ชนชาตไิ ทยกับพระพทุ ธศาสนาในอาณาจักรโบราณ* รกรากบรรพบรุ ุษของชนชาติไทย ประเทศจีนทุกวันน้ีตั้งแต่ลุ่มแม่น้ําแยงซีเกียงลงมา เม่ือสมัยหลายล้านปีมาแล้วเคยเป็น ป่าดึกดําบรรพ์มาก่อน เม่ือผ่านยุคนํ้าแข็งละลาย ป่าเหล่านี้ก็สาบสูญไป กลับเป็นเขตท่ีมนุษย์ ในสมัยก่อนยุคหินถือเป็นทําเลอาศัย มนุษย์เหล่าน้ีเป็นต้นตระกูลของชนชาติไทย แม้ว กะเหร่ียง ข่า และพวกตระกูลมอญ-เขมร ชนชาติจีนซ่ึงเป็นพวกอพยพมาจากภาคตะวันตก ข้ามทิวภูเขา คุนลุ้น เข้ามาสู่ที่ราบลุ่มใจกลางประเทศจีน ก็มาพบกับพวกเจ้าของถิ่นเหล่านี้ จีนเรียกพวก เหล่านี้ว่า “อ้ี” ซ่ึงหมายความว่า พวกคนป่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชาติไทย เป็นชาติท่ีมีกําลัง เหนือชนชาติอ่ืนด้วยกันและมีอารยธรรมดีอยู่ก่อน จีนให้เกียรติยกย่อง ในเวลาเขียนตักอักขระ หรืออักษร ในศัพท์ที่เรียกชนชาติไทย ได้เขียนตัวว่า “คน” ลงไปด้วย ส่วนชนชาติอ่ืนนั้นจีนใช้ อักษร “ตวั แมลง” ใส่เข้าไป หมายถงึ ว่ามีคนป่าเถ่ือนดุจสัตว์เดรัจฉาน อันเป็นธรรมเนียมของจีน ทชี่ อบยกตนขม่ ผ้อู น่ื ศนู ยก์ ลางของชนชาติไทยเม่ือ ๔ พันปีมาแล้ว อยู่ทางภาคเหนือของลุ่มแม่นํ้าแยงซีเกียง ต่อมาร่นลงมาทางภาคใต้ พอเข้ายุคพุทธกาลก็ร่นลงมาอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ จีนจึงเรียก เผา่ ไทยทกุ เผา่ ในภมู ภิ าคน้วี า่ “ซีหนานอ”ี้ แปลวา่ “ชาวปา่ แห่งภาคตะวันตกเฉยี งใต”้ แตต่ าม หลักฐานแล้ว คนไทยหาเป็นคนป่าไม่ เพราะได้ตั้งบ้านเรือนท่ีก่ออิฐถือปูนเป็นหลักฐานมั่นคง แตเ่ นื่องจากอยู่ในปา่ ดงดบิ ที่ลี้ลับ คนจนี จึงเข้าใจว่าเป็นคนป่าเหมือนอย่างชาวป่าอนื่ ๆ เรม่ิ นบั ถอื พระพุทธศาสนาสมัยอาณาจกั รอา ยลาว ในราวพุทธศตวรรษท่ี ๖ ตรงกับสมัยราชวงศฮ์ ่นั ของจนี มีอาณาจักรของบรรพบุรุษชาว ไทยสมัยหน่ึงตั้งอยู่บริเวณลุ่มนํ้าแยงซีเกียง ชื่อว่า อาณาจักรอ้ายลาว ซ่ึงมีอาณาเขตทางด้าน ทศิ ตะวนั ตกจรดประเทศอินเดยี มสี มณทูตจากอนิ เดียเขา้ มาเผยแผ่พระพุทธศาสนา เร่ืองราวใน ตาํ นานเกย่ี วกับการนับถือพระพุทธศาสนาในสมัยน้ีจึงเกี่ยวพันกับพระราชามหากษัตริย์อินเดียว่า พระองค์ได้ส่งสมณทูตเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนายังอาณาจักรนี้ และคณะสมณทูตอินเดยี ได้ ผ่านแควน้ น้ขี นึ้ ไปยังประเทศจีน * ข้อมูลในการนําเสนอ ส่วนใหญ่ได้รวบรวมมาจาก หนังสือ “ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา” ทั้งฉบับของเสถียร โพธินันทะ, ฉบับของพระราชธรรมนิเทศ (ระแบบ ฐิตญาโณ ปัจจุบัน เลื่อนสมณศักด์ิเป็นที่ พระธรรมเมธาภรณ์) และฉบับของวศิน อินทส ระ โดยได้เรยี บเรยี งแก้ไขวรรคตอนตามท่ีเห็นสมควร ๙๐ ประวตั คิ วามสําคัญของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
พระพุทธศาสนาในยุคนี้คาดว่าเป็นแบบมหายาน ในสมัยขุนหลวงเม้า ทรงครองราชย์ เป็นกษัตริย์ปกครองอาณาจักรอ้ายลาว ก่อนท่ีจะอพยพเข้ามาสู่ดินแดนประเทศไทยในปัจจุบัน โดยได้รับเอาพระพุทธศาสนามหายาน ด้วยการนํามาเผยแผ่ของพระสมณทูตชาวอินเดีย ในปี พุทธศักราช ๖๒๐ คราวท่ีพระเจ้ากนิษกะมหาราชทรงอุปถัมภ์การทําสังคายนาครั้งที่ ๔ ของ ฝ่ายมหายาน ณ เมอื งชลันธร และทรงส่งสมณทูตออกไปประกาศพระพุทธศาสนาในเอเชียกลาง เป็นตน้ ครง้ั น้นั พระเจา้ เมงตี่ทรงนาํ พระพุทธศาสนาจากเอเชียกลางเข้าไปเผยแผ่ในประเทศจีน และได้ทรงส่งคณะทูตมาสันถวไมตรีกับขุนหลวงเม้ากษัตริย์ไทยผู้ครองอาณาจักรอ้ายลาว คณะ ทูตไดน้ าํ เอาพระพุทธศาสนาเข้ามาดว้ ย ขนุ หลวงเม้าทรงเห็นว่าพระพุทธศาสนามีข้อปฏิบัติธรรม อันประเสริฐ และชนชาติไทยแต่เดิมน้ันก็มิได้มีศาสนาใดๆ เป็นศาสนาหลักประจํา นอกจากนับ ถือผีสางเทวดา วิญญาณบรรพบุรุษ ตามความเชื่อถือของคนช้ันก่อนๆ จึงได้ทรงยินยอมน้อม รับเอาพระพุทธศาสนาไว้และทําให้ประชาชนในหัวเมืองต่างๆ หันมานับถือพระพุทธศาสนาแบบ มหายานเป็นครัง้ แรก ดังน้ัน จึงกล่าวได้ว่า ชนชาติไทยเริ่มนับถือพระพุทธศาสนาในพุทธศตวรรษที่ ๖ ใน อาณาจักรอ้ายลาว แตก่ ารนบั ถือนั้น คงนบั ถอื กันแต่ในหมู่ชนช้ันสูง พวกประชาชนท่ัวไปคงนับ ถือผสี าง ขุนหลวงเมา้ นับว่าเป็นกษตั รยิ ไ์ ทยพระองคแ์ รกทที่ รงนบั ถอื พระพุทธศาสนา ต่อมา ในพุทธศตวรรษท่ี ๘ อาณาจักรอ้ายลาวก็ถึงกาลอวสานเพราะถูกจีนรุกราน โดย เสนาธิการและแม่ทัพของพระเจา้ เล่าปี่ นามอุโฆษว่า ขงเบ้ง ได้ยกกองทัพข้ามแมน่ ํ้าทรายทองตี อาณาจักรอ้ายลาวของไทยจนแตกพ่าย ขงเบ้งเมามันใหญ่ได้วางแผนนํากําลังทหารรุกลงมาถึง ภาคเหนือของพมา่ ชนชาติไทยจงึ เริ่มอพยพเข้ามาสสู่ วุ รรณภมู ิ ลกั ษณะการอพยพเขา สูสุวรรณภูมิ ในสมัยโบราณ ดินแดนสุวรรณภูมิ ประกอบไปดว้ ยแวน่ แควน้ ใหญ่นอ้ ย ไมม่ ีขอบเขตขีด ก้ันเป็นประเทศและไม่มีพรมแดนแบ่งสรรกันแน่นอนอย่างทุกวันนี้ ดังนั้น ชนชาติต่างๆ ท่ี เดนิ ทางมา ตา่ งก็มีสทิ ธิจบั จองทดี่ ินสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้น สุดแต่ใครมีกําลังอํานาจเหนือกว่าก็ ชนะ กล่าวสําหรับการอพยพของชนชาติไทยมาสุ่ดินแดนสุวรรณภูมิ ไม่ใช่เกิดจากสาเหตุหนีภัย สงครามอย่างเดียว แต่เป็นธรรมเนียมของมนุษย์ในสมัยโบราณท่ีชอบร่อนเร่หาที่ทํากินใหม่ๆ และวิธีการอพยพน้ันก็มักจะถือเอาดวงตะวันเป็นจุดหมาย หรือมิฉะนั้นก็มุ่งเข้าหาฝ่ังทะเลอย่าง เช่นพวกจนี อพยพ โดยถือเอาตะวันขึ้นเปน็ จุดหมาย แตช่ นชาติไทยเปน็ มนุษยช์ าวดอน ท่ีอยู่แต่ ในท่ีโอบอุ้มของทิวเขาและป่าไม้ จึงมีความปรารถนาอย่างแรกงกล้าท่ีจะเข้าหาฝั่งทะเลเป็น จุดหมาย ดงั น้ัน จึงได้อพยพเดินทางลงมาสู่สุวรรณภูมิ ในการเดินทางน้ัน สิ่งที่ขาดไม่ได้คือน้ํา พวกผู้อพยพจึงต้องพยายามเดินตามลํานํ้าสายใดสายหน่ึง และลําน้ําท่ีคนไทยเห็นคุ้นเคยใน ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั คิ วามสําคัญของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา ๙๑
ภาคใต้ของจีนก็คือแม่นํ้าโขงและแม่นํ้าสาละวิน ครอบครัวอพยพของคนไทยจึงเดินเลียบลํานํ้า ทั้งสองสายนี้ โดยอพยพกันมาเป็นคราวๆ คราวละหลายร้อยครัวเรือน มีหัวหน้าควบคุม เม่ือ มาถึงชัยภูมิใดท่ีพอใจ ก็ถางป่าสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้น เป็นเมืองง่าย ๆ กําแพงเมืองส่วนมาก เป็นคันดิน เจาะช่องไว้สําหรับเข้าออก บางแห่งก็ปักเสาระเนียดบนคันดิน ส่วนสถานท่ีอยู่ล้วน สรา้ งดว้ ยเคร่อื งไม้ เมืองของชนชาตไิ ทยแหง่ แรกในสวุ รรณภมู ิที่ก่อออิฐถือปูนม่ันคงเป็นหลักฐาน ได้แก่เมืองโยนกนาคนคร หรือเมืองเชียงแสน บนฝ่ังซ้ายของแม่น้ําโขง ท้องท่ีจังหวัดเชียงราย ในปัจจุบัน พวกหวั หนา้ ครวั อพยพได้รบั การยกยอ่ งวา่ เปน็ เจา้ ฟา้ ต่างเป็นอิสระแก่กัน เมื่อยังไม่ มีการรวมประเทศเป็นปึกแผ่น บางคร้ังก็รบพุ่งกันเอง พวกท่ีไปตามลําแม่น้ําสาละวินได้ก่อต้ัง อาณาจักรสิบเก้าเจ้าฟ้า ในภาคเหนือของพม่า อาณาจักรเหล่าน้ีมีเมืองพงเป็นเมืองใหญ่ท่ีสุด ส่วนพวกที่มาตามลําน้ําโขงเข้ามาในประเทศลาวทุกวันนี้ มีเมืองสําคัญคือเมืองแถง ปัจจุบัน เรยี กวา่ เดยี นเบียนฟู ในสิบสองจุไทย พระพุทธศาสนาสมยั ฟูนนั (พุทธศตวรรษที่ ๖) อาณาจักฟูนันหรือพนม เป็นอาณาจักรโบราณ ตั้งข้ึนประมาณพุทธศตวรรษที่ ๖ ซ่ึง เป็นเวลาเดียวกับท่ีพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานเกิดข้ึนและเจริญรุ่งเรืองอยู่ประเทศในอินเดีย และพุทธศาสนิกชนชาวอินเดียได้นําเอาพระพุทธศาสนาแบบมหายานมาส่ังสอนประชาชนใน แหลมอินโดจีน ปรากฏว่าชาวฟูนันนับถือพระพุทธศาสนาทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายานรวมทั้ง ศาสนาพราหมณ์ด้วย อาณาจักรฟูนันคืออาณาเขตท่ีเป็นดินแดนกัมพูชาเวลานี้ และเลยเข้า มาถงึ ภาคอีสานและภาคเหนอื ของประเทศไทยไปชนแดนกบั ประเทศพม่า นบั วา่ เปน็ อาณาจักรท่ี กวา้ งใหญ่และยิง่ ใหญ่มากในเวลาน้นั ในจดหมายเหตุจีนสมัยพุทธศตวรรษท่ี ๖ ที่ ๗ ได้ระบุชื่ออาณาจักรโบราณในประเทศ ไทยปัจจุบันน้ีว่า อาณาจักรฟูหนํา หรือ ฟูนัน คํานี้ศาสตราจารย์เซเดส์ ซ่ึงเป็นบรมปราชญ์ ทางโบราณคดีเก่ียวกับสวุ รรณภูมสิ นั นิษฐานว่าน่าจะตรงกับคาํ วา่ พนม ชาวฟูนันคงเป็นพวกตระกูลมอญและเขมรซ่ึงรับอารยธรรมอินเดียอย่างเต็มท่ี ศาสนาที่ นับถือก็มีท้ังพระพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์ เฉพาะพระพุทธศาสนาก็มีท้ังเถรวาทและ มหายาน ทั้งนี้พวกนักโบราณคดียังไม่สามารถหาโบราณวัตถุในสมัยฟูนันพบเลย สันนิษฐาน ว่าเทวรูปพระนารายณ์สวมหมวกแขก ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติปัจจุบันน้ี อาจเป็นศิลปะใน สมัยฟูนัน แต่เรียกกันว่าเทวรูปสมัยก่อนขอม พบเฉพาะในประเทศไทยและในกัมพูชา ซาก เมืองโบราณในสมัยอาณาจักรฟูนันในประเทศไทยสันนิษฐานว่าเป็นเมืองศรีเทพ ซึ่งอยู่ในป่า ดงดิบแห่งลุ่มแม่นํ้าป่าสัก ปัจจุบันคืออําเภอหน่ึงในจังหวัดเพชรบูรณ์ ดร.เวลส์ นักโบราณคดี ๙๒ ประวัติความสาํ คัญของการเผยแผพระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
พร้อมกับกรมศิลปากรได้ร่วมกันขุด ได้พบซากเมืองร้างแห่งนี้ เป็นเมืองเก่าที่สุดท่ีสร้างขึ้น สมัยก่อนขอม เข้าใจว่าชาวอินเดียผู้อพยพเข้ามาเป็นผู้สร้าง ได้พบเทวรูปพระนารายณ์ เข็ม หลักเมืองซึ่งมีอักษรสันสกฤตจารึกอยู่ เป็นอักษรแบบราชวงศ์ปัลลวะในอินเดียใต้ และได้พบ ซากกําแพงเมอื งใหม่ ซึ่งสร้างซ้อนกันในสมัยขอมมอี ํานาจในภมู ภิ าคนี้ นอกจากเมืองศรีเทพแล้ว กไ็ มไ่ ดพ้ บเมอื งของอาณาจักรฟูนนั อืน่ ใดอีกเลย บางทจี ะเปน็ เพราะเมอื งเหล่าน้ันสร้างด้วยเคร่ือง ไม้ ซ่งึ ไม่คงทนต่อธรรมชาติทําลายก็เป็นได้ สําหรับกษัตริย์แห่งอาณาจักรฟูนันน้ัน กล่าวกันว่าสืบมาแต่พราหมณ์ช่ือโกณฑัญญะ พราหมณ์ผู้นี้ได้ลงเรืออพยพมาจากประเทศอินเดีย เมื่อมาขึ้นฝั่งท่ีสุวรรณภูมิ พบชาวพื้นเมือง ตัวดําเปลือยกาย มีหัวหน้าเป็นสตรี ได้มีจิตปฏิพัทธ์ผูกสมัครรักใคร่ จึงได้ตกลงปลงใจแต่งงาน อยู่กินกับหัวหน้าผู้นี้ ผู้มีนามว่าโสมนาคี โดยที่ชาวพื้นเมืองหล่าน้ีนับถือบูชางูใหญ่ พราหมณ์ โกณฑญั ญะจงึ ได้สอนวฒั นธรรมและอารยธรรมอินเดียให้ จนเจริญรุ่งเรืองต้ังเป็นอาณาจักรฟูนัน ขึ้น มีข้อสังเกตประการหน่ีงว่า สร้อยพระนามของกษัตริย์ฟูนันมักจะลงท้ายด้วยคําว่า วรมัน ซ่ึงคล้ายกับสร้อยพระนามของกษัตริย์ทางอินเดียใต้ ดังน้ัน จึงสันนิษฐานว่าโกณฑัญญะ พราหมณอ์ าจเป็นคนอนิ เดยี ใต้ จดหมายของจีนในสมัยราชวงศ์ซุ้ย และราชวงศ์ถัง ได้กล่าวถึงสภาพความเป็นไปทาง ศาสนาศิลปวัฒนธรรมของอาณาจักรฟูนันว่า พวกชาวฟูนันนับถือพระพุทธศาสนาและศาสนา พราหมณ์ปนกันไป โดยพระพุทธศาสนานั้นก็มีทั้งแบบมหายานและหีนยาน (เถรวาท) มี การศึกษา ปฏิบัติ และเผยแผ่หลักพระพุทธศาสนาที่เจริญรุ่งเรืองมาก จนสามารถส่งสมณทูต ไปประเทศจนี เพ่ือทํางานแปลพระคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา กล่าวคือ ในพุทธศตวรรษที่ ๑๐ มีธรรมทูตชาวฟูนัน ๒ รูป ช่ือพระสังฆปาละและพระมันทรเสน ได้เดินทางไปสู่นครนานกิง ได้ รับการต้อนรับจากรัฐบาลจีนเป็นอย่างดี ท่านสังฆปาละได้แปลคัมภีร์ท่ีมีคุณประโยชน์ต่อ การศึกษาพระพุทธศาสนาหลายคัมภีร์ หน่ึงในคัมภีร์ท่ีมีคุณค่ามากท่ีสุดก็คือคัมภีร์วิมุตติมรรค แปลจากต้นฉบับภาษาบาลีอักษรจีน คัมภีร์ฉบับน้ีได้สูญจากโลกปริยัติฝ่ายบาลีมานมนานแล้ว แต่โชคดีท่ีต้นฉบับแปลจีนรักษาไว้ให้ ได้มีนักปราชญ์ในปัจจุบันน้ีได้ใช้ต้นฉบับจีนแปลกลับเป็น ภาษาบาลี และแปลเป็นภาษาองั กฤษ ส่วนพระมนั ทรเสนไดแ้ ปลคัมภรี ท์ ่เี กี่ยวกับลัทธิมนตรยาน หลายเล่ม จากผลงานของคัมภีร์เหล่านี้ ทําให้เราทราบว่าพระพุทธศาสนาในอาณาจักรฟูนันอยู่ ในฐานะม่ันคงถึงกับสามารถทําประโยชน์ให้กับประเทศอ่ืนได้ ครั้นล่วงมาถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ช่ือฟูนันได้หายไปจากจดหมายเหตุจีนซึ่งได้กล่าวถึงชื่อใหม่ คืออาณาจักรเจนละบก เจนละน้ํา ที่เป็นช่ือนี้ก็เพราะว่า พระเจ้าภวววรมันกษัตริย์แห่งอาณาจักรเจนละคือกัมพูชาในปัจจุบัน ซึ่ง เป็นประเทศราชของฟูนันมาแต่ก่อน มีเมืองสมพูปุระเป็นราชธานี ได้แข็งอํานาจข้ึนมา พระ อนุชาของพระองค์ ชื่อจิตตเสน ได้ยกกองทัพเข้าทําลายอาณาจักรฟูนันลง จักรวรรดิแห่งน้ีจึง ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั คิ วามสําคญั ของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา ๙๓
แบง่ แยกออกเปน็ ๒ แควน้ ใหญ่ เป็นเจนละบกซึง่ กินเขตภาคเหนอื กัมพูชาขน้ึ ไป จนถงึ นครพนม เจนละน้ําได้แกก่ ัมพชู าภาคกลางลงมาถงึ อ่าวเวยี ดนาม (ญวน) จึงเป็นอันว่าราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๑ - ๑๒ อาณาจักรฟูนันก็ถึงกาลอวสานคือเสื่อมลง เพราะถูกพวกเจนละ ซึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรฟูนันมาก่อนก่อกบฏแย่งชิงอํานาจสําเร็จ และพวกเจนละนับถือศาสนาพราหมณ์ จงึ เปน็ เหตุให้พระพุทธศาสนาได้หยุดชะงักความเจริญไป ระยะสมยั หนึง่ พระพุทธศาสนาสมยั ทวาราวดี (พุทธศตวรรษท่ี ๑๑ – ๑๕) หลังจากที่บรรพบุรุษของไทยได้รับพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทมาตั้งแต่ยุคของพระเจ้า อโศกมหาราชแล้ว ก็ได้รักษาสืบทอดกันเร่ือยมา จนกระทั่งมาถึงยุคของ อาณาจักรทวาราวดี ซึ่งเป็นอาณาจักรโบราณประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๕ โดยมีศูนย์กลางอยู่ท่ีจังหวัดนครปฐม ในปัจจุบัน ในยุคน้ีพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง โดยพบโบราณวัตถุและโบราณสถานต่างๆ จาํ นวนมาก เช่น พระพทุ ธรปู ศิลาขาว พบท่ีจังหวัดนครปฐม ๓ องค์ ท่พี ระนครศรีอยุธยา ๑ องค์ และพบพุทธสถานโบราณหลายแห่งในจังหวัดนครปฐม โดยเฉพาะองค์พระปฐมเจดีย์ ซึ่งเป็น เหตุให้สนั นษิ ฐานกนั ว่า ผืนแผ่นดนิ จดุ แรกของดนิ แดนสวุ รรณภูมทิ ่ที า่ นพระโสณะกับพระอุตตระ ได้เดินทางจากชมพูทวีปนําพระพุทธศาสนาข้ามาประดิษฐานเม่ือปี พ.ศ. ๒๓๖ นั้น ได้แก่พ้ืนท่ี บริเวณจงั หวัดนครปฐม เพราะมีโบราณสถานและโบราณวัตถตุ ่างๆ เช่น พระปฐมเจดีย์และศิลา รูปพระธรรมจักรเป็นต้น เป็นหลักฐานประจักษ์พยานอยู่ พระพุทธศาสนาท่ีเข้ามาในครั้งน้ีเป็น แบบเถรวาทดั้งเดิม โดยพุทธศาสนิกชนได้มีความศรัทธาเล่ือมใสบวชเป็นพระภิกษุจํานวนมาก และได้สรา้ งสถปู เจดียไ์ วส้ ักการบูชา เรียกว่า สถูปรปู ฟองน้ํา เหมือนสถูปสาญจิเจดีย์ในอินเดีย ทพี่ ระเจา้ อโศกทรงสรา้ งขน้ึ ศลิ ปะในยุคนเ้ี รียกว่า ศลิ ปะแบบทวาราวดี สมณะจีนเฮ่ียงจัง (หรือ หลงจีนเหี้ยนจัง) ได้บันทึกไว้ในจดหมายเหตุของท่านในสมัย พุทธศตวรรษที่ ๑๒ ว่า ถัดไปจากทิศตะวันออกของอินเดียทางมลฑลอัสสัม มีเทือกภูเขาใหญ่ สีดําเทียมเมฆ (คือทิวเขาอารกันโยมา) ถัดภูเขาใหญ่นี้ออกไปมีอาณาจักรชื่อ สิกหลี สักตอล้อ (คือศรเี กษตร หรอื พม่า) ถดั อาณาจกั รน้อี อกไปอกี มอี าณาจักรชอ่ื ตยุ ลอ้ กวั ต่ี ซ่ึงคําจีนที่ว่านี้ โปรเฟสเซอร์เซเดส์เป็นคนแรกที่สันนิษฐานว่าตรงกับคําว่า ทวาราวดี ในสมัยท่ีท่านสันนิษฐาน อย่างน้ี ยังไม่พบศิลาจารึกหรือจดหมายเหตุโบราณใดๆ รับรอง จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ น้ีได้พบ จารึกกัมพชู าหลักหนึง่ ออกชื่อเมอื ง ทวาระกะเดย ซงึ่ สนบั สนุนข้อสนั นษิ ฐานของเซเดส์มาก จึง ทาํ ให้เชอื่ มั่นว่า อาณาจักรทวาราวดเี ปน็ มหาอาณาจักรตัง้ อย่ทู ่ามกลางพม่ากับขอม มีศูนย์กลาง อยู่ที่ลุ่มแม่น้ําเจ้าพระยาตอนใต้ แผ่อาณาเขตขึ้นไปตลอดถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทาง ๙๔ ประวัติความสาํ คัญของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.
ภาคใต้ถึงเมืองนครศรีธรรมราช ประชาชนในอาณาจักรน้ีเป็นพวกมอญ จากการพบจารึกภาษา มอญโบราณหลายหลักในลุ่มแม่นํ้าเจ้าพระยา และลุ่มแม่นํ้าปิง ทําให้เช่ือถือได้แน่นอนว่า พวก มอญอย่างนอ้ ยก็เคยเป็นรัฐบาลในอาณาจกั รนม้ี าก่อน สําหรับพระพุทธศาสนาในอาณาจักรทวาราวดี เป็นพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท ซึ่งมี ความสัมพันธ์กันกับทางประเทศอินเดีย มีการพบพุทธศิลปะในยุคน้ีต้ังแต่วัตถุช้ินมหึมาลงมา จนถึงวัตถุชิ้นเล็ก ๆ เช่นพระพิมพ์ เป็นจํานวนมาก บริเวณเมืองอู่ทองเก่า นครปฐม นครชัยศรี และราชบุรีเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวรรดิ มีการพบโบราณสถานและโบราณวัตถุจํานวนมากใน บริเวณแถบน้ี ทั้งยังได้ขุดพบกรุสมบัติท่ีคูบัวจังหวัดราชบุรีอีกแห่งหน่ึง พุทธศิลป์แบบทวาราวดี นอกจากจะพบในลุ่มแม่นํ้าเจ้าพระยาแล้ว ยังได้พบทางภาคอื่นๆ ซึ่งล้วนแต่มีโบราณสถานสมัย ทวาราวดีอยู่ทั่วไป โดยได้พบพระพุทธรูปและเสมาธรรมจักรทําด้วยศิลาท่ีเมืองโบราณแห่งหน่ึง ในภาคอสี านชือ่ กนกนคร หรือทีช่ าวพ้ืนเมอื งเรยี กวา่ เมอื งฟา้ แดดสูงยา เป็นเมอื งซ่ึงสรา้ งข้ึนสมัย ทวาราวดี ส่วนในภาคเหนือโบราณสถานที่เป็นของสร้างในสมัยเดียวกันนี้คือ พระสถูปวัดกู่กุด จงั หวัดลาํ พูน สาํ หรบั ทางภาคใต้ อาณาจักรทวาราวดีได้ขยายครอบคลุม(มีพื้นที่)ไปถึงเมืองครหิ (เมอื งไชยาในปจั จบุ นั ) และตอนบนของแหลมมลายู อย่างไรกต็ าม โบราณวัตถชุ นิ้ สาํ คัญๆ ในสมัยอาณาจักรทวาราวดี ส่วนใหญ่อยู่ในท้องที่ นครปฐม นครชัยศรีและเมืองอู่ทอง เม่ือพิจารณาตามข้อเท็จจริงแล้ว อาณาจักรทวาราวดีนั้น เป็นอาณาจักรที่สืบต่อจากอาณาจักรสุวรรณภูมิ ซึ่งเช่ือกันว่าเป็นอาณาจักรรับพระพุทธศาสนา แห่งแรกในภูมิภาคน้ี อาณาจักรสุวรรณภูมิน้ันกินอาณาบริเวณต้ังแต่ปากน้ําเอราวดี (อิรวดี) บริเวณแผ่นดินหรืออ่าวเมาะตะมะลงมาจากอ่าวไทย เพราะฉะน้ัน แม้พวกชาวพม่าจะอ้างว่า สวุ รรณภมู อิ ย่ทู ี่เมืองสะเทิมเขตประเทศพม่า ก็หาผิดไปจากข้อเท็จจริงทางภูมิศาสตร์ไม่ แต่เม่ือ พิจารณาดูด้านโบราณวัตถุแล้ว เมืองสะเทิมของพม่าหามีโบราณสถานโบราณวัตถุใหญ่โตท่ีเป็น ประจกั ษพ์ ยานแกส่ ายตาของพวกเราเฉกเช่นที่นครปฐมและนครชัยศรีของประเทศไทยเราไม่ นักโบราณคดีสมัยก่อนเชื่อว่า เมืองหลวงของทวาราวดีคือเมืองนครปฐม แต่ร้างไป เพราะกองทพั พมา่ ในรชั สมัยพระเจ้าอโนรธามงั ช่อแหง่ พกุ าม ซง่ึ แผ่อานุภาพมาทางตะวันออกท้ัง ในลุ่มแม่นาํ้ เจ้าพระยาและลุ่มแมน่ ํ้าปงิ สําหรบั กรณแี รก อิทธพิ ลของพมา่ อาจจะมาถงึ ภาคกลาง ของลุ่มแม่น้ําเจ้าพระยาจริง เพราะถ้าเราเชื่อว่า ทวาราวดีเป็นอาณาจักรของพวกพม่า เมื่อ พม่าตีอาณาจักรมอญแตกในเขตพม่าใต้แท้ๆ ก็อาจจะกระทบกระเทือนมาถึงพวกมอญใน ลุ่มแม่น้ําเจ้าพระยาด้วย เพราะฉะนั้น พระเจ้าอโนรธาจึงได้แบบอย่างพระเจดีย์ที่วัดพระเมรุ เอาไปสร้างอานันทเจดีย์ข้ึนในพุกาม ซึ่งปรากฏแล้วว่ามีทรวดทรงสัณฐานอย่างเดียวกับสัณฐาน พระเจดีย์วัดพระเมรุไม่มีผิด แต่ในกรณีหลัง อิทธิพลของพม่ามิได้ครอบงําถึงลุ่มแม่น้ําปิงเลย ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั ิความสําคญั ของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา ๙๕
ตามความเช่ือของนักโบราณคดีรุ่นใหม่ อิทธิพลพม่ามิได้เลยฝั่งตะวันออกของแม่นํ้าสาละวินเสีย ด้วยซ้ํา อย่างไรก็ตาม นครปฐมได้ร้างไปตั้งแต่ศึกพุกามครั้งนั้น พระเจ้าอโนรธาได้กวาดต้อน พระสงฆ์และศิลปกรสาขาต่างๆ กลับพม่าเป็นจํานวนมาก จึงทิ้งอาณาบริเวณนี้ให้แก่พวกขอม เข้ามาครอบครองภายหลงั ซ่ึงต่อมาเรียกสมัยนวี้ า่ สมยั ลพบรุ ี สมัยก่อนที่รัฐบาลไทยจะสร้างรถไฟสายใต้น้ัน ปรากฏว่า บริเวณป่ารกในท้องท่ีอําเภอ นครชัยศรี จังหวัดนครปฐมเต็มไปด้วยซากพระสถูปโบราณ พวกคนงานรับเหมาสร้างทางรถไฟ ซึ่งรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้พากันรื้อเอาอิฐปูนลงมาใช้ถมถนนเป็นระยะทางยาวหลายร้อยกิโลเมตร โบราณสถานจึงถูกทําลายไปเป็นจํานวนมาก นอกจากนี้ ยังถูกพวกชาวสวนโดยเฉพาะพวกที่ ปลูกผักเที่ยวถางป่าทําไร่ในพ้ืนท่ีแถบน้ันทําลายเกือบหมดส้ินด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ กว่าท่ี รัฐบาลและชาวพุทธไทยจะสํานึกถึงคุณค่าของโบราณสถานทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ ก็สายไป เสียแล้ว แต่ก็ยังเหลือโบราณสถานอยู่ ๒-๓ แห่ง ซ่ึงรัฐบาลไทยพร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญชาว ตา่ งประเทศได้รว่ มกันขุด เช่น ซากโบราณสถานทวี่ ดั พระเมรุและทดี่ อนยายหอมเป็นต้น และจาก การขดุ คน้ ท่เี หล่านัน้ จึงทาํ ให้พบวา่ พทุ ธศิลปะสมยั ทวาราวดีที่ยงั เหลอื อยู่เป็นช้ินเป็นอันให้เห็น กค็ ือพระสถปู และพุทธรูป พระสถปู องคแ์ รกก็คือพระปฐมเจดยี อ์ งค์ทป่ี ระดษิ ฐานข้างในและสถูป วัดพระประโทน ซึ่งลักษณะองค์พระปฐมและพระประโทนถ่ายแบบสัญจิสถูปของพระเจ้าอโศก มหาราชมาสร้าง คือเป็นทรงโอควํ่า เบื้องบนมีบัลลังก์ปักฉัตรศิลาไว้ สมัยต่อมา โดยเฉพาะใน สมัยพวกขอมเป็นใหญ่ในลุ่มแม่น้ําเจ้าพระยา ได้มีการสร้างพระปรางค์เพิ่มขึ้นบนบัลลังก์ แต่ พระปรางค์ท่ีพระประโทนน้ันเข้าใจเป็นของไทยสร้างในสมัยอยุธยา ส่วนซากสถูปที่วัดพระเมรุมี การสร้างดัดแปลงพิสดารขึ้น คือสร้างเป็นจตุรมุข แต่ละมุขตั้งพระพุทธรูปศิลาน่ังห้อยพระบาท ซ่ึงรูปแบบสถูปวัดพระเมรุนี้ไปตรงกับอานันทเจดีย์ของประเทศพม่าที่เมืองพุกาม อย่างไรก็ตาม สันนิษฐานกันว่า พระปฐมเจดีย์และพระประโทนได้รับการสร้างในสมัยอาณาจักรสุวรรณภูมิ ส่วนที่วัดพระเมรุน่าจะได้รับการสร้างขึ้นในสมัยทวาราวดี โดยรับแบบพุทธศิลปะสิงห์จาก ราชวงศ์คุปตะของอินเดีย จึงไม่นิยมทําจีวรท่ีองค์พระพุทธรูปเป็นริ้ว แต่ทําเป็นแนบพระวรกาย เพ่อื แสดงสว่ นองคาพยพของพระพุทธรปู วัสดุท่ีนิยมนํามาสร้างพระพุทธรูปในสมัยทวาราวดีน้ี โดยส่วนมากเป็นศิลาและดินเผา ประเทศไทยเราจึงมีพระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่กว่าคนเป็นพระน่ังห้อยพระบาทถึง ๔ องค์ คือ องค์หน่ึงอยู่ที่จังหวัดนครปฐม อีก ๓ องค์อยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และยังมีพระพุทธรูป ยืนใหญ่กว่าคนปางพระวรมุทระอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นอกจากนี้ยังมีเสมาธรรมจักร และพระพิมพ์ดินเผาอีกจํานวนมาก แม้พระป่าเลไลย์ในจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นพระพุทธรูป นั่งห้อยพระบาทใหญ่ที่สุดในประเทศไทยโดยมีอีกองค์หน่ึงอยู่ข้างใน ก็เป็นพระพุทธรูปยุคสมัย ๙๖ ประวัตคิ วามสาํ คญั ของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
ทวาราวดี ภายหลังชนชาติไทยสมัยอู่ทองมาบูรณะ จึงได้สร้างพระพุทธรูปพอกขึ้นอีกองค์หน่ึง หุ้มองค์เดิม ซงึ่ เขา้ ใจว่าอาจจะชํารดุ และท่ีบริเวณพระปฐมเจดีย์น้ัน พระบาทสมเด็จพระจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี ๔) เมื่อคร้ังทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ได้เสด็จจาริกธุดงค์มาประจํา พระองค์ได้ทรงพบแผ่นศิลาจารึกเป็นภาษาบาลีด้วยอักษรคฤนถ์ คือ จารึกคาถา เย ธมฺมา... ในถ้ําเขางู จังหวัดราชบรุ ี มีภาพบนผนังถ้ําเป็นพระพทุ ธรูปนงั่ ห้อยพระบาทสมัยทวาราวดี และ มคี ําจารกึ ด้วยภาษาสนั สฤต กล่าวถึงฤษีสมาธคิ ุปตะผเู้ ปน็ เจ้าของถ้าํ เม่ือประมวลจากหลักฐาน ทําให้สรุปเป็นเชิงสันนิษฐานได้ว่า พระพุทธศาสนาในสมัย อาณาจักรทวาราวดีนั้นมีทั้งแบบเถรวาทและแบบมหายาน แต่เช่ือม่ันว่าฝ่ายเถรวาทจะรุ่งเรือง กว่า ชนชาตทิ ่ีเป็นเจ้าของแหง่ อาณาจกั รทวาราวดีนค้ี อื ชนชาติมอญแน่ๆ โดยมกี ารพบศิลาจารึก ภาษามอญโบราณในท้องที่จังหวัดราชบุรีและจังหวัดลําพูนในสมัยต่อมา มีหลักฐานปรากฏว่า ในพุทธศตวรรษที่ ๑๒ เจ้าหญิงแห่งอาณาจักรทวาราวดีพระนามว่า พระนางจามเทวี ได้เสด็จ ข้ึนไปครองเมืองหริภุญไชย (ลําพูน) พระนางทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก จึง ได้ทรงนิมนต์พระภิกษุสงฆ์จาํ นวน ๕๐๐ รูปไปบ่มเพาะศรัทธาประชาชนท่เี มอื งหรภิ ุญไชย พร้อม ทั้งทรงนําเอาบรรดาศิลปินแขนงต่าๆ ขึ้นไปด้วย เป็นการแผ่อารยธรรมทวาราวดีในลุ่มแม่น้ําปิง หลงั จากนั้น พระนางได้ทรงสร้างวดั ข้นึ จาํ นวนมาก กลา่ วเฉพาะชือ่ วดั ทีส่ าํ คญั คอื วดั บุพพาราม วัดพระคง วัดพระรอด และวัดพระล้ีรอด ซึ่งเชื่อกันว่าพระเครื่องสกุลลําพูนที่เรียกกันว่าพระ รอด กส็ ร้างขนึ้ ในสมยั นี้ อาณาจักรทวาราวดีดํารงอยู่จนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๕ แต่แล้วก็ถูกพวกขอมแผ่อํานาจ รุกมาทางตะวนั ตก ทางใตม้ ีพวกศรวี ชิ ัยรกุ ข้ึนมา อาณาจกั รน้จี งึ ถึงกาลดับสูญไป ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั ิความสาํ คัญของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๙๗
พระพุทธศาสนาสมัยอาณาจักรศรีวิชยั (พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๘) อาณาจักรศรีวิชัย เป็นอาณาจักรที่อยู่ในช่วงสมัยเดียวกันกับอาณาจักรทวาราวดี โดย มีอาณาเขตติดต่อกัน เกิดขึ้นที่เกาะสุมาตรา ในช่วงประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๑๒-๑๘ ซ่ึงมีอาณา บริเวณกว้างครอบคลุมปลายแหลมมลายูและเกาะชวา ยังไม่พบหลักฐานระบุชัดเจนว่า ศูนยก์ ลางของอาณาจักรนอี้ ยู่ที่ใด ดร.เวลล์ กล่าวว่า เมืองปาเลมบังบนเกาะสุมาตราในประเทศ อินโดนีเซีย เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัย ในขณะที่ท่านพุทธทาสภิกขุมีความเห็นว่า เมอื งหลวงของอาณาจกั รศรวี ชิ ยั อยู่ทอี่ าํ เภอไชยา จงั หวดั สุราษฎร์ธานี อาณาจักรศรีวิชยั ในเกาะสมุ าตรามคี วามเจริญรุ่งเรืองมากในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๑๒-๑๓ โดยกษัตรยิ ์แห่งศรีวชิ ัยในเกาะสุมาตราเรอื งอาํ นาจ ในปี พ.ศ. ๑๓๐๐ ได้แผ่ขยายอาณาเขตเข้า มาถึงเมืองสุราษฎร์ธานี พระองค์ทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาแบบมหายานอย่าง มั่นคง ส่งผลให้พระพุทธศาสนาแบบมหายานแพร่หลายได้รับการเผยแผ่เข้าไปสู่ภาคใต้ของไทย ซ่ึงอยู่ในอาณาจักรของพระองค์ และเจริญรุ่งเรืองในช่วงระยะเวลานั้น ดังมีศาสนถาวรวัตถุและ พุทธศิลป์ต่างๆ เป็นหลักฐานปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ เจดีย์พระบรมธาตุไชยา พระ บรมธาตุนครศรีธรรมราช เจดีย์โบโรพุทโธ รูปหล่อพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร รวมถึงหลักฐาน ทางโบราณคดีอื่นๆ อีกเป็นจํานวนมาก ซึ่งพบกระจายอยู่ท่ัวไปในดินแดนสุวรรณภูมิ มีการ ค้นพบศิลาจารึกท่ีวัดเสมาเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช นอกจากนั้นยังได้ขุดพบพระพิมพ์ดิน ดิบต่างๆ ซึ่งมีทั้งพระพุทธรูปและรูปพระโพธิสัตว์ตามคติมหายานทําซ่อนไว้ในถ้ําและภูเขาต่างๆ ในเขตจังหวัดภาคใต้ของไทย เช่น ที่ถ้ําคูหาสวรรค์ ถํ้าอกทะลุในจังหวัดพัทลุง ที่เขากําปั้น จังหวัดปัตตานี และท่ีถํ้าตะเภา จังหวัดยะลา เป็นต้น และพบหลักฐานในท่ีอื่นๆ อีกมากมาย ลักษณะเป็นแบบลัทธิมหายานเหมือนที่เกาะชวา ซ่ึงระบุบ่งบอกว่า พระเจ้ากรุงศรีวิชัยเป็นผู้มี พระราชศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนามหายาน ดังนั้น พระพุทธศาสนาสมัยศรีวิชัยจึงเป็นแบบมหายาน เพราะกษัตริย์แห่งราชวงศ์ ไศเลนทระแห่งอาณาจักรศรีวิชัย นับถือลัทธิมหายานนิกายมนตรยานอย่างเดียวกับราชวงศ์ ปาละแหง่ อนิ เดยี ใต้ โดยกษัตรยิ ส์ องราชวงศ์นี้ได้มีสมั พนั ธไมตรีอันดีต่อกันและเอาอย่างถ่ายแบบ กันในเรื่องการยอมรับนับถือลัทธิศาสนา พระพุทธศาสนาแบบมหายานจึงได้เป็นศาสนาประจํา อาณาจักรศรีวิชัย ต้ังแต่ พ.ศ. ๑๒๐๐ – พ.ศ. ๑๗๐๐ เศษ โดยตอนเหนือของแหลมมลายูคือ นครศรีธรรมราช ซ่ึงมีช่ือเรียกในพุทธศตวรรษท่ี ๑๒ ว่า นครตามพรลิงค์ เป็นประเทศราชคือ เมอื งขึน้ ของอาณาจกั รศรีวิชัย นอกจากน้ีอทิ ธิพลในดา้ นการนับถอื พระพุทธศาสนาแบบมหายาน ของอาณาจกั รศรีวิชัยยงั แผ่กระจายไปถงึ กมั พูชาอีกด้วย ๙๘ ประวัติความสาํ คัญของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
ในสมัยน้ัน อาณาจักรศรีวิชัยได้เป็นศูนย์กลางในด้านการศึกษาพระปริยัติธรรมที่มี ชื่อเสียงโด่งดัง ในปี พ.ศ. ๑๒๑๔ สมณะอี้จิงเดินทางจากจีนมาเรียนหนังสืออยู่ที่ศรีวิชัย ๖ เดือน จึงเดินทางต่อไปยังประเทศอินเดีย ท่านได้แนะนําเพ่ือนภิกษุชาวจีนด้วยกันว่า ก่อนจะ ไปชมพูทวีปควรจะไปศึกษาพระพุทธศาสนาเบ้ืองต้นที่ศรีวิชัยก่อน เพราะเป็นแหล่งศึกษา พระพุทธศาสนามหายานทีส่ ําคัญและโดง่ ดงั เกือบจะทัดเทยี มกับอินเดยี เลยทเี ดียว พระพุทธศาสนาสมัยลพบรุ ี (พุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๘) สมยั ลพบรุ ีเร่มิ ต้งั แตพ่ ุทธศตวรรษท่ี ๑๕ – ๑๘ เป็นยุคท่ีจักรวรรดิขอมรุ่งเรืองที่สุดใน ภูมิภาคนี้ โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ เป็นผู้ก่อตั้งจักรวรรดิขอมข้ึนใหม่ อาณาบริเวณลุ่มแม่น้ํา เจ้าพระยาและภาคอีสานของไทยท้ังภาคเป็นประเทศราช(เมืองขึ้น)ของขอม ขอมมาต้ังเมือง อุปราชปกครองในลุ่มแม่นํ้าเจ้าพระยา โดยมี เมืองลพบุรี ซึ่งเป็นเมืองเก่าก่อนของขอมและ เรยี กในภาษาเดิมวา่ ละโว้ เป็นเมืองสาํ คญั เพราะไดพ้ บศลิ าจารึกภาษาโบราณในบริเวณศาลพระ กาฬในปัจจุบันน้ี เมื่อขอมเข้ามามีอาํ นาจได้แปรคาํ วา่ ละโว้เข้าหาภาษาสันสฤตเป็น ลวปุระ หรือ เมืองพระลพ ซึ่งเป็นโอรสของพระราม จึงมีส่ิงศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับพระรามอยู่ในเมืองนี้ ส่วน ทะเลสาบชุบศร พวกขอมได้ผูกนิยายข้ึนว่าพระรามได้มาชุบศรทรงท่ีนี่ ศรอันศักดิ์สิทธ์ิคือ พรหมาสตร์ อัคนิวาต ประลัยวาต ฉะนน้ั นา้ํ ในทะเลสาบแหง่ น้จี ึงเป็นน้ําศักดส์ิ ิทธิ์ กษตั รยิ ์ทกุ พระองค์ของขอมเมอ่ื ทาํ พิธมี รู ธาภเิ ษกเป็นกษัตริย์ตอ้ งใช้น้ําในสระน้ี ส่วนตอนบนของลุ่มแม่น้ําเจ้าพระยา ขอมตั้งเมืองสุโขทัย เมืองศรีสัชนาลัยปกครอง ในภาคอีสาน ขอมตั้งเมืองสกลนคร และเมืองพิมายเป็นเมืองอุปราชปกครอง อิทธิพลของขอม เรม่ิ ตั้งแต่ฝัง่ ขวาของแม่นาํ้ โขงทจี่ ังหวัดนครพนม กินเรอื่ ยลงมาถึงเมืองเพชรบุรีเป็นท่ีสุด ทางทิศ ตะวันตกก็เร่ิมต้ังแต่เมืองสุพรรณบุรี สิงห์บุรีเข้ามา สําหรับทางทิศเหนือน้ันกินพื้นท่ีไปสุดสิ้นที่ เมืองกําแพงเพชร และเมอื งศรีสชั นาลัย แตอ่ ิทธิพลของขอมมิไดล้ ้ําเขา้ ไปในลุ่มแม่น้ําปิง เพราะ มีอาณาจักรมอญซึ่งตกคา้ งจากสมัยทวารวาดีต้ังม่ันต่อสู้พวกขอมอย่างเหนียวแน่นอยู่ ดังนั้น จึง ไมพ่ บศิลปกรรมของขอมในล่มุ แมน่ า้ํ ปงิ พวกขอมนับถือศาสนาพราหมณ์ลัทธิศิวเวทและพระพุทธศาสนาแบบมหายานปนกันไป โบราณปูชนียสถานต่างๆ ที่พวกขอมสร้างเป็นคติในทางศาสนาพราหมณ์และพระพุทธศาสนา ทง้ั น้นั โดยมากสร้างดว้ ยอฐิ แลง และหนิ ตามแต่จะหาได้ ทุกแหง่ ท่ขี อมเข้าไปปกครองต้องมี เทวสถานอย่างใดอยา่ งหนึง่ สดุ แตค่ วามสําคัญของสถานที่ ถ้าเป็นเมืองใหญ่ ปชู นียสถานก็ใหญ่ เช่นที่พิมาย หรือท่ีลพบุรี ถ้าเป็นเมืองรอง ปูชนียสถานก็มีขนาดย่อมลงมา เช่นที่เพชรบุรี หรือราชบุรี ศิลปะการก่อสร้างของขอมยังเป็นความลี้ลับอยู่จนบัดน้ี เช่น การสร้างปราสาทอิฐ ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัติความสาํ คัญของการเผยแผพระพุทธศาสนา ๙๙
ทไี่ มม่ ปี นู สอ หรือการสรา้ งปราสาทหินท่ีไม่มีโครงเหลก็ ใดๆ ยดึ เหนยี่ วกันไว้ จึงทําให้สงสัยกันว่า วัตถุเหล่านั้นยึดเหน่ียวกันเองอยู่ได้อย่างไรเป็นระยะเวลาหลายศตวรรษ ผู้รู้บางท่านสันนิษฐาน ว่า ขอมได้ใช้ต้นไม้ชนิดหน่ึงที่เรียกว่ายางบงมาเชื่อมกับทัพพสัมภาระท่ีใช้ในการก่อสร้าง โดย เรียนรู้กรรมวิธีส่วนหน่ึงมาจากครูชาวอินเดียและพวกศรีวิชัย แต่มาดัดแปลงกรรมวิธีเป็นของ ตนเองมากข้ึนในภายหลัง มีผู้เข้าใจว่าปรางค์ในสมัยลพบุรีนี้ย่อส่วนมาจากศิวลึงค์ แต่ก็มีผู้รู้ จํานวนมากคัดคา้ นว่านา่ จะย่อสว่ นมาจากเขาไกรลาสมากกวา่ เพราะภเู ขาลูกน้ีตั้งอยู่โดดเด่ียวใน ทิวเขาหิมาลัย ลักษณะเหมือนปรางค์ขอมจริงๆ และข้อสังเกตความแตกต่างระหว่างเทวสถาน กับพุทธสถานในสมัยลพบุรี คือ ถ้าเป็นปรางค์ในศาสนาพราหมณ์ มักยกฐานปรางค์ให้สูงลอย เด่น ถ้าเป็นของพระพุทธศาสนามักสร้างบนพื้นราบๆ ในประเทศไทยน้ีพุทธสถานของขอมคือ พมิ าย และปราสาทสามหลังที่ลพบุรี สว่ นที่เป็นเทวสถานอันลือชือ่ คือ ปราสาทเขาพระวิหาร ดังกลา่ วแล้ววา่ พวกขอมนบั ถือศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธแบบมหายานปนกันไป ฉะนั้น ร่องรอยโบราณสถานของขอมในยุคน้ีที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาล้วนเป็นของมหายาน ท้ังน้ัน เช่น พระพุทธปฏิมามักทรงเคร่ืองอลังการวิภูษิตาภรณ์ มีกระบังมงกุฎบนพระเศียรที่ เรียกกันว่าเทริด พระโอฐหนา ดวงพระเนตรใหญ่ พระกรรณ (หู) ยาวลงมาจดพระอังสะ (บ่า) ลกั ษณะใกลไ้ ปทางเทวรูปมาก พระปฏิมาทีว่ ่าน้ีคอื รปู พระอาทิพุทธะในคติมหายาน ถ้าเป็นรูป พระศากยมุนี (พุทธเจ้า) ก็มักจะมีรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรและรูปปรัชญาปารมิตาโพธิสัตว์ ซ้าย-ขวา แทนรูปพระอัครสาวก (ในฝ่ายเถรวาท คือ พระโมคคัลานะและพระสารีบุตร) โดยรูป พระอวโลกเิ ตศวรโพธสิ ตั วน์ นั้ บางทีทาํ เป็น ๔ กร (มือ) บ้าง ๖ กรบา้ ง เป็นเหตุให้คนรุ่นหลังที่ยัง ไม่รู้นึกว่าเป็นรูปพระนารายณ์หรือพระพรหมไปก็มี เช่นพวกนักเล่นพระเครื่องสกุลลพบุรี เรียก พระเครื่องชุดหนึ่งว่า นารายณ์ทรงปืน ความจริงเป็นรูปพระอวโลกิเตศวร พระเครื่องแบบ มหายานท่วี า่ น้ขี ุดไดท้ เี่ มอื งลพบุรีเปน็ จํานวนมาก รวมทั้งพระเครื่องท่ีเรียกกันว่าพระหูยาน ที่จริง เป็นพิมพ์ของพระอักโษภยพุทธะ พระพุทธเจ้าประจําทิศบูรพา สําหรับปราสาทขอมสามหลังท่ี ลพบุรเี ดมิ เปน็ ที่ประดิษฐานพระพุทธเจ้าตรีกาลตามคติมหายาน แต่มาแปลงเป็นเทวสถานในชั้น หลัง ปราสาทหนิ พมิ ายท่ีโคราชก็เปน็ ทป่ี ระดิษฐานพระพุทธรูปนาคปรกองค์มหึมา ท่ีเรียกกันว่า ชยพทุ ธมหานาค และประดิษฐานรูปปฏิมาพระไตรโลกวิชัย อันเป็นปางหน่ึงของพระอาทิพุทธะ พระพุทธรปู ในสมัยลพบรุ นี ิยมสรา้ งแบบนาคปรก และมวลสารที่สร้างสว่ นมากกเ็ ป็นหิน หาพระ สําริดได้น้อย ที่สร้างเป็นนาคปรกเห็นจะเน่ืองมาแต่คติการบูชางูใหญ่ของพวกขอมก่อนนับถือ พระพุทธศาสนา เม่ือมารับพระพุทธศาสนาแล้วจึงคิดแบบพระพุทธรูปอย่างนี้ขึ้น ซึ่งไปตรงกับ พระพุทธรปู ปางเสวยวิมุตติสขุ ในขนดลอ้ มของพญานาคมุจลนิ ท์พอดี ๑๐๐ ประวตั ิความสําคญั ของการเผยแผพระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
สําหรบั พระพุทธเจดีย์สมยั นมี้ ีปนกันทั้งฝ่ายเถรวาทซึ่งสืบเนื่องมาแต่สมัยทวาราวดี และ ฝ่ายมหายานซ่ึงมาแต่เมืองเขมรและบางทีมาแต่ทางศรีวิชัยด้วย เจดีย์วัตถุมีมากมายหลายแบบ โดยแก้ไขมณฑปมาทําเปน็ ปรางค์ บางแหง่ ทําปรางค์ใหญเ่ ช่นที่วัดมหาธาตุ เมืองลพบุรี บางแห่ง ทําเป็นปรางค์เรียงกันสามองค์ เรียกว่าปรางค์สามยอด (คือตั้งพระพุทธรูปไว้ตรงยอดกลาง ต้ัง รูปพระโพธิสัตว์ไว้ตรงยอดสองข้าง) นิยมทําพระสถูปเป็นอุทเทสิกเจดีย์ขนาดย่อมลงมา และ แปลงรูปเป็นทรงสูงมีเครื่องประดับ เจดียสถานส่วนใหญ่มักทําด้วยศิลาแลง แต่เมื่อมีขนาดเล็ก จงึ หลอ่ ด้วยทองสําริด ฝีมือดีทั้งชา่ งจาํ หลกั ศลิ าและชา่ งหล่อ พระพุทธรูปที่สร้างสมัยอาณาจักรลพบุรี มีทั้งพระศิลา พระหล่อ และพระพิมพ์ โดย เกดิ มีพระทรงราชาภรณ์หรอื ท่เี รียกกันทัว่ ไปว่า “พระทรงเคร่ือง” ขึ้นในสมัยน้ี เพราะนับถือลัทธิ มหายาน ซ่งึ เช่ือว่ามีพระอาทพิ ุทธเจา้ ประจาํ โลกพระองค์หน่ึงอีกต่างหาก จึงทํารูปของพระอาทิ พุทธเจ้าเป็นพระทรงเคร่ืองให้ผิดกับพระพุทธเจ้าองค์อ่ืนๆ ส่วนพระพิมพ์ท่ีสร้างในสมัยนี้สร้าง ตามคติมหายานเป็นพ้ืน มีหลายแบบ โดยทําเป็นพระพุทธรูปนั่งในปรางค์ ๓ องค์ ซึ่งบ่งว่าเป็น พุทธกายทั้งสามก็มี ทํารูปพระอาทิพุทธเจ้าเป็นประธาน มีรูปพระมนุษยพุทธเจ้า ๔ หรือ ๗ พระองค์เป็นบริวารก็มี ทําพระพุทธรูปอยู่กลาง รูปพระโพธิสัตว์อยู่ข้างก็มี ทําทั้งพระพุทธรูป และรปู พระโพธสิ ัตว์มากมายหลายองค์ในแผ่นพิมพ์อันเดียวกันก็มี ลักษณะพระพุทธรูปในสมัยนี้ เหมอื นจะเอาแบบทวาราวดีกับแบบขอมผสมกัน จึงเกิดเปน็ แบบข้นึ ใหม่อกี อย่างหนึง่ ในสมัยอาณาจักรลพบุรี นิยมสร้างพระพุทธรูปปางนั่งสมาธิมีนาคปรกหรือท่ีเรียกกัน โดยย่อว่า พระนาคปรก โดยทําด้วยศิลาต้ังแต่ขนาดใหญ่กว่าตัวคนลงมาจนขนาดย่อม ที่หล่อ เป็นขนาดน้อยๆ ก็มีมาก ได้พบตัวอย่างท่ีหล่อร่วมฐานติดกัน ๓ องค์ มีพระพุทธรูปนาคปรกอยู่ กลาง รูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรส่ีกรอยู่ข้างหน่ึง รูปนางภควดีปัญญาบารมีอยู่ข้างหนึ่ง ดังน้ัน เมื่อสังเกตดูพระพุทธรูปปางต่างๆ ซึ่งสร้างในสมัยลพบุรี จึงพบปางเหล่านี้เป็นพื้น คือ (๑) ปางทรงสมาธิ มนี าคปรกบ้าง ไม่มีบ้าง (๒) ปางมารวิชัย (๓) ปางเสด็จจากดาวดึงส์ เป็น พระพุทธรูปยืนกรีดนิ้วพระหัตถ์ (๔) ปางห้ามสมุทร เป็นพระพุทธรูปยืนต้ังพระหัตถ์ประทาน อภยั และ (๕) ปางพระปา่ เลไลยก์ สําหรับรูปพระโพธิสัตว์ตามคติมหายานสมัยน้ีนิยมสร้างรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศววร อยา่ งเทวรปู สามญั สงั เกตคล้ายรปู พระนารายณ์ แต่พระหัตถ์บนสองพระหัตถ์ถือลูกประคําและ หนังสือ พระหัตถ์ล่างสองพระหัตถ์ถือดอกบัวและน้ําอมฤต หรือทําเป็นมนุษย์หลายหน้า ซ้อน กันอย่งหัวโขนทศกัณฐ์ หลายพระหัตถ์หลายพระบาท และนิยมสร้างรูปนางภควดีปัญญาบารมี โดยใหย้ กมือขวาถือหนังสือ มือซ้ายถือดอกบัว ซ่ึงมักเข้าใจกันไปว่ารูปนางอุมาภควดี นอกจาก สองรปู นี้ ก็ไมนิยมสร้างรูปพระโพธสิ ตั วอ์ งคอ์ ่ืนเหมอื นอยา่ งสมยั อาณาจักรศรวี ชิ ัย ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัติความสาํ คัญของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๑๐๑
กลา่ วโดยสรปุ ในสมยั กษตั ริย์กัมพชู าราชวงศ์สรุ ิยวรมันเรืองอํานาจนั้น ได้แผ่อาณาเขต ขยายออกมาทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางของประเทศไทย ในราวพุทธศักราช ๑๕๔๐ และได้ตั้งราชธานีเป็นท่ีอํานวยการปกครองเมืองต่างๆ ในดินแดนดังกล่าวข้ึนหลายแห่ง เช่น เมืองลพบุรีปกครองเมืองที่อยู่ในอาณาเขตทวารวดีส่วนข้างใต้ เมืองสุโขทัยปกครองเมืองที่ อยู่ในอาณาเขตทวาราวดีส่วนข้างเหนือ เมืองศรีเทพปกครองหัวเมืองที่อยู่ตามลุ่มแม่น้ําป่าสัก เมืองพมิ าย ปกครองเมอื งทีอ่ ยู่ในท่ีราบสูงตอนข้างเหนือ เมืองต่างๆ ท่ีตั้งขึ้นนี้ เมืองลพบุรีหรือ ละโว้ ถอื วา่ เปน็ เมืองสําคญั ทส่ี ุด กษัตริย์กัมพูชาราชวงศ์สุริยวรมันทรงนับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ซึ่งมีสาย สัมพันธ์เชื่อมต่อมาจากอาณาจักรศรีวิชัย แต่พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานในสมัยนี้ได้ผสมกับ ศาสนาพราหมณ์มาก ประชาชนในอาณาเขตต่างๆ ดังกล่าวจึงได้รับพระพุทธศาสนาทั้งแบบ เถรวาทที่สืบมาแต่เดิม กับแบบมหายานและศาสนาพราหมณ์ที่เข้ามาใหม่ด้วย ทําให้มีผู้นับถือ พระพุทธศาสนาท้ังสองแบบ และมีพระสงฆ์ทั้งฝ่ายเถรวาทและฝ่ายมหายาน สําหรับศาสน สถานและพุทธศิลป์ท่ีเป็นท่ีประจักษ์พยานให้ได้ศึกษาถึงความเจริญรุ่งเรืองแห่งพระพุทธศาสนา ในสมัยลพบุรีครั้งน้ัน ได้แก่พระปรางค์สามยอดท่ีจังหวัดลพบุรี ปราสาทหินพิมายที่จังหวัด นครราชสีมา และปราสาทหินเขาพนมรุ้งที่จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น ส่วนพระพุทธรูปท่ีสร้างใน สมยั นนั้ ถอื เป็นศลิ ปะอยใู่ นกลมุ่ ศิลปะสมัยลพบุรี พระพทุ ธศาสนาสมัยอาณาจักรนา นเจา ย้อนกลับมาดูประวัติการนับถือพระพุทธศาสนาของชนชาติไทย ภายหลังจากอาณาจักร อ้ายลาวถูกจีนรุกรานทําลายจนพินาศ โดยเสนาธิการของจีนนาว่าขงเบ้งได้ตีอาณาจักรอ้ายลาว แตกพา่ ย กม็ ิได้หมายความว่าชนชาตไิ ทยพากันอพยพลงมาส่ดู ินแดนสวุ รรณภูมิจนหมด คนท่ีไม่ อพยพมมี ากกว่าอพยพ คนเหล่าน้ีได้พากันตั้งอาณาจักรข้ึนใหม่ มีเมืองหนองแส เป็นราชธานี ในยูนาน เรียกว่า อาณาจักรเมืองไทย (ออกสําเนียงเสียงจีนว่า หมงไทย หรือ ไทยเมือง ก็ เรียก) เน่ืองจากชนชาติไทยน้ันนับถือพระพุทธศาสนา จึงรับอิทธิพลทางภาษาบาลีเกี่ยวกับการ เรยี กช่ือในวรรณคดอี นิ เดยี เข้ามา โดยบางคร้ังเรียกช่ือประเทศของตนว่า คันธารรัฐ เรียกเมือง หนองแสว่า ตักกสิลานคร และเฉลิมยศกษัตริย์ไทยด้วยภาษาบาลีว่า มหาราชะ แต่จีน เรยี กวา่ นา่ นเจ้า หมายความว่า ผเู้ ปน็ ใหญท่ างทศิ ใต้ อาณาจักรน่านเจ้ามีอายุตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๘ จึงเสียเอกราชไป ในระหว่างเวลาอัน ยืดยาวนานลว่ งผ่านราชวงศ์ถัง ราชวงศ์ซ้อง ถึงราชวงศ์หงวนของจีน ชนชาติไทยได้ทําสงคราม ขับเค่ียวกับการรุกรานของชนชาติจีนมาตลอด กล่าวกันว่า พระเจ้าถังไทจง จอมกษัตริย์ท่ีมี ๑๐๒ ประวตั คิ วามสาํ คัญของการเผยแผพระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
กฤดานุภาพของจีน สามารถปราบพวกเตอรก์ รกุ ไปจนถงึ เขตกรุงคอนสแตนติโนเปิลในยุโรป แต่ หมดปัญญาทจ่ี ะปราบชนชาติไทย แม้จะส่งกองทัพทหารจํานวนเรือนแสนลงมาปราบ แต่ทหาร เหล่านั้นก็มาตายด้วยโรคมาลาเรียเสียเป็นส่วนมาก จนถึงกล่าวกันว่า “ทหารจีนยังไม่ทันจะรบ พอรู้ข่าวว่าจะไปพบรบตีไทยเท่านั้น ก็ยอมแพ้เสียก่อน เพราะกลัวความไข้” ดังน้ัน เม่ือชนะไทย ไม่ได้โดยง่าย จีนจึงใช้นโยบายกลืนชาติไทยโดยปริยายด้วยวิธียกลูกสาวให้ โดยราชสํานักถังได้ ส่งเจ้าหญิงอันฮ่ัวเชียงกงจู๊มาเป็นพระราชินีของกษัตริย์ไทย พร้อมทั้งจัดส่งคณะอํามาตย์มาสอน วัฒนธรรมจนี แกไ่ ทย ในสมัยราชวงศ์ซ้อง คนไทยกลายเป็นจีนเรื่อยๆ เช่น ท้ิงประเพณีไทยรับ ประเพณีจีน เรียนหนังสือจีน ใช้หนังสือจีนเป็นหนังสือราชการ ข้าราชการแต่งเครื่องแบบจีน กษัตริย์ไทยยอมรับการแต่งตั้งจากกษัตริย์จีน เป็นต้น ต่อมา อาณาจักรน่านเจ้าได้ถูกจีนแทรก ซึมเข้าทําลายจนพินาศอีกครั้ง ซ่ึงในคราวนี้ผู้ปกครองของจีนได้ใช้วิธีแบ่งคนไทยออกเป็นกลุ่ม เล็กกลุ่มน้อยแล้วผลักดันออกไปคนละทิศละทาง และนับแต่น้ันเป็นต้นมา คนไทยก็ได้แตกสาน ซ่านเซ็นจนรวมกันไม่ติดอยู่จนถึงวันนี้ คือ ทางตะวันตกได้ถูกจีนผลักดันจนแตกกระจัดพลัด พรากไปถึงแคว้นอัสสัม (อยู่ทางภาคตะวันออกของอินเดียในปัจจุบัน) ส่วนทางตะวันออก ก็ กระจัดกระจายไปถึงกวางสี หูหนาน เกาะไหหลํา รวมถึงตอนเหนือของประเทศเวียดนามใน ปัจจุบัน สว่ นทางใต้นัน้ ก็ได้แก่ประชากรในประเทศต่างๆ ทางเอเชียอาคเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้) ปจั จุบนั โดยเฉพาะในประเทศลาวและประเทศไทย อยา่ งไรกต็ าม ในสมัยอาณาจักรน่านเจ้านี้ พระพุทธศาสนารุ่งเรืองมาก มีวัดจํานวนมาก ในเมืองหนองแส ซึ่งยังปรากฏซากอยู่ ระฆังใหญ่ใบหน่ึงมีข้อความจารึกว่า พระเจ้าขุนลู้ฟุง เป็นผู้หล่อระฆังนี้อุทิศเป็นพุทธบูชา ระฆังใบน้ียังเก็บรักษาอยู่ พระพุทธศาสนาในสมัยน้ีเป็น แบบมหายาน โดยคนไทยเคารพพระอวโลกเิ ตศวรโพธสิ ตั ว์ว่าเป็นเทพเจา้ ประจําชาติ ในพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ กุบไลข่านยกกองทัพมาตีประเทศจีน ได้เข้าตีอาณาจักรน่านเจ้า ก่อน แล้วจึงย้อนเข้าไปตีราชสํานักซ้อง อาณาจักน่านเจ้าจึงเสียแก่พวกมงโกล ภายหลังถูกยุบ เปน็ เพยี งจังหวัดหนงึ่ ข้ึนตรงตอ่ จีน อาณาจักรน่านเจ้าของไทยในยนู านจึงอวสานลง พระพุทธศาสนา : มรดกทางอารยธรรมในดนิ แดนสุวรรณภูมิ ดินแดนสุวรรณภูมิ ในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๘ - ๑๗ ได้ผ่านสมัยสําคัญ คือ สมัยฟูนัน ทวาราวดี ศรวี ชิ ยั และลพบรุ ี เป็นลําดบั ทาํ ให้วัฒนธรรมและอารยธรรมในภูมภิ าคน้ีรุ่งเรืองถึง ขดี สูงสุด โดยมีศูนย์กลางอยทู่ ี่ลมุ่ แม่น้าํ เจ้าพระยา เมอ่ื ชนชาติไทยอพยพจากจีนลงมาถึงดินแดน แถบนี้ พวกคนไทยที่อย่ฝู ่ังซา้ ยของแม่นํ้าโขง นับว่าค่อนข้างอาภัพอับโชค เพราะบริเวณฝั่งซ้าย ของแมน่ า้ํ โขงซงึ่ พ้ืนที่ส่วนใหญ่เป็นป่าดงนน้ั ไม่มรี ่องรอยแหง่ อารยธรรมสูงส่งใดๆ ให้น่าจดจําเลย พวกคนไทยฝ่งั น้นั จึงอยกู่ นั อย่างสภาพของกลุ่มชนเลก็ ๆ น้อยๆ ท่ีกระจัดกระจายกันไป ซ่ึงผิดกับ ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัตคิ วามสําคญั ของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๑๐๓
พวกคนไทยท่ีข้ามมาฝ่ังขวาของแม่น้ําโขง พวกเขาได้มาพบซากแห่งอารยธรรมท่ีสูงยิ่ง น่ันคือ โบราณสถานและโบราณวัตถุทางพระพุทธศาสนาท้ังแบบเถรวาทและแบบมหายาน และรับเอา อารยธรรมเหล่าน้ีไว้เป็นของตน โดยเฉพาะคนไทยท่ีเดินทางอพยพลงมาถึงลุ่มแม่น้ําเจ้าพระยา ได้รับมรดกทางอารยธรรมจากพวกคนชาวอาณาจักรทวาราวดีได้หมด ทั้งยังได้เปรียบกว่าพวก คนไทยทางฝ่ังซ้ายในด้านทําเลถ่ินทํามาหากินอีกด้วย เป็นเหตุให้ศูนย์อํานาจของชนชาติไทยอยู่ ตรงลมุ่ แมน่ ํา้ เจา้ พระยา เพราะฉะนั้น เมื่อพิจารณาดูวิวัฒนาการทางประวัติศาสตรเช่นนี้ จึงไม่ ต้องสงสัยเลยว่า เหตุไร ชนชาติไทยหลายกลุ่มหลายพวกท่ีอพยพมาสุวรรณภูมิจึงมีแต่ชนชาติ ไทยในลุ่มแม่นํ้าเจ้าพระยาเท่านั้น กลายเป็นชนชาติใหญ่ที่สุด ยิ่งกว่าชนชาติไทยกลุ่มอ่ืนๆ ท้ังหมด ทั้งน้ีเพราะความท่ีลุ่มแม่นํ้าเจ้าพระยาเป็นปฏิรูปปเทศ คือมีความอุดมสมบูรณ์ด้วย แหล่งทรัพยากรและพร้อมพร่ังด้วยร่องรอยอารยธรมซ่ึงเหมาะสมต่อการดํารงชีวิตอยู่ของพวก มนุษย์ผูม้ ีปญั ญาแสวงหาสจั ธรรมแห่งชีวติ นน่ั เอง พระพุทธศาสนาในลมุ แมน้ําปง (สมัยลา นนา) ภาคพายัพหรือตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศไทยในอดีตเป็นท่ีต้ังแห่งราชอาณาจักร ล้านนา (บางคร้ังเขียนว่า ลานนา) อันรุ่งเรืองอุดมไปด้วยต้นนํ้าลําธารและทิวภูเขาสูง ปกคลุม ไปด้วยธรรมชาติอันล้ีลับ ตามบริเวณหุบเขามีที่ราบพอท่ีจะสร้างนครขึ้นเป็นที่อาศัยได้ ชาว พ้ืนเมอื งในภมู ภิ าคน้ีเป็นพวกข่า ตอ่ มามพี วกมอญอพยพเข้ามาต้งั บ้านเมอื ง ในราวพทุ ธศตวรรษ ท่ี ๑๒ พระนางจามเทวี พระราชธิดาแห่งกษัตริย์มอญในอาณาจักรทวาราวดี ได้เสด็จข้ึนมา ครองตามคําเช้ือเชิญของพวกมอญพื้นเมืองที่น่ี พระนางได้นําอารยธรรมแบบทวาราวดีข้ึนมา ด้วย มีท้ังพระพุทธศาสนแบบเถรวาทและศิลปะทุกแขนง ราชธานีอันมีชื่อเสียงแห่งแรกในลุ่ม แม่น้ําปิง คือ หริภุญไชย (จังหวัดลําพูนในปัจจุบัน) ตามตํานานกล่าวว่า ฤาษีวาสุเทพเป็น ผู้สร้างเมืองนี้ พระนางจามเทวีเป็นปฐมขัตติยานีที่ปกครองหริภุญไชย ทรงมีโอรส ๒ พระองค์ คือเจ้ามหันตยศ และอนัตยศ ซ่ึงต่อมาได้ขยายอาณาเขตไปสร้างเมืองใหม่ทางตอนใต้ ได้แก่ เขลางคนคร (จงั หวดั ลําปาง) ซึง่ เมอื งทงั้ สองนเี้ ปน็ รากฐานแหง่ อารยธรรมมอญแบบทวาราวดี พระนางจามเทวี ได้ทรงสร้างวัดไว้ท้ังสี่มุมเมืองหริภุญไชย ทําให้เมืองน้ีมีฐานเป็นจาตุร พทุ ธปราการ (มีพระพทุ ธศาสนาเป็นกาํ แพงเมืองท้ังส่ีทิศ) พระพุทธศาสนาจึงประดิษฐานรุ่งเรือง นับแต่สมัยนี้เป็นต้นไป สําหรับศิลปวัตถุในสมัยล้านนานี้ ปัจจุบัน สามารถดูตัวอย่างได้ท่ีวัด กู่กุดในเมืองลําพูน ซ่ึงเป็นรูปสถูปส่ีเหล่ียม แบ่งเป็นช้ันๆ มีคูหาทุกชั้นทุกด้าน ภายในคูหามี พระพุทธรูปยืนรวมทั้งหมด ๖๐ องค์ ที่ข้างสถูปใหญ่ มีสถูปเล็กอีกองค์หน่ึงซ่ึงมีอายุกว่าพันปี แล้ว เปน็ สญั ลักษณแ์ หง่ อิทธพิ ลของศลิ ปะทวาราวดีในภาคเหนือ ๑๐๔ ประวัติความสําคัญของการเผยแผพระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
ต่อมา ในพุทธศตวรรษท่ี ๑๕ เม่อื พวกขอมแผอ่ านภุ าพจากลุ่มแม่นา้ํ เจ้าพระยาขึ้นไป ได้ มีการปะทะกันระหว่างพวกมอญทีค่ รองเมอื งหริภญุ ไชย กับพวกขอมที่ครองเมืองลพบุรี ปรากฏ วา่ อทิ ธพิ ลของขอมข้นึ ไม่ถึงลุ่มแม่น้ําปิงเลย ฉะนั้น จึงไม่พบศิลปวัตถุแบบขอมในภาคเหนือในท่ี ใดๆ สักแห่งเดียว ในรัชสมัยพระเจ้าอาทิจจราชแห่งลําพูนได้มีการสร้างพระธาตุหริภุญไชย ขึ้นกลางพระนคร ตามตํานานเล่าว่า สถานที่ท่ีสร้างพระธาตุนั้น เดิมเป็นห้องลงพระบังคน หนัก (ถ่ายอุจจาระ) ของพระเจ้าอาทิจจราช ในเวลาท่ีพระองค์กระทําสรีรกิจดังกล่าวทุกคร้ัง จะมีกาตัวหนึ่งถ่ายมูลต้องพระองค์ และขณะที่อ้าพระโอษฐ์ไล่ กาก็ถ่ายมูลลงในพระโอษฐ์พอดี พระองค์จึงทรงหาวิธีจับกาตัวน้ันไว้ แล้วส่งเด็กทารกไปอยู่ใกล้ชิดกับกาจนสามารถรู้ภาษากันได้ เมื่อเด็กน้ันเติบใหญ่ข้ึนจึงเล่าความตามที่กาบอกว่าในบริเวณสถานท่ีทรงบังคนน้ันมีพระบรมธาตุ ฝังอยู่ พระเจ้าอาทิจจราชจึงทําพิธีขุด และได้พบพระธาตุจริงๆ จึงให้สถาปนาสวมพระธาตุน้ัน ในรัชสมัยพระเจา้ อาทิจจราชนี้ พระพทุ ธศาสนาได้เจรญิ รุ่งเรอื งมาก มีการเรียนพระไตรปิฎก อย่างแพร่หลาย และมีการแต่งฉันท์ภาษามคธในราชสํานักด้วย ในรัชสมัยพระเจ้าสรรพสิทธิ พระองค์ได้สละราชสมบัติออกผนวชระยะหนึ่ง และพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทท่ีใช้ภาษาบาลี รกั ษาพระพุทธพจนน์ ี้ได้แพรห่ ลายท่ีอาณาจักรลา้ นนาก่อนท่ีไทยจะติดตอ่ กบั พระสงฆ์ลังกา พระพทุ ธศาสนาสมยั ราชวงศเมง็ ราย (สมัยลา นนานครเชียงใหม) ในพุทธศตวรรษที่ ๑๖ พระเจ้าอนุรุทธมหาราช หรือ อโนรธามังช่อ กษัตริย์แห่ง เมืองพุกามเรืองอํานาจ ทรงปราบรามัญ (มอญ) รวมพม่าเข้าด้วยกันได้หมด แล้วแผ่อาณาเขต เขา้ มาถึงอาณาจักรล้านนา ลานช้าง จรดลพบุรี และทวาราวดี พระองค์ทรงเลื่อมใสศรัทธาใน พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ทรงทํานุบํารุงส่งเสริมและทรงอุปถัมภ์การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ด้วยพระราชศรทั ธาอย่างแรงกลา้ จริงจงั เมื่ออาณาจักรกัมพูชาเรืองอํานาจ คนไทยที่อยู่ในเขตอํานาจขอมก็ได้รับเอาศาสนา และวัฒนธรรมของขอมเข้าไว้ด้วย ส่วนคนไทยที่อยู่ในภาคพายัพหรือตะวันตกเฉียงเหนือ คือ พวกคนไทยในสมัยอาณาจักรล้านนา ก็ได้รับอิทธิพลของขอมน้อยลง และเมื่ออาณาจักรพุกาม ของพมา่ แผ่อทิ ธพิ ลเขา้ มาครอบงํา คนไทยในถ่ินนี้ซึ่งนับถือพระพทุ ธศาสนาสืบกันมาอยู่ก่อนแล้ว ก็ได้น้อมรับนับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทแบบพุกาม โดยได้ช่วยกันทํานุบํารุงส่งเสริมจน เจรญิ รงุ่ เรืองแพรห่ ลายข้ึนไปทวั่ ทั้งภาคเหนอื ดงั มปี ูชนยี สถานสําคัญทางพระพุทธศาสนาปรากฏ เป็นหลักฐานในจังหวัดภาคเหนือของประเทศไทยในปัจจุบัน เช่น ท่ีจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลําพูน เป็นต้น เจดีย์ในภูมิภาคนี้จะมีรูปทรงและลักษณะทรงเดียวกันกับเจดีย์ชะเวดากองใน พม่า มีฉัตรบนเจดีย์และฉัตรทั้งสี่มุม พร้อมท้ังมีอักษรที่จารึกพระธรรมก็มีลักษณะคล้ายกับ อักษรของพุกาม (พมา่ ) แม้แตว่ ัฒนธรรมการแตง่ กายของชนพ้นื เมอื งกค็ ลา้ ยคลึงกัน ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัติความสําคัญของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๑๐๕
ในสมัยเจ้าพระยาเม็งรายครองราชย์ ณ เมืองเชียงใหม่ พระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรือง อย่างมาก เพราะพระองค์ทรงมีพระราชศรัทธาได้ทรงทํานุบํารุงส่งเสริมบูรณะปฏิสังขรณ์ศาสน สถานศาสนวัตถุไว้เป็นมรดกทางพระพุทธศาสนา เช่น ทรงสร้างวัดเชียงม่ัน เป็นต้น ขอนํา เกร็ดพระราชประวตั ขิ องพระองค์ตามที่ทา่ นอาจารยเ์ สถียร โพธนิ นั ทะ เลา่ ไวม้ านาํ เสนอดังน้ี เมื่อชนเผ่าไทยลงมาสู่สุวรรณภูมิ ได้ต้ังนครแห่งแรกท่ีเมืองแถง ได้ส่งราชโอรสจํานวน หลายองค์ด้วยกันออกไปสร้างบ้านแปลงเมืองตามทิศต่างๆ ในบรรดาพระราชโอรสเหล่านั้นมีอยู่ ๒ องค์ที่ควรกล่าวถึง คือ ขุนลอ กับ ขุนไสยผง โดยขุนลอได้มาสร้างอาณาจักลานช้าง คือ ประเทศลาว ในปัจจุบันน้ี มีเมืองสําคัญ คือ เมืองเชียงกง เมืองเชียงทอง (หลวงพระบาง) ส่วน ขุนไสยผง หรือเรียกว่า ไชยพงศ์ ได้เดินทางข้ามแม่น้ําโขงเข้ามาทางลุ่มแม่นํ้าปิง และได้ต้ัง เมอื งเงินยาง (เชยี งแสน) ข้นึ นับเปน็ ปฐมบรรพบรุ ษุ ของคนไทยในประเทศไทย โดยลกู หลาน ของขุนไสยผงบางพวกได้เดินลงมาถึงลุ่มแม่น้ําเจ้าพระยา เป็นต้นสกุลของราชวงศ์สุโขทัยและ อู่ทอง ต่อมา ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ พวกชนเผ่าไทยในภาคต่างๆ ได้เกิดความสํานึกในเรื่อง ชาตินิยม จึงมีความคิดเห็นร่วมกันว่าถึงเวลาที่จะต้องสร้างราชอาณาจักรให้เป็นปึกแผ่น ไม่ใช่ แยกกันเป็นเมืองเล็กเมืองน้อยอยู่อย่างน้ี แล้วได้พร้อมใจกันทํางานสร้างราชอาณาจักรให้เป็น ปกึ แผน่ ราวกบั นดั กนั ไวท้ ุกภาค คือ ทางล่มุ แมน่ ้ําปงิ มีพอ่ ขุนเม็งรายเปน็ หัวหน้า ทางลานช้าง มเี จ้าฟ้างุ้มเป็นหัวหนา้ ทางลุ่มแม่น้าํ เจา้ พระยา มพี ่อขนุ ศรีอินทราทติ ยเ์ ปน็ หัวหน้า ในการทํางานสําคัญนี้ พระเจ้าเม็งราย ซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้าลาวเม็ง กษัตริย์แห่ง นครเงินยาง (เชยี งแสนเก่า) ได้ทรงรวบรวมเผ่าไทยในลานช้างทั้งหมด ยกเว้นอาณาจักรพะเยา ของพระเจา้ งําเมือง ซึ่งเปน็ พระสหายร่วมน้าํ สาบาน เพ่อื ขับไล่อิทธิพลของพวกมอญออกไปจาก ล่มุ แม่นา้ํ ปงิ โดยทําสงครามกับพระเจ้าญบี ากษตั รยิ แ์ ห่งหริภุญไชย แต่เน่ืองด้วยเมืองหริภุญไชย มีปราการม่ันคงแข็งแรงและมีกําลังทัพท่ีกล้าแข็ง พระเจ้าเม็งรายจึงทรงวางอุบายพิชิตศึกอย่าง ชาญฉลาด โดยใช้วิธีเย่ียงอย่างกษัตริย์อินเดียโบราณท่ีได้ส่งวัสสการพรามณ์เข้าไปตีสนิททําลาย ความสามัคคีของพวกเจ้าลิจฉวีแห่งแคว้นวัชชี คือพระองค์ทรงส่งอ้ายฟ้าอํามาตย์ให้ทําทีไป สวามภิ ักด์ิกบั พระเจ้าญบี า แลว้ ใหเ้ ปน็ ไส้ศกึ คอยยุยงราษฎรให้เกลียดชังพระเจ้าญีบา อ้ายฟ้าได้ ทํางานอยู่ ๗ ปี จนเห็นชาวหริภุญไชยต่างแตกสามัคคีกันแล้วก็ส่งข่าวให้พระเจ้าเม็งรายยก กองทัพลงมา พระเจ้าญีบาสู้ไม่ได้ทิ้งเมืองให้อ้ายฟ้าดูแล แล้วเสด็จหนีออกจากหริภุญไชย มุ่งไปสู่ นครเขลางค์ (ลําปาง) พระเจ้าเม็งรายได้ให้กองทัพใช้ธนูไฟยิงเข้าไปในเมืองหริภุญไชย เกิดไฟ ไหม้ทัว่ เมือง ในท่สี ดุ อาณาจักรมอญในลุม่ แม่นาํ้ ปงิ ก็เสียแก่ไทย ฝ่ายพระเจ้าญีบาได้หนีมาพักอยู่ท่ีเชิงเขาชุณหบรรพต ทอดพระเนตรเห็นแสงเพลิงใน เมืองก็เสียพระทัยถึงกับทรงพระกันแสง จึงต่อมา ภูเขานั้นถูกเรียกว่า “ดอยบาไห้” พระองค์ ๑๐๖ ประวัติความสําคญั ของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
ได้เสด็จหนีมาอยู่กับพระยาเบิก โอรสท่ีครองเมืองเขลางค์ แล้วต่อมาก็ยกกองทัพขึ้นไปเพื่อตี เมืองกลบั คืน แต่กถ็ กู ทพั ไทยนําโดยพระเจา้ เม็งรายตรี กุ ไลล่ งมาจนเสยี นครเขลางค์ไปอีก พระเจ้าเม็งรายเม่ือเสด็จเข้าเหยียบเมืองหริภุญไชยแล้ว ทอดพระเนตรดูซากปรักหักพัง จากเพลิงไหม้ ทรงพบวิหารไม้สักหลังหนึ่งท่ีวัดพระธาตุไม่ได้รับอันตรายจากไฟไหม้แต่อย่างใด ก็ทรงแปลกพระทัย ภายหลังจึงทรงทราบว่าภายในวิหารหลังน้ัน ประดิษฐานพระเสตังคมณี (พระแก้วขาว) ซ่ึงเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของหริภุญไชย ซึ่งพระนางจามเทวีได้อัญเชิญ ข้ึนมาจากเมืองละโว้ พระเจ้าเม็งรายทรงเลื่อมใสพระเสตังคมณีมาก เม่ือประทับอยู่ ณ ท่ีใดก็ โปรดให้อัญเชิญไปด้วยทุกครั้ง เมื่อเสร็จศึกสงครามขับไล่มอญแล้ว พระเจ้าเม็งรายได้ทรงแผ่ แสนยานุภาพขยายอาณาเขตไปทางอาณาจักรพะเยา ซึ่งเป็นเมืองของคนไทยด้วยกัน ครั้งน้ัน พระยางําเมือง กษัตรยิ แ์ ห่งพะเยา ยอมสละดนิ แดนบางส่วนให้ ทงั้ สองพระองคจ์ ึงผกู ไมตรเี ปน็ มิตรสหายกนั กลา่ วกันวา่ ทง้ั พระเจ้าเมง็ ราย พอ่ ขุนรามคําแหงแห่งสุโขทัย และพระยางําเมือง ทั้ง สามพระองค์นี้ได้ทรงกรีดดัชนีดื่มพระโลหิตให้สัตย์ปฏิญาณต่อกันว่าจะไม่เป็นศัตรูกันตลอดชีวิต เพราะฉะน้ัน เม่ือเสร็จศึกสงครามขับไล่อิทธิพลมอญเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าเม็งรายทรงปรารภ จะสร้างราชธานีใหม่ ได้ทรงปรึกษากับพระสหายท้ังสอง ทรงเลือกชัยภูมิท่ีเหมาะสมบริเวณเชิง เขาสุเทวบรรพต กําหนดตัวเมืองยาวด้านละ ๒ พันวา บนฝ้ังขวาของแม่น้ําปิง แล้วดําเนินการ สร้างจนเสร็จ ได้ทรงขนานนามราชธานีใหม่ว่า นวปุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ พระเจ้าเม็งราย ภายหลังจากท่ีได้เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรล้านนาไทย ทรง โปรดให้สถาปนาพระตําหนักเดิมขึ้นเป็นวัด ทรงให้ช่ือว่า วัดเชียงมั่น ซ่ึงเป็นวัดท่ีประดิษฐาน พระเสตังคมณี ราชอาณาจักรหริภุญไชยของมอญซึ่งดํารงตั้งม่ันมานานกว่า ๖๗๐ ปี มีกษัตริย์ ปกครองกวา่ ๔๐ พระองคก์ เ็ ป็นอันดับสญู ไปแตค่ รง้ั นน้ั กล่าวในด้านการนับถือพระพุทธศาสนาในสมัยพระเจ้าเม็งราย พระพุทธศาสนาที่คนส่วน ใหญ่นับถือเป็นพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทที่รับมาจากมอญ ศิลปกรรมทางพระพุทธศาสนามี ปฏิมากรรมเปน็ ต้นก็คงรับอทิ ธิพลมาจากศิลปะแบบทวาราวดี นกั ปฏมิ ากรรมรุ่นก่อนได้แบ่งสมัย พระพุทธรูปทางภาคเหนือออกเป็นสมัยเชียงแสนยุคแรกและสมัยเชียงแสนยุคหลัง สมัยเชียง แสนยุคแรก กําหนดระยะเวลาท่ี พ.ศ. ๑๗๐๐ ซ่ึงเป็นสมัยก่อนที่ราชอาณาจักรล้านนาไทยจะ อุบัติข้ึน ถ้าถือตามมติทฤษฎีนี้ ปฏิมากรรมในสมัยพระเจ้าเม็งรายก็ต้องเป็นแบบเชียงแสน แต่ ต่อมามีนักโบราณคดีชาวอเมริกันผู้หนึ่งชื่อ มร. กริสโวลด์ ซ่ึงเป็นผู้เชี่ยวชาญทาง พระพุทธศาสนารูปโบราณของไทย ได้ตั้งทฤษฎีใหม่หักล้างทฤษฎีเก่าอย่างสิ้นเชิง กริสโวลด์ได้ อ่านจารึกบนฐานพระพุทธรูปทางภาคเหนือหลายสิบองค์ เขาได้กล่าวว่าพระพุทธรูปท่ีเช่ือกันว่า ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั ิความสาํ คัญของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา ๑๐๗
เป็นสมัยเชียงแสนนั้นไม่มี พระพุทธรูปเหล่านั้นสร้างในสมัยเชียงใหม่ท้ังส้ิน ถ้าจะมีพระพุทธรูป ท่ีมีอายุเหนือสมัยเชียงใหม่ข้ึนไป ก็จะต้องเป็นพระพุทธรูปแบบศิลปะลําพูน อย่างท่ีปรากฏ ณ ซมุ้ พระเจดยี ์วัดกกู่ ุด ซ่ึงมีอยู่ถึง ๖๐ องค์ อน่งึ มวลสารที่นาํ มาสร้างพระปฏิมาเหล่านี้ก็ต้องเป็น ศิลาแลง มิใช่สําริดสมัยเชียงใหม่ ทฤษฎีความเห็นทั้งสองน้ียังค้านกันอยู่ อน่ึง ตามที่ พงศาวดารเมืองเหนือเล่าไว้ว่า ในรัชกาลพระเจ้าเม็งรายน้ี มีคณะสงฆ์จากลังกาเข้ามา พร้อม ทั้งได้นําหน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์มาถวายด้วย ก็ยังเป็นท่ีสงสัยกันอยู่ในหมู่ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ ซึ่งเมื่อพิจารณาดูพุทธลักษณะของพระเสตังคมณีที่วัดเชียงม่ันแล้ว ก็มองไม่เห็นเค้าศิลปะแบบ ลพบุรีหรือทวาราวดีแต่อย่างใด บางทีองค์เดิมจะสูญหายไปแล้วสร้างขึ้นใหม่ หรือจะเป็นองค์ เดียวกันน้ี แต่แต่งตํานานย้อนหลังไปไกล และที่วัดเชียงมั่นน้ีก็ยังมีพระพุทธรูปศิลปะปาละของ อินเดีย ปางทรมานช้างนาฬาคีรี ซึ่ง แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลศิลปะแบบปาละได้เคยเข้ามา ครอบงําภูมภิ าคแถบน้ี แต่พระพุทธรูปแบบปาละดังกล่าวอาจเป็นปูชนียวัตถุท่ีนักจาริกแสวงบุญ อญั เชิญติดตัวมาก็ได้ พระเจ้าเม็งรายมหาราช เป็นกษัตริย์ไทยที่เจริญพระชนมพรรษายืนยาวมากพระองค์หน่ึง พระองค์ได้เสด็จสวรรคตด้วยอุบัติเหตุถูกฟ้าผ่าสิ้นพระชนม์ในขณะเสด็จประพาสตลาด พระเจ้า ชัยสงคราม พระราชโอรสของพระองค์ได้เสวยราชย์แทน แต่ไม่ประทับเสวยราชย์ท่ีนครพิงค์ เชียงใหม่ ได้เสด็จกลับขึ้นไปครองเมืองเชียงราย ทางเชียงใหม่จึงต้ังพระโอรสที่ช่ือ ท้าวแสนภู ปกครองสบื ตอ่ มา ต่อมา ในรัชสมัยของพระเจ้ากือนา หรือต้ือนา หรือกือนาธรรมิกราช ซ่ึงปกครอง บ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุข พระองค์ทรงสดับกิตติคุณของพระมหาเถระชาวลังการูปหนึ่งช่ือ พระอุทุมพรบุปผามหาสวามี เดินทางมาจําพรรษาที่เมืองนครพัน (เมาะตะมะ) เพื่อเผยแผ่ พระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ พระองค์จึงส่งทรงทูตไปอาราธนาท่านมายังนครเชียงใหม่ แต่ ท่านปฏิเสธว่าชราภาพมากแล้ว ขอส่งพระหลานชายคือพระอานันทเถระและคณะสงฆ์จํานวน หนึ่งมาแทน เมื่อพระอานันท์พร้อมคณะสงฆ์มาถึง พระเจ้ากือนาจึงนิมนต์ให้ท่านเป็นพระ อปุ ัชฌาย์บวชกุลบุตรชาวเชียงใหม่เป็นพระภิกษุในพระพทุ ธศาสนาตามแบบลังกาวงศ์ พระอานันทเถระปฏิเสธ แต่ได้ทูลแนะนําให้ไปนิมนต์พระสุมนเถระหรือพระอโนมทัสสี เถระชาวสุโขทัยมาเป็นพระอุปัชฌาย์เพราะท่านพระอุทุพรเถระได้มอบหน้าท่ีให้ทั้งสองท่านไว้ โดยตวั ทา่ นเองขอทําหน้าทเี่ ป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระเจ้ากือนาจึงส่งทูตลงมาเฝ้าพระเจ้าไสย ลือไทแห่งสุโขทัย เพ่ือทูลขออาราธนาพระสุมนเถระไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาและนําพระบรม สารีริกธาตุไปยังอาณาจักรล้านนา ประมาณ พ.ศ. ๑๙๑๓ ซ่ึงเป็นการเริ่มต้นพระพุทธศาสนา ๑๐๘ ประวตั ิความสาํ คัญของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
แบบลังกาวงศ์ในอาณาจักรล้านนา ครั้งนั้น กษัตริย์เชียงใหม่ได้ลงมารับท่ีเมืองลําพูน ต้ังพิธี รบั ทตี่ าํ บลแสนข้าวห่อ แหพ่ ระสุมนเถระเข้าเมืองลาํ พูน แลว้ นิมนตใ์ ห้จําพรรษา ณ วัดพระยืน พระสุมนเถระได้ทําพิธีผูกพัทธสีมาวัดพระยืน ให้อุปสมบทชาวลําพูน และได้ร่วมกับ พระเจ้ากือนาบูรณะพระสถูปวัดพระยืนใหม่ พร้อมทั้งสร้างพระพุทธรูปยืนอีก ๓ องค์ จารึกวัด พระยืนได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในวันฉลองพระสุมนเถระ เล่าถึงพระบรมธาตุซ่ึงพระสุมนเถระ อัญเชิญมาจากสุโขทัย กระทําปาฎิหาริย์เป็นแสงเคียวรุ้ง ต่อหน้าประชาชนจํานวนหมื่น จารึก หลักน้ีสําคญั ทีส่ ดุ ในทางประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาของภาคเหนือ เมื่อออกพรรษาแล้ว พระเจ้ากือนาได้ทรงอุทิศอุทยานหลวงนอกเมืองเชียงใหม่ให้สร้าง เป็นวัดบุปผาราม (คือ วัดสวนดอก) พร้อมท้ังทรงอาราธนาพระสุมนเถระอยู่ครองวัดน้ี แล้ว ทรงทําพิธีสถาปนาพระสุมนเถระะข้ึนเป็นพระสังฆราชองค์แรกของราชอาณาจักรล้านนา และ โปรดให้สร้างพระเจดยี ว์ ัดสวนดอกบรรจุพระบรมธาตุส่วนหน่ึงซึ่งมีอิทธิพลศิลปะแบบลังกา แล้ว ทรงเสี่ยงช้างอัญเชิญพระบรมธาตุขึ้นไปบนยอดดอยสุเทวบรรพต เม่ือช้างหยุดอยู่ในท่ีนั้น พระองค์จึงโปรดให้สร้างพระสถูปเพ่ือบรรจุพระบรมสารีริกธาตุท่ีอัญเชิญมานั้น (สร้างเสร็จเม่ือปี พ.ศ. ๑๙๒๗) ปจั จุบนั เรยี กว่า พระธาตุดอยสเุ ทพ พระเจ้ากือนาเสด็จสวรรคตขณะมีพระชนมายุ ๔๐ กว่าปี โอรสของพระองค์คือพระเจ้า แสนเมืองมา (พระเจ้าลักขบุราคัม) ได้เสวยราชย์สืบแทน เมื่อเสวยราชย์ใหม่ๆ พระเจ้าอาของ พระองค์ คอื พอ่ ทา้ วมหาพรหม เจ้าเมอื งเชียงราย ได้ยกกองทพั ลงมาลอ้ มเมืองเชยี งใหม่ เพื่อ หวังเอาราชสมบัติ แต่ไม่สําเร็จ ถอยทัพกลับไป ภายหลังพระเจ้าแสนเมืองมายกกองทัพไปตี เมืองเชียงรายได้ พระเจ้าอายอมสวามิภักด์ิพร้อมทั้งถวายพระพุทธสิหิงค์ พระเจ้าแสนเมืองมา จงึ โปรดให้สร้างวดั พระสงิ หข์ ึน้ ในเชียงใหม่ เพ่ือประดษิ ฐานพระพุทธสหิ งิ ค์ พระพุทธศาสนาลังกาวงศ์สู่ล้านนา : ในปลายแผ่นดิพระเจ้าแสนเมืองมา มีพระเถระ ชาวเชียงใหม่หลายรูป ท่ีปรากฏนาม เช่น พระเมธังกร พระคัมภีร์ พระญาณมงคล เป็นต้น พร้อมทั้งพระชาวรามัญ (มอญ) และพระชาวกัมโพช (ขอมหรือเขมร) รวมจํานวน ๒๐ กว่ารูป ได้พากันเดินทางเป็นคณะไปยังลังกาทวีป (ประเทศศรีลังกา) เมื่อเดินทางถึงแล้ว ได้ขอทําพิธี อุปสมบทใหม่ ณ อุทกสีมาในแม่นํ้ากัลยาณีคงคา โดยมีพระธรรมมหาสวามี เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อบวชแล้วได้ถือนิสสัยในสํานักพระวันรัต ไม่ช้าเมืองลังกาเกิดทุพภิกขภัย (ข้าวยากหมากแพง เศรษฐกิจตกตํ่า) คณะพระภิกษุไทยและต่างชาติจึงชวนกันกลับ แต่เน่ืองจากท่านเหล่าน้ันยังมี พรรษาไม่ครบท่ีจะเป็นพระอุปัชฌาย์ตามพระวินัยบัญญัติได้ จึงต้องพาพระเถระชาวลังกาที่มี คุณสมบัติเป็นพระอุปัชฌาย์ได้เดินทางกลับมาด้วย ๒ รูป คือ พระอุตตมปัญญาสวามี กับพระ วิกรมพาหุสวามี เม่ือกลับมาแล้วก็ดําเนินการอุปสมบทให้พวกกุลบุตรชาวล้านนาเป็นพระภิกษุ ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั ิความสาํ คญั ของการเผยแผพระพุทธศาสนา ๑๐๙
แบบลังกาวงศ์ จึงมีคณะสงฆ์แบบลังกาวงศ์ขึ้นใหม่ ซึ่งตั้งข้อรังเกียจวัตรปฏิบัติของคณะสงฆ์ พวกเก่าซ่ึงก็เป็นลังกาวงศ์เหมือนกันมาก่อน คณะสงฆ์ลังกาวงศ์สายน้ีได้เผยแผ่พระพุทธศาสนา ให้เจริญรุ่งเรืองอยู่ในประเทศรามัญ ไทย และกัมพูชา โดยก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองในด้าน การศกึ ษาภาษาบาลีเปน็ อยา่ งมากในครัง้ นัน้ เม่ือพระเจ้าแสนเมืองมาเสด็จสวรรคต พระโอรสของพระองค์คือ พระเจ้าสามฝ่ังแกน ได้เสวยราชย์สืบแทน แต่กษัตริย์พระองค์น้ีไม่เอาพระทัยใส่ในการพระพุทธศาสนาเท่าที่ควร ทรงสร้างวัดเพียงแห่งเดียวคือ วัดมุมเมือง แล้วทรงเที่ยวริบเอากัลปนาท่ีดินหรือสิ่งของท่ีเขา ถวายวัดอ่ืนๆ มาให้วัดมุมเมือง ราษฎรเรียกพระองค์ว่า “ยักขทาส” ต่อมาถูกโอรสของ พระองค์คือ ทา้ วลก จับไปขงั ไว้ แล้วทา้ วลกกข็ ึ้นเสวยราชยเ์ ป็น พระเจ้าติโลกราช พระพุทธศาสนายุคสมัยพระเจาติโลกมหาราช : กษัตริย์ในราชวงศ์เม็งรายท่ีได้รับยก ย่องเป็นมหาราช มีเพียงสองพระองค์เท่าน้ัน คือ พระเจ้าเม็งราย กับ พระเจ้าติโลกราช กล่าวเฉพาะพระเจ้าติโลกราช พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ท่ี ๖ ของพระเจ้าสามฝ่ังแกน แตไ่ ม่เป็นท่โี ปรดปรานของพระบิดานกั เมอ่ื พระบิดาไม่เอาพระทัยใส่ในพระพุทธศาสนาและเป็น ยักขทาสปกครองอย่างไม่เป็นธรรม จึงจับพระบิดาไปคุมขังไว้ทางแคว้นไทยใหญ่ แล้วข้ึนเสวย ราชย์สบื แทนดังกลา่ ว พระเจ้าติโลกราชทรงมีแม่ทัพคู่พระทัยซึ่งมีศักด์ิเป็นพระเจ้าอา คือ หม่ืนด้งนคร เจ้าเมือง ลาํ ปาง ตลอดรัชสมัยของพระองค์ได้ทรงทําสงครามขับเคี่ยวกับราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ใน แผ่นดินพระเจ้าบรมไตรโลกนาถ โดยชิงหัวเมืองปลายแดนต่อแดนกัน ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ หลายคราว พระองค์ทรงชนะศึกชาวฮ่อ และทรงตีได้เมืองน่าน แต่สําหรับเมืองแพร่นั้น เน่ืองจากเจา้ ผู้ครองนครเปน็ สตรชี อื่ ท้าวแมค่ ณุ พระองค์ทรงเห็นว่าถ้าจะเสด็จไปตีเอง จะเสีย เชิงชาย จึงทรงมอบกองทัพให้พระพันปี พระราชมารดาเป็นผู้ยกไป ครั้งน้ัน ทัพเชียงใหม่ไป ล้อมเมืองแพร่อยู่เป็นเวลานาน ในท่ีสุด ท้าวแม่คุณยอมออกมาสวามิภักด์ิกับเมืองเชียงใหม่ พระองคไ์ ด้ขยายอาํ นาจขึ้นไปถงึ เมืองเชยี งรงุ้ เมืองหลวงพระบาง ส่งผลให้อาณาจักรล้านนาไทยมี เขตแดนกว้างใหญ่กว่าทุกสมัย คือ ทิศเหนือ จรดมณฑลยูนานของจีน ทิศใต้ จรดเมือง กาํ แพงเพชร ทศิ ตะวนั ออก จรดรมิ ฝัง่ โขง และทศิ ตะวันตก จรดอาณาจกั รของชาวพม่า สืบเนื่องจากคณะพระสงฆ์จากอาณาจักรล้านนาคณะหน่ึงเดินทางไปอุปสมบทใหม่ท่ีลังกา ศึกษาเล่าเรียนแบบอย่างความประพฤติจากพระเถระชาวลังกาแล้วกลับมายังอาณาจักรล้านนา แล้วได้แยกย้ายกันไปประกาศเผยแผ่พระพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาตามละแวกหัวเมืองต่างๆ ท่ัวกรุงศรีอยุธยา สุโขทัย และเชียงใหม่ ทางเมืองเชียงใหม่ คณะพระสงฆ์ลังกาวงศ์ใหม่นี้ได้ ๑๑๐ ประวัติความสาํ คัญของการเผยแผพระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
เข้ามาในแผ่นดินพระเจ้าแสนเมืองมา พระอัยกาของพระเจ้าติโลกราช ดังกล่าวแล้ว ซ่ึงต่อมา ได้แสดงอาการรังเกียจการประพฤติปฏิบัติของพวกพระสงฆ์ลังกาวงศ์เก่าซ่ึงสืบสายมาแต่พระ สุมนเถระ โดยมีการสืบต่อกันมาตามลําดับ คือ (๑) พระสุมนเถระ (๒) พระกุมารกัสสปเถระ (๓) พระนันทปญั ญาเถระ (๔) พระพทุ ธปญั ญาเถระ (๕) พระพุทธคัมภีรเถระ ทั้งหมดน้ีอยู่ท่ีวัด สวนดอกท้ังนั้น ในสมัยพระพุทธคัมภีรเถระน่ีเอง พวกพระสงฆ์ลังกาวงศ์ใหม่ซึ่งมีพระเมธังกร พระญาณมงคล พระธรรมคัมภรี ์ และมพี ระลังกาคือพระอุตตมปัญญา เป็นแกนนํามีสํานักอยู่ท่ี วัดป่ากวางเชิงดอยสุเทพ ได้ประพฤติวินัยเคร่งครัดกว่าคณะสงฆ์เดิม เช่น ไม่รับเรือกสวนไร่นา ที่มีผู้ถวายเป็นของสงฆ์ จนเกิดกรณีพิพาทขึ้นกับคณะสงฆ์เดิมซึ่งมีสํานักอยู่วัดสวนดอก คร้ังนั้น พวกอํามาตย์เล่ือมใสพวกพระสงฆ์ลังกาวงศ์ใหม่ ขอให้ราชการริบเรือกสวนไร่นาซึ่งเคยถวายแก่ คณะสงฆ์คณะเดิมเสียสิ้น พระเจ้าแสนเมืองมาต้ังกระทู้ถามพวกนั้นว่า “ถ้าหากทางราชการทํา เช่นน้ีแล้ว พวกสูจะสามารถเล้ียงพวกเจ้ากู (พระสงฆ์) ทั้งหมดน้ีหรือไม่” พวกอํามาตย์เหล่าน้ัน ไม่กลา้ รับคํา คร้ังน้ัน คณะสงฆ์ในแคว้นล้านนาจึงแบ่งออกเป็น ๓ นิกาย คือ (๑) นิกายเดิม ซ่ึงสืบ ต่อมาจากพระสุมนเถระ (๒) นิกายเดิม ซ่ึงมีอยู่ก่อนสมัยพระสุมนเถระมาจากสุโขทัย และ (๓) นิกายท่ีไปบวชมาจากประเทศศรีลังกา โดยพระสงฆ์ในนิกายที่สามน้ีนับถือการบวชในนทีสีมา (คอื กําหนดแม่นา้ํ เป็นเขตอุปสมบท) เมื่อจาริกไปประกาศพระศาสนาในท่ีใด มีผู้ประสงค์จะบวช กท็ าํ นทีสมี าข้ึน ณ ที่น้ัน เช่นที่เมืองเชียงใหม่ ทํานทีสีมากลางแม่น้ําปิงหน้าเมือง ที่ลําปาง ทํา นทีสีมาท่ีแม่น้ําวัง หน้าวัดเชียงย่ี ท่ีเมืองเชียงแสน ทํานทีสีมาที่เกาะดอนแท่น กลางแม่นํ้าโขง พระเถระในนิกายลังกาวงศ์ใหม่รูปหน่ึงชื่อ พระโสมจิต ได้นําหลักลัทธินิกายนี้ไปต้ังที่เชียงตุง ใน พ.ศ. ๑๙๙๒ ล่วงมาถึงแผ่นดินพระเจ้าติโลกราช พระองค์ทรงเลื่อมใสคณะสงฆ์สังกาวงศ์ ใหม่ ได้ทรงถวายการอุปถัมภท์ ํานบุ าํ รุงสง่ เสรมิ โดยประการต่างๆ กล่าวเฉพาะท่ีสําคญั คอื (๑) พระองค์ทรงผนวชในคณะสงฆน์ ิกายลงั กาวงศ์ใหม่น้ีเป็นเวลา ๗ วนั (๒) ปี พ.ศ. ๑๙๙๕ พระองค์ทรงโปรดให้ผูกพัทธสีมาวัดป่ากวาง โดยทรงให้ทหารถือ กูฏาวุธยืนเรียงกันแทนราชวัติ พระเมธังกรเป็นผู้ทักนิมิต พระองค์เป็นผู้ตอบ เม่ือพัทธสีมาวัด ปา่ กวางสาํ เรจ็ แล้ว แต่น้ันมากุลบุตรผู้จะอุปสมบทในนิกายนี้ก็มารับอุปสมบทท่ีน่ีแห่งเดียว เป็น อนั เลิกนทสี ีมา และต่อมาพระองคไ์ ด้ทรงสถาปนาพระเมธังกรขึน้ เปน็ สมเดจ็ พระสังฆราช มีนาม ว่า พระอตลุ สากัตตยิ าธิกรณม์ หาสวามี (๓) พ.ศ. ๑๙๙๙ พระอตุ ตมปญั ญาชาวลงั กาได้แสดงอานสิ งสก์ ารปลูกต้นมหาโพธ์ิให้ทรง สดับ พระองค์ทรงเล่ือมใส จึงโปรดให้สร้างวัดใหม่ขึ้นแห่งหนึ่ง ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของ เมืองเชียงใหม่ ประกอบกับพุทธศักราชจวนจะบรรจบครบ ๒๐๐๐ ปี พระองค์จึงทรงเห็นเป็น โอกาสอันดีที่จะบําเพ็ญกุศลฉลองอายุกาลพระพุทธศาสนาไปด้วย ทรงโปรดให้อํามาตย์ชื่อว่า ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัตคิ วามสําคญั ของการเผยแผพระพุทธศาสนา ๑๑๑
หมื่นด้ามพร้าคด เป็นผู้รับสนองงาน โดยโปรดให้เดินทางไปดูเจดียสถานในอินเดียและศรีลังกา เพ่ือจําลองแบบวิหารพุทธคยา โลหปราสาท และรัตนมาลีเจดีย์ นํามาสร้างข้ึนไว้ท่ีวัดใหม่นี้ ซึง่ ทรงใหช้ ื่อวา่ มหาโพธาราม คือ วัดเจดยี ์เจด็ ยอดในปัจจบุ ัน (๔) พ.ศ. ๒๐๐๐ พระองค์ทรงโปรดให้หล่อพระพุทธปฏิมาจํานวนมากเพ่ือเป็นพุทธบูชา ซึ่งมีทั้งแบบผสมและแบบเชียงใหม่แท้ โดยนักโบราณคดีมีสมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ เป็นต้นทรงให้หลักในการพิจารณาไว้ว่า “พระพุทธรูปเชียงแสนก่อนเชียงใหม่ ซ่ึงมีอายุระหว่าง ๑๖๐๐ – ๑๘๐๐ ปี ได้รับอิทธิพลพุทธศิลป์แบบปาละหรือศรีวิชัย พระพุทธลักษณะ คือ รัศมี เป็นบัวตูม พระอุระอวบ สังฆาฏิราวพระถัน ขัดสมาธิเพชร” ต่อมานักโบราณคดีชาวอเมริกัน ชื่อนายกริสโวลด์ ได้รวบรวมพระพุทธรูปทางเมืองเหนือซ่ึงมีจารึกท่ีฐานล้วนสร้างเม่ือ พ.ศ. ๒๐๐๐ ลงมาท้ังน้ัน จึงเชื่อว่าท่ีเรียกว่าศิลปะเชียงแสนนั้น ความจริงสร้างขึ้นในสมัยเชียงใหม่ โดยสร้างกันอย่างแพร่หลายในสมัยพระเจ้าติโลกราชน้ีเอง เพราะเอาแม่พิมพ์มาจากพระพุทธรูป องคห์ นง่ึ ในวิหารพุทธคยาในอินเดยี ซงึ่ มพี ระนามว่าศากยสิงหะ เพราะฉะนั้น นายกริสโวลด์จึง เรยี กพระเชียงแสนทง้ั หมดวา่ เชยี งใหมแ่ บบสิงห์ (๕) พ.ศ. ๒๐๒๐ พระองค์โปรดให้หมื่นด้านพร้าคดขยายส่วนพระสถูปวัดโชติการาม กว้างฐานด้านละ ๕๓ วา สูงสองเส้นเศษ (คือวัดเจดีย์หลวง) แล้วแผ่ทองแดงหุ้มทั้งองค์ อาบ ด้วยน้ําตะกูทองแล้วปิดด้วยทองคําเปลว พระเจดีย์องค์นี้ใหญ่เป็นท่ี ๒ รองจากพระปฐมเจดีย์ นครปฐม เม่ืองสรา้ งสําเร็จแล้ว ทรงโปรดให้อัญเชิญพระแก้วมรกตจากลําปางข้ึนมาประดิษฐาน ณ ซุ้มเจดยี ด์ า้ นตะวนั ออก (๖) พ.ศ. ๒๐๒๐ พระองค์โปรดให้มีการทําอัฏฐมสังคายนา คือการอุปถัมภ์ให้พระสงฆ์ ดําเนินการตรวจชําระพระธรรมวินัยคือพระไตรปิฎกของฝ่ายเถรวาท นับเป็นครั้งท่ี ๘ โดยนับต่อ เนื่องมาจากที่ทําในอินเดีย ๓ ครั้งแรก ทําที่ศรีลังกาครั้งท่ี ๔ และคร้ังท่ี ๕ ทําที่พม่าคร้ังท่ี ๖ และครงั้ ที่ ๗ โดยมีพระธรรมทินนาเถระ เป็นประธานสงฆ์ โปรดให้ทํา ณ วัดมหาโพธาราม สิ้น เวลา ๑ ปี จึงสําเร็จ นับแต่น้ัน การศึกษาพระปริยัติธรรมในภาษาบาลีของพระภิกษุสามเณร ชาวเมืองเหนือในสมัยอาณาจักรล้านนาก็รุ่งเรืองกว่าทางกรุงศรีอยุธยา โดยปรากฏว่าพระเถระ ชาวเชียงใหมส่ ามารถรจนา(แต่ง)ปกรณ์บาลีอธิบายหลักพระพุทธพจน์ได้หลายรูป กล่าวเฉพาะที่ มชี ่อื เสียง เชน่ พระสริ มิ งั คลาจารย์ และพระรัตนปัญญา เป็นต้น (๗) พ.ศ. ๒๐๒๗ พระองค์ทรงโปรดให้หล่อพระพุทธรูปองค์ใหม่ขึ้นท่ีวัดป่าตาล เรียกว่า พระเจ้าแขง้ คม (เพราะพระชงฆ์พระพทุ ธรปู เป็นเหลีย่ ม) ปจั จุบันอยูท่ วี่ ดั ศรเี กดิ พระเจ้าติโลกราชมหาราช ทรงครองราชสมบัติ ณ นครเชียงใหม่ แห่งอาณาจักรล้านนา เป็นเวลา ๔๕ ปี สวรรคต (สิ้นพระชนม์) ขณะพระชนมพรรษา ๗๘ พรรษา ราชสมบัติตกอยู่กับ ๑๑๒ ประวตั คิ วามสาํ คัญของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.
พระราชนดั ดา ทรงพระนามว่า พระเจ้ายอดเชียงราย เพราะพระโอรสของพระองค์คือพ่อท้าว บุญเรืองถูกพระสนมของพระบิดาช่ือนางหอมุกใส่ร้ายจนถูกสําเร็จโทษ อย่างไรก็ตาม กษัตริย์ พระองค์นี้ก็ครองราชย์สมบัติอยู่ในระยะเวลาอันส้ัน พระองค์ทรงทํานุบํารุงพระพุทธศาสนาโดย สร้างวัดตโปทาราม (รํ่าเปิง) เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ก็ถูกพวกขุนนางถอดออกจากราชสมบัติ แล้วยกพระโอรสของพระองคซ์ งึ่ พระสตู ิแตเ่ จา้ แม่โปรง่ นอ้ ย นามว่า พอ่ ท้าวแก้ว ขน้ึ เสวยราชย์ และไดร้ ับการเฉลิมพระนามว่า พระเจา้ ดิลกปนดั ดาธิราช หรอื พระเมอื งแกว้ พระพุทธศาสนาในรชั สมยั พระเมอื งแกว : พระเจ้าดิลกปนดั ดาธิราช หรือพระเมืองแก้ว กษัตริย์พระองค์นี้ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างเอกอุ ตลอดรัชสมัยของพระองค์เม่ือพูด ตามภาษาชาวบา้ นก็ว่า มีแต่เรือ่ งบวชพระกบั สร้างวัดเป็นราชกิจประจําทุกปี พระองค์ทรงโปรด ให้ฟ้ืนเอานทีสีมา (โบสถ์น้ํา) ขึ้นมาใหม่ ทั้งน้ีเน่ืองจากมีพระสงฆ์กลุ่มหน่ึงไปโจทก์ (ฟ้องร้อง) ว่า นิมิตสีมาท่ีวัดป่ากวางนั้นทําไม่ถูก ในการนี้ เพื่อจะให้สิ้นวิมติกังขา (ข้อสงสัย) พระองค์จึงทรง โปรดให้มีการจัดอุปสมบทกุลบุตรด้วยนทีสีมาเป็นพิธีหลวงขึ้น ณ บริเวณเกาะดอนแท่นกลาง แม่น้ําโขงหน้าเมืองเชียงแสนเก่า และพระองค์ได้เสด็จขึ้นไปบําเพ็ญกุศลที่เมืองเชียงแสนเนือง ๆ กลา่ วกันวา่ ในรชั สมยั พระเมืองแก้วน้ี ไดม้ ีพธิ ีบวชนาคหลวงคร้ังใหญ่ ณ เมืองเชียงแสน จํานวน ๑,๒๐๐ กว่ารูป โดยทําพิธีติดต่อกันหลายวัน การบวชนาคหลวงคร้ังใหญ่ในประวัติศาสตร์ชาติ ไทยมี ๓ คร้ัง คือ (๑) สมัยพระเมืองแก้วน้ี (๒) สมัยอยุธยา แผ่นดินพระเจ้าบรมไตรโลกนาถ และ (๓) สมัยรัชกาลปจั จบุ ัน เช่นเม่อื คราวฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ นอกจากน้ี พระเมืองแก้วยังได้ทรงสถาปนาพระสถูปวัดต้นแก้วในเมืองเชียงแสนข้ึนอีก ดว้ ย ในรชั สมยั น้ี ผลแห่งการฟน้ื ฟพู ระพุทธศาสนาทางด้านการศึกษาและการปฏิบัติ ทําให้เกิด ความรู้ความแตกฉานในการแต่งปกรณ์บาลี (คัมภีร์ภาบาลี) ในหมู่ภิกษุชาวล้านนา อันสืบเน่ือง มาแตค่ รง้ั แผ่นดินพระเจา้ ติโลกราช ผ้เู ป็นปรมยั กาธิราชของพระเมอื งแกว้ สําหรับนามพระเถระ ผู้แตง่ ปกรณบ์ าลี สามารถนาํ มาประมวลกลา่ วใหร้ ับทราบผลงานของทา่ นได้ดังน้ี คอื ๑. พระสิริมังคลาจารย์ แต่งปกรณ์บาลีชื่อมังคลัตถทีปนี จักรวาลทีปนี เวสสันตรทีปนี และสังขยปกาสกะ ในปกรณ์บาลีทั้ง ๔ เล่มน้ี มังคลัตถทีปนี ซ่ึงเป็นคัมภีร์อธิบายความหมาย ของมงคล ๓๘ ประการท่ีพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมงคลสูตร แห่งพระไตรปิฎกเล่มท่ี ๒๕ นับว่าเป็น คัมภีร์ที่มีชื่อเสียงในด้านการรวบรวมที่มาท่ีไปซ่ึงแสดงหลักฐานสืบค้นอ้างอิงต่างๆ ท้ังจาก พระไตรปิฎก อรรถกถา-ฎีกาได้กว้างขวางมาก คณะสงฆ์ไทยในปัจจุบันได้กําหนดให้คัมภีร์น้ีเป็น แบบเรียนตามหลกั สตู รการศกึ ษาพระปรยิ ตั ธิ รรม แผนกบาลี ในชนั้ ประโยค ป.ธ. ๔ วิชาแปลมคธ เปน็ ไทย และช้ันประโยค ป.ธ. ๗ วิชาแปลไทยเป็นมคธ ส่วนเวสสันตรทีปนี ก็เป็นคัมภีร์ท่ีควร ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั คิ วามสาํ คัญของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๑๑๓
ค่าแก่การยกย่องว่าเป็นเพชรนํ้าหน่ึงในประเภทสัททศาสตร์ เพราะได้ไขศัพท์บาลีซ่ึงไม่ใช่ศัพท์ ธรรมะทม่ี ีนยั ความหมายอนั ลึกซ้งึ ล้ีลบั ยากแก่การแปลส่อื ความหมายให้รไู้ ด้ง่าย ๒. พระญาณกิตติ ได้แต่งโยชนา (คัมภีร์ประกอบแนวทางการแปล) อภิธรรม ๗ คัมภีร์ และโยชนาอภิธัมมัตถสังคหะ ท่านผู้นี้มีความรู้แตกฉานในสัททศาสตร์และไวยากรณ์ท้ังภาษา บาลแี ละภาษาสันสกฤต ๓. พระรัตนปัญญา ไดแ้ ตง่ ชนิ กาลมาลินี ซึง่ เป็นคัมภีร์ท่ีรวบรวมเรียบเรียงนําเสนอข้อมูล ประวัติศาสตร์พระพทุ ธศาสนาทง้ั ในประเทศศรลี ังกาและราชอาณาจักรไทยโดยสังเขป นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์ท่ีไม่ทราบนามผู้แต่งอีกเล่มหนึ่ง คือ ปัญญาสชาดก ซึ่งเป็นคัมภีร์ เสริมประกอบการศึกษาพระพุทธศาสนา เข้าใจว่าภิกษุชาวล้านนาได้รวบรวมเอานิทานพ้ืนบ้าน ทอ้ งเมอื งมาแต่งสาํ นวนโวหารบาลี นบั ว่าไดอ้ รรถรสดไี มแ่ พป้ กรณ์บาลีของพระเถระชาวลงั กา คร้ันเวลาผ่านไป พระเมืองแก้วก็สวรรคตเพราะเสวยลาบเนื้อม้าดิบ ราชวงศ์เม็งราย เร่ิมต้นเข้าสู่ยุคเสื่อม เพราะเกิดศึกสงครามกับอยุธยาเนืองๆ จนคราวหน่ึงถึงกับหาเจ้านายมา เสวยราชย์ไม่ได้ ต้องไปทูลเชิญพระไชยเชษฐา กษัตริย์ลานช้าง ให้มาเสวยราชย์ท่ีเชียงใหม่ เพราะพระราชมารดาพระไชยเชษฐาเปน็ ขตั ตยิ นารใี นราชวงศเ์ มง็ ราย ซ่ึงอภเิ ษกสมรสกับกษัตริย์ ลานชา้ ง แต่พระเจา้ เชยเชษฐามาครองเมอื งเชียงใหม่อยู่ไม่นาน ก็ทรงทอดทิ้ง พาข้าราชบริวาร ไปอยู่เวียงจันทร์ พระองค์ได้เชิญพระแก้วมรกตไปด้วย ทางเมืองเชียงใหม่จึงต้องเชิญเจ้าหญิง องค์หนึ่งมา คือ พระนางจิรปภาเทวี ในแผ่นดินน้ีเกิดนิมิตสังหรณ์ว่า เอกราชของล้านนาไทย จะต้องวิบัติ คือเกิดแผ่นดินไหวทั่วเมืองเชียงใหม่ พระสถูปวัดเจดีย์หลวงพังทลายลงมา แต่น้ัน มาไม่เคยซ่อมข้ึนอีกเลยจนถึงทุกวันนี้ ต่อมาเมืองเชียงใหม่ก็เสียแก่กรุงศรีอยุธยา แต่ยังมีเชื้อ พระวงศ์เม็งรายเป็นเจ้าประเทศราชครองอยู่จนถึงแผ่นดินพระนางวิสุทธเทวี พระเจ้าบุเรงนอง ยกมาตีเชียงใหม่แตก ต้ังพระราชโอรสข้ึนเป็นกษัตริย์เชียงใหม่ ราชวงศ์เม็งรายจึงได้ดับสูญไป แต่นั้นมา เมืองเชียงใหม่ก็ผลัดกันเป็นเมืองข้ึนของพม่าบ้าง ไทยบ้าง จนกระทั่งสมัยกรุงธนบุรี และต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระยากาวิละ ผู้มีความดีความชอบในการขับไล่พม่าออกจาก ชายแดนไทย พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ จึงโปรดให้สถาปนาพระยา กาวิละขึ้นเป็นพระเจ้าเชียงใหม่ เป็นปฐมวงศ์ราชสกุลเจ้าเจ็ดตนสืบมา จนถึงรัชกาลท่ี ๕ ซ่ึง ทรงยกเลิกระบบเจ้าประเทศราช ทรงกําหนดให้ใช้ระบบสมุหเทศาภิบาล(ผู้ว่าราชการ)แทน จึง ส่งผลให้พวกเช้ือพระวงศ์ทางเมืองเหนือหมดสิทธิในการปกครอง เชียงใหม่จึงรวมเข้าเป็น อาณาจักรเดยี วกบั ไทยภาคกลางนบั แตน่ ้นั มา ๑๑๔ ประวตั ิความสําคญั ของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
ตติยบท พระพุทธศาสนาในสมยั สุโขทยั ภูมปิ ระวัตโิ ดยยอ หลังจากอาณาจักรพุกามและกัมพูชาเสื่อมอํานาจลง คนไทยจึงได้ตั้งตัวเป็นอิสระ ได้ ก่อตั้งอาณาจักรขึ้นเอง ๒ อาณาจักร ได้แก่ อาณาจักรล้านนาทางภาคเหนือของไทย ซึ่งมี ศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ และอาณาจักรสุโขทัย ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ท่ีจังหวัดสุโขทัยใน ปัจจุบัน โดยประมาณปี พ.ศ. ๑๘๐๐ หัวหน้าคนไทยกลุ่มหน่ึง คือ พ่อขุนบางกลางหาว หรือบางแห่งว่า พ่อขุนบางกลางท่าว ได้ประกาศอิสรภาพขับไล่พวกขอมหรือกัมพูชาออกไป แล้วต้ังราชธานีข้ึนที่กรุงสุโขทัย และได้สถาปนาพระองค์ข้ึนเป็นปฐมกษัตริย์ของสยามประเทศ ทรงพระนามวา่ พ่อขุนศรอี ินทราทิตย์ ทางด้านการพระศาสนานั้น ยุคน้ีมีทั้งศาสนาพราหมณ์ พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท และนิกายมหายานซึ่งได้รับมรดกตกทอดมาจากอดีต แต่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ทรงเคารพนับถือ พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทมากท่ีสุด พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก ศิลปะสมัยสุโขทัย ได้รับการกล่าวขานว่างดงามมาก โดยเฉพาะพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย มีลักษณะงดงาม ไม่มี ศลิ ปะสมัยใดเหมอื น พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทแบบลังกาวงศ์ได้เข้ามาเผยแผ่ในประเทศไทยถึง ๒ ครั้ง คือครั้งที่ ๑ ในสมัยพ่อขุนรามคําแหงมหาราช และครั้งที่ ๒ ในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไท กลา่ วคือ ในปีพุทธศักราช ๑๘๒๒ พ่อขุนรามคําแหงมหาราช เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ พระองค์ท่ี ๓ แหง่ กรุงสุโขทัย พระองค์ทรงสดับกิตติศัพท์ของพระมหาเถระชาวลังกาที่มาเผยแผ่ พระพุทธศาสนาอย่ทู ่ีนครศรธี รรมราช (บางแห่งว่า พระสงฆ์จากนครศรีธรรมราชซ่ึงไปร่ําเรียนท่ี ประเทศศรีลังกาแล้วกลบั มา) จึงทรงอาราธนามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในกรุงสุโขทัย ซึ่งต่อมา ได้รับความนิยมมาก คณะสงฆ์สมัยน้ันแบ่งเป็น ๒ คณะ คือ คณะคามวาสี หมายถึงพระสงฆ์ ฝา่ ยคันถธุระหรือศกึ ษาเล่าเรยี นพระปรยิ ัตธิ รรมแล้วนาํ มาเผยแผ่แก่ชาวบ้าน และคณะอรัญวาสี หมายถึงพระสงฆ์ฝ่ายวิปัสสนาธุระหรือฝ่ายท่ีเน้นบําเพ็ญสมาธิ-วิปัสสนากรรมฐาน ชาวสุโขทัยมี ความศรัทธาในพระพทุ ธศาสนามาก ดงั ขอ้ ความในศลิ าจารกึ หลักที่ ๑ ดา้ นที่ ๒ ตอนหนึ่งว่า ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั ิความสําคัญของการเผยแผพระพุทธศาสนา ๑๑๕
\"...คนในสุโขทัยน้ีมักทาน มักทรงศีล มักโอยทาน พ่อขุนรามคําแหงเจ้าเมืองสุโขทัย ทั้งชาวแม่ ชาวเจ้า ท่วยปั่วท่วยนาง ลูกเจ้าลูกขุนทั้งส้ินท้ังหลาย ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ฝูงท่วยมี ศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทรงศีลเม่อื พรรษาทุกคน เม่ือออกพรรษากรานกฐินเดือนหน่ึงจึงแล้ว เม่ือกรานกฐินมีพนมเบ้ีย พนมหมาก มีพนมดอกไม้ มีหมอนน่ังหมอนนอน บริพารกฐินโอย ทานแลญิบลา้ น ไปสวดญัตติกฐนิ ถงึ อรญั ญกิ พนู้ ...\" ในการบรรพชาอุปสมบทนั้น พระสงฆ์คณะเดิม (ท่ีสืบเน่ืองมาจากอาณาจักรทวาราวดี และลพบุรี) นิยมว่าคําบรรพชาอุปสมบทเป็นภาษาสันสกฤต ส่วนพระสงฆ์คณะใหม่ท่ีสืบ เน่อื งมาจากลงั กาวงส์นิยมว่าภาษาบาลีหรอื มคธ แตท่ ้ังพระสงฆ์ทัง้ สองคณะก็เป็นเถรวาทด้วยกัน มาถึงสมัยพ่อขุนรามคําแหง พระสงฆ์ท้ังสองคณะก็ประนีประนอมเข้าด้วยกัน โดยการขอ บรรพชาอุปสมบทก็ให้รับไตรสรณคมน์สองครั้ง คือว่าเป็นภาษาบาลีคร้ังหนึ่ง และว่าเป็นภา สันสกฤตอีกครั้งหนึ่ง เช่น เมื่อว่าโดยสําเนียงมคธ (บาลี) ว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ครั้งหนึ่ง แล้วให้ว่าเป็นสําเนียงสันสกฤตอีกครั้งหนึ่งว่า พุทฺธมฺ สรณมฺ คจฺฉามิ วิธีน้ีได้ถูกยกเลิกไปใน สมัยรัชกาลท่ี ๕ แหง่ กรุงรตั นโกสนิ ทร์ โดยให้วา่ แต่ภาษาบาลอี ย่างเดียว ในปีพุทธศักราช ๑๘๙๗ (บางแห่งว่า ปี พ.ศ. ๑๘๙๐) พระมหาธรรมราชาลิไท ซึ่ง เป็นพระราชนัดดา (หลาน) ของพ่อขุนรามคําแหงมหาราช เสด็จข้ึนครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่ง กรุงสุโขทัย ได้ทรงนิมนต์พระมหาสวามีสังฆราชจากประเทศศรีลังกา นามว่า พระสุมนเถระ เข้ามาสู่กรุงสุโขทัย ทรงสร้างเจดีย์ที่นครชุม (เมืองกําแพงเพชร) ทรงสร้างพระพุทธชินสีห์ พระพุทธชินราชท่ีพิษณุโลก และในปี พ.ศ. ๑๙๐๕ พระองค์ได้เสด็จออกผนวชช่ัวคราว ณ วัด ปา่ มะมว่ ง ในเขตอรญั ญิก กล่าวกนั วา่ ในรัชสมัยของพระองคน์ ัน้ พระพุทธศาสนาในกรุงสุโขทัย ได้เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด เพราะพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกท่ีทรงรอบรู้แตกฉานใน พระไตรปิฎกและภาษาบาลี ทรงค้นคว้าหลักฐานอ้างอิงจากคัมภีร์สําคัญทางพระพุทธศาสนาถึง ๓๔ เร่ืองแล้วประมวลนํามาเป็นพระราชนิพนธ์เร่ือง ไตรภูมิพระร่วง (หรือ เตภูมิกถา) ซึ่งเป็น วรรณคดีพระพุทธศาสนาช้ินแรกของไทยในปี พ.ศ. ๑๘๘๘ ท่ีได้มีอิทธิพลต่อความคิดความเช่ือ และวิถีปฏิบัติของประชาชนท่ัวไปในสมัยนั้นเก่ียวกับเรื่องนรก สวรรค์ และผลแห่งการทําดี และ การทําช่ั นอกจากน้ี ศิลาจารึกหลักที่ ๕ ยังกล่าวไว้ว่า พระเจ้าลิไททรงปรารถนาพุทธภูมิด้วย ดังข้อความว่า \"จุงเป็นพระพุทธ จุงจักเอาฝูงสัตว์ทั้งหลาย(ข้าม)สงสารทุกข์นี้\" เม่ือพระเจ้า แผ่นดินทรงมพี ระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาเช่นน้ี จึงเป็นเหตุให้พสกนิกรทุกหมู่เหล่าถือเป็น แบบอย่าง และส่งผลใหพ้ ระพุทธศาสนามีความเจรญิ มัน่ คง พุทธศาสนิกชนชาวสุโขทัยเคร่งครัด ในพระพุทธศาสนา ยึดม่ันในหลักพระรัตนตรัย น้อมนําหลักธรรมคําสอนอันประเสริฐขององค์ พระสัมมาสมั พุทธเจ้ามาประพฤตปิ ฏบิ ัตใิ นชีวิตประจําวนั อย่างมีความสุขทัว่ ทุกถนิ่ ที่ ๑๑๖ ประวัตคิ วามสําคัญของการเผยแผพระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
ภมู ิประวัตแิ ละสภาพการนบั ถอื พระพทุ ธศาสนาโดยพิสดาร เพื่อให้อนุชนพุทธบริษัทได้รับทราบประวัติความเป็นมาของการก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัย สภาพทางภูมิประเทศ สภาพสังคม และสภาพพุทธศิลปะโบราณสถานทางพระพุทธศาสนา รวมทัง้ เหตกุ ารณ์สําคัญทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัยได้อย่างสมบูรณ์ ขอนําข้อความท่ีท่าน อาจารยเ์ สถียร โพธินันทะ* เล่าไวม้ านําเสนอ ดังตอ่ ไปนี้ “บริเวณลุ่มแม่นํ้ายมและแม่น้ําเจ้าพระยาตอนบน มีเมืองเก่าของขอมหลายเมืองตั้งอยู่ คอื เมืองสุโขทยั เมอื งศรสี ชั นาลยั เมอื งเหล่านพี้ อ่ เมืองเป็นคนไทย แต่ขึ้นกับกษตั ริย์ขอมซง่ึ ไทย เราเรียกว่า ผีฟ้าแห่งยโสธรบุระ (นครธม) พลเมืองส่วนใหญ่ในภูมิภาคน้ีตลอดลงมาจนถึงลุ่ม แม่นํ้าเจ้าพระยาตอนใต้นับถือศาสนาที่เผยแผ่อยู่ในเวลานั้น มีท้ังพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท และแบบมหายาน รวมท้ังศาสนาพราหมณ์ ในตอนต้นแห่งพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เม่ือจักรวรรดิ ขอมเริ่มเสื่อมลง ผู้นําคนไทยในภาคนี้ คือ พ่อขุนบางกลางท่าว และพระสหายของพระองค์ จึงได้ปลดแอกขอม โดยเริ่มต้นยึดเมืองสุโขทัยก่อน โขลญลําพง แม่ทัพขอมสู้ไม่ได้ พระสหาย พ่อขุนบางกลางท่าวเข้าเมืองสุโขทัยได้ก่อน แต่ท่านก็ยอมถวายเมืองให้ขุนบางกลางท่าวและเอา ชอื่ ของตนเองถวายด้วย คือ กมรเต็งอัญศรีบดินทราทติ ย์ โบราณสถานในกรุงสุโขทัยซ่ีงเป็นราชธานีแห่งแรกของไทยภาคกลาง คือกําแพง ล้อมรอบเมอื ง ทา่ นใช้คําวา่ ตรีบูร ๓๔๐๐ วา หมายความว่า มกี ําแพงสามช้ันมีความกว้างยาว เท่าน้ี โบราณสถานท่ีวัดศรีสวายเป็นโบราณสถานก่อนไทยจะมายึดครอง เข้าใจว่าเป็นโบสถ์ พราหมณ์ของพวกขอมมาก่อน ถัดลงมามีวัดสําคัญอีกแห่งหนึ่ง คือ วัดมหาธาตุ กลางเมือง สุโขทัย พระเจดีย์สําคัญของวัดนี้ ปัจจุบันยังเหลืออยู่หลายองค์และมีศิลปะแปลกกว่าพระเจดีย์ อ่ืนๆ ในไทยหรือในต่างประเทศ คือ พระเจดีย์แบบท่ีเรียกว่า พุ่มข้าวบิณฑ์ หรือแบบท่ีเรียกว่า เหมือนพุ่มเทียนพระ เจดีย์ดังกล่าวนี้มีเฉพาะในอาณาเขตอาณาจักรสุโขทัยเท่าน้ัน คือ มีใน สุโขทัย กําแพงเพชร ตาก ไม่เคยมีในจังหวัดอื่นใดอีกเลย แต่น่าประหลาดในจีนมีเจดีย์แบบน้ี เหมือนกนั แต่ก็มีอยู่เพียง ๒ องคเ์ ทา่ นัน้ ใครจะเอาแบบจากใครยังเป็นปัญหาอยู่ แต่อย่างน้อย เป็นการแสดงว่า สมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พระพุทธศาสนาได้ตั้งม่ันในสุโขทัย วัดมหาธาตุ เป็นวัดหลวง มีพระเจดีย์ใหญ่ศลิ ปะงดงามแบบพมุ่ ขา้ วบิณฑ์ เป็นศลิ ปะแบบสุโขทยั แท้ๆ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ชาวบ้านมักเรียกว่า พระร่วง ซ่ึงแปลความหมายมาจากคําว่า ศรีอินทราทิตย์นั่นเอง คําว่า “ร่วง” ไม่ได้หมายถึงร่วงหล่น แต่หมายถึงรุ่งเรืองมีแสงสว่าง ภาษาเก่ารุ่งเรืองมีใช้น้อย เขาใช้ว่ารุ่งโรจน์ ในปกรณ์บาลีชั้นมักผูกศัพท์เรียกว่า โรจนราช บ้าง * เสถียร โพธนิ นั ทะ : ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา ฉบับมขุ ปาฐะ ภาค ๒ (พมิ พ์ พ.ศ. ๒๕๑๕) หน้า ๑๓๔-๑๓๕ ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัตคิ วามสาํ คัญของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๑๑๗
สุรงคราช บ้าง ในช้ันต้นนี้อํานาจของสุโขทัยยังไม่กว้างขวาง ทางตะวันตกมีเมืองตากเป็นเขต ทางเหนือมีกําแพงเพชรเป็นเขต ทางใต้ราวปากนํ้าโพ ทางตะวันออกราวเมืองโคราช เพราะใต้ ปากน้ําโพลงไปเป็นเขตของอาณาจักรไทยอีกแห่งหน่ึงซ่ึงเรียกว่า สุวรรณภูมิ หรืออู่ทอง ส่วน เขตท่ีต่อจากเมืองโคราชยังเป็นแดนของขอมอยู่ และยังมีเมืองสําคัญอีกเมืองหนึ่ง ที่เรียกคู่กับ สุโขทัยทุกครั้ง คือ เมืองศรีสัชนาลัย ซ่ึงแปลว่า เมืองของคนดีอาศัย เมืองน้ีอยู่ทางทิศเหนือ ของกรุงสุโขทัย ประมาณ ๖๐ กิโลเมตร มีโบราณวัตถุท่ีสําคัญคล้ายคลึงกับทางสุโขทัย เช่น วัดเจดีย์เจ็ดแถว โดยวัดนี้มีสถูปแบบพุ่มข้าวบิณฑ์เหมือนกับองค์พระมหาธาตุที่สุโขทัย ฐานะ ของเมอื งศรสี ัชนาลัยในสมยั นั้นกค็ ือ เป็นเมอื งอปุ ราช...” ท่านอาจารย์เสถียร โพธินันทะ ได้เล่าเปรียบเทียบให้เห็นข้อแตกต่างระหว่างศาสนา วฒั นธรรม และศิลปะการกอ่ สร้างในสมยั สโุ ขทยั กับสมยั ขอมปกครอง โดยสรุปดงั น้ี ๑. สมยั ไทยสโุ ขทยั คนไทยส่วนใหญ่เลิกนับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานอย่างขอม ซ่ึงเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ หลังจากท่ีชนชาติไทยในสมัยสุโขทัยนี้ได้รับเอา พระพทุ ธศาสนาฝ่ายเถรวาทแบบลังกาวงศเ์ ข้ามา ก็ไมเ่ คยเปล่ียนไปนับถอื อย่างอืน่ เลย ๒. ระบบการปกครองของขอมใช้แบบลัทธิเทพาวตาร คือพระเจ้าแผ่นดินเป็นพระเจ้า เป็นใหญ่ในโลก ในสมัยไทยสุโขทัยเลิกลัทธินี้ใช้ระบบพ่อเมืองปกครองลูกเมือง กษัตริย์ไม่ใช่ พระเจ้า ข้อนี้เป็นเพราะอิทธิพลของพุทธศาสนาแบบเถรวาท โดยเฉพาะข้อความในพระบาลี ไตรปิฎกคือจักกวัตติสูตรและอัคคัญญสูตรมีอิทธิพลอย่างสูงต่อการปกครองระบบพ่อเมืองนี้ ทํา ใหก้ ษัตริย์ไทยสาํ นึกในหน้าทีใ่ นการบําเพญ็ จักรวรรดวิ ตั รตอ่ ประชาชน ๓. ศิลาจารึกของขอม เร่ิมด้วยการสดุดีพระเจ้า (แบบพราหมณ์) แล้วสดุดีเกียรติคุณ ของกษัตริย์ ลงท้ายด้วยการสาปแช่งศัตรู แต่ศิลาจารึกของไทยสมัยสุโขทัยจะพูดถึงเหตุการณ์ บ้านเมือง เศรษฐกิจและสังคม ไม่มีการสาปแช่งศัตรู ซึ่งเป็นผลจากการปกครองโดยระบบพ่อ เมอื งหรอื พอ่ ปกครองลูก ไมม่ กี ารสาปแชง่ ศตั รู ตรงกันขา้ มมแี ตใ่ หอ้ ภยั ดังตัวอย่างจารึกพ่อขุน รามคาํ แหงต่อไปน้ี “ เมอื่ ช่ัวพ่อขนุ รามคาํ แหง เมืองสุโขทัยนี้ดี ในน้ํามีปลา ในนามีข้าว เจ้าเมืองบ่ อาจกอบในไพรล่ ทู่ าง เพอ่ื นจูงววั ไปค้า ข่ีม้าไปขาย ใครจักใครค่ ้าช้างค้า ใครจักใครค่ า้ ม้าคา้ ใครจกั ใคร่ค้าเงนิ คา้ ทองคา้ ไพร่ฟา้ หนา้ ใส ลกู เจา้ ลูกขนุ ผู้ใดแล้ ลม้ ตายหายกวา่ เหย้าเรือนพ่อเช่ือเสี้อค้ามัน ช้างขลูกเมียเยียข้าว ไพร่ฟ้าข้าไท ป่าหมากป่าพลู พ่อ เช่ือมนั ไวแ้ กล่ กู มนั สนิ้ ไพร่ฟ้าลกู เจา้ ลกู ขนุ ผิแล้ผดิ แผกแสกว้างกว่ากนั สวนดูแทแ้ ล้ จงึ แล่งความแก่ข้าโดยซ่ือ บ่เข้าผู้ลักมักผู้ซ่อน เห็นข้าวท่านบ่ใคร่พิน เห็นสินท่านบ่ใคร เดือด คนใดข่ีช้างมาหา พาเมืองมาสู่ช่วยเหลือเฟ้ือกูมัน บ่มีช้างบ่มีม้า บ่มีป่ัวบ่มีนาง ๑๑๘ ประวตั คิ วามสําคัญของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.
บ่มเี งอื นบม่ ที อง ใหแ้ กม่ ัน ช่วยมันตวงเป็นบ้านเป็นเมือง ได้ข้าเสือกข้าเสือหัวพุ่งหัวรบ ก็ดีบ่ฆ่าตี ” ขอ้ ความในจารกึ ตอนนี้เป็นการตอบปัญหาวา่ เหตุไรไทยจงึ รงุ่ เรืองข้นึ มาได้อย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาไม่ถึง ๕๐ ปี หลังจากพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ประกาศอิสรภาพแล้ว ทั้งนี้ก็เพราะว่า ประเทศราชของขอมอื่นๆ และราษฎรพากันเบื่อหน่ายในการที่ตนต้องแบกภาระต่างๆ เอาไว้ เชน่ การเสยี ภาษีอย่างแรง การถูกเกณฑ์แรงงานไปสร้างปราสาทหิน เป็นต้น ราษฎรเหล่านี้จึง หนั มาออ่ นน้อมต่อราชอาณาจักรสโุ ขทยั อนั สง่ ผลให้จักรวรรดิขอมพงั ทลายลงอย่างไม่คาดฝัน ด้านการสร้างปูชนียวัตถุทางพระพุทธศาสนา ในสมัยสุโขทัยมีการสร้างพระสถูปเจดีย์ ท่ีเป็นศิลปะไทยแท้ๆ คือ พระเจดีย์แบบพุ่มข้าวบิณฑ์ และแบบจอมแห ส่วนที่เลียนแบบจาก ศิลปะของประเทศศรีลังกามาก็มี แต่เปล่ียนแปลงให้เป็นศิลปะของไทย เช่น เจดีย์วัดช้างล้อม เมืองศรีสัชนาลัย ซึ่งมีพระสถูปเจดีย์เก่ามาก่อน พ่อขุนรามคําแหงทรงโปรดให้บูรณะใหม่หมด และสร้างเป็นรปู หัวชา้ งรอบเจดยี ์ฐานท้งั ๔ ด้าน โดยไดแ้ บบมาจากพระเจดีย์ในศรีลงั กา สําหรับการสร้างพระพุทธปฏิมาหรือพระพุทธรูป พุทธศิลป์ในสมัยสุโขทัย แบ่งออกได้ เป็นสามระยะ คือ ระยะที่รุ่งเรืองที่สุด ระยะผสม และระยะเสื่อม ซึ่งกล่าวได้ว่าชาวไทยเป็น ชาติเดียวในโลกท่ีผลิตพระพุทธรูปมากที่สุดและมีพุทธศิลป์ที่งดงามที่สุดในสมัยสุโขทัย และใน สมัยนี้ชาวไทยยังสามารถหล่อพระพุทธปฏิมาขนาดใหญ่กว่าคนหลายเท่าได้เป็นผลสําเร็จอย่าง งดงาม ซ่ึงไม่เคยปรากฏมาก่อนแม้ในสมัยอาณาจักรขอมหรือทวาราวดี และเม่ือเทียบกับ ประเทศอิตาลีซ่ึงเป็นบ่อเกิดแห่งศิลปะ ก็ยังไม่เคยมีการหล่อปฏิมาขนาดใหญ่โตน้ีได้ ตัวอย่าง พระพุทธปฏิมาองค์ใหญ่โต เช่น พระศรีศากยมุนี หน้าตัก ๓ วาเศษ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่ วิหารวัดสทุ ัศนเทพวราราม กรงุ เทพมหานคร ในสมัยสุโขทัย ชาวไทยมักนิยมสร้างพระพุทธปฏิมาเป็นรูปพระสี่อิริยาบถ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน โดยพระพุทธรูปอิริยาบถยืนน้ันที่เป็นสําริดขนาดใหญ่มีน้อย ไม่เหมือนชนิดปูน ปั้น เรียกกันว่าพระอัฏฐารส คือ พระพุทธรูปยืนสูง ๑๘ ศอก ซ่ึงกําหนดความสูงตามความเช่ือ ของคนในครั้งน้ันว่าพระพุทธองค์สูงขนาดนี้ มีปรากฏให้คนในปัจจุบันทัศนาและนมัสการเป็น พุทธบูชาได้ที่วัดมหาธาตุ สุโขทัยเก่า และบนเขาตะพานหิน นอกเมืองสุโขทัย ประเพณีสร้าง พระอฏั ฐารสไดส้ ืบเน่อื งกันตลอดมาทงั้ สมยั ล้านนาไทยและอยุธยา กล่าวได้ว่ามีกําเนิดข้ึนในสมัย สุโขทัยเป็นปฐม พระอัฏฐารสศิลปะสุโขทัยท่ียังสมบูรณ์แบบมากที่สุดเห็นจะได้แก่พระอัฏฐารส ในวิหารวัดสระเกศ กรุงเทพมหานคร ซ่ึงเป็นศิลปะสุโขทัยตอนปลาย เดิมอยู่ในวัดวิหารทอง เมืองพิษณุโลก ต่อมา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๓ โปรดให้อัญเชิญมาไว้ท่ี วัดสระเกศ พระพุทธรูปลีลาดูเหมือนจะเป็นศิลปะพิเศษท่ีชาวไทยสมัยสุโขทัยคิดข้ึน เพราะไม่ ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัตคิ วามสําคัญของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา ๑๑๙
ปรากฏในประเทศท่ีนับถือพระพุทธศาสนาอ่ืนๆ ซึ่งอาจเป็นสัญลักษณ์แห่งความก้าวหน้าของชน ชาติไทยที่ได้เร่ิมตั้งราชอาณาจักรอนั รุ่งโรจนข์ ้นึ จึงมกี ารผลติ พระปางนขี้ ้ึนจํานวนมากย่งิ กว่าปาง พระพุทธรูปอ่ืนใด ทั้งชนิดที่เป็นโลหะปูนป้ันและพระพิมพ์ โดยพระพุทธรูปลีลาองค์งดงามที่สุด ปัจจุบันตั้งอยู่ที่วิหารคต วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร ซ่ึงแบบจําลองของ พระปางน้ีกรมศิลปากรเคยเอาไปตั้งในงานเกี่ยวกับศิลปวัตถุท่ีกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ปรากฏว่าเป็นภาพเดียวที่ดึงดูดให้ผู้คนซึ่งมิใช่พุทธศาสนิกชนเข้าชมวันละหลายร้อยคน แสดงให้ เหน็ ถึงอิทธพิ ลของศิลปะว่าอย่เู หนือชาตแิ ละศาสนาอย่างแทจ้ ริง สําหรับพระพุทธรูปอิริยาบถน่ังก็มีหลายขนาดต้ังแต่ใหญ่ท่ีสุดจนถึงเล็กที่สุด พระปูนปั้น ขนาดใหญ่ เชน่ พระอัจนะ ที่วดั ศรชี มุ ส่วนพระสาํ รดิ ขนาดใหญ่ เช่น พระศากยมนุ ี พระพทุ ธ ชินราช พระพุทธชินสีห์ เป็นต้น แต่ก็ยังมีพระสําริดขนาดใหญ่อีกองค์หน่ึงที่ยังเป็นข้อสงสัย กันอยู่ คือ พระพุทธรูปทอง วัดไตรมิตรวิทยาราม กรุงเทพมหานคร พระองค์น้ีถ้าสํารวจดู จารึกของพ่อขุนรามคําแหงจะพบข้อความระบุไว้ว่า “...ในเมืองสุโขทัยน้ีมีพระพุทธรูปอันใหญ่ มีพระพุทธรูปอันงาม มีพระพุทธรูปทอง มีพระอัฏฐารส” แต่ปัญหาอยู่ท่ีคําว่า ทอง ซ่ึงมี นักโบราณคดีบางท่านอธิบายว่า ได้แก่สําริด (ทองสัมฤทธ์ิ) ไม่ใช่ทองคําแท้ แต่ก็มีอขอคัดค้าน วา่ ในสมยั สโุ ขทยั รจู้ ักคําว่าสําริดกันแลว้ ดงั นั้น หากพระพทุ ธรปู องค์น้เี ป็นเพยี งพระพุทธรูปสําริด ซึง่ มีอยจู่ าํ นวนมาก จารกึ กค็ งระบวุ า่ พระพุทธรูปสําริด ไมใ่ ช่ระบวุ ่าพระพทุ ธรปู ทอง อนึ่ง ก่อน หน้าจะถึงคําว่าพระพุทธรูปทอง จารึกได้ระบุถึงพระพุทธรูปขนาดใหญ่และขนาดกลางไว้ด้วย ซง่ึ เปน็ ทชี่ ดั เจนวา่ พระพทุ ธรปู เหล่านี้จะต้องมีสําริดอยู่ด้วย ฉะน้ัน ทองในคําว่าพระพุทธรูปทอง นไี้ ม่ไดห้ มายถึงทองสาํ ริดแน่ นอกจากนี้ ยังมีจารึกวัดป่ามะม่วงอีกหลักหน่ีงในสมัยพระเจ้าธรรมราชาลิไท ได้ กล่าวถึง พระสุวรรณปฏิมา ซ่ึงประดิษฐานอยู่ที่พระราชมนเทียร จึงเป็นไปได้ว่า พระพุทธรูป ดังกล่าวนี้คือ พระพุทธรูปทองคํา วัดไตรมิตรฯ ในปัจจุบัน สันนิษฐานว่า พ่อขุนรามคําแหงได้ ทรงสร้างพระพทุ ธรปู ทององค์นี้ เพราะรชั สมยั อนั ยาวนานของพระองค์กว่า ๙๐ ปี ราษฎรไทยมี ความสงบสขุ มั่งคั่งด้วยทรัพย์สิน พระองค์จึงได้ทรงอุทิศทองคําส่วนหน่ึง ซ่ึงอาจจะมีราษฎรโดย เสด็จพระราชกุศลด้วยสร้างพระพุทธรูปทององค์นี้ข้ึน มีน้ําหนักถึง ๑ ตัน ซ่ึงไม่ได้หมายถึง ทองคาํ ทัง้ หมด เพราะการหลอ่ โลหะจะต้องมีการผสมส่วน จะหลอ่ ดว้ ยทองคําบรสิ ุทธ์ิล้วนๆ ได้ เฉพาะปฏิมาขนาดเล็ก อีกอย่างหน่ึงพุทธศิล์ปในองค์พระก็เป็นพยานบอกแก่เราว่าพระองค์นี้ เป็นปฏิมากรรมสมัยสุโขทัยตอนต้น เพระพระดัชนีทําไม่เสมอกัน ถ้าเป็นพุทธศิลป์สมัยสุโขทัย ตอนกลางและตอนปลายแล้ว พระดชั นจี ะทําเสมอกนั อย่างชดุ พระพทุ ธชนิ ราชเป็นต้น ๑๒๐ ประวัติความสาํ คัญของการเผยแผพระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
สําหรับพระพุทธรูปอิริยาบถนอน (ไสยาสน์) ในสมัยสุโขทัย มิได้หมายถึงปางปรินิพพาน หรือปางบรรทมธรรมดา แต่เป็นปางทรงทรมานอสุรินทราหูซึ่งมีความอหังการว่าตนเองมีรูปร่าง ใหญ่โตเหลือประมาณ จะมาเฝ้าพระพุทธองค์ซึ่งเป็นมนุษย์ คงเป็นเหมือนพญาช้างเหลือบดูมด พระศาสดาจึงทรงเนรมิตพระองค์แม้แต่ประทับอิริยาบถไสยาสน์ ก็สูงใหญ่ย่ิงกว่าเขาจักรวาล อสรุ นิ ทราหคู รน้ั มาเฝา้ ก็กลายเปน็ มดปลวกเล็กๆ ไป จึงยอมลดทิฐมิ านะ พระพทุ ธรปู ปางนี้เป็น สัญลักษณ์สําคัญสําหรับชาวไทยสมัยสุโขทัย โดยหมายถึงความเก่งกล้าสามารถของชาวไทย ท่ีตั้งราชอาณาจักรข่มความย่ิงใหญ่ของจักรวรรดิขอมได้หมด พระพุทธรูปปางไสยาสน์องค์งาม ท่สี ุดในสมัยสโุ ขทัย ปัจจุบนั ประดิษฐานอยใู่ นวหิ ารวดั บวรนเิ วศวิหาร กรงุ เทพมหานคร ด้านการคณะสงฆ์ในพระพุทธศาสนา : ในสมัยสุโขทัยตอนต้น มีคณะสงฆ์สองคณะ คือ คณะสงฆ์ที่สืบต่อมาจากคณะสงฆ์มอญในอาณาจักรทวาราวดี และคณะสงฆ์ท่ีสืบมาจาก สมยั ลพบรุ ี มที ง้ั เถรวาทและมหายาน พอมาถึงสมยั พ่อขุนรามคําแหงมหาราช พระองค์ทรงส่ง ทูตไปนิมนต์พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์จากนครศรีธรรมราชมายังกรุง สุโขทัย ดังในจารึกของพระองค์ได้พรรณนาความว่า “ในเมืองสุโขทัยนี้มีปู่ครู มีเถระมหาเถระ สังฆราชปราชญ์เรียนจบไตร ฉลาดกว่าปคู่ รูในเมืองน้ี ทุกตนลุกมาแตเ่ มืองนครศรธี รรมราช” สาํ หรับปูมหลงั ของคณะสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเถรวาทแบบลงั กาวงศ์ (นิกายลังกา หรือ ลัทธิลังกา ก็เรียก) น้ีมีกล่าวไว้ว่า ในต้นพุทธศตวรรษท่ี ๑๗ พระเจ้าปรักกมพาหุมหาราช แหง่ ศรีลังกา ไดท้ รงฟ้ืนฟูการพระพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกา ครั้งนั้น พระองค์ทรงโปรดให้ มีการประชมุ พระสงฆแ์ ตง่ คัมภีรฎ์ ีกาเป็นต้น ในคราวนั้นได้มีพระภิกษุชาวพม่า มอญ ทวาราวดี และลพบุรี เดินทางไปศึกษาเล่าเรียนหลักพระพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาน้ีเป็นจํานวนมาก สําหรบั ประเทศไทยน้ันปรากฏวา่ ได้มีพระภกิ ษุสงฆช์ าวไทยท่ไี ปศกึ ษาเลา่ เรียนในประเทศศรีลังกา โดยทําพิธีอุปสมบทใหม่ที่ประเทศศรีลังกาแล้วกลับมาต้ังหลักเผยแผ่ที่เมืองนครศรีธรรมราช พร้อมทั้งชักชวนภิกษุชาวลังกามาอยู่ด้วย ได้ช่วยกันสร้างพระมหาธาตุท่ีนครศรีธรรมราช จึง นับว่าคณะสงฆ์แบบลังกาวงศ์นี้ได้เข้ามาเผยแผ่หลักลัทธิที่เมืองนครศรีธรรมราชเป็นแห่งแรก โดยสมัยน้ันนครศรีธรรมราชเป็นอาณาจักรที่มีชื่อว่า ตามพรลิงค์ พระเถระที่เป็นสังฆปาโมกข์ (ประมุขสงฆ์) ในนิกายลังกานี้ช่ือว่า พระราหุลเถระ เหตุการณ์ดังกล่าวนี้เกิดก่อนอาณาจักร สุโขทัยเป็นราชธานี ประมาณ ๑๐๐ ปี จึงต่อมาถึงรัชสมัยแห่งพ่อขุนรามคําแหง อาณาจักร สุโขทัยได้แผ่อิทธิพลลงไปถึงหัวเมืองมลายู พ่อขุนรามคําแหงได้ทรงรู้ถึงกิตติศัพท์ความสามารถ ในด้านการเผยแผ่พุทธธรรมสร้างศรัทธาแก่ประชาชนได้อย่างม่ันคงของพระสงฆ์นิกายลังกาที่ นครศรีธรรมราช จึงทรงส่งทูตไปอาราธนาท่านเหล่านั้นมาเผยแผ่พระพุทธศาสนานิกายลังกา ณ กรงุ สโุ ขทัยดงั กล่าว นบั แตน่ น้ั มาพระพทุ ธศาสนาฝ่ายเถรวาทแบบลังกาก็ได้รับการยอมรับนับถือ เป็นศาสนาประจําชีวิตของชนชาติไทย เพราะพระสงฆ์ในนิกายนี้กลายเป็นพระสงฆ์คณะใหญ่ ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัตคิ วามสาํ คญั ของการเผยแผพระพุทธศาสนา ๑๒๑
ของอาณาจักรสุโขทัย และเป็นที่นิยมเลื่อมใสของชาวสุโขทัยทั่วไปท้ังผู้สูงศักด์ิและราษฎรสามัญ ส่วนพระพุทธศาสนานิกายเดิมรวมทั้งพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานท่ีมีอยู่ในสุโขทัยครั้งนั้นก็ ค่อยๆ เส่ือมความนิยมไป อน่ึง พระสงฆ์ในคณะท่ีมาจากนครศรีธรรมราชซึ่งสืบเนื่องมาจาก ลังกาวงศ์น้ีนิยมอยู่ในเสนาสนะป่า เพราะในประเทศศรีลังกามีป่ามาก เม่ือมาอยู่ในสุโขทัย ก็ นิยมอย่ปู า่ พอ่ ขนุ รามคําแหงจงึ ทรงโปรดให้สร้างวดั ในปา่ ถวาย จงึ เกิดเป็น คณะอรัญวาสี ข้ึน ส่วนพระสงฆ์ท่ีตั้งวัดอยู่ในบ้านหรือใกล้เมืองเรียกว่า คณะคามวาสี วัดป่าท่ีต้ังอยู่รอบกรุง สุโขทยั ในสมัยน้นั เชน่ วัดปา่ มะมว่ ง วดั สะพานหนิ วัดเขาพระบาทนอ้ ย เป็นตน้ ผลสัมฤทธ์ิจากการนับถือพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ : เมื่อพระพุทธศาสนาฝ่าย มหายานได้เสื่อมลงจนสูญไปจากกรุงสุโขทัย ชนชาวสยามประเทศในเวลานั้นต่างพากันนับถือ พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทแบบลังกาวงศ์นิกายเดียว ซ่ึงมีอิทธิพลก่อให้เกิดผลสัมฤธ์ิเป็น ความสาํ เร็จท่ีน่ายกย่องต่อการพระพุทธศาสนาในประเทศไทยท้ังในด้านการศึกษาสงฆ์ หรือการ เรียนภาษาบาลี การกําหนดสมณศักดิ์สงฆ์ การปกครองสงฆ์ และด้านศาสนประเพณี รวมถึง ดา้ นศลิ ปกรรมทางพระพทุ ธศาสนาอ่ืนๆ อีกดว้ ย โดยสรุปกล่าวแตล่ ะดา้ นดังต่อไปนี้ ๑. ด้านการศึกษาสงฆ์ ทําให้คณะสงฆ์ไทยได้รับคัมภีร์สําคัญทางพระพุทธศาสนา ฉบับภาษาบาลี อักษรสิงหล (อักษรของชาติลังกา) จากประเทศศรีลังกามาไว้เป็นหลักใน การศกึ ษาเล่าเรยี นหลักพระบาลีพุทธพจน์อย่างครบถว้ นสมบรู ณ์ ซงึ่ มที ้ังคัมภีร์พระไตรปิฎก อัน เป็นหลักฐานอา้ งองิ หลักพระพุทธพจน์ชนั้ ท่ี ๑ และคมั ภรี อ์ รรถกถาพร้อมท้ังคัมภีร์ฎีกา (คือคัมภีร์ ขยายความหมายแห่งพระพุทธพจน์ในพระไตรปิฎก เป็นหลักฐานอ้างอิงชั้นรองลงมา) แม้ว่าก่อน หน้าน้ี ในสมัยทวาราวดี จะปรากฏว่ามีคัมภีร์พระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาทเป็นหลักฐานให้พระสงฆ์ ได้ศึกษาพระธรรมวินัยอยู่บ้างแล้ว แต่ด้วยระยะเวลาอันยาวนานและเปลี่ยนผ่านยุคสมัย อาจ ทําให้คัมภีร์พระไตรปิฎกน้ันมีความตกหล่นหรือสูญหายไปบ้างเป็นบางเล่ม ดังนั้น เม่ือได้รับ คัมภีร์สําคัญของพระพุทธศาสนาอย่างครบถ้วนจากคณะสงฆ์ลังกาในสมัยต้นสุโขทัย พระภิกษุ สามเณรชาวไทยจึงทุ่มเทให้ความสนใจศึกษาค้นคว้าหลักพระบาลีพุทธพจน์จากคัมภีร์เหล่านั้น อย่างขะมักเขม้น เป็นเหตุให้การศึกษาภาษาบาลีในสมัยนั้นมีความเข้มแข็งเป็นไปอย่างเข้มข้น โดย พระสงฆไ์ ทยสามารถออกเสยี งสวดพระพทุ ธมนตภ์ าษาบาลไี ด้ชดั ถ้อยชัดคําตามสําเนียงมคธ แบบพระเถระชาวลังกามากทสี่ ดุ ยิง่ กวา่ ชนชาติอ่ืนๆ ในสมยั นนั้ คัมภีร์สําคัญทางพระพุทธศาสนาท่ีได้รับมาจากประเทศศรีลังกาในยุคแรกน้ัน ฉบับเดิม เป็นบาลีอักษรสิงหล ต่อมาได้มีการประชุมคณะกรรมการดําเนินการปริวรรตคือถ่ายอักษรสิงหล เปน็ อกั ษรขอม จึงเปน็ เหตุใหอ้ นชุ นรนุ่ หลังต้ังข้อสงสัยวา่ เหตุใดจงึ ไม่ใชอ้ ักษรไทย ซง่ึ ในครง้ั นั้น พอ่ ขุนรามคําแหงได้ทรงประดิษฐอ์ ักษรไทยเปน็ แบบเฉพาะข้ึนแลว้ ทา่ นผ้รู ู้จึงแกข้ ้อสงสัยน้ันดังน้ี ๑๒๒ ประวัติความสาํ คัญของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.
อันท่ีจริง ตัวหนังสือไทยมีมาก่อนท่ีพ่อขุนรามคําแหงจะทรงประดิษฐ์ขึ้นแล้ว เช่น อักษรไทยล้ือ ในแคว้นยูนานเป็นตน้ พ่อขนุ รามคาํ แหงเพียงแต่ดดั แปลงอักษรไทยเดมิ เหตุที่ใช้ตัวอักษรขอมก็ เพราะพระไตรปิฎกฉบับเดิมเป็นของพวกขอมในสมัยลพบุรี ซึ่งได้ใช้อักษรขอมจารึกแพร่หลาย แล้ว อกี ทงั้ อักษรไทยทพ่ี ่อขุนรามคาํ แหงประดิษฐข์ นึ้ น้ัน มีพยัญชนะไม่พอเขียนคําบาลีมคธ จึง ตกลงให้ใชอ้ กั ษรขอมเปน็ หลักในการจารึกเปน็ เบื้องตน้ กอ่ น ๒. ดา้ นการกาํ หนดสมณศกั ดิ์สงฆ์ พระพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์ได้มีอิทธิพลต่อการ ทาํ ให้เกดิ สมณศกั ด์ิ (ลําดับชั้นยศพระสงฆ์) ขึ้นในประเทศไทย ซึ่งแม้แต่ในประเทศอินเดียก็ยังไม่ เคยมี ศรีลังกาเป็นประเทศแรกที่กําหนดให้มีสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา โดยใน เบ้ืองต้น ได้กําหนดให้มี ๒ ตําแหน่ง คือ ตําแหน่งสวามี และตําแหน่งมหาสวามี ส่วนชื่อ สมณศักด์ินั้นกําหนดให้แตกต่างออกไปตามเกียรติคุณของพระเถระผู้ได้รับ คติแนวทาง ข้อกําหนดเร่ืองสมณศักดิ์ของศรีลังกานี้พอมาถึงสุโขทัยเข้า พระสงฆ์และชาวพุทธไทยได้ ปรับปรุงสมณศักดิ์เทียบด้วยยศของพวกพราหมณ์ในทางโลก จึงเกิดทําเนียบสมณศักด์ิข้ึนเป็น คร้ังแรก จัดตามลําดับ คือ (๑) ครูบา (๒) เถระ (๓) มหาเถระ (๔) สังฆราช (สังฆราชา เทยี บตําแหน่งมหาสวามี) (๕) สงั ฆปริณายกสทิ ธิ ๓. ด้านการปกครองสงฆ์ ในสมัยกรุงสโุ ขทยั การคณะสงฆไ์ ดแ้ บง่ การบริหารปกครอง ออกเป็น คณะคามวาสี กับคณะอรัญญวาสี โดยคณะคามวาสี มีพระสังฆราชญาณรูจีมหาเถระ เปน็ เจ้าคณะ สว่ นคณะอรัญวาสี มเี พระบรมครตู ิโลกดิลกตริ ตั นสลี คนั ธวนวาสีธรรมกติ ติสงั ฆราช มหาสวามี เปน็ เจ้าคณะ (ตําราวา่ ยงั มอี ีกคณะหนึง่ เรยี กว่า คณะพระรปู แตไ่ ม่มีขอ้ มลู ชัดเจน) ๔. ด้านศาสนประเพณี คนไทยในสมัยสุโขทัยได้ยึดมั่นศรัทธาในหลักพระพุทธศาสนา เป็นอย่างมาก จึงนําคติธรรมหรือพิธีกรรมต่างๆ ท่ีเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาไปปรับใช้ให้เป็น ประโยชน์ในการดํารงชีวิตประจําวัน จนเกิดเป็นวิถีพุทธคือวิถีไทย ดังเช่นในศิลาจารึกของพ่อ ขุนรามคําแหง ได้พรรณนาถึงสภาพความเป็นคนดีมีศีลธรรมที่ยึดมั่นในหลักพระธรรมคําสอน ทางพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัดของชาวสุโขทัยและประเพณีทางพระพุทธศาสนา มีข้อความ ว่า “คนในเมืองสุโขทัยน้ีมักทาน มักทรงศีล มักโอยทาน พ่อขุนรามคําแหงเจ้าเมืองสุโขทัย ท้ังชาวแม่ชาวเจ้า ท่วยปั่วท่วยนาง ลูกเจ้าลูกขุนทั้งสิ้นท้ังหลาย ท้ังผู้ชายผู้หญิง ฝูงท่วยมี ศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทรงศีลเม่ือพรรษาทุกคน เม่ือออกพรรษา กรานกฐินเดือนหน่ึงจึง แล้ว เม่ือกรานกฐินมีพนมเบ้ียพนมหมากมีพนมดอกไม้ มีหมอนน่ังหมอนนอน บริพารกฐิน โอยทานแล่ปีแลญิบล้าน ไปสวดญัตติกฐินถึงอรัญญิกพู้น ... ใครจะมักเล่น เล่น ใครจะมักหัว หัว (หัวเราะ) ใครจะมักเล่ือน เล่ือน เมืองสุโขทัยน้ีมีสี่ปากประตูหลวง เทียนญอมคนเสียดกัน เข้าดทู ่านเผาเทียน เลน่ ไฟ เมอื งสุโขทยั น้มี ีดังจะแตก” ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัตคิ วามสําคญั ของการเผยแผพระพุทธศาสนา ๑๒๓
การท่ีชาวสุโขทัยเคร่งครัดในพระพุทธศาสนา ซ่ึงตรงกันข้ามกับข้อกล่าวหาของคนบาง คนท่ีว่านับถือศาสนาพุทธ ทําให้ข้ีเกียจ เพราะในจารึกพ่อขุนรามพรรณนาต่อไปว่า “...แต่คน ในเมืองสุโขทัยนี้ด้วยรู้ด้วยหรวก (ฉลาด) ด้วยกล้าด้วยหาญ ด้วยแคะด้วยแรง หาคนเสมอมิได้” เพราะฉะน้ัน เมื่อประชาชนขยันขันแข็งทํามาหากิน จึงเป็นเหตุให้สุโขทัย....มีวิหาร มีปู่ครู มี ทะเลหลวง มปี า่ หมาก ป่าพลู มไี ร่ มนี า มีถน่ิ ฐาน มบี ้านใหญ่บา้ นเล็ก มปี ่าม่วงปา่ ขามดูงาม ดงั แกล้ง” ๕. เพราะคนในสมัยสุโขทัยได้เคารพนับถือปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนากันอย่าง เครง่ ครดั ดังนั้น ในสมัยกรุงสุโขทัยเปน็ ราชธานี จึงไมม่ ีการคา้ ทาสกดขม่ี นษุ ย์ด้วยกนั แตอ่ ยา่ ง ใดเลย ระบบทาสเพ่ิงจะเริ่มในสมัยอยุธยา เพราะได้แบบอย่างมาจากสังคมขอมหรือเขมร ซ่ึง ถอื วา่ กษัตริยเ์ ป็นเทพาวตารตามคตศิ าสนาพราหมณ์ แตใ่ นสมัยสุโขทัย กษัตริย์ทรงเป็นพ่อเมือง ปกครองราษฎรเหมือนพ่อปกครองลูก ราษฎรทุกคนจึงเป็นดุจลูกของพระองค์เสมอกันหมด และแม้แต่คนท่ีเป็นทาสจากถิ่นอ่ืน เม่ือหนีมาอยู่ในอาณาจักรสุโขทัย ก็จะได้รับอิสระไม่ถูกตาม จับ ดังเช่นในสมัยพระเจ้าอู่ทองแห่งอยุธยา เคยมีกรณีที่ทาสหนีไปสู่เมืองในอาณาจักรสุโขทัย เจ้านายของทาสได้ขอให้ทางการอยุธยาไปติดตามจับ พระเจ้าอู่ทองรับส่ังว่า “แม้แต่ขายกันใน กรุงอยุธยายังบังคับเรียกค่าไถ่ ไล่เบ้ียกันยาก ท่ีหนีไปถึงแดนสุโขทัยใต้หล้าฟ้าเขียว จักทําเอา อย่างเช่น เพชรบุรี ราชบุรี สุพรรณ บ่ชอบเลย ทาสท่ีหนีไปสู่อาณาจักรสุโขทัย จะได้รับ อิสระ รัฐบาลสุโขทัยจะมอบทุนทรัพย์ทํากินให้” แม้ในสมัยพระเจ้าไสยลือไท ครองกรุงสุโขทัย เมอ่ื กรุงสโุ ขทัยตกเปน็ ประเทศราชของอยธุ ยาแล้ว ถึงกระน้ันทางการสโุ ขทยั กย็ ังถือเป็นกฎหมาย ว่า “ทาสเชลยใดท่ีหนีมามีกําหนดระยะเวลา ถ้าไม่มีเจ้าทาสตามมา พ้นระยะกําหนดแล้ว ก็ จะเปน็ อสิ รชนทนั ที” ๖. เนื่องจากกษัตริย์สุโขทัยทรงปกครองอาณาประชาราษฎร์ดุจบิดาปกครองบุตร (ตั้ง พระองคเ์ ปน็ พอ่ ) ทรงใกลช้ ดิ กบั ราษฎรผเู้ ปรียบเสมือนบุตรอยู่เสมอ ทรงนําหลักการดําเนินชีวิต ที่แฝงไว้ด้วยหลักธรรมทางพระศาสนามาตรัสสอนราษฎรอยู่เสมอ จึงได้เกิดสุภาษิตสอนราษฎร เช่นพ่อสอนลูก เรียกว่า สุภาษิตพระร่วง ที่ลึกซึ้งกินใจเป็นคําคมอมตพจน์ที่คนในปัจจุบัน สามารถนํามาใช้ในชีวิตประจําวันได้เป็นอย่างดี ดังตัวอย่าง เช่น “อาสาเจ้าจนตัวตาย อาสา นายจนพอแรง ปลูกไมตรีอย่ารู้ร้าง สร้างกุศลอย่ารู้โรย อย่าขูดคนด้วยปาก อย่าถากคน ด้วยตา อย่าแผ่เผ่ือความผิด อย่าผูกมิตรคนจร อย่ารักเหากว่าผม อย่ารักลมกว่าน้ํา อย่า รักถ้าํ กวา่ เรอื น อย่ารักเดือนกว่าตะวัน” เปน็ ต้น ๗. อิทธิพลทางด้านพุทธศิลปะ เพราะนับถือพระพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์ ดังน้ัน พุทธศาสนิกชนคนไทยในสมัยสุโขทัยจึงได้รับพระพุทธสิหิงค์มาจากศรีลังกา ซ่ึงเป็นแม่แบบของ ๑๒๔ ประวตั คิ วามสําคัญของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.
พระพุทธรูปสุโขทัยท่ีถือว่าเป็นแบบพระพุทธรูปที่สวยงามมากมาจนถึงบัดน้ี พระพุทธรูปใน อาณาจกั รไทยกอ่ นหน้านที้ ุกยุคทุกสมัยไม่เคยมีเปลวรัศมีสูง เพิ่งจะมีขึ้นคร้ังแรกในสมัยสุโขทัยน้ี เอง แม้แต่สังฆาฏิของพระพุทธรูปในสมัยก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็นแฉกชนิดท่ีเรียกว่าเขี้ยวตะขาบ แต่สังฆาฏิของพระพุทธรูปแบบสุโขทัยกลับสร้างมีแฉกชนิดนั้น พุทธเจดีย์แบบลอมฟางซ่ึงถ่าย แบบมาจากพุทธเจดยี ใ์ นประเทศศรีลังกา พวกชาวพุทธไทยสมัยสุโขทัยก็ได้พากันสร้างขึ้นไว้เป็น มรดกทางพระพทุ ธศาสนา เชน่ พระมหาธาตุ วดั ชา้ งร้อง เมืองชะเลยี ง คณะสงฆ์นิกายอุทุมพร : ในรัชสมัยพระเจ้าเลอไท พระโอรสของพ่อขุนรามคําแหง ได้เกิดคณะสงฆ์ลังกาวงศ์ชุดที่ ๒ ข้ึน เน่ืองจากพระคณาจารย์ชาวลังการูปหน่ึง ชื่อพระมติมา ไดเ้ ขา้ มาบวชเรียนในสํานักของพระอุทุมพรเถระ ซ่ึงได้รับการยกย่องนับถือกันว่าเป็นพระเถระ ท่ีมีวัตรปฏิบัติเคร่งครัดที่สุดในประเทศศรีลังกา หลังจากนั้น พระมติมารูปนี้ได้เดินทางตั้ง สํานักเผยแผ่หลักปฏิบัติพระพุทธศาสนาตามแบบอย่างพระอุทุมพรเถระในเมืองนครพัน เข้าใจ วา่ เปน็ เมืองเมาะตะมะ ในสมัยพระสตุ โสมเป็นพ่อเมือง ชาวเมืองนครพันมีความศรัทธาเลื่อมใส จึงพร้อมใจกันประกอบพิธีถวายสมณศักด์ิท่านข้ึนเป็น พระอุทุมพรบุปผามหาสวามี ครั้งนั้น มีพระเถระชาวสุโขทัย ๒ รูป ชื่อพระสุมนะ และพระอโนมทัสสี ซึ่งเป็นศิษย์ของพระสังฆราช ปัพพตะ ได้ยินกิตติศัพท์ จึงเดินทางไปขออยู่เป็นศิษย์ ท่านพระอุทุมพรฯ (พระมติมา) ได้ให้ พระเถระทั้งสองสึกและรับอุปสมบทใหม่ แล้วให้อยู่ศึกษาเล่าเรียนกับท่านจนจบครบ ๕ พรรษา หลังจากน้ัน พระเถระทั้งสองก็ลากลับมายังกรุงสุโขทัย ต่อมาอีก ๕ ปี พระเถระท้ัง สองได้นําพระเถระชาวไทย ๘ รปู คือ พระอานนท์ พระพุทธศาสตร์ พระสชุ าตะ พระเขมะ พระ ปิยทัสสี พระสุวัณณคิรี พระเวสสภู และพระสัทธาติสสะ ไปขออุปสมบทใหม่เพื่อศึกษาเล่า เรียนหลักลัทธิกับท่านพระอุทุมพรฯ ท่ีเมืองเมาะตะมะ แต่ท่านพระอุทุมพรฯ ได้มอบหมายให้ พระสุมนะ พระอโนมทัสสี ทําหน้าที่เป็นพระอุปัชฌาย์อุปสมบทใหม่ให้ท่านทั้ง ๘ รูปน้ัน แล้ว ไ ด้ ก ล่ า ว ว า จ า ปกาศิตว่า “อาวุโสท้ังหลาย ศาสนาอันกูนํามาแต่ลังกาทวีปนั้น จักไม่มั่นคงในเมืองเม็งนีนา จักไปตั้งมั่นอยู่ในเมืองสูโพ้นต่อเท่า ๕ พันปีแล” เพราะฉะน้ัน เมื่อพระสงฆ์คณะนี้กลับสู่ สุโขทัยแล้วจึงได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทตามแบบลัทธิลังกาวงศ์ใหม่ หรือเรียกอีก อยา่ งหนง่ึ ว่า นกิ ายอทุ มุ พร ตามชอ่ื พระเถระผู้เป็นต้นเดิมคือพระอุทุมพรบุปผามหาสวามี จน แพรห่ ลายออกไปทัว่ กระทงั่ ถึงอาณาจกั รล้านนาไทยและลานชา้ ง พระมหาธรรมราชาลิไทกับการอุปถัมภพระพทุ ธศาสนา พระมหาธรรมราชาลิไท หรือ พระเจ้าลิไท กษัตริย์แห่งกรุงสุทัยพระองค์นี้ปรากฏใน จารึกอักษรขอม เรยี กวา่ กมรเต็งอัญศรีสุริยพงษ์รามมหาธรรมราชา เสด็จข้ึนครองราชย์ในปี ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัติความสําคัญของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา ๑๒๕
พระองค์ทรงเป็นพุทธมามกกษัตริย์ผู้ทรงมีพระราชศรัทธาอันประเสริฐใน พระพุทธศาสนา ทรงกระทําพระองค์ให้เป็นแบบอย่างที่ดีในการปฏิบัติหน้าที่ชาวพุทธด้วย การศึกษา ปฏิบัติ เผยแผ่ และอุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา ได้ทรงบําเพ็ญพระราชกุศล เย่ียงกษัตริย์พุทธมามกชนต้นแบบในครั้งพุทธกาลอย่างยิ่งใหญ่ทั้งในด้านการอุปถัมภ์คณะสงฆ์ การทํานุบํารุงส่งเสริมและพัฒนากิจการพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองทุกด้าน จึงกล่าวได้ว่า พระพทุ ธศาสนาในสมยั สุโขทยั ถึงความเจริญรุง่ เรืองที่สุดในรชั สมัยของพระมหาธรรมราชาลิไท พระราชกรณียกิจในด้านการอุปถัมภ์ทํานุบํารุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง ของพระมหาธรรมราชาลิไท สามารถจําแนกกลา่ วเปน็ หัวข้อได้ดังต่อไปนี้ ๑. การศึกษาและเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา ในสมยั ที่ยังเปน็ พระราชบุตรผู้ทรงพระเยาว์ พระองค์ได้ทรงสนพระทัยในการศึกษาภาษามคธ (บาลี) และคัมภีร์พระไตรปิฎกกับคณาจารย์ ผู้มีชื่อเสียงในสมัยน้ัน ดังปรากฏนาม เช่น พระอโนมทัสสี พระสารีบุตร และอุปเสนราชบัณฑิต เป็นต้น จนเชยี่ วชาญแตกฉานในหลักพระพุทธศาสนาถึงข้ันทรงพระปรีชาสามารถพระราชนิพนธ์ หนังสือเร่ือง เตภูมิกถา ซึ่งเป็นวรรณคดีพระพุทธศาสนาเล่มแรกในภาษาไทยท่ีคนไทยเขียนข้ึน (ต่อมา เม่ือ พ.ศ. ๒๔๕๕ สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ทรงเปล่ียนเป็นชื่อว่า ไตรภูมิ พระร่วง เพ่ือให้เข้าคู่กับสุภาษิตพระร่วง) จึงนับว่าพระเจ้าลิไททรงเป็นกษัตริย์ไทยพระองค์แรก ที่ทรงศึกษาพระพุทธศาสนาจนถึงกับทรงพระราชนิพนธ์หนังสือเพ่ือการเผยแผ่หลักศีลธรรมทาง พระพุทธศาสนาแก่คนทั่วไปได้ โดยในคํานําบานแผนก (สารบัญ) ของหนังสือน้ี พระองค์ได้ทรง อ้างถึงตํารับตําราท่ีใช้เรียบเรียง ซ่ึงล้วนแต่เป็นคัมภีร์ภาษาบาลีทั้งอรรถกถา-ฎีกาประมาณ ๓๐ คัมภีร์ บางคัมภีร์หาต้นฉบับไม่ได้ในปัจจุบัน สําหรับรสวรรณคดีในเตภูมิกถาน้ีทรงนิพนธ์เป็น ลกั ษณะร่ายยาว มีสัมผัสในบางตอน พรรณนาความเปน็ ไปของสตั ว์ในไตรภมู ิ ๒. การอุปถัมภ์คณะสงฆ์ พระเจ้าลิไททรงส่งทูตไปนิมนต์พระสงฆ์ชาวลังกาซ่ึงมีสํานัก อยู่ทนี่ ครพันหรอื เมาะตะมะ (ในพมา่ ) ได้นิมนตพ์ ระเถระซ่งึ มสี มณศกั ด์ิเป็นมหาสวามี ทา่ นรปู น้ี จารกึ วดั ปา่ มะมว่ ง เรียกว่า พระสังฆราชลังกา พระองค์ได้ทรงทําพิธีต้อนรับอย่างมโหฬาร โดย ทรงรับส่ังให้ตัดถนนจากสุโขทัยไปกําแพงเพชร จากกําแพงเพชรไปเมาะตะมะ เมื่อคณะสงฆ์ชาว ลังกามาถึงสุโขทัย ได้จําพรรษาอยู่ในวัดป่ามะม่วง พระเจ้าลิไทเองก็ทรงพระราชศรัทธาออก ผนวชเป็นกษัตริย์ไทยองค์แรกท่ีบวชในขณะเสวยราชย์ พิธีผนวชทําเป็นสองตอน คือตอน บรรพชาเป็นสามเณร ทําในพระราชมณเฑียร ต่อหน้าพระสุวรรณปฏิมา (คือพระพุทธรูปทอง) ก่อนจะบรรพชา พระองค์ทรงเพศเป็นดาบส และทรงประกาศพระราชปฏิญาณท่ามกลางสงฆ์ มุ่งปรารถนาพระโพธิญาณ (ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต) อย่างเดียว พระสังฆราชลังกา ได้สรรเสริญพระจริยาวัตร หลังจากบรรพชาแล้ว ในขณะท่ีเสด็จไปเพื่อประกอบพิธีอุปสมบท ๑๒๖ ประวัตคิ วามสาํ คญั ของการเผยแผพระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
พระองคท์ รงมอี นิ ทรยี ส์ ังวร (สํารวมระวังพระอิริยาบถ) ยิ่งนัก อุปมาดังพระมหาเถระผู้บวชมาได้ ๖๐ พรรษา ตอนสองทําพิธีสวดญัตติอุปสมบทในวัดป่ามะม่วง และทรงประทับอยู่ที่น่ันตลอด เวลาอุปสมบท และถ้าไม่มีกองทัพไทยใต้ (อยุธยา) ข้ึนไปรบรุกรานอาณาเขตแล้ว พระองค์คง จะเพลิดเพลินในเนกขัมมสุข (ความสุขในการปลีกตนออกบวช) คือผนวชไม่สึก และต่อมาได้ ปริวรรตเพศ (สึก หรือลาสิกขา) ออกมาในท่ามกลางความออ้ นวอนขอรอ้ งของเหล่าอาํ มาตย์ ๓. สถานศึกษาหรือโรงเรียนไทยแห่งแรกเกิดข้ึนในแผ่นดินน้ี กล่าวคือ พระเจ้าลิไทได้ ทรงอุทิศพระราชมณเฑียรเป็นที่บอกพระปริยัติธรรมแก่พระภิกษุสามเณรขึ้นคร้ังแรก อันเป็น แบบอยา่ งใหก้ ษัตรยิ ์ในสมยั อยธุ ยาและรตั นโกสินทรท์ รงทําตาม ๔. พระเจ้าลิไทได้ทรงส่งทูตไปจําลองรอยพระพุทธบาทบนยอดเขาสุมนกูฏในประเทศ ศรีลังกา มาสร้างไว้ตามไหล่เขา ตามหัวเมืองสําคัญ เช่น เมืองสุโขทัย เมืองกําแพงเพชร เมอื งพษิ ณโุ ลก รอยพระบาทนีพ้ ึงเห็นตวั อย่างไดท้ ีว่ ดั บวรนเิ วศวหิ าร กรุงเทพมหานคร จึงทําให้ เกดิ ประเพณีไหวพ้ ระพทุ ธบาทขนึ้ เป็นครง้ั แรกในรัชสมยั พระเจ้าลิไทน้ี ๕. พระเจ้าลิไทได้ทรงโปรดให้หล่อพระพุทธปฏิมา (พระพุทธรุป) ขึ้นใหม่หลายชุด หลายครั้ง ครั้งละหลายสิบองค์ คร้ังที่สําคัญที่สุด คือ ชุดพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา ข้อสังเกตปฏิมากรรมในรัชสมัยน้ีชอบทํานิ้วพระหัตถ์พระบาทเสมอกัน ผิด กับปฏิมากรรมสุโขทยั ยุคกอ่ น ทีน่ ิว้ พระบาทและพระหตั ถไ์ มเ่ สมอกัน ๖. พระเจา้ ลไิ ททรงก่อพระมหาธาตทุ ี่สําคัญไว้ในเมืองกําแพงเพชร พระมหาธาตุนี้อยู่ท่ี ปากคลองสวนหมาก ในเมืองกําแพงแพชร เดิมมีรูปอย่างพระเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ต่อมามี คหบดีชาวกะเหรี่ยงคนหนง่ึ ช่ือพระยาเกา่ ในสมัยรัชกาลท่ี ๕ รอื้ พระเจดยี ์ออกแลว้ กอ่ ใหม่เปน็ รปู เจดียพ์ มา่ ยังปรากฏอยูท่ ุกวนั นี้ ๗. พระเจ้าลิไททรงโปรดให้ทูตไปเชิญหน่อพระศรีมหาโพธ์ิจากเมืองอนุราธปุระ ใน ประเทศศรลี งั กามาปลกู ไวใ้ นอาณาเขตสโุ ขทัยหลายแห่ง จึงทําให้กิดประเพณีบูชาต้นโพธิ์ขึ้นเป็น ครงั้ แรกในเมืองไทย ๘. พระเจ้าลิไทนอกจากจะทรงรอบรเู้ ช่ียวชาญแตกฉานในพุทธศาสตร์ (ความรู้เกี่ยวกับ หลักพระพุทธศาสนา) แล้ว ยังทรงแตกฉานในโหราศาสตร์และไสยศาสตร์เป็นอย่างมากอีกด้วย โดยปรากฏว่าพระองค์ทรงทําพิธีทางไสยศาสตร์หล่อเทวรูปชุดสําคัญมีพระอิศวร พระนารายณ์ และพระอุมาขนาดโตกว่าคน ฝมี ือนบั วา่ เปน็ เยย่ี ม ปัจจบุ ันดูไดใ้ นพิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ มีบางคนกล่าวว่า เป็นเพราะพระเจ้าลิไททรงสนพระทัยในพระพุทธศาสนามากเกินไป ทําให้การปกครองประเทศในสมัยสุโขทัยต้องอ่อนแอลง แต่ถ้ามองกันด้วยความเป็นธรรมแล้ว ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัติความสําคัญของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา ๑๒๗
เฉกเช่นพระเจ้าลิไท แต่บ้านเมืองในสุโขทัยสมัยน้ันก็ไม่อ่อนแอ และความจริง ในสมัยพระเจ้าลิไทน้ี การปกครองก็ไม่ได้อ่อนแอแต่อย่างใด เพราะพระองค์ ทรงสามารถยับย้ังการรุกรานของกรุงศรีอยุธยาได้ แม้อาณาจักรอู่ทองซึ่งเป็นรัฐอิสระยงยอมให้ สุโขทัยเป็นผู้นําทางการเมือง จะไปโทษวา่ พระองค์ทรงมวั สนพระทยั ในการพระพทุ ธศาสนา จึง ทาํ ให้การปกครองประเทศออ่ นแอลง เช่นน้ไี ม่ถกู ตอ้ ง เม่อื ส้ินรชั กาลพระมหาธรรมราชาลิไทยหรือพระเจ้าลิไทแล้ว พระเจ้าไสยลือไทได้เสวย ราชย์สบื มา ในรัชสมัยน้ี กรุงสุโขทัยต้องรับศึกสองด้าน คือ ศึกเชียงใหม่ทางเหนือด้านหนึ่ง ศึกอยุธยาทางใต้อีกด้านหน่ึง แต่ศึกเชียงใหม่ทางเหนือน้ันยังพอต่อสู้สะกัดไว้ได้ บางคร้ัง สุโขทัยก็กลบั เปน็ ฝา่ ยรุก ไปตีไดถ้ ึงเมอื งลาํ ปาง แตส่ าํ หรับศกึ อยธุ ยาประจวบกับเปน็ รัชสมยั พระ เจ้าบรมราชาธิราชที่ ๑ ซึ่งเป็นนักรบ จนสามารถตีอาณาจักรกัมพูชาแตก พระเจ้าไสยลือไท ต้องย้ายราชธานีลงมาประทับท่ีเมืองพิษณุโลก เพ่ือจะรับมือกับพระจ้าบรมราชาเต็มที่ แต่ผล สุดท้ายพระองค์กลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ยอมสวามิภักดิ์ ยอมถวายบังคมพระเจ้าบรมราชา นับแต่ น้ันมาสุโขทัยจึงตกเป็นประเทศราชเมืองข้ึนของอยุธยา และมีกษัตริย์สืบมาอีก ๒ พระองค์แล้ว ตอ่ มาถูกยบุ รวมเข้าเปร็ าชอาณาเขตเดยี วกับอยุธยาในสมัยพระเจา้ สามพระยา พระพุทธรปู วัดศรชี มุ สุโขทัย ๑๒๘ ประวัติความสําคัญของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.
จตตุ ถบท พระพทุ ธศาสนาสมยั อยธุ ยา-ธนบรุ ี (พ.ศ. ๑๘๙๓–๒๓๒๕) พระพุทธศาสนาสมัยอยธุ ยา บทสรปุ นํา พระเจ้าอู่ทอง ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีแห่งสยามประเทศ เมื่อวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๑๘๙๓ ซึ่งขณะน้ัน อาณาจักรสุโขทัยเร่ิมเสื่อมอํานาจลงและในท่ีสุดได้เป็น เมืองขึ้นของอยุธยาในปี พ.ศ. ๑๙๒๑ บริเวณที่ตั้งกรุงศรีอยุธยาสมัยน้ี เดิมมีเมืองโบราณต้ังอยู่ ก่อนแล้วหลายเมือง เช่นเมือง อโยธยา และเมืองเสนาราชนคร ซึ่งต้ังข้ึนในสมัยขอมเป็นใหญ่ ต่อมา ในสมัยพระเจ้าอู่ทองยกทัพเข้ามายึดครองและสร้างนครข้ึนมาใหม่บนแหลม โดยมีความ ประสงค์เอาแม่น้ําสามสายเป็นคูเมืองตามธรรมชาติ นี่คือท่ีต้ังพระนครศรีอยุธยาเป็นราชธานีอยู่ นานกว่า ๔ ศตวรรษ กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของไทยอยู่นานถึง ๔๑๗ ปี (พ.ศ. ๑๘๙๓ ถึง พ.ศ. ๒๓๑๐) โดยถูกพม่ารุกรานตีแตกตกเป็นเมืองขึ้นถึง ๒ คร้ัง คือครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๑๑๒ และครั้งท่ี ๒ เม่ือ พ.ศ. ๒๓๑๐ ซ่ึงได้รับความเสียหายยับเยินเกินท่ีจะได้รับการบูรณะเป็นราชธานีข้ึนมาอีกได้ พระเจ้าตากสินจงึ ทรงย้ายราชธานไี ปต้ังอยู่ทก่ี รุงธนบุรี ตลอดระยะเวลา ๔๑๗ ปีท่ีกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของไทยนั้น มีพระมหากษัตริย์ ๕ ราชวงส์ทรงครองราชย์สืบต่อกันนับได้ ๓๓ พระองค์ และไม่มีกษัตริย์พระองค์ใดเลยที่ไม่นับถือ พระพุทธศาสนา ทุกพระองค์ล้วนเป็นพุทธมามกะและทรงเป็นองค์อัครพุทธศาสนูปถัมภกท้ังส้ิน บางพระองค์นอกจากจะทรงเล่ือมใสในพระพุทธศาสนาแล้ว ยังสนพระทัยเป็นพิเศษในด้าน การศึกษาและปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด เช่น สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ สมเดจ็ พระรามาธบิ ดีท่ี ๒ สมเด็จพระเจา้ ทรงธรรม และสมเดจ็ พระเจ้าบรมโกศ เปน็ ต้น ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัตคิ วามสาํ คญั ของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา ๑๒๙
ทางฝา่ ยประชาชนท่ัวไปก็เล่ือมใสและสนใจในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก ได้ช่วยกัน อปุ ถัมภท์ ํานบุ าํ รงุ วัดวาอารามศาสนสถานและศาสนวตั ถุทางพระพทุ ธศาสนาอยา่ งจรงิ จัง โดยวัด และพระสงฆ์เป็นท่ีรวมใจของชาวไทยสมยั อยุธยา วดั เป็นศนู ย์กลางชุมชน เป็นสโมสร เป็นศาล เป็นโรงพยาบาล เป็นท่ีพักผ่อนหย่อนใจ เป็นโรงเรียนแหล่งศึกษาเรียนรู้วิชาการต่างๆ และเป็น ศนู ยร์ วมบ่อเกดิ ศลิ ปวัฒนธรรมขนบธรรมเนยี มประเพณอี ันดีงามของไทยต่างๆ อกี มากมาย ในสมัยอยุธยา มีประเพณีการบวชเรียนสําหรับชายไทยเกิดขึ้น โดยถือว่าการบวชเป็น พระภิกษุในพระพุทธศาสนาชั่วระยะหนึ่งเป็นกิจสําคัญของชายไทยทุกคนเม่ืออายุครบ ๒๐ ปี บริบูรณ์ ทั้งนี้เพ่ือจะได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนหลักพระธรรมวินัยอันเป็นคําสั่งสอนของ พระพุทธเจ้าและนํามาประพฤติปฏิบัติในชีวิตการครองเรือนภายหลังจากพ้นระยะเวลาการครอง เพศเป็นพระภิกษุแล้ว และเพ่ือทดแทนพระคุณบิดามารดาตามที่ถือสืบๆ กันมาว่าการบวชเป็น พระภิกษุเปน็ การทดแทนคณุ บิดามารดาประการหนงึ่ ในรชั กาลพระรามาธิบดีท่ี ๒ ทรงหล่อพระพุทธรูปสูงใหญ่ชื่อ พระศรีสรรเพชญ์ ด้วย ทองคําหนัก ๕๓,๐๐๐ ช่ัง แล้วหุ้มด้วยทองคําอีก ๒๘๖ ช่ัง หรือ ๒๒,๘๘๐ บาท หลังจากสิ้น รัชกาลพระรามาธิบดีที่ ๒ พระพุทธศาสนาก็ได้รับการอุปถัมภ์จากพระมหากษัตริย์เรื่อยมา จนกระท่ังถึงรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม กษัตริย์องค์ที่ ๒๑ แห่งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งทรง ครองราชย์ในปี พ.ศ. ๒๑๕๓ ก่อนเสวยราชสมบัติพระองค์เคยออกผนวช ทรงเป็นผู้รอบรู้ใน พระไตรปิฎก ต่อมาเมื่อเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้วได้เสด็จลงพระท่ีนั่งจอมทองสามหลัง เพื่อสอน พระบาลีแกภ่ ิกษสุ ามเณรทกุ วนั มีพระภกิ ษุสามเณรไปเรียนกันจํานวนมาก ในสมัยของพระองค์ มีการส่งพระภิกษุไปเรียนที่ลังกาด้วย การพระพุทธศาสนาในสมัยกรุงศรีอยุธยาน้ัน โดย ภาพรวมมุ่งแต่เรื่องการบุญการกุศล บํารุงพระสงฆ์ สร้างวัด ปูชนียสถาน ปูชนียวัตถุ พิธีกรรม งานฉลอง และงานนมสั การ เช่นการไหวพ้ ระธาตุ ไหวพ้ ระพทุ ธบาท เปน็ ตน้ อยุธยาเป็นเมืองท่ีอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธ์ุธัญญาหาร ดังคํากล่าวว่า ในน้ํามีปลา ใน นามีข้าว ท่ัวท้ังจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีวัดวาอาราม ปราสาท พระราชวัง ปูชนียสถาน และปูชนียวตั ถุมากมาย จงึ กล่าวไดว้ ่า ในสมัยอยุธยาเปน็ ราชธานขี องไทย พระพทุ ธศาสนาฝ่าย เถรวาทแบบลังกาวงศ์ยังคงเจริญรุ่งเรืองอยู่ พระมหากษัตริย์หลายพระองค์ทรงเลื่อมใสใน พระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก มีการแต่งหนังสือเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเป็นจํานวนมากหลาย ฉบับหลายสํานวน เช่น มหาชาติคําหลวง กาพย์มหาชาติ นันโทปนันทสูตร พระมาลัยคําหลวง และปุณโณวาทคําฉนั ท์ เป็นตน้ ในสมัยอยุธยานี้ ชาตติ ะวนั ตกเข้ามาล่าอาณานิคมในแถบเอเชยี ประเทศต่างๆ ตกเป็น เมอื งขึน้ โดยมาก แตไ่ ทยรอดพน้ มาไดท้ ั้งดา้ นอาณาจักรและศาสนจกั รดว้ ยพระปรชี าสามารถของ ๑๓๐ ประวัตคิ วามสาํ คัญของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.
กษัตริย์อยุธยาในแต่ละสมัย ในปลายสมัยอยุธยธา ปรากฏว่า สังคมไทยมีความเช่ือหมกมุ่นใน โชคลางและไสยศาสตร์มาก ซ่ึงแสดงถึงความไม่สงบของเหตุการณ์บ้านเมือง ต่อมา กรุงศรี อยธุ ยาก็เสียเอกราชใหแ้ ก่ประเทศพมา่ ในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ พระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยานั้นได้รับอิทธิพลของพราหมณ์เข้ามามาก คือมีความเป็น ฮินดูปนอยู่ค่อนข้างมาก พิธีกรรมต่างๆ ได้ปะปนพิธีของพราหมณ์เน้นความขลังความศักดิ์สิทธ์ิ และอทิ ธปิ าฏหิ าริยม์ ีเรอื่ งไสยศาสตร์เข้ามาปะปนมากกว่าท่ใี ดๆ ราษฎรอยุธยามุ่งในเรื่องการบุญ การกุศล สร้างวัดวาอาราม สร้างปูชนียวัตถุ บํารุงศาสนาเป็นส่วนมาก ในสมัยอยุธยาต้อง ประสบกบั ภาวะสงครามกับพม่า จนเกิดภาวะวิกฤตทางศาสนาหลายครัง้ เนื่องจากสมัยอยุธยาเป็นราชธานีนั้นมีระยะเวลาอันยาวนานถึง ๔๑๗ ปี พระมหา กษัตริย์ผู้ครองราชย์ก็มีจํานวนถึง ๓๓ พระองค์ และแต่ละพระองค์ก็ทรงให้ความอุปถัมภ์ทํานุ บํารุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี ดังน้ัน ในการนําเสนอข้อมูลเก่ียวกับพระพุทธศาสนา สมัยอยธุ ยา จึงกําหนดแบง่ เป็น ๔ ยคุ สมยั ดงั ตอ่ ไปนี้ พระพทุ ธศาสนาสมยั อยธุ ยายคุ แรก (พ.ศ. ๑๘๙๓ – ๑๙๙๑) ในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ หรือพระเจ้าอู่ทอง ภายหลังจากที่ทรงสร้าง พระนครศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๓ แล้ว ต่อมาอีก ๓ ปี คือ พ.ศ. ๑๘๙๖ ได้ทรงสร้างวัดสําคัญ ขึ้นวัดหนึ่งช่ือว่า วัดพุทไธศวรรย์ ณ ตําบลเวียงเหล็ก เป็นวัดแห่งแรกของอยุธยา สถานท่ีสร้าง น้ันเคยเป็นท่ีตั้งพลับพลาก่อนสร้างพระนคร พระพุทธเจดีย์ที่สําคัญของวัดน้ีคือพระปรางค์องค์ ใหญ่ พระวิหาร พระพุทธรูปตามระเบียงคดซ่ึงทําด้วยศิลา และกุฏิสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ซ่ึงเป็นอธิบดีสงฆ์ฝ่ายคันถธุระตําแหน่งพระสังฆราชฝ่ายซ้ายในสมัยนั้น วัดพุทไธศวรรย์น้ีเป็น สถานที่ประสิทธิประสาทสรรพวิชาการพิชัยสงครามตลอดสมัยอยุธยา โดยแม่ทัพนายกอง ส่วนมากได้รับการศึกษาอบรมจากวัดแห่งนี้ ต่อมาอีก ๔ ปี คือ พ.ศ. ๑๙๐๐ ปลายสมัยแผ่นดิน พระองค์ได้ทรงสร้างวัดขึ้นอีกวัดหน่ึงชื่อว่า วัดเจ้าพญาไท (บางแห่งเขียนว่า วัดเจ้าพระยาไทย) คือวัดใหญ่ชัยมงคลในปัจจุบัน ทรงสร้างถวายคณะสงฆ์ที่ไปเรียนหลักพระพุทธศาสนามาจาก ประเทศศรลี ังกา ในสํานักพระวันรัตน์ แปลว่าป่าแก้ว คณะสงฆ์คณะนี้จึงได้นามอีกอย่างหนึ่งว่า คณะป่าแก้ว และวัดที่อยู่ก็เรียกว่าวัดป่าแก้วสืบมา คณะสงฆ์คณะน้ีสนใจปฏิบัติในวิปัสสนาธุระ เมอื่ มพี ุทธบริษัทเป็นคณะมากข้ึน พระเจ้าอู่ทองจึงทรงสถาปนาอธิบดีสงฆ์ฝ่ายวิปัสสนาธุระน้ีเป็น สมเด็จพระวันรัตน์ (ปัจจุบนั เขียนวา่ สมเด็จพระวันรตั ) ตําแหน่งพระสงั ฆราชฝ่ายขวา ในสมัยนั้น เรียกพระสงฆ์ว่าเจา้ ไท วดั นจ้ี ึงเรียกกนั ว่า วดั เจา้ พญาไท ซ่งึ หมายถงึ พระสงั ฆราชน่นั เอง ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัตคิ วามสาํ คัญของการเผยแผพระพุทธศาสนา ๑๓๑
ต่อมาสมัยขุนหลวงพะง่ัว หรือสมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๑ (พ.ศ. ๑๙๑๓-๑๙๓๑) ทรงได้เมืองสุโขทัยเป็นเมืองข้ึนเม่ือ พ.ศ. ๑๙๒๑ ทรงสร้างวัดมหาธาตุขึ้นท่ีอยุธยา และสถาปนา พระธาตุสูงเส้นเศษ (แต่บางตํานานกล่าวว่า พระราเมศวรทรงสร้าง พงศาวดารฉบับหลวง ประเสริฐกล่าวว่า สร้างสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชนี้แหละ พระราเมศวรคงบูรณะหรือสร้าง ต่อมาจนสําเร็จ) สมัยนั้นเป็นธรรมเนียมของเมืองหลวงหรือเมืองลูกหลวงจะต้องสร้างวัดประดับ พระนคร ๓ วัด คือ วัดมหาธาตุ วัดราชบูรณะ และวัดราชประดิษฐาน โดยวัดมหาธาตุนั้นต้องมี พระบรมธาตุเป็นหลักสําคัญของวัดซ่ึงจะพบวัดมหาธาตุน้ีในเมืองเก่าที่สําคัญเกือบทุกเมืองของ อาณาจักรไทย และวัดมหาธาตุในสมัยอยุธยาน้ีมีฐานะสําคัญมากเพราะเป็นวัดที่ประทับของ สมเดจ็ พระสงั ฆราชมาทุกรัชกาล เมื่อสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ สวรรคตแล้ว พระราเมศวรเสด็จมาจากลพบุรี ได้ ทรงปลงพระชนม์เจ้าทองลัน หรือทองจันทร์ ซึ่งเป็นราชโอรสของสมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๑ ขึ้นครองราชย์ เม่ือ พ.ศ. ๑๙๓๑ ทรงครองราชย์อยู่ ๗ ปี ก็สวรรคตเมื่อปี พ.ศ. ๑๙๓๘ อย่างไรก็ ตาม ในรัชสมัยของกษัตริย์พระองค์นี้ ก็ได้ทรงสร้างวัดไว้ในพระพุทธศาสนา ๒ วัดใหญ่ด้วยกัน คือ วัดพระราม และวัดภูเขาทอง โดยทรงสร้างวัดพระรามตรงสถานท่ีถวายพระเพลิงพระบรม ชนก คือ พระเจ้าอทู่ อง รมิ บึงหนา้ พระราชวงั ปจั จุบนั ยงั มีซากพระปรางค์และวิหารเหลืออยู่ และ ทรงสรา้ งวดั ภูเขาทองไว้ภายนอกพระนครออกไป ส่วนกษัตริย์ที่ทรงสร้างวัดราชบูรณะนั้นคือ สมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๒ (พ.ศ. ๑๙๖๗-๑๙๙๑) หรอื เจ้าสามพระยา ผู้ทรงปิดฉากความเจรญิ รุ่งเรืองแห่งจักรวรรดิขอมหรือเขมร เพราะทรงสามารถบุกไปตีนครธมของเขมรแตก จึงเป็นอันว่าจักรวรดิขอมได้สิ้นสุดลงเพราะนํ้า พระหัตถ์ของกษัตริย์ไทยพระองค์น้ี โดยพระองค์ได้ทรงสร้างวัดราชบูรณะข้ึนตรงสถานที่ถวาย พระเพลิงพระเชษฐาทั้งสองพระองค์ คือ เจ้าอ้ายพระยา และเจ้าย่ีพระยา วัดราชบูรณะนี้อยู่ติด กับวัดมหาธาตุ กล่าวกันว่าวัดท้ังสองนี้เป็นวัดที่พระมหากษัตริย์ในสมัยอยุธยาเสด็จไปถวายผ้า พระกฐินแด่พระสงฆเ์ ป็นประจาํ ทกุ ปี พระพุทธศาสนาสมัยอยธุ ยายุคท่ี ๒ (พ.ศ. ๑๙๙๑ – พ.ศ. ๒๑๗๓) ยุคน้ีนับเป็นยุคท่ีพระพุทธศาสนาเจริญสูงสุด เริ่มที่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซ่งึ ทรงครองราชยร์ ะหว่างปี พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๓๑ พระองค์ทรงปกครองบ้านเมืองด้วยความสงบ ร่มเย็น ทรงทํานุบํารุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่อง ทรงสร้างและบูรณะวัดต่างๆเป็น จํานวนมากในปี พ.ศ. ๒๐๐๘ (บา้ งว่าเม่ือ พ.ศ. ๑๙๙๘) พระองค์เสด็จผนวชเป็นเวลา ๘ เดือน มี ข้าราชการและบรมวงศานุวงศ์ออกบวชตามมากถึง ๒,๓๘๘ คน ซ่ึงเป็นประดุจดั่งการออกบวช ๑๓๒ ประวตั คิ วามสําคญั ของการเผยแผพระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
ของพระบรมโพธิสัตว์ท้ังหลายในอดีต และทรงให้พระราชโอรสกับพระราชนัดดาผนวชเป็น สามเณรด้วย สันนิษฐานว่าเป็นจุดเริ่มต้นของประเพณีบวชเรียนของเจ้านายและข้าราชการ พระองคท์ รงโปรดไดม้ กี ารประชมุ ราชบัณฑิตรจนาหนังสอื มหาชาติคาํ หลวง ในปี พ.ศ. ๒๐๒๕ ข้อแตกต่างระหว่างพระพุทธศาสนาสมัยอยุธยายุคแรกกับยุคที่สองน้ีแตกต่างเพราะ ศิลปะ คือ ในยุคแรก นิยมสร้างพระปรางค์กันมาก แต่ในยุคท่ีสองน้ีหันเปลี่ยนมาสร้างสถูปแบบ ลอมฟางหรือแบบลังกากันมาก ในยุคแรกพระพุทธรูปมีอิทธิพลของลพบุรีและอู่ทองมาก ในยุค นี้อิทธิพลศิลปะสุโขทัยเข้ามาแทนที่ ท้ังน้ีเพราะเหตุว่าสมเด็จพระเจ้าบรมไตรโลกนาถนั้นทรงมี พระราชมารดาเปน็ เจา้ หญิงผู้มีศักด์ิของสุโขทัย พระองค์ได้เสด็จข้ึนไปประทับท่ีหัวเมืองเหนือแต่ ยงั ทรงพระเยาว์ ทรงคุ้นเคยกับศิลปะแบบสโุ ขทัยมาก ครงั้ เมอื เสวยราชย์แล้ว ความจําเป็นทาง การเมอื งบงั คับให้พระองค์ต้องเสด็จขึ้นไปประทับเมืองพิษณุโลกเป็นระยะติดต่อกันหลายปี ท้ังน้ี เพื่อรับศึกกับทางเชียงใหม่ ฝ่ายทางพระนครศรีอยุธยาน้ันโปรดให้พระราชโอรสองค์ใหญ่ คือ พระบรมราชา ปกครอง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ทรงอุทิศพระราชวังเดิมซ่ึงสร้างมาแต่ครั้งพระเจ้าอู่ทองให้ เป็นวัด แล้วย้ายพระราชวังไปติดอยู่ทางริมน้ํา วัดท่ีว่านี้อยู่เขตกําแพงวัง ไม่มีเขตสังฆาวาส สําหรับให้พระสงฆ์อยู่ มีแต่เขตพุทธาวาสอย่างวัดพระแก้ว (วัดพระศรีรัตนศาสดาราม) ใน กรุงเทพมหานคร เรียกว่าวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ ทรงหล่อรูปพระโพธิสัตว์ ๕๐๐ชาติไว้ในวัดนี้ ปัจจุบันยังเหลืออยู่สอง-สามรูป แล้วทรงนิพนธ์มหาชาติคําหลวงสําหรับใช้เทศนาตามวัด จึง เกิดร่ายมหาชาติขึ้นคร้ังแรก ความจริงประเพณีฟังเทศน์มหาชาติมีมาแต่ครั้งสุโขทัยแล้ว แต่ยัง ไม่มีหนังสือคําเทศน์ฉบับหลวง เพ่ิงจะมีข้ึนในครั้งน้ี มูลเหตุท่ีคนไทยนิยมฟังเทศน์มหาชาติ ก็ เพราะอิทธิพลในหนังสือมาลัยสูตร ซ่ึงแสดงว่าพระศรีอริยเมตไตรย์ (พระโพธิสัตว์ท่ีจะมาตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป) ตรัสบอกผ่านพระมาลัยเทวเถระว่า ผู้ใดปรารถนาไปเกิดทัน ศาสนาของพระองค์ต้องฟังเทศน์มหาชาติให้จบ ๑๓ กัณฑ์ในวันเดียวกัน และบูชาด้วยธูป เทียน ดอกบวั อย่างละพัน สมเดจ็ พระบรมไตโลกนาถ ทรงมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสในคณะสงฆ์ท่ีสืบเนื่องมาจาก สํานักของพระวนั รตั น์ วัดปา่ แก้ว หรือวดั เจา้ พญาไท สงฆ์คณะนี้สืบเนื่องมาจากสํานักพระวันรัตน์ แห่งประเทศศรีลังกา ดังน้ัน เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นไปเสวยราชย์ ณ เมืองพิษณุโลก เมื่อ พ.ศ. ๒๐๐๖ และต่อมาอีก ๒ ปี คือ เมื่อ พ.ศ. ๒๐๐๘ ทรงมีพระราชศรัทธาจะอุปสมบทใน พระพุทธศาสนา เนื่องจากคร้ังทรงพระเยาว์พระองค์ได้ทรงศึกษาขนบธรรมเนียมในสมัยสุโขทัย เป็นอย่างดี จึงทรงทราบราชประเพณีของกษัตริย์สุโขทัยอย่างถี่ถ้วน ทรงประสงค์จะเอาอย่าง สุโขทัยสมัยพระมหาธรรมราชาลิไททรงผนวช จึงโปรดให้พระราชโอรสเป็นหัวหน้าคณะทูตไป ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั ิความสาํ คัญของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา ๑๓๓
นิมนต์พระมหาสวามีสังฆราชลังกามาเป็นพระอุปัชฌาย์ ทรงบูรณะวัดจุฬามณีที่พิษณุโลก เรียบร้อยแล้วเสด็จออกผนวชพร้อมด้วยพระราชโอรส พระราชนัดดา และข้าราชบริพาร รวม ทั้งหมด ๒,๓๘๘ รูป นับเป็นการอุปสมบทท่ีมีการจัดพิธีมโหฬารยิ่ง ในการน้ี พระเจ้าติโลกราช แหง่ อาณาจกั รล้านนาเชยี งใหม่ พระเจ้ากรุงหงสาวดแี ห่งพม่า และพระเจา้ กรุงลานช้างได้ทรงแต่ง ราชทูตส่งสมณบริขารมาถวาย เพื่อร่วมอนุโมทนาในพระราชกุศลคร้ังน้ีด้วย พระองค์ทรงผนวช อยู่ ๘ เดือน กับ ๑๕ วัน ทรงลาผนวชเพราะพระราชโอรสและข้าราชบริพารทูลให้ลาผนวชเพ่ือ ครองราชย์ต่อไป เม่อื ทรงลาผนวชแล้ว ทรงได้ช้างเผือกมาสู่พระบารมี นับเป็นช้างเผือกเชือกแรก สาํ หรับพระเจ้าแผน่ ดนิ ทีก่ ล่าวถึงในสมยั อยุธยา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงครองราชย์สมบตั ิอยทู่ ีก่ รงุ ศรีอยุธยา ๑๕ ปี ท่ีพิษณุโลก ๒๕ ปี รวม ๔๐ ปี สวรรคตที่เมอื งพษิ ณุโลก เม่ือ พ.ศ. ๒๐๓๑ ขณะพระชนมายุ ๕๗ พรรษา และ พระบรมราชา ราชโอรสองค์ใหญ่ขนึ้ เสวยราชย์ เฉลมิ พระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาธริ าช อยู่ ในราชสมบัติเพียง ๓ ปี สวรรคตเมื่อ พ.ศ. ๒๐๓๔ พระมหาอุปราชา ราชอนุชาได้ครองราชย์ สมบตั ิต่อมา เฉลมิ พระนามว่า สมเด็จพระรามาธบิ ดีท่ี ๒ สมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๒ เป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ประสูติ และทรงพระเจริญ ณ เมอื งพษิ ณโุ ลก เสวยราชยเ์ ป็นกษตั ริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา เม่ือ พ.ศ. ๒๐๓๔ พระองค์ได้ทรงสร้างพระสถูปแบบลังกาสูงเส้นเศษ ๒ องค์ ในวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ ทรงอุทิศให้ พระบรมชนก (สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ) และพระเชษฐาธิราช (สมเด็จพระบรมราชาธิราช) และไดท้ รงหล่อพระพทุ ธรูปยนื หนักดว้ ยโลหะต่างๆ ๕ หมื่นกว่าชั่ง หล่อแล้วแผ่ทองคําหุ้มหนัก ๒๐๐ กว่าชั่ง เป็นพระยืนสูง ๘ วา พระอุระกว้าง ๑๑ ศอก พระพักตร์ยาว ๔ ศอก ใช้เวลาหล่อ และตบแต่ง ๓ ปีจึงแล้วเสร็จ ทรงถวายพระนามว่า พระศรีสรรเพ็ชญ์ และประดิษฐานไว้ ณ วัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ นับว่าเปน็ พระทององค์ใหญท่ ส่ี ุดในโลก สมเด็จพระรามาธบิ ดีที่ ๒ มีรัชสมัยอันยืดยาวที่สุดในบรรดากษัตริย์แห่งกรุงอยุธยา คือ เสวยราชย์กว่า ๔๐ ปี บ้านเมืองสงบเรียบร้อย เศรษฐกิจก็เจริญ เป็นเหตุให้ทรงม่ังมี จนสามารถ หลอ่ พระพทุ ธรูปทองคําขนาดใหญน่ ี้ และได้รับยกย่องจาราษฎรว่า พระพนั วรรษา กลา่ วกันว่า วรรณคดีพื้นบ้านเรื่องขุนช้าง-ขุนแผน น่าจะเป็นเรื่องเกิดขึ้นในรัชสมัยนี้ แต่นักกวีเอามาแต่งใน ต้นสมัยรัตนโกสินทร์ภายหลัง ศิลปะพระเจดีย์ในสมัยน้ีเราดูได้จากสถูปในวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ สําหรับองค์พระศรีสรรเพ็ชญ์น้ันได้รับอันตรายอันเนื่องมาจากสงครามเม่ือคราวพม่าตีกรุงศรี อยุธยาแตกครั้งท่ี ๒ ใน พ.ศ. ๒๓๑๐ กล่าวกันว่า ทหารพม่าเอาไฟสุมลอกเอาทองไปหมด แต่ถึง กระน้ัน เรากย็ ังหาตวั อยา่ งดูได้จากพระพุทธรูปใหญอ่ ีกองค์หน่ึงคือ พระโลกนาถ ซ่ึงหล่อในสมัย พระเจ้าบรมราชาหน่อพุทธางกูร ราชโอรสของสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๒ พระโลกนาถน้ีสูง ๕ วา ๑๓๔ ประวัตคิ วามสําคญั ของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.
เป็นพระยืนเหมือนกัน เดิมอยู่ท่ีวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ แต่ปัจจุบันนี้อยู่ในวิหารมุขตะวันออก วัด พระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรงุ เทพมหานคร หลงั จากสน้ิ รชั สมยั สมเดจ็ พระรามาธิบดีท่ี ๒ แล้ว การพระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยาก็อยู่ในฐานะทรงตัว ไม่เจริญรุ่งเรืองข้ึน ท้ังน้ีอาจเป็นเพราะ การสงครามและเรอื่ งเศรษฐกิจเป็นสาเหตสุ ําคัญ สงครามนั้นนบั แต่รชั สมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พ.ศ. ๒๐๙๑ ถึงแผ่นดินสมเด็จ พระนเรศวรมหาราช ซ่ึงเร่มิ เมอื่ พ.ศ. ๒๑๓๓ และไปส้ินรัชกาล เมื่อ พ.ศ. ๒๑๔๘ ในช่วงระยะน้ี ไทยต้องทาํ ศกึ กับพม่าบ้าง เขมรบ้าง ถึง ๑๗ คร้ัง สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเอง ทรงสนพระทัย แต่กับเรื่องการสงคราม การกอบกูอ้ ิสรภาพและการรกั ษาชาติไทยให้พน้ จากศัตรูจนไม่สามารถจะ ทรงแบ่งเวลามาทางพระพุทธศาสนาได้ พระองค์ไม่ทรงมีเวลาแม้แต่จะมีพระอัครมเหสี ไม่ ปรากฏว่าพระองค์ทรงมีพระโอรส-ธิดา มีแต่พระสนมที่ชื่อว่าเจ้าขรัวมณีจันทร์ นับว่าพระองค์ ทรงอุบัติมาเป็นกษัตริย์ชาตินักรบโดยแท้ แต่ถึงกระนั้น สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเมื่อชนช้าง ชนะพระมหาอุปราชแห่งพม่าแล้ว ได้ทรงสร้างพระเจดีย์ใหญ่ฉลองเป็นที่ระลึกในชัยชนะครั้งนั้น ไว้ที่วัดเจ้าพญาไท เป็นพระเจดีย์แบบทรงลังกาสูงเส้นเศษ ทรงได้แบบอย่างจากการที่พระเจ้า ทุฏฐคามินีอภยั แห่งลังกาชนช้างชนะพระยาเอฬารทมิฬแล้วสร้างพระสถูปใหญ่ฉลองชัย เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชสวรรคตแล้ว พระราชอนุชาได้เสวยราชย์เฉลิมพระนาม ว่า สมเด็จพระเอกาทศรถ สืบลําดับมา เมื่อถวายพระเพลิงพระเชษฐาธิราชแล้ว พระองค์ได้ ทรงสร้างวัดวรเชษฐาราม ข้ึนในที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเชษฐาธิราชเพื่ออนุสรณ์ถึง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช นอกจากน้ีได้ทรงสร้างพระพุทธรูปสนองพระองค์พระนเรศวร เพราะในเวลานั้นยังไม่นิยมการปั้นหรือหล่อพระบรมรูปไว้สักการบูชาเหมือนอย่างสมัยปัจจุบันน้ี จึงต้องสร้างพระพุทธรูปแทนพระองค์ไว้ให้คนสักการบูชา ผลที่ได้จากพระวีรกรรมของสมเด็จ พระเรศวรมหาราชและพระอนุชาทั้งสองน้ีได้คุ้มครองเมืองไทยให้ปลอดจากศึกพม่าต้ังหลายร้อย ปี เมอื่ สมเด็จพระเอกาทศรถสวรรคต พระโอรสไดเ้ สวยราชย์ตอ่ มา การพระพุทธศาสนาในสมัยกรุงศรีอยุธยามาเจริญกระเต้ืองข้ึนอีกคร้ังหนึ่งในรัชสมัย สมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรม ซงึ่ ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๖๓-๒๑๗๑ รวม ๘ ปี (ตามพระมติ ของสมเด็จพระยาดํารงราชานุภาพพ แต่บางแห่งว่า ทรงครองราชย์ ๒๕ ปี ซึ่งเป็นหลักฐานทาง พงศาวดารทแี่ ตง่ ขึ้นในสมยั ต้นรัตนโกสนิ ทร์) พระเจ้าทรงธรรมนี้ตามพระราชประวัติ ทรงเป็นพระราชโอรสองค์หน่ึงของสมเด็จพระ เอกาทศรถ ซ่ึงประสูติจากพระสนม พระนามเดิมว่า พระศรีสิงห์ ทรงผนวชอยู่ ๘ พรรษา แล้ว ทรงปริวรรตเพศ (สกึ า) ออกมาเสวยราชสมบัติต่อจากพระศรีเสาวภาคย์ วิธีการที่พระศรีสิงห์ทรง สกึ จากพระมาครองราชสมบัติเป็นกษัตริย์แห่งอยุธยาพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม น้ันยัง ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั คิ วามสาํ คัญของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๑๓๕
หาหลกั ฐานข้อยตุ ิไมไ่ ด้ บ้างก็ว่าเกิดกบฏพระพมิ ลธรรม คอื พระศรสี งิ หท์ รงผนวชแลว้ มสี มณศักด์ิ เปน็ ที่ พระพมิ ลธรรม มศี ษิ ยบ์ รวิ ารมาก ไดช้ ุมนุมพรรคพวกเป็นกบฏทวี่ ัดมหาธาตุ แลว้ สึกออกมา คุมกําลงั ทัพยกเขา้ ตพี ระราชวัง เม่อื ชนะแลว้ สถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าทรงธรรม ในรชั กาลพระเจ้าทรงธรรมนี้ เนื่องจากพระองค์เป็นผู้รู้พระไตรปิฎก แม้เสวยราชย์แล้ว ก็ยังเสด็จลงพระท่ีนั่งจอมทองสามหลัง ทรงบอกบาลีแก่พระภิกษุสามเณรทุกวัน โดยมีพระภิกษุ สามเณรในวัดต่างๆ ผลัดกันเข้ามาเรียน เมื่อพวกญี่ปุ่นเป็นกบฏยกกองทัพเข้าปล้นพระราชวัง กําลังจะจับพระเจ้าทรงธรรม วันนั้นเป็นวันท่ีพระภิกษุสามเณรวัดประดู่เข้ามาเรียนหนังสือ พระภิกษสุ ามเณรเหล่านน้ั ได้ชว่ ยกนั ปกปอ้ งพระเจ้าทรงธรรมให้พ้นภัยจากกบฏครัง้ นน้ั ไว้ได้ ต่อมา มีพระสงฆ์ไทยพวกหนึ่งซึ่งกลับจากประเทศศรีลังกามาทูลพระองค์ว่า พระสงฆ์ ชาวลังกายืนยันว่ามีรอยพระพุทธบาทในประเทศไทยแน่นอน เพราะพระบรมศาสดาได้ประทับ รอยพระบาทในมงคลสถาน ๕ แห่งด้วยกัน คือ เขาสุวรรณมาลิก เขาสุวรรณบรรพต เขาสุมนกูฏ เมืองโยนก และรมิ หาดแมน่ า้ํ นมั มทา โดยเขาสุวรรณบรรพตนน้ั อยู่ในเมอื งไทย พระเจ้าทรงธรรมจึงมีพระบรมราชโองการให้สอบหาเขาสุวรรณบรรพตตามหัวเมือง ทัว่ ไป ต่อมาเจ้าเมืองสระบรุ ีมีหนังสือมากราบทูลวา่ “พรานป่าในเมืองนี้ไปล่าเนอื้ ยงิ เนื้อตัวหนึ่ง บาดเจ็บ เน้ือนั้นวิ่งหายไปในซอกหินแห่งหนึ่ง ครั้นกลับออกมาบาดแผลหายเป็นอัศจรรย์ พรานบุญจึงตามเข้าไปดู เห็นเป็นรอยเท้ามนุษย์บนแผ่นหิน ในรอยเท้ามีน้ําขังอยู่ พรานบุญจึง วักนํ้าในรอยเท้าน้ันลูบไล้ตามผิวหนังของตนซึ่งเป็นกลากเกลื้อน ปรากฏว่าโรคผิวหนังได้หาย เป็นปลิดทิ้ง และนําเร่ืองราวมาแจ้งให้เจ้าเมืองสระบุรีทราบ” พระเจ้าทรงธรรมเมื่อทรงทราบ เร่ืองเช่นนี้ จึงรีบเสด็จออกไปทอดพระเนตรสอบสวนรายละเอียดรอยฝ่าเท้านั้น เม่ือทรงเห็น ต้องตามมหาปุริสลักษณะ จึงมีพระราชศรัทธาอุทิศที่ดินโดยรอบภูเขาลูกน้ันเป็นพุทธบูชา แล้ว ทรงสถาปนามณฑปครอบรอยพระพุทธบาท พรอ้ มทัง้ ทรงต้ังเจ้าพนกั งานรักษาตามตําแหน่ง และ พระราชทานชายฉกรรจ์ให้เป็นข้าพระ (ศิษย์รับใช้) ต่อมาจึงเกิดเป็นประเพณีเทศกาลไหว้พระ พทุ ธบาทขึน้ ในกลางเดอื น ๓ เดอื น ๔ ทกุ ปมี านบั แต่นน้ั สําหรับพระจ้าแผ่นดินนั้นมีพระราชประเพณีอยู่อย่างหน่ึง คือ ต้องเสด็จออกไปทรงช้าง รําพระแสง ถวายพระพุทธบาทบนคอคช ซึ่งเป็นธรรมเนียมเกิดขึ้นตอนปลายกรุงศรีอยุธยา พระพุทธบาทนี้จะเป็นของจริงหรือไม่จริง ไม่เป็นปัญหาสําคัญ เพราะแม้มิใช่ของจริง ก็จัดเป็น อทุ เทสิกเจดยี เ์ ชน่ พระพุทธรปู ไมเ่ ปน็ เหตทุ าํ ลายศรัทธาปสาทะให้น้อยไปเลย พระพทุ ธบาทเป็น ของเกิดในอินเดียก่อน มีขึ้นก่อนสมัยมีพระพุทธรูปด้วยซํ้า คือ เริ่มสร้างกันแต่สมัยพระเจ้าอโศก เป็นต้นมา และมีหลายแบบ คือพระบาทคู่ก็มี สร้างเป็นรูปตะแคงพระบาทก็มี สร้างพระบาทคู่ แต่รอยไม่เสมอกันก็มี อย่างหลังน้ีหมายถึงพุทธลีลา ส่วนอย่างตะแคงพระบาทน้ันเข้าใจว่าเป็น ๑๓๖ ประวตั ิความสําคญั ของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
เครื่องหมายปางปรินิพพาน ที่เป็นรอยคู่เสมอกันเป็นเคร่ืองหมายประทับยืน ที่เป็นรอยเดียวก็มี เป็นเคร่ืองหมายว่าพระพุทธศาสนาได้แผ่มาถึงท่ีน่ัน ท่ีทําเป็นพระบาท ๕ รอยก็มี เป็น เครื่องหมายว่าพระพุทธเจ้าในภัททกัปนี้มี ๕ พระองค์ รอยพระบาทในไทยชั้นเก่าท่ีสุดเป็นของ สมัยทวาราวดี ซึ่งพบท่ีริมแม่นํ้าเจ้าพระยาและบริเวณท่ีราบสูงนครราชสีมา และเข้าใจว่าจะมี การสร้างติดต่อกันเร่ือยมา ในสมัยสุโขทัยได้มีการไปพิมพ์รอยพระบาทจากลังกาแล้วนําเข้ามา สรา้ งประดษิ ฐานไวบ้ นภูเขาต่างๆ แต่ตามความเชื่อถือของประชาชน เช่ือว่าพระพุทธองค์เสด็จ มาถึงเมืองสระบุรี ซ่ึงในครั้งน้ันมีชื่อว่าเมืองสุนาปรันตะ ส่วนไหล่เขาน้ันช่ือว่าสัจจพรรณคีรี ตามชอ่ื ของดาบสตนหนง่ึ ซง่ึ มีสํานักอยทู่ ่ีภูเขานั้น โดยทรงโปรดดาบสตนนี้ เมื่อจะเสด็จกลับได้ ประทานรอยพระบาทไวใ้ ห้ ชาวบา้ นมศี รทั ธาเช่ือวา่ ผู้ใดขึ้นได้เจ็ดครั้ง ผู้น้ันสามารถปิดอบายภูมิ คือตายไม่ตกนรกหรือเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นต้น ฉะน้ัน เทศกาลไหว้รอยพระพุทบาทจึงเป็น งานมหกรรมใหญ่มาตัง้ แต่สมัยโบราณคร้ังกรงุ ศรอี ยธุ ยา พระพทุ ธศาสนาสมยั อยธุ ยายคุ ท่ี ๓ (พ.ศ. ๒๑๗๓ – พ.ศ. ๒๒๓๑) เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของอยุธยาในช่วงนี้ เมื่อสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมสวรรคต แล้วได้ผ่านรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง สมเด็จเจ้าฟ้าชัย และสมเด็จพระศรีสุธรรมราชา ทั้งหมดน้ีเป็นระยะเวลา ๒๖ ปี เจ้าฟ้าชัยครองราชย์เพียงปีเดียว ส่วนพระศรีสุธรรมราชา ครองราชย์เพียง ๓ เดือนเท่าน้ันก็ถูกจับไปสําเร็จโทษที่วัดโคกพระยา และก็มารัชสมัยแห่ง พระมหากษตั รยิ ผ์ ู้ทรงมพี ระนามยิ่งใหญ่ท่สี ุดในศตวรรษน้ี น่ันคอื สมเด็จพระนารายณม์ หาราช สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์หน่ึงของพระเจ้าปราสาทอง เม่อื ประสตู ิทรงแกวง่ พระกรขวกั ไขว่ไปมา จนพวกคนท้งั หลายเหน็ เปน็ ส่ีกร จึงขนานพระนามว่า พระนารายณ์ ทรงครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. ๒๑๙๙ – ๒๒๓๑ พระองค์ทรงมีบทบาทอย่าง มากท้ังต่อฝ่ายอาณาจักรและศาสนจักร (พระพุทธศาสนา) ทรงส่งเสริมพระพุทธศาสนาอย่างแรง กล้า ทรงเอาพระทัยใส่กิจพระศาสนา เสด็จทรงบาตรทุกวัน แต่ก็ทรงให้เสรีภาพประชาชนใน การเลือกนับถือศาสนา และยงั ออกพระราชกฤษฎีกาอนุญาตให้ประชาชนนับถือศาสนาต่างๆ ได้ นอกจากน้ี พระองค์ยังทรงอุปถัมภ์ศาสนาอ่ืนๆ อีกด้วย โดยเฉพาะศาสนาคริสต์ที่มาจากยุโรป เช่น โปรดให้สรา้ งวัดเซนตโ์ ยเซพ ท่สี ถิตของสังฆนายกทอ่ี ยุธยา เปน็ ต้น ทง้ั นี้ เน่อื งจากวา่ ครั้งหน่ึง (ปี พ.ศ. ๒๒๒๘) พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งฝร่ังเศส ส่งพระราชสาส์นมาถึง พระองค์มีใจความว่า “พระเจ้ากรุงฝร่ังเศสขอชักชวนพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาให้มาร่วมแผ่นดิน เดยี วกนั โดยขอใหพ้ ระองค์เปล่ียนศาสนามานับถือคริสตศาสนาเดียวกับฝรั่งเศส” พระองค์ทรง ขอบพระทัยพระเจ้าฝร่ังเศสหนักหนาท่ีมีความสนิทเสน่หาในพระองค์ แต่ทรงประหลาดใจว่า ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัตคิ วามสําคญั ของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา ๑๓๗
“เหตุใด พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสจึงมาก้าวก่ายกับฤทธ์ิอํานาจของพระผู้เป็นเจ้า เพราะการท่ีมี ศาสนาต่างๆ ในโลกน้ี ไม่ใช่เป็นความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าหรอกหรือ พระองค์จึงปล่อย ให้มไี ปดง่ั นน้ั มไิ ดบ้ ันดาลให้มเี พยี งศาสนาเดยี ว เม่ือพระผู้เป็นเจ้ามีฤทธ์ิมากในเวลาน้ี พระองค์ คงปรารถนาให้ตัวเรานับถือพุทธศาสนาไปก่อน เพราะฉะน้ันเราจึงจะรอคอยพระกรุณาของ พระองค์ บนั ดาลใหเ้ ราเลอ่ื มใสในคริสตศ์ าสนาในวนั ใด เราก็จะเข้ารีตในวนั น้ัน จึงขอฝากชะตา กรรมของเราและกรุงศรีอยุธยาสุดแต่พระเจ้าจะบันดาลเถิด” ดังนี้แล้ว พระองค์ทรงโปรดให้มี พระราชโองการประกาศว่า ให้คนไทยนับถือศาสนาได้ตามชอบใจ แล้วพระราชทานที่ดินให้ สร้างโบสถค์ ริสต์ใหม่ ทั้งนีเ้ พอื่ ไม่ให้ทูตฝรงั่ เศสผิดหวงั มากเกนิ ไป สมยั นัน้ มีคนไทยบางสว่ นหัน ไปเข้ารีตนับถือคริสต์ศาสนา แต่ก็เพียงน้อยนิด แม้กาลเวลาผ่านมา ๓ ร้อยกว่าปีจนถึงปัจจุบัน คริสต์ศาสนิกชนในประเทศไทยก็ยังมีจํานวนน้อยเมื่อเทียบกับพุทธศาสนิกชนคนไทย กุศโลบาย ของพระนารายณม์ หาราชนน้ี บั เปน็ การเสียน้อยเพ่ือรักษาส่วนใหญ่เอาไว้ กล่าวในทางตรงกันข้าม ถ้าพระองค์ทรงเปลี่ยนไปนับถือคริสตศาสนาเสียแล้ว อาจเป็นไปได้ว่า ในยุคน้ันและยุคต่อมา ชาวไทยโดยส่วนใหญ่ก็คงจะเปล่ียนไปนับถือคริสตศาสนาตามพระองค์ ปัจจุบันชาวพุทธอาจจะ เปน็ ชนกลุ่มนอ้ ยในท่ามกลางครสิ ต์ศาสนิกชนท่ีเปน็ ชนกลุ่มใหญใ่ นประเทศไทยกเ็ ป็นไปได้ อน่ึง ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชนี้ ได้เกิดวรรณคดีทางพระพุทธศาสนาข้ึน หลายเร่ือง กล่าวเฉพาะที่สําคัญ เช่น นันโทปนันทสูตร พระมาลัยคําหลวง ปุณโณวาทคํา ฉนั ท์ และพระราชปจุ ฉาถามคณะสงฆ์ เป็นต้น เนื่องจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงมีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาในประเทศไทย อย่างย่ิงใหญ่ โดยทรงอุปถัมภ์คุ้มครองให้พระพุทธศาสนาอยู่รอดปลอดพ้นจากภัยภายนอกคือ การบอ่ นเบียนทาํ ลายของศาสนาอืน่ ดังนนั้ จึงขอนําพระราชประวัติของพระองค์และเหตุการณ์ที่ เกี่ยวกับการอุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนาในรัชสมัยของพระองค์มาเสนอไว้โดยพิสดาร ซ่ึง ข้อมูลในการนําเสนอได้คัดมาจากสํานวนถ้อยคําท่ีท่านอาจารย์เสถียร โพธินันทะ เล่าไว้ใน หนงั สือ “ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพุทธศาสนา ฉบับมุขปาฐะ ภาค ๒” ดังตอ่ ไปน้ี พระราชประวัติการขึ้นครองราชย์ : สมเด็จพระนารายณ์ เป็นพระโอรสของพระเจ้า ปราสาททองที่เกิดจากจอมมารดา มิได้ประสูติแต่พระราชินี ต่อมาได้ร่วมมือพระเจ้าอา สําเร็จ โทษพระเชษฐา (สมเดจ็ เจ้าฟา้ ชยั ) แลว้ ก็ยกพระเจ้าอาขนึ้ เปน็ กษตั ริย์นามว่า พระศรีสุธรรมราชา แต่กษัตริย์พระองค์น้ีมีนิสัยกักขฬะหยาบช้า จนถึงกับพระเจ้าปราสาททองล่ันพระโอษฐ์ว่า “น้อง เราคนน้ีไม่สมควรตั้งให้เป็นใหญ่จะเป็นภัยแก่แผ่นดิน” ก็เป็นจริงดังว่า พระเจ้าอาพระองค์นี้มีจิต ปฏพิ ทั ธใ์ นพระเจา้ หลานเธอพระราชกัลยาณี ซ่ึงเป็นพระกนิษฐาของเจ้าฟ้านารายณ์ เข้าไปหมาย ปลุกปล้ํา แต่พระราชกัลยาณีหนีได้ทันท่วงที บรรดาพระสนมจึงหาอุบายซ่อนพระราชกัลยาณี ๑๓๘ ประวตั คิ วามสําคัญของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.
ไว้ในตู้หนังสือแล้วแบกออกไปยังวังหน้า พระราชกัลยาณีไปทูลฟ้องพระนารายณ์ อากับหลาน จึงทําสงครามกันข้ึน ผลก็คือ อาถูกจับสําเร็จโทษไป รัชสมัยพระนารายณ์มีเวลายืนยาว ประมาณ ๒๐ กว่าปี มีเรื่องสําคัญท่ีเกิดขนึ้ โดยลาํ ดับดังน้ี ความสัมพันธ์กับประเทศในยุโรป ในเวลานั้นพวกโปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ และฝร่ังเศส กาํ ลงั ออกแสวงหาอาณาจักรนคิ มในเอเชีย โปรตุเกสและเนเธอร์แลนด์กําลังแย่งชิง กนั เปน็ เจา้ ของหมู่เกาะอินโดนเี ซีย สว่ นองั กฤษกับฝร่ังเศสกําลังแย่งอํานาจกันเป็นใหญ่ในอินเดีย สําหรบั ไทยน้นั ปลอดภัยจากการถูกล่าอาณานิคม เพราะไทยมีเอกภาพทางการเมืองม่ันคง และ เพราะการดําเนินวิเทโศบายบางอย่างของไทย ในสมัยนี้การค้าขายของไทยกว้างขวางออกไป มาก เมืองสินค้าของไทย คือเมืองนครศรีธรรมราช เมืองตะนาวศรี และมะริด ได้มีเรือหลวง สง่ สนิ คา้ ออกไปขายในอินเดีย สนิ คา้ ทวี่ า่ คอื ช้าง ข้าว ไมส้ ัก และเคร่ืองเทศ เกิดมปี ญั หาแย่ง การค้าขายกันขึ้นในระหว่างไทยกับเนเธอร์แลนด์และอังกฤษ ทางฝ่ายตะวันออก เรือสินค้าได้ เดนิ ทางไปถงึ ญ่ปี ุ่น กรณีพพิ าทกบั อังกฤษและฮอลนั ดาก็เกย่ี วกับการแย่งผลประโยชนท์ างการค้า ไทยได้ประกาศสงครามกับบริษัทอีสต์อินเดียของอังกฤษ อังกฤษได้ส่งเรือรบมายิงเมืองมะริด ตะนาวศรีของไทย แล้วยกพลขึ้นยึดเมืองไว้ แต่แล้วก็ถูกไทยขับไล่พร้อมกับปล่อยแพไฟไปเผา เรือองั กฤษ ส่วนฮอลันดาเวลาน้นั มีอํานาจอยใู่ นเมอื งปัตตาเวียในชวา ได้ยกเรอื รบมาเตรียมจะตี ไทยทางเมอื งนครศรธี รรมราช แตถ่ ูกไทยขับไล่ มขี อ้ ท่ีน่าสังเกตว่า ทั้งอังกฤษและฮอลันดามามี เมืองขึ้นในเอเซียน้ัน ช้ันแรกเป็นพวกพ่อค้า ทําการรบพุ่งล่าอาณานิคมในนามของกษัตริย์ ภายหลงั จึงโอนไปให้รฐั บาลในประเทศนั้นรับงานล่าอาณานิคมตอ่ ไป แต่เหตุไรไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาจึงรอดจากการถูกล่าเป็นอาณานิคมไปได้ น่ีก็เพราะ เอกภาพทางการเมืองของไทยนั้นเองได้ช่วยไทยเอาไว้ คือ ไทยมิได้แบ่งแยกเป็นรัฐเล็กรัฐน้อย รบพุ่งกันเองอย่างในชวา อินเดีย ลังกา พวกล่าอาณานิคมไปประสบช่องเข้าก็ช่วยสนับสนุนฝ่าย ใดฝ่ายหน่ึง เสร็จแล้วก็เรียกร้องเอาผลประโยชน์มีดินแดนเป็นต้น เม่ือไม่ได้จึงเข้ายึดบ้านเมือง เขาทีเดียว สภาพเช่นนี้ไทยไม่มี อย่างไรก็ตาม สมเด็จพระนารายณ์ก็ต้องดําเนินวิเทโศบาย อาศัยกําลังชาวยุโรปไว้ดุลย์อํานาจชาวยุโรปด้วยกัน และชาติน้ันคือฝร่ังเศส เพราะเป็นศัตรูกับ อังกฤษ และฮอลันดาในเรื่องลัทธิศาสนาคือฝร่ังเศสนับถือนิกายโรมันคาธอลิค พระเจ้าหลุยส์ ทรงธรรม พระองค์เป็นศาสนูปถัมภ์ของนิกายนี้กดขี่ในนิกายอื่น อังกฤษกับฮอลันดานับถือนิกาย โปรเตสแตนต์นิกายคาลวินในกลุ่มนิกายเชิร์ชออฟอิงแลนด์ ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อโรมันคาธอลิก อย่างแรง อังกฤษกับฝรั่งเศสจึงขัดแย้งกันในเร่ืองผลประโยชน์ในอินเดีย พระเจ้าหลุยส์เองก็ ปรารถนาแสวงหาพันธมิตรในตะวันออกไว้ เพระฉะนั้น สัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับฝร่ังเศสจึง มขี ้ึน ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั ิความสําคัญของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๑๓๙
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161