พระชาติภูมิ : ทรงเปนกษตั ิรยแ หงราชวงศโมรยิ ะ นกั ปราชญท์ างประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนาบนั ทึกไว้วา่ หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับ ขันธปรินิพพานแล้ว ในปีพุทธศักราช ๑ แคว้นมคธ ท่ีมีกรุงราชคฤห์ เป็นนครหลวง ภายใต้ การปกครองโดยระบอบกษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราช ก็ยังคงเป็นแคว้นมหาอํานาจท่ีมีความ เจริญรุ่งเรืองมากท่ีสุดในอินเดียภาคกลาง เพราะสามารถรวบอํานาจการปกครองทั้งแคว้น โกศลและแคว้นวัชชีไว้ได้ โดยขณะนั้น ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าอชาตศัตรู พระราชโอรส ของพระเจ้าพิมพิสาร พุทธมามกกษตั ริย์องค์สาํ คัญแหง่ แคว้นมคธเม่ือครง้ั พุทธกาล พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทรงสร้างเมืองปาฏลีบุตร ขึ้นเพื่อใช้เป็นเมืองหน้าด่านในการ ต่อสู้กับแคว้นวัชชี ท่ีอยู่ฝ่ังตรงข้ามของแม่นํ้าคงคา ต่อมาพระเจ้าอชาตศัตรูถูกพระราชโอรส สําเร็จโทษจนสวรรคต แล้วกษัตริย์ผู้ครองราชย์องค์ต่อๆ มา ได้โปรดให้ย้ายนครหลวงจากนคร ราชคฤห์มาอยู่ทปี่ าฏลบี ุตร จากนนั้ พระนครราชคฤห์ก็เส่ือมลงๆ ในขณะท่ีพระนครปาฏลีบุตร ได้เจริญมากข้นึ ๆ จนจัดได้วา่ เป็นหน่ึงในหกของมหานครทย่ี ิง่ ใหญแ่ หง่ อนิ เดยี โบราณ ตามประวตั ศิ าสตรก์ ลา่ ววา่ กษตั ริย์ในราชวงศพ์ ระเจา้ พมิ พสิ ารนี้ พระโอรสทุกพระองค์ ได้สําเร็จโทษพระราชบิดา แล้วขึ้นครองราชสมบัติถึง ๕ ชั่วโคตร จนในที่สุด ประชาชนทนอยู่ ในการปกครองของกษัตริย์ในราชวงศ์นี้ไม่ได้ จึงพร้อมใจกันสําเร็จโทษกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่ง ราชวงศข์ องพระเจา้ พมิ พสิ าร แล้วสถาปนาให้พระเจา้ สสุ นู าคเปน็ กษัตริย์ปกครองตอ่ มา พระเจ้ากาฬาโศก ได้เสวยราชย์สืบต่อจากพระเจ้าสุสูนาค และทรงครองราชย์อยู่นาน ๒๘ ปี พระองค์ทรงมีพระโอรส ๑๐ องค์ ได้แก่ ภัทรเสน โกรัณฆวรรณ มังกร สัพพัญหะ ชาลิกะ สัญชัย อุภคะ โกรพยะ นันภิวัฑฒนะ ปัญจมตะ และพระโอรสได้ครองราชย์ต่อมา ครน้ั เมอ่ื พ.ศ. ๑๔๐ ราชวงศ์สุสนู าคก็ส้ินสุดลงดว้ ยถกู นายโจรนนั ทะพิฆาตจนหมดสิ้น ต่อจากน้ัน นายโจรนันทะได้ต้ังราชวงศ์นันทะข้ึน โดยมีเจ้าครองนครสืบต่อกันมาอีก ๙ องค์ ดังน้ี คอื อคุ คเสนนันทะ กนกนนั ทะ จนั ทคุตกิ นันทะ ภูตปาลนันทะ รัฏฐปาลนันทะ โควิสาณกนันทะ ทสสิทธิกนันทะ เกวฏนันทะ และธนนันทะ รวมเวลาครองราชย์อยู่ ๒๒ ปี เจา้ มหาปัทมนันทะ ผ้เู ป็นโอรสสืบเช้อื สายจากเจ้าธนนนั ทะ ทรงอุปถัมภพ์ ระพุทธศาสนาต่อมา อเล็กซานเดอร์มหาราชบุกอินเดีย : ในสมัยเดียวกับราชวงศ์นันทะนี่เอง ประเทศ อินเดียได้ถูกย่ํายีจากข้าศึกต่างด้าวทางยุโรป คือ กองทัพกรีก ซึ่งมีอเล็กซานเดอร์มหาราช กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรมาซิโดเนีย เป็นนายทัพ บุกเข้ามาตีประเทศอินเดียทางภาคเหนือ เข้าสู่บริเวณแถบลุ่มแม่น้ําสินธุ โดยตีกรุงตักกสิลา ในแคว้นคันธาระแตก แล้วบุกตะลุยลง มาตีแควน้ ปัญจาบ ๔๐ ประวตั ิความสาํ คญั ของการเผยแผพระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
อเล็กซานเดอรม์ หาราชถูกตอ่ ต้านจากกองทพั ของพระเจ้าเปารวะ ผูน้ ําทพั ทีม่ ีฉายาว่า “สิงห์แห่งปัญจาบ” การสู้รบเป็นไปอย่างดุเดือดบนฝั่งแม่นํ้าวิตัสสะ อันเป็นสาขาหน่ึงของแม่น้ํา สินธุ ในที่สุด พระเจ้าเปารวะพ่ายแพ้ ถูกจับเป็นเชลยศึก ต่อมาภายหลัง อเล็กซานเดอร์ มหาราชไดค้ นื บา้ นเมืองให้แกพ่ ระเจ้าเปารวะปกครองตามเดิม แตอ่ ยใู่ นฐานะเมอื งขึน้ จากนั้น อเล็กซานเดอร์มหาราชก็ได้เตรียมการยกพลเพ่ือมาตีแคว้นมคธท่ีมีความมั่งค่ัง สมบูรณ์ต่อไป แต่พวกนายทัพนายกองท้ังปวงเกิดแข็งข้อ ไม่ยอมเดินทัพต่อไป ทุกคนอ้างว่า อิดโรยมากและคิดถึงลูกคิดถึงเมีย อยากกลับบ้านเกิดเมืองนอน อเล็กซานเดอร์มหาราชจึงจํา พระทัยเลิกทัพกลับไปยังประเทศกรีก เมื่อเสด็จกลับถึงกรุงบาบิโลน แห่งลุ่มแม่นํ้าไตกริส กับ ยูเฟรตสี ก็ไดส้ ิ้นพระชนม์ เมื่อ พ.ศ. ๒๒๐ ทรงมีพระชนมายุไดเ้ พยี ง ๓๓ ปีเท่านัน้ จันทรคปุ ต์กู้ชาติ : เมือ่ อเลก็ ซานเดอร์มหาราชตีได้บ้านเมืองใดแล้ว พระองค์ก็มักทรง แต่งต้ังให้ชาวเมืองหรือเจ้าของเดิมเป็นผู้ดูแลปกครองบ้านเมืองต่อไป และได้จัดให้นายทัพ นายกองซึ่งเป็นชาวกรีกคอยควบคุมอีกทีหน่ึง แต่ครั้นเม่ืออเล็กซานเดอร์มหาราชสวรรคตลง บรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหมดท้ังมวลต่างต้องการอิสรภาพ ไม่ต้องขึ้นต่ออาณาจักรกรีกในยุโรป อีกต่อไป ทุกคนต้องการเป็นตัวแทนของอเล็กซานเดอร์กันท้ังนั้น จึงทําสงครามรบพุ่งกันอย่าง ยุ่งเหยิงเป็นพัลวัน ครั้งน้ัน ข้าหลวงชาวกรีกผู้หนึ่งซ่ึงได้รับมอบให้กํากับควบคุมพระเจ้าเปารวะ เป็นกบฏ จับพระเจ้าเปารวะปลงพระชนม์เสีย ทําให้ชาวอินเดียโกรธแค้นลุกขึ้นจับอาวุธขับไล่ พวกชาวกรีก ในหมชู่ าวอินเดียก้ชู าติเหล่าน้ี มีคนสาํ คัญคนหนงึ่ นามวา่ จันทรคปุ ต์ อยู่ดว้ ย จันทรคุปต์เป็นคนหนุ่ม ท่ีใฝ่สูงและกล้าหาญ เล่ากันว่า จันทรคุปต์มีเชื้อสายโมริยะ ซึ่งสืบมาแต่ศากยวงศ์ของพระพุทธองค์ ที่หนีรอดตายมาจากสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุพวกเจ้า ศากยะที่ถือช้ันวรรณะจัดจนเป็นเหตุให้พระเจ้าวิฑูฑภะ กษัตริย์แห่งแคว้นโกศล พระโอรสของ พระเจ้าปเสนทโิ กศล พุทธมามกกษัตยิ อ์ งคส์ ําคญั ครง้ั พทุ ธกาล เกิดความความอาฆาตแค้นแสน สาหัสท่ีได้ถูกดูหม่ินเหยียดหยามว่าเป็นลูกหญิงรับใช้จากพวกเจ้าศากยะเมื่อคราวเสด็จเยี่ยม พระเจ้ามหานามะ กษัตริย์เจ้าศากยะ ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระเจ้าตา โดยเหตุที่พระเจ้าวิฑูฑภะน้ัน ประสูติจากพระนางวาสภขัตติยา ผู้เป็นธิดานางทาสีหรือหญิงรับใช้ของเจ้ามหานามะ แต่พวก เจ้าศากยะส่งไปเป็นพระชายาของพระเจ้าปเสนทิโกศลซึ่งมีความประสงค์จะเป็นพระญาติของ พระพุทธเจ้าโดยการอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงศากยะ โดยพวกเจ้าศากยะไม่สามารถขัดพระราช ประสงค์ของพระเจ้าปเสนทิโกศล ซ่ึงมีพระราชอํานาจมากในครั้งน้ันได้ แต่เพราะความมี อติมานะถือตัวและถือช้ันวรรณะจัดของพวกเจ้าศากยะ จึงลวงว่าพระนางวาสภขัตติยาเป็นเจ้า หญงิ ศากยะผมู้ ีพระชาตเิ สมอกันกบั พระเจ้าปเสนทโิ กศล ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั คิ วามสาํ คัญของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา ๔๑
เมือ่ พวกเจ้าศายะเหล่าน้ันหนอี พยพขน้ึ ไปทางแถบภเู ขาหิมาลัย ได้พบสถานท่ีน่ารื่นรมย์ กึกก้องด้วยเสียงนกยูง จึงได้สร้างนครขึ้นใหม่ข้ึนช่ือว่า “โมริยนคร” ดํารงสกุลวงศ์สืบเชื้อสาย กษตั รยิ ์ต่อเนอื่ งกนั มา จนถึงพทุ ธศตวรรษท่ี ๒ พระราชาผู้ครองนครถกู ลอบปลงพระชนมน์ แต่ พระมเหสีของพระองค์ซ่ึงมีพระครรภ์แก่สามารถเสด็จหลบหนีภัยไปได้ จนมาอาศัยอยู่ท่ีเมือง ปาฏลบี ุตร และไดป้ ระสูติโอรสช่อื ว่า จนั ทรคุปต์ ทีเ่ มอื งปาฏลบี ุตรนน่ั เอง จันทรคุปต์เม่ือเติบใหญ เป็นคนท่ีมีร่างกายแข็งแรง มีลักษณะเป็นชายชาติทหาร จึงมี ความฮึกเหิมมักใหญ่ใฝ่สูงท่ีจะเป็นผู้นําหรือเป็นกษัตริย์ปกครองประเทศ ถึงขนาดเคยซ่องสุมจัด กําลังผู้คนเพื่อจะชิงราชสมบัติของกษัตริย์ในราชวงศ์นันทะ แต่ความได้ล่วงรู้ถึงพระเจ้านันทะ เสียก่อน จันทรคุปต์จึงต้องหลบหนีราชภัยไปอยู่ท่ีเมืองตักกศิลา และได้เข้าไปขันอาสาพระเจ้า อเล็กซานเดอร์มหาราชว่าจะนําทพั กรีกเข้าตีแควน้ มคธ แต่เมื่อทัพกรีกเลิกทัพไปเสียก่อน จันทรคุปต์ก็เที่ยวป้วนเป้ียนรวบรวมสมัครพรรคพวก อยู่แถวแคว้นปัญจาบและชายแดนมคธ บังเอิญจันทรคุปต์ได้เสนาธิการเป็นพราหมณ์ท่ีช่ือ จาณกั ยะ ซ่ึงเปน็ คนฉลาดแกมโกงและมีไหวพริบดีมาก เป็นผู้วางแผนการโจมตีแคว้นต่างๆ จน สามารถขบั ไลอ่ ิทธพิ ลของกรีกในปัญจาบไปได้ แล้วจันทรคุปตจ์ ึงได้บุกเข้าปล้นเมืองใหญ่ๆ ของ แควน้ มคธ จนในท่ีสุดสามารถรบชนะพระเจ้าธนนนั ทะ กษัตรยิ ์องค์ท่ี ๙ แหง่ ราชวงศ์นันทะได้ จันทรคุปต์จึงได้ปราบดาภิเษกเป็นปฐมบรมกษัตริย์และต้ังราชวงศ์โมริยะข้ึน ทรง ครองราชย์อยู่ในนครปาฏลีบุตรนาน ๒๔ ปี โดยมีอาณาเขตพระนครและหัวเมืองขึ้นเป็นจํานวน มาก เวลานั้นมีแต่การรบพุ่งปราบปรามแว่นแคว้นต่างๆ ทั้งในลุ่มแม่น้ําสินธุและแม่นํ้าคงคา ตลอดจนสามารถขับไล่กรีกให้พ้นไปจากอินเดียได้ ภายหลังจากที่พระจันทรคุปต์เสด็จสวรรคต พระเจ้าพินทุสาร พระราชโอรสของพระองค์ได้เป็นรัชทายาทปกครองนครปาฏลีบุตรสืบแทน และทรงครองราชย์อยนู่ านถึง ๒๘ ปี กําเนิดอโศกราชกุมาร : พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงประสูติเม่ือปีพุทธศักราช ๑๘๔ (บางตําราว่าทรงประสูติเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑) ณ นครปาฏลีบุตร แคว้นมคธ ทรงมีพระนามว่า “อโศก” หรืออ่านว่า “อโศกะ” แปลว่า “ผู้ปราศจากความทุกข์โศก” (แต่ทรงโปรดให้เรียก พระองค์ในศิลาจารึกว่า “เทวานัมปิยทัสสี” แปลว่า “กษัตริย์ผู้เป็นท่ีรักใคร่ของเทพเจ้า”) พระองค์ทรงเป็นหนึ่งในจํานวนพระราชโอรส ๑๐๑ พระองค์ ของ พระเจ้าพินทุสาร กษัตรย์ พระองค์ที่ ๒ แห่งราชวงศ์โมริยะ (หรอื เมารยะ ในภาษาสันสกฤต) ทรงประสูติจากพระครรภ์ ของพระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางสิริธัมมา หรือ พระนางศิริธรรมา บางแห่งเรียกว่า พระนางธรรมา บา้ ง พระนางสภุ ทั รา บ้าง และพระองค์ทรงมพี ระอนชุ ารว่ มครรภ์พระมารดา เด่ียวกันองค์หน่ึงนามว่า ติสสะ หรือ ติสสราชกุมาร (ในคัมภีร์สันสกฤต กล่าวว่า เจ้าชาย ๔๒ ประวัติความสาํ คญั ของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.
อโศกเป็นเพียงโอรสของพระเจ้าพินทุสาร ที่ประสูติจากนางพราหมณี ผู้เป็นพระสนมเอกของ พระเจา้ พินทสุ ารเทา่ น้นั และได้มอี นชุ าร่วมครรภม์ ารดาอยู่ผหู้ น่งึ ชอื่ วา่ วีตโศก) มีเรื่องเล่าเพ่ิมเติมว่า เมื่อพระนางสิริธัมมา พระราชมารดา ทรงครรภ์อโศกราชกุมาร น้ัน มีอันเป็นให้พระนางทรงนึกปรารถนาจักเหยียบดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ พร้อมทั้งทรง ปรารถนาอยากจะเสวยดวงดาวและเมฆกับรากดินภายใต้พื้นปฐพี และต่อมาวันหนึ่ง พระเจ้า พินทสุ ารทรงอมุ้ อโศกราชกุมารให้นั่งเล่นอยู่บนพระเพลา ทรงหยิบมหาสังข์ทักษิณาวัตรให้อโศก ราชกุมารเล่น แต่อโศกราชกุมารกลับถ่ายมูตรลงใส่มหาสังข์นั้น พระราชบิดาจึงทรงยกสังข์ขึ้น รดลงยังเศียรเกล้าของพระราชโอรส พระนางสิริธัมมาทรงให้บอกความแก่อาชีวกคนหนึ่งท่ีทรง นับถือ อาชีวกนั้นพยากรณ์ว่า พระโอรสอโศกราชกุมารผู้น้ีต่อไปจักได้เป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ แห่งชมพทู วีปดว้ ยนมิ ติ นนั้ กระแสความคําพยากรณ์ของอาชวี กนไี้ ด้ทราบถึงพระเจา้ พินทสุ าร ดํารงตําแหนง อปุ ราช ครองเมืองอุชเชนี โดยเหตุที่พระเจ้าพินทุสารทรงมีพระราชโอรสนับจํานวนรวมท้ังเจ้าชายอโศกได้ ๑๐๑ พระองค์ ซ่ึงพระราชโอรสองค์หัวปีที่เป็นพระเชษฐาหรือพี่ชายใหญ่ มีพระนามว่า สุมนะ (หรือ สุสิมะ ในคัมภีร์สันสกฤต) ได้เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าพินทุสารเช่นกันถึงข้ันตั้งพระทัยจะ มอบราชสมบัติให้ แต่เจ้าชายอโศกได้แสดงความสามารถในการรณรงค์ยงยุทธกับพวกเจ้าเมือง ตักศิลา ซึ่งเป็นกบฏตั้งแข็งเมืองจนได้ชัยชนะ โดยตอนแรก พระเจ้าพินทุสารได้ส่งเจ้าชาย สุมนะพร้อมกองทัพไปปราบ แต่เจ้าชายสุมนะไม่สามารถปราบสําเร็จได้ พระองค์จึงส่งเจ้าชาย อโศกไปแทน เม่ือเจ้าชายอโศกปราบกบฏได้สําเร็จโดยที่ขณะน้ันเจ้าชายอโศกทรงมีพระชนมายุ ได้เพียง ๑๗ พรรษา ทําให้เจ้าชายอโศกมีช่ือเสียงปรากฏเล่ืองล่ือว่ามีความสามารถเก่งกาจใน การรบโดดเด่นโด่งดังมากกว่าพระโอรสองค์อื่นๆ พร้อมกับเล่ืองลือว่าทรงมีพระนิสัยดุร้ายมาก ดังนั้น พระเจ้าพินทุสารจึงทรงแต่งตั้งเจ้าชายอโศกให้ไปดํารงตําแหน่งอุปราช ปกครองกรุง อุชเชนี นครหลวงแห่งแคว้นอวันตี ซ่ึงเป็นการเสือกไสให้ไกลออกไปจากราชธานีป้องกันไม่ให้ มาแย่งราชสมบัติกับเจ้าชายสุมนะ เพราะพระเจ้าพินทุสารทรงเกิดความปริวิตกกังวลพระทัย เกรงวา่ จะมกี ารรบราฆ่าฟันแย่งชงิ ราชสมบัตใิ นระหวา่ งพระราชโอรสของพระองค์ดว้ ยกนั อภิเษกสมรส กล่าวกันว่า ขณะเสด็จดําเนินไปครองเมืองอุชเชนีตามพระราชบัญชา เจ้าชายยอโศก เสด็จผ่านเมืองเวทิส ทรงพบสาวสวยนางหน่ึงนามว่า เวทิสา ผู้เป็นธิดาของเศรษฐีประจําเมือง จึงทรงตกหลุมรักและขออภิเษกสมรสต้ังนางเป็นมหาเทวีหรือพระวรชายาครองเมืองอุชเชนีอยู่ ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั คิ วามสาํ คัญของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๔๓
ด้วยกัน ทรงมีพระโอรสและพระธิดาท่ีประสูติจากพระนางเวทิสามหาเทวี ๒ พระองค์ด้วยกัน คอื พระโอรสองค์แรก พระนามว่า มหินทะ ทรงประสูติเมื่อเจ้าชายอโศกมีพระชนมายุได้ ๒๐ พรรษา และพระธิดาองค์แรก พระนามว่า สังฆมิตตา ทรงประสูติเมื่อเจ้าชายอโศกมีพระชนมายุ ได้ ๒๒ พรรษา ภายหลังจากท่ีเจ้าชายอโศกราชทรงครองราชสมบัติ ณ นครปาฏลีบุตรแล้ว ได้ทรง สถาปนา พระนางอสันธิมิตตา เป็นพระอัครมเหสี กล่าวกันว่า พระองค์ทรงมีพระโอรสและ พระธิดากบั พระมเหสีองค์อน่ื ๆ รวมกนั ทงั้ หมด ๑๑ พระองค์ ทาํ สงครามแยงชงิ ราชสมบตั ิ จาํ เนยี รกาลลว่ งมา ลุถงึ พุทธศกั ราช ๒๑๔ พระเจา้ พินทสุ าร ทรงประชวรใกลส้ วรรคต ได้มีพระบัญชารับสั่งให้เรียกเจ้าชายอโศกซ่ึงขณะน้ันทรงมีพระชนมายุ ๓๐ พรรษา เสด็จกลับ พระนครปาฏลีบุตร เพื่อทรงมอบราชสมบัติให้ครอบครองสืบต่อพระองค์ในฐานะท่ีเจ้าชายอโศก ทรงเป็นองค์รัชทายาทโดยชอบธรรม คร้ังน้ัน เจ้าชายสุมนะ พระเชษฐาหรือพ่ีชายใหญ่ท่ีมิได้ เกิดจากอัครมเหสี ซ่ึงเป็นพระโอรสหัวปีของพระเจ้าพินทุสาร ไม่ทรงพอพระทัยเป็นอย่างย่ิง จงึ ตรัสเรยี พระอนชุ าอกี ๙๘ องคม์ าปรกึ ษาวางแผนชงิ ราชสมบัติ แลว้ ลงมอื ร่วมกันยกกองทัพมา ทําสงครามรบแย่งราชสมบัติกับเจ้าชายอโศก แต่เพราะความเก่งกาจเช่ียวชาญในกลยุทธ์แห่ง สงครามที่เหนือกว่า ทําให้เจ้าชายอโศกพร้อมด้วยเจ้าชายติสสะเป็นฝ่ายได้ชัยชนะโดยเบ็ดเสร็จ เจา้ ชายอโศกจึงจบั พระเชษฐาและพระอนุชาทั้ง ๙๙ องคส์ ําเรจ็ โทษดว้ ยการประหารพระชนม์เสีย ทรงละเว้นไม่ปลงพระชนมน์เฉพาะแต่พระอนุชาร่วมพระอุทรมารดาเดียวกันกับพระองค์ คือ เจา้ ชายตสิ สะ โดยทรงต้ังใหเ้ ปน็ อุปราช แล้วพระองค์ทรงครองราชสมบัติเป็นเอกอัครกษัตริย์ใน ชมพูทวีปแต่เพยี งผู้เดียว นบั เป็นเวลา ๔ ปี จึงทรงโปรดให้พิธีราชาภิเษกเม่ือ พ.ศ. ๒๑๘ สมดัง ขอ้ ความทพี่ ระพุทธโฆสาจารยร์ จนาไว้ในคัมภีร์สมันตปาสาทกิ าวา่ “สมัยนั้น พระเจ้าพินทุสารมีพระราชโอรส ๑๐๑ พระองค์ พระเจ้าอโศกทรงสั่งให้ สําเร็จโทษพระราชโอรสเหล่านั้นเสียทั้งหมด ยกไว้แต่เจ้าติสสกุมาร ผู้ร่วมพระมารดาเดียวกัน กบั พระองค์ ทา้ วเธอเมือ่ ส่งั ให้สาํ เรจ็ โทษ ยังมิไดท้ รงอภเิ ษกเลย ทรงครองราชย์อยู่ถึง ๔ ปี ต่อ ล่วงไปได้ ๔ ปี ในปีที่ ๑๘ ถัดจาก ๒๐๐ ปี แต่ปีปรินิพพานของพระตถาคตมา จึงทรงถึงการ อภเิ ษกเปน็ เอกราชในชมพทู วปี ทงั้ ส้นิ ” พระเจ้าพินทุสารทรงครองสิริราชสมบัติ ณ นครปาฏลีบุตร แคว้นมคธ นับเวลา ๒๘ ปี พอสิ้นรัชกาลของพระองค์ แลว้ จงึ ถึงยคุ ของพระเจา้ อโศกมหาราช เริม่ ตงั้ แต่ พ.ศ. ๒๑๔ ๔๔ ประวัตคิ วามสําคัญของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.
ในคัมภีร์สันสกฤต “อโศกวทาน” เล่าเหตุการณ์การขึ้นครองราชย์สมบัติของพระเจ้า อโศกมหาราช ผดิ แผกพสิ ดารออกไปจากคมั ภีร์บาลี ดงั น้ี “โดยทพี่ ระเจา้ พินทุสารทรงต้ังพระทัยมอบเศวตฉตั รราชสมบัติให้แก่เจ้าชายสุสิมะ (หรือ สุมนะ ในคัมภีร์บาลี) แต่พวกเสนาบดีและมหาอํามาตย์ส่วนใหญ่ไม่มีใครพอใจ เพราะเห็นว่า เจ้าชายสุสิมะนั้นมีความอ่อนด้อยในการศึกสงคราม ขาดภาวะผู้นํา โดยไม่มีความเด็ดเด่ียว เข้มแข็งแข็งเหมือนเจ้าชายอโศกซ่ึงมีคุณสมบัติของผู้นําเพียบพร้อม ดังนั้น พวกเสนาบดีและ มหาอํามาตยส์ ่วนใหญ่จึงหาอุบายทัดทานเพ่ือมิให้เจ้าชายสุสิมะได้ครองราชสมบัติสมตามพระทัย ของพระเจา้ พนิ ทสุ ารโดยประการต่างๆ เพราะมีความศรัทธาในความเก่งกล้าสามารถของเจ้าชาย อโศก ปรารถนาจะเห็นเจ้าชายอโศกเป็นจอมกษัตริย์นําทัพชมพูทวีปตะลุยดินแดนต่างๆ เป็น อาณานิคม ความรักความศรัทธาของพวกเสนาอํามายต์ที่มีต่อเจ้าชายอโศกดังกล่าว ถึงข้ันท่ีว่า มีอัครอํามาตย์ผู้หนึ่งชื่อรัฐคุปต์ ได้สมคบคิดท่ีจะปลงพระชนม์เจ้าชายสุสิมะเพื่อตัดตอนมิให้ข้ึน ครองราชสมบัติ และเป็นการเปิดโอกาสให้เจ้าชายอโศกได้รับความไว้วางพระทัยจากพระเจ้า พินทุสาร ต่อมา พวกเจ้าเมืองตักศิลาก่อการกบฏเป็นปฏิปักษ์ต่อนครปาฏลีบุตรอีก พระเจ้า พินทุสารจึงทรงส่งเจ้าชายสุสิมะไปปราบ แต่เจ้าชายสุสิมะไร้ความสามารถจึงปราบไม่สําเร็จ พระเจ้าพินทุสารทรงประชวรหนัก และทรงมีความห่วงใยเจ้าชายสุสิมะ จึงดํารัสตรัสส่ังให้ส่ง เจ้าชายอโศกขึ้นไปรบแทน พวกเสนาบดีเห็นว่าจะเป็นอันตรายแก่เจ้าชายอโศก จึงช่วยกันแต่ง อุบายทูลถวายวา่ เจา้ ชายอโศกประชวรหนักถึงกบั อาเจียนโลหิต ไม่สามารถนําทัพไปปราบกบฏ ได้ ต่อมาเมื่อเห็นพระอาการประชวรของพระเจ้าพินทุสารเพียบหนักลง พวกเสนาบดีเห็นเป็น โอกาสสมควร จึงไปทูลเจ้าชายอโศกให้เข้าไปเฝ้าพระเจ้าพินทุสาร ณ ที่บรรทม และพร้อมกัน กราบทูลพระเจ้าพินทุสารขอให้ทรงสละราชสมบัติให้เจ้าชายอโศกเป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติ ณ นครปาฏลีบุตรสืบต่อไป พระเจ้าพินทุสารทรงสดับดังนั้น ก็ทรงพิโรธโกรธกร้ิวจนพระอาการ ประชวรทรุดหนักจนเสด็จสวรรคตไปในที่สุด พวกเสนาบดีและมหาอํามาตย์จึงได้ตกลงกันถวาย ราชสมบัติแกเ่ จ้าชายอโศก เจ้าชายสุสิมะทรงทราบข่าวว่าเจ้าชายอโศกได้ครองราชสมบัติเช่นนั้น จึงกรีฑาพลลงมา นครปาฏลีบุตรเพื่อทําสงครามแย่งเศวตฉัตรราชบัลลังก์กับเจ้าชายอโศก ในสงครามคร้ังน้ัน เจ้าชายอโศกได้แต่งอุบายล่อลวงทําลายพระชนม์ของเจ้าชายสุสิมะสําเร็จ แม่ทัพคนหน่ึงของ เจ้าชายสุสิมะชื่อวีรเสน เมื่อเห็นเจ้านายตนเสียทีแล้ว ก็เลยเลิกทัพนําไพร่พลออกบวชเป็นภิกษุ ในพระพุทธศาสนา คราวน้ี เจ้าชายอโศกก็ได้เป็นกษัตริย์โดยสมบูรณ์จริงๆ แต่อุปนิสัยโหดร้าย มาก กล่าวกันว่า เมื่อพระองค์ทรงขึ้นเสวยราชย์ใหม่ๆ ทรงพิโรธลงมือประหารชีวิตพวกขุนนาง และขา้ ราชการท่กี ระดา้ งกระเด่อื ง จํานวน ๕๐๐ คน และเม่ือมีใครไม่ปฏิบัติตามพระดํารัสส่ัง ก็ รับสั่งให้ประหารชีวิตเสียโดยทันที เช่น คราวหนึ่ง พระเจ้าอโศกมีคําสั่งให้บํารุงรักษาต้นอโศก ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัติความสําคัญของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๔๕
เพราะเป็นต้นไม้ที่มีชื่อเหมือนพระองค์ พวกสาวสนมกํานัลไปหักรานกิ่งไม้ดอกไม้ต้นอโศกเล่น พระเจ้าอโศกทรงพิโรธโกรธกริ้วจึงรับส่ังให้ลงโทษโดยให้ราชบุรุษจับสาวสนมกํานัลเหล่านั้นเผา ไฟท้ังเป็น ต่อมา พระองค์จึงได้รับสั่งให้สร้างสถานที่สําหรับลงโทษผู้กระทําผิดข้ึน สถานแห่งนี้ มีลักษณะเป็นขุมนรกในมนุษย์โลก มีวิธีการลงทัณฑกรรมแบบต่างๆ เช่น เอาลงต้มในกระทะ ทองแดง และจับใส่ครกเหล็กโขลกให้ละเอียด เป็นต้น กาลต่อมามีพระอรหันต์รูปหนึ่ง ชื่อ พระสมุทระ ได้สําแดงปาฏิหาริย์เทศนาโน้มน้าวพระทัยให้พระเจ้าอโศกหันมาเลื่อมใสใน พระพุทธศาสนาสําเร็จ พระเจ้าอโศกจึงรับส่ังให้เลิกสถานทัณฑกรรม เปล่ียนพระอุปนิสัยเป็น เมตตากรุณาบํารุงพระศาสนาสร้างพระสถูปเจดีย์ ส้ินพระราชทรัพย์ ๙๖ โกฏิ แล้วพระองค์ เสด็จพระราชดําเนินบูชาพระพุทธานุสสรณ์สถานต่างๆ ภายใต้การนําของคณาจารย์รูปหน่ึงช่ือ พระอปุ คุปต์ พระเจา้ อโศกมพี ระโอรสหน่งึ ทรงนามว่า กณุ าละ มพี ระรูปโฉมโสภางามสงา่ ย่ิงนกั จนเป็นท่ีต้องพระทัยของพระมเหสีรองของพระเจ้าอโศก คือพระนางติษยรักษิต แต่เจ้าชาย กุณาละไม่ทรงไยดีตอบ พระนางติษยรักษิตจึงทําอุบายประทุษร้ายกุณาละด้วยวิธีควักพระเนตร กุณาละออกทง้ั สองขา้ ง เมื่อพระเจ้าอโศกชราภาพลง ปรากฏว่าพระราชอํานาจถูกริดรอนลงสิ้น แม้จนกระท่ัง เมื่อปรารถนาจะบริจาคทานก็ไม่มีทรัพย์ให้บริจาค ทั้งนี้โดยคําสั่งของพระราช นัดดา เจ้าชายสัมปทิผู้ซ่ึงเป็นโอรสของเจ้าชายกุณาละ เม่ือเสด็จสวรรคตแล้วราชสมบัติก็ตกแก่ พระเจ้าสัมปทิ” ทรงสลดพระทยั ในการพชิ ิตสงคราม พระเจ้าอโศกทรงปรารถนาท่ีจะพิชิตคาบสมุทรอินเดียครอบครองไว้ทั้งหมดโดยพระองค์ ทรงมุ่งหวังจะเป็นกษัตริย์จักพรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชมพูทวีป ดังน้ัน ภายหลังจากครองราชย์ ใหม่ๆ พระองค์จึงทรงมุ่งแสวงอํานาจอย่างไม่หยุดหย่อนด้วยการกรีฑาทัพไปรบตีเอาดินแดน อ่ืนๆ ไว้เปน็ เมอื งขน้ึ ของแคว้นมคธ โดยทรงพิชิตสงครามลา่ ดนิ แดนทกุ แหง่ หนมาเรอื่ ย กล่าวกัน ว่า พระองค์ได้แผ่แสนยานุภาพครอบงําต้ังแต่เทือกภูเขาหิมาลัย ลงไปถึงปลายแหลมอินเดีย เปน็ พระจักรพรรดอิ งคแ์ รกของอินเดียทีม่ ีช่ือเสียงเป็นท่ีรู้จักในราชสานกั ของยุโรปสมัยนัน้ พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงทําการศึกสงครามขยายอาณาเขตให้ย่ิงใหญ่ท่ัวชมพูทวีป ทุกแห่งหนท่ีกองทัพของพระองค์บุกเข้าไปไม่มีคําว่าปราชัยมาเลย แต่แล้วก็ถึงคราวท่ีจะต้อง สิ้นสุดการทําสงครามล่าดินแดน เมื่อพระองค์ได้ทําการบุกไปยังแคว้นกลิงคะ (หรือ กาลิงคะ ปัจจบุ ัน คือรฐั โอรสิ า) ซึง่ ถึงแมจ้ ะเปน็ แคว้นเล็กๆ แต่ก็มีกองทัพท่ีเข้มแข็งและเอาชนะยากท่ีสุด เป็นอาณาจักรที่ได้ช่ือว่ามีนักรบเก่งกาจสามารถอย่างย่ิง และได้ต่อสู้รบกันอยู่เป็นเวลานาน เกิดความเสียหายมากมายด้วยกันท้ังสองฝ่าย โดยพระองค์ต้องทุ่มกําลังทหารจํานวนมหาศาล ๔๖ ประวัติความสําคัญของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
และทุ่มเวลาในการต่อสู้กับพวกคนชาวเมืองแคว้นกลิงคะเป็นเวลานานจึงเอาชนะได้ เพราะคน เมืองน้ีไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้หญิงต่างพากันจับอาวุธต่อสู้กับกองทัพของพระองค์อย่างไม่กลัว ความตาย ท้ังสองฝ่ายรบกันอยู่เป็นเวลานาน ในท่ีสุด ฝ่ายพระเจ้าอโศกสามารถรบชนะตี แคว้นกลิงคะได้สําเร็จ แต่การรบครั้งนั้นเป็นภัยพิบัติที่ร้ายแรงมากเพราะทําให้ผู้คนบาดเจ็บล้ม ตายและสูญหายหรือไม่ก็ถูกจับเป็นเชลยจํานวนนับแสน พระองค์ทรงเห็นซากศพของเหล่า ทหารหาญของทั้งสองแคว้นท่ีนอนตายเกลื่อนสนามรบโลหิตไหลนองไปท่ัวแล้วเกิดความสลด พระทยั พระองคจ์ ึงทรงสํานึกเสียพระทัยเป็นครั้งแรกแห่งการก่อสงครามท้ังในอดีตและปัจจุบัน นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่สําคัญมาก ถึงขั้นเปล่ียนแปลงประวัติศาสตร์เลยทีเดียว ในศิลาจารึกที่มี ช่ือเสียงของพระองค์ มีจารึกหลักหน่ึง ได้ระบุถึงชัยชนะที่กลิงคะว่า พระจักรพรรดิพระองค์น้ี ได้ทรงแสดงความเสียพระทัยออกมาให้เป็นที่ปรากฏแก่สาธารณชน และตรัสถึงความเจ็บปวด รวดร้าวอย่างสุดซ้ึง พระองค์ได้ทรงป่าวประกาศว่า พระองค์จักไม่ทรงถอดพระแสงดาบออกมา เพื่อการพิชิตใดๆ อีกต่อไปเพราะทรงสํานึกสังเวชในบาปกรรม และทรงพักพระวรกายต้ัง พระทัยแสวงหาสัจธรรม จนได้พบกับสามเณรในพระพุทธศาสนาท่ีแสดงหลักอัปปมาทธรรมอัน เป็นสัจธรรมให้ทรงสดับแล้วทรงหันมานับถือพระพุทธศาสนานําหลักพุทธธรรมมาปกครอง ประเทศอย่างย่งิ ใหญ่ พระเจา้ อโศกมหาราชไมเ่ พียงแตท่ รงประกาศล้างมือจากสงครามดว้ ยพระองค์เองเท่าน้ัน แต่ยังทรงแสดงพระราชประสงค์ว่า “ลูกเราและหลานเหลนเราอย่าได้คิดว่าการพิชิตดินแดน เพิ่มขึ้นเป็นส่ิงที่มีค่าควรกระทํา ขอให้คิดถึงเฉพาะการพิชิตเพียงอย่างเดียว คือการพิชิตโดย ธรรมเทา่ นน้ั การพิชิตด้วยวธิ ีนี้เปน็ ความดที ั้งในโลกนแี้ ละโลกหนา้ ” แม้ว่าจะหยุดขยายอํานาจด้วยการทําสงครามล่าดินแดนแค่นี้ แต่อาณาจักรมคธในสมัย พระเจ้าอโศกน้ันก็ยังย่ิงใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศอินเดีย คือ ทางทิศตะวันออก และทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ กินอาณาเขตไปถึงปากีสถานและอัฟกานิสถาน ส่วนทางทิศใต้ ครอบคลุมไม่หมด เพราะพระเจ้าอโศกทรงหยุดแผ่ขยายอาณาจักรหลังจากสงครามชนะแคว้น กลงิ คะ แล้วก็ทรงหยุดแค่นัน้ เพราะทรงหันมายึดหลกั ธรรมวิชยั ของพระพุทธศาสนา เพราะเหตุท่ีพระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงตะลุยบัลลังก์เลือดข้ึนครองราชย์ โดยฆ่าฟัน พระเชษฐาและพระอนุชาร่วมพระราชบิดาเกือบทั้งหมด (ยกเว้นพระอนุชาร่วมพระอุทรมารดา) และเพราะทรงนยิ มแผพ่ ระราชอาณาจักรโดยการทาํ สงครามล่าดินแดน พระองคจ์ งึ ได้สมญานาม ว่า จันฑาโศก แปลว่า อโศกผดู้ ุรา้ ย หากพระเจ้าอโศกมหาราชทรงเห็นซากศพของทหารนักรบเรือนแสนที่แคว้นกลิงคะแล้ว ไม่ทรงสลดพระทยั พระองคอ์ าจจะยงั คงเป็นกษัตริย์ท่ีโหดร้ายซึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะขยายดินแดน ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั คิ วามสาํ คญั ของการเผยแผพระพุทธศาสนา ๔๗
โดยไม่คํานงึ ถงึ การเบียดเบียนและความสญู เสียที่เกิดขึ้น และพระพุทธศาสนาก็คงไม่เจริญรุ่งเรือง ได้รับการสนับสนุนส่งเสริมให้มีการเผยแผ่ไปทั่วชมพูทวีป และคงไม่เจริญรุ่งเรืองมาถึงนานา ประเทศรวมทงั้ ประเทศไทยของเราอยา่ งในทุกวันนี้เป็นแน่ ทรงเลกิ นบั ถือลทั ธิพราหมณ เล่ากันมาว่า พระเจ้าอโศกมหาราชภายหลังจากทรงรับบรมราชภิเษกเป็นกษัตริย์โดย สมบูรณ์แล้ว ได้ทรงนับถือลัทธิของพราหมณ์ ตลอดเวลา ๓ ปี ในปีที่ ๔ จึงได้ทรงเลื่อมใสใน พระพุทธศาสนา โดยเหตุที่พระเจ้าพินทุสาร พระชนกของพระเจ้าอโศกได้ทรงนับถือพวก พราหมณ์ ได้ทรงต้ังนิตยภัตถวายพวกพราหมณ์และพวกปริพาชกนักบวชนอกพระพุทธศาสนา ผู้ถือลัทธิปาสัณฑะ อันเป็นของประจําชาติพราหมณ์ ซ่ึงขณะน้ันมีประมาณหกแสนคน ดังน้ัน พระเจ้าอโศกมหาราชคร้ันทรงครองราชย์สืบสันตติวงศ์ต่อจากพระเจ้าพินทุสารแล้ว ได้ทรง ดําเนินพระจริยาวัตรด้านศาสนาตามท่ีพระราชบิดาทรงกระทําไว้ โดยทรงตั้งนิตยภัตถวายแก่ พวกพราหมณ์และปรพิ าชกภายในราชธานีเป็นประจํา นบั เปน็ เวลา ๓ ปี จึงทรงเลิกนับถือ โดย มีเรื่องเล่าถึงเหตุท่ีทรงเลิกนับถือว่า ขณะท่ีพระองค์ประทับยืนยู่ท่ีสีหบัญชร ได้ทอดพระเนตร เห็นพวกพราหมณ์และปริพาชกเหล่านั้นกําลังบริโภคอาหารด้วยมารยาทท่ีเหินห่างจากความสงบ เรียบร้อย ไมม่ ีความสํารวมอินทรีย์ ทัง้ ไม่ได้รับการฝึกหัดกริ ยิ ามารยาทให้นา่ เล่อื ใส จึงทรงดําริ ว่า “การที่เราใคร่ครวญเสียก่อนแล้วให้ทานเช่นนี้ในเขตบุญที่เหมาะสม จึงควร” คร้ันทรงดําริ อย่างนี้แล้ว จึงตรัสเรียกพวกอํามาตย์มารับส่ังว่า “ไปเถิด พนาย พวกท่านจงนําสมณะและ พราหมณข์ องตนๆ ผูส้ มมติกนั วา่ ดี มายังภายในพระราชวัง เราจะถวายทาน” พวกอํามาตย์ทูลรับพระบรมราชโองการแล้วต่างก็พากันนํานักบวชท่ีตนนับถือเป็นต้นว่า พวกฤาษีตาปะขาว พวกปริพาชก พวกอาชีวก และพวกนิครนถ์น้ันๆ มาแล้วทูลว่า “ขอเดชะ ท่านเหล่านี้เป็นพระอรหันต์ของข้าพระพุทธเจ้าท้ังหลาย” เวลาน้ัน พระเจ้าอโศกทรงรับสั่งให้ ปูลาดอาสนะท้งั สูงและต่ําไว้ภายในพระราชวัง แล้วรับส่ังว่า “เชิญเข้ามาเถิด” จึงทรงเชิญพวก นกั บวชผู้มาแลว้ ทั้งหมดดว้ ยพระดาํ รัสวา่ “เชญิ นงั่ บนอาสนะทส่ี มควรแก่ตนๆ เถดิ ” บรรดานักบวชนอกพระพุทธศาสนาเหล่านั้นไม่รู้จักธรรมเนียมปฏิบัติในพระราชวัง จึง บางพวกนั่งบนต่ังภัทรบิฐ (พระที่นั่งประจําพระองค์) บางพวกก็นั่งบนตั่งแผ่นกระดาน พระเจ้า อโศกทรงทอดพระเนตรเห็นกิริยาท่ีพวกนักบวชเหล่าน้ันน่ังตามท่ีตนต้องการจะน่ังแล้ว ก็ทรง ทราบได้วา่ นักบวชเหลา่ นั้นไมม่ ธี รรมท่เี ป็นสาระในภายในเลย พระองค์ได้ทรงถวายของควรเคี้ยว ๔๘ ประวตั ิความสาํ คัญของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
ควรปริโภคที่ควรแก่นักบวชเหล่านั้นแล้ว ก็ทรงส่งกลับไป ทรงหมดความเลื่อมใสและต่อมา พระองค์กท็ รงเลิกนบั ถอื พวกนักบวชเหลา่ นัน้ โดยปรยิ าย ทรงพบนโิ ครธสามเณรผูนําไปสกู ารนับถอื พระพทุ ธศาสนา เมือ่ กาลเวลาลว่ งไปอยูอ่ ยา่ งน้ัน (ตรงกบั พ.ศ. ๒๒๔) วนั หนึ่ง พระเจ้าอโศกประทับยืน อยู่ท่ีสีหบัญชร ได้ทอดพระเนตรเห็น นิโครธสามเณร (สามเณรชื่อว่านิโครธ อ่านว่า นิโคด) ผ้ฝู ึกอบรมตนดี มีความสาํ รวม มีกิริยาทา่ ทางเรยี บรอ้ ย กาํ ลงั เดินผ่านไปทางพระลานหลวง แท้ท่ีจริง นิโครธสามเณรน้ีหาใช่ใครไกลอื่นไม่ แต่กลับเป็นพระราชภาคิไนย (หลาน) แท้ๆ ของพระองค์เอง คือ เป็นโอรสของเจ้าชายสุมนะ (หรือสุสิมะ) พระเชษฐาที่พระองค์ทรง ปลดิ พระชนมชพี ในสงครามแย่งชงิ ราชสมบัติ มีเรือ่ งเล่าสอดแทรกไวใ้ นคัมภีรส์ มันตปาสาทกิ าวา่ เลา่ กันมาว่า ในเวลาที่พระเจ้าพินทสุ ารทรงทุพพลภาพ (ประชวรหนัก) เจ้าชายอโศกได้ สละราชสมบัติในกรุงอุชเชนีที่พระองค์เป็นอุปราชครอบครองแล้ว เสด็จกลับมาครองราชสมบัติ (ณ ครองปาฏลีบุตรฺ) ทรงปราบนครท้ังหมดให้อยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ของพระองค์ (ไม่มีเมืองใด กล้าแข็งขืนในพระราชอํานาจ) แล้วทรงจับเจ้าชายสุมนะ (เพื่อปลงพระชนม์ชีพ) ในวันน้ันเอง พระเทวีของเจ้าชายสุมนะ นามว่าสุมนา มีพระครรภ์แก่ใกล้คลอด ทรงปลอมเพศหนี เดินมุ่ง ไปสู่บ้านคนจัณฑาลแห่งหนึ่ง ได้ทรงสดับเสียงของเทวดาผู้สิงอยู่ท่ีต้นนิโครธ (ต้นไทร) ต้นหนึ่ง ในท่ีไม่ไกลจากเรือนของหัวหน้าหมู่บ้านคนจัณฑาล ซึ่งกล่าวเชิญอยู่ว่า “แม่เจ้าสุมนา ขอจง เสด็จเข้ามาทางนี้เถิด” ก็ได้เสด็จเข้าไปใกล้เทวดานั้น เทวดาน้ันได้ใช้อานุภาพของตนเนรมิต ศาลาหลงั หนึ่งแลว้ มอบถวายวา่ “ขอแมเ่ จ้าจงประทับอย่ทู ่ีศาลาหลังนเ้ี ถดิ ” พระนางสมุ นาเทวีได้เสด็จเขา้ ไปสู่ศาลาหลังนนั้ ในวนั ทพี่ ระนางเสด็จเข้าไปถึงน่ันเอง ก็ ประสตู (ิ ใหก้ ําเนดิ )พระโอรส เพราะเหตุท่พี ระโอรสนั้นไดร้ บั การถนอมรักษาจากเทวดาผู้สิงสถิตที่ ตน้ ไทรนนั้ พระนางจงึ ทรงขนานพระนามพระโอรสว่า นิโครธ (เจา้ ไทร) หัวหน้าหมู่บ้านคนจัณฑาลได้เคารพให้ความสําคัญพระนางสุมนาเทวีน้ันเหมือนกับธิดา ของเจา้ นายตน ตงั้ แต่วันท่ีตนได้พบเห็น จึงทําการปรนนิบัติดูแลมิให้ขาด พระนางสุมนาเทวีได้ ประทับอยู่ ณ สถานท่นี ัน้ เปน็ เวลา ๗ ปี ส่วนเด็กชายนโิ ครธกม็ ีชนมายไุ ด้ ๗ ปเี ชน่ กนั ในครั้งนั้น พระอรหันต์รูปหนึ่งชื่อมหาวรุณเถระ ได้เห็นความถึงพร้อมแห่งอุปนิสัยที่จะ บรรลุมรรคผลของเด็กชายนิโครธ จึงคอยเฝ้าดูอยู่ ณ หมู่บ้านนั้น พลางคิดว่า “บัดนี้ เด็กชาย นิโครธมีชนมายุได้ ๗ ปีแล้ว เป็นกาลสมควรท่ีจะให้เขาบวชได้” จึงแจ้งให้พระนางสุมนาเทวี ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัตคิ วามสําคัญของการเผยแผพระพุทธศาสนา ๔๙
ทราบ แล้วดําเนินการบวชให้เด็กชายนิโครธเป็นสามเณร พอปลงผมเสร็จเท่าน้ันเอง เด็กชาย นโิ ครธก็บรรลอุ รหัตตผลสาํ เรจ็ เป็นพระอรหันต์ (ขณะเปน็ สามเณรอายุ ๗ ขวบ) อยู่มาวันหนึ่ง นิโครธสามเณรนั้นได้ชําระร่างกายแต่เช้าตรู่ ทําวัตรปฏิบัติถวายพระ อาจารย์และพระอุปัชฌาย์เสร็จแล้ว ครองจีวรถือบาตร คิดจะไปยังประตูเรือนของโยมมารดา แล้วก็เดนิ ออกไป อันนิวาสสถานท่ีอยู่อาศัยแห่งโยมมารดาของนิโครธสามเณรน้ัน ต้องเดินเข้าไปยังพระ นคร ทางประตดู ้านทศิ ใต้ ผา่ นกลางพระนครไปออกทางประตูด้านทศิ ตะวันตก คร้ังนั้น พระเจ้าอโศกธรรมราช (พระราชาผู้ทรงธรรมนามว่า อโศก เพราะทรงหยุด การทําสงคราม จึงมีสร้อยพระนามว่า ธรรมราช) ได้เสด็จจงกรม (เดินสํารวมกลับไป-กลับมา) อยูท่ ่สี หี บญั ชร (หน้าตา่ งที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จประทับรับแขกเมือง) ทรงผินพระพักตร์ไปทางทิศ ตะวนั ตก ขณะน้นั เอง นิโครธสามเณรผ้สู าํ รวมอินทรยี ์ มีใจสงบ ทอดสายตาดูประมาณชั่วแอก (ก้มมองลงตํ่า) เดนิ ไปถงึ พระลานหลวง พระเจ้าอโศกประทับยืนท่ีสีหบัญชร ได้ทอดพระเนตรเห็นสามเณรนิโครธผู้เป็นอรหันต์ ท่ีฝึกตนมาอย่างดี สํารวมระวังอินทรีย์ มีอิริยาบถงดงาม กําลังเดินผ่านไปทางพระลานหลวง ครั้นทอดพระเนตรเห็นแล้ว พระเจ้าอโศกได้ทรงรําพึงดังนี้ว่า “พวกคนท่ัวไปต่างมีจิตฟุ้งซ่าน เป็นเหมือนฝูงมฤคที่ว่ิงพล่านไป ส่วนเด็กคนนี้ไม่มีจิตฟุ้งซ่าน การมองดู การเหลียวดู การคู้แขน และการเหยยี ดแขนของเขางามย่ิงนัก ภายในของเด็กคนน้นี า่ จกั มีโลกุตตรธรรมแน่นอน” พร้อม กับการทอดพระเนตรเห็นนั่นเอง พระเจ้าอโศกทรงมีพระหฤทัยเลื่อมใสในสามเณรนิโครธยิ่งนัก ทั้งยังทรงมีความรักความเอ็นดูอีกด้วย เพราะเหตุไรจึงทําให้พระเจ้าอโศกทรงเกิดความรักใน สามเณรนิโครธเช่นน้ัน ก็เพราะว่าในเวลาทําบุญเม่ือครั้งอดีตชาติ สามเณรนิโครธนี้ได้เป็นพ่อค้า ผเู้ ป็นพช่ี ายใหญข่ องพระเจ้าอโศก (ดังนั้น พระองค์จึงทรงมีความรักในสามเณรด้วยความคุ้นเคย ทสี่ ะสมมาจากอดตี ชาติกาลคร้ังนน้ั ท่ีเรยี กว่าบพุ เพสนั นิวาส) สมดงั พระพทุ ธพจน์ท่ีตรัสไว้ว่า “อันความรักนั้นย่อมเกิดเพราะบุพเพสันนิวาส คือการอยู่ร่วมกันใน ภพชาติก่อน และเพราะการเกื้อกูลกันในปัจจุบันชาติ เปรียบเหมือนดอกบัว เกดิ ในน้าํ ไดก้ ็เพราะอาศัยนํ้าและเปือกตมฉะน้นั ” ครัง้ นั้น พระเจ้าอโศกทรงเกดิ ความรักความนับถือมากในสามเณรนโิ ครธ จงึ ทรงสั่งพวก อํามาตย์ไปว่า “พวกเธอจงนิมนต์สามเณรน่ันมา” แล้วก็ทรงรําพึงว่า “อํามาตย์เหล่าน้ันมัว ชักชา้ อย่”ู จงึ ทรงส่งไปอีก ๒ - ๓ นายว่า “ขอให้สามเณรน้ันรีบมาเถิด” สามเณรนิโครธได้เดิน ไปตามปกติของตนนั่นเอง พระเจา้ อโศกตรสั วา่ “ทา่ นทราบอาสนะทค่ี วรแล้ว นมิ นต์นัง่ เถดิ ” ๕๐ ประวตั ิความสาํ คญั ของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
สามเณรนิโครธเหลียวดูข้างโน้นข้างน้ีแล้วคิดว่า “บัดน้ีไม่มีภิกษุอ่ืนๆ” จึงเดินเข้าไป ใกล้ราชบัลลังก์ซึ่งยกเศวตฉัตรก้ันไว้ แล้วแสดงอาการให้พระเจ้าอโศกทรงรับบาตร พระเจ้า อโศกทรงทอดพระเนตรเห็นสามเณรนิโครธกาํ ลังเดินเขา้ ไปใกล้ราชบัลลังก์ จึงทรงดําริว่า “วันนี้ แหละ สามเณรรปู น้ีจกั เป็นเจ้าของราชมณเฑยี รนใ้ี นบัดน้ี” สามเณรนโิ ครธถวายบาตรที่พระหตั ถพ์ ระเจา้ อโศก แล้วขึน้ นัง่ บนบลั ลังก์ พระเจ้าอโศก ทรงน้อมถวายอาหารทุกชนิดท้ังข้าวต้ม ของเค้ียว และข้าวสวย ท่ีเขาจัดเตรียมไว้สําหรับ พระองคเ์ สวย สามเณรนโิ ครธรับอาหารพอยงั อตั ภาพของตนให้เป็นไป (รับพอฉัน) เทา่ น้ัน ในที่สุดภัตกิจ (เม่ือสามเณรฉันเสร็จ) พระเจ้าอโศกจึงได้ตรัสถามว่า “พ่อเณรพอรู้พระ โอวาททีพ่ ระศาสดาทรงประทานแกพ่ วกพอ่ เณรบ้างไหม?” สามเณรนิโครธถวายพระพรว่า “มหาบพิตร อาตมภาพร้บู างส่วน” พระเจ้าอโศกตรัสวา่ “พ่อเณร ขอจงแสดงโอวาททพี่ อ่ เณรรู้น้ันแกโ่ ยมบา้ งเถิด” สามเณรนิโครธทูลรับพระดํารัสแล้ว ได้กล่าวอัปปมาทวรรค (หมวดธรรมคําสอนว่าด้วย ความไม่ประมาท) ในธรรมบท (ขุททกนิกาย พระสุตตันตปิฎฏ พระไตรปิฎกเล่มท่ี ๒๕) ตาม สมควรพอเป็นหลักการอนุโมทนา พระเจ้าอโศกพอได้สดับพระพุทธภาษิตจากสามเณรนิโครธท่ีข้ึนต้นว่า “อปฺปมาโท อมตํปทํ, ปมาโท มจจฺ ุโน ปทํ แปลความว่า ความไมป่ ระมาทเป็นทางไม่ตาย ความประมาท เป็นทางแห่งความตาย” ดังน้ีเป็นต้น ก็รีบรับส่ังว่า “ขอพ่อเณรโปรดหยุดแสดงธรรมเทศนาที่ โยมยังไม่รู้ไว้ก่อน” เม่ือจบการอนุโมทนา พระเจ้าอโศกรับสั่งว่า “พ่อเณร โยมจะถวายธุวภัต (ภัตตาหารประจาํ ) แกพ่ อ่ เณร ๘ ท”ี่ สามเณรนิโครธทูลว่า “มหาบพิตร อาตมภาพจะถวายธุวภัตเหล่านั้นแด่พระอุปัชฌาย์” พระเจา้ อโศกตรสั ถามวา่ “พ่อเณร ผ้ทู ช่ี ื่อวา่ พระอปุ ชั ฌายน์ เี้ ปน็ ใคร ?” สามเณรนิโครธทูลตอบว่า “มหาบพิตร ผู้ที่ช่ือว่าพระอุปัชฌาย์ก็คือพระเถระท่ีคอยช้ี โทษความผิดทั้งหนกั เบาแล้วตกั เตือนสทั ธิวหิ ารกิ (ศษิ ย์ในปกครอง) ใหต้ ระหนัก” พระเจ้าอโศกรับสั่งว่า “พ่อเณร โยมจะถวายธุวภัตแก่พ่อเณรเพิ่มอีก ๘ ที่” สามเณร นิโครธทูลว่า “มหาบพิตร อาตมภาพจะถวายภัตเหล่านั้นแด่พระอาจารย์” พระเจ้าอโศกตรัส ถามวา่ “พอ่ เณร ผทู้ ่ชี อื่ วา่ พระอาจารย์นี้เปน็ ใคร ?” สามเณรนิโครธทูลตอบว่า “มหาบพิตร ผู้ที่ชื่อว่าพระอาจารย์ก็คือพระเถระท่ีคอยพรํ่า สอนให้อนั เตวาสิก (ศษิ ยผ์ ู้เรยี น) ตั้งอยู่ในธรรมทคี่ วรศึกษาในพระศาสนาน้”ี ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัตคิ วามสําคญั ของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๕๑
พระเจ้าอโศกรับสั่งว่า “ดีละ พ่อเณร โยมจะถวายธุวภัตแก่พ่อเณรเพิ่มอีก ๘ ท่ี” สามเณรนิโครธทูลว่า “มหาบพิตร อาตมภาพจะถวายภัตเหล่านั้นแด่พระภิกษุสงฆ์” พระเจ้า อโศกตรัสถามวา่ “พอ่ เณร ผูท้ ่ีชื่อว่าภกิ ษสุ งฆน์ ้เี ป็นใคร?” สามเณรนิโครธทูลตอบว่า “มหาบพิตร ผู้ที่ชื่อว่าภิกษุสงฆ์ก็คือหมู่ภิกษุท่ีให้การบรรพชา อปุ สมบทของพระอาจารยแ์ ละพระอุปัชฌาย์ของอาตมภาพรวมทั้งการบรรพชาของอาตมภาพ” พระเจ้าอโศกทรงพอพระราชหฤทัยเป็นอย่างย่ิงแล้วทรงรับส่ังว่า “พ่อเณร โยมจะ ถวายธุวภัตแก่พ่อเณรเพิ่มอีก ๘ ท่ี” สามเณรนิโครธทูลรับพระดํารัสแล้ว ในวันรุ่งข้ึน ได้พา พระภิกษุจํานวน ๓๒ รูป เข้าไปภายในพระราชวังแล้วฉันภัตตาหาร พระเจ้าอโศกทรงปวารณา ว่า “ขอพระภิกษุอีกจํานวน ๓๒ รูปพร้อมทั้งพระคุณเจ้าทั้งหลายโปรดรับฉันภัตตาหารในวัน พรุ่งนี้เถิด” พระองค์ทรงให้เพ่ิมภิกษุมากขึ้นทุกวันๆ โดยปวารณาเช่นน้ัน ได้ทรงตัดภัตตาหาร ของพวกนักบวชนอกพระพุทธศาสนามีพราหมณ์และปริพาชกเป็นต้น จํานวน ๖ แสนคน แล้ว ได้ทรงตั้งนิตยภัตไว้สําหรับพระภิกษุ จํานวน ๖ แสนรูป ภายในพระราชนิเวศน์ เพราะความ เลื่อมใสท่ีเป็นไปอย่างม่ันคงในสามณรนิโครธ ซ่ึงต่อมาได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุนามว่า พระนโิ ครธเถระ และไดเ้ ทศนาแสดงหลกั พุทธธรรมให้พระเจ้าอโศกพร้อมท้ังขา้ ราชบริวารเข้าถึง หลักพระรตั นตรยั (ไตรสรณคมน)์ รักษาเบญจศีลเป็นนิตย์ และเป็นพุทธมามกะผู้มีความเล่ือมใส ม่นั คงในพระพุทธศาสนา ทรงอุปถัมภท ํานุบํารงุ สง เสริมพระพทุ ธศาสนา ภายหลงั จากท่ที รงหนั มานบั ถือพระพทุ ธศาสนาแลว้ พระเจ้าอโศกมหาราชไดท้ รงนําเอา หลักธรรมคําสอนทางพระพุทธศาสนามาใช้ในการปกครองอาณาประชาราษฎร เรียกว่า “ระบบปกครองโดยธรรมาธปิ ไตย” ดังประกาศไว้ในศลิ าจารึก ดงั น้ี “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปิยทัสสี (พระเจ้าอโศก) ผู้เป็นท่ีรักแห่งทวยเทพ ทรงปรารถนา ความไม่ประทุษร้ายในสรรพสัตว์ ความสังวรตน ความประพฤติสมํ่าเสมอ และความสุภาพโดย ประการน้ัน พระเจ้าอยู่หัวทรงได้พิจารณาประจักษ์แล้วว่า ธรรมวิชัยชนะโดยธรรม นับเป็นชัย ชนะอันสูงสุด พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงรับผลสําเร็จในชัยชนะดังกล่าวสืบต่อกันมิรู้สิ้น (ทั้งใน อาณาจักรของพระองค์) และแผ่ตลอดไปในบรรดาเผ่าพันธุ์มนุษย์อื่นๆ ที่อาศัยอยู่รอบพระราช อาณาเขต แมใ้ นแวน่ แคว้นไกลออกไปต้ัง ๖๐๐ โยชน์ อันมีกษัตริย์ชาวโยนก ทรงพระนามว่า อันติโยคะ และถึงอาณาจักรแห่งพระราชา ๔ องค์ .....และชัยชนะเห็นปานเช่นนี้ ได้นํามาซึ่ง ความปีติและความรักใคร่ โดยประการน้ีจึงจักดํารงคงม่ันอยู่ได้เพราะมันผลิตผลเล็กน้อย เพราะวา่ สมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ทรงมงุ่ หมายผลโอฬารยงิ่ กลา่ วคือ ผลจะไดร้ ับในโลกหนา้ ...” ๕๒ ประวตั คิ วามสําคัญของการเผยแผพระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
พระเจ้าอโศกได้ทรงเลิกการแผ่อํานาจในการปกครองมาใช้หลักพุทธธรรม (ธรรมาธิไตย) ปกครองประเทศ กล่าวคือ ทรงเปล่ียนนโยบายการปกครองประเทศจากนโยบายสังคามวิชัย ชนะด้วยสงคราม หรือใช้กําลังทางทหาร มาเป็นนโยบายธรรมวิชัย ชนะด้วยธรรม คือทรงเริ่ม เอาชนะใจประชาชนดว้ ยคณุ ธรรมความดี ทรงบาํ เพ็ญพระราชกรณยี กิจเพื่อสร้างสรรค์ประโยชน์ สุขแกป่ ระชาชนชาวชมพทู วีปเป็นอันมาก กล่าวกันว่า เม่ือพระองค์ทรงหันมานับถือพุทธศาสนา แล้ว ก็ทรงมีความเล่ือมใสในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ทรงประกาศพระองค์เป็นพุทธมามกะ ได้ทรงทํานบุ ารุงพระพทุ ธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองอย่างมากมายหลายประการ เช่น พระราชทาน ทรัพย์จานวนมากเพื่อทรงบําเพ็ญทานทุกวัน ทรงโปรดให้สร้างวัดอโศการามเป็นวัดประจํานคร ปาฏลีบุตร ทรงโปรดให้สร้างวิหารและพระเจดีย์ไว้ท่ัวพระนคร จํานวน ๘๔,๐๐๐ แห่ง เท่ากับ จํานวนพระธรรมขันธ์ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เมื่อสร้างเสร็จก็ทรงโปรดให้ประชาชนจัดงาน ฉลองถวายเป็นพุทธบูชาทั้งปฏิบัติบูชาและอามิสบูชาตลอด ๗ วัน พระองค์ทรงบารุงพระภิกษุ สงฆ์ด้วยปัจจัย ๔ คือ เครื่องนุ่งห่มอาหาร ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค เพื่อจะให้พระภิกษุใน พุทธศาสนาได้รับความสะดวกมีโอกาสบําเพ็ญสมณธรรมได้เต็มท่ี ทรงโปรดให้พญานาคราช เนรมติ พระพุทธรปู เพอื่ ทรงบูชา ทรงอนญุ าตใหพ้ ระราชโอรสและพระราชธดิ าคือเจ้าชายมหินทะ และเจ้าหญิงสังฆมิตตาอุปสมบทเป็นพระภิกษุ-ภิกษุณีในพระพุทธศาสนาเพื่อพระองค์จะได้เป็น ทายาทแห่งพระพุทธศาสนาโดยแท้จริง ทรงอุปถัมภ์การทําสังคายนาครั้งท่ี ๓ พร้อมท้ังจัดส่ง คณะสมณทูต ๙ สายไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังดินแดนต่างๆ นอกชมพูทวีป และกล่าวกันว่า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่ทรงผนวชขณะท่ียังทรงครองราชสมบัติอยู่ นอกจากนี้ พระองค์ยังได้ทรงโปรดให้สร้างบ่อน้า ท่ีพักคนเดินทาง โรงพยาบาล และปลูกต้นไม้ เพื่อจัด สาธารณปู โภคแก่พสกนิกรอีกด้วย ตอ่ จากน้ัน พระองค์ไดเ้ สด็จไปสืบค้นเสาะพบสังเวชนียสถาน ๔ แห่งเป็นพระองค์แรก และทรงสถาปนาให้เป็นเป็นสถานที่สักการบูชาของพุทธศาสนิกชน พร้อมท้ังทรงโปรดให้สร้างหลักศิลาจารึกเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ให้อนุชนพุทธบริษัทได้ รับทราบถงึ ภูมิสถานแดนดินถิ่นกําเนิดเปิดเผยพระพุทธศาสนา เป็นต้น จึงนับว่าพระองค์ทรงเป็น อคั รศาสนปู ถมั ภ์พระพทุ ธศาสนาอย่างแทจ้ รงิ พระราชกรณียกิจด้านการทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาอย่างยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอโศก ตามท่ีสรุปกล่าวมาน้ี ปรากฏหลักฐานรายละเอียดโดยพิสดารอยู่ในคัมภีร์ภาษาบาลี อรรถกถา พระวินัยปิฎก ชื่อสมนั ตปาสาทิกา ดังจะแปลสรุปเน้ือหานําเสนอย้ําซํา้ ความดังกลา่ วต่อไปน้ี ทรงถวายนํ้าทิพย์แด่พระภิกษุสงฆ์ : พระเจ้าอโศธรรมราชทรงมีพระศรัทธาเกิดใน พระพุทธศาสนา แล้วได้ทรงแบ่งน้ํา ๘ หม้อ จากนํ้าด่ืม ๑๖ หม้อ ที่พวกเทวดานํามาจากสระ อโนดาตวันละ ๘ หาบ ถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ ถวายแก่ภิกษุผู้ทรงพระไตรปิฎก ๖๐ รูป วันละ ๒ หม้อ พระราชทานแก่พระนางอสันธิมิตตาผู้เป็นพระอัครมเหสี วันละ ๒ หม้อ พระราชทาน ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัตคิ วามสาํ คญั ของการเผยแผพระพุทธศาสนา ๕๓
แก่เหล่าสตรีนักฟ้อน ๑ หมื่น ๖ พันนาง วันละ ๒ หม้อ ทรงใช้สอยด้วยพระองค์เอง วันละ ๒ หม้อ การชําระพระทนต์ของพระเจ้าอโศกและพระมเหสี การชําระฟันทุกวันของสตรีนักฟ้อน เหล่านั้น รวมถึงการชําระฟันของภิกษุประมาณ ๖ หมื่นรูป เป็นไปโดยสะดวกเพราะไม้ชําระฟัน ชอื่ นาคลดาที่สนทิ ออ่ นนุ่ม มีรสเปน็ ของเกิดจาปา่ หมิ พานตท์ เ่ี ทวดาทัง้ หลายนํามาถวายทกุ วัน อน่ึง เทวดาทั้งหลายนํามะขามป้อมที่เป็นพระโอสถ สมอท่ีเป็นพระโอสถ และมะม่วง สกุ สที องมกี ลนิ่ และรสอร่อยมาถวายแดพ่ ระองค์ทกุ วนั พรอ้ มทงั้ ไดน้ าํ พระภูษาทรง พระภษู าห่ม เบญจพรรณ ผ้าเช็ดพระหัตถส์ ีเหลือง และนาํ้ ทิพยบานจากสระฉัททันตม์ าถวายทกุ วนั อกี ดว้ ย ส่วนพวกพญานาคก็นําเคร่ืองพระสุคนธ์สําหรับสนานพระเศียร พระสุคนธ์สําหรับไล้ พระวรกาย ผ้ามีสีคล้ายดอกมะลิท่ีมิได้ทอด้วยด้ายสําหรับเป็นพระภูษาห่ม และยาหยอดพระ เนตรท่ีมีค่ามากจากนาคพิภพมาถวายทุกวัน พวกนกแขกเต้าก็คาบข้าวสาลีธรรมชาติในสระ ฉทั ทนั ตจ์ ํานวน ๙ พนั เกวียนมาถวายทุกวัน พวกหนูกเ็ กลด็ ข้าวเหล่านั้นใหห้ มดแกลบและรํา ไม่ มีข้าวสารที่หักแม้เมล็ดเดียว ข้าวสารน้ีกลายเป็นพระกระยาหารเสวยของพระเจ้าอโศกในที่ทุก สถาน ตัวผึ้งท้ังหลายก็ทํานํ้าผึ้ง พวกหมีก็ผ่าฟืนท่ีโรงครัว พวกนกการเวกก็บินมาร้องส่งเสียง อย่างไพเราะทาํ พลกี รรมถวายแด่พระเจ้าอโศกทกุ วนั เช่นกนั ทรงให้พญานาคเนรมิตพระพุทธรูปเพ่ือทรงบูชา : พระเจ้าอโศกผู้ทรงประกอบด้วย พระราชฤทธานุภาพเหล่านี้ วันหนึ่ง พระองค์ทรงส่งโซ่ตรวนทอง (สุวรรณสังขลิกพันธ์) ไปนํา พญานาคนามว่า กาฬะ ที่มีอายุยืนถึงหนึ่งกัป ซ่ึงเคยได้พบเห็นพระรูปของพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์มา แล้วเชิญให้ขนดเหนือบัลลังก์อันมีค่ามาก ภายใต้เศวตฉัตร ทรงกระทําการบูชา ด้วยดอกไม้ทั้งที่เกิดในน้ํา ท้ังท่ีเกิดบนบก และด้วยสุวรรณบุปผาหลายร้อยพรรณ ทรงให้สตรี นักฟ้อน ๑ หมนื่ ๖ พันนางผู้แตง่ ตัวประดับตนดว้ ยเครอ่ื งประดับทกุ ชนดิ น่งั ลอ้ มรอบพญานาคน้ัน แล้วตรัสว่า “เชิญท่านกระทําพระรูปขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงยังจักรคือพระสัทธรรม อันประเสรฐิ ให้หมนุ ไป ทรงมพี ระญาณอนั หาที่สดุ มไิ ด้ ให้ถึงคลองแห่งดวงตาเหล่าน้ี (ให้ปรากฏ แก่สายตา) ของข้าพเจ้าก่อนเถิด” พระเจ้าอโศกทรงทอดพระเนตรพระพุทธรูปอันพญานาคนามว่ากาฬะน้ันเนรมิตสรรค์ สร้าง ซ่ึงงามประหน่ึงว่าพื้นน้ําท่ีประดับด้วยดอกบัวนานาชนิดที่แย้มบาน ปานประหนึ่งว่าแผ่น ฟ้าท่ีพราวพรายระยิบระยับด้วยการพวยพุ่งแห่งข่ายรัศมีของหมู่ดาว เพราะพระพุทธรูปน้ันมี พระสิริต้องด้วยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ประดับด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ ซึ่ง บังเกิดด้วยอํานาจแห่งบุญอันพรรณรายงามผุดผ่องทั่วพระสรีระทั้งส้ิน งดงามด้วยจอมพระเศียร อันเฉิดฉายด้วยพระเกตุมาลา (รัศมีที่เปล่งเหนือพระเศียร) ซ่ึงปราศจากมลทินสีต่างๆ ประหนึ่ง ยอดแห่งภูเขาทองท่ีแวดวงด้วยสายรุ้งและสายฟ้าอันกลมกลืนกับแสงเงิน เป็นประหนึ่งจะดูดดึง ๕๔ ประวตั ิความสาํ คัญของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
ดวงตาแห่งคณะพรหม ทวยเทพ มวลมนุษย์ ฝูงนาค และหมู่ยักษ์ เพราะพระพุทธรูปน้ันมี ความแพรวพราวดว้ ยความฉวดั เฉวยี นแห่งพระรศั มีอนั แผอ่ อกข้างละวาวงล้อมรศั มีอันวิจิตรด้วยสี ต่างๆ มีสีเขียวเหลืองแดงเป็นต้น พระองค์จึงได้ทรงกระทําการบูชาที่ชื่อว่า อักขิบูชา คือการ บชู าพระพุทธรูปดว้ ยสายตาทเ่ี ลื่อมใสตลอด ๗ วนั ทรงสร้างวัดเท่าจํานวนพระธรรมขันธ์ : ต่อมา พระเจ้าอโศกทรงรับส่ังให้นายช่าง สร้างมหาวิหาร ช่ือว่าอโศการาม แล้วก็ทรงต้ังภัตไว้เพ่ือถวายภิกษุจํานวน ๖ แสนรูปอีก และ ทรงรับสั่งให้สร้างพระวิหาร ๘๔,๐๐๐ หลัง ซ่ึงประดับด้วยพระเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ ไว้ในพระ นคร ๘๔,๐๐๐ แห่ง ทัว่ ชมพูทวีปทง้ั ส้ิน โดยความชอบธรรมนนั่ เอง หาใช่โดยไม่ชอบธรรมไม่ เล่ากันว่า ในวันหน่ึง พระเจ้าอโศกทรงถวายมหาทานท่ีวัดอโศการาม แล้วประทับน่ัง อยู่ในทา่ มกลางพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งนับได้ประมาณ ๖ แสนรูป ทรงปวารณาสงฆ์ด้วยปัจจัย ๔ แล้ว ตรัสถามปัญหาน้ีว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อันว่าพระธรรมท่ีพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว มี ประมาณเทา่ ไร ?” พระสงฆถ์ วายพระพรว่า “มหาบพิตร พระธรรมทีพ่ ระผ้มู ีพระภาคเจา้ ทรงแสดงแลว้ น้ัน วา่ โดยองค์ มอี งค์ ๙ ว่าโดยขนั ธ์ (นบั จํานวนเปน็ กอง) มี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์” พระเจ้าอโศกทรงเลื่อมใสในพระธรรม แล้วทรงรับส่ังว่า “เราจักบูชาพระธรรมขันธ์แต่ ละขันธ์ด้วยวิหารแต่ละหลังๆ” จึงในวันเดียวเท่านั้นเอง พระองค์ได้ทรงสละพระราชทรัพย์ถึง ๙๖ โกฏิ (๙๖๐ ลา้ น) แลว้ ไดท้ รงรบั สัง่ กะพวกอํามาตยว์ า่ “ไปเถดิ พนาย พวกทา่ นเม่ือให้สร้าง วิหารในนครแตล่ ะนคร จงใหส้ รา้ งพระวหิ าร ๘๔,๐๐๐ หลัง ไว้ในพระนคร ๘๔,๐๐๐ นครเถิด” ส่วนพระองค์เองไดท้ รงเริ่มอํานวยความสะดวกการกอ่ สรา้ งมหาวหิ าร ณ อโศการาม ฝ่ายพระภิกษุสงฆ์ได้มอบภารกิจให้พระเถระชื่อว่า อินทคุตต์ ผู้มีฤทธานุภาพมาก สําเรจ็ เป็นพระอรหันตแ์ ลว้ เป็นนวกัมมาธฏิ ฐายี (ผู้ควบคมุ ดูแลการก่อสร้าง) พระอนิ ทคุตตเถระได้ดําเนินการงานที่ยังไม่สําเร็จน้ันๆ ให้แล้วเสร็จด้วยอานุภาพของตน โดยสามรถทําให้การสร้างพระวิหารสําเร็จลงภายในเวลา ๓ ปี ข่าวสารการสร้างพระวิหารเสร็จ จากทั่วทุกพระนคร ได้มาถึงวันเดียวกันนั่นเอง พวกอํามาตย์ได้กราบทูลแด่พระเจ้าอโศกว่า “ขอเดชะ พระวหิ าร ๘๔,๐๐๐ หลังสร้างเสรจ็ แลว้ ” พระเจ้าอโศกทรงรับสั่งให้เท่ียวตีกลองประกาศท่ัวพระนครว่า “นับจากวันนี้ไป ๗ วัน จักมีการฉลองพระวิหาร ขอให้ประชาชนท้ังหมดจงสมาทานองค์อุโบสถศีล ๘ เตรียมการฉลอง การจัดสร้างวหิ ารเสรจ็ สิ้นท้งั ภายในและภายนอกพระนคร” ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัตคิ วามสาํ คญั ของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๕๕
พระเจ้าอโศกซึ่งมีหมู่เสนาทหารท่ีประกอบด้วยพลช้าง พลม้า พลรถ และพลเดินเท้า หรอื พลราบ รวมจาํ วนหลายแสน ซึ่งประดบั ยศพรอ้ มสรรพแวดลอ้ ม ได้เสด็จเทย่ี วชมพระนครท่ี ถูกประดับตกแต่งโดยหมู่มหาประชาชนผู้มีความเพียรพยายามอุตสาหะปรารถนาจะตกแต่งนคร ให้เป็นเหมือนนครที่มีความสง่างามย่ิงกว่าสิริแห่งราชธานีชื่ออมรวดี ในเทวโลก พระองค์ได้ เสด็จพระราชดําเนนิ ไปยงั พระวหิ าร ได้ประทบั ยืนอยู่ ณ ท่ามกลางภกิ ษุสงฆ์ ทรงโสมนัสในการบําเพ็ญบุญญาธิการ : พระภิกษุที่ประชุมกันในขณะนั้นมีประมาณ ๘๐ โกฏิ (๘๐๐ ล้านรูป) ฝ่ายพระภิกษุณีมีประมาณ ๙ ล้าน ๖ แสนรูป ในจํานวนพระภิกษุท่ี ประชุมกันนั้น เฉพาะพระภิกษุผู้เป็นพระอรหันตขีณาสพนับจํานวนได้ ๑ แสนรูป พระภิกษุผู้ เป็นพระอรหันตขีณาสพเหล่าน้ันได้มีความคิดเห็นพ้องต้องกันว่า “ถ้าพระเจ้าอโศกจะพึง ทอดพระเนตรเห็นอธิการ (การบําเพ็ญกุศลอันยิ่ง)ทั้งหมดของพระองค์ ก็จะพึงเลื่อมใสใน พระพุทธศาสนาเป็นอย่างย่ิง” ต่อจากน้ัน จึงได้ทําปาฏิหาริย์ชื่อว่าโลกวิวรณ์ (คือการเปิดโลก ให้เห็นได้ท่ัวถึง) ทําให้พระเจ้าอโศกซึ่งประทับยืนอยู่ที่อโศการามนั้นสามารถทรงเหลียวดูตลอด ทั้ง ๔ ทิศ ได้ทอดพระเนตรเห็นชมพูทวีป ซ่ึงมีมหาสมุทรเป็นท่ีสุดโดยรอบ และพระวิหาร ๘๔,๐๐๐ หลงั ท่รี ุ่งโรจนอ์ ยู่ดว้ ยการบูชาในการฉลองพระวิหารอยา่ งโอฬาร พระเจ้าอโศกเมื่อทรงทอดพระเนตรดูสมบัติน้ัน ก็ทรงประกอบด้วยพระปีติปราโมทย์ อย่างแรงกล้า ทรงพระดําริว่า “มีไหม ? ที่ปีติปราโมทย์เห็นปานนี้เคยเกิดข้ึนแก่ใครๆ อ่ืนบ้าง” จึงตรัสถามพระภิกษุสงฆ์ว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ในพระศาสนาของพระทศพลโลกนาถเจ้าของ เราท้ังหลาย มใี ครบา้ ง ได้สละบรจิ าคอย่างมากมาย การบรจิ าคของใครเลา่ ยง่ิ ใหญ่” พระภิกษุสงฆ์ได้มอบการวิสัชนาปัญหาที่พระเจ้าอโศกตรัสถาม ให้เป็นหน้าที่ของท่าน โมคคลีบุตรติสสเถระ ซ่ึงได้วิสัชนาถวายพระพรว่า “มหาบพิตร ขึ้นช่ือว่าผู้ถวายปัจจัยในพระ ศาสนาของพระทศพลพุทธเจ้าเช่นกับพระองค์ ในครั้งท่ีพระตถาคตพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ไม่มใี ครเลย พระองค์เท่านั้นทรงมีการบรจิ าคยง่ิ ใหญ่” ทรงประสงค์จะเป็นพุทธศาสนทายาท : พระเจ้าอโศกทรงสดับคําวิสัชนาของพระ โมคคลีบุตรติสสเถระแล้ว ได้ทรงมีความปีติปราโมทย์อย่างโอฬารกําซาบไปทั่วพระวรกาย จึง ทรงพระดําริว่า “ไม่เคยมีใครท่ีถวายปัจจัยเช่นกับเราเลย กล่าวกันว่าเรามีการบริจาคย่ิงใหญ่ เรากําลังยกย่องเชิดชูพระพุทธศาสนาด้วยไทยธรรม ก็เม่ือเป็นเช่นนี้ เราจะได้ช่ือว่าเป็นทายาท แหง่ พระพุทธศาสนาหรือไม”่ ครัน้ ทรงดาํ รเิ ชน่ นนั้ แล้ว พระองคจ์ งึ ตรัสถามพระภิกษุสงฆ์ว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ โยม เปน็ ทายาทแห่งพระพทุ ธศาสนาหรือยงั หนอ?” ๕๖ ประวตั ิความสําคัญของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.
ลําดับนั้น ท่านพระโมคคลีบุตรติสสเถระฟังพระราชดํารัสตรัสถามน้ีแล้ว เมื่อเล็งเห็น อุปนิสัยสมบัติที่จะบรรลุอรหัตตผลแห่งพระราชกุมารนามว่ามหินทะ ผู้เป็นพระราชโอรสของ พระเจ้าอโศก จึงดําริว่า “ถ้าพระราชกุมารนี้จักทรงผนวชไซร้ พระศาสนาก็จักเจริญอย่างย่ิง” จงึ ถวายพระพรเร่ืองนก้ี ะพระเจา้ อโศกว่า “มหาบพิตร ผู้ที่จะเป็นทายาทแห่งพระศาสนา หาใช่ ด้วยเหตุเพียงเท่าน้ีไม่ อีกอย่างหนึ่ ผู้ถวายปัจจัยเช่นน้ันย่อมถึงความนับว่า ปัจจัยทายกหรือผู้ อุปัฏฐาก(เทา่ น้ัน) มหาบพติ ร แทจ้ รงิ หากแม้จะมผี ใู้ ดพงึ ถวายปจั จัยกองต้งั แตแ่ ผน่ ดนิ ขนาดจด ถงึ พรหมโลก แม้ผนู้ ้นั ก็ยงั ไม่ถึงความนับวา่ เปน็ ทายาทในพระพุทธศาสนาได้” คร้ันทรงสดับดังน้ัน พระเจ้าอโศกจึงตรัสถามว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถ้าเช่นน้ัน ทายาท แห่งพระพทุ ธศาสนาจะมีได้อย่างไรเลา่ ?” ทา่ นพระโมคคลบี ุตรติสสเถระถวายพระพรว่า “มหาบพติ ร บคุ คลผ้ใู ดผหู้ นึ่ง จะเป็นผู้ มั่งค่ังหรือเป็นผู้ยากจนก็ตาม ให้บุตรผู้เป็นโอรสของตนบวชในพระพุทธศาสนา มหาบพิตร บุคคลน้ี ทา่ นเรียกว่าเป็นทายาทแหง่ พระพทุ ธศาสนา” ทรงให้พระโอรสและพระธดิ าผนวช : เมอื่ พระโมคคลีบุตรติสสเถระถวายพระพรอยา่ ง นั้นแล้ว พระเจ้าอโศกธรรมราชทรงพระดําริว่า “เราแม้ทําการบริจาคเห็นปานนี้แล้วก็ยังไม่ถึง ความเปน็ พุทธศาสนทายาทไดเ้ ลย” ทรงปรารถนาท่ีจะไดเ้ ป็นทายาทในพระพุทธศาสนา จึงทรง ทอดพระเนตรเหลียวดูข้างโน้นและข้างนี้ ได้ทอดพระเนตรเห็นพระมหินทราชกุมาร ผู้เป็นพระ ราชโอรสของพระองค์ ซึ่งประทับยืนอยู่ในที่ไม่ไกล คร้ันทอดพระเนตรเห็นแล้ว พระองค์ก็ทรง พระรําพึงดังน้ีว่า “แม้ว่าเราประสงค์จะสถาปนาพระกุมารองค์นี้ไว้ในตําแหน่งอุปราช นับต้ังแต่ เวลาที่ติสสกุมาร (พระอนุชาร่วมอุทร) ได้ผนวชแล้วก็จริง ถึงอย่างนั้น การบรรพชาอุปสมบทนี้ แหละเปน็ คุณประโยชน์ทสี่ งู กว่าตาํ แหน่งอปุ ราชเสยี อีก” ลําดับนนั้ พระองคจ์ งึ ทรงรบั ส่ังกะพระ มหินทราชกมุ ารว่า “เจ้าลูกชาย ลกู จะสามารถบวชไดไ้ หม ?” พระมหินทราชกุมาร แม้ตามปกติ นับต้ังแต่เวลาท่ีพระติสสราชกุมาร (ผู้เป็นอา) ทรง ผนวชแล้ว ก็มีพระประสงค์อยากจะผนวชเช่นกัน พอได้สดับพระราชดํารัสก็เกิดพระปราโมทย์ เป็นอย่างยงิ่ จงึ รีบกราบบังคมทูลว่า “ขอเดชะ ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์จะบวช ขอพระองคท์ รงอนญุ าตให้ข้าพระองคบ์ วชเถิดแล้วพระองคจ์ ะได้เป็นศาสนทายาท” ในขณะน้ัน พระนางสังฆมิตตา พระราชธิดาในพระเจ้าอโศก ก็ประทับยืนอยู่ใน สถานที่นั้น ซ่ึงพระสวามีของพระนางนามว่า อัคคิพรหม ก็ได้ผนวชพร้อมกับพระติสสกุมารผู้ เป็นอปุ ราชแล้ว พระเจ้าอโศกทอดพระเนตรเหน็ พระนางสงั ฆมิตตานน้ั แล้ว จึงตรัสถามว่า “แม่ ลูกหญิง แม้เธอเล่าจะสามารถบวชให้พ่อได้ไหม?” พระนางสังฆมิตตาทูลตอบว่า “ได้เพคะ ทลู กระหมอ่ มพอ่ หม่อมฉนั สามารถบวชได”้ ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัติความสําคญั ของการเผยแผพระพุทธศาสนา ๕๗
พระเจ้าอโศกทรงขอบใจพระราชโอรสและธิดาแล้ว มีพระราชหฤทัยเบิกบาน จึงตรัส พระดํารัสน้ีกะพระภิกษุสงฆ์ว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอพระคุณเจ้าท้ังหลายจงให้โอรส-ธิดาท้ัง สองนบ้ี วช แลว้ กระทําใหโ้ ยมเป็นศาสนทายาทด้วยเถดิ ” พระภิกษุสงฆ์รับพระราชดํารัสแล้วดําเนินการให้พระมหินทราชกุมารบรรพชาอุปสมบท โดยมีพระโมคคลีบุตรติสสเถระ เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระมหาเทวเถระและพระมัชฌินติกเถระ เป็นพระอาจารย์ กล่าวกันว่า เวลานั้น พระมหินทราชกุมารมีพระชนมายุได้ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ทา่ นพระมหนิ ทะได้สาํ เรจ็ เป็นพระอรหันตพ์ ร้อมด้วยปฏสิ มั ภทิ าในมณฑลพธิ อี ปุ สมบทนน้ั นน่ั แล ฝ่ายพระนางสงั ฆมิตตาราชธิดา (ได้รับการบรรพชาให้เปน็ สามเณรีและสิกขมานา) โดยมี พระภิกษุณีช่ือว่าอายุปาลิตเถรีเป็นพระอาจารย์ และพระภิกษุณีช่ือธัมมปาลิตเถรีเป็นพระ อุปัชฌาย์ กล่าวกันว่า เวลาน้ัน พระนางสังฆมิตตามีพระชนมายุได้ ๑๘ ปี พระภิกษุสงฆ์จึงให้ พระนางสังฆมิตตาบรรพชาเป็นสามเณรีแล้วดํารงอยู่ในสิกขา (เป็นสิกขมานา รักษาสิกขาบท ๖ ข้อโดยเคร่งครัดเป็นเวลา ๒ ปีเพื่อจะได้อุปสมบทให้เป็นภิกษุณีต่อไป) ในโรงสีมาน้ันน่ันแหละ เวลาทพ่ี ระโอรสและพระธดิ าท้งั สองพระองค์ผนวช พระเจ้าอโศกทรงครองราชย์ได้ ๖ ปี ภายหลังจากท่ีทรงผนวชแล้ว พระมหินทเถระก็ได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยอยู่ใน สํานักพระอุปัชฌาย์ของตนนั่นเอง ได้เรียนหลักการพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาททั้งหมด พร้อม ท้ังอรรถกถา (คําอธิบายพระพุทธพจน์ท่ีประมวลไว้ในพระไตรปิฎก) ซ่ึงได้ผ่านการชําระ ตรวจทานมาแล้วจากการทําสังคายนาในอดีตทั้ง ๒ คราว จนจบในภายใน ๓ พรรษา แล้วได้เป็น สังฆปาโมกข์ (หัวหน้าสงฆ์) ของพวกภิกษุประมาณ ๑,๐๐๐ รูป ซ่ึงเป็นศิษย์ร่วมพระอุปัชฌาย์ เดยี วกนั คราวน้ัน พระเจา้ อโศกธรรมราชทรงครองราชย์ได้ ๙ ปี ทรงสร้างสถานเก็บเภสัชถวายพระสงฆ์ท้ังส่ีทิศ : เล่ากันว่า ในเวลาท่ีพระเจ้าอโศก ทรงครองราชย์ได้ ๘ ปีนั้น พระโกนตบุตรติสสเถระเที่ยวจาริกบิณฑบาตเพื่อต้องการยาบําบัด ความเจ็บป่วยไข้ ก็ไม่ได้เนยใสแม้เพียงฟายมือหนึ่ง จนท่านสิ้นอายุสังขารเพราะความเจ็บป่วย แรงกล้า ก่อนส้ินอายุสังขารท่านได้โอวาทภิกษุสงฆ์ด้วยหลักธรรมว่าด้วยความไม่ประมาท แล้ว นั่งขัดสมาธเิ ข้าเตโชธาตปุ รินิพพานไปในท่ีสุด พระเจ้าอโศกทรงทราบความเป็นไปท่ีน่าสลดพระทัยน้ันแล้ว ได้เสด็จไปทรงทําสักการะ แก่พระโกนตบุตรติสสเถระ แล้วทรงรับส่ังว่า “ข้ึนช่ือว่าเม่ือเราครองราชย์อยู่ พวกภิกษุยังหา ปัจจัยได้ยากอย่างนี้” แล้วทรงมีพระราชโองการให้สร้างสระโบกขรณีประจําไว้ท่ีประตูทั้งสี่ทิศ แห่งพระนคร โดยทรงรับสั่งใหท้ ุกแห่งบรรจุเตม็ ด้วยเภสัชถวายไวส้ ําหรบั พระสงฆ์อาพาธ ๕๘ ประวตั ิความสาํ คัญของการเผยแผพระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
กล่าวกันว่า สมัยนั้น เคร่ืองบรรณาการจํานวน ๕ แสน เกิดข้ึนแก่พระเจ้าอโศกทุกทุก วัน คือ เกิดท่ีประตูท้ัง ๔ แห่งพระนครปาฏลีบุตร จํานวน ๔ แสน เกิดท่ีสภาสถานประชุม จํานวน ๑ แสน พระเจ้าอโศกทรงสละเครื่องบรรณาการนั้นถวายพระนิโครธเถระวันละ ๑ แสน ทรงสละ ๑ แสนเพื่อเป็นเครื่องบูชาด้วยวัตถุมีของหอมและดอกไม้เป็นต้นท่ีพระพุทธเจดีย์ ทรง สละ ๑ แสนเพื่อทรงบูชาพระธรรม คือ ทรงน้อมถวายเคร่ืองบรรณาการ ๑ แสนนั้นเพ่ือเป็นค่า ใช้สอยปัจจัย ๔ สําหรับพวกภิกษุผู้ทรงธรรมเป็นพหูสูต ทรงสละ ๑ แสนถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ และทรงถวายอีก ๑ แสนเพ่ือเป็นค่าจัดหาเภสัชไว้ที่ประตูท้ัง ๔ ด้าน นับว่าลาภและสักการะอัน โอฬารมากมายไดเ้ กดิ ขนึ้ ในพระพทุ ธศาสนาด้วยประการดงั กลา่ วมาน้แี ล ทรงชําระมลทินพระพทุ ธศาสนา และทรงอุปถัมภตตยิ สังคายนา เม่ือพระเจ้าอโศกมหาราชทรงครองราชย์ได้ ๘ ปี พวกเดียรถีย์คือพวกนักบวชภายนอก พระพุทธศาสนาได้เส่อื มลาภสักการะ จึงพากันปลอมบวชเข้ามาเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาเพื่อ ปรารถนาลาภสักการะ ป็นเหตุให้พวกภิกษุฝ่ายธรรมวาที (ภิกษุแท้ซ่ึงมีความประพฤติตรงตาม หลักพระธรรมวินัย) พากันรังเกียจสงสัยในความบริสุทธ์ิของพวกภิกษุท่ีปลอมบวชเหล่าน้ัน จึงมิ อาจทําอโุ บสถสังฆกรรมร่วมกันนบั เปน็ เวลานานถึง ๗ ปี พระเจ้าอโศกมหาราชทรงทราบว่าพระสงฆ์ท่ัวสังฆมณฑลไม่ทําอุโบสถสังฆกรรมร่วมกัน ซึ่งทรงเห็นว่ามีอธิกรณ์เกิดขึ้นในฝ่ายพุทธจักร จึงม่ทรงสบายพระทัยในเร่ืองการแตกแยกของ พระสงฆ์ ทรงปรารถนาจะให้พระสงฆ์เหล่านั้นสามัคคีกัน จึงมีพระดํารัสส่ังให้อํามาตย์คนหน่ึง ไประงบั อธกิ รณส์ มานความสามัคคี ณ วดั อโศการาม โดยขอใหพ้ ระภกิ ษสุ งฆท์ ําอุโบสถสังฆกรรม ร่วมกัน อํามาตย์ผู้น้ันได้เข้าไปแสดงพระราชประสงค์ของพระเจ้าอโศกแก่พระภิกษุสงฆ์ฟัง พร้อมท้ังกําชับให้ทําอุโบสถสังฆกรรมร่วมกัน มีพระภิกษุฝ่ายธรรมวาทีจํานวนหน่ึงแสดงวาทะ ขัดขืน อํามาตย์ผู้นั้นบันดาลโทสะได้จับประหารชีวิต ๒–๓ รูป ในคราวน้ัน พระติสสเถระผู้ เป็นพระราชอนุชาของพระเจ้าอโศกได้เห็นการกระทําภิกษุฆาตอันโหดร้ายของอํามาตย์เช่นน้ัน จึงแสดงตนเข้ามาขัดขวางให้อํามาตย์ยุติการประหารชีวิตพระภิกษุผู้บริสุทธ์ิ อํามาตย์ผู้นั้นจําได้ ว่าพระเถระนั้นเป็นพระอนุชาของพระเจ้าอโศก จึงกลับไปกราบทูลให้พระเจ้าอโศทรงทราบ เมื่อพระเจ้าอโศกทรงทราบการกระทําอันเกินคําส่ังเช่นน้ันก็ทรงร้อนพระองค์ จึงได้เสด็จไปทรง สอบถามภิกษุท้ังหลายว่า “บาปที่ประหารพระภิกษุจะตกแก่ผู้ใช้หรือผู้ฆ่า” ปรากฏว่าพระภิกษุ ท้ังหลายมิอาจวิสัชนาให้เป็นที่แจ่มแจ้งพอพระทัยได้ จึงทูลแนะนําให้พระองค์โปรดให้พระภิกษุ นกั เทศน์พรอ้ มกบั พวกราชบุรุษไปอาราธนาพระโมคคลีบุตรติสสเถระมาวิสัชนา ซ่ึงขณะนั้นพระ โมคคลีบุตรติสสเถระหนีความวุ่นวายอันเกิดจากการที่พระสงฆ์ทั่วสังฆมณฑลแตกแยกกันไปปลีก ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัตคิ วามสาํ คัญของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๕๙
วิเวกอยู่ที่อโธตังคบรรพต ทางตอนเหนือของแม่นํ้าคงคา เพื่อรอเวลาอันเหมาะสมที่จะกลับมา ชาํ ระสะสางมลทนิ โทษในพระพุทธศาสนาตามที่ปรารถนาไว้ ท่านพระโมคคลีบุตรติสสเถระนี้ ตามประวัติในคัมภีร์สมันตปาสาทิกากล่าวว่า ท่านเกิด ในตระกูลพราหมณ์ เป็นชาวเมืองปาฏลีบุตร เป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาดมาก สามารถเรียนจบ ไตรเพทต้ังแต่อายุ ๗ ขวบ บรรพชาเป็นสามเณรเม่ืออายุ ๘ ขวบ โดยมีท่านพระสิคควเถระเป็น พระอุปัชฌาย์ เมื่อเรียนพระวินัยปิฎกและกัมมัฏฐานจนชํานาญแล้ว พระอุปัชฌาย์จึงนําไปฝาก ให้อยู่ศึกษาพระสุตตันตปิฎกและพระอภิธรรมปิฎกกับท่านพระจัณฑวัชชีเถระจนเชี่ยวชาญ แตกฉาน เมื่อายุครบ ๒๐ ปี ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ บําเพ็ญสมณธรรมไม่นานนักก็ได้สําเร็จ เป็นพระอรหันต์ ต่อมาท่านได้รับการแต่งตั้งจากพระเถระผู้เป็นพระอุปัชฌาย์และพระอาจารย์ ทงั้ สองให้ทําหน้าทีส่ ง่ั สอนพระธรรมวนิ ยั แทน เพราะทา่ นทั้งสองนน้ั ชราภาพมากแลว้ กลา่ วกันว่า ท่านเป็นผู้ท่ีพระอรหันต์ในคราวทุติยสังคายนา ขอให้จุติจากพรหมโลกมา ชําระพระศาสนาในคราวนี้โดยตรง โดยมอบหมายให้พระเถระ ๒ รูปคือ พระสิคควเถระและ พระจัณฑวัชชีเถระ รับหน้าที่ในการนําติสสมหาพรหม ซ่ึงจะมาปฏิสนธิในครรถ์ของนางโมคคลี พราหมณ์ให้ออกบวช อบรมให้การศึกษาจนแตกฉานในพระธรรมวินัยโดยถือเป็นทัณฑกรรม สําหรับท่านท้ังสองฐานขาดการประชุม ในคราวท่ีพระสงฆ์ทําทุติยสังคายนา พระเถระท้ังสองได้ ทาํ หน้าทขี่ องท่านตามมติสงฆใ์ นครัง้ ทาํ ทุตยิ สงั คายนา โดยพระสคิ ควะเถระนําติสสกุมารออกบวช เป็นสามเณร ให้ศึกษาข้อธรรมเบ้ืองต้น พระจันทวัชชีเถระให้อุปสมบทเป็นภิกษุ ให้ศึกษาธรรม เบื้องสูงข้ึนไป พวกเดียรถีย์ปลอมเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา เมื่อพระโมคคลีบุตรติสสเถระ เป็นพระอรหันต์แล้ว แต่เป็นเรื่องใหญ่มาก ไม่อาจจัดการได้ด้วยลําพังอํานาจสงฆ์ ต้องอาศัยพระ ราชอํานาจของพระเจ้าอโศกจึงทําได้ เม่ือเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ท่านจึงคิดว่า “บัดนี้อธิกรณ์ เกิดข้ึนแล้ว ไม่นานนักอธิกรณ์นี้จักหยาบช้ากล้าแข็งข้ึน ถ้าเราอยู่ในท่ามกลางเดียรถีย์เหล่าน้ีจัก ไม่อาจระงับอธิกรณ์ได้” จึงมอบหมายการบริหารสงฆ์ให้พระมหินทเถระ ซึ่งเป็นลัทธิวิหารริก ของท่าน และเป็นราชโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราชทําหน้าท่ีสืบแทน ท่านเองได้หลีกไปพักอยู่ ที่อโธคงั บรรพต ทางตอนเหนือของแม่นํา้ คงคา พระเจ้าอโศกมหาราชจึงส่งอํามาตย์และพระธรรมกถึก ๔-๘ ท่านพร้อมด้วยบริวารไป เรียนให้พระโมคคลีบุตรติสสเถระมาตามพระบรมราชโองการ ๒ คราว แต่พระเถระไม่ยอมรับ อาราธนา เพราะท่านเหล่านั้นพูดไม่ถูกเร่ือง จึงต้องเพ่ิมจํานวนพระธรรมกถึก อํามาตย์ ๑๖ คน พร้อมด้วยบริวารให้ไปอาราธนาว่า “พระศาสนากําลังเสื่อมโทรม ขอพระคุณเจ้าเป็นสหายของ พวกขา้ พเจา้ เพอ่ื เชดิ ชูพระพทุ ธศาสนาเถิด” ๖๐ ประวตั ิความสาํ คญั ของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.
เมื่อพระโมคคลีบุตรติสสเถระได้สดับพระราชสาสน์นั้นก็พลันคิดว่า “เรามาบวชด้วย ต้ังใจว่าจักเชิดชูพระศาสนามาตั้งแต่ต้น เวลาของเรามาถึงแล้ว” จึงตัดสินใจเดินทางมาด้วยแพ ล่องมาตามลําน้ําคงคา พระเจ้าอโศกมหาราชเสด็จลงต้อนรับด้วยความเล่ือมใส แต่ยังข้องใจใน คุณสมบัติของพระโมคคลีบุตรติสสเถระ หลังจากได้ทดสอบแล้วจึงเกิดความมั่นพระทัยใน คุณสมบัติของพระเถระ จึงได้เรียนถามข้อที่ทรงข้องพระทัยคือเร่ืองอํามาตย์ฆ่าพระภิกษุเถระ มรณภาพไปหลายรูป พระโมคคลีบุตรติสสเถระได้ถวายวิสัชนาให้หายข้องพระทัยความว่า เม่ือ พระองค์ไม่มีพระประสงค์จะให้อํามาตย์ฆ่าภิกษุ บาปจึงไม่มีแก่พระองค์ และกล่าวชี้แจงแสดงให้ พระเจ้าอโศกม่ันพระทัยด้วยพระพุทธภาษิตว่า “ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม บคุ คลคิดแล้วจงึ กระทํากรรมดว้ ยกาย วาจา ใจ” ดงั นเ้ี ป็นตน้ พระเจ้าอโศกเม่ือทรงสดับพระธรรมเทศนาจากเพระโมคคลีบุตรติสสเถระที่แสดงอย่าง แจ่มแจ้ง ก็ทรงมีความเล่ือมใสและซาบซึ้งในหลักธรรมอันบริสุทธ์ิของพระพุทธเจ้า พระองค์ได้ ประทับอยู่ที่อุทยานสถานที่พักชั่วคราวของพระโมคคลีบุตรติสสเถระนั้นเป็นเวลา ๗ วัน ในวันที่ ๗ พระองค์จึงตรัสขอให้ท่านพระโมคคลีบุตรติสสเถระเป็นประธานการชําระมลทินความวุ่นวาย ในพระพุทธศาสนาที่เกิดจากการปลอมเข้ามาบวชเป็นภิกษุของพวกเดียรถีย์ โดยพระองค์ได้ ประกาศอาราธนาให้พระภิกษุท่ีอยู่ในชมพูทวีปทั้งหมดมาประชุมพร้อมกัน ณ วัดอโศการาม ภายใน ๗ วัน เมื่อถึงเวลากําหนด พระองค์ประทับน่ังภายในม่านกับพระโมคคลีบุตรติสสเถระ เพ่อื ทรงสดบั รบั ฟังการถาม-ตอบความรูค้ วามเขา้ ใจเกย่ี วกับหลักพระธรรมวินัยที่ถูกต้อง ระหว่าง พระโมคคลีบุตรติสสเถระกับพวกภิกษุอลัชชีท่ีปลอมบวชเหล่าน้ัน โดยทรงรับส่ังให้พวกภิกษุ อลัชชีนัง่ รวมกนั เปน็ นกิ ายๆ ซ่งึ พวกภิกษุอลัชชีที่ปลอมบวชต่างอธิบายไปตามความเข้าใจในลัทธิ ของตนๆ พระเจ้าอโศกจึงทรงใช้พระราชอํานาจตรัสส่ังให้กําจัดพวกภิกษุอลัชชีเหล่านั้นท้ังหมด ซ่ึงมีจํานวน ๖ หม่ืนรูป สึกออกพ้นไปจากสังฆมณฑลในพระพุทธศาสนา และเม่ือทรงจัดการ ชําระสะสางสังฆมณฑลให้ปลอดจากพวกอลัชชีซึ่งเป็นดุจเส้ียนหนามในพระพุทธศาสนาแล้ว พระองค์จึงทรงอุปถัมภ์ให้คณะสงฆ์โดยมีพระโมคคลีบุตรติสสเถระเป็นประธาน จัดให้มีการ สังคายนาคร้ังที่ ๓ ขึน้ ณ วดั อโศการาม เมอื งปาฏลีบุตร ในปีพุทธศักราช ๒๓๔ ซ่ึงมีพระสงฆ์ บรสิ ุทธเ์ิ ข้ารว่ มทาํ สังคายนาจาํ นวน ๑,๐๐๐ รปู ทาํ อยู่ ๙ เดอื นจึงสาํ เรจ็ เก่ียวกับเรื่องพวกเดียรถีย์ปลอมเข้ามาบวชเป็นภิกษุอลัชชีประพฤติผิดพระธรรมวินัย สร้างความแตกแยกในหมู่สงฆ์ เป็นเหตุให้พระเจ้าอโศกไม่ทรงสบายพระทัยดําเนินการชําระ สะสางและจัดให้มกี ารทําสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งท่ี ๓ ในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาน้ี มี รายละเอียดโดยพิสดารตามที่ท่านพระพุทธโฆสาจารย์ บันทึกด้วยภาษาบาลีเป็นหลักฐานไว้ใน คมั ภีร์สมนั ตปาสาทกิ า ดงั จะถอดความนํามาเสนอเน้นยํ้าซา้ํ ความทรงจําต่อไปนี้ ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัติความสําคัญของการเผยแผพระพุทธศาสนา ๖๑
เดียรถีย์ปลอมบวช : เม่ือพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเพราะการอุปถัมภ์ของพระเจ้า อโศกธรรมราชเช่นนี้ ทําให้พวกเดียรถีย์คือพวกนักบวชภายนอกพระพุทธศาสนา ซึ่งในสมัยนั้น มีจํานวนมากมายหลายลัทธิ เช่นท่ีเรียกตนเองว่าปริพชาชกบ้าง อาวชีวกบ้าง ต่างพากันเส่ือม ลาภและสกั การะ ช้นั ท่ีสุดไม่ได้แม้สักว่าของกินและเครื่องนุ่งห่ม คือไม่มีใครถวายปัจจัยอุปถัมภ์ บํารุงเช่นที่เคย เกิดความลําบากในการแสวงหาอาหารและเครื่องนุ่งห่มเป็นต้นมาประทังชีวิต จึงอดอยากยากแค้นแสนสาหัส มองเห็นว่าพระภิกษุในพระพุทธศาสนาได้มีลาภสักการะล้น เหลอื จงึ สมควรทพ่ี วกตนจะต้องเขา้ ไปขอบวชเป็นภิกษใุ นพระพทุ ธศาสนาเพือ่ จะไดล้ าภสกั การะ เชน่ น้นั บ้าง และเมอ่ื บวชเขา้ มาแล้วได้แสดงทิฏฐิ (ลัทธิหรือทฤษฎีหลักคําสอน) ของตนว่าน้ีเป็น ธรรม น้เี ป็นวนิ ยั บางพวกไม่ได้ขอบวช แต่กลับปลงผมเสียเอง แล้วนุ่งผ้ากาสาวพัสตร์เท่ียวไป ในวิหารทั้งหลาย เข้าไปร่วมทําอุโบสถสังฆกรรมต่างๆกับพวกภิกษุบริสุทธ์ิท้ังหลาย จนเป็นเหตุ ใหภ้ ิกษทุ ้งั หลายไมย่ อมทาํ อุโบสถสังฆกรรมร่วมกบั พวกภกิ ษเุ ดียรถยี เ์ หล่านน้ั คราวน้ัน ท่านพระโมคคลบี ตุ รติสสเถระดํารวิ ่า “บัดน้ี อธิกรณ์เกดิ ขึ้นแล้ว ไม่นานเลย อธิกรณ์นั้นจักหยาบช้าข้ึน ก็เราอยู่ในท่ามกลางแห่งภิกษุเดียรถีย์เหล่าน้ัน จะไม่อาจระงับ อธิกรณน์ ั้นได้” ดังนี้ จึงมอบภาระการบรหิ ารคณะสงฆ์ถวายท่านพระมหินทเถระ และประสงค์ จะพกั อยโู่ ดยผาสุกดว้ ยตนเอง ได้ไปอยู่ทีอ่ โธคังคบรรพต พวกภิกษุเดียรถีย์เหล่านั้นแม้ถูกพระภิกษุสงฆ์ปราบปรามโดยธรรม โดยวินัย และโดย สัตถุศาสน์ (คืออบรมแนะนําตักเตือนให้รู้ว่าอะไรเป็นหลักพระธรรมวินัยหรือหลักคําสอนของ พระพุทธเจ้า) ก็ไม่ยอมต้ังอยู่ในข้อปฏิบัติอันคล้อยตามพระธรรมวินัย กลับก่อความเสนียดจัญไร มลทนิ และเสีย้ นหนามสร้างความเส่ือมเสียให้เกดิ ข้ึนแกพ่ ระพุทธศาสนาเปน็ อย่างมาก บางพวก บําเรอไฟตามลัทธิของตน บางพวกย่างตนให้ร้อนอยู่ในเคร่ืองอบตน บางพวกประพฤติหมุนไป ตามพระอาทิตย์ บางพวกก็ยืนยันพูดว่า “พวกเราจักทําลายพระธรรมวินัยของพวกท่าน” ดังน้ี เป็นต้น คราวน้ัน พระภิกษุสงฆ์ไม่ได้ทําอุโบสถหรือปวารณาร่วมกับเดียรถีย์เหล่าน้ันเลย ใน วัดอโศการาม อโุ บสถขาดไปถึง ๗ ปี พวกภิกษไุ ด้ทูลแจง้ เร่อื งน้นั แกพ่ ระเจา้ อโศก พระเจ้าอโศกทรงส่งอํามาตย์ไประงับอธิกรณ์ : พระเจ้าอโศกทรงรับส่ังอํามาตย์นาย หนึ่งไปด้วยพระดํารัสส้ันๆ ว่า “เจ้าจงไปยังพระวิหารระงับอธิกรณ์แล้ว นิมนต์ภิกษุสงฆ์ให้ทํา อุโบสถเถิด” อํามาตย์น้ันไม่อาจจะทูลย้อนถามพระเจ้าอโศกได้ จึงเข้าไปหาอํามาตย์พวกอ่ืน แล้วปรึกษาหารือว่า “พระเจ้าอโศกทรงส่งข้าพเจ้าไประงับอธิกรณ์ในหมู่สงฆ์ อธิกรณ์จะระงับ ได้อย่างไรหนอ ?” พวกอํามาตย์น้ันให้คําแนะนําว่า “พวกข้าพเจ้ากําหนดหมายได้ด้วยอุบายว่า พวกราชบุรุษเม่ือจะปราบหัวเมืองชายแดนให้ราบคาบก็ต้องฆ่าพวกโจร ฉันใด ภิกษุเหล่าใดไม่ ทําอโุ บสถ เหน็ ทวี า่ พระเจ้าอโศกจกั มีพระราชประสงค์ให้ฆ่าภิกษุเหล่าน้ันเสีย ฉันนั้นหมือนกัน” ๖๒ ประวตั คิ วามสาํ คัญของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.
อํามาตย์นายน้ันจึงไปวัดอโศการาม นัดให้ภิกษุสงฆ์ประชุมกันแล้วนมัสการชี้แจงว่า “พระเจ้า อโศกทรงส่งข้าพเจ้ามานิมนต์ภิกษุสงฆ์ให้ทําอุโบสถ พระคุณเจ้าผู้เจริญทั้งหลาย บัดนี้พวกท่าน จงทําอุโบสถกรรมเถิด” เมื่อพวกภิกษุสงฆ์กล่าวว่า “อาตมภาพทั้งหลายจะไม่ทําอุโบสถร่วมกับ เหล่าเดียรถีย์ เขาจึงเร่ิมเอาดาบตัดศีรษะของพวกภิกษุให้ตกไปทีละรูปตั้งต้นแต่อาสนะของพระ เถระลงไป ท่านพระติสสเถระไดเ้ ห็นอาํ มาตยน์ ัน้ ปฏบิ ัติผดิ อย่างน้นั แลว้ จึงเขา้ ขัดขวาง ยอ้ นปูมหลังก่อนบวชของพระติสสเถระ : พระติสสเถระผู้นี้ไม่ใช่สามัญชนคนธรรมดา แต่ทว่าคือ ติสสราชกุมาร หรือ เจ้าชายติสสะ ผู้เป็นพระกนิษฐภาดาหรือพระอนุชราร่วมอุทร พระราชมารดาเดียวกันกับพระเจ้าอโศกนั่นเอง กล่าวกันว่า เมื่อพระเจ้าอโศกทรงอภิเษกเป็น กษัตริย์แลว้ ได้ทรงต้ังเจา้ ชายติสสะนน้ั ไวใ้ นตาํ แหนง่ อปุ ราช วันหนึ่ง เจ้าชายติสสะเสด็จไปเท่ียวป่า ได้ทอดพระเนตรเห็นหมู่มฤคฝูงใหญ่ว่ิงเล่นอยู่ อย่างอิสระ คร้นั ทอดพระเนตรเห็นแลว้ เจ้าชายติสสะได้ทรงมีรําพึงว่า “มฤคเหล่าน้ีมีหญ้าเป็น อาหาร ยังเล่นกันได้อย่างน้ี ส่วนพระภิกษุสมณะเหล่าน้ีฉันโภชนะอันประณีตในราชตระกูลแล้ว จําวัดอยู่บนที่นอนอันอ่อนนุ่ม น่าจะเล่นอะไรได้ตามชอบใจ” คร้ันเสด็จกลับมาจากป่าน้ันแล้ว ได้กราบทูลความรําพึงนั้นแดพ่ ระเจา้ อโศก พระเจ้าอโศกทรงพระดาํ ริว่า “เจา้ ตสิ สะนีร้ ะแวงสงสยั ในเร่ืองไมเ่ ป็นเร่ือง เราคงตอ้ งหา อบุ ายสักอย่างใหเ้ ขาเขา้ ใจชีวิตความเป็นสมณะในพระพุทธศาสนา” วันหนึ่ง พระองค์จึงทรงทํา เป็นกริ้วด้วยเหตุการณ์บางอย่าง แล้วทรงขู่จะฆ่าว่า “เธอจงมารับเอาราชสมบัติกําหนดภายใน ๗ วัน หลังจากนั้นเราจักฆ่าเธอให้ตายเสีย” เจ้าชายติสสะได้สดับเช่นน้ันทรงดําริว่า “ในวันท่ี ๗ พระเจ้าอโศกจักให้ฆ่าเราเสีย” จึงไม่เป็นอันทรงสนาน ไม่เป็นอันเสวย ทั้งบรรทมก็ไม่หลับ ไดม้ ีพระรูปโฉมสรรี กายหม่นเศร้าหมองคล้าํ เปน็ อยา่ งมาก พระเจ้าอโศกทรงเห็นเจ้าชายติสสะมีพระอาการดังนั้น จึงตรัสถามว่า “เธอมีรูปร่าง อย่างนี้ เพราะเหตุอะไร” เม่ือได้รับฟังคําทูลว่า “เพราะกลัวความตาย พระเจ้าข้า” จึงรับสั่ง ว่า “เฮ้ย อันตัวเธอเองเล็งเห็นความตายที่เราคาดโทษไว้แล้ว หมดสงสัยส้ินคิด ยังจะไม่เล่น หรอื ? พวกภิกษุเลง็ เห็นความตายเน่ืองดว้ ยลมหายใจเข้-ออกอยู่ จกั เล่นไดอ้ ยา่ งไร ?” นบั แต่นน้ั มา เจ้าชายตสิ สะก็ทรงเลอ่ื มใสในพระพทุ ธศาสนา รุ่งข้ึนอีกวันหนึ่ง พระองค์ เสด็จออกไปล่าเนื้อ เท่ียวสัญจรไปในป่า ได้ทอดพระเนตรเห็นพระอรหันตเถระผู้หน่ึงนามว่า โยนกมหาธรรมรักขิต ผู้น่ังให้พญาช้างเชือกหน่ึงจับก่ิงไม้พัดอยู่ ก็เกิดความปีติปราโมทย์ดําริว่า “เม่ือไรหนอ เราจะพึงได้บวชเหมือนพระมหาเถระนี้ วันนั้นจะพึงมีหรือไม่หนอ” พระเถระรู้ อัธยาศัยของเจ้าชายติสสะแล้ว จึงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์เหาะข้ึนไปในอากาศ ยืนอยู่บนพื้นนํ้าที่ สระโบกขรณี ในวัดอโศการาม ห้อยจีวรและสบงไว้กลางอากาศแล้วเริ่มสรงน้ํา เจ้าชายติสสะ ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั ิความสําคญั ของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๖๓
ทรงเห็นอานุภาพของพระเถระนั้นก็ทรงเลื่อมใสเป็นย่ิงนัก ดําริว่าเราจักบวชให้ได้ในวันน้ีแหละ แลว้ เสด็จกลบั ไดท้ ูลลาพระเจา้ อโศกว่า “ขอเดชะ หมอ่ มฉนั จักบวช” แมพ้ ระเจ้าอโศกจะทรงยบั ย้ังทัดทานอย่างไร แต่ก็ไม่สามรถกลับพระทัยเจ้าชายติสสะมิ ใหบ้ วชได้ ในทีส่ ุด พระเจ้าอโศกจึงทรงรับส่ังให้ตกแต่งถนนหนทางท่ีจะไปสู่วัดอโศการาม และ รับสั่งให้เจ้าชายติสสะแต่งองค์เป็นเพศมหรสพ (นาคผู้เตรียมจะบวช) ให้แวดล้อมด้วยหมู่เสนา ทหารซึ่งประดับประดาเต็มยศแล้ว ทรงนําไปยังวัดอโศการามด้วยพระองค์เอง ฝ่ายพระภิกษุ เป็นอันมากพอไดฟ้ ังขา่ วว่าพระยุพราชจะผนวช กพ็ ากนั ตระเตรียมบาตรและจวี รไว้ เจ้าชายติสสะเสด็จไปยังเรือนสถานท่ีบําเพ็ญเพียรในวัดอโศการามน้ันแล้วได้ทรงผนวช พร้อมกบั บรุ ุษแสนหน่ึงในสํานักของพระมหาธรรมรักขติ เถระนัน่ เอง ในคร้ังนั้น กุลบุตรทั้งหลาย ผู้ผนวชตามเจ้าชายติสสะมีจํานวนกําหนดนับไม่ได้ ในจํานวนน้ี มีพระราชบุตรเขยของพระเจ้า อโศก นามว่า อคั คิพรหม ผเู้ ปน็ พระสวามขี องพระนางสังฆมิตตา รวมอยู่ด้วย โดยเม่ือได้สดับ ข่าวว่าพระยุพราชคือเจ้าชายติสสะทรงผนวชแล้ว อัคคิพรหมจึงเข้าไปทูลขอพระราชานุญาต บวชตาม ซง่ึ พระเจา้ อโศกก็ทรงอนุญาตให้บวชตามความประสงค์ กล่าวกันว่า เจ้าชายติสสะนี้ ทรงผนวชในเวลาทพ่ี ระเจ้าอโศกทรงอภิเษกครองราชยไ์ ด้ ๔ ปี พระเจ้าอโศกทรงรอ้ นพระทัยท่ีอํามาตย์ทําเกินกว่าเหตุ : ท่านพระติสสเถระนั้น ครั้น เห็นอาํ มาตยน์ ายน้นั ปฏบิ ัตผิ ิดคอื ประหารชวี ติ พระภิกษผุ บู้ รสิ ทุ ธิอ์ ย่างน้ันแลว้ จึงดํารวิ ่า “พระเจ้า อโศกคงจะไม่ทรงส่งมาเพ่ือให้ฆ่าพระเถระทั้งหลาย เร่ืองน้ีจักเป็นเร่ืองท่ีอํามาตย์คนน้ีเข้าใจผิด แนน่ อนทเี ดยี ว” จงึ ได้ไปน่งั บนอาสนะใกล้อํามาตยน์ ้ันเสียเอง อํามาตย์นายน้ันจําพระติสสเถระน้ันได้ ก็ไม่อาจฟันศัสตราลงได้ จึงได้กลับไปกราบทูล แด่พระเจ้าอโศกว่า “ขอเดชะ ข้าพระองค์ได้ตัดศีรษะของพวกภิกษุผู้ไม่ปรารถนาทําอุโบสถให้ ตกไป ขณะน้นั ก็มาถงึ ลาํ ดบั แห่งทา่ นติสสเถระผเู้ ป็นเจา้ เขา้ ขา้ พระองค์จะทาํ อย่างไร ?” พระเจ้าอโศกพอได้ทรงสดับเทา่ น้นั กต็ รสั ว่า “เฮ้ย กข็ ้าได้สง่ เจ้าให้ไปฆ่าภิกษุทั้งหลาย หรือ ?” ทันใดน้นั พระองค์ได้เกิดความเรา่ รอ้ นข้ึนในพระวรกาย จงึ รีบเสด็จไปยังวัดอโศการาม ตรัสถามพระภิกษุผู้เป็นพระเถระว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ อํามาตย์คนนี้โยมไม่ได้สั่งเลย ได้ทาํ กรรมอยา่ งน้แี ลว้ บาปนจ้ี ะพงึ มแี กใ่ ครหนอ ?” พระเถระบางพวกวิสัชนาว่า “อํามาตย์นายนี้ได้ทําตามพระดํารัสส่ังของมหาบพิตรแล้ว บาปนั่นจึงมีแก่มหาบพิตรด้วย” บางพวกก็วิสัชนาว่า “บาปน่ันย่อมมีแด่มหาบพิตรและอํามาตย์ ด้วย” บางพวกก็ถวายพระพรย้อนถามอย่างนี้ว่า “ขอถวายพระพร ก็มหาบพิตรทรงมีความคิด หรือว่าอาํ มาตยน์ ายน้จี งไปฆา่ ภิกษทุ ง้ั หลาย” ๖๔ ประวัตคิ วามสําคัญของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
พระเจา้ อโศกตรัสว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าผูเ้ จริญ ไม่มี โยมมีความประสงค์เป็นกุศล จึง ไดส้ ง่ เขาไปดว้ ยสง่ั วา่ ขอภิกษุสงฆจ์ งสามคั คกี นั ทําอุโบสถเถิด” พระเถระท้ังหลายจึงวิสัชนาถวายพระพรว่า “ถ้าว่า มหาบพิตรมีพระราชประสงค์เป็น กุศลไซร้ บาปก็ไมม่ ีแด่มหาบพติ ร บาปนน่ั ยอ่ มมีแก่อาํ มาตยเ์ ท่านัน้ ” ทรงจดั ส่งพระนกั เทศนใ์ หไ้ ปอาราธนาพระโมคคลีบุตรติสสเถระมาวิสัชนา : พระเจ้า อโศกทรงเกิดมีความสงสัยเป็นสองจิตสองใจ จึงตรัสถามพระภิกษุท้ังหลายว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้า ผู้เจริญ จะมีภิกษุบางรูปผู้สามารถเพ่ือจะตัดข้อสงสัยน้ีของโยมแล้วยกย่องพระพุทธศาสนาอยู่ บ้างไหม ?” ภิกษุท้ังหลายถวายพระพรว่า “มีมหาบพิตร ภิกษุนั้นช่ือพระโมคคลีบุตรติสสเถระ ทา่ นสามารถทีจ่ ะตดั ข้อสงสัยน้ีของมหาบพติ รแลว้ ยกยอ่ งพระศาสนาได้” ในวนั นน้ั เอง พระเจา้ อโศกจงึ ได้ทรงจัดส่งพระธรรมกถึก ๓ รูป แต่ละรูปมีภิกษุพันหน่ึง เป็นบริวาร และอํามาตย์ ๔ นาย แต่ละนายมีบุรุษพันหน่ึงเป็นบริวาร ทรงรับส่ังว่า “ขอท่าน ทั้งหลายจงรับเอาพระเถระมาเถิด” พระธรรมกถึกและอํามาตย์เหล่าน้ันไปแล้ว ได้เรียนพระ โมคคลีบุตรตสิ สเถระวา่ “พระเจ้าอโศกรับส่ังใหห้ าทา่ น” พระโมคคลบี ตุ รติสสเถระไมย่ อมมา แม้คร้งั ท่ี ๒ พระเจ้าอโศกกไ็ ดท้ รงจดั ส่งพระธรรมกถึก ๘ รปู และอาํ มาตย์ ๘ นาย ซึ่งมี บริวารคนละพันๆ ไป ทรงรับสั่งว่า “ท่านทั้งหลายจงกราบเรียนพระเถระนั้นว่า พระเจ้าอโศก รับสั่งให้หา” แล้วให้นิมนต์พระเถระมา พระธรรมกถึกและอํามาตย์เหล่าน้ันได้กราบเรียน เหมอื นอย่างที่ทรงรับสั่งน้ันแล ถงึ แมค้ รง้ั ที่ ๒ พระโมคคลบี ตุ รตสิ สเถระก็มไิ ด้มา พระเจ้าอโศกตรัสถามพระเถระทั้งหลายว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ โยมได้ส่งทูตไป ถึง ๒ คร้ังแล้ว เพราะเหตุไร พระโมคคลีบุตรติสสเถระจึงมิได้มา?” พระเถระท้ังหลายถวาย พระพรวา่ “มหาบพิตร ที่ทา่ นพระโมคคลีบุตรติสสเถระไม่มาน้ัน เพราะทูตเหล่านั้นกราบเรียน ท่านว่า พระเจ้าอโศกสั่งให้หา แต่เม่ือทูตเหล่านั้นกราบเรียนท่านอย่างน้ีว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้ เจริญ พระศาสนาเส่ือมโทรม ขอพระคุณเจ้าได้โปรดเป็นสหายร่วมกับพวกข้าพเจ้าเพื่อเชิดชู พระศาสนาเถดิ ดังนี้ พระโมคคลบี ตุ รติสสเถระจะพงึ มา” พระเจ้าอโศกจึงทรงรับส่ังเหมือนอย่างน้ัน แล้วทรงจัดส่งพระธรรมกถึก ๑๖ รูป และ อํามาตย์ ๑๖ นาย ซ่ึงมีบริวารคนละพันๆ ไป ได้ทรงสอบถามภิกษุท้ังหลายอีกว่า “พระคุณเจ้า ผูเ้ จรญิ พระโมคคลีบุตรตสิ สเถระเปน็ พระแก่ หรอื ยังหนุ่มแน่น” พวกภิกษทุ ูลว่า “เป็นพระแก่ มหาบพติ ร” พระเจา้ อโศกตรสั ถามวา่ “พระเถระน้ันจักขึ้นคานหามหรือวอ เจ้าข้า” พวกภิกษุ ทูลว่า “ท่านจักไม่ขึ้นท้ัง ๒ อย่าง มหาบพิตร” พระเจ้าอโศกตรัสถามว่า “พระเถระพักอยู่ ณ ทไ่ี หน เจ้าขา้ ” พวกภิกษทุ ูลวา่ “ท่แี ม่นํ้าคงคาตอนเหนอื มหาบพติ ร” ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัติความสําคัญของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา ๖๕
พระเจ้าอโศกจึงทรงรับส่ังพวกราชบริวารว่า “ดูก่อนพนาย ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงผูก เรือขนาน แล้วอาราธนาให้พระเถระน่ังบนเรือขนานน้ันน่ันแล จัดการอารักขาที่ฝ่ังท้ังสองด้าน นําพระเถระมาเถดิ ” พวกภิกษุและเหล่าอํามาตย์ไปถึงสํานักท่ีอยู่ของพระโมคคลีบุตรติสสเถระแล้ว ได้เรียน ให้ทราบตามพระราชสาสน์ พระโมคคลีบุตรติสสเถระได้สดับพระราชสาสน์นั้นแล้ว คิดว่า “เพราะเหตทุ ่เี ราบวชมากด็ ว้ ยต้ังใจว่าจกั เชดิ ชพู ระพุทธศาสนาตั้งแต่ต้น ฉะน้ัน กาลนี้นั้นก็มาถึง แก่เราแล้ว” จึงไดถ้ อื เอาทอ่ นหนังลกุ ขึน้ เตรียมพรอ้ มที่จะเดินทาง ครง้ั นน้ั พระเจ้าอโศกทรงใฝ่พระราชหฤทัยอยู่วา่ “พรุง่ น้ี พระโมคคลีบุตรติสสเถระจัก มาถึงพระนครปาฏลีบุตร” ก็ทรงพระสุบิน (ฝันเห็น) ในยามราตรีว่า มีพญาช้างเผือกปลอดมา ลูบคลําพระองค์ต้ังแต่พระเศียร แล้วได้จับพระองค์ท่ีพระหัตถ์ข้างขวา ในวันรุ่งขึ้น พระองค์จึง ตรัสถามพวกโหรผู้ทํานายสุบิน ซ่ึงโหรคนหน่ึงทูลถวายคําทํานายว่า “ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลี พระบาท จะมีพระสมณะผู้ประเสรฐิ จบั ใต้ฝา่ ละอองธลุ พี ระบาทท่พี ระหัตถข์ า้ งขวา” พระเจ้าอโศกเม่ือทรงทราบข่าวว่าพระโมคคลีบุตรติสสเถระเดินทางมาแล้ว ในขณะนั้น น่ันเอง จึงรีบเสด็จไปยังริมฝ่ังแม่นํ้าคงคา แล้วเสด็จลงลุยน้ําประมาณเพียงพระชานุ (เข่า) ท่อง ขนึ้ ไปจนถงึ พระเถระ ไดถ้ วายพระหตั ถแ์ ก่พระเถระผกู้ าํ ลังลงจากเรือ พระโมคคลีบุตรติสสเถระได้จับพระเจ้าอโศกที่พระหัตถ์ข้างขวา พวกราชบุรุษท่ีถือดาบ เห็นกิริยาน้ันแล้วก็ชักดาบออกจากฝักด้วยคิดว่า “พวกเราจักตัดศีรษะของพระเถระให้ตกไป” เหตุทรี่ าชบรุ ษุ คิดจะทาํ เช่นนัน้ กเ็ พราะราชวงศ์โมริยะมีจารีตที่กําหนดว่า ผู้ใดจับพระเจ้าอโศกที่ พระหัตถ์ ราชบุรุษพงึ เอาดาบตัดศรี ษะของผู้นั้นให้ตกไป พระเจ้าอโศกพอทอดพระเนตรเห็นเงา ดาบเท่านั้น ก็ทรงรีบรับส่ังว่า “แม้ครั้งก่อน เราไม่ประสบความสบายใจเพราะเหตุท่ีผิดในภิกษุ ทัง้ หลาย พวกเธออย่าทาํ ผิดในพระเถระเลย” เหตุที่พระโมคคลีบุตรติสสเถระได้จับพระเจ้าอโศกท่ีพระหัตถ์ ก็เพราะท่านได้รับการ อาราธนาจากพระเจ้าอโศกให้มาเพื่อตรัสถามปัญหา ฉะน้ัน ท่านจึงใฝ่ใจอยู่ว่าพระเจ้าอโศก พระองค์นเ้ี ป็นอนั เตวาสิกหรอื ศิษย์ของทา่ น จึงไดจ้ บั ที่พระหัตถ์ พระเจ้าอโศกทรงนําพระโมคคลีบุตรติสสเถระไปสู่พระราชอุทยานของพระองค์ แล้ว ทรงรับสั่งให้พวกราชบรุ ษตุ ง้ั การอารกั ขาไวถ้ ึง ๓ ชั้น พระองค์ทรงล้างเท้าพระเถระแล้วทานํ้ามัน ให้ ประทับน่ังอยู่ในสํานักที่พักของพระเถระ แล้วทรงพระดําริเชิงสงสัยว่า “พระเถระจะเป็นผู้ สามารถไหมหนอ เพื่อตัดความสงสัยของเรา ระงับอธิกรณ์ท่ีเกิดข้ึน แล้วยกย่องพระศาสนา” ๖๖ ประวตั ิความสําคญั ของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.
เพื่อตอ้ งการจะทรงทดลองดู จึงนมสั การถามวา่ “ขา้ แต่พระคุณเจา้ ผู้เจริญ โยมมีความประสงค์ ท่ีจะเหน็ ปาฏิหารยิ ส์ กั อยา่ งหน่ึง” พระโมคคลีบุตรติสสเถระถวายพระพรถามว่า “ขอถวายพระพร มหาบพิตร พระองค์ ทรงประสงค์จะทอดพระเนตรเหน็ ปาฏหิ ารยิ ์ชนิดไหน” พระเจ้าอโศกตรัสว่า “อยากเห็นแผ่นดินไหว เจ้าข้า” พระเถระถวายพระพรย้อนถาม ว่า “ขอถวายพระพร มหาบพิตรประสงค์จะทอดพระเนตรเห็นแผ่นดินไหวท้ังหมด หรือจะ ทอดพระเนตรเห็นแผ่นดินไหวบางส่วน” พระเจ้าอโศกตรัสว่า “ก็บรรดา ๒ อย่างนี้ อย่างไหน ทําได้ยากกว่ากัน” พระเถระถวายพระพรย้อนถามอีกว่า “ขอถวายพระพร เมื่อถาดสําริดเต็ม ด้วยนํ้า จะทําให้นํ้าน้ันไหวทั้งหมด หรือให้ไหวเพียงกึ่งหน่ึง เป็นของทําได้ยาก” พระเจ้าอโศก ตรัสตอบว่า “ให้ไหวเพียงก่ึงหน่ึงทําได้ยาก” พระเถระทูลถวายพระพรว่า “ขอถวายพระพร ดว้ ยประการดงั ถวายพระพรมาแล้วน่ันแล การให้แผ่นดินไหวบางส่วนทําได้ยาก” พระเจ้าอโศก ตรัสว่า “ข้าแต่พระคณุ เจา้ ผู้เจรญิ ถ้าเชน่ นน้ั โยมจักดแู ผ่นดินไหวบางสว่ น” พระเถระจึงทูลว่า “ขอถวายพระพร ถ้าเช่นนั้น ในแต่ละโยชน์โดยรอบ รถจงจอดทับ แดนด้วยล้อข้างหนึ่งด้านทิศตะวันออก ม้าจงยืนเหยียบแดนด้วยเท้าทั้งสองด้านทิศใต้ บุรุษจง ยนื เหยียบแดนดว้ ยเท้าข้างหน่ึงด้านทิศตะวันตก ถาดน้ําถาดหนึ่งจงวางทาบส่วนกึ่งกลางด้านทิศ เหนือ” พระเจ้าอโศกรับสั่งให้กระทําอย่างนั้นแล้ว พระเถระได้เข้าจตุตถฌานซึ่งมีอภิญญาเป็น บาท ออกแล้วได้อธิษฐานให้แผ่นดินไหวมีประมาณโยชน์หน่ึง โดยรําพึงขอให้พระเจ้าอโศกจง ทอดพระเนตรเห็น คือ ทางทิศตะวันออก ล้อรถท่ีหยุดอยู่ภายในเขตแดนเท่าน้ันไหว นอกน้ีไม่ ไหว ทางทิศใต้และทิศตะวันตก เท้าของม้าและบุรุษที่เหยียบอยู่ในเขตแดนเท่านั้นไหว และตัว ของม้าและบุรุษก็ไหวเพียงคร่ึงหน่ึงๆ เท่าน้ัน ส่วนทางทิศเหนือ นํ้าท่ีขังอยู่ภายในขอบเขตของ ถาดน้ําไหวครง่ึ สว่ นเทา่ นนั้ ท่เี หลอื ไมม่ ีความสัน่ ไหวเลย พระเจ้าอโศกทอดพระเนตรเห็นปาฏิหาริย์น้ันแล้ว ก็ตกลงพระทัยว่า “บัดนี้พระเถระ จะสามารถยกย่องเชิดชูพระพุทธศาสนาได้” จึงตรัสถามความสงสัยของพระองค์ว่า “ข้าแต่ พระคุณเจ้าผู้เจริญ โยมได้ส่งอํามาตย์นายหน่ึงไปด้วยสั่งว่า เจ้าจงไปยังพระวิหารระงับอธิกรณ์ แล้วนิมนต์ให้ภิกษุสงฆ์ทําอุโบสถเถิด เขาไปยังพระวิหารแล้ว ได้ปลงภิกษุเสียจากชีวิตจํานวน เทา่ นีร้ ปู บาปน่ันจะมแี กใ่ คร ?” พระเถระทลู ถามว่า “ก็พระองค์มีความคิดหรือว่าอํามาตย์นี้จง ไปยังพระวิหารแล้วฆ่าภิกษุท้ังหลายเสีย” พระเจ้าอโศกตรัสตอบว่า “ไม่มี เจ้าข้า” พระเถระ จงึ วสิ ัชนา “ขอถวายพระพร ถา้ พระองค์ไม่มคี วามคดิ เห็นปานนี้ไซร้ บาปไม่มีแกพ่ ระองค์เลย” ต่อจากน้ัน เพื่อให้พระเจ้าอโศกทรงเบาพระทัยในคําวิสัชนาและเข้าพระทัยในหลัก พระพุทธศาสนาย่ิงข้ึน พระโมคคลีบุตรติสสเถระจึงยกพระพุทธพจน์มาประกอบการถวาย ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั คิ วามสาํ คัญของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา ๖๗
วิสัชนาเป็นต้นว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม บุคคลคิดแล้วจึง กระทํากรรมด้วยกาย วาจา ใจ” และนาํ ติตตริ ชาดกมาแสดงเป็นอุทาหรณ์ ดงั ตอ่ ไปน้ี “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ในอดีตกาล นกกระทาตัวหน่ึงช่ือทีปกะถูกนายพรานจับ ต่อมาได้เรียนถามพระดาบสว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ นกเป็นอันมากเข้าใจว่าญาติของพวกเราถูก จับแล้ว จึงพากันมาเพื่อช่วยเหลือ นายพรานอาศัยข้าพเจ้าจึงจับนกท่ีเป็นญาติของข้าพเจ้าได้ เป็นจํานวนมาก เมื่อนายพรานอาศัยข้าพเจ้าทําบาปน้ัน ใจของข้าพเจ้าย่อมสงสัยว่าบาปนั้นจะ มแี กข่ า้ พเจ้าหรือไม่หนอ?” พระดาบสได้ย้อนถามนกกระทาน้ันว่า “ก็เจ้ามีความคิดอย่างนี้หรือ ว่าขอนกทั้งหลายเหล่าน้ันมาเพราะเสียงและเพราะเห็นรูปของเราแล้วจงถูกแร้วหรือจงถูกฆ่า” นกกระทาเรียนว่า “ไม่มี ท่านผู้เจริญ” จากน้ัน ดาบสจึงตอบให้นกกระทานั้นเข้าใจในเหตุผล ว่า “ถ้าเจ้าไม่มีความคิดไซร้ บาปก็ไม่มี แท้จริง กรรมย่อมถูกต้องบุคคลผู้คิดอยู่เท่าน้ัน หา ถกู ตอ้ งบคุ คลผไู้ ม่คดิ ไม่ (บุคคลมีเจตนาคิดแล้วลงมือทําจึงเป็นกรรม คือได้รับผลของกรรม) ถ้า ใจของเจ้าไม่ประทุษร้ายในการทําความชั่วไซร้ กรรมที่นายพรานอาศัยเจ้ากระทําก็ไม่ถูกต้องเจ้า บาปก็ไม่ตดิ เป้อื นเจา้ ท่ีบริสทุ ธิ”์ พระโมคคลีบุตรติสสเถระคร้ันถวายวิสัชนาให้พระเจ้าอโศกทรงเข้าพระทัยอย่างน้ันแล้ว ได้พักอยู่ในพระราชอุทยานในพระนครปาฏลีบุตรน้ันตลอด ๗ วัน แล้วถวายพระพรเปิดโอกาส ใหพ้ ระเจ้าอโศกทรงสอบถามข้อความตา่ งๆ อนั เปน็ การเรียนรู้หลักพระพทุ ธศาสนา ทรงดําเนินการกาํ จัดพวกภิกษุเดียรถีย์อลัชชีให้สึก : ในวันท่ี ๗ พระเจ้าอโศกทรงให้ ภิกษุสงฆ์ประชุมพร้อมกันท่ีวัดอโศการาม ให้ขึงม่านผ้าก้ันไว้ แล้วประทับนั่งอยู่ภายในม่านผ้า ทรงรับส่ังให้จัดพวกภิกษุผู้มีลัทธิเดียวกันให้รวมกันอยู่เป็นพวกๆ แล้วรับสั่งให้นิมนต์หมู่ภิกษุมาที ละหมแู่ ล้วตรัสถามวา่ “กวึ าที สมมฺ าสมฺพทุ โฺ ธ พระสัมมาสมั พุทธเจา้ มปี กติตรัสว่าอยา่ งไร” ลําดับนั้น พวกภิกษุที่เป็นเดียรถีย์ปลอมบวชต่างทูลตอบไปตามหลักลัทธิหรือทฤษฎี ความคิดเห็นแห่งศาสดาจารย์เจ้าลัทธิของพวกตน โดยพวกท่ีมีความคิดเห็นว่าอัตตาและโลก เท่ียง ก็ทูลว่า “มีปกติตรัสว่าเท่ียง” พวกที่มีความคิดเห็นว่าอัตตาและโลกเที่ยงเป็นบางอย่าง ก็ทูลว่า “มีปกติตรัสว่าบางอย่างเท่ียง” พวกที่มีความคิดเห็นว่าอัตตาและโลกมีท่ีสุดและไม่มี ที่สุด ก็ทูลว่า “มีปกติตรัสว่าโลกมีที่สุดและไม่มีท่ีสุด” พวกที่มีความคิดเห็นว่าอัตตาและโลก เที่ยงก็ไม่ใช่ ไม่เท่ียงก็ไม่ใช่ เป็นความคิดเห็นซัดส่ายเชิงปฏิเสธไม่ใช่ๆๆ ด้ินได้ลื่นไหลไปเรื่อย เหมือนปลาไหล ก็ทูลว่า “มีปกติตรัสถ้อยคําซัดส่ายไม่ตายตัว” พวกท่ีมีความคิดเห็นว่าอัตตา และโลกเกดิ ขึ้นเอง ก็ทลู วา่ “มีปกติตรัสว่าอัตตาและโลกเกิดข้ึนลอยๆ ไม่มีเหตุ” พวกที่มีความ คิดเห็นว่าอัตตามีสัญญา ก็ทูลว่า “มีปกติตรัสว่าอัตตามีสัญญา” พวกท่ีมีความคิดเห็นว่าอัตตา ไม่มีสัญญา ก็ทูลว่า “ มีปกติตรัสว่าอัตตาไม่มีสัญญา” พวกที่มีความคิดเห็นเชิงปฏิเสธซัดส่าย ๖๘ ประวตั คิ วามสาํ คัญของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
ไปเร่ือย ก็ทูลว่า “มีปกติตรัสว่าอัตตตามีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่” พวกท่ีมีความ คิดเห็นว่าอัตตาและโลกขาดสูญ ก็ทูลว่า “มีปกติตรัสว่าขาดสูญ” และพวกที่มีความคิดเห็นว่า บุคคลสามารถนิพพานทันที่ที่ขณะจิตสงบเย็น ก็ทูลว่า “มีปกติตรัสว่าพระนิพพานมีอยู่ในขณะ จิตปจั จุบนั ” พระเจ้าอโศกทรงทราบทันทีว่าท่านเหล่านี้ไม่ใช่ภิกษุแท้ แต่เป็นพวกเดียรถีย์ที่ปลอม บวชเขา้ มา เพราะพระองค์ได้ทรงเรียนรู้หลักการของพระพุทธศาสนามาอย่างถ่องแท้แล้วนั่นเอง จึงพระราชทานผ้าขาวแก่พวกภิกษุเดียรถีย์เหล่าน้ันแล้วให้สึกเสีย ซึ่งมีจํานวนท้ังหมด ๖ หมื่นคน หลังจากนั้น ได้ทรงรับสั่งให้อาราธนาภิกษุเหล่าอ่ืนมาแล้วตรัสถามว่า “กึวาที ภนฺเต สมฺมา- สมพฺ ทุ โฺ ธ ขา้ แต่พระคณุ เจ้าผูเ้ จรญิ พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้ามปี กติตรัสว่าอย่างไร” ภิกษุท้ังหลาย ทูลว่า “วิภชชฺ วาที พระสัมมาสมั พุทธเจา้ มีปกติตรัสจาํ แนก มหาบพติ ร” เมอื่ ภกิ ษุท้ังหลายทลู อย่างน้ันแล้ว พระเจ้าอโศกจึงตรัสถามพระโมคคลีบุตรติสสเถระว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นวิภัชชวาที มีปกติตรัสจําแนกหรือ?” พระโมคคลีบุตรติสสเถระทูลว่า “ขอถวายพระพร มหาบพิตร” พระโมคคลีบุตรติสสเถระเป็นประธานในตติยสังคายนา : ลําดับนั้น พระเจ้าอโศก ทรงรับสั่งว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ บัดนี้ พระศาสนาบริสุทธ์ิแล้ว ขอพระภิกษุสงฆ์จงทํา อโุ บสถเถดิ ” ดังน้ีแลว้ พระราชทานอารกั ขาไว้ และพระองคไ์ ด้เสด็จเขา้ ไปยังพระนคร ฝ่ายพระภิกษุสงฆ์ได้พร้อมเพรียงประชุมทําอุโบสถสังฆกรรมร่วมกันแล้ว ซ่ึงกล่าวกันว่า พระภิกษทุ ป่ี ระชุมกนั ในครัง้ นัน้ มีจาํ นวนถึง ๖ ลา้ นรปู จากนนั้ ทา่ นพระโมคคลีบุตรติสสเถระได้ คัดเลือกบรรดาภิกษจุ าํ นวน ๖ ลา้ นรูป กาํ หนดเอาเฉพาะพระภิกษุอรหันตเถระ ๑ พันรูป ผู้ทรง ปริยัติคือพระไตรปฎิ ก แตกฉานในปฏสิ ัมภิทา ชํานาญในไตรวชิ ชาเปน็ ต้น เพือ่ ทาํ การสังคายนา พระธรรมวินัยชําระมลทินในพระพุทธศาสนาให้หมดจด หลังจากนั้นได้ทําหน้าท่ีเป็นประธาน สงฆ์ดําเนินการทําตติยสังคีติหรือการสังคายนาครั้งที่ ๓ เหมือนอย่างที่พระมหากัสสปเถระ และ พระยสเถระไดเ้ คยดําเนินการมาแลว้ ๒ ครั้ง โดยกระทาํ อยู่ ๙ เดอื น จงึ สาํ เรจ็ เสร็จสน้ิ อน่ึง ท่านพระโมคคลีบุตรติสสเถระได้พิจารณาเห็นว่า ในหมู่พระสงฆ์ ได้มีการตีความ พระพุทธพจน์แตกต่างกันจนเกิดลัทธิและนิกายต่างๆ ข้ึนจํานวนมาก และมีการแทรกแซงเพื่อ หวงั ลาภสกั การะจากพวกนักบวชลทั ธิภายนอกพระพุทธศาสนา ทําให้เกิดสัทธรรมปฏิรูปมากขึ้น จนทําให้พระพุทธศาสนามัวหมอง ดังน้ัน เพ่ือคัดค้านการกล่าวตู่จ้วงจาบพระพุทธพจน์ของ พวกอัญเดียรถีย์หรือชนเหล่าอื่น เพ่ือแก้ความเห็นผิดของนิกายต่างๆ ในพระพุทธศาสนาคร้ังน้ัน ซึ่งแตกแยกกันออกไปแล้วถึง ๑๘ นิกาย โดยช้ีให้เห็นว่าวาทกถาอันแสดงหลักการต่างๆ ของ ฝ่ายปรวาทีหรืออาจริยวาทนั้นมีความผิดพลาดคลาดเคล่ือนจากหลักพระพุทธพจน์อย่างไร และ ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัติความสาํ คัญของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา ๖๙
เพื่อชี้แจงแสดงเหตุผลให้เห็นความถูกต้องตามความเป็นจริงที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้โดยมุ่งให้ ฝา่ ยปรวาทนี ั้นรู้เหน็ ตามความเป็นจริงแล้วก็จะละมิจฉาทิฏฐิท่ีทําให้ตีความพระพุทธพจน์ผิดๆ ลง ได้ และเกิดสัมมาทิฏฐิที่จะทําให้ตีความพระพุทธพจน์ถูกต้องตามความเป็นจริงต่อไป ท่านใน ฐานะที่ได้รับมอบหมายจากพระเจ้าอโศกมหาราชาให้ชําระมลทินในพระพุทธศาสนาให้หมดจด จงึ ได้เรยี บเรียงคมั ภีรท์ ป่ี ระมวลวาทกถา คือคํากล่าวแสดงลัทธิหรือคําประกาศหลักการแห่งลัทธิ ต่างๆ ในสมัยนั้นมารวมไว้ทง้ั หมด จาํ นวน ๒๒๖ กถา แลว้ เปรียบเทียบใหเ้ ห็นความแตกตา่ งทาง ความคิดเห็นและความเชื่อถือพร้อมท้ังช้ีข้อผิดข้อถูกให้ถือปฏิบัติตามหลักพระพุทธพจน์ที่แท้จริง โดยตั้งชอ่ื คัมภีร์นี้ว่า กถาวัตถุ ซ่ึงต่อมาได้รับการจัดเป็นหน่ึงในเจ็ดแห่งคัมภีร์พระอภิธรรมปิฎก (โดยประเทศไทยจัดพมิ พเ์ ป็นพระไตรปฎิ กเลม่ ท่ี ๓๗) แล้วนาํ เสนอเผยแพรท่ ัว่ สงั ฆมณฑล ในช่วงเวลาที่ทําสังคายนาครั้งที่ ๓ นั้น กล่าวกันว่า พระโมคคลีบุตรติสสะเถระ มีอายุ ได้ ๗๒ ปี นบั เปน็ ปที ่ี ๑๗ แหง่ การครองราชยข์ องพระเจา้ อโศกมหาราช การจัดสง สมณทตู ไปเผยแผพ ระพทุ ธศาสนาในนานาประเทศ ภายหลังจากการทรงอุปถัมภ์ให้พระภิกษุสงฆ์ซ่ึงมีพระโมคคลีบุตรติสสเถระเป็นประธาน ไดด้ าํ เนนิ การทาํ สงั คายนารวบรวมหลกั พระธรรมวินยั ให้เปน็ หลกั ฐานอ้างองิ อันบรสิ ทุ ธ์ิ ซ่ึงนบั เป็น การสงั คายนาครั้งท่ี ๓ ในประวัตศิ าสตรพ์ ระพุทธศาสนแล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชโดยการถวาย พระพรเสนอแนะของพระโมคคลีบุตรติสสเถระะ ซึ่งทราบโดยอนาคตังสญาณว่า ต่อไปในภาย ภาคหน้า พระพุทธศาสนาจะหารุ่งเรืองในชมพูทวีปไม่ แต่จักกลับไปรุ่งเรืองต้ังมั่นในประเทศ แว่นแคว้นอื่นๆ ประกอบกับพระองค์ก็ทรงพิจารณาด้วยพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกลว่า “ใน อนาคตกาลต่อไป พระพุทธศาสนาอาจจะไม่ม่ันคงอยู่ในชมพูทวีป เห็นทีว่าเราจะต้องส่ง พระภิกษุผู้มีความสามารถเป็นสมณทูตนําพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ยังดินแดนนอกชมพูทวีป” ดังน้ีแล้ว จึงทรงอาราธนาให้พระโมคคลีบุตรติสสเถระได้จัดส่งคณะสมณทูตไปประกาศเผยแผ่ พระพทุ ธศาสนาในแคว้นและประเทศตา่ งๆ รวมทงั้ ส้ิน ๙ คณะ หรอื ๙ สายด้วยกนั ดังนี้ จัดส่งสมณทตู สายท่ี ๑ เดินทางไปเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา ณ แคว้นกัสมีระ (แคชเมียร์) และแคว้นคันธาระ ปัจจุบันได้แก่ดินแดนแถบตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย ตลอดจนเข้าไปถึง บางส่วนของอาฟกานิสถาน โดยมีพระมัชฌันติกเถระ เป็นหัวหน้าคณะ (ระบุนามเฉพาะพระ เถระที่เป็นหัวหน้าคณะ โดยแต่ละคณะ เข้าใจว่าต้องมีพระภิกษุเถระร่วมเดินทางไปอย่างน้อย ๕ รปู ข้นึ ไป เพ่ือสามารถให้การอุปสมบทกลุ บุตรในถ่นิ นน้ั ๆ ได้ถูกต้องตามพระวนิ ัยบญั ญัต)ิ ๗๐ ประวตั คิ วามสําคัญของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
จัดส่งสมณทูตสายที่ ๒ เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ แถบแคว้นมหิงสกมณฑล ปัจจุบัน ได้แก่ รัฐไมเซอร์ และดินแดนแถบลุ่มแม่นํ้าโคธาวารี ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ อินเดีย ติดกบั แควน้ มทั ราส โดยมพี ระมหาเทวเถระ เป็นหวั หน้าคณะ จดั ส่งสมณทตู สายที่ ๓ เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ แถบเขตวนวาสี ปัจจุบัน ได้แก่ ดินแดนแถบถ่ินแคว้นกนราเหนือ ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอินเดีย โดยมี พระรักขติ เถระ เปน็ หวั หนา้ คณะ ในครงั้ น้ัน มวี ดั ทางพระพทุ ธศาสนาเกิดขนึ้ ถงึ ๕๐๐ แหง่ จัดส่งสมณทูตสายที่ ๔ เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ แถบถ่ินอปรันตกชนบท ปัจจุบันสันนิษฐานว่า คือ แถบชายทะเล เหนือเมืองบอมเบย์ (มุมไบ) โดยมีพระธรรมรักขิต เถระ หรอื พระโยนกธรรมรักขิตเถระ (ทา่ นผนู้ เ้ี ป็นฝรงั่ ชาติกรีก ดูเหมือนจะเป็นฝร่ังคนแรกท่ี เข้ามาบวชในพระพทุ ธศาสนา) เปน็ หวั หน้าคณะ จัดส่งสมณทูตสายที่ ๕ เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ แถบถิ่นแคว้นมหารัฏฐะ ปัจจุบัน ได้แก่ รัฐมหาราษฎร์ หรือดินแดนแถบตะวันออกเฉียงเหนือ ห่างจากเมืองบอมเบย์ ออกไป โดยมีพระมหาธรรมรักขติ เถระ เป็นหวั หน้าคณะ จัดส่งสมณทูตสายท่ี ๖ เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ แถบถ่ินโยนกประเทศ ปัจจุบัน ได้แก่ แว่นแคว้นของพวกฝร่ังชาติกรีกในทวีปเอเชียตอนกลาง เหนือประเทศอิหร่าน ต่อข้ึนไปจนถึงเตอรกีสถาน (ดินแดนท่ีเป็นประเทศอิหร่านและตุรกี) โดยมีพระมหารักขิตเถระ เป็นหวั หน้าคณะ จัดส่งสมณทูตสายที่ ๗ เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ ดินแดนแถบถิ่นภูเขา หิมาลยั (หิมวันตประเทศ) ปัจจุบัน คอื ดินแดนแถบเทือกเขาหิมาลัย และประเทศเนปาล ซ่ึง อยู่ตอนเหนอื ของประเทศอนิ เดยี โดยมพี ระมชั ฌิมเถระ เปน็ หัวหน้าคณะ จัดส่งสมณทูตสายที่ ๘ เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ ปัจจุบัน คือ ดนิ แดนแถบถิ่นบรเิ วณประเทศพม่า มอญ และประเทศไทย โดยมีพระโสณเถระ และพระอตุ ตรเถระ เปน็ หัวหนา้ คณะ จัดส่งสมณทูตสายท่ี ๙ เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ ตามพปัณณิทวีป หรือ เกาะลังกา คือประเทศศรีลังกาในปัจจุบัน ซ่ึงมีพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ เป็นกษัตริย์ปกครอง อยู่ในสมัยน้ัน โดยพระองค์ทรงเล่ือมใสในพระพุทธศาสนาอย่างย่ิง ส่งผลให้พระพุทธศาสนาใน ศรีลังกาได้เจริญต้ังม่ันสืบกันมาจนนถึงทุกวันน้ี โดยมีพระมหินทเถระ (พระโอรสพระเจ้าอโศก มหาราช) เป็นหัวหนา้ คณะ ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั ิความสาํ คัญของการเผยแผพระพุทธศาสนา ๗๑
ต่อมา พระเจ้าอโศกได้ทรงโปรดให้พระสังฆมิตตาเถรีพร้อมคณะภิกษุณีนําหน่อพระศรี มหาโพธิ์ จากพุทธคยาไปปลูก ณ เมืองอนุราธปุระ ที่ประเทศลักา พร้อมท้ังให้อุปสมบทแก่ เหล่ากลุ สตรีในประเทศศรีลงั กาท่ีประสงค์จะเปน็ ภิกษุณอี กี ด้วย การที่พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงจัดส่งคณะสมณทูตหรือคณะพระธรรมทูตไปเผยแผ่ พระพุทธศาสนานอกประเทศอินเดียในคร้ังนั้น ได้ทําให้มีพระพุทธศาสนาสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งถ้าพระเจ้าอโศกมหาราชไม่ทรงทําเช่นนั้น พวกเราคงไม่ได้รู้จักพระพุทธศาสนา และคงไม่ได้ รับรสแห่งพุทธธรรมอันหาที่เปรียบไม่ได้น้ี บุญคุณอันยิ่งใหญ่ในคร้ังนี้พุทธศาสนิกท้ังหลายพึง กราบคารวะพระเจา้ อโศกมหาราช ณ เบ้อื งพระยคุ ลบาทนีด้ ว้ ยเทอญ เมื่อพิจารณาดกู ารเดินทางไปเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาของพระสมณทูตทั้ง ๙ สายน้ีแล้ว ก็ ชี้ชัดสันนิษฐานได้ว่า ในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชน้ี พระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรือง แพร่หลายไปไกลที่สุดยิ่งกว่าสมัยใดๆ นับต้ังแต่พระพุทธศาสนาอุบัติขึ้นมา ในคร้ังพุทธกาลคือ สมยั เมื่อพระพทุ ธองคย์ ังทรงพระชนม์อยู่น้ัน พระพุทธศาสนาได้เจริญม่ันงคงอยู่ในชมพูทวปีหรือ ประเทศอินเดียโบราณเฉพาะแคว้นใหญ่ ๆ เช่น แคว้นมคธ แคว้นโกศล แคว้นวัชชี แคว้นอังคะ แคว้นวังสะ แคว้นกาสี และแค้วนอุชเชนี ซ่ึงต้ังอยู่ทางทิศเหนือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และ ตอนกลางบางส่วนของชมพูทวีปเท่านั้น หรือกล่าวอีกนัยหน่ึง ก็คือว่าพระพุทธองค์ได้เสด็จจาริก ไปเผยแผ่พุทธธรรมประกาศพระพุทธศาสนาเฉพาะใน ๗ แคว้นดังกล่าวเป็นส่วนมาก ทําให้พวก คนชาวแคว้นท่ีตั้งอยู่ทางใต้ ทางตะวันออก และทางตะวันตกสุดของชมพูทวีปไม่ได้รับรู้หลัก พระพุทธศาสนาเท่าท่ีควร พระพุทธศาสนาจึงไม่สามารถลงรากฝังลึกมั่นคงอยู่ในแคว้นเหล่าน้ัน ได้เป็นเวลานาน โดยมีศาสนาพราหมณ์มั่นคงแข็งแรงอยู่ แม้แต่ในช่วงท่ีพระพุทธศาสา เจรญิ ร่งุ เรอื ง ก็ยงั มีศาสนาพราหมณ์ และศาสนาเชนแทรกซึมอยทู่ วั่ ทกุ แหง่ ในชมพทู วปี จากหลักฐานท่ีเราได้พบและได้รู้จากหลักศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราช ซ่ึงปักไว้ ตามสถานที่สําคัญต่าง ๆ เกือบท่ัวประเทศอินเดียน้ันแสดงให้เห็นว่า พระองค์ทรงมีความเลื่อมใส ในพระพุทธศาสนาอย่างมาก พวกเราอนุชนพุทธบริษัทรุ่นหลังจึงได้อาศัยสิ่งก่อสร้างเหล่าน้ีเป็น หลักฐานในทางประวัติศาสตร์ ไม่อย่างนั้น เราอาจไม่รู้ว่าสถานที่สําคัญของพระพุทธศาสนาใน สมยั นนั้ อยทู่ ีไ่ หนบา้ ง องคค วามรจู ากศลิ าจารึกของพระเจาอโศกมหาราช พระเจ้าอโศกมหาราชทรงโปรดให้สร้างศิลาจารึก เม่ือปีพุทธศักราช ๒๓๑ เป็นปีที่ ๑๓ ในรัชกาล (นับจากที่ทรงครองราชย์เม่ือปี พ.ศ. ๒๑๘) โดยศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราช ๗๒ ประวตั ิความสําคัญของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.
นั้น ได้แสดงให้เห็นถึงความมีพระราชศรัทธาเล่ือมใสอย่างย่ิงในพระพุทธศาสนาของพระองค์ ตลอดจนแสดงให้เห็นถึงความพยายามของพระองค์ในการที่จะทําให้เกิดความสามัคคีกลมเกลียว และการเป็นอยู่ที่ดีมีคุณภาพ คุณธรรม และความรู้ท่ีถูกต้องแห่งพสกนิกรของพระองค์ ซ่ึง จํานวนศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราชที่ค้นพบได้แล้ว จนถึงปัจจุบัน มีประมาณ ๓๔ หลัก ในศิลาจารึกของพระองค์แม้จะไม่ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ต่างๆ แต่ก็ได้จารึกเป็นประกาศไว้ให้พวก เราได้รับรู้เร่ืองราวเก่ียวกับเกร็ดพระราชประวัติของพระองค์ที่ทรงบําเพ็ญพระราชกรณียกิจ อุปถัมภพ์ ระพทุ ธศาสนาให้เจริญรงุ่ เรือง เชน่ ศิลาจารึกเสาท่ี ๑ ในศิลาจารึกเสาที่ ๑ พระเจ้าอโศกได้ประกาศว่า พระองคไ์ ด้เปน็ อุบาสกมากว่า ๒ ปีคร่งึ ต่อมาพระองค์ได้เข้าถึงพระพุทธศาสนาด้วยการทรงผนวช และต่อมาได้เร่ิมปฏิบัติภารกิจอันเป็น ประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาอย่างย่ิงใหญ่ พระองค์ได้เคยเสด็จไปทรงทัศนาเย่ียมชมสถานที่ สาํ คัญๆ ทางพระพุทธศาสนาทั่วชมพูทวปี เช่น ลุมพินี ซ่ึงเป็นสถานท่ีประสูติของพระพุทธองค์ และสมั โพธะหรอื พทุ ธคยา อันเปน็ สถานทตี่ รัสรู้ของพระพุทธองค์ เปน็ ตน้ ศลิ าจารึกที่ภาพรุ ในศิลาจารึกท่ีภาพรุ พระเจ้าอโศกได้ประกาศแก่พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายว่า สิ่งใดที่พระ บรมศาสดาได้ตรัสไว้แล้ว ส่ิงนั้นเช่ือว่าเป็นอันตรัสไว้ดีแล้ว และพระสัทธรรมจะดํารงอยู่ตลอด กาลนาน และได้มีประกาศแก่ฆราวาสทั้งชายและหญิงว่า ให้เขาท้ังหลายพากันสดับฟัง และ ต้ังใจศกึ ษาขอ้ ความย่อแห่งพระธรรมเจ็ดคมั ภรี ์ ซึง่ ถา่ ยทอดจากพระไตรปิฎก ศิลาจารกึ ทส่ี ารนาถและอัลละฮาบาธ ศิลาจารึกท่ีสารนาถและอัลละฮาบาธ ได้กล่าวถึงประเพณีในทางพระพุทธศาสนาว่า พระเจ้าอโศกทรงมีพระวิริยอุตสาหะอย่างแรงกล้าในการท่ีจะทําให้เกิดความสามัคคีกลมเกลียว ในสังฆมณฑล และให้ปลอดพ้นจากส่งิ ท่จี ะมาทาํ ใหเ้ กิดความแตกแยก ศิลาจารึกท่ี ๗ ศิลาจารึกที่ ๗ บอกว่า ในปีที่ ๒๘ พระเจ้าอโศกทรงสรุปหลักการทั้งหมดท่ีทรงใช้เป็น หลกั ในการประกาศจารกึ ซงึ่ เรยี กว่าธรรมของพระองค์หรอื อโศกธรรม ไว้ หลักการเหล่าน้ัน คือ ๑. ทรงแต่งตั้งข้าหลวงประจาํ เขตปกครองท้องถ่ินให้มีหน้าท่ีส่งั สอนประชาชน ๒. ทรงฝังหลักศิลาจารึกพระธรรม (หลักศิลาจารึก พระบรมราชโองการ) และทรง แตง่ ตงั้ มหาอาํ มาตย์ในราชสํานกั ไว้เป็นพิเศษ เพอ่ื อํานวยการในเรอ่ื งการประกาศพระธรรมนี้ ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั ิความสําคญั ของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา ๗๓
๓. ทรงโปรดให้ปลูกต้นไม้ เพือ่ ให้ร่มเงา ให้ขุดบอ่ เปน็ ระยะๆ ไปตามถนน ๔. ทรงแต่งต้ังมหาอํามาตย์พิเศษไว้ให้มีหน้าท่ีอํานวยการในเร่ืองทําทานแก่คฤหัสถ์และ บรรพชติ และให้มีหนา้ ทจ่ี ดั การเรือ่ งของคณะสงฆ์ สาํ หรบั บรรพชิตนิกายอื่น กใ็ ห้มคี ณะวนิ ยั ธร ตา่ งหากจากคณะผ้พู ิพากษาธรรมดา ๕. ทรงแต่งตั้งข้าราชการจํานวนมากเป็นเจ้าหน้าอํานวยการบริจาคทานอันเป็นส่วนของ พระราชินแี ละพระโอรส-พระธดิ าของพระองค์ ศลิ าจารกึ ที่ ๑๓ ศิลาจารึกท่ี ๑๓ พระเจ้าอโศกทรงประกาศว่าพระองค์ได้ส่งสมณทูตไปยังดินแดนต่างๆ ไม่เฉพาะแต่ภายในมหาอาณาจักรของพระองค์เท่าน้ัน แต่ยังได้ส่งไปยังดินแดนที่อยู่พ้นมหา อาณาจักรของพระองค์ออกไป เช่น ดินแดนแห่งปโตเลมี (Ptolemy) อันติกอนอส (Antigonos) มากาส (Magas) และอเล็กซานเดอร์ (Alexander) และเช่ือว่าพระภิกษุในพระพุทธศาสนาคง จะได้รับการอปุ ถมั ภ์และการสนบั สนนุ ในการประกาศศาสนาในทีน่ ้นั ๆ ด้วย องคความรจู าก “อโศกธรรม” อโศกธรรม หมายถึงหลักความเป็นคนดีมีคุณธรรมตามคติธรรมในพระพุทธศาสนาท่ี พระเจ้าอโศกทรงโปรดให้จารึกเป็นพระราชโองการไว้ในศิลาจารึกต่างๆ โดยสาระสําคัญคือเป็น คาํ บรรยายลกั ษณะอันเปน็ หนา้ ทขี่ องคฤหสั ถ์ชาวบ้านผู้ครองเรือนที่ดีไว้ ซ่ึงถึงแม้จะเป็นจารึกท่ีมี อายุเก่าแก่ยาวนานแล้ว แต่ก็ยังทันสมัย สามารถนํามาใช้ในชีวิตของประชาชนชาวโลกปัจจุบัน ได้เสมอ ทั้งยังใช้ถ้อยคําที่เข้าใจง่าย ซึ่งนับว่าเป็นส่ิงทรงคุณค่าสูงล้ําและน่าอัศจรรย์อย่างยิ่งใน พระปรีชาสามารถของพระองค์ ดังตัวอย่างท่ีนักปราชญ์ทางประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาได้ สรุปมาจากศลิ าจารึกหมายเลขต่างๆ กําหนดเป็นอโศกธรรมให้ได้ศึกษากัน เชน่ ทรงห้ามฆ่าสัตว์เพ่ือบูชายัญ และทรงห้ามชุมนุมเลี้ยงเหล้าฉลองกันอย่างเอิกเกริกเฮฮา ทรงสอนให้คนเราเชือ่ ฟังบิดามารดา ให้มใี จเอื้อเฟ้ือต่อมิตรผู้คุ้นเคย ต่อญาติและสมณพราหมณ์ การไม่ประทุษร้ายต่อสิ่งมีชีวิตท้ังหลาย การรู้จักประหยัดในการใช้จ่าย และการหลีกเลี่ยงการ ทะเลาะวิวาทเหล่านี้ล้วนแต่เป็นความดี ทรงสอนให้คนเรารู้จักฝึกตน ชําระใจให้สะอาด รู้จัก บุญคุณ และรู้จักผูกไมตรี เพราะสิ่งเหล่าน้ีเป็นคุณธรรมที่แม้จะเป็นคนยากจนก็ปฏิบัติได้เสมอ และเป็นคณุ ธรรมอนั สงู สดุ ของคนเรา ทรงให้ข้อคิดเกี่ยวกับการประกอบมงคลพิธีต่างๆ ว่า คนท้ังหลายประกอบพิธีกรรมหรือ มงคลพธิ ีเฉพาะในยามปว่ ยไข้ ยามมงคลสมรส ยามคลอดบุตร หรือในยามเร่ิมออกเดินทางไกล ๗๔ ประวัติความสําคัญของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.
การประกอบพิธีมงคลเหล่าน้ีล้วนไร้สาระ หาคุณค่าอะไรมิได้ แต่ยังมีการมงคลอีกประการหนึ่ง ทีบ่ ุคคลควรประกอบ เปน็ การมงคลท่ีเต็มไปด้วยผลานิสงส์ น่ันก็คือมงคลอันประกอบด้วยธรรม ได้แก่ การปฏิบัติชอบต่อทาสและคนรับใช้ การยกย่องให้เกียรติแก่ครูบาอาจารย์ การมีใจรักใน สิ่งมีชีวิต ความมีใจเอ้ือเฟ้ือต่อสมณพราหมณ์ ส่ิงเหล่าน้ีและสิ่งอื่นๆ อันคล้ายกันน้ีเรียกว่าการ ประกอบมงคลอันประกอบด้วยธรรม ดังน้ัน บิดามารดา บุตรธิดา พ่ีหรือน้อง คนท่ีเป็นนายเขา ควรท่ีจะช่วยกันประกาศว่า “มงคลอันประกอบด้วยธรรมนี้ดีเยี่ยมโดยแท้ ควรปฏิบัติกันให้ สําเร็จ จนกระท่ังบรรลุถึงผลที่จํานงหมาย” คนทั้งหลายกล่าวว่าความเอื้อเฟื้อเป็นความดี แต่ ไม่มีทานใด ไม่มีความช่วยเหลือใดท่ีจะดีเท่ากับการให้ธรรมทานแก่คนอ่ืน และช่วยเหลือคนอื่น ให้ไดร้ ับรสพระธรรม ทรงเสนอหลักปฏิบัติต่อการนับถือศาสนาว่า ควรให้เสรีภาพในทางศาสนา ควรเคารพ ใหเ้ กียรตคิ นทน่ี ับถอื ศาสนาอนื่ ทุกคน ท้ังทีเ่ ป็นคฤหสั ถ์และบรรพชติ ไมค่ วรเหยียบย่ําศาสนาอื่น แล้วยกย่องศาสนาของตน การรักษาสํารวมคําพูดเป็นสิ่งที่ชอบ ขอให้เสาะแสวงหาเพ่ือความ เจริญในศาสนาของตน ถอื เป็นกิจท่สี าํ คญั ย่งิ ทรงให้ความหมายของคาํ วา่ “ธรรม” ดังน้ี ธรรมเป็นความดี แต่อะไรเล่าคือธรรม คือ ความพยายาม ลดความมัวเมาในใจของตนให้น้อยลง ทําประโยชน์ให้แก่คนอ่ืนเพ่ิมขึ้นให้มาก ความเมตตา กรณุ า ความเอื้อเฟอื้ ความจริง และความบริสุทธ์ิ (เหลา่ น้คี ือธรรม) ทรงอธิบายเรื่องกรรมวา่ คนเห็นกรรมดีท่ีตนทําแล้ว ก็กล่าวว่ากรรมดีน้ีเราได้ทําไว้แล้ว คนมักมองไม่เห็นกรรมชั่วของตน แต่เม่ือเห็น ก็กล่าวว่ากรรมช่ัวเราได้ทําไว้แล้ว กรรมน้ันเป็น กรรมช่ัว การตรวจดูกรรมที่ตนทําแล้วได้เช่นน้ีเป็นของทําได้ยาก แต่คนก็ต้องคอยสอดส่องดู การกระทําของตนเอง คอยแนะนําตนว่า “การกระทําเช่นน้ันและเช่นนั้นนําไปสู่ความหายนะ กรรมน้ันเป็นกรรมหยาบช้าทารุณ เป็นความโกรธ ความเย่อหย่ิง ข้าจะคอยสอดส่องอย่าง เข้มงวด มิให้ตัวข้าเองป้ายร้ายคนอ่ืนด้วยความริษยา การกระทําได้เช่นน้ีย่อมจะเป็นไปเพื่อ ประโยชนส์ ขุ แกข่ ้าทัง้ ในโลกนแี้ ละโลกหนา้ เปน็ แน่แท”้ จากท่ียกตัวอย่างมาน้ี แสดงให้เห็นว่า อโศกธรรม เป็นหลักธรรมสากลเพราะไม่มีการ กล่าวถึงพระผู้เป็นเจ้า วิญญาณ หรือแม้แต่พระพุทธเจ้าหรือพระพุทธศาสนา แต่ท่ีแสดงนี้เป็น หลักธรรมสากล ให้ทุกศาสนายอมรับได้ แม้ว่าพระองค์เองจะเป็นพุทธมามกะ แต่พระองค์ก็ไม่ เคยบีบบังคับพสกนิกรของพระองค์ต้องให้นับถือพระพุทธศาสนาตามพระองค์เลย และก็ไม่เคย เห็นว่าศาสนาอน่ื ๆ จะเป็นซาตานหรือคนช่ัวช้าผิดบาปแต่อย่างใด ทั้งน้ี อาจเป็นเพราะพระองค์ ทรงเปน็ อริยพทุ ธมามกชนอย่างแท้จรงิ น่ันเอง ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั คิ วามสําคัญของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา ๗๕
พระสถปู เจดีย : พุทธศิลปะยุคพระเจาอโศก ดังเป็นท่ีทราบกันว่า พระเจ้าอโศกมหาราชทรงโปรดให้สร้างพระสถูปเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ เท่ากับจํานวนพระธรรมขนั ธ์ แลว้ ทรงโปรดให้ประดิษฐานในสถานท่ีต่างๆ ท่ีพระพุทธองค์ ไดเ้ คยเสด็จประทับทว่ั พระราชอาณาเขตแหง่ ชมพทู วีป พรอ้ มกนั นี้ พระองค์ยังได้ทรงโปรดให้แบ่ง พระบรมสารีริกธาตุจากสถูปของพระเจ้าอชาตศัตรู ท่ีอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของวัดเวฬุวัน แล้วโปรดใหอ้ ญั เชญิ พระบรมสารีรกิ ธาตุ แบง่ ไปบรรจไุ ว้ในพระสถปู เจดีย์ท้ัง ๘๔,๐๐๐ องค์ด้วย พระสถูปเจดีย์ของพระเจ้าอโศกมีปรากฏต้ังแต่เมืองตักกสิลา เหนือสุดของอินเดียลงไป จนถึงแคว้นมลกูฏ ใต้สุดของอินเดีย ลักษณะของสถูปน้ันมักสร้างด้วยอิฐและศิลา เป็นรูปทรง บาตรควา่ํ ตง้ั อยู่บนฐานสี่เหลี่ยม คล้ายกับจะให้เป็นบัลลังก์ แล้วสร้างเป็นฉัตรปักไว้บนบัลลังก์ นั้นอีกต่อหน่ึง รอบๆ พระสถูป มักทําเป็นรั้วล้อมรอบบริเวณไว้ เรียกกันว่า รั้วพระเจ้าอโศก มลี ักษณะรปู ทรงเปน็ ไม้ไผ่สานขัดแตะ แต่มักนิยมทําด้วยอิฐและศิลา ท่ีร้ัวหรือซุ้มประตูน้ัน มัก นิยมให้มีภาพหินแกะสลัก เป็นรูปเรื่องราวพระพุทธประวัติหรือเรื่องราวในชาดก ภาพสลักน้ัน งดงามย่ิงนัก ทําให้เราทราบศิลปะและกระบวนช่างในยุคพระเจ้าอโศกว่าเจริญรุ่งเรืองเพียงไร และมีที่น่าสังเกตว่า ไม่มีการสลักเป็นรูปเหมือนอย่างบุคคล แต่ได้ใช้สัญญลักษณ์อื่นๆ แสดง แทนเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับพระประวัติของพุทธเจ้า เช่น ดอกบัว แสดงการประสูติ, ม้า แสดงการออกบรรพชา, บัลลังก์ว่าง ใต้ต้นพระศรีมหาโพธ์ิ แสดงการตรัสรู้, วงล้อธรรมจักร และกวางหมอบ แสดงปฐมเทศนา, ระฆังควํ่าหรอื พระสถูป แสดงการปรินิพพาน เปน็ ตน้ นอกจากน้ีพระองค์ยังโปรดให้สร้างเสาหิน ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า เสาหินพระเจ้าอโศก มจี ํานวนถงึ ๘๔๐๐๐ ต้น ตามจาํ นวนพระธรรมขันธ์ แล้วโปรดให้นาํ ไปต้ังยังสถานท่ีสําคัญต่างๆ ในพระพุทธศาสนา เช่น ที่สังเวชนียสถาน ๔ ตําบล และที่อื่นๆ ท่ัวประเทศอินเดีย เสาหินนั้น มีลักษณะเป็นเสาหินทรายขัดมัน มีขนาดใหญ่ โดยท่ัวไปมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑ เมตร สูงประมาณ ๑๐ เมตร บนหัวเสา มกั แกะสลักเป็นรูปสัตว์ต่างๆ ส่วนมากเป็นรูปสิงห์ ๔ ตัวหัน หลังชนกัน (จตุรสิงห์) และบนหลังสิงห์มีธรรมจักรต้ังอยู่ อันแสดงให้เห็นว่า พระธรรมแห่ง พระพุทธศาสนาได้แผ่ไพศาลไปทั่วทั้งสี่ทิศ ส่วนฐานที่รองรับหัวเสานั้นก็มักมีรูปสัตว์ต่างๆ อีก เช่น ช้าง ม้า สิงห์ และหงส์ เป็นต้น ซึ่งสัตว์แต่ละรูปก็เป็นสัญลักษณ์แทนเหตุการณ์ต่างๆ ที่ เก่ียวกับพระประวัติของพระพุทธองค์ เช่น ช้าง หมายถึงการประสูติ, ม้า หมายถึงการเสด็จ ออกบรรพชา, สิงห์ หมายถึงการประกาศสัจธรรม ทํานองเปล่งสีหนาท, หงส์ หมายถึงการ แยกดีแยกชั่ว เป็นต้น เสาหินพระเจ้าอโศกในท่ีบางแห่งยังได้มีการจารึกอักษรพฺราหฺมี บันทึก เป็นเรื่องราวต่างๆ ดังเช่น ที่ลุมพินีวัน สถานท่ีประสูติ และท่ีทรงแสดงมหาสติปัฏฐานสูตร ท่ี อโศกเรขะ ในนิวเดลฮี เป็นต้น มีการจารึกเร่ืองราวปรากฏบนเสาศิลา ๓๐ กว่าแห่ง กล่าวกัน ๗๖ ประวตั คิ วามสําคญั ของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.
ว่า ในการปักเสาหินต่างๆ นี้ มีพระมหาโมคคลีบุตรติสสเถระ พระอรหันต์ผู้ทรงทิพยจักษุ เป็นผู้ชบ้ี อกตําแหน่งของสถานทีน่ นั้ ๆ ด้วยญาณคือตาทิพย์ ทั้งสถูปพระเจ้าอโศก เสาหินพระเจ้าอโศก และร้ัวพระเจ้าอโศกเหล่านี้ มีไว้เพ่ือเป็น หลักฐานทางพระพุทธศาสนาที่เป็นถาวรวัตถุ คงสภาพได้นาน ไว้ให้อนุชนพุทธบริษัทช้ันหลังได้ ทราบถงึ พุทธสถานในตาํ แหน่งทถี่ กู ต้อง ตรงกบั เหตกุ ารณใ์ นพระพุทธประวัติอยา่ งแทจ้ รงิ บนั้ ปลายพระชนมช พี พระเจ้าธรรมาโศกราชทรงเสวยสิริราชสมบัติในพระนครปาฏลีบุตร แคว้นมคธ รวม ระยะเวลากว่า ๔๒ ปี จึงเสด็จสวรรคต (โดยนับท่ีทรงครองราชย์ พ.ศ. ๒๑๘ และเสด็จสวรรคต พ.ศ. ๒๖๐ ในคัมภรี ์สันสกฤตว่า ทรงครองราชย์ พ.ศ. ๒๗๐ - พ.ศ. ๓๑๑ รวมระยะครองราชย์ ๔๑ ปี) เม่ือสิน้ รชั สมยั ของพระเจ้าอโศกแล้ว ราชวงศโ์ มริยะกค็ อ่ ยเส่อื มสญู ไปในที่สุด พระราชประวัติในบ้ันปลายแห่งพระชนม์ชีพของพระเจ้าอโศกไม่ปรากฏในคัมภีร์บาลี แต่ในคัมภีร์สันสกฤต “อโศกาวทาน” ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติบั้นปลายแห่งพระชนม์ชีพของ พระเจ้าอโศกไว้โดยพิสดาร ในที่นี้ขอนําเอาข้อความสํานวนภาษาบางตอนท่ื ศาสตราจารย์ (พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก เล่าไว้ในคอลัมน์ “ธรรมะใต้ธรรมาสน์” มานําเสนอเป็นการสรุป จบพระราชประวตั ขิ องพระเจา้ อโศกมหาราช ดังตอ่ ไปน้ี “พระเจ้าอโศกมีพระมเหสีหลายองค์ เท่าท่ีปรากฏชื่อก็มีอสันธิมิตตา มหาเทวี ปัทมาวตี ตษิ ยรกั ษิตา มเหสอี งค์ท้ายว่ากนั วา่ รา้ ยกาจมาก อิจฉาแม้กระทั่งต้นโพธ์ิ พระเจ้าอโศกเสด็จไป นมัสการต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นไม้ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทุกวัน รับส่ังให้ดูแลอย่างดี พระนาง ติษยารักษิตาหาโอกาสให้คนของเธอเอานํ้าร้อนไปราดโคนมันทุกวันจนตาย เดือดร้อนพระเจ้า อโศกตอ้ งไปหาหนอ่ ใหม่ปลกู คนอะไรหงึ แมก้ ระทงั่ ตน้ ไม้ พระนางข้รี ษิ ยาองค์นเ้ี องได้ก่อกรรมทําเข็ญกับพระราชโอรสอันประสูติแต่พระอัครมเหสี นามว่าเจ้าชายกุณาละ พระราชบิดาทรงสถาปนาเจ้าชายกณุ าละในตาํ แหน่งอุปราช ส่งไปครอง เมืองอชุ เชนีแควน้ อวนั ตี ด้วยความรําลึกถึงพระราชปโิ ยรส พระเจา้ อโศกทรงมีพระราชหัตถเลขา ถึงพระราชโอรส ข้อความตอนหน่ึงทรงเตือนให้พระราชโอรสหมั่นศึกษาศิลปวิทยาเพ่ือจะ ได้กลับมาสืบราชสมบัติแทนพระองค์ ตรงน้ีคําศัพท์ว่า \"อัธยายนะ\" (แปลว่า การสาธยายหรือ ท่องบ่นวิชาการ) พระนางอิจฉาแอบแปลงสารเมื่อพระราชาเผลอ เติมตัว น เข้าอีกตัวเป็น \"อันธยายนะ\" (แปลว่าทําตาให้บอด) เม่ือจดหมายถึงมือเจ้าชายกุณาละ นึกว่าเสด็จพ่อส่ังให้ ควักดวงตาทิ้ง จึงจัดการให้ควักดวงตาตนตามคําส่ังเสด็จพ่อ มิไยใครจะทัดทานอย่างไรก็ไม่ฟัง ในที่สุดก็บอดสนิททั้งสองข้าง แล้วก็ส่งสารถึงเสด็จพ่อว่าได้กระทําตามพระราชประสงค์ของ ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัติความสาํ คญั ของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา ๗๗
เสด็จพ่อทุกประการ เรื่องได้ล่วงรู้ถึงพระเจ้าอโศกภายหลัง พระองค์ทรงเศร้าโศกเสียพระทัย มาก ได้สืบสาวราวเร่ืองได้ต้นตอคน \"แปลงสาร\" คือพระนางติษยรักษิตา จึงรับส่ังให้ประหาร ชีวิต แล้วให้อํามาตย์ไปเชิญ สัมปทิ โอรสเจ้าชายกุณาละ เจ้าเมืองปาตลีบุตร สถาปนาข้ึนเป็น รชั ทายาทสบื แทนบิดา พระเจ้าสัมปทิขึ้นครองราชย์ ในช่วงท่ีทรัพย์คงคลังแทบไม่เหลือ นัยว่าพระเจ้าอโศก ทรงขนออกมาถวายทานให้พระพุทธศาสนาจนเกือบหมด พระเจ้าสัมปทิจึงมีอคติต่อพระสงฆ์ ต่อพระพุทธศาสนา เพราะท่านเหล่าน้ีเป็นเหตุให้เสด็จปู่ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว จึงไม่สนใจ ทะนุบํารุงพระพุทธศาสนา หันไปนับถือศาสนาเชน เช่นเดียวกับบรรพบุรุษแห่งราชวงศ์โมริยะ สิ้นสัมปทิ พระเจ้าทศรถข้ึนครองราชย์ ก็หันไปนับถือพวกอาชีวก ไม่สนใจพระพุทธศาสนา พระพทุ ธศาสนากเ็ ส่อื มโทรมลง พระสงฆ์องคเ์ จา้ ก็พากนั ปลีกตัวไปอยู่ถ่นิ อ่นื ในที่สุด ราชวงศ์โมริยะก็ถึงกาลอวสาน เม่ืออํามาตย์ปุษยมิตร ลุกขึ้นยึดอํานาจ สถาปนาราชวงศ์ศุงคะขึ้น ศาสนาพราหมณ์ซึ่งซบเซามานานก็ฟ้ืนตัว โดยการนําของปุษยมิตร พระพุทธศาสนาที่ออ่ นแออยแู่ ลว้ ก็เข้าสู่อาการสลบไสล วัดวาอาราม สถูปวิหารท่ีพระเจ้าอโศก สร้างไว้ถกู เผาทาํ ลายไปหมดสิ้น พระพทุ ธศาสนามิได้เป็นศาสนาประจําชาตอิ กี ตอ่ ไป แตป่ ษุ ยมิตร ผทู้ ําลายลา้ งพระพทุ ธศาสนา กใ็ ช่วา่ จะเจริญรุ่งเรือง บาปกรรมมีจริง ราชวงศ์ศุงคะไปได้หน่อย หนงึ่ กถ็ กู พวกกรีกลูกหลานอเลก็ ซานเดอร์มหาราชรกุ ราน กษตั รยิ ์กรกี องค์หน่ึงพระนามว่า เมานานเดอร์ ภาษาบาลีว่า มิลินทะ ยึดครองอินเดีย เหนือ เลือกเอาเมอื งสาคล หรือสกลใกล้ตกั สิลา เป็นจุดศูนย์กลาง แรกๆ มิลินทะก็มิได้นับถือ พระพทุ ธศาสนา ต่อมาไดเ้ ลือ่ มใสในพระพทุ ธศาสนา โดยการชกั นาํ ของพระเถระนาม นาคเสน กท็ ะนบุ ํารุงพระพทุ ธศาสนาให้ร่งุ เรืองมา ชั่วระยะเวลาอันส้ันแล้วก็เสือ่ มถอยลงอีก” ๗๘ ประวตั คิ วามสาํ คญั ของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
ทตุ ยิ บท ประวัติการนบั ถือพระพุทธศาสนา ของชนชาตไิ ทย ประมวลขอสันนิษฐานเก่ยี วกบั อาณาบริเวณ “สวุ รรณภูม”ิ โดยท่ีในคัมภีร์สมันตปาสาทิกา อรรถกถาพระวินัยปิฎก ตอนพาหิรนิทาน ได้บันทึกการ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายงั สวุ รรณภมู ิของพระโสณะกบั พระอุตตระไว้ มใี จความโดยสรุปว่า “เม่อื พระโสณะกบั พระอุตตระได้ไปยังแคว้นสุวรรณภูมิ สมัยนั้น ที่แคว้นสุวรรณภูมิ มี นางรากษส* (ผีเสื้อน้ํา) ตนหน่ึง ข้ึนมาจากสมุทรเค้ียวกินพวกทารกท่ีเกิดในราชตระกูล ในวัน น้นั เอง มีทารกคนหนึ่งเกิดในราชตระกูล คนท้ังหลายเห็นคณะของพระเถระแล้ว สําคัญว่าเป็น สหายของพวกรากษส จึงพากันถือเอาอาวุธไปประสงค์จะทําร้าย พระโสณเถระจึงถามว่าถือ อาวุธมาทําไมกัน คนหล่าน้ันพูดว่า “มีพวกรากษสชอบเค้ียวกินพวกเด็กที่เกิดในราชตระกูล พวกทา่ นคงเปน็ สหายของรากษสเหลา่ นั้น” พระโสณเถระจึงอธิบายให้พวกคนเหล่านั้นเข้าใจว่าพวกตนไม่ใช่สหายหรือพวกของ รากษส แต่ช่ือว่าเป็นสมณะ ที่งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การร่วมประเวณี การไม่ พูดเท็จ การไม่ด่มื นาํ้ เมา เปน็ ผูฉ้ นั หนเดยี ว มีศลี ประพฤติพรหมจรรย์ มีกัลยาณธรรม ขณะน้ันเอง นางรากษสตนหนึ่ง พร้อมด้วยบริวาร ได้ขึ้นมาจากสมุทร เห็นพระเถระ จึงคดิ จะจับกนิ พวกชาวบ้านเหน็ นางรากษสตนนน้ั แลว้ กก็ ลวั ร้องเสยี งดงั วา่ “นางรากษสนี้กําลัง มา เจ้าข้า” พระโสณเถระจึงเนรมิตอัตภาพจํานวนมากกว่าพวกรากษสเป็นสองเท่า ปิดล้อมไว้ ท้ังสองข้างโดยก้ันนางรากษสพร้อมทั้งบริวารไว้ตรงกลาง นางรากษสตนน้ันพร้อมทั้งบริวารเห็น ดังนั้นจึงฉุกคิดว่า “สถานที่น้ีถูกพวกรากษสเหล่าน้ียึดครองแล้วเป็นแน่ ขืนชักช้าพวกเราจะถูก พวกรากษสเหล่าน้ีจับกนิ เป็นอาหารแนน่ อน” แล้วตา่ งพากนั รีบหนีไป ฝ่ายพระโสณเถระกับพระอุตตรเถระคร้ันขับไล่รากษสเหล่านั้นไห้หนีไปไกลลับตาแล้ว จึงได้จัดต้ังอารักขาไว้โดยรอบเกาะ (พื้นที่บริเวณน้ัน) และต่อมาพระเถระทั้งสองได้ทําให้พวก * รากษส หมายถึงยักษ์ร้าย หรือผีเสื้อนํ้า (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน), บ้างว่า เป็นเวตาล หรือค้างคาว เป็นชื่อ ของพวกอสูรอย่างเลว มีนิสัยดุร้าย ชอบเที่ยวตามป่าทําลายพิธีและกินคน สูบโลหิตของสัตว์เป็นอาหาร สถานท่ีอยู่ของพวกนี้ อยู่ในทะเลหรือสระใหญ่ (ปฐมสมนั ตปาสาทกิ าแปล เลม่ ๑ หน้า ๑๑๒ : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวทิ ยาลัย ๒๕๔๐) ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัติความสําคญั ของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๗๙
คนเหลา่ น้ันเลื่อมใสโดยยกพรหมชาลสูตร (พระสูตรที่พระพุทธองค์ตรัสเก่ียวกับศีล ๓ ระดับ คือ จุลศีล ศีลชั้นต้น มัชฌิมศีล ศีลขั้นกลาง และมหาศีล ศีลช้ันสูง เป็นต้น ซ่ึงพระสูตรนี้จัดอยู่ ในพระไตรปิฎกเล่มท่ี ๙ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค) มาแสดงช้ีแจงอธิบายให้เข้าใจแจ่มแจ้ง จน สามารถทําให้พวกคนทอ้ งถิ่นชาวสุวรรณภูมิเหล่าน้ันเล่ือมใสในพระพุทธศาสนา ประกาศตนเป็น อบุ าสก-อุบาสกิ า ยึดมน่ั ในไตรสรณคมนแ์ ละรักษาศลี ๕ กนั โดยทัว่ หน้า ในการประชุมฟังธรรม คร้ังนั้น มีประชาชนประมาณ ๖ หม่ืนคนได้บรรลุเข้าถึงธรรมแจ่มแจ้ง มีพวกกุลบุตรเด็กหนุ่ม ลูกหลานชาวบ้านประมาณ ๓ พัน ๕ ร้อยคนขอบวชเป็นพระภิกษุสามเณร และมีพวกกุลธิดา บตุ รสาวชาวบา้ นประมาณ ๑ พัน ๕ ร้อยนางขอบวชเปน็ พระภิกษณุ แี ละสามเณรี เป็นอันว่าพระโสณะและพระอุตตระได้ประกาศพุทธธรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนาจน สามารถประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้ดํารงม่ันอยู่ในแคว้นสุวรรณภูมินั้นด้วยประการฉะน้ี นับ แตน่ ั้นมา ชนชาวสุวรรณภมู ิกน็ ิยมพากันต้งั ชื่อพวกเดก็ ทเ่ี กดิ ในตระกูลชั้นสูงว่า โสณุตตระ (หรือ โสณุดร)” ดังน้ัน จึงเป็นที่ยอมรับกันว่า พระพุทธศาสนาได้เข้ามาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิน้ีในสมัย พระเจ้าอโศกมหาราช เป็นพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทด้ังเดิมในพุทธศตวรรษที่ ๓ เม่ือ พ.ศ. ๒๓๖ สมัยเดียวกันกับที่พระพุทธศาสนาได้รับการนําไปเผยแผ่ท่ีประเทศศรีลังกา เป็นยุคสมัย ท่ีพระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองแพร่ขยายไปไกลที่สุดยิ่งกว่าสมัยใดๆ เพราะมีการจัดส่งคณะ พระสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ รวม ๙ สายด้วยกัน ขณะนั้นอาณาจักร ไทยรวมอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิด้วย จึงกล่าวได้ว่า ประเทศไทยได้รับพระพุทธศาสนาใน รัชสมัยของพระเจ้าอโศกมาหาราช โดยคณะสมณทูตท่ีมีพระโสณเถระกับพระอุตตรเถระ เป็น หัวหน้าคณะ ได้นําเอาหลักพระพทุ ธศาสนามาเผยแผ่ในดินแดนท่ีเรียกวา่ สวุ รรณภูมิ หรือเขียน อย่างบาลีว่า สุวัณณภูมิ คณะสมณทูตได้แสดงพระธรรมเทศนาพรหมชาลสูตรเป็นต้นโปรด ประชาชนชาวพ้ืนถิ่นจนเกิดความศรัทธาเลื่อมใสและขอบวชในพระพุทธศาสนาเป็นจํานวนมาก ชาวพ้ืนถิ่นเหล่านั้นนอกจากจะบวชเป็นพระภิกษุแล้ว ยังได้สร้างสถูปเจดีย์ไว้สักการะบูชาอีก ด้วย สถูปทรงนี้เรียกว่าสถูปรูปฟองน้ําเหมือนกับสถูปสาญจิในอินเดียซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงให้สร้างขึ้น ศิลาที่สลักเป็นรูปพระธรรมจักร พระแท่นพุทธอาสน์ และรอยพระพุทธบาท ต่างก็เป็นสัญลักษณ์ถึงความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในยุคน้ี ดังปรากฏในจดหมายเหตุ ของจีนว่า ทวาราวดี ซ่ึงสันนิษฐานว่า ได้แก่จังหวัดนครปฐม โดยมีโบราณสถานและ โบราณวตั ถุต่างๆ เชน่ พระปฐมเจดยี ์ ศิลารูปพระธรรมจกั ร เปน็ ตน้ เป็นประจักษ์พยานอยู่ อยา่ งไรกต็ าม เกี่ยวกับภูมิประเทศอันเป็นสถานที่ต้ังของดินแดนท่ีเรียกกันว่าสุวรรณภูมิ นั้น ยังมีข้อถกเถีงกันอยู่ในหมู่นักศึกษาทางประวัติพระพุทธศาสนาและกลุ่มประเทศที่นับถือ ๘๐ ประวตั ิความสาํ คัญของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
พระพทุ ธศาสนาในแถบนี้ว่า ดนิ แดนสุวรรณภมู ิ ท่ีคณะสมทตู ซึง่ มพี ระโสณะกบั พระอุตตระเป็น หัวหน้าหน้าคณะเดินทางมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาเมื่อคร้ังสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชปกครอง อนิ เดยี นนั้ อยู่ตรงไหนกนั แน่ ได้แก่บริเวณประเทศใดในปัจจุบัน โดยนักปราชญ์ชาวพุทธพม่าก็ อ้างว่าศูนย์กลางคือตัวเมืองสุวรรณภูมิอยู่ท่ีเมืองสุธรรมวดีหรือสะเทิมในพม่า แต่นักปราชญ์ชาว พทุ ธไทยก็แย้งว่า เมอื งสะเทิมน้ันไม่มีโบราณวัตถุสถานที่เก่าแก่อะไรเลย จึงไม่สามารถยืนยันได้ ว่าเป็นสุวรรณภูมิ ส่วนบริเวณลุ่มน้ําเจ้าพระยาของประเทศไทยนี้มีโบราณวัตถุสถานเก่าแก่ ทันสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เช่น พระปฐมเจดีย์องค์เดิมซ่ึงประดิษฐานอยู่ข้างในองค์ปัจจุบัน ศิลาธรรมจักร และศลิ าจารกึ ทจี่ ารกึ พระธรรม เชน่ คาถา เย ธมมฺ า... ซ่ึงจารึกด้วยอักษรชาว อินเดียใต้หลังสมัยพระเจ้าอโศกและก่อนสมัยที่ลังกาทวีปจารึกพระไตรปิฎก-อรรถกถาเป็นลาย ลักษณอ์ กั ษรลงในใบลาน ฝ่ายนักปราชญ์ชาวพุทธลาวและเขมรก็อ้างว่าบริเวณประเทศของตนก็ คอื ดินแดนสุวรรณภูมิเช่นกัน เก่ียวกับภูมิประเทศของสุวรรณภูมิในปัจจุบันนี้ พวกนักโบราณคดีนานาประเทศได้มี ทศั นะแตกต่างกนั เปน็ ๔ กลุ่มใหญ่ ดังนี้ ๑. นักโบราณคดีกลุ่มอินเดีย ๙๐ เปอร์เซนต์ เช่ือว่า สุวรรณภูมิ คือ แหลมมลายู ประกอบด้วยดินแดนส่วนใต้สุดของพม่า ภาคใต้ของไทยท้ังหมด คาบสมุทรมาเลเซีย และ ประเทศสิงคโปร์ ประวัติพ้ืนเมืองกล่าวไว้ว่า สมัยโบราณย่านน้ีมีทองคํามาก เล่นพนันกันโดยเอา ทองออกประกัน ชนไกก่ เ็ อาทองเท่าตวั ไก่เปน็ เดมิ พนั ๒. กลุ่มคนอนิ เดีย ๑๐% เชอื่ ว่า สุวรรณภูมิ คอื รมิ ทะเลด้านตะวนั ออกของอนิ เดียใต้ ๓. กลมุ่ คนพม่าเชอ่ื วา่ สวุ รรณภมู ิ ได้แก่ตอนกลางและตอนใตข้ องประเทศพม่า ๔. กลุ่มคนไทยเชอื่ วา่ ศนู ยก์ ลางสุวรรณภมู ิอยูท่ ี่จังหวดั นครปฐม เมื่อพิจารณาจากหลักฐานเอกสารจีนโบราณ คือ จดหมายเหตุจีน ท่ีบันทึกไว้เม่ือตอน พุทธศตวรรษท่ี ๘ (พ.ศ. ๘๐๐) ก็จะพบว่า ได้ระบุชื่อประเทศจินหลิน หรือกิมหลิน ซึ่งแปลว่า แดนทอง หรือสุดแดนทอง อยู่เลยประเทศฟูนาน (หรือ ฟูนัน อยู่แถบลุ่มแม่น้ําโขง คือกัมพูชา หรือเขมรในปจั จุบนั ) ไปทางทศิ ตะวนั ตก ๒,๐๐๐ ล้ี ต่อมา เม่ือปี พ.ศ. ๒๕๓๕ Mr. Wang wei-min ได้เรียบเรียงและแปลชื่อสถานที่ใน เอกสารจีนโบราณท่ีเก่ียวกับประวัติศาสตร์ไทย จากนามานุกรมจีน “สถานที่โบราณบริเวณ ทะเลใต้” จัดพมิ พ์โดยสาํ นกั พมิ พโ์ อเดยี นสโตร์ ไดก้ ล่าวถึงแดนทองมีความขอ้ ความ ดงั นี้ ๑๗๑. จนิ หลงิ (Jinlin) บางทีเรียกว่า จินเฉิน และจินเจิ้น, หนังสือเหลียงซู (เป็นหนังสือประเภท พระราชพงศาวดารสมยั ราชวงศ์เหลยี ง แตง่ โดยเหยาซือเหลียง สมัยราชวงศ์ถัง) บรรพ ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัติความสําคัญของการเผยแผพระพุทธศาสนา ๘๑
ที่ ๕๔ บันทึกไว้ว่า “ฟั่นม่ันเป็นพระมหากษัตริย์ของประเทศฝูหนาน พระองค์ได้ทรง พระราชปรารภให้ประชาชนจัดสร้างเรือนใหญ่แล้วไปบุกรุกอาณาจักรชวีตูคุณ จ่ิวจือ เต่ียนซุน และอาณาจักรอ่ืนๆ ๑๐ กว่าประเทศ ได้ขยายพื้นที่ของประเทศกว้างถึง ๖ พันกว่าลี้ ต่อมาเม่ือต้องปราบปรามอาณาจักรจินหลินต่อไปนั้น พระองค์ทรงพระ ประชวรเสียก่อน และมีพระราชโองการสั่งให้พระโอรสเสด็จแทนพระองค์” ... “ห่าง จากประเทศฝูหนานประมาณ ๒ พันกว่าลี้ มีอาณาจักรชื่อ จินหลิน และภายใน อาณาจักรนี้มีแร่เงิน และมีพลเมืองอันมากมาย ชาวจินหลินชอบล่าช้าง ถ้าได้ช้างเป็น ก็นํามาข่ี ถ้าได้ช้างตายก็จะเอาแต่งาของมัน” ... “จินหลินน้ีอยู่ในแถบบริเวณจังหวัด Nakhon Pathom (นครปฐม) ของไทยในปจั จบุ นั , บา้ งว่าจินหลิน หมายถึงสุวัณณภูมิ, บ้างว่าจินหลินอยู่ใน Palembabg ของเกาะสุมาตรา, และบ้างว่าอยู่ใน Martaban ของประเทศพม่า ๑๗๒. จินหลินต้าวาร (Jinlindawan) หนงั สอื ทงเตีย่ (เป็นหนงั สือประเภทประมวลกฎบตั รธรรมเนียมทั่วไป) บรรพ ที่ ๑๘๘ บนั ทึกไวว้ ่า “ในรัชสมัยของราชวงศ์สุยได้ยินช่ืออาณาจักรเปียนโต่วก๋ัว ตูคุนก๋ัว จวลี ีกวั๋ และปีซ๋ งก๋วั เสมอ จากฝงู หนานข้ามจนิ หลนิ ต้าวารไปทางทศิ ใต้ประมาณ ๓ พันลี้ จะมีอาณาจักรท้ังส่ีดังกล่าว และการทํานา ทําสวนของอาณาจักรเหล่าน้ีจะเหมือนกับ จินหลนิ ” จินหลนิ ต้าวาร หมายถงึ อ่าวไทยนีเ้ อง (ชอ่ื สถานทีใ่ นเอกสารจนี โบราณทีเ่ กีย่ วกบั ประวัติศาสตร์ไทย หนา้ ๘๕-๘๖) ศาสตราจารย์ ชอง บัวเซอลิเย่ร์ (JEAN BOISSELIER) นักโบราณคดีชาวผร่ังเศส* แห่งมหาวิทยาลยั ซอร์มอนน์ กรุงปารีส ให้ความเห็นว่า เมืองอู่ทองเป็นเมืองสุวัณณภูมิ เมือง แรก และเป็นราชธานีแห่งอาณาจักรสุวัณณภูมิ ซ่ึงเขตแดนด้านตะวันตกของอาณาจักรนี้ ตรง กบั เขตทอง หรือจนิ หลิน ตามท่ีปรากฏในจดหมายเหตขุ องจนี นายพอล วที เลย่ ์ นักโบราณคดีชาวตา่ งประเทศอีกคนหน่ึง เขียนไว้ในเรื่องแหลมทอง กลา่ ววา่ “อ่าวจนิ หลนิ อยู่ตรงบริเวณปากอา่ วไทยในปจั จบุ ัน และประเทศจินหลินเป็นประเทศ ทตี่ ง้ั อยู่บรเิ วณปากอ่าวไทย” (หนังสือ เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม เน่ืองในโอกาสเปิดศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย หน้า ๒๔ – ๒๕ กรมศิลปากร ๒๕๓๑) * ไดร้ ่วมการสาํ รวจขดุ คน้ เมืองอทู่ องกบั เจ้าหน้าท่ีโบราณคดี กรมศิลปากร แล้วได้เขียนบทความเร่ือง ทฤษฎีใหม่เก่ียวกับสถาน ที่ตง้ั อาณาจกั รฟนู นั กรมศิลปากรไดน้ าํ มาพิมพ์ในหนังสือ โบราณวิทยาเรอื่ งเมอื งอู่ทอง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๙ ๘๒ ประวตั ิความสําคัญของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา [กช.ผพ.
และยังมีจารึกท่ีปราสาทพระขรรค์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ประมาณ พ.ศ. ๑๗๐๐ อยู่ที่ประเทศกัมพูชาไว้ว่า “มีเมือง... ละโวทยปุระ สุวรรณปุระ ศามภูกปัฏฏนะ ชัยราชบุรี ศรีชยั สงิ หป์ รุ ะ ศรีชยั วัชระปรุ ะ ศรชี ยั สตมบรุ ี....”๑ นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า สุวรรณปุระ คือ สุวรรณภูมิ หรืออู่ทอง ที่ในเอกสารจีน โบราณระบุว่า “ชาวจินหลินชอบล่าช้าง ถ้าได้ช้างเป็นก็นํามาข่ี ถ้าได้ช้างตายก็จะเอาแต่งา ของมัน”๒ นั้น ในหนังสือ แหล่งเตาเผาบ้านบางปูน มีข้อความที่กล่าวถึงการล่าช้างท่ีเมือง อ่ทู อง ดังนี้ “ในบริเวณเมืองอู่ทองพบคอกช้างขนาดใหญ่จํานวน ๓ คอก ห่างจากตัวเมือง ราว ๔ กิโลเมตร แสดงว่ามีการคล้องช้าง...อันน้ี คือ ร่องรอยที่เหลืออยู่เป็นหลักฐาน ..... คอกช้างเป็นคันเดินขนาดใหญ่ล้อมรอบ โดยมีทางเข้าเพียงด้านเดียวและต้อนหรือ ไล่ช้างให้เข้าไปในคอก ต่อจากน้ัน ก็ทําการคล้อง.... ลักษณะคอกช้างในปัจจุบันเหลือ เพยี งแนวคันเดนิ สามารถขังช้างไดจ้ าํ นวนมาก...อย่างไรก็ตามจากลักษณะคอกยังแสดง ถึงการคล้องช้างด้วยวิธีการเดียวกัน ซึ่งส่งอิทธิพลหรือทําสืบเร่ือยมาเป็นหลักฐานที่บ่ง บอกถึงพัฒนาการตอ่ เนือ่ งของกลุม่ ชนในเขตสพุ รรณภูมิ หรอื สวุ รรณปรุ ะ หรอื อู่ทอง”๓ คาํ วา่ “อู่ทอง” สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ได้ทรงให้ ความหมายไว้ว่า “คําว่า อู่ ย่อมแปลได้เป็น ๒ นัย แปลว่า เปล ก็ได้ หรือจะแปลว่าเป็นที่มี ที่เกิด ดังเช่นคําท่ีใช้พูดกันอยู่ว่า อู่นํ้าอู่ข้าว เช่นนี้ก็แปลได้ เพราะเหตุน้ี คําว่า สุวรรณภูมิ ถ้าจะแปลว่า อู่ทอง จะใช้ได้หรือไม่ ถ้าใช้ได้ เมืองโบราณนี้ชื่อเดิมท่ีเรียกในภาษาไทย คง เรียกวา่ เมืองอู่ทอง เมอื่ ไปเรียกในภาษาบาลจี งึ ใชว้ ่า สุวรรณภูม”ิ ๔ และอีกตอนหน่งึ ดังนี้ “ฉนั นกึ ว่าเหตไุ ฉนในจารึกของพ่อขุนรามคาํ แหงจงึ เรียกชื่อ เมือง ท้าวอู่ทองว่าเมืองสุพรรณภูมิ ก็ศัพท์ ๒ ศัพท์นั้นเป็นภาษามคธ คําว่า สุพรรณ แปลว่า ทองคํา และคําว่า ภมู ิ แปลวา่ แผ่นดิน รวมกันหมายความว่า แผ่นดินอันมีทองคํามาก ถ้าใช้เป็นชื่อ เมืองก็ตรงกับว่า เป็นเมืองอันมีทองมาก พอนึกขึ้นเท่าน้ัน ก็คิดเห็นทันทีว่า สุพรรณภูมิ นั้น ตรงกับชื่อ อู่ทอง ในภาษาไทยนั้นเอง เพราะคําว่า อู่ หมายความว่า ที่เกิด หรือ ท่ีมี ก็ได้ เช่นพูดกันว่า อู่ข้าวอู่น้ํา มิได้หมายแต่ว่า เปล สําหรับเด็กนอนอย่างเดียว และคําที่เรียกกัน ว่าท้าวอู่ทองก็ดี พระเจ้าอู่ทองก็ดี น่าจะหมายความว่า เจ้าเมืองอู่ทอง ใครได้เป็นเจ้าเมือง ๑ นิคม มูสิกกะคามะ : ประวัตศิ าสตรโ์ บราณคดีกัมพูชา หนา้ ๑๘๐-๑๘๑ ๒ ชอ่ื สถานที่ ในเอกสารจีนโบราณ หน้า ๘๕ ๓ แหลง่ เตาเผาบา้ นบางปูน หน้า ๔๒ กรมศิลปากร จัดพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๓๑ ๔ รายงานเสด็จตรวจราชการเมืองสุพรรณบุรี จากหนังสอื โบราณวิทยาเรอ่ื งเมืองอทู่ อง พ.ศ. ๒๕๐๙ หน้า ๓๐ ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัตคิ วามสาํ คญั ของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา ๘๓
พวกเมืองอื่นก็เรียกว่าท้าวอู่ทอง หรือพระเจ้าอู่ทอง เช่นเรียกว่า ท้าวกุเรปัน ท้าวดาหา หรือ พระเจ้าเชียงใหม่ และพระเจ้าน่าน มิใช่ชื่อตัวบุคคล คิดต่อไปว่าเหตุไฉนจึงเปล่ียนชื่อเมือง สุพรรณภูมิเป็นเมืองอู่ทอง เห็นว่าเมืองนั้นเดิมพวกพราหมณ์คงตั้งช่ือว่า สุพรรณภูมิ ในสมัย เดียวกันกับต้ังชื่อ เมืองราชบุรี และ เพชรบุรี ต่อมาน่าจะร้างเสียสักคราวหน่ึง เน่ืองจากเหตุ ทีพ่ ระเจา้ ราชาธริ าชเมอื งพุกามมาตเี มืองราชธานที ่ีพระปฐมเจดยี ์ ในระหวา่ ง พ.ศ. ๑๖๐๐ ต่อมา พวกไทยลงมาจากข้างเหนือ อาจเป็นพวกพระเจ้าศิริชัยเชียงแสนก็ได้ มาตั้งเมืองสุพรรณภูมิขึ้น อีก เรียกช่ือกันเป็นภาษไทยจึงได้นามว่า เมืองอู่ทอง แต่ในจารึกของพระเจ้ารามคําแหงใช้ชื่อ ตามธรรมเนยี มเดิม จงึ เรียกว่า เมืองสพุ รรณภมู ”ิ ๑ ท่ีกล่าวกันว่า “อู่ทอง” คือ “สุวัณณภูมิ” เพราะมีเอกสารโบราณกล่าวถึง และ อู่ทองมีหลักฐานตามที่กล่าวถึง เพราะมีโบราณวัตถุตั้งแต่ยุคหิน คือ ได้พบขวานหินขัดเป็น จํานวนมาก ที่ริมแม่นํ้าจระเข้สามพัน อยู่ทางทิศใต้ของเมืองอู่ทองแสดงว่าเมืองอู่ทองเป็นที่อยู่ ของมนุษย์มาแล้วก่อน พ.ศ. ๘๐๐ (ดู วารสารเมืองโบราณ ปีที่ ๑๔ ฉบับท่ี ๑ มกราคม-มีนาคม ๒๕๓๑ หน้า ๓๙, โบราณวทิ ยาเรื่องเมืองอทู่ อง หนา้ ๕๐ และ (ศรี) ทวารวดี พ.ศ. ๒๕๓๒ หน้า ๙๕) และเพราะได้สํารวจพบโบราณวัตถุทันหลังสมัยอโศก เช่น ซากสถูปและเจดีย์ทรงกลม แบบสาญจิหลังสมัยอโศก รูปจําหลักศิลาพระภิกษุสงฆ์ครองจีวร ศิลปะแบบอมรวดี ประมาณ พ.ศ. ๘๐๐ พระพุทธรูปศิลา มีธรรมจักรและกวางหมอบ ตะเกียงดินเผาแบบอานธระศิลปะ แบบอมรวดี รูปกินนรีสวมศิราภรณ์ ศิลปะแบบอินเดีย พระพิมพ์ดินดิบจารึกคาถา เย ธมฺมา ด้วยอักษรอินเดีย เหรียญเงินมีจารึกว่า ลวปุระ แสดงว่า อู่ทอง เมืองพระราม มีคู่กันมากับ กรุงละโว้ (แหล่งโบราณคดีในภูมิภาคตะวันตก หน้า ๑๘) และมีคอกช้างไว้ล่าช้างท่ีกล่าวถึงใน เอกสารจีน ฯลฯ ดังนั้น ศูนย์กลางของอาณาจัก สุวัณณภูมิ จะอยู่ที่นครปฐมโบราณหรือที่อู่ทอง ก็ อยู่ในดนิ แดนทองของไทยนีเ่ อง อย่างไรก็ตาม เพ่ือความมีน้ําหนักชัดเจนเก่ียวกับการสันนิษฐานว่า ดินแดนสุวรรณภูมิ ที่พระโสณะกับพระอุตตระเดินทางนําพระพุทธศาสนามาเผยแผ่น้ันคือดินแดนที่อยู่ในเขต จังหวัดภาคกลางของประเทศไทยในปัจจุบัน จึงขอประมวลข้อสันนิษฐานของบรรดา นกั ปราชญท์ างพระพทุ ธศาสนาจากหนังสือประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนามานาํ เสนอ ดังนี้ ๑ สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ : โบราณวทิ ยาเรือ่ งเมอื งอทู่ อง หนา้ ๔๑ พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๐๙ ๘๔ ประวตั ิความสําคญั ของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.
ในหนังสือ “ภูมิประวตั พิ ระพุทธศาสนา” ซงึ่ เขียนโดยท่านอาจารยเ์ สถยี ร โพธนิ นั ทะ* นกั ปราชญ์ทางประวัติศาสตรพ์ ระพุทธศาสนา ไดส้ นั นิษฐานวา่ “ในพุทธศตวรรษที่ ๓ พระเจ้าอโศกมหาราช แห่งราชวงศ์เมารยะ (โมริยะ) ซึ่งตั้ง ราชธานีอยู่ท่ีกรุงปาฏลีบุตร แคว้นมคธ ในอินเดีย พระองค์เล่ือมใสพระพุทธศาสนามาก และ โดยการแนะนําของพระมหาเถราจารย์รูปหนึ่ง คือพระโมคคลีบุตรติสสเถระ พระมหาราชจึง โปรดให้ส่งธรรมทูตอัญเชิญพระพุทธศาสนา จาริกแพร่หลายท่ัวทิศานุทิศ ท้ังในประเทศอินเดีย และประเทศอ่ืนๆ ภายนอก ปรากฏว่า คณะธรรมทูตชุดหนึ่ง ซึ่งมีพระโสณะและพระอุตตระ เป็นหัวหน้าได้มาสู่สุวรรณภูมิ แล้วตั้งหลักพระพุทธศาสนาขึ้นที่น่ัน ก็สุวรรณภูมิในที่นี้ ได้แก่ ดินแดนตอนใดตอนหนึ่งในแหลมอินโดจีนน่ีเอง ชาวอินเดียสมัยก่อนพุทธกาลเคยไปมาค้าขาย ติดต่อกับสุวรรณภูมิอยู่เสมอ จึงเป็นข้อสันนิษฐานว่า คงจะมีชาวอินเดียเข้ามาตั้งรกรากแพร่ อารยธรรมแก่ชาวพ้ืนเมืองในดินแดนแถบเอชียอาคเนย์น้ีแต่โบราณนานไกลแล้ว และโดยเฉพาะ เม่ือพระพุทธศาสนาเจริญขึ้นในอินเดีย พระพุทธศาสนาไม่ถือลัทธิรังเกียจการไปตั้งหลักแหล่ง ต่างถ่ินเหมือนพวกท่ีถือศาสนาพราหมณ์บางเหล่า จึงปรากฏว่าได้มีพวกอินเดียที่ถือพระพุทธ- ศาสนาเข้ามาอยู่ในแหลมอินโดจีนมากขึ้น ในจําเนียรกาลต่อมา เลยเป็นสาเหตุพาให้พวกถือ ลัทธิพราหมณ์พลอยหายรังเกียจอพยพมาแสวงหาโชคมากข้ึนกว่าเดิม และพวกน้ีไม่แต่มาสอน ลัทธิศาสนาเท่านั้น ยังได้มาสร้างบ้านเมืองต้ังเป็นอาณาจักรขึ้นหลายแห่ง ปกครองพวกมนุษย์ เจ้าถิ่นอีกด้วย ส่วนสุวรรณภูมิอันเป็นแหล่งแรกที่พระพุทธศาสนามาตั้งมั่นน้ัน เข้าใจว่า นา่ จะได้แกบ่ ริเวณตั้งแต่ตอนใต้ของพม่าเดี๋ยวน้ี (ซ่ึงสมัยต่อมาเป็นอาณาจักรมอญ) กินตลอด ลงมาถึงภาคกลางของประเทศไทย มีศูนย์กลางสําคัญอยู่ท่ีจังหวัดนครปฐม มีพวกมอญ ละว้า เป็นคนพื้นเมือง เน่ืองด้วยท่ีบริเวณจังหวัดดังกล่าว ปรากฏซากโบราณสถานมากมายล้วนแต่ ใหญ่โต สร้างตามคตินิยมเก่าถึงคร้ังพระเจ้าอโศกมหาราชก็มี เช่น พระสถูปพระปฐมเจดีย์องค์ เดิมซ่ึงอยู่ภายในพระสถูปใหญ่ท่ีเห็นอยู่บัดน้ี ตามรูปเดิม ก็สร้างเป็นรูปทรงโอคว่ําอย่าง พระสถูปสัญจิในอินเดียและภาพอุเทสิกเจดีย์อื่นๆ ที่ทําเป็นรูปพระธรรมจักรมีกวางหมอบ รูป พระแทน่ เปลา่ ๆ ฯลฯ ซึ่งสร้างกันในสมัยที่ชาวอินเดียยังไม่นิยมสร้างพระพุทธรูป คตินิยมท่ีสร้าง อุเทสิกเจดีย์ดังกล่าวก็มีปรากฏท่ีโบราณสถานที่นครปฐม นอกจากนี้ ในระยะสมัยต่อมาแบบ พุทธศิลปะของอินเดียยุคสําคัญๆ เช่น พุทธศิลปะสมัยอมราวดี และสมัยคุปตะก็มีแพร่หลายเข้า มาเจรญิ ท่ีศูนย์กลางแห่งนี้อีกเหมือนกัน จึงเป็นอันยุติได้ว่าจําเดิมแต่พระพุทธศาสนามาต้ังมั่นลง ณ ภาคกลางแห่งประเทศไทย ก็ได้เจริญงอกงามพัฒนาตลอดมาไม่ขาด อน่ึง พระพุทธศาสนา ซึ่งพระโสณะและพระอุตตระนําเข้ามานั้น เป็นพระพุทธศาสนาสาวกยานนิกายเถรวาท ซ่ึงเป็น * เสถยี ร โพธินันทะ : ภมู ปิ ระวัติพระพุทธศาสนา (โพธิส์ ามต้นการพมิ พ์ พ.ศ. ๒๕๑๕) ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั ิความสําคญั ของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๘๕
นิกายดั้งเดิม เคารพมติของพระอรหันต์คร้ังปฐมสังคายนา โดยการรักษาพระธรรมวินัยของ สมเด็จพระพทุ ธองค์ได้บริสทุ ธบ์ิ รบิ รู ณด์ ี” ท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ* ได้เขียนเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาไปสู่ประเทศไทย ไว้หนงั สอื “ประวตั ศิ าสตร์ศาสนา” มีความว่า “...พุทธศาสนิกชนชาวไทยก็เช่ือคล้ายชาวพม่าว่า พระพุทธศาสนาไปสู่ประเทศไทยครั้ง แรก เม่ือพระโสณะและพระอุตตระ เดินทางไปประกาศศาสนาที่สุวรรณภูมิ และเช่ือว่า บริเวณพระปฐมเจดีย์และใกล้เคียงจะเป็นสุวรรณภูมิ เพราะได้ขุดพบโบราณวัตถุรุ่นราวคราว เดียวกบั สมัยพระเจ้าอโศกหลายอย่าง ตกลงว่าถ้าเช่ือตามนี้ พระพุทธศาสนาก็ไปสู่ประเทศพม่า และประเทศไทยไม่เกิน พ.ศ. ๓๐๐ แต่นักประวัติศาสตร์บางคนก็เช่ือว่า พระพุทธศาสนาไปสู่ ประเทศไทยประมาณครสิ ตวรรษท่ี ๑ หรือ ๒ คอื ประมาณ พ.ศ. ๕๔๔ ถงึ พ.ศ. ๗๔๓...” ในหนังสือ “ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา” ซึ่งรจนาโดย พระราชธรมนิเทศ* * (ระเบบ ฐติ ญาโณ) ตอนวา่ ด้วยพระพทุ ธศาสนาในประเทศไทย ได้สนั นิษฐานว่า “ประเทศไทยมีเน้ือท่ีอยู่กลางของแหลมสุวรรณภูมิพอดี เม่ือหลายพันปีล่วงมาแล้ว ปรากฏว่า เน้ือท่ีส่วนใหญ่ของประเทศไทยปัจจุบันจมอยู่ในทะเล มีหลักฐานที่เราพิสูจน์ได้ คือ การขุดพบหอยทะเลต่างๆ บนเทือกเขาภูพาน ต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงทางผิวโลก ทําให้ แผ่นดินส่วนน้ผี ดุ ข้นึ จากทะเล เทา่ ที่นักสํารวจได้ตรวจพบตามถ้ําต่างๆ แถวจังหวัดกาญจนบุรี คือ มนุษย์สมัยหิน ซึ่งสันนิษฐานว่าจะมีชีวิตในราว ๒ หม่ืนปีมานี้ แต่มนุษย์พวกนี้ได้สูญพันธุ์ไป เมื่อไรไม่ทราบได้ ทราบแต่ว่าเมื่อราว ๒ พันกว่าปีมานี้ ในบริเวณลุ่มแม่น้ําเจ้าพระยา มนุษย์ เผ่าละว้าได้ต้ังบ้านเรือนแบบง่ายๆ ขึ้น ต่อมาชาวอินเดียเดินทางมาสอนอารยธรรมแก่พวกละว้า ชาวอินเดียบางเหล่าก็ได้เดินทางมาปกครองชนเหล่านั้น เส้นทางที่ชาวอินเดียเดินทางมาสู่ ประเทศไทยมีหลายสาย คอื ๑. มาทางบก โดยผ่านทางเบงคอล ข้ามเทอื กเขาปาดไก่ เขา้ สู่พมา่ ตอนบน ๒. ลงเรือข้ามอ่าวเบงกอล ข้ึนท่ีท่าอ่าวเมาะตะมะ หรือมาขึ้นท่ีฝั่งมะริด ทะวาย ตะนาวศรี แลว้ เดนิ ทางบกเขา้ สลู่ ่มุ นาํ้ เจ้าพระยา โดยผ่านจงั หวดั กาญจนบรุ ี ๓. ลงเรือข้ามสมุทรเข้าช่องแคบมะละกา มาขึ้นบกทางแหลมมลายู หรืออาจจะอ้อม ไปเลย เขา้ อ่าวญวนไปกมั พชู าและจามปา * สุชีพ ปญุ ญานุภาพ : ประวตั ิศาสตร์ศาสนา (โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวิทยาลัย พิมพค์ รง้ั ที่ ๘/พ.ศ. ๒๕๔๐) * * พระราชธรรมนิเทศ : ประวัติศาสตรพ์ ระพุทธศาสนา (โรงพิมพม์ หามกุฏราชวิทยาลยั พิมพ์ครั้งท่ี ๓/พ.ศ. ๒๕๓๖) ๘๖ ประวตั คิ วามสําคญั ของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.
การอพยพของชาวอินเดียนั้น ปรากฏว่าได้กระทํากันมากในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช กล่าวกันว่าชาวกาลิงคะหนีภัยสงคราม ลงเรือจํานวนหลายร้อยลํา มาสู่สุวรรณภูมิและหมู่เกาะ อนิ โดนีเซีย ในจํานวนคนมากมายน้แี น่นอนเหลอื เกนิ ว่าจะตอ้ งมีท่านที่เป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต มาด้วย เพราะเป็นจํานวนคนมาก ดังนั้น เมื่อพระโสณะและพระอุตตระนําพระพุทธศาสนามา เผยแผ่เป็นครั้งแรก ท่านจึงพูดกับชาวสุวรรณภูมิรู้เรื่อง อย่างน้อยก็พูดกับคนที่เป็นชาวอินเดีย แลว้ ค่อยแผไ่ ปถึงชาวพน้ื เมืองทหี ลงั ” ในหนังสอื “ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา” ซ่ึงเขียนโดยอาจารย์วศิน อินทสระ* ได้ เกรน่ิ นาํ ในบทที่ ๕ พทุ ธศาสนาเข้าสู่ประเทศไทยและพุทธศานาสมยั ก่อนสโุ ขทยั ความวา่ “มีหลักฐานที่พอเช่ือถือได้ พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ประเทศไทยก่อน พ.ศ. ๕๐๐ คือ เข้าสู่ดินแดนท่ีเรียกในสมัยน้ันว่า สุวรรณภูมิ อันได้แก่ พื้นท่ีแหลมอินโดจีนในปัจจุบันน้ีเอง เน้อื ท่ขี องประเทศไทยเวลาน้เี ป็นศูนย์กลางของดนิ แดนสวุ รรณภมู พิ อดี คณะของพระโสณะและพระอุตตระท่ีพระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งออกไปเผยแผ่ พระพุทธศาสนาในนานาประเทศ ได้เดินทางมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ คอื ตอนกลางของประเทศไทยเวลาน้ี ซ่ึงเวลานนั้ ชนชาติละว้าหรอื มอญเป็นใหญ่ครอบครองอยู่ พระพุทธศาสนายุคแรกที่เข้าสู่ดินแดนสุวรรณภูมิเป็นพุทธศาสนาเถรวาทอย่างท่ีพระเจ้า อโศกมหาราชและชาวแคว้นมคธนับถือน่ันเอง สันนิษฐานกันว่า แห่งแรกท่ีพระพุทธศาสนาเข้า มาประดิษฐาน คือ ตอนใต้ของลุ่มแม่น้ําเจ้าพระยา ได้แก่ เนื้อท่ีจังหวัดนครปฐม สุพรรณบุรี กาญจนบรุ ี ราชบรุ ี ท่ีจังหวัดนครปฐมน้นั มหี ลกั ฐานทางโบราณคดหี ลายอย่าง เชน่ ๑. องค์พระปฐมเจดีย์ องค์แท้หรือองค์ด้ังเดิมเป็นรูปทรงโอควํ่า ยอดเป็นบัลลังก์ มี ฉัตรอยู่บน เหมือนสถูปสาญจิเจดีย์ในประเทศอินเดีย ต่อมาเม่ือขอมรุ่งเรืองและครองดินแดน สว่ นนี้ ขอมไดท้ ําพระปรางคค์ รอบเพ่ิมข้ึนอีก พระปฐมเจดียอ์ งคท์ ่เี ราเห็นกันอยู่ในปัจจุบันน้ีเป็น เจดีย์แบบลังกา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้สร้างครอบพระปรางค์ลงไปอีกที หน่ึง พระปฐมเจดีย์จึงเป็นเจดีย์ ๓ องค์ซ้อนกันอยู่ องค์ในที่สุดทรงโอคว่ําน้ันเป็นศิลปะสมัย หลงั พระเจา้ อโศกเลก็ น้อย ๒. รูปธรรมจักรทําด้วยศิลา มีรูปกวางหมอบและจารึกภาษาบาลีหรือภาษามคธว่า “เย ธมฺมา” เป็นต้น อันเป็นหลักสําคัญของพุทธศาสนา ท่ีไม่สร้างพระพุทธรูปไว้เป็น เคร่ืองหมายเพราะในสมัยน้ันยังไม่นิยมสร้างพระพุทธรูป นิยมสร้างแต่เพียงเจดีย์และสัญลักษณ์ อยา่ งอื่นและมกี ารจารกึ หลกั ธรรมทสี่ ําคญั ไว้ทสี่ ิ่งก่อสร้างนน้ั * วศิน อนิ ทสระ : ประวัติศาสตร์พระพทุ ธศาสนา (โรงพิมพ์เจริญกิจ พ.ศ. ๒๕๓๕) ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั ิความสาํ คญั ของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา ๘๗
๓. พระประโทนเจดีย์ อยู่ทางตะวันออกของพระปฐมเจดีย์ เวลาน้ีอยู่ที่วัดพระประโทน จังหวดั นครปฐม มคี วามเกา่ แกร่ ่นุ เดยี วกนั กบั พระปฐมเจดยี ์ ๔. วดั พระเมรุ อย่ทู างใต้ของพระปฐมเจดีย์ เป็นซากวัดรา้ ง มคี วามเก่าแกย่ คุ เดยี วกนั มีปัญหาว่า เมื่อพระโสณะกับพระอุตตระนําพุทธศาสนามาเผยแผ่นั้น พูดกับชาว พ้ืนเมืองรู้เรื่องได้อย่างไร ? ข้อนี้ตอบได้ว่า ก่อนท่ีพระโสณะกับพระอุตตระจะมาเผยแผ่ พระพทุ ธศาสนานน้ั ในดินแดนสุวรรณภูมิมีชาวอินเดียไป-มาค้าขายและมาตั้งรกรากอยู่มากแล้ว ท่ีเป็นปราชญ์รอบรู้ในวิชาการต่างๆ ก็มีไม่น้อย ชาวอินเดียเหล่านั้น นอกจากมาเป็นพ่อค้า คหบดีแล้วยังมาเป็นครูของชาวสุวรรณภูมิอีกด้วย อารยธรรมอินเดียจึงแทรกซึมแพร่หลายอยู่ ท่ัวไปในดินแดนสุวรรณภูมิ ท่านพระโสณะและพระอุตตระคงจะได้ชาวอินเดียเหล่าน้ันเป็นล่าม ให้คนพนื้ เมืองเขา้ ใจหลักคําสอนของพระพุทธศาสนา กลมุ่ คนพวกแรกในดินแดนสุวรรณภูมิที่ยอมรับนับถือพระพุทธศาสนา ก็คือ พวกละว้า หรือพวกมอญโบราณนั่นเอง เวลานั้นชนเผ่าไทยยังอยู่ในอาณาเขตระหว่างประเทศจีนกับ ประเทศทิเบต ตงั้ แต่ประมาณ พ.ศ. ๔๐๐ เป็นต้นมา พวกจีนมีอํานาจมากขึ้นจึงบุกรุกแดนไทย แต่ไทยสู้ไมไ่ ด้ จงึ หนีถอยร่นเร่ือยมา พวกท่ีไปอยู่ท่ีแม่นํ้าสาละวิน เรียกว่า ไทยใหญ่ ส่วนพวก ท่ีมาต้ังบา้ นเมอื งอยู่ทีล่ าํ น้าํ เจา้ พระยา เรียกว่า ไทยน้อย เมื่อพวกไทยน้อยถอยร่นลงมาตั้งหลัก แหล่งที่ลุ่มน้ําเจ้าพระยาน้ัน ปรากฏว่าพระพุทธศาสนาทั้งฝ่ายเถรวาทและฝ่ายมหายานได้ แพร่หลายทั่วไปในดินแดนสุวรรณภูมิแล้ว ชาวไทยจึงได้ยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาเป็น ศาสนาประจําของตนและนบั ถอื ตลอดมาจนกระทง่ั บดั น”ี้ การแบง ยคุ สมยั ท่พี ระพุทธศาสนาไดเ ผยแผเขาสปู ระเทศไทย ยุคท่ี ๑ ยุคเถรวาทแบบพระเจ้าอโศกมหาราช นับแต่ช่วงเวลาท่ีพระเจ้าอโศก มหาราชทรงอุปถัมภ์การสังคายนาคร้ังท่ี ๓ ได้ทรงส่งสมณทูตไปเผยแผ่ โดยคณะพระสมณทูต สายหน่ึง (สายท่ี ๘) ซึ่งมี พระโสณเถระ และ พระอุตตรเถระ เป็นหัวหน้าคณะ ได้เดินทาง มาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในแคว้นสุวรรณภูมิ หลักฐานที่พบในประเทศไทยขุดค้นพบที่จังหวัด นครปฐม คือ ศิลารูปธรรมจักรกับกวางหมอบ แท่นสถูป อันเป็นสิ่งเคารพบูชาเหมือนกับสมัย พระเจา้ อโศกมหาราช ยุคที่ ๒ ยุคมหายาน ประมาณ พ.ศ. ๖๒๐ พระเจ้ากนิษกะมหาราช ทรงอุปถัมภ์ การสังคายนา ครั้งที่ ๔ ของฝ่ายมหายานที่เมืองชลันธร และได้ส่งคณะพระสมณทูตไปเผยแผ่ พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานในเอเชียกลางจนถึงประเทศจีน และจากจีน ก็เผยแผ่ต่อมายัง อาณาจกั รอา้ ยลาว ซึง่ ในอดตี เป็นดินแดนส่วนหนึง่ ของประเทศไทย ๘๘ ประวัติความสําคัญของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.
พ.ศ. ๑๓๐๐ กษัตริย์แห่งอาณาจักรศรีวิชัยในเกาะสุมาตรา ได้ขยายอํานาจเข้ามาถึง ดินแดนตอนใต้ของไทย ทําให้พระพุทธศาสนามหายานเจริญรุ่งเรืองอยู่ในดินแดนแถบน้ีด้วย หลักฐานที่ปรากฏ คือ เจดีย์พระธาตุไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี พระบรมธาตุ จังหวัด นครศรีธรรมราช (องค์เดิม) พระพุทธรูป เทวรูปหล่อ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และพระ พิมพ์ต่างๆ ในระหว่าง พ.ศ. ๑๔๕๔–๑๗๒๕ ขอมมีอํานาจเข้ามาครอบครองแผ่นดินประเทศ ไทย ขอมนับถือนิกายมหายาน เมื่อมีอํานาจ ทําให้อิทธิพลของขอมครอบคลุมไปท่ัว เป็นเหตุ ให้พระพุทธศาสนามหายานรุ่งเรือง จึงทําให้มีการนับถือพระพุทธศาสนาท้ังสองแบบสองนิกาย และศาสนาพราหมณผ์ สมผสานกนั ไป ยุคท่ี ๓ ยุคเถรวาทแบบพุกาม เม่อื พ.ศ. ๑๖๐๐ พระเจ้าอนรุ ทุ ธมหาราชแห่งพม่า มีอํานาจ ทรงตั้งราชธานีอยู่ท่ีเมืองพุกาม ทรงแผ่ขยายอาณาเขตครอบคลุมมาถึงดินแดนตอน เหนือของไทย คือ ล้านนา ลงมาถึงลพบุรีและทวาราวดี พระพุทธศาสนาเถรวาทแบบพุกาม ซ่ึงเป็นสายท่ีมาจากเมืองมคธ ประเทศอินเดีย จึงครอบงําคนไทยแถบนั้นไปด้วย คนไทยจึงหัน ไปนับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทแบบพุกามอีก แต่อย่างไรก็ดี คนไทยฝ่ายใต้ลงมาส่วนใหญ่คง นบั ถือพระพุทธศาสนาฝา่ ยมหายานอยู่ ยุคที่ ๔ เถรวาทแบบลังกาวงศ์ เมื่อ พ.ศ. ๑๖๙๘ พระเจ้าปรักกมพาหุแห่งศรีลังกา ได้ทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกา ได้อาราธนาพระมหากัสสปเถระะชําระสะสาง พระธรรมวนิ ัย พระพุทธศาสนาก็กลับรุ่งเรืองขจรไปไกล ประเทศท่ีนับถือพระพุทธศาสนาท่ัวไป ต่างก็สนใจพากันเดินทางไปศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฎกและได้รับการอุปสมบทใหม่ท่ีน่ัน ครั้น ศึกษาจนจบแล้วก็กลับบ้านเมืองของตนๆ เฉพาะประเทศไทยเรา พระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ น้ไี ด้เขา้ มาตง้ั ม่นั อยู่ท่เี มอื งนครศรธี รรมราชและแผไ่ ปยังกรุงสุโขทยั พระปฐมเจดยี ์ หลกั ฐานทีแ่ สดงวา่ พระพุทธศาสามายงั สวุ รรณภมู ิคอื จังหวดั นครปฐม ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั คิ วามสาํ คญั ของการเผยแผพระพุทธศาสนา ๘๙
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161