Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือเรียนประวัติศาสตร์ชาติไทย ระดับประถมศึกษา

คู่มือเรียนประวัติศาสตร์ชาติไทย ระดับประถมศึกษา

Description: คู่มือเรียนประวัติศาสตร์ชาติไทย ระดับประถมศึกษา

Search

Read the Text Version



ก คานา สถานศึกษาในสังกดั สานกั งาน กศน.จงั หวดั อานาจเจริญ ไดด้ าเนินการจดั ทาคู่มือเรียน รายวิชา ประวตั ิศาสตร์ชาติไทย สค13045 สาระการพฒั นาสังคม ระดบั ประถมศึกษา เพื่อใช้ ประกอบการจดั การเรียนการสอน หลักสูตร การศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 สาระสาคญั ของรายวิชา ประวตั ิศาสตร์ชาติไทย คือ การเรียนรู้ในเร่ืองการต้งั ถิ่น ฐาน การดาเนินชีวติ และวฒั นธรรมของชุมชน การสถาปนาอาณาจกั รไทย สญั ลกั ษณ์ของชาติไทย และการศึกษาเร่ืองราวทางประวตั ิศาสตร์ เก่ียวกบั สถาบนั ชาติ ศาสนา พระมหากษตั ริย์ พฒั นาการ ของชุมชน ขนบธรรมเนียม ประเพณีและวฒั นธรรมของชุมชน ประเพณีและวฒั นธรรมไทย การ สถาปนาอาณาจกั รสุโขทยั อาณาจกั รอยุธยา อาณาจกั รธนบุรี อาณาจกั รไทยสมยั รัตนโกสินทร์ การศึกษาเหตุการณ์สาคญั ในประวตั ิศาสตร์ชาติไทย เป็ นการเรียนรู้เกี่ยวกบั เร่ืองราวในอดีตของคน ไทยที่จะทาให้คนไทยไดร้ ับรู้ถึงรากเหง้า ต้งั แต่อดีตจวบจนปัจจุบนั ผูเ้ รียนสามารถนาคู่มือการ เรียนไปศึกษาค้นคว้าได้ด้วยตนเอง ทาความเข้าใจในเน้ือหาสาระของบทเรียน แล้วจัดทา แบบฝึกหดั และแบบทดสอบทา้ ยบท สถานศึกษาในสังกดั สานกั งาน กศน.จงั หวดั อานาจเจริญ ขอขอบคุณ ผเู้ รียบเรียงและคณะ ผูจ้ ดั ทาทุกท่านท่ีไดใ้ ห้ความร่วมมือเป็ นอยา่ งดี และหวงั เป็ นอย่างยิ่งวา่ คู่มือการเรียนชุดน้ีจะเป็ น ประโยชนใ์ นการจดั การเรียนการสอนของคณะครูและการเรียนรู้ของผูเ้ รียนต่อไป สานกั งาน กศน.จงั หวดั อานาจเจริญ มิถุนายน 2560

สารบญั ข คานา หน้า สารบญั ก คาอธิบายรายวชิ า ข รายละเอยี ดคาอธิบายรายวชิ า ค บทที่ 1 การศึกษาเรื่องราวทางประวตั ศิ าสตร์ ง 1 การศึกษาประวตั ิศาสตร์ไทยโดยใชว้ ธิ ีการทางประวตั ิศาสตร์ 2 หลกั ฐานท่ีใชศ้ ึกษาเหตุการณ์สาคญั ในประวตั ิศาสตร์ชาติไทย 8 แบบฝึกหดั บทท่ี 1 14 บทท่ี 2 การต้ังถิ่นฐานการดาเนินชีวติ และวฒั นธรรม 17 การต้งั ถิ่นฐานและพฒั นาของชุมชน 18 วฒั นธรรมและประเพณีไทย 24 ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวฒั นธรรมของชุมชน 27 แบบฝึกหดั บทที่ 2 31 บทที่ 3 การสถาปนาอาณาจักรไทย 34 อาณาจกั รสุโขทยั 35 อาณาจกั รอยธุ ยา 42 อาณาจกั รธนบุรี 49 อาณาจกั รรัตนโกสินทร์ 55 แบบฝึกหดั บทที่ 3 67 บทท่ี 4 สัญลกั ษณ์ของชาติไทย 70 ธงชาติไทย 71 เพลงชาติไทย 77 ศาสนาที่คนไทยนบั ถือ 82 สถาบนั พระมหากษตั ริย์ 88 แบบฝึกหดั บทท่ี 4 94 บรรณานุกรม 97 คณะทางาน 100

ค คาอธิบายรายวชิ าเลือกเสรี วชิ าประวตั ิศาสตร์ชาตไิ ทย (ระดับประถมศึกษา) รหสั สค 13045 จานวน 2 หน่วยกติ ระดับประถมศึกษา มาตรฐานการเรียนรู้ระดับ มีความรู้ ความเขา้ ใจ และตระหนักถึงความสาคญั เก่ียวกบั ภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง สามารถนามาปรับใชใ้ นการดารงชีวติ ศึกษาและฝึ กทกั ษะเกยี่ วกบั เรื่องต่อไปนี้ การศึกษาเรื่องราวทางประวตั ิศาสตร์ : ความหมาย ความสาคญั คุณคา่ ของการศึกษา ประวตั ิศาสตร์โดยใชว้ ธิ ีการทางประวตั ิศาสตร์ หลกั ฐานท่ีใชศ้ ึกษาเหตุการณ์สาคญั ใน ประวตั ิศาสตร์ชาติไทย การต้งั ถิ่นฐาน : การดาเนินชีวติ และวฒั นธรรมของชุมชน : ความหมาย ความสาคญั คุณคา่ ของการต้งั ถ่ินฐานและพฒั นาการของชุมชน วฒั นธรรมและประเพณีไทย ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวฒั นธรรมของชุมชน การสถาปนาอาณาจกั รไทย : ความหมาย ความสาคญั คุณค่าของผสู้ ถาปนาอาณาจกั รไทย แต่ละแห่งอาณาจกั รสุโขทยั อาณาจกั รอยธุ ยา อาณาจกั รธนบุรี อาณาจกั รไทยสมยั รัตนโกสินทร์ สญั ลกั ษณ์ของชาติไทย : ความหมาย ความสาคญั คุณคา่ ของธงชาติไทย เพลงชาติไทย ศาสนาท่ีคนไทยนบั ถือ และสถาบนั พระมหากษตั ริย์ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ เน้นให้ผูเ้ รียนไดแ้ ลกเปลี่ยนเรียนรู้จากการอภิปรายกลุ่ม ศึกษาจากใบความรู้ เอกสาร ประกอบการเรียนการสอนและเอกสารที่เก่ียวขอ้ ง ศึกษาจากอินเตอร์เน็ต ผรู้ ู้/ผเู้ ชี่ยวชาญ ส่ือวดี ีทศั น์ การทาใบงาน การทาแบบทดสอบ เรียนรู้ดว้ ยตนเอง การรายงาน การศึกษาจากแหล่งเรียนรู้ ประสบการณ์ตรงโดยใชส้ ถานการณ์จริงและฝึกปฏิบตั ิที่เก่ียวกบั ประวตั ิศาสตร์ชาติไทย การวดั และประเมินผล ประเมินจากแบบทดสอบ จากสภาพจริง จากการสังเกต การอภิปราย การสัมภาษณ์ ผลการ ปฏิบตั ิงาน การมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ ความสนใจในกระบวนการเรียนรู้ ความรับผิดชอบ ในการปฏิบตั ิงาน

ง รายละเอยี ดคาอธิบายรายวชิ าเลือกเสรี วชิ าประวตั ศิ าสตร์ชาตไิ ทย (ระดบั ประถมศึกษา) รหสั สค 13045 จานวน 2 หน่วยกติ ระดับประถมศึกษา มาตรฐานการเรียนรู้ระดบั มีความรู้ ความเข้าใจ และตระหนักถึงความสาคญั เก่ียวกับภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง สามารถนามาปรับใชใ้ นการดารงชีวติ ท่ี หวั เร่ือง ตัวชี้วดั เนื้อหา จานวน (ชั่วโมง) 1 การศึกษาเร่ืองราว 1. มีความรู้ ความเขา้ ใจ ความสาคญั เรื่องท่ี 1 การศึกษา 20 10 ทางประวตั ิศาสตร์ การศึกษาเร่ืองราวทางประวตั ิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ โดยใช้วิธี การทาง 30 2.ตระหนกั เห็นคุณคา่ ถึงการศึกษา ประวตั ิศาสตร์ เรื่องราวทางประวตั ิศาสตร์ เร่ืองท่ี 2 หลกั ฐานท่ีใชศ้ ึกษาเหตุการณ์ 3.สามารถนาความรู้มาปรับใชใ้ นการ สาคญั ในประวตั ิศาสตร์ชาติไทย ดารงชีวิต 2 การต้งั ถิ่นฐาน 1.มีความรู้ ความเขา้ ใจ ความสาคญั การ เร่ืองที่ 1 การต้งั ถ่ินฐานและพฒั นาการ การดาเนินชีวติ และ ต้งั ถ่ินฐานการดาเนินชีวติ และ ของชุมชน วฒั นธรรม วฒั นธรรม เร่ืองท่ี 2 วฒั นธรรมและประเพณีไทย 2.ตระหนกั เห็นคุณคา่ ถึง การต้งั ถ่ินฐาน เร่ืองท่ี 3 ขนบธรรมเนียม ประเพณี และ การดาเนินชีวติ และวฒั นธรรม วฒั นธรรมของชุมชน 3.สามารถนาความรู้มาปรับใชใ้ นการ ดารงชีวิต 3 การสถาปนา 1.มีความรู้ ความเขา้ ใจ ความสาคญั การ เรื่องท่ี 1 ผสู้ ถาปนาอาณาจกั รไทยแตล่ ะ อาณาจกั รไทย สถาปนาอาณาจกั รไทย แห่ง 2.ตระหนกั เห็นคุณคา่ ถึง การสถาปนา เรื่องท่ี 2 อาณาจกั รสุโขทยั อาณาจกั รไทย เรื่องที่ 3 อาณาจกั รอยธุ ยา 3.สามารถนาความรู้มาปรับใช้ในการ เรื่องท่ี 4 อาณาจกั รธนบุรี ดารงชีวติ เรื่องที่ 5 อาณาจกั รไทยสมยั รัตนโกสินทร์

จ ท่ี หัวเร่ือง ตัวชี้วดั เนื้อหา จานวน (ชั่วโมง) 4 สญั ลกั ษณ์ของชาติ 1.มีความรู้ ความเข้าใจ ความสาคัญ เรื่องที่ 1 ธงชาติไทย 20 ไทย สญั ลกั ษณ์ของชาติไทย เรื่องที่ 2 เพลงชาติไทย 2.ตระหนกั เห็นคุณคา่ ถึงสาคญั เร่ืองที่ 3 ศาสนาท่ีคนไทยนบั ถือ สญั ลกั ษณ์ของชาติไทย เร่ืองที่ 4 สถาบนั พระมหากษตั ริย์ 3.สามารถนาความรู้มาปรับใชใ้ นการ ดารงชีวติ

1

2 บทท่ี 1 การศึกษาประวตั ศิ าสตร์ไทยโดยใช้วธิ ีการทางประวตั ิศาสตร์ 1.การศึกษาประวตั ศิ าสตร์ไทยโดยใช้วธิ ีการทางประวตั ศิ าสตร์ การศึกษาประวตั ิศาสตร์เป็นการศึกษาเหตุการณ์ในอดีต สามารถศึกษาไดโ้ ดยใชว้ ธิ ีทาง ประวตั ิศาสตร์ ซ่ึงเป็นกระบวนการท่ีนกั ประวตั ิศาสตร์ใชใ้ นการศึกษาคน้ ควา้ หรือเรียบเรียง เหตุการณ์ประวตั ิศาสตร์จากหลกั ฐานต่างๆ เพ่อื ใหส้ ามารถเขา้ ใจเร่ืองราวในอดีตไดอ้ ยา่ งชดั เจน 1.1 การศึกษาเร่ืองราวทางประวัตศิ าสตร์โดยใช้วธิ ีการทางประวตั ศิ าสตร์ การศึกษาเรื่องราวทางประวตั ิศาสตร์โดยใชว้ ธิ ีการทางประวตั ิศาสตร์ มี 5 ข้นั ตอน ดงั น้ี แผนภาพความคิดการเรียงลาดบั วิธีการทางประวตั ิศาสตร์

3 ข้นั ท่ี 1. การกาหนดหวั ข้อทจ่ี ะศึกษา คือ การกาหนดคาถามหรือหวั ขอ้ เรื่องที่สนใจตอ้ งการศึกษาคน้ ควา้ หาคาตอบ  ความเป็นมาของจงั หวดั เชียงใหม่  เครื่องแต่งกายของคนในสมยั รัตนโกสินทร์  วดั สาคญั ในจงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา  ความเป็นมาของธงชาติไทย ข้นั ที่ 2. การรวบรวมข้อมูลและหลกั ฐาน คือ เม่ือกาหนดคาถามหรือหวั ขอ้ ท่ีจะศึกษาแลว้ ข้นั ตอนต่อไปคือการรวบรวม ขอ้ มูลเก่ียวกบั เรื่องท่ีจะศึกษาจากหลกั ฐานประเภทต่างๆ ท้งั จากหลกั ฐานช้นั ตน้ และหลกั ฐานช้นั รอง หลกั ฐานท่ีเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร และหลกั ฐานที่ไม่เป็ นลายลกั ษณ์อกั ษร การตรวจสอบข้อมูลและหลกั ฐาน ข้นั ท่ี 3. คือ การประเมินความน่าเชื่อถือ และความถูกตอ้ งของขอ้ มูลและหลกั ฐานท่ี รวบรวมไดว้ า่ มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ เช่น หนงั สือที่นามาใชเ้ ป็นขอ้ มูลในการศึกษาประวตั ิศาสตร์ และเป็นหลกั ฐานประเภทใด หลกั ฐานที่ไดม้ าน้นั ขดั แยง้ กบั ขอ้ เทจ็ จริงหรือขดั แยง้ กนั เองหรือไม่ ใครเป็นผูเ้ ขียน มีความรู้ในเร่ืองน้นั หรือไม่ ผเู้ ขียนมีความเป็นกลางหรือนาความคิดเห็นของตนเอง เขียน มีแหล่งอา้ งอิงขอ้ มูลหรือไม่ เป็นตน้ ข้นั ที่ 4. การสรุปความรู้ รวบรวมได้ เช่น คือ การนาขอ้ มูลที่ผา่ นการตรวจสอบแลว้ มาทาการศึกษาเน้ือหา และสรุป  เน้ือหาน้นั มีเรื่องราวความเป็ นมาหรือเหตุการณ์อยา่ งไร  มีบุคคลใดบา้ งท่ีมีส่วนเกี่ยวขอ้ ง  มีปัจจยั ใดท่ีก่อใหเ้ กิดเหตุการณ์ดงั กล่าว  เหตุการณ์ดงั กล่าวก่อให้เกิดผลอยา่ งไร จากน้นั นาความรู้ท่ีไดม้ าสรุปเป็นเรื่องราว โดยการลาดบั เหตุการณ์ตามช่วงเวลาก่อนหลงั หรือตามประเด็นหวั ขอ้

4 ข้นั ท่ี 5. การนาเสนอ คือ การนาขอ้ มูลท่ีไดม้ าเรียบเรียงเพ่ือนาเสนอในรูปแบบต่างๆ เช่น การเขียน เรียงความ การเล่าเรื่อง การจดั นิทรรศการ เป็นตน้ โดยนาเสนอความคิดเห็นอยา่ งเป็นเหตุเป็นผล มีหลกั ฐานอา้ งอิงท่ีเชื่อถือไดแ้ ละนาเสนอดว้ ยความเป็นกลาง 1.2 การศึกษาเร่ืองราวในท้องถิน่ โดยใช้วธิ ีการทางประวตั ศิ าสตร์ ทอ้ งถิ่นแต่ละแห่งล้วนมีประวตั ิศาสตร์หรือเรื่องราวต่างๆเกิดข้ึน เช่น ประวตั ิการต้ัง ถิ่นฐานของคนในทอ้ งถ่ินเหตุการณ์สาคญั ท่ีเกิดข้ึนในทอ้ งถ่ินบุคคลสาคญั ท่ีทาประโยชน์ให้แก่ ทอ้ งถ่ิน ประเพณีและวฒั นธรรมในทอ้ งถ่ิน เป็ นตน้ การศึกษาเร่ืองราวในทอ้ งถิ่นมีประโยชน์ คือ ทาให้คนในทอ้ งถิ่นรู้จกั และภาคภูมิใจในทอ้ งถิ่นของตนเอง รวมท้งั เขา้ ใจคนและสังคมในทอ้ งถิ่น ไดด้ ียงิ่ ข้ึน ตวั อยา่ ง การศึกษาเร่ือง สะพานข้ามแม่นา้ แคว จังหวดั กาญจนบุรี โดยใช้วธิ ีการทางประวตั ิศาสตร์ สะพานขา้ มแม่น้าแคว จงั หวดั กาญจนบุรี

5 การกาหนดหัวข้อ สะพานขา้ มแม่น้าแควสร้างเม่ือใด เพราะเหตุใด การรวบรวมข้อมูลและหลกั ฐาน นกั เรียนทาการรวบรวมขอ้ มูลจาก แหล่งขอ้ มูลตา่ งๆ เช่น ห้องสมุดประชาชน พพิ ธิ ภณั ฑส์ งคราม สะพานขา้ มแมน่ ้าแควและพ้นื ที่โดยรอบอนุสรณ์สถานเก่ียวกบั สงครามโลก คร้ังท่ี 2 ที่จงั หวดั กาญจนบุรีขอ้ มูลจากกองจดหมายเหตุ หอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร เป็ นตน้ หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ มีอยหู่ ลายลกั ษณะ อาจแบง่ ลกั ษณะสาคญั ของหลกั ฐานออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1. หลกั ฐานทเี่ ป็ นลายลกั ษณ์อกั ษร ได้แก่  รายงานของกองบญั ชาการทหารสูงสุดเก่ียวกบั ญี่ป่ ุนที่เก็บไวใ้ นกองจดหมายเหตุ เช่น การ สร้างทางรถไฟเชื่อมประเทศไทย-พม่า  บนั ทึกของนากามูระ อาเคโต ผบู้ ญั ชาการกองทพั ญ่ีป่ ุนประจาประเทศไทย ฉบบั ท่ีแปล เป็ นไทย  หนงั สือเรื่องประวตั ิศาสตร์บอกเล่า : สภาพของจงั หวดั กาญจนบุรี ในสมยั สงครามโลก คร้ังท่ี 2 เขียนโดย บุญรอด ชลารักษ์  หนงั สือเร่ืองทางรถไฟสายไทย-พมา่ เขียนโดย โยชิกาวา โทริฮารุ ฉบบั ที่แปลเป็น ภาษาไทย  แผนที่จงั หวดั กาญจนบุรี แสดงที่ต้งั สะพานขา้ มแมน่ ้าแคว 2. หลกั ฐานทไ่ี ม่เป็ นลายลกั ษณ์อกั ษร ได้แก่  สะพานขา้ มแม่น้าแคว  ภาพถ่ายตา่ ง ๆ เก่ียวกบั สะพานขา้ มแม่น้าแคว  ภาพยนตร์ที่ถ่ายทาเก่ียวกบั สะพานขา้ มแมน่ ้าแคว เมื่อรวบรวมขอ้ มูลหลกั ฐานไดแ้ ลว้ จึงทาการศึกษาข้นั ต่อไปดงั น้ี

6 การตรวจสอบข้อมูลและหลกั ฐาน โดยใชส้ ะพานขา้ มแม่น้าแควเป็นตวั อยา่ ง หลกั ฐาน นกั ศึกษาศึกษาหลกั ฐานชิ้นอื่นๆ ที่รวบรวมไดโ้ ดยวธิ ีดงั ตวั อยา่ ง จากน้นั จึงเริ่มตรวจสอบ เช่น ผเู้ ขียนมีความรู้เร่ืองราวเกี่ยวกบั สะพานขา้ มแม่น้าแควมากนอ้ ยเพยี งใด ขอ้ มูลท่ีเขียนมีความ น่าเชื่อถือเพยี งใด เป็นตน้

7 การสรุปความรู้ เม่ือไดข้ อ้ มูลจากหลกั ฐานตา่ ง ๆ แลว้ ใหน้ กั ศึกษาศึกษาขอ้ มูล ดงั กล่าว แลว้ สรุปเป็นความรู้ ดงั น้ี การนาเสนอข้อมูล เม่ือจดั ลาดบั ขอ้ มูลแลว้ ใหน้ กั ศึกษานาเสนอเร่ืองราว เช่น การ เขียนเรียงความ จดั นิทรรศการ โดยใหม้ ีสาระตอนหน่ึงเป็ นการ ตอบหวั ขอ้ ที่กาหนดไว้

8 หวั ข้อทกี่ าหนด สะพานข้ามแม่นา้ แควสร้างเมื่อใด เพราะเหตุใด จากการศึกษาประวตั ิศาสตร์ของสะพานขา้ มแม่น้าแคว ทาใหท้ ราบวา่ สะพานขา้ มแม่น้า แควสร้างข้ึนเม่ือ พ.ศ. 2485 ในช่วงสงครามโลกคร้ังที่ 2 โดยกองทพั ญ่ีป่ ุนไดเ้ กณฑเ์ ชลยศึกมาสร้าง สะพานขา้ มแมน่ ้าแคว เพื่อเขา้ ไปยงั ประเทศเมียนมา 2.หลกั ฐานท่ใี ช้ศึกษาเหตุการณ์สาคญั ในประวตั ศิ าสตร์ชาตไิ ทย แหล่งข้อมูลทางประวตั ศิ าสตร์ในการศึกษาปรากฏการณ์ทเ่ี กดิ ขึน้ ในสังคมไทยแต่ละยุค สมยั อาจจาแนกได้เป็ น 2 ประเภท ดงั นี้ 1. หลกั ฐานท่ีเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร ไดแ้ ก่ หลกั ฐานท่ีเป็นตวั หนงั สือโดยมนุษยไ์ ดท้ ิ้ง ร่องรอยขีดเขียนเป็ นตวั หนงั สือประเภทต่าง ๆ ในรูปของการจารึกในศิลาจารึกและการจารึกบน แผน่ โลหะ นอกจากน้ีหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ท่ีเป็ นลายลกั ษณ์อกั ษรประเภทอื่น เช่น พงศาวดาร จดหมายเหตุ ตานาน และกฎหมาย 2. หลกั ฐานที่เป็นวตั ถุ ไดแ้ ก่ วตั ถุที่มนุษยแ์ ตล่ ะยคุ แต่ละสมยั ไดส้ ร้างข้ึน และตกทอดมา จนถึงปัจจุบนั เช่น โบราณสถาน ประกอบดว้ ย วดั เจดีย์ มณฑป และโบราณวตั ถุ ประกอบดว้ ย พระพุทธรูป ถว้ ยชามสังคโลก การแบ่งลาดบั ความสาคัญของหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์เป็ น 2 ประเภท คือ 1. หลักฐานช้ันต้นหรือหลักฐานปฐมภูมิ เป็ นหลกั ฐานท่ีมาจากเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนใน สมัยน้ันจริ ง ๆ โดยมีการบันทึกของผูท้ ่ีเกี่ยวกับเหตุการณ์โดยตรง หรื อผู้ท่ีรู้เหตุการณ์น้ัน ดว้ ยตนเอง ดงั น้นั หลกั ฐานช่วงตน้ จึงเป็ นหลกั ฐานที่มีความสาคญั และน่าเช่ือถือมากท่ีสุด เพราะ บนั ทึกของบุคคลที่เก่ียวขอ้ งกบั เหตุการณ์หรือผูอ้ ยู่ในเหตุการณ์บนั ทึกไว้ เช่น จดหมายเหตุ คาสัมภาษณ์ เอกสารทางราชการ บนั ทึกความทรงจา กฎหมาย หนังสือพิมพ์ ภาพยนตร์ สไลด์ วดี ิทศั น์ แถบบนั ทึกเสียง โบราณสถาน แหล่งโบราณคดี โบราณวตั ถุ 2. หลกั ฐานช้ันรองหรือหลกั ฐานทตุ ยิ ภูมิ เป็นหลกั ฐานที่เขียนข้ึนโดยบุคคลท่ีไม่ได้ มีส่วนเกี่ยวขอ้ งกบั เหตุการณ์น้นั โดยตรง โดยมีการเรียบเรียงข้ึนภายหลงั จากเกิดเหตุการณ์น้นั ๆ ส่วนใหญ่อยใู่ นรูปของบทความทางวชิ าการและหนงั สือต่าง ๆ เช่น พงศาวดาร ตานาน บนั ทึกคา บอกเล่า ผลงานทางการศึกษาคน้ ควา้ ของนกั วชิ าการสาหรับหลกั ฐานช้นั รองน้นั มีขอ้ ดี คือ มีความ

9 สะดวกและง่ายในการศึกษาทาความเขา้ ใจ เนื่องจากเป็นขอ้ มูลไดผ้ า่ นการศึกษาคน้ ควา้ ตรวจสอบ ขอ้ มูล วเิ คราะห์เหตุการณ์และอธิบายไวอ้ ยา่ งเป็นระบบ โดยนกั ประวตั ิศาสตร์มาแลว้ ลกั ษณะสาคญั ของหลกั ฐานประวตั ิศาสตร์ในประเทศไทย หลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ใน ประเทศไทย มีอยหู่ ลายลกั ษณะ อาจแบง่ ลกั ษณะสาคญั ของหลกั ฐานออกเป็ น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1. หลกั ฐานทไี่ ม่ใช่ลายลกั ษณ์อกั ษร ไดแ้ ก่ 1.1 โบราณสถาน หมายถึง ส่ิงก่อสร้างโดยฝีมือมนุษยข์ นาดตา่ ง ๆ กนั อยตู่ ิดกบั พ้นื ดิน ไม่อาจนาเคลื่อนท่ีไปได้ เช่น กาแพงเมือง คูเมือง วงั วดั ตลอดจนส่ิงก่อสร้างที่อยใู่ นวดั และวงั เช่น โบสถ์ วหิ าร เจดีย์ และที่อยอู่ าศยั การศึกษาคน้ ควา้ เก่ียวกบั โบราณสถาน จาเป็นตอ้ งเดินทางไป ยงั สถานที่ต้งั ของโบราณสถานน้นั ๆ ปราสาทหินพมิ าย ปราสาทหินพนมรุ้ง ที่มาภาพ http://www.thaigoodview.com/files/u1300/pimai.jpg ท่ีมาภาพ : http://www.kodhit.comimages/stories/travel/ norteast/phasadkhow/12.jpg 1.2 โบราณวัตถุ หมายถึง สิ่ งของโบราณที่มีลักษณะต่างๆกัน สามารถนา ติดตวั เคล่ือนยา้ ยได้ ไม่วา่ สิ่งของน้นั ๆ จะเกิดข้ึนตามธรรมชาติ เป็ นสิ่งที่มนุษยป์ ระดิษฐ์ข้ึน หรือ เป็ น ส่วนหน่ึงส่วนใดของโบราณสถาน และส่ิงของท่ีมนุษยป์ ระดิษฐ์ข้ึนเหล่าน้ีเกิดข้ึนในสมยั ประวตั ิศาสตร์ เช่น พระพทุ ธรูป เทวรูป รูปเคารพต่าง ๆ เครื่องประดบั และเครื่องมือเครื่องใชต้ ่าง ๆ การศึกษาคน้ ควา้ เก่ียวกบั โบราณวตั ถุ ไม่จาเป็นตอ้ งเดินทางไปยงั สถานท่ีทางประวตั ิศาสตร์ เสมอไป และสามารถไปศึกษาไดจ้ ากแหล่งรวบรวมท้งั ของราชการ เช่น พิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ

10 เครื่องป้ันดินเผาในพิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติบา้ นเชียง หมอ้ บา้ นเชียง ที่มาภาพ : http://www.thaitourzone.com/eastnorth/udon/museum.JPG ท่ีมาภาพ : http://gaprobot.spaces.live.com/blog/cns!EDF1593B634FDF0!319.entry 2. หลกั ฐานทเ่ี ป็ นลายลกั ษณ์อกั ษร ไดแ้ ก่ 2.1 จารึก ในแง่ของภาษาแลว้ มีคาอยู่ 2 คาท่ีคลา้ ยคลึงและเกี่ยวกบั ขอ้ งกนั คือ คาวา่ จาร และจารึก คาวา่ จาร แปลวา่ เขียนอกั ษรดว้ ยเหลก็ แหลมลงบนใบลาน คาวา่ จารึก แปลวา่ เขียนเป็นรอยลึกลงบนแผน่ ศิลาหรือโลหะ ในส่วนที่เก่ียวขอ้ งกบั หลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ คาวา่ จารึก หมายรวมถึง หลกั ฐานท่ีเป็น ลายลกั ษณ์อกั ษร ซ่ึงใชว้ ธิ ีเขียนเป็นรอยลึก ถา้ เขียนเป็นรอยลึกลงบนแผน่ หิน เรียกวา่ ศิลาจารึก เช่น ศิลาจารึกสุโขทยั หลกั ท่ี 1 จารึกพอ่ ขนุ รามคาแหง ถา้ เขียนลงบนวสั ดุอื่น ๆ เช่น แผน่ อิฐ เรียกวา่ จารึกบนแผน่ อิฐ แผน่ ดีบุก เรียกวา่ จารึกบนแผน่ ดีบุก และการจารึกบนใบลาน นอกจากน้ียงั มีการ จารึกไวบ้ นปูชนียสถานและปูชนียวตั ถุตา่ งๆ โดยเรียกไปตามลกั ษณะของจารึกปูชนียวตั ถุสถาน น้นั ๆ เช่น จารึกบนฐานพระพทุ ธรูปสมยั สุโขทยั สมยั ลพบุรี จารึกบนฐานพระพทุ ธรูป วดั ป่ าขอ่ ย จงั หวดั ลพบุรี จารึกวดั โพธ์ิ จงั หวดั นครปฐม ที่มาภาพ : http://pirun.kps.ku.ac.th/~b4927046/mon4_5_clip_image001_0000.jpg ที่มาภาพ : http://www.openbase.in.th/files/u10/monstudies035.jpg

11 เร่ืองราวที่จารึกไวบ้ นวสั ดุตา่ ง ๆ ที่พบในดินแดนประเทศไทย ส่วนมากจะเป็ นเรื่องราว ของพระมหากษตั ริยแ์ ละศาสนา จารึกเหล่าน้ีมีท้งั ท่ีเป็นตวั อกั ษร ภาษาไทย ภาษาขอม ภาษามอญ ภาษาบาลี และภาษาสนั สกฤต จารึกท่ีคน้ พบในประเทศไทยมีอยจู่ านวนมาก เช่น จารึกสมยั ทวารวดี จารึกศรีวชิ ยั จารึกหริภุญชยั และจารึกสุโขทยั ศิลาจารึกหลกั ที่ 1 จารึกพอ่ ขนุ รามคาแหง ท่ีมาภาพ http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/nongkhai/thanagorn_n/plan_history/image/pic1130704120859.jpg 2.2 เอกสารพื้นเมือง เอกสารพ้ืนเมืองนบั ไดว้ ่าเป็ นหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ท่ีเป็ น ลายลกั ษณ์อกั ษรที่สาคญั ของประเทศไทย มกั ปรากฏในรูปหนงั สือสมุดไทย และเรียกชื่อแตกต่าง กั น อ อ ก ไ ป เ ช่ น ต า น า น พ ง ศ า ว ด า ร จ ด ห ม า ย เ ห ตุ ดั ง มี ร า ย ล ะ เ อี ย ด ดั ง น้ี 1) ตานาน เป็นเร่ืองที่เล่าถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนในอดีต เล่าสืบต่อกนั มาแต่โบราณจน หาจุดกาเนิดไม่ได้ แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าใครเป็ นคนเล่าเร่ืองราวเป็ นคนแรก ส่ิงท่ีพอจะรู้ได้ก็คือ มีการเล่าเรื่องสืบตอ่ กนั มาเป็นเวลานานพอสมควร จนกระทงั่ มีผรู้ ู้หนงั สือไดจ้ ดจาและบนั ทึกลงเป็ น ลายลกั ษณ์อกั ษร ต่อมาจึงมีการคดั ลอกตานานเหล่าน้นั เป็นทอด ๆไปหลายคร้ัง หลายครา ทาใหเ้ กิด มีขอ้ ความคลาดเคลื่อนไปเร่ือย ๆ ดงั น้นั เรื่องท่ีปรากฏอยูใ่ นตานานจึงอาจถูกเปล่ียนแปลงไปจาก เรื่องเดิม เน้ือเรื่องของตานาน ส่วนมากเป็ นเร่ืองเก่ียวกบั เหตุการณ์สาคญั ของบา้ นเมืองหรือชุมชน สมยั ด้ังเดิมเกี่ยวกับปูชนียสถานและปูชนียวตั ถุ หรือเก่ียวกับพฤติกรรมของบุคคลสาคญั เช่น พระมหากษัตริ ย์ วีรบุรุ ษ โดยสามารถจัดประเภทของตานานไทยได้ 3 ลักษณะ คือ 1.1) ตานานในรู ปของนิทานพ้ืนบ้าน เช่น เร่ื องพญากง พญาพาน ท้าวแสนปม 1.2) ต า น า น ใ น รู ป ข อ ง ก า ร บัน ทึ ก ป ร ะ วัติ ข อ ง พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า จุ ด มุ่ ง ห ม า ย เพื่อรักษาศรัทธา ความเช่ื อ สัญลักษณ์ ของพุทธศาสนา เช่น ตานานพระแก้วมรกต 1.3) ตานานในรูปของการบนั ทึกเร่ืองราวเก่ียวกบั เหตุการณ์บา้ นเมือง ราชวงศ์ กษตั ริย์ และ เหตุการณ์ท่ีเกี่ยวกบั มนุษยแ์ ละสตั วใ์ นอดีต เช่น ตานานสิงหนวตั ิกุมาร ตานานจามเทววี งศ์

12 ตานานมูลศาสนา ตานานชินกาลมาลีปกรณ์ 2) พงศาวดาร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงมีพระราชดารัสใหค้ วามหมาย ของพงศาวดารวา่ หมายถึง เรื่องราวที่เกี่ยวกบั พระเจา้ แผน่ ดิน ซ่ึงสืบสนั ติวงศล์ งมาถึงเวลาท่ีเขียน น้นั แต่ตอ่ มามีการกาหนดความหมายของพงศาวดารใหก้ วา้ งออกไปอีกวา่ หมายถึง การบนั ทึก เหตุการณ์ท่ีเก่ียวกบั อาณาจกั รและกษตั ริยท์ ี่ปกครองอาณาจกั ร พงศาวดารจึงมีมาต้งั แต่สมยั กรุงศรี อยธุ ยาเป็นราชธานีจวบจนกระทงั่ สมยั รัตนโกสินทร์ตอนตน้ (รัชกาลที่ 4) สามารถจาแนก พงศาวดารได้ 2 ลกั ษณะคือ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยาและพระราชพงศาวดารกรุง รัตนโกสินทร์ เช่น พงศาวดารกรุงเก่าฉบบั หลวงประเสริฐ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลท่ี 2 ของสมเดจ็ กรมพระยาดารงราชานุภาพ และพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1-4 ของเจา้ พระยาทิพากรวงศม์ หาโกษาธิบดี (ขา บุนนาค) อยา่ งไรกต็ ามแมว้ า่ หลกั ฐาน ประเภทพงศาวดารจะมีขอ้ บกพร่องอยมู่ าก แตก่ ็เป็นหลกั ฐานท่ีมีประโยชน์ในการศึกษา ประวตั ิศาสตร์ พระราช พงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ที่มาภาพ : http://kanchanapisek.or.th/kp8/ ที่มาภาพ : http://j.static.fsanook.com/category/2008/culture/sgk/pic/sum1.gif07/16/5/b/4047205_1.jpg 3) จดหมายเหตุ ในสมยั โบราณจดหมายเหตุ หมายถึง การจดบันทึกข่าวคราวหรือ เหตุการณ์เรื่องหน่ึง ๆ ท่ีเกิดข้ึนในวนั เดือน ปี น้นั ๆ แต่ในปัจจุบนั น้ีความหมายของคาวา่ จดหมาย เหตุไดเ้ ปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หมายถึง เอกสารทางราชการท้งั หมด เม่ือถึงสิ้นปี จะตอ้ งนาชิ้นท่ี ไม่ใช้แลว้ ไปรวบรวมเก็บรักษาไวท้ ี่กองจดหมายเหตุแห่งชาติ มีคุณค่าดา้ นการคน้ ควา้ อา้ งอิงและ เอกสารเหล่าน้ี เม่ือมีอายตุ ้งั แต่ 25-50 ปี ไปแลว้ จึงเรียกวา่ จดหมายเหตุหรือบรรณสาร การบนั ทึก จดหมายเหตุของไทยในสมยั โบราณ ส่วนมากบนั ทึกโดยผูท้ ี่รู้หนงั สือและรู้ฤกษย์ ามดี โดยมีการ บนั ทึกวนั เดือน ปี และฤกษ์ยามลงก่อนจึงจะจดเหตุการณ์ที่เห็นว่าสาคญั ลงไว้ โดยมากจะจดใน

13 วนั เวลา ท่ีมีเหตุการณ์เกิดข้ึน หรือในวนั เวลา ท่ีใกลเ้ คียงกนั กบั ท่ีผจู้ ดบนั ทึกไดพ้ บเห็นเหตุการณ์ น้นั ๆ ดว้ ยเหตุน้ี เอกสารประเภทน้ีจึงมกั มีความถูกตอ้ งในเรื่องวนั เดือน ปี มากกวา่ หนงั สืออื่น ๆ เช่น จดหมายเหตุของหลวง เป็ นจดหมายเหตุที่ทางฝ่ ายบ้านเมืองได้บันทึกไวเ้ ป็ นเหตุการณ์ ที่เก่ียวกบั พระมหากษตั ริยแ์ ละบา้ นเมือง จดหมายเหตุโหร เป็นเอกสารที่เกิดข้ึนเนื่องจากโหรซ่ึงเป็ น ผทู้ ี่รู้หนงั สือและฤกษย์ ามจดไวต้ ลอดท้งั ปี และมีที่วา่ งไวส้ าหรับใชจ้ ดหมายเหตุต่างๆ ลงในปฏิทิน น้นั เหตุการณ์ท่ีโหรจดไว้ โดยมากเป็นเหตุการณ์เก่ียวกบั ดวงดาว จดหมายเหตุ ลาลแู บร์ ที่มาภาพ : http://www.thaispecial.com/bookimages/ ที่มาภาพ : http:// upload.wikimedia.org/wikipedia /

14 แบบฝึ กหัด บทที่ 1 การศึกษาเรื่องราวทางประวตั ิศาสตร์ 1.ให้นักศึกษานาหมายเลขข้ันตอนของวธิ ีการทางประวตั ิศาสตร์เติมลงในช่องว่างให้สัมพนั ธ์กนั 1.กาหนดหัวเรื่องทจี่ ะศึกษา 2.การรวบรวมหลกั ฐาน 3.การประเมินคุณค่าของ หลกั ฐาน 1. การรวบรวมหลกั ฐานในหวั ขอ้ ที่ตอ้ งการศึกษาท้งั หลกั ฐานช้นั ตน้ และหลกั ฐานช้นั รอง ...... 2. การประเมินความถูกตอ้ งและความสาคญั ของหลกั ฐาน ....... 3. การเลือกเรื่องหรือประเด็นที่ตนเองสนใจหรืออยากรู้ ....... 2.ให้นักศึกษาดูภาพหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์แล้วตอบคาถามตามประเด็นทกี่ าหนด 1. ประเภทของหลกั ฐาน  หลกั ฐานท่ีเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร  หลกั ฐานที่ไมเ่ ป็นเป็ นลายลกั ษณ์อกั ษร 2. ความน่าเชื่อถือของหลกั ฐาน  น่าเชื่อถือ  ไม่น่าเช่ือถือ 3. ความสาคญั ของหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ ......................................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... . ธนา ใช้บางยางและคณะ.การตงั้ ถิ่นฐาน , มปป.สบื ค้นเมือ่ 28 มถิ นุ ายน 2560, จาก http://home.npru.ac.th/phatthayasubjects/aj32/2541102_SettleSTD_PPT.pdf ธารณา คชเสนี นา้ เพช็ ร คชเสนี สตั ยารักษ์ และจกั รเพ็ชร คชเสนี สตั ยารักษ์.ประวตั ิศาสตร์ชาติ.ไทย.พิมพ์

15 แบบทดสอบ บทท่ี 1 การศึกษาเรื่องราวทางประวตั ิศาสตร์ คาชี้แจง: จงเลือกคาตอบท่ีถูกตอ้ งท่ีสุดเพียงคาตอบเดียว 1. ขอ้ ใดไมใ่ ช่หลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ท่ีเป็นหลกั ฐานช้นั ตน้ ก. ตานาน ข. โบราณสถาน ค. ภาพถ่าย ง. โบราณวตั ถุ 2. หลกั ฐานช้นั รองทางประวตั ิศาสตร์ คือขอ้ ใด ก. ภาพถ่าย ข. อนุสาวรีย์ ค. ปราสาทหิน ง. เครื่องทองโบราณ 3. ขอ้ ใดไมใ่ ช่วธิ ีการหาความรู้ทางประวตั ิศาสตร์ ก. การกาหนดหวั ขอ้ ข. การรวบรวมขอ้ มูล ค. การนาเสนอขอ้ มูล ง. การสร้างหลกั ฐานเอง 4. ใครอยใู่ นข้นั ตอนสุดทา้ ยของวธิ ีการหาความรู้ทางประวตั ิศาสตร์ ก. กุลนาเสนอขอ้ มูล ข. ลิงคน้ ควา้ ในหอ้ งสมุด ค. มะลิตีความหลกั ฐาน ง. พกิ ุลวเิ คราะห์ขอ้ ความในจารึก 5. ขอ้ ใดไมใ่ ช่แหล่งคน้ ควา้ ขอ้ มูลทางประวตั ิศาสตร์ ก. หอ้ งสมุด ข. พิพธิ ภณั ฑ์ ค. วดั สมยั สุโขทยั ง. หา้ งสรรพสินคา้

16 6. วธิ ีการทางประวตั ิศาสตร์ข้นั ตอนใดเป็ นการประเมินความน่าเชื่อถือและความถูกตอ้ งของ หลกั ฐานที ก. กาหนดหวั ขอ้ ข. รวบรวมหลกั ฐาน ค. ตรวจสอบหลกั ฐาน ง. เรียบเรียงและนาเสนอ 7. พงศาวดารเป็ นขอ้ มูลที่เนน้ เร่ืองใด ก. พระมหากษตั ริย์ ข. สามญั ชน ค. พระสงฆ์ ง. ชาวนา 8. “เร่ือง พระยากง พระยาพาน” เป็นขอ้ มูลทางประวตั ิศาสตร์ประเภทใด ก. จารึก ข. จดหมายเหตุ ค. พงศาวดาร ง. ตานาน 9. โบราณสถานในภาคเหนือ คือขอ้ ใด ก. พระธาตุพนม ข. พระปฐมเจดีย์ ค. พระธาตุหริภุญชยั ง. พระบรมธาตุไชยา 10. ใครไมอ่ ยใู่ นข้นั ตอนของการสืบคน้ หลกั ฐาน ก. พกิ ุลอา่ นจารึก ข. มะลิใชแ้ บบสอบถาม ค. ซ่อนกลิ่นสมั ภาษณ์ชาวบา้ น ง. ตนั หยงเลือกหวั ขอ้ การศึกษา

17

18 บทที่ 2 การต้งั ถ่นิ ฐาน การดาเนินชีวติ และวฒั นธรรมของชุมชน เรื่องที่ 1 การต้งั ถิน่ ฐานและพฒั นาการของชุมชน ความรู้เบื้องต้นเกย่ี วกบั การต้งั ถิ่นฐาน การต้ังถนิ่ ฐาน หมายถึง การสร้างที่อยอู่ าศยั ของมนุษย์ โดยอยรู่ วมกนั เป็ นกลุ่ม เป็น หมูบ่ า้ น และเมือง ในการต้งั ถิ่นฐานจะมีส่วนประกอบที่สาคญั คือ คน และพ้นื ท่ี ส่วนประกอบที่ สาคญั รองลงมาคือการติดต่อระหวา่ งกนั และกนั การใชบ้ ริการต่างๆเพื่อตอบสนองความตอ้ งการ ของคนในกลุ่มชนน้นั ๆ การต้งั ถ่นิ ฐานของมนุษย์ มนุษยช์ อบอยรู่ วมกนั เป็นกลุ่ม เพื่อจะไดพ้ ่งึ พาอาศยั กนั และทากิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกนั ส่ิงที่ จะทาให้มนุษย์รวมตัวกันก็คือ การใช้ภาษาเดียวกัน นับถือศาสนาเดียวกันมีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีที่คล้ายกัน ในอดีตการรวมตวั เป็ นกลุ่มของมนุษย์เพื่อต้งั ถิ่นฐานและ สร้างบา้ นเรือนน้ันจะมีลักษณะที่แตกต่างกนั คือ บางกลุ่มจะเลือกต้งั ถิ่นฐานในพ้ืนท่ีที่เป็ นป่ า บางกลุ่มจะเลือกพ้ืนที่ใกลแ้ ม่น้าหรือทะเล บางกลุ่มจะเลือกพ้ืนท่ีบนภูเขา มนุษย์ส่ วนใหญ่จะเลือกต้ังถ่ินฐานในเขตที่ราบที่มีพ้ืนที่ กวา้ งขวาง มีแหล่งน้าและดินท่ีอุดมสมบูรณ์ หรือกล่าวโดยสรุปว่า การต้งั ถิ่นฐานของมนุษย์ในอดีตน้นั แต่ละกลุ่มจะพิจารณาเลือกพ้ืนที่ ที่มีส่ิงแวดล้อมเหมาะแก่การดารงชีพ ที่ใดมีผลิตผลตามธรรมชาติ อย่างเพียงพอ มีสภาพอากาศดี มีอุณหภูมิ และความช้ืนท่ีเหมาะสม มีน้ากินน้าใช้สมบูรณ์ มนุษยจ์ ะต้งั ถิ่นฐานอยู่อาศยั กนั หนาแน่นมากกว่า ในพ้นื ท่ีท่ีเยน็ จดั ร้อนจดั หรือมีสภาพอากาศท่ีรุนแรงซ่ึงจะมีคนอาศยั อยู่ เป็นจานวนนอ้ ย หรือไมม่ ีผคู้ นอาศยั อยเู่ ลย การต้งั ถ่ินฐานที่มนุษยต์ อ้ งอาศยั ผลิตผลจากธรรมชาติน้ัน เป็ นการต้งั ถิ่นฐานที่ไม่ถาวร เพราะเม่ือใดที่ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไปไม่สามารถให้ผลิตผลเพียงพอต่อการดารงชีพแลว้ มนุษย์ จะอพยพยา้ ยถิ่นฐานเดิมไปหาท่ีอยอู่ าศยั แห่งใหม่ท่ีมีความอุดมสมบูรณ์มากกวา่ ต่อมามนุษยม์ ีความรู้มากข้ึนจึงสามารถสร้างสิ่งแวดลอ้ มใหม่ ๆ ให้เกิดข้ึนไดห้ ลายอย่าง เพอื่ ใหก้ ารดารงชีวติ มีความสะดวกสบายมากข้ึน และมีคุณภาพชีวติ ที่ดีข้ึน เช่น การสร้างบา้ นเรือน โรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์ และเคร่ืองทุ่นแรงต่าง ๆ

19 การที่มนุษย์มารวมกันเป็ นกลุ่มเพ่ือต้ังถ่ินฐานน้ัน เมื่อมีจานวนเพิ่มมากข้ึนๆ จะมี ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ ถา้ หากมนุษยร์ ู้จกั แต่จะใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพ่ือการ ดารงชีพ และไม่สนใจในการบารุงดูแลรักษาจะทาใหท้ รัพยากรธรรมชาติมีแต่ความเสื่อมโทรมลง เรื่อย ๆ ซ่ึงจะมีผลต่อการประกอบอาชีพทางการเกษตรคือใหผ้ ลิตผลไม่เพียงพอต่อการเล้ียงชีพคน จานวนมาก ดงั น้นั ความคิดในการต้งั ถิ่นฐานของมนุษยใ์ นปัจจุบนั จึงแตกต่างจากในอดีตท่ีพิจารณาจาก สิ่งแวดลอ้ มตามธรรมชาติเท่าน้นั มาเป็ นการพิจารณาวา่ ในท่ีใดก็ตามไม่ว่าจะเป็ นในชนบท หรือ ในเมือง ที่สามารถประกอบอาชีพมีรายไดม้ าเล้ียงครอบครัวไดแ้ ลว้ มนุษยจ์ ะไปรวมตวั กนั เป็ นกลุ่ม อยู่ ณ ท่ีน้นั เช่น ตามชานเมืองที่มีโรงงานอุตสาหกรรมจะมีการรวมกลุ่มคนเป็ นจานวนมากเกิดเป็ น ชุมชนใหม่ข้ึน การต้งั ถ่ินฐานในเมืองก็เช่นกัน มนุษย์จะเลือกที่อยู่อาศยั หรือสร้างบ้านเรือน ในบริเวณท่ีใกล้สถานท่ีที่จะประกอบอาชีพถ้าสามารถเลือกได้ ดงั น้ันถา้ หากไม่มีการวางแผน ความเจริญ ของเมืองเป็ นอย่างดีแลว้ ย่อมก่อให้เกิดปัญหาต่อการดารงชีวิตได้ เช่น ปัญหามลพิษ ต่าง ๆ ปัญหาน้าทว่ ม เป็นตน้ ส่วนการต้งั ถ่ินฐานในชนบทน้นั เน่ืองจากชนบทมีพ้ืนท่ีกวา้ งขวางมาก การวางแผนทาได้ ค่อนขา้ งยาก รัฐจึงไดจ้ ดั รูปแบบของการต้งั ถิ่นฐานในชนบทเป็ นหลายลกั ษณะ เช่น การจดั นิคม สร้างตนเอง การจดั ปฏิรูปท่ีดิน และการจดั หมู่บา้ นสหกรณ์ เป็ นตน้ ประชาชนท่ีไปรวมกลุ่มกนั อยู่ ในโครงการต่างๆ ที่ไดม้ ีการวางแผนท่ีดีตามที่ไดก้ ล่าวมาแลว้ จะมีความสุขสบาย มีความสะดวกใน การประกอบอาชีพ และจะไม่มีปัญหาใด ๆ ท่ีรุนแรงจนทาให้ตอ้ งอพยพ ไปหาท่ีต้งั ถ่ินฐานใหม่กนั อีกตอ่ ไป การต้งั ถน่ิ ฐานในสมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ในดนิ แดนไทย มนุษยย์ ุคก่อนประวตั ิศาสตร์ยงั ไม่มีตวั หนงั สือบนั ทึกเร่ืองราวต่างๆ ที่เกิดข้ึนในยุคน้ัน นกั ประวตั ิศาสตร์ จึงมีแนวทางในการศึกษาโดยอาศยั เคร่ืองมือเคร่ืองใชต้ ่างๆ ท่ีหลงเหลืออยเู่ ป็ น เคร่ืองพิสูจน์ การศึกษามนุษย์ ในยุคก่อนประวตั ิศาสตร์จึงไดถ้ ูกแบ่งออกเป็ นยุคหินและยุคโลหะ โดยยดึ สิ่งของเคร่ืองใชเ้ ป็นเกณฑใ์ นการแบง่ ยคุ หนิ ยุคโลหะ ช่วงเวลาสมยั บรรพบุรุษมนุษย์สร้างเครื่องมือ มนุษย์ร้ ูจักนาเอาแร่ โลหะมาจาก จากหิน ไม้ และกระดกู หรือวสั ดุอ่ืน ๆ ธรรมชาตินามาใช้เพื่อประโยชน์ เป็ นเคร่ื องมือในการดารงชีวิต เช่น ทองแดง, สาริด และเหลก็

20 การแบ่งสมยั ของประวตั ศิ าสตร์ ในปัจจุบนั นกั ประวตั ิศาสตร์และนกั โบราณคดี ไดแ้ บ่งช่วงสมยั ของประวตั ิศาสตร์ออก อยา่ งกวา้ ง ๆ เป็น 2 สมยั คอื 1. สมัยก่อนประวัติศาสตร์ คือ ยุคหินเก่า ยุคหินกลาง ยุคหินใหม่ ช่วงระยะเวลาต้งั แต่มนุษยถ์ ือ กาเนิดข้ึนมาและดารงชีพ โดยยึดถือหลกั ฐานที่เป็ นตามธรรมชาติเช่นเดียวกบั สัตวโ์ ลกอื่นๆ ต่อมา มนุษยบ์ างกลุ่มสามารถปรับชีวติ ความเป็นอยใู่ หด้ ีข้ึน โดยการนาเอาทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ไฟ น้า หิน โลหะ ไม้ เป็ นตน้ มาใชป้ ระโยชน์สร้างสมความเจริ ญและถ่ายทอดสู่คนรุ่นหลงั จนสามารถ พฒั นาเป็ นสังคมเมือง การเรียนรู้เรื่องราวในยุคน้ีไดจ้ ากหลกั ฐานทางโบราณคดี เช่น โครงกระดูก เครื่องมือเครื่องใช้ และภาพศิลปะถ้าต่าง ๆ เช่น ผาแตม้ จงั หวดั อุบลราชธานี ยคุ หนิ เก่า เริ่มมีการทาเครื่องมือเคร่ืองใชด้ ว้ ยหินอยา่ งง่ายก่อน ที่มา:https://www.google.co.th/search?rlz=1C1NHXL ยคุ หินกลาง เริ่มทาเครื่องจกั สาน เล้ียงสตั ว์ เพาะปลูก และล่าสตั ว์ ที่มา:https://www.google.co.th/search?rlz=1C1NHXL_enTH693TH693 ยคุ หินใหม่ มีการเพาะปลูกและการทาการประมง เป็นสงั คมเกษตรกรรม ท่ีมา https://www.google.co.th/search?q=ยคุ หินเก่า+คือ&tbm=isch&tbs=rig

21 2. สมยั ประวตั ศิ าสตร์ หมายถึง สมยั ที่มีการประดิษฐต์ วั อกั ษรข้ึนใชบ้ นั ทึกบอกเล่าเร่ืองราว ต่างๆ ทาใหก้ ารศึกษาประวตั ิศาสตร์ในช่วงยคุ สมยั น้ีชดั เจนมากข้ึน โดยอาศยั หลกั ฐานทาง โบราณคดีสนบั สนุน ช่วงสมยั น้ีสามารถแบง่ ยอ่ ยได้ เช่น การต้งั เมืองหลวง การเปล่ียนราชวงศ์ สุโขทยั อยธุ ยา ธนบุรี รัตนโกสินทร์ เป็นตน้ การแบ่งยคุ สมยั ประวตั ิศาสตร์ของไทย คือ การกาหนดช่วงเวลาเพ่อื ให้เขา้ ใจเร่ืองราวหรือ เหตุการณ์ทางประวตั ิศาสตร์ในดินแดนไทย โดยทวั่ ไปการกาหนดช่วงเวลาที่เร่ิมตน้ และสิ้นสุดของ ช่วงสมยั ใด สมยั หน่ึง มกั จะอา้ งอิงเหตุการณ์ท่ีทาใหเ้ กิดความเปล่ียนแปลง หรือเป็นจุดเปล่ียนทาง ประวตั ิศาสตร์ เช่น การข้ึนครองราชยข์ องกษตั ริยอ์ งคใ์ ดองคห์ น่ึงจนถึงปี ท่ีพระองคส์ วรรคตหรือ สิ้นอานาจ หรือแบง่ ตามศูนยก์ ลางอานาจการปกครองเป็ นตน้ วดั ไชยวฒั นาราม จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา การต้งั ถิน่ ฐานในประเทศไทย 1. ภาคกลาง รูปแบบการต้งั ถิ่นฐานในภาคกลางแบ่งการต้งั ถ่ินฐานไว้ 3 รูปแบบคือ 1.1 การต้งั ถ่ินฐานแบบกลุ่ม เป็นการต้งั ถิ่นฐานท่ีมกั จะปรากฏในบริเวณท่ีราบใกลแ้ ม่น้า บริเวณแยกของเส้นทางคมนาคม 1.2 การต้งั ถิ่นฐานแบบกระจาย จะพบบริเวณที่มีการทาเกษตรแบบเพ่มิ ผลผลิต หรือการทา การเกษตรแบบเขม้ ขน้ 1.3. การต้งั ถิ่นฐานตามแนวเส้นทางคมนาคม เส้นทางคมนาคมเป็นที่ดึงดูดการต้งั ถ่ินฐาน ของประชากรต้งั แต่อดีต โดยเฉพาะแมน่ ้าลาคลอง 2 ภาคเหนือ การต้งั ถิ่นฐานตามแนวเส้นทางคมนาคม เป็ นการต้งั ถิ่นฐานที่พบมากที่สุดโดยเฉพาะ บริเวณท่ีราบบริเวณคนั ดินธรรมชาติตามแนวของแม่น้าปิ ง และแนวโนม้ ปัจจุบนั การต้งั ถ่ินฐาน ตามแนวเส้นทางคมนาคมมกั ปรากฏตามแนวถนนสายใหญ่ อีกรูปแบบหน่ึงคือการต้งั ถ่ินฐานแบบ

22 กลุ่ม จะปรากฏบริเวณถนนตดั กนั บริเวณโคง้ แมน่ ้า และถา้ หุบเขาเป็ นแอ่งแผน่ ดินขนาดใหญ่ยอ่ มมี ผลทาใหล้ กั ษณะการต้งั ถ่ินฐานเป็นหมูบ่ า้ นขนาดใหญด่ ว้ ย 3. ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ รูปแบบการต้งั ถ่ินฐานแบ่งเป็ น 2 แบบ คือ 3.1. การต้งั ถิ่นฐานแบบกลุ่ม จะพบโดยทวั่ ไปบริเวณใกลแ้ หล่งน้าธรรมชาติ นอกจากน้ียงั พบบริเวณรอบๆ อ่างเก็บน้า บริเวณเนิน บริเวณเส้นทางคมนาคม 3.2. การต้งั ถิ่นฐานแบบกระจาย มกั จะพบอยโู่ ดยทวั่ ไปในพ้นื ที่การเกษตร ซ่ึงอยหู่ ่างจาก ชุมชนที่เป็นหมูบ่ า้ น ตาบล 4. ภาคตะวนั ตก รูปแบบการต้งั ถิ่นฐานแบ่งได้ 2 แบบ คือ 4.1 การต้งั ถ่ินฐานแบบกระจาย โดยเฉพาะบริเวณแอง่ ที่ราบ บางบริเวณอาจมีบา้ นอยู่ รวมกนั เป็ นกลุ่มเล็กๆ 5-7 หลงั คา 4.2 การต้งั ถิ่นฐานแบบรวมกลุ่ม มกั จะพบในบริเวณท่ีราบบริเวณกวา้ งอยรู่ ะหวา่ งภูเขา ที่ราบลุ่มแมน่ ้า โดยเฉพาะบริเวณริมถนน ในภาคตะวนั ตกมีการปรับปรุงเส้นทางคมนาคมใหม่ เพอ่ื สะดวกในการขนส่งวตั ถุดิบ 5. ภาคตะวนั ออก รูปแบบการต้งั ถ่ินฐานไดแ้ ก่ 5.1 การต้งั ถิ่นฐานตามแนวเส้นทางคมนาคม ซ่ึงบริเวณน้ีมกั จะอยกู่ นั อยา่ งหนาแน่นตาม แนวถนน 5.2 การต้งั ถิ่นฐานแบบรวมกลุ่ม มกั จะพบบริเวณท่ีเป็ นทุง่ นา 5.3 การต้งั ถ่ินฐานแบบกระจายในสวนของตน เช่น สวนเงาะ ทุเรียน ยางพารา 6. ภาคใต้ รูปแบบการต้งั ถ่ินฐานไดแ้ ก่ การต้งั ถิ่นฐานแบบกลุ่มที่มีขนาดแตกต่างกนั ข้ึนอยูก่ บั ตวั แปรอื่นๆ เช่น ขนาดของถนน ขนาดของลาคลอง นอกจากน้ียงั อยู่รวมกันเป็ นกลุ่มบริเวณท่ีมี ทรัพยากรแร่ธาตุประเภทดีบุก วุลแฟรม ส่วนการต้งั ถ่ินฐานตามแนวเส้นทางคมนาคม และการต้งั ถ่ินฐานแบบกระจายกม็ ีลกั ษณะคลา้ ยกบั ภาคอื่นๆ ของประเทศ ววิ ฒั นาการในการต้งั ถนิ่ ฐาน

23 ลกั ษณะการต้ังถน่ิ ฐาน แบ่งออกเป็น 3 ลกั ษณะ คือ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการต้ังถ่ินฐานการต้ังถิ่นฐานเกิดข้ึน เม่ือมนุษย์มีความสัมพันธ์ กับสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตวั จึงเกิดการรวมกลุ่ม เพื่อต้ังบ้านเรือนและจัดการกับสิ่งรอบตัว ใหเ้ หมาะกบั การดารงชีพ การต้งั ถิ่นฐานของมนุษย์ จะมีลกั ษณะแตกต่างกนั ออกไป ข้ึนอยูก่ บั ปัจจยั ท่ีมีอิทธิพลต่อการต้งั ถิ่นฐานน้นั ๆ ดงั น้ี อทิ ธิพลด้านสภาพธรรมชาติ 1.แหล่งนา้ น้าเป็ นสิ่งสาคญั อนั ดบั แรก เน่ืองจากน้าเป็ นปัจจยั ที่มาก่อนสิ่งอ่ืนท้งั หมดในแง่ ความตอ้ งการน้าเพื่ออุปโภคและบริโภค 2. ดิน ดินเป็ นปัจจยั รองมาจากน้าในการเลือกต้งั ถ่ินฐาน 3. สภาพภูมปิ ระเทศ บริเวณท่ีราบลุ่มแม่น้า ที่ราบชายฝ่ังทะเล ท่ีราบลูกคล่ืน ภูเขาสูง เป็ นตน้ 4.ภูมอิ ากาศ องคป์ ระกอบของอากาศเช่น พลงั งานความร้อนจากดวงอาทิตย์ อุณหภูมิ ปริมาณน้าฝน มีอิทธิพลตอ่ การต้งั ถ่ินฐาน

24 อทิ ธิพลด้านกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ 1.การเกษตร การต้งั ถ่ินฐานอาจเกิดข้ึนจากการวมกลุ่มกนั หรือต้งั ถ่ินฐานแบบกระจาย ข้ึนอยู่กบั ความแตกต่างของประเภทการเกษตร ซ่ึงกิจกรรมทางการเกษตรที่จะนามาพิจารณา เก่ียวกบั การต้งั ถิ่นฐาน ไดแ้ ก่ การเพาะปลูก การเล้ียงสัตว์ 2.การอตุ สาหกรรม เป็นปัจจยั หน่ึงท่ีดึงดูดใหม้ ีการต้งั ถิ่นฐานอยา่ งหนาแน่น เพราะโรงงาน อุตสาหกรรมตอ้ งการแรงงานเป็นจานวนมาก 3.การค้า การประกอบกิจกรรมประเภทน้ีจะเลือกต้งั อยูบ่ ริเวณท่ีมีประชากรหนาแน่น โดย จะมีลกั ษณะความเป็นเมือง 4.การคมนาคมขนส่ ง ไม่ว่าจะเป็ นทางน้า ทางบก ท่ีสามารถใช้ในการขนส่ง ระหว่าง บริเวณหน่ึงไปยงั บริเวณอื่นๆไดส้ ะดวก และเป็นปัจจยั ที่ส่งเสริมใหม้ ีการต้งั ถิ่นฐานมากข้ึน 5.อทิ ธิพลด้านสังคมและวฒั นธรรม อิทธิพลทางดา้ นสังคมและวฒั นธรรมก็เป็ นปัจจยั หน่ึง ที่มีผลต่อการต้งั ถ่ินฐานของประชากรในอดีต และยงั ส่งผลใหม้ ีการต้งั ถ่ินฐานท่ีถาวร เรื่องท่ี 2 วฒั นธรรมและประเพณไี ทย วฒั นธรรมและประเพณไี ทย วฒั นธรรม หมายถึง แบบอยา่ งหรือวถิ ีการดาเนินชีวติ ของชุมชนแตล่ ะกลุ่มเป็นตวั กาหนด พฤติกรรมการอยรู่ ่วมกนั อยา่ งปกติสุขในสังคม ประเพณี คือ ระเบียบแบบแผนในการปฏิบตั ิท่ีเห็นว่าดีกวา่ ถูกตอ้ งกวา่ หรือเป็ นที่ยอมรับ ของคนส่วนใหญ่ในสังคมและมีการปฏิบตั ิสืบตอ่ กนั มา ประเพณีเป็ นการทากิจกรรมทางสังคมท่ีถือ ปฏิบัติสืบต่อกันมา ประเพณีในสังคมไทยเราน้ันมีมากมายล้วนเป็ นมรดกจากบรรพบุรุษจาก ส่ิงแวดลอ้ ม ทางธรรมชาติและสังคม นบั วา่ คนไทยในปัจจุบนั โชคดีท่ีมีแนวทางในการ ดาเนินชีวติ ท่ีดีงามไวป้ ฏิบตั ิเป็นแบบอยา่ งแก่ลูกหลานสืบต่อมาจนกระทง่ั ทุกวนั น้ี ประเพณีการบวช

25 ลกั ษณะของประเพณไี ทย ประเพณีไทยแบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 ลกั ษณะ คือ 1. ประเพณสี ่วนบุคคล หรือประเพณเี กย่ี วกบั ชีวติ เป็นประเพณีเก่ียวกบั การส่งเสริมความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตต้งั แตเ่ กิดจนตาย ไดแ้ ก่ ประเพณีการเกิด การบวช การแตง่ งาน การตาย การทาบุญในโอกาสตา่ ง ๆ 1. ประเพณกี ารเกดิ เป็นเร่ืองท่ีสังคมไทยใหค้ วามสาคญั แลว้ แต่ความเชื่อของบุคคลหรือ สงั คม ที่ตนอยู่ ซ่ึงแต่เดิมคนเช่ือในส่ิงลึกลบั จึงมีพิธีกรรมต้งั แต่ ต้งั ครรภจ์ นคลอดเพือ่ ป้องกนั ภยั อนั ตรายจากทารก เช่น ทาขวญั เดือน โกนผมไฟ พิธีลงอู่ ต้งั ช่ือ ปูเปลเดก็ โกนจุก (ถา้ ไวจ้ ุก) เป็นตน้ 2. ประเพณกี ารบวช ถือเป็นส่ิงท่ีอบรมสัง่ สอนใหเ้ ป็นคนดี ตลอดจนทดแทนบุญคุณพอ่ แม่ ผใู้ หก้ าเนิดตวั ผบู้ วชเอง ก็มีโอกาส ไดศ้ ึกษาธรรมวนิ ยั - การบรรพชา คือการบวชเณร ตอ้ งเป็นเดก็ ชายที่มีอายตุ ้งั แต่ 7 ขวบข้ึนไป - การอุปสมบท คือ การบวชพระ ชายท่ีบวชตอ้ งมีอายคุ รบ 20 ปี บริบูรณ์ 3. ประเพณกี ารแต่งงาน เกิดข้ึนภายหลงั ผชู้ ายบวชเรียนแลว้ เพราะถือวา่ ไดร้ ับการอบรม มาดีแลว้ เมื่อเลือกหาหญิงตามสมควรแก่ฐานะ ฝ่ ายชายกใ็ หผ้ ใู้ หญไ่ ปสู่ขอฝ่ ายหญิง ข้นั ตอนต่าง ๆ ก็ เป็นการหาฤกษห์ ายาม พธิ ีหม้นั พิธีแห่ขนั หมาก การรดน้าประสาทพร การทาบุญเล้ียงพระ พธิ ีส่ง ตวั เจา้ สาว เป็นตน้ การประกอบพธิ ีต่าง ๆ กเ็ พือ่ ความเป็ นมงคลใหช้ ีวติ สมรสอยกู่ นั อยา่ งมีความสุข 4. ประเพณกี ารเผาศพ ตามคติของพระพุทธศาสนา ถือวา่ ร่างกายมนุษยป์ ระกอบดว้ ยธาตุ 4 คือ - ดิน (เน้ือ หนงั กระดูก) - น้า (เลือด เหงื่อ น้าลาย) - ลม (อากาศหายใจเขา้ -ออก) - ไฟ (ความร้อนความอบอุ่นในตวั เรา) ดงั น้นั เมื่อสิ้นชีวติ แลว้ สังขารที่เหลือจึงไมม่ ีประโยชน์อนั ใด การเผาเสียจึงเป็นส่ิงดี ผทู้ ี่อยู่ เบ้ืองหลงั ไมห่ ่วงใย โดยมากมกั เกบ็ ศพไวท้ าบุญใหท้ านชวั่ คราวเพ่ือบรรเทาความโศกเศร้า โดยปกติ มกั ทาการเผา100 วนั แลว้ เพราะไดท้ าบุญใหท้ านครบถว้ นตามที่ควรแลว้

26 2. ประเพณเี กี่ยวกบั สังคม หรือประเพณสี ่วนรวม เป็นประเพณีที่ประชาชนส่วนใหญ่ในสงั คมถือปฏิบตั ิ ไดแ้ ก่ ประเพณีทาบุญข้ึนบา้ นใหม่ ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีสาคญั ทางพระพุทธศาสนา เป็นตน้ ประเพณีส่วนรวมที่คนไทยส่วนมาก ยงั นิยมปฏิบตั ิกนั เช่น 1. ประเพณสี งกรานต์ เป็ นประเพณีที่กาเนิดมาจากประเทศอินเดีย เป็ น ประเพณีเฉลิมฉลองการ เร่ิมตน้ ปี ใหม่ ไทยเราใช้กนั มา ต้งั แต่สมยั สุโขทยั เป็ นราชธานี วนั ท่ีเริ่มต้นปี ใหม่ คือ วนั ที่ 13 เมษายนของทุกปี ถือปฏิบตั ิจนถึงปี พ.ศ. 2483 รัฐบาลจึงไดก้ าหนด ใหว้ นั ท่ี 1 มกราคม เป็นวนั ปี ใหม่ ใน วนั สงกรานตจ์ ะมีการ ทาบุญ ตกั บาตร ปล่อยนก ปล่อยปลาสรงน้าพระพุทธรูปพระสงฆ์ รดน้าดาหวั ผใู้ หญก่ ารเล่นสาดน้ากนั การเล่นกีฬาพ้ืนเมือง ปัจจุบนั ยงั เป็นประเพณีนิยมเพ่อื ความบนั เทิงสนุกสนาน ไดเ้ ยย่ี มพอ่ แม่ ญาติพ่ีนอ้ ง 2.ประเพณีเข้าพรรษา สืบเน่ืองจากอินเดียสมัยโบราณ กาหนดให้พระสงฆ์ที่จาริกไปยงั สถานท่ีต่างๆ กลบั มายงั สานกั ของอาจารยใ์ นฤดูฝน เพราะลาบากแก่การจาริก ยงั ไดท้ บทวนความรู้ อุบาสก อุบาสิกาไดท้ าบุญถวายผา้ อาบน้าฝน ถวายตน้ เทียน เพื่อใหพ้ ระสงฆใ์ ชใ้ นพรรษา ชาวไทยถือ นิยมปฏิบตั ิการเขา้ พรรษาแรกคือปุริมพรรษา เร่ิมต้งั แต่แรม 1 ค่า เดือน 8 จนถึงข้ึน 15 ค่า เดือน 11 3.ประเพณที อดกฐิน ทอดผา้ เม่ือพน้ พรรษาแลว้ จะมีประเพณีถวายผา้ พระกฐินแก่พระสงฆ์ เพอื่ ผลดั เปล่ียนกบั ชุดเดิม ซ่ึงถือปฏิบตั ิกนั มาต้งั แต่สมยั สุโขทยั การทอดกฐิน เร่ิมต้งั แต่ วนั แรม 1 ค่า เดือน 11 จนถึงกลางเดือน 12 รวมเวลา 1 เดือน จะทอด ก่อนหรือหลงั น้ีไม่ได้ ภาพประเพณีการทอดกฐิน

27 ความสาคญั ของขนบธรรมเนียมประเพณไี ทย วฒั นธรรมประเพณีของชาติ ลว้ นแสดงใหเ้ ห็นความคิด ความเช่ือ ท่ีสะทอ้ นถึงวธิ ีการดาเนิน ชีวติ ความเป็นมา ความสาคญั ซ่ึงลว้ นเป็นส่วนหน่ึงของอารยธรรมไทย ดงั น้นั ขนบธรรมเนียม ประเพณีไทย จึงมีความสาคญั พอสรุปไดด้ งั น้ี 1. ความเป็ นสิริมงคล ขนบธรรมเนียมประเพณีไทยน้นั ลว้ นเก่ียวขอ้ งกบั พระพุทธศาสนาและ พราหมณ์พธิ ีกรรมตา่ ง ๆ ท่ีปฏิบตั ิสืบทอดกนั มาน้นั เป็นความเชื่อเรื่องของความเป็นมงคลแก่ชีวติ 2. ความสามคั คี ความเสียสละ ขนบธรรมเนียมประเพณีเป็ นเคร่ืองฝึกจิตใจใหร้ ู้จกั เป็นผู้ เสียสละจะเห็นไดจ้ ากงานบุญตา่ ง ๆ มกั เกิดการร่วมมือร่วมแรง ร่วมใจกนั เช่นพิธีขนทรายเขา้ วดั การ ก่อเจดียท์ ราย ทาใหเ้ กิดความรักความสามคั คี 3. การมสี ัมมาคารวะ ถือเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีไทยอยา่ งหน่ึง แสดงถึงความนอบนอ้ ม ออ่ นโยนความมีมารยาทไทย 4. ขนบธรรมเนียมประเพณไี ทย ช่วยทาใหค้ นไทยอยใู่ นกรอบที่ดีงาม ถือวา่ เป็นเคร่ืองมือ ในการกาหนดพฤติกรรมไดอ้ ยา่ งหน่ึง 5. ขนบธรรมเนียมประเพณใี นแต่ละท้องถิน่ ถึงแมว้ า่ จะแตกตา่ งกนั แตท่ ุกคนกม็ ีความรู้สึก วา่ ทุกคนเป็นคนไทย มีความเป็นชาติเดียวกนั และสามารถแบง่ ออกถึงความเป็ นมาของชาติได้ เรื่องที่ 3 ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวฒั นธรรมของชุมชน วฒั นธรรมในชุมชน วฒั นธรรมเปรียบเสมือนรากแกว้ ของตน้ ไมท้ ี่เป็นรากหยง่ั ลึกลงไปในดินเพอื่ ยดึ ตน้ ไม้ ไม่ใหล้ ม้ เม่ือมีพายลุ มแรง เช่นเดียวกบั วฒั นธรรมท่ีเป็นรากฐานในการดาเนินชีวติ ให้เกิดความ เจริญรุ่งเรือง วฒั นธรรมไทยทค่ี วรภาคภูมใิ จและควรอนุรักษ์ ชาติไทยไดส้ ร้างสมวฒั นธรรมสืบเนื่องมาชา้ นาน และวฒั นธรรมบางอยา่ งไดส้ ร้างความ เจริญใหแ้ ก่สังคม เช่น 1. การแสดงความเคารพโดยการกราบ การไหว้ ชาติไทยมีวฒั นธรรมการแสดงความ เคารพท่ีแตกตา่ งจากชาติอื่น คนไทยเมื่อพบเจอกนั จะทกั ทายกนั โดยการไหว้ และกล่าวทกั ทายวา่

28 สวสั ดี การแสดงความเคารพโดยการกราบและไหวจ้ ะปฏิบตั ิแตกต่างกนั ตามสถานภาพของบุคคล เช่น การกราบพอ่ แม่ หรือญาติผใู้ หญ่ไม่ตอ้ งแบมือ แตก่ ารกราบพระตอ้ งแบมือ การแสดงความเคารพโดยการไหว้ การแสดงความเคารพโดยการกราบ 2. อาหารไทย อาหารไทยเป็ นภูมิปัญญาของคนไทยท่ีคิดคน้ นาพืชผกั ต่างๆที่มีอยู่ใน ทอ้ งถิ่นมาปรุงเป็ นอาหารซ่ึงเป็ นเอกลกั ษณ์ของแต่ละทอ้ งถ่ิน เช่น ภาคใต้ อาหารส่วนใหญ่ไดม้ า จากทะเล จึงมีการนาสมุนไพรต่างๆ มาใช้เป็ นส่วนผสมในการปรุงอาหารเพ่ือดับกล่ินคาว นอกจากน้ียงั มีการนาพืชผกั สมุนไพรที่มีสรรพคุณ (อ่านวา่ สับ – พะ–คุน) เป็ นยามาเป็ นส่วนผสม ในอาหาร เช่น ขา่ ตะไคร้ ใบมะกรูด 3. ภาษาไทย ภาษาไทยเป็ นเคร่ืองมือในการติดต่อสื่อสาร ดงั น้นั ชาติต่าง ๆ จึงสร้างภาษา และตวั อกั ษรข้ึน เม่ือ พ.ศ.1826 พ่อขุนรามคาแหงมหาราชได้ประดิษฐ์ตวั อกั ษรไทยซ่ึงเป็ น ตน้ กาเนิดของอกั ษรไทยในปัจจุบนั และเป็นมรดกทางวฒั นธรรมของชาติ คนไทยใชภ้ าษาไทยบอก เล่าหรือบนั ทึกเร่ืองราวต่างๆสืบตอ่ มา เราควรอนุรักษภ์ าษาไทย โดยเขียนหรือพูดสื่อสารดว้ ยคาพูด ท่ีสุภาพไพเราะ ซ่ึงแสดงใหเ้ ห็นถึงวฒั นธรรมในการใชภ้ าษาไทย ศิลาจารึกพอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช

29 ประเพณที ้องถน่ิ ประเพณีทอ้ งถิ่นไดแ้ ก่ ประเพณีนิยมปฏิบตั ิกนั ในแตล่ ะทอ้ งถิ่น หรือภูมิภาคของประเทศไทย ดงั น้ี 1.ภาคกลาง เช่น ประเพณีอุม้ พระดาน้า ประเพณีวง่ิ ควาย ตกั บาตรเทโว ทาขวญั ขา้ ว เป็ นตน้ ประเพณีอุม้ พระดาน้า ประเพณีวงิ่ ควาย ตกั บาตรเทโว ทาขวญั ขา้ ว 2.ภาคใต้ เช่น ประเพณีบุญเดือนสิบ ประเพณีชกั พระ ประเพณีชิงเปรต ประเพณีแห่ผา้ ข้ึน พระธาตุ เป็นตน้ ประเพณีบุญเดือนสิบ ประเพณีชิงเปรต ประเพณีชกั พระ ประเพณีแห่ผา้ ข้ึนพระธาตุ 3.ภาคเหนือ เช่น ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีรดน้าดาหวั ประเพณีปอยส่างลอง เป็นตน้ ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีรดน้าดาหวั ประเพณีปอยส่างลอง

30 4. ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ เช่นประเพณีไหลเรือไฟ ประเพณีบุญบ้งั ไฟ ประเพณีแห่เทียนพรรษา ประเพณีแห่ผตี าโขน เป็ นตน้ ประเพณีไหลเรือไฟ ประเพณีบุญบ้งั ไฟ ประเพณีแห่เทียนพรรษา ประเพณีแห่ผตี าโขน ขนบธรรมเนียมประเพณีไทยทุกภาค มีความสาคญั ต่อคนไทยในแตล่ ะภาค แสดงใหเ้ ห็นวา่ สังคมไทย เป็นสังคมที่มีวฒั นธรรมเป็นของตนเอง ซ่ึงเป็ นเอกลกั ษณ์ที่โดดเด่น ควรส่งเสริมและอนุรักษไ์ วเ้ พอ่ื เป็นมรดก ของสังคมสืบไป

31 แบบฝึ กหดั บทท่ี 2 การต้งั ถน่ิ ฐาน การดาเนินชีวติ และวฒั นธรรมชุมชน คาชี้แจง ให้นักศึกษาตอบคาถามต่อไปนี้ 1. ปัจจยั ท่ีมีอิทธิพลตอ่ การต้งั ถิ่นฐาน ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... 2.ใหน้ กั ศึกษาเลือกคาตอบ ก.ยคุ ก่อนประวตั ิศาสตร์ หรือ ข.ยคุ ประวตั ิศาสตร์ ทีกาหนดใหเ้ ติม ลงในช่องวา่ งใหถ้ ูกตอ้ ง ก. ยุคก่อนประวตั ศิ าสตร์ ข. ยุคประวตั ศิ าสตร์ ………............................. ................................. ……………................... .............................. .....……………................... ..................................

32 แบบทดสอบ บทท่ี 2 การต้งั ถิ่นฐาน การดาเนินชีวติ และวฒั นธรรมของชุมชน คาชี้แจง: จงเลือกคาตอบท่ีถูกตอ้ งที่สุดเพยี งคาตอบเดียว 1. เพราะเหตุใดในแต่ละชุมชนจึงมีการดาเนินชีวติ และวฒั นธรรมท่ีตา่ งกนั ก. ฐานะทางสงั คมตา่ งกนั ข. นโยบายของผนู้ าทอ้ งถิ่นต่างกนั ค. ความเช่ือถือและการนบั ถือศาสนา ง. ลกั ษณะนิสยั ของคนในชุมชนต่างกนั 2. ขอ้ ใดไมใ่ ช่ปัจจยั ทางภูมิศาสตร์ท่ีมีอิทธิพลตอ่ การต้งั ถิ่นฐานของชุมชน ก. ประเพณี ข. ภูมิอากาศ ค. ลกั ษณะภูมิประเทศ ง. ทรัพยากรธรรมชาติ 3. ลกั ษณะของชุมชนในชนบทตรงกบั ขอ้ ใด ก. เป็นลกั ษณะของครอบครัวเด่ียว ข. ชุมชนท่ีเนน้ ความสะดวกสบาย ค. การต้งั บา้ นเรือนกระจดั กระจายตามพ้นื ท่ีเพาะปลูก ง. การประกอบอาชีพข้ึนอยกู่ บั ความสามารถของบุคคล 4. คนที่ประกอบอาชีพใด ควรอาศยั อยใู่ นสงั คมเมือง ก. ชาวไร่ ข. นกั ธุรกิจ ค. ชาวสวน ง. ชาวประมง 5. ระเบียบแบบแผนในการปฏิบตั ิที่ดีงามและมีการปฏิบตั ิสืบต่อกนั คือความหมายขอ้ ใด ก. ประเพณี ข. คุณธรรม ค. จริยธรรม ง. วฒั นธรรม

33 6. ขอ้ ใดไม่ใช่ลกั ษณะเด่นของวฒั นธรรมไทย ก. กตญั ญูกตเวที ข. เอ้ือเฟ้ื อเผอื่ แผ่ ค. สุภาพอ่อนนอ้ ม ง. ขาดความสามคั คี 7. จากภาพมีจุดมุ่งหมายใด ก. เพือ่ ขอขมาแมค่ งคา ข. เพื่อบูชาสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิ ค. เพ่ือขอขมาแม่โพสพ ง. เพือ่ ขอขมาเจา้ ที่เจา้ ทาง 8. ภาพในขอ้ ใดคือประเพณีของชุมชนในภาคใต้ ก. ข. ค. ง. 9. ภาพในขอ้ ใดคือประเพณีใดท่ีเก่ียวขอ้ งกบั พระพทุ ธศาสนา ก. ข. ค. ง. 10. ขอ้ ใดคือวฒั นธรรมท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การทานา ก. การเล้ียงเจา้ นา ข. การลอยกระทง ค. การทาบุญกลางบา้ น ง. การกวนขา้ วทิพย์

34

35 บทท่ี 3 การสถาปนาอาณาจกั รไทย 3.1 ผู้สถาปนาอาณาจกั รต่างๆ ผ้สู ถาปนาอาณาจักรสุโขทัย  พอ่ ขนุ ผาเมือง  พอ่ ขนุ ศรีอินทราทิตย์ (พอ่ ขนุ บางกลางหาว) ผ้สู ถาปนาอาณาจักรอยุธยา  สมเดจ็ พระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจา้ อู่ทอง) กษัตริย์ผู้สถาปนาอาณาจักรธนบุรี  สมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราช กษัตริย์ผู้สถาปนาอาณาจักรรัตนโกสินทร์  พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช 3.2 อาณาจักรสุโขทยั

36 เม่ืออาณาจกั รขอมเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในพุทธศตวรรษท่ี 17 อิทธิพลของขอมแผ่ขยาย ครอบคลุมดินแดนสุวรรณภูมิ อารยธรรมหรือวฒั นธรรมของขอมจึงแทรกซึมไปในหมู่ประชากร ของบริเวณน้ีอย่างทวั่ ถึงและผสมคลุกเคลา้ เป็ นวฒั นธรรมสืบต่อมาจนถึงปัจจุบนั คร้ันอาณาจกั ร ขอมเส่ือมลงในตอนปลายพุทธศตวรรษท่ี 18 กลุ่มคนไทยหรืออาณาจกั รต่างๆ ของคนไทยที่เคย ตกอยภู่ ายใตอ้ ิทธิพลของขอมจึงต่างพยายามต้งั ตนเป็นอิสระ ก่อนการสถาปนาอาณาจกั รสุโขทยั เมืองสุโขทยั และเมืองศรีสัชนาลยั มีเจา้ เมืองปกครองมี พระนามวา่ พอ่ ขนุ ศรีนาวนาถม เมื่อสิ้นรัชกาลไดม้ ีบุคคลปรากฏตามศิลาจารึกวา่ ขอมสบาดโขลญ ลาพง เขา้ มามีอานาจปกครองเมืองท้งั สอง พ่อขนุ บางกลางหาว เจา้ เมือง บางยางกบั พระสหายคือ พ่อขุนผาเมืองเจา้ เมืองราด ซ่ึงเป็ นโอรสพ่อขนุ ศรีนาวนาถม ไดช้ กั ชวนคนไทยผูร้ ักชาติบา้ นเมือง ท้งั หลายให้รวมตวั ผนึกกาลงั ชิงเมืองสุโขทยั และเมืองศรีสัชนาลยั จากขอมสบาดโขลญลาพง ประกาศสถาปนากรุงสุโขทยั เป็ นราชอาณาจกั รอิสระ ประกอบพระราชพิธีอภิเษกพ่อขนุ บางกลาง หาวเป็นกษตั ริยป์ กครองสุโขทยั ทรงพระนามวา่ “พอ่ ขนุ ศรีอินทราทิตย”์ ใน พ.ศ. 1792 พอ่ ขุนศรีอินทราทิตยไ์ ดท้ รงปกครองอาณาจกั รสุโขทยั เป็ นกษตั ริยอ์ งคแ์ รกของราชวงศ์ พระร่วงโดยมีการสร้างความสัมพนั ธ์อนั ดีกบั พ่อขนุ ผาเมือง เจา้ เมืองราด ดว้ ยความเป็ นพระสหาย ของพ่อขนุ ท้งั สองและเป็ นเครือญาติสนิททางการสมรส คือ พระมเหสีของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ น้นั มีเช้ือพระวงศเ์ ป็ นพระขนิษฐาของพ่อขุนผาเมือง มีพระนามว่า นางเสือง ซ่ึงต่อมาไดม้ ีโอรส เสวยราชสมบตั ิปกครองอาณาจกั รสุโขทัยให้มีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อมาถึง 2 พระองค์ คือ พอ่ ขนุ บานเมืองและพอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช ปัจจัยทเี่ อือ้ ต่อการสถาปนาอาณาจักรสุโขทยั ปัจจยั ที่เอ้ือต่อการสถาปนาอาณาจกั รสุโขทยั มี 2 ดา้ น คือ 1.ปัจจัยภายใน  มีผนู้ าที่เขม้ แขง็  มีขวญั และกาลงั ใจดี  คนไทยรักความเป็นอิสระ  บา้ นเมืองมีความอุดมสมบูรณ์ 2.ปัจจัยภายนอก  ขอมมกั จะรุกรานและแผอ่ านาจเขา้ ไปในอาณาจกั รอ่ืนๆ ตอ้ งทาสงครามเป็ น ระยะเวลายาวนาน โดยเฉพาะกบั อาณาจกั รจามปา กษตั ริยข์ อมตอ้ งทาสงคราม ยดื เย้อื หลายรัชกาล ตอ้ งเสียกาลงั คน เสบียงอาหาร ทรัพยากรและขาดการทานุ บารุงบา้ นเมือง

37  การสร้างปราสาทหรือเทวสถานไวป้ ระดิษฐานศิวลึงค์ เพื่อการบูชาและการสร้าง สาธารณูปโภคของกษตั ริยแ์ ตล่ ะพระองค์ กเ็ ป็นอีกเหตุหน่ึงท่ีทาใหข้ อมเส่ือม อานาจ เพราะตอ้ งใชแ้ รงงาน ใชท้ รัพยากรและเสบียงอาหารจานวนมากมาย ความอ่อนแอทางเศรษฐกิจทาใหต้ อ้ งเกบ็ ภาษีจากประชาชนมากข้ึน ความสัมพนั ธ์กบั อาณาจักรอ่ืนๆ 1. ความสัมพันธ์กับอาณาจักรล้านนา อาณาจักรสุโขทัยสร้างความสัมพันธ์อันดี กับอาณาจักรล้านนามาตลอด ต้งั แต่เร่ิมก่อต้ังในสมยั พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ จนถึงสมยั พ่อขุน รามคาแหง ทรงดาเนินนโยบายผูกสัมพนั ธไมตรีกบั อาณาจกั รลา้ นนาให้แน่นแฟ้นยิ่งข้ึน เพราะ เป็นชนชาติไทยดว้ ยกนั คือ ในสมยั พอ่ ขนุ รามคาแหง อาณาจกั รลา้ นนามีบุคคลสาคญั คือ พอ่ ขนุ เมง็ ราย เจา้ เมืองเงินยาง และพ่อขุนงาเมือง เจา้ เมืองพะเยา ท้งั สามองคเ์ ป็ นมิตรสนิทสนมกนั มา แต่เยาว์วยั เมื่อมีอานาจปกครองบ้านเมือง จึงมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ใน พ.ศ. 1835 พ่อขุนเม็งรายสร้างราชธานีใหม่ มีช่ือว่า นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ พ่อขุนรามคาแหงและ พ่อขุนงาเมืองก็ได้ให้ความร่วมมือ ตลอดระยะเวลาท่ีอาณาจกั รสุโขทยั เป็ นอิสระผูป้ กครอง อาณาจกั รท้งั สองฝ่ ายต่างเป็นมิตรไมตรีกนั 2. ความสัมพนั ธ์กบั เมืองนครศรีธรรมราช อาณาจักรสุ โขทัยมีความสัมพันธ์อันดีกับ นครศรีธรรมราชต้งั แตส่ มยั พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ทาใหไ้ ดร้ ับผลดีหลายประการ คือ มีการรับเอา พระพุทธศาสนาลทั ธิลงั กาวงศม์ าเผยแผใ่ นสุโขทยั และไดร้ ับความเล่ือมใสศรัทธาจากประชาชน เป็ นอย่างดี ในสมยั พ่อขุนรามคาแหง เมืองนครศรีธรรมราชเข้าร่วมอยู่ในอาณาจักรสุโขทัย สร้างความมนั่ คงแก่สุโขทยั เป็นอยา่ งยง่ิ 3. ความสัมพนั ธ์กบั ลงั กา อาณาจกั รสุโขทยั สมยั พอ่ ขนุ ศรีอินทราทิตย์ เร่ิมมีความสัมพนั ธ์ กบั ลงั กาในทางพระพุทธศาสนาโดยผา่ นเมืองนครศรีธรรมราช เจา้ กรุงลงั กาไดถ้ วาย พระพุทธ สิหิงค์ แก่กรุงสุโขทยั ในสมยั ต่อมาก็มีพระเถระจากสุโขทยั เดินทางไปศึกษาพระไตรปิ ฎกท่ีลงั กา รัชกาลพระมหาธรรมราชาท่ี 1 (ลิไทย) กโ็ ปรดเกลา้ ฯ ใหไ้ ปพิมพร์ อยพระพุทธบาทของลงั กามา ประดิษฐานไวบ้ นยอดเขาสุมนกูฎในเมืองสุโขทยั ดว้ ย นอกจากน้ียงั ไดเ้ ชิญพระมหาสามีสังฆราช จากเมืองนครพนั (เมาะตะมะ หรือ มะตะบนั ) ประเทศมอญ ซ่ึงเป็ นชาวลงั กามาเป็ นอุปัชฌายเ์ ผย แผพ่ ระพุทธศาสนาลทั ธิลงั กาวงศ์ 4. ความสัมพันธ์กับอาณาจักรมอญ อาณาจกั รสุโขทยั ในสมยั พ่อขุนศรีอินทราทิตยแ์ ละ พ่อขุนบานเมืองน้นั ยงั ไม่ปรากฏหลกั ฐานที่แน่ชดั ดา้ นการเจริญมีสัมพนั ธไมตรีกบั อาณาจกั รมอญ ต่อมาในรัชกาลพอ่ ขุนรามคาแหงมหาราช ทรงสนบั สนุน มะกะโท บุตรพอ่ คา้ ชาวมอญ โดยรับ ไวเ้ ป็ นราชบุตรเขยและส่งเสริมจนไดเ้ ป็ นกษตั ริยแ์ ห่งอาณาจกั รมอญและพระราชทานพระนามไว้

38 ว่า พระเจ้าฟ้าร่ัว อาณาจกั รมอญจึงสวามิภกั ด์ิต่ออาณาจกั รสุโขทยั ตลอดรัชสมยั ของพ่อขุน รามคาแหง เมื่อพระเจา้ ฟ้าร่ัวสิ้นพระชนม์แลว้ หัวเมืองมอญจึงต้งั ตนเป็ นอิสระ ไม่ยอมข้ึนต่อ สุโขทยั 5. ความสัมพนั ธ์กบั อาณาจักรลาว สมยั พอ่ ขนุ รามคาแหง อาณาจกั รสุโขทยั มีอานาจเหนือ หัวเมืองลาวบางเมืองในดินแดนลุ่มแม่น้าโขงทางฝ่ังซ้าย คือ ทางด้านตะวนั ออก ถึงเมือง เวยี งจนั ทน์ เวยี งคา ทางเหนือถึงเมืองหลวงพระบาง หวั เมืองลาวดงั กล่าวจึงเป็ นเมืองประเทศราช ของสุโขทยั เม่ือสิ้นสมยั พอ่ ขนุ รามคาแหง หวั เมืองลาวไดต้ ้งั ตนเป็ นอิสระปกครองตนเอง คร้ันถึง พ.ศ. 1896 – 1916 เจา้ ฟ้างุม้ กษตั ริยล์ าวไดร้ วบรวมหวั เมืองต่างๆ และต้งั อาณาจกั รลาว การท่ีลาว เขม้ แข็งและมีอานาจเป็ นผลดีต่อไทย เพราะลาวได้หนั ไปต่อสู้กบั ขอม จนทาให้ขอมอ่อนอานาจ และไม่มีกาลังพอที่จะมารุ กรานไทย อาณาจักรสุ โขทัยและอาณาจักรลาวในช่วงน้ี จึงมี ความสัมพนั ธ์ในทางสนั ติไม่ไดเ้ ป็นศตั รูต่อกนั 6. ความสัมพันธ์กับจีน แมจ้ ีนจะอยู่ห่างไกล แต่มีอานาจมาก จึงแผ่อิทธิพลเขา้ มาใน ดินแดนประเทศต่างๆ ในสมยั พระเจา้ หงวนสีโจ๊วฮ่องเต้ (กุบไลข่าน) ไดส้ ่งพระราชสาสน์เตือน มายงั สุโขทยั ใหน้ าเคร่ืองบรรณาการไปถวายพระองค์ เม่ือ พ.ศ. 1837 พอ่ ขนุ รามคาแหงทรงเห็นวา่ หากน่ิงเฉยหรือขดั ขืน อาจเกิดสงครามกบั จีนได้ จึงโปรดให้แต่งราชทูตนาเครื่องบรรณาการไป ถวายกษตั ริยจ์ ีน สุโขทยั และจีนจึงมีไมตรีต่อกนั มีผลดีท้งั ทางเศรษฐกิจการเมือง มีการติดต่อ คา้ ขายกบั จีน และไดร้ ับศิลปะการทาเครื่องเคลือบ ซ่ึงต่อมาเรียกว่า เครื่องสังคโลก ผลิตเป็ น สินคา้ ออกเป็ นท่ีนิยมมาก นอกจากน้ียงั ได้รับความรู้ในการเดินเรือทะเลจากจีน สามารถนาเรือ บรรทุกสินคา้ ไปคา้ ขายกบั นานาประเทศได้ ส่วนทางการเมืองก็ไดร้ ับความเช่ือถือจากประเทศอ่ืนๆ เน่ืองจากจีนให้การรับรองไม่ต้องถูกปราบปรามเหมือนบางประเทศ ส่งผลให้สุโขทยั มีการ แลกเปล่ียนซ้ือขายกบั จีนและประเทศอ่ืนๆ ขยายตลาดกวา้ งขวางข้ึน 7. ความสัมพันธ์กับอาณาจักรขอม พ่อขุนรามคาแหงเริ่มขยายอานาจไปทางลุ่มแม่น้า โขงตอนล่าง เขา้ โจมตีอาณาจกั รขอม โดยได้รับการสนบั สนุนจากจกั รพรรดิกุบไลข่าน การทา สงครามนาความเสียหายใหแ้ ก่ขอม เป็ นการทาลายอานาจทางการเมืองของขอมที่เคยมีอยู่ในแถบ ลุ่มแม่น้าโขงและลุ่มแมน่ ้าเจา้ พระยาใหส้ ิ้นสุดลง 8. ความสัมพันธ์กับอาณาจักรอยุธยา ในรัชสมยั ของพระมหาธรรมราชาท่ี 1 (ลิไทย) ในระยะแรกที่กรุงศรีอยุธยาสถาปนาเป็ นอาณาจกั ร สุโขทยั และอยุธยาไดม้ ีการสู้รบกนั เป็ นคร้ัง คราว จนกระทง่ั พ.ศ. 1921 ในสมยั พระมหาธรรมราชาที่ 2 สุโขทยั ก็ตกเป็ นประเทศราชของ อยธุ ยาซ่ึงมีพระบรมราชาธิราชท่ี 1 (ขุนหลวงพะงวั่ ) เป็ นกษตั ริย์ แมต้ ่อมาพระมหาธรรมราชาท่ี 3 (ไสยลือไทย) จะประกาศอิสรภาพจากอยุธยาไดส้ าเร็จ แต่เม่ือพระองคเ์ สด็จสวรรคต ราชโอรส ของพระองคก์ แ็ ยง่ ชิงราชสมบตั ิกนั เป็นเหตุใหส้ มเด็จพระอินทราชาแห่งกรุงศรีอยุธยายกทพั ข้ึนไป

39 ไกล่เกลี่ย ทาให้สุโขทยั ถูกแบ่งออกเป็ น 2 ส่วน และเม่ือพระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมปาล) สวรรคต เจา้ สามพระยาแห่งอาณาจกั รอยุธยาไดท้ รงส่งพระราเมศวร พระราชโอรสที่เกิดจาก พระราชธิดาของพระมหาธรรมราชาที่ 3 ข้ึนไปครองเมืองพิษณุโลกซ่ึงเป็ นเมืองลูกหลวงของ อาณาจกั รสุโขทยั สุโขทยั จึงถูกรวมเขา้ กบั อาณาจกั รอยธุ ยาและเป็นอนั สิ้นสุดของอาณาจกั รสุโขทยั ปัจจัยทมี่ ผี ลต่อลกั ษณะเศรษฐกจิ ของสุโขทยั 1. ลกั ษณะทางภูมิศาสตร์ สุโขทยั อยใู่ นภาคกลางตอนบนของประเทศไทย มีพ้ืนที่เป็นที่ ราบส่วนใหญ่ จึงเหมาะแก่การทาเกษตรกรรม ทางทิศเหนือมีภูเขาติดต่อกนั ลงมา ทางตะวนั ตกมี เขาหลวงและเขาแลง้ เป็นภูเขาใหญ่ และทิวเขาถ้าเจา้ รามมีขนาดรองลงมา ในบางทอ้ งท่ีมีภูเขาท่ีมี น้าตกหลายแห่งใหค้ วามชุ่มช้ืนแก่ดิน มีป่ าท่ีอุดมดว้ ยไมม้ ีคา่ มีพ้ืนที่ราบกวา้ งทางตะวนั ออกลงมา ทางใตม้ ีแมน่ ้า ลาคลอง หนอง บึง อยทู่ ว่ั ไป เป็ นแหล่งน้าเพ่ือการเพาะปลูกและเป็นที่อาศยั ของ สัตวน์ ้า เช่น กงุ้ ปู ปลา เป็ นตน้ 2.ลักษณะภูมิประเทศ สุโขทยั ประกอบด้วยท่ีราบลุ่มแม่น้าและท่ีราบเชิงเขา บริเวณลุ่ม แม่น้า ได้แก่ ที่ราบลุ่มแม่น้าใหญ่ 3 สาย คือ แม่น้าปิ ง ผ่านตาก และกาแพงเพชร แม่น้ายม ผา่ นศรีสัชนาลยั และสุโขทยั แม่น้าน่าน ผ่านอุตรดิตถ์ พิษณุโลก และพิจิตร บริเวณพ้ืนท่ีท้งั สองฝั่งของแม่น้าแต่ละสายจึงเป็ นแหล่งสาคญั ท่ีส่งเสริมการประกอบอาชีพเพาะปลูก เล้ียงสัตว์ และทาประมง ตลอดจนใชเ้ ป็ นแหล่งท่ีต้งั บา้ นเรือนไดด้ ี ส่วนทางทิศตะวนั ตกของสุโขทยั จนถึง กาแพงเพชรพ้ืนที่เป็ นดินดอน มีความอุดมสมบูรณ์น้อยกว่าบริเวณท่ีราบลุ่มแม่น้า แต่สามารถ เพาะปลูกพืชบางชนิด และสามารถใชเ้ ล้ียงสัตวไ์ ด้ 3. ทรัพยากรธรรมชาติ ท่ีต้งั ของอาณาจกั รสุโขทยั อยบู่ ริเวณที่ราบลุ่มแม่น้าซ่ึงเป็ นสาขา ของแม่น้าเจา้ พระยาสลบั กบั ท่ีดอน จึงมีน้าอุดมสมบูรณ์ในหนา้ ฝน น้าน้อย ในหน้าแลง้ บริเวณ รอบๆ เมืองมีป่ าไมข้ ้ึนอยู่ทว่ั ไป สุโขทยั จึงมีความอุดมสมบูรณ์ดว้ ยพืชพรรณธรรมชาติ มีการทา สวนทาไร่ทว่ั ไป 4. ความสามารถของผู้นา นอกจากลกั ษณะทางภูมิศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติแล้ว ปัจจยั สาคญั อีกประการหน่ึง คือ พระปรีชาสามารถของพระมหากษตั ริยใ์ นสมยั สุโขทยั ที่ทรงทานุ บารุงบา้ นเมืองดา้ นต่างๆ โดยเฉพาะในดา้ นการเกษตรทรงทานุบารุงโดยส่งเสริมดว้ ยวธิ ีการต่าง ๆ ท่ีสาคญั คือ  การให้กรรมสิทธ์ิทดี่ ิน เมื่อประชาชนหกั ร้างถางพง ปลูกพืชพนั ธุ์ทามาหากิน ในท่ีดินแห่งใด ใหท้ ่ีดินน้นั ตกเป็นกรรมสิทธ์ิของผนู้ ้นั และเมื่อเจา้ ของตายก็ให้ ตกเป็นของลูกหลานสืบตอ่ ไป ทาใหป้ ระชาชนมีกาลงั ใจในการประกอบอาชีพ ซ่ึงปรากฏตามศิลาจารึกพอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช ดงั น้ี

40 .........หมากขามกห็ ลายในเมืองนี้ ใครสร้างได้ไว้แก่มนั .......... .......... ผ้ใู ดแล้ล้มตายหายกว่า..... ป่ าหมากป่ าพลูพ่อเชื้อมนั ไว้แก่ลูกมนั สิ้น.........  การพัฒนาทางการเกษตร สุโขทยั ไดน้ าระบบชลประทานมาช่วยในการเกษตร เช่น มีการสร้างเข่ือน สร้างทานบ ขดุ คู คลอง เพือ่ กกั เก็บ ก้นั และส่งน้าไป ใชใ้ นการเพาะปลูก สรีดภงส์ หรือ ทานบพระร่วง จดั เป็ นเข่ือนที่สร้างข้ึนจาก ดินเพือ่ การชลประทาน แสดงใหเ้ ห็นถึงความกา้ วหนา้ ทางวทิ ยาการการพฒั นา ระบบน้า การสร้างตระพงั เก็บน้าและเหมืองฝาย ต้งั แต่ศรีสัชนาลยั ผา่ นสุโขทยั ไปถึงกาแพงเพชร เป็นการใชแ้ รงงานคนเป็นหลกั ระบบเงนิ ตราสมัยสุโขทยั เงินพดดว้ ง เบ้ียหอย (ท่ีมา: https://monchanat.files.wordpress.com และ http://omorosettochrono.blogspot.com/) การนาระบบเงินตรามาใช้มีส่วนช่วยระบบเศรษฐกิจให้ดีข้ึน เป็ นการจูงใจใหป้ ระชาชน ประกอบอาชีพเพื่อจะไดม้ ีทรัพยส์ ินเป็นของตนเอง ดว้ ยเหตุที่สุโขทยั มีแร่ธาตุหลายชนิด เช่น เงิน ทอง ดีบุก เหล็ก จึงมีการนาแร่เงินมาใชใ้ นการทาเงินตราท่ีเรียกวา่ เงินพดด้วง เป็ นการพฒั นา ระบบเศรษฐกิจเพ่ืออานวยความสะดวกในการแลกเปล่ียนให้คล่องข้ึน เงินพดดว้ ง แบ่งออกเป็ น สลึง บาท และตาลึง (เงินตราที่มีคา่ นอ้ ยที่สุด คือ เบ้ีย ทาจากหอย เรียกวา่ เบ้ียหอย)

41 สังคมและวฒั นธรรมสมัยสุโขทยั สุโขทยั เป็ นอาณาจกั รที่ก่อต้งั ข้ึนภายหลงั การกาจดั อิทธิพล ของขอม การท่ีสุโขทยั สามารถกาจดั อิทธิพลของขอมไปได้ ยอ่ มแสดงว่าสังคมสุโขทยั เป็ นสังคมท่ีมีความสมคั รสมานสามคั คี เป็ นอย่างดี การไดผ้ ูน้ าที่เก่งกลา้ สามารถยอ่ มก่อให้เกิดขวญั และ กาลงั ใจแก่ประชาชนพลเมือง จึงทาใหม้ ีการพฒั นาชาติบา้ นเมือง ใ ห้เ จ ริ ญ รุ่ ง เ รื อ ง ป ร ะ ก อ บ กับ สั ง ค ม สุ โ ข ทัย ยึด ม่ัน ใ น พระพุทธศาสนา ประชาชนได้รับการขดั เกลาจิตใจให้มีความ ละเอียดออ่ นท้งั ในแง่ของอารยธรรมและในแง่ของศิลปกรรม ทาให้สามารถสร้างสรรค์ศิลปวิทยา ซ่ึงได้ส่ังสมเป็ นมรดกตก ทอดมาจนถึงปัจจุบนั ลกั ษณะชนช้ันทางสังคมสมัยสุโขทยั ความเส่ือมอานาจของอาณาจักรสุโขทยั ความเสื่อมของอาณาจกั รสุโขทยั เกิดข้ึนเพราะความอ่อนแอของระบบการเมืองการปกครอง แควน้ ต่างๆ ที่เคยอยใู่ นอานาจต้งั ตนเป็นอิสระ ส่งผลใหอ้ าณาจกั รหมดอานาจลงไปในท่ีสุด เม่ือสิ้นรัชสมยั พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช ประมาณ พ.ศ. 1841 อาณาจกั รสุโขทยั ก็เริ่มอ่อนแอลง โดยมีสาเหตุ 4 ประการ ดงั น้ี 1. ความเหินห่างระหวา่ งพระมหากษตั ริยก์ บั ราษฎร 2. ความยอ่ หยอ่ นในดา้ นการทหาร 3.การถูกตดั เส้นทางเศรษฐกิจ 4.การแตกแยกภายใน

42 3.3 อาณาจักรอยุธยา อาณาจักรอยธุ ยา เป็นอาณาจกั รของชนชาติไทยในลุ่มแม่น้าเจา้ พระยาในช่วง พ.ศ. 1893 ถึง พ.ศ. 2310 มีกรุงศรีอยุธยาเป็ นศูนยก์ ลางอานาจหรือราชธานี ท้งั ยงั มีความสัมพนั ธ์ ทางการค้ากับหลายชาติ จนถือได้ว่าเป็ นศูนย์กลางการค้าในระดับนานาชาติ เช่น อินเดีย ญี่ป่ ุน จีน เวยี ดนาม เปอร์เซีย รวมท้งั ชาติตะวนั ตก เช่น โปรตุเกส สเปน เนเธอร์แลนด์ (ฮอลนั ดา) และฝรั่งเศส ซ่ึ งในช่ วงเวลาหน่ึ งเคยสามารถขยายอาณาเขตประเทศราชถึงรัฐฉาน ของพม่า อาณาจกั รลา้ นนา มณฑลยูนาน อาณาจกั รลา้ นช้าง อาณาจกั รขอม และคาบสมุทรมลายู ในปัจจุบนั กรุ งศรี อยุธยาเป็ นเกาะซ่ึ งมีแม่น้ าสามสายล้อมรอบ ได้แก่ แม่น้ าป่ าสักทางทิศ ตะวนั ออก แมน่ ้าเจา้ พระยาทางทิศตะวนั ตกและทิศใต้ และแม่น้าลพบุรีทางทิศเหนือ เดิมทีบริเวณน้ี ไม่ได้ มีสภาพเป็ นเกาะ แต่สมเด็จพระเจา้ อู่ทองทรงดาริให้ขดุ คูเชื่อมแม่น้าท้งั สามสาย เพ่ือให้เป็ น ปราการธรรมชาติป้องกนั ขา้ ศึก ที่ต้งั กรุงศรีอยุธยายงั อยูห่ ่างจากอ่าวไทยไม่มากนกั ทาให้กรุงศรี อยุธยาเป็ นศูนยก์ ลางการคา้ กบั ชาวต่างประเทศ และอาจถือวา่ เป็ น \"เมืองท่าตอนใน\" เนื่องจากเป็ น ศูนยก์ ลางเศรษฐกิจของภูมิภาค มีสินคา้ กว่า 40 ชนิด ได้จากสงครามและรัฐบรรณาการ แมว้ ่า ตวั เมืองจะไมต่ ิดทะเลก็ตาม มีการประเมินวา่ ราว พ.ศ. 2143 กรุงศรีอยธุ ยามีประชากรประมาณ 300,000 คน และอาจ สูงถึง 1,000,000 คน ราว พ.ศ. 2243 บางคร้ังมีผเู้ รียกกรุงศรีอยธุ ยาวา่ \"เวนิสแห่งตะวนั ออก\" ปัจจุบนั บริเวณน้ีเป็นส่วนหน่ึงของอาเภอพระนครศรีอยธุ ยา จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา พ้นื ที่ ที่เคยเป็นเมืองหลวงของไทยน้นั คือ อุทยานประวตั ิศาสตร์พระนครศรีอยธุ ยา ตวั นครปัจจุบนั ถูก ต้งั ข้ึนใหมห่ ่างจากกรุงเก่าไปเพียงไมก่ ี่กิโลเมตร วดั ไชยวฒั นาราม จ.พระนครศรีอยธุ ยา ท่ีมา http: oknation.nationtv.tv/blog/supermom/2008/01/16/entry-1

43 การสถาปนาอาณาจกั รกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าอู่ทองซ่ึงมีพระนามอย่างเป็ นทางการว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่1 เป็ นผูก้ ่อต้งั อาณาจกั รอยุธยาข้ึน ณ บริเวณลุ่มแม่น้าเจา้ พระยาตอนล่าง บริเวณดงั กล่าวเป็ นท่ีท่ีมีความเจริญมา ก่อนแลว้ เพราะเคยเป็ นท่ีต้งั ของแควน้ ต่างๆ เช่น แควน้ สุพรรณภูมิ และแควน้ ละโว้ พระเจา้ อู่ทอง ทรงสถาปนา กรุงศรีอยุธยาเป็ นราชธานีใน พ.ศ.1893 พระเจา้ อู่ทองได้ทรงสร้างเมืองใหม่ข้ึน ที่หนองโสน (บึงพระราม) โดยก่อนหนา้ ท่ีพระเจา้ อูท่ อง จะมาสร้างเมือง ใหม่น้ี พระองคไ์ ดป้ ระทบั อยู่ที่เมืองอโยธยา มีหลกั ฐานบางชิ้นปรากฏว่า ที่พระองค์ตอ้ งทรงยา้ ยมา จากเมืองอโยธยาน้ัน อาจเป็ นเพราะในเมืองเกิด อหิวาตกโรคระบาด จึงพาไพร่พลอพยพขา้ มฝ่ังแม่น้าเพ่ือหนีจากโรค ระบาด แลว้ มาสร้างกรุงศรีอยธุ ยา แต่มีอีกความเห็นหน่ึงวา่ พระเจา้ อู่ทองอาจจะทรง อพยพผคู้ นมา จากเมืองในแถบสุพรรณบุรี เนื่องจากพระองค์เป็ นราชบุตรเขยของเจา้ เมืองน้ัน แต่ไม่ปรากฏ หลกั ฐานแน่ชดั วา่ พระองคส์ ืบเช้ือสายมาจากราชวงศใ์ ด หรือมีถ่ินกาเนิดอยทู่ ่ีใด กรุงศรีอยธุ ยามีความเหมาะสมในการเป็ นราชธานี เพราะต้งั อยใู่ นบริเวณท่ีราบลุ่มกวา้ ง ใหญ่มีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะสาหรับการเพาะปลูก มีแม่น้าไหลผ่านถึง 3 สาย คือ แม่น้า เจ้าพระยา แม่น้าป่ าสัก และแม่น้าลพบุรี ทาให้สะดวกในการคมนาคม และการติดต่อค้าขาย นอกจากน้ียงั สามารถใชแ้ มน่ ้าเป็นคูเมืองธรรมชาติ ป้องกนั การรุกรานของขา้ ศึกไดเ้ ป็นอยา่ งดี สมเดจ็ พระรามาธิบดีท่ี1 (พระเจา้ อูท่ อง) ท่ีมา https://sites.google.com/site/jaruporn24226/1

44 ปัจจยั ทสี่ นับสนุนให้การสถาปนากรุงศรีอยธุ ยาประสบความสาเร็จ 1. ความเข้มแข็งทางการทหาร สันนิษฐานวา่ พระเจา้ อูท่ องทรงเป็นพระราชโอรสของกษตั ริยผ์ คู้ รองแควน้ ละโว้ หรือเป็นเจา้ เมืองที่มาจากเมืองอูท่ องอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง จึงมี กาลงั ทหารเขม้ แขง็ มีกาลงั ไพร่พลมาก และมีลกั ษณะเป็น ผนู้ าทางการเมืองที่ผคู้ นยอมรับ จึงใหก้ ารสนบั สนุนในดา้ น กาลงั คนอยา่ งเตม็ ที 2. การดาเนินนโยบายทางการทูตทเ่ี หมาะสม กบั ดินแดนใกลเ้ คียง พระเจา้ อูท่ องไดอ้ ภิเษกสมรสกบั เจา้ หญิง กรุงศรีอยธุ ยา ที่มา http://variety.teenee.com/world/76501.html แห่งแควน้ สุพรรณภูมิ จึงเป็ นการเช่ือมโยงแควน้ ละโวแ้ ละแควน้ สุพรรณภูมิให้เป็นอนั หน่ึง อนั เดียวกนั ทาใหท้ ้งั สองอาณาจกั รลดการแขง่ ขนั ทางการเมืองซ่ึงกนั และกนั 3. การปลอดอานาจทางการเมืองภายนอก ในขณะน้นั อาณาจกั รสุโขทยั ของคนไทยดว้ ยกนั ที่อยู่ทางตอนเหนือ และอาณาจกั รเขมร ซ่ึงอยู่ทางทิศตะวนั ออก ค่อย ๆ เส่ือมอานาจลง จึงไม่ สามารถสกดั ก้นั การก่อต้งั อาณาจกั รใหมข่ องคนไทยได้ 4. ทาเลท่ตี ้ัง มีความเหมาะสมในดา้ นยุทธศาสตร์ กรุงศรีอยุธยามีแม่น้าไหลผา่ น ถึง 3 สาย ไดแ้ ก่ แมน่ ้าเจา้ พระยา ป่ าสักและลพบุรี ทาให้เป็ นที่ราบลุ่มต่า ขา้ ศึกจะลอ้ มกรุงศรีอยุธยาไดเ้ ฉพาะ ฤดูแลง้ เทา่ น้นั เมื่อถึงฤดูน้าหลาก น้าจะทว่ มรอบตวั เมืองทาใหข้ า้ ศึกตอ้ งถอนทพั กลบั ไป 5. ความอุดมสมบูรณ์ทางด้านเศรษฐกจิ ลกั ษณะภูมิประเทศของอยุธยาเป็ นท่ีราบที่อุดม สมบูรณ์จึงเป็ นแหล่งอู่ขา้ วอู่น้าท่ีสาคญั ประกอบกบั อยูใ่ กลป้ ากแม่น้าเจา้ พระยา มีการคมนาคม ทางน้าสะดวกทาใหส้ ามารถติดตอ่ คา้ ขายกบั ตา่ งประเทศไดง้ ่าย