Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ธรรมะคือหน้าที่

ธรรมะคือหน้าที่

Published by jariya5828.jp, 2022-08-29 03:02:05

Description: ธรรมะคือหน้าที่

Search

Read the Text Version

ธรรมะคือหนา ท่ี



ร่วมเป็นเจ้าภาพ พมิ พ์ธรรมะเล่มนอ้ ยได้ท่ี หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปญั โญ โทร. ๐ ๒๙๓๖ ๒๘๐๐

รายชอื่ หนังสือธรรมะเลม่ นอ้ ย ๑๒ เล่ม ส�ำหรบั ปี ๒๕๕๕ ประกอบด้วย ๑. การมีอายุครบรอบปี...เป็นเช่นน้ันเอง ๒. ส่ิงที่เป็นคู่ชีวิต ๓. มาฆบูชา วันนี้เป็นการกระท�ำเพ่ือบูชาพระอรหันต์ ๔. ความถูกตอ้ งของการศกึ ษา ๕. ความหมายและคุณค่าของ ค�ำว่า “ล้ออายุ” ๖. การท�ำงานน้ันคือการปฏิบัติธรรม ๗. เศรษฐศาสตร์ของชาวพุทธ ๘. พระธรรมในทุกแง่ทุกมุม ๙. มอื ขวาทำ� บญุ อยา่ ใหม้ อื ซา้ ยรู้ ๑๐. ปวารณา คอื เครอ่ื งหมาย แห่งคนดี ๑๑. ประโยชน์ของความกตญั ญู ๑๒. ภมู ิตา่ งๆ และ แนวครองชีวิต ๑๒ เลม่ ส�ำหรบั ปี ๒๕๕๖ ประกอบด้วย ๑. ธรรมะเผด็จการ ๒. ความเป็นไปของจิต ๓. ความเขา้ ใจถูก เก่ียวกับศาสนา ๔. พุทธบริษัทไม่ต้องใช้ยาระงับประสาท ๕. ธรรมท่ีลูกของพระพุทธเจ้าควรปฏิบัติ ๖. การบวช คือการบังคับตัวเอง ๗. โทษท่ีเกิดเพราะไม่มีวินัย ๘. อย่าง น้ันเอง ๙. มะพร้าวนาฬิเกร์ ๑๐. ชีวิตโวหาร ๑๑. สติ ๑๒. สันทฏิ ฐิโก ๑๒ เล่ม ส�ำหรับปี ๒๕๕๗ ประกอบด้วย ๑. ธรรมะท�ำไมกัน ๒. แผ่นดินรองรับร่างกาย ธรรมะ รองรับจิตใจ ๓. ส่ิงที่เรียกว่ากิเลส ๔. ธรรมคอื สง่ิ จ�ำเปน็ แก่ มนษุ ยส์ ำ� หรบั ปอ้ งกนั และแกไ้ ข ๕. สิ่งซึ่งเป็นอุปกรณ์แก่การ เลิกอายุ ๖. ทุกสิ่งอยู่เหนือปัญหา ๗. รู้จักธรรมะให้ถึงท่ีสุด ๘. หลักธรรมท่ีทุกคนควรทราบ ๙. ธรรมที่เป็นเคร่ืองมือใน การเดินทาง ๑๐. ผลพลอยได้ท่ีเน่ืองถึงกันและกันในโลก ๑๑. ประโยชนข์ องธรรมะ ๑๒. ธรรมะคอื หนา้ ที่

ธรรมะคอื หนา้ ที่ โดย พทุ ธทาสภกิ ขุ ล�ำดบั ที่ ๑๒ ประจำ� ปี ๒๕๕๗ www.life-brary.com

อบรมพระนวกะวดั ชลประทานรงั สฤษด์ิ บรรยายเมอ่ื วันท่ี ๕ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๒๘ ผู้ถอดคำ� บรรยาย คุณสพุ รี ์ ดเี ด่นกิจการ ผู้ตรวจทาน คณุ วาสนา สมเนตร์

ธรรมะคอื หนา้ ที่ เทา่ ทจ่ี ะนกึ ได้ คงคดิ วา่ จะพดู เรอื่ งสรปุ ความ ที่จะจำ�ได้ง่ายๆ หรือปฏิบัติได้ง่ายๆ สัก เรื่องหน่ึง และก็เช่ือว่าเป็นเรื่องที่จะไม่เคยฟัง ก็ได้ น่าจะเป็นเร่ืองที่สำ�คัญท่ีสุดสำ�หรับจะ ปฏิบัติ จะปฏิบัติจนตลอดชีวิตก็ได้ และก็เป็น เรอ่ื งไมย่ าก ไม่ยากสำ�หรับทุกคน หากแตว่ า่ ไม่ ได้ปฏบิ ตั เิ พราะไมร่ ู้ นจี่ ะพูดเรอ่ื งอยา่ งน้ี ๑

หัวข้อเร่ืองก็มีอยู่ว่าธรรมะคือหน้าที่ คำ�ที่จะต้องจำ�กันเป็นพิเศษหน่อย และก็จำ�ไม่ ยากอะไรเลย ธรรมะคือหน้าท่ี เดย๋ี วน้เี รามกั จะ เข้าใจกันแต่เพียงว่าธรรมะคือคำ�ส่ังสอนของ พระพุทธเจ้า ส่วนมากก็ไม่ได้ติดตามหรอก พระพทุ ธเจา้ ทา่ นสอนวา่ อะไร ทจี่ รงิ พระพทุ ธเจา้ ท่านก็สอนส่ิงซ่ึงเป็นหน้าที่ ขอให้สนใจเพ่ือ ทำ�ความเขา้ ใจเก่ียวกบั สงิ่ นี้ ธรรมะคือหน้าที่ เป็นเร่ืองของ ธรรมชาติ เปน็ กฎของธรรมชาติ แมว้ า่ จะเคย พดู ว่าธรรมะมี ๔ ความหมาย มนั ก็รวมอยู่ใน ๔ ความหมายน่ันแหละ ธรรมะ ๔ ความหมาย ได้แก่ ธรรมะคอื ตัวธรรมชาติ ธรรมะคอื ตวั กฎ ของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าท่ีตามกฎของ ธรรมชาติ และก็ธรรมะคือผลท่ีจะได้รับจาก ๒

การปฏิบัติหน้าที่ ความหมายท่ีสามน่ันคือ หนา้ ทโ่ี ดยตรงอยแู่ ลว้ ความหมายนสี้ ำ�คญั ทตี่ อ้ ง เอามาใชท้ ว่ั ๆ ไป ฉะนน้ั ก็เลยพูดเร่ืองน้ใี นความ หมายอนั น้ี ธรรมชาติคือสิ่งท้ังปวงท่ีเป็นอยู่เอง ตามธรรมชาติ เป็นเรือ่ งรปู ธรรม คือ ร่างกาย หรอื วตั ถนุ ก้ี ม็ ี ไมไ่ ดเ้ ปน็ นามธรรมคอื จติ ใจ นนั่ ก็มี ก็เรียกว่าธรรมชาติเหมอื นกนั ทง้ั ร่างกาย และจิตใจก็เรียกว่าธรรมชาติ ทีนี้ในธรรมชาติ เหล่าน้ีมีกฎของธรรมชาติสิงอยู่ ควบคุมอยู่ บังคบั อยู่ ให้ธรรมชาตเิ หล่าน้เี ป็นไปตามกฎ จงึ มกี ฎธรรมชาตทิ ต่ี ายตวั เรามหี นา้ ทที่ ต่ี อ้ งปฏบิ ตั ิ ให้ถกู ตอ้ งตามกฎของธรรมชาติ มฉิ ะนน้ั จะเกดิ ปญั หาขนึ้ คอื มคี วามทกุ ขน์ นั่ เอง นค่ี อื ตวั ธรรมะ เราพดู เปน็ ระบบวชิ า มี ๔ ความหมาย เปน็ ความ หมายท่สี าม ๓

ทนี พ้ี ดู อยา่ งธรรมชาตทิ วั่ ไปกนั บา้ ง ขอ ให้สังเกตดูให้ดีๆ ว่าบรรดาส่ิงท่ีมีชีวิตทุกชนิด มนั ลว้ นแตม่ หี นา้ ทแ่ี ละตอ้ งปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ ถา้ ไม่ ปฏบิ ัติหนา้ ทม่ี นั กต็ าย ทีเ่ ปน็ คน เป็นมนษุ ย์ก็ มหี นา้ ท่ี ทต่ี อ้ งปฏบิ ตั ใิ หถ้ กู ตอ้ งตามกฎสำ�หรบั จะอยู่ได้และไม่ตาย สำ�หรับสัตว์เดรัจฉานท้ัง หลายกม็ หี นา้ ที่ ทตี่ อ้ งปฏบิ ตั ใิ หถ้ กู ตอ้ งตามกฎ เทา่ ทสี่ ตั วเ์ ดรจั ฉานเหลา่ นนั้ ไมต่ อ้ งตาย ตน้ ไม้ ตน้ ไลม่ นั กม็ หี นา้ ทท่ี ต่ี อ้ งปฏบิ ตั ติ ามหนา้ ท่ี แลว้ มันก็ไม่ตาย หน้าท่ีน้ีเป็นหน้าที่พื้นฐาน คือ เพยี งเพอ่ื ความไมต่ าย หากแตว่ า่ ไมต่ ายแลว้ มนั ยังจะต้องทำ�อะไรดีขึ้นไปกว่านั้น จนได้รับส่ิงที่ ดีที่สดุ ท่มี ันควรจะได้ เดย๋ี วนเ้ี ราพจิ ารณาดถู งึ สงิ่ ทเ่ี ปน็ หนา้ ท่ี พนื้ ฐาน มนษุ ยก์ ม็ หี นา้ ทท่ี ว่ี า่ จะตอ้ งมอี าหารกนิ ๔

ก็ต้องไปทำ�งานทุกชนิดท่ีทำ�ให้มีอาหารกิน อาชีพ และก็จะต้องมีหน้าที่รักษาสุขภาพ อนามัยใหถ้ ูกต้อง ถ้าไมถ่ ูกต้องมนั กเ็ จบ็ ไข้ ตาย เหมือนกนั ก็มหี นา้ ทที่ ่ีสองจะต้องรกั ษาสขุ ภาพ อนามัย หน้าท่ที หี่ นึ่งมอี าหารกนิ หน้าท่ีท่ีสองมี สุขภาพอนามัย ที่นี้หน้าท่ีท่ีสาม จะต้องสังคม กนั ใหถ้ กู ตอ้ ง ไมอ่ ยา่ งนน้ั มนั กจ็ ะตายอกี เหมอื น กัน ถ้ามันสำ�คัญกันผิดพลาด มันก็มีแต่จะเกิด เรอ่ื ง ประหตั ประหารกนั แลว้ มนั กต็ ายเหมอื นกนั จึงถือว่าหนา้ ทช่ี ้นั แรก ระดบั แรกคือ มี อาหารกนิ มสี ขุ ภาพอนามยั ดี มกี ารสงั คมถกู ตอ้ ง ไปมองดใู หเ้ หน็ ชดั ไมต่ อ้ งเชอ่ื ใคร ไมต่ อ้ งเชอ่ื ผม หรอื ไม่ตอ้ งเชือ่ ใคร มันตอ้ งมอี ย่างนั้นจริงๆ คำ� วา่ มอี าหารกนิ มันกต็ อ้ งทำ�หลายอย่าง หลายๆ อย่าง องค์ประกอบหลายอย่างจึงจะสำ�เร็จ ๕

ประโยชน์ วา่ มอี าหารกนิ แลว้ กม็ สี ขุ ภาพอนามยั ดี ก็ต้องมีองค์ประกอบหลายอย่างกว่าจะมี สุขภาพอนามัยดี แล้วก็สังคมกันให้ดี ไม่ฆ่า กันเองตายในหมู่มนุษย์ น่ีก็เรียกก็ได้ว่าหน้าท่ี หรือเพราะมนั เหลือสน้ั ๆ เปน็ หัวข้ออยา่ งน้ี เรา จะต้องทำ�หน้าที่อย่างนี้ ดังที่เรากำ�ลังจะทำ�อยู่ แต่เราก็ทำ�โดยไมม่ คี วามร้สู ึกว่าเป็นธรรมะ มัน เรียกในภาษาไทยวา่ หน้าท่ี ค�ำว่า ธรรมะ มาจากอินเดียพอมาถึง เมอื งไทยมนั แปลวา่ คำ� สง่ั สอนของพระพทุ ธเจา้ เสีย ขอ้ นี้มันไม่ถกู ร้อยเปอรเ์ ซน็ ต์ คอื มันไมต่ รง ตามเรอื่ งจริง ธรรมะมนั มีก่อนพระพุทธเจา้ เกดิ มาดว้ ยซำ้� ไป กอ่ นพระพทุ ธเจา้ นี้ เกดิ กอ่ นมพี ทุ ธ- ศาสนาอย่างนี้ ก็มีคนที่น่ันมันก็มีค�ำว่าธรรมะ ธรรมะ ใช้พูดกันอยู่แล้ว โดยหมายถึงหน้าท่ี หน้าท่ี ๖

ดังนั้นเราจึงถือได้ว่า คำ�ว่าหน้าที่มัน เปน็ คำ�พเิ ศษ ท่ีมนษุ ยค์ นแรก มนุษย์คนแรกได้ สงั เกตเห็น มนษุ ย์เมอื่ พน้ จากความปา่ เถื่อนมา พอสมควรแลว้ มนษุ ยค์ นแรกไดส้ งั เกตเหน็ วา่ มี สง่ิ ซง่ึ ต้องทำ� มสี ่ิงซ่ึงตอ้ งทำ� แลว้ เขาก็หลุดปาก ออกมาเปน็ ชอื่ ของสงิ่ นนั้ วา่ ธรรมะ ธรรมะ แปล ว่าหน้าท่ี ใครจะเห็นหน้าท่ีเท่าไหร่ เขาก็เรียก ธรรมะหมด น่ีคำ�วา่ ธรรมะคือหนา้ ที่ เกดิ ขนึ้ มาใน โลกเพราะมีบุคคลสังเกตเห็นสิ่งที่เรียกว่า หนา้ ที่ และกเ็ รยี กวา่ ธรรมะ เขาสอนเรอื่ งหนา้ ที่ สอนเรอ่ื งหน้าท่ี ทกุ อยา่ ง ทกุ ชนิด เทา่ ทจ่ี ะสอน ได้ เท่าที่จะนำ�มาสอนได้ คนท้ังหลายก็รู้เร่ือง หนา้ ท่ีดี ถกู ต้อง ครบถว้ น มนั ก็ปฏิบตั ิหนา้ ทกี่ ัน อยา่ งถกู ตอ้ งครบถว้ นดกี วา่ ทแี่ ลว้ มา มนั จงึ เรยี ก วา่ ปฏิบตั ธิ รรมะ ปฏิบตั ิธรรมะ ๗

แตพ่ อมาสมยั นใ้ี นภาษาไทยเรามนั มคี ำ� เรยี กวา่ หนา้ ที่ ไมไ่ ดเ้ รยี กวา่ ธรรมะ นนั่ แหละคอื สง่ิ เดยี วกนั เมอ่ื มนษุ ยค์ นแรกสอนเรอื่ งหนา้ ทใ่ี น ขัน้ ต้นๆ ต�่ำๆ ไปก่อน ต่อมากม็ ผี ูท้ รี่ ู้มากกวา่ นน้ั สอนหนา้ ทที่ ส่ี งู ขนึ้ ไป มนั กม็ ผี รู้ เู้ ปน็ ฤาษี มนุ ี เปน็ อะไรก็ได้ เป็นพราหมณ์ เป็นอาจารยอ์ ะไรก็ได้ สอนหน้าที่ย่ิงขึ้นไป ยง่ิ ขนึ้ ไป จนหนา้ ที่ทมี่ ันจะ เป็นอยู่ได้ในโลกน้ีมันครบถ้วน คือมันรอดชีวิต อยูไ่ ด้ ทีนตี้ ่อมามคี รูอาจารยบ์ างคน มุนี ฤาษี อะไรก็ตามใจเถอะ สังเกตเห็นว่ายังมีปัญหา เหลืออยู่ แม้วา่ เราจะอยสู่ บาย มีกนิ มใี ช้ สังคม คบหากันดี แตม่ นั กย็ งั มีปญั หาอกี ประเภทหน่ึง เหลืออยู่ในใจคือความทุกข์เดือดร้อน เพราะ ความผิดที่เกิดขึ้นในใจท่ีเรียกว่า กิเลส โลภะ โทสะ โมหะ มันเกิดมีปัญหาระดับท่ีสองข้ีนมา ๘

อย่างนี้ วา่ มนั จะตอ้ งเอาชนะสง่ิ เหล่าน้ี หรอื แก้ ปัญหาในระดับนี้ด้วย จึงเกิดคำ�สอนทางฝ่าย จติ ใจ หรอื ทจ่ี ะเรยี กวา่ ทางฝา่ ยศาสนาขน้ึ มา จงึ มีระบบคำ�สอนเรื่องการปฏิบัติว่าจะดับโลภะ โทสะ โมหะอย่างไร นี่ก็เป็นหน้าที่ระดับสอง ระดบั จิตใจ ถ้าเอาชนะความทกุ ขใ์ นใจได้ เร่อื งมัน ก็จบ ถ้าคนไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์อะไรใน จิตใจอกี แลว้ เรื่องมนั กจ็ บสำ�หรับคนนัน้ อยา่ งท่ี เราเดย๋ี วนเ้ี รยี กกนั วา่ เปน็ พระอรหนั ต์ ชนะกเิ ลส ในใจหมดสิ้น ไม่มีปัญหาเหลอื ก็จบเรือ่ ง จบกิจ จบส่ิงที่จะต้องประพฤติปฏิบัติ ที่เรียกว่าจบ พรหมจรรย์ สองหน้าท่ีอย่างนี้ ฉะน้ันเรารู้ว่า แมแ้ ตต่ วั เราเองกเ็ หมอื นกนั มนั มหี นา้ ทอี่ ยสู่ อง ระดบั เรยี กส้ันๆ วา่ ๑.หน้าท่เี พือ่ ให้รอดชีวิต ๙

๒. หน้าที่เพื่อดับทุกข์ทางจิตใจไปหมดสิ้น หน้าท่ีทางวิญญาณ อยา่ งที่หนงึ่ หนา้ ทีท่ างร่างกาย หนา้ ที่ ทสี่ อง หนา้ ทท่ี างวญิ ญาณ คอื เรอื่ งสตปิ ญั ญา ทกุ คนศึกษาไว้ให้พอ เตรียมตัวให้พอว่าจะต้อง ปฏิบตั ิให้ลุล่วงไปทง้ั สองหน้าที่ มิฉะนน้ั จะตอ้ ง เป็นทุกข์ ทำ�ได้แต่หน้าที่แรก มันก็มีเพียงแต่มี ชีวิตรอดเท่าน้ันหรือว่าอยู่สบายตามแบบส่วน ร่างกาย ส่วนจติ ใจยังมคี วามทุกข์ ฉะน้นั จึงต้อง ทำ�ดว้ ย นธ่ี รรมะคอื หนา้ ทห่ี มายความวา่ อยา่ งนี้ ทนี ม้ี นั กม็ ปี ญั หานดิ เดยี วทว่ี า่ เมอ่ื กอ่ น เราไม่ทราบว่าหน้าที่ที่จะต้องทำ�นั้นคือธรรมะ ดังนั้นเราจึงไม่รู้สึกเลยว่า เราปฏิบัติธรรมะอยู่ ตลอดเวลาโดยไม่รู้สึกตัว เพราะเราไปเรียก ๑๐

หน้าที่ตามความหมายในภาษาไทย ทุกคนทำ� หน้าท่ีในระดับหนึ่ง ระดับชีวิตรอดอยู่ตลอด เวลา แตเ่ ขากไ็ มไ่ ดร้ สู้ กึ วา่ เขาปฏบิ ตั ธิ รรมะ และ ก็ทำ�ดว้ ยความจำ�ใจ จำ�เป็น ไมไ่ ดส้ มัครทำ� จะ ตอ้ งหาอาหารกนิ กต็ อ้ งทำ�ดว้ ยความจำ�ใจ รกั ษา สุขภาพอนามัยก็ทำ�ด้วยความจำ�ใจ จะสังคม สมาคมกันก็ทำ�ด้วยความจำ�ใจ อย่างน้ี มันไม่รู้ ว่าเป็นธรรมะ มันก็ไม่มีความรู้สึกว่ามีธรรมะ และมนั กไ็ ม่มีความพอใจ ทีนี้ขอตรงนี้ ขอนิดเดียวต่อไปนี้ทำ� อะไรอยู่ตามธรรมดาท่ีเคยทำ� หน้าที่ที่เคยทำ� นน่ั แหละ ขอใหร้ สู้ กึ วา่ เปน็ ธรรมะทงั้ หมด เปน็ อันว่าเราปฏิบัติธรรมะอยู่ตลอดเวลา เมื่อไม่รู้ สึกตัวมันก็เหมือนกับไม่ได้ปฏิบัติธรรมะ แต่ถ้า รสู้ กึ ตวั เขา้ ใจดกี จ็ ะรวู้ า่ เปน็ การปฏบิ ตั ธิ รรมะอยู่ ๑๑

ตลอดเวลา ธรรมะแปลวา่ หนา้ ท่ี หนา้ ทเ่ี พอื่ ชวี ติ รอด คือกนิ อาหาร คือรักษาอนามัย คอื คบหา สมาคมกนั ดี เราทำ�อยทู่ กุ วนั เหน็ ไดว้ า่ เราทำ�อยู่ ทุกวัน แต่ว่าเรามันไม่รู้ว่าน่ีคือธรรมะ ท่ีน้ีก็ทำ� ไปอยา่ งท่จี ำ�เปน็ จะต้องทำ� จำ�ใจจะตอ้ งทำ� มนั ก็เลยไม่ชื่นอกช่ืนใจ ไม่ได้พอใจตัวเองว่าได้ ปฏิบตั ธิ รรมะ เดยี๋ วนก้ี ข็ อใหไ้ ปรกู้ นั เสยี ใหมว่ า่ หนา้ ท่ี ทกุ ชนดิ ทกุ ระดบั เปน็ ธรรมะ ขอใหท้ ำ�ดว้ ยสติ และสมั ปชญั ญะ สตเิ อาความรวู้ า่ อะไรเปน็ อะไร มา ควบคมุ อย่เู มือ่ ทำ�อะไรก็ตาม สตนิ น้ั ก็กลาย เป็นสัมปชัญญะ เร่ืองนี้มันสามเส้า เราต้องมี ความรู้ท่ีถูกต้องว่าสิ่งท้ังปวงอะไรเป็นอย่างไร อยา่ งนเ้ี รยี กวา่ ปญั ญา ปญั ญา พอเกดิ เรอ่ื งอะไร ข้ึนท่ีจะต้องทำ� ต้องมีสติ คือความระลึกได้ ๑๒

ระลึกถึงความรู้หรือปัญญา และสติก็ขนเอา ปญั ญามาสำ�หรบั ควบคมุ การทำ�หนา้ ที่ ยนื คมุ อยูอ่ ย่างนีเ้ รยี กวา่ สัมปชัญญะ แรกขนเอามาคือแรกระลึกได้เรียกว่า สติ พอมาคุมให้มีอยู่เฉพาะหน้าในการทำ�น่ันก็ เรียกว่าสัมปชัญญะ ท้ังหมดก็เป็นเรื่องของ ปญั ญา นี่เราจะตอ้ งทำ�อะไรด้วยกฎเกณฑ์อย่าง น้ี ถ้าเป็นเรือ่ งเลก็ น้อยเกนิ ไป บางทกี ไ็ มไ่ ด้ ไม่ ได้สนใจเสียเลยก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ ไมส่ นใจ ไมป่ ฏบิ ตั ใิ หถ้ กู ตอ้ ง แลว้ มนั เกดิ เรอื่ ง คอื มนั จะต้องเปน็ ทุกข์ มันจะต้องเปน็ ทุกข์ ขอใหต้ ง้ั ตน้ กนั ใหมว่ า่ แตน่ ตี้ อ่ ไปขอให้ ทำ�อะไรทกุ อยา่ งดว้ ยสตสิ มั ปชญั ญะ ยกตวั อยา่ ง ว่า ตั้งต้นวันด้วยการตื่นนอนข้ึนมา ก็มี ๑๓

สติสมั ปชญั ญะ ตื่นนอนขน้ึ มารู้สกึ ตวั วา่ มชี วี ิต มหี นา้ ทท่ี จี่ ะตอ้ งทำ� กป็ ลอดภยั จนไดต้ นื่ นอนน่ี กด็ ีแลว้ ทนี ้จี ะทำ�อะไร ถ้าไปล้างหน้า มนั กต็ อ้ ง มสี ตสิ มั ปชญั ญะตลอดเวลาทก่ี า้ วไปสทู่ ล่ี า้ งหนา้ และก็ทำ�การล้างหน้าทุกอิริยาบถท่ีเคล่ือนไหว จะหยบิ ขนั ล้างหนา้ หรอื จะทำ�อะไรกต็ ามใจ มกี ่ี อริ ยิ าบถกม็ สี ติ สมั ปชญั ญะรสู้ กึ ตวั หมด จนกวา่ จะลา้ งหนา้ เสรจ็ รสู้ กึ ไดว้ า่ ไดป้ ฏบิ ตั ธิ รรมะเสรจ็ ไปข้ันตอนหนึ่งนี้ก็พอใจ พอใจ แล้วก็เป็นสุข และก็พอใจ ดงั นั้นเป็นการกลา่ วไดว้ ่า เราหาความ สุขได้แม้เม่ือเราล้างหน้า ถ้าเรารู้สึกว่าการล้าง หน้าน้ันมันเป็นหน้าท่ีและหน้าท่ีนั้นคือธรรมะ ฉะน้ันก็ปฏิบัติธรรมะคือการล้างหน้า แล้วก็ พอใจว่าได้ปฏิบัติธรรมะอย่างถูกต้อง แล้วก็ ๑๔

พอใจ ถ้าพอใจแล้วไม่ต้องสงสัยมันเป็นสุขเอง แต่ทีนี้ไม่รู้จัก มันก็ไม่ได้เป็นสุข มันก็เลยไม่ได้ เป็นสุข มันก็ไม่ได้รู้สึกเป็นสุข เพราะการทำ� หน้าทีแ่ ม้แต่การลา้ งหน้า ทนี จี้ ะไปทำ�อะไร รเู้ อาเอง แตว่ า่ อยา่ ง ว่า เขาจะไปถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ มี สติสัมปชัญญะเดินไป จะไปทำ�หน้าที่ ถ่าย อจุ จาระ ปสั สาวะ ซง่ึ มนั เปน็ ธรรมะ ถา่ ยอจุ จาระ ถ่ายปัสสาวะให้ดีที่สุดตลอดเวลาให้มันเป็น ธรรมะ เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ว่าถูกต้องแล้ว ปฏบิ ตั ธิ รรมะหนา้ ทอ่ี นั นถี้ กู ตอ้ งแลว้ แลว้ กพ็ อใจ แล้วก็เป็นสุข สามารถจะมีความสุขได้ตลอด เวลาท่ีถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ ซ่ึงตาม ธรรมดาเขาก็ไม่ไดท้ ำ�กัน เขาก็ไม่ได้รูส้ ึกเปน็ สุข หรือรู้สึกไม่พอ แต่เราอาจจะมีความสุข ความ ๑๕

พอใจในการกระทำ�ของตวั เองวา่ ไดป้ ฏบิ ตั หิ นา้ ที่ คือธรรมะ จนเสรจ็ เร่ืองถ่ายอจุ จาระ ปัสสาวะ จะไปไหน ไปไหว้พระสวดมนต์ก็แล้ว แต่ ตลอดเวลาที่ไปมสี ตสิ มั ปชญั ญะ ถกู ตอ้ ง ถูก ต้อง ทำ�หน้าทเี่ สรจ็ แลว้ พอใจ พอใจ จะมาฉนั อาหาร ไปสู่ท่ีฉันอาหารก็ด้วยสติสัมปชัญญะ ตลอดเวลาท่ีฉันอาหาร มีสติ สัมปชัญญะ นับ ต้งั แตไ่ ดห้ ยบิ ภาชนะมา หยบิ ชอ้ น หยิบจานมา ตักข้าว เอามาใส่ปากเคี้ยวฉันไปตลอดเวลา มี สติ สัมปชัญญะไว้ ปฏิบัติธรรมะเป็นหน้าท่ีอัน หนึ่ง ธรรมะข้อหน่ึง เรียบร้อยแล้วก็รู้สึกว่าถูก ต้อง และพอใจ มันก็เป็นสุข เพราะการฉัน อาหาร เป็นเรื่องตลอดเร่ืองทั้งเร่ืองของการฉัน อาหาร มีความสขุ มีความพอใจ ๑๖

ขอย้�ำว่าความสุข ความพอใจ ชนิดน้ี คนโงๆ่ มันไมไ่ ด้รับเพราะมนั ไม่ได้รู้สึกวา่ ปฏบิ ัติ ธรรมะ ผู้ท่ีมีความรู้ ความฉลาดเท่านั้น รู้ว่า เอ้า นี่เป็นการปฏิบัติธรรมะแล้วก็พอใจ พอใจ แลว้ กเ็ ปน็ สขุ ทจี่ ะไปทำ� อะไร เปน็ ฆราวาส แมท้ ี่ วา่ จะตอ้ งลา้ งจานขา้ ว จะตอ้ งเชด็ ถบู า้ นเรอื นจะ ท�ำอะไรก็ตาม ทุกอิรยิ าบถ ทกุ เวลา ทกุ ระยะที่ หายใจออกเขา้ มสี ตสิ ัมปชญั ญะท�ำ จะถพู ื้น จะ ล้างจาน จะท�ำอะไรกต็ าม หรือวา่ ถา้ ไปท�ำงาน ตามหนา้ ท่ี นี่สมมติเร่ืองของฆราวาส มันจะต้อง แตง่ เนือ้ แตง่ ตัว แตง่ เนือ้ แต่งตวั จนเสรจ็ ปฏบิ ัติ หน้าท่ีนี้เสร็จก็พอใจแล้วเป็นสุขตลอดเวลาที่ แต่งเน้ือแต่งตัว ลงบันไดไปด้วยความรู้สึก มี สติ สัมปชัญญะ พอใจไปเป็นสุข ลงบันไดไป ๑๗

ขึ้นรถไปที่ท�ำงาน เข้าไปในห้องท�ำงาน เหล่าน้ี เป็นหน้าที่ส�ำคัญ ต้องท�ำงานเกี่ยวกับอาชีพ ที่ ออฟฟศิ มีสติ สมั ปชญั ญะทำ� ให้ดีทีส่ ดุ แบบโบราณแท้ๆ เขาจะทำ�อะไรกับ อะไร เขายกมอื ไหว้ พนมมอื ไหวใ้ หเ้ กยี รตยิ ศ ให้ แก่งานน้ันเสียทีก่อน อย่างชาวนาจะไปไถนา เอาววั เอาควาย ไปไถนา ถา้ มันมีความรสู้ กึ ใน ข้อน้ีว่าการไถนาน่ีเป็นการปฏิบัติธรรมะ ควร พนมมอื ให้ควาย ให้ไถ ให้นาเสียกอ่ น ทีนี้เราก็ไปทำ�งานที่ออฟฟิศ เข้าไปใน ห้องทีท่ ำ�งานกด็ ี เครอ่ื งใชท้ ุกๆ อย่าง เกยี่ วกบั ทำ�งานก็ดี เป็นอุปกรณ์แห่งการปฏิบัติธรรมะ พนมมือให้แก่ห้องทำ�งานเสียก่อน แก่เคร่ือง อปุ กรณอ์ นั นนั้ เสยี กอ่ นแลว้ จงึ นง่ั ลงทำ�งาน พวก ๑๘

คนโง่ๆ ทัง้ หลาย มนั ก็ไอน้ ี่บ้าแลว้ น่ีบา้ แล้ว มนั จะบา้ จรงิ หรอื ไมจ่ รงิ กแ็ ลว้ แต่ คอื วา่ เราไมไ่ ดบ้ า้ เรามีความรู้ เรามีเหตผุ ลของเรา คนท่ไี มร่ ูม้ นั ก็ บา้ แลว้ บา้ แลว้ กท็ ำ�ตามทมี่ นั จะไมเ่ กดิ เรอ่ื ง แต่ ว่าตลอดเวลา ทำ�หนา้ ท่ีอยู่ทุกกระเบยี ดนิ้ว ทุก วินาที ไดค้ วามรู้สกึ วา่ เป็นธรรมะ รู้สกึ วา่ ปฏบิ ตั ิ ธรรมะ ไม่ใช่ทำ�หน้าท่ีชนิดท่ีว่าจำ�ใจทำ� ฝืนทำ� มัน ไมไ่ ม่เกิดความพอใจ ถ้ารู้สึกว่าน่ีต้องฝืนทำ� ทำ�เป็นบังคับ ตอ้ งฝนื ทำ� ทำ�งานอยา่ งนน้ั แหละมนั กไ็ มม่ คี วาม พอใจและเป็นสุข แต่ถ้ารู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ถูก ต้อง คือเป็นหน้าท่ีและเป็นธรรมะแล้วก็พอใจ และเปน็ สขุ ตลอดเวลาทที่ ำ�งาน จะเปน็ ครตู ลอด เวลาที่จบั ชอล์คยืนอยู่หนา้ ช้นั หน้ากระดานดำ� มนั มคี วามสขุ จะเปน็ พอ่ คา้ ตลอดเวลาทท่ี ำ�การคา้ ๑๙

แมแ้ ตจ่ ะเปน็ กรรมกร กร็ สู้ กึ วา่ หนา้ ทแี่ ละธรรมะ ทำ�อย่างสมัครใจทำ� แล้วกเ็ ปน็ สุข เหน็ดเหน่อื ย เหง่ือออกมากเ็ ป็นเร่ืองเยน็ ไปหมด ถา้ มนั ฝนื ใจทำ� มนั ไมอ่ ยากทำ� แตค่ วาม จำ�เป็นบังคบั ให้ทำ� มนั กเ็ ปน็ นรก คอื ตกนรกไป พลาง ทำ�งานไปพลาง คนหน่งึ ทำ�งานไปพลาง มีสวรรค์ไปพลาง คนหน่งึ ทำ�งานไปพลาง ตก นรกไปพลาง จะเลอื กเอาอยา่ งไหน นขี่ อใหค้ ดิ ดใู หด้ ๆี แมว้ า่ จะทำ�งานหนกั แบบวา่ เปน็ กรรมกร แจวเรอื จา้ ง เหงอ่ื ทว่ มตวั ถบี สามลอ้ เหงอ่ื ทว่ มตวั กวาดถนน ลา้ งทอ่ ถนน เหง่ือทว่ มตวั แต่ถ้ามันมีธรรมะ ให้รู้สึกอยู่ในใจว่า หน้าที่ คือธรรมะน่ีคือปฏิบัติธรรมะ มันไม่ เหนื่อย มันไม่เหน่ือย คือมันพอใจเสีย และ ๒๐

เปน็ สขุ เสีย มันกเ็ ลยมงี านทำ�ไม่ขาดมอื ไมต่ ้อง เลือกงาน เม่ือมันมีความเหมาะสมกับสถานะ ของเราแล้วก็เอาเถอะ ถ้ามันทำ�อะไรได้ไม่มาก สถานะทางชวี ติ ร่างกายนีม้ ันไมท่ ำ�อะไรได้ กไ็ ป นง่ั ขอทาน ไปนัง่ ขอทาน ดว้ ยความพอใจวา่ มัน เหมาะสมแก่อัตภาพ แล้วก็ถือว่าเป็นการทำ� หน้าท่ี เป็นการปฏิบัติธรรมะในการขอทานน่ัน แหละ คดิ ดสู ิ มนั กเ็ ลยมคี วามสขุ เปน็ ขอทาน ทำ� หน้าท่ีอย่างดี อย่างถูกต้องอย่างน้ี มันก็พ้น สภาพขอทานได้ในวันหน่ึง หรือเป็นกรรมกรท่ี พอใจเป็นสุขอยู่อย่างนี้ มันก็พ้นจากฐานะของ กรรมกรไดใ้ นวนั หนงึ่ เพราะวา่ มนั ทำ�หนา้ ท่ี แลว้ เปน็ สขุ ในหนา้ ท่ี เงนิ ทจ่ี ะตอ้ งใชเ้ พอ่ื ซอ้ื หาความสขุ ไม่ต้องใช้ ทนี คี้ นมนั ไมเ่ ปน็ อยา่ งนนั้ มนั ไปมวั เมา ในความเพลิดเพลินท่ีหลอกลวง ไม่ใช่ความสุข ๒๑

คืออบายมขุ ทง้ั หลาย จะเปน็ ข้าราชการ พ่อคา้ ประชาชน กรรมกร ชาวไร่ ชาวนา ก็ยังบูชา อบายมุข ดื่มน้�ำเมา เท่ียวกลางคืน ดูการละ เลน่ เลน่ การพนนั คบคนชว่ั เปน็ มติ ร เกยี จครา้ น ทำ� การงาน เรอื่ งเพศ เรอื่ งกามารมณ์ อะไรกต็ าม มันก็ซ้ือหาจนเงินหมด เพราะมันไม่รู้สึกว่ามัน ได้รับความสุข ไม่ต้องไปติดความเพลิดเพลินท่ี หลอกลวง ไม่ใช่ความสุข ท�ำให้เงินหมด ไม่มี เหลอื ทีน้ีถ้าปฏิบัติธรรมะอยู่อย่างน้ี มัน พอใจและมนั เปน็ สุข มันกเ็ ลยไม่ตอ้ งใชเ้ งนิ เพ่อื ซ้ือหาความสุข เงินมันก็เหลืออยู่หมด ผลงาน ที่ได้มาเปน็ เงินมนั กเ็ หลอื อยหู่ มด ไม่ต้องเอาไป ซื้อหาความเพลดิ เพลินที่หลอกลวง แตก่ เ็ อาไป ใช้ในสง่ิ ท่มี นั เปน็ ประโยชน์ แล้วสว่ นมากมันจะ ๒๒

เหลือเพราะว่ามันไม่ต้องใช้หมด ความสุขมันมี เสียแล้วตลอดเวลา ทุกวินาที ทุกกระเบียดนิ้ว การท�ำอย่างน้ีนะเรียกได้ว่าปฏิบัติกรรมฐานอยู่ ตลอดเวลาทุกอิริยาบถ ถ้าถามว่ากรรมฐานข้อ ไหน กบ็ อกกรรมฐานข้อธัมมานสุ สติ เรามีธัมมานุสสติอยู่ตลอดเวลา ทุก อิริยาบถ ทุกกระเบียดนิ้ว เป็นธัมมานุสสติ ธรรมะเป็นสิ่งสูงสุด ระลึกถึงและปฏิบัติอยู่ ตลอดเวลา เป็นธัมมานุสสติน่ีช่วยได้ ธรรมะ ช่วยได้เพราะเหตุน้ี คำ�ว่าหน้าท่ีคือสิ่งที่ช่วยให้ รอด คำ�ว่าธรรมะมันเป็นคำ�เดียวกัน มันก็คือ สิ่งที่ช่วยใหร้ อด มธี รรมะเปน็ ทีพ่ ่ึงช่วยให้รอด เปน็ พระเจา้ ทแี่ ทจ้ รงิ ทจ่ี ะชว่ ยใหเ้ รารอดยง่ิ กวา่ พระเจ้าชนิดไหนหมด ถ้าจะมีพระเจ้าก็คอย เหลือบไปทางธรรมะ ปฏิบตั แิ ล้วช่วยรอด ช่วย ๒๓

ให้รอด พระเจ้าที่ไม่รู้ท่ีไหนได้แต่บนบาน บวงสรวง ขอร้องอ้อนวอนอย่างนั้นเป็น ไสยศาสตร์ ไมใ่ ช่ความจรงิ ขอพูดถึงคำ�ว่าไสยศาสตร์สักนิด ไสยศาสตร์น้ันมันเป็นหลักท่ีมีไว้ปฏิบัติ ท่ีมีไว้ สำ�หรับคนปัญญาอ่อน ไม่อาจจะเข้าใจอย่างที่ เรากำ�ลงั พดู วา่ หนา้ ทค่ี อื ธรรมะ ธรรมะคอื หนา้ ที่ ปฏิบัติหน้าท่ีแล้วก็รอดเขาไม่เข้าใจก็ไม่อาจ ทำ�ใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ พอใจในการทำ�งานได้ กต็ อ้ ง ไปบนบานอย่างไสยศาสตร์ พระเจ้า ผีสาง เทวดา ที่ไหนก็ไมร่ ู้ เป็นเร่ืองการกระทำ�ของคน ปญั ญาออ่ น กน็ า่ สงสารเพราะปญั ญามนั ออ่ น ก็ เกบ็ ไสยศาสตร์ไว้ใหค้ นปญั ญาอ่อน พทุ ธศาสตร์ แปลวา่ ศาสตรข์ องคนตนื่ ทนี ไ้ี สยศาสตร์ ศาสตรข์ องคนหลบั คำ�วา่ “ไสยะ” ๒๔

แปลวา่ หลบั “พทุ ธะ” แปลวา่ ตน่ื มพี ทุ ธศาสตร์ คือศาสตร์ของคนต่นื มคี วามร้ขู องคนต่นื มีสติ ปัญญา เหมอื นคนต่นื ไม่หลบั ดว้ ยอวชิ ชา ทนี ไ้ี สยศาสตร์ ศาสตรข์ องคนหลบั มนั ไม่มีปัญญาถึงขนาดที่จะต่ืน จะรู้จักเห็นแจ้งได้ แตเ่ ผอญิ วา่ มนั มี แปลไดอ้ ยา่ งหนง่ึ ไสยะ แปลวา่ ดกี วา่ หมายความวา่ ดกี วา่ ไม่มีอะไรเสยี เลย ไสยศาสตร์สำ�หรับคนปัญญาอ่อน มนั ดกี วา่ ไมม่ อี ะไรเสยี เลย ยกใหเ้ ปน็ มรดกของ คนปญั ญาออ่ น เราไมต่ อ้ ง เมอื่ เรามพี ทุ ธศาสตร์ แล้วก็ทำ�อย่างว่า สามารถจะทำ�ให้มีความสุข อยูไ่ ดท้ กุ อิริยาบถ ทกุ กระเบยี ดนวิ้ เมอ่ื วดั โดย เวลา โดยทุกวนิ าที วัดโดยพืน้ ท่กี ็ทกุ กระเบยี ด นวิ้ มแี ตค่ วามถกู ตอ้ ง มคี วามเป็นสขุ ไม่ว่าจะ ๒๕

เคลอื่ นไหวไปในทา่ ไหนอยา่ งไร วา่ ทกุ กระเบยี ด นว้ิ และทุกวนิ าที มีความสขุ ดว้ ยส่ิงที่เราทำ�อยู่ เปน็ ประจำ� แตว่ า่ เราไมไ่ ดท้ ำ�ดว้ ยความรสู้ กึ เปน็ ธมั มานสุ สติ ว่านีค่ อื การปฏิบัตธิ รรม เราก็เลย ไม่ได้รับประโยชน์อันนี้ ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นสุขทุก อิรยิ าบถ ทกุ กระเบียดนว้ิ ทีนี้ท่ีทำ�อยู่อย่างเดิม ขอให้มีสติ- สัมปชัญญะเข้ามา มันก็จะกลายเป็นเรื่องที่มี ความสุข พออกพอใจ ช่ืนใจตัวเองอยู่ทุก กระเบียดน้ิวโดยพ้ืนท่ี ทุกวินาทีโดยเวลา ทำ� อยา่ งนเี้ รยี กวา่ มธี มั มานสุ สติ ปฏบิ ตั กิ รรมฐานใน ขอ้ ธมั มานสุ สตอิ ยทู่ กุ เวลา ไมว่ า่ จะเปน็ คนอาชพี ไหน จะเปน็ เศรษฐี เปน็ ราชา มหากษัตรยิ ์ จะ เป็นพ่อค้า เป็นชาวนา ชาวสวน เป็นกรรมกร กต็ าม สามารถจะทำ�ใหห้ นา้ ทเ่ี ปน็ ธรรมะ กพ็ อใจ ๒๖

แลว้ เปน็ สขุ อยตู่ ลอดเวลา เมอื่ จติ มนั รสู้ กึ เปน็ สขุ แล้วมันก็ไม่ต้องการอะไรอีก แต่เขายังไม่รู้จัก ทำ�ใหเ้ ปน็ สขุ ไม่รสู้ กึ เป็นสุข แมว้ า่ จะทำ�หนา้ ท่ี นี้อย่ตู ลอดเวลา ถ้าเราทำ�หน้าท่ีอย่างน้ีอยู่ตลอดเวลา เราก็รู้ รู้จักทำ�ให้มันมีความหมายเป็นหน้าท่ี หนา้ ทค่ี อื ธรรมะ เมอื่ ปฏิบตั ธิ รรมะกพ็ อใจ เมอื่ พอใจก็เป็นสุขตลอดเวลา ความลับมันอยู่ท่ีว่า ถ้าเธอรู้วา่ หน้าทคี่ ือธรรมะ ธรรมะคือหนา้ ที่ ก็ จะสามารถทำ�ให้เราเป็นผู้มีธรรมะหรือปฏิบัติ ธรรมะอยู่ตลอดเวลาทุกวินาที ทุกพ้ืนท่ี ทุก กระเบียดนว้ิ ถ้ามนั ไมร่ ้กู ็ทำ�ปาวๆ ไปอย่างนน้ั ทำ�ไปโดยทวี่ า่ ทำ�ความเคยชนิ ตามความจำ�เป็น บงั คับ หรือตามทเ่ี ขาทำ�เรากท็ ำ� ไมส่ ามารถจะ ทำ�ใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ ทเ่ี ปน็ สขุ ไดท้ กุ อริ ยิ าบถ นม่ี นั เสียเปรียบกันอย่างนี้ ๒๗

ไม่ใช่ว่าจะต้องเพ่ิมงานอะไรได้ เท่าท่ี ท�ำอยู่ทุกวันต่ืนขึ้นมาก็ล้างหน้า ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ แลว้ ก็อาบน�้ำ แล้วก็กนิ อาหาร แตง่ ตัว ไปทำ� งาน ทำ� งานกลบั มาแลว้ กก็ ลบั มากอ็ าบนำ้� กนิ อาหาร อยา่ ง อยา่ งนนั้ ตลอดเวลา เรยี กวา่ มนั ถกู ยอ้ มอยดู่ ว้ ยความรสู้ กึ พอใจ พอใจ วา่ เปน็ สขุ อยู่ตลอดเวลา พอคำ่� ลงจะนอนนกึ ยอ้ นหลงั ทงั้ วนั นที้ ำ� อะไร มันกร็ ้สู ึกวา่ ทำ� ปฏิบัติธรรมะ ท�ำหน้าท่ีอยู่ ตลอดเวลาเปน็ ที่พอใจอยตู่ ลอดเวลา โดยความ ถูกต้องตลอดเวลา ก็ยกมือไหว้ตัวเอง จะไหว้ ด้วยกิริยาท่าทางจริงๆ ก็ได้ หรือไหว้ในใจก็ได้ เหมอื นกัน ยกมือไหว้ตวั เอง พอใจ อม่ิ อกอ่มิ ใจ ทสี่ ดุ น่ันคอื สวรรคแ์ ท้จริง สวรรค์แทจ้ รงิ ทเี่ รา ก�ำลังมอี ยู่ ๒๘

ให้ถือเป็นหลักได้ว่าเม่ือไหร่พอใจตัว เองจนยกมือไหว้ตัวเองได้ เรียกว่าเราน้ันมี สวรรคอ์ นั แทจ้ รงิ สวรรคต์ อ่ ตายแลว้ นนั่ ยงั ไมร่ ู้ อยู่ท่ีไหน แล้วมันไม่รู้จะไปจริงกันท่ีตรงไหน สวรรค์น้ีจริง รู้สึกพอใจ เป็นสุขใจแท้จริงอยู่ ตลอดเวลา จนยกมอื ไหวต้ วั เองได้ ทนี สี้ วรรคต์ อ่ ตายแลว้ ถ้ามนั มจี ริงกข็ ึ้นอยู่กับสวรรค์นี้ ถ้าเรา ไดส้ วรรคอ์ ยา่ งนี้ ไมต่ อ้ งกลวั ตายแลว้ กไ็ ดส้ วรรค์ ทกุ อย่างท่ีมนั มี ทนี ใี้ นทางทต่ี รงกนั ขา้ ม เราทำ�อะไรผดิ พลาด โง่เง่า อวดดีก็ตาม ให้นึกถึงตัวเองแล้ว เกลียดตัวเอง เกลียดขี้หน้าตัวเองอย่างน้ีนรก นรกท่ีแท้จริงท่ีตกอยู่ท่ีน่ีและเด๋ียวนี้ คือมันทำ� ผดิ ตกนรก ถา้ มตี กนรกแทจ้ รงิ อยา่ งนท้ี น่ี เ่ี ดย๋ี วนี้ แล้วไม่ต้องสงสัย ตายแล้วก็ไปตกนรกทุกชนิด ๒๙

ท่ีมันมีอยู่ นรกหรือสวรรค์ต่อตายแล้วไม่ต้อง คิดถึงก็ได้ ขอแต่ทำ�ใหเ้ ร่อื งนรก เรอื่ งสวรรคท์ ่ีนี่ ให้มันถูกตอ้ ง ไม่ตกนรกทนี่ ี่ มีแตส่ วรรคท์ ีน่ ี่ ไม่ ต้องกลัว ตายแล้วจะไมต่ กนรก จะไดส้ วรรค์ สวรรคอ์ ยา่ งน้ี เปน็ สวรรคท์ พ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั รแู้ ละสอน นรกอยา่ งนี้ สวรรคอ์ ยา่ งน้ี ทร่ี สู้ กึ อยใู่ นใจ เกยี่ วกับ ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ ทำ�ผิด กเ็ ปน็ นรก ตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ ทำ�ถกู ก็เป็น สวรรค์ ท่านเรียกว่า ผัสสายะตะนิกะสัคคะ –สวรรค์ทางอายตนะ ผัสสายะตะนิกะนิริยะ –เหน็ นรกทางอายตนะ สว่ นนรกทอี่ ยใู่ ตด้ นิ ใตบ้ าดาลนนู้ และ สวรรค์ท่ีอยู่บนฟ้าสูงสุด เขาสอนกันอยู่ก่อน พระพทุ ธเจา้ ไมใ่ ช่เรือ่ งของพทุ ธศาสนา เพราะ ๓๐

ว่าเขาสอนกันอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า แต่พอ พระพทุ ธเจา้ ตรสั รเู้ กดิ ขน้ึ ทา่ นตรสั สอนวา่ นรกน้ี ทางอายตนะ ผสั สายะตะนกิ ะ นรกน่ี ฉนั เหน็ แลว้ สวรรค์ทางอายตนะนี่ ฉันเห็นแลว้ ท่านสอนว่า ฉันเห็นแล้ว ฉันเห็นแล้ว มยาทฏิ ฐา แปลวา่ ฉันเหน็ แล้ว แลว้ ทา่ นก็ไม่ไป ตอ่ ลอ้ ตอ่ เถยี ง ไมไ่ ปยกเลกิ พวกโนน้ ทเี่ ขาเชอ่ื กนั อยู่ก่อน แต่ถ้าจะต้องสอนพวกโน้น ท่านก็จะ สอนได้เหมือนกันว่าท�ำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างน้ีสิ ไมต่ กนรก ปฏบิ ตั ิอย่างนี้สิได้ขน้ึ สวรรค์ แตถ่ า้ เปน็ นรก สวรรค์ ในการตรสั รขู้ อง ทา่ น ซงึ่ ไมซ่ ำ้� กบั นรกของพวกทเ่ี ขาสอนอยกู่ อ่ น มนั คอื อยา่ งน้ี ใหร้ ะมดั ระวงั ตา หู จมกู ลนิ้ กาย ใจ ดๆี อยา่ ใหเ้ กดิ ผดิ พลาดขน้ึ มา กม็ สี วรรคท์ าง ๓๑

อายตนะที่นี่ สวรรค์จริง รสู้ ึกอยจู่ ริง ปรากฏอยู่ จรงิ มอี ยจู่ รงิ ถา้ มนั ไมม่ ธี รรมะ มนั ประมาท มนั สะเพรา่ มนั ทำ� ผดิ พลาดทาง ตา หู จมกู ลนิ้ กาย ใจ มนั กเ็ กดิ ความทกุ ข์ ความรอ้ นใจ นก่ี เ็ ปน็ นรก ทางอายตนะ นี่จำ�ไว้เปน็ คู่เปรยี บ นรกใตด้ ิน สวรรค์ บนฟ้า เขาสอนอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่คัดค้าน ไม่ยกเลิก ไม่ไป เสียเวลา ไม่ไปต่อต้าน แต่ถ้าต้องพูดก็พูดได้ เหมอื นกนั วา่ ปฏบิ ตั ดิ กี ไ็ ปสวรรค์ ปฏบิ ตั ไิ มด่ กี ไ็ ป นรก เพราะบางอยา่ งอาจจะไมเ่ หมือนกบั ทเี่ ขา สอนกันอยู่ก่อนก็ได้ เพราะว่าท่ีเขาสอนกันอยู่ ก่อน บางทีให้บูชายัญหรือให้ทำ�อะไรอย่างนั้น จึงจะไปสวรรค์ อย่างนี้พระพุทธเจ้าไม่สอน สอนให้ปฏบิ ตั ิดี ไปสวรรค์ ไม่ปฏบิ ตั ิชวั่ เพือ่ ไม่ ๓๒

ไปนรก แต่ท่ีสอนชัดเจนท่ีสุดก็คือ ระวัง มีสติ ระวัง เมือ่ ตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ ทำ�หนา้ ที่ของ มัน ระวังอย่าให้ผิดพลาด ถูกต้อง พอใจก็เป็น สวรรค์ ถา้ ผิดพลาด เสยี หาย กเ็ ปน็ นรก เด๋ียวน้ีเรามีสติสัมปชัญญะอยู่ทุก อริ ยิ าบถ ทกุ อริ ยิ าบถทง้ั วนั ทง้ั คนื ทง้ั หลบั ทงั้ ตนื่ มีสติสัมปชัญญะอยู่มันก็ไม่มีความผิดพลาด เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นสวรรค์ให้ได้ ทุกวันเรา รสู้ กึ สรปุ บญั ชตี อนจะนอน โอ้ มนั มแี ตค่ วามถกู ต้อง เป็นสวรรค์ พอใจอย่างนี้ไปจนตลอดชีวิต ไมไ่ ด้เพิม่ อะไรข้นึ การงานทุกอย่างทำ�อยู่แล้ว งานเพื่อ เลีย้ งชีวติ ใส่ปาก ใส่ท้อง กท็ ำ�อยแู่ ลว้ งานเพื่อ สุขภาพอนามยั ก็ทำ�อยแู่ ลว้ งานเพอื่ สังคมทีถ่ กู ๓๓

ต้องก็ทำ�อยู่แล้ว ฉะนั้นมีอยู่แต่ว่า ทำ�งานไหน ทำ�งานชนิดไหน ในระยะไหน ในข้นั ตอนไหน มี สตสิ มั ปชัญญะทำ�ให้มันถกู ต้อง ถูกต้อง ปฏิบตั ิ ธรรมะไปเลย เปน็ การปฏิบัติธรรมะไปเลย การกิน การนอน การอาบ การถ่าย ของคนโง่ มันก็เป็นหน้าท่ีของคนโง่ทำ�ด้วย ความจำ�เป็น ไม่ได้เอาใจใส่ ว่าจะทำ�ให้ดีถูก ต้องอย่างไร เป็นเร่ืองของคนโง่ แต่ถา้ เร่ืองของ คนฉลาด รธู้ รรมะ มนั กท็ ำ�ใหเ้ ปน็ ธรรมะ การกนิ การนอน การอาบ การถา่ ยทกุ อยา่ ง แมแ้ ตท่ สี่ ดุ มันคันขึ้นมามันก็จะต้องเกา มันก็เป็นหน้าท่ีท่ี จะต้องเกา แต่ว่าเกาด้วยสติสัมปชัญญะ ทำ� หน้าที่ที่ถูกต้อง ท่ีควรทำ� อย่าเกาด้วยความ โมโหโทโส นห่ี นา้ ทท่ี น่ี อ้ ยทส่ี ดุ ทว่ี า่ คนั แลว้ กต็ อ้ ง เกา ก็ขอให้ทำ�ด้วยสติสัมปชัญญะ อย่าโมโห ๓๔

ฮึดฮัด เกาแล้วก็เป็นเหมือนกับผีสิงไปพักหน่ึง เพียงแต่เพราะว่ามันคันเลยต้องเกา เรียกว่า สติสัมปชัญญะ จำ�ใหด้ ๆี จะเรียกวา่ สติ อย่างเดียวก็ได้ แตม่ นั จะต้องค่กู ัน มีสตริ ะลึกได้ แลว้ เอามายนื คุมเชิงอยู่เรียกว่าสัมปชัญญะ ขอให้เข้าใจเรื่อง หนา้ ทคี่ อื ธรรมะ ธรรมะคอื หนา้ ที่ ดงั นนั้ เมอ่ื ตอ้ ง ทำ�หนา้ ทอี่ ะไร ขอใหน้ กึ ถงึ ธรรมะ ใหเ้ ปน็ ธรรมะ ไปเสียหมด อย่าให้เป็นสิ่งท่ีทำ�ด้วยความจำ�ใจ ไม่อยากทำ� เหนอื่ ยบ้าง อะไรบ้าง ยกตวั อยา่ ง เปน็ กรรมกรถบี สามลอ้ ถา้ มันไม่อยากทำ� มันฝืนใจทำ� มันก็เหนื่อยเกือบ ตาย เปน็ ทุกข์เกือบตาย แต่ถา้ มนั นกึ เสยี ว่าเป็น หน้าที่ เป็นธรรมะท่ีเหมาะสมกับชีวิตและ ๓๕

อตั ภาพของเราแล้ว เป็นธรรมะแล้ว ยนิ ดีพอใจ ในธรรมะแล้วก็เป็นสุข อย่างนี้มันก็ถีบสามล้อ เป็นสุขตลอดวัน จิตใจมันยืดหยุ่นได้ถึงอย่างนี้ มนั เปลีย่ นแปลงได้ถึงอย่างน้ี ฉะนั้นอย่าให้มีอะไรที่ต้องทำ�ด้วย ความอิดหนาระอาใจ ไม่อยากทำ� ทนทุกข์ ทรมานอยู่ในการทำ� น้ันมันผิด มันของคนโง่ มันของคนไม่รู้ว่าธรรมะคือหน้าท่ี แล้วมันก็ ต้องทนทรมานไปจนตาย ส่วนอีกคนหน่ึง ต้อนรับเอาด้วยเป็นธรรมะหมด ก็พอใจหมด ไม่ว่าจะต้องทำ�อะไร ทำ�ด้วยความพอใจเลย เป็นสุขหมด นี่เรียกว่าเขาเป็นสุขอยู่ตลอด เวลาทุกอิริยาบถ ที่ไหนทำ�หน้าท่ีที่นั้นเป็น ธรรมะ หนา้ ทใี่ นการหาเลยี้ งปากเลยี้ งทอ้ ง บำ�รงุ กายก็ดี หนา้ ทใี่ นการระมดั ระวังรกั ษาอนามยั ก็ ดี ซึ่งจะต้องทำ�อยา่ งถกู ตอ้ งและพอใจ ๓๖

ทีนี้การจะต้องคบหาสมาคมกันก็ เหมือนกัน ทำ�ใหถ้ กู ต้องและพอใจ หนา้ ทม่ี ันก็ สมบูรณ์ จะเป็นฆราวาสโดยเฉพาะ เป็นพระก็ เหมือนกัน ไม่แตกต่างอะไรกันนัก ถ้าไม่มีการ ทำ�หน้าทม่ี ันก็ไม่มธี รรมะ ในโบสถ์ทไ่ี ม่มกี ารทำ� หนา้ ที่ มแี ตส่ น่ั เซยี มซหี รอื ออ้ นวอน ในโบสถน์ น้ั ไม่มีธรรมะ ที่กลางทุ่งนา ที่ชาวนาไถนาอยู่ เย้วๆ กลบั มธี รรมะ ธรรมะกลบั ไปมีกลางทุ่งนา แลว้ กไ็ มม่ ใี นโบสถท์ ม่ี กี ารสัน่ เซยี มซี คือไม่ได้มี การปฏบิ ัติหนา้ ทีอ่ ะไร พดู ไดอ้ ย่างน้ี ฉะน้ันขอให้ทุกคนรู้จักสิ่งท่ีเรียกว่า ธรรมะคือหน้าที่ แล้วก็ทำ�ให้เป็นหน้าที่ เป็น ธรรมะโดยสติ สมั ปชญั ญะตลอดเวลา มนั กเ็ ลย เป็นสุขอยู่ตลอดเวลา จนไม่รู้จะเอาเงินไปซ้ือ ความสขุ อะไรท่ไี หน เพราะวา่ มันเปน็ สขุ แท้จริง เสยี ตลอดเวลาแลว้ ๓๗

เลยพูดได้อีกอย่างหน่ึงว่า ความสุข ทแี่ ทจ้ รงิ ไมต่ อ้ งใชเ้ งนิ เลย แตค่ วามสขุ ทแี่ ทจ้ รงิ มันท�ำได้อย่างนี้เกิดขึ้นในใจอย่างน้ี โดยไม่ต้อง ใชเ้ งนิ เลย ยง่ิ กวา่ นน้ั มนั แถมใหเ้ งนิ เหลอื ผลงาน ทท่ี ำ� เกดิ มาจากการทำ� งานทำ� หนา้ ทมี่ นั กเ็ หลอื อยู่ เพราะมันไม่ตอ้ งไปหาความเพลิดเพลนิ ท่ี หลอกลวง สว่ นความเพลดิ เพลินทหี่ ลอกลวง หรือความสุขท่ีหลอกลวงต้องใช้เงินมาก จน เงินไม่พอใช้ เพราะมันท�ำไปด้วยกิเลสตัณหา มนั ก็ไม่มจี ักอ่ิม จกั พอ มันกไ็ มม่ ีเหลือ มนั ไมม่ ี ความสุขด้วยซ้�ำไป ถ้ามันรู้สึกอย่างน้ัน เป็น เรอื่ งของกิเลสตณั หา มนั ไม่มคี วามสุขสงบเย็น มันกม็ แี ต่อยากยงิ่ ๆ ข้นึ ไป ชะเง้อหาย่งิ ๆ ขน้ึ ไป เงนิ หมดแลว้ กย็ งั อยากอยู่ ก็เลยตอ้ งไปกู้ ไปยมื ไปคอรร์ ัปชน่ั ตอ้ งไปตา่ งๆ เลยวินาศ ๓๘

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “นิพพานให้ เปล่า” เป็นของใหเ้ ปลา่ ไม่ไดค้ ิดคา่ คิดเงนิ ก็ หมายถึง ทำ�จิตใจให้เยือกเย็น แตห่ มายถึงสูง ข้ึนไปนะ สูงขึ้นไป ปฏิบัติธรรมะสูงข้ึนไปจน ไม่มคี วามรู้สึก ตัวกู ของกู ไม่มีกิเลส เอาละ นเี่ รอ่ื งตอนแรกมนั จบนะ หนา้ ท่ี ทางกาย ทางโลกมันจบด้วยการทำ�อย่างนี้ ทนี ี้ ก็หน้าที่ทางจิต ทางวิญญาณประเภทที่สอง ทง้ั หมดมนั ข้นึ อย่กู ับ ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ ก็ สตสิ มั ปชัญญะอีก ถา้ มีสติสัมปชญั ญะ เมื่อ ตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ สมั ผัสสง่ิ ขา้ งนอก คอื รปู เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ สติสัมปชัญญะท่ีเพียงพอ มันทำ�ให้ไม่หลงใน สัมผัส ไม่หลงในเวทนา มันก็รู้แต่ว่าสัมผัส ๓๙

ตามธรรมชาติ มันก็ไม่เกิดยินดี ยินร้ายใน เวทนา และเวทนาน้ันก็เป็นเวทนาท่ีไม่ต้องให้ เกิดตณั หา ถ้ามนั โง่ มันยนิ ดี ยนิ ร้าย เวทนามัน กใ็ ห้เกดิ ตณั หา มนั คดิ วา่ สิง่ นั้นถกู ใจ พอใจ มัน ก็เกิดตัณหา อยากได้ อยากเอา ถา้ ไมพ่ อใจ มัน เกดิ ตณั หา อยากฆา่ อยากทำ�ลายเสีย เปน็ ตน้ น่ีถ้าสัมผัสมันไม่มีสติสัมปชัญญะ ควบคุมเป็นสัมผัสโง่ มันก็ออกมาเป็นเวทนาโง่ แล้วก็เกิดตัณหา ทีนี้ก็ช่วยไม่ได้ มันก็เกิด อปุ าทาน ตวั กู ของกู เอาอะไรมาเปน็ ตวั กขู องกู มนั กม็ คี วามทกุ ขเ์ ทา่ นน้ั แตถ่ า้ มสี ติ สมั ปชญั ญะ หรือรู้เรื่องน้ีพอ ศึกษาไว้พอ แล้วพอสัมผัส อารมณ์ทางตาก็ตาม ทางไหนก็ตาม มันมีสติ- สัมปชัญญะเข้ามา มันก็ไม่ทำ�ผิดในการรับ อารมณ์น้ันๆ หรือไม่เกิดเวทนาท่ีทำ�ให้เกิด ๔๐

ตณั หา มแี ตค่ วามรอู้ ยา่ งถกู ตอ้ งไปทงั้ หมดทง้ั สน้ิ ผสั สะคอื อยา่ งน้ี สกั วา่ เปน็ อยา่ งน้ี เวทนาอยา่ งน้ี สกั วา่ เปน็ เวทนาตามธรรมชาตอิ ยา่ งนี้ จะเปน็ สขุ เวทนาหรือเป็นทุกขเวทนา มันก็เป็นธรรมชาติ อย่างน้ี ไมต่ อ้ งไปหลงรกั หลงยึดถอื อะไร นก่ี เ็ ปน็ คนทไ่ี มต่ อ้ งมคี วามทกุ ขท์ างจติ ทางวญิ ญาณในขนั้ สงู ขน้ึ ไป คอื มคี วามสขุ ในทาง ฝา่ ยธรรมะ ประเภททสี่ งู ขน้ึ ไป หนา้ ทท่ี ส่ี งู ขน้ึ ไป ชนิดที่เรียกว่าบรรลุมรรคผลนิพพาน จะบรรลุ มรรคผลนพิ พานสำ�เรจ็ ได้ก็ด้วยสตสิ ัมปชัญญะ เมือ่ สัมผสั อารมณ์ทาง ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ นเี่ ปน็ เรอ่ื งทลี่ ะเอยี ดออ่ นทตี่ อ้ งศกึ ษาให้ มากพอ แลว้ มนั กท็ ำ�ได้ ไมใ่ ชท่ ำ�ไมไ่ ด้ ถา้ ละกเิ ลส ตณั หาได้ กด็ ว้ ยสตสิ มั ปชญั ญะเพยี งพอ มนั กจ็ บ กจิ ท่จี ะต้องทำ�เหมอื นกนั เปน็ พระอรหนั ต์ ๔๑

แตเ่ ดยี๋ วนเี้ ราจะพดู กนั อยใู่ นโลกนกี้ อ่ น วา่ หนา้ ทช่ี นั้ ระดบั ทางกาย ทางภายนอกนส่ี ำ�คญั ขอใหไ้ ปเปลย่ี นใหม่ เปลย่ี นใหมน่ ดิ เดยี ว คอื วา่ ท่ี ทำ�อยู่ทุกวัน ขอให้เปลี่ยนเป็นทำ�ด้วย สติสัมปชัญญะ อย่าทำ�ด้วยใจลอยที่เคล้ิม เคล้ิมๆ แล้วมันก็มีความทุกข์หลายๆ อย่าง หลายๆ ชนิด นับตง้ั แต่มนี ิวรณ์ทงั้ ๕ คงจะเคยเรียนเร่ืองนิวรณ์มาแล้วใน การเรียนนักธรรม หรือว่าเร่ืองนวโกวาท แต่ คงจะไม่รู้จักนิวรณ์ เพราะครูอาจารย์มักจะไป สอนนวิ รณ์ เรอื่ งนวิ รณต์ อ่ เมอื่ ทำ�กรรมฐาน เมอ่ื มองขา้ มไปจนหมด ไมต่ อ้ งเกย่ี วกรรมฐานทไี่ หน คนท่ีมนั อยใู่ นบา้ นในเรือนกันทัว่ ไป อยู่ทีบ่ ้าน มันก็มีนิวรณ์กวนอยู่ตลอดเวลา เป็นสิ่งแรกที่ เราจะต้องรูจ้ ัก ๔๒

ถ้านิวรณ์มาจิตใจนี้ก็หมด หมดปกติ หมดความผาสกุ หมดความเยน็ กลายเปน็ รอ้ นรมุ่ กระวนกระวายด้วยอำ�นาจของนิวรณ์ ใครไม่รู้ จกั นวิ รณม์ นั กโ็ งท่ สี่ ดุ แตว่ า่ ดใู หด้ ี คนกโ็ งม่ าก โง่ กันเต็มบ้านเต็มเมืองเพราะไม่รู้จักส่ิงที่เรียกว่า นิวรณ์ มันคิดว่าจะต้องสนใจนิวรณ์ต่อเมื่อไป ทำ�กรรมฐาน ถูกแล้ว กรรมฐานทำ�แล้ว นิวรณ์ มันก็ระงับไป แต่เด๋ียวนี้รู้จักนิวรณ์ที่มันกำ�ลัง รบกวนอยทู่ ุกวัน ทกุ วัน เราอยากจะอยจู่ ติ ใจวา่ ง เยน็ สงบ โปรง่ ดี ทำ�ไม่ได้ มนั เปน็ ไปไม่ได้เพราะนิวรณอ์ ย่างใด อย่างหนึ่งมารบกวน เดี๋ยวนิวรณ์ในทางเพศท่ี เรียก กามฉนั ทะ ฉุยข้ึนมากวนจติ เด๋ยี วนวิ รณ์ ทางพยาบาทคือโกรธ ฉุยขึ้นมาในจิตโดยไม่มี เหตปุ จั จยั อะไรภายนอก มนั กฉ็ ยุ ขนึ้ มาไดเ้ พราะ ๔๓

ว่ามันเป็นของท่ีสร้างรกรากข้ึนมาจากข้างใน จากอนสุ ัยท่ีนอนอยูใ่ นสนั ดาน เด๋ียวก็งัวเงีย งัวเงีย ละเห่ีย ละห้อย อยากแต่จะนอน อยากแต่จะหลับ บางทีก็ ฟุ้งซ่านเหลือประมาณเหมือนกับคนบ้า และ นิวรณ์ท่ี ๕ คอื ความไมแ่ นใ่ จ แตล่ ะวันๆ ไมม่ ี ความรู้สึกท่ีแน่ใจว่าถูกต้องแล้ว ปลอดภัยแล้ว มนั มีแตร่ ะแวงวา่ มันยังไมถ่ ูกต้อง มันยังไมเ่ พยี ง พอ มันยังไม่แนว่ ่าจะปลอดภัย นิวรณ์ท้ัง ๕ น้ี รบกวนอยู่ตลอดเวลา และทุกคนไม่มากก็น้อย แตค่ นโง่จะมองไม่เห็น และก็ไม่รสู้ ึกวา่ มปี ัญหา ดังนั้นจึงไม่สนใจธรรมะที่จะกำ�จัดนิวรณ์เหล่า น้นั เสยี เพียงแต่กำ�จัดนิวรณ์ท้ัง ๕ ได้ สบาย เหลอื ประมาณ ไปคดิ ดู จติ ใจเยอื กเยน็ เปน็ ปกติ ๔๔


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook