โรคเริม (Herpes Simplex)
โรคเรมิ (Herpes Simplex) เกิดจากการติดเชือไวรัสเฮอร์บีส ซิมเพ็กซ์ (Herpes Simplex Virus ; HSV) มี 2 ชนดิ คือ 1) Herpes Simplex Virus ชนิดที่ 1 (HSV-1) ก่อให้เกิดโรค เรมิ บรเิ วณช่องปาก ริมฝปี าก และรอบปาก มรี ะยะแพร่กระจายเชอื้ ในชว่ ง 3-5 วันแรก และมีการแพร่กระจายเช้ือทางสัมผัสโดยตรง (direct contact) และจากการไอหรอื จาม (respiration droplet)
โรคเรมิ (Herpes Simplex) 2) Herpes Simplex Virus ชนิดที่ 2 (HSV-2) ก่อใหเ้ กิดโรคบริเวณอวัยวะสืบพนั ธุ์ ซึ่งสามารถ ติดต่อเข้าสู่ร่างกายโดยการสัมผัสผู้ป่วยโดยตรงเข้าทางผิวหนัง หรือเยื่อบุ ทางตา หรือติดต่อผ่านทาง เพศสัมพันธ์และมารดาสู่บุตร โดยมีปัจจัยท่ีเส่ียงต่อการเกิดโรค คือ ภาวะท่ีร่างกายอ่อนแอหรือภูมิ ต้านทานต่า้ จงึ ท้าให้เส่ยี งต่อการติดเชอื ได้งา่ ย เช่น การนอนหลับพกั ผ่อนไม่เพยี งพอ ความเครียด การ โดนแสงแดด เป็นต้น
พยาธสิ รีรวิทยาของการเกิดโรค - HSV สามารถก่อใหเ้ กิดโรคได้เม่ือมีการติดเชือเข้าสู่เยื่อบุของร่างกายหลังจากการสัมผัสเชือโดยตรงหรือ สัมผัสสิ่งคดั หลง่ั ท่ีมเี ชือนีอยู่ เช่น การตดิ เชอื HSV-1 จากการสมั ผสั นา้ ลาย เปน็ ตน้ - ซึ่งหากเป็นการติดเชือ HSV ครังแรก เชือนีจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเส้นประสาทรับความรู้สึกและฝังตัวอยู่ บริเวณปมประสาท (ganglia) และยังไม่แสดงอาการ (asymptomatic) เรียกว่าอยู่ในระยะหลบซ่อน (latent stage)
พยาธสิ รีรวทิ ยาของการเกดิ โรค - เมอ่ื มกี ารติดเชอื HSV ซา้ จะท้าใหเ้ ชือท่ีหลบซอ่ นอยทู่ ่ี ganglia ถูกกระตุ้น (reactivate) - และก่อให้เกิดอาการของโรคขึนโดยเชือ HSV จะเคลื่อนตัวออกจาก ganglia ท้าให้จ้านวน HSV เพมิ่ ขึนจนก่อใหเ้ กิดโรคขึน เรยี กวา่ การตดิ เชือซ้า (reinfection) เป็นผลให้แสดงอาการออกมา - ในขณะท่ีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะท้างานโดยกดการท้างานของ HSV ลงเร่ือยๆ จนกระทั่ง สามารถทา้ ให้ HSV ไมก่ ่อใหเ้ กิดอาการ จงึ ส่งผลให้อาการหายไปภายใน 1-2 สปั ดาห์ - แตเ่ ชือ HSV จะยงั คงฝงั ตัวอย่ทู ่ี ganglia ไปตลอด ซงึ่ หากร่างกายมีปจั จัยเสีย่ งของการเกิดโรคท้าให้ ภูมิต้านทานต่้าลง ร่วมกับการติดเชือ HSV ซ้า จึงก่อให้เกิดการกลับเป็นซ้าของโรคได้ (recurrent infection)
อาการและอาการแสดงของโรคเรมิ อาการและอาการแสดง เชื้อ HSV-1 เชือ้ HSV-2 อาการเฉพาะ จะมีอาการประมาณ 3-10 วัน เช่น ผู้ป่วยจะมี อาการ เช่น ผิวหนังบริเวณรอบอวัยวะเพศจะมีลักษณะ อาการนา้ คือ รสู้ ึก เป็นตุ่มน้าใส และผูป้ ่วยจะปวดหรือ tingling บริเวณ ปวดแสบหรือซ่าๆ (tingling) บริเวณปากหรือ อวยั วะเพศ เปน็ ตน้ รอบปาก หลังจากน้ันผิวหนังบริเวณรอบปาก ริม ฝีปาก หรือในช่องปาก จะมีลักษณะเป็นตุ่มน้าใส ร่วมกับมีไข้ เรียกว่า fever blister หรือ cold sores เปน็ ต้น ระยะแพร่กระจายเชื้ออยู่ในช่วง 3- 5 วนั แรก อาการท่ีพบได้ในโรคเริม - ปวด แสบ และรูส้ ึกตึงบรเิ วณท่ีเป็น ทั้ง 2 ประเภท - มไี ขแ้ ละต่อมน้าเหลืองโตรว่ มด้วย - ตุ่มน้าใสที่เกิดขึ้นจะมีขนาดใกล้เคียงกัน ต่อไปจะกลายเป็นตุ่มหนอง (pustules) อาจจะเกิดการแตก หรือไมเ่ กดิ การแตกของตุ่มหนองไดภ้ ายใน 1-2 สัปดาห์
โรคงูสวดั (Herpes Zoster)
โรคงูสวัด (Herpes Zoster) โรคงูสวัด เกดิ จากเชือ้ ไวรัสตวั เดียวกบั ท่ีท้าให้เกิดโรคอีสุกอีใส (chickenpox) คือ เวริเซลลา ซอสเตอร์ ไวรสั (Varicella Zoster Virus ; VZV) โดยมปี จั จัยเสี่ยงทที่ ้าใหเ้ กิดโรค คือ ภาวะทีร่ า่ งกายอ่อนแอ หรอื ภมู ติ ้านทานต่้าจากสาเหตุต่างๆ เชน่ ความเครยี ด วยั สูงอายุ การ ไดร้ ับยากดภูมคิ ้มุ กัน เปน็ ต้น
อาการและอาการแสดง 1. อาการน้า คือ ปวดแสบปวดรอ้ นอย่างรนุ แรงตามผิวหนงั ทีเ่ สน้ ประสาทท่ีมีการอกั เสบ จากการติดเชือนันมาเลียง เรียกว่า dermatome ซงึ่ เป็นอาการน้าก่อนผ่ืนแดงและตุ่มน้าใส ประมาณ 1-3 วัน หรืออาจมีอาการปวดเมื่อยตามตัวเป็นอาการน้าก่อน ประมาณ 3-5 วัน เปน็ ต้น นอกจากนีอาจมไี ข้ ปวดศรี ษะร่วมดว้ ย 2. ผ่ืนแดงและต่มุ นา้ ใสอยูเ่ ป็นกลุ่มๆ และมีขนาดใหญ่เล็กสลับกันไป เกดิ ตามมากระจาย ตาม dermatome ซึ่งจะใช้เวลาในการเกิดผื่นจนกระทั่งเป็นตุ่มน้าใส ประมาณ 12-24 ช่ัวโมง ต่อจากนัน 3-4 วัน จะกลายเป็นตุ่มหนอง และค่อยๆ ตกสะเก็ด ซึ่งจะตกสะเก็ดหมด ภายในเวลา 3 สปั ดาห์
การประเมินเพ่อื วินจิ ฉัยโรคเรมิ และโรคงสู วดั Herpes การประเมินเพ่ือวนิ ิจฉัย Simplex 1. การตรวจรา่ งกายจะพบตุม่ นา้ ใสหรอื ตมุ่ หนองเปน็ กลุ่มๆ โดยมขี นาดใกล้เคยี งกนั และบรเิ วณผวิ หนังโดยรอบต่มุ น้าใสหรือตมุ่ หนองจะบวมแดง Herpes 2. การตรวจทางหอ้ งปฏบิ ัตกิ าร เช่น Zoster 2.1 Tzanck smear เป็นการตรวจทางเซลล์วิทยาเพ่ือหาแอนติเจนของไวรัสแบบไม่จ้าเพาะ คือ การขูดบริเวณท่ีเป็นโรค ป้ายที่แผ่นกระจกใส (slide) แลว้ น้าไปย้อมสี Giemsa หรอื Wright จะพบลกั ษณะการเปลย่ี นแปลงของเซลล์ติดเชอื ท่มี ีการขยายขนาดและมีนวิ เคลยี สมากกวา่ หนึ่งนิวเคลียสในเซลลเ์ ดยี วกนั 2.2 Immunofluorescence assay หรือ Immunoperoxidase assay เป็นการตรวจทางเซลล์วิทยาเพื่อหาแอนติเจนของไวรัสแบบจ้าเพาะ คือ การขูด บรเิ วณทเ่ี ป็นโรค นา้ มาปา้ ยท่สี ไลด์ ยอ้ มดว้ ยแอนตบิ อดีจา้ เพาะต่อไวรสั แอนตเิ จน โดยแอนตบิ อดีตวั แรกนอี าจตดิ สลากเรอื งแสงหรือเอ็นไซม์ สงั เกตเซลล์ที่ให้การ เรอื งแสงภายใต้กล้องจุลทรรศนฟ์ ลูออเรสเซนต์ หรือใส่สารตังต้นเพ่อื ให้เกดิ สตี กตะกอนในเซลล์ และสงั เกตเซลลต์ ดิ สที ่เี กิดขึนจากกล้องจลุ ทรรศน์ 2.3 การเพาะแยกเชอื ไวรัส จะพบเซลล์ติดเชอื HSV จะมลี กั ษณะทเ่ี ปล่ยี นแปลงไปมีลกั ษณะเฉพาะคอื เซลล์มีขนาดใหญ่ กลม วาว และมีนิวเคลยี สอยู่รวมกันใน เซลล์เดียว เรียกลักษณะนีวา่ มลั ตนิ วิ เคลียส ไจแอนท์ เซลล์ (multinucleated giant cell) 1. การตรวจร่างกาย จะพบลกั ษณะผนื่ แดงและตมุ่ น้าใสเป็นกลมุ่ ๆ ขนาดเล็กและใหญส่ ลับกนั ไป และเกดิ ตาม dermatome 2. การตรวจทางห้องปฏิบตั ิการ เช่น 2.1 Tzanck smear แตจ่ ะไมส่ ามารถแยกไดว้ ่าเป็นเริมหรืองสู วดั 2.2 การสง่ นา้ จากตมุ่ น้าใสสง่ ตรวจ เป็นวธิ ีที่ดีทีส่ ดุ ท่ชี ่วยในการวินิจฉัย
การรกั ษาโรคเรมิ และโรคงูสวดั แนวทางการรักษาคล้ายกัน ซึ่งจะได้ผลดีเมื่อรักษาอย่างรวดเร็วหลังจากมีอาการแสดงของโรคภายใน 72 ชั่วโมง แนวทางการรักษา ด้วยยาจะเปน็ ยากลุ่มตา้ นไวรสั ซึง่ ยาจะออกฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์ดีเอน็ เอ (DNA) ของไวรสั โดยการรักษาดว้ ยยาตา้ นไวรสั 1. ยาทาเฉพาะที่ (topical medication) เช่น 5% อะไซโคลเวียร์ (acyclovir) ชนิดครีมหรือข้ีผึ้ง ทาบริเวณที่ เป็น ทกุ 4 ชว่ั โมง วันละ 6 คร้ัง เป็นระยะเวลาติดตอ่ กนั 7 วัน เป็นตน้ แตย่ าทาจะใชไ้ มไ่ ด้ผลกบั โรคงสู วัด 2. ยาต้านไวรัสชนิดรับประทาน เพ่ือลดการอักเสบและบรรเทาความปวดแสบ เช่น acyclovir 400 mg วันละ 3 ครง้ั ส้าหรับโรคเริมทีม่ ีอาการครัง้ แรก acyclovir 800 mg วันละ 5 ครง้ั ส้าหรับโรคงูสวดั 3. กรณีผู้ป่วยท่ีมีอาการรุนแรงแพทย์อาจพิจารณาให้พักรักษาตัวในโรงพยาบาล เพ่ือให้ acyclovir 500 mg ทุก 8 ชั่วโมง หยดทางหลอดเลือดด้าช้าๆ ภายใน 1 ชั่วโมง และพิจารณาให้ยาแก้ปวด ยาลดไข้ และยาฆ่าเชื้อ แบคทเี รีย หรอื รักษาตามอาการของผูป้ ่วย 4. สา้ หรับผู้ป่วยท่ีมี recurrent infection มักมีอาการไม่รุนแรงและหายได้เองภายใน 7 วัน หรืออาจได้รับยาทา เฉพาะที่หรือยาต้านไวรัสเริมไปรับประทานต่อที่บ้าน แต่หากผู้ป่วยมี recurrent infection มากกว่า 6 ครั้ง ต่อปี แพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านไวรัสเริมระยะยาวหรือรับประทานติดต่อกันมากกว่า 1 ปี เพื่อเป็นการ ควบคุมเช้ือไมใ่ ห้กลับมาเป็นซ้า
การพยาบาลผ้ปู ว่ ยโรคเรมิ และโรคงูสวดั 1. ดูแลผ้ปู ว่ ยใหไ้ ดร้ บั ยาต้านไวรัส เพอื่ ลดความรุนแรงของโรค และติดตามผลขา้ งเคยี งท่ีอาจเกิดขึน เช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน เป็นต้น หากให้ยาทางหลอดเลือดด้าอาจท้าให้เกิดผลข้างเคียง เช่น สับสน เพอ้ มอื สั่น ชัก ความดันโลหิตตา่้ เปน็ ต้น นอกจากนีควรกระตุ้นให้ผู้ป่วยดื่มน้ามากๆ กรณีไม่มีข้อห้าม เนื่องจาก ยานีมีผลตอ่ การท้างานของไต 2. ดูแลผู้ป่วยให้ได้รับการทายาต้านไวรัสตามแผนการรักษา โดยไม่ควรเกา บีบหรือแกะตุ่มใสหรือตุ่มหนองออกด้วย ความรุนแรง แตค่ วรท้าอย่างน่มุ นวลเพ่อื เอาน้าหรอื หนองออกจากตมุ่ กอ่ น เพื่อช่วยให้ดูดซึมยาได้ดขี นึ 1. ลา้ งมือกอ่ นและหลังทายา 2. ใชไ้ ม้พนั ส้าลสี ะอาดป้ายยา และทาบางๆ บรเิ วณที่เปน็ 3. ดูแลให้ผู้ป่วยให้ได้รับการท้า wet to dry dressing โดยการประคบอุ่น (warm compression) บริเวณท่ี เป็นโรค เพ่ือเพิ่มความสุขสบาย ลดอาการปวดได้ โดยการใช้ก๊อซสะอาดชุบ NSS ที่มีอุณหภูมิอุ่นเล็กน้อย ประคบบรเิ วณทงิ ไว้ 15-30 นาที วนั ละ 2 ครงั สา้ หรบั โรคเรมิ และวนั ละ 5-10 ครัง สา้ หรับโรคงูสวดั
การพยาบาลผู้ปว่ ยโรคเรมิ และโรคงสู วดั 3. แนะนา้ และดแู ลใหผ้ ู้ปว่ ยรกั ษาความสะอาดของผิวหนงั โดยการอาบน้าและใช้สบู่ที่มีส่วนผสมของยาฆ่าเชือ เพ่ือป้องกันการติดเชือแบคทีเรียซ้าและ ใหร้ า่ งกายสะอาดเสมอ 4. ใหข้ อ้ มลู และแนะนา้ ผู้ปว่ ยในการปฏบิ ัติตัวเมือ่ กลบั ไปอยู่บา้ น ดังนี 1. ปอ้ งกันการแพร่กระจายเชือในระยะแพรก่ ระจาย เชน่ การใส่หน้ากากอนามัยในผ้ปู ่วยทีต่ ดิ เชอื HSV-1 เปน็ ต้น 2. รักษาความสะอาดของรา่ งกายเสมอ เพือ่ ลดการสะสมเชือโรค 3. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกก้าลังกายสม่้าเสมอ พักผ่อนอย่างเพียงพอ เพ่ือเสริมสร้างภูมิต้านทาน และลดปัจจัยเสี่ยงท่ีกระตุ้นให้เกิด recurrent infection 4. ทายาหรือรบั ประทานยาตา้ นไวรัสตามแผนการรักษา เพ่อื ลดจา้ นวนไวรัสและป้องกัน recurrent infection 5. กรณีผู้ป่วยเปน็ โรคเริม ควรงดการมเี พศสมั พนั ธ์ขณะที่ยงั เปน็ โรคอยู่ เพอื่ ลดการแพร่กระจายเชอื 6. สังเกตอาการนา้ ของการเกิดโรคเริม เช่น รสู้ ึกแสบหรอื ปวดบรเิ วณรอบปาก หรือ อวัยวะเพศ เป็นต้น เนื่องจากอุบัติการณ์การเกิด recurrent infection สูงกว่าโรคงูสวัด หากมีอาการดังกล่าวควรรีบมาพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาอย่าง เหมาะสม
ความแตกต่างทส่ี าคญั ระหวา่ ง Herpes Simplex และ Herpes Zoster ความแตกต่าง Herpes Simplex Herpes Zoster สาเหตุของการเกดิ โรค Herpes Simplex Virus (HSV) type 1 หรือ 2 Varicella Zoster Virus (VZV) ลักษณะทางคลนิ กิ ต่มุ นา้ ใสหรอื ตุ่มหนองมีขนาดใกล้เคยี งกัน ตุ่มน้าใสหรอื ตุม่ หนองมที ง้ั ขนาดใหญ่และขนาดเล็กสลับกัน ตา้ แหนง่ ทเ่ี กดิ โรค ไป การรักษา การติดตอ่ HSV-1 ก่อให้เกิดโรคบริเวณช่องปาก รอบปาก หรือริม ตามผวิ หนงั บรเิ วณที่เสน้ ประสาทอกั เสบไปเลีย้ ง การกลับเปน็ ซา้ ฝปี าก HSV-2 กอ่ ให้เกิดโรคบริเวณอวยั วะเพศ ยาทาเฉพาะท่ี ยารับประทาน และยาฉีดทางหลอดเลือด ยารับประทาน และยาฉีดทางหลอดเลือดดา้ ดา้ ส่ิงคัดหลังบริเวณที่เป็นโรค การสัมผัสบริเวณท่ีเป็นโรค ยังไม่มีหลกั ฐานแสดงวา่ ตดิ ต่อไปสบู่ คุ คลอ่ืนได้ การมเี พศสัมพันธ์ มอี ุบัติการณ์การกลบั เป็นซ้าสูง มอี ุบัตกิ ารณ์การกลบั เป็นซ้านอ้ ย
โรคเชื้อราที่ผวิ หนัง (superficial fungal infection)
โรคเชื้อราทผ่ี วิ หนงั (superficial fungal infection) ???????????????????????? ?????????????? ??????????????? ???
โรคเชื้อราท่ผี ิวหนัง (superficial fungal infection) โรคเกลื้อน โรคกลาก โรคตดิ เช้อื ราแคนดดิ า (pityriasis versicolor, tinea versicolor) (dermatophytosis) (candidiasis)
โรคผวิ หนงั ติดเชื้อราแคนดิดา (candidiasis) โรคติดเชอ้ื ราแคนดิดา (candidiasis) - เป็นโรคผวิ หนังท่ีเกดิ จากการติดเชือราในกลมุ่ แคนดิดา (candida) - ส่วนใหญ่คือเชือราแคนดิดา อลั บิแคนส์ (Candida albicans) ซึ่ง เปน็ เชอื ปกตขิ องร่างกาย (normal flora) ทพี่ บได้ในเยอ่ื บชุ อ่ งปาก ทางเดนิ อาหาร และชอ่ งคลอด - โดยมีปัจจยั เสี่ยงของการเกิดโรคมหี ลายปจั จยั เชน่ ร่างกายมีภาวะ ภูมิตา้ นทานต่้า มีแผลถลอก อับชนื การไดร้ บั ยากดภมู ิค้มุ กนั หรอื การเปน็ โรคเก่ียวกับภูมิคมุ้ กันบกพร่อง เป็นตน้
โรคผวิ หนังติดเชื้อราแคนดิดา (candidiasis) อาการและอาการแสดง มีลักษณะเป็นผ่ืนแดง อบั ชืน ผิวหนังเป่ือยลอก ขอบเขตชัดเจน และมักมตี ุ่มแดงขนาดเล็กๆ หรือตุ่มหนองกระจายตามบริเวณขอบของ ผื่น (satellite lesion) มักเปน็ บริเวณซอกหรือข้อพับตา่ งๆ เช่น ใตร้ าวนม รกั แร้ ขา หนบี เปน็ ตน้ สา้ หรบั บุคคลทสี่ ัมผสั โดนน้าบอ่ ยๆ มกั จะพบตามซอกนิว นอกจากนีผู้ปว่ ยจะมีอาการคนั เกดิ ขนึ ดว้ ย
โรคผิวหนงั ติดเชื้อราแคนดิดา (candidiasis) 2. การรักษาโรคผิวหนังติดเชือราแคนดิดา เป็นการรักษาด้วย ยา ดังนี การจดั การโรคผวิ หนังติดเชอื ราแคนดดิ า มี 2 ขนั ตอน - ยาทาเฉพาะที่ เช่น ครีมไอไมดาโซล (Imidazole 1. การประเมินเพื่อวินิจฉัยโรคผิวหนังติดเชือราแคนดิดา cream) ทาวันละ 2 ครัง ติดตอ่ กนั 2 สัปดาห์ เป็นตน้ สามารถประเมนิ ไดจ้ ากข้อมูลตา่ งๆ เช่น - การตรวจร่างกาย จะพบรอยโรคตามข้อซอกหรือข้อพับ - ยารบั ประทานส้าหรับกรณีท่ีเป็นโรคบริเวณกว้างหรือ ต่างๆ และผิวหนังมีลักษณะเป็นผ่ืนแดงคัน ผิวหนังเปื่อย ภูมิคุ้มกันผิดปกติหรือได้รับยาทาเฉพาะท่ีแล้วไม่ได้ผล ลอก และมขี อบเขตชัดเจน เช่น คีโตนาโซล (ketoconazole) 200 มิลลิกรัมต่อวัน - การตรวจทางหอ้ งปฏิบัติการ เช่น การขูดบริเวณขอบผ่ืน รบั ประทานตดิ ตอ่ กนั นาน 10-14 วัน เป็นต้น หรอื ตุ่มหนองไปย้อมสี จะพบลกั ษณะของเชือรา เป็นต้น
การพยาบาลผทู้ ่ีเปน็ โรคผิวหนงั ติดเช้อื ราแคนดดิ า 1. แนะนา้ ใหผ้ ปู้ ว่ ยทายาหรอื รบั ประทานยาตา้ นเชือรา 2. แนะนา้ ผ้ปู ่วยและญาตใิ นการปฏบิ ัติตัวเมอ่ื กลบั ไปอยบู่ า้ น เพือ่ บรรเทาอาการและ ตามแผนการรกั ษา กรณผี ปู้ ว่ ยไดร้ บั ประทานยา ketoconazoleคา้ แนะนา้ การรับประทานยา เพื่อ ป้องกันการกลับเป็นโรคซ้า คา้ แนะนา้ มีดังนี บรรเทาอาการของโรค ไดแ้ ก่ รับประทานหลังอาหาร ทันที เนอ่ื งจากยาดดู ซึมไดด้ ใี นภาวะที่กระเพาะ 1. ทายาหรือรับประทานยาตามแผนการรักษาอย่างสม้่าเสมอ เพื่อลดความ อาหารหล่งั กรดออกมามากเมอ่ื รบั ประทานอาหาร รนุ แรงของการตดิ เชอื รา เข้าไป 2. รักษาความสะอาดของร่างกาย เช็ดให้แห้ง หลีกเล่ียงให้เกิดความอับชืน สงั เกตผลข้างเคียงทอ่ี าจเกดิ ขึน เช่น คล่นื ไส้ อาเจียน เปน็ โดยเฉพาะตามซอกอบั หรอื ข้อพบั ต่างๆ ต้น 3. แนะน้าให้รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ออกก้าลังกายสม่้าเสมอ นอนหลับ พกั ผอ่ นอย่างเพียงพอ เพ่ือเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรง ส่งผลให้ช่วยลด การตดิ เชือราได้
แผลไฟไหมน้ ้ารอ้ นลวก (Burn)
แผลไฟไหมน้ า้ รอ้ นลวก (Burn) แผลไฟไหม้น้าร้อนลวก คือ ผิวหนังหรือเนือเย่ือได้รับการ บาดเจ็บจากความร้อน ท้าให้เกิดปัญหาทังบริเวณผิวหนัง เฉพาะทไี่ ด้รบั บาดเจบ็ รวมถึงทุกระบบของร่างกาย เช่น การ สูญเสียน้าและโปรตีน การตดิ เชือเข้าสู่กระแสเลือด (sepsis) รวมถึงเกิดการเปล่ียนแปลงของระบบทางเดินหายใจ หัวใจ ระบบเลอื ด และระบบภูมคิ ุ้มกนั ของรา่ งกาย
แผลไฟไหม้นา้ ร้อนลวก (Burn) สาเหตขุ องการเกดิ แผลไฟไหม้น้ารอ้ นลวก มี 6 สาเหตหุ ลัก ดงั นี้ 1. เปลวไฟ (dry heat injury) เชน่ เปลวไฟจากไฟไหมบ้ า้ นหรือจากการระเบดิ เปน็ ตน้ 2. นา้ ร้อนหรอื ไอนา้ ร้อนลวก (moist heat injury) 3. การสัมผัสวตั ถุหรอื ของเหลวท่ีมคี วามรอ้ นสูง (contact burn) คอื เช่น เหล็ก ถา่ น น้ามัน เปน็ ต้น เป็นผลให้ผวิ หนงั ถกู ทา้ ลายจนถงึ ชน้ั หนังแท้ (full-thickness wound) 4. การโดนสารเคมที ม่ี ีฤทธ์กิ ดั กร่อน (chemical burn) เช่น สารเคมีท่ีมีฤทธ์ิเป็นดา่ ง (alkaline)หรอื ทม่ี ฤี ทธ์ิเป็นกรด (acid) ส้าหรับท้าความสะอาดผลิตภัณฑ์ เป็นต้น ท้าให้ผิวหนัง เกิดการบาดเจบ็ หรอื ถกู ยอ่ ยจากสารเคมนี ้ัน 5. กระแสไฟฟา้ (electrical burn) เช่น ไฟช็อต เป็นตน้ 6. การโดนรงั สี (radiation burn)
พยาธิสรีรวิทยาของการเกดิ แผลไฟไหมน้ า้ รอ้ นลวก ผนงั หลอดเลอื ดมกี ารยอมผา่ น (permeability) การรวั่ ของน้าและเม็ดเลอื ดแดงออกนอก ของน้าและอิเลคโทรไลท์ หลอดเลอื ด เสีย่ งต่อการเกดิ ภาวะช็อกจากการพร่องสารนา้ เกิดภาวะพรอ่ งสารน้า (hypovolemic shock) และ/ ภาวะชอ็ กจากการกระจาย (hypovolemia) ตวั ของระบบไหลเวียนไมส่ มดลุ (distributive shock) การเคลื่อนท่ขี องโซเดียมเข้าเซลล์เพ่ิมมากข้นึ ทา้ ให้เกดิ เซลลบ์ วมตามมา
พยาธิสรรี วิทยาของการเกิดแผลไฟไหมน้ า้ รอ้ นลวก กลา้ มเน้อื หัวใจบีบตัว หลอดเลือดส่วนปลายและหลอดเลอื ดทเ่ี ลยี้ ง สง่ ผลให้เลอื ดออกจากหวั ใจใน 1 นาที (cardiac output) ระบบทางเดนิ อาหารหดรัดตัว (splanchnic vasoconstriction) เนื้อเย่ือสว่ นปลายและระบบทางเดนิ อาหารได้รบั เลอื ด และออกซิเจนไปเลย้ี ง อวัยวะต่างๆท่วั รา่ งกาย ได้รบั เลอื ดและออกซิเจนไปเลยี้ งลดลงดว้ ย
พยาธิสรีรวทิ ยาของการเกิดแผลไฟไหมน้ า้ ร้อนลวก ร่างกายการหล่งั cytokines ออกมามาก ภาวะหลอดลมหดตวั (bronchoconstriction และหลอดเลอื ดมี permeability หรอื bronchospasm) หากมกี ารบาดเจ็บจากสดู ดมควันไฟ (inhalation injury) อาจท้าให้เกิดภาวะหลอดลมบวม ส่งผลให้การระบายอากาศลดลง หรอื โดนความร้อนจนเกิดแผลบริเวณใบหน้าลา้ คอ จนเสีย่ งตอ่ การเกิดภาวะขาดออกซิเจนได้
พยาธสิ รรี วิทยาของการเกดิ แผลไฟไหมน้ ้ารอ้ นลวก การเผาผลาญของรา่ งกายเพ่มิ ขนึ้ ถึง 300% ประกอบกับหลอดเลอื ดสว่ นปลายและหลอด เลือดทเ่ี ล้ียงระบบทางเดนิ อาหารหดรดั ตวั (splanchnic vasoconstriction) รา่ งกายมคี วามต้องการสารอาหารจากการรบั ประทานหรอื ให้อาหาร ผา่ นทางระบบทางเดินอาหาร (enteral feeding) เพื่อรักษาหนา้ ทีก่ าร ท้างานระบบทางเดนิ อาหารไว้ (gut integrity)
การท้าลายของเซลลผ์ วิ หนงั ซึง่ จะมกี ารเปลย่ี นแปลงของผิวหนัง ได้รับเลอื ดและออกซิเจนลดลง (decrease มีการบาดเจบ็ มากท่สี ดุ โดยมีการเกาะตวั ของ tissue perfusion) ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก ของเหลวผิวหนังทีถ่ กู ความรอ้ น (coagulative เน่ืองจากหลอดเลือดมีการขยายตัว necrosis) (vasodilation) และมี permeability เพิ่มขึ้น จึงท้าใหส้ ารนา้ ร่วั ออกนอกหลอดเลอื ดและมลี ม่ิ เลอื ดเกดิ ขน้ึ จากหลอดเลือดบาดเจ็บ มลี กั ษณะสชี มพู เน่อื งจากเปน็ บรเิ วณท่เี กิดหลอดเลอื ดขยาย ทา้ ให้มเี ลือดไปเล้ียงบริเวณนี้มากและเนือ้ เยอื่ เกิดการบวม
ผลกระทบของรา่ งกายและภาวะแทรกซอ้ นที่เกิดจากแผลไฟไหมน้ าร้อนลวก ผลกระทบและภาวะแทรกซอ้ น - หลอดเลอื ดบริเวณทบ่ี าดเจ็บขยายตัวและมีการยอมผ่าน (permeability) เพิ่มข้นึ หัวใจและหลอด - ท้าใหเ้ กดิ ภาวะช็อกจากพรอ่ งสารน้าหรือจากการกระจายของระบบไหลเวียนเลือดไม่สมดุล (hypovolemic เลอื ด shock or distributive shock) - ส่งผลใหเ้ กดิ ภาวะเน้อื เยอ่ื รา่ งกายได้รับออกซิเจนไม่เพยี งพอได้ (inadequate tissue perfusion) รวมถึง กลา้ มเน้ือหัวใจ ทา้ ให้การบบี ตัวของหวั ใจไมม่ ีประสิทธภิ าพ - มีการสูญเสยี น้าและอิเลคโทรไลท์ออกนอกหลอดเลอื ด เน่ืองจากหลอดเลือดมี permeability เพิ่มข้ึน - โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 24 ช่ัวโมงแรกหลงั เกดิ แผลไฟไหม้ นา้ ร้อนลวก นา้ ไปสู่ภาวะ hypovolemic shock ได้ สารน้า - และอิเลคโทรไลท์ สา้ หรบั อเิ ลคโทรไลทท์ เ่ี กดิ การเปล่ียนแปลง คอื โซเดยี มรว่ั ออกนอกหลอดเลอื ด ในขณะท่ีโปแตสเซียมถูก ขับออกลดลง ทา้ ใหเ้ กดิ ภาวะโซเดียมในเลือดตา่้ (hyponatremia) และภาวะโปแตสเซยี มในเลอื ดสงู (hyperkalemia)
ผลกระทบของรา่ งกายและภาวะแทรกซอ้ นทเี่ กิดจากแผลไฟไหม้นาร้อนลวก ผลกระทบและภาวะแทรกซอ้ น 1) การบาดเจบ็ ของทางเดินหายใจส่วนบน ทา้ ใหเ้ กิดหลอดลมบวม สง่ ผลใหเ้ กดิ การอดุ ก้ันทางเดินหายใจสว่ นบนได้ 2) การบาดเจ็บสว่ นท่ตี ้่ากวา่ กลอ่ งเสียง ท้าให้ขนซิเลีย (cilia) ทา้ หน้าท่ี ระบบหายใจ เสียไป มกี ารสร้างเสมหะมากข้นึ รวมถึงเยือ่ บุหลอดลมบวม อาจท้าใหเ้ กดิ หลอดลมบวมหรือหดเกร็งได้ 3) ภาวะพิษจากคารบ์ อนมอนอกไซดใ์ นควันไฟ ท้าให้เนอ้ื เยือ่ ได้รบั ออกซิเจนไม่เพียงพอ เนอ่ื งจากคาร์บอน มอนอกไซด์แยง่ ออกซิเจนจบั กับฮโี มโกลบิน (hemoglobin ; Hb) ได้ดกี ว่าออกซิเจน 250 เท่า เกิดเปน็ คาร์บอกซีฮีโมโกลบิน (carboxyhemoglobin)
ผลกระทบของร่างกายและภาวะแทรกซอ้ นทเ่ี กดิ จากแผลไฟไหม้นาร้อนลวก ผลกระทบและภาวะแทรกซ้อน ไตไดร้ ับเลือดไปเลี้ยงลดลง จากภาวะมีน้ารว่ั ออกจากหลอดเลือด หากผปู้ ว่ ยเกดิ แผลไฟไหมจ้ ากไฟช็อต ท้าให้กลา้ มเน้อื ถกู ทา้ ลายรว่ มด้วย ซึง่ เซลล์กล้ามเนื้อปล่อยไมโอโกลบนิ (myoglobin) และถกู ขับออกทางไต ซ่งึ myoglobin เปน็ สารโมเลกุล ไต ใหญ่ ท้าใหถ้ กู กรองออกจากหน่วยไตไดไ้ มด่ ี ระบบภูมิค้มุ กัน ส่งผลใหเ้ กิดการอุดตันที่หนว่ ยไตหรือทอ่ ไป จนเกิดภาวะไตวายเฉียบพลนั (acute renal failure หรือ acute kidney injury) ได้ สง่ ผลใหค้ ่า BUN, Cr สูงข้นึ และปสั สาวะมสี ีคลา้ ยสีโค้ก (myoglobuniuria) เรยี กภาวะนว้ี ่า แรปโดไมโอไลซสิ (rhabdomyolysis) ชน้ั ผิวหนงั ถกู ท้าลายและมกี ารหลั่งสาร cytokine ออกมา ทา้ ใหเ้ กดิ การกดการทา้ งานของระบบภมู คิ มุ้ กนั สง่ ผลให้มภี าวะเส่ียงตอ่ การติดเช้อื เพมิ่ ข้ึน
ระดบั ความลกึ ของแผลไฟไหม้น้ารอ้ นลวก 3 ระดบั 1. จา้ กัดอยู่ทผ่ี ิวหนังชน้ั หนังก้าพร้า (epidermis) เท่าน้ัน โดยจะผิวหนังมลี กั ษณะแดง (erythema) แต่ไมม่ ตี ุ่มน้าใส 2.1 บาดแผลระดับที่สองชนิดตืน้ (blister) ผู้ปว่ ยรูส้ กึ ปวดแสบปวดร้อน ซึ่งใช้เวลาในการ หายของแผลประมาณ 7 วัน โดยไม่ทงิ้ รอยแผลเป็นเอาไว้ (superficial partial-thickness burn) 2.2 บาดแผลระดบั ทส่ี องชนิดลึก บาดเจ็บจากความร้อนทช่ี น้ั epidermis (deep partial-thickness burns) ทง้ั หมดและ dermis ส่วนที่อยู่ตื้น ๆ ทีต่ ดิ คอื บาดเจ็บจากความร้อนท่ีชั้น ชั้น epidermis แต่ยงั มเี ซลลท์ ่สี ามารถ dermis ในส่วนลึก มโี อกาสเกดิ เจริญทดแทนสว่ นทตี่ ายได้ จงึ หายเรว็ และ แผลเป็นได้ ถ้าไมม่ กี ารติดเช้ือของแผล ไมเ่ กดิ เป็นแผลเป็น อาการ คือ มตี ุ่มพองใส เกดิ ขึน้ และแผลมักจะหายไดภ้ ายใน ถ้าลอกเอาตมุ่ พองออก พ้นื แผลจะมสี ชี มพู 3-6 สปั ดาห์ อาการและอาการแสดง ชนื้ ๆ มนี ้าเหลอื งซมึ และผู้ปว่ ยมีอาการ จะแตกต่างจากแผลระดบั ทส่ี องชนดิ ปวดแสบมากเพราะเส้นประสาทบรเิ วณ ตน้ื คือ แผลมตี มุ่ พองเพียงเล็กนอ้ ย ผวิ หนังยังเหลืออยไู่ มไ่ ดถ้ ูกทา้ ลายไปมาก ส่วนใหญ่พน้ื แผลมสี ีเหลอื งขาว แห้ง 3. ลึกจนชนั้ epidermis และ dermis ถกู ท้าลายทั้งหมด รวมถงึ ตอ่ มเหงอ่ื รูขุมขนและเซลลป์ ระสาท แผล และผปู้ ว่ ยรสู้ ึกปวดเพยี งเล็กนอ้ ย หายจะเกิดแผลเปน็ บางรายจะพบแผลเป็นที่มีลกั ษณะนูนมาก (hypertrophic scar or keloid) ได้ อาการ เน่อื งจากเส้นประสาทบรเิ วณผิวหนงั คอื พ้นื แผลมีสขี าว ซดี เหลือง น้าตาลไหม้ หรอื ด้า หนาแข็งเหมอื นแผ่นหนัง เส้นประสาททอ่ี ยูบ่ รเิ วณผวิ หนงั ถกู ทา้ ลายไปมาก แท้ถูกท้าลายไปหมด ผปู้ ว่ ยไม่มคี วามรสู้ กึ เจ็บหรือปวดท่ีบาดแผล
การประเมินขนาดพ้ืนทขี่ องแผลไฟไหมน้ ้าร้อนลวก (Total Burn Surface Area ; TBSA%) สา้ หรับผ้ปู ่วยที่มีแผลไฟไหมน้ า้ ร้อนลวกในระดับสองและสาม ซึง่ วธิ ีท่นี ิยมคือ Rule of nines ตา้ แหน่งที่มีบาดแผลไฟไหมน้ ้าร้อนลวก ดา้ นหน้า (คิดเปน็ %) ด้านหลงั (คดิ เป็น %) ศีรษะและคอ 4.5 4.5 แขน (ข้างละ) 4.5 (รวม 2 ขา้ ง = 9) 4.5 (รวม 2 ขา้ ง = 9) ล้าตัว 18 18 ขา (ข้างละ) 9 (รวม 2 ข้าง = 18) 9 (รวม 2 ข้าง = 18) บริเวณอวัยวะเพศ (perineum) 1 รวมท้งั รา่ งกาย 100
ระดับความรนุ แรงของบาดแผลไฟไหมน้ ้ารอ้ นลวก ระดบั ไมร่ นุ แรง หรอื รุนแรงนอ้ ย ระดับรนุ แรงมาก ระดับรนุ แรงอันตราย สามารถใหก้ ารรักษาแบบผปู้ ่วยนอก ตอ้ งรบั ไว้ในโรงพยาบาล คือ ควรรบั ไว้รักษาในโรงพยาบาลที่มศี ูนย์ดูแล ได้ โดยไมจ่ า้ เปน็ ต้องเขา้ พักรกั ษาตัว 1) second degree burn ท่ี TBSA 15- รักษาคนไข้ไฟไหมน้ ้าร้อนลวก (burn ในโรงพยาบาล คือ unit) โดยเฉพาะ คือ 30% ของพน้ื ผวิ รา่ งกายท้งั หมด 1) first degree burn 2) third degree burn ท่ี TBSA 2-10% 1) second degree burn ท่ี TBSA > 2) second degree burn ที่ 30% ของพื้นผวิ รา่ งกายทัง้ หมด ของพน้ื ผวิ รา่ งกายทงั้ หมด TBSA < 15% ของพ้นื ผิวรา่ งกาย 3) มีบาดแผลไฟไหมท้ ีบ่ รเิ วณใบหน้า มือ เทา้ 2) third degree burn ท่ี TBSA > 10% ทั้งหมด ของพืน้ ผิวของร่างกายทั้งหมด บรเิ วณ perineum 3) third degree burn ที่ TBSA < 4) electrical burn และ chemical burn 2% ของพน้ื ผิวร่างกายทัง้ หมด ทส่ี งสัยว่ามกี ารบาดเจบ็ ของทางเดินหายใจ ร่วมดว้ ย 5) มโี รคทางอายรุ กรรม มกี ระดูกหกั บริเวณท่มี ี บาดแผลไฟไหม้ หรอื มกี ารบาดเจบ็ ของอวยั วะ หลายอย่างร่วมดว้ ย
การจัดการแผลไฟไหม้น้าร้อนลวก 1. การประเมินแผลไฟไหม้น้าร้อนลวก ควรประเมินให้ครอบคลุมทั้งสาเหตุของการเกิด ระยะเวลา ต้าแหน่งของแผล ระดับความลึกของแผล พ้ืนที่ของแผลกรณี second และ third degree burn รวมถึงระดบั ความรนุ แรงของแผล เพ่ือให้การดูแลรักษาพยาบาลได้อย่างเหมาะสม 2. การรักษาผู้ป่วยแผลไฟไหมน้ ้าร้อนลวก มแี นวทางการรักษาส้าหรับผู้ป่วยที่มีบาดแผลไฟไหม้น้าร้อนลวก ระดับรนุ แรงและระดบั อันตราย ทีต่ อ้ งพกั รักษาตัวในโรงพยาบาล โดยแบ่งตามระยะเวลาของการเกิดแผลไฟ ไหมน้ ้าร้อนลวก เป็น 3 ระยะ คอื 1)ระยะช่วยเหลอื เร่งด่วน (resuscitationphase) 2) ระยะเฉยี บพลนั (acute phase) 3) ระยะฟนื้ ฟู (rehabilitation phase)
การจัดการแผลไฟไหมน้ ้ารอ้ นลวก การใหอ้ อกซิเจนทางหน้ากาก หรือใสท่ ่อช่วย ป้องกันภาวะ hypovolemic หรือ หายใจ ควรดูแลใหอ้ อกซิเจนเข้มขน้ 100% เพอ่ื ให้จับกบั Hb สง่ ผลใหเ้ นือเยอ่ื รา่ งกาย distributive shock โดยการให้สารน้าทดแทน ได้รับออกซิเจนเพมิ่ ขึน ทางหลอดเลือดด้า สารน้าที่ให้ คือ Lactated ระยะชว่ ยเหลอื เร่งดว่ น (resuscitation / emergency phase) เปน็ ระยะภายใน 24 ชว่ั โมง – 48 ช่ัวโมงหลงั ได้เกิดบาดแผลไฟไหม้น้าร้อน Ringer 1,000 ml + 7.5% NaHCO3 50 ml ลวก ในระยะนต้ี อ้ งเฝ้าระวงั ในเรอื่ งการสูญเสยี น้าและโปรตีน บวม และ เ นื่ อ ง จ า ก เ ป็ น ส า ร น้ า ที่ มี อิ เ ล ค โ ท ร ไ ล ต์ ท่ี ใ ห้ เลือดไปเลย้ี งบริเวณแผลลดลง รวมถงึ การได้รบั ออกซิเจนของเนื้อเย่ือ ทดแทนเข้าไปด้วย หรืออาจให้ร่วมกับสารน้า ชนิดคอลลอยด์ (colloid) ส่วนประกอบของ เลือด หรอื อลั บูมนิ แนวทางการรักษา การรกั ษาเพอ่ื บรรเทาอาการปวดดว้ ยวิธกี ารใช้ยา กรณีแผล second degree burn
ปรมิ าณการใหส้ ารน้าทางหลอดเลือดด้าภายใน 24 ช่ัวโมงแรก โดยจะแบ่งให้ คอื 50%ของปริมาณสารน้าที่ค้านวณได้ จะใหภ้ ายใน 8 ชั่วโมงแรก โดยนับตั้งแต่ เวลาทีเ่ กิดเหตรุ วมด้วย ส่วนอีก 50% ของปรมิ าณสารน้าที่เหลอื จะให้ภายใน 16 ชวั่ โมงตอ่ มา สตู ร Parkland formula 4ml x นา้ หนักตวั ของผปู้ ่วย x TBSA ตัวอย่าง ผู้ปว่ ยน้าหนัก 60 kg มีบาดแผลไฟไหม้ระดบั second degree burn คิด TBSA = 30% ดังนน้ั ปริมาณสารนา้ ท่คี วรไดร้ บั ทางหลอดเลอื ดดา้ คือ 4ml x น้าหนกั ตัวของผ้ปู ่วย x TBSA = 4 x 60 x 30 = 7,200 ml / 24 hr จ้านวนสารน้าทง้ั หมดทต่ี ้องได้ใน 24 ชัว่ โมงแรก โดย 8 ชัว่ โมงแรก จะให้ในอตั รา = (50% ของ 7,200 ml) / 8 hr = 3,600 ml / 8 hr = 450 ml / hr ดงั นัน้ ใน 16 ชัว่ โมงต่อมา จะใหใ้ นอตั รา = 3,600 ml / 16 hr = 225 ml / hr
ผ้ปู ่วยแผลไฟไหม้ ระดบั 2 total burn surface area 36% นักหนกั ตัว 50 กิโลกรัม ควรได้ Lactated Ringer Solution ใน 8 ชว่ั โมงแรก และ 16 ชัว่ โมงต่อมา ตามสูตรของ Parkland formula ปรมิ าณเทา่ ใด
การจัดการแผลไฟไหมน้ า้ รอ้ นลวก ระยะเฉียบพลัน (acute phase) เป็นระยะหลังจากผู้ป่วย พ้นภาวะวกิ ฤตแล้ว ในระยะน้ตี อ้ งเฝา้ ระวงั เรื่องการติดเช้ือ ในร่างกาย การตดิ เช้ือของแผล รวมถึงภาวะโภชนาการ ระยะฟนื้ ฟู (rehabilitation phase) เป็นระยะที่มงุ่ เน้นการป้องกัน ภาวะแทรกซ้อนท่ีอาจเกิดขึ้น เช่น การเกิดข้อติดแข็ง (joint stiffness) แผลดึงรงั้ (wound contracture) เป็นต้น
การพยาบาลผู้ปว่ ยท่ีมีแผลไฟไหมน้ ้ารอ้ นลวก (Nursing Care of Adults with Burn Wound) 1. การพยาบาลระยะ resuscitation / emergency มีวัตถุประสงค์ที่ ส้าคัญคือการป้องกันภาวะช็อกหรือการส่งเสริมให้เนื้อเยื่อของร่างกาย ได้รับออกซเิ จนไปเลย้ี งอยา่ งเพียงพอ ดูแลให้ได้รับสารน้าทางหลอดเลือดด้าตามแผนการรักษาในระยะ 24 ช่ัวโมง แรกหลังการเกิดแผลไฟไหม้น้ารอ้ นลวก ดแู ลใหร้ ่างกายไดร้ บั ออกซเิ จนอยา่ งเพียงพอ และจัดทา่ นอนศรี ษะสูงกรณีทผ่ี ู้ปว่ ย ไมม่ ีภาวะชอ็ ก ดแู ลให้ไดร้ ับยาแก้ปวดตามแผนการรกั ษาในกรณมี แี ผล second degree burn ตดิ ตามอาการและอาการแสดงของภาวะแทรกซ้อนทอ่ี าจเกดิ ขึน เช่น shock, กลา้ มเนือหวั ใจขาดเลอื ด (myocardial infarction) , ภาวะน้าเกนิ (volume overload) , ภาวะ hypothermia เปน็ ภาวะทร่ี ่างกายมีอณุ หภมู ิ < 36 องศาเซลเซยี ส
การพยาบาลผปู้ ว่ ยทมี่ แี ผลไฟไหมน้ ้ารอ้ นลวก (Nursing Care of Adults with Burn Wound) 2. การพยาบาลระยะ acute มวี ัตถุประสงค์หลัก คือ การป้องกันการติดเชื้อ ในรา่ งกาย การตดิ เชอื้ ของแผล ประเมินระบบไหลเวียนโลหิตและหายใจ เพื่อเฝ้าระวังการเกิดปอดอักเสบ การสง่ เสรมิ การหายของแผล รวมถึงภาวะโภชนาการ (pneumonia)โดยติดตามอาการของปอดอักเสบ เช่น ไข้ หายใจหอบเหน่ือย เสมหะสี เหลืองหรอื เขียว O2 saturation < 95% เปน็ ตน้ ประเมินภาวะโภชนาการ โดยการชั่งน้าหนักผู้ป่วยทุกวัน และเริ่มให้อาหาร (early nutrition) คือหลังจาก 24-48 ช่ัวโมงตามแผนการรักษา หากผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานได้เอง จึงจ้าเป็นต้องได้รับทางสายให้อาหาร (nasogastric tube) ประเมนิ ระบบโครงร่างและกลา้ มเนอื เพื่อเฝ้าระวังภาวะขอ้ ติดแขง็ และดแู ลใหผ้ ู้ป่วยท้า active และ passive exercise ดแู ลแผลเพ่อื สง่ เสริมการหายของแผลและปอ้ งกันการตดิ เชือทีแ่ ผล
การจดั ทา่ ดแู ลแผลไฟไหม้นาร้อนลวกเฉพาะที่ บริเวณทเ่ี ปน็ การจดั ทา่ / การดูแล แผลไหม้น้ารอ้ นลวก มือ การท้าแผลต้องแยกนิวทุกนิวออกจากกัน โดยใช้ก๊อซค่ันระหว่างนิว หรืออาจใช้อุปกรณ์ดาม (splint) วางให้นิวเหยียดและฝ่ามือกระดกขึนเล็กน้อย แล้ววางบนหมอนสูงหรือยกสูงกว่า ระดับหัวใจ เพื่อลดบวมและให้เลือดไปเลียงได้ดี การดามนิวหรือข้อมือไว้ เมื่อผ่าน 72 ช่ัวโมง ไปแล้ว สามารถยกเลกิ การดามและบรหิ ารข้อมอื และขอ้ นิวได้
การจัดทา่ ดูแลแผลไฟไหมน้ าร้อนลวกเฉพาะท่ี บรเิ วณท่ีเปน็ การจัดท่า / การดูแล จดั ใหแ้ ขนหรือขาเหยยี ด วางบนหมอนสูง และอาจใช้อุปกรณ์ดาม (slab) ในช่วงเวลานอน แผลไหมน้ า้ ร้อนลวก แขนและขา
การจัดทา่ ดูแลแผลไฟไหม้นารอ้ นลวกเฉพาะท่ี บรเิ วณทีเ่ ป็น การจัดท่า / การดูแล แผลไหมน้ า้ ร้อนลวก รักแร้ จดั ให้แขนกาง 90 องศา และออกก้าลังกายคล้ายการชกั รอก .
การจดั ท่าดูแลแผลไฟไหม้นารอ้ นลวกเฉพาะที่ บรเิ วณที่เปน็ การจัดทา่ / การดแู ล แผลไหม้น้ารอ้ น ลวก คอ จดั ใหค้ อเหยยี ดตรง หา้ มหนุนหมอน เพอ่ื ป้องกันการหดรงั ของแผล
การจดั ทา่ ดแู ลแผลไฟไหม้นารอ้ นลวกเฉพาะที่ บริเวณที่เปน็ การจัดท่า / การดแู ล แผลไหม้นา้ ร้อน ลวก เทา้ และข้อเท้า จัดให้ฝ่าเท้าเหยียดตรง 90 องศา และอาจใช้ slab ช่วย เพื่อป้องกันเท้าตก (foot drop) และใหพ้ ักบนเตียง จนครบ 72 ช่ัวโมง หลังจากนันให้เร่มิ บริหารข้อเท้าและฝึก เดินได้กรณที ีไ่ มม่ ีแผลท่ีฝ่าเท้า
ใหค้ ้าแนะน้าเมื่อกลบั ไปอยบู่ ้าน ดงั น้ี 1. เม่ือแผลหายดีแล้วต้องระวังไมใ่ ห้ถูกแสงแดด 3-6 เดือน และใช้น้ามนั หรือครีมโลช่ันทาที่ผิวหนัง เพอ่ื ลดอาการ แห้งและคนั 2. ใส่ผ้ายึดรัดแผล (pressure garment) เมือ่ แผลหายแล้ว เพือ่ ป้องกันการเกิดแผลเป็นนูน (hypertropic scar) ซง่ึ ต้องใสต่ ่อเน่อื งเปน็ เวลา 6 เดอื น - 2 ปี วันละ 23 ชว่ั โมง ยกเว้นเวลาอาบน้าเท่าน้ัน
Search