โครงการอนุรักษพ ันธกุ รรมพ�ชอันเนอื่ งมาจากพระราชดําร� สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ าร� (อพ.สธ.) สมหัศมจรนุรย ไพรไทย สูการนาํ ไปใชป ระโยชน สนองโครงการอันเนอื่ งมาจากพระราชดาํ ร�โดย มหาวท� ยาลัยราชภัฏเพชรบรู ณ
โครงการอนรุ ักษ์พันธุกรรมพืชอันเน่อื งมาจากพระราชดำ�ริ สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (อพ.สธ.) สารจากอธกิ ารบดี ปัจจบุ นั กระแสของการรกั ษาสขุ ภาพกำ� ลงั มาแรง คนรุน่ ใหมห่ นั มาเอาใจใสส่ ขุ ภาพ กนั มากขึน้ พืชสมนุ ไพรนบั ว่ามีบทบาทมากในชีวิตประจำ� วนั ของมนษุ ย์ เช่น ใชใ้ นการ ดำ� รงชวี ติ ยารกั ษาโรค และใชเ้ ป็นอาหารเสรมิ หรอื ใชเ้ ป็นเครอ่ื งดม่ื บำ� รุงสขุ ภาพ ตลอดจน ใชเ้ ป็นสว่ นประกอบของเครอ่ื งสำ� อาง อีกทงั้ สามารถนำ� มาใชท้ างดา้ นการเกษตรสำ� หรบั ปอ้ งกนั และกำ� จดั แมลงศตั รูพืช ดงั นนั้ การใชป้ ระโยชนจ์ ากพืชสมนุ ไพรใหถ้ กู โรค ถกู สว่ น จำ� เป็นตอ้ งอาศยั ผรู้ ูแ้ ละตอ้ งมีความรูอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ หนงั สือมหศั จรรยส์ มนุ ไพรไทยส่กู ารนำ� ไปใชป้ ระโยชนฉ์ บบั นี้ จดั ทำ� ขึน้ เพ่ือสนอง พระราชดำ� รใิ นโครงการอนรุ กั ษพ์ นั ธุกรรมพืชอนั เน่ืองมาจากพระราชดำ� รสิ มเด็จพระเทพ รตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (อพ.สธ.) สนองโดย มหาวิทยาลยั ราชภฏั เพชรบรู ณ์ และเพอ่ื เป็นการปลกู ฝังโนม้ นา้ ว กลอ่ มเกลาจติ ใจใหเ้ ยาวชนเกดิ ความเขา้ ใจ หวงแหน และ ตระหนกั ถึงคณุ ค่าของทรพั ยากรธรรมชาติ เพ่ือนำ� ไปส่กู ารอนรุ กั ษ์และการใชป้ ระโยชน์ อยา่ งชาญฉลาดและย่งั ยืน หนงั สือฉบบั นีป้ ระกอบดว้ ยเนือ้ หาโครงการอนรุ กั ษพ์ นั ธกุ รรม พชื อนั เน่อื งมาจากพระราชดำ� ริ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (อพ.สธ.) ดำ� เนนิ ตามกรอบการดำ� เนนิ งาน 3 กรอบ 8 กจิ กรรม พชื สมนุ ไพร ประโยชนข์ องพชื สมนุ ไพร พืชสมนุ ไพรกบั ภมู ิปัญญาทอ้ งถ่ิน ภมู ิปัญญาไทยกบั สมนุ ไพรไทย คำ� แนะนำ� ในการใชย้ า สมนุ ไพร พืชสมนุ ไพรในทอ้ งถ่ินและสรรพคณุ ช่ือวิทยาศาสตร์ ลกั ษณะภายนอกของ เครอ่ื งยา สรรพคณุ และรูปแบบและขนาดวิธีใชย้ าและผลติ ภณั ฑส์ มนุ ไพรเพ่ือสขุ ภาพ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์รูส้ ึกปลืม้ ปิติเป็นลน้ พน้ ท่ีไดม้ ีโอกาสร่วมสนอง โครงการพระราชดำ� ริ โครงการอนรุ กั ษพ์ นั ธกุ รรมพืชอนั เน่ืองมาจากพระราชดำ� ริ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี ซง่ึ มเี ปา้ หมายวา่ จะสามารถศกึ ษาและพฒั นา ใหเ้ ป็นแบบอยา่ งในการอนรุ กั ษพ์ นั ธกุ รรมพืชใหก้ บั ชมุ ชนและทอ้ งถ่ินตอ่ ไป ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ประยรู ลมิ้ สุข อธิการบดีมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เพชรบรู ณ์
สกู่ มาหรศั นจำร�ไรปยใส์ ชมป้ ุนรไพะโยรไชทนย์ คำ� นำ� พชื สมนุ ไพรเป็นผลผลติ จากธรรมชาติ ทม่ี นษุ ยร์ ูจ้ กั นำ� มาใชป้ ระโยชน์ เพอ่ื การรกั ษา โรคภยั ไขเ้ จบ็ ตงั้ แตโ่ บราณกาลแลว้ ในชวี ติ ประจำ� วนั มนษุ ยม์ คี วามผกู พนั กบั การใชป้ ระโยชน์ จากพืชสมุนไพรมาชา้ นาน โดยพืชสมุนไพรหน่ึงชนิดสามารถเป็นไดท้ งั้ ยาและอาหาร ตงั้ แตต่ ่ืนนอนจนถงึ เขา้ นอน ความนิยมในพืชสมนุ ไพรใชท้ ำ� เป็นเครอ่ื งยาและเป็นอาหาร พืชสมนุ ไพรท่ีนำ� มาใชล้ ว้ นเป็นพืชสมนุ ไพรใกลต้ วั ซง่ึ บรรพบรุ ุษไดพ้ ยายามรวบรวมและ บอกเลา่ ใหล้ กู หลานไดร้ บั รูผ้ า่ นการบนั ทกึ ในสมดุ ขอ่ ย หนงั สือบดุ ดำ� หนงั สือบดุ ขาว และ ไดต้ กทอดมาสรู่ ุน่ ลกู รุน่ หลาน ความรูด้ า้ นสมนุ ไพรนบั เป็นศาสตรท์ ไ่ี ดร้ บั การสนบั สนนุ และ ถ่ายทอดจากรุน่ สรู่ ุน่ ใหก้ วา้ งขวาง ย่ิงไปกวา่ นนั้ คณุ คา่ ของสมนุ ไพรไทยนอกจากจะเป็น ประโยชนใ์ นดา้ นสาธารณสขุ หรอื การใชป้ ระโยชนเ์ ป็นยารกั ษาโรคแลว้ ยงั สามารถนำ� สมนุ ไพร มาใชป้ ระโยชนท์ างดา้ นอน่ื ๆ อกี เชน่ นำ� มาบรโิ ภคเป็นอาหาร ผลติ เป็นอาหารเสรมิ สขุ ภาพ เคร่ืองด่ืม สีผสมอาหารและสียอ้ ม ตลอดจนเคร่ืองสำ� อาง นอกจากนีย้ ังช่วยพัฒนา คุณภาพชีวิตใหส้ ามารถพ่ึงพาตนเองสามารถใชส้ มุนไพรในระดบั สาธารณสุขมูลฐาน เพ่ือทดแทนการใชย้ าแผนปัจจบุ นั ซง่ึ ในปัจจบุ นั มีการสง่ เสรมิ และเผยแพรใ่ หใ้ ชส้ มนุ ไพร สาธารณสขุ มลู ฐานเพอ่ื รกั ษาโรคหรอื อาการเบอื้ งตน้ ทพ่ี บบอ่ ยๆ เนอ่ื งจากสมนุ ไพรหลายชนดิ เป็นผกั ท่ีรบั ประทานกนั เป็นประจำ� อยแู่ ลว้ และเพ่ือเป็นการสบื สานความรูด้ า้ นสมนุ ไพรท่ีมงุ่ หวงั ใหส้ มนุ ไพรไทยเคยี งคปู่ ระเทศ สืบไปจนถงึ รุน่ ลกู รุน่ หลานนนั้ มหาวิทยาลยั ราชภฏั เพชรบรู ณเ์ ป็นหนว่ ยงานสถาบนั การ ศึกษาท่ีทำ� งานเพ่ือสนองโครงการอนุรกั ษ์พันธุกรรมพืชอันเน่ืองมาจากพระราชดำ� ริ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (อพ.สธ.) จงึ ไดจ้ ดั ทำ� หนงั สือมหศั จรรย์ สมนุ ไพรไทยสกู่ ารนำ� ไปใชป้ ระโยชนเ์ ลม่ นีข้ นึ้ เพ่ือเป็นการจดั การดำ� เนินงานดา้ นการเรยี นรู้ ทรพั ยากรสรา้ งจิตสำ� นกึ ในการอนรุ กั ษพ์ นั ธกุ รรมพืช (Germplasm) การใชป้ ระโยชนข์ อง พชื สมนุ ไพรไทยใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพสงู สดุ และเป็นการกระตนุ้ ใหเ้ กิดจติ สำ� นกึ ในการอนรุ กั ษ์ ทรพั ยากรทอ้ งถ่ินอย่างย่งั ยืน คณะผูจ้ ดั ทำ� หวงั เป็นอย่างย่ิงว่าผูอ้ ่านจะไดร้ บั ประโยชน์ จากหนงั สือเลม่ นี้ กองบรรณาธิการ มีนาคม 2562
โครงการอนรุ กั ษพ์ นั ธุกรรมพชื อนั เน่ืองมาจากพระราชดำ�ริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) สารบัญ 1 สารจากอธิการบดี 2 3 ค�ำนำ� 4 5 บทนำ� 7 กรอบการดำ� เนินงานและกิจกรรม อพ.สธ. 8 9 กรอบการเรยี นร้ทู รัพยากร 10 กจิ กรรมท่ี 1 กิจกรรมปกปกั ทรัพยากร กจิ กรรมที่ 2 กิจกรรมส�ำรวจเก็บรวบรวมทรัพยากร 11 กจิ กรรมท่ี 3 กจิ กรรมปลกู รักษาทรพั ยากร 12 14 กรอบการใชป้ ระโยชน์ กิจกรรมที่ 4 กจิ กรรมอนรุ กั ษ์และใช้ประโยชนท์ รัพยากร 16 กจิ กรรมท่ี 5 กิจกรรมศนู ย์ข้อมลู ทรัพยากร 17 กจิ กรรมท่ี 6 กิจกรรมวางแผนทรพั ยากร 18 18 กรอบการสร้างจติ ส�ำนกึ 19 กิจกรรมท่ี 7 กจิ กรรมสร้างจิตส�ำนกึ ในการอนรุ ักษท์ รพั ยากร 19 กจิ กรรมที่ 8 กิจกรรมพิเศษสนบั สนุนการอนุรกั ษ์ทรัพยากร 20 สมนุ ไพร ประโยชน์ของพืชสมุนไพร พชื สมนุ ไพรกบั ภมู ปิ ัญญาท้องถิ่น ภูมปิ ญั ญาไทย...สมนุ ไพรไทย การเตรยี มยาจากสมุนไพร การเกบ็ ยาสมนุ ไพร ค�ำแนะนำ� ในการใชย้ าสมนุ ไพร
พชื สมนุ ไพรในท้องถ่นิ และสรรพคณุ สู่กมาหรศั นจำร�ไรปยใส์ ชม้ปุนรไพะโยรไชทนย์ กระเจ๊ียบแดง กระวานไทย 21 กานพลู 22 คำ� ฝอย 24 ชะเอมไทย 26 ดปี ล ี 28 ดอกจันทน ์ 30 บอระเพ็ด 32 โป๊ยกัก๊ 34 ฝาง 36 พรกิ ไทยด�ำ 38 เมด็ ผกั ช ี 40 มะกรูด (ผิวผล) 42 มะตมู 44 มะขามปอ้ ม 46 สมอไทย 48 สมอพิเภก 50 ส้มป่อย 52 หญ้าคา 54 อบเชย 56 58 ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพอ่ื สุขภาพ 61 63 บรรณานกุ รม 72
โครงการอนรุ ักษ์พนั ธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำ�ริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (อพ.สธ.) 6
สู่กมาหรศั นจ�ำรไรปยใส์ ชมป้ นุ รไพะโยรไชทนย์ บทนำ� โดย อาจารย์ ดร. นชุ จรี สงิ ห์พันธ์ หลักสตู รวิทยาศาสตรบณั ฑติ สาขาวชิ าเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตรและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลยั ราชภัฏเพชรบรู ณ์ โครงการอนรุ กั ษพ์ นั ธกุ รรมพชื อนั เนอ่ื งมาจากพระราชดำ� ริ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (อพ.สธ.) ดำ� เนินตามกรอบการดำ� เนินงาน 3 กรอบ 8 กิจกรรม ไดแ้ ก่ กรอบท่ี 1 กรอบการเรียนรู้ทรัพยากร คือ กิจกรรมปกปักทรพั ยากร กิจกรรมสำ� รวจ เก็บรวบรวมทรพั ยากร กิจกรรมปลกู รกั ษาทรพั ยากร กรอบท่ี 2 กรอบการใช้ประโยชน์ ประกอบดว้ ย กิจกรรมอนรุ กั ษแ์ ละใชป้ ระโยชนท์ รพั ยากร กิจกรรมศนู ยข์ อ้ มลู ทรพั ยากร กิจกรรมวางแผนทรพั ยากร และกรอบท่ี 3 กรอบการสร้างจิตสำ� นึก มีกิจกรรมสรา้ ง จิตสำ� นึกในการอนุรกั ษ์ทรพั ยากร และกิจกรรมพิเศษสนับสนุนการอนุรกั ษ์ทรพั ยากร โดยในแผนแมบ่ ทระยะ 5 ปีท่ีหก (1 ตลุ าคม 2559 – 30 กนั ยายน 2564) อพ.สธ. มงุ่ เนน้ ดำ� เนินการอนรุ กั ษ์ฐานทรพั ยากร 3 ฐาน ไดแ้ ก่ ฐานทรพั ยากรกายภาพ ฐานทรพั ยากร ชีวภาพ และฐานทรพั ยากรวฒั นธรรมและภมู ิปัญญา เนน้ การขนึ้ ทะเบียนฐานทรพั ยากร ทอ้ งถ่ิน เพ่ือพฒั นาประสทิ ธิภาพการดำ� เนินงานทางดา้ นวิชาการ สรา้ งจิตสำ� นกึ ในการ อนรุ กั ษ์ทรพั ยากร โดยประสานงานและรว่ มกบั หน่วยงานสถาบนั การศกึ ษาต่างๆ และ การจัดทำ� ฐานขอ้ มูลพนั ธุกรรมพืช และทรพั ยากรอ่ืนๆ ท่ีมีการเช่ือมโยงขอ้ มูลระหว่าง หนว่ ยงานไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพ ในปี พ.ศ. 2560 มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ ได้เข้าร่วมสนองโครงการ พระราชดำ� ริ ในกรอบแผนแมบ่ ทระยะ 5 ปีท่ีหก (1 มิถนุ ายน 2560 – 30 กนั ยายน 2564) กลุ่มมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั และมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคล G6 มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์รูส้ ึกปลืม้ ปิติเป็นลน้ พน้ ท่ีไดม้ ีโอกาสร่วมสนอง โครงการพระราชดำ� ริ โครงการอนรุ กั ษพ์ นั ธกุ รรมพืชอนั เน่ืองมาจากพระราชดำ� ริ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี ซง่ึ มเี ปา้ หมายวา่ จะสามารถศกึ ษาและพฒั นา ใหเ้ ป็นแบบอยา่ งในการอนรุ กั ษพ์ นั ธกุ รรมพืชใหก้ บั ชมุ ชนและทอ้ งถ่ินตอ่ ไป คนไทยคนุ้ เคยกบั พืชสมนุ ไพรมาตงั้ แตส่ มยั โบราณ โดยมีการนำ� พืชสมนุ ไพรมาใช้ เป็นยารกั ษาโรคในรูปแบบตา่ งๆ เชน่ ยาตม้ ยาเม็ดลกู กลอน ยาดองเหลา้ ยาชง ยาผง และยาหมอ่ ง เป็นตน้ ซง่ึ การนำ� พืชสมนุ ไพรมาใชป้ ระโยชนต์ อ้ งอาศยั องคค์ วามรูจ้ ากการ ลองผิดลองถกู ในการใชพ้ ืชสมนุ ไพรของบรรพบรุ ุษ ซ่งึ ไดจ้ ดจำ� และถ่ายทอดไปส่รู ุน่ ลกู รุน่ หลาน ดงั นนั้ ผใู้ ชพ้ ืชสมนุ ไพรจงึ ตอ้ งศกึ ษาเก่ียวกบั สรรพคณุ การช่งั ตวง วิธีการปรุงยา และกรรมวิธีการทำ� ผลติ ภณั ฑพ์ ืชสมนุ ไพรตา่ งๆ ใหถ้ กู ตอ้ งและแมน่ ยำ� 1
โครงการอนุรกั ษพ์ นั ธุกรรมพืชอันเน่อื งมาจากพระราชดำ�ริ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) กทกรรารอัพเบรยย� ากกทนการรรพั รรเรยู อียานกบรรู้ 2
สกู่ มาหรัศนจ�ำรไรปยใ์สชมป้ ุนรไพะโยรไชทนย์ กิจกรรมที่ 1 กิจกรรมปกปกั ทรพั ยากร เป้าหมาย 1. เพ่ือปกปักรกั ษาพืน้ ท่ีป่าของธรรมชาตขิ องหนว่ ยงานท่ีรว่ มสนองพระราชดำ� ริ ทงั้ หน่วยงานภาครฐั และเอกชนท่ีมีพืน้ ท่ีป่ าดงั้ เดิมอย่ใู นความรบั ผิดชอบ โดยไม่มีนโยบาย จะเปล่ียนแปลงสภาพพืน้ ท่ี แต่จะเป็นพืน้ ท่ีนอกเหนือจากพืน้ ท่ีของกรมป่ าไมแ้ ละกรม อุทยานแห่งชาติสตั วป์ ่ าและพนั ธุพ์ ืช หรืออาจจะตอ้ งไม่เป็นพืน้ ท่ีท่ีมีปัญหากับราษฎร โดยเดด็ ขาด 2. เพ่อื รว่ มมอื กบั กรมป่าไมแ้ ละกรมอทุ ยานแหง่ ชาตสิ ตั วป์ ่าและพนั ธพุ์ ชื โดยท่กี รมฯ นำ� พืน้ ท่ีของกรมฯ มาสนองพระราชดำ� ริ ตามความเหมาะสม แนวทางการด�ำเนินกิจกรรมปกปกั ทรพั ยากรในพ้นื ท่ีปกปกั ทรัพยากร 1. การทำ� ขอบเขตพืน้ ท่ีปกปักทรพั ยากร 2. การสำ� รวจ ทำ� รหสั ประจำ� ตน้ ไม้ ทำ� รหสั พิกดั เพ่ือรวบรวมเป็นฐานขอ้ มลู ในพืน้ ท่ี ของหนว่ ยงานท่ีรว่ มสนองพระราชดำ� ริ 3. การสำ� รวจ ทำ� รหสั พิกดั และค่าพิกดั ของทรพั ยากรชีวภาพอ่ืนๆ นอกเหนือจาก พนั ธกุ รรมพืช เชน่ สตั ว์ จลุ นิ ทรยี ์ เป็นตน้ 4. การสำ� รวจ ทำ� รหสั พกิ ดั และคา่ พกิ ดั ของทรพั ยากรกายภาพ เชน่ ดนิ หนิ แรธ่ าตตุ า่ งๆ คณุ ภาพนำ้� และคณุ ภาพอากาศ เป็นตน้ 5. การสำ� รวจเก็บขอ้ มลู ภมู ิปัญญาทอ้ งถ่ิน วฒั นธรรมต่างๆ ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การใช้ ทรพั ยากรกายภาพและทรพั ยากรชีวภาพในพืน้ ท่ี 6. สนบั สนนุ ใหม้ อี าสาสมคั รปกปักรกั ษาทรพั ยากรในพนื้ ทส่ี ถานศกึ ษา เชน่ นกั ศกึ ษา ในมหาวิทยาลยั ในระดบั หม่บู า้ น ตำ� บล สนบั สนนุ ใหป้ ระชาชนท่ีอย่รู อบๆ พืน้ ท่ีปกปัก ทรพั ยากร เชน่ มกี จิ กรรมปอ้ งกนั ไฟป่า กจิ กรรมรว่ มมอื รว่ มใจรกั ษาทรพั ยากรในพนื้ ทป่ี กปัก ทรพั ยากร เป็นตน้ 3
โครงการอนุรกั ษพ์ ันธกุ รรมพชื อนั เน่ืองมาจากพระราชด�ำ ริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) กิจกรรมท่ี 2 กจิ กรรมสำ�รวจเกบ็ รวบรวมทรพั ยากร เป้าหมาย 1. เพอ่ื สำ� รวจและเกบ็ รวบรวมทรพั ยากรในพนื้ ท่ี ไดแ้ ก่ ทรพั ยากรกายภาพ ทรพั ยากร ชี ว ภ า พ แ ล ะ ท รัพ ย า ก ร วัฒ น ธ ร ร ม แ ล ะ ภูมิ ปั ญ ญ า ใ น พื ้น ท่ี ท่ี ท ร า บ แ น่ ชัด ว่า ก�ำ ลัง จ ะ เปล่ียนแปลงจากสภาพเดิม ภายใตร้ ศั มีอย่างนอ้ ย 50 กิโลเมตร ของหน่วยงานท่ีร่วม พระราชดำ� ริ ใหพ้ จิ ารณาความพรอ้ มและศกั ยภาพของหนว่ ยงานทเ่ี ป็นแกนกลางดำ� เนนิ งาน ในแตล่ ะพืน้ ท่ีเป็นสำ� คญั 2. เพอ่ื สำ� รวจและเกบ็ รวบรวมทรพั ยากรในพนื้ ท่ี ไดแ้ ก่ ทรพั ยากรกายภาพ ทรพั ยากร ชี ว ภ า พ แ ล ะ ท รัพ ย า ก ร วัฒ น ธ ร ร ม แ ล ะ ภูมิ ปั ญ ญ า ใ น พื ้น ท่ี ท่ี ท ร า บ แ น่ ชัด ว่า ก�ำ ลัง จ ะ เปล่ียนแปลงจากสภาพเดิม ภายใตร้ ศั มีอย่างนอ้ ย 50 กิโลเมตร ของหน่วยงานท่ีรว่ ม พระราชดำ� ริ อาจกำ� ลงั เปล่ียนแปลงหรือไม่ก็ได้ แต่เป็นคนละพืน้ ท่ีปกปักพนั ธุกรรมพืช/ ทรพั ยากรในกิจกรรมท่ี 1 แนวทางการด�ำเนนิ กจิ กรรมสำ� รวจเกบ็ รวบรวมทรพั ยากร 1. การสำ� รวจเกบ็ รวบรวมตวั อยา่ ง ทรพั ยากรกายภาพ ทรพั ยากรชวี ภาพ และทรพั ยากร วฒั นธรรมและภูมิปัญญา ในบริเวณรศั มีอย่างนอ้ ย 50 กิโลเมตร ของหน่วยงานนัน้ ๆ ทงั้ พืน้ ท่ี แต่อาจเร่ิมตน้ ในพืน้ ท่ีท่ีจะมีการเปล่ียนแปลงจากการพฒั นาหรือล่อแหลมต่อ การเปลย่ี นแปลงกอ่ น เชน่ พนื้ ทก่ี ำ� ลงั จะสรา้ งอา่ งเกบ็ นำ้� สรา้ งศนู ยก์ ารคา้ พนื้ ทส่ี รา้ งถนน การขยายทางหลวงหรอื เสน้ ทางตา่ งๆ พืน้ ท่ีสรา้ งสายไฟฟา้ แรงสงู พืน้ ท่ีท่ีกำ� ลงั ถกู บกุ รุก และในพืน้ ท่ีอ่ืนๆ ท่ีจะถกู พฒั นาเปล่ยี นแปลงจากสภาพเดมิ 2. การเก็บรวบรวมทรพั ยากรชีวภาพเพ่ือเป็นตวั อยา่ งแหง้ และตวั อยา่ งดอง รวมถงึ การเกบ็ ตวั อยา่ งทรพั ยากรกายภาพ เพอ่ื เป็นตวั อยา่ งในการศกึ ษาหรอื เกบ็ ในพพิ ธิ ภณั ฑพ์ ชื พิพิธภณั ฑธ์ รรมชาตวิ ทิ ยา 3. การเก็บพนั ธุกรรมทรพั ยากร สำ� หรบั พืชสามารถเก็บเพ่ือเป็นตวั อย่างเพ่ือการ ศกึ ษา หรอื มกี ารเกบ็ ในรูปเมลด็ ในหอ้ งเกบ็ รกั ษาเมลด็ พนั ธุ์ การเกบ็ ตน้ พชื มชี วี ติ เพอ่ื ไปปลกู ในท่ีปลอดภัย การเก็บ ชิน้ ส่วนพืชท่ีมีชีวิต (เพ่ือนำ� มาเก็บรกั ษาในสภาพเพาะเลีย้ ง เนือ้ เย่ือ) และสำ� หรบั ทรพั ยากรอ่ืนๆ (สตั ว์ จลุ ินทรีย์ เห็ด รา ฯลฯ) สามารถเก็บตวั อย่าง มาศกึ ษาและขยายพนั ธตุ์ อ่ ไปได้ ในกิจกรรมท่ี 3 กิจกรรมปลกู รกั ษาทรพั ยากร 4
สกู่ มาหรศั นจ�ำรไรปยใส์ ชมป้ ุนรไพะโยรไชทนย์ กิจกรรมที่ 3 กิจกรรมปลกู รกั ษาทรพั ยากร เป้าหมาย 1. เพอ่ื นำ� ทรพั ยากรทม่ี คี า่ ใกลส้ ญู พนั ธุ์ หรอื ตอ้ งการเพม่ิ ปรมิ าณเพอ่ื นำ� มาใชป้ ระโยชน์ จำ� พนื้ ทใ่ี นกจิ กรรมท่ี 1 และกจิ กรรมท่ี 2 ทำ� การคดั เลอื กมาเพอ่ื ดำ� เนนิ งานกจิ กรรมตอ่ เน่อื ง โดยการนำ� พนั ธกุ รรมทางชวี ภาพตา่ งๆ ไปเพาะพนั ธุ์ ปลกู เลยี้ ง และขยายพนั ธเุ์ พม่ิ ในพนื้ ท่ี ท่ีปลอดภยั เรยี กวา่ พืน้ ท่ีปลกู รกั ษาทรพั ยากร 2. สง่ เสรมิ ใหเ้ พม่ิ พนื้ ทแ่ี หลง่ รวบรวมทรพั ยากรตามพนื้ ทข่ี องหนว่ ยงานตา่ งๆ (ex situ) ทั้งในแปลงเพาะพันธุ์ หอ้ งปฏิบัติการฯ แหล่งเพาะพันธุ์สัตว์ เป็นลักษณะของสวน พฤกษศาสตร์ สวนรุกชาติ ป่าชมุ ชนท่ีรว่ มสนองพระราชดำ� ริ และยงั เก็บรกั ษาในรูปเมลด็ เนือ้ เย่ือ และสารพนั ธกุ รรมในหอ้ งปฏิบตั กิ ารฯ ของหนว่ ยงาน รวมถงึ การเก็บรกั ษาพนั ธุ์ ในธนาคารพืชพรรณ อพ.สธ. สวนจิตลดา เก็บในรูปสารพนั ธุกรรม หรือ ดีเอ็นเอ และ ศนู ยอ์ นรุ กั ษพ์ นั ธกุ รรมพืช อพ.สธ. คลองไผ่ แนวทางการดำ� เนนิ กิจกรรมปลูกรกั ษาทรัพยากร ทรัพยากรพันธุกรรมพชื 1. การปลกู รกั ษาตน้ พนั ธกุ รรมพชื ในแปลงปลกู การปลกู รกั ษาตน้ พชื มชี วี ติ ลกั ษณะ ป่าพนั ธกุ รรมพชื มแี นวทางดำ� เนนิ งาน คอื สำ� รวจสภาพพนื้ ทแ่ี ละสรา้ งสง่ิ อำ� นวยความสะดวก ในการปฏิบตั งิ าน งานขยายพนั ธพุ์ ืช งานปลกู พนั ธกุ รรมพืชและบนั ทกึ ผลการเจรญิ เตบิ โต งานจดั ทำ� แผนท่ีตน้ พนั ธกุ รรมและทำ� พิกดั ตน้ พนั ธกุ รรม 2. การตรวจสอบพืชปราศจากโรคก่อนการเก็บรกั ษาพนั ธกุ รรมพืชในรูปแบบตา่ งๆ 3. การเก็บรกั ษาทงั้ ในรูปของเมลด็ ในระยะสนั้ ระยะกลาง และระยะยาว ในรูปของ ธนาคารพนั ธกุ รรม ศกึ ษาหาวิธีการเก็บเมลด็ พนั ธุ์ และทดสอบการงอกของเมลด็ พนั ธุ์ 4. การเก็บรกั ษาโดยศกึ ษาเทคโนโลยีการเพาะเลีย้ งเนือ้ เย่ือพืชแต่ละชนิด ศกึ ษา การฟอกฆ่าเชือ้ ศึกษาสูตรอาหารท่ีเหมาะสม ศึกษาการเก็บรกั ษาโดยการเพาะเลีย้ ง เนือ้ เย่ือในระยะสนั้ ระยะกลางระยะยาว และในไนโตรเจนเหลว (cryopreservation) และ การขยายพนั ธโุ์ ดยการเพาะเลยี้ งเนือ้ เย่ือ 5
โครงการอนุรักษพ์ ันธุกรรมพืชอันเน่ืองมาจากพระราชด�ำ ริ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) 5. การเก็บรกั ษาในรูปสารพนั ธุกรรม (DNA) เพ่ือการนำ� ไปใชป้ ระโยชน์ เช่น การ วิเคราะหล์ ายพิมพด์ ีเอน็ เอ การปรบั ปรุงพนั ธพุ์ ืช เป็นตน้ 6. การดำ� เนินงานในรูปของสวนพฤกษศาสตร์ สวนรุกขชาติ สวนสาธารณะตา่ งๆ การปลกู พืชในสถานศกึ ษา โดยมีระบบฐานขอ้ มลู ท่ีสามารถใชป้ ระโยชนไ์ ดใ้ นอนาคต ทรพั ยากรพนั ธกุ รรมสตั ว์และทรพั ยากรพันธุกรรมอื่นๆ ใหด้ ำ� เนินการใหม้ ีสถานท่ีเพาะเลีย้ งหรือหอ้ งปฏิบตั ิการท่ีจะเก็บรกั ษา เพาะพนั ธุ/์ ขยายพนั ธตุ์ ามมาตรฐานความปลอดภยั โดยมีแนวทางการดำ� เนินงานคลา้ ยคลงึ กบั การ ดำ� เนินงานในทรพั ยากรพนั ธกุ รรมพืชขา้ งตน้ 6
กกปราระโรอยใชบชน์้
โครงการอนรุ ักษพ์ นั ธกุ รรมพืชอนั เนอ่ื งมาจากพระราชดำ�ริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (อพ.สธ.) กจิ กรรมที่ 4 กจิ กรรมอนุรักษแ์ ละใชป้ ระโยชนท์ รัพยากร เป้าหมาย 1. เพ่ือศกึ ษาและประเมินศกั ยภาพพนั ธุกรรมพืช และทรพั ยากรอ่ืนๆ ท่ีสำ� รวจเก็บ รวบรวม และปลกู รกั ษาไว้ จากกิจกรรมท่ี 1-3 2. เพ่ือการอนรุ กั ษแ์ ละใชป้ ระโยชนท์ รพั ยากรทงั้ 3 ฐานทรพั ยากร ไดแ้ ก่ ทรพั ยากร กายภาพ ทรพั ยากรชีวภาพ และทรพั ยากรวฒั นธรรมและภมู ิปัญญา มีการวางแผนและ ดำ� เนนิ การวจิ ยั ศกั ยภาพของทรพั ยากรตา่ งๆ นำ� ไปสกู่ ารพฒั นาพนั ธพุ์ ชื พนั ธสุ์ ตั ว์ สายพนั ธุ์ จลุ นิ ทรยี ์ ตามแนวพระราชดำ� ริ และแนวทางนำ� ไปสกู่ ารอนรุ กั ษแ์ ละใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งย่งั ยนื แนวทางการด�ำเนินกิจกรรมอนุรกั ษ์และใช้ประโยชนท์ รพั ยากร 1. การวเิ คราะหท์ างกายภาพ เชน่ แรธ่ าตใุ นดนิ คณุ สมบตั ขิ องนำ้� ฯลฯ จากแหลง่ กำ� เนิดพนั ธกุ รรมดงั้ เดมิ ของพืชนนั้ ๆ 2. การศกึ ษาทางดา้ นชีววิทยา สณั ฐานวิทยา สรรี วทิ ยา ชีวเคมี พนั ธศุ าสตร์ ฯลฯ ของทรพั ยากรชีวภาพท่ีคดั เลอื กมาศกึ ษา 3. การศกึ ษาดา้ นโภชนาการ องคป์ ระกอบของสารสำ� คญั เชน่ รงควตั ถุ กล่นิ สาร สำ� คญั ตา่ งๆ ในพนั ธกุ รรมพืชและทรพั ยากรชีวภาพอ่ืนๆ ท่ีเป็นเปา้ หมาย 4. การศกึ ษาการปลกู การเขตกรรมและขยายพนั ธพุ์ ืชดว้ ยการขยายพนั ธตุ์ ามปกติ ในพนั ธกุ รรมพืชท่ีไมเ่ คยศกึ ษามาก่อน และการขยายพนั ธโุ์ ดยการเพาะเลยี้ งเนือ้ เย่ือใน พนั ธกุ รรมพชื ทไ่ี มเ่ คยศกึ ษามากอ่ น รวมถงึ การศกึ ษาการเลยี้ งและการขยายพนั ธทุ์ รพั ยากร ชีวภาพอ่ืนๆ เพ่ือใหไ้ ดผ้ ลผลติ ตามท่ีตอ้ งการ 5. การศกึ ษาการจำ� แนกสายพนั ธโุ์ ดยวธิ ีทางชีวโมเลกลุ เพ่ือนำ� ไปสกู่ ารพฒั นาพนั ธุ์ พืชสตั ว์ และจลุ นิ ทรยี ์ เพ่ือเก็บเป็นลายพิมพด์ ีเอน็ เอของทรพั ยากรชนิดนนั้ ๆ ไวเ้ พ่ือนำ� ไป ใชป้ ระโยชนต์ อ่ ไป 6. การจดั การพืน้ ท่ีท่ีกำ� หนดเพ่ือการอนรุ กั ษ์และพฒั นา เช่น ศนู ยเ์ รียนรูต้ ่างๆ ซ่งึ เป็นศนู ยฯ์ ตวั อยา่ ง เพ่ือการเรยี นรูก้ ารใชป้ ระโยชนท์ รพั ยากรอยา่ งย่งั ยืน ตามปรชั ญา เศรษฐกจิ พอเพยี ง อกี ทงั้ ศนู ยฯ์ เหลา่ นสี้ ามารถใชป้ ระโยชนใ์ หเ้ ป็นศนู ยฝ์ ึกอบรมของ อพ.สธ. สนบั สนนุ ในกิจกรรมตา่ งๆ ของ อพ.สธ. 8
สกู่ มาหรศั นจ�ำรไรปยใส์ ชม้ปุนรไพะโยรไชทนย์ กิจกรรมท่ี 5 กจิ กรรมศูนย์ขอ้ มลู ทรัพยากร เปา้ หมาย 1. เพอ่ื ใหเ้ กดิ ฐานทรพั ยากรของประเทศ โดยศนู ยข์ อ้ มลู ทรพั ยากร อพ.สธ. สวนจติ รดา รว่ มกบั หนว่ ยงานทร่ี ว่ มสนองพระราชดำ� ริ บนั ทกึ ขอ้ มลู ของการสำ� รวจเกบ็ รวบรวม การศกึ ษา ประเมิน การอนรุ กั ษ์ และการใชป้ ระโยชน์ ทรพั ยากรทงั้ สามฐาน โดยการบนั ทึกลงใน ระบบฐานขอ้ มลู เพ่ือเป็นฐานขอ้ มลู และมีระบบท่ีเช่ือมตอ่ กนั โดยท่วั ประเทศ 2. เพ่ือใหฐ้ านทรพั ยากรนนั้ เพ่ือเป็นขอ้ มลู เพ่ือนำ� ไปสกู่ ารวางแผนพฒั นาพนั ธุ์ และ ทรพั ยากรตา่ งๆ โดย อพ.สธ. เป็นท่ีปรกึ ษา แนวทางการดำ� เนนิ กจิ กรรมศนู ยข์ อ้ มูลทรัพยากร 1. อพ.สธ. รว่ มกบั หนว่ ยงานทร่ี ว่ มสนองพระราชดำ� ริ จดั ทำ� ฐานขอ้ มลู ระบบดจิ ติ อล และพฒั นาโปรแกรมสำ� หรบั ระบบศนู ยข์ อ้ มลู ทรพั ยากรตา่ งๆ รว่ มกนั 2. นำ� ขอ้ มลู ของตวั อยา่ งพชื ทเ่ี กบ็ รวบรวมไวเ้ ดมิ โดยหนว่ ยงานทร่ี ว่ มสนองพระราชดำ� ริ เขา้ เก็บไวใ้ นระบบฐานขอ้ มลู ของศนู ยข์ อ้ มลู ทรพั ยากร อพ.สธ. 3. นำ� ขอ้ มลู ท่ีไดจ้ ากการสำ� รวจเก็บรวบรวมพนั ธกุ รรมพืช และทรพั ยากรตา่ งๆ เขา้ เกบ็ ไวใ้ นศนู ยข์ อ้ มลู ทรพั ยากร เพอ่ื การประเมนิ คณุ คา่ และนำ� ไปสกู่ ารวางแผนพฒั นาพนั ธพุ์ ชื และทรพั ยากรอ่ืนๆ 4. พฒั นาการบรหิ ารจดั การฐานขอ้ มลู ของศนู ยข์ อ้ มลู ทรพั ยากร อพ.สธ. ใหม้ เี อกภาพ มีความสมบรู ณแ์ ละเป็นปัจจบุ นั ซง่ึ หนว่ ยงานตา่ งๆ สามารถใชป้ ระโยชนร์ ว่ มกนั ได้ โดยมี อพ.สธ. เป็นศนู ยก์ ลางและวางแผนดำ� เนนิ งานพฒั นาเครอื ขา่ ยระบบขอ้ มลู สารสนเทศ อพ.สธ. รว่ มกบั หนว่ ยงานท่รี ว่ มสนองพระราชดำ� ริ เพ่อื ใหส้ ามารถเช่ือมโยงและใชร้ ว่ มกนั อาจผา่ น ทางเวบ็ ไซตท์ ่ีมีระบบปอ้ งกนั การเขา้ ถงึ ฐานขอ้ มลู 5. หน่วยงานรว่ มสนองพระราชดำ� ริ มีความประสงคท์ ่ีจะดำ� เนินการแบ่งปันหรือ เผยแพรข่ อ้ มลู ใดๆ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งในงาน อพ.สธ. จำ� เป็นตอ้ งขออนญุ าตผา่ นทาง อพ.สธ. กอ่ น เพ่ือขอพระราชทาน ขอ้ มลู นนั้ ๆ และขนึ้ อยกู่ บั พระราชวนิ ิจฉยั สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรม ราชกมุ ารี (การขอพระราชทานพระราชานญุ าต ใหด้ ำ� เนนิ การทำ� หนงั สอื แจง้ ความประสงค์ มายงั ผอู้ ำ� นวยการ อพ.สธ. ลว่ งหนา้ อยา่ งนอ้ ย 1 เดือน) 9
โครงการอนุรักษพ์ ันธกุ รรมพชื อนั เนอ่ื งมาจากพระราชดำ�ริ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) กจิ กรรมท่ี 6 กจิ กรรมวางแผนทรพั ยากร เปา้ หมาย เป็นกิจกรรมท่ีนำ� ฐานขอ้ มลู จากกิจกรรมท่ี 5 มาใชใ้ นการพิจารณาศกั ยภาพของ พนั ธพุ์ ืช พนั ธสุ์ ตั ว์ พนั ธจุ์ ลุ นิ ทรยี ์ ฯลฯ แนวทางการด�ำเนินกิจกรรมวางแผนพัฒนาทรพั ยากร ทรพั ยากรพันธุกรรมพืช 1. จดั ประชมุ คณะทำ� งานทรพั ยากรตา่ งๆ คดั เลือกพนั ธพุ์ ืชท่ีผทู้ รงคณุ วฒุ ิพิจารณา แลว้ วา่ ควรมีการวางแผนพฒั นาพนั ธเุ์ พ่ือการใชป้ ระโยชนต์ อ่ ไปในอนาคต 2. ดำ� เนนิ การทลู เกลา้ ฯ ถวายแผนการพฒั นาทรพั ยากรทค่ี ดั เลอื กแลว้ เพอ่ื ใหส้ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารที รงมีพระราชวินิจฉยั และพระราชทานใหก้ บั หน่วยงาน ท่ีมีศกั ยภาพในการพฒั นาปรบั ปรุงพนั ธุกรรมทรพั ยากรชนิดนนั้ ๆ ใหเ้ ป็นไป ตามเปา้ หมาย 3. ประสานงานเพ่ือใหห้ น่วยงานท่ีมีความพรอ้ มในการพฒั นาพนั ธุท์ รพั ยากรตา่ งๆ เชน่ พฒั นาพนั ธกุ รรมพืช ดำ� เนินการพฒั นาพนั ธพุ์ ืช และนำ� ออกไปสปู่ ระชาชน และอาจ นำ� ไปปลกู เพ่ือเป็นการคา้ ตอ่ ไป 4. ดำ� เนินการขนึ้ ทะเบียนรบั รองพนั ธุพ์ ืชใหม่ท่ีไดม้ าจากการพฒั นาพนั ธุพ์ ืชดงั้ เดิม เพ่ือประโยชนข์ องมหาชนชาวไทย ทรพั ยากรพันธกุ รรมสตั วแ์ ละทรัพยากรพันธุกรรมอื่นๆ มีแนวทางการดำ� เนินงานคลา้ ยคลึงกบั การดำ� เนินงานในทรพั ยากรพนั ธุกรรมพืช ขา้ งตน้ 10
กกจาิตรรสสอ�ำรนบ้าึกง
โครงการอนุรกั ษ์พนั ธกุ รรมพืชอันเนอื่ งมาจากพระราชด�ำ ริ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (อพ.สธ.) กจิ กรรมท่ี 7 กจิ กรรมสรา้ งจติ สำ�นกึ ในการอนรุ กั ษท์ รพั ยากร เป้าหมาย 1. เพ่ือใหเ้ ยาวชน ประชาชนชาวไทย ใหเ้ ขา้ ถึงความสำ� คญั และประโยชนข์ อง ทรพั ยากรทงั้ สามฐาน ใหร้ ูจ้ กั หวงแหน รูจ้ กั การนำ� ไปใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งย่งั ยืน ซง่ึ มีความ สำ� คญั ตอ่ การจดั การ การอนรุ กั ษแ์ ละใชท้ รพั ยากรของประเทศอยา่ งย่งั ยืน 2. เพ่ือใหห้ น่วยงานท่ีรว่ มสนองพระราชดำ� ริ วางแผนและขยายผลเพ่ือนำ� แนวทาง การสรา้ งจิตสำ� นึกในการอนรุ กั ษ์ทรพั ยากรของ อพ.สธ. ไปดำ� เนินงานตามยทุ ธศาสตร์ ของหนว่ ยงานนนั้ ๆ แนวทางการด�ำเนนิ กิจกรรมสร้างจิตสำ� นึกในการอนุรกั ษท์ รพั ยากร 1. งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน งานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน เป็นนวตั กรรมของการเรียนรูเ้ พ่ือนำ� ไปส่กู ารสรา้ ง จิตสำ� นึกในการอนรุ กั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติ วฒั นธรรมและภมู ิปัญญาของประเทศไทย นำ� ไปสกู่ ารพฒั นาคนใหเ้ ขม้ แข็งรูเ้ ทา่ ทนั พรอ้ มรบั กบั กระแสการเปล่ยี นแปลงของโลก อพ.สธ. กำ� หนดแนวทางและหลกั เกณฑก์ ารดำ� เนินงานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น โดยใหส้ ถานศกึ ษาสมคั รเขา้ มาเป็นสมาชิกในงานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น ครู/อาจารย์ นำ� พรรณไมท้ ่ีมีอยใู่ นโรงเรยี นไปเป็นส่อื ในการเรยี นการสอนวชิ าตา่ งๆ ท่ีมีอยใู่ นหลกั สตู ร ใชพ้ ืชเป็นปัจจยั หลกั ในการเรยี นรู้ สนบั สนนุ ใหส้ มาชิกสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี นรว่ มกบั องคก์ ารบรหิ ารสว่ นทอ้ งถ่ินและชมุ ชน รว่ มกนั สำ� รวจจดั ทำ� ฐานทรพั ยากรทอ้ งถ่ิน นำ� ไปสู่ การจัดทำ� หลักสูตรทอ้ งถ่ินสมาชิกงานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน มีการทบทวนและ ปรบั ปรุงการดำ� เนินงานท่ีทำ� อย่เู ดิมใหค้ รบถว้ นตามมาตรฐานท่ี อพ.สธ. กำ� หนด นำ� ไปสู่ การประเมินเพ่ือรบั ปา้ ยพระราชทานและเกียรตบิ ตั รฯ สว่ นสมาชิกใหม่ ควรดำ� เนินงานให้ เป็นไปตามมาตรฐานของ อพ.สธ.และรบั คำ� แนะนำ� จากคณะผทู้ รงคณุ วฒุ ิและท่ีปรกึ ษา อพ.สธ. ในงานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น 12
สู่กมาหรัศนจ�ำรไรปยใส์ ชมป้ นุ รไพะโยรไชทนย์ 2. งานพพิ ิธภณั ฑ์ งานพิพิธภณั ฑเ์ ป็นการขยายผลการดำ� เนินงานเพ่ือเสริมสรา้ งกระบวนการเรียนรู้ ไปสปู่ ระชาชนกลมุ่ เปา้ หมายตา่ งๆ ใหก้ วา้ งขวางยง่ิ ขนึ้ โดยใชก้ ารนำ� เสนอในรูปของพพิ ธิ ภณั ฑ์ ซง่ึ เป็นส่อื เขา้ ถงึ ประชาชนท่วั ไป ตวั อยา่ งเชน่ 1. งานพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติท่ีมีชีวิต ดำ� เนินการโดยศูนย์ศึกษาการพัฒนา อนั เน่ืองมาจากพระราชดำ� ริ และจงั หวดั ตา่ งๆ 2. งานพิพิธภณั ฑพ์ ืช ดำ� เนินการโดยหน่วยงานท่ีร่วมสนองพระราชดำ� ริ เช่น กรมอทุ ยานแหง่ ชาตสิ ตั วป์ ่า และพนั ธพุ์ ชื กรมป่าไม้ กรมวชิ าการเกษตร มหาวทิ ยาลยั ตา่ งๆ ซง่ึ มีผเู้ ช่ียวชาญ นกั พฤกษศาสตร์ ดแู ลอยู่ 3. งานพพิ ธิ ภณั ฑธ์ รรมชาตวิ ทิ ยา ดำ� เนนิ การโดยหนว่ ยงานทร่ี ว่ มสนองพระราชดำ� ริ เช่น มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จังหวดั นครราชสีมา และมหาวิทยาลยั ขอนแก่น จงั หวดั ขอนแก่น เป็นตน้ 4. งานพิพิธภณั ฑธ์ รรมชาตวิ ิทยาเกาะและทะเลไทย เชน่ พิพิธภณั ฑธ์ รรมชาติ วิทยาเกาะและทะเลไทยเขาหมาจอ ตำ� บลแสมสาร อำ� เภอสตั หีบ จงั หวดั ชลบรุ ี สนอง พระราชดำ� ริ อพ.สธ. โดยกองทพั เรอื 5. งานพิพิธภณั ฑท์ อ้ งถ่ิน หอศิลปวฒั นธรรม ของจงั หวดั และหน่วยงานท่ีรว่ ม สนองพระราชดำ� ริ 6. นิทรรศการถาวรตา่ งๆ ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ทรพั ยากรตา่ งๆ 7. ศนู ยก์ ารเรยี นรู้ 3. งานอบรม อพ.สธ. ดำ� เนินงานอบรมเรอ่ื งงานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น งานฝึกอบรมปฏิบตั ิ การสำ� รวจและจัดทำ� ฐานทรพั ยากรทอ้ งถ่ิน หรืองานท่ีเก่ียวขอ้ งกับการสรา้ งจิตสำ� นึก ในการอนรุ กั ษท์ รพั ยากร โดยอาจจดั ณ ศนู ยฝ์ ึกอบรมของ อพ.สธ. รว่ มกบั หนว่ ยงานท่ี รว่ มสนองพระราชดำ� ริ ท่ีกระจายอยตู่ ามภมู ิภาคตา่ งๆ 13
โครงการอนรุ กั ษพ์ นั ธุกรรมพชื อันเนื่องมาจากพระราชด�ำ ริ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (อพ.สธ.) กจิ กรรมท่ี 8 กจิ กรรมพเิ ศษสนบั สนนุ การอนรุ กั ษท์ รพั ยากร เปา้ หมาย 1. เพอ่ื เปิดโอกาสใหห้ นว่ ยงานตา่ งๆ ทงั้ ภาครฐั และเอกชน เขา้ รว่ มสนบั สนนุ งานของ อพ.สธ. ในรูปแบบตา่ งๆ ไมว่ า่ จะเป็นในรูปของสนบั สนนุ หรอื ดำ� เนินงานท่ีเก่ียวขอ้ ง และ สนบั สนนุ กิจกรรมตา่ งๆ ของ อพ.สธ. โดยอยใู่ นกรอบแผนแมบ่ ท อพ.สธ. 2. เพ่ือเปิดโอกาสใหเ้ ยาวชนและประชาชนไดส้ มัครเขา้ มาศึกษาหาความรูก้ ับ ทรพั ยากรธรรมชาตใิ นสาขาตา่ งๆ ตามความถนดั และสนใจ โดยคณาจารยผ์ เู้ ช่ียวชาญใน แตล่ ะสาขาใหค้ ำ� แนะนำ� และใหแ้ นวทางการศกึ ษา โดยจดั ตงั้ เป็นชมรมนกั ชวี วทิ ยา อพ.สธ. 3. เพอ่ื รวบรวมนกั วจิ ยั นกั วชิ าการ คณาราจารยเ์ ช่ยี วชาญจากทงั้ ภาครฐั และเอกชน เป็นอาสาสมคั รและเขา้ มาทำ� งานตามแนวทางการดำ� เนินงานในกิจกรรมของ อพ.สธ. ทงั้ สว่ นตวั และผา่ นทางหนว่ ยงานทต่ี น้ สงั กดั อยู่ โดยจดั ตงั้ เป็นชมรมคณะปฏบิ ตั งิ านวทิ ยาการ อพ.สธ. ซง่ึ จะเป็นผนู้ ำ� ในการถ่ายทอดความรูแ้ ละสรา้ งจิตสำ� นกึ ในการอนรุ กั ษท์ รพั ยากร ของประเทศใหแ้ ก่เยาวชนและประชาชนชาวไทยตอ่ ไป 4. เพ่ือสนับสนุนองคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถ่ิน เทศบาลตำ� บล เทศบาลเมือง ให้ ดำ� เนินงานสมคั รสมาชิกเขา้ มาในงานฐานทรพั ยากรทอ้ งถ่ิน แนวทางการด�ำเนินกจิ กรรมพเิ ศษสนับสนนุ การอนุรักษท์ รัพยากร 1. อพ.สธ. เป็นเจา้ ภาพรว่ มกบั หนว่ ยงานทร่ี ว่ มสนองพระราชดำ� รใิ นการจดั การประชมุ วชิ าการและนิทรรศการ อพ.สธ. ทกุ ๆ 2 ปี โดยมีการรว่ มจดั แสดงนิทรรศการกบั หนว่ ยงาน ท่ีรว่ มสนองพระราชดำ� รทิ กุ หนว่ ยงาน และการจดั การประชมุ วิชาการและนิทรรศการสวน พฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น และฐานทรพั ยากรทอ้ งถ่ิน ระดบั ภมู ิภาค 2. อพ.สธ. สนบั สนนุ ใหม้ ีการนำ� เสนอผลงานวจิ ยั ของเจา้ หนา้ ท่ีและนกั วจิ ยั อพ.สธ. รวมถงึ งานของหนว่ ยงานทร่ี ว่ มสนองพระราชดำ� ริ ในงานประชมุ วชิ าการตา่ งๆ ระดบั ประเทศ และตา่ งประเทศ และใหม้ ีการขออนญุ าตในการนำ� เสนอผลงานทกุ ครงั้ 3. หนว่ ยงานภาครฐั เอกชน และผมู้ ีจิตศรทั ธาสนบั สนนุ เงินทนุ ให้ อพ.สธ. (โดยการ ทลู เกลา้ ฯ ถวาย โดยผา่ นทางมลู นิธิ อพ.สธ. เพ่ือใชใ้ นกิจกรรม อพ.สธ.) 14
สู่กมาหรัศนจ�ำรไรปยใส์ ชมป้ ุนรไพะโยรไชทนย์ 4. ชมรมนกั ชวี วทิ ยา อพ.สธ. และชมรมคณะปฏบิ ตั งิ านวทิ ยาการ อพ.สธ. ดำ� เนนิ งาน สนบั สนนุ งานในกิจกรรมท่ี 1-7 โดยท่ี อพ.สธ. สนบั สนนุ ใหม้ ีผสู้ มคั รเป็นสมาชิกชมรมฯ ตามเง่ือนไขของชมรมฯ 5. หน่วยงานท่ีร่วมสนองพระราชดำ� ริ สามารถดำ� เนินการฝึกอบรมในการสรา้ ง จิตสำ� นกึ ในการอนรุ กั ษพ์ นั ธกุ รรมพืชและทรพั ยากรตา่ งๆ เพ่ือสนองพระราชดำ� รติ ามแผน แม่บท อพ.สธ. โดยอาจมีการฝึกอบรมตามสถานท่ีของหน่วยงานเอง หรือ ขอใชส้ ถานท่ี ของ อพ.สธ. รว่ มกบั วิทยากรของ อพ.สธ. หรอื เป็นวทิ ยากรของหนว่ ยงานเอง แตผ่ า่ นการ วางแผนและเห็นชอบจากอพ.สธ. และอบรมใหก้ ับเครือข่าย อพ.สธ. เช่น สมาชิกงาน สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น และสมาชิกงานฐานทรพั ยากรทอ้ งถ่ิน 6. การทำ� หลกั สตู ร ทอ้ งถ่ินของมหาวทิ ยาลยั ตา่ งๆ ตามแผนแมบ่ ทของ อพ.สธ. 7. การเผยแพรโ่ ดยส่อื ตา่ งๆ เชน่ การทำ� หนงั สอื วีดีทศั น์ เอกสารเผยแพร่ เวบ็ ไซต์ ประชาสมั พนั ธท์ ่ีไดร้ บั ความเหน็ ชอบจาก อพ.สธ. เพ่ือสนบั สนนุ งานกิจกรรมตา่ งๆ ของ อพ.สธ. สามารถใชส้ ญั ลกั ษณข์ อง อพ.สธ. ไดเ้ ม่ือไดร้ บั การพิจารณาและเหน็ ชอบจาก อพ.สธ. 8. การจัดงานประชุมวิชาการและนิทรรศการต่างๆ ของหน่วยงานท่ีร่วมสนอง พระราชดำ� ริ ในสว่ นท่ีเผยแพรง่ านของ อพ.สธ. และไดร้ บั ความเหน็ ชอบจาก อพ.สธ. 9. หนว่ ยงานเอกชนหรอื บคุ คลท่วั ไป สมคั รเป็นอาสาสมคั รในการรว่ มงานกบั อพ.สธ. 10. การดำ� เนนิ งานอน่ื ๆ เพอ่ื เป็นการสนบั สนนุ งานตามกรอบแผนแมบ่ ทของ อพ.สธ. 11. องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถ่ิน สมคั รเขา้ มางานฐานทรพั ยากรทอ้ งถ่ิน 15
HสมEุนRไพBร
สกู่ มาหรัศนจ�ำรไรปยใ์สชมป้ ุนรไพะโยรไชทนย์ สมนุ ไพร พืชสมนุ ไพร หมายถงึ พืชประเภทตา่ งๆ ท่ีนำ� มาใชป้ ระโยชนเ์ ป็นยารกั ษาโรคและ ดา้ นอ่ืนๆ เชน่ ดา้ นยา และดา้ นเครอ่ื งใช้ โดยใชส้ ว่ นตา่ งๆ ของพืช ซง่ึ สามารถหาเก็บไดใ้ น แตล่ ะทอ้ งถ่ิน (มณฑา ลมิ ปิยประพนั ธ,์ 2554) สำ� หรบั ความหมายของยาสมุนไพร หมายถึง ยาท่ีปรุงจากส่วนของพืชสมุนไพร ตงั้ แต่ 2 ชนิดขึน้ ไปมาผสมกันตามตำ� รบั ยาท่ีสืบทอดกันมาแต่โบราณ โดยสมุนไพรมี ความหมายรวมถงึ พืช สตั ว์ และแร่ ประโยชน์ของพชื สมนุ ไพร พชื สมนุ ไพรมปี ระโยชนต์ อ่ มนษุ ยใ์ นชีวติ ประจำ� วนั ทงั้ ทางดา้ นยารกั ษาโรค ทางดา้ น อาหาร และเครอ่ื งใช้ ไดแ้ ก่ เครอ่ื งสำ� อางเพ่ือความงาม ของประดบั ในบา้ นเรอื น เป็นตน้ โดยมนุษยไ์ ดน้ ำ� พืชสมุนไพรมาใชป้ ระโยชนจ์ ากประสบการณ์ พฒั นามาเป็นความรู้ เก่ียวกบั สารท่ีเป็นตวั ยาในการรกั ษาโรค โดยประโยชนข์ องพืชสมนุ ไพรมี 3 ดา้ น ดงั นี้ 1. ด้านยารักษาโรค พืชสมนุ ไพรมีความสำ� คญั ในการนำ� มารกั ษาโรคโดยผูป้ ่ วย สามารถนำ� มาใชไ้ ดเ้ องโดยตรง เน่ืองจากวธิ ีการใชไ้ มย่ งุ่ ยากหรอื ซบั ซอ้ น เชน่ กลว้ ยนำ้� วา้ วธิ ีใช้ สำ� หรบั เดก็ อายุ 10 ขวบ ใชช้ อ้ นขดู กลว้ ยเบาๆ เอาแตเ่ นือ้ กลว้ ย แลว้ บดใหล้ ะเอียด เพ่ือช่วยในการย่อย รบั ประทานครงั้ ละ 1 ผล วนั ละ 2 ครงั้ ส่วนผูใ้ หญ่ใหร้ บั ประทาน กลว้ ยนำ้� วา้ สกุ ทงั้ ผลก่อนนอน สรรพคณุ แกท้ อ้ งผกู ในเดก็ เป็นตน้ ปัจจุบันการนำ� พืชสมุนไพรมาใชเ้ ป็นยารกั ษาโรคไดม้ ีการพัฒนาวิธีการผลิตยา ในรูปแบบสำ� เร็จรูปจึงสะดวกต่อการใชง้ าน เน่ืองจากมีผูน้ ิยมใชย้ าสมุนไพรมากขึน้ สามารถสกดั สารออกฤทธิ์จากพืชสมนุ ไพรและรูปแบบยามีความหลากหลายท่ีผลิตดว้ ย เครอ่ื งมือทนั สมยั เชน่ ยาแคปซลู และครมี เป็นตน้ 2. ด้านอาหาร พืชสมนุ ไพรสามารถนำ� มาประกอบเป็นอาหารในชีวิตประจำ� วนั และเป็นอาหารเสรมิ เพอ่ื บำ� รุงสขุ ภาพ โดยพชื สมนุ ไพรจะอดุ มไปดว้ ยสารออกฤทธิท์ ส่ี ำ� คญั เชน่ สารอนมุ ลู อิสระ สามารถลดความเส่ยี งตอ่ โรคหลายโรค จะเหน็ ไดว้ า่ พืชสมนุ ไพรได้ แทรกอยใู่ นสว่ นผสมของอาหารประจำ� วนั ทกุ อยา่ ง ดงั นนั้ ในแตล่ ะวนั ผคู้ นจงึ ไดร้ บั ประทาน สมนุ ไพรตลอดเวลา สำ� หรบั สมนุ ไพรมปี ระโยชนด์ า้ นอาหารเสรมิ บำ� รุงสขุ ภาพนนั้ มกั จดั ทำ� เป็นผลิตภัณฑร์ ูปแบบต่างๆ ในรูปแบบสารสกัดสำ� เร็จรูป เช่น ชา นำ้� มัน เคร่ืองด่ืม บำ� รุงสขุ ภาพ ฯลฯ 17
โครงการอนรุ ักษ์พันธุกรรมพชื อนั เนอ่ื งมาจากพระราชดำ�ริ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) 3. ด้านของใช้ในชีวิตประจ�ำวัน ปัจจุบันสมุนไพรมีบทบาทมากในการนำ� มาใช้ ประโยชนด์ า้ นเครอ่ื งใชต้ า่ งๆ ดงั นี้ 3.1 เครื่องส�ำอางและความงาม เม่ือใชแ้ ลว้ อาจมีผลดีต่อสขุ ภาพของผิวพรรณ หรอื อาจกอ่ ใหเ้ กดิ ผลขา้ งเคยี งซง่ึ การสกดั สารจากพชื สมนุ ไพร จำ� เป็นตอ้ งใชเ้ ทคโนโลยที ส่ี งู 3.2 เคร่ืองใช้ในครัวเรือน การนำ� พืชสมุนไพรและผลิตภัณฑจ์ ากพืชสมุนไพร มาเป็นของใชใ้ นชีวิตประจำ� วนั เป็นส่ิงท่ีกำ� ลงั ไดร้ บั ความสนใจเป็นอย่างมาก เน่ืองจาก หลีกเล่ยี งการใชส้ ารเคมีไดเ้ ป็นอยา่ งดี สามารถประดษิ ฐ์สรา้ งสรรคเ์ ป็นของสวยงาม เชน่ เทยี นหอม ถงุ หอม หมอนสมนุ ไพร เพอ่ื การผอ่ นคลายหรอื อาจรกั ษาโรคไดบ้ างชนดิ เป็นตน้ นอกจากนีพ้ ชื สมนุ ไพรบางชนดิ มาหมกั เป็นนำ้� หมกั จลุ นิ ทรยี ์ และสามารถใชเ้ ป็นสว่ นผสม ของครมี อาบนำ้� นำ้� ยาซกั ผา้ นำ้� ยาทำ� ความสะอาดพืน้ และนำ้� ยาลา้ งจาน เป็นตน้ 3.3 เคร่ืองใช้ในงานฟาร์มเกษตร โดยการนำ� พชื สมนุ ไพรมาใชใ้ นการกำ� จดั แมลง ศตั รูพชื และใชใ้ นการรกั ษาสตั ว์ ซง่ึ ไมม่ สี ารพษิ ตกคา้ ง นอกจากนยี้ งั ชว่ ยลดตน้ ทนุ การผลติ เกษตรกรสามรรถผลติ ใชไ้ ดเ้ อง พชื สมุนไพรกับภูมิปัญญาทอ้ งถิน่ พืชสมนุ ไพรเป็นพืชแหง่ ภมู ิปัญญา เน่ืองจากวิธีการนำ� มาใชต้ ลอดจนสรรพคณุ ลว้ น เป็นองคค์ วามรูท้ ่ีไดจ้ ากบรรพบรุ ุษทงั้ สนิ้ การศกึ ษาสมนุ ไพรเพ่ือรกั ษาโรคเรม่ิ ตน้ จากการ เกบ็ รวบรวมความรูแ้ ละประสบการณก์ ารใชส้ มนุ ไพรของชาวบา้ น ซง่ึ นบั เป็นพนื้ ฐานสำ� คญั ในการพฒั นาสมนุ ไพรใหท้ นั สมยั เน่อื งจากความรูจ้ ากประสบการณน์ บั วา่ เป็นกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตรอ์ ยา่ งหนง่ึ ทผ่ี า่ นการพสิ จู น์ ทดลอง และส่งั สมความรูก้ นั มาอยา่ งยาวนาน หลายยคุ หลายสมยั การพฒั นาท่ีเรม่ิ จากภมู ิปัญญาชาวบา้ นเป็นภมู ิปัญญาไทยจากส่งิ ท่ีมีอยเู่ ดมิ ในชมุ ชนยอ่ มสอดคลอ้ งกบั สภาพและความตอ้ งการท่ีแทจ้ รงิ ของสงั คม ภมู ปิ ญั ญาไทย...สมนุ ไพรไทย การใชส้ มนุ ไพรใหป้ ระสบความสำ� เรจ็ ในการรกั ษา มีปัจจยั มากมายท่ีตอ้ งเรียนรู้ หลายอยา่ ง ไดร้ บั การถา่ ยทอดความรูจ้ ากอดตี มาสปู่ ัจจบุ นั จากรุน่ สรู่ ุน่ มกี ารใชไ้ ปพรอ้ มๆ กบั การศกึ ษาทดลองสมนุ ไพรตวั เดียวกนั อาจเป็นคณุ หรอื โทษไดห้ ากใชไ้ มถ่ กู ตอ้ ง ดงั นนั้ การใชพ้ ืชสมุนไพรใหป้ ลอดภัยจำ� เป็นอย่างย่ิงท่ีผูใ้ ชต้ อ้ งศึกษาตามคำ� แนะนำ� ของผูม้ ี ความรูเ้ พ่ือปอ้ งกนั ความผิดพลาดท่ีอาจเกิดขนึ้ เองกบั ผใู้ ช้ 18
ส่กู มาหรัศนจ�ำรไรปยใส์ ชม้ปุนรไพะโยรไชทนย์ การเตรียมยาจากสมนุ ไพร การนำ� ยาสมนุ ไพรมาใช้ จะตอ้ งผ่านขนั้ ตอนการปรุงยาหรือเภสชั กรรม ตามหลกั เภสชั กรรมไทย ซง่ึ การเตรยี มยาสมนุ ไพรเบือ้ งตน้ มีวิธีการเตรยี มยาท่ีเป็นท่ีนิยมและใช้ กนั โดยท่วั ไปมีอยู่ 5 วิธี คือ 1. ยาชง (infusion) เป็นการนำ� เอาสมนุ ไพรมาบดหยาบๆ แลว้ นำ� มาแชใ่ นนำ้� เยน็ หรอื นำ้� รอ้ นระยะเวลาหนง่ึ ยาชงท่ีไดจ้ ะเก็บไวไ้ ดไ้ มน่ าน ควรเตรยี มแลว้ ใชท้ นั ที 2. ยาต้ม (decoction) เป็นการนำ� สมนุ ไพรมาตม้ ในนำ้� เพ่ือสกดั เอาสารจากยา สมนุ ไพร การสกดั ดว้ ยวธิ ีนี้ จะใชไ้ ดด้ กี บั ตวั ยาสมนุ ไพรทล่ี ะลายนำ้� ไดแ้ ละทนตอ่ ความรอ้ น ซง่ึ การสกดั วิธีนีม้ กั จะไดน้ ำ้� ตาลและโปรตีนปนออกมากบั ตวั ยาดว้ ย 3. ยาตนุ๋ (digestion) เป็นการสกดั สมนุ ไพรโดยใชน้ ำ้� หรอื สรุ า ซง่ึ ตอ้ งใชเ้ วลานาน และใชอ้ ณุ หภมู ิ 40-60 องศาเซลเซียส เป็นการปอ้ งกนั ไมใ่ หส้ รรพคณุ ยาเสียหายเน่ืองจาก ใชค้ วามรอ้ นมากเกินไป 4. ยาหมกั หรอื ยาดอง (maceration) เป็นการนำ� สมนุ ไพรมาบดหยาบ และนำ� ไป หมกั ในตวั ทำ� ละลาย เชน่ นำ้� แอลกอฮอล์ หรอื สารละลายอ่ืนๆ ท่ีเหมาะสมในระยะเวลาท่ี กำ� หนด เชน่ 3-30 วนั แลว้ จงึ กรอกเอานำ้� ยาท่ีไดม้ าใชต้ อ่ ไป 5. Percolation เป็นการสกดั ตวั ทำ� ลายไหลผา่ นสมนุ ไพร เพ่ือละลายเอาตวั ยา ออกมา หลงั จากนนั้ จงึ นำ� สารสกดั ท่ีไดม้ าผา่ นกรรมวธิ ีการทำ� ยาชนั้ สงู ในขนั้ ตอ่ ไป การเก็บยาสมุนไพร การเกบ็ ยาสมนุ ไพรใหไ้ ดส้ รรพคณุ ทด่ี นี นั้ มเี กรด็ เลก็ เกรด็ นอ้ ยทเ่ี ป็นภมู คิ วามรู้ถา่ ยทอด จากรุน่ สรู่ ุน่ สบื ตอ่ กนั มา การเก็บราก ใบ ดอก เปลือก ผล ของพืชสมนุ ไพรนนั้ มีขอ้ ควร ปฏิบตั ดิ งั นี้ 1. พืชท่ีใหน้ ำ้� มนั หอมระเหย ควรเก็บในขณะท่ีดอกกำ� ลงั บาน 2. การเก็บรากหรอื หวั ควรเก็บขณะท่ีพืชหยดุ การปรุงอาหาร หรอื เรม่ิ มีดอก 3. การเก็บเปลอื ก ควรเก็บก่อนพืชเรม่ิ ผลใิ บใหม่ 4. การเก็บใบ ตอ้ งเก็บก่อนพืชออกดอก ควรเก็บในเวลากลางวนั ท่ีมีอากาศแหง้ 5. การเก็บดอก ควรเก็บเม่ือดอกเจรญิ เตม็ ท่ี คือ ดอกตมู หรอื แรกแยม้ 6. การเก็บผล ควรเก็บผลท่ีโตเตม็ ท่ีแตย่ งั ไมส่ กุ 7. การเก็บเมลด็ ควรเก็บเม่ือผลสกุ งอมเตม็ ท่ีจะมีสารท่ีมีความสำ� คญั มาก 19
โครงการอนรุ กั ษ์พนั ธุกรรมพชื อันเนอื่ งมาจากพระราชด�ำ ริ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (อพ.สธ.) ค�ำแนะนำ� ในการใช้ยาสมนุ ไพร การรูจ้ กั สมนุ ไพร หรอื รูจ้ กั เคลด็ วชิ าสมนุ ไพร ใชว่ า่ จะเพยี งพอทท่ี ำ� ใหก้ ารใชส้ มนุ ไพร ประสบความสำ� เรจ็ ทกุ ครงั้ ไป หลกั การใชส้ มนุ ไพรจงึ มีความจำ� เป็นอย่างย่ิงท่ีตอ้ งเรยี นรู้ และจดจำ� เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความชำ� นาญและเช่ยี วชาญ ซง่ึ คำ� แนะนำ� ในการใชย้ าสมนุ ไพรมดี งั นี้ 1. ใช้ให้ถูกต้องและถกู ต้น เพราะสมนุ ไพรมีช่ือท่ีพอ้ งหรอื ซำ้� กนั มาก บางทอ้ งถ่ิน ก็เรยี กไมเ่ หมือนกนั จงึ ตอ้ งรูจ้ กั สมนุ ไพรเป็นอยา่ งดีและใชใ้ หถ้ กู ตน้ เพ่ือใหเ้ กิดผลลพั ธท์ ่ีดี 2. เลือกใหถ้ ูกส่วน สมนุ ไพรทงั้ ตน้ มีสว่ นราก ใบ ดอก เปลอื ก ผล เมลด็ และ สามารถนำ� มาใชเ้ ป็นยาไดท้ งั้ หมด แตจ่ ะมฤี ทธิไ์ มเ่ ทา่ กนั หรอื ผลแก่ ผลออ่ นกม็ ฤี ทธิต์ า่ งกนั จะตอ้ งแนใ่ จวา่ ใชส้ ว่ นไหนเป็นยาได้ 3. ใช้ใหถ้ กู ขนาดและปรมิ าณ การใชส้ มนุ ไพรถา้ ใชน้ อ้ ยไปก็รกั ษาไมไ่ ดผ้ ล แตถ่ า้ มากไปก็อาจมีพิษได้ จึงจำ� เป็นตอ้ งดขู อ้ บ่งใชย้ าใหช้ ดั เจน ว่าใชใ้ นปริมาณหรือนำ้� หนกั เทา่ ใดท่ีเหมาะสมกบั ยาสมนุ ไพรแตล่ ะชนิด 4. ใช้ใหถ้ ูกวิธี สมนุ ไพรบางชนิดตอ้ งใชส้ ดๆ บางชนิดตอ้ งผสมกบั เหลา้ หรอื ตม้ จงึ ออกฤทธิ์ ดงั นนั้ การปรุงและใชถ้ กู วธิ ีเทา่ นนั้ จงึ จะไดผ้ ลในการรกั ษาท่ีดี 5. ใช้ใหถ้ กู กับโรค ผใู้ ชจ้ ำ� เป็นตอ้ งมีความเขา้ ใจเรอ่ื งอาการของโรค จะตอ้ งใชย้ า สมนุ ไพรท่ีมีสรรพคณุ ตรงตอ่ โรค มิฉะนนั้ อาจเกิดโทษกบั ผใู้ ชไ้ ด้ 20
พชื สมนุ ไพร แใลนะทสรอ้ รงพถคณุิ่น
โครงการอนรุ กั ษ์พนั ธุกรรมพืชอนั เน่ืองมาจากพระราชดำ�ริ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) กระเจี๊ยบแดง ชือ่ อื่นๆ ของเครื่องยา กระเจีย๊ บเปรยี้ ว ไดจ้ าก ใบประดบั และกลีบเลยี้ ง ชือ่ พืชที่ให้เคร่ืองยา กระเจีย๊ บแดง ชือ่ อน่ื (ของพืชท่ีใหเ้ ครอ่ื งยา) กระเจีย๊ บ กระเจีย๊ บเปรยี้ ว สม้ พอเหมาะ สม้ เก็งเคง็ สม้ ปู สม้ พอดี แกงแดง สม้ ตะเลงเครง ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Hibiscus sabdariffa L. ช่ือพ้อง - ชือ่ วงศ์ Malvaceae 22
สู่กมาหรศั นจ�ำรไรปยใ์สชม้ปุนรไพะโยรไชทนย์ ลักษณะภายนอกของเคร่ืองยา : กลีบเลีย้ งติดกันเป็นรูปถว้ ย ยาว 1-1.5 เซนติเมตร เสน้ ผ่าศูนยก์ ลางประมาณ 6 เซนตเิ มตร ปลายแยกเป็นแฉก คลา้ ยเฟื อง ประมาณ 8-12 แฉก แผข่ ยายตดิ กนั หกั งา่ ย มีสีแดงอมมว่ ง หนา เม่ือสดฉ่ำ� นำ้� มีรสเปรยี้ ว สรรพคุณ : ตำ� รายาไทย : กลบี เลยี้ งมรี สเปรยี้ ว แกอ้ าการขดั เบา แกเ้ สมหะ ขบั นำ้� ดี ลดไข้ แกไ้ อ ขบั น่ิวในไต น่ิวในกระเพาะปัสสาวะ แกอ้ อ่ นเพลีย บำ� รุงธาตุ แกก้ ระหายนำ้� รกั ษาไต พิการ ขบั เมือกมนั ใหล้ งสรู่ ูทวารหนกั ละลายไขมนั ในเลือด รปู แบบและขนาดวิธีใช้ยา : ขับปัสสาวะ ใชส้ มุนไพรแหง้ บดเป็นผง 3 กรมั (หรือ 1 ชอ้ นชา) ชงกับนำ้� เดือด 1 ถว้ ยแกว้ ด่ืมวนั ละ 3 ครงั้ นาน 7 วนั หรอื จนกวา่ อาการจะหาย 23
โครงการอนุรักษพ์ ันธุกรรมพืชอันเน่ืองมาจากพระราชด�ำ ริ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (อพ.สธ.) กระวานไทย ได้จาก ผลแก่ท่ีมีอายุ 4-5 ปี, เมลด็ ชอื่ พืชท่ีให้เครื่องยา กระวานไทย ช่อื อ่นื (ของพืชท่ีให้เครอื่ งยา) กระวานขาว (ภาคกลาง ภาคตะวนั ออก) ขา่ โคม ขา่ โคก หมากเนิง้ (ตะวนั ออกเฉียงเหนือ) ปลา้ กอ้ (ปัตตานี) มะอี้ (เหนือ) กระวานดำ� กระวานแดง กระวานโพธิสตั ว์ กระวานจนั ทร์ ช่ือวิทยาศาสตร ์ Amomum krervanh Pierre ex Gagnep ชอ่ื พอ้ ง Amomum verum Blackw. ชอ่ื วงศ ์ Zingiberaceae 24
สกู่ มาหรัศนจ�ำรไรปยใ์สชม้ปุนรไพะโยรไชทนย์ ลักษณะภายนอกของเคร่อื งยา : ผลกลม ติดเป็นพวงราว 10-20 ผล เปลือกผิวเกลีย้ ง มองเห็นเป็นพู แหง้ และแข็ง ผิวเปลอื กมีรวิ้ ตามยาว เรยี งตวั จากฐานไปยอด มีสขี าวนวล ขนาดผลเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง ประมาณ 10 มลิ ลเิ มตร ยาวประมาณ 6-15 มลิ ลเิ มตร หวั ทา้ ยผลมจี กุ แบง่ เป็นพู 3 พู ผลแก่ จะแตก มีเมลด็ ขนาดเลก็ จำ� นวนมาก แบง่ เป็น 3 กลมุ่ กลมุ่ ละประมาณ 12-18 เมลด็ เมลด็ แก่มีสนี ำ้� ตาลไหม้ มีเย่ือบางๆ กนั้ ทงั้ ผลและเมลด็ มีกล่นิ หอมเฉพาะตวั กล่นิ คลา้ ย การบรู รสเผ็ด เยน็ สรรพคุณ : ตำ� รายาไทย : ผลแก่ รสเผด็ รอ้ น กล่นิ หอม ใชแ้ กอ้ าหารทอ้ งอืด ทอ้ งเฟอ้ ชว่ ยขบั ลม และแกแ้ น่นจกุ เสียด มีฤทธิ์ขบั ลม และบำ� รุงธาตุ แกธ้ าตไุ ม่ปกติ บำ� รุงกำ� ลงั ขบั โลหิต แกล้ มในอกใหป้ ิดธาตุ แกล้ มเสมหะใหป้ ิดธาตุ แกล้ ม ในลำ� ไส้ เจริญอาหาร รกั ษาโรค รำ� มะนาด แกล้ มสนั นิบาต แกส้ ะอกึ แกอ้ มั พาตรกั ษาอาการเบ่ืออาหาร คล่นื ไส้ อาเจียน เมลด็ แกธ้ าตพุ ิการ อจุ จาระพิการ บำ� รุงธาตุ ขบั เสมหะ แกป้ วดทอ้ ง ขบั ลม รูปแบบและขนาดวธิ ีใชย้ า : ขบั ลม แกอ้ าการทอ้ งอืด ทอ้ งเฟอ้ แนน่ จกุ เสยี ด และปวดทอ้ ง ใชผ้ ลกระวานแก่จดั ประมาณ 6-10 ผล (0.6-2 กรมั ) ตากแหง้ บดเป็นผง รบั ประทาน ครงั้ ละ 1-3 ชอ้ นชา โดยนำ� ไปตม้ กบั นำ้� 1 ถว้ ยแกว้ เค่ียวใหเ้ หลือครง่ึ ถว้ ยแกว้ รบั ประทาน ครงั้ เดียว หรอื นำ� ไปชงกบั นำ้� อนุ่ ด่ืม 25
โครงการอนรุ ักษ์พันธกุ รรมพชื อนั เน่ืองมาจากพระราชดำ�ริ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (อพ.สธ.) กานพลู ไดจ้ าก ดอกตมู (ดอกท่ีโตเตม็ ท่ี แตย่ งั ไมบ่ าน) ชอ่ื พืชที่ให้เครอ่ื งยา กานพลู (Clove) ชอ่ื อื่น (ของพชื ที่ใหเ้ คร่อื งยา) จนั จ่ี (เหนือ) ดอกจนั ทร์ ชอื่ วิทยาศาสตร ์ Syzygium aromaticum (L.) Merr. & L.M.Perry) ชอ่ื พอ้ ง Caryophyllus aromaticus L., Caryophyllus hortensis Noronha, Caryophyllus silvestris Teijsm. ex Hassk., Eugenia caryophyllata Thunb., Eugenia caryophyllus (Spreng.)Bullock&S.G.Harrison,Jambosa caryophyllus (Thunb.) Nied., Myrtus caryophyllus Spreng ชอ่ื วงศ์ Myrtaceae 26
สกู่ มาหรศั นจ�ำรไรปยใส์ ชม้ปนุ รไพะโยรไชทนย์ ลกั ษณะภายนอกของเคร่ืองยา : ดอกตมู ความยาว 1-2 เซนตเิ มตร สนี ำ้� ตาลแดงถงึ นำ้� ตาลดำ� สว่ นลา่ งของดอก (hypantium) มลี กั ษณะแขง็ ทรงกระบอก ทม่ี คี วามแบนทงั้ 4 ดา้ น มกี ลบี เลยี้ งตดิ อยู่ 4 อนั รูปสามเหล่ยี ม อยสู่ ลบั หวา่ งกบั กลบี ดอก 4 กลีบ ลกั ษณะเป็นแผน่ บางรวมอยตู่ รงกลาง ขา้ งในดอกประกอบดว้ ยเกสรตวั ผจู้ ำ� นวนมาก และเกสรตวั เมีย 1 อนั ผงยามีสีนำ้� ตาลเขม้ กล่นิ เฉพาะ หอมแรง เป็นยารอ้ น มีรสเผด็ รอ้ น ฝาด ทำ� ใหล้ นิ้ ชา สรรพคุณ : ต�ำรายาไทย : ดอก รสเผด็ กระจายเสมหะ แกเ้ สมหะเหนียว แกเ้ ลอื ดออกตาม ไรฟัน แกป้ วดฟัน ดบั กลน่ิ ปาก แกห้ ดื เป็นยาทำ� ใหร้ อ้ นเมอ่ื ถกู ผวิ หนงั ทำ� ใหช้ า เป็นยาฆา่ เชอื้ แกป้ วดฟัน แกร้ ำ� มะนาด แกป้ วดทอ้ ง มวนในลำ� ไส้ แกล้ ม แกเ้ หน็บชา แกพ้ ิษโลหิต พิษนำ้� เหลือง ขบั นำ้� คาวปลา ทำ� อจุ จาระใหป้ กติ แกธ้ าตทุ งั้ 4 พิการ แกป้ วดทอ้ ง แกท้ อ้ งอืด อาหารไมย่ อ่ ย คล่นื ไสอ้ าเจียน แกจ้ กุ เสียด แกท้ อ้ งเสยี ขบั ผายลม กดลมใหล้ งสเู่ บือ้ งต่ำ� แกส้ ะอกึ แกซ้ างตา่ งๆ ขบั ระดู นำ้� มนั กานพลู (Clove oil) เป็นยาชาเฉพาะท่ี แกป้ วดฟัน โดยใชส้ ำ� สีชบุ นำ� มาอดุ ท่ีฟัน ระงบั การกระตกุ ตะครวิ ขบั ผายลม แกป้ วดทอ้ ง แกท้ อ้ งอืด ผสมยากลวั้ คอ แตง่ กล่นิ อาหาร แตก่ ล่นิ สบู่ ยาสีฟัน ดบั กล่นิ ปาก ดบั กล่นิ เหลา้ ไลย่ งุ รปู แบบและขนาดวิธีใชย้ า : 1. แกอ้ าการ ทอ้ งอืดเฟอ้ ขบั ลม ในผใู้ หญ่ : ดอกตมู 4-6 ดอกใชท้ บุ ใหช้ ำ้� ชงนำ้� ด่ืมครงั้ ละครง่ึ ถว้ ยแกว้ หรอื ใช้ ดอกแหง้ 5-8 ดอก ตม้ นำ้� พอเดือด ด่ืมแตน่ ำ้� ถา้ บดเป็นผง 0.12-0.6 กรมั ชงนำ้� สกุ ด่ืม เดก็ ออ่ น : ใชด้ อกแหง้ 1 ดอก ทบุ แชไ่ วใ้ นนำ้� เดอื ด 1 กระตกิ (ความจรุ าวครง่ึ ลติ ร) สำ� หรบั ชงนมใสข่ วดใหเ้ ดก็ ดดู แกท้ อ้ งอืด 2. แกป้ วดฟัน ใชน้ ำ้� มนั ท่ีไดจ้ ากการกล่นั ดอกตมู ของดอกกานพลู 4-5 หยด ใชส้ ำ� ลี พนั ปลายไม้ จมุ่ นำ้� มนั จิม้ ลงในรูท่ีปวดฟัน และใชแ้ กโ้ รครำ� มะนาด หรอื ใชท้ งั้ ดอกเคีย้ ว แลว้ อมไวต้ รงบรเิ วณท่ีปวดฟันเพ่ือระงบั อาการปวด หรอื ใชด้ อกกานพลตู ำ� พอแหลกผสม กบั เหลา้ ขาวเพียงเลก็ นอ้ ยพอแฉะใชจ้ ิม้ หรอื อดุ ท่ีปวดฟัน 3. ระงบั กล่นิ ปาก ใชด้ อกตมู 2-3 ดอก อมไวใ้ นปาก จะชว่ ยทำ� ใหร้ ะงบั กล่นิ ลง 27
โครงการอนุรักษพ์ ันธกุ รรมพชื อันเน่ืองมาจากพระราชด�ำ ริ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) คำ�ฝอย ไดจ้ าก กลีบดอก และเกสรแหง้ ชือ่ พชื ที่ใหเ้ ครื่องยา คำ� ฝอย ชื่ออน่ื (ของพืชท่ีให้เคร่อื งยา) ดอกคำ� คำ� หยมุ คำ� หยอง คำ� ยงุ่ คำ� คำ� ยอง ชอ่ื วิทยาศาสตร ์ Carthamus tinctorius L. ชอ่ื พ้อง - ชอ่ื วงศ ์ Compositae 28
ส่กู มาหรศั นจ�ำรไรปยใ์สชม้ปุนรไพะโยรไชทนย์ ลกั ษณะภายนอกของเคร่ืองยา : ดอกชอ่ มดี อกยอ่ ยขนาดเลก็ จำ� นวนมาก ดอกยาวประมาณ 2.5-4 เซนตเิ มตร กลบี ดอก เป็นกระจกุ กลีบสีแดงถงึ นำ้� ตาลแดง หลอดกลีบดอกยาว ผอม แบง่ เป็น 5 พู ท่ีสว่ นปลาย แตล่ ะพยู าว 5-8 มิลลเิ มตร มีเกสรเพศผู้ 5 อนั ละอองเรณสู ีขาวเหลือง รูปกระบอก ยอด เกสรเพศเมียทรงกระบอกยาว แตกแขนงคลา้ ยรูปชอ้ นสอ้ ม มีกล่ินเฉพาะ ดอกและเกสร มีรสหวานรอ้ น ขมเลก็ นอ้ ย สรรพคณุ : ต�ำรายาไทย : ดอก ขับระดู บำ� รุงประสาท บำ� รุงหวั ใจ บำ� รุงโลหิต แกต้ กเลือด แกด้ พี กิ าร ขบั เหง่อื ระงบั ประสาท แกไ้ ขใ้ นเดก็ แกด้ ซี า่ น แกไ้ ขขอ้ อกั เสบ แกห้ วดั นำ้� มกู ไหล แกโ้ รคฮิสทีเรยี อาการ รกั ษาอาการบวม รกั ษาทอ้ งเป็นเถาดาน ใชเ้ ป็นยาระบาย รกั ษา อาการไขห้ ลงั คลอด ระงบั อาการปวดในสตรีท่ีรอบเดือนมาไม่เป็นปกติ เป็นยาสามญั ประจำ� บา้ น รกั ษาอาการป่ วยไขใ้ นเด็ก บำ� รุงคนเป็นอมั พาต ดอกเป็นยาชงใชด้ ่ืมรอ้ นๆ แกด้ ีซา่ น โรคไขขอ้ อกั เสบ เป็นหวดั นำ้� มกู ไหล ตม้ อาบเวลาออกหดั รกั ษาอาการคนั ตาม ผิวหนงั เกสร บำ� รุงโลหิตระดู ขบั ระดู บำ� รุงหวั ใจ บำ� รุงประสาท บำ� รุงโลหิตและนำ้� เหลือง ใหป้ กติ แกด้ ีพิการ แกแ้ สบรอ้ นตามผิวหนงั รูปแบบและขนาดวธิ ีใช้ยา : ไมม่ ีขอ้ มลู 29
โครงการอนุรกั ษพ์ นั ธุกรรมพชื อันเนือ่ งมาจากพระราชดำ�ริ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) ชะเอมไทย ไดจ้ าก เถา เนือ้ ไม้ ชื่อพืชที่ให้เครอื่ งยา ชะเอมไทย ชอ่ื อืน่ (ของพชื ที่ใหเ้ คร่อื งยา) ชะเอมป่า(กลาง) ตาลออ้ ย(ตราด) สม้ ป่อยหวาน(พายพั ) ออ้ ยชา้ ง(สงขลา) นราธิวาส ออ้ ยสามสวน (อบุ ลราชธานี) กอกก๋นั ยา่ นงาย ชอ่ื วิทยาศาสตร์ Albizia myriophylla Benth. ชื่อพอ้ ง - ชื่อวงศ ์ Leguminosae 30
สูก่ มาหรศั นจ�ำรไรปยใ์สชมป้ นุ รไพะโยรไชทนย์ ลักษณะภายนอกของเครือ่ งยา : เถา มีตมุ่ หนามดา้ นๆ ขนาดเลก็ ตามลำ� ตน้ และก่ิงกา้ น เปลือกไมผ้ ิวขรุขระสีนำ้� ตาล เนือ้ ไมส้ ีเหลืองออ่ นๆ มีรสหวาน สรรพคณุ : ต�ำรายาไทย : ใช้ เนือ้ ไม้ แกโ้ รคในลำ� คอ แกล้ ม แกเ้ ลือดออกตามไรฟัน บำ� รุงธาตุ และบำ� รุงกำ� ลงั แกอ้ อ่ นเพลีย บำ� รุงกลา้ มเนือ้ ใหเ้ จรญิ แกไ้ อ ขบั เสมหะ แกน้ ำ้� ลายเหนียว ตน้ รสหวานเอียน ถ่ายลม แกโ้ รคในคอ ทำ� ผิวหนงั ใหส้ ดช่ืน แกโ้ รคตา ราก มีรสหวาน ทำ� ใหช้ ่มุ คอ แกก้ ระหายนำ้� และเป็นยาระบาย มีสรรพคณุ แกไ้ อ ขบั เสมหะ แกเ้ จ็บคอ แกโ้ ลหิตอนั เนา่ ในอทุ ร และเจรญิ ซง่ึ หทยั วาตใหส้ ดช่ืน แกก้ ำ� เดาใหเ้ ป็นปกติ รูปแบบและขนาดวธิ ีใช้ยา : ไมม่ ีขอ้ มลู 31
โครงการอนุรกั ษพ์ นั ธุกรรมพชื อันเนือ่ งมาจากพระราชด�ำ ริ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) ดปี ลี ได้จาก ผลท่ีแก่จดั แตย่ งั ไมส่ กุ ชอื่ พืชที่ให้เคร่ืองยา ดีปลี ช่ืออ่ืน (ของพืชท่ีใหเ้ คร่อื งยา) ดีปลเี ชือก ประดงขอ้ ปานนุ พิษพญาไฟ ปีกผวั ะ ชอ่ื วิทยาศาสตร์ Piper retrofractum Vahl ช่ือพอ้ ง Piper chaba Hunter., P. officinarum (Miq.) C. DC. ชอื่ วงศ์ Piperaceae 32
สู่กมาหรัศนจ�ำรไรปยใส์ ชมป้ นุ รไพะโยรไชทนย์ ลักษณะภายนอกของเครื่องยา : ผลแหง้ สีนำ้� ตาลแดง ผลอดั กนั แน่นเป็นช่อรูปทรงกระบอก โคนโต ปลายเล็กมน ขนาดยาวประมาณ 2.5-7.5 เซนติเมตร เสน้ ผ่านศนู ยก์ ลางประมาณ 5.0 – 8.0 มิลลิเมตร ผิวค่อนขา้ งหยาบ และมีเกสรตวั เมียติดอยู่ ผลย่อยมีเมล็ดเดียว เมล็ดมีขนาดเล็กมาก กลมและแข็ง ผงผลสนี ำ้� ตาล กล่นิ หอมเฉพาะ รสเผ็ดรอ้ น ขม ปรา่ ขบั นำ้� ลาย ทำ� ใหล้ นิ้ ชา สรรพคุณ : ต�ำรายาไทย : ผล ใชข้ บั ลม ลดอาการไอ ระคายคอจากเสมหะ ลดอาการทอ้ งอืด ทอ้ งเฟอ้ แนน่ จกุ เสยี ด บำ� รุงธาตไุ ฟ แกป้ วดทอ้ ง แกค้ ลน่ื ไส้ อาเจยี น แกต้ บั พกิ าร แกท้ อ้ งรว่ ง แกไ้ อ บีบมดลกู บำ� รุงธาตุ ใชเ้ ป็นยาแกโ้ รคเก่ียวกบั ทางเดนิ หายใจ เชน่ ขบั เสมหะ แกห้ ืด แกห้ ลอดลมอกั เสบ แกล้ มวงิ เวยี น เป็นยาระงบั แกอ้ าการนอนไมห่ ลบั โรคลมบา้ หมู เป็นยา ขบั นำ้� ดี เม่ือมีการอดุ ตนั ของทอ่ นำ้� ดี ยาขบั ระดแู ละทำ� ใหแ้ ทง้ ลกู เป็นยาขบั พยาธิในทอ้ ง แกร้ ิดสีดวงทวารหนกั ใชป้ รุงเป็นยาทาภายนอกสำ� หรบั บรรเทาอาการปวดท่ีกลา้ มเนือ้ ทำ� ใหร้ อ้ นแดงและมีเลือดมาเลยี้ งท่ีบรเิ วณนนั้ มากขนึ้ แกอ้ กั เสบ ฝนเอานำ้� ทาแกฟ้ ก บวม ใสฟ่ ัน แกป้ วดฟัน รูปแบบและขนาดวธิ ีใช้ยา : 1. อาการทอ้ งอืด ทอ้ งเฟอ้ และปวดทอ้ ง และแกอ้ าการคล่นื ไสอ้ าเจียนท่ีเกิดจาก ธาตไุ มป่ กติ โดยใชผ้ ลดีปลีแก่แหง้ 1 กำ� มือ (ประมาณ 10-12 ผล) เตมิ นำ้� 2 ถว้ ยแกว้ ตม้ 10-15 นาที ด่ืมแตน่ ำ้� วนั ละ 3 ครงั้ หลงั อาหาร 2. อาการไอ และขบั เสมหะ โดยใชผ้ ลแก่แหง้ ประมาณครง่ึ ผล ฝนกบั นำ้� มะนาว แทรกเกลอื เลก็ นอ้ ย กวาดคอ หรอื จิบบอ่ ยๆ ใหเ้ ตมิ นำ้� พอควร 33
โครงการอนรุ ักษ์พันธุกรรมพืชอนั เน่อื งมาจากพระราชด�ำ ริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) ดอกจนั ทน์ ชื่ออืน่ ๆของเคร่ืองยา ดอกจนั ทนเ์ ทศ จนั ทนป์ าน ไดจ้ าก รกหมุ้ เมลด็ ชือ่ พืชท่ีให้เครื่องยา จนั ทนเ์ ทศ (nutmeg) ชื่ออน่ื (ของพืชท่ีใหเ้ ครอ่ื งยา) ดอกจนั ทน์ จนั ทนบ์ า้ น ชอ่ื วิทยาศาสตร ์ Myristica fragrans Houtt. ชอ่ื พอ้ ง Aruana silvestris Burm.f., Myristica aromatica Sw., Myristica moschata Thunb., Myristica officinalis L.f., Palala fragrans (Houtt.) Kuntze ชอื่ วงศ์ Myristicaceae 34
สกู่ มาหรศั นจ�ำรไรปยใส์ ชม้ปนุ รไพะโยรไชทนย์ ลักษณะภายนอกของเครอื่ งยา : ดอกจนั ทน์ (mace) คือสว่ นเย่ือหมุ้ เมลด็ ลกั ษณะเป็นรวิ้ สแี ดงจดั ดเู หมือนรา่ งแห เป็นแผน่ บางมีหลายแฉกหมุ้ เมลด็ โดยจะรดั ตดิ แนน่ อยกู่ บั เมลด็ เม่ือนำ� มาแกะแยกออก จากเมล็ด รกท่ีแยกออกมาใหม่ๆ จะมีสีแดงสด เม่ือทำ� ใหแ้ หง้ สีของรกจะเปล่ียนจากสี แดงสดเป็นสีเหลอื งออ่ นหรอื สีเนือ้ และเปราะ ผิวเรยี บ ขนาดความยาว 3-5 เซนตเิ มตร ความกวา้ ง 1-3 เซนตเิ มตร ความหนา 0.5-1 เซนตเิ มตร มีกล่นิ หอม รสขม ฝาด เผด็ รอ้ น สรรพคณุ : ตำ� รายาไทย : บำ� รุงโลหิต บำ� รุงธาตุ ขบั ลม แกป้ วดมดลกู แกท้ อ้ งรว่ ง บำ� รุงกำ� ลงั บำ� รุงผิวเนือ้ ใหเ้ จริญ นำ้� มนั ระเหยง่ายใชเ้ ป็นส่วนผสมของขีผ้ ึง้ ท่ีใชท้ าระงบั ความปวด ใชข้ บั ประจำ� เดือนทำ� ใหแ้ ทง้ ทำ� ใหป้ ระสาทหลอน รูปแบบและขนาดวธิ ีใช้ยา : 1. ขบั ลม ใชด้ อกจนั ทน์ (รก) 4 อนั บดเป็นผงละเอียด ชงนำ้� ด่ืมครงั้ เดียว รบั ประทาน วนั ละ 2 ครงั้ 2-3 วนั ตดิ ตอ่ กนั แกอ้ าการทอ้ งอืด เฟอ้ ขบั ลม 2. แกอ้ าการคล่ืนไสอ้ าเจียน ท่ีเกิดจากธาตุไม่ปกติ ใชด้ อกจันทน์ (รก) 3-5 อนั ตม้ กบั นำ้� พอประมาณ เค่ียวใหเ้ หลอื 1 ใน 3 เอานำ้� ด่ืม 35
โครงการอนุรกั ษพ์ นั ธุกรรมพชื อนั เนื่องมาจากพระราชด�ำ ริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (อพ.สธ.) บอระเพ็ด ไดจ้ าก เถาท่ีโตเตม็ ท่ี ช่อื พืชที่ใหเ้ คร่ืองยา บอระเพด็ ช่อื อืน่ (ของพชื ท่ีให้เครือ่ งยา) เครอื เขาฮอ (หนองคาย) จงุ่ จิง (เหนือ) เจตมลู หนาม (หนองคาย) ตวั เจตมลู ยาน เถาหวั ดว้ น (สระบรุ )ี หางหนู (สระบรุ ี อบุ ลราชธานี) จงุ้ จาลงิ ตวั แม่ เจตมลู ยา่ น ชอ่ื วทิ ยาศาสตร ์ Tinospora crispa (L.) Miers ex Hook.f. & Thomson ชอื่ พอ้ ง Tinospora tuberculata Miers, T. rumphii Boerl., T. nudiflora Kurz. ช่อื วงศ์ Menispermaceae 36
ส่กู มาหรัศนจ�ำรไรปยใ์สชม้ปนุ รไพะโยรไชทนย์ ลักษณะภายนอกของเครอื่ งยา : เถามีเนือ้ แขง็ ไมม่ ีขน ยาวไดถ้ งึ 15 เมตร เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 1-2 เซนตเิ มตร เปลือก เถาหนา 1.5-2.5 มิลลเิ มตร ผิวนอกสีนำ้� ตาล เนือ้ ในสเี ทาแกมเหลอื ง เถากลม ผิวเถา ขรุขระไมเ่ รยี บ เป็นป่มุ กระจายท่วั ไป เม่ือแก่เหน็ ป่มุ ปมเหลา่ นีห้ นาแนน่ และชดั เจนมาก เปลือกเถาคลา้ ยเย่ือกระดาษ มียางขาว ใส เปลอื กบางลอกออกได้ บางตอนของเถาพบ รากอากาศคลา้ ยเสน้ ดา้ ย กลมยาว สนี ำ้� ตาลเขม้ เม่ือตดั เถาตามขวางพบแนวเสน้ เป็น รศั มี ออกจากจดุ ศนู ยก์ ลาง ประมาณ 15-20 เสน้ ระหวา่ งเสน้ เป็นรูพรุน เถามมี กี ลน่ิ เฉพาะ รสขมจดั เยน็ สรรพคณุ : ตำ� รายาไทย : เถา มรี สขมจดั เยน็ แกไ้ ขท้ กุ ชนดิ แกพ้ ษิ ฝีดาษ เป็นยาขมเจรญิ อาหาร ตม้ ด่ืมเพ่ือใหเ้ จรญิ อาหาร ชว่ ยยอ่ ย บำ� รุงนำ้� ดี บำ� รุงไฟธาตุ แกโ้ รคกระเพาะอาหาร บำ� รุง รา่ งกาย แกส้ ะอึก แกม้ าลาเรีย เป็นยาขบั เหง่ือ ดบั กระหาย แกร้ อ้ นในดีมาก ลดนำ้� ตาล ในเลอื ด ขบั พยาธิ แกอ้ หิวาตกโรค แกท้ อ้ งเสยี ไขจ้ บั ส่นั ระงบั ความรอ้ น ทำ� ใหเ้ นือ้ เยน็ ทำ� ใหเ้ ลอื ดเยน็ แกโ้ ลหิตพิการ ใชภ้ ายนอกใชล้ า้ งตา ลา้ งแผลท่ีเกิดจากโรคซฟิ ิลสิ ทกุ สว่ น ของพืช ใชแ้ กไ้ ข้ เป็นยาบำ� รุง แกบ้ าดทะยกั โรคดีซา่ น ยาเจรญิ อาหาร แกม้ าลาเรยี รปู แบบและขนาดวิธีใช้ยา : รกั ษาอาการไข้ : ประมาณ 1- 1 1/2 ฟตุ (2.5 คบื ) นำ้� หนกั 30-40 กรมั โดยตำ� เตมิ นำ้� เลก็ นอ้ ย คนั้ เอานำ้� ดม่ื หรอื ตม้ กบั นำ้� 3 สว่ น เคย่ี วใหเ้ หลอื 1 สว่ น หรอื บดเป็นผง ทำ� ใหเ้ ป็น ลกู กลอนรบั ประทานวนั ละ 2 ครงั้ ก่อนอาหาร เชา้ เยน็ รกั ษาอาการเบอ่ื อาหาร : ใชเ้ ถาท่ีโตเตม็ ท่ี ประมาณ 1- 1 1/2 ฟตุ (2.5 คืบ) นำ้� หนกั 30-40 กรมั โดยตำ� เตมิ นำ้� เลก็ นอ้ ย คนั้ เอานำ้� หรอื ตม้ กบั นำ้� 3 สว่ น เค่ียวใหเ้ หลือ 1 สว่ น หรอื บดเป็นผง ทำ� ใหเ้ ป็นลกู กลอนรบั ประทานวนั ละ 2 ครงั้ ก่อนอาหาร เชา้ เยน็ 37
โครงการอนรุ กั ษ์พนั ธกุ รรมพชื อนั เนื่องมาจากพระราชด�ำ ริ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) โป๊ยกก๊ั ช่อื อ่ืนๆ ของเครือ่ งยา จนั ทรแ์ ปดกลีบ (Chinese star anise) ได้จาก ผลแก่ ชอ่ื พืชที่ใหเ้ ครอ่ื งยา โป๊ ยก๊กั ชื่ออื่น (ของพชื ท่ีใหเ้ คร่อื งยา) - ช่อื วิทยาศาสตร์ Illicium verum Hook. f. ชื่อพอ้ ง - ชื่อวงศ์ Illiciaceae 38
สกู่ มาหรัศนจ�ำรไรปยใส์ ชมป้ ุนรไพะโยรไชทนย์ ลักษณะภายนอกของเครอื่ งยา: ผลเป็นกลบี โดยรอบ ทำ� ใหม้ องเหน็ เป็นรูปดาว มี 5-13 พู แตท่ ่ีพบมากมกั เป็น 8 พู ผลแหง้ มีกลบี หนาแข็ง สนี ำ้� ตาลเขม้ กวา้ ง 0.3-0.5 เซนตเิ มตร ยาว 1-2 เซนตเิ มตร หนา 0.6-1 เซนตเิ มตร ผวิ นอกไมเ่ รยี บ สนี ำ้� ตาลแดง ผวิ ดา้ นในเรยี บ สนี ำ้� ตาลออ่ น มนั เงา กา้ นผล โคง้ ยาว 3-4 เซนตเิ มตร ตดิ ท่ีฐานผลตรงกลาง แตม่ กั หลดุ ไป เมลด็ รูปไขแ่ บน สนี ำ้� ตาล เรยี บและเป็นเงา แตล่ ะพมู ีเมลด็ 1 เมลด็ ยาวประมาณ 6 มิลลเิ มตร ผลมีกล่นิ หอม รสชาติ เผ็ดรอ้ นและหวาน สรรพคณุ : ต�ำรายาไทย : ผลใชข้ ับลม เป็นยากระตุน้ ขับเสมหะ บำ� รุงธาตุ แกธ้ าตุพิการ อาหารไมย่ อ่ ย แกล้ มกองหยาบ แกไ้ อ แกเ้ กรง็ ตา้ นเชือ้ แบคทีเรยี นำ้� มนั หอมระเหยมีฤทธิ์ ฆา่ เชือ้ โรค คลายกลา้ มเนือ้ เรยี บ แกป้ วดทอ้ ง ขบั ลม แกไ้ อ ขบั เสมหะ ขบั นำ้� นม เพ่ิมการ ไหลเวียนโลหิต นำ้� มนั หอมระเหยใชผ้ สมในยาผงสำ� หรบั แกห้ ืด และยาสำ� หรบั สตั ว์ ใช้ ผสมกบั ชะเอมแกไ้ อ ฆา่ เชือ้ โรค โดยใชป้ ระมาณ 1-4 หยด รูปแบบและขนาดวิธีใชย้ า: ไมม่ ีขอ้ มลู 39
โครงการอนุรักษพ์ นั ธกุ รรมพชื อนั เนื่องมาจากพระราชด�ำ ริ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) ฝาง ได้จาก แก่น ชอื่ พชื ที่ใหเ้ ครือ่ งยา ฝาง ชอื่ อ่นื (ของพชื ที่ใหเ้ ครื่องยา) ฝางเสน ฝางสม้ งา้ ย ขวาง หนามโคง้ ช่อื วทิ ยาศาสตร ์ Caesalpinia sappan L. ชอ่ื พอ้ ง Biancaea sappan (L.) Tod. ช่ือวงศ ์ Leguminosae 40
สู่กมาหรศั นจ�ำรไรปยใ์สชมป้ นุ รไพะโยรไชทนย์ ลกั ษณะภายนอกของเคร่อื งยา: เนอื้ ไมส้ เี หลอื งสม้ แกน่ มสี แี ดง ถกู อากาศนานเปลย่ี นเป็นสนี ำ้� ตาล เสยี้ นตรง เนอื้ แขง็ ละเอียด แก่นท่ีมีสีแดงเขม้ รสขมหวาน เรียกว่าฝางเสน อีกชนิด แก่นสีเหลืองอมสม้ รสฝาดข่ืน ขม เรยี กวา่ ฝางสม้ เครอ่ื งยาฝางมีกล่นิ ออ่ น ฝาดเลก็ นอ้ ย สรรพคณุ : ต�ำรายาไทย : แก่นตม้ นำ้� ด่ืม บำ� รุงโลหิต แกป้ อดพิการ แกร้ อ้ นในกระหายนำ้� ยาฝาดสมาน แกท้ อ้ งรว่ ง ธาตพุ ิการ แกโ้ ลหิตออกทางทวารหนกั ขบั เสมหะ แกไ้ อ ขบั ระดู เป็นยาบำ� รุงโลหิตสตรี แกก้ ำ� เดา ทำ� โลหิตใหเ้ ย็น แกโ้ ลหิตออกทางทวารหนกั และเบา แกค้ ดุ ทะราด แกน่ ฝนกบั นำ้� เป็นยาทาภายนอกในโรคผวิ หนงั บางชนดิ ฆา่ เชอื้ โรค ขบั หนอง นำ้� ตม้ แก่นใชแ้ ตง่ สีแดงของนำ้� ยาอทุ ยั รูปแบบและขนาดวิธีใช้ยา : 1. แกท้ ้องรว่ ง ตำ� รายาไทยใชแ้ ก่นฝางหนกั 3-9 กรมั ตม้ กบั นำ้� 500 มิลลลิ ติ ร เค่ียว ใหเ้ หลือครง่ึ หนง่ึ ด่ืมแกท้ อ้ งรว่ ง 2. แก้น�้ำกัดเท้า แก่นฝาง 2 ชิน้ ฝนกบั นำ้� ปนู ใสใหข้ น้ ๆ ทาบริเวณนำ้� กดั เทา้ ช่วย ฆา่ เชือ้ สมานแผล 41
โครงการอนรุ ักษพ์ ันธุกรรมพชื อนั เนือ่ งมาจากพระราชดำ�ริ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) พรกิ ไทยดำ� ไดจ้ าก ผลแหง้ แก่จดั แตย่ งั ไมส่ กุ ทงั้ เปลอื ก ชอ่ื พืชท่ีให้เคร่ืองยา พรกิ ไทย ชอ่ื อื่น(ของพชื ท่ีให้เครอ่ื งยา) พรกิ นอ้ ย ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Piper nigrum L. ช่อื พ้อง - ชื่อวงศ์ Piperaceae 42
สู่กมาหรัศนจ�ำรไรปยใ์สชมป้ ุนรไพะโยรไชทนย์ ลกั ษณะภายนอกของเครอ่ื งยา : ผลรูปกลม ผลแหง้ มีผิวสดี ำ� ผิวนอกหยาบ มีรอยยน่ ขนาดเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางราว 4-6 มิลลเิ มตร เปลอื กนอกสนี ำ้� ตาลเขม้ ออกดำ� มีรอยยน่ คลา้ ยรา่ งแห ท่ีขวั้ มีรอยกา้ นผล เปลือกผลชัน้ นอกและชัน้ กลางลอกออกง่าย เปลือกชัน้ ในบางและค่อนขา้ งแข็ง 1 ผล มี 1 เมลด็ ผงพรกิ ไทยดำ� มีสนี ำ้� ตาล-ดำ� กล่นิ ฉนุ รสเผด็ เลก็ นอ้ ย ทางยานิยมใชพ้ รกิ ไทยดำ� มากกวา่ พรกิ ไทยลอ่ น สรรพคุณ : ตำ� รายาไทย : ใช้ เมลด็ ลดอาการทอ้ งอดื เฟอ้ แนน่ จกุ เสยี ด ขบั ลมในลำ� ไสใ้ หผ้ ายเรอ ชว่ ยเจรญิ อาหาร แกก้ องลม บำ� รุงธาตุ แกล้ มอมั พฤกษ์ แกม้ ตุ ตกิต แกล้ มสตั ถกะวาตะ แกล้ มอนั เน่อื งจากอวยั วะสบื พนั ธุ์แกล้ มมตุ ตฆาต (ลมทท่ี ำ� ใหท้ อ้ งล่นั โครกคราก) ขบั เสมหะ ขบั เหง่ือ ชว่ ยลดอณุ หภมู ิในรา่ งกาย ทำ� ใหต้ วั เยน็ รูส้ กึ รอ้ นเหง่ือออกสบาย ขบั ปัสสาวะ กระตนุ้ ประสาท บำ� รุงธาตุ บำ� รุงไฟธาตุ แกอ้ าหารไมย่ อ่ ย ผลและเมลด็ รกั ษาอาการปวด กระเพาะอาหาร อาเจยี น แกล้ ม จกุ เสยี ด แนน่ ทอ้ ง ขบั ลมในกระเพาะ ทอ้ งเสยี แกป้ วดทอ้ ง ปวดฟัน แกท้ อ้ งอดื อาหารไมย่ อ่ ย แกห้ วดั ทำ� ใหน้ ำ้� ลายออกมาก ชว่ ยใหน้ ำ้� ยอ่ ยหล่งั มากขนึ้ ทำ� ใหอ้ ยากอาหาร แกอ้ อ่ นเพลีย กษัยกรอ่ นแหง้ แกบ้ ดิ ปวดเม่ือยตามรา่ งกาย ตะครวิ แผลปวดเพราะสนุ ขั กดั ฝี สะอกึ หา้ มเลอื ด ยาหลงั คลอดบตุ ร ปวดศรี ษะ แกอ้ าหารเป็นพษิ ตำ� รายาอินเดีย ใชก้ ลวั้ คอ แกเ้ จ็บคอ ลดไข้ รูปแบบและขนาดวธิ ีใชย้ า : ลดอาการทอ้ งอดื เฟอ้ แนน่ จกุ เสยี ดและชว่ ยขบั ลม ใชผ้ ลบดเป็นผง ปั้นเป็นลกู กลอน รบั ประทานครงั้ ละ 0.5-1 กรมั (ประมาณ 15-20 เมลด็ ) หรอื จะใชผ้ งชงนำ้� ด่ืม รบั ประทาน 3 เวลาหลงั อาหาร 43
โครงการอนุรกั ษพ์ ันธุกรรมพชื อนั เนื่องมาจากพระราชดำ�ริ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) เมด็ ผักชี ไดจ้ าก ผล ช่อื พชื ที่ใหเ้ คร่อื งยา ผกั ชีลา ชื่ออ่นื (ของพืชที่ใหเ้ คร่ืองยา) ผกั ชี ผกั หอมปอ้ ม ผกั หอม ผกั หอมนอ้ ย ยำ� แย้ ผกั ชีไทย ผกั ชีหอม ชอื่ วิทยาศาสตร ์ Coriandrum sativum L. ชอื่ พ้อง Bifora loureiroi Kostel., Coriandropsis syriaca H.Wolff, Coriandrum globosum Salisb., C. majus Gouan, Selinum coriandrum Krause ช่อื วงศ์ Apiaceae 44
Search