Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สติเคล็ดลับมองด้านใน โดย พระพุทธยานันทภิกขุ

สติเคล็ดลับมองด้านใน โดย พระพุทธยานันทภิกขุ

Published by jariya5828.jp, 2022-07-21 04:48:46

Description: สติเคล็ดลับมองด้านใน โดย พระพุทธยานันทภิกขุ ❝แบ่งปันโดย [email protected]

Search

Read the Text Version

100 ส ติ  เ ค ล ็ ด ลั บ ม อ ง ด้ า น ใ น หนังสือธรรมะท่ีซ้ือไว้  อ่านแล้วไม่รู้เรื่อง  เอากลับมาอ่าน  กส็ นกุ  ทนี ต้ี อนกอ่ นกลบั  พระอาจารยใ์ หพ้ จิ ารณาสมมตุ  ิ กพ็ จิ ารณา  ต่อที่กรุงเทพฯ  ท่ีจริงก็ไม่ได้ต้ังใจเท่าไหร่  ขี้เกียจก็ว่าได้สารภาพ  แต่ตอนนั่งรถเมล์ทีไร  มันจับความรู้สึกได้ชัดท่ีสุด  มันแวบข้ึน  มาเอง ก่อนกลับเคยเรียนถามพระอาจารย์เร่ืองความตาย  ท ี่ พระอาจารยบ์ อกวา่ ไมไ่ ดต้ ายหรอก ตอนนน้ั ไมเ่ ขา้ ใจ ตอนนมี้ น่ั ใจ  วา่  ความตายกค็ อื สมมตุ  ิ คนสมมตุ ใิ หก้ ารแตกสลายไปของรา่ งกาย  ว่าตาย (ของธาตตุ ามธรรมชาตินะเจา้ ค่ะ) ทีนี้สงสัยเร่ืองภพชาตินะเจ้าค่ะ  ตายแล้วไปไหน  ตัวเรานี ้ เป็นใคร  ว่าตัวเราไม่ใช่ธาตุตามธรรมชาติ  คือเคยเข้าใจว่าตัวเราก ็ คือ  แขนขา  หน้าตา  ทีน้ีถ้าไม่ใช่แล้วคืออะไร  ยิ่งคิดย่ิงคิดไม่ออก  เลย ไม่คดิ วา่ จะไปเรยี นถามพระอาจารย์เอง ทนี พ้ี อฟงั เทปธรรมะตอ่  (ของทา่ นพทุ ธทาส) มนั วา้ บขน้ึ มา  อันนี้มั่นใจเลยว่า  ผู้หญิง  ผู้ชายก็เป็นสมมุติเหมือนกัน  รู้สึกทึ่งใน  ธรรมะมากขนึ้ ไปอกี  เปน็ ความเสมอภาค สทิ ธเิ สรภี าพทเ่ี ขาเรยี กรอ้ ง  กันอยู่แต่เข้าไมถ่ ึง ทีน้ีก็สมมุติตัวที่  ๓  ก็ม่ันใจว่า  ปฏิบัติแล้วได้เป็นพระนั้น  พระน้ี  นี่ก็สมมุติ  ฟังเทปธรรมะชุด  “การเข้าถึงหัวใจของศาสนา”  กับ  “การท�ำความเข้าใจระหว่างศาสนา”  ฟังแล้วก็ฟังไปอย่างงั้น  ไมไ่ ดเ้ ขา้ ใจอะไรซาบซง้ึ เทา่ ไหร ่ ฟงั เทปอตั ตากบั อนตั ตา กไ็ มร่ เู้ รอื่ ง  ทะลุหูซ้ายออกหูขวาไป  ทีนี้ตอนอยู่บนรถเมล์อีกแล้วพระอาจารย์  มันว้าบขึ้นมาอีกแล้ว  ที่แท้ตัวเรานี้ก็เป็นสมมุตินี่หว่า  โอ๊ย...  พระอาจารย์  ม่ันใจ  พอได้สมมุติตัวน้ีปลาบปล้ืมมาก  แต่อยู่ในใจ  คนเดียวนั่งอยู่บนรถเมล์พยายามเก็บอารมณ์อย่างมาก  นั่งเฉยๆ 

101 พ ร ะ พ ุ ท ธ ย า นั น ท ภ ิ ก ขุ พิจารณาต่อ  เอ๊ะ...ถ้าตัวเราก็เป็นสมมุติแล้ว  ตัวเราเป็นอะไรหว่า  คิดๆ นะพระอาจารย์ แตถ่ ้าตัวเราเปน็ อะไรขึน้ มาอกี  กเ็ ป็นสมมุต ิ ตัวใหม่อีกน่ีหว่า  โอ๊ย  โง่เหมือนหมาไล่กัดหางตัวเอง  ท่ีแท้ไม่เป็น อะไรเลย พอไดส้ มมตุ ติ วั นม้ี นั หลดุ หมดเลยพระอาจารย ์ ในเมอื่ ตวั เรา  เป็นสมมุติ  ที่จริงไม่ได้เป็นอะไรเลย  แล้วท่ีเราว่าเราชอบเรากลัวน ่ี มันอะไร  ก็ตัวเรามันไม่มีแล้วนี่  ท่ีแท้เป็นสมมุติทางความคิดที่เรา  สรา้ งให้กบั ตัวเอง เพราะเราคดิ ว่าตวั เองเปน็ ตัวเป็นตน ทีนี้ย้อนกลับไปตอนที่ปฏิบัติที่วัดเล็บเงือก  คือคิดว่าถ้าแม่  ตายหรือพระอาจารย์ตายคงรับไม่ได้  ทนไม่ได้แน่ๆ  ปฏิบัติไปแล้ว  กเ็ ขา้ ใจวา่ มนั เปน็ ปรากฏการณธ์ รรมชาต ิ เปน็ สจั ธรรม ใครๆ กห็ น ี ความตายไปไม่พน้  จะเสียใจไปท�ำไม จงึ มองไปท่ีคนบนรถเมล์นะ  พระอาจารย์  ชีวิตคนอ่ืนก็เป็นสมมุติ  เป็นละครเหมือนกัน  อันนี้  ก็เลยมั่นใจว่าโลกท่ีเราอยู่น้ีก็เป็นสมมุติ  เป็นละครฉากใหญ่  เป็น  มายา ทนี ก้ี โ็ ลกนย้ี งั เปน็ สมมตุ  ิ โลกไหนๆ กไ็ มต่ า่ งกนั  จะเปน็ นรก  หรอื สวรรคก์ ค็ งเปน็ สมมตุ ไิ มต่ า่ งจากโลกน ้ี มจี รงิ หรอื เปลา่ ลลิ ลไี่ มร่ ้ ู รแู้ ตว่ า่ มนั กเ็ ปน็ สมมตุ  ิ ถา้ ท�ำดไี ดข้ นึ้ สวรรค ์ ท�ำชวั่ กต็ กนรก ทเี่ คย  สงสัยเรือ่ งภพชาตกิ ต็ กไปเปน็ สมมุตทิ ง้ั หมด ทีน้ีพระอาจารย์ให้โจทย์ว่า  พิจารณาให้สุดสายของสมมุต ิ ทนี ก้ี ม็ นั่ ใจวา่  ตวั เรานแี้ หละเปน็ ทส่ี ดุ ของสมมตุ  ิ เพราะเมอื่ รวู้ า่ ตวั เอง  เป็นสมมุตแิ ลว้ มันไมท่ กุ ข์ พอสรปุ สมมุตไิ ด้ดงั นี้ “สมมุติที่เป็นปัจจัยภายนอก  เป็นสมมุติท่ีสังคมก�ำหนดขึ้น  เชน่  การเรยี นหนงั สอื เปน็ การเขา้ หาสมมตุ ทิ างความคดิ ของคนอน่ื   วฒั นธรรม กฎหมาย เพศชาย เพศหญงิ  เปน็ พระตอ้ งทำ� อยา่ งนน้ั  

102 ส ติ  เ ค ล ็ ด ล ั บ ม อ ง ด้ า น ใ น เป็นฆราวาสต้องท�ำอย่างน้ี  ด้วยความเคารพนะเจ้าคะ  ศีลท่ีพระ  ถือกันอยู่ก็เป็นสมมุติ  เป็นการสร้างสภาวะให้ง่ายต่อการเข้าใจ  ธรรมะ” ข้อสงสัยต่างๆ  ก็กระจ่างข้ึน  เช่น  เคยสงสัยในเร่ืองนิกาย  ต่างๆ  กับวิธีปฏิบัติ  ก็ม่ันใจเลยว่าเป็นสมมุติเช่นกัน  ไม่ว่าจะเป็น  อานาปานสติ  หรือการยกมือสร้างจังหวะก็เช่นกัน  เป็นปัจจัย  ภายนอกที่ท�ำให้เข้าใจส่ิงน้ี  แล้วก็ม่ันใจกับวิธีปฏิบัติแบบยกมือ  สรา้ งจงั หวะดว้ ยวา่ ทำ� ใหเ้ ขา้ ใจไดเ้ รว็  เขา้ ใจวา่ ทพ่ี ระอาจารยส์ อนให้  อยกู่ บั ปจั จบุ นั นนั้ ถกู ตอ้ งดที ส่ี ดุ  เพราะขนาดกวา่ จะรวู้ า่ โลกปจั จบุ นั   เป็นสมมุติก็ยากแล้ว ถ้าสอนว่าทำ� บุญอันนี้ชาติหน้าได้เป็นอันน้ัน  ทท่ี กุ ขช์ าตนิ เ้ี พราะวบิ ากกรรมของชาตทิ แี่ ลว้  กห็ ลงสมมตุ กิ นั ไปใหญ ่ เลย ไอ้สมมุติภายในใจเราน้ี  มันรู้ยากตัดยากจริงๆ  หลงกลัวผี  อยู่ตั้งนาน  ที่จริงความกลัวน้ีเราสร้างสมมุติข้ึนเอง  ตอนนี้ไม่ใช่  จะหายกลวั  ๑๐๐% แตเ่ ขา้ ใจมากขน้ึ  ในเมอื่ ตวั เองเปน็ สมมตุ  ิ คอื   สมมุติว่าเป็นคน  ผีก็สมมุติว่าเป็นผี  ขนาดศึกษาสมมุติยังลึกซึ้ง  น่าสนใจถึงเพียงนี้  อยากรู้ว่าสัจธรรมเป็นอย่างไรหนอ  ทีน้ีเรื่อง  อดีตก็ตกไปไม่สงสัยแล้ว  แต่อนาคตก็ไม่เห็นรู้เร่ืองเลย  เข้าใจว่า  ยังสงสัยอยู่หลายเรื่อง  ว่าจะไปเรียนถามพระอาจารย์เอง  แต่มันก ็ งงๆ  ว่า  เอ๊ะ...ถ้าตัวเรามันไม่มีอะไรแล้ว  ความไม่มีอะไรมันจะ  สงสัยได้ยังไง?  แต่กลับมาครั้งน้ีคงอีกนานมากกว่าจะได้ไปศึกษา  ธรรมะต่อนะเจ้าคะ  ขอให้พระอาจารย์สุขภาพแข็งแรง  โปรดคน  ให้พ้นทุกขไ์ ปอีกนานๆ  อีกประเด็นหนึ่งที่มั่นใจ  พอรู้ว่าตัวเราเองเป็นสมมุติก็คือว่า  ทจี่ รงิ  สขุ กบั ทกุ ขก์ เ็ ปน็ ของสง่ิ เดยี วกนั  ทว่ี า่ มขี าวกต็ อ้ งมดี �ำ มชี าย 

103 พ ร ะ พ ุ ท ธ ย า น ั น ท ภิ ก ขุ กต็ อ้ งมหี ญงิ  แมแ้ ตท่ เี่ ตา๋ สอนวา่  มหี ยนิ หยาง ออ่ น แขง็  คอื ทวี่ า่   ทุกอย่างมีด้านหนึ่งก็ต้องมีอีกด้านหน่ึง  วันน้ีมันก็ถูกในระดับหนึ่ง  แตก่ ย็ งั เขา้ ไมถ่ งึ  เพราะพอเขา้ ใจวา่  ตวั เองเปน็ สมมตุ นิ  ี่ มนั เหนอื สขุ   เหนอื ทุกข ์ ธรรมะอย่เู หนอื หญิงชาย แก่ เดก็  เพราะพอเราสมมุต ิ ให้สง่ิ ๆ หนงึ่ เปน็ ความสุข ทเ่ี หลือกเ็ ปน็ ความทกุ ขโ์ ดยอตั โนมตั ิ ทนี  ี้ ถา้ เราหยดุ สมมตุ เิ สยี  มนั กส็ บาย ไมส่ ขุ  ไมท่ กุ ข ์ ไมด่ ใี จ  ไมเ่ สยี ใจ เลยไดเ้ ขา้ ใจชวี ติ เสยี ใหม ่ กอ่ นหนา้ นเี้ ขา้ ใจวา่ ของทกุ สงิ่ มี  อกี อนั ทต่ี รงกนั ขา้ มเสมอ มสี วยกต็ อ้ งมขี เ้ี หร ่ มจี นกม็ รี วย มชี น่ื ชม  กม็ นี นิ ทา ทแี่ ทเ้ ปน็ ตวั เราทห่ี ลงสมมตุ ไิ ป แตธ่ รรมะสอนใหอ้ ยเู่ หนอื   สิง่ เหล่านี้มนั ก็สบาย ทีน้ี  ลิลลี่มีเพ่ือนเป็นคริสต์  ก็ฟังเขาเล่าว่าเขาได้สัมผัสกับ  พระเจ้าอย่างไร  ฟังแล้วคล้ายๆ  กับท่ีเราไปวิปัสสนามาเลย  แล้ว  กอปรกับท่ีอ่านหนังสืออยู่เล่มหน่ึงเป็นพระฝรั่ง  เขาถามว่า  เป็น  ตวั เราเองหรอื เปลา่ ทสี่ รา้ งพระเจา้ ขน้ึ มา ทนี ม้ี น่ั ใจเลยพระอาจารยว์ า่   พระเจา้ นเ่ี ปน็ สมมตุ ทิ างความคดิ ของคนเพอื่ การสวดออ้ นวอน เขา้ ใจ  ท่พี ระอาจารย์พดู ว่า ศาสนาไหนกศ็ ึกษาการยกมือสร้างจงั หวะได้ พอแล้วนะเจ้าคะ  เด๋ียวพระอาจารย์จะข้ีเกียจอ่าน  เพราะ  จดหมายยาวแลว้ กราบนมัสการดว้ ยความเคารพ ลูกศิษย์ ลลิ ลี ่ หอมพมิ ลพร

ท�ำเพ่ือเงิน แตเ่ ผอิญได้ธรรม เดก็ ชายอาทติ ย์ วงศ์เครอื ศร กระผมมาจากโรงเรียนร่มเกล้าสกลนคร ปัจจุบันกำ� ลังเข้าเรียนอยู่ ช้ัน  ม. ๑  ความจริงก็ไม่ได้คิดต้ังใจท่ีจะมาปฏิบัติธรรมแต่อย่างใด  แต่เพราะเห็นว่าคุณแม่ชอบมาท�ำบุญท่ีวัดน้ี  เลยถือโอกาสติดตาม  ทา่ นมา แลว้ กไ็ ดม้ ากราบนมัสการหลวงตา ทา่ นบอกวา่ จะจา้ งใหม้ าปฏบิ ตั ธิ รรมวนั ละ ๕๐ บาท เอาไหม?  ผมเลยคิดว่าเงิน  ๓๕๐  บาท  ไม่ใช่ว่าจะหาง่ายๆ  มาปฏิบัติยกมือ  สรา้ งจงั หวะและเดนิ จงกรมไปมาแค ่ ๗ วนั  มนั ไมไ่ ดย้ ากเยน็ อะไร  เลย จงึ ตกลงรบั ปากกบั ทา่ นทนั ท ี โดยจะมาในชว่ งปดิ เทอม ประมาณ  วันที่ ๑๓-๒๐ ตุลาคม ๒๕๔๕ ซึ่งเป็นช่วงท่ีทางคณะสงฆ์อำ� เภอ  มีโครงการน�ำพระบวชใหม่ในเขตปกครองท้ังหมดเข้ารับการอบรม  พอดี

105 พ ร ะ พุ ท ธ ย า น ั น ท ภิ ก ขุ หลังรับฟังการปฐมนิเทศตอนเย็นวันแรกผ่านไป  ก็ได้รู้ว่า  การมาปฏบิ ตั ธิ รรมในครงั้ นจ้ี ะตอ้ งทำ� อะไรบา้ ง มขี อ้ หา้ มกฎระเบยี บ  อยา่ งไร กม็ ั่นใจวา่ ทำ� ได้ ไมห่ นกั ใจอะไร แตพ่ อลงมอื ท�ำไดส้ กั พกั เทา่ นน้ั แหละ กเ็ กดิ อาการงว่ งนอน  ขเ้ี กยี จ เบอื่ หนา่ ย หวิ ขา้ ว อยากกลับบา้ น อะไรตอ่ มอิ ะไรสารพดั   ไม่อยากจะท�ำต่อไป  แต่เห็นทุกคนในกลุ่มต้ังใจปฏิบัติกันดีมาก  ดเู หมอื นวา่ ในใจไมเ่ ปน็ เหมอื นเรา เอ.้ ..หรอื วา่ เขาท�ำไดแ้ ลว้  คดิ ไป  คิดมาก็นึกขึ้นมาได้ว่าเราน่าจะลองดูก่อน  บางทีมันอาจจะมีอะไร  กไ็ ด ้ แตก่ ย็ ังหิวข้าวอยู่เพราะวันแรกไมม่ ีมอื้ เท่ยี ง พอมาวนั ท ่ี ๒ นกี้ ด็ หี นอ่ ยเพราะมมี อ้ื เทย่ี ง ผมตน่ื ตง้ั แตต่  ี ๓  แตข่ เ้ี กยี จลกุ  ปลอ่ ยใหค้ นอน่ื เขาออกไปศาลาท�ำวตั รกนั หมด แลว้   ผมจึงลุกออกจากท่ีนอน  ท�ำธุระส่วนตัวเสร็จก็มาท�ำวัตรสวดมนต ์ ฟังธรรม  และฉันข้าวต้มตอน  ๖  โมงเช้า  พร้อมกับชมวีดิโอ  ประสบการณข์ องผู้เคยผ่านการปฏบิ ตั ิธรรมแนวนไ้ี ปด้วย ฉนั เสร็จ  กล็ า้ งชามเอง จากนนั้ กเ็ ขา้ ปฏบิ ตั ติ ามกลมุ่ กบั พระพเ่ี ลย้ี งทนั ท ี โดย  ไมม่ กี ารพกั ผ่อนแต่อยา่ งใด เวลาทพี่ ระเทศนห์ รอื ทมี่ วี ทิ ยากรจากขา้ งนอกมาเลา่ ประสบ-  การณ์  ฟังแล้วก็พอเข้าใจอยู่บ้างว่าท�ำแล้วจะได้อะไร  ท�ำอย่างไร  มนั จงึ จะเปน็  แตพ่ อลงมอื ปฏบิ ตั ไิ มร่ เู้ ปน็ อยา่ งไร ขเ้ี กยี จสดุ ๆ งว่ ง  กง็ ว่ ง คดิ ถงึ บา้ นอยากกลบั บา้ น เบอื่ หนา่ ยการปฏบิ ตั เิ ปน็ ทส่ี ดุ  เดนิ   จงกรมเอาหวั ไปชนตน้ ไมม้ นั กย็ งั ไมห่ าย จนตอ้ งไปลา้ งหนา้ ลา้ งตา  ตอ้ งวง่ิ  ตอ้ งกระโดด ตอ้ งท�ำอะไรสารพดั จงึ สามารถแกค้ วามงว่ งได้ วนั ท ี่ ๓ กป็ ฏบิ ตั เิ หมอื นเดมิ  ทำ� ความเพยี รดว้ ยการกำ� หนดร ู้ กบั การสรา้ งจงั หวะและเดนิ จงกรมสลบั กนั ไปมา รสู้ กึ วา่ วนั นตี้ วั เอง  จบั ความรสู้ กึ ตวั ได ้ กำ� หนดรไู้ ดต้ อ่ เนอื่ งประมาณชวั่ โมงกวา่ ๆ ตอนนน้ั  

106 ส ติ  เ ค ล็ ด ล ั บ ม อ ง ด ้ า น ใ น สังเกตว่าจิตจะไม่คิดอะไร  มีความเบาสบาย  นึกถึงเร่ืองต่างๆ  ท่ี  พระท่านเทศน์  มันกลับมีความเข้าใจย้อนหลังว่าท่ีท่านพูดน้ัน  มันหมายถึงอะไร  รู้สึกว่าเข้าใจในส่ิงท่ีตนเองก�ำลังจะกระท�ำ  เกิด  อยากไดอ้ ยากเปน็ ในสง่ิ ทที่ า่ นพดู  กเ็ ลยนกึ ขน้ึ มาไดว้ า่  ออ้ ....อนั นี้  เขาเรยี กว่ารจู้ �ำแตม่ นั ยงั ไม่เหน็ แจ้ง รแู้ จง้ เห็นจรงิ  มันเปน็ อย่างไร  หนอ ตอนน้นั เกดิ ศรัทธาอยากปฏบิ ตั ิให้มนั เหน็ ก็เอาสติมาก�ำหนดรู้การก้าวขาเดินจงกรมไปเรื่อยๆ  ก็เกิด  ความคิดท่ีอยากไปชวนอาจารย์ที่สอนพระพุทธศาสนาที่โรงเรียน  มาปฏบิ ตั ดิ ว้ ยจงั เลย ถา้ ทา่ นรแู้ ลว้ คงจะเอาไปสอนนกั เรยี นได ้ เปน็   อยู่สักพักก็ไม่ได้คิดอะไรอีก  จิตว่าง  สามารถก�ำหนดรู้ปัจจุบันได ้ ทงั้ วนั เลย พอวนั ท ี่ ๔ ปฏบิ ตั ไิ ปไดป้ ระมาณ ๓-๔ ชวั่ โมง เกดิ งว่ งนอน  ข้ึนมาอีก  คิดถึงบ้าน  เกิดเบ่ือการปฏิบัติข้ึนมาอีก  ไม่รู้เป็นเพราะ  อะไร  รู้แล้วก็แก้ได้  ตอนอยู่ในท่ีปฏิบัติก็ก�ำหนดรู้ได้ดีอยู่  แต่พอ  ตีระฆังรวมกลุ่มมันหายไปไหนไม่รู้ลืมหมด  สังเกตดูว่าพอระฆัง  ดังใจเรามันจะวิ่งออกไปเลย  ก็เลยรู้ว่า  อ้อ...มันเป็นอย่างน้ีนี่เอง  ใจมันทิ้งกายไปเลย  ทิ้งการปฏิบัติไว้ในทางจงกรมน่ันแหละ  ไม่ได้  จบั ความร้สู กึ แต่อย่างใด ตอนเยน็ หลงั จากทำ� วตั รแลว้ กม็ กี ารฟงั ธรรม หลวงตาบอกวา่   “ใครยงั ไมเ่ หน็ กใ็ หร้ บี ทำ�  ใหต้ ง้ั ใจปฏบิ ตั ใิ หม้ นั เหน็ เถอะ เพราะเหลอื   เวลาอีกเพียง ๒ วัน เวลาท่ีเหลืออย่นู ท้ี �ำใหม้ ันได้เห็นเสยี ” วนั ท ี่ ๕ หลงั จากรบั ขา้ วตม้ แลว้ กร็ บี เขา้ สทู่ ป่ี ฏบิ ตั  ิ วนั นต้ี งั้ ใจ  ท�ำมาก  แต่พอ  ๔-๕  โมงก็เกิดหิวข้าว  ก็บอกใจตัวเองว่า  มัน  ยังไม่ถึงเวลา  หิวขึ้นมาท�ำไม  หิวได้ก็หิวไปจะจับความรู้สึกตัวอยู ่ อยา่ งนแ้ี หละ กำ� หนดสตริ อู้ ยอู่ ยา่ งนนั้  ดๆู  ไปกส็ บายใจขน้ึ มา แต่ 

107 พ ร ะ พุ ท ธ ย า นั น ท ภ ิ ก ขุ มันก็ยังไม่เห็นแจ้งอะไรเลย  ขณะนั้นถ้ามันเกิดหิวเกิดอยากข้ึนมา  เราจะรู้เลย  อย่างเช่นร่างกายเรามันไม่ได้เป็นอะไร  แต่ใจก็บอกให้  ไปเข้าห้องน�้ำ  ผมเลยรู้ว่าคงเป็นอันนี้แหละท่ีเป็นกิเลส  ใจอีก  อันหน่ึงคือสติเรามันจะแย้งข้ึนมาว่า  ในเม่ือเราไม่ได้เป็นอะไรแล้ว  เราจะไปทำ� ไมหอ้ งนำ�้  ผมไมไ่ ป ผมเลยเอาสตติ ามดคู วามคดิ นอ้ี อก  มาไดอ้ ยา่ งไร กร็ วู้ า่ เปน็ เพราะผมเอานาฬกิ ามาดเู วลา ตามนั เหน็ วา่   ยงั เหลอื เวลาอกี มากกวา่ จะไดพ้ กั  มนั กเ็ ลยอยากจะใหผ้ มไปหอ้ งนำ�้   เป็นการฆ่าเวลา  มันอยากให้เวลาหมด  มันข้ีเกียจ  อ้อ...มันเป็น  อยา่ งนน้ี เี่ อง พอรเู้ ทา่ ทนั  ใจมนั กไ็ มค่ ดิ ปรงุ แตง่ เรอ่ื งอะไรขนึ้ มาอกี   มนั ร้ขู องมนั อยู่อย่างน้นั  มันเฉยๆ สบายๆ โลง่ ๆ  วันที่  ๖  น้ีไม่ได้คิดอะไร  ง่วงก็ไม่ง่วง  จิตปกติอยู่อย่างนั้น  แต่มันก็ไม่เห็นมีอะไรแตกต่างจากวันก่อน  ตอนบ่ายหลวงตามา  สอบอารมณ ์ กไ็ ดก้ ราบเรยี นทา่ นไปวา่  ตอนนส้ี ตริ อู้ ยกู่ บั ปจั จบุ นั ชดั   มาก  แต่ก็ยังไม่เกิดปัญญา  ตอนบ่ายนี้มีแว้บเข้ามาบ้าง  หลวงตา  บอกว่า  “ดีแล้ว  ให้ก�ำหนดรู้อยู่อย่างนั้นต่อไป  แต่ให้เพ่ิมอีกอย่าง  หนง่ึ คอื  ใหแ้ อบดคู วามคดิ ดว้ ย ดวู า่ มนั เกดิ ดบั อยา่ งไร เวลาความคดิ   มนั เกดิ ผดุ ออกมาใหจ้ บั หกั คอมนั เลยนะ” ผมกเ็ ลยมานง่ั สรา้ งจงั หวะ  ใจมันก็นึกข้ึนมาว่า  แอบดูความคิดตัวเองน้ีท�ำอย่างไรหนอ  จับ  ความคิดจับอย่างไร  ของมันไม่มีตัวตนก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า  ก ็ ในเม่ือมันไม่มีตัวตนแล้วก็ให้เราดูเฉยๆ  สิ  แล้วผมก็ไปหยิบเอา  เกา้ อมี้ านงั่ สรา้ งจงั หวะก�ำหนดรดู้ ไู ป ดตู รงๆ ลงไปทจี่ ติ มนั กไ็ มค่ ดิ   แอบดบู า้ งจอ้ งดบู า้ ง ความคดิ มนั กไ็ มอ่ อกมาสกั ท ี เอ...เวลาเรานง่ั   ดมู ันจริงๆ มันกลับไมม่ ีอะไร ความคดิ มันหายไปไหน ทนี  ้ี ลองตงั้ ใจคดิ ลองดซู  ิ กเ็ หน็ รปู หมาผดุ ขนึ้ มาในความคดิ   เสรจ็ แลว้ มนั กห็ ยดุ เฉยอยอู่ ยา่ งนน้ั เปน็ รปู เดยี วทำ� ไมมนั ไมข่ ยบั  มนั  

108 ส ติ  เ ค ล ็ ด ล ั บ ม อ ง ด ้ า น ใ น เหมอื นเอารปู ไปแปะไว้ข้างฝาอยู่อยา่ งนั้นแหละ พอ  ๕  โมงเย็น  ผมก็เตรียมตัวขึ้นมาอาบน�้ำ  เจอหลวงตา  ท่านบอกว่า  “ไม่ต้องไปจ้องดูความคิด  ไม่ต้องไปหาเรื่องมาให้  มนั คดิ  ดเู ฉพาะสงิ่ ทมี่ นั เกดิ  ถา้ มนั ไมค่ ดิ กใ็ หก้ �ำหนดรอู้ ยกู่ บั อาการ  กาย ใหร้ สู้ กึ อย่างเดียว ทวนกระแสขน้ึ ไป ไม่อยากทำ� กใ็ หท้ ำ� ” วันที่  ๗  น้ีจิตว่างเปล่าท้ังวัน  ไม่ว่าจะนั่งสร้างจังหวะหรือ  เดินจงกรม มันวา่ งของมันอยู่อย่างนัน้  ผมมาปฏิบัตคิ ร้ังนี้ ๗ วัน  อารมณ์ที่ได้ผมก็มแี ค่น้ีแหละครับ ผมพอใจมากกับการมาปฏิบัติครั้งน้ี  ม่ันใจเลยว่าเวลากลับ  ไปอยบู่ า้ นเราจะมสี ตมิ ากขน้ึ  เราจะปลอ่ ยวางเปน็  เราจะไมค่ ดิ มาก  สตจิ รงิ ๆ เปน็ อยา่ งไร เมอ่ื กอ่ นผมไมร่  ู้ ผมนกึ วา่ ตวั เองมสี ต ิ ความจรงิ   มันคนละอย่างกัน  คนที่ยังไม่ปฏิบัติน้ันเข้าใจว่าก็ต้องเหมือนกัน  กบั ผม คอื คดิ วา่ ทำ� ไมจะไมม่ สี ต ิ การทเ่ี รามาฝกึ นค้ี อื จะใหม้ นั รสู้ กึ ตวั   ตลอดเวลา ใหร้ ทู้ นั อาการกาย แลว้ กใ็ หม้ ารทู้ นั ความคดิ  ใจเราจะวา่ ง  จะไม่เผลอปรุงแต่ง  หยุดอารมณ์ตัวเองได้  มาฝึกคร้ังนี้ได้แค่สติน้ ี ผมก็พอใจแล้วครบั  ใครมีอะไรจะถามไหมครับ ถงึ ตอนนจ้ี ะเอาค่าจ้างอกี ไหม เรอ่ื งคา่ จา้ งนน้ั ถ้าใหผ้ มกเ็ อา ไม่ใหผ้ มก็ไม่เอา ความรู้สึกท่ีเรยี กว่าสติกับความคดิ น้ันมันอนั เดยี วกนั ไหม มันคนละเร่ืองกันเลยครับ  คือความรู้สึกนี้มันไม่ได้คิดอะไร  มันรู้สึกได้  ระลึกได้เท่านั้น  แต่ความคิดมันคิดของมันแต่มันไม่ได้  ร้สู ึก

109 พ ร ะ พุ ท ธ ย า นั น ท ภิ ก ขุ ทป่ี ฏบิ ตั ิน้ีรู้สกึ ลว้ นๆ เลยหรอื เปล่า มนั กม็ คี วามคดิ แทรกขนึ้ มาบา้ ง แตพ่ อเราเอาจติ มาจอ้ งอย ู่ กบั ตัวรสู้ กึ น้ ี ความคิดกจ็ ะหายไป ก่วี นั จงึ ทำ� ไดอ้ ยา่ งน้ี วนั แรกทป่ี ฏบิ ตั  ิ ความรสู้ กึ มนั กม็ อี ย ู่ แตค่ วามคดิ  ความงว่ ง  มันมาก  แล้วเราก็ยังไม่รู้ว่าส่ิงน้ีเป็นทุกข์  เรายังไปเล่นกับมันอยู ่ เมื่อใดเรารู้วา่ มันเปน็ ทกุ ข์ เราก็จะมีสติครบั ก่อนปฏบิ ัติความคดิ เกิดขึ้นแล้วทำ� อย่างไร กค็ ดิ ตามใจมนั ไปเรอื่ ยๆ แลว้ แตม่ นั จะพาไปไหน ไมร่ อู้ ะไร  เลยจรงิ ๆ ครบั  มนั เหมอื นกบั คนตาบอดทหี่ ลงอยใู่ นปา่  หาทางออก  ไม่ได้  เราไม่เคยเห็นความคิด  เราก็หาทางออกจากความคิดเรา  ไม่ได้หรอกครบั  แลว้ มนั กไ็ มร่ สู้ กึ อยากออกดว้ ย ทหี่ ลวงตาเทศนว์ า่   อวชิ ชาคอื ความมดื บอดนัน้  ผมเข้าใจวา่ มันคอื อันนแ้ี หละครับ หลงั ปฏิบตั ิร้อู นั นแ้ี ลว้ จะทำ� อย่างไร คิดขึ้นมาก็ดมู นั เลย หรอื ไมก่ ็ทำ� ความรสู้ ึกตวั สกู้ บั มนั เลย ท�ำไมต้องสูก้ ับมัน เท่าท่ีผมฟังมาและท่ีได้รู้จักการปฏิบัติมา  เห็นได้เลยครับ  ว่าความคิดมันเป็นทุกข์  เป็นทุกข์ตั้งแต่เราเผลอคิดแล้วล่ะครับ  คดิ มาก คดิ ปรงุ แตง่  คดิ อยากกลบั บา้ น คดิ อยากกนิ ขา้ ว มนั ไมใ่ ช่  ความคิดที่เป็นปัจจุบัน  คิดอะไรอยากอันน้ัน  อยากอะไรคิดอันนั้น  มันเปน็ ทุกขต์ รงนีค้ รับ

110 ส ต ิ  เ ค ล็ ด ลั บ ม อ ง ด ้ า น ใ น วธิ แี กท้ ุกข์ ก็เอามาใส่ความรู้สึกตัว  จิตเราก็จะว่างไม่มีอะไร  มันจะอยู ่ กับความรู้สึกตัว  แต่ถ้าสติเราฝึกมาดี  รู้จริงว่ามันเป็นทุกข์  มัน  ไม่คดิ หรอกครับ ถา้ ร้จู ริงจะไมห่ ลงอยู่ในความคดิ วนั หนึ่งๆ ไมใ่ ห้มคี วามคดิ เลยอย่างนัน้ หรอื คิดได้  แต่ต้องให้มีสติรู้ความคิด  คิดแล้วหยุด  คิดแล้ว  ปลอ่ ยวาง คือในความคิดนั้นเราจะต้องมีสติก�ำกับ ถ้าไม่ให้คิดเลย  เราก็คงจะทำ� อะไรไม่เป็น  ฟังธรรมในแตล่ ะวันรสู้ ึกอยา่ งไรบ้าง ตอนแรกกไ็ มเ่ ขา้ ใจ แตต่ อนนร้ี  ู้ ผมฟงั เพอื่ เอาความรไู้ ปแก้  อารมณ์ปฏบิ ตั ิในวนั ตอ่ ไป ซง่ึ จะมีอยู่ในเวลาที่ทา่ นเทศน์นั่นแหละ คนแก่ความคิดคงสะสมมามาก  คงยากท่ีจะท�ำได้  แต่ถ้า  เปน็ เด็กอย่างเราคงจะง่ายกวา่ ผมว่ามันไม่เก่ียวกันหรอกครับ  เพราะว่ามันเป็นแนวทาง  เดยี วกนั  คอื มาฝกึ ตวั รเู้ ทา่ นน้ั  คอื อนั นม้ี นั เปน็ เรอื่ งของจติ ใจ ผมเอง  กย็ งั ไมร่ อู้ ะไรมาก เพยี งแคร่ สู้ กึ ตวั เทา่ นนั้  ยงั ไมเ่ หน็ แจง้ อนั นน้ั อนั นี้  ผมยงั ไมถ่ งึ ขนั้ นน้ั  รกู้ แ็ ตค่ วามวา่ ง ความคดิ  ความรสู้ กึ ตวั เทา่ นน้ั ยงั มีความกลวั ผีอยู่บ้างไหม ไม่กลัวแล้วครับ  ฟังพระท่านเทศน์  ผีก็คือกิเลส  มันอยู่ใน  ตัวเรานี่เอง  ถ้าจะกลัวผีให้กลัวตัวเองดีกว่า  ความคิดเราปรุงแต่ง  มันขึน้ มาเอง คนที่กลวั ผีคอื คนทจ่ี ัดการกบั ความคิดตวั เองไม่ได้

111 พ ร ะ พ ุ ท ธ ย า น ั น ท ภิ ก ขุ กลบั ไปบา้ นจะโต้เถียงกบั พ่อแมไ่ หม คือมันมีความมั่นใจอยู่ลึกๆ  ว่าหลังจากนี้แล้วผมจะเป็นคน  รับฟังเฉยๆ  ได้  ท่านจะพูดถูกหรือผิดก็รับได้  แต่จะไม่โต้เถียง  รแู้ ต่เฉพาะเรากพ็ อแลว้ สรุปว่าการมาปฏิบัติธรรมครั้งน้ีเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง แล้วหรอื ตอนแรกมันไม่ได้คิดถกู อะไรหรอกครับ คอื มันอยากไดเ้ งนิ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการนี้  (โครงการปฏิบัต ิ วิปัสสนากรรมฐาน นวกภกิ ษ’ุ  ๔๕ รนุ่ ท ี่ ๑ ของคณะสงฆ ์ อ�ำเภอ  พรรณานคิ ม จังหวดั สกลนคร) กระผมเหน็ วา่ การจดั งานครง้ั นดี้ มี ากๆ เลยครบั  เพราะพระ  ที่บวชใหม่อยู่ตามบ้านน้ัน  ส่วนมากท่านจะไม่ค่อยได้ปฏิบัติ  ท่าน  ไม่รู้จกั เร่ืองของจติ ใจตัวเอง ตอ้ งให้โอกาสท่านมาฝึกครับ สมควร  ให้มกี ารจัดทุกปี สุดท้ายนี้  ก็กราบนิมนต์พระสงฆ์  ตลอดถึงผู้มาร่วมปฏิบัติ  ธรรมทกุ ทา่ น ทย่ี งั ไมร่ กู้ ข็ อใหน้ ำ� ไปทำ� ตอ่  แตท่ รี่ เู้ หน็ แลว้ กข็ อใหท้ ำ�   ไปเรือ่ ยๆ จนกวา่ จะรูแ้ จ้งแห่งกองทุกขท์ ัง้ สิน้ น้เี ทอญ



๑๕ วัน กับการมองด้านใน ผศ.ชาญชยั ลมิ ปยิ ากร (สวทช.) ผมมาปฏบิ ตั ธิ รรมทน่ี เี่ รมิ่ ตง้ั แตเ่ ดอื นเมษาทแี่ ลว้  มาพรอ้ มกบั ลกู ชาย  เดิมทีผมเองก็เป็นคนสนใจเร่ืองศึกษาธรรม  แต่ก็ไม่ได้ไปแสวงหา  ครูบาอาจารย์ท่ีไหน  เหตุเพราะไม่ค่อยม่ันใจว่าจะมีหรือพบครูบา  อาจารย์ที่แท้จริงที่จะให้อะไรเราได้  ก็เลยอาศัยศึกษาด้วยตนเอง  ศกึ ษาจากพระสตู รบา้ ง จากคำ� สอนของครบู าอาจารยห์ ลายๆ ทา่ น  โดยจะเนน้ เรอื่ งของการปฏบิ ัตทิ ่ีพดู ถึงเรอ่ื งของจิตโดยเฉพาะ หนังสือท่ีผมเลือกอ่านส่วนใหญ่ก็จะเป็นค�ำสอนของท่าน  อาจารย์ชา  สุภทฺโท  (พระโพธิญาณเถระ)  เหตุผลอีกประการหน่ึง  ท่ีเลือกอ่านหนังสือของท่านก็เพราะทึ่งว่าท�ำไมจึงได้มีพวกฝร่ังมา  เปน็ ลกู ศษิ ยล์ กู หาทา่ นมากมาย และคงเพราะผมเองเปน็ คนทเ่ี รยี น  หนงั สอื และมอี าชพี ทางดา้ นนดี้ ว้ ย พวกฝรง่ั สว่ นใหญเ่ ขาชอบศกึ ษา  ค้นคว้ากันมาก  ก็เรียกได้ว่ามีนิสัยพ้ืนฐานคล้ายกัน  ศึกษาแล้วก ็ นา่ จะเข้าใจได้ง่าย กไ็ ดต้ ดิ ตามคำ� เทศนข์ องทา่ นอาจารยช์ าอยหู่ ลายป ี มหี นงั สอื   ที่สะสมไวเ้ ยอะมาก

114 ส ต ิ  เ ค ล ็ ด ลั บ ม อ ง ด ้ า น ใ น ต่อมาได้ไปเจอหนังสือแปลของท่านพุทธทาส  คือ  ค�ำสอน  เว่ยหล่าง  ซ่ึงเป็นต้นต�ำรับค�ำสอนแบบเซนของจีน  อ่านแล้วรู้สึก  ถูกใจ  เข้าใจว่าการเข้าใจธรรมะไม่จ�ำเป็นต้องเป็นคนท่ีรู้หนังสือ  อ่านแล้วรู้สึกว่าท่านเว่ยหล่างแสดงธรรมออกมาจากจิตจริงๆ  คือ  ทา่ นสามารถเขา้ ถงึ จติ ใจตนเองได ้ แมเ้ ราเองจะไมม่ พี นื้ ฐานทางจติ ทด่ี  ี แตก่ ร็ สู้ กึ วา่ อนั น้ใี ช่แลว้ กม็ เี พอ่ื นคนทแ่ี นะนำ� ใหผ้ มมาทน่ี น่ี นั่ แหละ เขาเปน็ คนใฝธ่ รรม  ต้ังแต่สมัยท่ียังเป็นนักศึกษา  เคยบวชเป็นชี  ปัจจุบันเขาก็มาช่วย  กจิ กรรมทว่ี ดั นบ้ี อ่ ยๆ เขาแนะนำ� คำ� สอนของหลวงพอ่ เทยี น จติ ตฺ สโุ ภ  ผมกไ็ ดศ้ กึ ษาจากหนงั สอื  โดยไดจ้ ากทางวดั สนามใน นนทบรุ  ี ทไ่ี ด ้ ทำ� การเผยแผ ่ รวมทงั้ ลกู ศษิ ยข์ องทา่ นดว้ ย จากนน้ั ผมกไ็ ดย้ ดึ แนว  ของหลวงพอ่ เทยี น เพราะเหน็ วา่ นา่ จะเปน็ วธิ ที ต่ี รง แตก่ ไ็ มไ่ ดต้ ดิ ตาม  ปฏบิ ตั กิ บั ครบู าอาจารยแ์ ตอ่ ยา่ งใด ศกึ ษาแลว้ กป็ ฏบิ ตั เิ องทำ� ไปเรอ่ื ยๆ  มโี อกาสกส็ รา้ งจงั หวะบา้ ง กร็ สู้ กึ เขนิ ๆ อยเู่ หมอื นกนั  คนทอี่ ยบู่ า้ น  ดว้ ยกนั กค็ งรสู้ กึ แปลกๆ วา่ ทำ� ไมเราตอ้ งมกี ารสรา้ งจงั หวะเคลอื่ นไหว  มือ แต่ผมเองก็ไมไ่ ด้ปฏบิ ตั ิตอ่ เนื่อง จนมาได้ข่าวว่าท่ีวัดน้ีปฏิบัติแนวสายของหลวงพ่อเทียน  ม ี วัตรปฏิบัติท่ีเข้มข้น  ก็รู้ข่าวจากญาติธรรมคนเดิมน่ันแหละครับ  โดยสว่ นตวั ผมเองกเ็ ปน็ คนทท่ี ำ� อะไรจรงิ จงั มแี บบแผน นสิ ยั นถ้ี กู ฝกึ   มาต้ังแต่สมัยท่ีเรียนหนังสือแล้ว  ท�ำอะไรเป็นเวลา  อันนี้ท�ำให้ผม  รสู้ กึ วา่  จะอยทู่ ไ่ี หนเขม้ งวดอยา่ งไรยอมรบั ไดไ้ มม่ ปี ญั หา แตบ่ างคน  กอ็ าจชอบอิสระ เขาแนะนำ� ใหผ้ มมาพบทา่ นอาจารย ์ ทวี่ ดั โสมพนสั  ความจรงิ   ผมเองกไ็ มไ่ ดม้ าเพราะวา่ ทกุ ขอ์ ะไร คอื ทกุ ขท์ างกายนผี้ มมวี ธิ จี ดั การ  ได ้ ยอมรบั ได ้ ปรบั ได ้ ไมส่ งุ สงิ กบั มนั  มนั เกดิ เรารแู้ ลว้ กป็ ลอ่ ยไป 

115 พ ร ะ พุ ท ธ ย า นั น ท ภ ิ ก ขุ สงิ่ นผี้ มเองกฝ็ กึ มานาน ผมจดั การไดโ้ ดยไมใ่ ชว้ ธิ เี ลยี่ งดว้ ย เจอกบั   มันแล้วทนได้เข้าใจได้  อันน้ีเป็นสิ่งที่ได้จากการฝึกตนเป็นคนท่ีมี  ระเบียบแบบแผนมาก่อน  ความมีระเบียบวินัยกรอบของการฝึกจึง  ไมถ่ ือวา่ เปน็ อุปสรรคหรือปญั หาส�ำหรับผม เพราะผมไดร้ บั ปากกบั เพอื่ นคนทแ่ี นะนำ�  กเ็ ลยไปคดิ ทบทวน  ว่าเราเองก็เป็นคนมีพ้ืนฐานศึกษาธรรมะมาบ้างแล้ว  ถ้าหากได้มา  ศึกษาที่น่ีอีกคิดว่ามันน่าจะช่วยแก้ปัญหาเราได้สักอย่างหนึ่ง  ก็ตั้ง  เปา้ การปฏบิ ตั เิ อาไวว้ า่ ตอ้ งไปใหถ้ งึ  เนอ่ื งจากผมเองใชช้ วี ติ อยกู่ บั โลก  ก็สัมผัสอยู่กับหลายสิ่งหลายอย่าง  พิจารณาถึงอายุเราก็มากถึง  ขนาดน้ีแล้วยังมีอยู่เรอ่ื งหนึ่งที่เรายังแกไ้ มไ่ ดค้ อื เรื่องของกามราคะ  คือมันก็ไม่ถึงกับทุกข์มากเท่าไหร่  แต่ผมก็ต้องการแก้ไข  เห็นว่า  ไม่อยากให้มันเข้ามารบกวนความรู้สึกนึกคิดของเรา  เพราะหาก  เกดิ แลว้ มนั สลดั ยากจรงิ ๆ ถงึ จะเขา้ ใจธรรมะมาบา้ งแตก่ เ็ ปน็ การเขา้ ใจ  ในลักษณะท่ีเป็นสัญญา คือจำ� เอาตามท่ีครูบาอาจารย์ท่านพูด ทำ�   ความเข้าใจโดยหาตรรกะ เราผ่านการศึกษามา  เราก็มีเหตุผลเป็นเคร่ืองมือในการ  ด�ำเนินชีวิต แต่เราก็ไม่สามารถอาศัยเหตุผลน้ันมากำ� จัดตัดลดใน  เรอ่ื งเหลา่ นไี้ ด ้ กเ็ ลยคดิ วา่ อนั นคี้ อื สง่ิ ทเี่ ปน็ เปา้ หมายการปฏบิ ตั ธิ รรม  ของเรา ลองดวู า่ การมาฝกึ ทน่ี จ่ี ะทำ� ใหเ้ ขา้ ใจหรอื ทำ� ใหเ้ รอ่ื งนลี้ ดหาย  คลายจางจากจิตใจเราได้อย่างไร  อันนี้ถ้าจะพูดไปแล้วก็อาจเป็น  การตั้งเป้าไวท้ ่สี งู มากเกินไปก็ได้นะครับ คือสงู เยอะๆ เลย เผอญิ ลกู ชายของผมเขาเรยี นจบมหาวทิ ยาลยั  กไ็ ดบ้ อกเขา  วา่ เขาควรจะมาเรยี นรธู้ รรมะดว้ ย เพราะผมเชอ่ื วา่ มนษุ ยป์ ถุ ชุ นเรา  ทุกคนควรจะมีเพื่อประคองชีวิต  โดยมองจากตัวผมเองท่ีได้ศึกษา  วชิ าการทางโลกและใชช้ วี ติ ทผ่ี า่ นการศกึ ษาธรรมะมาบา้ ง แมต้ อนนน้ั  

116 ส ติ  เ ค ล็ ด ล ั บ ม อ ง ด้ า น ใ น จะยงั ไมไ่ ดผ้ า่ นการปฏบิ ตั กิ ต็ าม ซงึ่ กพ็ อคมุ้ ครองตนเองได ้ รจู้ กั เลยี่ ง  รู้จักสร้างเง่ือนไขต่างๆ  ท�ำให้เราสามารถอยู่ในกรอบที่ดี  มีชีวิตที่  ราบรน่ื ไมค่ อ่ ยมปี ญั หาเหมอื นอยา่ งคนทวั่ ไป ความทเ่ี ปน็ ผมู้ รี ะเบยี บ  แบบแผน มีวินยั  เข้าใจธรรมะจะชว่ ยไดเ้ ยอะ การเรียนรู้ธรรมะน่าจะเป็นอีกวิชาหน่ึงท่ีลูกชายจ�ำเป็นต้อง  เรียนรู้  ก็เลยชวนเขามา  ซ่ึงเขาเองดูเหมือนจะไม่เต็มใจมา  แต่คง  เพราะเขาเหน็ วา่ เราเปน็ พอ่  เขากเ็ ลยยอมมา ลกั ษณะเหมอื นบงั คบั   อะไรทำ� นองนน้ั  แตเ่ ขากไ็ ดอ้ ะไรกลบั ไป ทำ� ใหผ้ มรสู้ กึ วา่ วธิ นี ไี้ ดผ้ ล  จริงๆ  คือจากท่ีเขาไม่เคยรู้อะไรเก่ียวกับส่ิงนี้เลย  แต่เขากลับบอก  ผมว่าเขาจะต้องหาทางกลับมาศึกษาที่น่ีอีก  โดยที่เขาจะมาเอง  เห็นว่าจะเป็นปลายพฤศจิกายนน้ี  รีบๆ  ท�ำโพรเจกต์ถ้าเคลียร์ได้  ในช่วงน้ันกอ็ าจจะมาเลย อีกทั้งไมจ่ �ำกัดเวลาอีกด้วย ผมเองก็ไม่ได้คุยลึกซึ้งอะไรมาก  ว่าปฏิบัติผ่านมาแล้ว  ไดอ้ ะไรอยา่ งไร เผอญิ ผมมหี นงั สอื เลม่ หนงึ่ ทไ่ี ดจ้ ากการไปนมสั การ  ลกู ศษิ ยส์ ายของหลวงพอ่ ชา กเ็ ลยมอบใหเ้ ขา อกี สองสามวนั ตอ่ มา  เขาบอกว่าอ่านจบแล้ว  ผมเองก็ไม่คาดคิด  เพราะเหตุที่เขาเป็น  เด็กสมัยใหม่  อ่านแต่การ์ตูนญี่ปุ่น  คือเด็กเรียนเขาจะอ่านพวกนี ้ แตเ่ ขากลบั สนใจทจ่ี ะอา่ นหนงั สอื ธรรมะปฏบิ ตั ทิ พี่ ดู ถงึ เรอื่ งของจติ ใจ  แสดงวา่ เขามกี ารรบั รู้พอสมควร ส�ำหรับผมที่ได้มาปฏิบัติในช่วงเจ็ดวันแรก  สองสามวันก็  สามารถปรบั ตวั เขา้ กบั ทกุ ขท์ เี่ กดิ ทางกายได ้ ความงว่ งนอนธรรมดา  มันเหมือนกับการมาเรียนหนังสือต่าง แตท่ น่ี ีเ่ ราจะต้องเป็นครูของ  ตัวเราเอง  มีท่านอาจารย์ที่คอยวางกรอบให้เท่านั้น  ท่านช้ีแนะให ้ อยา่ งเดยี ว ไมไ่ ดบ้ อกวา่ วนั นจี้ ะเรยี นรเู้ รอ่ื งธาตสุ  ่ี ขนั ธห์ า้  วชิ าอะไร  อย่างไร  คือมันจะออกมาเอง เพียงจัดเงื่อนไขให้เรามีสติรู้อยู่กับ 

117 พ ร ะ พ ุ ท ธ ย า น ั น ท ภ ิ ก ขุ ตวั เองให้ได ้ แล้วมนั จะเรยี กหลกั สูตรของมนั มาเอง เพราะฉะนั้นบทเรียนต่างๆ  ท่ีเป็นนิสัยของเรา  มันจะไหล  ออกมาให้เราได้ศึกษาต้ังแต่ส่วนหยาบๆ  ทางกาย  เช่นความชอบ  สะดวกสบาย ซง่ึ ทางโลกเขาถอื วา่ เปน็ สงิ่ ทด่ี  ี เขาจะแสวงหาอยา่ งไร  กไ็ ดไ้ มผ่ ดิ กฎหมาย แตก่ ารมาปฏบิ ตั ทิ นี่ จี่ ะไมม่ ใี ห ้ กจ็ ะมแี ตท่ กุ ขท์ ี ่ ทา่ นเรยี กนวิ รณน์ น่ั แหละ ผมเองกร็ สู้ กึ วา่ เปน็ เรอื่ งธรรมดาทม่ี นั ตอ้ งมี  เครอื่ งมอื ศกึ ษากม็ อี ยา่ งเดยี วทหี่ ลวงพอ่ เทยี นไดใ้ หไ้ ว ้ คอื ความรสู้ กึ ตวั   ฝึกรู้อยู่กับการสร้างจังหวะหรือเดินจงกรมอยู่อย่างนั้นแหละ  ง่วง  กเ็ ดนิ  เม่ือยกน็ ัง่  อนั น้ีก็เหมอื นกัน เป็นเครอื่ งมอื ในการเรยี นรู้ เม่ือถูกก�ำกับให้อยู่ในกรอบท่ีต้องเจอกับสิ่งเหล่านี้  ก็ต้องมี  การเรียนรู้  ต้องเรียนให้ผ่าน  เราไม่ต้องไปปฏิเสธมัน  ไม่ต้องไป  ปรุงแต่งเปรียบเทียบกับความสุขความสบายท่ีตนเองเคยได้รับเช่น  เม่อื คร้งั ท่ีตนเองอยู่บ้าน เราเองจะตอ้ งไม่เลี่ยง ทา่ นอาจารย์ให้อยู่  ในกุฏิ  ให้ปฏิบัติอยู่ในน้ัน  ใจเรามันก็อยากให้เราไปตรงโน้นตรงน ้ี ไปเดินข้างนอก ไปรมิ น�ำ้  สิ่งเหลา่ นเี้ ป็นกเิ ลส เราตอ้ งรจู้ กั สงั เกต ผมเองต้ังเป้าเอาไว้เลย  ตลอดระยะเวลาของการมาปฏิบัติ  ๗ วนั  ๒๔ ชวั่ โมง ใน ๑ วนั  ๖ ชว่ั โมง ใหก้ บั การพกั ผอ่ นหลบั นอน  ท่ีเหลือ  ๑๘  ช่ัวโมง  ทุกวินาทีจะพยายามอยู่กับการเรียนรู้ตัวเอง  ให้ได้ จะทำ� อะไรอย่างไรเราจะกำ� หนดรู้ให้หมด การดูนาฬิกาหรือ  อะไรกต็ าม คอื มนั จะสรา้ งเงอื่ นไขใหเ้ ราหนั เหออกจากการดตู วั เอง  ผมจะเก็บให้หมด  ไม่สนใจเร่ืองเวลา  ท�ำไปเร่ือยๆ  ไม่สนใจเรื่อง  ของระฆงั ช่วงเดือนเมษาอากาศมันจะร้อน  ใจมันก็อยากออกจากกุฏิ  จติ มนั จะเรยี กรอ้ งวา่ ลองหาวธิ นี นั้ ซ ิ หาวธิ นี ซ้ี  ิ สงิ่ เหลา่ นเี้ ราจะตอ้ ง  ศึกษาให้หมด  อะไรเป็นความคิดอะไรเป็นความอยากให้รู้  เราจะ 

118 ส ติ  เ ค ล็ ด ลั บ ม อ ง ด ้ า น ใ น ต้องเอาใจมาใส่ตรงการเคล่ือนไหวทีเ่ ปน็ ปัจจบุ นั ให้ได ้ อันน้ีสำ� คญั ผมใชเ้ วลาเหมอื นกบั คนอน่ื ๆ คอื  ๓-๔ วนั  กผ็ า่ นนวิ รณไ์ ด ้ มาฝึกท่ีนี่ยังไม่รู้สึกว่าตนเองเป็นทุกข์อะไรเลย  รู้สึกเฉยๆ  ความ  หนาวรอ้ นอะไรตา่ งๆ ผมกถ็ อื วา่ มนั ธรรมดา เวลาทท่ี ำ� วตั รสวดมนต์  กจ็ ะมกี ารกลา่ วถงึ ทกุ ขอ์ ยมู่ าก แตผ่ มเองกย็ งั ไมเ่ หน็ วา่ มนั เปน็ ทกุ ข์  อย่างไร  คือชีวิตน้ีผมเองยังไม่ได้เป็นทุกข์มากมายอะไรขนาดนั้น  เลยนะ ไม่ใช่วา่ ผมไม่มที กุ ข์ แตว่ ่ารู้สกึ เผชญิ กบั มนั ได้เข้าใจมนั ได้  ไม่ได้มองว่ามันเป็นปัญหาใหญ่  จึงยังมีความนึกคิดติดอยู่ในใจว่า  โอ้โฮ...แสดงว่าคนท่ัวไปน้ีเขาทุกข์กันเยอะจริงๆ  สิ่งหน่ึงท่ีเรา  ตรวจสอบตวั เองไดค้ อื  ผมเปน็ คนทช่ี อบท�ำอะไรแบบมแี ผน จะวาง  กรอบของการเรยี นรเู้ อาไว ้ แตป่ รากฏวา่ มนั ไมไ่ ดผ้ ล เพราะเรอ่ื งจติ น ี้ มันเป็นเรื่องที่ตลกมาก  มันจะไม่เป็นไปตามกรอบท่ีเราคิดไว้  เช่น  เม่ือวานนี้ท�ำได้ดีมีสติรู้สึกตัวท่ัวพร้อม  มีปีติความยินดี  วันต่อมา  ปรากฏว่ามันคนละเรื่องกันเลยครับ  เมื่อวานได้ผลวันน้ีมันกลับ  ไม่ได้ผล  เมื่อวานนี้หายง่วงแต่วันนี้กลับง่วงอีก  อุบายเดิมกลับใช้  ไมไ่ ด้ผล ที่จริงมันก็มเี หตปุ จั จัยของมันอยา่ งน้นั ผมเองจะตง้ั เปา้ เอาไวว้ า่ จะลองอยา่ งน ้ี จะใชส้ ตู รนปี้ รากฏวา่   มันก็ไม่ได้ผล  สิ่งท่ีเราเคยใช้กับการเรียนรู้หรือการท�ำงานทางโลก  เอามาใช้ตรงนี้มันก็ไม่ได้ผลเท่าไร  เร่ืองของจิตนี้หากเราอยาก  เอาชนะมนั  เราทำ� ไมไ่ ด ้ แตถ่ า้ จะยอมแพ ้ มนั กช็ นะเราทกุ ท ี คอื ถา้   เราจะเอาชนะมัน  มันก็จะชนะเรา  ยอมมันเราก็เป็นทุกข์  มันเป็น  ความทกุ ขท์ งั้ นน้ั  แตส่ งิ่ ทเี่ ราพอทำ� ไดค้ อื ไมต่ อ้ งไปแพแ้ ละกไ็ มต่ อ้ ง  เอาชนะ คอื อะไรเกดิ ขึน้ กใ็ หร้ ไู้ ปเรอ่ื ยๆ นี่คอื ขอ้ สงั เกต การสวดมนต์ฟังธรรมก็เป็นการตรวจสอบความเข้าใจอีก  แบบหนง่ึ  ทา่ นอาจารยก์ จ็ ะสอนวา่ ไมต่ อ้ งไปจดจำ� อะไร นงั่ สรา้ งจงั หวะ 

119 พ ร ะ พุ ท ธ ย า น ั น ท ภิ ก ขุ ฟงั ไป ท�ำจติ ให้อยกู่ ับตวั เอง ส่ิงที่ผา่ นมาก็จะผ่านไป แตส่ งั เกตว่า  ชว่ งนนั้ จะไดอ้ ารมณ ์ คอื หลายๆ เรอ่ื งมนั จะไมใ่ หผ้ า่ นละ่  พอมาปบ๊ั   เขา้ ใจ ฟงั ปบ๊ั เขา้ ใจ ผดิ กบั ชว่ งวนั ท ่ี ๑-๒ ซงึ่ กส็ วดไปฟงั ไปอยา่ งนนั้ ๆ  แหละ  แต่พอมาวันท่ี  ๓-๔  สวดแล้วกินใจ  ฟังธรรมแล้วกินใจ  แมแ้ ตว่ ตั รปฏบิ ตั ติ า่ งๆ ทที่ า่ นอาจารยเ์ ตรยี มไวใ้ หเ้ ปน็ บทเรยี นทง้ั หมด  มันจะกินใจ  มันจะสอดคล้องกับอารมณ์ปฏิบัติของเราในแต่ละวัน  ทป่ี ฏบิ ตั ไิ ด ้ และทก่ี ำ� ลงั ศกึ ษาอย ู่ มนั จะเปน็ อยา่ งนไ้ี ปเรอื่ ยๆ อะไรท่ี  ท�ำแล้วกินใจน้ันเป็นเครื่องวัด แสดงว่าเรามีศรัทธาจรงิ ๆ แลว้  เรา  มสี ติตอ่ การรับรแู้ ล้ว อันนถ้ี ูกผิดอย่างไรให้ทา่ นอาจารยช์ ี้แนะอีกท ี แตถ่ อื เสยี วา่ น้ีคือประสบการณข์ องผม สงิ่ หนงึ่ ทท่ี ำ� ใหผ้ มเกดิ ความมนั่ ใจแบบฉบั พลนั เลยคอื  วนั หนง่ึ   ประมาณวันที่  ๖  ของการมาปฏิบัติครั้งแรก  ท�ำอะไรมันจะกินใจ  มนั พอใจทจี่ ะรบั ร ู้ ผมจะรบั ไดเ้ ยอะขนึ้ เรอ่ื ยๆ จนมาถงึ จดุ หนง่ึ ทเ่ี รา  เดนิ มานง่ั สรา้ งจงั หวะทก่ี ฏุ  ิ พอเหนอื่ ยพอสมควรแลว้ กเ็ ปลย่ี นไปเปน็   เดนิ จงกรม มนั กเ็ กดิ อาการฉกุ คดิ ขนึ้ มาในลกั ษณะทกั ทว้ งเวลาทเ่ี รา  เปลยี่ นอริ ยิ าบถตามความเคยชนิ ดงั เชน่ วนั กอ่ นๆ เกดิ เฉลยี วใจขนึ้   มาวา่  ทำ� ไมเราตอ้ งลกุ  ทำ� ไมเราตอ้ งเดนิ  ทำ� ไมเราตอ้ งนง่ั  กท็ ำ� ให ้ ไดเ้ ขา้ ใจวา่  ออ้ ...สง่ิ เหลา่ นม้ี นั มาจากขา้ งใน มนั ออกมาจากความคดิ   แต่ในขณะท่ีเกิดการรู้นั้น  มันค่อนข้างประหลาดหรือมหัศจรรย ์ อยใู่ นจติ พอสมควร พอมนั จบั จดุ ตรงนไ้ี ดต้ มู เดยี วเทา่ นน้ั แหละครบั   ความรู้สึกตัวท่ัวพร้อมเกิดข้ึนเองเลยโดยอัตโนมัติ  ไม่ว่าจะขยับ  อยา่ งไรจะรหู้ มดเลย รกู้ อ่ นขยบั ดว้ ย แมเ้ วลาทเ่ี ราจะเกาขา สตมิ นั   จะรู้ด้วยว่าจิตมันคิดจะเกาแล้ว  จะหันหลังหันซ้าย  มันเป็นความ  รู้สึกตัวที่มีการรับรู้เกิดข้ึนคล่องแคล่วว่องไวมาก  ส่ิงท่ีสัมผัสได้ใน  ตอนนน้ั  กลา่ วไดอ้ ยา่ งเดยี ววา่ มหศั จรรย ์ ไมค่ าดคดิ เลยวา่ สตมิ นั จะ 

120 ส ต ิ  เ ค ล ็ ด ล ั บ ม อ ง ด้ า น ใ น มคี วามละเอยี ดถงึ เพยี งนี้ อาการนเ้ี ปน็ อย ู่ ๒-๓ ชวั่ โมง แลว้ กค็ อ่ ยๆ จางลงเลอื นหาย  ไป จนเรารสู้ กึ ตดิ กบั มนั วา่  โอม้ นั ไปแลว้ หรอื  กอ่ นมนั ไปมนั กค็ อ่ ยๆ  รบั รทู้ คี่ อ่ นขา้ งชา้ ลง เหมอื นหนงั ทฉี่ ายสโลโมชนั่ อยา่ งนน้ั  แลว้ กก็ ลบั   สู่สภาวะปกติ  แต่เรารู้สึกเสียดายมันก็เลยเกิดอาการเครียด  ท่ี  ประหลาดอีกอย่างก็คือ  มันเกิดขึ้นพร้อมกับการจากไปของความ  ง่วงนอน  ท�ำๆ  ไปแล้วจู่ๆ  มันก็หายไปภายในพริบตาเดียวนั้นเลย หลังจากนนั้  ก็เกดิ ความรู้สึกว่าเราสามารถแยกแยะอะไรได้  แล้วนะ  เช่น  ความคิด  อารมณ์  กายท่ีรับค�ำส่ังความอัตโนมัต ิ ของกายเหมอื นมนั จะใหค้ ำ� ตอบกบั เราวา่ เรอ่ื งนม้ี นั มจี รงิ อย ู่ เปน็ สง่ิ   ทเ่ี ราตอ้ งติดตามท�ำความเขา้ ใจไปเรื่อยๆ  จากนน้ั  ทา่ นอาจารยไ์ ดเ้ ดนิ มา พอเจอหนา้ ผมทา่ นกพ็ ดู วา่   เอ...วนั นอ้ี าจารยช์ าญชยั เปน็ อะไร ผมกต็ อบทา่ นไปวา่ ผมเครยี ดครบั   คอื เสยี ดายสง่ิ ทเี่ กดิ ขน้ึ เมอื่ ตอนกลางวนั  ทา่ นกบ็ อกวา่ เปน็ ธรรมดา  มเี กดิ ข้ึนมาก็มจี ากไป ส่ิงท่ีเกิดขึ้นจะท�ำให้ผมผิดปกติหรือเปล่าไม่รู้  แต่ตอนนั้น  รู้สึกว่าสมองมันขยับจริงๆ  นะครับ  มันจะปรับปรึบๆ  อยู่ตรงนี้  ก ็ เลยคิดว่าเราเองมาปฏิบัติตอนอายุมากแล้วอย่างน้ี  มันจะมีอะไร  เพย้ี นหรือเปล่า เริ่มมีความไมแ่ น่ใจในตัวเอง หลงั จากนน้ั  ตกกลางคนื ผมกเ็ ขา้ นอน ไปตนื่ ตอนตหี นงึ่ กไ็ ป  เข้าห้องน�้ำ  ขากลับออกมาจะเดินเข้ากุฏิ  เจองูเลื้อยผ่านมาพอด ี เรายกขาก้าว  ก�ำลังจะเหยียบ  ปรากฏว่ามันหยุดกลางอากาศ  จิต  มนั บอกวา่  นไ่ี งสง่ั ใหห้ ยดุ  คอื ปกตจิ ะตกใจมากแลว้ กจ็ ะหน ี เพราะ  ความตระหนกตกใจจะเป็นตัวที่เราไม่ได้ทันคิดพิจารณาอะไร  แต ่ ตอนนั้นสติจะมาจับขาไว้ให้หยุดอะไรอย่างนี้  แล้วก็ปล่อยให้มัน 

121 พ ร ะ พ ุ ท ธ ย า น ั น ท ภ ิ ก ขุ เล้ือยไป  โดยไม่มีอาการตกใจ  จิตจะน่ิงสบายๆ  แบบธรรมชาติรู ้ เท่านนั้  นี่กเ็ ปน็ อกี กรณีหนึง่ ท่ผี มสงั เกตได้ แต่พอกลับไปนอนอีกเท่านั้นแหละครับ  ทีนี้ผมก็เหมือนกับ  คนบา้  คอื กเ็ หมอื นกบั ทพ่ี ระทา่ นเทศนป์ ระสบการณใ์ หฟ้ งั นนั่ แหละ  มีภาพของอดีตผุดข้ึนมาเหมือนเปิดโทรทัศน์สามจอพร้อมกัน  จะออกมาเป็นเรื่องเป็นราวไหลอยู่อย่างนั้น  ก็เลยหลับไม่ได ้ เพราะรู้สึกว่าเหมือนผมจะเพี้ยนแน่นอนคือประสาทหรือวิปลาส  เพราะไม่เคยเห็นว่ามันจะเป็นไปได้ที่คนเราจะคิดอะไรได้หลายๆ  อย่างพรอ้ มกนั และในเวลาเดียวกนั  คอื ผมเองก็เรยี นร้มู าอยู่บา้ งวา่   ปกติคนเราคิดอะไรที่เรานอนหลับตาจะมีภาพออกมาท่ีเป็นอดีต  ละเอยี ดมาก เหน็ แมก้ ระทงั่ ใยแมงมมุ  สมยั เดก็ ๆ ทมี่ นั หลดุ ออกมา  บางภาพเราเขา้ ใจ แตบ่ างภาพเราไมเ่ ขา้ ใจ บางภาพเราลมื ไปแลว้   จงึ เหมือนกับว่าเราไมเ่ คยเจอ คอื มนั ปรากฏออกมามากมายขนาดนนั้  ผมคดิ วา่ มนั ไมป่ กต ิ แลว้  สงสยั เราเสรจ็ แน่ เริม่ เกดิ ความวิตกว่าเรากลบั ไปงวดนส้ี งสัย  ว่าญาตพิ ่ีนอ้ งคงตอ้ งบอกวา่ เพยี้ นแน่เลย เผอิญว่าก่อนมาปฏิบัติผมได้ดูหนังเร่ืองหน่ึงเป็นหนังฝร่ัง  เรื่อง  Beautiful  Mind  เอ...กลับไปคราวน้ีผมคงเหมือนกับ  ไอ้  Nash  แน่เลย  คือได้เข้าโรงพยาบาลเพ่ือบ�ำบัดอาการทางจิต  เน่ืองมาจากสมองเราที่ผิดปกติ  แต่ก็ยังมีสติรู้อยู่  วันนี้ผมก็เลย  ต้องลุกข้ึนมากราบระลึกถึงหลวงพ่อเทียน  ก็พอปลงได้ว่า  เอ้า...  เป็นอย่างไรกช็ า่ งมนั  พอสงบใจได้ก็หลับไป แต่พอลุกข้ึนมาอีกก็เครียดท้ังวัน  เพราะเร่ืองเหล่าน้ีมันติด  อยใู่ นใจ ปฏบิ ตั ทิ ำ� ความเพยี รกไ็ มค่ อ่ ยได ้ มนั เรม่ิ เกบ็ กด เหตเุ พราะ  สง่ิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ นนั้ เราไมร่ วู้ า่ มนั คอื อะไร เผอญิ ในชว่ งเยน็ ทา่ นอาจารยก์ ็ 

122 ส ต ิ  เ ค ล ็ ด ล ั บ ม อ ง ด ้ า น ใ น ใหพ้ ระรปู หนงึ่ ขน้ึ แสดงธรรม ทา่ นไดเ้ ลา่ ประสบการณค์ ลา้ ยๆ อยา่ งน ้ี ผมก็เลยไปคุยกับท่านอาจารย์  ท่านก็บอกว่าธรรมดาไม่มีอะไร  ปฏิบตั ิแล้วมนั กจ็ ะหลุดออกมาอย่างน้แี หละ พอเราเขา้ ใจแล้วมนั ก็  ไมม่ อี ะไร มนั กป็ กติ กพ็ อดหี มดเวลาในชว่ งนนั้  คอื ครบ ๗ วนั กต็ อ้ งกลบั  เรอื่ ง  กามราคะทีต่ ้งั ใจไวว้ ่ามนั จะหลดุ อย่างไรกเ็ ลยยงั ไมไ่ ดค้ ำ� ตอบ พอมาครงั้ ท ี่ ๒ ใจลกึ ๆ กเ็ พอ่ื มาตดิ ตามเรอื่ งนอ้ี กี ครงั้  มนั   กเ็ หมอื นเปน็ กเิ ลส คอื พอเหน็ แลว้ มนั กอ็ ยากมาท�ำความเขา้ ใจใหร้ ้ ู ให้เห็นอีก  มันเป็นความสงสัยก็อยากท�ำให้หายสงสัย  คือผมก็ได ้ ศกึ ษามาเหมอื นกนั วา่ สง่ิ เหลา่ นมี้ นั เกดิ ขน้ึ แลว้ กแ็ ลว้ กนั ไป เราไมต่ อ้ ง  สงสัยหรือแสวงหาอะไรมันให้มากเพราะเท่ากับเป็นการสร้างทุกข์  ข้นึ มาอีก ท�ำไปได้ประมาณ  ๒-๓  วัน  วันท่ีสามตอนบ่ายๆ  เครื่องก ็ เริ่มติดคือได้อารมณ์  แต่ก่อนที่เคร่ืองจะติดน้ี  ผมก็จะต้ังเป้าเอาไว้  เลย  คือจะท�ำอะไรจะต้องก�ำหนดให้รู้ก่อนทุกครั้ง  เช่น  จะกินข้าว  มนั อยากกนิ เราจะยงั ไมก่ นิ  ตงั้ วางเอาไวด้ จู นกระทง่ั ความอยากมนั   หายไป  ผมจะก�ำหนดอย่างน้ีหมดเลย  จนท่านอาจารย์มาเจอแล้ว  บอกวา่  สตมิ นั ยงั ไมเ่ ขม้ แขง็ อยา่ พงึ่ ไปเรง่ รดั มนั  ปลอ่ ยมนั  ถงึ เวลา  แลว้ จะรูเ้ องเป็นเอง คือผมเองก็สร้างแบบแผนการเรียนรู้อย่างนี้ทุกวัน  แต่เม่ือ  ได้ยินท่านอาจารย์ว่า  ปล่อยให้เป็นธรรมชาติ  ถึงเวลาแล้วมันจะ  รเู้ อง เปน็ เอง ดังนัน้ ผมจึงตัดทิง้ ทง้ั หมด เกบ็ แผนทง้ั หลายเขา้ กรุ  หมดเลย  ผมเชื่ออย่างท่ีท่านอาจารย์บอก  สร้างจังหวะอย่างเดียว  ท�ำไปเรือ่ ยๆ ความง่วง ความคดิ กไ็ ม่ม ี คดิ มากต็ ัดไดไ้ ว เรื่องของการสร้างจังหวะนี้  ผมก็มีเทคนิคส่วนตัว  คือจะ 

123 พ ร ะ พ ุ ท ธ ย า นั น ท ภิ ก ขุ พยายามท�ำให้มันเป็นจังหวะท่ีแน่นอน  คือท�ำให้มันเป็นจังหวะท่ ี มาตรฐาน  ไม่ใช่เดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็ว  การเดินจงกรมผมก็จะวางระยะ  เอาไว้  ๑๐  ก้าว  เราจะมีความรู้สึกตัวอยู่กับการก้าวขยับเท้านั้น  มันจะชัดเจนท้ังเสียง  ทั้งอาการ  แม้กระท่ังการที่เราหมุนตัวกลับก ็ จะรบั รไู้ ดห้ มด สงั เกตดวู ธิ นี เี้ ราทำ� แปบ๊ เดยี วจะไดอ้ ารมณท์ นั ท ี หาก  มีอาการง่วง  ก็จะเร่งจังหวะมือหรือทุบขา  ส่ิงน้ีจะแก้ความฟุ้งซ่าน  ไดด้ ้วย สามารถตรวจสอบไดต้ ลอดเวลา พดู ถงึ เรอื่ งนวิ รณ ์ หากความเพยี รเราไมต่ อ่ เนอื่ ง เวลาฝกึ ครง้ั   ตอ่ ๆ ไป เรากต็ อ้ งเจอกบั มนั อกี  เพราะจติ มนั ยงั ไมเ่ ขา้ ท ่ี เพยี งแตว่ า่   เราจะไม่รู้สึกหนักใจ  เพราะรู้เขารู้เราบ้างแล้ว  ผมมาคราวน้ีก็เช่น  เดยี วกนั  กเ็ หมอื นกบั คนอนื่ ทเี่ ขา้ มาฝกึ  ๒-๓ วนั นต้ี อ้ งผา่ นนวิ รณ ์ ใหไ้ ด ้ คอื ตอ้ งผา่ นดา่ นนใ้ี หไ้ ดก้ อ่ น อยา่ งเมอื่ วานนงี้ ว่ งมาก ขณะที่  ยนื เดนิ  หรือนง่ั ปฏิบตั ปิ ฏิบตั กิ ็แทบจะเรียกว่าหลบั  แตพ่ อท�ำไปได้  ประมาณสกั บา่ ย ๓ โมง มนั จะหายไปแบบประเภทปลดิ ทงิ้  หายไป  แบบเปน็ ปจั จบุ นั ทนั ดว่ น เหมอื นกบั วา่ ตน่ื จากอะไรสกั อยา่ ง เหมอื น  เราไมเ่ คยมคี วามงว่ งมากอ่ นเลยอยา่ งนน้ั แหละ แมแ้ ตเ่ วทนาความ  ปวดเมื่อยทั้งหลายก็หายไปด้วยกัน  เรื่องเหล่านี้ต้องใช้ความเพียร  เข้าสู้  มีศรัทธา  มีความมั่นใจ  ปฏิบัติไปโดยไม่ได้สนใจอะไรทั้งส้ิน  สนใจเฉพาะมอื กบั ขา เวลาไมส่ น ก็จะได้อารมณ์เรอื่ ยๆ วนั ท ่ี ๔-๕ กไ็ ดอ้ ารมณท์ งั้ วนั  วนั นมี้ อี ดตี ปรากฏขนึ้ มาในจติ   มั่นใจเลยว่าเราไม่ได้คิด  หรือไปปรุงแต่งอะไรมัน  คือก่อนหน้านี้  ท่านอาจารย์บอกว่าอะไรมันจะออกมาก็ให้ปล่อยมันนะ  อย่าไปกด  มนั ไว ้ จะเหน็ ภาพตอนเดก็ ๆ เหตกุ ารณต์ อนไปเรยี นหนงั สอื อยา่ งไร  มันจะค่อยๆ ผุดออกมาจากจิต ปรากฏอยู่ในจิต เหมือนเรากำ� ลัง  ดูหนังท้ังวัน  เป็นภาวะท่ีเราไม่ได้มีความรู้สึกคับแค้นใจอะไร  เรา 

124 ส ต ิ  เ ค ล ็ ด ล ั บ ม อ ง ด้ า น ใ น จะไม่ได้ทุกข์หรือมีอารมณ์ร่วมอะไรกับมันเลย  เป็นผู้ดูอย่างเดียว  ซ่ึงเราเองก็ลืมไปหมดแล้ว  เราไม่เคยได้เก็บเอาเร่ืองเหล่านี้มาคิด  เพราะชีวิตเราก็ประสบความส�ำเร็จอยู่พอสมควรจึงไม่ได้เก็บเอา  ความคิดเป็นอารมณ์ สง่ิ นปี้ รากฏทง้ั วนั จนกระทง่ั เยน็  กก็ ลบั กลายมาเปน็ อารมณ์  เศร้าตอนเด็กท่ีเราเคยประสบ  พอมันหลุดออกมา  ทีนี้ผมก็เลย  รอ้ งไห ้ กพ็ อดที า่ นอาจารยเ์ ดนิ มาพบ ทา่ นกบ็ อกวา่  เออ...ไมม่ อี ะไร  ท่านไม่ได้พูดคุยอะไรมาก  ท่านบอกให้อยู่กับปัจจุบัน  มีสติระลึกรู ้ อยูก่ บั การเคล่ือนไหวน ี้ ใหป้ รารภความเพยี รตอ่ ไปเรอื่ ยๆ  ก็ประหลาดนะครับ  อันนี้มันเก็บอยู่ในสัญญาจริงๆ  มันเป็น  อารมณอ์ นั หนงึ่ ทไ่ี มใ่ ชข่ อ้ มลู  เปน็ อารมณค์ วามรสู้ กึ ทถี่ กู เกบ็ เอาไว้  มันหลุดออกมาเหมือนฟองอากาศที่ผุดออกมาจากน�้ำ  มันปุ๊ดขึ้น  มาอยา่ งนน้ั แหละ คอื ตอนนนั้ ผมกไ็ ดเ้ จรญิ สตติ ลอด แลว้ กไ็ ดเ้ ขา้ ใจ  ว่า  เออ...อันน้ีแหละคือความทุกข์  เข้าใจในตอนน้ันเลยว่า  โอ...  นี่แหละคือความทุกข์จริงๆ  ความทุกข์ท่ีอยู่ในรูปของอุปาทาน  ในสญั ญาขนั ธ ์ ทกุ ขท์ างกายทเ่ี กดิ จากการปวดเมอื่ ยนก้ี ใ็ ชอ่ ย ู่ แตส่ งิ่   ทเี่ กบ็ ไวใ้ นสญั ญาอารมณ ์ มนั เปน็ อปุ าทานขนั ธ ์ มนั เปน็ ทกุ ขจ์ รงิ ๆ เราก็ยังสงสัยว่า  ท�ำไมมันต้องเก็บเอาไว้เฉพาะความเศร้า  ท�ำไมไม่เก็บเอาดีใจไว้  ก็ได้เข้าใจว่ามันอยู่ที่การไปเสริมไปฝังของ  อุปาทานเราน้ีแหละครับ  แต่ว่าการมาท�ำอย่างน้ีก็ท�ำให้มันหลุด  ออกมาได้ ก็เกิดการไต่สวนเองนะครับว่ามันเป็นเพราะอะไร  ก็ถึงได้  มาเข้าใจว่าไอ้กามารมณ์น้ีเป็นสาเหตุของวัฏสงสารจริงๆ  คือ  ชีวิตมันเคล่ือนไป  สืบทอดกลับไปแล้วมันก็จะทิ้งส่ิงเหล่านี้เอาไว้  คนทุกคนจะเก็บเอาความทุกข์ไว้ตลอดถ้าเผ่ือไม่มีธรรมะ  คือ 

125 พ ร ะ พุ ท ธ ย า น ั น ท ภ ิ ก ขุ ทุกๆ  เวลาท่ีเราคิด  มันอยู่ท่ีว่าเราสร้างอุปาทานตัวนั้นเยอะไหม  เรื่องใดท่ีมันกินใจ  มันทุกข์ใจมาก  อุปาทานมันก็จะแน่นหนามาก  มนั จะเกบ็ เอาไวใ้ นรปู ของอปุ าทานคลา้ ยกบั เมลด็ พชื  เราอาจจะลมื   แต่เราจะไม่รู้หรอกว่ามันอยู่อย่างไร  อย่างคนแก่ท่ีเขาเศร้าโศก  กบั อดตี แล้วก็รอ้ งไห ้ หรอื แม้ความภมู ิใจในอดีตก็จะไมต่ า่ งกนั มันจะค่อยๆ  หลุดออกมาจากตรงนั้น  ออกมาทับถมจิตใจ  ของเรา เพราะเราไมร่  ู้ วนั นน้ั เรากจ็ ะตกนรกทง้ั วนั  แตส่ งิ่ ทผ่ี มเขา้ ใจ  หลังปฏิบัติคือ  เราได้ท�ำสัญญานั้นเป็นโมฆะไปโดยปริยาย  รู้ถึง  สาเหตุที่มันเกิดขึ้นมาได้นั้นเป็นเพราะอะไร  และจะแก้ไขมันได ้ อยา่ งไร อนั นีป้ ฏิบัตไิ ดแ้ ล้วจะรู้ สงิ่ ทผี่ มอยากฝากพระคณุ เจา้ เอาไวใ้ นลำ� ดบั สดุ ทา้ ยนกี้ ค็ อื วา่   เมอ่ื เครอ่ื งตดิ  มนั เรม่ิ นงิ่  หรอื ไดอ้ ารมณแ์ ลว้  ผมเองจะสงั เกตเสยี ง  ของหวั ใจเต้น กับประสาททางหู แล้วเราจะไม่หลุดไปกบั ความคดิ   ขณะทเี่ ราเอาจติ มาจดจอ่ อยกู่ บั อาการของหวั ใจเตน้ ได ้ นนั่ แสดงวา่   จิตเราน่ิงแล้ว  คือถ้าเราติดความคิดแล้ว  ความละเอียดของการด ู การรสู้ ง่ิ เหลา่ นจ้ี ะหายไป เราจะรทู้ นั ทวี า่ เราตดิ ความคดิ ไปแลว้  สต ิ มันหลุด  บางทีเราอาจย้ายฐานของการก�ำหนดรู้  เช่น  การสัมผัส  ทางตา ทางหู หรอื ทางล้นิ  เมอื่ เวลางว่ งผมกจ็ ะเดด็ ฟา้ ทะลายโจร  มาพบั ๆ แลว้ กอ็ มไว ้ สตเิ รากจ็ ะมารอู้ ยทู่ เ่ี วทนาทางลนิ้ คอื ความขม เราจะสังเกตเห็นรอยต่อระหว่างความหลุดกับความหลง  การเขา้ ไปอยกู่ บั ความคดิ ปรงุ แตง่ หรอื ไม ่ สง่ิ เหลา่ นเี้ ราควรจะสงั เกต  เปน็ แบบแผนไว้บา้ ง ถ้ารูจ้ ักสงั เกตอารมณอ์ นั น้ีจะชว่ ยได้มาก เมอื่ กอ่ นผมตอ้ งสรา้ งฉนั ทะ ตอ้ งสรา้ งศรทั ธาขน้ึ มา เพราะ  ยังมีความข้ีเกียจไม่อยากท�ำ  แต่ตอนน้ีมันเป็นไปเองโดยสติแล้ว  สองสามเดอื นหลงั กลบั ไป พอวา่ งสตจิ ะมาของมนั เองเลย การรอู้ ย่ ู

126 ส ติ  เ ค ล ็ ด ล ั บ ม อ ง ด้ า น ใ น กับการเคล่ือนไหวน้ีเป็นความพอใจของมันเอง  ผมมองว่ามันเป็น  มหศั จรรยท์ างจติ  มนษุ ยเ์ ราหากไดว้ ชิ านไ้ี ป กค็ งจะชว่ ยพฒั นาชวี ติ   สติปัญญา  ความเข้าใจของมนุษย์ทั้งต่อตัวเองและโลกมนุษย์ได ้ อยา่ งอาจเรียกว่าสมบูรณ์เลยทเี ดียวกว็ ่าได้ และท่ีส�ำคัญคือผมก็ได้ในส่ิงท่ีตั้งเป้าเอาไว้  คือเรื่องของ  กามราคะทว่ี า่ จะใหห้ มด มนั กห็ ายสงสยั  คอื หมดแบบทเี่ ราเขา้ ใจมนั   ทผี่ า่ นมามนั เกดิ เพราะเราไมร่  ู้ เรายงั ขาดความเขม้ แขง็ และเดด็ ขาด  คราวน้ีหลังปฏิบัติกลับไป  ผมก็ได้ตรวจสอบดูว่ามันถาวรไหม  ปรากฏว่าเรามีสติที่ว่องไวรวดเร็วข้ึน  แต่ก็ยังประมาทไม่ได้  รู้เร็ว  มนั เขา้ มา มนั เกดิ ขนึ้ ในสว่ นของกาย หรอื ในสว่ นของจติ เราจะรเู้ ลย  เราเห็น  เราเข้าใจ  เราเตะส่งมันออกไปเลย  ก็จะเป็นอยู่อย่างนี ้ จะวา่ เปน็ ความมหศั จรรยก์ ใ็ ช ่ แตม่ นั เปน็ อาการรทู้ ป่ี รากฏอยภู่ ายใน  ไม่ได้เหนือความสามารถของมนุษย์แต่อย่างใด  มันแปลกตรงที่  อะไรกระทบแล้วมนั รู้เร็วปล่อยเรว็ ผมเองก็มีเรื่องที่จะกราบเรียนถวายพระคุณเจ้า  ผู้เข้ารับ  การฝกึ อบรมเพอ่ื พจิ ารณาเทา่ นแ้ี หละครบั  กข็ อใหร้ ะยะเวลาทเ่ี ขา้ มา  ศกึ ษาทน่ี  ี่ เปน็ ไปเพอ่ื การศกึ ษาตวั เอง แลว้ เราจะไดพ้ บกบั สจั ธรรม  เพ่ือคุ้มครองชีวิตตัวเองตลอดจนช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  ในโอกาสต่อไป

127 พ ร ะ พ ุ ท ธ ย า น ั น ท ภ ิ ก ขุ เมอื่ สตกิ บั จิตตามทนั กัน ความทกุ ข์ทเี่ กดิ จากการปรงุ แต่ง ก็จะลดลงเรอ่ื ยๆ หลวงพอ่ มหาดิเรก พทุ ธยานันโท

ธรรมที่เกิดจากท�ำ พระวรากร อภนิ นฺโท ปนี กี้ ระผมพระวรากร อภนิ นโฺ ท อาย ุ ๒๗ ป ี พรรษา ๑ ไดม้ โี อกาส  ได้เข้ามาร่วมปฏิบัติธรรมกับหมู่คณะที่นี่  เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได ้ มีโอกาสปฏิบัติธรรมแบบ  “เก็บอารมณ์”  อย่างจริงจัง  นับว่าเป็น  ประสบการณอ์ ีกมุมหนึง่ ทผี่ มจะลืมไมไ่ ด้เลย เม่ือก่อนชีวิตของผมอยู่แบบไร้จุดหมาย  ผมไม่รู้ว่าตัวเอง  เกิดมาท�ำไม  มีชีวิตอยู่ต่อไปเพ่ืออะไร  และเมื่อจากโลกน้ีไปแล้ว  ผมจะไปไหน  จะเป็นอย่างไร  เหล่าน้ีคือค�ำถามที่หาค�ำตอบไม่ได้  ตอ่ เมอื่ ผมไดม้ โี อกาสเขา้ ปฏบิ ตั เิ จรญิ สตปิ ฏั ฐาน ๔ แบบเคลอื่ นไหว  จึงท�ำให้ผมเข้าใจชีวิตดีข้ึน  รู้ว่าอะไรคือทุกข์  อะไรคือสุขท่ีแท้จริง  เมื่อได้ศึกษาปฏิบัติก็ยิ่งเห็นความละเอียดลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น  เห็น  หน้าท่ีของมนุษย์ที่ต้องรีบท�ำก่อนสิ่งอ่ืน  คือการดับทุกข์  ดับไฟท ่ี เผาอยูใ่ นใจเรา

129 พ ร ะ พุ ท ธ ย า นั น ท ภ ิ ก ขุ ครั้งแรกท่ีเข้าเก็บอารมณ์  ผมไม่เคยรู้เรื่องอะไรมาก่อนเลย  เพราะเปน็ ผใู้ หม ่ การยกมอื สรา้ งจงั หวะเดนิ จงกรมกส็ กั แตว่ า่ ทำ� ไป  อยา่ งน้ันแหละ ทำ� ไปตามท่ีเคยได้ยนิ ครูบาอาจารย์บอกกลา่ ว เวลาพระอาจารย์มาสอบอารมณ์ก็ไม่รู้ว่าจะบอกอะไร  จะ  เรมิ่ ตน้ อยา่ งไร ดมู นั สบั สนวนุ่ วายไปหมด แตด่ เู หมอื นวา่ พระอาจารย์  ท่านคงจะเข้าใจ  ท่านเลยบอกให้ท�ำเล่นๆ  ไปก่อนผมก็เลยท�ำไป  เรอื่ ยๆ แตก่ ย็ งั ไมเ่ ขา้ ใจอยดู่  ี “กายเปน็ อยา่ งไร ใจเปน็ อยา่ งไร สต ิ คืออะไร ทุกข-์ สขุ อยู่ทีไ่ หน ไม่รูเ้ รื่องเลย” และแลว้ วนั แหง่ การเปลยี่ นแปลงกม็ าถงึ  หลงั จากฉนั ภตั ตาหาร  เสรจ็  พระอาจารยท์ า่ นกม็ าสอบอารมณอ์ กี เชน่ เคย ทา่ นบอกใหข้ ดุ   ร่องเพื่อระบายน�้ำฝนที่ตกลงมาจากชายคาเต็นท์และขังอยู่รอบๆ  ข้าง  คราวนี้ตัวเองเร่ิมมีปฏิกิริยาคือรู้สึกไม่พอใจ  ไม่อยากท�ำตาม  ให้เสียเวลา  ระหว่างการปฏิบัติอยู่น้ัน  ความรู้สึกเริ่มแตกแยกออก  เปน็  ๒ ฝา่ ย ความคดิ หนง่ึ บอกเราไมท่ ำ� เดด็ ขาด แตอ่ กี ความคดิ หนงึ่   บอกว่าท�ำเถอะอาจารย์ให้ท�ำ  เลยเกิดอารมณ์ขัดแย้งฟุ้งซ่านแต่ก ็ ยอมท�ำโดยด ี เสรจ็ แล้วจงึ กลบั มาเดินจงกรมสร้างจงั หวะตอ่ ความคดิ เรมิ่ ฟงุ้ ซา่ นขน้ึ เรอ่ื ยๆ ตลอดทง้ั วนั จนกระทงั่ ถงึ เวลา  ๔ ทมุ่ จงึ เขา้ นอนและหลบั ไปดว้ ยความออ่ นเพลยี  มารสู้ กึ ตวั อกี ครงั้   ก็เป็นเวลาตี  ๔  พอดี  ความคิดเดิมก็ตามมาอีก  เราไม่น่าท�ำเลย  จะเป็นอาบัติหรือเปล่าก็ไม่รู้  คิดไปต่างๆ  นานา  แต่พอพักก็เริ่ม  รสู้ กึ ตวั  “เอะ๊ !...เราเกบ็ มาคดิ อกี ทำ� ไม เรอื่ งมนั ผา่ นไปแลว้ น ่ี มนั จะ  ต้องมีเหตุให้เราคิด”  คราวนี้จึงเร่ิมกลับไปค้นหาต้นตอของมันตรง  ทีว่ า่  จะทำ� หรอื ไมท่ �ำก็ยงั ไม่ชัดเจน คดิ ถงึ เมอื่ ตอนพระอาจารยท์ า่ นพดู เมอื่ วนั กอ่ นวา่  เราคดิ เรา  จงึ เปน็ ทุกข์ หากเราไม่คดิ เราก็ไมท่ ุกข์

130 ส ต ิ  เ ค ล ็ ด ลั บ ม อ ง ด ้ า น ใ น ความรู้สึก  ปิ๊ง..!  ข้ึนมาทันที  “อ้อ...เข้าใจแล้ว  ไอ้เจ้าตัว  ความคิดนี้เองที่มันท�ำให้เราเป็นทุกข์”  มันเริ่มจากตรงที่เราคิดจะ  ไมท่ �ำตามค�ำแนะนำ� ของพระอาจารย์ มนั เลยคดิ ฟ้งุ ซ่านท้ังวัน เอะ๊ ! ถา้ อยา่ งนนั้ เรากต็ ดิ อารมณน์ ะ่ ซ.ิ .. การตดิ อารมณม์ นั   เปน็ อยา่ งน้ีนี่เอง ก็เลยทำ� ให้ผมเขา้ ใจคำ� วา่ ตดิ อารมณ์ตัง้ แตบ่ ัดนั้น  “เมอ่ื หมดความสงสัยความทกุ ขก์ ห็ มดไป เกดิ ความอม่ิ เอิบทง้ั วนั ” พอตกเยน็ นำ� สงิ่ ทเ่ี กดิ ขนึ้ มาทบทวน ท�ำใหร้ สู้ กึ เปน็ สขุ คลา้ ย  กบั ว่าเราเปน็ ฮโี ร ่ เราเป็นผู้ชนะ เราเข้าใจอะไรขน้ึ บา้ งแล้ว พอดเี กดิ ความคดิ แวบ้ เขา้ มา มนั บอกวา่ วติ ก วจิ าร ปตี  ิ สขุ   เอกัคคตา  คราวน้ีเริ่มค้นหาว่าอะไรคือสภาวะท่ีว่าน้ัน  มันบอกว่า  กเ็ รอ่ื งทเ่ี ราเปน็ ทกุ ขเ์ มอื่ เชา้ นไ้ี ง “มนั เปน็ กงั วลสงสยั  เรยี กวา่ อยใู่ น  หว้ งของวติ ก การทเี่ รานำ� มาทบทวนคน้ หาตน้ เหตทุ ที่ ำ� ใหเ้ ราเปน็ ทกุ ข ์ นน่ั แหละคอื วจิ าร เรม่ิ คน้ ตอ่ ไปอกี วา่ ปตี เิ ปน็ อยา่ งไร ปตี กิ ค็ อื การที่  เราค้นพบต้นเหตุ  เข้าใจมันดีแล้ว  หายสงสัย  น่ีแหละคือปีติ  แล้ว สุขก็คือการท่ีเกิดความดีใจ  อ่ิมเอิบน่ันเอง  มันเป็นอารมณ์ที ่ ต่อเน่อื งจากปีติ ส่วนเอกัคคตามันก็เป็นอารมณ์ท่ีอ่ิมเอิบต่อเน่อื ง  ไมง่ ว่ ง ไมห่ วิ  ไมเ่ จบ็ ปวด รสู้ กึ เปน็ สขุ อยา่ งเดยี วไมม่ อี ยา่ งอนื่ ปน”  ออ้ ...มันเปน็ อยา่ งนเี้ อง ความรู้สึกตอนน้ีดูเหมือนว่า  ตัวมันพองข้ึน  คิดอะไรข้ึนมา  มันตอบได้หมด  อธิบายได้เป็นตุเป็นตะ  ลักษณะเหมือนการแทง  หยวกกล้วยด้วยของแหลมคม  มันทะลุไปหมด  รู้สึกมีเร่ืองต่างๆ  ผา่ นเข้ามาเรือ่ ยๆ  วนั ตอ่ มา พระอาจารยม์ าสอบอารมณก์ ไ็ ดเ้ ลา่ เรอ่ื งทตี่ ดิ อารมณ ์ ให้ท่านฟัง  ส่วนเร่ืองที่มันคิดขึ้นแล้วตอบได้เอง  ไม่ได้บอกให้ท่าน  ทราบ เพราะก�ำลังสนุกกบั มันอยู่

131 พ ร ะ พ ุ ท ธ ย า นั น ท ภิ ก ขุ กลับมาท�ำความเพียรต่อ  มันรู้สึกอิ่มเอิบ  ตัวพองโตขึ้น  ก็  เดินจงกรมต่อไปเรื่อยๆ  คราวนี้ต้ังค�ำถามขึ้นว่าวัฏจักรของชีวิต  เปน็ อยา่ งไร อธบิ ายใหฟ้ งั ซ ิ คำ� ตอบมนั โพลง่ ขน้ึ มาเลย เมด็ มะมว่ ง  อาศัยดิน  น้�ำ  แสงแดด  ลม  เกิดเป็นต้นอ่อน  มีใบ  ค่อยโตขึ้น  ส่วนล่างเป็นรากมีโคนมีต้น  เป็นกิ่งแตกก้าน  มีใบแล้วค่อยโตขึ้น  ใช้เวลาพอสมควรประมาณห้าถึงหกปี  เริ่มออกดอกและกลายเป็น  ลกู ตามลำ� ดบั  เมด็ ขา้ งในเรมิ่ งอกตอ่ ไปเปน็ ลกู แก ่ ลกู หา่ ม จนทสี่ ดุ   ก็สุกงอมเต็มที่แล้วหล่น  เปลือกเน้ือข้างในเริ่มเน่าหลุดร่อนเหลือ แตเ่ มด็ นี่คือวัฏจักรอันหน่ึง  ถามมันว่าแล้วย้อนอดีตกลับได้ไหม  มันบอกได้ว่า  โดยเริ่มจากมะม่วงสุกเป็นลูกห่าม  ลูกแก่  ลูกอ่อน  เปน็ ดอกบานใหญ ่ ดอกเลก็  เปน็ กง่ิ  กา้ น ใบ เปน็ ลำ� ตน้  โคน ราก  ย่อลงไปเป็นเม็ดคงที่  ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมันไวมากเหมือน  ดูวีดิโอ  แต่ก็เข้าใจตามมันได้ทัน  ตอนนี้รู้สึกตัวพองข้ึน  สังเกต  ได้ว่าเม่ือเข้าใจเร่ืองหน่ึงๆ  จบลงตัวจะพองขึ้น  เป็นเช่นนี้อยู่ได ้ สองวนั  รูส้ กึ สนุกกบั การหาค�ำตอบ ตอนนรี้ สู้ กึ เอะใจ นเ่ี ราตดิ อารมณห์ รอื เปลา่  อยา่ งนเี้ ขาเรยี ก  วา่ วปิ สั สนกู ระมงั  เลยทำ� ใหม้ านกึ ถงึ คำ� วา่ วปิ ลาสมนั เหมอื นชา้ งตกมนั   มีความฮึกเหิมล�ำพองไม่กลัวใคร  ถ้าปล่อยไว้อาจเป็นบ้าไปเลย  กไ็ ด ้ เราจะตอ้ งหยดุ เดย๋ี วน ้ี พอคดิ ไดเ้ ทา่ นมี้ นั กห็ ดหายไปหมดเลย  พระอาจารย์มาสอบอารมณ์ก็ไมไ่ ด้เล่าใหท้ า่ นฟัง อีกสองวันต่อมา  ก็ไม่มีอาการเช่นนั้นอีก  เลยเข้าใจว่ามัน  ไม่เทยี่ ง เกิดได้กด็ ับได ้ จงึ ทำ� ความเพียรตอ่ ไปอกี สามวันต่อมา  มีอาการปวดเมื่อยเล็กน้อย  แต่ความคิดเร่ิม  ฟุ้งซ่าน  ช่วงนั้นฉันอาหารได้มาก  เมื่อฉันมากหนังท้องตึงหนังตา 

132 ส ต ิ  เ ค ล็ ด ลั บ ม อ ง ด้ า น ใ น ก็หยอ่ น งว่ งนอนมาก ตอ้ งท�ำความเพยี รหนกั ขนึ้  บางครง้ั ไมไ่ หว  ตอ้ งแอบเขา้ ไปนอนครงั้ ละชว่ั โมงสองชว่ั โมงกม็  ี เปน็ อยา่ งนสี้ ามวนั   จึงเข้าใจว่าเป็นเพราะอาหารนี้เอง  กินมากก็ฟุ้งซ่านมากง่วงนอน  มาก  ก็เลยลดอาหารให้น้อยลง  ตอนนี้ดีข้ึนแล้วเบาสบาย  แต่  ความคิดยงั ฟงุ้ อยู่ บางครั้ง  รู้สึกเบ่ือไม่อยากท�ำต้องอาศัยการท�ำจังหวะเพลง  ขน้ึ ในใจ กพ็ อประคองไปได ้ ตอนนเ้ี รมิ่ เขา้ ใจความคดิ ทม่ี นั ยงั มอี ย ู่ เพราะเราเขา้ ไปหยดุ มนั  เขา้ ไปหา้ มมนั ไมใ่ หม้ นั คดิ  เปน็ การเขา้ ไป  ยุ่งกับมันมากเกินไป  เราจะต้องกลับมาท�ำความเพียรให้หนักขึ้น  แตก่ ย็ งั ไม่รู้วา่ จะหาทางหยุดความคดิ ได้อย่างไร วันต่อมาพระอาจารย์มาสอบอารมณ์  ท่านถามว่าคงพอ  พูดกันรู้เร่ืองบ้างแล้วหรือ  ตอบท่านว่าพอรู้เรื่องครับ  แล้วผมก็เร่ง  ทำ� ความเพียรตอ่ ไปอีก ผ่านไปอีกสองวัน  พอตกกลางคืนรู้สึกว่า  มึนหัว  หน้ามืด  ตาลาย  เดินเซเหมือนคนเมาเลยหยุดท�ำ  ดูนาฬิกาเพ่ิงสองทุ่มก็  เข้านอน  เพราะมันรู้สึกเบื่อท้อแท้  ไปต่ืนเอาตีห้ากว่าออกมาน่ัง  สร้างจังหวะอาการมันก็ยังมีอยู่  พอสว่างเลยลุกมาเดินจงกรม  ความคิดหน่ึงมันเกิดข้ึน  ความคิดก็คือความคิด  มันคิดก็เป็นเร่ือง  ของมัน  เราไปยุ่งกับมันท�ำไม  เหมือนกับเงาท่ีอยู่ข้างหน้า  เรา  เดินตามมัน  มันก็เดินหนีเรา  ถ้าเราหันหลังให้มันเดินจากไป  มัน  ก็จะเดินตามเรา  อ๋อ...เข้าใจแล้ว  ความรู้สึกมันสว่างวาบออกไป  เดินกลับไปน่ังท่ีก็รู้สึกมันโปร่งเบาสบาย  มองไปข้างหน้ารู้สึกสว่าง  ชัดเจนไปหมด  มันหายสงสัยแล้วกลับมาเดินจงกรม  ความรู้สึก  เคล่ือนไหวมันชัดเจนข้ึน  รู้สึกตัวมากขึ้น  ความคิดมันขาดหายไป  เหมือนกับเป็นคนละส่วน  มันไม่เข้ามาติดกันอีก  ความคิดยังมีอยู่ 

133 พ ร ะ พุ ท ธ ย า นั น ท ภิ ก ขุ แต่เบาไม่มีน้�ำหนัก  เดินจงกรมสร้างจังหวะท้ังวันก็ไม่มีปัญหา  ต่อ  ให้คดิ ท้งั วันกไ็ มม่ ผี ล ความคดิ มนั เบา พระอาจารย์มาสอบอารมณ์ก็เล่าให้ท่านฟัง  ท่านบอกให ้ ประคองไวเ้ พราะอารมณน์ เี้ ปรยี บเสมอื นตน้ ไมป้ ลกู ใหม ่ เมอ่ื ถกู ลมพดั   กจ็ ะไมล่ ม้ ไดง้ า่ ย เชน่ เดยี วกนั เมอื่ เรามสี ต ิ มสี มาธกิ ส็ ามารถประคอง  อารมณใ์ หต้ งั้ ม่นั ได้ อย่าพึ่งไว้ใจ ใหด้ มู นั ไปก่อน นบั แตว่ นั นนั้ จนถงึ วนั น ้ี ผมกพ็ ยายามประคองสตไิ ว ้ ไมย่ นิ ดี  ยินร้ายมากนัก  กายเคลื่อนไหวก็รู้สึก  มันเจ็บปวด  พอใจไม่พอใจ  ก็รู้สึกอยู่อย่างน้ัน  มันคิดก็ให้มันคิดไปแต่ก็รู้อยู่ว่ามันคิดเรื่องอะไร  คดิ เร่ืองดบี า้ งไมด่ บี ้างเปน็ ของมันอยู่อย่างน้ัน นีเ้ ปน็ ปกติธรรมดา แตค่ วามโลภ โกรธ หลง มนั กย็ งั มอี ย ู่ ยงั รอเวลาขจดั ออก  ไปดงั เชน่ คำ� กลา่ วทว่ี า่  น�้ำลดตอกผ็ ดุ ใหเ้ หน็  กเิ ลสทง้ั หลายกน็ ้�ำลด  ตอก็ผดุ ให้เหน็  กเิ ลสทง้ั หลายกเ็ หมือนตอ รอเวลาขุดออกเทา่ น้ัน ส�ำหรับผม  คิดว่าการปฏิบัติธรรมเป็นลมหายใจส่วนท่ีสอง  ของชวี ติ  ผมจะนอ้ มนำ� ไปปฏบิ ตั ใิ หด้ ยี ง่ิ ๆ ขนึ้ ไป ถา้ ศกึ ษาจนเขา้ ใจ  ดแี ล้วจะไดน้ �ำไปแนะนำ� ผู้อน่ื ใหเ้ ขาพ้นทกุ ขต์ ่อไป

สัจจะแท้ท่ีผมเข้าใจ พระวโิ รจน์ ธมมฺ วโร การตดั สนิ ใจเขา้ ปฏบิ ตั เิ ขม้ อยา่ งทนี่ กั เลงกรรมฐานสายนเ้ี ขาเรยี กวา่   “เก็บอารมณ์”  ในครั้งนี้  ตัวเองต้องพยายามหาเหตุผลมากมาย  มาหักล้างกันเองว่าจะเข้าดีหรือไม่ดี  กว่าจะตัดสินใจได้ก็ปวดหัว  พอสมควร เหตผุ ลของผมกไ็ มม่ อี ะไรมาก มนั สรปุ ลงตรงทว่ี า่  บวช  มาแลว้ กลวั เสยี เวลาเปลา่ มาถึงสถานที่ปฏิบัติแล้วมีความตั้งใจเต็มท่ี  จะทุ่มเทชีวิต  จิตใจให้กับการศึกษาธรรมปฏิบัติจริงเพื่อการรู้ย่ิงเห็นจริงในคร้ังน้ ี ให้จงได้  โดยเฉพาะอย่างย่ิงจะศึกษาความเป็นมาของรูปนามให้  แจ่มแจ้ง  ซ่ึงกว่าสลัดอารมณ์ความคิดฟุ้งซ่านก็นานพอสมควรอยู่  เหมอื นกนั  ชนดิ วา่ เกอื บบา้ กนั เลยทเี ดยี ว ชวี ติ นม้ี นั เหน็ ความรสู้ กึ ตวั   เฉยๆ  ไปโน่นเลย  แต่การได้อยู่กับความฟุ้งซ่านปรุงแต่งสังขาร  ท้ังหลายว่าเป็นเหมือนด่ังมิตรสหายที่ก่อเกิดมาด้วยกัน  กว่าจะรู ้ ธาตุแทว้ ่าอะไรเปน็ ธรรมะอะไรเป็นมารกใ็ ช้เวลานานพอสมควร เม่ือมาอยู่กับความรู้สึกตัวเฉยๆ ทำ� ให้ปลอดโปร่งเบาใจขึ้น  มาก และพยายามเฝา้ ดคู วามเคลอื่ นไหวของรปู  จนเขา้ ใจวา่  สง่ิ ท่ ี เคล่อื นไหวคือรูป ความรสู้ ึกอยูก่ บั ความเคล่อื นไหวคอื นาม 

135 พ ร ะ พุ ท ธ ย า นั น ท ภ ิ ก ขุ เมอื่ เขา้ ใจรปู นามชดั เจนแลว้  จงึ เขา้ ใจรปู โรคนามโรค รปู ธรรม  นามธรรม หรือรปู นามอย่างกลาง อยา่ งละเอยี ดตามล�ำดบั   ช่วงก่อนจะเข้าใจเร่ืองน้ี  หลวงพ่อได้มาถามเร่ืองอารมณ ์ บ่อยมาก  เกือบจะวันเว้นวัน  ท่านแนะให้ดูศีล  สมาธิ  ปัญญา  ให ้ แยกให้ออก  ความรู้สึกท่ีเกิดข้ึนมาให้เห็นว่ามันเป็นทุกข์  ไม่เท่ียง  แมแ้ ตว่ า่ ความรสู้ กึ ตวั เฉยๆ กไ็ มเ่ วน้  จนเชา้ วนั ท ี่ ๓๐ พฤษภาคม  อารมณ์ขณะนัน้ ปลอดโปรง่  เบาสบาย เบากายเบาใจไปหมด ขณะน่ังสร้างจังหวะ  ความจริงศีล  สมาธิ  ปัญญาอยู่ใน  ตัวรู้สึกเฉยๆ  นั่นแหละ  แต่เมื่อก่อนเรามองไม่เห็นเอง  รูปนามคือ  สิ่งที่เคลื่อนไหว  เพราะว่ามันทุกข์จึงเกิดการเคลื่อนไหว  มันทน  อยู่เฉยไม่ได้  และอาการที่เกิดข้ึนกับรูปนามก็เป็นอาการของทุกข ์ ท้ังน้ัน  มันจึงเป็นไปตามกฎของสามัญลักษณ์  ว่ารูปนามเป็นทุกข ์ เพราะต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา  และอาการท่ีเกิดขึ้นก็ไม่เท่ียง  จึงหาสาระความเป็นตวั ตนทแ่ี ท้จรงิ จากรูปนามไมไ่ ด้ รปู นามและอาการทเ่ี กดิ ขน้ึ จงึ กลายเปน็ วตั ถ ุ อาการทถ่ี กู สมมตุ  ิ ขนึ้ มาเทา่ นน้ั  แมว้ า่ จะเปน็ ตา ห ู จมกู  หรอื  เยน็  รอ้ น ออ่ น แขง็   หรอื ความไมส่ บายใจ ความพอใจ คือส่ิงสมมตุ ทิ ั้งน้นั ในขณะท่ีเข้าใจเรื่องนี้  เกิดสภาวะ  ดีใจมากแต่ก็เฉยได้  เพราะเขา้ ใจวา่ ถา้ รสู้ กึ เฉยๆ ซอื่ ๆ ความคดิ ขณะนน้ั คอื ตวั ปญั ญาคดิ   เนื่องจากขณะน้ันผมปล่อยให้เป็นหน้าท่ีของรูปนามเท่าน้ัน  ไม่ได ้

136 ส ติ  เ ค ล ็ ด ลั บ ม อ ง ด ้ า น ใ น ส�ำคัญมั่นหมายในความรู้สึกต่างๆ  ว่าเป็นตัวตน  และอาการปีติก็  เป็นเรื่องของโพชฌงค์  ๗  ที่บังเอิญเห็นและเข้าใจได้ก่อน  อาการ  ดีใจจึงหายเร็ว ผมอยใู่ นอารมณส์ บายๆ เชน่ นน้ั  รสู้ กึ ไดว้ า่ สตเิ ปน็ อตั โนมตั ิ  โดยธรรมชาต ิ สองสามวนั ตอ่ มาจงึ ไดท้ บทวนอารมณต์ งั้ แตต่ น้ ตามท่ ี หลวงพ่อท่านได้ชี้แนะเอาไว้ว่า  เส้นทางเดินของจิตนี้เราต้องท�ำให้  มันเรียบ  ให้สังเกตดูสิ่งท่ีอยู่ข้างทางว่ามีอะไร  ทางที่เดินเรียบแล้ว  เขา้ ใจไมส่ งสยั ดแี ลว้  เราสามารถใหผ้ อู้ นื่ เดนิ ตามมาไดอ้ ยา่ งสะดวก เมอ่ื ผมสงั เกตวา่ ทางเรยี บบา้ งแลว้  จงึ ไดท้ ำ� ความเขา้ ใจเกยี่ วกบั   ขา้ งทาง โดยไดน้ ำ� เอาเรอื่ งของวตั ถ ุ ปรมตั ถ ์ อาการ สมมตุ ติ า่ งๆ  มาดเู พอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจดยี งิ่ ขนึ้  เพราะผมไดย้ นิ หลวงพอ่ ทา่ นเทศนว์ า่ วตั ถ ุ ปรมตั ถ ์ อาการนน้ั ตา่ งจากความเขา้ ใจของผมเอง แตค่ วามจรงิ แลว้   มนั เปน็ อยา่ งเดยี วกนั  เพยี งแตผ่ มมองขา้ มไปนดิ เดยี วเทา่ นนั้  และ  ท่านยังได้แนะให้อีกว่า  ให้ดูเรื่องรูป  เสียง  กลิ่น  รส  สัมผัส  ธรรมารมณ์ หรือตา หู จมกู  ล้ิน กาย ใจ  ผมพยายามอย่างมาก  ที่จะท�ำความเข้าใจเกี่ยวกับเร่ืองน ้ี เพราะดูทีไรมึนหน้าผากทุกที  พอผมกลับมาทบทวนรูปนามก็พอ  อธิบายได้ว่า  รูปนามเป็นวัตถุ  สิ่งท่ีอาศัยรูปนามอยู่หรือเกิดข้ึนใน  รปู นามกเ็ ปน็ วตั ถ ุ เหน็ ไดช้ ดั อกี วา่ รปู นามประกอบดว้ ยธาต ุ ๔ ขนั ธ ์ ๕  จรงิ ๆ และยังมีอีกสองธาตุ คืออากาศธาตุและวิญญาณธาตุ รูป  เสียง  กลิ่น  รส  สัมผัส  อารมณ์  หรือตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  เป็นเพียงค�ำสมมุติข้ึนมา  แม้แต่ค�ำว่าธาตุ  ขันธ์  รูปนาม  แมธ้ รรมชาตกิ เ็ หมอื นกนั  เชน่  ลม แดด อากาศตา่ งๆ จติ มนั เหน็   เปน็ รปู ไปหมด และรา่ งกายคอื รปู  เมอื่ มากระทบกนั เกดิ ความรสู้ กึ   รอ้ นหนาว ความรสู้ กึ จงึ กลายเปน็ รปู ดว้ ยเพราะอาศยั รปู เกดิ  ปญั ญา 

137 พ ร ะ พุ ท ธ ย า นั น ท ภิ ก ขุ ท่ีเกิดขึ้นจึงสรุปให้จิตตัวเองเข้าใจได้อย่างง่ายๆ เช่นนั้น  ทั้งหมด เปน็ เพยี งแตค่ วามรสู้ กึ เคลอ่ื นไหวไปถกู ผสั สะกบั ความรสู้ กึ  และเกดิ   เปน็ ความรสู้ กึ ขนึ้ มา ไมว่ า่ จะเปน็ ความพอใจ ไมพ่ อใจ เฉยๆ หรอื   เบื่อหน่าย  ฯลฯ  ความรู้สึกเหล่าน้ีก็คือธาตุเท่านั้นเอง  ธาตุโลภ  ธาตุโกรธ  ธาตุหลง  พอผมเข้าใจเร่ืองนี้ชนิดท่ีว่าหายสงสัยแบบ  ปลดิ ทง้ิ  จงึ กลบั มาทำ� หนา้ ทร่ี สู้ กึ ตวั เฉยๆ เบาๆ ซง่ึ ความหยง่ั รหู้ รอื   ญาณนน้ั กเ็ กดิ ผา่ นเขา้ มาในจติ อยเู่ รอ่ื ยๆ อาการทต่ี งึ เครยี ดกอ่ นหนา้ น้ ี มันลดน้อยถอยลงไปตั้งแต่เม่ือไหร่ไม่ทันได้สังเกต  กลายเป็น  ความวา่ ง ความเบา ความโปรง่  เขา้ มาอยใู่ นจติ อารมณเ์ ดยี วเทา่ นน้ั ทนี ผี้ มมาดเู รอื่ งขนั ธ ์ ๕ เพราะความจรงิ ขนั ธอ์ ยใู่ นความรสู้ กึ   ทเ่ี กดิ ขน้ึ แตล่ ะครงั้  พอลมกระทบรปู เกดิ ความรสู้ กึ เยน็  ถา้ รสู้ กึ เฉยๆ  กด็ ไี ป ถา้ ไมเ่ ฉยกก็ ลายเปน็ ขนั ธ ์ ๕ คำ� วา่ เยน็ เปน็ ภาษาสมมตุ เิ ทา่ นน้ั   ถ้าเสวยความรู้สึกเย็นก็กลายเป็นเวทนา  เท่ากับว่ามีอุปาทานใน  ความรู้สึก  เกิดเป็นรูป  เม่ือเย็นเป็นสุขทุกขเวทนา  สัญญาก็จ�ำ  ความรสู้ กึ เยน็ ไปปรงุ แตง่ เปน็ สงั ขาร อารมณท์ รี่ แู้ จง้ ชดั ในขณะนนั้ ๆ  ที่เกิดกับใจ  รู้สึกไม่พอใจหรือพอใจเพราะหนาวน่ีเรียกว่าเป็นทุกข์  จะเกิดปรากฎการณ์อย่างนี้ร่�ำไปหากแม้ยังมีอุปาทานในความรู้สึก  ต่างๆ ทเี่ ขา้ มากระทบ ดงั นนั้  ตามความเขา้ ใจของผมเองจงึ บอกวา่ ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ ง  เป็นแค่ความรสู้ ึกท่ีเกดิ จากการกระทบกันของความรสู้ ึกเทา่ นนั้ เอง  ชีวิตของคนทุกคนอยู่ได้ด้วยความรู้สึก  จะรู้สึกอะไรก็ไม่ดีทั้งนั้น  นอกจากความรู้สึกเฉยๆ  ซื่อๆ  ตามภาษาของหลวงปู่เทียน  ทีน ้ี บังเอิญว่าผมไปเห็นอาการเกิดดับของจิต  โดยท่ีตัวเองก็ไม่รู้จัก  อาการทเี่ กดิ กค็ อื  ในขณะทน่ี งั่ สรา้ งจงั หวะท�ำความรสู้ กึ ตวั ดรู ปู นาม  ดคู วามคดิ  ดอู าการตา่ งๆ ทเี่ กดิ กบั กายกบั ใจ แลว้ เกดิ อาการโปรง่  

138 ส ต ิ  เ ค ล ็ ด ล ั บ ม อ ง ด้ า น ใ น เบาสบายมาก จะเปน็ อยอู่ ยา่ งนน้ั ทงั้ วนั  พอรสู้ กึ มอี าการเผลอหรอื   ความรสู้ กึ ตวั ออ่ นลง จะกลนื นำ้� ลายกเ็ หน็ ไดว้ า่ มตี วั มาหา้ มไวไ้ มใ่ ห้  กลนื  ตอ้ งรสู้ กึ ตวั กอ่ นแลว้ คอ่ ยๆ กลนื  เปน็ เชน่ นอี้ ยตู่ ดิ ๆ กนั  ๕ ครง้ั   จงึ หายสงสัย ความรสู้ กึ ตวั ตงั้ แตว่ นั นน้ั มาจนถงึ วนั น ี้ ปลอดโปรง่ อยไู่ มม่ ลี มื   เลย  ผมเองก็พยายามสังเกตตัวเองมาโดยตลอด  ความคิดต่างๆ  ความอดึ อดั ทเี่ คยเปน็  หายไปไหนไมร่ ไู้ มม่ เี หมอื นเมอ่ื กอ่ น อปุ าทาน  ในขันธ์จืดจางลงไป  เข้าใจแล้วว่าเพราะความไม่รู้ความจริงของ  ความรสู้ กึ ทเี่ กดิ ขนึ้ วา่ มาจากไหน มายงั ไง จงึ มคี วามยดึ เอาความรสู้ กึ   น้ันมาปรุงแต่งไปต่างๆ  นานา  ซึ่งตามความเป็นจริง  ส่ิงที่เกิดขึ้น  ในโลกน ้ี ในรปู ในนามน ้ี มนั เปน็ ธรรมชาตขิ องมนั อยา่ งนน้ั  ไมย่ าก  เลยทจ่ี ะท�ำความเขา้ ใจกบั มนั  เขา้ ใจวา่ เมอื่ ใดทเี่ ราเขา้ ถงึ ความเปน็   ปจั จบุ นั ธรรมทแ่ี ทจ้ รงิ  ไมอ่ าลยั อาวรณก์ บั ผสั สะทกี่ ระทบ สตบิ รสิ ทุ ธ์ ิ แท้ๆ การเหน็ ธรรมแท้ย่อมเปน็ ไปเองโดยอัตโนมัติ สดุ ท้ายน ้ี กราบขอบพระคณุ หลวงพ่อที่ช่วยชแ้ี นะทางสว่าง  กบั จติ  ผซู้ งึ่ เกอื บจมอยกู่ บั ความรสู้ กึ ตามแบบโลกๆ ซง่ึ ขณะทพี่ ดู นี้  นำ�้ ตาผมไหล แตก่ ไ็ มไ่ ดห้ มายความวา่ ผมเสยี ใจ มนั เปน็ ความภมู ใิ จ  ท่ีตัวเองไม่เสียชาติเกิดต่างหากล่ะ  นึกไม่ถึงเลยว่าคนเราจะเกิดได้  ด้วยตัวเอง  คือนอกจากจะเกิดจากพ่อแม่ตามธาตุ  ๔  แล้ว  ยังม ี ธรรมชาติการเกิดอีกชนิดหน่ึงท่ีผมเพิ่งสัมผัสได้คือ  การเกิดการ  เหน็ แจ้ง

139 พ ร ะ พุ ท ธ ย า นั น ท ภ ิ ก ขุ ตวั จติ ตวั ใจชนิดเดิมแท ้ บริสทุ ธ์ิ เป็นเอง  ประกอบดว้ ย ศลี  สมาธิ ปัญญา  ที่ถกู สมั มาสตอิ บรมมาดีแล้ว หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท

รู้รูปนาม หยุดความกลัวผี* หลวงพ่อมหาสพุ รม ปญฺาวโร อาตมาเองก็เคยฝึกมาหลายวิธีแล้วเหมือนกัน  เพราะอยากจะรู้  ตัวเอง  อยากจะรู้ค�ำสอนของพระพุทธเจ้า  อยากจะรู้พระธรรม  ค�ำสอนทางพระศาสนา  สมัยที่ผมเป็นสามเณร  เรียนหนังสือท่ีวัด  ปากนำ�้ ภาษเี จรญิ จงั หวดั กรงุ เทพ ตงั้ แต ่ พ.ศ. ๒๔๙๕-พ.ศ.๒๕๐๐  จึงได้ฝึกกรรมฐานหลายๆ  แบบ  เพราะในที่นั้นมีครูบาอาจารย์  หลายๆ แบบ ท่านมเี รอื่ งของธรรมกาย ธรรมกายสมัยท่ีหลวงพ่อสดท่านยังอยู่  ท่านเป็นเจ้าคุณ  มงคลเทพมนุ  ี การปฏบิ ตั กิ จ็ ะเนน้ การภาวนาแบบธรรมกาย เพง่ จอ้ ง  ความรู้สึกกับดวงแก้วใสๆ  แต่เม่ือก่อนน้ีดวงแก้วยังไม่มี  เป็นการ  สร้างนิมิตนึกเอาลูกแก้วเป็นนิมิตลูกหน่ึงแล้วก็เพ่ง  บางทีก็ให้เพ่ง  พระพุทธรูปพระเครื่องที่ท่านแจก  หรือให้เพ่งจมูก  หญิงจมูกซ้าย  ชายจมกู ขวา จากนนั้ กเ็ ลอื่ นขน้ึ ไปทก่ี ลางหนา้ ผาก แลว้ กเ็ ลอื่ นไปๆ  ตามลำ� ดบั จนไปถงึ ชอ่ งทอ้ งแลว้ กไ็ ปหยดุ อยเู่ หนอื สะดอื สองนว้ิ และ  ภาวนาวา่  สมั มา อะระหงั ...สมั มา อะระหงั ...อยศู่ นู ยก์ ลางภายใน  ทำ� อยา่ งนน้ั กไ็ ดส้ มาธริ ะดบั หนง่ึ เหมอื นกนั  แตว่ า่ พอออกจากสมาธิ * อบรมคณะครผู บู้ รหิ ารสถานศกึ ษา สปจ. แพร ่ วดั ดงลาน อำ� เภอลอง จงั หวดั แพร่ ๑๓ กันยายน ๒๕๓๖

141 พ ร ะ พุ ท ธ ย า นั น ท ภิ ก ขุ แล้วมันกไ็ ม่ไดเ้ กดิ ปัญญาความรแู้ จง้ อะไร  ครบู าอาจารยอ์ ยทู่ น่ี นั่ มหี ลายแบบ เพราะวดั ปากนำ้� ภาษเี จรญิ   และวัดมหาธาตุในช่วงน้ันถือได้ว่าเป็นตลาดวิชาการ  มีทุกแบบ  ภาวนาพุทโธ  ภาวนาสัมมาอะระหัง  เป็นของวัดปากน้�ำโดยตรง  จนกระทง่ั เปน็ การเพง่  วชิ าธรรมกายศนู ยก์ ลางภายในนกึ ถงึ ดวงแกว้   ใสๆ  แล้วก็จะเห็นกายมนุษย์  กายมนุษย์ละเอียด  กายทิพย์  กายทิพย์ละเอียด  มันเป็นการสร้างจินตนาการเป็นความคิดที่คิด  ขึ้นมาเอง  เสร็จแล้วก็เพ่งในกายมนุษย์ก็จะเห็นกายมนุษย์ละเอียด  ละเอียดอย่ใู นน้ันแหละ สวยงามผอ่ งใส ที่จริงเราคิดเอาตามครูบาอาจารย์บอกก็เห็นเป็นอย่างนั้น  จริงๆ  ต่อไปเห็นกายทิพย์มันสวยงามอย่างกับเทพยดา  นึกเอา  ไมใ่ ชก่ ารเหน็ ดว้ ยญาณปญั ญาอะไร ตอ่ จากกายทพิ ยล์ ะเอยี ด ทา่ น  ก็บอกว่าเห็นกายรูปพรหม  กายรูปพรหมละเอียด  กายอรูปพรหม  กายอรปู พรหมละเอยี ด กายพระธรรม กายพระธรรมละเอยี ด กาย  พระโสดา  กายพระโสดาละเอียด  กายพระสกิทาคามี  กายพระ-  สกิทาคามีละเอียด  กายพระอนาคามี  กายพระอนาคามีละเอียด  กายพระอรหนั ต ์ กายพระอรหนั ตล์ ะเอยี ด ซงึ่ ในเรอื่ งอยา่ งนแ้ี มแ้ ต่  เดก็ หา้ ขวบกท็ ำ� ไดไ้ ปถงึ กายพระอรหนั ต ์ (เฮย้ ) ในลกั ษณะทที่ า่ นบอก  พดู นำ� ไปกอ่ นแลว้ เรากเ็ หน็ ตามนน้ั เสรจ็  แลว้ พอออกจากอารมณน์ นั้   มนั กเ็ หมอื นเดมิ  อปุ าทานหรอื จนิ ตนาการนน้ั กห็ ายไป แตค่ วามรสู้ กึ   วา่ เราไดแ้ ลว้  ไดธ้ รรมกายกไ็ มม่ อี ะไรจบแคน่ นั้  ท�ำยงั ไงกท็ ำ� ได ้ แค ่ ให้มันน่ิงสงบไปแค่น้ันแหละ  นี่คือการฝึกของอาตมาท่ีเคยท�ำตอน  อยู่วดั ปากน�ำ้ ทีนี้มีความรู้สึกว่าตัวเองมันมีความคิดอยู่อย่างหน่ึง  ก็คือ  อาตมาเปน็ โรคอยอู่ ยา่ งหนง่ึ คอื โรคกลวั ผ ี ซง่ึ หลายๆ คนกค็ งจะเปน็  

142 ส ติ  เ ค ล ็ ด ลั บ ม อ ง ด ้ า น ใ น เคยเรยี นหนงั สอื สมยั อยจู่ งั หวดั ชยั ภมู แิ ละเคยไดเ้ หน็ เขาเผาศพแลว้   ภาพเหลา่ นนั้ มนั กต็ ดิ หตู ดิ ตา เปน็ โรคกลวั ผมี าตงั้ แตเ่ ลก็ ไมห่ าย ที ่ ไปหาปฏิบัติธรรมนี่ก็เพื่ออยากให้หายกลัวผี  ไปหาเรียนคาถาเวท  มนตร์  ท่องบทโน้นบทนี้อะไรต่างๆ  ก็เพ่ือที่อยากจะท�ำให้ตัวเอง  มีความกล้าขึน้  ใจเย็นแลว้ ก็ไม่หาย  อาตมาถือว่าตัวเองได้ธรรมกาย  อาจารย์รูปอื่นท่ีเขาว่าได้  เขาอาจจะได้จริงนะ  แต่อาตมาไม่เชื่อ  คนอ่ืนเขาอาจจะเชื่อก็ได้  จากน้ันก็ไปฝกึ เพ่งกสิณ  มีลูกพ่ีองค์หน่ึงช่ือพระมหาปธูป  ท่านได้เปรียญธรรม  ๖  ประโยค  อาตมาตอนนั้นยังสอบเปรียญ  ๓  ไม่ได้เลย  ทีน้ีก็มา  ฝึกกสิณด้วยกัน  ท่านก็น�ำเอาดินมาปั้นเป็นลูกกลมๆ  เท่าฟุตบอล  จากน้ันก็ทาด้วยสีแดงเหมือนสีอรุณใช้เป็นนิมิต  แล้วก็มาน่ังสมาธ ิ เพ่งกัน  และภาวนาว่าปฐวีๆๆ  ดินๆๆ  ให้เกิดอุคหนิมิต  ให้เห็น  รปู ดนิ วา่ งนั้ เถอะ ลมื ตากเ็ หน็  หลบั ตากเ็ หน็  ขยายใหใ้ หญก่ ไ็ ด ้ เปน็   ปฏภิ าคนมิ ติ  ทำ� ให้เลก็ ลงก็ได้ เดินไปไหน มาไหนไม่หาย ฝึกอย่างนั้นและจิตมันก็ได้สงบในลักษณะอย่างน้ัน  ท่าน  บอกว่าการเพ่งปฐวีกสิณนี้  ถ้าได้อารมณ์ปฐวีกสิณแล้วจะสามารถ  เดินบนน้�ำได้  เวลาเราจะเดินไต่กับผิวน�้ำก็จะมีปาฏิหาริย์  ฉะน้ัน  อาตมาก็ท�ำและก็ท�ำได้  มันก็รู้สึกว่าได้อารมณ์นะ  มันก็สงบ  ในอารมณ์แบบน้ัน  แต่ลงน้�ำทุกทีอาตมาก็จมจ๋อมทุกทีนั่นแหละ  (ฮอื ..) ไม่เหน็ ว่ามันจะลอยตวั ไดแ้ ลว้ มนั ยงั ไง...ใช่ไหม? เพ่งแล้วมันก็ไม่ได้ฌาน  ผู้ท่ีเขาได้ปฐวีกสิณระดับที่ว่าเกิด  อภิญญาจิตระดับท่ีเป็นฌาน  ประเภทท่ีชนิดว่าเจริญลหุสัญญา  ท�ำให้เกิดความอ่อนของตัว  อาจจะลอยไปตามที่ว่านั้นก็ได้  แต่  มันเป็นต�ำรา  ทดลองตัวเองแล้วมันไม่ได้อย่างนั้น  นอกจากเพ่ง 

143 พ ร ะ พุ ท ธ ย า นั น ท ภ ิ ก ขุ ปฐวีกสิณแล้วก็ยังให้ไปเพ่งเตโชกสิณ  เพ่งจนกระทั่งว่าเพ่งเทียน  ใหม้ นั ดบั  กท็ ำ� ไดผ้ ลเหมอื นกนั  มนั ดบั จรงิ หรอื เปลา่ กไ็ มร่ นู้ ะ แตก่  ็ รู้สึกวา่ มันดบั ...มันไมด่ ับนะใชไ่ หม? แล้วมาตอนหลังนี้อาตมาไปอยู่วัดปุคคโลเม่ือปีก่อน  สามปี  ก่อนนี้เขามีการปลุกเสกอะไรโดยมีหลวงพ่อองค์หนึ่งจากจังหวัด  พิจิตรชื่อหลวงพ่อโง่น  ท่านเพ่งไฟเพ่งเทียนให้ละลาย  อาตมา  ไมเ่ ชอ่ื ในลกั ษณะอยา่ งน ้ี อาตมาเปน็ คนทผี่ า่ นการฝกึ มาแลว้ ทง้ั นน้ั   แหละ  ท�ำมาเป็นเพ่งเทียนแล้วละลาย  โถ...มันไม่ได้เกิดผลอะไร  หรอก เมอื่ กอ่ นนอี้ าตมาตดิ ทจี่ ะถอื ขลงั  แลว้ เปน็ คนทมี่ คี วามทกุ ข์  มาก กห็ มายถงึ วา่  เปน็ ผทู้ หี่ วาดกลวั ในสงิ่ อนั เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ ความกลวั   กลัวผี  กลัวสาง  กลัวสิ่งลึกลับ  และตอนที่อยู่วัดปากน�้ำภาษีเจริญ  สมัยเป็นสามเณรมันไปหลอกกัน  อาตมาไปหลอกคนอ่ืนแล้วเขา  ก็มาหลอกเราบ้าง  เป็นสามเณรตอนนั้นมันซุกซน  เพ่ือนเขาท่อง  หนังสืออยู่ดีๆ  ขณะน้ันอยู่คณะเนกขัมมะในวัดปากน้�ำภาษีเจริญ  เนกขมั มะตอนนนั้ นะ่ มนั นา่ กลวั  เพราะวา่ ใตก้ ฏุ ขิ องพระมนั ไมเ่ จรญิ   เหมือนสมยั นี้ มันมแี ตโ่ ลงศพ มีแต่หีบศพทง้ั น้ันแหละโยมเอ้ย ทนี อี้ าตมากม็ เี พอื่ นอยอู่ งคห์ นง่ึ  มนั ไปไดก้ ะโหลกศรี ษะมาแลว้   เขาก็เอายางหนังสต๊ิกใส่  แล้วก็มีการผูกลักษณะให้ดึงพะงาบๆ  อย่างกับศพพูดได้เหมือนกับในหนัง  อาตมามีเพ่ือนเล่นองค์หน่ึง  เปน็ ชาวจงั หวดั รอ้ ยเอด็ ชอื่ เณรทเุ รยี น เขากน็ ง่ั ทอ่ งหนงั สอื อย ู่ ขยนั   องค์นั้นนะ เราก็แอบๆ ไปล้อเพ่ือน  ก็ยกหัวกะโหลกน้ีข้ึนไปทาง  หน้าต่าง  ดึงง้างขากรรไกรให้มันกรับๆๆ  เณรแกก็ช็อก  ได้ผล  เหมือนกันแฮะ  แกก็ร้องอ้อ!  เอ๋...นึกไปนึกมาไอ้กลัวผีน่ีไม่ใช่แต่  เรา เพอ่ื นเราก็กลวั เหมือนกนั ...ใชไ่ หม?

144 ส ติ  เ ค ล ็ ด ล ั บ ม อ ง ด้ า น ใ น นี่นิสัยมันมาอย่างน้ัน  ต่อมาอาตมาก็โดนบ้าง  เพราะเขา  จบั ไดว้ า่ เณรพรมมนั ไปเทยี่ วหลอกเขา เพอ่ื นเขากม็ าหลอกเรา โอโ้ ห  เราก็แทบตายเหมือนกัน  มันก็อย่างนี้แหละ  ท�ำกรรมใดก็ได้รับ  กรรมน้ัน น่ีคือเรอื่ งสมัยเปน็ สามเณรอยู่วดั ปากน้�ำ  ตอ่ มาในชว่ งนนั้ เขามกี ารฝกึ พองหนอยบุ หนอ วดั มหาธาตนุ  ่ี ก็ดังขึ้นมาเหมือนกันโดยท่านเจ้าคุณโชดก  ท่านไปเรียนมาจาก  ส�ำนักมหาสีสยาดอที่ประเทศพม่า  มาเผยแผ่โดยวิธีวิปัสสนาแบบ  พองหนอยุบหนอนี่  แล้วเราก็มาท�ำกัน  ก้ันห้องท่ีวิหารคตระเบียง  รอบโบสถ์วัดมหาธาตุ  ใครจะเข้าไปอยู่ในนั้นอย่างน้อยๆ  ก็ต้อง  อยู่ได้เป็นเดือนล่ะ  เดินจงกรมน่ังสมาธิบริกรรมพองยุบ  มีคนส่ง  ป่นิ โตให้ และกไ็ ด้ฝกึ กันอยใู่ นนั้นแหละ อาตมามีเพื่อนอยู่องค์หน่ึงอยู่วัดเทพลีลา  ก็ไปฝึกเข้า  กรรมฐานดว้ ย น่งั ตัวแข็ง เขาบอกวา่ ไดน้ โิ รธ มนั นโิ รธไดย้ งั ไงนะ เขาวา่ ไดน้ โิ รธสมาบตั ิ  นิโรธนี่มันเป็นเร่ืองนิพพาน  มันบรรลุสัจธรรมช้ันสูงไปโน่นแล้ว  แต่ว่าในช่วงน้ันเขาก็บอกกันว่าได้นิโรธสมาบัติเอาไปทดลองกัน  ยกมือคา้ งไว้อยู่อยา่ งนีก้ ไ็ ด้ ยกไว้ในท่าไหนกไ็ ด ้ แข็งทือ่ ไม่รสู้ ึกตัว  เอาเข็มแทงก็ไม่รู้สึก  แต่พอออกจากกรรมฐานนะโยม  โลภโกรธ  หลงก็ยังเหมือนเดิม  เจอสาวๆ  ก็ยังชอบ  เขาหลอกให้กลัวก็กลัว  เขายั่วใหโ้ กรธกโ็ กรธ ยงั กลัวผอี ยเู่ หมือนเดมิ   เอ...มันไม่ได้เรื่อง  อาตมาว่ามันไม่ถูกต้องลักษณะอย่างนี ้ เพราะวา่ หลกั การของการปฏบิ ตั นิ ถี่ า้ เราเขา้ ถงึ มนั จะหมดความสะดงุ้   กลัวทั้งหมด  กิเลสมันต้องลด  ปฏิบัติภาวนานี่  กิเลสมันจะต้อง  ลดลง  แต่น่ีกิเลสมันไม่ลด  แค่มันลืมไปเฉยๆ  สงบได้ในเฉพาะ  ขณะทเี่ รานิ่งสงบอยู่อย่างน้ัน เพราะฉะน้ันในเรื่องนี้แหละทีอ่ าตมา 

145 พ ร ะ พ ุ ท ธ ย า น ั น ท ภ ิ ก ขุ เลยนึกขึ้นมาได้ว่า  เม่ือตอนก่อนที่พระพุทธเจ้าท่านจะได้ตรัสรู้  เป็นพระพุทธเจ้า  ท่านไปฝึกกับอาจารย์ท้ังสองคืออาฬารดาบส-  กาลามโคตรและอทุ กดาบสรามบตุ ร ไดส้ ำ� เรจ็ สมาบตั  ิ ๗ สมาบตั  ิ ๘  ได้อรูปฌานสมาบัติ  สามารถที่จะน่ังน่ิงแข็งท่ือเจ็ดวันไม่ต้องขยับ  เขยอ้ื นกไ็ ด ้ เรยี กวา่ ไดฌ้ าน ๔ คอื รปู ฌาน ๔ อรปู ฌาน ๔ เรยี ก  วา่ สมาบตั ิ ๘ รปู ฌาน ๔ กห็ มายถงึ การเพง่ ทเี่ ปน็ รปู ฌาน จะเพง่ ลมหายใจ  เข้าอะไรต่างๆ  ก็แล้วแต่เป็นรูปฌาน  ก็ได้อารมณ์ของฌานมันมี  วิตก  วิจาร  ปีติ  สุข  เอกัคคตา  จนกระท่ังเสวยสุขอันเกิดข้ึนแต่  วเิ วกแลว้ แลอย ู่ ในตำ� ราทา่ นวา่ ไวอ้ ยา่ งน ี้ แลว้ ตอ่ มาเพง่ อรปู คอื เพง่   ส่ิงทไ่ี มใ่ ชร่ ปู  ทที่ า่ นวา่ เพง่ อากาสานญั จายตนะ คอื การเพง่ อากาศ  เอาอากาศมาเป็นอารมณ์เพราะอากาศนั้นไม่มีรูป  อากาศนี้มันยัง  หยาบอยตู่ อ่ ไปกเ็ ลอ่ื นชนั้ เขา้ ไปอกี  เพง่ วญิ ญาณเปน็ อารมณเ์ รยี กวา่   วิญญาณัญจายตนะ  เอาวิญญาณมาเป็นอารมณ์ของจิตในการฝึก  วิญญาณนี้มันก็ยังรู้สึกว่าหยาบอยู่  ต่อไปก็เพ่งอากิญจัญญายตนะ  คอื เพง่ เอาอากาศเอาวญิ ญาณมาผสมกนั ก�ำหนดเขา้ ไปเปน็ อารมณ์  ของจิต  ก็ยังหยาบอยู่ใช่ไหม  ต่อไปก็เล่ือนเข้าไปถึงขนาดเพ่ง  เนวสัญญานาสัญญายตนะ  คือเพ่งจนกระทั่งว่ามีสัญญาก็ไม่ใช ่ หรอื วา่ ไมม่ สี ญั ญากไ็ มใ่ ช ่ สง่ิ เหลา่ นพ้ี ระพทุ ธเจา้ ทา่ นทำ� มาหมดแลว้   และทา่ นกฝ็ กึ ไดเ้ สมอดว้ ยอาจารย ์ นงั่ นงิ่ ฟา้ ผา่ เปรยี้ งลงมากไ็ มร่ สู้ กึ   เกวียนห้าร้อยเล่มผ่านไปก็ยังไม่รู้สึก  ท่านท�ำได้  แต่พอออกจาก  สมาธอิ ยา่ งนน้ั แลว้ โลภโกรธหลงกย็ งั มอี ย ู่ ความหวาดกลวั อะไรตา่ งๆ  ก็ยังมีอยู่  จิตใจก็ยังมีความหวาดวิตกอยู่  ยังไม่มีความม่ันใจใน  ตัวเอง  ท่านเลยเลิกจากวิธีการของอาจารย์ทั้งสอง  ทางน้ีไม่ใช ่ ทางดับทกุ ข์แนน่ อน

146 ส ติ  เ ค ล็ ด ล ั บ ม อ ง ด ้ า น ใ น อาตมาก็เลยมานึกหลังจากได้ศึกษาแล้วก็เข้าใจและเข้าใจ  ชดั หลงั จากไดม้ าฝกึ แนวสรา้ งจงั หวะกบั หลวงพอ่ เทยี น เหตทุ ม่ี นั่ ใจ  ในแนวทางนี้  สาเหตุเกิดจากท่ีว่า  “ท�ำอาตมาหายกลัวผี”  ตรงน้ี  แหละมนั ยืนยนั ได้ ออกจากวัดปากน้�ำแล้วมาอยู่วัดมหาธาตุพร้อมกับท�ำงาน เผยแผท่ างสถานวี ทิ ย ุ อบรมนกั เรยี น อบรมทหาร บรรยายธรรมท ี่ สถานวี ทิ ย ุ วปถ. ๘ ทลี่ มุ พนิ  ี บางครง้ั กไ็ ปแทนพระอาจารยก์ ติ ตวิ ฑุ โฒ  ตอนน้ันท่านก�ำลังดัง  อาตมาเองก็ยังไม่คุ้นกับเรื่องการภาวนา  คดิ วา่ เรอื่ งการภาวนาคงไมม่ ผี ลชาตนิ  ้ี เราคงไปไมถ่ งึ  มรรคผลมนั   พน้ สมยั ไปแลว้  การเปน็ พระอรยิ บคุ คลพระโสดาบนั  พระสกทิ าคาม ี พระอนาคาม ี พระอรหนั ตห์ มดแลว้  ทำ� บญุ เพอื่ หวงั ผลเอาชาตหิ นา้   ชาตนิ ก้ี ต็ ตี วั๋ รอไปกอ่ นอะไรทำ� นองนน้ั  เลยไมร่ อู้ ะไร เพราะวา่ ตำ� รา  เขาก็ว่าไว้อย่างน้ัน  เรียกว่ามรรคผลไม่มี  พ้นสมัยไปแล้ว  คราวน้ี  กเ็ ลยไดห้ นั มาจบั ดา้ นการงานเผยแผท่ จี่ งั หวดั เลย ป ี พ.ศ. ๒๕๑๓ จากนนั้ กเ็ รม่ิ ไดร้ จู้ กั กบั หลวงพอ่ เทยี น แตไ่ มล่ กึ ซงึ้ เทา่ ไหรน่ กั   เริ่มรู้จักครั้งแรกก็จากพระอาจารย์มหาบัวทอง  เพราะอาจารย์  มหาบัวทองไปอยู่ด้วย  หลวงพ่อเทียนให้อาจารย์มหาบัวทองไป  อยพู่ รอ้ มลกู ศษิ ยล์ กู หาทา่ นเยอะแยะไปอยกู่ บั อาตมา กเ็ ลยเปดิ งาน  อบรมปฏบิ ตั ธิ รรมขน้ึ มา อบรมขา้ ราชการในจงั หวดั เลย ท�ำใหร้ จู้ กั   คนุ้ เคยกนั ต้งั แต่ปีนัน้ มา แตก่ ับหลวงพ่อเทียนอาตมากย็ ังไมซ่ ้งึ ป ี พ.ศ. ๒๕๑๔ หลวงพอ่ เทยี นทา่ นไปเปดิ อบรมอยทู่ ข่ี อนแกน่   อาตมากไ็ ปชว่ ยงานทา่ นแตก่ ย็ งั ไมร่ จู้ กั ทา่ นดพี อ ทา่ นไปเปดิ อบรม  ท่ีวัดโมกข์ขอนแก่นที่ติดรั้วมหาวิทยาลัย  จากนั้นปี พ.ศ. ๒๕๑๕  อาตมาย้ายไปอยู่ท่ีจังหวัดอุดรก็ยังไม่ได้สนใจเรื่องหลวงพ่อเทียน  ทีน้ีในปี  พ.ศ. ๒๕๑๕-๒๕๑๖  มีพระไปอยู่กับอาตมาเยอะมาก 

147 พ ร ะ พ ุ ท ธ ย า น ั น ท ภ ิ ก ขุ เพราะอาตมาเป็นพระท�ำงานเผยแผ่  สอนธรรมะ  สอนนักธรรม  สอนอะไรหลายๆ  อย่าง  ลูกศิษย์ลูกหาก็เลยเยอะ  ประมาณ  ๑๗๐  กว่ารูป  แล้วก็ได้ไปสร้างวัดที่วัดธรรมเสนาท่ีจังหวัดอุดรธานี  ทีนี้  ตัวเองก็หนัก  หนักตรงไหน  ก็หนักตรงที่ต้องแบกภาระมาก  เมื่อ  สอนคนอื่นแล้วมันไม่ได้ด่ังใจ  ตัวเองมันก็กลายเป็นศาสดาตกนรก  มีความทกุ ข์ท่ีแบกหนัก ตอ่ มากเ็ รมิ่ คนุ้ เคยกบั หลวงพอ่ เทยี นและอาจารยม์ หาบวั ทอง  มากข้ึน  หลวงพ่อเทียนท่านดูเย็น  ท่านไม่มีเรื่องร้อนเหมือนอย่าง  ตวั เรา ไอเ้ ราหรอื กเ็ ปน็ อาจารยส์ อนเขาเรารอ้ นและมคี วามทกุ ขม์ าก  เครียดมาก  และก็ท�ำให้โรคภัยไข้เจ็บรุมเร้า  เอ๋!...เรานี่มันเป็น  ศาสดาตกนรก ไม่ได้เร่อื งเอาเสียเลย ป ี พ.ศ. ๒๕๑๖ อาตมากเ็ ลยตดั สนิ ใจเขา้ มาสกู่ ารปฏบิ ตั จิ รงิ ๆ  และก็มาฝึกกับหลวงพ่อเทียน  คืออาจารย์มหาบัวทองเคยเล่าไว ้ ท่านบอกว่าถ้าสนใจการปฏิบัติก็ลองกับหลวงพ่อเทียนดู  ก็เลยคุย  กบั ทา่ นไปวา่  “ผมไมเ่ คยอยสู่ ำ� นกั เลก็ ๆ นอ้ ยๆ สำ� นกั ทผี่ มผา่ นมา  ใหญ่ๆ  ทั้งน้ันแหละ  หลวงพ่อน่ีมันบ้านนอกจะเก่งยังไง?”  ลองดู  อาจารย์มหาบัวทองท่านว่า  “บางทีรากไม้มันอาจจะเป็นยาก็ได ้ อาจจะดกี ว่ายหี่ อ้ สงู ๆ ทีเ่ ขาโฆษณาก็ได้” ท่านว่า อาตมาเก่ียวข้องอยู่กับหลวงพ่อเทียนก็หลายคร้ัง  แต่ก็ยัง  ไม่เคยมาปฏิบัติ  ก่อนหน้าท่ีจะมาก็เคยส่งพระมาฝึกกับท่านแล้ว  ๓  รูป  จ�ำได้ว่าในพรรษาให้มาอยู่  ๗  วัน  ออกพรรษาแล้วอาตมา  ก็เลยมาฝึกเอง  ต้ังใจจะมาอยู่กับหลวงพ่อให้ได้  ๑  เดือนแต่ก็อยู่  ไมถ่ งึ  ไดแ้ คเ่ พยี ง ๑๕ วนั  แตก่ ม็ องเหน็ ทาง เอ...อนั นม้ี นั เขา้ ทา่   แต่ก็ยังไม่หายกลัวผี  ก็เลยเกิดความม่ันใจข้ึนมาพอเข้าใจอะไร  เล็กๆ  น้อยๆ

148 ส ติ  เ ค ล ็ ด ล ั บ ม อ ง ด้ า น ใ น เบอ้ื งตน้ กน็ กึ วา่  เอ...ขนาดเราปฏบิ ตั ไิ มไ่ ดเ้ ทา่ ไหร ่ มนั กย็ งั   เขา้ ทา่ เหมอื นกนั  มนั มองเหน็ รำ� ไร เหมอื นกบั คนไดท้ าง เรมิ่ เขา้ ใจ  ชีวิต  เร่ิมเข้าใจรูปนาม  เริ่มเข้าใจตัวเองพอที่จะอ่านอะไรตัวเอง  ออกบ้าง  ถ้าเราท�ำจริงๆ  มันจะขนาดไหน  ต่อมาพอมาได้เข้าใจ  รูปนามชัดมันหายกลัวผีจริงๆ  นะโยม  ช่วงที่เข้าใจรูปนามจริงๆ  ไม่ใช่ตอนที่ปฏิบัติอยู่กับหลวงพ่อ  อาตมาไปจัดงานอบรมตอน  ปี  พ.ศ.๒๕๑๖  อบรมท่ีวัดธรรมเสนาเป็นวัดท่ีอาตมาอยู่  ให้พระ  อาจารยม์ หาบวั ทองนแี่ หละไปเปน็ เพอื่ นคอยก�ำกบั แลว้ กเ็ ปดิ อบรม  ใหญ ่ งานอบรมอาตมาเปดิ เปน็ เดอื นนะไมใ่ ช ่ ๗ วนั  หรอื  ๑๕ วนั   เปิดคร้ังแรกหนึ่งเดือนเลยเพราะเล่ือมใสวิธีการของหลวงพ่อเทียน  มากเลย มนั่ ใจเลยวา่ วธิ กี ารนเ้ี ทา่ นนั้  แนน่ อน ตรงกบั ตำ� ราสตปิ ฏั ฐาน  เลย  แล้วก็เคยท่องได้ในสติปัฏฐาน เมื่อก่อนนี้ไม่มีความม่ันใจ  เมอื่ กอ่ นเคยคา้ น เดนิ จงกรมทำ� ไมเดนิ อยา่ งน ี้ บางคนกใ็ สร่ องเทา้   บางคนกเ็ ดนิ เร็วแบบเร่งรบี  ทำ� ไมสมาธติ อ้ งมาเคลอื่ นไหว เราเคยต�ำหนิหลวงพ่อเทียน  เพ่ิงรู้ว่าเรารู้ไม่จริง  พอไปค้น  ในตาราก็เลย  อ๋อ...สมาธิไม่ใช่นั่งหลับตาเพียงอย่างเดียว  ความ  เคลื่อนไหวน่ีเราสามารถที่จะฝึกให้มันเคล่ือนไหวอย่างมีสมาธิได ้ แลว้ กไ็ ปเปดิ ดใู นสมั ปชญั ญบรรพอยา่ งทเี่ ราสวดในสตปิ ฏั ฐาน ทา่ น  บอกวา่  อาโลกเิ ต วโิ ลกเิ ต สมั ปะชานะการ ี โหต.ิ  เปน็ ผมู้ คี วามปกต ิ ท�ำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมในการแลดู  การเหลียวดู  สัมมิญชิเต ปาสารเิ ต สมั ปะชานะการ ี โหต.ิ  เปน็ ผมู้ คี วามปกตทิ ำ� ความรสู้ กึ ตวั   ท่ัวพร้อมในการคู้  การเหยียดอวัยวะ  อะสิเต  ปีเต  ขายิเต  สายิเต สมั ปะชานะการ ี โหต.ิ  เปน็ ผมู้ ปี กตทิ ำ� ความรสู้ กึ ตวั ทว่ั พรอ้ มในการ  กิน  การด่ืม  การเค้ียว  การล้ิม  อะไรต่างๆ  นานา  ทุกๆ  อย่างให ้ รู้สึกตัวท่ัวพร้อม  มันไม่ขัดกับต�ำราเลย  ไอ้เรามันรู้น้อยนึกว่าเขา 

149 พ ร ะ พ ุ ท ธ ย า น ั น ท ภ ิ ก ขุ แปลผดิ  รไู้ มจ่ รงิ  โดยทสี่ ดุ แมแ้ ตว่ า่ เขา้ หอ้ งน�้ำถา่ ยอจุ จาระปสั สาวะ  ท่านก็บอกว่าให้มีสติรู้สึกตัวทั่วพร้อม  อุจจาระปัสสวะ  กัมเม สมั ปะชานะการ ี โหต.ิ  เปน็ ผมู้ ปี กตทิ ำ� ความรสู้ กึ ตวั ทวั่ พรอ้ มในการ  ถ่ายอจุ จาระปัสสาวะใช่ไหม? เวลายืนก็รู้ชัดว่าเรายืนอยู่  เดินอยู่ก็รู้ชัดว่าเราเดินอยู่  น่ัง  อย่กู ร็ ชู้ ดั ว่าเราน่ังอยู่ นอนก็รชู้ ดั วา่ เรานอนอย ู่ แลว้ หลวงพอ่ เทยี น  ท่านแยกย่อยไปถึงขนาดว่ารู้สึกตัวทั่วพร้อมในขณะกลืนน้�ำลาย  อา้ ปาก กระพรบิ ตา หายใจ ลกึ ละเอยี ดไปหมดเลย เวลาปฏบิ ตั จิ รงิ   เอากนั ถงึ ขนาดน้นั อาตมาพอเร่ิมเข้าใจรูปนามตอนเปิดอบรมท่ีวัดธรรมเสนา  อาจารย์มหาบัวทองเข้ามาช่วยเต็มตัวเลย ส่วนอาตมาก็ได้ทำ� บ้าง  ไม่ท�ำบ้าง  เพราะมันหลายงาน  บรรยายธรรมทางสถานีวิทยุบ้าง  และอบรมทหาร  หน่ึงเดือนท่ีจัดรู้สึกว่าจะมีผู้ร่วมปฏิบัติประมาณ  ๕๐๐ รปู /คน มพี ระภกิ ษเุ กอื บสองรอ้ ย พระจากวดั โพธวิ รารามมา  เกือบท้ังหมดเลย  แต่พระก็อยู่ไม่ได้นานค่อยๆ  ลดลงๆ  รู้สึกว่าจะ  มีความอดทนน้อยเปน็ อยา่ งนั้น  ชว่ งทอ่ี าตมาเกดิ เขา้ ใจรปู นาม มนั ท�ำใหร้ สู้ กึ เกดิ ความมน่ั ใจ  มากเลยในการปฏิบัติ  ความรู้สึกที่กลัวผีมันหายอย่างกับปลิดทิ้ง  เลยนะ  เม่ือก่อนน้ีอาตมาข้ึนไปบ้านท่ีเขามีการสวดศพน่ีต้องท่อง  มนตรส์ ะกดผีก่อน ไม่สะกดไม่ได้หรอกโยม มันเคยเกิดเร่ืองร้าย  คร้งั หนง่ึ อาตมาจะชอ็ กใหไ้ ด้ ทจี่ งั หวดั เพชรบรู ณ ์ อำ� เภอวเิ ชยี รบรุ คี นรจู้ กั กนั เขาตาย และ  เพราะคุ้นเคยกันมาก  แกชื่อโยมบุญ  แกตายด้วยโรคลมปัจจุบัน  ทนี เี้ ขากน็ มิ นตพ์ ระไปสวด อาตมาเป็นเจ้าอาละวาดเอ้ยเจ้าอาวาส  อยตู่ รงนน้ั  พอรวู้ า่ เขาเปน็ ลมปจั จบุ นั ตาย เขาบอกวา่ เปน็ ผตี ายโหง 


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook