P a g e | 48วิธีการ 1.1 ใช้ปิเปตขนาด 1 มล. ดูดพลาสม่าหรือซีรั่ม 1 ส่วน (2 มล.) ใส่ลงในฟลาสที่แห้งสนิทโดยเช็ด ปลายปิเปตใหส้ ะอาดก่อน 1.2 เติม 1/12 N กรดกามะถัน (Sulfuric acid) 8 ส่วน (16 มล.) เขย่าในระหว่างเติม จะเห็นตะกอน สขี าวถ้าตัวอยา่ งเป็นพลาสม่าหรอื ซรี มั่ 1.3 เติม 10% โซเดียมทังสเตท 1 ส่วน (2 มล.) เขยา่ ระหว่างท่เี ติม และหลังจากท่เี ติมแล้วเพ่อื ให้เกิด ตะกอนท่วั ถึงกนั 1.4 กรองผ่านกระดาษกรองท่ีแห้ง น้ากรองที่ได้จะต้องใสและไม่มีสี ถ้าไม่ใสให้เทกลับคืนลงไปบน กระดาษกรองอีกครั้งหน่ึงน้ากรองน้ีสามารถเก็บได้นาน 2-3 วัน โดยต้องใส่โทลูออล (toluol) หรอื ซยั ลอล (Xylol) 2-3 หยดเป็นยาถนอม แต่ถ้าต้องการวเิ คราะห์ปริมาณน้าตาลจะไม่สามารถ เกบ็ คา้ งไวไ้ ด้ขนั้ ตอนท่ี 2วิธีการ 2.1 เตรยี มหลอดทดลองขนาดใหญ่ 3 หลอด หลอดที่ 1 ใสน่ า้ กรองไรโ้ ปรตนี ท่เี ตรยี มไว้จากขน้ั ตอนที่ 1 ลงไป 2.5 มล. และเติมน้ากลน่ั ลงไป 0.5 มล. หลอดที่ 2 ใส่น้ายามาตรฐานเครอาตนิ ีน 0.5 มล. และเติมน้ากลัน่ 2.5 มล. หลอดท่ี 3 ใสน่ ้ากล่นั 3.0 มล. 2.2. เตมิ 0.04 N กรดปิครคิ 1.0 มล. และ 0.75 N โซเดยี มไฮดรอกไซด์ 1.0 มล.ในทุก ๆหลอดและ ผสมใหเ้ ขา้ กันโดย mixer เริม่ นบั เวลา 2.3. เมอื่ ครบ 20 นาที ให้แบง่ สารละลายในแต่ละหลอด ใส่ cuvette เพื่อนาไปอา่ นค่า O.D. ท่ี ความยาวคลื่น 520 nmการคานวณ นา้ ยามาตรฐาน 1.0 มล. มีเครอาตนิ นี 10 ไมโครกรัมรายงาน ปรมิ าณเครอาตนิ ีนเป็น มก. ในพลาสมา่ 100 มล. (mg/dL)การแปลผล เครอาตินนี เป็นสารน็อนโปรตนี ไนโตรเจน็ ในเลือดท่ีมีการเปลี่ยนแปลงน้อยท่ีสุดค่าเฉล่ยี ปกตอิ ยู่ ระหว่าง 1-2 มก./ดล. ของเลือด หรือ 0.6-1.8 มก./ดล. ในซีรั่ม จัดว่าเป็นสารที่ไตขับถ่ายได้ งา่ ยมาก จึงเป็นสารสุดท้ายที่จะพบมากและคั่งในเลือดเม่อื ไตหยอ่ นสมรรถภาพ ถ้าไตพกิ ารมาก เครอาตินีนในเลอื ดอาจสูงถงึ 5 มก./ดล. หรือมากกว่าเครอาตินีนสูงอาจพบในโรคที่ปัสสาวะขัด เพราะทางเดินถกู อดุ กน้ั หรือไตหยดุ หลัง่ ปัสสาวะ
P a g e | 49 ปฏิบัตกิ ารครั้งท่ี 7 เรื่อง การตรวจน้าตาลในเลอื ดโดยใชเ้ คร่ืองอตั โนมัติ ในการวิเคราะห์น้าตาลในเลือดในห้องปฏิบัติการชีวเคมีนั้นมีหลายวิธี วิธีหนึ่งท่ีนิยมใช้กันมากเนอ่ื งจากสะดวก รวดเร็ว และได้ผลเช่ือถอื ได้ก็คือ การตรวจโดยใชเ้ ครื่องอัตโนมัติ เครื่องอัตโนมตั มิ หี ลายชนดิ เช่น 1. เครือ่ ง Accutrend GC - เคร่ืองน้ีใช้ตรวจหาได้ท้ังกลูโคส และโฆเลสเตอรอลในเลือด โดยค่ากลูโคสหาได้ในช่วง 20-60 mg% ส่วนโฆเลสเตอรอลหาได้ในชว่ ง 150-300 mg% - ใช้ strip เฉพาะคอื Glucose test strip, cholesterol test strip 2. เครอ่ื ง Reflolux S - เคร่ืองนใี้ ช้ตรวจนา้ ตาลได้ในชว่ ง 10-500 mg% 3. เครือ่ ง Medisafe TM - เครือ่ งน้ีใช้ตรวจหานา้ ตาลไดใ้ นชว่ ง 20-600 mg% - ใช้เลือดปริมาณน้อยเพียง 1.2 l และใช้เวลาเพียง 10 วินาที และไม่มีข้ันตอนที่ต้อง สัมผัสกับเลอื ด 4. เครอื่ ง Accu-ChekPerforma - เครื่องนีใ้ ชต้ รวจหานา้ ตาลไดใ้ นชว่ ง 10-600 mg% - ใช้เลือดปริมาณน้อยเพียง 0.6 l และใช้เวลาเพียง 5 วินาที และไม่มีขั้นตอนที่ต้อง สมั ผสั กับเลือดเชน่ กนั สาหรับเคร่ืองอัตโนมัติท่ีนักเรียนจะได้ใช้ในห้องปฏิบัติการชีวเคมี คือเคร่ือง Accu-ChekPerformaเคร่อื งตรวจนา้ ตาล Accu-ChekPerforma
P a g e | 50 เคร่ือง Accu-Chek Performa ซงึ่ มีหลกั การดังนี้หลกั การ เมื่ อ ห ย ด เลื อ ด สั ม ผั ส กั บ test strip เอ็ น ไซ ม์ ท่ี อ ยู่ บ น test strip คื อ glucose dehydrogenase ซ่ึงได้จากเชื้อ Acinetobacter calcoaceticus, recombinant in E. coli จะเร่งปฏิกริ ิยาการเปลี่ยนกลูโคสไปเป็น gluconolactone และเกิดกระแสไฟฟ้าตรงท่ี ไม่เป็นอันตราย ท่เี ครื่องจะสามารถแปลผลออกมาเป็นปรมิ าณ glucose ทม่ี อี ยูใ่ นเลอื ดได้ glucose dehydrogenaseglucose gluconolactone + DC electrical currentการเจาะเลอื ดจากหลอดเลือดฝอย (Skin puncture : capillary blood) การเจาะเลือดจากหลอดเลือดฝอย มักจะใช้เมื่อต้องการเลือดปริมาณน้อย หรือกระทาเมื่อใช้เจาะเลือดจากหลอดเลือดดาไมส่ ะดวก เชน่ ในเด็กเล็กหรือในกรณีทีถ่ กู ไฟไหมอ้ ย่างแรง อุปกรณ์ท่ีใช้ในการเจาะเลือดจากหลอดเลือดฝอยน้ันเราอาจใช้ disposable หรือ sterile bloodlancets หรืออาจใช้เข็ม (syringe) หรือเข็มเจาะอัตโนมัติ (Autoclix/Fine-Touch with needle) ตาแหน่งที่เจาะในผู้ใหญม่ ักใชท้ ปี่ ลายนิว้ หรอื ต่งิ หู สว่ นในเดก็ ทารกนยิ มเจาะท่ีสน้ เทา้ ซ่ึงเป็นส่วนผิวหนังทีบ่ าง ข้นั ตอนในการเจาะต้องปราศจากเช้ือ (aseptic) ทัง้ อุปกรณท์ ่ีใช้เจาะและบริเวณท่ีจะเจาะ กอ่ นเจาะผู้ท่ีเป็นผู้เจาะต้องล้างมือให้สะอาดและสวมถุงมือ จากนั้นให้ผู้ถูกเจาะสะบัดมือแรง ๆ เพื่อให้เลือดไหลไปรวมท่ีปลายน้ิว จับมือที่เจาะไว้ด้วยมือซ้ายใช้น้ิวหัวแม่มือและนิ้วช้ีบีบโคนน้ิวที่ต้องการให้เลือดคั่งอยู่ เอาสาลีชุบแอลกอฮอล์ 70% ทาท่ีบริเวณที่จะเจาะให้ท่ัว รอให้แห้ง จับนิ้วหงายข้ึน แลว้ แทงด้วยเข็มที่เตรียมไว้ เลือดหยดแรกควรเชด็ ท้ิงด้วยสาลีแหง้ และใช้เลือดหยดต่อไปขนั้ ตอนการทดสอบ 1. ลา้ งมอื และเชด็ ให้แห้งก่อนการตรวจวดั ค่าน้าตาล 2. ตรวจสอบวันหมดอายทุ ี่ขา้ งขวด อย่าใชแ้ ถบตรวจท่ีหมดอายุแล้ว
P a g e | 513. หยบิ แถบตรวจออกจากขวดแล้วปดิ ฝาขวดใหส้ นิท4. เสยี บแถบตรวจเขา้ เครือ่ งตามทิศทางท่ลี กู ศรชจี้ นกระท่ังมีเสียง beep5. เตรียมอุปกรณส์ าหรบั เจาะเลือดปลายนิว้6. ทาการเจาะเลอื ดปลายนิว้ ตามขนั้ ตอนการเจาะเลือดจากปลายนวิ้ ทใ่ี ห้ไวข้ ้างลา่ ง7. แตะเลือดทีป่ ลายแถบตรวจ อย่าแตะเลือดด้านบนแถบตรวจ8. เครอ่ื งจะส่งเสียง beep และปรากฎภาพนาฬิกาทราย เม่ือปริมาณเลอื ดเพียงพอ ผลการวัด จะแสดงที่หนา้ จอหลงั จากนน้ั 5 วินาที9. บันทึกผลที่ได้ เป็น mg/dL
P a g e | 52ขน้ั ตอนการเจาะเลือดจากปลายนว้ิ 1. ปรับความลึกของเข็มโดยการหมุนปุ่มบนปากกาเจาะเลือด Fine-Touch ให้ความลึกท่ีต้องการตรงกบั เครอ่ื งหมาย Δโดยปกตมิ ี 4 ระดับ คอื- ผวิ บางและอ่อนนุ่ม ปรบั ไว้ท่ีระดบั 0 หรอื 1- ผวิ ปกติ ปรับไว้ทีร่ ะดบั 2 หรือ 3- ผิวหนา ปรับไว้ท่ีระดับ 42. ประกอบเขม็ เจาะ (Lancet) เขา้ กบั ปากกาเจาะเลือดจนได้ยินเสียง “Click” หมนุ และดึงฝาครอบ Lancet ออกจาก Lancet ก่อนใช้3. เลอื กบรเิ วณที่ตอ้ งการเจาะบริเวณขา้ งๆของนิ้ว4. นวดนื้วบรเิ วณท่ีจะเจาะเพือ่ ใหเ้ จาะเลือดไดง้ า่ ย
P a g e | 535. ค่อย ๆ วางปลายหวั เข็มเจาะบนน้ิวทเ่ี ชด็ แอลกอฮอลแ์ ลว้ บรเิ วณท่ตี ้องการเจาะแลว้ กด “push botton” บนปากกาเจาะ หา้ มกดปลายเข็มเจาะบนนว้ิ 6. ค่อย ๆ บีบรอบ ๆ บริเวณที่เจาะ หยดเลือดหยดแรกควรเช็ดทิ้ง แล้วบีบให้ได้หยดเลือดขนาดเสน้ ผ่าศูนย์กลางใหญ่ประมาณ 2.5 มม.หมายเหตุ 1. สามารถต้ังเวลาและวัน/เดือน/ปี ลงในเครื่อง Accu-Chek Performa ได้ (นพท.ไม่ต้องทา ได้ตั้งไวใ้ ห้แล้ว) 2. คา่ blood glucose แต่ละค่าที่ถูกวัดโดยเครือ่ ง Accu-Chek Performa จะถูกบันทึกไว้ในเครื่องโดยอตั โนมตั ิ (พร้อมวัน, เวลาที่ถูกวิเคราะห์) โดยเครื่องจะสามารถบันทึกคา่ ไว้ได้ มากถึง 500 ค่าโดยคา่ ท่เี ก่าที่สุดจะถกู ลบออกไปเม่ือมีคา่ ท่ถี ูกบันทึกเกินคา่ ที่ 500การแปลผล เครื่อง Accu-Chek Performa เป็นเคร่ืองที่ใช้วัดระดับน้าตาลในเลือดได้ในช่วง 10-600มก./ดล. ค่าที่ได้จากการตรวจระดบั น้าตาลกลูโคสในเลอื ดด้วยเคร่อื งอัตโนมัติ ใช้เปน็ แนวทางในการปรับปรุงคา่ น้าตาลในเลอื ดของตนเองโดยมเี กณฑ์ ดังน้ีภาวะนา้ ตาลกลโู คสในเลอื ด Non-diabetes Impaired fasting glucose Diabetesหลงั อดอาหาร 8-12 ชม. <100 มก./ดล. (Prediabetes) (<5.6 mmol/L) 100-125 มก./ดล. > 126 มก./ดล.2 ชม.หลังจากรับประทาน <140 มก./ดล.อาหาร (<7.8 mmol/L) (5.6-6.9 mmol/L) (>7.0 mmol/L) 140-199 ม ก ./ด ล . >200 มก./ดล. (7.8-11.1 mmol/L) (>11.2 mmol/L)
P a g e | 54 ภาวะที่พบนา้ ตาลในเลอื ดสูงเกินกวา่ ปกติ (100-125 มก./ดล.) เรียกว่า “Hyperglycemia”สาหรับผูเ้ ปน็ เบาหวานจะมอี าการอน่ื รว่ มด้วย คอื ดืม่ นา้ ตาลมาก ปัสสาวะมาก และน้าหนักลดอย่างรวดเร็ว ภาวะน้าตาลในเลือดต่า (Hypoglycemia) คือ ภาวะที่ตรวจพบน้าตาลในเลือดมีระดับต่ากว่า 50มก./ดล. (2.8 mmol/L) ในผู้ชาย หรือตา่ กว่า 45 มก./ดล. (2.5 mmol/L) ในผหู้ ญงิ ถา้ ระดับน้าตาลในเลือดต่าขนาดนี้ จะเร่ิมมีอาการ เช่น หน้ามืดใจส่ัน และถ้าระดับน้าตาลในเลือดต่าประมาณ 20 มก./ดล.(1mmol/L) มักจะมีอาการทางระบบประสาทรว่ มดว้ ย เชน่ ชัก สาเหตุของ Hyperglycemia 1. Diabetes mellitus 2. Hyperthyroidism 3. Hyperpituitarism 4. Hyperadrenalism สาเหตุของ Hypoglycemia 1. จากการท่ีรา่ งกายสรา้ ง glucose น้อยอันเนื่องมาจาก 1.1 ขาด hormone เช่น ภาวะ hypopitutarism, adrenal insufficiency 1.2 ขาดเอน็ ไซม์ เชน่ Glucose-6-phosphatase, glucagon synthetase 1.3 ขาด substrate เชน่ malnutrition 1.4 แหล่งสรา้ ง glucose เสยี เช่น ตบั แขง็ , ตับอักเสบ 2. จากการใช้ glucose มาก 2.1 Hyperinsulinoma 2.2 ฉีด insulin มากเกินไป
P a g e | 55 รายงานผลการทดลองที่ 7เรือ่ ง การตรวจนา้ ตาลในเลือดโดยใช้เคร่อื งอัตโนมัติ Accu-ChekPerformaช่ือ………………………………………………………………เลขที่……………วนั ท.่ี .........................................ชอ่ื ………………………………………………………………เลขท่ี……………ชอ่ื ………………………………………………………………เลขที่……………ชอ่ื ………………………………………………………………เลขท่ี……………ผลการทดลองที่ 7 การวิเคราะหน์ ้าตาลกลโู คส โดยใช้เครื่องอตั โนมัติ Accu-ChekPerforma Subject ความเข้มข้นของกลูโคส (มก./ดล.) โดยใช้ Accu-ChekPerformaนรพ.………………………………….นรพ.………………………………….นรพ.………………………………….นรพ.………………………………….สรุปผลและวจิ ารณ์(อธิบายหลกั การเกดิ สี คุณสมบตั ขิ องเคร่ือง ผลท่ตี รวจได้ และสาเหตขุ องการพบภาวะที่ผิดปกติ)…………………………..………………………………………………………………………...........................................................…………………………………..……………………….…………………………………………………………………………………………..…………………………………..……………………….…………………………………………………………………………………………..…………………………………..……………………….…………………………………………………………………………………………..…………………………………..……………………….…………………………………………………………………………………………..…………………………………..……………………….…………………………………………………………………………………………..…………………………………..……………………….…………………………………………………………………………………………..…………………………………..……………………….…………………………………………………………………………………………..…………………………………..……………………….…………………………………………………………………………………………..
P a g e | 56 ปฏบิ ัติการครั้งท่ี 8 เรื่อง การตรวจวเิ คราะห์ปัสสาวะการทดลองที่ 8.1 ลักษณะของปัสสาวะปกติ ในการวิเคราะห์ปัสสาวะ ต้องสังเกตลักษณะทั่ว ๆ ไปก่อนเสมอ เพราะการเปล่ียนแปลงในลักษณะน้ีอาจช่วยให้ทราบถึงความผิดปกติได้ เก็บปัสสาวะที่ถ่ายออกมาใหม่ ๆ ใส่บีคเกอรข์ นาดใหญ่ สงั เกตและบันทึกลักษณะตอ่ ไปนี้1. ลกั ษณะทางกายภาพ ได้แก่ สี กลิน่ และความใส2. ความเปน็ กรดดา่ ง (ค่า pH) วัดได้ดว้ ยกระดาษวดั pH (pH paper)3. ความถว่ งจาเพาะ (ถ.พ.) การวัดคา่ ความถ่วงจาเพาะของปัสสาวะ สามารถ วดั ได้โดยใช้ Refractometer Refractometer เป็นเครื่องมือสาหรับวัด refractive index ความถ่วงจาเพาะของปัสสาวะและซีร่ัมโปรตีน โดยใชห้ ลักการ การหักเหของแสงผา่ นสารละลายทต่ี อ้ งการวัด 1. Daylight plate 2. Prism 3. Scale adjustment screw 4. Eypieceวธิ ใี ช้1. การ calibrate scale- ก่อนวดั ถ.พ. หรอื refractive index ควรตรวจและปรับ scale ดงั น้ี- เปิด daylight plate ขึ้น หยดน้ากลน่ั 2-3 หยดบน prism แลว้ ปิด plate เบา ๆ- ปรบั focus ใหช้ ดั โดยหมุน eyepiece- เสน้ แบ่งระหวา่ งด้านมืดและดา้ นสว่างควรอยทู่ ี่ ถ.พ.=1.000 หรือ refractive index=1.333 ในกรณที ่ีไมเ่ ป็นเชน่ นั้น ใหป้ รบั scale adjusting screw จนไดต้ าแหนง่ ทต่ี ้องการ- เปิด daylight plate แล้วทาความสะอาดโดยใช้กระดาษทิชชูเช็ดเบา ๆ2. การวัด ถ.พ.ปัสสาวะ- เปิด daylight plate ขึ้น หยดปัสสาวะที่ต้องการวัด 2-3 หยด บน prism แล้วปิด plate เบา ๆ อ่าน ถ.พ.แลว้ บนั ทึกค่า- ทาความสะอาดเคร่อื งมือโดยใชน้ า้ กล่ันและกระดาษทชิ ชู
P a g e | 574. คานวณหาปริมาณของแขง็ ในปสั สาวะปรมิ าณของแข็งในปสั สาวะ (g/L) = สัมประสิทธิข์ องลองก์ (Long’s coefficient) X เลข 2 ตวั ท้ายหลังจดุ ทศนยิ มของคา่ ถ.พ. ท่ี 250C) = 2.6 x เลข 2 ตัวท้าย ของค่า ถ.พ.การทดลองท่ี 8.2 การตรวจปสั สาวะหาสิง่ ผิดปกติวธิ ีการ ทาการตรวจสอบปัสสาวะผิดปกติเทียบกับปัสสาวะปกติ ซึ่งตรวจโดยวิธีการเคมีควบคู่ไปกับ การใช้ test (reagent) strip (Combur-9)8.2.1 การตรวจทางเคมี1) การทดสอบหากลูโคส ตรวจปัสสาวะของคนไข้เบาหวานเทียบกับปัสสาวะปกติ การทดสอบเบเนดิคต์ (Benedict’s test) การทดสอบน้ี ใช้ได้สาหรับการตรวจคุณภาพวิเคราะห์อย่าง คร่าวๆ ใส่น้ายาเบเนดิคต์ (ชนิดคุณภาพวิเคราะห์) 3 มล. ในหลอดแก้ว เติมปัสสาวะ 0.5 มล. ผสมกันแล้ว ต้มให้เดือดนาน 1/2 นาที การคาดคะเนปริมาณน้าตาล (%) อาศยั หลกั ตอ่ ไปน้ี \"พอตรวจพบ\" ไม่เห็นตะกอนในตอนแรก แต่จะเหน็ เล็กน้อยภายหลงั เปน็ สเี หลอื งทกี่ น้ หลอด นา้ ยาสนี ้าเงิน (0.1 %)\"1 บวก\" มตี ะกอนเปน็ สเี หลอื งเลก็ น้อยท่กี น้ หลอด น้ายาสีน้าเงนิ อ่อน (0.2 %)\"2 บวก\" ตะกอนสีสม้ พอเหน็ ได้ชัดเจน น้ายาสีเขียว (0.4 %)\"3 บวก\" ตะกอนสีส้มแกมนา้ ตาล กอ้ นใหญ่ มมี าก นา้ ยาสีเขยี วออ่ น (1.0 %)\"4 บวก\" ตะกอนสีแดงจดั นอนก้นคลก่ั น้ายาไม่มสี ี (มากกวา่ 2 %)1.2 การทดสอบหาโปรตีน ตรวจปัสสาวะของคนไข้โรคไตอกั เสบ ทีม่ ีแอลบูมนิ ูเรีย (albuminuria) เปรยี บเทียบกับปสั สาวะปกติ การทดสอบเฮ็ลเลอ่ ร์ (Heller) ใส่กรดไนตริคเข้ม 1-2 มล.ในหลอดแก้วเล็ก ค่อย ๆ เติมปัสสาวะด้วยปิเป็ตโดยให้ค่อย ๆ ไหลไป ตามข้างหลอดช้า ๆ พยายามไม่ให้ปัสสาวะผสมกับกรด แต่ให้เป็นชั้นซ้อนอยู่บนกรดแล้วตรวจดู ตรงทนี่ ้ายากับปัสสาวะสมั ผสั กัน - ถา้ มวี งสีขาวบาง ๆ เพยี งมองเห็นนับวา่ \"พอตรวจพบ\" - ถา้ มีวงสีขาวหนา (โปรตีนกลายเป็นลิ่ม) แสดงวา่ ได้ผลบวก ใหแ้ สดงปริมาณด้วยจานวนเครอ่ื งหมาย บวกจาก 1 ถึง 4 (+, ++, +++, ++++)
P a g e | 581.3 การท ดสอ บ ห าเลือด ต รวจดูปั สสาวะคน ไข้ท่ี มี ฮีม าตูเรีย (Hematuria) กับ ฮีโม โกล บิ นู เรีย(Hemoglobinuria) เทียบกับปัสสาวะปกติ การทดสอบออร์โธโทลิดีน (Orthotolidine) นาปัสสาวะ 2 มล. มาเติมออร์โธโทลิดีนในกรดเกลเซียลอะซีติค (ทาใหม่ๆ) 2 มล. และเติม 3 % ฮัยโดรเจน็ เปอร์อ็อกไซด์ 1 มล. ผสมใหเ้ ขา้ กัน ผลบวกคอื การเกิดสีน้าเงิน8.2.2 การตรวจสอบสารผิดปกตใิ นปสั สาวะอย่างรวดเรว็ โดยแถบ หรอื ยาสาเร็จรปู ปัจจุบันมีแถบสาเร็จรูป หรือยาสาเร็จรูปที่ทาข้ึนมามากมายเพ่ือใช้ตรวจสารผิดปกติในปัสสาวะ ซึ่งนิยมใช้ในโรงพยาบาลท่ีมีสิ่งตรวจมาก ๆ หรือคลินิกท่ีไม่มีเคร่ืองมือใช้ การตรวจสอบโดยใช้สารสาเร็จรูปเหล่าน้ี ใช้เวลาน้อยมีความไวและแม่นยาพอสมควร จะมีประโยชน์ต่อการวินิจฉัย และรักษาโรคได้สารสาเร็จรูปซึ่งมีจาหน่ายมีท้ังแบบท่ีใช้ตรวจชนิดเดียว (single test) และแบบท่ีใช้ตรวจหลายอย่าง(multitest) ซ่งึ ทาออกเป็นยาเม็ด (tablet) หรอื เปน็ แถบ (strips) แถบสว่ นใหญ่ทามาจากเซลลโู ลสชนิดพิเศษท่ีมีรูเลก็ ๆ เป็นมาตรฐาน บนเซลลูโลสจะชุบด้วยสารเคมีที่สามารถทาปฏิกิริยากับสารผิดปกติในปัสสาวะ ให้สีเฉพาะตามวิธีนั้น ๆ ความเข้มของสีก็จะเป็นปฏิภาคโดยตรงกับปริมาณของสารท่ีอยู่ในปัสสาวะ เทียบสีกับสีมาตรฐานบนตารางท่ีมีจะบอกปริมาณของสารนั้นคร่าว ๆ ได้ สารผิดปกตทิ ตี่ รวจในปัสสาวะโดยใชส้ ารสาเร็จรูปไดแ้ ก่ เม็ดเลอื ดขาว, ไนไตรท์, pH, โปรตีน, กลูโคส,คีโตน, เลือด, น้าดี และยูโรบิลิโนเจน ซึ่งหลักการทางเคมีในการตรวจสอบสารเหล่านี้อาจแตกต่างกันขึ้นอยู่บริษัททีผ่ ลติ ข้ึนมาหลกั การทดสอบ1. pH ในอนิ ดเิ คเตอร์ 2 ชนดิ คือ เมธลี เรด และ โบรโมธัยมอลบลู2. โปรตนี จะเปลย่ี นสีของ acid-base อินดิเคเตอร์ โดยไมม่ ีการเปลี่ยนแปลง pH อินดเิ คเตอร์ท่ีใช้ เชน่ เตตร้าโบรโมฟีนอลบลู ในบฟั เฟอร์ ไวตอ่ แอลบมู ินมาก ตรวจได้ต้งั แต่ 6 มก./ดล.3. น้าตาล ใช้ปฏิกิริยาเฉพาะของเอ็นไซม์ กลูโคสอ็อกซิเดส และเปอร์ออกซิเดส โดยใช้ O-tolidine หรือiodine complex เปน็ อินดเิ คเตอร์ ตรวจหากลโู คสไดต้ ั้งแต่ 40 มก./ดล.4. สารคโี ตนใชห้ ลักเชน่ เดียวกบั วิธีของเลกาล5. บิลิรบู ิน และยโู รบิลิโนเจน ใช้ปฏิกิรยิ าของเกลอื ไดอะโซเนยี มเฉพาะอย่าง6. เลอื ด ฮีโมโกลบิน และ มัยโอโกลบิน คะตาไลซ์ การอ็อกซิเดชัน่ ของอินดิเคเตอร์ โดยออร์แกนิคฮยั โดรเปอร์ออกไซด์7. เมด็ เลือดขาว ใช้ปฏิกิริยาของ เอสเทอเรส ใน แกรนนโู ลซัยต์ ใหอ้ ินด๊อกซิล ซึง่ ใหส้ ีกบั เกลือไดอะโซเนยี ม8. ไนไตรท์ ใช้ปฏิกิริยา diazotisation ของ sulfanilic acid หรือ รีดักช่ันของไนเตรทเป็นไนไตรท์ ถ้าพบจะบ่งชี้ว่ามี nitrite-forming bacteriaวิธกี าร ใช้ปสั สาวะถา่ ยใหม่ ไม่ต้องปัน่ จมุ่ แผ่นทดสอบ (Combur-9 test strip) เพียง 1 วนิ าที แลว้ อา่ นภายใน 60-120 วนิ าที (อยา่ นานกวา่ นี้) โดยเทยี บสกี ับสีมาตรฐานข้างกลอ่ ง
P a g e | 59 หนงั สอื อ่านประกอบ1. Anderson S.C., Cockayne S. : Clinical Chemistry; Concepts and Applications, W.B. Saunders Company, 2002.2. Blick, K.E., Liles S.M. : Principles of Clinical Chemistry, John Wiley & Sons, Inc., 1985.3. Bishop M.L., Fody E.P., Schiff L.E. : Clinical Chemistry ; Techniques, Principles, Correlation, 6th ed., Lippincott Williams & Wilkins, 2009.4. Marshall W.J., Bangert S.K. : Clinical Chemistry, 7th ed. Elsevier Limited, 2012.5. Oser B.L. : Hawk's : Physiological Chemistry, 14th ed., McGraw – Hill, Inc., 1965.6. ภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตาราปฏิบัติการชีวเคมีเบื้องต้น สานักพมิ พ์จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั พ.ศ. 2536
Search