารชนิดนี้คือ ให้ของเหลวหยดลงสูก่ ระแสลมที่ถกู ผลติ จากเครือ่ งยนต์ ที่มคี วามเร็วสงู มากต้งั แต่ 140 กโิ ลเมตรต่อชว่ั โมงขึ้นไป ไปกระแทรกหรือตีของเหลวเหลา่ นั้นให้เป็นละออง

213 สารขนาดตั้งแต่ 50-120 ไมโครเมตร และขณะเดียวกัน กระแสลมจะช่วยพัดละอองสารเข้าไปสู่เป้าหมายที่จะพ่น ขนาดของ ละอองสารจะขึ้นอยู่กับความเร็วของกระแสลมและอัตราการไหลของของเหลว กล่าวคือ ถ้าหากกระแสลมแรงมากและอัตรา การไหลน้อยละอองสารจะเล็กละเอียด ถ้าหากกระแสลมลงและอัตราการไหลมากละอองสารจะมีขนาดโตและหยาบ ดังนั้น ขณะพ่นสารจำเป็นต้องเร่งเครื่องยนต์ให้ทำงานเต็มที่เพื่อให้ได้รอบสูงสุด ซึ่งจะอยู่ประมาณ 6,000-7,500 รอบต่อนาที ทำให้ ความเร็วและปริมาตรของกระแสลมถูกผลิตออกมาสูงสุดและมีความสม่ำเสมอ เน่ืองจากการทำงานของเครื่องยนต์พ่นสารชนิด น้จี ะผลิตลมบางสว่ นเข้าไปในถังบรรจุสารเพ่ือดันของเหลวไปสหู่ ัวฉีด ดงั นัน้ ขณะทำการพ่นสารจำเป็นต้องปิดฝาถังบรรจุสารให้ แน่น เพื่อมิให้ลมที่เกิดขึ้นออกจากถังบรรจุสารเป็นผลให้ขณะพ่นสารสามารถยกหัวฉีดให้สูงกว่าระดับของของเหลวในถังบรรจุ สารได้ จากเหตุผลดังกล่าวเมื่อต้องการใช้เครื่องยนต์พ่นสารชนิดนี้ให้มีประสิทธิภาพสงู สุด จำเป็นต้องเร่งเครื่องยนต์ให้ได้รอบ สูงสุด และต้องปดิ ฝาถงั บรรจุสารใหแ้ นน่ และหม่นั ตรวจสอบรอยร่วั หรอื ปะเก็นในฝาถงั (ภาพที่ 13) ภาพที่ 13 เคร่อื งยนต์พน่ สารสะพายหลังแบบใชแ้ รงลมขนาดเล็ก 2) เคร่ืองยนต์พน่ สารแบบใช้แรงลมขนาดใหญ่ (air shear and air blast sprayer) เคร่ืองยนต์พ่นสารชนิดน้ีออกแบบโดยอาศัยลมจากใบพัดเป็นตวั พัดพาละอองสารทีเ่ กดิ จากการ กระแทรกหรอื ตหี ยดสารละลายท่ีออกมาจากหัวฉีดไปสู่เป้าหมายเป็นเครื่องพน่ สารที่มขี นาดใหญ่ จึงต้องใชล้ ากจูงหรือติดตั้งบน รถแทรกเตอร์ หลักการในการทำใหเ้ กดิ ละอองสารมีอยู่ 2 วิธี คือ วิธีการแรก ใช้กระแสลมซึ่งเกิดจากการทำงานของใบพัด เป่า ดว้ ยความเรว็ สูงมากกวา่ 300 กิโลเมตรต่อชัว่ โมง กระแทกหรอื ดี (shear) สารละลายที่ไหลออกมาจากรูหวั ฉีดใหเ้ ปน็ ละอองสาร และกระแสลมนั้นจะพัดพาละอองสารเข้าไปสู่เป้าหมาย ได้แก่ เครื่องยนต์พ่นสารแบบใช้แรงลมขนาดใหญ่ท่ีเรียกกว่าแบบแอร์ เชยี ร์ (air-shear sprayer) ในวิธกี ารที่ 2 นัน้ มีหลกั การทำงานแตกตา่ งจากเคร่ืองยนต์พน่ สารแบบแอร์เชียร์ ในแง่ท่ีวา่ ทำให้เกิด ละอองสารก่อนโดยใช้หัวฉีดแบบใช้แรงดันน้ำ หรือจากหัวฉีดแบบจานหมุน ละอองสารที่ได้นี้จะถูกกระแสลมจากใบพัดที่มี ปริมาตรสูงแต่มีความเร็วต่ำพัดพาเข้าไปสู่เป้าหมาย ได้แก่ เครื่องยนต์พ่นสารแบบใช้แรงลมขนาดใหญ่ที่เรียกกว่า แบบ แอร์บลา๊ สท์ (air-blast sprayer) (ภาพท่ี 14) ละอองสารท่ไี ดจ้ ากการพ่นดว้ ยเคร่ืองยนต์พน่ สารแบบแอร์บลา๊ สท์ จะมขี นาดเล็กและสมำ่ เสมอมากกวา่ ละอองท่ีได้จาก เครื่องพ่นสารแบบแอร์เชียร์ ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาและออกแบบเครื่องยนต์พ่นสารแบบใช้แรงลมขนาดใหญ่นี้ เพื่อใช้ติดตั้ง บนรถแทรกเตอร์และในเรือมากยง่ิ ข้นึ ในประเทศไทย หลักการของเครื่องยนต์พ่นสารแบบใช้แรงลมขนาดใหญ่ คือ ผลักดันมวลของอากาศที่อยู่ภายในทรงพุ่มของต้นไม้ให้ ออกไปและแทนทด่ี ้วยมวลของกระแสลมที่ถูกผลติ ออกมาจากเคร่อื งยนต์พน่ สาร ดงั น้นั จึงพบวา่ มปี ัจจยั อยู่หลายประการท่ีทำให้ ประสิทธิภาพของการแทรกซอนหรือการแพร่กระจายของละอองสารเมื่อพ่นด้วยเครื่องพ่นสารชนิดนีด้ ้อยลง อาทิเช่น ปริมาตร ของลมไม่เพยี งพอกบั ขนาดและความหนาแน่นของทรงพุ่ม ความเรว็ ของการพ่นสารเรว็ หรือช้าเกินไป การจดั ตำแหนง่ หรือเลือก ขนาดของหวั ฉดี ไม่เหมาะสม ตลอดจนการติดตง้ั เคร่ืองบังคับกระแสลมไม่เหมาะสมกับความสูงของพืชท่จี ะพ่น การพ่นสารด้วย

214 เครื่องยนต์พ่นสารชนิดนี้ มักใช้พ่นสารแบบใช้น้ำน้อยแต่สามารถปรับให้พ่นแบบใช้น้ำมากได้ตามต้องการ เนื่องจากหัวฉีดมี หลายขนาดและสามารถปิด เปดิ ตำแหน่งต่าง ๆ ไดท้ กุ หัว เคร่ืองยนตพ์ ่นสารชนิดน้ีเหมาะสมกบั การพน่ สารกับไม้ผลขนาดใหญ่ท่ี ปลูกในพ้นื ทีม่ าก ๆ ตลอดจนพืชท่ปี ลูกเป็นแถว ภาพท่ี 14 เครื่องยนต์พน่ สารแบบใชแ้ รงลมขนาดใหญ่ เคร่ืองยนต์พน่ สารแบบแอรบ์ ล๊าสท์ (ซา้ ย) และแบบแอรเ์ ชียร์ (ขวา) • เครือ่ งพน่ สารปอ้ งกันกำจดั ศัตรูพชื แบบจานหมนุ เครื่องพ่นสารแบบจานหมุนหรือเครื่องพ่นสารซีดีเอ (CDA- controlled droplet applicator) (ภาพที่ 15) เป็นเครื่องพ่นสารชนิดหนึ่งที่เหมาะสำหรับการพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช โดยเฉพาะวิธีการพ่นสารแบบน้ำน้อย (low volume application) และแบบไม่ผสมนำ้ (ultra low volume application) นำมาใช้ทดแทนเคร่ืองพ่นสารแบบสูบโยกชนิด ต่าง ๆ เคร่อื งพ่นสารชนิดน้สี ามารถนำมาใช้พน่ สารควบคุมแมลงและกำจัดวชั พืชไดด้ ี ภาพท่ี 15 เครื่องพ่นสารแบบจานหมนุ ชนิดใช้ควบคมุ แมลง (ซ้าย) และชนดิ ใชค้ วบคมุ วัชพืช (ขวา) 3.2 การพ่นสารทางอากาศ (aerial application) ในปจั จุบันประเทศไทยใช้อากาศยานไร้คนขบั (UAV) มาใชง้ านด้านอารักขาพชื ทจ่ี ะกลา่ วถงึ ตอ่ ซง่ึ แบง่ ตามลักษณะการ ใช้งานออกเปน็ 2 ประเภท ได้แก่ โดรน และเฮลิคอปเตอร์แบบไร้คนขับ โดยมหี ลักการทำงานและข้อจำกัดแตกต่างกนั อย่าง ดงั น้ี 3.2.1 โดรน ในระยะแรกไดร้ ับการออกแบบให้มรี ูปร่างคล้ายกบั เคร่ืองบิน แต่ไมม่ ีคนขับ และได้รบั การพัฒนาจนมาถึง ปัจจุบัน โดรนจึงมีขนาดเล็กลง สามารถขึ้น-ลงในแนวตั้งได้ ยุคแรก ๆ นั้น นำโดรนมาใช้เพื่อปฏิบัติการทางทหารและเป็น เครื่องมือสอดแนมข้าศึกโดยการติดกล้อง หรืออาจใช้เป็นอุปกรณ์ลอบสังหาร ในต่างประเทศเริ่มนำโดรนมาใช้เพื่อการเกษตร บ้างแล้ว ไม่ว่าจะเปน็ การพ่นสารป้องกนั กำจดั ศตั รูพืช หว่านเมล็ดพนั ธ์ุพชื หวา่ นป๋ยุ (ภาพท่ี 16) การตรวจสอบพ้ืนที่เพาะปลูก

215 เพื่อวิเคราะห์หาการเจริญเติบโตของพืชในแต่ละจุด การถ่ายภาพทางอากาศโดยใช้ระบบ GPS ในการหาพิกัดต่าง ๆ ออกมา แลว้ นำค่าทีไ่ ด้มาวิเคราะห์เพื่อรายงานหรือรอรบั คำส่ังต่อไป โดยทัว่ ไป โดรนจะมี 1 ใบพัด 4 ใบพัด หรอื 8 ใบพดั ข้ึนอยู่กับการ ออกแบบของผผู้ ลติ ภาพท่ี 16 โดรนพน่ สารปอ้ งกันกำจดั ศตั รูพืช อย่างไรก็ตาม โดรนทุกชนิดที่จะนำมาใช้พ่นสาร ได้รับการออกแบบให้มีถังบรรจุน้ำและสายยางต่อลงไปเพื่อพ่นเป็น ละอองนำ้ ลงบนต้นพืช มกี ล้องตดิ เพ่ือถา่ ยภาพทางอากาศ และเซนเซอรเ์ พ่ือวดั ความชืน้ ของอากาศ โดรนบางรุ่นจะมีระบบล็อก ความสูง ระบบป้องกันการหลงทางที่สามารถโปรแกรมให้บินกลับมาตำแหน่งเดิมได้ การควบคุม มีทั้งควบคุมด้วยมือ หรือ โปรแกรมให้โดรนทำงานอัตโนมัติ สำหรับประเทศไทย นำโดรนมาใช้เพื่อประโยชน์ในด้านการพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรพู ืช ปุ๋ย และฮอร์โมน 3.2.2 เฮลิคอปเตอร์แบบไร้คนขับ นอกจากโดรนแล้ว ยังมีเทคโนโลยีเฮลิคอปเตอร์แบบไร้คนขับสำหรับใช้พ่นสาร การให้ปุ๋ย และการหว่านเม็ดพันธุ์ ปัจจุบัน เฮลิคอปเตอร์แบบไร้คนขับที่มีการนำเข้ามาใช้ในประเทศไทย ได้แก่ เฮลิคอปเตอร์ แบบไร้คนขับของบริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด รุ่น Yamaha R-Max (ภาพที่ 17) เครื่องรุ่นนี้ ตัวเครื่องมีน้ำหนักรวม ประมาณ 70 กิโลกรัม มีถังบรรจุสาร 2 ข้าง ข้างละ 8 ลิตร บินสูงได้ถึง 400 เมตร และบินได้นานถึง 2 ชั่วโมง โดยใช้น้ำมัน เชื้อเพลิงประมาณ 8 ลิตรต่อการบิน 1 ครั้ง จุดเด่นของ Yamaha R-Max คือ ความสามารถในการควบคุมตำแหน่งความสูงท่ี ถูกต้องแมน่ ยำและความมีเสถียรภาพของอากาศยาน มีความแม่นยำสงู ในการหว่านเมล็ดพชื การใหป้ ุ๋ย และการพน่ สารป้องกัน กำจัดศัตรพู ืช ช่วยประหยัดคา่ ใชจ้ า่ ย ลดตน้ ทนุ การผลิต ลดความเสย่ี งในการใช้กำจดั แมลง นอกจากเฮลิคอปเตอร์แบบไร้คนขับของบริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัดแล้ว มีบริษัทผู้ผลิตในประเทศได้ผลิต เฮลิคอปเตอร์แบบไรค้ นขบั เพ่ือใชง้ านดา้ นการเกษตร เช่น การพ่นปยุ๋ การพน่ สารปอ้ งกันกำจดั ศตั รูพืช ภาพท่ี 17 เฮลคิ อปเตอรแ์ บบไร้คนขับ ของบริษทั ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกดั อยา่ งไรก็ตาม ปจั จุบนั ยังไม่มีงานวิจัยในเรื่องประสิทธิภาพของโดรนและเฮลิคอปเตอร์แบบไร้คนขบั สำหรับนำมาใช้ใน การพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชในประเทศไทย ในอนาคตมีความจำเป็นต้องศึกษาและทดสอบก่อนที่จะแนะนำให้ใช้ ที่สำคัญ

216 คือ ต้องมีกฎหมายควบคุมการใช้งาน รวมถึงผู้ที่จะนำไปใช้ ต้องได้รับการฝึกอบรมและได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานที่ รับผดิ ชอบ ไดแ้ ก่ สำนกั งานการบนิ พลเรือนแห่งประเทศไทย (เดมิ คอื กรมการบนิ พลเรือน) และกรมวิชาการเกษตร เพือ่ ป้องกัน ปัญหาท่ีจะตามมา ทัง้ เรื่องประสิทธภิ าพและความปลอดภยั ตอ่ มนุษยแ์ ละสิ่งแวดล้อม นอกเหนือจากการนำมาใช้ป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืชแล้ว พบว่า โดรนและเฮลิคอปเตอร์แบบไร้คนขับ สามารถนำมา ประยกุ ตใ์ ช้ในงานอืน่ ๆ ได้ เช่น การพ่นฮอร์โมน การสำรวจ การประเมินการระบาด การประเมนิ ความเสียหายจากศัตรพู ืชชนิด ต่าง ๆ และนำมาใช้ประเมินการขาดธาตุอาหารของพืช การเพิ่มความหวานในอ้อยในลักษณะแปลงใหญ่ได้ ซึ่งเป็นการ ผสมผสานเทคโนโลยีต่าง ๆ ได้แก่ เทคโนโลยีในการระบุพิกัด (Global Positioning System: GPS) เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (Geographic Information System: GIS) เทคโนโลยีการรบั รูร้ ะยะใกลแ้ ละไกล (Ambient Sensing และ Remote Sensing) เข้าดว้ ยกนั การนำมาใช้ดังกล่าวจะมีประโยชน์กบั การเกษตรในอนาคต และสอดคลอ้ งกับนโยบายเกษตรแปลงใหญข่ องรัฐบาล 4. การใช้เครอื่ งพน่ สารปอ้ งกันกำจดั ศตั รพู ชื การใชเ้ ครอื่ งพ่นสารป้องกนั กำจดั ศตั รูพชื ใหเ้ กดิ ประสิทธิภาพสูงสดุ และผู้ใชป้ ลอดภยั ควรปฏิบัตติ ามข้นั ตอน ดังนี้ 1. สวมเส้ือผา้ และอุปกรณป์ ้องกนั พิษจากสารเคมี และต้องแน่ใจวา่ มีนำ้ เพยี งพอสำหรับชำระลา้ งรา่ งกาย 2. เตรยี มภาชนะสำหรับใช้ผสม เช่น กรวย ตะแกรงกรอง ไมส้ ำหรบั กวนสารป้องกันกำจัดศัตรูพชื และถว้ ยตวง 3. ผสมสารปอ้ งกนั กำจัดศตั รูพืชในถงั ผสมด้วยอัตราสว่ นท่ีถูกต้อง คนให้เขา้ กันแลว้ เทใส่ถงั เครื่องพ่นดว้ ยการใช้กรวย และตะแกรงกรอง 4. ตรวจดวู ่าถังบรรจสุ ารและข้อต่อตา่ ง ๆ ร่ัวหรอื ไม่ ปิดฝาถงั ใหแ้ นน่ 5. เรมิ่ พน่ จากด้านใต้ลมของไร่ หนั หัวฉดี ไปทางใต้ลม 6. เดนิ ตงั้ ฉากกบั ทศิ ทางลมเท่าท่ีจะทำได้ 7. ทำการพน่ ไปทางใต้ลมอยา่ พน่ ไปข้างหน้า และเม่ือสุดพื้นที่จะตัง้ ต้นแนวใหม่ หนั หวั ฉดี ไปทางใต้ลมเชน่ กัน 8. ถา้ ลมเปล่ยี นทศิ ทางในขณะพ่น จะต้องหยุดพน่ ทำเครอื่ งหมายไว้ท่ีแถวพ่นคร้ังสุดทา้ ย และเริม่ ทำการพ่นใหม่จาก แถวแรกของแปลงทิศทางใต้ลมจนกระทัง่ ถึงที่ทำเครือ่ งหมายท่ที ำไว้ 5. การเกบ็ รกั ษาเครือ่ งพน่ สารปอ้ งกนั กำจัดศัตรพู ืช เคร่ืองพน่ ทีใ่ ช้สมำ่ เสมอ ควรทำการดแู ลก่อนเก็บรักษาภายหลงั สน้ิ สุดการใชง้ าน ซึง่ มขี ั้นตอนการปฏิบัติ ดงั น้ี 1. ทำความสะอาดเครื่องพ่นใหท้ ัว่ 2. สำหรับเคร่ืองพ่นที่มีปัม๊ และลูกสบู ถอดปมั๊ ลูกสบู ห้องเก็บความดัน ลิน้ ลูกปืน ถ้าลูกสูบแยกจากห้องเก็บความดันให้ ถอดแยกออกมา ปล่อยให้แหวนแหง้ แลว้ ทาจารบี ลา้ งห้องเก็บแรงดนั ดว้ ยน้ำสะอาด ปล่อยใหแ้ ห้งประกอบเข้าดว้ ยกัน 3. ทาจารบีตามรอยต่อของด้ามคันโยกและสว่ นที่มีสายรัด 4. คลายส่วนทย่ี ึดตดิ กันแน่นแลว้ นำไปเกบ็ ไว้ในทีแ่ ห้ง 6. การบำรงุ รกั ษาและเหตุผลในการบำรุงรักษาเครื่องพน่ สารปอ้ งกันกำจดั ศัตรูพืช เครื่องพ่นที่เกษตรกรใช้มีหลายชนิด การใช้แตกต่างกันตามชนิดของพืช จำนวนพื้นที่ที่ปลูกพืช ชนิดของศัตรูพืช ตลอดจนแรงงานท่ีทำการพน่ เพอ่ื การใชง้ านอยา่ งมีประสิทธิภาพ การดูแลบำรงุ รกั ษาประจำวันนบั ว่าสำคัญมาก เพราะจะสง่ ผล ให้ 1. ผู้ใช้ปลอดภัย รอยรั่วต่าง ๆ อาจทำให้ผู้พ่นได้รับการปนเปื้อนสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช และอาจเป็นสาเหตุให้รับ พษิ ของสารปอ้ งกนั กำจัดศตั รูพืช เกดิ เปน็ อันตรายอาจถึงตายได้ 2. ประสิทธิภาพการพ่นสารป้องกันกำจดั ศัตรูพืช การควบคุมศตั รูพืชได้ผลนั้นนอกจากจะขึ้นอยู่กับสารป้องกนั กำจัด ศัตรพู ชื และความรู้ของผูใ้ ชแ้ ลว้ ยงั ขึ้นอย่กู บั สภาพของเครอ่ื งพ่นทน่ี ำมาใชด้ ้วย 3. ยืดอายุการใชง้ าน เครือ่ งพ่นชำรดุ เรว็ ขึน้ ถ้าหากไมไ่ ด้รับการรบั ดแู ลหลังจากใช้งาน 4. ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ถ้าเครือ่ งพน่ ชำรดุ ใชง้ านไมไ่ ด้ ทำใหง้ านต้องชะงัก และผลผลิตเสียหาย เปน็ ผลให้ กำไรลดลง

217 การทำลายสารป้องกนั กำจดั ศัตรพู ืชที่เหลือใช้และภาชนะบรรจุ การจัดการวัสดุเหลือใช้ ได้แก่ ภาชนะบรรจุ เศษเหลือของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่ หมดอายุการจำหน่าย รวมไปถึงสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่ยกเลิกการอนุญาตให้จำหน่ายและใช้ในการเกษตร การจัดการสิ่ง เหลอื ใชเ้ หล่าน้ี เปน็ มาตรการหน่งึ ที่จะปอ้ งกนั อนั ตรายและผลกระทบท่จี ะเกิดขึน้ 1. วสั ดุเหลอื ใชข้ องสารป้องกนั กำจัดศัตรูพชื ประกอบดว้ ย 1.1 สารป้องกนั กำจดั ศัตรูพชื ท่ีเส่ือมคณุ ภาพ หรือขายไมไ่ ด้ เน่อื งจากเก็บไว้นานและไม่สามารถควบคุมศัตรพู ืชได้ 1.2 สารปอ้ งกนั กำจัดศตั รพู ชื ทห่ี ก หรือแตก หรอื รั่วไหลขณะเกบ็ รักษาหรือระหวา่ งการขนส่ง 1.3 สารปอ้ งกันกำจัดศัตรพู ืชที่ผสมน้ำแลว้ แตใ่ ช้ไม่หมด 1.4 ภาชนะบรรจทุ ใี่ ชห้ มดแล้ว ได้แก่ ถงั ขวดแกว้ ขวดพลาสตกิ ถุงกระดาษ หรอื กล่องกระดาษ เปน็ ตน้ 1.5 เสอื้ ผา้ และวสั ดทุ ำความสะอาดทป่ี นเปื้อนสารป้องกันกำจัดศตั รพู ชื ของเหลือใช้ทั้งหมดที่กล่าวถึงนี้ มีวิธีการจัดการทำลายแตกต่างกันขึ้นกับชนิดของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชนั้น ๆ ถา้ ไมม่ กี ารจดั การทีเ่ หมาะสม จะเปน็ สาเหตทุ ำให้เกิดผลกระทบต่อสิง่ แวดลอ้ มและบุคคลที่เกยี่ วข้อง ดังนนั้ เพ่อื ปอ้ งกนั อันตราย ที่อาจเกิดได้ ควรใช้มาตรการการจัดการที่เหมาะสม ซึ่งวิธีการจัดการที่ดีนั้นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติ ภายหลัง จากการทำลายแลว้ พื้นท่นี ้นั ตอ้ งสะอาด เกดิ มลพษิ ต่อสิ่งแวดลอ้ มน้อยท่ีสุด 2. การจัดการสารป้องกันกำจดั ศัตรูพืชทีเ่ หลือใช้ เมื่อมีการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชในการกำจัดศัตรูพืช โดยทั่วไปการเตรียมการหรือการผสมจะดำเนินการใน ภาชนะที่มีขนาดบรรจุมาก บางครั้งในแต่ละวันจะใช้ไม่หมด ทำให้มีสารผสมเหลืออยู่ ซึ่งถ้าไม่มีการใช้งานในวันต่อไปก็จะเป็น ปัญหาต่อการจัดการได้ ดังนั้น เพื่อลดปัญหาสารพิษ ควรใช้มาตรการจัดการที่เหมาะสม ซึ่งกรรมวิธีทีใ่ ช้เพื่อกำจัด สารป้องกนั กำจัดศัตรูพชื หรือวสั ดุเหลือใช้ สามารถจำแนกออกได้ดังนี้ 2.1 วิธีการเผาที่อุณหภูมิสูง ของเสียจะถูกเผาแตกออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ที่แต่ละชิ้นจะไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม รวบรวมไว้ในบ่อบำบดั เพ่อื นำไปทำลายตอ่ ไป 2.2 ปลอ่ ยให้จลุ ินทรีย์ยอ่ ยสลาย เกบ็ รวบรวมไวใ้ นภาชนะแลว้ ค่อยๆ พ่นลงดิน (ความเข้มข้นตำ่ ) เพื่อให้จุลนิ ทรีย์ทำ การยอ่ ยสลายต่อไป 2.3 ใช้สารเคมีสลับชนิดกันเพื่อทำปฏิกิริยาให้หมดไป เป็นการเก็บสะสมสารเคมีที่เหลือใช้ไว้ในภาชนะแล้วเติม สารเคมีอีกชนิดหนง่ึ ลงไป เพ่อื ทำให้เกดิ ปฏิกริ ิยาเสือ่ มคุณสมบตั ิไป 2.4 ใชว้ ิธีทางกายภาพหลายๆ วธิ เี พื่อทำใหต้ กตะกอนและระเหยไป ทั้ง 4 วิธีการท่ีกล่าวแล้วนั้น วิธีการเผาทำลายทีอ่ ุณหภูมิสูงเป็นวิธีการทีน่ ิยมใช้มากที่สุด สามารถทำลายของเสียได้ ง่ายและรวดเร็ว นอกจากนั้นยังไม่มีผลต่อสิ่งแวดล้อมด้วย แต่มีข้อเสีย ได้แก่ วิธีการนี้ไม่สามารถเผาทำลาย สารป้องกันกำจัด ศตั รพู ืชทเ่ี ป็นพวกโลหะหนกั ได้ เช่น สารประกอบของปรอท ดบี ุก และสังกะสี เปน็ ต้น และคา่ ใช้จ่ายในการทำลายสูงมาก 3. การจดั การกบั วสั ดเุ หลือใช้ในลักษณะต่าง ๆ วสั ดเุ หลือใช้เหล่าน้ี มีวิธกี ารจัดการ โดยสามารถแยกตามลักษณะต่าง ๆ ไดด้ ังนี้ 3.1 ผลติ ภณั ฑ์ทีข่ ายไม่ได้ หรอื ไม่ไดใ้ ช้ มขี ้อแนะนำ ดังน้ี 3.1.1 ถ้าผลิตภัณฑม์ สี ภาพดี ไม่เสื่อมสภาพ อาจเก็บไวข้ ายต่อ หรือแจกให้ผู้อ่ืนใช้ต่อไป 3.1.2 ถา้ ผลิตภัณฑ์เสือ่ มคุณภาพควรให้ผผู้ ลิตหรือผู้จำหน่ายรับไปทำลาย 3.1.3 ถา้ ผลิตภณั ฑเ์ สื่อมคุณภาพแตผ่ ู้ผลติ ไมร่ บั ไปทำลาย ถ้ามีจำนวนนอ้ ยให้ฝังกลบทค่ี วามลึกประมาณ 1 เมตร ถ้าจำนวนมากใหข้ อคำแนะนำการทำลายจากผชู้ ำนาญการ หรอื ปรึกษาผ้ผู ลติ หรือผจู้ ำหน่าย 3.2 การจัดการเศษเหลอื จากการรั่วไหล ทนั ทีทีพ่ บการรว่ั ไหลของสารป้องกันกำจัดศัตรพู ืชจากภาชนะบรรจุ ให้ ดำเนินการต่อไปนี้

218 3.2.1 ทำการกนั หรือห้ามบคุ คลที่ไมเ่ กีย่ วข้อง ได้แก่ เด็ก สตั ว์เล้ียงออกจากพื้นที่ทนั ที 3.2.2 ตรวจและทำการป้องกนั หรือแก้ไขอยา่ ให้มีการรวั่ เพ่ิมเติม 3.2.3 ถา้ สารป้องกนั กำจัดศตั รูพชื ท่หี กเปน็ ฝุ่นหรอื เมด็ ให้ใชท้ รายกลบ และกวาดรวมกนั เก็บใส่ภาชนะท่ปี ดิ ได้ เพื่อนำไปทำลายต่อไป 3.2.4 ถา้ สารปอ้ งกันกำจดั ศัตรพู ืชท่หี กเปน็ ของเหลว ให้ใชป้ ูนขาว ทราย ดิน หรอื วัสดดุ ูดซับของเหลวอย่างอื่น ดูดซบั ของเหลวทีห่ กรั่วไหล แล้วตักใสภ่ าชนะท่ีปดิ ได้ เพื่อนำไปทำลาย 3.2.5 ใช้น้ำสะอาดล้างพนื้ ท่สี กปรกออก ระวงั อย่าใหน้ ำ้ เสียไหลลงคูคลอง ทอ่ ระบายน้ำ หรอื แหล่งน้ำ ถา้ เป็นไปได้ควรใชด้ นิ ดดู ซบั นำ้ แล้วนำไปทำลาย 3.3 การจดั การเส้อื ท่ีปนเปอ้ื นสารป้องกันกำจดั ศัตรูพืช ใหซ้ ักแยกจากเสื้อปกตดิ ้วยผงซักฟอกหลายๆ คร้ัง ถา้ สาร ปอ้ งกันกำจดั ศัตรูพชื นัน้ ไม่สามารถซักได้ให้เผาทิง้ 3.4 เศษเหลอื จากการใช้ 3.4.1 ถา้ มเี หลือไมม่ าก ให้พน่ ซ้ำในพ้นื ทีท่ ่ีได้พ่นไปแลว้ จนหมด แตค่ วรระวงั เร่ืองพิษต่อต้นพชื และพษิ ตกค้าง ในผลผลิต 3.4.2 ถ้าเหลอื จำนวนมาก ให้ผสมนำ้ เพิ่มขน้ึ เพื่อให้เจือจางแล้วพ่นซ้ำในพนื้ ท่เี ดิมจนหมด 3.4.3 หา้ มเทท้ิงส่วนท่เี หลือลงแหลง่ น้ำ 3.5 ก่อนการทิ้งภาชนะบรรจุสารป้องกนั กำจัดศตั รูพชื ควรทำการลา้ ง 3 คร้งั เพ่ือเป็นการประหยัดค่าใช้จา่ ย ใช้ สารฯอยา่ งคุ้มค่า ลดอนั ตรายจากการปนเป้ือนของสารฯ ต่อมนุษย์ สัตว์ และส่ิงแวดล้อม และเปน็ ไปตามหลกั ปฏิบัตขิ องระบบ เกษตรดที ่ีเหมาะสม (Good Agricultural Practice: GAP) ขนั้ ตอนการล้างภาชนะบรรจุสารปอ้ งกนั กำจัดศัตรูพืช 3 ครั้ง 1. เทนำ้ สะอาดลงในภาชนะบรรจุสารฯ ประมาณ 1 ใน 4 ของภาชนะบรรจุ 2. ปดิ ฝาให้แน่น แล้วเขย่าแรงๆ ประมาณ 30 วนิ าที 3. เปิดฝา แลว้ เทลงในถงั พ่น โดยคว่ำไวป้ ระมาณ 30 วนิ าที จนนำ้ ในภาชนะไหลลงถังพน่ จนหมด แลว้ ทำซ้ำท้งั 3 ข้ันตอน อีก 2 ครงั้ 3.6 ภาชนะบรรจุ 3.6.1 หา้ มนำไปใส่น้ำดมื่ หรืออาหาร 3.6.2 ก่อนทำลายตอ้ งแนใ่ จวา่ ไมม่ ีสารป้องกันกำจดั ศัตรูพชื เหลืออยู่ในขวด 3.6.3 ถา้ ภาชนะบรรจุเป็นโลหะ หรอื พลาสตกิ ต้องทำใหใ้ ช้ไม่ได้ก่อนทำลาย หรือฝงั กลบ 3.6.4 ถา้ ภาชนะบรรจุเป็นกล่องกระดาษ ถงุ พลาสติกทไ่ี มป่ นเป้ือนให้เผาทำลาย 3.7 ในกรณที ส่ี ารป้องกันกำจัดศัตรูพชื ติดไฟ มีแนวทางปฏบิ ัติ ดงั นี้ 3.7.1 เตือนภยั ผูท้ ่เี ก่ยี วขอ้ ง และกนั คนให้อยดู่ า้ นเหนอื ลม เพื่อหลกี เล่ียงการสดู กลน่ิ จากควันสารพษิ 3.7.2 พจิ ารณาวา่ ไฟทเี่ กิดนั้นสามารถดับได้ดว้ ยบคุ ลากรของโรงงานหรือไม่ ถ้าสามารถดำเนินการไดเ้ อง ก็ รบี ปฏบิ ตั ิ ถ้าดำเนนิ การไม่ได้ใหเ้ รียกหน่วยดบั เพลงิ ทนั ที และต้องบอกรายละเอียดของสารพิษต่อหนว่ ยดบั เพลิง เพอ่ื จะได้ เตรยี มอุปกรณ์ป้องกนั ใหพ้ ร้อม

219 วัตถอุ ันตรายกำจัดแมลง ไร และสัตว์ศัตรูพชื ทหี่ า้ มใชท้ างการเกษตร (ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรอ่ื งบัญชรี ายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ.2538 ตามพระราชบญั ญัตวิ ตั ถอุ นั ตราย พ.ศ.2535) ลำดับที่ ชื่อวตั ถอุ ันตราย ประเภทสาร เดือน ปี ท่ีหา้ ม เหตผุ ล 1 chlordimeform สารกำจัดแมลง เมษายน 2520 2 Ieptophos สารกำจัดแมลง เมษายน 2520 - เปน็ สารท่ีอาจก่อใหเ้ กิดมะเรง็ 3 BHC สารกำจัดแมลง มีนาคม 2523 - บริษทั ขอถอนผลิตภณั ฑ์จากตลาด 4 endrin สารกำจดั แมลง กรกฎาคม 2524 เนอ่ื งจากผลการศกึ ษามีแนวโน้ม อาจเป็นสารก่อมะเร็ง 5 DDT สารกำจดั แมลง มีนาคม 2526 6 toxaphene สารกำจัดแมลง มนี าคม 2526 - มีพิษตกคา้ งนาน 7 TEPP สารกำจดั แมลง มิถนุ ายน 2527 - เปน็ สารที่อาจก่อใหเ้ กิดมะเรง็ 8 fluroacetamide สารกำจดั หนู กรกฎาคม 2530 9 sodium fluoroacetate สารกำจดั หนู กรกฎาคม 2530 - มพี ษิ ตกคา้ งนาน เส่ียงภยั ในการใช้ 10 cyhexztin สารกำจัดไร พฤษภาคม 2531 และการบรโิ ภค - มพี ษิ ตกค้างในเมล็ดพืชท่สี ่งไป 11 parathion ethyl สารกำจดั แมลง พฤษภาคม 2531 จำหน่ายตา่ งประเทศ ทำให้ถูกหา้ ม นำเขา้ ผลติ ผลการเกษตร ส่ิงมีชวี ิตท่ี 12 dieldrin สารกำจัดแมลง พฤษภาคม 2531 ไมใ่ ช่ศัตรูท่ตี ้องการกำจดั มีโอกาส ไดร้ บั อันตราย - เป็นพิษต่อปลาสูงมาก - เปน็ สารทอ่ี าจก่อใหเ้ กิดมะเรง็ - มพี ษิ ตกค้างนาน - เป็นสารที่อาจก่อให้เกิดมะเรง็ - มพี ษิ ตกคา้ งนาน - มีคา่ ความเปน็ พิษต่ำมาก มีความ เสี่ยงภยั ต่อผใู้ ชส้ ูง - มคี า่ ความเป็นพษิ เฉียบพลันตำ่ - เสย่ี งภัยตอ่ การใชม้ าก - มีค่าความเปน็ พษิ เฉยี บพลนั ต่ำ - เสยี่ งภัยตอ่ การใชม้ าก - เปน็ สารที่มีโลหะหนกั (ดบี ุก) เปน็ องคป์ ระกอบ สลายตวั ยากใน ส่ิงแวดล้อม - เปน็ พิษเฉียบพลนั ตอ่ มนษุ ย์สงู มาก โดยเฉพาะการซึมเขา้ ทางผวิ หนงั ทำ ให้ผูใ้ ช้เส่ียงภยั สูง - เป็นสารที่มพี ิษตกค้างนาน สะสมใน สิ่งแวดลอ้ มในรา่ งกายมนุษยแ์ ละสตั ว์ - ไม่มีการพิสูจนใ์ นเร่ืองพิษเรื้อรงั อยา่ งเด่นชดั - เส่ียงภยั ตอ่ การใช้มากกวา่ สารชนิด อ่นื ๆ ในกลุ่มเดยี วกัน เนอ่ื งจากมีคา่ ความเป็นพิษต่ำกวา่ สารชนดิ อ่นื

220 ลำดับท่ี ชื่อวตั ถอุ ันตราย ประเภทสาร เดือน ปี ทหี่ า้ ม เหตุผล 13 aldrin สารกำจัดแมลง กันยายน 2531 - เปน็ สารที่มีพษิ ตกค้างนาน สะสมอยู่ 14 heptachlor สารกำจดั แมลง กนั ยายน 2531 ในสิ่งแวดลอ้ มและในร่างกายมนุษย์ และสัตว์ 15 binapacryl สารกำจัดไร กุมภาพันธ์ 2534 16 mercury compounds สารกำจัดแมลง สงิ หาคม 2536 - เปน็ สารทม่ี พี ษิ ตกค้างนาน สะสมอยู่ ในสิ่งแวดลอ้ มและในร่างกายมนุษย์ 17 aminocarb สารกำจดั แมลง กนั ยายน 2537 และสตั ว์ 18 bromophos สารกำจดั แมลง กันยายน 2537 19 bromophos ethyl สารกำจดั แมลง กันยายน 2537 - เปน็ สารท่มี ีผลกระทบต่อตวั ออ่ นใน 20 demeton สารกำจัดแมลง กนั ยายน 2537 ครรภแ์ ละอาจกอ่ ใหเ้ กิดมะเร็ง 21 aramite สารกำจดั ไร พฤษภาคม 2543 22 chlordane สารกำจัดแมลง พฤษภาคม 2543 - เปน็ สารทม่ี พี ิษสงู - สลายตัวยากมพี ษิ ตกคา้ งนาน 23 chlordecone สารกำจัดแมลง พฤษภาคม 2543 - เปน็ พษิ ต่อปลาและสตั ว์นำ้ 24 monocrotophos สารกำจดั แมลง พฤษภาคม 2543 - มีคา่ ADI ตำ่ มาก 25 azinphos ethyl สารกำจดั แมลง พฤษภาคม 2543 - เส่ียงภัยต่อการใช้ 26 mevinphos สารกำจัดแมลง พฤษภาคม 2543 27 phosphamidon สารกำจดั แมลง พฤษภาคม 2543 - มีคา่ ADI ต่ำมาก 28 azinphos methyl สารกำจัดแมลง มิถุนายน 2543 - เส่ียงภยั ตอ่ การใช้ 29 calcium arsenate สารกำจดั แมลง มิถนุ ายน 2543 - มคี า่ ADI ตำ่ มาก - เสีย่ งภยั ตอ่ การใช้ - มคี า่ ADI ตำ่ มาก - เสย่ี งภัยตอ่ การใช้ - เปน็ สารทอ่ี าจก่อใหเ้ กิดมะเร็ง - ไม่มกี ารนำเขา้ มาใชใ้ นประเทศไทย - เปน็ สารทอ่ี าจก่อใหเ้ กิดมะเรง็ - มีพษิ ตกคา้ งนาน มผี ลกระทบต่อ สงิ่ แวดล้อมและสง่ิ มชี ีวิต - หลายประเทศห้ามใชห้ รอื จำกัดการ ใช้เนอ่ื งจากมีสารทดแทนได้ - เปน็ สารที่อาจก่อให้เกิดมะเรง็ - ไม่มกี ารนำเข้ามาใช้ในประเทศ - มีพิษเฉยี บพลนั สูง - พบพษิ ตกคา้ งในผลผลติ เกษตรใน ปรมิ าณสงู เกนิ คา่ ปลอดภัย - มีพษิ เฉยี บพลันสงู - มพี ิษเฉยี บพลนั สูง - มีพษิ เฉยี บพลันสูง - มีพษิ เฉียบพลันสูง - บางประเทศห้ามใช้ - มพี ิษเฉยี บพลนั สงู - บางประเทศห้ามใช้

ลำดับที่ ชื่อวัตถุอนั ตราย ประเภทสาร เดอื น ปี ทหี่ า้ ม 221 30 chlorthiophos สารกำจดั แมลง มถิ ุนายน 2543 มถิ ุนายน 2543 เหตุผล 31 demephion สารกำจดั แมลง มิถนุ ายน 2543 - มีพิษเฉียบพลันสงู มิถุนายน 2543 - บางประเทศหา้ มใช้ 32 dimefox สารกำจัดแมลง มถิ ุนายน 2543 - มพี ษิ เฉยี บพลันสูง และสารกำจดั ไร มถิ ุนายน 2543 - บางประเทศหา้ มใช้ 33 disulfoton สารกำจัดแมลง มถิ นุ ายน 2543 - มีพิษเฉยี บพลนั สูง และสารกำจัดไร มถิ นุ ายน 2543 - บางประเทศหา้ มใช้ 34 DNOC สารกำจดั แมลง มถิ ุนายน 2543 - มีพิษเฉียบพลันสงู มิถุนายน 2543 - บางประเทศห้ามใช้ 35 fonofos สารกำจดั แมลง มิถุนายน 2543 - มพี ษิ เฉียบพลันสูง มิถุนายน 2543 - บางประเทศหา้ มใช้ 36 mephosfolan สารกำจดั แมลง ธันวาคม 2544 - มีพิษเฉียบพลันสงู - บางประเทศหา้ มใช้ 37 paris green สารกำจดั แมลง ธนั วาคม 2544 - มีพษิ เฉียบพลันสงู ธนั วาคม 2544 - บางประเทศหา้ มใช้ 38 phorate สารกำจัดแมลง - มีพิษเฉยี บพลันสูง ธนั วาคม 2544 - บางประเทศห้ามใช้ 39 prothoate สารกำจดั แมลง ธันวาคม 2544 - มีพิษเฉยี บพลนั สูง ธนั วาคม 2544 - บางประเทศหา้ มใช้ 40 schardan สารกำจัดแมลง - มีพิษเฉียบพลันสงู และสารกำจัดไร - บางประเทศห้ามใช้ 41 sulfotep สารกำจดั แมลง - มพี ิษเฉียบพลันสูง และสารกำจดั ไร - บางประเทศห้ามใช้ 42 beta-HCH(1}3}5/2}4}6- สารกำจัดแมลง - มพี ิษเฉียบพลนั สงู hexachloro- - บางประเทศห้ามใช้ cyclohexane) สารกำจดั ไร - มผี ลในด้านพิษเรื้อรงั ต่อตบั ตอ่ สารกำจัดแมลง ระบบสบื พนั ธู ทำให้ตัวออ่ นผิดปกติ 43 chlorobenzilate และทำให้เกิดเนื้องอก 44 copper arsenate สารกำจดั แมลง - มคี วามคงทนในสภาพแวดล้อม - เป็นสารอาจก่อให้เกดิ มะเร็ง hydroxide สารกำจดั แมลง - มีพิษเฉียบพลันสูง - มีพิษเร้ือรัง อาจกอ่ ให้เกดิ การกลาย 45 ethyl hexyleneglycol สารกำจัดแมลง พันธ์ุ และอาจก่อให้เกิดมะเร็ง (ethyl hexane diol) - อาจก่อใหเ้ กดิ การแท้ง หรอื มผี ลต่อ ทารก 46 Ethylene oxide - มผี ลในดา้ นพิษเรื้อรงั อาจทำใหเ้ กิด (1}2-epoxyethane) การกลายพันธ์ุ หรอื อาจเกดิ มะเรง็ - มคี วามคงทนในสภาพแวดล้อม 47 hexachlorobenzene - เป็นสารอาจกอ่ ใหเ้ กดิ มะเร็ง

ลำดบั ท่ี ชอ่ื วตั ถุอนั ตราย ประเภทสาร เดือน ปี ท่ีหา้ ม 222 48 Lead arsenate สารกำจดั แมลง ธนั วาคม 2544 ธันวาคม 2544 เหตผุ ล 49 Lindane (>99% gamma- สารกำจดั แมลง ธนั วาคม 2544 - มพี ิษเฉยี บพลนั สูง HCH or gamma-BHC) ธันวาคม 2544 - มพี ิษเร้ือรัง อาจทำให้เกิดเนื้องอก ธันวาคม 2544 กอ่ ใหเ้ กดิ การกลายพันธุ์ หรืออาจก่อ 50 MGK repellant-11 สารไล่แมลง ธันวาคม 2544 มะเรง็ ธันวาคม 2544 - มีความคงทนในสภาพแวดล้อม 51 mirex สารกำจัดแมลง สามารถสะสมและถ่ายทอดในหว่ งโซ่ ธันวาคม 2544 อาหาร 52 pyrinuron (piriminil) สารกำจดั หนู - เปน็ สารอาจกอ่ มะเร็ง 53 strobane สารกำจัดแมลง เมษายน 2546 - มีผลในด้านพิษเร้ือรงั ทำให้ระบบ ตลุ าคม 2547 สืบพนั ธุ์ผิดปกติ อาจก่อให้เกิดเนอ้ื 54 TDE or DDD [1,1- สารกำจัดแมลง งอกหรือมะเร็ง - มีความคงทนในสภาพแวดล้อม dichloro-2}2-bis (4- สามารถสะสม และถา่ ยทอดในห่วงโซ่ อาหาร chlorophenyl) ethane] - เปน็ สารอาจก่อมะเร็ง - มีพษิ เฉยี บพลันสูง 55 thallium sulfate สารกำจัดหนู - อาจทำใหเ้ กิดโรคเบาหวาน - มคี วามคงทนในสภาพแวดล้อม 56 methamidophos สารกำจัดแมลง สามารถสะสม และถ่ายทอดในหว่ งโซ่ อาหาร 57 parathion methyl สารกำจัดแมลง - เปน็ สารอาจก่อมะเร็ง - มีความคงทนในสภาพแวดล้อม - เป็นสารอาจก่อมะเร็ง - สะสมได้ในไขมัน - มีผลต่อระบบประสาท และระบบ สืบพันธ์ุของสตั วจ์ ำพวกนกและปลา - มพี ษิ เฉียบพลันสูง - มีความคงทนในสภาพแวดล้อม - มพี ษิ สะสม มีผลต่ออวัยวะต่าง ๆ ใน รา่ งกาย เปน็ อันตรายต่อสตั ว์ทมี่ ิใช่ เปา้ หมาย - มีพิษเฉียบพลนั สูง - พบสารพษิ ตกคา้ งในสนิ คา้ เกษตร เสมอ มีผลกระทบต่อการบรโิ ภคและ สง่ ออก - มพี ิษเฉียบพลนั สงู - ประเทศท่ีพัฒนาแล้วบางประเทศ หา้ มใชแ้ ล้ว

ลำดับท่ี ชอ่ื วัตถุอันตราย ประเภทสาร เดือน ปี ทห่ี ้าม 223 58 endosulfan สารกำจดั แมลง ตุลาคม 2547 (ยกเวน้ สตู ร CS) เหตผุ ล สารกำจดั แมลง มิถุนายน 2563 - เปน็ พษิ ตอ่ ปลาและสัตว์น้ำต่าง ๆ สงู 59 chlorpyrifos สารกำจัดแมลง มิถุนายน 2563 มาก มีการนำไปใช้ผิดวตั ถปุ ระสงค์ 60 chlorpyrifos-methyl จากทีข่ ้นึ ทะเบียนไว้ โดยนำไปใช้ กำจัดหอยเชอรีใ่ นนาขา้ ว ทำใหป้ ลา และสตั ว์นำ้ ตาย ก่อให้เกดิ ผลกระทบ ตอ่ สงิ่ แวดลอ้ มโดยเฉพาะเม่ือมกี าร รัว่ ไหลออกจากนาขา้ ว

224 วัตถอุ ันตรายกำจัดแมลง ไร และสตั ว์ศตั รพู ืช ท่ีอยรู่ ะหวา่ งการติดตามเฝ้าระวงั ลำดบั ท่ี ชื่อวัตถอุ นั ตราย กลุม่ กลไกการออกฤทธิ์ ระดบั ความเป็นพิษ 1 aldicarb 1A ร้ายแรงมาก (LD50 0.93 มก./กก.) 2 carbofuran 1A ร้ายแรง (LD50 8 มก./กก.) 3 dicrotophos 1B รา้ ยแรง (LD50 22 มก./กก.) 4 EPN 1B รา้ ยแรง (LD50 14 มก./กก.) 5 ethoprophos 1B ร้ายแรง (LD50 26 มก./กก.) 6 formethanate 1B รา้ ยแรง (LD50 21 มก./กก.) 7 methidathion 1A ร้ายแรง (LD50 25 มก./กก.) 8 methomyl 1A รา้ ยแรง (LD50 17 มก./กก.) 9 oxamyl 1A รา้ ยแรง (LD50 6 มก./กก.) 10 endosulfan 2A รา้ ยแรง (LD50 80 มก./กก.) (สูตร CS) 11 abamectin 6 รา้ ยแรงมาก (LD50 10 มก./กก.) 12 acephate 1B ปานกลาง (LD50 945 มก./กก.) 13 carbosulfan 1A ปานกลาง (LD50 101 มก./กก.) 14 cypermethrin 3A ปานกลาง (LD50 287 มก./กก.) 15 dichlorvos 1B ร้ายแรง (LD50 80 มก./กก.) 16 ethion 1B ปานกลาง (LD50 208 มก./กก.) 17 fipronil 2B รา้ ยแรง (LD50 92 มก./กก.) 18 omethoate 1B ร้ายแรง (LD50 50 มก./กก.) 19 oxamyl 1A รา้ ยแรงมาก (LD50 2.5 มก./กก.)

225 ดรรชนชี อ่ื สามัญของสารปอ้ งกนั กำจดั แมลงและสตั ว์ศตั รูพืช กากเมล็ดชา (saponin) 146, 161, 162, 163 กำมะถนั (wettable sulfur) 88, 108, 115, 129, 137 แกมมา-ไซฮาโลทรนิ (gamma-cyhalothrin) 54, 60, 67, 68, 125 คลอรฟ์ ลูอาซูรอน(chlorfluazuron) 36, 37, 43, 51, 55, 59, 60, 61, 62, 63, 67, 105, 110, 121, 124 คลอรฟ์ นี าเพอร์ (chlorfenapyr) 34, 91, 105, 109, 115, 116, 117, 119, 120, 121, 128, 145, 147 คลอรแ์ รนทรานิลิโพรล(chlorantraniliprole) 34, 42, 72, 74, 116, 120, 128, 136, 147 คลอรแ์ รนทรานลิ โิ พรล/ไทอะมีทอกแซม (chlorantraniliprole/thiamethoxam) 147 คารแ์ ทป(cartap) 63 คาร์แทปไฮโดรคลอไรด์ (cartap hydrochloride) 122, 132, 143 คารแ์ ทปไฮโดรคลอไรด์/ไอโซโปรคารบ์ (cartap hydrochloride /isoprocarb) 122, 132 คารบ์ าริล (carbaryl) 35, 36, 37, 38, 39, 40, 41, 43, 44, 45, 63, 64, 71, 72, 74, 76, 78, 79, 82, 87, 88, 90, 914, 93, 94, 100, 107, 122, 130 คมู าเททราลลิ (coumatetralyl)149, 151, 153, 155, 157, 160 โคลไทอะนดิ นิ (clothianidin) 35, 48, 83, 95, 98, 105, 106, 126, 127 ซลั ฟอกซาฟลอร์ (sulfoxaflor) 107, 124 ซิงคฟ์ อสไฟด์ (zinc phosphide) 149, 151, 153, 155, 157 ไซเพอร์มีทรนิ (cypermethrin) 46, 434 ไซฟลูทริน (cyfluthrin) 51, 55, 60, 63, 65, 74, 78, 110, 134 ไซฟลูมิโทเฟน (cyflumetofen) 95 ไซแอนทรานลิ ิโพรล (cyantranilipole) 53, 105, 115, 122, 123, 131, 145, 147, 148 เดลทาเมทรนิ (deltamethrin) 36, 42, 51, 74, 78, 83, 109, 110, 116, 117, 130, 134, 136, 137 ไดโนทฟี ูแรน (dinotefuran) 47, 50, 54, 59, 67, 68, 81, 82, 83, 90, 92, 95, 97, 98, 106, 107, 109, 110, 111, 112, 120, 122, 126, 127, 129, 130, 132, 134, 137, 143, 148 ไดฟลเู บนซรู อน (diflubenzuron) 44, 87, 121, 138 ไดฟีทิอาโลน (difethialone) 149, 151, 153, 155, 157, 160 ไดอะซินอน (diazinon) 35, 38, 71, 72, 76, 82 ไตรคลอร์ฟอน (trichlorfon) 75 ไตรฟลมู รู อน (triflumuron) 37, 121 ไตรอะโซฟอส (triazophos) 39, 40, 51, 52, 53, 54, 55, 56, 57, 58, 59, 60, 61, 62, 63, 65, 66, 68, 69, 79, 80, 85, 87, 129, 139 ทีบเู ฟนไพแรด (tebufenpyrad) 46, 95 เทบฟู โี นไซด์ (tebufenozide) 51, 61, 85, 121, 127 เทฟลเู บนซรู อน (teflubenzuron) 37 โทลเฟนไพแรด (tolfenpyrad) 119, 120, 122, 128, 137 ไทอะมีทอกแซม (thiamethoxam) 34, 35, 46, 47, 54, 58, 59, 65, 67, 68, 81, 82, 90, 91, 92, 95, 97, 98, 103, 105, 126, 127, 131, 142, 143 ไทอะมีทอกแซม /แลมบ์ดา-ไซฮาโลทรนิ (thiamethoxam/lamdacyhalothrin) 47, 82, 83, 106, 111, 113, 119, 145 ไทโอดิคาร์บ (thiodicarb) 40, 41, 51, 55, 60, 63

226 นโิ คลซาไมด์ (niclosamide) 146, 161, 162, 163 นโิ คลซาไมด์ -โอลามีน (niclosamide-olamine) หรือนโิ คลซาไมด์ เอทาโนลามีน (niclosamide-ethanolamine) 161 นิวเคลยี ร์โพลฮี โี ดรซสี ไวรสั หนอนกระทผู้ ัก (Nuclearpolyhedrosis virus) 120 นิวเคลยี ร์โพลฮี โี ดรซสี ไวรสั หนอนกระทหู้ อม (Nuclearpolyhedrosis virus) 36, 85, 121, 128, 146 นิวเคลยี ร์โพลีฮโี ดรซสี ไวรสั หนอนเจาะสมอฝา้ ย (Nuclearpolyhedrosis virus) 86, 106, 110 โนวาลรู อน (novanuron) 43, 126, 146 บาซลิ รัส ทรู งิ เยนซิส (Bacillus thuringiensis) 34, 57, 72, 74, 85, 86, 107, 109, 116, 117, 119, 120, 121, 125, 127, 128, 135, 137, 146 บูโพรเฟซิน (buprofezin) 53, 59, 65, 67, 68, 69, 103, 109, 110, 112, 117, 126, 131, 148 บโู พรเฟซนิ (buprofezin) + ปโิ ตร เลยี ม สเปรย์ ออยล์ (peteoleum spray spray oil) 103 บูโพรเฟซนิ (buprofezin) + ไวต์ออยล์ (white oil) 103 เบตา-ไซฟลูทรนิ (beta-cyfluthrin) 35, 36, 51, 55, 60, 63, 111 เบนฟรู าคาร์บ (benfuracarb) 122 โบรไดฟาคูม(brodifacoum) 79, 147, 148 โบรมาดโิ อโลน(bromadiolone) 149, 151, 153, 155, 157, 160 ไบเฟนทรนิ (bifenthrin) 79, 147, 148 ปโิ ตรลยี มสเปรย์ ออยล์ (petroleum spray oil) 42, 53, 58, 68, 104, 106, 107, 110, 117 พริ มิ ิฟอส-เมทลิ (pyrimiphos-methyl) 47, 98 เพอรเ์ มทรนิ (permethrin) 117, 135, 136 โพรไทโอฟอส (prothiofos) 47, 58, 143 โพรพารไ์ กต์ (propagate) 83, 102, 107, 108, 138 โพรฟีโนฟอส (profenofos) 50, 54, 60, 68, 106, 119, 145 ไพมโี ทรซีน (pymetrozine) 95, 110, 117 ไพริดาเบน (pyridaben) 46, 96, 108, 115, 138, 139, 140, 148 ฟลูเบนไดอะไมด์ (flubendiamide) 34, 73, 74, 109, 120, 126, 128, 136, 146 ฟลูเฟนนอกซูรอน (flufenoxuron) 36, 37, 61 ฟอรโ์ มไทออน (formothion) 45 ฟโิ พรนิล (fipronil) 35, 37, 42, 43, 52, 53, 54, 57, 59, 63, 68, 74, 77, 83, 85, 88, 93, 98, 100, 106, 109, 113, 114, 115, 121, 122, 123, 126, 127, 130, 132, 134, 136, 137, 142, 143, 144, 145, 147 ฟีโนบคู ารบ์ (fenobucarb) 45 เฟนบูทาทนิ ออกไซด์ (fenbutatinoxide) 138, 148 เฟนโพรพาทรนิ (fenpropathrin) 51, 134, 142 เฟนไพรอกซิเมต (fenpyroximate) 95, 102, 148 เฟนิโตรไทออน (fenitrothion) 38, 79, 80 ฟลอนคิ ามดิ (flonicamid) 111 โฟลคูมาเฟน (flocoumafen) 149, 151, 153, 155, 157, 159, 160 มาลาไทออน (malathion) 44, 48, 143 มาลาไทออน (malatiion)+ ยสี ตโ์ ปรตีนออโตไลเสต (protein autolysate) 57, 91, 101, 118 เมทอกซีฟโี นไซด์ (methoxyfenozide) 44, 57, 67, 109, 111, 116, 117, 125, 126, 146 เมทอกซีฟโี นไซด/์ สไปนีโทแรม (methoxyfenozide/spinetoram) 34

227 เมทัลดีไฮด์ (metaldehyde) 146, 162, 163 เมทโิ อคาร์บ (methiocarb) 58, 62, 69, 78 ราเขยี วเมทาไรเซียม (Metharhizium anipliae) 70, 75 ไรตัวหำ้ แอมบเิ ชียส ลองจิสะไปโนซสั (Amblyseius longispinosus) 102 ลเู ฟนนรู อน (lufenuron) 43, 57, 67, 73, 74, 109, 111, 116, 124, 126, 147 แลงบด์ า-ไซฮาโลทริน (lambda-cyhalothrin) 39, 40, 49, 54, 55, 56 57, 58, 59, 60, 62, 63, 65, 68, 69, 72, 74, 78, 83, 88, 92, 100, 106, 110, 119, 122, 125, 135 ไวตอ์ อยล์ (white oil) 47, 65, 69, 80, 81, 103, 107, 112, 124 สไปนโี ทแรม (spinetoram) 34, 85, 91, 93, 100, 105, 109, 111, 115, 116, 117, 119, 123, 124, 130, 134, 136, 144, 145, 147 สไปโรเตตระแมท (spirotetramat) 53, 124, 148 สไปโรมีซเิ ฟน (spiromesifen) 46, 95, 110, 113, 114, 115, 117, 134 สารสกัดสะเดา (neem extract) 124 ไสเ้ ดือนฝอยสไตเนอรน์ ีมา คาร์โปแคปซี (Steinernema carpocapsae) 89, 90, 121, 132, 138 ไสเ้ ดอื นฝอยสไตเนอรน์ ีมา รโิ อบราเว (Steinernema riobrave) 138 เหย่อื โปรโตซวั Sarcocystis singaporensis 149, 151, 154, 155, 157, 159, 160 อะซีทามิพริด (acetamiprid) 54, 59, 67, 68, 83, 91, 93, 95, 97, 110, 117, 121, 127, 145 อะบาเมกตนิ (abamecin) 61, 96, 111, 145 อะบาเมกตนิ /คลอร์แรนทรานิลิโพรล (abamectin/ chlorantraniliprole) 124 อะมิทราซ (amitraz) 58, 59, 64, 66, 83, 85, 88, 95, 107, 108, 115, 129, 138, 140 อะลมู ิเนียมฟอสไฟด์ หรอื ฟอสฟีน (aluminium phosphide or phosphine) 129, 138, 139, 140, 141 อัลฟา-ไซเพอร์เมทริน/พบี ีโอ (alpha-cypermethrin/PBO) 51 อนิ ดอกซาคารบ์ (indoxacarb) 34, 42, 57, 109, 116, 117, 119, 120, 122, 128, 136 อิมิดาโคลพรดิ (imidacloprid) 35, 37, 39, 47, 48, 49, 50, 53, 54, 55, 56, 57, 58, 59, 65, 67, 68, 79, 80, 81, 82, 83, 85, 88, 90, 91, 92, 93, 95, 97, 100, 105, 106, 109, 112, 113, 114, 115, 123, 124, 126, 127, 130, 132, 134, 136, 142, 143, 144 อมิ ิดาโคลพรดิ (imidacloprid) + ไซเพอร์เมทรนิ (cypermethrin) 145 อีโทเฟนพรอกซ์ (etofenprox) 74, 136, 137 อมี าเมกตนิ เบนโซเอต (emamectin benzoate) 34, 36, 42, 67, 72, 74, 86, 100, 105, 106, 111, 113, 114, 115, 116, 119, 120, 123, 124, 126, 130, 134, 136, 137, 142, 144, 145, 146 โอเมโทเอต (omethoate) 46, 50 เฮกซีไทอะซอกซ์ (hexythiazox) 3, 95, 107

228 บรรณานกุ รม กรมวิชาการเกษตร. 2553. คำแนะนำการป้องกันกำจดั แมลงและสตั ว์ศตั รูพืช ปี 2553. กลุม่ กีฏและสตั ววิทยา สำนักวิจยั พัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร. 301 หนา้ . จีรนชุ เอกอำนวย. 2549. หัวฉีดทางการเกษตร. เอกสารวชิ าการกลุ่มกฏี และสัตววทิ ยา สำนักวิจยั พัฒนาการอารกั ขาพชื กรมวิชาการเกษตร. 55 หนา้ ปยิ รตั น์ เขยี นมสี ุข ไพศาล รตั นเสถียร ศิริณี พูนไชยศรี และศรีสุดา โท้ทอง. 2541. การป้องกนั กำจดั เพลย้ี ไฟกลว้ ยไมศ้ ัตรูสำคัญ ของกล้วยไม้. เอกสารวิชาการกลุ่มงานวิจยั แมลงศัตรผู กั และไมป้ ระดับ กองกฏี และสัตววิทยา กรมวิชาการเกษตร. 12 หน้า. พิทวัฒน์ ออ่ นทองหลาง ประนอม กองชนะ และสงบ ณ ลำพนู . 2535. พระราชบญั ญตั วิ ตั ถอุ ันตราย พ.ศ. 2535 กรุงเทพมหานคร กรมวชิ าการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2545 พฤทธิชาติ ปญุ วัฒโท. 2560. เทคนคิ การใชส้ ารปอ้ งกันกำจดั ศตั รพู ืช. เอกสารประกอบการฝึกอบรมเชิงปฏิบตั กิ ารหลักสูตร “การใชส้ ารเคมที างการเกษตรอยา่ งถูกตอ้ ง เพอ่ื พัฒนาส่สู ินค้าเกษตรมาตรฐาน” กรมวชิ าการเกษตร. 22 หนา้ . สภุ ราดา สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง. 2556. ความตา้ นทานต่อสารควบคมุ แมลงและการบรหิ ารจัดการ. เอกสารวิชาการ ประกอบการบรรยายในการฝึกอบรม แมลง-สตั ว์ศัตรพู ชื และการป้องกนั กำจัด ครั้งที่ 16. สำนกั วจิ ัยพฒั นาการอารักขา พชื . กรมวชิ าการเกษตร. 22 หน้า ASABE Standards, 2009. S572.1. Spray nozzle classification by droplet spectra. ASABE. St. Joseph, Michigan. BASF. 2020. Insecticide Mode of Action. Technical Training Manual. [Online]. Available. https://agriculture.basf.com (April 27, 2020). Bielza, P. 2008. Insecticide resistance management strategies against the western flower thrips, Frankliniella occidentalis. Pest Manage. Sci. 64: 1131-1138. Dobson, H. and W. King. 2002. Pesticide application: Mastering and monitoring, pp. 95-114. In: I.F. Grant and C.C.D. Tingle, eds. Ecological monitoring methods for the assessment of pesticide impact in the tropics. Natural Resources Institute, Chatham, UK. Gerson, U., R. Kenneth and T. I. Muttath. 1979. Hirsutella thompsonii, a fungal pathogen of mites. II. Host- pathogen interaction. Ann. Appl. Biol. 91(1): 29-40. Harden, J. and M .Taylor. 1992. Droplet spectrum description and measurement. pp. 48-58. In: J. Harden, ed. Pesticide application and safety manual for specialist technical training in Thailand. The center for pesticide application and safety. The University of Queensland, Gatton, Australia. IRAC (Insecticide Resistance Action Committee). 2008. IRAC guidelines for resistance management of neonicotinoids. [Online]. Available. http://www.irac-online.org (April 27, 2020). IRAC (Insecticide Resistance Action Committee). 2020. IRAC Mode of Action Classification Scheme. [Online]. Available. http://www.irac-online.org (April 27, 2020). Matthews, G.A. 2014. Pesticide Application Methods. 4th edition. Blackwell Science. 517 pp. O'Connor-Marer , P.J. 2000. The Safe and Effective Use of Pesticides (Pesticide Application Compendium 1) 2nd Edition University of California Agricultural and Natural Resources. Communication Services, Oakland, CA. 342 pp.

229 OECD. 1997. Guidance document for the conduct of studies of occupational exposure to pesticides during agricultural application. Environmental Health and Safety Publications Series on Testing and Assessment No 9. OCDE/GD(97) 148, OECD, Paris, France. 57 pp. Sutherland, J.A. Non-motorised Hydraulic Energy Sprayers. Centre for Overseas Pest Research. Hobbs. Southampton. 1979. Sutherland, J.A. Mistblowers. Centre for Overseas Pest Research. Hobbs. Southampton. 1980. Thornhill, E.W. A Guide to Knapsack Sprayer Selection. Tropical Pest Management. 1985. 31 (1): 11-17. WHO. 2009. The WHO recommended classification of pesticides by hazard and guidelines to classification 2009. 78 pp.

230 ศรีจำนรรจ์ ศรีจันทรา คณะผจู้ ัดทำ พฤทธชิ าติ ปญุ วัฒโท เสาวนิตย์ โพธพ์ิ ูนศักดิ์ ปราสาททอง พรหมเกดิ พวงผกา อา่ งมณี สุภราดา สคุ นธาภิรมย์ ณ พทั ลุง สริ ิกญั ญา ขุนวเิ ศษ สมศักดิ์ ศิริพลตงั้ ม่นั สราญจติ ไกรฤกษ์ ภทั รพร สรรพนเุ คราะห์ พฤทธิชาติ ปุญวฒั โท ศรีจำนรรจ์ ศรีจนั ทรา คณะผวู้ จิ ัย ศรตุ สทุ ธิอารมณ์ ภัทรพร สรรพนุเคราะห์ เสาวนติ ย์ โพธิ์พนู ศกั ด์ิ บุษบง มนสั ม่ันคง สเุ ทพ สหายา ปราสาททอง พรหมเกดิ สญั ญาณี ศรีคชา สุภราดา สคุ นธาภริ มย์ ณ พัทลุง สมรวย รวมชยั อภิกลุ วภิ าดา ปลอดครบรุ ี สมศักดิ์ ศิริพลตัง้ ม่ัน สิริกญั ญา ขุนวเิ ศษ พวงผกา อา่ งมณี อุราพร หนูนารถ นลนิ า ไชยสิงห์ กรกต ดำรกั ษ์ สาทพิ ย์ มาลี สุชาดา สพุ รศลิ ป์ วนาพร วงษ์นคิ ง วิไลวรรณ เวชยันต์ วรวิช สดุ จริตธรรมจริยางกลู เมธาสิทธ์ิ คนการ อสิ เรศ เทยี นทดั สภุ างคนา ถิรวุธ ณพชรกร ธไภษชั ย์ ประภสั สร เชยคำแหง วชิ าญ วรรธนะไกวลั พัชรวี รรณ จงจติ เมตต์ ดาราพร รนิ ทรกั ษ์ นนั ทนัท พนิ ศรี สวุ ิมล วงศ์พลัง สมเกยี รติ กลา้ แขง็ ยทุ ธนา แสงโชติ

231

รายละเอยี ด Phenoxy สวนใหญ เช NAA สามารถเขากับสารฆา  การผสมสารปองกันกำจัดศัตรพู ืชตางๆ อาจแตกตางจาก 1. อามิทราซ ผสมกับ ซีเนบ มาเนบ และแมนโคเซบได แต แมลงและสารปองกันโรคพืชได ยกเวนสารที่มีฤทธ์ิเปน ผังการผสมน้ี เนอื่ งจากสูตรของสารเหลานั้น ตองปฏิบตั ติ าม ดางมาก หากจำเปนตองแยกพนทีละชนิด หรือใชตาม คำแนะนำของบริษทั ผูผลติ อยางเครงครัด ผสมกับ ไทแรม ไมได คำแนะนำของบริษัทผูผ ลิต 2. คารบาริล ผสมกับ ไดเมโทเอต อาจเกิดอันตรายกับ 18. สารปฏิชีวนะใหผลดีท่ีสุดเม่ือไมผสมกับสารชนิดอ่ืนๆ ทมี่ า : 1. สมาคมการคาปุยและธุรกิจการเกษตรไทย. 2546. คูมือ สเตรปโตมัยซิน, แอกริ-สเตรป และแอกริมัยซินสามารถ การเกษตรกรและผูคา : ปุย เมล็ดพันธุ สารปองกันกำจัด ถั่วเหลอื ง และมะเขือเทศ ผสมไดกับ ไดเมโทเอต, แคปแทน และ ซัลเฟอร (ผง) แต ศตั รูพชื . 78-79 หนา คารบาริล ผสมกับ ไดเมโทเอต หรือ มาลาไทออนอาจ หามผสมกับ บอรโดมิกเจอร หรือสารที่มีฤทธ์ิเปนดาง เปน อันตรายตอฝายได มาก 2. กลุมงานวิจัยการใชสารปองกันกำจัดศัตรูพืช กลุมกีฏและ 3 คารบาริล ผสมกับ ปโตรเลียมสเปรยออยล อาจเกิด 19. ไวรัส NPV (Nuclear Polyhedrosis Virus) สามารถ สัตววิทยา สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการ อันตรายตอ แอปเปลได ผสมกับสารฆาแมลงไดทุกชนิด โดยเฉพาะสารท่ีมี เกษตร 4. คารบาริล ผสมกับ แคปทาฟอล ทำใหผลมะเขือเทศออน ประสิทธิภาพในการทำลายไข เชน คลอรไดมีฟอรม และ เปน จุดๆ ในชวงฤดรู อนหรือขาดนำ้ เมโทมลิ เปน ตน 3. กลุมงานวิทยาไมโค กลุมวิจัยโรคพืช สำนักวิจัยพัฒนาการ 5. หลงั พน ซัลเฟอร (ผง) 2 สัปดาห จึงจะพน ไดโคฟอล ได 20. แบคทีเรีย BT (Bacillus thuringiensis) โดยสวนใหญ อารักขาพชื กรมวิชาการเกษตร 6. ไดโคฟอล ผสมกับแคปแทน ในรปู ผงได สามารถเขากับสารฆาแมลงและสารปองกันโรคพืชได 7. อยาผสม ไดเมโทเอต กับ ปโตรเลยี มสเปรยอ อยล พนบน ผสมแลวพนทันที ยกเวน สารเหลานี้คอื อามิทราซ, อะซิน 4. สำเรงิ คำทอง. 2538. เทคโนโลยีการปอ งกันกำจัดโรคพืช. ไมประดับ ฟอสเมทิล, แคปทาฟอล, ไดเมโทเอต, ไดโนแคป, ไอโซ ภาควิชาเทคโนโลยีการกำจัดศัตรูพืช คณะเทคโนโลยีพระ 8. มาลาไทออน ผสมกบั แคปแทน ในรูปผงเทา นน้ั โปรคารบ, เฟนโทเอต, โฟซาโลน และ บอรโ ดมกิ เจอร 9. ควรผสมมาลาไทออน กับ ไอโพรไดโอน ในเคร่ืองพนที่มี 21. อยาผสมสารปองกันกำจัดศัตรูพืชในสภาพท่ีเปนดางจัด จอมเกลา เจาคุณทหารลาดกระบงั . 34 หนา . ระบบกวน และรบี พน ทันที ซึ่งอาจรวมถึงการผสมปุยบางชนิดท่ีละลายแลวมีสภาพ 10. อยา ผสม เบโนมิล และ แคปแทน พนสม เปน ดา ง 11. เบโนมิล ผสมกับ มาเนบ และแมนโคเซบ แตไม 22. สารปองกันกำจัดศัตรูพืชในผังขางบนน้ี เปนชื่อสามัญ จำเปน ตองผสมกับ ไทแรม ทง้ั หมด 12. ตอ งผสมสารจับใบ ตามทีร่ ะบฉุ ลาก 23. ผังขางบนน้ีไมใชเปนการแนะนำใหใชแตเปนเอกสารที่ 13. ผสมกนั ไดแตตองใชภ ายใน 6 ชั่วโมง รวบรวมจากแหลงขอมูลตางๆ การผสมสารบางอยาง 14. ผสมกันไดแ ตต อ งรีบใชทนั ที อาจจะเกิดอนั ตรายตอ มนษุ ยสัตวแ ละพืชได 15. อยาผสม ไอโพรไดโอน (สูตรน้ำ) กับ คอปเปอรออกซี ขอ ควรระวงั คลอไรด พนบนมันฝรัง่ 16. อยาผสมสารท่ีมีสวนประกอบของทองแดง (คอปเปอร) กบั ไทแรม 17. สารฮอรโมนพืช (Growth regulators) สารประกอบของ แนฟ ท าลีนแอซิทิก, แนฟ ทาลีนแอซิทามีน และ

Ăąöĉìøćà ‘¦|v§˜‘Ÿ–Ÿ§˜Ó¢|v¦Žv§¾ }¦‰¦Š˜“® ¬ §|Ž‰© đïêć-ĕàôúìĎ øĉî, ĕàôúìĎ øĉî (đĂÖÿćøÞïïĆ ðøĆïðøčÜ : óùþõćÙö 2563) ĕïđôîìøĉî ÿĆâúÖĆ þèŤ ÙćøŤïćøĉú ñÿöÖĆîĕéš ĕööŠ ĊÙüćöÝĞćđðîŨ êĂš ÜñÿöÖîĆ ÙúĂøŤôúĎĂćàĎøĂî, ĕéôúĎđïîàøĎ Ăî, ôúđĎ ôîîĂÖàĎøĂî, ĕêøôúĎöĎøĂî ñÿöÖĆîĕéĒš êŠêšĂÜøąöéĆ øąüÜĆ ñÿöÖîĆ ĕöŠĕéš ĕàđóĂøŤđöìøĉî, đóĂøŤđöìøĉî Ă÷ćŠ ñÿöÖîĆ ÝîÖüŠćÝąĕéšøĆïÙĞćøïĆ øĂÜÝćÖñšĎñúĉê ĕéĂąàîĉ Ăî, đöìĉéćĕìĂĂî éĎøć÷úąđĂĊ÷ééšćîĀúÜĆ ĕéēÙôĂú, ÙúĂēøđïîàĉđúê  ĕéđöēìđĂê, ĕéÙúĂøŤüĂÿ Ÿ§˜ ¾v§}¦‰²–š| đéúìćđöìøĉî ÿĞćîĆÖüĉÝ÷Ć óĆçîćÖćøĂćøÖĆ ×ćóßČ ǰÖøöüßĉ ćÖćøđÖþêø đôîĉēêøĕìĂĂî ĂĉöĉéćēÙúóøĉé ĒúöïŤéć-ĕàăćēúìøĉî  öćúćĕìĂĂî đöēìöĉú  ĕìēĂéÙĉ ćøŤï ðŗēêøđú÷Ċ öÿđðø÷ŤĂĂ÷úŤ  óĉøĉöĉôĂÿ-đöìĉú ēóøóćĕÖêŤ ēóøóēĊ îôĂÿ ĕêøĂąēàôĂÿ   đïēîöĉú   ĒÙðĒìî, ĒÙðìćôĂú  Ÿ§˜ Ӑ¢| ¦vŽ ¾v§ ¦}‰³˜y“¬  ÙúĂēøìćēúîĉú ÙĂðđðĂøŤĂĂÖàĊÙúĂĕøéŤ   ĕĂēóøĕéēĂî  đöìćĒúÖàúĉ    àĊđîï, öćđîï, ĒöîēÙđàï, ĕìĒøö ÙćøŤđïîéćàöĉ ïĂøŤēéöĉÖđÝĂøŤ ĕêøĂąéöĉ ĊôĂî àĆúđôĂøŤ (ñÜ)