๓๙ ขบวนการสันติวิธีจะพูดด้วยถ้อยคาแห่งรักเพ่ือแสดงถึงวิธีสู่สันติภาพได้หรือไม่? ฉันคิดว่า มันข้ึนอยู่กับผู้คนในขบวนการสันติภาพมีศานติสุขหรือไม่? หากเราไม่สงบสุขเราก็ทาอะไรเพ่ือสันติ ไม่ได้ หากเราไม่สามารถยิ้ม เราก็ไม่สามารถช่วยให้ผู้อื่นย้ิมได้ หากเราไม่สงบสุข เราก็ไม่สามารถ แบ่งปันให้ขบวนการสันติได้ ฉันหวังว่าเราสามารถเสนอมิติใหม่ๆ ให้แก่ขบวนการสันติได้ บ่อยครั้ง ขบวนการสนั ตคิ ุกกรุ่นไปด้วยความโกรธเคืองและความชงั ไมไ่ ด้เล่นบทบาทที่เราคาดหวัง เราต้องการ วิธีการที่สดใสของการมีศานติสุข ของการสร้างสรรค์สันติภาพ น่ันคือเหตุผลท่ีว่า ทาไมจึงเป็นส่ิง สาคัญนักสาหรับเราท่ีจะฝึกสติ เพ่ือท่ีจะแสวงหาวิธีการมอง เพื่อท่ีจะเห็นและเพื่อท่ีจะเข้าใจ มันเป็น ความมหัศจรรย์หากเราสามารถนาวิธีการมองโดยไม่แบ่งแยก ให้เกิดขบวนการสันติภาพ มันเป็น วิธีการเดียวท่ีจะทอนความเกลียดชัง ความก้าวร้าว งานสันติภาพหมายถึง ความมีศานติสุขเป็น ประการแรก เราต้องพ่ึงพิงซ่ึงกันและกัน เด็กๆ ของเราต้องพ่งึ เราเพ่ืออนาคตของเขา๑๑ จากคากล่าวข้างต้น จะเห็นว่า ท่านติช นัท ฮันห์ก็ยังมีทัศนะต่อเร่ืองสันติภาพในเร่ืองใช้ ถ้อยคาในการสร้างสันติภาพ ซ่ึงเป็นถ้อยคาที่ต้องสร้างข้ึนด้วยความรัก กล่าวอีกนัยคือ สันติภาพต้อง สร้างการเจรจาด้วยสันติวิธีท่ีเต็มไปด้วยถ้อยคาแห่งรักและบริสุทธิ์ใจ ท่านเช่ือว่า วิธีน้ีเป็นวิธีทางที่ สดใสและเป็นวธิ ีไมม่ ีการแบ่งแยก และวิธีการดังกล่าวน้ียังถือว่าเป็นวิธีการท่ีช่วยลดความขัดแย้ง ลด ความโกรธในการเจรจาเร่อื งสันติภาพ ท่สี าคัญคอื เป็นส่ิงท่ีต้องนามาใช้ในการขับเคลื่อนพัฒนาในเรื่อง สันติภาพ ทั้งน้ีท่านติชนัท ฮันห์ ยังมองไปถึงอนาคตข้างหน้าว่า วิธีการดังกล่าวจะสามารถสร้าง อนาคตเพอื่ คนรุ่นหลังได้ หากมองในแง่ของสถานการณ์จริงแล้ว การจารจาหรือพูดคุยเสวนาในเร่ืองสันติภาพ บางคร้งั กไ็ มส่ ามารถท่จี ะประสบความสาเร็จได้ทงั้ หมด แต่บางครั้งของความพยายามในการเจรจา ก็เป็น วิธีการที่สามารถลดความรุนแรงและความขัดแย้งหรือลดภาวะของความโกรธ ความเกลียดลงได้ ตัวอย่างเช่น กรณีการเจรจาเรื่องสันติภาพในตะวันออกกลาง ในประเด็น สันติเสวนาและการเจรจากับผู้ ก่อความไม่สงบ ผลจากการเสวนาพบว่า “การพูดคุยกับกลุ่มก่อความไม่สงบ ถือว่าเป็นการนากลุ่มเข้าสู่ กระบวนการทางการเมือง อาจกล่าวได้ว่าเป็นการยุติความรุนแรงโดยใช้วิธีการเจรจา ซึ่งจะประสบ ความสาเร็จก็ด้วยความร่วมมือจากทั้งฝุายรัฐและกลุ่มก่อความไม่สงบ กลุ่มที่ยุติความรุนแรงด้วยการ เจรจาท่ีผ่านมา ที่สาคัญได้แก่ กลุ่ม Provisional IRA จากการจัดทาความตกลง Good Friday ปี ๒๕๔๑ หลังจากนั้น ประเทศต่างๆ มีความหวังในการใช้การเจรจาในการยุติความรุนแรงมากข้ึน และใช้ เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นบทเรียน สาหรับกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลม (Liberation Tigers of Tamil Eelam) ในศรลี งั กาก็ยอมเข้ารว่ มการเจรจาระหวา่ งปี ๒๕๔๕ – ๒๕๕๐ จนนาไปส่กู ารหยดุ ยิง”๑๒ ๑๑ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), วิถีสู่สันติภาพ, (กรุงเทพมหานคร: มหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๕๔), หน้า ๑๔๒. ๑๒ สุรชาติ บารงุ สุข, “สันติเสวนา: การเจรจากบั ผู้ก่อความไมส่ งบ”, จลุ สารความมัน่ คงศกึ ษา, ฉบับที่ ๑๑๗ -๑๑๘ (ธนั วาคม ๒๕๕๕): ๑.
๔๐ ดงั นัน้ ก็จะเหน็ วา่ แนวคิดด้านสันติภาพของทานติช นัท ฮันห์ก็มีทิศทางเดียวกันการใช้วิธี เจรจาในการสร้างสันติภาพ แต่สง่ิ ทีท่ า่ นตชิ นทั ฮนั หไ์ ด้พยายามเผยแพร่เพื่อให้กระบวนการสันติภาพ นั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและลดความกดดันระหว่างกันน้ัน คือ การเจรจาท่ีเต็มไปด้วยถ้อยคา แห่งรักเท่าน้ัน ซึ่งท่านก็ยอมรับว่า การใช้ถ้อยคาแห่งรักน้ัน ไม่สามารถท่ีจะประสบความสาเร็จได้ หากปราศจากความเต็มใจหรอื ความต้องการท่ีจะปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริงๆ นั่นก็หมายถึงความร่วมมือกัน ในการเจรจาเร่ืองสันติภาพทั้งสองฝุาย และเห็นได้ชัดว่า ท่านติช นัท ฮันห์ ได้พยายามเสนอความ ออ่ ยโยน ความเก้อื กูล ความรัก เป็นสะพานในการสร้างสันติภาพใหเ้ กดิ ข้ึน เพราะท่านมองว่า วิธีการ ดังกล่าวสามารถท่ีจะมองเหน็ ทิศทางของอนาคตในการอยู่รว่ มกันของมนุษย์อย่างสนั ติวธิ ี แนวคิดในการสันติภาพแบบสันติวิธีของท่านติช นัท ฮันห์ จึงสอดคล้องกับผลงานวิจัยที่ ศึกษาการจดั การความขดั แย้งเพอ่ื นาไปสสู่ ันติภาพในประเทศไทยนั้น ซึ่งเป็นผลงานวิจัยของ อธิพัฒน์ สินทรโก โดยทาการศกึ ษาการจัดการความขัดแย้งตามแนวทางสันติวิธี ผลการวิจัยพบว่า แนวทางใน การจัดการความขัดแย้งทางการเมืองในสังคมไทยด้วยแนวทางสันติวิธีประกอบด้วย ๗ แนวทาง คือ ๑) การสรา้ งความเปน็ ธรรม ในกระบวนการยุติธรรม ๒) การเรง่ สะสางปมปัญหาความขัดแย้ง ๓) การ ลดความขัดแย้งในระดับบคุ คล ๔) การยอมรบั ฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง ๕) การสร้างความปรองดอง ๖) การสร้างความรคู้ วามเขา้ ใจเกยี่ วกับแนวทางสันตวิ ธิ ี และ ๗) การสร้างความยึดม่ันในแนวทางสันติ วิธีให้แก่สังคม๑๓ เพราะฉะนั้นผลงานงานช้ินก็มีทิศทางเดียวกันในการใช้กระบวนการสันติวิธีทุก รูปแบบเขา้ ไปจดั การแกไ้ ขปัญหาร่วมกัน ขณะท่ีพระไพศาล วงศ์วรสิทธ์ิ ก็ได้กล่าวไว้ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดสันติวิธีของท่านติช นัท อันห์ ว่า “สันติวิธีคือ วิธีการแก้ไขความขัดแย้ง หรือการตอบโต้ในสถานการณ์หน่ึงๆ โดยไม่ใช้ ความรุนแรงต่อคู่กรณี โดยเฉพาะอย่างย่ิง ท่ีเป็นการประทุษร้ายต่อร่างกายและชีวิต แต่ถึงกระนั้นก็ พยายามอธิบายว่า บางสานักมองว่า สันติวิธีจะต้องมคี วามรัก เป็นพลงั ผลกั ดันและเป็นตัวกากับเอาไว้ ด้วย จงึ เป็นสนั ตวิ ธิ ีทแี่ ท้จรงิ ”๑๔ พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ได้กลา่ วไว้ในบทสรุปของการศึกษาประเดน็ ของ “สันติวิธี”ว่า การที่จะนามนุษยชาติรอดพ้นจาก “กับดัก” ของความขัดแย้งในเชิงลบ ซ่ึงนาไปสู่ความรุนแรงในมิติ ต่างๆ นั้น มีความจาเป็นอย่างย่ิงที่จะต้อง “เปิดพ้ืนที่” ให้กลุ่มต่างๆ ได้สะท้อนปัญหาและความ ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นปัญหา หรือความต้องการในระดับใดก็ตาม และความต้องการ ซ่ึงการเกิดพ้ืนท่ี ในลักษณะดังกล่าวนั้นจะนาไปสู่ “การแวงหาทางเลือกที่ดีท่ีสุด” ท่ีมนุษย์ซ่ึงอาศัยอยู่ร่วมกันในสังคม ได้เกิดความรู้สึก และยอมรับในทางเลือกท่ีสอดรับกับความคาดหวังซึ่งตัวเองเป็นส่วนหน่ึงของการ ๑๓ อธิพัฒน์ สินทรโก, “การจัดการความขัดแย้งตามแนวทางสันติวิธี”, วิทยานิพนธ์รัฐ ประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต, (วทิ ยาลัยการบรหิ ารรฐั กจิ : มหาวทิ ยาลัยบูรพา, ๒๕๕๕). ๑๔ พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส (นิธิบุณยากร), พุทธสันติวิธี: การบูรณาการหลักการและเครื่องมือ จัดการความขัดแยง้ , หน้า ๑๘๗.
๔๑ เลือกแนวทางดังกล่าว และผลสะท้อนที่จะเกิดข้ึนคือ การยินดี และยินยอมจะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ และกรอบกติกาท่ีตนมีส่วนร่วมในการสร้างขึ้น การสร้างเวทีหรือพื้นท่ีในลักษณะดังกล่าว เป็น แนวทางหนึ่งของ “สันติวิธี” อันเป็นการแสวงหาวิธีการท่ีจะทาให้มนุษย์ชาติอยู่ร่วมกันอย่างมี ความสขุ บนฐานของการมีศักดศิ์ รีของความเปน็ มนุษย์”๑๕ จากผลงานวิจยั และคากลา่ วขา้ งต้น จะเห็นว่าแนวคิดในการจัดการความขัดแย้งแบบสันติ วิธี มีลักษณะท่ีเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแนวคิดสันติวิธีของท่านติช นัท ฮันห์ เพราะแนวทางน้ีดี พยายามสร้างความเป็นธรรม และไม่พยายามเสนอแนวทางการแบ่งแยก แต่ได้เน้นไปท่ีกระบวนการ สันติภาพเพื่อที่จะลดความขัดแย้ง ซึ่งก็หมายถึงการลดระดับภาวะท่ีจะนาสู่ความรุนแรงนั่นเอง และ จุดมุ่งหมายสูงสุดก็คือ ความเห็นท่ีว่า แนวทางสันติวิธีน้ีก็เพื่อการอยู่ร่วมกันของผู้คนในสังคม ดังน้ัน แม้ว่าจะมีแนวทางที่ชัดเจน แต่จุดมุ่งหมายของการสร้างสันติสุขนั้น ก็มีทิศทางการมองในเร่ือง สันตภิ าพเหมือนกับท่านติช นทั ฮนั ห์ คือ การสร้างสันติภาพก็ต้องทาทุกวิถีทางเพ่ือสังคมของคนส่วน ใหญแ่ ละอนาคตของคนร่นุ หลงั ๓.๒.๑.๔ สนั ติภาพกับกระบวนการสร้างความสมานฉนั ท์ การสร้างความสมานฉันเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ท่านติช นัท ฮันห์ ได้พยายามถ่ายทอดให้ ผคู้ นได้เหน็ ซ่งึ ในแนวความคิดของท่านตชิ นทั ฮนั ห์ น้นั ไดเ้ น้นไปท่กี ระบวนการสร้างความสมานฉันท์ ในรูปแบบของความรัก ไม่ฝักใฝุฝุายใดฝุายหนึ่ง และกระบวนการสมานฉันท์น้ีไม่เพียงแต่ว่า ต้องทา ขน้ึ ณ ชว่ งเวลาใดเวลาหนง่ึ หรือเกิดความขดั แย้ง ความรนุ แรง หรอื สงครามเท่านั้น แต่ในแนวคิดของ ท่านน้นั เปน็ กระบวนสมานฉนั ท์ทเี่ ราทกุ คนจะต้องทาตลอดในขณะท่ีเรายังมีชีวิตอยู่ ดังท่ีท่านติช นัท ฮันห์ กล่าวไว้ในเรือ่ ง สมานฉันท์ไมตรี” ว่า การสมานฉันท์ไมตรีหาใช่การเซ็นต์สัญญาตกลงกัน ด้วยการตีสองหน้าบนความ โหดร้ายทารุน การสมานฉันท์ไมตรีคัดค้านรูปแบบท้ังหมดของความทะเยอทะยานอยาก ไม่มีฝักฝุาย ส่วนใหญ่ในหมู่เราต้องฝักฝุายใดฝุายหนึ่ง ในการเผชิญหน้ากันหรือขัดแย้งกัน เราแยกถูกออกจากผดิ บนพนื้ ฐานของหลักการแต่เพียงบางส่วน หรือถ้อยคาที่ได้ยินมา เรา ต้องการความขัดเคืองเพ่ือท่ีจะได้กระทาบางส่วน แม้แต่ความขัดเคืองที่ถูกต้องและชอบ ธรรมก็ยังไม่มีน้าหนักพอ โลกของเรามิได้ขาดบุคคลท่ีปรารถนาที่จะทุ่มเทตัวเองมากระทา การส่ิงท่ีเราต้องการคือบุคคลผู้สามารถจะรัก โดยไม่เข้าฝุายใดฝุายหน่ึงเพ่ือว่าเธอจะได้อ้า แขนรับความเป็นจริงทั้งมวล เราต้องต่อเน่ืองการฝึกสติและการสมานฉันท์ไมตรี จวบจน กระทง้ั เราเหน็ ร่างหนงั หุม้ กระดกู ของเด็กในอูกันดาหรือเอธิโอเปยี ในตัวของเราเอง๑๖ ๑๕ เร่ืองเดยี วกัน, หน้า ๑๖. ๑๖ ติช นทั ฮันห์, สนั ตภิ าพทกุ ย่างก้าว, หน้า ๑๕๓–๑๕๔.
๔๒ จากข้อความข้างต้น ได้ช้ีให้เห็นว่าว่า การสร้างความสมานฉันท์ที่โลกกาลังดาเนินการอยู่ น้ัน จะต้องไม่ใช่การสร้างสมานฉันท์ท่ีเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมเพื่อที่จะได้กระทาการต่ออีกฝุายหนึ่ง หรือเพ่ือหวงั ใหฝ้ าุ ยหนง่ึ น้นั ไดร้ ับความพา่ ยแพ้หรือความทุกข์ แตก่ ารสร้างความสมานฉันท์น้ันจะต้อง ถกู ดาเนนิ การจากบุคคลท่ีสามารถจะเสียสละหรือมีความจรงิ ใจท่จี ะสร้างความสมานฉันท์อย่างแท้จริง ด้วยความรักบนพื้นฐานของสติท่ีเข้มแข็งและจะต้องดาเนินการอย่างต่อเน่ือง ฉะน้ันในประเด็นนี้ ผู้ ศึกษาจึงมองว่า การสร้างความสมานฉันท์ตามแนวคิดของท่านติช นัท ฮันห์ จึงเป็นการเสนอว่า โลก ของเรายังต้องการและควรมีบุคคลท่ีมีความเต็มใจ เสียสละและรักในสันติภาพอย่างลึกซึ้งท่ีจะมาช่วย ในการสรา้ งสันตภิ าพ เม่ือมองในประเดน็ ข้างต้น กจ็ ะเห็นวา่ ความรกั หรือกระทั่งความกรุณาจึงเป็นส่ิงสาคัญต่อ การสร้างสมานฉันท์อย่างมาก เพราะการใช้ความรักอย่างแท้จริงในการจัดการปัญหาของความไม่สงบ สุขทเ่ี กิดจากปัญหาการกดข่ีก็ดี การใช้กาลังก็ดี ตลอดจนความแตกแยกกันระหว่างผู้คนในสังคม เป็น สิ่งเดียวที่จะทาให้เราเข้าใจชีวิตมนุษย์มากข้ึน และทาให้เราได้เห็นช่องทางและอนาคตของสันติภาพ มากข้ึน การใช้ความรักในการสร้างความสมานฉันท์จึงเป็นวิธีการที่ผ่อนคลายความตรึงเครียดที่สุด เพ่ือทีจ่ ะเปลีย่ นแปลงเสน้ ทางของความเลวร้ายหรอื ความทกุ ขท์ เี่ กิดจากสงครามการทาลายล้างให้เดิน ไปสู่เสน้ ทางทมี่ แี ต่ความรักและการใหอ้ ภยั สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจเน่ืองในโอกาสเฉลิมฉลองวัน สันติภาพสากล ครั้งท่ี ๔๙ ว่า “ข้าพเจ้าขอเช้ือเชิญพระศาสนจักรให้ภาวนาและทางานเพ่ือให้ คริสต ชนทกุ คนไดม้ หี วั ใจทถ่ี อ่ มตนและเหน็ อกเห็นใจ เปน็ หัวใจที่สามารถประกาศและเป็นพยานถึงความรัก เมตตา เปน็ ความหวังของข้าพเจ้า ท่ีเราทุกคนจะได้เรียนรู้ที่จะให้อภัยและมอบให้ เปิดใจให้กว้างมาก ข้ึนต่อผู้ที่อยู่ชายขอบสังคม เป็นชายขอบที่สังคมสมัยใหม่สร้างข้ึนเอง และไม่ยินยอมท่ีจะตกอยู่ใน “การน่ิงดูดายอย่างน่าอดสู หรือมีกิจวัตรประจาวันที่น่าเบื่อซึ่งปิดก้ันเราจากการค้นพบส่ิงใหม่ ขอให้ เราขจัดความคิดเยาะเยย้ ถากถางทม่ี แี ต่ทาลายให้หมดลงไปเสยี ”๑๗ ขณะที่ชลัท ประเทืองรัตนา กล่าวว่า “การใช้แนวคิดของกระบวนการยุติธรรม สมานฉันท์ ท่ีให้ผู้กระทาผิดและผู้เสียหายได้มาพูดคุยกัน มาเยียวยาความรู้สึก มารับรู้อารมณ์ ทัศนคติซ่ึงกันและกัน โดยใช้กระบวนการที่รับฟังกันอย่างแท้จริง มีบรรยากาศที่เอ้ือให้เกิดความรู้สึก ปลอดภัยและเต็มใจในการพูดคยุ กัน อันจะนาไปสู่ความเขา้ ใจกนั และแสดงความรบั ผิดชอบต่อสิ่งที่ได้ กระทาผิดไป และการใหอ้ ภยั จากผู้ถกู กระทา นามาสูค่ วามสมั พนั ธอ์ ันดตี ่อกันมากย่ิงขึ้น”๑๘ ๑๗ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส, สันติเกิดข้ึนได้ ถ้าเราไม่น่ิงดูดาย, [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: http://www.disacsurat.com/download/CompletePeaceMessage2016TH.pdf [๒ ก.ค. ๒๕๕๙]. ๑๘ ชลัท ประเทืองรัตนา, กระบวนการสันติภาพในรวันดา, (กรุงเทพมหานคร: ส เจริญ การพิมพ์, ๒๕๕๕), หน้า ๕๗.
๔๓ จากข้อความน้ี ก็จะเห็นว่า แนวคิดของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส และชลัท ประเทืองรัตนา มีทิศทางเดียวกับแนวคิดของท่านติช นัท ฮันห์ ในการสร้างสันติภาพ กล่าวคือ การ สร้างความสมานฉันท์ ท้ังสองต่างก็ได้กล่าวถึงความรักความความเมตา ซ่ึงถือว่าเป็นความหวังและ เป็นเส้นทางท่ีจะทาให้ผู้คนท่ีเกิดความแตกแยกจากปัญหาต่างๆ ท้ังปัญหาภายในครอบครัว สังคม ประเทศ ระหว่างประเทศกม็ ีทางทีจ่ ะพบสนั ตสิ ขุ ฉะน้ัน จึงกล่าวได้ว่า ประเด็นเรื่องความสามานฉันท์ ตามแนวคิดการสร้างสันติภาพของท่านติช นัท ฮันห์ นั้น การใช้ความรักความเมตตาต่อเพ่ือนมนุษย์ ด้วยเป็นสิ่งท่ีควรอย่างย่ิงท่ีจะต้องนามาใช้หรือฝึกปฏิบัติเป็นงานอย่างจริงจัง เพราะท่านมองว่า วิธีนี้ คอื แนวทางการสมานฉันทท์ จี่ ะชว่ ยเหลอื บรรเทาทกุ ขเ์ วทนาใหก้ บั มนุษย์ได้ ๓.๒.๑.๕ สนั ติภาพตอ้ งพฒั นาความเขา้ ใจเพือ่ หยดุ สงคราม ต่อมาท่านติช นัท ฮันห์ ยังเห็นว่า เรื่องสันติภาพและความสุขของเราจะเกิดข้ึนได้ นัน้ นอกจากเราจะอาศัยความเมตา ความมสี ติและเราจะตอ้ งพฒั นาความเข้าใจทุกๆ วิถีทางเพ่ือที่เรา จะร่วมกันหยุดภัยของสงคราม ทั้งนี้ก็เพ่ือผู้คน สรรพสัตว์ทั้งหลายบนโลกได้ ดังท่านกล่าวไว้ในเร่ือง “บัญญัติเพอ่ื สังคมทา่ มสี ติ” วา่ ด้วยความมีสติ เราจะมองเห็นว่าชีวิตกาลังถูกทาลายทุกหนทุกแห่ง และเราตั้งสัตย์ ปฏิญาณที่จะบ่มเพาะความเมตตา เพื่อให้เป็นแหล่งพลังในการปกปูองชีวิตผู้คน สรรพ สัตว์ พืชพรรณ และโลกท้ังโลกของเรา แต่ความรู้สึกเมตตาเพียงอย่างเดียวนั้นยังไม่พอ เรายังต้องพัฒนาความเข้าใจอีกด้วยเพื่อท่ีจะรู้ว่าเราควรจะกระทาสิ่งใด เราต้องพยายาม ทุกวิถีทางท่ีจะหยุดสงคราม จิตใจคือรากฐานของการกระทา การมีจิตใจท่ีมุ่งทาลายชีวิต นน้ั อนั ตรายยิ่งกวา่ การลงมือฆา่ เสียอีก๑๙ จากข้อความข้างต้น พิจารณาได้ว่า แนวคิดของการสร้างสันติภาพน้ัน ยังคงให้ความสาคัญ กับการสร้างเกาะกาบังเพ่ือให้โลกน้ันหลีกพ้นจากสงคราม ด้วยวิธีการสร้างความเข้าใจร่วมกัน ว่า หาก เรามามีสติ มีความเมตตาต่อเพ่ือนมนุษย์และสรรพสัตว์แล้ว การทาลายล้างย่อมเกิดข้ึนแก่ตัวเราและ ผู้อื่น ดังน้ันท่านจึงได้พยายามแนะว่า ความเข้าใจต่อตนเอง ผู้อ่ืน โดยเฉพาะการพัฒนาความเข้าใจใน เรอ่ื งของจติ ใจเป็นเร่ืองท่สี าคญั อยา่ งมาก เพราะสงครามหรือการทาลายนั้นเกิดมาจากรากฐานคือจิตใจที่ ประกอบไปด้วยความโกรธ ความแค้นที่จะนาไปสู่การทาสงคราม ฉะนั้นเราจึงต้องหยุดหรือหลีกเลี่ยง สงคราม ๑๙ ติช นัท ฮันห์, ศานติในเรือนใจ เรียนรู้ศิลปะการดาเนินชีวิตอย่างมีสติและผาสุก, แปลโดย ธรี เดช อทุ ยั วทิ ยารตั น์, พิมพ์ครงั้ ท่ี ๗, (กรงุ เทพมหานคร: มูลนธิ ิโกมลคีมทอง, ๒๕๕๔), หนา้ ๘๔.
๔๔ แม้ว่าสงครามนั้นจะยังคงรอการประทุหรือกาลังเกิดข้ึนในพื้นที่ของโลกที่มีความขัดแย้ง แต่ในขณะเดียวกันสงครามน้ันก็เป็นส่ิงท่ีหลีกเลี่ยงหรือหยุดได้ ซ่ึงแนวคิดของท่านติช นัท ฮันห์ ก็ สอดคล้องกับแนวความคิดของนกั จิตวทิ ยา ดังท่ี ศรเี พญ็ ศุภพิทยากุล ได้เขียนเอาไว้ว่า “สงครามเป็น สงิ่ หลกี เล่ยี งได้ สงครามไม่ไดต้ ดิ ตัวมนษุ ยม์ าตง้ั แตเ่ กิด แต่สงครามถูกสร้างให้เกิดข้ึนในมนุษย์ ไม่มีเชื้อ ชาตใิ ด ประเทศใด หรือกลุ่มสงั คมใดที่กระหายสงครามอย่างไม่มีทางเล่ียง ความคับข้องใจ และความ ขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ท่ีเป็นรากฐานของสงครามอันก้าวร้าวสามารถทาให้ลดลงได้และทาให้หันเห ทิศทางไปทางอื่นได้ด้วยวิธีการทางสังคม มนุษย์สามารถบรรลุความปรารถนาอันสูงสุดของเขาได้ ภายในกรอบของความร่วมมือระหว่างมนุษย์และหันเหความก้าวร้าวของเขาไปต่อสู้กับอุปสรรคของ ธรรมชาตทิ ี่มาขดั ขวางการบรรลุเปาู หมายของเขา”๒๐ ดังนั้นเม่ือพิจารณาจากข้อความดังกล่าว ก็จะเห็นได้ว่า แนวความคิดในการหยุดหรือ หลีกเล่ียงสงครามน้ันมีทิศทางเดียวกัน คือสงครามสามารถหยุดได้ด้วยความร่วมมือของมนุษย์เอง ทั้งน้ีการหยุดสงครามตามแนวคิดของท่านติช นัท ฮันห์นั้น ไม่ใช่เพียงการหยุดสงครามจากลูกระเบิด เท่านั้น แต่ต้องหยุดสงครามภายในจิตใจของตนเองด้วย ไม่ว่าความโกรธ ความเกลียด การแบ่งแยก เป็นตน้ สันตภิ าพจะเกดิ ข้นึ กับโลกและตนเอง ๓.๒.๑.๖ สนั ตภิ าพตอ้ งเขา้ ใจสงครามในฐานะปัจเจกบคุ คลและประชาชาติ ตอ่ มาแนวคดิ ของด้านสันติภาพของท่านติช นัท ฮันห์ ยังเห็นว่า สันติภาพจะเกิดข้ึน ได้นั้นไม่ใช่เพียงการประท้วงหรือสนับสนุนให้เกิดการใช้ความรุนแรงเพราะน่ันถือว่าเป็นการทาลาย จิตสานึกของฝุายท่ีชนะ โดยเฉพาะท่านยกตัวอย่างการสนับสนุนการใช้ความรุนแรงในการแก้ไข ปัญหาของคนหนุ่มสาว ว่าคนเหล่านี้ไม่ได้เข้าใจถึงปัญหาของสงคราม ดังที่ท่านกล่าวไว้ในเร่ือง “ปฏิบตั ิการแห่งความรกั ” ว่า ประชากรหลังสงครามจานวนมาก โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวมองว่าความรุนแรงนั้นเป็น หนทางทจี่ ะแกไ้ ขปญั หาตา่ ง ๆ ได้ หากเกิดความขดั แยง้ ขน้ึ ทหี่ นไหนในโลก คร้ังต่อไปพวก เขาก็จะถูกยั่วยุให้สนับสนุนการแก้ไขปัญหาด้วยกาลังทหาร หรือสงครามอีก วิธีคิดและ การกระทาเช่นนี้จะทาลายจิตสานึกของผู้ท่ีอยู่ฝุายชนะ หากเราต้องการที่จะปกปูองชีวิต เราจะต้องพิจารณาธรรมชาติท่ีแท้จริงของสงครามให้ลึกซึ้งทั้งในฐานะปัจเจกบุคคล และ ในฐานะประชาชาติ เมื่อเราเห็นมันเราจะต้องเปิดเผยให้คนทั้งประเทศได้รับรู้ โดยการ ฉายไปบนจอขนาดใหญ่ เราจะต้องเรียนรู้ร่วมกันและทาทุกอย่างเท่าท่ีจะทาได้ เพ่ือ ปอู งกนั ไมใ่ ห้มันเกดิ ข้ึนมาอีก๒๑ ๒๐ ศรีเพ็ญ ศุภพิทยากุล, มนุษย์กับสันติภาพ, พิมพ์คร้ังท่ี ๔, (กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพ์แห่ง จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย, ๒๕๕๖), หน้า ๓๓. ๒๑ ติช นัท ฮนั ห์, ศานติในเรือนใจ เรียนรู้ศลิ ปะการดาเนินชวี ติ อยา่ งมสี ติและผาสกุ , หน้า ๗๘.
๔๕ ทา่ นได้ยกตวั อย่างของแนวคิดการสนับสนุนการใช้ความรุนแรงว่า เป็นวิธีการท่ีจะนามาสู่ การทาลาย และไม่ใช้หนทางท่ีเราจะสามารถเข้าใจและสร้างสันติภาพได้ และหลีกหนีไม่พ้นที่จะเกิด สงครามขน้ึ ดังนนั้ วิธคี ดิ ของทา่ นติช นัท ฮันห์ คือทุกคนต้องเรียนรู้พัฒนาความเข้าใจในระดับตนเอง และ และระดับประชาชาติ เพราะท่านมองว่า เมื่อเราสามารถเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว เราจะสามารถ กระจาย สื่อสาร และสร้างเครือข่ายของการเรียนรู้ร่วมกันเกี่ยวกับการหยุดย้ังสงครามและทาให้เกิด สันติภาพได้ หากกล่าวอีกนัย สันติภาพจะอาศัยความเข้าใจในเร่ืองของสงครามอย่างเดียวไม่ได้ ท่านจึง แนะว่า การเรียนรู้ทุกอย่างจะช่วยให้สงครามเกิดขึ้นไม่ได้ นั่นก็หมายถึงตั้งแต่ระดับพ้ืนฐาน ไม่ว่าความ รกั ความเข้าใจ ความเก้ือกลู ซ่ึงก็สอดคล้องกับคากล่าวของ ชยั วฒั น์ สถาอนันท์ ท่ีได้กลา่ วไว้ว่า สันติภาพที่เพียงเอาใจใส่กับปัญหาสงครามจึงเป็นเรื่องค่อนข้างแคบ การวิจัย สันตภิ าพทไ่ี มใ่ ส่ใจประเดน็ ปัญหาตา่ งๆ ทีก่ ว้างขวางกวา่ สงครามหรอื ความสงบเรียบร้อยก็ คงไม่อาจเป็นการวิจัยทีเกื้อหนุนต่อความสุขของมนุษย์ ดังที่ Ted Lentz เคยเรียกร้องไว้ ในอดีตได้ เพราสง่ิ ท่ี Lentz เรยี กรอ้ งมใิ ชเ่ พียงเพอื่ การอยู่รอดของชีวิต หากแต่เป็นการอยู่ รอดของชีวิตทีด่ ดี ว้ ย๒๒ ดังน้ันหากตามความหมายข้างต้นน้ัน ก็คือ นอกจากเราจะต้องเข้าใจในเรื่องของสงคราม แล้ว ส่ิงท่ีต้องเชื่อมโยงต่อไปคือ ความเก้ือหนุนต่อสังคม ประเทศชาติทุกๆ วิถีทางเพื่อให้การดาเนิน ชีวิตของผู้คนมีทิศทางที่ดีขึ้นและสามารถท่ีจะเช่ือมโยงความเข้าใจ ความรัก การเอื้อเฟื้อต่อกันท่ี กว้างขวางออกไป นี่จงึ เปน็ แนวคิดเรื่องสันตภิ าพในฐานะปจั เจกบุคคลและประชาชาติ ๓.๒.๒ แนวคิดสันติภาพกับการเปลย่ี นแปลงพัฒนารว่ มกัน ๓.๒.๒.๑ สันตภิ าพตอ้ งไม่แบ่งแยก สันติภาพสาหรับท่านติช นัท ฮนั ห์ ท่านมองว่า การที่จะให้ผู้คนได้สัมผัสกันความสุข หรอื สันติภาพนนั้ สิ่งทต่ี อ้ งกา้ วขา้ มของความเลวรา้ ยจากสงครามหรอื การทาลายแก้แค้นกันกันน้ัน ทุก คนตอ้ งรจู้ ักการเรียนรผู้ ลกระทบของสงครามและพยายามสร้างทัศนะใหม่ เพ่ือให้สันติภาพเกิดข้ึนบน โลก หรือกล่าวอีกนัยหน่ึง คือการย่ืนความเมตตา ความเก้ือกูล ให้กับเพ่ือนมนุษย์ในการอยู่ร่วมกัน จุดประสงค์นั้นเพ่ือต้องการให้เราทุกคนได้สัมผัสพ้ืนท่ีของสันติภาพอย่างเท่าเทียมกัน ประสบการณ์ และการเรียนรูจ้ ากสงครามในอดตี เป็นสิ่งที่ควรตระหนัก และเปลี่ยนแปลงภาพความช่ัวร้ายเหล่าน้ัน ใหเ้ ปลยี่ นแปลงไปในทางแหง่ สันติ ดังที่ท่านยกตัวอย่างผลกระทบของสงคราม และการแก้ไขร่วมกัน ไว้ในเรื่อง “เยียวยาบาดแผลของสงคราม” ว่า “ถ้าเพียงแต่สหรัฐอเมริกามีทัศนะของการเป็นหน่ึง เดียวต่อเวียดนาม เราก็คงจะไม่ต้องรับผลแห่งการทาลายล้างอย่างแสนสาหัสสากรรจ์ท้ังสองฝุาย ๒๒ ชยั วัฒน์ สถาอนันท์, สนั ติทฤษฎีวิถีวฒั นธรรม, หน้า ๒๗.
๔๖ เชน่ นี้ สงครามยังคงทารา้ ยทง้ั ชาวอเมริกัน และชาวเวียดนาม หากเรามีความรู้สึกสังวรให้มากข้ึนเราก็ คงเรียนรู้ไดจ้ ากสงครามในเวยี ดนาม”๒๓ ติช นทั ฮันห์ ไดพ้ ยายามนาประสบการณใ์ นอดีตของสงครามที่อเมริกันและเวียดนามต่าง ได้รับผลกระทบอย่างแสนสาหัสท้ังสองฝุาย ซ่ึงความเลวร้ายที่เกิดจากการทาลายล้างกันนั้น ทั้งสอง ฝาุ ยนั้นไดข้ าดความสังวรในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน การสังวรถึงปัญหาท่ีจะเกิดข้ึนต่อการทาสงคราม นั้นเปน็ เรื่องสาคัญ เพราะทา่ นมองวา่ สงครามน้ันไม่ได้ผลดีต่อชาวอเมริกันและชาวเวียดนามถึงแม้ว่า ฝุายใดฝุายหนง่ึ จะชนะก็ตาม ท่านพยายามท่ีจะสร้างความเข้าใจร่วมกันและต้องการเปลี่ยนแปลงความรู้สึก ความคิด ของผู้คนใหม่ว่า มนุษย์ทุกคนต่างก็เป็นสมบัติของกันและกัน กล่าวคือ เราจะต้องไม่แยกส่วนต่างของ ชีวิตเราออกจากกัน เพราะจะให้เราหลงทางและไม่มีวันที่จะพบกับสันติภาพ เพราะฉะนั้น ไม่ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นต่อฝุายใดหรือรูปแบบใด เราควรเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ด้วย การไม่แบ่งแยก แต่สร้าง กระบวนการเรียนรู้และแก้ปัญหาร่วมกัน เพราะมันเป็นช่องทางท่ีจะดาเนินไปสู่สันภาพได้ ดังท่ีท่าน กลา่ วไวใ้ นบทสรปุ เรื่องน้ี วา่ เราต้องการทัศนะการมองแบบเป็นอยู่ระหว่างกันและกัน เราเป็นสมบัติของกันและ กัน เราจักไมส่ ามารถตดั ผ่าความเป็นจริงออกเป็นชิ้น ๆ ความอยู่ดีของส่ิงนี้ความอยู่ดีของ สิง่ นน้ั ดังนัน้ เราจึงต้องทาส่ิงต่าง ๆ ด้วยกันทุก ๆ ด้าน “ด้านของเรา ไม่มีด้านของความ ชั่วร้าย ทหารผ่านศึกมปี ระสบการณ์ทที่ าใหเ้ ขาเปน็ เฉกเช่นเปลวของแท่งเทียนท่ีส่องสว่าง ถึงรากเหงา้ ของสงครามและหนทางส่สู ันตภิ าพ๒๔ ติช นทั ฮันห์ มองวา่ หนทางสู่สนั ติภาพนั้น เราทุกคนต้องไม่มองความเปูนอยู่ของกันและ กันโดยแยกส่วนเพ่ือให้เกิดความแตกต่าง เพราะทุกๆด้านของเรา ทุกคนจะต้องร่วมมือกันสร้างการ เป็นอยู่อย่างเข้าใจ และสันติ ซ่ึงการการสร้างสิ่งเหล่าน้ี ความจาเป็นและความเร่งด่วนกระทาร่วมกัน คอื ไม่นาเอาดา้ นของความชวั่ ร้ายมาเป็นประเด็นในการสรา้ งพื้นที่ของสันติภาพ ท่านติช นัท ฮันห์ ยัง ได้ยกตัวอย่างของทหารผ่านศึกอีกว่า ทหารเหล่าน้ัน คือ ขุมกาลังที่เข้าใจถึงความปวดร้าวและทุกข์ เวทนาจากสงครามเปนู อย่างดี ฉะนั้นเขาย่อมรู้และเข้าใจดีว่า หนทางสู่สันติภาพน้ันควรทาอย่างไรใน สงั คมปัจจุบนั ดงั น้นั ทา่ นตชิ นทั ฮันห์ จึงมองว่า การเปล่ียนทัศนะของการมองท่ีไม่มีด้านของความช่ัว ร้ายต่อการเปูนอยู่ร่วมกันน้ัน คือหนทางที่จะสร้างการเป็นอยู่ในสังคมที่สันติสุข โดยการเรียนรู้จาก ผลกระทบจากสงครามในอดีตของชาวอเมริกันและชาวเวียดนาม ซ่ึงนอกจากการพยายามเปล่ียน ทัศนะการมองโดยไม่แบ่งแยกแล้ว ท่านติช นัท ฮันห์ ยังชี้ทางแห่งสันติภาพว่า พ้ืนฐานท่ีสาคัญอย่าง ๒๓ ติช นัท ฮนั ห์, สนั ตภิ าพทกุ ย่างกา้ ว, หนา้ ๑๓๓. ๒๔ เรือ่ งเดยี วกนั , หน้า ๑๓๔.
๔๗ มากต่อการก้าวข้ามความช่ัวร้ายจากสงครามและความรุนแรงหรือการทาลายล้างกันนั้น คือ การ พฒั นาและฝึกปฏิบัติในทุกดา้ นอยา่ งมีสติ ซงึ่ ท่านให้เหตุผลว่า เมื่อใช้สติเป็นเคร่ืองกากับในการพัฒนา สันติภาพ เราจะสามารถสมั ผสั พื้นทข่ี องสนั ตสิ ขุ ได้ ขณะท่ีผลงานวิจยั ของ พระทรพั ย์ชู มหาวีโร (บุญพิฬา) ที่ทาการศึกษาการศึกษาวิธีการ เจริญสติใช้ในชีวิตประจาวันตามแนวทางของ ติช นัท ฮันห์ โดยได้สัมภาษณ์ท่านติช นัท ฮันห์ ท่าน ได้ชีใ้ หเ้ ห็นวา่ การใชส้ ติ เป็นการสรา้ งพลงั ของการพฒั นาตนเองและหมู่เพื่อนมนุษย์ด้วย น่ันหมายถึง การอย่รู ่วมกนั ของคนในสงั คมด้วยพลังแห่งสันติ ดังท่ที า่ นกลา่ ววา่ เวลาเห็นคนอ่ืนปฏิบัติไม่ดี หรือแสดงพฤติกรรมไม่ดี เราก็ไม่โกรธเขาไม่ว่าเขา แต่ กลับช่วยเตือนให้เราต้องฝึกสติให้มากข้ึน เพื่อเป็นการช่วยเหลือเขาคนนั้นให้ปฏิบัติดี ยิ่งข้ึน... และการมีสติช่วยให้เรามองได้อย่างลึกซ้ึง เข้าใจคนน้ันอย่างแท้จริง ใจเราก็มี เมตตายอมรับเขาได้ ไม่โกรธ ไมเ่ กลียด ไม่โทษคนอื่น ไม่มีการแบ่งแยก มีเมตตาแก่ทุกคน ถ้าเราไม่มีสติ หรือมีสติน้อย ก็จะไม่สามารถมองอย่าลึกซึ้งได้ ทาให้เราไม่เข้าใจเขา โกรธ เขา โทษเขา ให้อภัยเขาไม่ได้ ดังน้ัน เราต้องฝึกสติทุกวันกับสังฆะเพื่อให้สติมีพลังมาก ยิ่งข้ึน๒๕ ข้อมูลจากงานวิจัยข้างต้น จึงแสดงให้เห็นถึงความต้องการให้เกิดสันติในการอยู่ร่วมกัน ของท่านติช นัท ฮันห์ โดยที่การพัฒนาหรือฝึกปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้สติน้ัน เป็นการทาให้เราได้เข้าใจ ปัญหาตา่ งๆ อย่างลกึ ซง้ึ และการพฒั นาเร่ืองสตนิ ั้น ทา่ นติช นัท ฮันห์ ยงั เหน็ วา่ สามารถท่ีจะเป็นพลัง อย่างมากต่อการลดพลังของการเบียดเบียน การใช้ความรุนแรง ตลอดจนการไม่กล่าวโทษ ไม่โกรธไม่ เกลียดผู้อ่ืน พลังของสติจะมาพร้อมกับความเมตตา ความสงบ ความคิดท่ีไม่ต้องการแบ่งแยกว่าฝุาย ไหนดี ฝุายไหนไมด่ ี แต่เป็นการการใช้สตใิ นการทาความเข้าใจในรากเหง้าของปัญหา และใช้สติในการ แก้ไขปัญหา สันติภาพจึงจะสามารถเกิดข้ึนได้ เพราะหากเรามองทุกอย่างที่แวดล้อมตัวเรา สิ่งท่ีจะ เกดิ ข้ึน ทา่ นตชิ นทั ฮนั ห์ มองว่า เราอาจจะสญู เสยี โอกาสท่ีจะได้พบกับสนั ตสิ ขุ ดังท่ีท่านกลา่ ววา่ ฉันไม่เคยรู้ว่าแม่น้าท่ีน่ีจะเน่าถึงเพียงนี้ บางคนเรียกมันว่า “แม่น้าท่ีตายแล้ว” ใน ประเทศของเรา แม่น้าอาจจะเกิดโคลนขุ่นคล่ักในบางคร้ัง แต่ไม่ได้สกปรกเช่นน้ัน บาง คนบอกฉันวา่ แมน่ ้าไรน์ในเยอรมนั กเ็ ต็มไปด้วยสารเคมีท่ีเข้มข้นพอที่จะล้างฟิล์มในแม่น้า ได้ทเี ดยี ว ถ้าเราตอ้ งการที่จะชื่นชมแม่น้า แหวกว่ายในสายน้า หรือเดินไปตามฝ่ังน้า หรือ แม้แต่ด่ืมน้า เราต้องนาหลักการมองท่ีไม่แบ่งแยก เราต้องภาวนาถึงสภาวะแม่น้าเสมือน เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราเอง ท้ังความกลัว และความหวังของแม่น้า หากเราไม่ ๒๕ พระทรพั ย์ชู มหาวโี ร (บุญพฬิ า), “การศึกษาวธิ ีการเจริญสติในชวี ติ ประจาวันตามแนวทางของ ติช นัท ฮันห์”, วิทยานิพนธพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๓), หน้า ๑๕๖.
๔๘ สามารถรูส้ กึ ถงึ แมน่ ้า ภูเขาและอากาศ หมู่สัตว์ และผู้คนจากภายในภาพท่ีปรากฏของส่ิง เหล่านนั้ แมน่ ้ากจ็ ะเนา่ และเราก็จะสญู เสยี โอกาสแห่งสนั ติสุข๒๖ นัน้ แสดงให้เหน็ วา่ สันติสุขในการอยู่ร่วมกันในโลกน้ัน จะสูญเสีย และเราทุกคนอาจไม่ได้ สัมผัสพ้ืนที่ของสันติภาพ ซ่ึงเป็นพ้ืนท่ีของความสันติสุข หากเราทุกคนยังมีทัศนะการมองธรรมชาติ โดยการแบ่งแยก หรือไม่ได้มองอย่างลึกซ้ึงลงไปในเน้ือหาของธรรมชาตินั้น ซ่ึงก็หมายถึง การมองไม่ ทะลุถึงปัญหาต่างๆ น่ันเอง ฉะนั้นความหมายตรงน้ี ก็คือ ไม่ว่าตัวเรา หรือธรรมชาติต่างก็เป็นเนื้อ เดยี วกัน อยใู่ นพน้ื ทข่ี องโลกเดยี วกนั ถูกสร้างมาให้อย่ใู นความสมั พนั ธ์เดียวกัน ถ้าเราใช้ความเป็นหนึ่ง เดยี วเสมือนกบั ภเู ขา แม่น้าเรากจ็ ะพบเนอ้ื แท้ของสันตภิ าพ ฉะนน้ั ในประเด็นนี้ จึงสรปุ ไดว้ า่ แนวคิดเรอื่ งสนั ติภาพของท่านติช นัท ฮันห์ อีกวิธีหนึ่งก็ คือ เราทุกคนที่อยู่บนโลกต้องเปลี่ยนทัศนะการมองใหม่ กล่าวคือ การมองท่ีแบ่งแยกว่าฝายไหนดี ฝุายไหนไม่ดี แต่ต้องมองทุกสิ่งทุกอย่างในภาพของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ธรรมชาติก็อาศัย การพึ่งพาธรรมชาติตามระบบของมัน มนุษย์ก็อาศัยการพ่ึงพากัน สัตว์อาศัยการพ่ึงพากันและกัน สันติภาพจึงจะเกิดขึ้น และสันติภาพจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีฐานท่ีหนักแน่นหรือภายใต้พลังของสติที่ เข้มแขง็ เราจงึ จะสามารถพบหนทางของสันติภาพได้ ๓.๒.๒.๒ สนั ติภาพต้องพัฒนาการรับฟงั ความทุกขข์ องกนั และกนั ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ท่านติช นัท ฮันห์ได้พยายามถ่ายทอดให้ผู้คนทั่วโลกได้เข้ามาปฏิบัติ ร่วมกัน นั่นคือการรับฟังอย่างลึกซึ้งถึงปัญหาของกันและกัน ซ่ึงการฟังตามแนวคิดของท่านนั้น คือ การรับฟังความทุกข์ของตนเองเพ่ือท่ีจะเข้าใจความทุกข์ของคนอื่น หากสามารถทาได้น่ันก็หมายถึง การบรรเทาความความทุกข์ให้กับคนส่วนใหญ่ ดังที่ท่านกล่าวไว้ในเรื่อง “ความกรุณาและกล้าหาญ ของผู้นา” ว่า “เราจะเป็นทุกข์น้อยลง ถ้าเรารับฟังความทุกข์ของตนเอง เข้าใจธรรมชาติท่ีแท้จริง และมอง เห็นรากเหง้าของความทุกข์ได้ นอกจากน้ีเรายังจะช่วยรับฟังคนที่เรารัก ชุมชน และสังคม ระดบั ประเทศชาติ การฟังในวิถนี ี้จะช่วยบรรเทาความทุกข์ให้ผู้คนมากมาย”๒๗ คาสอนของทา่ นติช นัท ฮนั ห์ เป็นการชีท้ างออกอีกรูปแบบหน่ึงด้วยการรับฟังความความ ทุกขข์ องตนเอง กล่าวคือ เป็นการพยายามเข้าใจในความทกุ ขอ์ ย่างละเอียดลึกซ้ึง เพราะหากเรารับฟัง และเขา้ ใจดแี ลว้ เราจะเห็นความจริงของความทุกข์นั้นๆ ขณะเดียวกันการรบั ฟังของเราก็ยังสามารถที่ จะนาไปใช้กับการรับฟังความทุกข์ของผู้อื่นได้ด้วย ตลอดทั้งขยายการปฏิบัติของเราภายใต้หลักการ ของความกรุณาให้กว้างขวางออกไปสรู่ ะดับประเทศ ๒๖ ตชิ นัท ฮนั ห์, สนั ติภาพทกุ ยา่ งก้าว, หนา้ ๑๓๗. ๒๗ ติช นทั ฮันห์, ของฝากจากหลวงป,ู่ แปลโดย สังฆะอาสาสมัครหมบู่ ้านพลมั ประเทศไทย, พมิ พค์ ร้ัง ที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร: พมิ พด์ ี จากดั , ๒๕๕๔), หน้า ๒๑๔.
๔๙ การปฏบิ ตั ิการฟงั อยา่ งลึกซ้ึงน้นั ท่านไดย้ กตัวอยา่ งของชาวปาเลสไตน์และชาวอิสราเอลที่ ต่างมีความขัดแย้งจนไม่สามารถหันหน้ามาคุยได้กัน แต่ท่านก็สามารถท่ีจะเชื้อเชิญท้ังสองฝุายให้เข้า มาปฏิบัติร่วมกันจนมีทิศทางท่ีดีขึ้น ทุกคนท่ีเข้ามาร่วมปฏิบัติสามารถที่จะสนทนาด้วยถ้อยคาแห่ง ความรักและเห็นอกเห็นใจกัน เพราะเม่ือเราได้เข้ามาฝึกปฏิบัติ ท่านกล่าวว่า เป็นการแก้ไขปัญหา ร่วมกัน และแก้ไขความคิดเห็นที่ผิดของเราเอง ดังที่ท่านกล่าวว่า “ในขณะที่เรารับฟัง เราอาจพบว่า เราตกเป็นเหยือ่ ของการคดิ เหน็ ที่ผดิ ดว้ ยเช่นกัน อาจเขา้ ใจทัง้ ตนเองและผ้อู น่ื ผดิ ไป เราควรใช้โอกาสน้ี แก้ไขความคิดเห็นของเราผ่านกระบวนการของเราการรับฟังและบอกเล่าถึงความคิดเห็นที่ผิดต่อ เพอื่ นในภายหลงั ”๒๘ จากข้อความข้างต้น จะเห็นได้ว่า นอกจากการปฏิบัติด้วยการรับฟังของเราแล้ว ใน กระบวนของการรับฟงั น้นั เปน็ กระบวนการของการสร้างพื้นที่ให้กับการแก้ไขปัญหาของความขัดแย้ง หรือความเหน็ ท่ีผดิ ของเรา ความกลวั ความโกรธ ความเกลยี ดชงั กจ็ ะถกู เผยออกมาในพ้ืนที่ของการให้ โอกาสดว้ ยกนั ทัง้ สองฝุายในการหยิบยื่นความเห็นอกเห็นใจกัน ท้ายสุดนั้นทั้งเราและผู้อื่นก็จะรับรู้ว่า เราไดต้ กเป็นเหยื่อของความคิดเหน็ ที่ผดิ ดังนน้ั ท่าน ติช นทั ฮันห์ จึงมองว่า เราจาเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องนากระบวนการของการรับ ฟังอย่างลกึ ซ้งึ บนหลักการของความกรุณา ความเมตา และสติมาเป็นเคร่ืองชว่ ยบรรเทาความทุกข์ของ เราและผู้อื่นรวมไปถึงการบรรเทาความทุกข์ของคนท้ังโลก ผ่านกระบวนการรับฟังร่วมกัน ดังท่ีท่าน กล่าวา่ เมื่อมนุษย์เรารูสึกว่าตนเองไม่ได้รับความเข้าใจ ไม่มีใครรับฟัง แม้ว่าจะพยายามมาก เท่าใดก็ตาม สิ่งสุดท้ายท่ีจะเกิดข้ึนคือความรุนแรง สาหรับฉัน ผู้ก่อการร้ายคือเหย่ือของ ความคิดเห็นท่ีผิด และผู้คนมากมายก็ตกเป็นเหยื่อของผู้ก่อการร้าย หากเราต้องการ เยียวยาผู้ก่อการร้ายเราจาเป็นต้องรับฟัง และทาความเข้าใจเขา ช่วยกันถอดถอนความ คิดเหน็ ที่ผิดทมี่ รี ่วมกัน จากขอ้ ความข้างต้น ได้ช้ีให้เห็นเจตนารมณ์ของท่านติช นัท ฮันห์อย่างชัดเจนว่า ไม่ว่าจะ เปน็ ผ้กู อ่ การร้าย ความรนุ แรง ความเห็นทีผ่ ดิ ส่งิ เหล่าน้ีสามารถที่จะเข้าถึงได้ด้วยวิธีการรับฟังเท่าน้ัน เพราะท่านมองว่า เมื่อไม่มีการรับฟังแม้จะพยายามเท่าใดความรุนแรง สงครามก็ประทุข้ึน ดังนั้น วิธี หรือกระบวนการรับฟังเป็นส่ิงท่ีมีความสาคัญอย่างมากในการพลิกปัญหาต่างๆ ให้กลับกลายเข้ามาสู่ วงเสวนาร่วมกันด้วยการรับฟงั และร่วมกนั ถอดถอนส่งิ ทไ่ี ม่ใช่สนั ติภาพออกไป เคร่ืองมือหรือกระบวนการนี้ จะเป็นการปลดปล่อยและลดทอนความทุกข์ภายใน ครอบครัว ชุมชนและประเทศของเราได้ ฉะน้ันผู้ศึกษาจึงเห็นว่า วิธีการดังกล่าวน้ี หากเกิดความ ขัดแย้งอันจะไปสู่ความรุนแรงหรือสงครามน้ัน ไม่ใช่เป็นการรับฟังเพียงเหตุผลหรือข้อมูลของทั้งสอง ๒๘ เร่ืองเดียวกนั , หน้า ๒๑๗.
๕๐ ฝุาย แต่เป็นกระบวนท่ีต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงรากฐานของปัญหาความทุกข์น้ันจริงๆ ปัญหาและ ความทุกข์จึงจะถกู ปลดปล่อยออกไปในทิศทางท่ีดขี ้นึ ดว้ ยการรับฟังและร่วมมือกัน ซึ่งก็สอดคล้องกับ คากลา่ วของ วันชยั วัฒนศพั ท์ ท่ไี ด้เสนอทางออกอย่างสนั ติวิธวี า่ การมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นกระบวนซ่ึงประชาชน หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้โอกาส แสงดทัศนะ และเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ท่ีมีผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชน รวมท้ังมีการ นาความคดิ เห็นดังกลา่ วไปประกอบการพิจารณากาหนดนโยบาย และตัดสินใจของรัฐ การมี ส่วนร่วมของประชาชนเป็นกระบวนการส่ือสารในระบบเปิด กล่าวคือ เป็นการส่ือสารสอง ทาง ทั้งอย่างเป็นทางการ และไม่เป็นทางการ ซ่ึงประกอบด้วยการแบ่งปันข้อมูลร่วมกัน ระหวา่ งผู้มีสว่ นไดส้ ว่ นเสีย และเปน็ การเสรมิ สร้างความสามัคคีในสังคม๒๙ ประสาร มาลากุล ณ อยธุ ยา ได้สรุปไว้ในบทความเร่ือง ต่างคนต่างคิด ต่างจิตต่างใจ ว่า “หลักสาคัญพ้ืนฐานที่จะนาไปสู่การพัฒนาเชิงสร้างสรรค์ได้ก็คือการเร่ิมต้นที่กาพัฒนาตัวมนุษย์เอง ด้วยการสร้างความสงบ และใฝุสันติในจิตใจของเราเอง ด้วยการยอมรับและทาความเข้าใจกับความ แตกต่างระหว่างมนษุ ย์ดว้ ยกัน และพยายามลดความรนุ แรงและแสวงหาวิธกี ารแก้ปัญหาความขัดแย้ง ตา่ งๆ โดยสนั ติ ซง่ึ เปน็ เปาู หมายนจ้ี ะบรรลุก็ต่อเมอ่ื เราทั้งหลายมีความเชื่อม่ันและศรัทธาในความเป็น มนษุ ย์ทีต่ ้องอย่รู ่วมกันด้วยสันตสิ ขุ อยา่ งแท้จรงิ ”๓๐ ดังน้ัน เมื่อพิจารณาจากคากล่าวข้างต้น ก็จะเห็นว่า แนวทางในการลดความรุนแรงหรือ ความขัดแย้งลงได้นั้น ควรที่จะสร้างพ้ืนที่ของสันติภาพ โดยการรับฟังความคิดเห็นร่วมกันท้ังของ ตนเองและผู้อ่ืน ซ่ึงก็สอดรับกับแนวคิดของท่านติช นัท ฮันห์ที่พยายามเสนอการการสร้างสันติภาพ ด้วยการรับฟังความเห็นของกันและกันและใช้โอกาสน้ันในการถอดถอนความเห็นผิดร่วมกัน ท่านก็ เชอื่ ว่า เราจะสามารถสร้างสันติภาพได้ ๓.๒.๒.๓ สนั ติภาพคอื การเป็นอยู่ระหวา่ งกนั และกันของมนุษย์ ต่อมาแนวคิดเร่ืองสันติภาพของท่านติช นัท ฮันห์ นั้น ยังพบว่า ท่านได้พยายาม สื่อสารให้กับโลกไดร้ บั รู้วา่ การดารงอยู่หรือการพัฒนาเรื่องสันติภาพ จะเกิดข้ึนได้ต้องอาศัยการสร้าง ความสัมพันธ์ในการดาเนินชีวิตด้วยกันอย่างหลีกเล่ียงไม่ได้ กล่าว คือ สันติภาพ จะอาศัยการพัฒนา ในส่วนใดส่วนหน่ึงไม่ได้ จะต้องอาศัยแรงขับเคล่ือนระหว่างกันและกัน หรือการดารงชีวิตระหว่างกัน ๒๙ พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส (นิธิบุณยากร), พุทธสันติวิธี: การบูรณาการหลักการและเครื่องมือ จัดการความขดั แย้ง, หนา้ ๒๓๔. ๓๐ วลยั อารณุ ี, สันติศึกษากับการแก้ปัญหาความขัดแย้ง: รวมบทความคัดสรร, (กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, ๒๕๓๐), หน้า ๙๘.
๕๑ กันและกันอย่างสันติ กระท้ังธรรมชาติก็ต้องอาศัยกันและกันจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่ได้ ดังที่ท่าน กลา่ วไวใ้ นเรอื่ ง “การเป็นอยรู่ ะหว่างกันและกนั ” ว่า เราจงึ พดู ได้วา่ ทุกๆ ส่งิ ท่อี ยทู่ ีน่ แี่ ละในกระดาษแผ่นน้ี เราจักไม่สามารถหยิบยกอะไร สกั อย่างที่ไม่ไดอ้ ยทู่ ่นี ี่ เวลา สถานท่ี หรอื แผ่นดนิ สายฝน แร่ธาตุในดิน แสงตะวัน หมู่เมฆ แม่น้า ความร้อน ทุกอย่างดารงอยู่ร่วมกันในกระดาษแผ่นนี้ นั้นคือเหตุผลท่ีฉันคิดว่า ทาไมคาว่า “เป็นอยู่ระหว่างกันและกัน” จึงควรบัญญัติไว้ในพจนานุกรม “การเป็นอยู่” คือการเป็นอยู่ระหว่างกันและกัน เราไม่สามารถ “เป็นอยู่” โดยโดดเด่ียวแต่ลาพังได้ เรา จาเป็นต้องเป็นอยู่ระหว่างกันและกันกับทุกๆ ส่ิง การเป็นอยู่ของกระดาษแผ่นน้ีคือการ เปน็ อยูข่ องทุกๆ ส่ิงอนั ๓๑ ติช นัท ฮันห์ ได้พยายามชี้ให้เห็นว่า ทุกส่ิงอย่างไม่ว่าจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติที่แวดล้อม ตัวเรา และส่ิงมีชีวิต เช่น มนุษย์ เหล่านี้ล้วนต้องเข้าสู่ระบบของความสัมพันธ์ระหว่างกันอย่าง หลีกเลีย่ งไม่ได้ การอาศัยกนั และกนั ในการดาเนินชีวิต การปรับตัวเข้าหากัน การสร้างความสัมพันธ์ท่ี ดีต่อกัน คือกระบวนการการอยู่ร่วมกันที่จะสามารถสร้างสันติภาพได้ และในขณะเดียวกันจะเห็นว่า ท่านตชิ นทั ฮนั ห์ ไดพ้ ยามสือ่ สารให้สงั คมได้รับรรู้ ่วมกนั ว่า คาวา่ “การเป็นอยู่” นน้ั ควรมีการบัญญัติ ใหม่ เพราะไม่ใช่แค่การเป็นอยู่ของสิ่งมีชีวิต แต่เป็นการเป็นอยู่ระหว่างกันและกันในระบบของ ความสัมพันธ์ ดงั น้ัน จะเห็นว่าทา่ นตชิ นัท ฮนั ห์ ไดม้ องว่า ทกุ อยา่ งอยู่ในระบบของความสัมพันธ์กัน ซ่ึง จะแยกจากกันขาดเลยไม่ได้ เพราะต่างอาศัยกันและกันในการทาให้การดาเนินของชีวิตหรือสิ่งต่างๆ นั้น ดีขึ้น เช่น ท่านยกตัวอย่างว่า ความรวยและความจน ก็เป็นการอยู่ร่วมกัน เหตุผล คือ ความ ร่ารวยเกิดขึ้นมาได้เพราะอาศัยความยากจน ซึ่งถ้าไม่มีความจนนั้น ความรวยก็เกิดข้ึนไม่ได้ หรือ แม้แต่ความจนก็เกิดข้ึนมาจากวัตถุของความยากจน การกล่าวเช่นนี้ ทาให้เห็นถึงแนวคิดของการ สรา้ งสันตภิ าพระหวา่ งกันของทา่ นติช นัท ฮันห์ โดยเฉพาะสันติภาพต้องมองถึงความสัมพันธ์ของการ ดารงชวี ติ ของมนุษยท์ ตี่ ้องไปดว้ ยกันอยา่ งเกื้อกลู ดงั ท่ีท่าน กลา่ วไว้ในเรื่อง “ดอกไม้และขยะ” ว่า สงั คมทรี่ า่ รวยและสังคมท่ีถูกปิดกั้นต่างกัน “เป็นอยู่ระหว่างกันและกัน” ความร่ารวย ของสังคมหนงึ่ ยอ่ มมีมาได้จากความยากจนของอีกสังคมหน่ึง ความร่ารวยทาจากวัตถุธาตุ ที่ไม่ร่ารวยและความยากจนก็ทาด้วยวัตถุธาตุที่ไม่ยากจนเป็นวิถีทางเดียวกันโดยแท้กับ แผ่นกระดาษ ดังน้ัน เราจึงต้องระมัดระวังที่จะไม่จองจาตัวของเราเองด้วยความนึกคิด ๓๑ ตชิ นทั ฮันห์, สันติภาพทกุ ยา่ งก้าว, หน้า ๑๒๖.
๕๒ ความจริง คือ ทุกๆ อย่างกรอปด้วยทกุ ๆ สิ่งอนื่ เราไม่สามารถท่ีจะเป็นอยู่ แต่เราสามารถ เป็นอยู่ระหวา่ งกนั และกันได้เรารบั ผิดชอบตอ่ ทกุ ส่งิ ท่ีเกิดข้ึนรอบๆ ตวั เรา๓๒ จากคากล่าวข้าวต้น จะเห็นว่า ท่านติช นัท ฮันห์ ได้พยายามเน้นอธิบายถึงการเป็นอยู่ ระหวา่ งกนั และกนั ของมนุษย์ โดยการเปรยี บเทยี บให้เหน็ ถึงความสัมพันธ์ระหว่างความรวยและความ จน ซึ่งท้ังสองสิ่งนี้เกิดมาจากที่เดียวกัน อาศัยกันและกันในการสร้างตนเองให้ดีขึ้น ฉะนั้น ท่านจึง มองว่า เราทุกคนไม่ควรมองแยกส่วน เพราะเป็นการมองท่ีนาไปสู่ความแตกแยกและเป็นบ่อเกิดของ ความไม่มีสนั ติภาพ เราควรมองทกุ อย่างอาศยั อยดู่ ้วยกนั ในความสัมพันธ์กันและส่ิงที่สาคัญ คือ ตัวเรา เองควรมฐี านรับรองมงั่ คงต่อหนา้ ท่ขี องเรา คือความรับผดิ ชอบตอ่ สงิ่ ทเ่ี กดิ ข้ึนหรือต่อหน้าที่ของเราเอง นอกจากตัวอย่างข้างต้น ท่านติช นัท ฮันห์ ยังได้ยกตัวอย่างของความสัมพันธ์กันท่ีไม่ อาจจะแยกหรือทาให้เกิดความแตกต่าง เพราะนั่นเป็นหนทางของการนาไปสู่การกดข่ีในหมู่เพ่ือน มนุษย์ด้วยกัน ท่านจึงได้ยกตัวอย่างให้เห็นว่า ประเทศท่ีเป็นมหาอานาจมีความเจริญด้านต่างๆ แล้ว ประเทศทดี่ อ้ ยพัฒนากต็ อ้ งอาศัยประเทศท่เี จริญแลว้ เพอ่ื ความอยู่รอด ดังท่ที ่านกล่าววา่ การกดขี่ใช้กาลังกับคนนับล้านบนผืนโลก และมองหาหนทางที่จะช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ เขาไม่สามารถลืมชนชั้นท่ีถูกย่ายี แม้ท่ามกลางแรงกดดันท่ีมีต่อชีวิตของพวกเขา อย่าง น้อยการแผ่กว้างออก คนพวกนี้ก็ได้ตระหนักถึงธรรมชาติของการพึ่งต่อกันของชีวิต เขารู้ ว่าการอยู่รอดของประเทศด้อยพัฒนาไม่สามารถท่ีจะแบ่งแยกออกจากการอยู่รอดของ ประเทศที่ร่ารวยทางวัตถุท่ีรุดหน้าทางเทคโนโลยี ชะตากรรมของประเทศหนึ่งท่ีสัมพันธ์ อยูก่ ับชะตากรรมของอีกหลายประเทศ๓๓ น้ีเป็นการยกตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อย่างชัดเจน ซึ่งนอกจากจะเห็น ความสมั พันธร์ ะหวา่ งการพ่ึงพิงอาศัยกันและกันของมนุษย์บนโลกแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ก็มีความจาเป็นอย่างย่ิงที่หลายประเทศท่ีพัฒนาแล้วต้องกระทาต่อประเทศที่ด้อยพัฒนาอย่าง เชื่อมโยงกัน หรอื ตอ้ งยกประเทศที่ดอ้ ยพฒั นาให้ก้าวขา้ มความอดอยาก ความทุกข์ยากให้ทัดเทียมกัน ให้ได้ ซึ่งน่ันไม่ใช่เป็นเพียงการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเท่านั้น แต่น่ันหมายถึง ความสมั พันธ์ระหวา่ งมนษุ ยบ์ นโลกดว้ ยกันเอง ซึง่ เป็นเรื่องยากท่จี ะแยกออกจากกัน ดังนั้นก็แสดงให้เห็นว่า วิธีการมองดังกล่าว นอกจากจะเป็นการทาความเข้าใจเร่ือง ความสมั พนั ธ์ของการเป็นอยูท่ ต่ี อ้ งอาศยั กันระหว่างมนุษย์แล้ว สิ่งท่ีมนุษย์จะต้องเรียนรู้ต่อไปคือ การ พัฒนาตนเองหรือปลดปล่อยตนเองให้ออกจากความทุกข์ หรือวิธีการทาให้ตนเองพบสันติสุขนั่นเอง ๓๒ เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๒๙. ๓๓ เรือ่ งเดียวกนั , หน้า ๑๕๑.
๕๓ เพราะเราจะอาศัยแต่ความเข้าใจของความสัมพันธ์ของส่ิงต่างๆ ในธรรมชาติที่แวดล้อมเราอย่างเดียว ไม่ได้ เราต้องฝกึ ปฏบิ ตั แิ ละเปลย่ี นแปลงความเขา้ ใจให้กลายเป็นสันติภาพให้ได้ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) กล่าวไว้วในเรื่อง สันติภาพเกิดจากอิสรภาพและ ความสุข ว่า “การพฒั นาคนจะนาไปสู่การรู้แจ้งสัจธรรม และความเข้าใจทั่วตลอดถึงความสัมพันธ์อิง อาศัยกันและกันของส่ิงท้ังหลายทั้งปวงทั้งชีวิตของเราท้ังสังคม และส่ิงแวดล้อมรอบตัว เมื่อปัญญารู้ แจ้งสอดคล้องกับสัจธรรมแล้ว ก็จะเกิดความหลุดพ้นเป็นอิสระ และเม่ือนั้นสภาวะแห่งความไม่เที่ยง เป็นทุกขแ์ ละเป็นไปตามเหตปุ จั จัยของส่ิงทั้งหลาย อันเป็นสามัญลักษณะของสังขารทั้งปวงในโลกน้ี ก็ จะไม่สามารถก่อให้เกิดความเครียด ความกดดันวุ่นวายใจ และความความสุขก็จะแผ่ขยายระบาย ความสขุ ของตนออกไปแก่คนรอบข้าง และชว่ ยบรรเทาความขดั แยง้ แก่งแย่งชงิ ดกี ัน”๓๔ พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส (นิธิบุณยากร) ได้เขียนเอาไว้ในหนังสือพุทธสันติวิธีเกี่ยวกับ แนวคิดเรื่องการยอมรับในความหลากหลายและการพึ่งพาอาศัยกัน ว่า “บางครั้งการดารงอยู่ “ให้ ได”้ ของมนษุ ย์บางคน อาจจะ “ไม่จาเปน็ ” หรือ “ไมม่ เี ปูาหมาย” เพื่อมุ่งไปที่ส่ิงอื่น หรือคนอื่นๆ แต่ เป็นการดารงอยู่เพื่อตนเอง ปัญหาคือ หากสังคมหรือคนอ่ืนอยู่ไม่ได้ เขาจะอยู่รอดได้อย่างไร ฉะนั้น ดว้ ยสถานการณ์ดังกล่าว จงึ มคี วามจาเป็นทม่ี นุษย์บางคน หรอื บางสังคมต้องการทาหน้าที่ หรือมีส่วน สาคัญในการรักษา “หมู่ใหญ่” เอาไว้ เพราะการเห็นแก่คนอื่นหรือสิ่งอื่นน้ันมีผลต่อเน่ืองถึงการ “อยู่ รอด” ของตนเองด้วย และน่ีจึงเป็นท่ีมาของการนาเสนอวลีสาคัญของพุทธทาสภิกขุที่ว่า “การท่ีเรา ตอ้ งรักคนอ่นื เพราะเราอย่คู นเดยี วในโลกนีไ้ ม่ได้”๓๕ พอล ชไตเดิล ไมเออร์ กล่าวว่า “การพึ่งพาอาศัยกันนั้นเป็นข้อเท็จจริงท่ีเราต้องยอมรับ วา่ มนั มมี ากขึ้นเรอื่ ยๆ ท้ังในดา้ นการเมอื ง เศรษฐกจิ และวัฒนธรรม แต่สิ่งที่เป็นปัญหาอยู่ในเวลาน้ีคือ ทาอย่างไรการพึ่งพาอาศัยกันน้ีจึงจะเป็นไปในลักษณะท่ีทาให้มนุษย์ทุกคนทุกเชื้อชาติสามารถดารง ความภาคภมู ใิ นศกั ดิ์ศรีของตนไว้ได้ ถา้ จะพูดให้ตรงกค็ อื มนั เป็นท่ีเห็นได้ชัดแล้วว้า ความหิวโหยไม่ได้ เกดิ ขน้ึ จากความกดดันด้านจานวนประชากร การขาดแคลนทรพั ยากรหรือเทคโนโลยีทมี่ ีประสิทธิภาพ เพียงพอแต่อย่างใด แต่เกิดจากความล้มเหลวด้านเจตจานงทางการเมือง ซ่ึงเกิดจากการใช้อานาจ บุคคลและสังคมไปในทางท่ีมิชอบ และระดับความสานึกด้านวัฒนธรรมสากล ซึ่งขาดเอกภาพอย่าง แท้จริง เป็นผลที่ทาให้ไม่มีการค้นหาแนวทางพัฒนาที่ถูกต้อง จึงทาให้คุณภาพของการพ่ึงพาอาศัยซึ่ง กันและกนั อยู่ในระดับที่ตกตา่ อยูใ่ นทกุ วนั นี้”๓๖ ๓๔ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), สันติภาพเกิดจากอิสรภาพและความสุข, พิมพ์ครั้งท่ี ๔, (กรุงเทพมหานคร: วดั ญาณเวศกวนั พมิ พเ์ ปน็ ธรรมทาน, ๒๕๕๖), หนา้ ๒๑-๒๒. ๓๕ พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส (นิธิบุณยากร), พุทธสันติวิธี : การบูรณาการหลักการและเคร่ืองมือ จัดการความขดั แยง้ , หนา้ ๑๓๔. ๓๖ ประชุมสุข อาชวอารุง และ ยุพิน พิพิธกุล, ประมวลความรู้เร่ืองสันติภาพ, (กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, ๒๕๓๐), หนา้ ๒๙๑.
๕๔ จากคากล่าวนี้ ก็จะเห็นว่าได้สอดคล้องและมีทิศทางเดียวกันกับแนวคิดของท่านติช นัท ฮันห์ ที่ต่างมองว่า นอกจากจะอาศัยปัญญาในการทาความเข้าใจในเรื่องความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ แล้ว ปัญญาในการพัฒนาตนเองให้หลุดพ้นจากปัญหาทั้งหลายแล้ว นั่นก็จะเป็นการเปิดทางให้ สันตภิ าพเกิดขนึ้ กับตนเองและคนรอบขา้ ง เพราะการพัฒนาตนเองเช่นน้ี เรยี กว่า การพฒั นาตนเองใน เร่ืองสันติภาพให้สอดคล้องกับระบบของสัจธรรม เพื่อลดความขัดแย้งและความวุ่นวายได้ ด้วยการ มองหรือเปลี่ยนทัศคติของตนเองในการท่ีจะรักผู้อ่ืนและมองเห็นถึงความจริงของสังคมมนุษย์ท่ีต้อง อาศยั ซงึ่ กนั และกัน ๓.๒.๒.๔ สนั ติภาพต้องมคี วามมุง่ มน่ั ในการสรา้ งสันติสุขใหก้ บั ตนเอง สงคราม ความรุนแรง การใช้อาวุธในการทาลายล้าง หรือรวมไปถึงการกดขี่ทาง นโยบายรัฐ เหล่านล้ี ้วนไม่ใช่หนทางในการพัฒนาหรือสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง แนวคิด เร่ืองสันติภาพของท่านติช นัท ฮันห์ จึงมีทิศทางที่สวนทางกับอานาจของรัฐหรืออานาจจากประเทศ มหาอานาจในการใช้วิธีการดังกล่าวต่อประชาชน หรือกระทั่งส่ิงแวดเป็นพิษท่ีเกิดจากฝีมือเราเอง เหลา่ นีท้ ่านติช นทั ฮันห์ มองว่า เราตอ้ งมุ่งมน่ั และมคี วามอดทนช่วยกนั ที่จะคา้ จนุ สนั ติภาพให้ได้ ดังท่ี ท่านกล่าวไว้ในเร่ือง การขับเคี่ยวสันติภาพ ว่า “หากผืนโลกคือร่างกายของเธอ เธอจะรู้สึกถึงความ ทุกข์ยากในหลายๆ พื้นที่ สงครามการกดขี่ทางการเมือง และเศรษฐกิจ ความอดอยาก และอากาศ เปน็ พิษไดท้ าลายหลายๆ ทจ่ี นยุ่งเหยิงเนา่ เสียทกุ วนั เดก็ น้อยตาบอดเพราะขาดสารอาหารมือของเด็ก เหลา่ น้ีไขวค่ วา้ และคุ้ยเขีย่ ภเู ขาขยะอยา่ งสนิ้ หวงั ” จากตัวอย่างข้อความข้างต้น จะเหน็ ว่า โลกท่ีเต็มไปด้วยการทาสงคราม การกดข่ี การเอา รัดเอาเปรียบ หรือกระทั่งการกดขี่ทางการเมือง ตลอดจนปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากฝีมิมนุษย์ ท่าน ติช นัท ฮันห์ ก็มองว่า ประชาชนได้รับผลกระทบจากปัญหาเหล่าน้ัน ซึ่งทางที่จะพบสันติภาพในโลก น้ันแทบไม่มีวันเกิดข้ึนได้ และทิศทางของสันติภาพก็ดูเลือนราง โอกาสท่ีจะประชาชนจะได้อยู่และ สันติสุขอยา่ งแท้จริงก็เปน็ เรื่องทหี่ มดหนทาง เม่ือเป็นเช่นนี้ ท่านติช นัท ฮันห์ มองว่า หนทางในการสร้างสันติภาพไม่ได้อยู่ท่ีการ ร่วมมือจากประเทศต่างๆ เพียงอย่างเดียว แต่การสร้างสันติภาพจะต้องดาเนินการพัฒนามาที่ตัวเรา ก่อน กล่าวคือ สันติภาพเกิดไม่ใช่เรื่องไกลตัว สันติภาพเป็นเร่ืองใกล้ตัวมากที่สุด การจะพัฒนาเรื่อง สนั ตภิ าพ ควรเร่ิมตน้ พฒั นาทีต่ นเอง ดังทที่ ่านกล่าว่า การฝึกสตใิ นแตล่ ะปัจจุบันขณะ แต่ละวันเราจักสามารถบ่มเพาะความสงบของเราเอง ด้วยความชัดแจ้ง ความมุ่งม่ันและความอดทน อันเป็นผลของการภาวนา เราจะสามารถ คา้ จนุ ชวี ติ กจิ กรรมและเป็นเคร่อื งมอื อันแทจ้ ริงของสนั ติภาพ ฉันเห็นได้จากสันติสุขเช่นนี้ ในผู้คนท่ีมีภูมิหลังต่างศาสนาและวัฒนธรรม ผู้ซ่ึงสละเวลา กาลัง เพ่ือปกปูองความ ออ่ นแอต่อสู้เพอ่ื ความยตุ ิธรรมในสงั คมลดช่องว่างของความไมเ่ ทา่ เทยี มกันระหว่างคนรวย
๕๕ คนจน ยับยั้งการแข่งขันทางอาวุธต่อสู้เพ่ือการไม่แบ่งแยก กีดกันและรดน้าต้นไม้แห่ง ความรกั ความเขา้ ใจทงั่ โลก๓๗ จากข้อความข้างต้น จะเห็นว่าการรสร้างสันติภาพนั้นสามารถท่ีจะพัฒนาให้เกิดขึ้นได้บน โลก ด้วยความอดทน ความมุ่งมั่น โดยเฉพาะการสร้างความสงบ โดยนาเรื่องของการพัฒนาสติ การ ภาวนากาหนดควบคุมตัวเรา ซึ่งท่านติช นัท ฮันห์ เช่ือว่า เป็นวิธีเดียวหรือเคร่ืองมือท่ีทรงคุณค่า สาหรบั นาใช้พฒั นาสันตภิ าพให้กบั ตนเอง ขณะเดียวกันการฝึกฝนพัฒนาสันติภาพด้วยวิธีการดังกล่าว ท่านก็ยังมองว่า ผู้คนท่ี พยายามรกั ษาสันตภิ าพของโลกด้วยการตอ้ สูย้ ับย้งั สงครามและความไม่เท่าเทียมกันในสังคมน้ัน เป็น การแสดงถงึ ความอดทน ความมุ่งมนั่ ในการสร้างสนั ติภาพ ทา่ นจงึ เรยี กว่า เป็นการสร้างความรัก และ ความเข้าใจให้เกิดขึ้นบนโลก อันเป็นการลดช่องว่างของความรวยและความจนและการไม่แบ่งแยก ดงั น้ัน แนวคิดสันติภาพข้างต้น จึงกล่าวได้ว่า ทิศทางของการพัฒนาน้ัน ควรเร่ิมต้นท่ีตัว เราก่อน หรือสร้างสันติภาพ หรือความสงบให้เกิดข้ึนภายในตัวเรา ครอบครัว ชุมชนของเราก่อน ซึ่ง สอดคลอ้ งกบั คากล่าวของสทุ ิน นพเกตุ ได้กลา่ วไวใ้ นกจิ กรรมการเสวนาทูตสันติภาพสัญจร : สนทนา สันติภาพ ว่า “วันน้ีผมมีสูตรท่ีกาลังทดลอง คือ เอาหน่ึงสมอง สมมุติว่ากระผมทางานร่วมกับท่าน ผู้อานวยการ สมองเราอาจจะต่างกันมาก เช่ือมหัวใจกัน แต่ถ้ากายชิดใจห่าง จะไม่มีโอกาสคุยกัน จะตอ้ งเวน้ ว่างไวก้ ่อน ถ้ากายชิดใจเชอื่ ม ตรงน้ันแหละหน่ึงสมองท่ีแตกต่าง จะทาให้เกิดสันติภาพสันติ สุขในครอบครัว คุณธรรมเกิดจากเนื้อในตนไม่ได้เกิดในอากาศ ไม่ได้เกิดท่ี UPF แต่มันต้องเกิดจาก การอยู่ร่วมกันในสังคม อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ถ้าทะเลาะกัน ต้องฟังกัน ต้องเชื่อมหัวใจกัน อย่า เป็นเจ้านายกนั ประเด็นเหลา่ นจ้ี ะทาใหเ้ กิดสันตภิ าพ”๓๘ ในขณะท่ี มูฮามัดอายุบ ปาทาน ก็ได้กล่าวไว้ในการขับเคลื่อนในบริบทของการเมืองใน เร่ืองสันติภาพว่า “ส่ิงท่ีเครือข่ายประชาสังคมต้องทา คือ การสร้างความร่วมมือที่เหนียวแน่น ระหว่างองค์กรประชาสังคมในระดับกลางกับกลุ่มมวลชนในระดับรากหญ้า และการขยายกลุ่มที่ ทางานเชิงรุกที่มีการทางานอย่างต่อเนื่อง ดังที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ในแง่ของการเคลื่อนไหวทาง การเมืองนั้น การเปิดประเด็นในเร่ืองการกระจายอานาจมีส่วนอย่างสาคัญท่ีทาให้ให้ประเด็นอ่ืนๆ สามารถเคลื่อนไหวได้ภายใต้กลไกโครงสร้างอานาจท่ีจาเป็นต้องเปล่ียนแปลง เพ่ือทาให้การแก้ไข ๓๗ ตชิ นทั ฮนั ห์, สันตภิ าพทกุ ย่างกา้ ว, หนา้ ๑๓๐. ๓๘ สานักงานเลขานุการทูตสันติภาพ มูลนิธิสหพันธ์สันติภาพสากล (ประเทศไทย), สรุปกิจกรรมทูต สันติภาพสัญจร: สนทนาสันติภาพ (Open Forum for Peace) ครั้งท่ี ๕ ในหัวข้อ “สันติภาพสู่ต้นกล้า เยาวชน”, (กรงุ เทพมหานคร: Aambassador for Peace, ๒๕๕๕), หนา้ ๑๔.
๕๖ ปัญหาความขัดแย้งสามารถขจัดเงื่อนไขที่ทาให้รากเหง้าของความขัดแย้งดารงอยู่ หรือกล่าวในอีก แบบกค็ ือเพ่ือสถาปนาสภาวะท่ีเรียกวา่ สันติภาพทีเ่ ปน็ ธรรมให้เกิดขึ้น”๓๙ เม่ือพิจารณาจากคากล่าวของนกั วชิ าการด้านสันติภาพทั้งสองท่านข้างต้น ก็สอดคล้องกับ แนวคิดเร่ืองการพัฒนาสันติภาพของท่านติช นัท ฮันห์ เพราะต่างก็ช้ีให้เห็นถึงการพัฒนาเร่ือง สันตภิ าพว่า สนั ตภิ าพจะเกิดขึ้นได้น้ัน ต้องอาศัยพลังขับเคล่ือนจากตัวเราเองและประชาชนทุกคนใน การลดช่องว่างของความขัดแย้งหรือการใช้ความรุนแรง เพื่อเติมความสงบหรือสันติภาพให้เกิดข้ึนใน สังคม ดังนั้น ประเด็นเรื่องสันติภาพ กับความมุ่งม่ันในการสร้างสันติภายในตนเองของท่านติช นัท ฮนั หน์ ้นั จึงกล่าวไดว้ ่า นอกจากสันติภาพจะเกิดขึ้นไดใ้ นบริบทของการขับเคลื่อน หรือต่อสู้เพ่ือยับย้ัง ความรุนแรงแล้ว สันติภาพจะต้องถูกพัฒนาขึ้นท่ีตัวเราเองเป็นอันสาคัญ เพราะสันติภาพไม่ใช่เร่ือง การใช้อานาจจากรัฐหรือนโยบายทางเศรษฐกิจหรือทางการเมืองในการสร้างสันติภาพ แต่สันติภาพ ตอ้ งพฒั นาที่ตนเอง ๓.๓ สรุป แนวคิดเร่ืองสันติภาพของท่านติช นัท ฮันห์ สรุปได้ดังนี้ ๑) แนวคิดสันติภาพในทัศนะต่อ สงครามและความรุนแรง ได้แก่ สันติภาพต้องเป็นภาวะท่ีปราศจากสงคราม สันติภาพต้องการไม่ใช้ ความรุนแรง สันติภาพคือกระบวนการแห่งสันติวิธี สันติภาพกับกระบวนการสร้างความสมานฉันท์ สันติภาพต้องพัฒนาความเข้าใจเพ่ือหยุดสงคราม สันติภาพต้องเข้าใจสงครามในฐานะปัจเจกบุคคล และประชาชาติ ๒) แนวคิดสันติภาพกับการเปล่ียนแปลงพัฒนาร่วมกัน ได้แก่ สันติภาพต้องไม่ แบ่งแยก สันติภาพต้องพัฒนาการรับฟังความทุกข์ของกันและกัน สันติภาพคือการเป็นอยู่ระหว่างกัน และกันของมนุษย์ สนั ติภาพต้องมีความม่งุ ม่นั ในการสรา้ งสนั ตสิ ุขให้กบั ตนเอง ข้อสรุปดงั กล่าวน้ี จะเห็นได้ชัดวา่ แนวคดิ สันตภิ าพของทา่ นตชิ นทั ฮันหไ์ มจ่ าเพาะว่าต้อง ปราศจากปัญหาใดปัญหาหน่ึง ไม่ว่าภาวะที่ปราศจากสงคราม ความรุนแรง และความขัดแย้ง ปัญหา ทกุ ส่งิ ทุกอยา่ งทม่ี นษุ ยก์ ระทาต่อมนุษย์ในทางท่ีไม่สร้างสรรค์หรือทาให้สังคมโลกเกิดความไม่สงบ ถือ ว่าเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพของมนุษย์ทั้งส้ิน ท่านจึงพยายามทาทุกวิถีทางที่จะทาให้สันติภาพ เกิดข้ึนบนโลก ฉะนั้นข้อสรุปข้างต้น ก็จะเห็นว่า เม่ือท่านแสดงทัศนะหรืออธิบายแนวคิดเรื่อง สนั ติภาพแลว้ ท่านก็พยายามแสดงถึงวธิ ใี นการเสรมิ สรา้ งและพัฒนาสนั ติภาพดว้ ย ๓๙ มูฮามัดอายุบ ปาทาน และคณะ, ประชาสังคมกับกระบวนการสันติภาพ: รายงานวิจัยสารวจ สถานภาพองค์กรประชาสังคมในชายแดนใต้, (ปัตตานี: ศูนยเ์ ฝาู ระวังสถานการณภ์ าคใต้, ๒๕๕๔), หน้า ๓๔.
บทท่ี ๔ แนวคดิ เรือ่ งสันตภิ าพของติช นทั ฮันห์ ในโลกปจั จบุ ัน แนวคดิ เร่อื งสันตภิ าพในโลกปัจจบุ นั ของท่านตชิ นัท ฮันห์ จากการบรรยายธรรมะคําสอน ของทา่ น โดยจะเป็นการวิเคราะห์ในประเด็นเรื่องสันติภาพว่า ท่านติช นัท ฮันห์ มีทัศนะหรือแนวคิด อย่างไรในเร่ืองสันติภาพในสภาวะปัจจุบัน หรือในสถานการณ์ปัจจุบันแนวคิดการสร้างสันติของท่าน ตชิ นัท ฮนั ห์ น้นั ทา่ นเสนอไวอ้ ย่างไร ดงั การวเิ คราะห์ตอ่ ไปน้ี ๔.๑ แนวคดิ การแปรเปลีย่ นสังคมและชุมชนเพ่อื สันตภิ าพ แนวคิดด้านสันติภาพที่ท่านติช นัท ฮันห์ได้พยายามถ่ายทอดเพ่ือให้ผู้คนได้เรียนรู้ฝึก ปฏิบตั ใิ นการสรา้ งสงั คมและชุมชนให้เกิดสันตสิ ุขได้นน้ั คือ การแปรเปลย่ี น ซงึ่ ท่านไดเ้ สนอไว้ดังนี้ ๔.๑.๑ การแปรเปล่ียนเงื่อนปมภายในเพื่อการอยู่ร่วมกัน จากอดีตจนถึงปัจจุบันนั้น จะเห็นได้ว่า สังคมเกิดความขัดแย้งต่างๆ ไม่ว่าในครอบครัว สังคม การเมือง ตลอดจนความขัดแย้งระหว่างประเทศ ความขัดเหล่าน้ีได้กลายเป็นชนวนของความ รุนแรงที่ต่างฝุายต่างกระทําต่อเพ่ือนมนุษย์ด้วยกันเองด้วยความโหดร้ายทารุนเกินความการเยียวจะ สามารถรักษาแผลทั้งร่างกายและจิตใจได้ เช่น สงครามเวียดนาม เป็นต้น ส่ิงท่ีท่านติช นัท ฮันห์ ได้ เสนอไว้ ในการสรา้ งที่หลีกเลีย่ งและหาหนทางท่ีจะสลายหนทางที่ไม่ใช่สันติภาพน้ัน คือ การสลายปม หรือปัญหาเพื่อให้เกิดช่องทางของสันติสุขในการอยู่ร่วมกัน ดังท่ีท่านติช นัท ฮันห์ กล่าวไว้ในเรื่อง “การอยรู่ ่วมกนั ” วา่ เม่ือเราอยูร่ ว่ มกันกับบุคคลอ่ืนเพื่อให้ต่างฝุายต่างมีความสุข เราควรช่วยซ่ึงกันและกัน แปรเปลยี่ นเง่อื นปมภายใน ซึ่งเราตา่ งก็มสี ่วนรว่ มกนั สร้างขนึ้ มา ด้วยการฝึกฝนท่ีจะเข้าใจ ซ่ึงกันและกัน และใช้ถ้อยคําถนอมความรัก เราก็จะเก้ือกูลกันได้อย่างมหาศาล ความสุข มิใช่เร่ืองของตัวใครตัวมันอีกต่อไป หากอีกคนหน่ึงไม่มีความสุข เราเองก็ไม่มีความสุข ช่วยกันแปรเปลี่ยนเง่ือนปมของอีกคนหน่ึง ก็คือการนํามาซ่ึงความสุขของเราร่วมกัน ภรรยาอาจสร้างเง่ือนปมภายในขึ้นในตัวของสามีและสามีก็อาจทําสิ่งเดียวกัน และถ้าเขา ยังคงสร้างเงื่อนปมภายในแก่กันและกันอยู่อย่างต่อเน่ือง วันหนึ่งความสุขก็จะไม่มี หลงเหลืออยู่ ดังนั้น เมื่อเงื่อนปมถูกสร้างขึ้น ดังตัวอย่างของภรรยาก็ควรท่ีจะรู้ว่าเงื่อน
๕๘ ปมในตัวของเธอที่เขม็งเกลียวขนึ้ เธอไม่ควรละเลยมัน เธอควรใช้เวลาเฝูาสังเกตมัน และมี สามีเปน็ ผู้คอยช่วยเหลอื ในการเปล่ียนแปรมัน๑ จากข้อความข้างต้น ชี้ให้เห็นว่า การท่ีมนุษย์จะสามารถสร้างสันติสุขในสังคมปัจจุบันได้ นั้น ท่านติช นัท ฮันห์ ได้พยายามอธิบายถึงความจัดแย้งที่เกิดจากปมปัญหาภายในตนเอง ซ่ึงเง่ือนไข หรือปมภายในนั้นอาจเป็นปัญหาท่ีพ่ึงเกิดหรือเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นปมท่ีเกิดขึ้นจาก ภายในครอบครวั สังคม หรือประเทศ ดังนั้นสิ่งท่ีจะต้องรับรู้ร่วมกันคือ ทุกคนไม่ควรละเลยหรือหลีก หนีปมหรือปัญหาเหล่านั้น แต่ทุกคนควรที่จะเรียนรู้ สังเกต และพยายามหันหน้าเข้ามาเปลี่ยนแปลง ปมและเงื่อนไขของปัญหาร่วมกัน เพราะถ้าฝุายใดฝุายหนึ่งน้ันได้หลีกหนีปัญหา บางทีอาจทําให้ปม น้ันหลายเป็นเง่ือนไขที่จะนําไปสู่ความขัดแย้งที่ทวีคุณขึ้น การอยู่ร่วมกันและอาศัยกันและกันจึงไม่มี ทางที่จะมาบรรจบกันได้ ท่านติช นัท ฮันห์ จึงมองว่า การแปรเปล่ียนเงื่อนปมจึงเป็นเร่ืองที่ไม่ควร ละเลยหรือมองเปน็ เร่ืองของใครของมนั ๔.๑.๒ การแปรเปลีย่ นชุมชนให้เปน็ ชุมชนท่ีปฏิบัติธรรม สนั ติภาพที่จะเกดิ ขึ้นอีกวิธที ่ที า่ นตชิ นทั ฮนั ห์พยายามจะสอนผู้คนก็คือ การสร้างชุมชนที่ เราอยู่ใหก้ ลายเป็นชมุ ชนของการปฏบิ ตั ิธรรม เพราะท่านเช่ือวา่ การสร้างชุมชนของการปฏิบัติน้ัน จะ เปน็ การเปดิ กวา้ งในการสือ่ สารและการพัฒนาสงั คมใหเ้ กิดสนั ตภิ าพได้ ดังท่ีท่านกล่าวไวในเร่ือง “การ สรา้ งชมุ ชนผู้ปฏิบัตธิ รรม” ว่า ฉันคิดว่าการสร้างชุมชนผู้ปฏิบัติธรรมเป็นศิลปะที่สําคัญท่ีสุดที่เราควรจะเรียนรู้ ถึงแม้ว่าเราจะเป็นนักกรรมฐานที่มีประสบการณ์ หรือเช่ียวชาญในพระสูตรเป็นอย่างดี แต่ถ้าเราไม่รู้วิธีท่ีจะสร้างชุมชนผู้ปฏิบัติธรรม เราจะไม่สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ เรา จะต้องสร้างชุมชนผู้ปฏิบัติธรรมที่มีความสุข เป็นชุมชนที่มีการสื่อสารกันอย่างเปิดกว้าง เราจะต้องดแู ลเอาใจใส่แตล่ ะคน คอยเอาใจใส่ในความทุกข์ ความยุ่งยาก ความปรารถนา ความหวาดกลวั และความหวงั ของเขา เพือ่ ท่จี ะทาํ ให้เขาสะดวกสบายและมีความสุข การ จะทําเช่นนี้ได้ต้องอาศยั เวลา พลังงานและสมาธ๒ ช้ีใหเ้ ห็นว่า ท่านติช นัท ฮันห์ ได้ให้ความสําคัญอย่างมากกับการสร้างชุมชนของผู้ปฏิบัติ ธรรม หรอื กลา่ วอกี นยั หนง่ึ ทา่ นให้ความสําคญั กบั การปฏิบตั กิ ารเชงิ รุกในการท่ีจะสร้างเครือข่ายของผู้ ปฏิบัติทั่วโลกอย่างเปิดกว้าง การเรียนรู้กรรมฐาน หรือความเชี่ยวชาญในพระสูตรหรือความรู้ด้าน ๑ ตชิ นทั ฮนั ห์, สนั ติภาพทุกย่างกา้ ว, แปลโดย ประชา หตุ านุวัตร,สภุ าพร พงศ์พฤกษ์, พมิ พค์ รั้งท่ี ๖, (กรงุ เทพมหานคร: ศยาม, ๒๕๕๔), หน้า ๙๖–๙๗. ๒ ตชิ นัท ฮันห์, ศานตใิ นเรือนใจ, แปลโดย ธรี เดช อุทัยวิทยารัตน์, พิมพ์ครั้งที่ ๗, (กรุงเทพมหานคร: มูลนธิ ิโกมลคมี ทอง, ๒๕๕๔), หนา้ ๑๑๑.
๕๙ ตําราจะไม่สามารถสร้างสันตภิ าพหากไมร่ ู้จกั วธิ ีการใช้ ซ่งึ นั่นก็หมายถึง เม่ือเรียนรู้ด้านทฤษฎีแล้วต้อง นํามาปฏิบัติเพ่อื ชมุ ชนให้กว้างขวางตามตามแนวคดิ ของท่าน ๔.๑.๓ การแปรเปลย่ี นสงั คมและชมุ ชนต้องดาเนินไปเพือ่ เพ่อื นมนุษย์ ต่อมาท่านติช นัท ฮันห์ มองว่า นอกจากเราจะฝึกปฏิบัติการแปรเปล่ียนสังคมชุมชนจาก ปญั หาเง่ือนปมภายในแล้ว ส่ิงท่ีเราต้องดําเนนิ ไปพรอ้ มกนั น้ัน จะต้องมองการปฏิบตั ขิ องตนเองว่า ผล ที่ดําเนินการไปน้ันประโยชน์จะต้องไม่ตกอยู่เราฝุายเดียว เพ่ือนมนุษย์ทุกคนต้องได้รับผลประโยชน์ จากการปฏบิ ัติของเราดว้ ย ดงั ที่ทา่ นกลา่ วไวใ้ นเรอื่ ง “การลงทุนเพื่อเพ่อื น” วา่ การสร้างชุมชนเพ่ือนที่ดีประการแรกท่ีเราต้องทําคือการแปรตัวของเราเองให้เป็น ปัจจัยท่ีดีของชุมชน จากนั้นเราก็สามารถขยับขยายไปยังผู้อื่นโดยการช่วยเหลือเขาหรือ หล่อนให้กลายเป็นปัจจัย ท่ีดีของชุมชน เราสมารถสร้างเครือข่ายของกลุ่มเพื่อนที่ดี เรา ต้องคิดถึงหมู่เพื่อนและชุมชน ให้เป็นดังเช่นการลงทุนเป็นทรัพย์ท่ีสําคัญที่สุด เขาจะ ปลอบประโลมหรือประคับประคองเราเม่ือถึงคราวลําบาก เพ่ือจะแบ่งความร่ืนเริงและ ความสขุ ดว้ ยกนั กบั เรา๓ จะเห็นได้ว่า ในการสร้างชุมชนของท่านติช นัท ฮันห์ เพื่อให้เกิดสันติสุขตามแนวทางของ สันติภาพได้นั้น การสร้างชุมชนเมื่อเราแปรเปล่ียนปมปัญหาภายในแล้ว เราต้องดําเนินการสร้าง เครอื ข่ายและขยับขยายการปฏิบัติในชุมชนของตนเองไปสู่เพื่อนมนุษย์ ด้วยกัน เหตุท่ีท่านมองเช่นน้ี เพราะเมอ่ื เราไดส้ ร้างพน้ื ทขี่ องสันติสุขในชุมชนของเราแลว้ ชุมชนอืน่ ก็ต้องได้รับการเปลี่ยนเหมือนกัน กับเรา ความสุขเกดิ ข้ึนกับชุมชนและตวั เราแลว้ ชุมชนอน่ื ก็ต้องได้รบั ความสุขเหมือนกัน หรือกล่าวอีก นัยหนึ่งคือ สันติภาพจะเกิดขึ้นที่ใดที่หน่ึงไม่ สันติภาพจะต้องเกิดข้ึนอย่างท่ัวกันไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ใด ของโลก ๔.๑.๔ การแปรเปลีย่ นชมุ ชนต้องดาเนนิ ไปอยา่ งมีสติ ต่อมา แนวคดิ เรื่องสันตภิ าพทที่ ่าน ติช นัท ฮันห์ ไดพ้ ยายามทจ่ี ะถา่ ยทอดให้ผู้คนในสังคม ได้พฒั นาร่วมกนั เพ่ือให้การดําเนินชีวิตของคนในสังคมนั้นมีสันติในการอยู่ร่วมกัน คือ เม่ือเปลี่ยนปม หรือเง่ือนไขของปญั หาภายในจิตใจ ภายใต้ของความสุขท่ีจะเกิดข้ึนน้ัน ทุกคนจะต้องฝึกปฏิบัติให้เป็น ผูส้ ีสติในปจั จบุ ัน ท่านได้ยกตัวอย่างหมู่บ้านท่ีเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาเรื่องสติ จนเด็กและผู้ใหญ่ ต่างก็ได้รับความสุขจากพฒั นาร่วมกัน การฝึกปฏิบัติการดําเนินชีวิตน้ี ท่านก็มองว่า ทุกคนสามารถท่ี จะสามารถทําได้ด้วยความพยายาม ความเอาใจใส่ ความรับผิดชอบต่อหน้าท่ีของตนเอง ดังที่ท่านได้ กลา่ วไวใ้ นเรอ่ื ง “ชุมชนของการดําเนินชวี ติ อยา่ งมสี ติ” วา่ ๓ ติช นัท ฮันห์, ศานตใิ นเรอื นใจ, แปลโดย ธีรเดช อุทัยวิทยารัตน์, พิมพ์คร้ังที่ ๗, (กรุงเทพมหานคร: มูลนิธโิ กมลคีมทอง, ๒๕๕๔), หนา้ ๑๑๕.
๖๐ เราสามารถท่ีจะแปรเปลย่ี นครอบครัวของเราให้มีความสุขท่ีมีความกลมเกลียวและ การอยู่อย่างมีสติด้วยกัน เราจักฝึกลมหายใจ ย้ิมนั่งด้วยกัน ด่ืมนํ้าชากันอย่างมีสติ หาก เรามีกระด่ิง กระดิ่งก็จะเป็นส่วนหน่ึงของชุมชนของเรา เพราะว่ากระดิ่งเตือนให้เรามีสติ หมอนมุ่งก็เช่นเดียวกัน นับเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนด้วย หมอนเป็นเสมือนสิ่งอ่ืนๆ อีก หลายๆ อย่าง เช่น อากาศสําหรับการหายใจท่ีเกื้อกูลในการมีสติ หากเราอยู่ใกล้ สวนสาธารณะหรือฝ่ังแม่น้ํา เราก็จะสนุกกับการเดินจงกรม ท้ังหมดคือความพยายามท่ี เกื้อกูลเราให้มีชุมชนท่ีบ้าน บางครั้งเราก็เชื้อเชิญเพ่ือนๆ ให้ร่วมกันกับเรา การฝึกสติจะ งา่ ยกวา่ หากเราฝกึ สตกิ ับชุมชน๔ จากขอ้ ความขา้ งต้น จะเห็นว่า ท่านติช นัท ฮันห์ ได้ยกตัวอย่างชุมชนที่ได้ถือว่าได้รับการ พฒั นาในกานการดําเนินชวี ิตไปอย่างมีสติ โดยทุกคนนัน้ ตา่ งทาํ หนา้ ท่ีในการฝกึ ฝนและฝึกปฏิบัติท้ังต่อ ตนเองและผู้อ่ืนด้วยความเก้ือกูล เพราะท่านมองว่า ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อม วัตถุสิ่งของ เคร่ืองใช้เป็นส่วนหน่ึงของชีวิตและชุมชน ดังน้ัน ความพยายามพัฒนาและปฏิบัติอย่างเก้ือกูลซึ่งกัน และกัน ต่างฝุายต่างก็ได้รับความสุขร่วมกัน จากท่ีท่านไดยกตัวอย่างให้เห็น ก็เป็นการชี้ให้เห็นถึง ชุมชนที่จะมีสันติได้นั้น ฐานที่สําคัญที่สุด คือ การปฏิบัติในเร่ืองของสติ กล่าวคือ เมื่อเราฝึกสติก็ เหมือนกบั เราไดพ้ ฒั นาชุมชนของเรา เม่ือมองจากการสร้างชุมชนท่ีเต็มไปด้วยความสุขตามแนวคิดของท่านติช นัท ฮันห์ ก็จะ เห็นว่า การใช้สติถือว่าเป็นฐานท่ีสําคัญอย่างมากท่ีต้องมาใช้ฝึกปฏิบัติในสถานการณ์ปัจจุบัน ซ่ึงอาจ เรียกได้ว่า เป็นวิธีการท่ีใช้หลักธรรมทางศาสนามาช่วยในการสร้างสันติสุขให้เกิดข้ึน เพราะท่านมอง ว่า สติ สามารถที่จะทําให้เราได้รูว่า ตนเองควรทําอย่างใด ปฏิบัติได้อย่างใด และควรนํามาปฏิบัติ ในทางทเ่ี กือ้ กลู อยา่ งไร ดังที่ท่านกล่าวไว้ในเร่อื ง “มีสติ จกั ตอ้ งผกู พัน” ว่า เราตอ้ งตระหนกั ถึงปญั หาของโลกดว้ ยสติ เราจักต้องรู้ว่าอะไรท่ีเราต้องทํา หรือไม่ต้อง ทาํ และเปน็ การเอ้อื ประโยชน์ หากเราธํารงการรู้สกึ ของลมหายใจ และตอ่ เน่ืองการยิ้มของ เรา แมจ้ ะอยูส่ ถานการณ์ทยี่ ากลาํ บาก กจ็ ะมีผคู้ นมากมาย ทัง้ สรรพสตั ว์และเหล่าพืชพันธุ์ กพ็ ลอยไดร้ ับประโยชน์จากวิถที เ่ี ราปฏบิ ัติ เธอไดส้ ่งสารถึงพระแม่ธรณีในทุกคร้ังที่เท้าของ เธอสัมผัสพื้นผิวท่านหรือไม่ เธอได้ปลูกเมล็ดพันธ์ุแห่งความร่มรื่นและสันติสุขลงบ้างหรือ เปล่า ฉันพยายามกระทําเช่นน้ันทุกก้าวย่าง และฉันรู้ว่าพระแม่ธรณีช่ืนชมความสงบสุข ทุกย่างกา้ ว และเราควรจะเดินทางต่อไปหรือไม่ ๔ ตชิ นทั ฮันห์, ศานตใิ นเรือนใจ, แปลโดย ธีรเดช อุทัยวิทยารัตน์, พิมพ์คร้ังที่ ๗, (กรุงเทพมหานคร: มลู นิธโิ กมลคีมทอง, ๒๕๕๔), , หนา้ ๑๑๙–๑๒๐.
๖๑ ท่านติช นัท ฮันห์ ได้พยายามชี้ให้เห็นว่า การฝึกปฏิบัติในเร่ืองของสตินั้น มีความสําคัญ อย่างมาก เพราะเม่ือฝึกสติอย่างต่อเนื่องไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตามผลของการฝึกสติน้ัน สามารถท่ีจะเอ้ือประโยชน์ต่อตนเองและสิ่งรอบข้างอย่างมากมายมหาศาล ท่านเปรียบการฝึกสตินั้น เหมือนกับการเพาะเมล็ดพืชพันธ์ุของความร่มรื่นและสันติสุข ดังนั้นท่านติช นัท ฮันห์ จึงได้พยายาม อย่างมากที่จะทําให้ผู้คนรู้ว่า นี่เป็นอีกวิถีทางหนึ่งที่จะสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในสังคมของการอยู่ รว่ มกัน ผลงานวิจัยของ ฑีฆายุวัฒก์ สวัสด์ิลออ ที่ทําการศึกษา “การวิเคราะห์การเจริญสติตาม แนวทางของ ติช นัท ฮันห์” ซ่ึงจากผลการวิเคราะห์ท่านติช นัท ฮันห์ได้ให้ความสําคัญมากต่อ การ เจรญิ สติ ไดเ้ ผยใหเ้ ห็นวา่ “การฝึกปฏิบัติสติตามแนวทางของท่านติช นัท ฮันห์ นั้นสามารถท่ีจะสร้าง สันติสุขให้เกิดข้ึนในสถานการณ์ปัจจุบันได้ ดังที่กล่าวว่า “ติช นัท ฮันห์ ให้ความสําคัญกับการ ดํารงชีวิตอย่างมีสติว่าเป็นชีวิตท่ีแท้จริง ส่วนการดํารงชีวิตอย่างไม่มีสติ ก็เหมือนคนที่ตายไปแล้วใน ความหลับหรืออวิชชา สติจึงเป็นหัวใจคําสอนในพระพุทธศาสนา เป็นบาทฐานของกุศลธรรมอื่น จนกระทั่งเป็นปัจจัยนําสู่การรู้แจ้งได้ สติเป็นรากฐานของการมีความสงบสุข ดํารงอยู่ร่วมกับผู้อ่ืน อย่างสนั ติ ทาํ ให้มคี วามพึงพอใจในตวั เองอยา่ งสมบูรณ์ และเปน็ แนวทางแกป้ ญั หาอยา่ งแท้จรงิ ”๕ ขณะผลงานวจิ ัยของ พระมหาเจษฎา โชติวํโส (จุลพันธ์) “ศึกษาเปรียบเทียบวิธีการเจริญ สติของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ และท่านติช นัท ฮันห์” ผลการศึกษาชี้ให้เห็นการเจริญสติของท่าน ติช นัท ฮันห์ วา่ สามารถท่ีจะสร้างสนั ตภิ าพได้ในโลกปัจจบุ ันวา่ “การเจรญิ สตใิ นอดีตส่งผลต่อปัจจุบัน คือ การที่ผู้ปฏิบัติตามรูปแบบดังกล่าว ย่อมได้รับผลต่างๆ ตามความเพียรท่ีปฏิบัติ ดังนี้ ๑) การ พัฒนาด้านสุขภาพร่างกายและพฤติกรรม พบว่า ทําให้มีสุขภาพร่างกายท่ีแข็งแรง มีผิวพรรณผ่องใส เป็นต้น ส่วนผลด้านพฤติกรรม ช่วยทําให้การแสดงออกทางกาย (กายกรรม) เป็นไปอย่างถูกต้อง สุภาพ เป็นต้น ๒) การพัฒนาด้านจิตใจ พบว่า ทําให้มีสุขภาพจิตดี คือ มีจิตผ่องใส มีใจเบิกบาน นิ่ง สงบ ผ่อนคลาย มคี วามสุขมากข้ึนและง่ายขึ้น เปน็ ต้น ๓) การพฒั นาดา้ นปัญญา พบว่า ทําให้สามารถ โอบกอด ดแู ล และแปรเปลย่ี นปมหรอื สงั โยชน์ (อกุศลจิต) บางอย่างในวิญญาณหรือจิตใต้สํานึกได้ทํา ให้สามารถรู้เท่าทันอารมณ์ ความคิดของตนเอง และจัดการกับความทุกข์ได้มากข้ึน เป็นต้น และ ๔) การพัฒนาด้านสังคม พบว่า เป็นประโยชน์แก่ครอบครัว ทําให้คนในครอบครัวมีความสุข ประโยชน์ แก่เพ่ือนร่วมงาน เป็นประโยชน์ในการนําไปประยุกต์ใช้สําหรับการเรียนการสอน และประยุกต์ใช้ สําหรับการเยียวยารักษาคนไข้ในโรงพยาบาลได้ เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและ ๕ ฑีฆายุวัฒก์ สวัสด์ิลออ, “การวิเคราะห์การเจริญสติตามแนวทางของ ติช นัท ฮันห์”, วิทยานิพนธ์ ศลิ ปศาสตรมหาบัณฑติ , (บณั ฑิตวทิ ยาลัย: มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม,่ ๒๕๕๑), หนา้ ๑๓๒.
๖๒ สรา้ งสนั ตภิ าพให้แกส่ ังคม ท้ังยงั สง่ เสริมใหเ้ กิดแนวทางการปฏิบัตเิ พอ่ื ลดภาวะโลกร้อนด้วย”๖ เมื่อพิจารณาจากผลงานวิจัยดังกล่าวก็จะเผยให้เห็นว่า ท่านติช นัท ฮันห์ ได้ให้ ความสําคัญอย่างมากต่อการพัฒนาเรื่องสติ เพื่อที่จะสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน เพราะ ท่านได้กล่าวไวอย่างชัดเจนว่า สติน้ัน เปรียบเสมือนดังเมล็ดพันธุ์แห่งความร่มร่ืน น่ันก็หมายความว่า หากเมลด็ พันธุแ์ หง่ ความร่มรน่ื น้ีไดถ้ กู หว่านลงบนพื้นโลก ไม่ว่ามนุษย์ สรรพสัตว์ หรือสิ่งแวดล้อมต่าง ก็ได้รับประโยชน์ด้วนกัน ในเมื่อสังคมโลกปัจจุบันเกิดความขัดแย้งหรือปัญหาต่างๆ ขึ้น ท่านติช นัท ฮนั ห์ จงึ มองวา่ การฝึกสติเท่านั้นท่ีจะสามารถสร้างพื้นที่ของความร่มเย็นได้ในสังคมของมนุษย์ที่ต่าง ตอ้ งอาศัยซงึ่ กนั และกัน ดังน้ัน สติ ในสังคมปัจจุบันสําหรับท่านติช นัท ฮันห์ จึงมีความสําคัญอย่างมากท่ีทุกคน จะต้องเรียนรู้และฝึกปฏิบัติอย่างจริงจัง ดังที่ท่านกล่าวว่า “ฉันพยายามกระทําเช่นนั้นทุกก้าวย่าง” นนั่ หมายถงึ ทกุ กา้ วย่างของทา่ นติช นัท ฮันห์ กค็ ือ ทุกก้าวยา่ งของสนั ตภิ าพบนพ้ืนโลกนัน่ เอง แปรเปลย่ี นปมภายใน สร้างชมุ ชนผปู้ ฏบิ ัตธิ รรม เพือ่ คนสว่ นใหญ่ ดําเนนิ อยา่ งมสี ติ ภาพที่ ๔.๑ การแปรเปลีย่ นชุมชนเพื่อสนั ติภาพ ๔.๒ การแปรเปลย่ี นตัวเองเพ่ือหนทางแห่งสนั ตภิ าพ ต่อมาแนวคิดด้านสันติภาพที่ท่านติช นัท ฮันห์ ได้พยายามถ่ายทอดเพ่ือที่จะให้ผู้คนได้ เรียนรฝู้ กึ ปฏบิ ตั ใิ นการสรา้ งสันติสุขไดน้ ้นั คือ การแปรเปลย่ี นตัวเอง ซึ่งท่านมองว่า การแปรเปล่ียนตัว เองเป็นวิธีการทล่ี ดปัญหาของความรนุ แรงลงได้มากกว่าอาวธุ ยทุ โธปกรณ์ โดยได้เสนอไว้ดงั น้ี ๔.๒.๑ การแปรเปลย่ี นด้วยการถอนความคิดเห็นที่ผดิ การแปรเปล่ียนตนเองเพื่อความสันติภาพน้ัน ท่านติช นัท ฮันห์ ได้พยายามท่ีจะสร้าง ความเขา้ ใจใหมใ่ ห้กับคนในสังคมโลกปจั จุบนั อยา่ งมาก เพราะท่านมองว่า สงคราม ความรุนแรง การ ทําลายล้าง เหล่าน้ีล้วนเป็นบ่อเกิดของความไม่สันติสุขบนโลกใบนี้ เม่ือเป็นอย่างน้ีในยุคของสังคม ปัจจุบัน ทา่ นได้เสนอว่า เราทกุ คนควรถอนความคดิ เห็นแบบผิดๆ ออกไป เพราะหากความคิดเห็นผิด ๖ พระมหาเจษฎา โชตวิ ํโส (จุลพันธ์), “ศกึ ษาเปรยี บเทียบวิธีการเจริญสติของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ และทา่ นติช นทั ฮนั ห์”, วิทยานพิ นธ์ปรญิ ญาพทุ ธศาสตรมหาบณั ฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง กรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๖), หนา้ ๑๒๒.
๖๓ ได้ขยายออกไปมากขึ้น มนุษย์กไ็ รซ้ งึ่ สนั ตภิ าพ ดังท่ีทา่ นกล่าวไว้ในเรื่อง “ถอดถอนความคิดเห็นที่ผิด” วา่ สงครามเกิดขึ้นจากความคิดเห็นที่ผิด เช่นเดียวกันกับการก่อการร้าย ผู้ก่อการร้ายคิด ว่าอีกฝุายหนึ่งพยายามทําลายพวกเขาด้วยการทําลายประเทศที่เขาอยู่และศาสนาที่พวก เขานบั ถอื เขาจงึ พยายามหาวิธีลงโทษอีกฝุายหนึ่ง เมื่อเรามองอย่างน้ี เราจะเข้าใจ ความ เข้าใจท่ีผิดทําให้เกิดความกลัว ซ่ึงคือพ้ืนฐานท่ีทําให้เกิดการก่อการร้ายและความรุนแรง ต่างๆ เรารู้ดีว่าสงครามในประเทศอีรักไม่ได้ช่วยลดจํานวนการก่อการร้ายลงได้เลย แต่ กลับเพ่ิมจํานวนมากยิ่งขึ้น เพราะพ้ืนฐานแห่งความเข้าใจหรือความคิดเห็นท่ีผิดนี่ยัง ขยายตัวและทําให้เกิดความโกรธ เราจึงจําเป็นต้องถอดถอนความคิดเห็นท่ีผิด เพื่อถอด ถอนการก่อการร้าย การวางระเบิดที่สนามบินหรือการต่อต้านด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ไม่ สามารถถอดถอนความเข้าใจหรือความคดิ เหน็ ท่ีผิดได้๗ ท่านได้ยกตัวอย่างของสงครามท่ีย่ิงแก้ไขยิ่งเพิ่มจํานวนของการก่อการร้ายมากขึ้น ซ่ึง สาเหตุน้นั เกิดมากจากต่างฝุายต่างแสดงความเห็นของตนเองเพื่อท่ีจะยึดพื้นท่ีหรืออํานาจที่เหนือกว่า และจบลงด้วยวิธีการใชก้ าํ ลงั ทางอาวธุ เข้าทําลาย ดังนัน้ วิธีการลดความรุนแรง การวางระเบิด การก่อ การร้าย การทําลายล้างด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์นั้น คือการลดความเห็นผิดท่ีต่างฝุายต่างแสดงออกมา เพราะท่านมองว่า ความเห็นผิดดังกล่าว เป็นความเห็นผิดที่ถูกถ่ายทอดออกมา แล้วทําให้แต่ละฝุาย เกิดความกลัว และต้องลุกขึ้นมาเพ่ือที่จะปกปูองตนเองด้วยการใช้กําลัง ทําให้เกิดการขยายตัวของ ความเข้าใจผิดและนาํ มาสูก่ ารใชก้ ําลงั หรอื การทําสงคราม ๔.๒.๒ การแปรเปลยี่ นดว้ ยการสร้างความเห็นท่ีถกู ตอ้ ง เมื่อท่านติช นัท ฮันห์เสนอแนวคิดการในถอดถอนความเห็นผิดแล้ว ท่านก็เสนอว่า เราก็ ต้องสร้างปัญญาเกิดข้ึนให้ได้ โดยใช้หลักธรรมของพระพุทธเจ้าคือ มรรคมีองค์แปด โดยเฉพาะ ความเหน็ ที่ถกู ตอ้ ง (สมั มาทฏิ ฐิ) เพราะทา่ นมองว่า สัมมาทิฏฐิ นัน้ คอื หลักธรรมของการอยู่ร่วมกัน ซ่ึง กห็ มายถงึ สันติสขุ นั่นเอง ดงั ทท่ี ่านกล่าวไว้ในหัวข้อ “ปญั ญาแห่งการเป็นด่ังกันและกัน” วา่ ความสุขของคุณพ่อก็คือความสุขของลูกชาย เม่ือมองเห็นอย่างลึกซ่ึงเธอจะพบความ จริงของการเป็นดั่งกันและกัน ความสุขและความทุกข์น้ัน ไม่ใช่เร่ืองของบุคคลใดบุคคล หน่ึง เม่ือพ่อเป็นทุกข์ ลูกก็เป็นทุกข์ เม่ือพ่อเป็นสุข ลูกก็เป็นสุข เมื่อเราเห็นเช่นนี้ เราจะ ๗ ติช นัท ฮันห์, ของฝากจากหลวงป,ู่ แปลโดย สังฆะอาสาสมัครหมู่บ้านพลัมประเทศไทย, พิมพ์ครั้ง ท่ี ๒, (กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์ดี จาํ กัด, ๒๕๕๔), หนา้ ๖๖.
๖๔ สัมผัสกับความจริงแห่งความเป็นอนิจจัง ความเป็นอนัตตา และการเป็นด่ังกันและกัน และนี่คอื ปัญญาท่นี าํ มาซึ่งสัมมาทิฏฐิ หรือความคิดเหน็ ทีถ่ ูกตอ้ ง๘ ท่านตชิ นัท ฮันห์ ได้ยกตัวอย่างความสุขระหว่างพ่อกับลูก ซึ่งความสุขของพ่อและลูกนั้น จะเป็นความสุขท่ีมีความสัมพันธ์กัน พ่อจะมีความสุขได้ก็ต่อเม่ือลูกน้ันสามารถพัฒนาตนเองได้ตาม ความปรารถนา ความสุขก็เกิดขึ้นกับพ่อ ขณะเดียวกันลูกก็มีความสุขเพราะได้ทําตามท่ีพ่อปรารถนา ดังน้ันตัวอย่างท่ีท่านติช นัท ฮันห์ได้ยกข้ึนมาก็จะเห็นว่า ความสันติสุขหรือสันติภาพจะเกิดข้ึนฝุาย หน่ึงฝาุ ยเดียวไมไ่ ด้ ความเห็นลกั ษณะนจี้ งึ เป็นความเหน็ ท่ถี ูกตอ้ ง และนาํ มาซง่ึ ความสขุ และสันติภาพ ๔.๒.๓ การแปรเปล่ยี นดว้ ยการปฏิบัตใิ นแนวทางแห่งสติ สมาธิ ปญั ญา เม่ือเกิดความรุนแรง ความวุ่นวายหรือปัญหาต่าง ๆ ข้ึนในครอบครัว สังคม ท่านมองว่า น่ันเป็นการทําลายความเป็นอยู่ของเรา สภาพแวดล้อมของเรา ซ่ึงเกิดจากความเห็นที่ผิดของเราเอง และนําไปสู่ความทุกข์ท้ังตนเองและคนรอบข้าง การฝึกปฏิบัติสติ สมาธิ ปัญญา จึงเป็นวิธีการที่จะ สรา้ งความความรัก ความเกื้อกูล ความปลอดภยั ให้กับตนเองและคนรอบขา้ ง ดังทที่ ่านกล่าวไว้ในเรื่อง “ความคิดเห็นไม่แบง่ แยก” วา่ หากเราฝึกปฏิบตั ใิ นแนวทางแห่งสติ สมาธิ ปญั ญา เราก็อยู่บนหนทางแห่งการดับทุกข์ เราสมั ผสั กบั ความจรงิ แหง่ อนิจจงั อนตั ตา และการเป็นดั่งกัน ความคิดเห็นที่ถูกต้องนี้ จะ ช่วยสร้างวาจาท่ีถูกต้องหรือสัมมาวาจา คือคําพูดที่ก่อให้เกิดความหวังและความเช่ือม่ัน เม่ือเราเขียนจดหมายและกลา่ วถอ้ ยคําตา่ งๆ ด้วยความรกั การใหอ้ ภยั และความดีใจ เมื่อ เราพูดเรารู้สึกปีติ คําพูดแหล่านั้นจะช่วยเยียวยารักษาเราและบุคคลท่ีเราพูดด้วย นี่คือ การดบั ทุกขอ์ ย่างหนึง่ พระพุทธเจ้าตรัสถึงมรรค ๘ หรือหนทางที่ถกู ตอ้ ง โดยการกระทําท่ี ถูกต้อง ซง่ึ ช่วยปกปูองรักษาใหเ้ ราปลอดภัย อีกทง้ั ยงั เยียวยารกั ษาตวั เราและคนรอบขา้ ง จากข้อความข้างต้น พิจารณาได้ว่า ความคิดเห็นที่จะไม่แบ่งแยกได้นั้น เราต้องฝึกปฏิบัติ สติ สมาธิ และปัญญาเห็นตามกฎของอนัขจัง และอนัตตาตามคําสอนของพระพุทธเจ้า เพราะท่าน ติช นัท ฮันห์ มองว่า ทุกอย่างท่ีเราทํา เราคิด เราเขียนด้วยคําพูดแห่งความรัก และการให้อภัย สิ่ง เหล่านีเ้ ม่อื เราไดป้ ฏบิ ตั ิออกไปนนั้ จะชว่ ยสร้างเกาะปกปูองตัวเราและผู้อ่ืนและสิ่งแวดล้อมรอบข้างตัว เรา การดําเนนิ ชีวิตกจ็ ะเกิดความสุข เมื่อพิจารณาจากคําอธิบายข้างต้น จึงกล่าวได้ว่า การส้างสันติภาพในปัจจุบันนั้น โดยเฉพาะสงั คมที่กาํ ลังเกิดความขัดแย้งกันขึ้นในแทบทุกพื้นท่ีของโลก การฝึกปฏิบัติต่อความคิดของ ตนเองให้ถูกต้องไม่แบ่งแยกนั้น จึงมีความสําคัญต่อสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะท่านมองว่า การฝึก ๘ ตชิ นทั ฮันห์, ของฝากจากหลวงปู่, แปลโดย สงั ฆะอาสาสมัครหมู่บ้านพลัมประเทศไทย, พิมพ์ครั้ง ที่ ๒, (กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์ดี จํากดั , ๒๕๕๔), หน้า ๖๘.
๖๕ ปฏิบัติความเห็นท่ีถูกต้องหรือความคิดเห็นไม่แบ่งแยกไม่เพียงจะช่วยลดปัญหาต่างๆ แต่มันเป็นการ เปิดพ้นื ที่ใหก้ ับชวี ิตของตนเองในแงข่ องความสขุ ดงั ที่ท่านกล่าวไว้ตอนท้ายเร่ือง ว่า “เรามุ่งใส่ใจความ ทุกข์ในร่างกายของเรา ต่อมาก็เป็นจิตใจของเรา และต่อมาจึงคือความทุกข์ของคนรอบข้างใน ส่ิงแวดลอ้ มของเรา การตอบสนองความทุกข์และการมีชีวิตอย่างมีความสุขคือการฝึกปฏิบัติตามแบบ ของพระอวโลกิเตศวร”๙ จากขอ้ ความในตอนท้ายน้ี จะเห็นว่า การฝึกปฏิบัติความคิดเห็นที่ถูกต้องหรือไม่แบ่งแยก น้ัน ไม่ใช่เห็นการฝึกเพ่ือใครคนใดคนหน่ึง แต่ท่านติช นัท ฮันห์ ชี้ว่า เป็นการฝึกปฏิบัติเพ่ือให้การ ตอบสนองนั้นกลับคืนสู่ตนเองและคนรอบข้าง อีกทั้งยังรวมไปถึงสิ่งแวดล้อมของเราด้วยที่จะไม่ต้อง ถูกทําลาย ดังน้ันจึงสรุปได้ว่า การฝึกปฏิบัติความคิดไม่แบ่งแยกจึงเป็นอีกหน่ึงวิธีท่ีท่านติช นัท ฮันห์ มองวา่ เปน็ วิธีการทจ่ี ะทาํ ใหก้ ารดําเนินชีวิตในปัจจุบนั มคี วามสุขได้ ๔.๒.๔ การแปรเปลี่ยนด้วยการสร้างความเหน็ อกเหน็ ใจต่อผอู้ ่นื ตอ่ มาเป็นอีกหนึ่งวิธีในการสร้างสันติภาพในปัจจุบัน คือท่านติช นัท ฮันห์ได้บรรยายผ่าน อดีตชาติของพระพุทธเจ้าที่พระองค์เห็นผู้คุมในนรกกระทําต่อเพื่อนด้วยกันอย่างรุนแรง ซ่ึงวิธีการนี้ ท่านติช นทั ฮนั ห์ มองวา่ เราสามารถทจี่ ะพฒั นาตนดว้ ยการแปรเปลีย่ นภายในหัวใจของเราได้ เพราะ เราทกุ คนตา่ งมคี วามร้สู กึ มีหัวใจ และไมว่ ่าเราจะอยู่ในสถานการณ์ใด เราก็สามารถทําได้และส่ิงดีๆ ก็ จะเกดิ ข้นึ ดังท่ที า่ นกล่าวไวใ้ นเร่อื ง “สวรรค์และนรก” ว่า เมอื่ เกิดความแปรเปลย่ี นขึ้นในหัวใจเขาจงึ รู้วา่ แมจ้ รงิ แล้วเขาก็มีหัวใจเช่นกัน การเชื่อ ว่าตนเองไม่มีหัวใจน้ันเป็นความเข้าใจผิดทุกคนล้วนมีหัวใจ เพียงต้องการบางอย่างหรือ ใครบางคนมาสมั ผัสหัวใจนั้นเพ่อื แปรเปล่ียนให้เห็นหัวใจมนุษย์ด้วยความต้ังใจท่ีจะปฏิบัติ ต่อนักโทษอยา่ งเห็นอกเห็นใจมากขึ้น นี่เองท่ีทําให้ทันใดนั้นประตูนรกก็เปิดออกและพระ โพธสิ ัตวผ์ ู้เปล่งรัศมีรอบพระองค์ก็ปรากฏกายขึ้นพร้อมกับตรัสว่า ความดีได้เกิดข้ึนกับตัว เธอแลว้ เธอจะทนทกุ ข์ในนรกอกี ไมน่ าน เธอจะตายแลว้ เกิดใหม่เปน็ มนษุ ย์ในเรว็ ๆ นี้ ตชิ นัท ฮันห์ มองว่า ถ้าเรามารถแปรเปล่ียนความรุนแรง จากการกระทําหรือการปฏิบัติ ตวั เราทกี่ ระทําต่อผูอ้ ื่นด้วยการใช้กาํ ลัง การประหตั ประหารต่างๆ เราจะสามารถเห็นความจริงทั้งสอง ฝุายที่เกิดจากความเห็นอกเห็นใจผู้อ่ืน คือ ทุกคนหรือทุกชีวิตน้ันมีความรู้สึก มีหัวใจ เราทุกคน ต้องการดูแลปกปูองหัวใจของเราด้วยกันทุกคน ฉะนั้นเมื่อเราสามารถทําให้เกิดการแปรเปล่ียนการ ปฏิบัติในด้านรุนแรงของเราให้กลายเป็นการปฏิบัติท่ีเห็นอกเห็นใจผู้อ่ืน เราทุกคนก็จะพบพื้นท่ีของ ความความสขุ ๙ ตชิ นัท ฮันห์, ของฝากจากหลวงปู,่ แปลโดย สังฆะอาสาสมัครหมู่บ้านพลัมประเทศไทย, พิมพ์คร้ัง ที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ดี จาํ กัด, ๒๕๕๔), หนา้ ๗๐.
๖๖ ๔.๒.๕ การแปรเปล่ียนด้วยการหยุดนสิ ัยของตนเองเพือ่ การอยรู่ ว่ มกัน ตอมาอีกหนึ่งวิธีท่ีสําคัญอย่างมากที่ท่านติช นัท ฮันห์ได้พยายามเสนอและถ่ายทอด แนวคดิ ท่ีจะสรา้ งความสุขในสังคมโลกปัจจบุ ันให้กับผู้คน นั่นคือ การหยุดนิสัยของตนเอง ซ่ึงการหยุด ในท่ีน้ีหมายถึง นิสัยที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ความกระวนกระวายท่ีจะนําไปสู่หนทางของความไม่ สงบ ดงั ทท่ี ่านกลา่ วไว้ในเรอ่ื ง “ศิลปะแหง่ การหยุด” วา่ เราต้องเรียนรู้ศิลปะในการหยุด หยุดถูกผลักดันโดยพลังนิสัย ในช้ันแรก เธอต้อง ตระหนักรู้ถึงพลังชนิดนี้ท่ีดํารงอยู่ในตัวเธอ คอยผลักดันเธออยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเธอ ต้องการหยุดแต่มันกไ็ มย่ อมหยดุ ใหเ้ ธอหยดุ เวลาเรารับประทานอาหารเช้า มีพวกเราไม่ก่ี คนเทา่ นั้นท่ีรับประมานอาหารเช้าได้อย่างมีความสุข และอยู่ ณ ที่นี่ในขณะน้ีได้ เมื่อวาน น้ีฉันรับประทานอาหารเช้ากับภิกษุบวชใหม่ ๒ รูป ฉันมองไปท่ีภิกษุทั้งสองและกล่าวว่า “มหัศจรรย์จริง ๆ ที่เราได้มารับประทานอาหารร่วมกัน เป็นสิ่งท่ีวิเศษและน่าเบิกบานใจ ท่ีสุด จะมีอะไรวิเศษไปกว่าการท่ีครูและลูกศิษย์ได้มาน่ังรับประทานอาหารเช้าร่วมกัน” ภิกษุรูปหนึ่งตอบฉันด้วยรอยยิ้ม เขาเข้าใจ เขาเข้าใจไม่เพียงแต่คําพูดของฉันแต่ยังเข้า ใจความจริงที่ว่า ความสุขท่ีเกิดขึ้นเป็นส่ิงจริงแท้ เพราะเราสามารถอยู่ร่วมกันและ ตระหนกั รปู้ ัจจุบันของกนั และกนั ในชัว่ ขณะนน้ั ๑๐ จากข้อความข้างตน้ พิจารณาได้ว่า ท่านติช นัท ฮัน ได้ยกตัวอย่างของความสุขท่ีเกิดจาก การหยุดหนทางที่ไม่ใช่สันติสุข ซึ่งเป็นการหยุดท่ียากและเห็นได้ยากท่ีจะเกิดขึ้น เพราะสังคมโลก ปัจจุบันน้ันเต็มไปด้วยปัญหาและความขัดแย้งกัน สิ่งท่ีท่านติช นัท ฮันห์พยายามแสดงให้เห็นคือ สังคมท่ีเต็มไปด้วยรอยย้ิม และความเข้าใจในสังคมตลอดจนการอยู่ร่วมกันในปัจจุบันเป็นสิ่งที่หาได้ ยาก ท่านจึงยกตัวอย่างของการอยู่ของภิกษุท่ีรับประทานอาหารด้วยรอยย้ิมและความสุข น่ันจึงเป็น เป็นวิธกี ารหยุดทกุ อย่างท่ีไมใ่ ช่หนทางแห่งสนั ตสิ ขุ ภาพของการอยู่ร่วมกันในขณะปัจจุบันด้วยรอยย้ิม และความเข้าใจจึงเป็นภาพความหวังในการสร้างสันติสุขในสังคมปัจจุบัน ภายใต้การเปล่ียนแปรนิสัย ของตนเองและการตระหนกั รู้ร่วมกนั ๔.๒.๖ การแปรเปลี่ยนดว้ ยการสรา้ งพลังนสิ ยั ดา้ นบวก ต่อมาเป็นอีกหน่ึงวิธีการท่ีท่านติช นัท ฮันห์ ได้พยายามที่ถ่ายทอดในการสร้างสันติสุข โดยเฉพาะวิธีการเปลี่ยนแปรนิสัยด้านลบให้กลายเป็นนิสัยด้านบวกด้วยพลังของสติเรา เพราะท่าน มองว่า การเปล่ียนนิสัยไปทิศทางบวก เป็นการเพาะเมล็ดพันธุ์ของการต่ืนตัวและเมล็ดพันธุ์ของ วญิ ญาณท่อี ยู่ในตวั เรา ดงั ทที่ ่านกล่าวไว้ในเรื่อง “โอบกอดพลงั นสิ ัยด้วยพลังของสติ” วา่ ๑๐ ตชิ นัท ฮนั ห์, ของฝากจากหลวงป่,ู แปลโดย สงั ฆะอาสาสมัครหมูบ่ า้ นพลมั ประเทศไทย, พิมพค์ ร้ัง ที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พด์ ี จํากดั , ๒๕๕๔), หน้า ๘๒.
๖๗ พลังนิสัยด้านลบนั้นถูกปลูกฝังในตัวเรานานปี พลังนิสัยนิอาจถูกส่งต่อมาจากพ่อแม่ และบรรพบรุ ษุ กลายมาเป็นมรดกตกทอดของเรา ความเบิกบาน ความสงบ และความสุข ข้ึนอยู่กับการฝึกปฏิบัติ การฝึกปฏิบัติ หมายถึง การฝึกตระหนักรู้และแปรเปล่ียนพลัง นิสัยของเรา เรามพี ลังนสิ ยั ดา้ นบวกอยูใ่ นตัวรวมทง้ั พลังนสิ ัยดา้ นลบ ท่ีเราควรนําพลังแห่ง สติไปตระหนักรู้ โอบกอด และแปรเปล่ียนมัน สติเป็นพลังช่วยให้เราตระหนักรู้ว่าเกิด อะไรข้ึน ดังนั้นเมื่อพลังนิสัยแสดงออกมา เราจะตระหนักได้ทันทีและกล่าวว่า “สวัสดี พลังนิสัยตัวน้อยของฉัน ฉันรู้ว่าเธออยู่ที่น่ัน และฉันจะดูแลเธอเอง” การตระหนักรู้พลัง นิสัยอย่างท่ีมันเป็นจะช่วยให้เธอควบคุมสถานการณ์ได้ เธอไม่จําเป็นต้อสู้กับพลังนิสัย นน้ั ๑๑ จะเห็นได้ว่าท่านติช นัท ฮันห์ได้ให้ความสําคัญอย่างมากต่อการเปล่ียนนิสัยด้านลบท่ีอยู่ ในตัวของเราให้กลายเป็นนิสัยด้านบวก ซ่ึงผลของการฝึกปฏิบัติจะสามารถทําให้ควบคุมสถานการณ์ ต่างๆ โดยท่ีเราไม่ต้องใช้กําลังหรือต่อสู้ แต่เราเพียงตระหนักรู้ถึงพลังทั้งสองด้าน และพยายาม เปล่ียนแปลงนิสัย เพราะการเปล่ียนนิสัยด้านลบ น่ันหมายถึงการควบคุมและดูแลภาวะหรือ สถานการณท์ ี่เลวรา้ ยหรอื รนุ แรงในจติ ใจของเรานัน่ เอง ดังน้ัน จึงกล่าวได้ว่า การเปล่ียนแปลงนิสัยด้านลบนั้น ไม่ใช่เรื่องของการต่อสู้ด้วยวิธีใดๆ แตเ่ ป็นการตระหนักรู้ด้วยความอ่อนน้อม ดูแลอารมณ์ของตนเองให้เข้าสู่ภาวะของของต่ืนรู้ เบิกบาน ในขณะปจั จุบนั ๔.๒.๗ การแปรเปล่ยี นด้วยการสรา้ งความเก้ือกลู การแปรเปล่ียนอกี ประการท่ีท่านติช นัท ฮันห์ได้อธิบายเอาไว้สําหรับการสร้างความสันติ สุขใหเ้ กดิ ขนึ้ นน่ั คือการฝกึ ปฏิบตั ิสังคมหรือชมุ ชนแห่งการเก้ือกูล ซึ่งการฝกึ ปฏบิ ัตินั้น ทุกคนบางทีเรา อาจจะพบกับความทุกข์ แต่การเก้ือกูลก็เป็นส่ิงสําคัญต่อสังคมและชุมชนอย่างมากเพราะท่านมองว่า น่ันเป็นทางที่จะช่วยเยียวยาลดความทุกข์ของผู้อ่ืนและตนเองลงได้ ดังที่ท่านกล่าวไว้ในเรื่อง “สังฆะ แห่งการเก้อื กูล” วา่ ฉันเน้นว่าเราต้องสร้างสังฆะ สังฆะคือชุมชนของผู้ที่รู้วิธีการดํารงชีวิตในปัจจุบันอย่าง ลกึ ซึง้ ผ้ทู ีร่ ้วู ิธียิ้ม เดนิ และน่ังอยา่ งเบกิ บาน ถา้ เธออยใู่ นสงิ่ แวดลอ้ มเช่นนี้ เธอจะรู้สึกดีข้ึน หากเธอเพง่ิ เรม่ิ ปฏิบตั ิ เธอจะได้รับการเก้ือกูลจากการปฏิบัติของผู้อ่ืน และในไม่ช้าเธอจะ เห็นกระบวนการหล่อล้ียงและเยียวยาในตัวเธอ ฉันเคยกล่าวว่านักบําบัดควรเป็นเช่นนัก สถาปนกิ ท่ีสรา้ งสงิ่ แวดล้อมให้เอื้อต่อการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง บางทีเธออาจช่วยให้ผู้อื่นมี ๑๑ ตชิ นทั ฮนั ห์, ของฝากจากหลวงปู่, แปลโดย สงั ฆะอาสาสมคั รหมู่บา้ นพลมั ประเทศไทย, พิมพ์ครั้ง ท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พด์ ี จาํ กดั , ๒๕๕๔), หน้า ๘๕.
๖๘ ความทกุ ข์นอ้ ยลง แต่เม่ือเขากลบั เข้าสู่สงิ่ แวดล้อมเดิม ๆ ความทุกข์เดิม ๆ ก็จะเกิดขึ้นอีก การสร้างสังฆะจึงเป็นสิ่งสําคัญ เพราะมันช่วยหล่อเลี้ยงและเกื้อกูลเราบนหนทางการฝึก ปฏบิ ตั ิ๑๒ ติช นัท ฮันห์ ได้มีความพยายามและเน้นสร้างสังคมและชุมชนแห่งสันติ และให้ ความสําคัญอย่างมาก การฝึกปฏิบัตินั้นท่านได้แนะว่า ผู้ท่ีจะสร้างชุมชนแห่งสังฆะ หรอชุมชนแห่ง สันตินั้น บุคคลผู้น้ันต้องรู้วิธีการดําเนินชีวิต กล่าวคือ ไม่ว่าจะน่ัง เดิน หรือรวมไปถึงกิจกรรมอ่ืนๆ อย่างเบิกบาน ผ่อนคลาย ซึ่งสิ่งเหล่าน้ีจะเป็นวิถีทางท่ีจะเอื้อประโยชน์ต่อเรา ท่านติช นัท ฮันห์ เปรียบเทียบให้เห็นว่า วิธีการนี้ก็เหมือนกับนักสถาปนิกท่ีสร้างส่ิงแวดล้อมที่เอื้อต่อการปฏิบัติของเขา ดังนั้น สิ่งที่เราปฏิบัติก็เหมือนกัน เราแปรเปลี่ยนและสร้างความเกื้อกูลให้เกิดขึ้นภายในตัวเรา ผู้อื่น และส่ิงแวดล้อมก็เอื้อประโยชน์ต่อเราได้ ท่านจึงมองว่า วิธีการดังกล่าวจึงเป็นวิธีการสร้างการดําเนิน ชวี ิตท่ีดีในปัจจุบัน และเปน็ วิธที ่ีมหัศจรรย์ตามวถิ ีพุทธ ๔.๒.๘ การแปรเปลย่ี นดว้ ยการสรา้ งความสมั พนั ธ์ ต่อมาเป็นการวิธีการสร้างสันติภาพอีกวิธีหนึ่งท่าน ติช นัท ฮันห์ได้อธิบายเอาไว้ คือ การ แปรเปลีย่ นในความสมั พนั ธ์ โดยท่ีท่านแนะ่ ว่า การแปรเปลี่ยนความสัมพันธ์สามารถทําได้ด้วยการเข้า มาสู่ปัจจุบัน ด้วยความเข้าใจ ความเป็นอิสระเพราะว่าเราจะเข้าใจตนเองดีขึ้นและกลับไปสู่การสร้าง ความสัมพันธ์ท่ีดีและพบดับความสุข ดังที่ท่านได้ยกตัวอย่างของความสัมพันธ์ที่ไม่ดีของสามีภรรยาคู่ หน่งึ ไว้ในเร่ือง “แปรเปลยี่ นในความสัมพันธ์” วา่ หากความสัมพันธ์ของเรายังคงไม่ราบรื่น การมองอย่างลึกซ่ึงจะทําให้เราเข้าใจ คลาย ปมปญั หาตา่ งๆ ในตัวเรา และฟื้นฟูการสื่อสารภายในตัวเอง และผู้อ่ืนส่ิงเหล่าน่ีเป็นไปได้ ที่จะเกิดข้ึนได้ทันที หากเรามีความเข้าใจ ทุกส่ิงทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ และเกิดข้ึนอย่าง รวดเรว็ ภายใน ๓ ๔ หรือ ๕ วันเทา่ นั้น ฉนั เคยเป็นการแปรเปลยี่ นเชน่ นี้มาแล้วในหลายๆ งานภาวนาท่ีจัดขึ้นในยุโรป อเมริกาเหนือและประเทศจีน ฉันเคยเห็นการแปรเปลี่ยน เช่นนั้นเสมอ๑๓ จากข้อความข้างต้น เป็นความพยายามและความหวังอย่างยิ่งของท่านติช นัท ฮันห์ที่ ตอ้ งการใหส้ ันตภิ าพเกิดขน้ึ โดยปญั หาหรอื ปมตา่ งๆ สามารถที่จะแปรเปล่ยี นไปได้โดยการแปรเปล่ียน ภายในตัวเองและแปรเปลี่ยนทัศนะคติต่อผู้อื่น ด้วยการสร้างความสัมพันธ์หรือการสื่อสารที่ดี ดังน้ัน จึงกล่าวได้ว่าการแปรเปลย่ี นความสัมพันธ์ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งท่ีจะช่วยสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นได้ เพราะ ๑๒ ติช นทั ฮนั ห์, ของฝากจากหลวงปู่, แปลโดย สังฆะอาสาสมัครหมู่บ้านพลัมประเทศไทย, พิมพ์ครั้ง ท่ี ๒, (กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พด์ ี จํากดั , ๒๕๕๔),, หน้า ๙๘. ๑๓ เรือ่ งเดยี วกัน, หนา้ ๑๓๖.
๖๙ ในความคดิ ของท่านมองว่า ทุกส่งิ ทุกทุกอย่างสามารถท่ีจะเปล่ียนแปลงได้ด้วยความเข้าใจ การพัฒนา หรอื การฟน้ื ฟคู วามสมั พนั ธ์ ดังทีท่ ่านยกตัวอยา่ งข้างต้น ๔.๒.๙ การแปรเปลีย่ นตนเองดว้ ยความรกั ต่อมาเปน็ การแปรเปลย่ี นตนเองดว้ ยความรัก ซึ่งทา่ นตชิ นทั ฮนั ห์ มองว่า การปฏิบัติและ การตระหนกั รู้ด้วยการสร้างความรักให้เกิดขึ้นในขณะปัจจุบันน้ันเป็นเรืองท่ีสําคัญ โดยต้องอาศัยการ ใคร่ครวญ การพิจารณาอย่างแยบคาย เพราะท่านเช่ือว่า เม่ือความรู้สึกของเราเต็มไปด้วยความรัก ความสุขกย็ ่อมทจ่ี ะเกดิ ขึน้ น่ันก็หมายถึงสันสติสุข ดังท่ีท่านกล่าวไว้ในเรื่อง “เริ่มต้นเร่ืองราวความรัก ของเธอ” ว่า เม่ือเธอรู้วิธีการสัมผัสกับมหัศจรรย์แห่งชีวิต ตระหนักรู้ และโอบกอดความเจ็บปวด ของเธอ เธอจะรู้สึกผ่อนคลายสบายขึ้น เธอได้เริ่มต้นเร่ืองราวความรักของเธอแล้ว และ หากได้รับการสนับสนุนจากสังฆะเธอจะย่ิงก้าวหน้าขึ้นทุกวัน จนกระท่ังความรักของเธอ นาํ มาซงึ่ ความสขุ ความเบกิ บานและความหวังมาส่ตู วั เธอเอง คู่ของเธอและพวกเราทุกคน เราจงึ สร้างสรรค์ชีวติ ของเราให้มวี ิถีแห่งการเจรญิ สตอิ ย่เู สมอ๑๔ เมื่อเราเรียนรู้ ตระหนัก และเข้าใจเรื่องราวชีวิตของเราเองและผู้อ่ืนด้วยความรักภายใต้ วิถีแห่งการเจริญสติในปัจจุบัน ความเข้าใจและความรักท่ีฝึกปฏิบัติไม่ใช่ความสุขท่ีจะมาสู่ตนเอง เท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างสรรค์พื้นที่ของชีวิตแห่งสันติสภาพให้กับผู้อ่ืนด้วย ขณะเดียวกันความหวัง และการได้รับความสุขจากการปฏิบัติก็ต้องอาศัยฐานที่สําคัญคือ สังฆะ ซึ่งหมายถึง สังคมหรือชุมชน แห่งสันติสุขด้วย เพราะจะเป็นการสนับสนุนให้เราน้ันสามารถพัฒนาก้าวข้ามปัญหาต่างๆ ได้ ท่าน ติช นัท ฮันห์จึงเรียกวิถีทางแห่งการปฏิบัติน้ี ว่า เราได้ฝึกปฏิบัติตามวิถีทางแห่งการเจริญสติ การ ปฏบิ ัตเิ ชน่ นี้ ท่านก็ยังมองวา่ สามารถที่จะนําความเบิกบานและความสุขสันตมิ าสตู่ ัวเราและผอู้ นื่ ๔.๒.๑๐ การแปรเปลย่ี นการกระทาทุกอยา่ งด้วยสันติ ต่อมาประการสุดท้ายนี้ถือว่า มีความสําคัญอย่างมากเพราะท่านติช นัท ฮันห์ ได้แนะว่า สนั ติภาพทั้งหมดนนั้ เราจะตอ้ งกระทาํ ทุกอย่าในปจั จบุ นั ด้วยสนั ติ ซึ่งท่านเชื่อว่า เราสามารถท่ีจะทําได้ ดังที่ทา่ นกล่าวไว้ในเร่อื ง “ความหวังและอปุ สรรค” วา่ เราสามารถก้าวข้ามความช่ืนบาน และความสงบในขณะปัจจุบันในตัวเราและผู้คน รอบๆ เอ. เจ. มัสเต ผู้นําขบวนการสันติภาพช่วงกลางศตวรรษท่ีย่ีสิบของอเมริกา ผู้เป็น แรงบันดาลใจของคนนับล้านๆ คนได้เคยกล่าวไว้ว่า “ไม่มีหนทางท่ีจะนําไปสู่สันติภาพ เพราะสนั ตภิ าพคอื “ทาง” โดยตัวของมันเอง นั่นหมายความว่า เราจะเข้าถึงสันติภาพได้ ในปัจจุบันขณะในการมอง รอยย้ิม คําพูด และการกระทําต่าง ๆ ของเรา งานสันติภาพ ๑๔ ติช นัท ฮนั ห์, ของฝากจากหลวงปู่, แปลโดย สงั ฆะอาสาสมคั รหมู่บ้านพลมั ประเทศไทย, พมิ พ์ครั้ง ที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพด์ ี จํากัด, ๒๕๕๔), หน้า ๑๔๐.
๗๐ นั้นไม่ใช่วิธีการ ทุกขั้นตอนที่เราทําควรทําอย่างสันติเป็นสุขและเบิกบาน ถ้าเราตั้งใจจริง เราย่อมทําได้ เราไม่ต้องการอนาคตเรายิ้มได้ ผ่อนคลายได้ ทุกอย่างเราต้องการอยู่ที่นี่ และเดีย๋ วน้ี๑๕ จากข้อความข้างต้น ทั้งคํากล่าวของ เอ. เจ. มัสเต และความหมายจากการตีความของ ท่านติช นัท ฮันห์ ชี้ให้เห็นว่า สันติภาพนั้น จะเกิดข้ึนได้จะต้องเปล่ียนแปลงด้วยตัวเราเอง ด้วยการ กระทํา ความต้ังใจ ความเอาใจใส่ หรือการกระทําทุกอย่างด้วยสันติเท่าน้ัน หรือกล่าวอีกนัยหน่ึงคือ การเปล่ียนแปลงตนเองในทุกๆ ด้านของเราเอง การกระทํา ความคิด ความรู้สึก ทุกอย่างต้องดําเนิน ไปอยา่ งพัฒนาและสรา้ งสรรค์ ตั้งใจในปัจจุบันขณะ นี่เป็นการแปรเปล่ียนตนเองเพ่ือหนทางสู่สันติภาพ ซึ่งมีลักษณะที่ต้องเกื้อกูลและสัมพันธ์ กันจึงจะมีสันติภาพ ดังที่ รวี ภาวิไล กล่าวว่า “ทุกคนต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน เม่ือพ่ึงเกิดมาเป็น เดก็ ออ่ นนอนเบาะน้ัน ถ้าไม่ได้รับความรักความกรุณาเกื้อกูลจากพ่อแม่เป็นต้นแล้ว ก็ไม่มีชีวิตรอดมา ได้ ในการเตบิ โตขึน้ มาก็ต้องอาศัยผู้อืน่ อีกมากมาย ถา้ เขาต่างก็รกั ตน เห็นแกต่ ัวเทา่ นนั้ เราจะเจริญวัย มีความสุขตามสมควรได้อย่างไร ดังนั้นคําสอนที่ให้รักผู้อื่น เห็นแก่ความสุขของผู้อ่ืน จึงมิใช่การต้ัง อุดมการณ์สูงส่งจนเกินไปแต่ประการใด เพียงแต่เป็นการชี้แนะให้ประพฤติสมควรแก่การเป็นมนุษย์ ผรู้ ้จู กั ใช้สติปัญญาครุน่ คํานงึ ตามเหตุผลสามญั เท่าน้นั ”๑๖ เมื่อพิจารณาจากข้อความข้างต้นจะเห็นได้ว่า มีทิศทางเดียวกันกับแนวคิดเร่ืองสันติภาพ ของท่านตชิ นทั ฮนั ห์ โดยเฉพาะการแปรเปลยี่ นตนเองเพื่อนสันติภาพในสังคมและโลก เพราะมองว่า ความรัก ความเก้ือกูล การอาศัยพึ่งพาจึงเป็นสิ่งที่จะนํามาใช้พัฒนาจิตใจของคนบนโลกให้รู้จักการ เปลี่ยนแปลงตนเองเพ่ือความสงบ สันติต่อตนเองและโลกท่ีอาศัย ภายใต้หลักปฏิบัติที่ต้องอาศัยสติ ของเราเอง สรุปได้ว่า แนวคิดการแปรเปลี่ยนเพื่อหนทางแห่งสันติภาพในปัจจุบันของท่านติช นัท ฮันห์ แบ่งออกได้ ๑๐ ประการ ได้แก่ ๑. การแปรเปลี่ยนด้วยการถอนความคิดเห็นท่ีผิด ๒. การ แปรเปล่ียนด้วยการสร้างความเห็นที่ถูกต้อง ๓. การแปรเปลี่ยนด้วยการปฏิบัติในแนวทางแห่งสติ สมาธิ ปญั ญา ๔. การแปรเปล่ียนดว้ ยการสรา้ งความเหน็ อกเห็นใจตอ่ ผอู้ ืน่ ๕. การแปรเปล่ียนด้วยการ หยุดนิสัยของตนเองเพื่อการอยู่ร่วมกัน ๖. การแปรเปลี่ยนด้วยการสร้างพลังนิสัยด้านบวก ๗. การ แปรเปลี่ยนด้วยการสร้างความเกื้อกูล ๘. การแปรเปลี่ยนด้วนการสร้างความสัมพันธ์ ๙. การ แปรเปล่ยี นตนเองดว้ ยความรกั ๑๐. การแปรเปล่ยี นการกระทําทกุ อย่างด้วยสนั ติ ๑๕ ตชิ นทั ฮันห์, สนั ติภาพทุกยา่ งก้าว, หนา้ ๖๘–๖๙. ๑๖ รวี ภาวิไล, รู้สกึ นกึ คิด “เพือ่ สนั ติภาพ”, สารธรรมสถาน, ฉบับท่ี ๕๘ (เมษายน ๒๕๕๔): ๓.
๗๑ ดังนั้น ทั้ง ๑๐ ประการนี้ จึงเป็นวิธีหรือกระบวนการแปรเปล่ียนตนเองในการท่ีจะสร้าง พนื้ ทีข่ องสนั ตภิ าพให้เกดิ ขน้ึ ในตนเองและผอู้ ่นื แนวคดิ การแปรเปลี่ยนเพื่อหนทางสู่สันติภาพของท่าน ติช นัท ฮันห์ น้ันถือว่า เป็นแนวคิดท่ีพยายามสร้างสรรค์และผลักดันเพ่ือให้สันติภาพเกิดขึ้นบนโลก เพราะท่านมองว่า อดีตและปัจจุบันเราก็ยังตกอยู่ในปมและปัญหาของความขัดแย้งท้ังในครอบครัว สังคม และประเทศ การฝึกปฏิบัติแปรเปล่ียนตนเองทั้งความคิด ความรู้สึก ทัศนะคติ ความรักความ เกื้อกูล และการสร้าวความสัมพันธ์ท่ีดี จึงเป็นวิธีท่ีควรนํามาประยุกต์ในกับการดําเนินชีวิตในปัจจุบัน ของเรา ๔.๓ การฝกึ ปฏิบัติเจริญภาวนาเพอ่ื หนทางแหง่ สันติภาพ การฝึกปฏิบัติเพ่ือให้เกิดสันติภาพตามแนวคิดของ ท่านติช นัท ฮันห์ นั้นถือว่าท่านให้ ความสําคัญอย่างมากต่อการปฏิบัติท่ีเป็นปัจจุบันอย่างมาก ทั้งการภาวนา การฝึกสติและข้อปฏิบัติ ต่าง ๆ ทงั้ นเ้ี ปูาหมายสูงสดุ คือ โลกต้องอย่ใู นภาวะของสนั ติภาพ ดงั การวิเคราะห์ต่อไปนี้ ๔.๓.๑ การปฏิบัตเิ จรญิ ภาวนาตอ้ งนามาใชใ้ นชวี ติ ประจาวัน ท่านติช นัท ฮันห์ มองว่า ส่วนการปฏิบัติที่จะช่วยลดความโกรธ ความเครียด ความ ขัดแย้ง ปัญหาต่างๆ น้ัน ปัจจุบันเราควรได้แปรเปล่ียนความคิดของเราให้กลับเข้ามาสู่ภาวะของ ปัจจุบันอย่างทันที ไม่ว่าเราจะเดิน จะโทรศัพท์ ทุกชั่วขณะปัจจุบัน ต้องดําเนินไปด้วยการภาวนา เพราะท่านได้อธิบายผลของการภาวนาว่า มีผลอย่างมหาศาลต่อตัวเราเองอีกทั้งยังส่งผลต่อสังคม อย่างกว้างขวาง ดงั ที่ท่านกล่าวไว้ในเรื่อง “เลิกกน้ั หอ้ งเล็กห้องน้อย” วา่ เราควรจะสามารถนําการเจริญภาวนาจากห้องสมาธิมาใช้ในชีวิตประจําวัน เราต้อง อภิปรายกันในหมู่เราเองว่าจะทําอย่างไร เธอได้ปฏิบัติลมหายใจระหว่างการใช้โทรศัพท์ แต่ละคร้ัง เธอได้ยิ้มขณะที่กําลังห่ันหัวแครอทหรือไม่ เธอได้ผ่อนคลายความเครียดหลัง การภาวนาหรือไม่ เหล่าน้ีเป็นคําถามจริงจัง การท่ีเธอรู้ท่ีจะประยุกต์การภาวนาในเวลา กินอาหารค่ํา เวลาว่าง เวลานอนหลับ สติจักแผ่เข้าไปในชีวิตประจําวันของเธอและมันก็ จะส่งผลอย่างมหาศาลต่อความข้องเก่ียวทางสังคม สติจักสามารถแผ่เข้าไปยังกิจกรรม ตา่ งๆ ในชวี ติ ประจําวนั ๑๗ นกี้ ็แสดงให้เห็นว่าติช นัท ฮันห์ ได้ให้ความสําคัญอย่างมากต่อการปฏิบัติเจริญภาวนาทุก ชั่วขณะปัจจุบัน เพราะการภาวนาด้วยฐานแห่งสติท่ีมั่งคงน้ัน ท่านได้ชี้ให้เห็นถึงผลของการปฏิบัติ อย่างชัดเจนว่า ผลน้ันนอกจากจะเกิดขึ้นในทิศทางท่ีเก้ือกูลแก่เราแล้ว ยังสาสมารถที่จะแผ่ออกไปสู่ สงั คมอย่างกว้างขวางในทุกด้าน ไม่ว่าเราจะดําเนินหรือปฏิบัติกิจกรรมใด ๆ หากมองอย่างลึกซึ้งแล้ว ๑๗ ติช นทั ฮนั ห์, สนั ติภาพทุกยา่ งกา้ ว, หน้า ๖๑.
๗๒ กจ็ ะพบว่า การเจริญภาวนาและผลของการเจริญภาวนาไดแ้ ผ่ไปสู่สังคมอย่างกว้างนั้น ก็คือ การแผ่ไป ของสันติภาพทกุ ๆ กจิ กรรมในการดาํ เนนิ ชวี ติ ของเราและผอู้ ่นื ๔.๓.๒ การเจริญภาวนาต้องทาด้วยความการณุ ย์ ต่อมาเป็นการการเจริญภาวนาอีกวิธี ซ่ึงท่านอธิบายว่า การภาวนาท่ีจะทําให้เกิดผลทั้ง สองฝุายนั้น คือการภาวนาที่ไม่จํากัดอยู่เพียงแค่ตัวเราเอง แต่เป็นการภานาที่ต้องเข้าใจในตัวเองและ ผู้อ่ืนด้วย เพราะถ้าเราพิจารณาด้วยความการุณย์ต่อผู้อ่ืน ความกรุณาก็ย่อมเกิดขึ้นกับเรา น่ันก็เป็น หนทางท่จี ะดําเนินไปสสู่ ันตภิ าพในปจั จบุ นั ดงั ทท่ี า่ นกลา่ วไว้ในเรื่อง “ภาวนาด้วยการณุ ย์” วา่ ความรัก คือ จิตที่น้อมนําความสงบความรื่นเริงและความสุขให้กับผู้อ่ืน ความกรุณา คือจิตท่ีถ่ายถอนความทุกข์ท่ีดําเนินอยู่ในผู้อ่ืน เราทุกคนมีเมล็ดพันธุ์แห่งความรักและ ความกรุณาในดวงจิตของเรา อีกทั้งเรายังสามารถที่จะพัฒนาขุมพลังที่เป็นเลิศ และ มหัศจรรย์นี้ได้ เราสามารถบํารุงเล้ียงความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ซ่ึงไม่คาดหวังอะไรเป็นส่ิง ตอบแทน ดังนนั้ มันจงึ ไมน่ าํ ไปสู่ความร้อนนอกร้อนใน หรือความระทมทุกข์ แก่นแท้ของ ความรักและความกรุณา คือ ความเข้าใจ ความสามารถที่จะกําหนดรู้ความทุกข์ของผู้อื่น ทั้งในด้านกาย วัตถุ และเชิงจิตวิทยา ให้เอาใจเราใส่ใจเขาผู้น้ัน เราเข้าไปข้างในของ ร่างกาย ความร้สู ึก เงื่อนปมแห่งอารมณแ์ ละเป็นประจักษ์พยานต่อตัวเราเองถึงความทุกข์ เวทนาของเขา๑๘ จากข้อความข้างต้น พิจารณาไดว้ า่ การเจริญภาวนาต้องดว้ ยความการุณย์น้ัน จะต้องเป็น ความการุณยท์ ีไ่ ม่ใชเ่ พียงความการุณย์ท่ีมีความจํากัดว่า เราต้องกระทําเพ่ือใครคนใดคนหนึ่งหรือเพื่อ หวังการตอบแทน แต่เป็นการเจริญภาวนาด้วยความการุณย์ที่ไม่หวังการตอบแทนและไม่มีเง่ือนไข ใดๆ ภายใต้อารมณ์หรอื ความรสู้ ึกของความรกั ความออ่ นนอ้ มที่จะพยายามเข้าใจความทุกข์ของตัวเรา และของผู้อ่ืน เพราะฉะน้ันการเจริญภาวนาด้วนความการุณย์นี้ ท่านติช นัท ฮันห์ จึงมองว่า เรา สามารถที่จะพัฒนาให้สูงสุดได้ เพราะเม่ือเห็นความทุกข์ของผู้อ่ืนย่อมเห็นทุกข์ในตัวเรา เมื่อเข้าใจ อย่างนี้ จึงนํามาสู่ความเข้าใจที่ว่า ความทุกข์มีด้วยกันทั้งสองฝุาย การเอาใจใส่ท้ังเขาและเราจึงคือ ชอ่ งทางของการดาํ เนินไปสสู่ ันติภาพจึงจะเกดิ ขน้ึ ๔.๓.๓ การเจรญิ ภาวนาตอ้ งทาด้วยความรกั นอกจากการเจริญภาวนาต้องด้วยการุณย์แล้ว ท่านติช นัท ฮันห์ ยังได้ชี้ให้เห็นว่า การ เจริญภาวนาต้องด้วยความรักก็เป็นสิ่งสําคัญ โดยเฉพาะสังคมปัจจุบัน เพราะท่านมองว่า ควรที่จะ นาํ มาใชใ้ นการดาํ เนนิ ชวี ิตในโลกปัจจบุ ัน เพราะสามารถท่ีจะส่งผลในทางที่ดีต่อสังคมและโลกได้ ดังท่ี ทา่ นกลา่ วไว้ในเรื่อง “ภาวนาดว้ ยความรกั ” วา่ ๑๘ ตชิ นทั ฮันห์, ของฝากจากหลวงปู่, แปลโดย สังฆะอาสาสมคั รหมู่บ้านพลัมประเทศไทย, พมิ พ์ครั้ง ที่ ๒, (กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพด์ ี จํากัด, ๒๕๕๔),, หน้า ๑๑๑.
๗๓ จิตท่ีมีรมรักจะนํามาซ่ึงความสงบสันติ ความร่าเริง และความสุขให้กับตัวเราและผู้อ่ืน การ เฝูาสังเกตอย่างมีสติจะเป็นส่ิงหล่อเล้ียงต้นไม้แห่งความเข้าใจ ความกรุณาและความรัก คือ ดอกไม้ที่สวยงามท่ีสุด เมื่อเราตระหนักรู้ถึงจิตแห่งรัก จิตเราจะไปยังบุคคลผู้เป็นจุดหมายของ การเฝูาสังเกตอย่างมีสติ เพ่ือว่าจิตแห่งรักจักไม่ต้องเป็นเพียงภาพจินตนาการแต่เป็นแหล่งที่ ส่งผลตอ่ โลกอยา่ งแทจ้ รงิ จากข้อความขา้ งต้น แสดงใหเ้ หน็ วา่ ทา่ นติช นัท ฮันห์ พยายามท่ีจะทําให้เห็นถึงจิตที่เต็ม ไปด้วยความรักนั้น เป็นการตระหนักรู้ถึงพลังแห่งความรักที่ต้องการเชื่อมโยงไปยังบุคคลอื่น และไม่ เพยี งแตเ่ ป็นจติ ที่ประกอบไปด้วยความรกั ท่ีอยูใ่ นความรสู้ ึกหรือความคิดทางจินตนาการเท่าน้ัน แต่จิต ที่เต็มไปด้วยความรัก คือจิตท่ีพร้อมจะกระทําทุกอย่างด้วยความรักต่อสังคมและโลกนี้อย่างแท้จริง เพราะถ้าไม่เช่นน้ัน จิตท่ีเต็มไปด้วยความรักก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า การภาวนา ด้วยความรัก เม่ือมีพลังแห่งความรักแล้ว ก็ต้องสร้างการปฏิสัมพันธ์ต่อสังคมและโลก การภาวนาจึง จะสงผลในทศิ ทางทสี่ รา้ งสรรค์ตอ่ ผูค้ นในการดําเนินชวี ิตและการอยรู่ ่วมกนั ๔.๓.๔ การเจริญภาวนาดว้ ยการสลดั ความกระวนกระวาย การเจริญภาวนาอีกวิธีหน่ึงท่ีท่านติช นัท ฮันห์ได้แนะให้เราฝึกปฏิบัติคือ การภาวนาด้วย การสลัดความกระวนกระวายท้ังหลายในใจ ตลอดทั้งเรื่องในอดีตหรือความคาดหวังในเร่ืองอนาคต เพราะท่านมองว่า การภาวนาในขณะปัจจุบันน้ันคือการสร้างสันติภาพในอนาคตของมวลมนุษยชาติ ดังท่ที า่ นกลา่ วไวใ้ นเรื่อง “เดนิ ภาวนา” ว่า การเดินของเราเพื่อให้เพลิดเพลินกับการเดินแต่ละย่างก้าว ดังนั้นเราจึงต้องสลัดท้ิง ความกระวนกระวายท้ังหมด โดยไม่คํานึงถึงอนาคต หรือคิดถึงเรื่องในอดีต หากแต่เพื่อ ความเพลิอดเพลินกับปัจจบุ นั ขณะเท่าน้ัน เราอาจจงู มอื เดก็ น้อยขณะท่ีเดิน เม่ือเราเดินให้ เราย่างก้าวดุจดังว่าเราเป็นบุคคลผู้มีความสุขมากท่ีสุดในโลก แม้ว่าเราจะเดินอยู่ ตลอดเวลา แต่การเดินของเรามักจะเหมือนการวิ่งอยู่เสมอ เมื่อเราเดินเช่นนั้น เราได้ ประทบั รอยแห่งความกระวนกระวาย และความโศกเศรา้ ไวบ้ นโลก เราต้องเดินในวิถีที่เรา ทุกคนจักพิมพ์รอยเท้าของสันติภาพและความสงบเย็นไว้บนพื้นแผ่นดิน เราทุกคนทํา เชน่ นน้ั ได้๑๙ จากข้อความข้างต้น จะเห็นได้ว่า นอกจากคําสอนท่ีพยายามจะแนะให้เราได้ฝึก ปฏิบัติการเดินด้วยการเจริญภาวนาอย่างไม่คํานึงถึงอดีตอนาคตแล้ว สิ่งท่ีเราสามารถตีความได้ มากกวา่ นั้น คือ ท่านติช นัท ฮันห์ ไดพ้ ยายามทจ่ี ะเสนอหรือเตอื นสติของเราคอื การยึดติดกับอดีตหรือ ๑๙ ติช นัท ฮนั ห์, สันติภาพทกุ ย่างกา้ ว, หนา้ ๕๒–๕๓.
๗๔ อนาคตไม่ใชห่ นทางแห่สันติภาพ แต่การเดินของเรานั้นหมายถึงท้ังการปฏิบัติตนและความคิดของเรา ทกุ คนวา่ เราควรจะเลือกเดนิ อยา่ งไรบนพนื้ โลกเพ่อื ความสุข เพ่อื ความไม่เบียดเบียนและเพื่อสันติภาพ ของมวลมนษุ ยชาตเิ องและเปน็ งานของเราเก่ียวกับสันติภาพ ดังท่ีท่านกล่าวไว้ต่อมาว่า “เรากําลังทํางานเพื่อเหตุปัจจัยของสันติ และมวลมนุษยชาติ การเดนิ ภาวนาคอื การฝึกปฏบิ ัติอันมหศั จรรย์” ดังน้ัน การเดินในความหมายที่ลึกซึ้งก็คือ สิ่งท่ีเราทุก คนบนโลกควรตระหนักรว่ มกนั ว่า เราจะเลือกวิถีในรูปแบบใดในการเดินบนผืนแผ่นน้ีร่วมกันอย่างสัน สันติภาพ ๔.๓.๕ การเจรญิ ภาวนาตอ้ งไมแ่ บง่ แยกและไมใ่ ช้ความรุนแรง การฝึกเจริญภาวนาน้ัน ท่านติช นัท ฮันห์ แนะว่าเราทุกคนต้องฝึกปฏิบัติโดยต้องตั้งอยู่ บนหลักการของการไม่แบ่งแยกและไม่ใช้ความรุนแรง เพราะท่านมองว่า หลักการนี้คือหลักการที่จะ ทําใหเ้ ราเข้าใจและรู้จกั ความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ดังท่ีท่านกลา่ วไวใ้ นเรอ่ื ง “กลับมาคนื ดี” ว่า การฝึกภาวนาก็อยู่บนหลักของการไม่แบ่งแยกเป็นสองเช่นกัน เราฝึกใช้หลักแห่งการ ไมใ่ ชค้ วามรนุ แรง เพราะเรารู้วา่ เราคอื ความสุขและเราก็คือความทุกข์ด้วยเช่นกัน เราคือ ความเขา้ ใจ และเราก็คือความหลงลืมด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ เราต้องดูแลทั้งสองฝุาย เรา ต้องไม่เลือกที่รักมักท่ีชัง เราต้องไม่กดขี่ฝุายใดฝุายหนึ่ง เพราะเห็นแก่อีกฝุายหน่ึง พระ พุทธองค์ตรัสว่า “ถ้าส่ิงนี้มีอยู่ส่ิงนั้นย่อมมีอยู่” ส่ิงนี้มีอยู่เพราะสิ่งนั้นมีอยู่ ดังนั้น จึงไม่ ควรมคี วามขัดแยง้ ไมค่ วรมคี วามรุนแรงใดๆ๒๐ จากข้อความข้างต้น ช้ีให้เห็นว่า ท่านติช นัท ฮันห์ พยายามทําทุกวิถีทางที่จะสร้าง สันติภาพในโลกปัจจุบันด้วยการทําให้ผู้คนได้เรียนรู้การเจริญภาวนาที่ต้องต้ังอยู่บนหลักการของการ ไม่แบ่งแยก ซ่ึงก็หมายถึง ไม่ว่าศาสนาใด ชนชาติใด เราจะไม่แบ่งแยกเป็นฝักฝุาย เพราะต่างก็ก็มี ความสขุ และความทุกขด์ ้วยกันทั้งนนั้ ฉะนั้นเราจําเป็นอย่างย่ิงสาํ หรบั การฝึกปฏิบัติเจริญภาวนาที่ต้อง ดแู ลท้ังเขาและเราโดยไม่มคี ามรุนแรงเขา้ มาเกย่ี วขอ้ ง ๔.๓.๖ การเจรญิ ภาวนาต้องทันสถานการณข์ องโลก ต่อมาท่านติช นัท ฮันห์ ได้มองว่า สําหรับการภาวนานั้น ย่ิงสังคมโลกเปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็ว การภาวนาก็ยิ่งตอ้ งทําหรอื ปฏบิ ตั ิให้ทันต่อสถานการณ์ของโลกอยา่ งทันทเี พราะการภาวนาจะ ทาํ ใหเ้ ราไดร้ ู้เข้าใจตนเองและกลับเขา้ มาสปู่ ัจจุบันอย่างมสี ติ ดังท่ที านกล่าวไวใ้ นเรื่อง “ขับรถภาวนา” ว่า “เราต้องทําให้การภาวนาของเราทันกาลสมัย และสอดคล้องกับสถานการณ์ของโลก ดังนั้น ฉันจึง ได้เขียนบทภาวนาง่าย ๆ ท่ีเธอสามารถท่องก่อนท่ีจะเร่ิมเคล่ือนรถของเธอ ฉันหวังว่ามันจะช่วยได้ ๒๐ ตชิ นัท อันห์, รกั แท:้ การฝึกปฏิบัติเพอื่ หัวใจที่เบกิ บาน, แปลโดย วัชรวี รรณ ชัยวรศิลป,์ พมิ พ์ครั้ง ที่ ๙, (กรุงเทพมหานคร: อมรินทรธ์ รรมะ, ๒๕๕๔), หนา้ ๖๖.
๗๕ ก่อนท่ีจะติดเครื่องยนต์รถ ฉันรู้ว่าฉันกําลังไปไหน ฉันและรถเป็นหนึ่งเดียวกัน หากรถไปเร็ว ฉันก็ไป เรว็ ”๒๑ จากขอ้ ความดังกล่าวจะเห็นวา่ ท่านตชิ นทั ฮันห์ได้พยายามที่จะเสนอว่า เม่ือสถานการณ์ ของโลกเป็นสังคมโลกยุคใหม่ การเดินทางหรือการทํางานของเราต้องดําเนินไปอย่างมีสติด้วยการ ภาวนา ซึง่ ความหมายทีล่ ึกซง่ึ น้ัน ไม่ได้หมายถึงการขับรถอย่างมีสนติอย่างเดียว แต่ท่านติช นัท ฮันห์ ได้พยายามท่ีบอกว่า ทุกคร้ังท่ีเราเคล่ือนท่ีในทุกๆ กรณีเราต้ังคําถามต่อตัวเองหรือยังว่าเพื่ออะไร ไป ทาํ ไม มีความสาํ คัญมากแคไ่ หน เพราะการต้ังคําถามอย่างน้ีจะทําให้เราได้รู้ว่า ตัวตนของเราน้ันกําลัง จะทําอะไร มปี ระโยชนต์ ่อตนเองและผู้อน่ื อยา่ งไร ดงั ท่ที ่านกลา่ วต่อมาว่า นเี่ ป็นคําถามทลี่ ึกซงึ้ “เราจะไปไหนกัน” ไปส่กู ารทําลายตัวเราเองหรือ หากต้นไม้ตาย เรากก็ ําลงั จะตายเช่นกนั หากการเดนิ ทางท่เี ธอจะตอ้ งไปน้นั จําเป็นอยา่ ได้ลังเลท่ีจะไป แต่ หากว่าเธอเห็นว่ามันไม่สําคัญจริงๆ เธอสามารถขยับกุญแจออกจากเคร่ืองยนต์ และไป เดินเล่นเลียบฝั่งนํ้าหรือไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ เธอจะกลับมาสู่ตัวของเธอ และ ทักทายสนทนาเป็นเพอื่ นกับตน้ ไมอ่ ีกครัง้ ๒๒ จากข้อความข้างต้น จะเห็นได้ว่า การดต้ังคําถามท่ีมาพร้อมกับการภาวนาในการที่เราจะ เคล่ือนท่ีหรือขับรถ หรือเดินทางนั้น ไม่ใช่เป็นเพียงการตั้งคําถามที่เตือนให้ผู้คนระวังหรือต้ังอยู่ใน ความไม่ประมาท แต่คําถามที่ท่านติช นัท ฮันห์ ได้พยายามสอนน้ัน คือคําถามที่ต้องการให้คนทุกคน บนโลกนไี้ ด้ตระหนกั ร่วมกนั กล่าวอีกนยั คือเปน็ การลดการทาํ ลายบางอย่างลงเพ่ือใหพ้ น้ื ทน่ี ้ันสงบ เช่น ส่ิงแวดล้อมถูก ทําลายอันจะเกดิ จากการกระทําของเรา หรอื กระท่ังมองในแง่ของการเผชิญหนา้ ระหว่างคู่ขัดแย้ง เรา ก็สามารถลดพื้นที่ท่ีจะเกิดการใช้กําลังลงได้ ด้วยการภาวนาและคําถามว่าเราไปเพ่ืออะไร มี ความสําคญั และประโยชนต์ ่อเราและผอู้ ื่นอย่างไร ดังน้ัน การฝึกปฏิบัติเจริญภาวนาเพื่อหนทางแห่งสันติภาพ จึงสรุปได้ ๖ ประการ คือ ๑. การปฏิบัติเจริญภาวนาต้องนํามาใช้ในชีวิตประจําวัน ๒. การเจริญภาวนาต้องด้วยความการุณย์ ๓. การเจริญภาวนาต้องด้วยความรัก ๔. การเจริญภาวนาด้วยการสลัดความกระวนกระวาย ๕. การ เจริญภาวนาต้องไม่แบ่งแยกและไม่ใช้ความรุนแรง ๖. การเจริญภาวนาต้องทันสถานการณ์ของโลก และทัง้ ๖ ประการน้ี เป็นวิธีการในแง่ของการเจริญภาวนาเพ่อื สร้างสรรคพ์ ื้นที่ของสันติภาพบนโลก ที่ มีความจําเป็นและสาํ คัญอยา่ งมากตอ่ สถานการณ์ปัจจุบนั เปน็ วิธีการแก้ไขโดยนําเอาหลักธรรมะมาใช้ ๒๑ ติช นทั ฮนั ห์, ของฝากจากหลวงปู,่ แปลโดย สงั ฆะอาสาสมัครหมบู่ ้านพลมั ประเทศไทย, พิมพ์ครั้ง ที่ ๒, (กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพด์ ี จาํ กัด, ๒๕๕๔), หน้า ๕๗. ๒๒ เร่ืองเดียวกัน, หนา้ ๕๘.
๗๖ ในการเปล่ียนแปลงแก้สถานการณ์และตัวเราให้มีสันติขึ้นซ่ึงสอดคล้องกับคํากล่าวของท่านพุทธทาส ภกิ ขุ วา่ ปัญหาความยุ่งยากของโลกเกิดจากความยุ่งยากของแต่ละบุคคล การแก้ไขโลกจึงต้อง แก้ที่คนการแก้คนต้องอาศัยธรรมะเป็นเคร่ืองแก้ และธรรมะท่ีอยู่ในสมุดหนังสือย่อมไม่ เกิดประโยชน์เต็มท่ีแต่หากต้องนําธรรมะมาใช้ในชีวิตประจําวันของตนทุกวัน” การจะ เลือกวธิ ีใดไมส่ ําคัญเท่า ทาํ จริงทําสมํ่าเสมอ และร่วมมือกันทุกฝุาย สันติสุขก็จะเกิดข้ึนใน สังคมไทย๒๓ ๔.๔ การฝึกปฏิบตั เิ จรญิ สติเพอื่ หนทางแหง่ สันติภาพ การฝึกเจริญสติเป็นอีกหน่ึงวิธีที่ท่านติช นัท ฮันห์เน้นให้ความสําคัญอย่างมากในทุกๆ เรื่อง เพราะท่านมองว่า การฝึกสติไม่ใช่เพียงการฝึกเพื่อตนเองอย่างเดียว แต่ยังเป็นการทํางานเพื่อ ตนเองและเพอ่ื สังคม นน่ั หมายถงึ การฝึกปฏบิ ตั ิเพ่อื สันตภิ าพ ดังการวเิ คราะหต์ อ่ ไปน้ี ๔.๔.๑ ฝึกปฏิบัตกิ ารหายใจอย่างมสี ติในปจั จบุ ันขณะ การฝึกปฏิบัติการหายใจเข้า-ออก เป็นอีกหน่ึงวิธีที่ท่านติช นัท ฮันห์ พยายามท่ีสอนเรา ทกุ คน โดยเฉพาะในภาวะปัจจุบัน เพราะท่านมองว่า การฝึกหายใจเข้าออกอย่างมีสติน้ัน จะสามารถ ทําให้เราเผชิญกับสงิ่ ต่างๆ ในโลกปจั จุบันได้อย่างสมบูรณ์ ดังท่ีท่านกล่าวไว้ในเรื่อง “การหายใจอย่าง มีสติ” ว่า สาํ หรับฉนั การหายใจเป็นความเบิกบานทจ่ี ะขาดเสียมิได้ ฉันฝึกหายใจย่างมีสติทุกวัน ในห้องภาวนาเล็กๆ ของฉัน ฉันเขียนอักษรภาพไว้เป็นประโยคว่า “หายใจเถิด เพราะ เธอมีชีวิต” เพียงการหายใจและการยิ้มสามารถทําให้เราเป็นสุขอย่างย่ิง เพราะเม่ือเรา หายใจอยา่ งมสี ตเิ ราจะฟน้ื ตวั อยา่ งสมบรู ณแ์ ละเผชิญกบั ชวี ติ ในปัจจบุ นั ได้๒๔ เห็นได้ชัดว่า ท่านติช นัท ฮันห์ได้ให้ความสําคัญอย่างมากเก่ียวกับการฝึกสติในปัจจุบัน และสิ่งท่ีท่านได้พยายามสอนเก่ียวกับการฝึกสติ เมื่อเราฝึกสติเราจะสามารถสร้างความสุขให้กับ ตนเอง ตัวเราเองกจ็ ะมคี วามสมบูรณด์ ้วยหรอื กา้ วข้ามความทกุ ขใ์ นภาวะปจั จุบัน ขณะเดียวกันการฝึก สติยังทําให้ตัวเรานั้นเผชิญกับสถานการณ์ในปัจจุบันของโลกได้ น่ันก็หมายถึง ความพร้อม ความ เขม้ แข็ง และการรู้เทา่ ทันสถานการณ์ของโลกอย่างทันสมยั นั่นเอง ๒๓ พรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์, “แนวคิดจิตวิทยาในการจัดการความขัดแย้งในใจและสร้างสันติสุข”, วารสารราชบัณฑิตยสถาน, ปที ่ี ๓๘ ฉบบั ที่ ๒ (เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๖): ๒๒๒. ๒๔ ติช นทั ฮันห์, สันติภาพทกุ ย่างก้าว, หน้า ๓๓.
๗๗ ๔.๔.๒ การเจรญิ สตเิ พอ่ื สนั ติภาพต้องกลบั มาสตู่ นเอง การเจริญสติในความหมายของท่านติช นัท ฮันห์ ความหมายที่ท่านได้พยายามได้สอน ผู้คนน้นั ความหมายไม่ได้อย่เู พียงแคก่ ารปฏิบัติธรรม แต่เป็นการเจริญสติท่ีแผ่ออกไปอย่างกว้างขวาง เพ่อื คนอีกจํานวนมาก หรือเพื่อสันติภาพของคนหมู่มาก ดังที่ท่านกล่าวไว้ในเร่ือง “นําความสุขศานติ กลบั มาสูภ่ ายใน” วา่ การฝึกสติ การฝึกสมาธิภาวนาต้องอาศัยการกลับมาหาตัวเอง เพ่ือนําความสุขศานติ และความสมานฉันท์กลับมา พลังงานท่ีเราใช้กระทําสิ่งน้ีได้คือ พลังแห่งสติ สติ คือ พลังงานที่นําสมาธิ ความเข้าใจ และความรักมาด้วย เมื่อเรากลับมาหาตัวเอง เพื่อนํา ศานติและความสมานฉันท์กลับมา การช่วยเหลือผู้อื่นก็จะทําได้ง่ายขึ้นมาก การดูแล ตัวเอง การสรา้ งความสุขศานตใิ หฟ้ ื้นข้ึนอีกครง้ั ภายในตวั เรา คือพ้นื ฐานของการช่วยเหลือ ผู้อื่น เพื่อไม่ให้ผู้อื่นหลุดกลายเป็นลูกระเบิด อันเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์แก่ตัวเราและ ผคู้ นรอบข้าง๒๕ จากข้อความข้างต้น ช้ีให้เห็นว่า ในความความของการเจริญสติของท่าน ติช นัท ฮันห์ เป็นความหมายของการเจริญสติที่กว้างขวาง ครอบคลุมไปถึงการดําเนินชีวิตในโลกปัจจุบันท้ังตัวเอง และผู้คนรอบข้าง หากมองอย่าลึกซึ้ง จะเห็นถึงแก่นแท้ของความหมายนี้คือ การเจริญสติ คือ การ หยุดการทําลาย การฆ่า การกดข่ี สงคราม ซ่ึงก็หมายความว่า เมื่อเราเจริญสติ สงครามและการ ทาํ ลายลา้ งก็หยุด ความสมานฉนั ท์ก็เกดิ ข้นึ ในชวี ติ สงั คมและโลกได้ ๔.๔.๓ การเจริญสติต้องทาในชวี ติ ประจาวนั การเจรญิ สตินัน้ ท่านติช นัท ฮันห์ ไม่ได้แนะนําให้ฝึกปฏิบัติเพียงเพื่อระยะหน่ึงหรือเพียง ชั่วขณะ แต่การเจริญสติต้องทําอย่างต่อเนื่องในการดําเนินชีวิตประจําวัน และในปัจจุบัน ตัวอย่าง เช่น ท่านแนะนํานักการเมืองว่า หากนักการเมืองไม่มีจิตใจท่ีสงบแล้ว จะสามารถมองถึงสถานการณ์ ของประเทศอย่างลึกซ้ึงได้อย่างไร ดังทที่ า่ นกลา่ วไว้ในเร่อื ง “เราทกุ คนควรฝกึ การเจริญสติ” วา่ ความผ่อนคลาย ความศานติ ความอยู่ดีมีสุข ความเบิกบาน และความสัมพันธ์ที่ดีกับ ผู้อ่ืน ย่อมเกิดข้ึนได้เมื่อเราฝึกการเจริญสติในชีวิตประจําวัน ฉันเชื่อว่าทุกคนสามารถฝึก ปฏิบัติเช่นนี้ได้ แม้แต่นักการเมือง พรรคการเมือง หรือแม้แต่คณะรัฐสภา ซึ่งเป็นสถาบัน ท่ตี ้องเขา้ ใจสถานการณ์ของประเทศเป็นอย่างดี ความเข้าใจดังกล่าวต้องอาศัยการฝึกมอง อย่างลึกซึ้ง หากบรรดาผู้แทนราษฎรไม่มีความสงบ ไม่มีสมาธิแน่วแน่เพียงพอแล้ว พวก เขาจะมองสง่ิ ต่างๆ อยา่ งลกึ ซง้ึ ไดอ้ ย่างไร๒๖ ๒๕ ตชิ นทั อนั ห์, รกั แท:้ การฝึกปฏิบัตเิ พอ่ื หัวใจท่ีเบิกบาน, หนา้ ๔๓. ๒๖ ติช นัท ฮนั ห์, ของฝากจากหลวงป,ู่ แปลโดย สังฆะอาสาสมัครหมู่บ้านพลมั ประเทศไทย, พิมพ์คร้ัง ที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพด์ ี จาํ กัด, ๒๕๕๔), หนา้ ๘๕.
๗๘ ติช นัท ฮันห์ พยายามเสนอแนะให้กลุ่มนักนักการเมืองได้หันมาพิจารณาและพัฒนาการ เจริญสติ เพ่ือที่จะนําไปใช้ในสถานการณ์ของประเทศได้เพราะนักการเมืองถือว่า เป็นบุคคลที่มี ความสาํ คญั อย่างมากตอ่ ทิศทางการกาํ หนดนโยบายของประเทศ ดงั นั้น ความสขุ ความสงบ ความเบิกบานจะเกดิ ขึ้นได้ตอ่ ประชาชนนั้นนอกจากประชาชน จะต้องฝึกประปฏบิ ตั ิแล้ว นกั การเมอื งกต็ อ้ งฝกึ การเจรญิ สติดว้ ยเช่นกนั เพราะสถานการณ์น้ัน ๆ ท่ีจะ มที ศิ ทางดีหรือไม่ดี กข็ ึ้นอยูก่ ับนักการเมืองอยา่ งหลีกเลีย่ งไม่ได้ ๔.๔.๔ การเจรญิ สตคิ ืองานเพื่อสันติภาพในปัจจบุ ันและอนาคต ในสถานการณ์ปัจจบุ ันนัน้ ทา่ นติช นัท ฮันหไ์ ด้มองวา่ หากเราไมต่ ระรูแ้ ละไม่เจริญสติ เรา กไ็ มส่ ามารรถที่จะเห็นคุณค่าของสติได้ เพราะการฝึกเจริญสติน้ันเป็นรากฐานและงานที่สําคัญต่อการ สรา้ งสันตภิ าพในสถานการณ์ปัจจุบันและในอนาคต ดงั ท่ที า่ นกลา่ วไว้ในเร่อื ง “ไร้จุดม่งุ หมาย” วา่ รากฐานของความสุขคือการมีสติ เงื่อนไขปัจจัยของการเป็นสุขก็คือจิตสํานึกท่ีเป็นสุข ของเรา หากเราไม่ตระหนักรู้ว่าเรามีความสุข เราก็ไม่ได้เป็นสุขจริง ๆ เม่ือเราปวดฟันเรา ก็จะรวู้ า่ การไมป่ วดฟันเป็นสุขอย่างไร แต่เมื่อเราไม่ได้ปวดฟันเราก็ยังคงไม่เป็นสุข การไม่ ปวดฟันคือความร้สู ึกยินดี มอี ีกหลายสิ่งท่ีน่ารื่นรมย์ แต่หากเราไม่ภาวนาเจริญสติเราก็จะ ไมเ่ ห็นคุณค่ามัน เม่ือเราเจรญิ สติ เราจะรสู้ กึ ถนอมรกั สง่ิ เหลา่ นี้ และเรยี นรู้ที่จะปกปูองมัน โดยการเอาใจใส่ปัจจุบันขณะให้ดี ก็เท่ากับเราดูแลอนาคต ก็คือการทํางานเพ่ือสันติภาพ ในปัจจุบันขณะ๒๗ จากข้อความข้างต้น ชี้ให้เห็นว่าคําสอนของท่าน ติช นัท ฮันห์เกี่ยวกับการเจริญสติ ท่าน ไดพ้ ยายามอธิบายว่า สตเิ ป็นรากฐานที่สาํ คัญตอ่ การดาํ เนินชีวิตและความสุขของเรา และสติคือสิ่งท่ีมี คณุ คา่ อย่างมากตอ่ ชีวติ และที่สําคัญคือ ความหมายของการเจริญสติหากเราพิจารณาอย่างลึกซึ้งจาก ขอ้ ความข้างตน้ เรายังจะพบว่าเม่ือทุกคนเรียนรู้ที่จะฝึกสติ และควบคุมดูแลด้วยการอาใจใส่แล้ว นั่น หมายถึง การทท่ี กุ คนไดพ้ ยายามทาํ งานเพ่ือโลก คือการทาํ งานเพือ่ สนั ติภาพในขณะปัจจุบันในอนาคต ในตัวของมันเองด้วย ๔.๔.๕ การเจริญสตติ อ้ งมองถงึ ความสมานฉนั ท์ของเราทกุ คน ตอ่ มาการเจริญสตินั้น ท่านติช นัท ฮันห์ ยังมองว่า เรายังต้องเจริญสติต้องมองในทิศทาง ของอาณาจักของเรา ซ่ึงก็หมายถึงสังคมและโลกของเราน่ันเอง เพราะจะทําให้เราเข้าใจปัญหาหรือ ความขัดแย้งและสามารถที่จะสร้างความสมานฉันท์และสันติภาพได้ ดังที่ท่านกล่าวไว้ในเรื่อง “กลับมาคนื ดี” วา่ ๒๗ เร่อื งเดยี วกัน, หนา้ ๖๔.
๗๙ เราทุกคนคือพระราชาหรือพระราชินีผู้ปกครองอาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาล พลัง แหง่ สติช่วยให้เราคอยสอดส่องดูแลอาณาจกั รของเราได้อย่างใกล้ชิด เราต้องคอยสอดส่อง ดูแลอาณาจักรของเรา เพื่อจะได้รู้ว่ามีอะไรเกิดข้ึนที่น่ัน มีใครอยู่ตรงน้ัน มีความขัดแย้ง อะไรเกิดขึ้นบ้าง มีสงคราม หรือความทุกข์อะไรบ้าง การมองอาณาจักรของเธอให้เห็น อย่างแจ่มชัดทําให้เธอสามารถดูแลจัดการทุกส่ิง นําความสมานฉันท์กลับคืนมา และ จัดการระเบยี บขันธ์ ๕ อนั ไดแ้ ก่ กาย อารมณ์ความรสู้ ึก ความเหน็ จิตปรงุ แตง่ ตา่ ง ๆ และ รับรูจ้ ติ ได้อยา่ งถูกต้อง๒๘ ติช นัท ฮันห์ พยายามท่ีจะทําให้เราได้เห็นว่า การฝึกสติและพลังของสติน้ัน เป็นพลังที่ สาํ คัญท่จี ะทาํ ให้เราได้สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างแจ่มแจ้ง กล่าวคือเมื่อเราฝึกเจริญสติได้อย่าง สมบูรณ์แล้ว ปัญหาหรือความขัดแย้งบนโลก ไม่ว่าปัญหาเรื่องสงคราม เราก็สามารถหยุดหรือหา หนทางในการสร้างความสมานฉันท์ได้ หรือเราสามารถท่ีจะหาทางจัดระเบียบท่ีสร้างสรรค์ร่วมกันได้ ดังน้ัน ท่านจึงเน้นให้เราได้เจริญสติ เพ่ือท่ีจะนํามาแก้ไขปัญหา เพื่อให้นติภาพเกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน สรปุ การฝกึ ปฏิบัตเิ จรญิ สติเพ่ือหนทางแห่งสันติภาพได้ ๕ ประการ คือ ๑. ฝึกปฏิบัติการ หายใจอยา่ งมีสติในปัจจบุ ันขณะ ๒. การเจริญสติเพ่ือสันติต้องกลบั มาสู่ตนเอง ๓. การเจริญสติต้องทํา ในชีวติ ประจําวนั ๔. การเจรญิ สตคิ อื งานเพ่ือสันตภิ าพในปจั จบุ นั และอนาคต ๕. การเจริญสติต้องมอง ถึงความสมานฉันท์ของเราทุกคน ทั้ง ๕ ประการน้ี เมื่อมองในภาพรวมจะเห็นได้ว่า เป็นวิธีการในเร่ือง การฝึกเจริญสติ โดยมีจุดมุ่งหมายท่ีกว้างใหญ่ กล่าวคือ เป็นการเจริญสติเพ่ือสังคมและโลก เพ่ือที่จะ เข้าใจปัญหาของความขัดแย้งอันนําสู่สงครามก็ดี การใช้กําลังก็ดี หรือทุกส่ิงทุกอย่างที่ทําให้โลกไม่มี สันตภิ าพ ดังนนั้ การเจริญตามแนวคิดของของท่านติช นัท ฮันห์ ท่านจึงพยายามสื่อสารให้โลกได้รับรู้ วา่ การเจริญสตมิ ีความสาํ คญั อย่างมากตอ่ โลกปจั จุบัน ๔.๕ คาสอนทางพระพทุ ธศาสนาสร้างสนั ตภิ าพในโลกปจั จุบัน ตอ่ มาสิ่งท่ีทา่ นตชิ นัท ฮนั ห์ พยายามที่จะเผยแพร่ในเร่ืองของการสร้างสันติภาพน้ัน ท่าน พยายามทําให้เห็นว่า นอกจากตัวเราเองจะเป็นศูนย์กลางของการสร้างสันติภาพแล้ว สิ่งท่ีสําคัญใน การนํามาเป็นเคร่อื งมือท่ีจะช่วยสร้างสนั ตภิ าพใหเ้ กิดข้นึ ได้นัน้ เราทุกคนตอ้ งเรียนรูค้ ําสอนทางศาสนา พุทธ เพราะท่านเช่ือว่า เม่ือนําคําสอนทางศาสนาพุทธมาใช้ในการขับเคลื่อนสร้างสันติภาพให้เกิด ข้ึนกับตนเองและสังคมโลกแล้ว ทุกคนจะเข้าใจและรู้จักตนเองมากขึ้นและมองสันติภาพตามคําสอน ทางพระพุทธศาสนา ดงั การวเิ คราะห์ตอ่ ไปนี้ ๒๘ ติช นทั ฮันห์, ของฝากจากหลวงป,ู่ แปลโดย สังฆะอาสาสมัครหมูบ่ ้านพลัมประเทศไทย, พิมพค์ รั้ง ท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พด์ ี จํากัด, ๒๕๕๔), หน้า ๗๒.
๘๐ ๔.๕.๑ ศกึ ษาคาสอนทางพระพทุ ธศาสนาโลกจะมีสันตภิ าพ คําสอนทางพระพุทธศาสนาเป็นอีกหนึ่งความหวังท่ีท่าน ติช นัท ฮันห์ได้พยายามสื่อสาร ใหผ้ คู้ นในสงั คมไดรับรู้ว่า คาํ สอนของพระพุทธเจ้าคือส่ิงเดียวที่เราทุกคนควรท่ีจะศึกษาเรียนรู้ เพราะ ท่านมองว่า เม่ือเรียนรู้คําสอนทางพระพุทธศาสนา เราจะนําสันติภาพกลับมา ดังท่ีท่านกล่าวไว้ใน เรอื่ ง “เจา้ ชายน้อยและภาพแหง่ สันติ” วา่ บรรดาสัตว์และพืชพันธ์ุท่ีมีชีวิตอยู่บนโลกของเรา ได้สูญหายตายจากไปแล้วมากมาย ฉนั ไม่รู้ว่า เราควรวาดภาพพวกมัน แล้วนํามันกลับมาหรือไม่ ทุกวันน้ีเรากําลังทําลายโลก ด้วยน้ํามือของเราเอง สิ่งที่มีชีวิตสายพันธุ์ต่าง ๆ ได้สาบสูญไปแล้วหลายชนิด อย่างไรก็ ตาม ส่งิ ทเ่ี ราตอ้ งการมากท่สี ุดขณะน้ี คือสันติภาพเราจําเป็นต้องนําสันติภาพกลับมา โลก ท้ังภายในและภายนอกตัวเรานั้นเต็มไปด้วยความรุนแรง ความขัดแย้ง มีการทําลายล้าง อยู่ท่ัวไป ด้วยเหตุน้ี เราจึงต้องการสันติภาพอย่างมาก ใครคือคนที่เราจะเรียกร้องให้นํา สันติภาพกลับคืนมา ใครกันที่จะวาดภาพสันติภาพเพ่ือนําสันติสุขมาสู่ชีวิตหัวใจ และ ส่ิงแวดล้อมของเรา ถ้าเธอได้ศึกษาคําสอนของพุทธศาสนาเธอจะรู้ว่า ผู้นั้นเป็นใคร คนที่ จะนําสันตภิ าพกลับมาสู่เธอและโลกไดก้ ็คอื ตัวเธอเอง๒๙ น้ีก็แสดงให้เห็นว่า โลกถูกทําลายด้วยฝีมือของมนุษย์ ทุกชีวิตบนโลกต่างได้รับความ สูญเสียทั้งชีวิตและการอยู่ร่วมกัน เม่ือเป็นเช่นนี้ สันติภาพจึงเป็นเร่ืองที่มนุษย์ทุกคนต้องการอย่าง เรง่ ดว่ น และไมม่ ีใครทจ่ี ะช่วยสร้างสันติภาพนอกจากตัวเราเอง โดยทุกคนต้องหันพิจารณาพ่ึงหลักคํา สอนของพระพุทธศาสนา ท่านติช นัท ฮันห์ ได้มองว่า หลักคําสอนของพระพุทธศาสนาเป็นหนทาง เดียวที่จะชว่ ยให้มนุษย์นน้ั ได้พบกบั สันตภิ าพ ท้ังสันตภิ าพท่ีจะเกิดขึ้นกับตนเองและสังคมโลก ต่อมาท่านติช นัท ฮันห์ก็ยังเช่ือว่า เม่ือเราได้นําหลักคําสอนของพระพุทธศาสนามาใช้ใน การสรา้ งสันติภาพ การจัดการเรื่องสันติภาพให้เกิดขึ้นนั้น เราสมารถทําได้เพราะอาศัยพลังอํานาจที่ เกิดจากการฝึกปฏบิ ัตขิ องเราเอง ดงั ท่ีท่านกล่าวา่ เรามีพลังอํานาจในการวาด และสร้างสันติภาพข้ึนได้ เม่ือเรากลับมาสู่กายและพบ ความตรึงเครียดและความเจ็บปวดอยู่ในกาย ส่ิงที่เราต้องทําคือการผ่อนคลายด้วยการ หายใจอย่างมีสติ ในพระสูตรอานาปานสติ พระพุทธองค์ได้ทรงสอนถึงวิธีการผ่อนคลาย ความตรงึ เครยี ด และความเจบ็ ปวดของรา่ งกาย ด้วยการหายใจ๓๐ ๒๙ ตชิ นทั ฮันห์, ของฝากจากหลวงป,ู่ หน้า ๑๐๔. ๓๐ เรือ่ งเดียวกัน, หนา้ ๑๐๘.
๘๑ จากข้อความดังกล่าว เป็นการแสดงให้เห็นว่า ท่านติช นัท ฮันห์ ได้พยายามนําหลักคํา สอนทางพระพุทธศาสนามาเปน็ หลักในการสรา้ งสันตภิ าพใหก้ บั ผู้คนในสังคม เห็นได้ชัดว่า การพัฒนา เร่ืองสันติภาพ เป็นเทคนิคหรือวิธีการจัดการความไม่สงบภายในจิตใจ หรือความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ภายในจิตใจของตนเอง กล่าวอีกนัยหนึ่ง เราทุกคนมีความจําเป็นอย่างมากท่ีจะต้องสร้างสันติภาพ ด้วยตนเอง ปฏิบัติและพัฒนาด้วยตนเองด้วยการนําเอาหลักคําสอนของพระพุทธเจ้ามาใช้สร้าง สันตภิ าพโดยเฉพาะสงั คมชาวพทุ ธ ดังท่ีท่านพุทธทาส ภิกขุ กล่าวไว้ในการบรรยายเรื่องสันติภาพโลกว่า “น้ีเราเป็น สาวก ของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีหลักเกณฑ์อย่างเดียวกัน ต้องเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ขอท่านท้ังหลายจงถือ หลักเกณฑ์อันนี้ ดําเนินตนอยู่ในหลักเกณฑ์ดังนี้ คือจะเป็นผู้ต่ืน ผู้รู้ ผู้เบิกบาน จะต้องรู้ที่ควรจะรู้ บรรดาส่ิงที่ควรจะรู้แล้วควรจะรู้ให้ครบ เป็นปัญหาใหญ่ของมนุษย์ ก็คือเรื่องไม่มีสันติภาพ เร่ืองมีแต่ ส่ิงตรงกันข้าม เราเรียกว่าวิกฤตการณ์ ฉะน้ันเราต้องรู้เรื่องของสันติภาพและส่ิงตรงกันข้าม คือ วกิ ฤตการณ์ว่ามันมีอย่อู ย่างไร มันเกดิ มาเพราะเหตุไร เราจะมีความสําเร็จในการมีสันติภาพได้อย่างไร เรียกว่ารู้สง่ิ ทคี่ วรรู้ แลว้ ก็ตนื่ ตืน่ จากความไม่รู้ ตื่นเสียจากความผิดพลาด ลุ่มหลงงมงายในเร่ืองน้ันๆ ก็หมายความว่า ละความผิดพลาดได้ มีแต่ความถูกต้อง แล้วก็มาเป็นผู้เบิกบาน ตามอย่าง พระพุทธเจา้ ”๓๑ ท่านพุทธทาส ภิกขุ ยังกล่าวต่อไปอีกว่า “นี้เราเป็นพุทธบริษัท ก็ควรจะรับผิดชอบอยู่ใน ตัว เพราะเรียกตัวเองว่าพุทธบริษัท บริษัทของบุคคลผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เมื่อยังเรียกตัวเองว่าเป็น พุทธ บรษิ ทั อยู่ ก็ตอ้ งรู้จักและสนใจในเรื่องสันตภิ าพอนั เป็นความมงุ่ หมาย มาเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริง ยิง่ ๆ ขนึ้ ไป ดว้ ยการรบั ผิดชอบในสันติภาพของโลก ก็จะเป็นพุทธบริษัทเต็มตัว พุทธบริษัทที่เต็มเป่ียม เหมือนหรอื ตรงกบั พระพทุ ธประสงคน์ ัน่ เอง”๓๒ ดงั น้นั เมือ่ พิจารณาจากคาํ กลา่ วข้างตน้ จะเห็นวา่ แนวคดิ เรื่องของการนําหลักคําสอนทาง พระพทุ ธศาสนาของท่านพทุ ธทาสก็มมี ที ศิ ทางเดียวกันกับการนําหลักธรรมมาใช้ในการสร้างสันติภาพ ให้เกิดข้ึนเหมือนกับแนวความคิดของท่านติช นัท ฮันห์ เพราะต่างก็มองว่า โลกน้ีเต็มไปด้วยความ รุนแรง ความวุ่นวาย การกดข่ี การใช้กําลังต่อประชาชน กระทั่งการใช้อาวุธนิวเคลียร์ทําลายล้างกัน ซ่งึ เป็นภาวะของการไร้สนั ตภิ าพต่อการอยู่ร่วมกนั บนโลกใบน้ี การนําหลักคําสอนทางพระพุทธศาสนา มาใช้พฒั นาเร่อื งสันติภาพจงึ เป็นเร่ืองที่สําคัญและต้องพัฒนาอย่างจริงจัง ท้ังพัฒนาตนเอง ครอบครัว สงั คมและโลก ๓๑ พุทธทาสภกิ ขุ, สันตภิ าพของโลก, (ไชยา: ธรรมทานมลู นิธ,ิ ๒๕๒๙), หน้า ๓-๔. ๓๒ เรื่องเดยี วกนั , หน้า ๑๓-๑๔.
๘๒ ๔.๕.๒ ฝึกปฏิบตั ิตามวถิ ีของพระพุทธเจา้ เราจะพบอิสระ คําสอนทางพระพุทธศาสนา ถือว่ามีความสําคัญอย่างมากต่อการดําเนินชีวิตในโลก ปจั จบุ ัน ซึ่งท่านตชิ นทั ฮันห์ ก็ได้แนะให้ผู้คนได้เดินตามวิถีของพระพุทธเจ้า เราจะพบความเบิกบาน ความเปน็ อิสระซงึ่ ก็หมายถงึ สนั ตภิ าพหรอื สนั ตสิ ขุ ภายใต้พลังแห่ง สติ สมาธิ ปัญญา ดังที่ท่านกล่าวไว้ ใน เรอ่ื ง “เบิกบานกบั อาณาจกั รแห่งพระเจ้า” วา่ พระพุทธเจ้าน้ันอยู่ในตัวเรา พลังแห่งสติ สมาธิ และปัญญาคือพระพุทธเจ้า เม่ือเธอ มาร่วมปฏิบัติ กับสังฆะ บรรดาพ่ีน้องทางธรรมจะฝึกปฏิบัติ เช่นเดียวกับเรา ทุกคนจะ กลับมาสัมผัสกับเมล็ดพันธ์แห่งสติ เพื่อเป็นอิสระและเบิกบานกับขณะปัจจุบัน “เป็น อิสระ” หมายถึง การเป็นอิสระจากความทุกข์ เช่น ความโกรธ ความกลัว ความยึดติด ความอยาก เป็นต้น ส่ิงเหล่าน้ันทําให้เราเป็นทุกข์ ทําให้เราไม่สามารถเป็นสุขเบิกบาน และรักไดอ้ ย่างแท้จริง๓๓ ติช นทั ฮันห์พยายามใหผ้ ู้คนได้เห็นว่า เราจะเป็นอิสระจากปัญหาทั้งหลายได้นั้น เราต้อง ฝึกเป็นเช่นเดียวในวิถีของพระพุทธเจ้า ซ่ึงก็คือ สติ สมาธิ และปัญญาเท่าน้ัน ความทุกข์ ความโกรธ ความกลวั และความอยากนั้นเป็นบ่อกั้นทางแห่งสันติสุข ท่านจึงแนะให้เราได้เข้ามาสัมผัสในโลกการ การฝึกปฏบิ ตั ติ ามวิถีของพระพุทธเจ้า เพราะท่านมองวา่ วิถีแห่ง สติ สมาธิ และปัญญา คือหนทางแห่ สันตสิ ขุ ๔.๕.๓ อริสจั ๔ คือสิง่ ที่ต้องเขา้ ใจและเปลีย่ นแปลงความทกุ ข์ การนําคาํ สอนทางพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในการสร้างสันติภาพ ท่านติช นัท ฮันห์ ได้พยายามอย่างมากสําหรับการนําคําสอนของพระพุทธเจ้ามาใช้ เช่น ท่ีเวียดนาม ท่านได้นําหลักคํา สอนของพระพุทธเจ้าไปสอนผู้คนที่เวียดนาม เพ่ือที่จะให้คนที่เวียดนามได้เข้าใจคําสอนทางศาสนา พุทธแนวใหม่อย่างแท้จริง และเพื่อให้สันติภาพเกิดข้ึน ดังตัวอย่างท่ีท่านกล่าวไว้ในเร่ือง “การเริ่มต้น ของพระพทุ ธศาสนาแนวใหม่” หรือ Engagaed Buddhism วา่ เราต้องเข้าใจอริยสัจ ๔ ในแง่มุมใหม่ เราจะมองเหน็ ความทุกข์ท่ีอยู่ในกายและใจของ เรา ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียด ความโกรธ ความกลัว ความกังวล ความรุนแรง ครอบครัวท่ีแตกแยก สังคมท่ีแตกแยก สงคราม ความขัดแย้ง ผู้ก่อการร้าย การทําลาย ระบบนิเวศ ภาวะโลกร้อน และอ่ืนๆ เราควรตระหนักอยู่ตรงนั้นอย่างเต็มเปี่ยมในขณะ ปัจจบุ ัน เพอื่ ตระหนกั รู้ และเห็นหน้าตาอนั แท้จริงของความทุกขน์ ้นั ๓๔ ๓๓ ติช นัท ฮนั ห์, ของฝากจากหลวงป,ู่ หน้า ๓๗. ๓๔ เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๗๐.
๘๓ จากขอ้ ความข้างต้น แสดงใหเ้ ห็นวา่ ท่านตชิ นทั ฮันห์ได้มองเหน็ ความแตกแยกและการไม่ มีสันติภาพเกิดขึ้น ซ่ึงเต็มไปด้วยความทุกข์ของผู้คน ท่านจึงพยายามจะนําหลักคําสอนท่ีหัวใจของ พระพุทธศาสนา คือ อริยสัจ ๔ โดยการอธิบายในแง่มุมใหม่เพ่ือให้สอดคล้องกับสังคมปัจจุบันให้คน เวยี ดนามได้เข้าใจ ซึ่งจะทําให้ผู้คนได้เรียนรู้ความทุกข์หรือปัญหาที่เกิดข้ึน และนําไปสู่การตระหนักรู้ และร่วมกันปลดปล่อยความทุกข์น้ันด้วยคําสอนของพระพุทธเจ้า ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า น่ีเป็น จุดมุ่งหมายของท่านติช นัท ฮันห์ท่ีพยายามสร้างสันติภาพด้วยการเปลี่ยนแปลงความทุกข์ให้ไปสู่ สนั ตภิ าพในบา้ นเกดิ ของท่าน แนวความคิดของท่านติช นัท ฮันห์ ข้างต้นจึงสอดคล้องกับคํากล่าวของพระมหาประยูร ธมฺมจิตโต (มิฤกษ) กล่าวไว้ว่า “มนุษย์อาจเปล่ียนทัศคติที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้ ถ้าเขา ปลดปลอ่ ยตนเองจากพลังครอบงําของอกุศลมูลทั้งสามและในขณะเดียวกันก็พัฒนากุศลมูลท่ีเรียกว่า พรหมวิหาร ๔ คอื ๑. เมตตา ความรักปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ ๒. กรุณา ความสงสารคิดช่วยเหลือผู้ ประสบทุกข์ ๓. มทุ ติ า ความพลอยยนิ ดกี บั ผู้ได้ดมี ีสุข ๔. อุเบกขา ความเป็นกลางต่อสรรพสัตว์ บุคคล ผู้ประสบความสําเร็จในการพัฒนาคุณธรรมเหล่านี้ เรียกว่า “เป็นผู้ชนะตนด้วยการสรงสนานด้านใน ภายหลงั จากอาบน้าํ แห่งเมตตาและกรณุ าทมี่ ีตอ่ สรพสัตว์” ผลก็คือ ความเปลี่ยนแปลงข้ันพ้ืนฐานแห่ง ความประพฤติของเขา การเจริญเมตตาจัดเป็นการปฏิบัติศาสนธรรมส่วนสําคัญและจําเป็นต่อการ เสริมสรา้ งสนั ติภาพ”๓๕ ดังน้ัน คํากล่าวข้างต้นมีทิศทางเดียวกันกับแนวความคิดของท่านติช นัท ฮันห์ที่พยายาม จะนําหลักอริยสัจ ๔ แนวใหม่ไปใช้สอนผู้คนที่เวียดนาม เพ่ือเกิดความเข้าใจและการเปลี่ยนแปลง สังคมใหด้ าํ เนนิ ไปสูค่ วามสนั ติสุขในบา้ นเกิดของท่าน เพราะหากมกี ารเปล่ยี นอดตี ท่ีเลวร้ายและปัญหา ของความไม่เข้าใจระหว่างการดําเนินชีวิตในโลกปัจจุบันแล้วสันติภาพก็ไม่เกิดขึ้น หลักอริสัจ ๔ ตาม แนวความคิดของทา่ น จงึ มีความจาํ เปน็ อยา่ งมากตอ่ สถานการณ์บา้ นเมืองของคนเวียดนาม ๔.๕.๔ สรา้ งสนั ตภิ าพในโลกปจั จบุ ันดว้ ยการฝกึ ปฏบิ ัติอานาปานสติ ต่อมาหลักธรรมของการปฏิบัติเพ่ือสันติภาพในปัจจุบันประการที่สําคัญอย่างมากที่ท่าน ติช นัท ฮันห์ให้ผู้คนได้ฝึกปฏิบัติ นั่นก็คือ การฝึกอานาปานสติ ตามหลักคําสอนทางพระพุทธศาสนา ซง่ึ การปฏบิ ัตนิ นั้ ไมใ่ ชก่ ารทีต่ อ้ งมาเจรญิ หรอื นัง่ สมาธอิ ย่างเดียว แต่เป็นฝึกปฏิบัติที่ต้องควบคู่ไปไปกับ การดาํ เนินชวี ิตในโลกปัจจุบนั เพราะท่านมองว่า หากเราปฏบิ ัติ เราก็กําลังสร้างพลังแห่งสติภาพ ดังที่ ท่านกล่าวไว้ในเรื่อง “เจ้าชายน้อยและแห่งภาพสันติ” ว่า “การฝึกปฏิบัติอานาปานสติจะช่วยให้เรา ดูแลร่างกาย ความรู้สึก และการรับรู้ของเรา เม่ือพวกเราอยู่รวมกันเป็นชุมชนและปฏิบัติตามคําสอน ๓๕ พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต), พุทธวิธีสร้างสันติภาพ, พิมพ์คร้ังท่ี ๒, (กรงุ เทพมหานคร: บริษัท อมรินทร์พร้ินตงิ้ กรุพ๊ จากดั , ๒๕๓๒), หนา้ ๒๙-๓๐.
๘๔ ด้วยการนั่งร่วมกัน เพื่อสงบกาย ใจ และความรู้สึกเท่ากับเรากําลังสร้างพลังแห่งสันติภาพเพื่อส่วน ร่วม”๓๖ การปฏิบัติอานาปานสติตามหลักคําสอนทางศาสนาพุทธยังเป็นส่ิงที่ผู้คนต้องร่วมกัน ปฏิบัติ เพราะท่านมองว่า การปฏิบัติอานาปานสติน้ันจะช่วยสร้างพลังของสันติภาพได้ ไม่ว่าชุมชนที่ เราอาศยั สังคมส่วนรวม และสิ่งท่ีเห็นได้ชัดเจนจากคํากล่าวข้างต้นคือ จุดมุ่งหมายสําหรับการปฏิบัติ คือตอ้ งมที ิศทางท่สี ร้างประโยชนแ์ ก่ผู้คนสว่ นใหญ่ น่ันกห็ มายถึงสนั ติภาพบนโลกน่นั เอง ท่านยังกล่าวต่อไปอีกว่า “การฝึกปฏิบัติอานาปานสตินั้นจะเป็นการสร้างสันติภาพท่ีเป็น ภารดรภาพสําหรับคนส่วนใหญ่ ดงั นน้ั หากพจิ ารณาตามทีท่ ่านกล่าว กจ็ ะช้ีให้เห็นถึงแนวคิดการสร้าง สันติภาพท่ียั่งยืนโดยอาศัยการฝึกปฏิบัติตามคําสอนทางพระพุทธศาสนา ดังนั้นท่านจึงได้พยายามท่ี จะเผยแผ่คําสอนให้ผู้คนได้เข้ามาเป็นส่วนหน่ึงในการสร้างสันติภาพ เพราะผู้ที่เข้าร่วมการปฏิบัติทุก คนได้รับพลังแห่งสันตภิ าพ และความสงบสุข” ดงั ทท่ี า่ นกล่าวต่อมา ว่า “คนจํานวน ๓๐๐ หรือ ๕๐๐ คนที่น่ังหายใจอย่างสงบและมีสติกําลังสร้างพลังสันติภาพและภารดรภาพ ถ้าเธอเป็นหนึ่งในกลุ่มนั้น เธอจะได้รับพลังน้ันด้วย พลังนั้นจะแทรกซึมเข้าสู่กายช่วยผ่อนคลายร่างกายจากความตรึงเครียด แทรกซึมเข้าส่ใู จและผ่อนคลายจติ ใจเธอจากความปวดร้าวเศร้าโศก”๓๗ ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า การสร้างสันติภาพในโลกปัจจุบันอีกหน่ึงวิธีที่จะต้องร่วมกันสร้างคือ ท่านติช นัท ฮันห์ พยายามที่จะเสนอว่า การฝึกปฏิบัติอานาปานสติตามคําสอนทางพระพุทธศาสนา โดยการเข้าร่วมกันปฏิบัติ ซ่ึงการปฏิบัตินั้นไม่ใช่การปฏิบัติในครอบครัว หรือชุมชนเท่านั้น แต่ ความหมายก็คือ ท่านติช นัท ฮันห์ได้หมายถึงการปฏิบัติอานาปานสติท่ีผู้คนท้ังโลกต้องเข้าใจร่วมกัน และฝกึ ปฏบิ ตั ิในการดําเนินชีวิตของเรา เพราะไม่ว่าเราจะอยู่ท่ีใดหากเราปฏิบัติ พื้นที่ที่เราอาศัยอยู่ก็ มสี ันตภิ าพได้ หากพิจารณาตามแนวคําสอนของท่านติช นัท ฮันห์ ในที่น้ีก็หมายความว่า คําสอนทาง พระพุทธศาสนาคือส่ิงเดียวที่จะช่วยพยุงโลกเอาไว้บนภาวะแห่งสันติภาพตามแนวคิดของท่านติช นัท ฮันห์ ซ่ึงสอดคล้องกับคํากล่าวของ ศศิธร เวียงวะลัย ได้กล่าวไว้ว่า “พระพุทธศาสนาเป็นความหวัง สุดท้ายท่ีจะนําพาวิถีอารยธรรมไปสู่การพัฒนาสันติภาพ โดยเร่ิมที่การพัฒนาบุคคลให้หลีกเว้นจาก การเบียดเบยี นซง่ึ กนั และกนั ดว้ ยกาย วาจา ใจ มที า่ ทปี รารถนาดีต่อกนั ด้วยไมตรีจิตมิตรภาพ มีความ มุง่ มั่นสูป้ ัญหา และมปี ัญญาใครค่ รวญไตรต่ รองให้รอบดา้ นในการที่จะทาํ การท้ังหลาย โดยตระหนักว่า ไมท่ าํ ลายตน สงั คม และสภาพแวดล้อมโดยใช้อายตนะเพ่อื สร้างสนั ติภาพน่ันเอง”๓๘ ๓๖ ติช นทั ฮันห์, ของฝากจากหลวงป,ู่ หนา้ ๑๐๗. ๓๗ เรอื่ งเดียวกนั , หน้า ๑๐๙. ๓๘ ศศธิ ร เวยี งวะลัย, “ศึกษาวิเคราะห์อายตนะในฐานะสื่อแห่งสันติภาพ”, ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎี บัณฑิต (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๖), หน้า ๖๘.
๘๕ ทงั้ นี้แนวคดิ เรื่องสันตภิ าพนนั้ นอกจากจากเปน็ นภาวะทีป่ ราศจากความรุนแรง หรือ ภาวะที่ปราศจากสงครามใดๆ ก็ตาม หากมองในแง่ของพระพุทธศาสนาก็จะพบว่า สันติภาพ ก็คือ ความสงบท้งั ภายนอกและภายในของตวั เรา กลา่ วคือ หลกั ปฏบิ ัตหิ รอื คาํ สอนทางศาสนาจะเป็นเครื่อง พัฒนาให้เกิดสันติภาพภายใน ดังท่ีพระมหาหรรษา ธมฺมหาโส (นิธิบุณยากร) ได้กล่าว่า “พระพุทธศาสนาพยายามท่ีจะย้ําก็คือ สันติภาพในระดับภายนอกนั้นเป็นพ้ืนฐานสําคัญที่จะนําไปสู่ สันติภาพภายใน กับจะเห็นได้จากการพัฒนาในระดับศีลอันเป็นสันติภาพในระดับข้ันพื้นฐานไปสู่ ระดับ สมาธิ และปญั ญา ซง่ึ เปน็ สนั ติภาพในระดับสูงซง่ึ เป็นเปาู หมายสูงสดุ ในพระพุทธศาสนา”๓๙ ๔.๖ แนวคดิ สันตภิ าพในปจั จุบนั กับอนาคตของสนั ตภิ าพโลก การสรา้ งสนั ติภาพ สาํ หรับท่าน ติช นัท ฮันห์ ไม่ใช่เป็นเพียงการสร้างสันติภาพเพ่ือสังคม ปจั จุบนั เท่าน้ัน ทา่ นยงั มองไปถงึ สันตภิ าพในระยะยาวที่เราต้องสร้างและพัฒนาร่วมกัน หรือสันติภาพ ที่จะเกิดข้ึนในอนาคต กล่าวคือ ท่านพยายามท่ีจะแนะว่า เราต้องปลดปล่อยและเปลี่ยนแปลงอดีต ของความเลวร้ายของสงครามให้ดําเนินไปสู่วิถีของสันติภาพเพื่อทุกชีวิตบนโลก ดังการวิเคราะห์ ตอ่ ไปนี้ ๔.๖.๑ การเปลีย่ นจิตสานกึ ตอ่ ความโลภและความรุนแรง ท่านติช นัท ฮันห์ มองว่า สังคมของเรานั้นถูกปกครองไปด้วยความโลภและความรุนแรง ทั้งสองส่ิงน้ีได้ได้ก่อให้เกิดเมล็ดพันธ์ุแห่งความความทุกข์บนโลก ท่านจึงกล่าวว่า แม้เราจะเลือกผู้นํา ประเทศขึ้นมาใหม่ก็ตาม หากเรายังไม่เปล่ียนแปลงจิตสํานึกเหล่านี้ เราก็ไม่พบหนทางแห่งสันติภาพ และชว่ ยเหลือประเทศชาตไิ ด้ ดังท่ที า่ นกล่าวไว้ในเร่ือง “ปฏบิ ตั กิ ารแกง่ ความรกั ” ว่า เราจะต้องไม่คิดว่าเพียงการเลือกประธานาธิบดีคนใหม่จะทําให้สถานการณ์ เปลย่ี นแปลง หากเราต้องการรัฐบาลที่ดี เราจะต้องเร่ิมต้นด้วยการเปล่ียนแปลงจิตสํานึก และวิธีการดําเนินชีวิตของเราใหม่ สังคมของเราน้ันถูกปกครองด้วยความโลภ และความ รุนแรง หนทางท่ีจะช่วยเหลือประเทศชาติ และประธานาธิบดีของเรา ก็คือการ เปล่ียนแปลงความโลภ และความรนุ แรง ท่อี ยู่ในตัวเรา และทาํ การเปลยี่ นแปลงสงั คม๔๐ นี่เป็นแนวคิดท่ีมีความลึกซ้ึงในการที่จะเปลี่ยนความรู้สึกของผู้คนท่ีถูกครอบงําหรือถูก ปกครองด้วยความโลภและความรุนแรงมาโดยตลอด และหนทางที่จะช่วยเหลือประเทศชาติ หรือทํา ใหส้ นั ติภาพเกิดข้ึนมาได้น้นั ทา่ นตชิ ติช ฮันห์ เห็นว่า การเลือกผู้นําเพ่ือให้มาปกครองประเทศน้ัน ยัง ไม่ใช่หนทางท่ีแท้จริง ส่ิงที่แท้จริงคือการสลายความโลภและความรุนแรง หรือการเปลี่ยนแปลง ๓๙ พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส (นิธิบุณยากร), พุทธสันติวิธี : การบูรณาการหลักการและเครื่องมือ จดั การความขดั แย้ง, (กรุงเทพมหานคร: บริษทั ๒๑ เซ็นจูรี่ จากดั , ๒๕๕๔), หนา้ ๑๒๐. ๔๐ ตชิ นัท ฮนั ห์, ศานติในเรอื นใจ, หนา้ ๗๗.
๘๖ จติ สํานึกของตนเอง การเปลีย่ นจิตสาํ นึกความโลภและความรุนแรง ก็คือการทําลายรากเหง้าของการใช้ความ รนุ แรงนน่ั เอง หากเราสามารถเปล่ยี นแปลงไดเ้ ราก็ธํารงไวซ้ ง่ึ สันตภิ าพได้ ซึง่ สอดคลอ้ งกับคํากล่าวของ ชนิ วธุ สนุ ทรสีมะ ท่กี ลา่ วว่า เมอ่ื ต่างฝุายต่างถอื โลภะ โทสะ โมหะจรติ เปน็ ทต่ี ั้ง ซํ้ายังมีเหตุปัจจัยและ เหตุการณ์ต่างๆ มายั่วยุมากข้ึนแล้ว ก็ย่ิงจะทําให้แต่ละกลุ่ม หรือประเทศขาดสติยับย้ัง มีมานะ การ ถือตนและสําคัญตน หรือศักด์ิศรี เกียรติภูมิ ชาติภูมิมาเสริมต่อ ก็จะขาดเหตุผล และความรอบคอบ เกิดเป็นโมหะ ความหลง มีมิจฉาทิฐิเป็นเครื่องนําทาง ก็ย่อมจะทําให้การตัดสินใจแก้ข้อขัดแย้งด้าน การใช้ความรุนแรง จนถึงการใช้กาํ ลังทาํ ใหเ้ กดิ สงครามทาํ ลายสันติภาพใหห้ มดไปในทีส่ ุด”๔๑ ดังน้ัน ก็จะเหน็ ว่า คาํ กลา่ วขา้ งตน้ กพ็ ยายามทจ่ี ะอธิบายถึงสาเหตุของการเกิดวามขัดแย้ง ความรุนแรงตลอดทั้งการทําสงคราม ต่างก็เกิดมาจากโลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งหากมนุษย์สามารถท่ีจะ เปลี่ยนแปลงได้ มนุษย์ก็สามารถมีสันติภาพได้ทั้งในตนเองและสันติภาพภายนอกคือแผ่นดินท่ีเรา อาศัยก็ปราศจากความรุนแรง และสงคราม การเปล่ียนแปลงจิตสํานึกตามแนวคิดของท่านติช นัท ฮนั ห์จงึ เปน็ วิธหี นึ่งทท่ี ่านมองวา่ จะลดความรุนแรงลงได้ และสามารถที่จะร่วมกันเปลี่ยนแปลงสังคมที่ เราอาศยั อยู่ ๔.๖.๒ การรกั ษาสขุ ภาพจิตและความรับผิดชอบตอ่ เพ่อื นมนษุ ย์ ข้อแนะนําท่ีท่านติช นัท ฮันห์เสนอให้ผู้คนได้มองเห็นและปฏิบัติเพื่อที่จะช่วยกันปกปูอง และสร้างสันติภาพ การท่ีทุกคนดูแลสุขภาพจิตของตนเอง และรู้จักแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมท่ี เราอยอู่ าศัยรว่ มกนั ดังท่ที ่านกล่าวไวใ้ นเรอื่ ง “ธรรมชาติและการไม่ใช้ความรนุ แรง” วา่ ในโลกปจั จุบันน้ี มีเหตุปัจจัยหลายประการที่ก่อให้เกิดอาการปุวยทางจิต ไม่ว่าจะเป็น มลพิษในสภาพแวดลอ้ ม การใช้ระเบดิ ในสงคราม ความรนุ แรงทเ่ี กดิ อยู่ทุกวันในย่านต่างๆ และทุกๆ ปัญหาที่เกิดข้ึนมาจากการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจในยุค โลกาภิวัฒน์ หากเราต้องการท่ีจะหยุดย้ังปัญหาเหล่านี้ เราต้องหาวิธีปูองกันไม่ใช่ แก้ปัญหาเพียงอย่างเดียว การรักษาสุขภาพจิตของตนให้ดีเป็นการแสดงความรับผิดชอบ ต่อสงั คมมนษุ ย์ และการช่วยปอู งกันไมใ่ หผ้ ู้อนื่ ปุวยก็เป็นหนทางท่ีเราจะปกปูองมนุษย์ชาติ ไม่ว่าเราจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี ครูบาอาจารย์ นักบําบัดจิต ศิลปิน ช่างไม้ หรือนักการเมือง เราทุกคนก็เป็นมนษุ ย์เหมือนกนั ๔๒ ๔๑ ประชุมสุข อาชวอํารุง และยุพิน พิพิธกุล, ประมวลความรู้เรื่องสันติภาพ, (กรุงเทพมหานคร: จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๐), หน้า ๒๘๔. ๔๒ ติช นัท ฮันห์, เราคือโลก โลกคือเรา, แปลโดย ปองขวัญ สุขวัฒนา ลาซูส, (กรุงเทพมหานคร: มลู นธิ หิ ม่บู า้ นพลมั , ๒๕๕๖), หนา้ ๖๑.
๘๗ จากข้อความข้างต้น ช้ีให้เห็นว่า ส่ิงที่เราทุกคนต้องเปลี่ยนแปลงเพ่ือการดําเนินชีวิตที่ดี และมีสันติสุขได้น้ัน ท่านมองว่า การดูแลสุขภาพจิตของตนเองเป็นเร่ืองที่สําคัญอย่างมากต่อการ เปล่ียนแปลงสถานการณ์ของโลก ปัญหาที่เกิดขึ้นบั่นทอนสุขภาพจิตของมนุษย์ จนเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้นมากมาย ดังน้ันภายใต้การเปลี่ยนแปลงและปัญหาท่ีเกิดขึ้นบนโลก มนุษย์ต้องรู้จักการดูแล สุขภาพจิต เพราะน่ันหมายถึง การปกปูองจิตใจของตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของปัญหาต่างๆ ขณะเดียวกัน ท่านก็ยังมองว่า เมื่อเราดูแลสุขภาพจิตของเราดี เราก็ได้แสดงความรับผิดชอบท้ังต่อ ตนเองและผูอ้ ื่นด้วย ๔.๖.๓ การตระหนกั รดู้ ว้ ยการปกปอ้ งแผน่ ดนิ เพ่ือสันสนั ตภิ าพ ต่อมาคําสอนของท่านติช นัท ฮันห์ ยังได้สะท้อนถึงแนวคิดเร่ืองสันติภาพบนโลก โดยท่ี ท่านพยายามให้ผู้คนได้ตระหนักรู้ต่อแผ่นดินที่เราอาศัย ซ่ึงทุกคนมีหน้าท่ีท่ีจะปกปูองรักษาร่วมกัน แม้ว่าสิ่งที่ต้องปฏิบัติน้ันเพียงการทิ้งเศษขยะลงในถังขยะก็เป็นการตระหนักรู้และการสร้าง สันติภาพ รว่ มกนั ดังที่ทา่ นกล่าวไว้ในเร่ือง “ศลิ ปะของการอยู่อยา่ งมีสติ” ว่า ฉันรู้ว่ากําลังโยนถุงพลาสติกเข้าไปในถังขยะ การตระหนักรู้เช่นนั้น แม้แต่ลําพังก็ช่วย เราปกปอู งแผ่นดนิ สรา้ งสันศานติสุข และเก้ือกูลชีวิตท้ังในปัจจุบันและในอนาคต หากเรา มีการตระหนักรู้โดยธรรมชาติ เราจะพยายามใช้ถุงพลาสติกให้น้อยลง นี้คือการกระทํา เพ่ือสันตภิ าพ พน้ื ฐานของการปฏิบัติการสนั ตภิ าพ๔๓ แม้เป็นการกระทําเล็กน้อยท่ีเกี่ยวข้องกับการดําเนินชีวิตของเรา ท่านติช นัท ฮันห์ก็ยัง มองว่าน่ันเป็นส่ิงที่เราทุกคนต้องตระหนักถึง และต้องปฏิบัติ เพราะความหมายท่ีแท้จริงก็คือ การ เปลี่ยนแปลงการกระทําของเราเองท่ีสร้างผลเสียให้กับโลก ดังน้ันการตระหนักรู้ถึงความจริงเช่นนี้คือ พืน้ ฐานของสันติภาพ และกเ็ ป็นการสรา้ งสนั ติภาพใหก้ ับโลกดว้ ย หากพิจารณาต่อไปก็จะเห็นได้อีกว่า คํากล่าวของท่านพยายามเช่ือมไปยังผู้คนท้ังโลก โดยต้องการใหผ้ ูค้ นได้ถอื ปฏบิ ัตริ ว่ มกนั เพราะการกระทําดังกลา่ วเปน็ พนื้ ฐานที่สาํ คัญสําหรับการสร้าง สันติภาพของเรา ๔.๖.๔ การปลดปลอ่ ยความทุกขเ์ พ่อื สันตภิ าพของคนรนุ่ ตอ่ ไป จากการพิจารณาแนวคิดเรื่องสันติภาพในปัจจุบันของท่านติช นัท ฮันห์ ผู้ศึกษายังพบว่า ท่านติช นัท ฮันห์ยังพยายามเสนอแนวคิดเร่ืองสันติภาพให้กับผู้คนในสังคมได้มองเห็นและเข้าใจ น่ัน คอื การปลดปล่อยความทกุ ข์ของเราให้เป็นอสิ ระเพอื่ สันติสุขบนโลก ดังที่ท่านกล่าวไว้ในเรื่อง “เราได้ มาถึงแล้ว” ว่า ๔๓ ตชิ นทั ฮนั ห์, สันติภาพทุกยา่ งกา้ ว, หนา้ ๑๓๙.
๘๘ หากเราไม่ปลดปล่อยบรรพบุรุษของเราให้เป็นอิสระ เราเองก็ตกอยู่ในพันธนาการไป ตลอดชีวิต และเราก็ถ่ายทอดพันธนาการน้ีต่อไปยังลุกหลานของเราเราด้วย เวลาน้ีก็คือ เวลาท่ีเราจะได้ทําการปลดปล่อย การปลดปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระ ก็หมายถึงการ ปลดปล่อยตัวเราเองด้วย นี่คือคําสอนเก่ียวกับการดํารงอยู่อย่างอิงอาศัยกัน ตราบใดท่ี บรรพบรุ ษุ เรายังคงทกุ ข์ทรมาน เราจะไม่สามารถมีความสขุ ไดอ้ ยา่ งแท้จริง หากเราก้าวไป ได้หน่ึงก้าวอย่างมีสติ มีอิสระ สัมผัสกับพื้นโลกอย่างมีความสุขเท่ากับว่าเราได้ทําเพื่อคน รุน่ กอ่ น ๆ และคนรุน่ ตอ่ ๆ ไปท้ังหมด คนเหล่าน้ีได้มาอยู่กับเราด้วยในขณะเดียวกัน และ พวกเราทกุ คนกจ็ ะค้นพบศานตสิ ุขไดพ้ ร้อมๆ กนั ๔๔ จากขอ้ ความขา้ งตน้ ชใี้ ห้เหน็ ถึง แนวคิดสนั ตภิ าพของท่านติช นทั ฮันห์ กล่าวคือ โลกของ เราและตวั เรา ผอู้ ่ืนกระทั่งบรรพบรุ ษุ ณ ขณะปัจจุบนั นตี้ ่างก็เต็มไปดว้ ยความทุกข์ที่บรรพบุรุษของเรา ตัวเราเองไม่สามารถที่จะสร้างสันติสุขได้ ท่านจึงเสนอว่า ขณะปัจจุบันนี้ถึงเวลาที่เราต้องช่วยกัน ปลดปล่อยความทุกข์ให้กับตัวเรา บรรพบุรุษของเราให้เป็นอิสระ ภายใต้การมีสติและการดํารงอยู่ ร่วมกัน ซ่ึงหากเป็นเช่นน้ี ท่านก็มองว่า เราทุกคนกําลังสร้างสันติภาพในขณะปัจจุบันและในอนาคต เพือ่ คนรุ่นตอ่ ไป ๔.๗ สรปุ จากการวเิ คราะห์แนวคดิ เรื่องสนั ติภาพของทา่ น ตชิ นัท ฮันหใ์ นโลกปัจจุบัน ท่ีจะนํามาใช้ สรา้ งสันติภาพและความความสงบสุขใหก้ ับตนเองและโลก สามารถสรุปไดด้ ังนี้ ๑). แนวคิดการแปรเปลี่ยนสังคมและชุมชนเพื่อสันติภาพ ได้แก่ การแปรเปลี่ยนเง่ือนปม ภายในเพือ่ การอยู่ร่วมกนั การแปรเปลีย่ นชุมชนใหเ้ ป็นชุมชนที่ปฏิบัติธรรม การแปรเปล่ียนสังคมและ ชุมชนต้องดําเนินไปเพอื่ เพอ่ื นมนุษย์ การแปรเปลยี่ นชมุ ชนตอ้ งดําเนนิ ไปอย่างมีสติ ๒) การแปรเปล่ียนตัวเองเพื่อหนทางแห่งสันติภาพ ได้แก่ การแปรเปล่ียนด้วยการถอน ความคิดเห็นที่ผิด การแปรเปล่ียนด้วยการสร้างความเห็นที่ถูกต้อง การแปรเปล่ียนด้วยการปฏิบัติใน แนวทางแห่งสติ สมาธิ ปัญญา การแปรเปล่ียนด้วยการสร้างความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อ่ืน การ แปรเปล่ยี นดว้ ยการหยุดนสิ ัยของตนเองเพอ่ื การอยรู่ ว่ มกนั การแปรเปล่ียนดว้ ยการสร้างพลังนิสัยด้าน บวก การแปรเปล่ียนด้วยการสร้างความเก้ือกูล การแปรเปล่ียนด้วยการสร้างความสัมพันธ์ การ แปรเปลยี่ นตนเองด้วยความรกั การแปรเปลยี่ นการกระทาํ ทกุ อย่างด้วยสันติ ๓) การฝึกปฏิบตั ิเจรญิ ภาวนาเพ่อื หนทางแหง่ สนั ตภิ าพ ได้แก่ การปฏิบัติเจริญภาวนาต้อง นํามาใช้ในชีวิตประจําวัน การเจริญภาวนาต้องทําด้วยความการุณย์ การเจริญภาวนาต้องทําด้วย ๔๔ เรอ่ื งเดียวกนั , หนา้ ๓๘–๓๙.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125