Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ICH_GCP_ThaiVer

ICH_GCP_ThaiVer

Published by imrta.web, 2021-02-11 04:34:32

Description: ICH_GCP_ThaiVer

Search

Read the Text Version

ICH Good Clinical Practice Guideline ฉบับภาษาไทย สาํ นกั งานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสขุ ISBN : 974-8044-95-5

2 I คาํ นาํ ปจจุบันมีการทําการวิจัยยาทางคลินิกจํานวนมากในประเทศไทยมโี ครงสรางพื้นฐานท่เี ออื้ อาํ นวยตอ การดําเนินการวิจัยทางคลนิ กิ ทม่ี ีคุณภาพ เชน โรงพยาบาลขนาดใหญทง้ั ทเ่ี ปนโรงเรยี นแพทย โรงพยาบาลศูนย และโรงพยาบาลท่ัวไป จํานวนประชากร และความชุกชุมของอบุ ัติการโรคตางๆ เปนตน กอรปกบั ศกั ยภาพสูงของ บุคลากรทางการแพทยทีด่ าํ เนนิ การวจิ ัยทางคลนิ กิ สงผลใหผ ลการวจิ ัยมคี ุณภาพดเี ปน ทน่ี า เช่อื ถอื ทําใหอาจกลา ว ไดวาประเทศไทยเปน สว นหน่ึงทสี่ ําคญั ของกระบวนการพฒั นายาใหมของบริษัทยาชัน้ นาํ ทวั่ ไป การปฏิบัติการวิจัยทางคลินิกทด่ี ี (Good Clinical Practice: GCP) เปนมาตรฐานสากลดาน จริยธรรมและวิชาการสําหรับวางรูปแบบ ดําเนินการ บันทึก และรายงานการวิจัยทางคลินิก การปฏิบัติตาม มาตรฐาน GCP เปนการรับประกันวา สทิ ธิ ความปลอดภยั และความเปน อยทู ่ีดีของอาสาสมคั รไดร บั การคุมครอง ซึ่งนับเปนหัวใจสญั ของการศึกษาวิจัยยาทางคลินิก และรบั ประกันวาขอมูลจากการวิจยั นาเชือ่ ถอื แมวาประเทศไทยจะไมเ คยมกี ารจดั ทาํ GCP ข้ึนใชมากอน แตเปนทีน่ า สงั เกตวา การศึกษาวจิ ัยยา ทางคลิกในประเทศไทยในปจจุบันยังคงเปนที่ยอมรับของสากล ท้ังน้ี เน่ืองจากการศึกษาวิจัยไดดําเนนิ การตาม แนวปฏบิ ตั ขิ อง ICH (International Conference on Harmonization) หรอื ICH GCP ที่ทั่วโลกยอมรบั ซ่งึ เปน การคุมครองอาสาสมัครในการวิจัยและไดผลการทดลองท่ีนาเช่ือถอื สามารถใชยน่ื ประกอบการขึน้ ทะเบยี นยากับ หนวยงานรัฐท่ีรับผดิ ชอบ เชน สาํ นกั งานคณะกรรมการอาหารและยา เปน ตน ไดท ั่วโลก ปจ จุบนั การใชอ า งองิ แนวปฏิบตั ิ ICH GCP โดยผูที่เกี่ยวขอ งกับการศึกษาวจิ ยั ทางคลนิ ิกอาจมขี อ จํากัดหลายประการ เน่ืองจากมีตนฉบบั เปนภาษาองั กฤษ การจัดทาํ แนวปฏิบัติ ICH GCP เปนภาษาไทยนบั เปน หนทางหน่ึงท่ีสงเสริมความเขาใจเนื้อหาท่ีถูกตองตรงกันและทําไดสะดวก สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งเปนหนวยงานที่มีหนาท่ีรับผิดชอบคุมครองผูบริโภคดานยาและรับผิดชอบการขึ้นทะเบียนยาในประเทศไทย เล็งเห็นความสําคัญอยา งยง่ิ ของการศึกษาวจิ ยั ยาทางคลินกิ ตามมาตรฐานสากล จงึ ดาํ เนินการแปลแนวปฏบิ ตั ิ ICH GCP เปนภาษาไทย ท้ังนี้ ไดรับอนุญาตการแปลอยางถกู ตองตามกฎหมายจากเลขาธกิ ารของ ICH แลว โดยมวี ตั ถุ ประสงคส าํ คัญ 2 ประการ คือ 1. เพอ่ื ใหแนวปฏบิ ตั ิ ICH GCP ฉบับภาษาไทยสามารถใชเ ปน เอกสารอา งอิงที่ใหค วามรูความเขา ใจท่ีถูกตองโดยสะดวกกับผูที่เกีย่ วขอ งกับการศึกษาวจิ ยั ทางคลนิ กิ ทกุ คน 2. เพ่ือนําแนวปฏิบัติดังกลาวมาใชเปน พื้นฐานการปรับปรุงแกไ ขเปนแนวปฏิบัติ GCP สาํ หรับ ประเทศไทยโดยเฉพาะ (Thai Guideline for Good Clinical Practice) เพ่ือสงเสรมิ ใหม กี ารใช อยางกวางขวางมากขนึ้ และเปน ท่ยี อมรบั ในระดับสากล คณะผูจัดทาํ เพียรพยายามอยางยิง่ ในการแปล ICH GCP คร้ังนี้ แตก็อาจมคี วามผิดพลาดเกดิ ขน้ึ ได ซึ่งทางคณะผูจัดทํายนิ ดรี บั ฟงคาํ แนะนํา คาํ ติชม หรือความเห็นจากผอู านทุกทา นดว ยความขอบคณุ และจะไดน ํา คําแนะนําดังกลาวมาพิจารณาประกอบการปรับปรุงแกไ ขตอ ไป คณะผูจ ดั ทาํ หวังเปนอยา งยิง่ วา แนวปฏิบตั ิ ICH GCP ฉบับภาษาไทยเลมน้ีจะอาํ นวยประโยชนให กับผูเก่ียวขอ งกบั การดําเนนิ การวจิ ยั ทางคลนิ กิ อยางเต็มที่ คณะผจู ดั ทํา สาํ นกั งานคณะกรมการอาหารและยา กรกฎาคม 2543 II 2

3 กิตติกรรมประกาศ คณะผูจัดทําขอขอบพระคุณสมาคมผผู ลิตเภสัชภัณฑเปนอยา งยิ่งที่สนบั สนุนการแปล ICH Good Clinical Practice Guideline (ICH GCP) เปนฉบับภาษาไทย ซึง่ ชว ยใหก ารดาํ เนินการคร้ังนสี้ าํ เร็จลลุ ว ง โดยสมบูรณอยางรวดเร็ว และขอขอบพระคุณสําหรับคําแนะนําและการสนับสนุนอยางเต็มจากเจาหนาท่ีกอง ควบคมุ ยาทีเ่ กยี่ วขอ ง คณะผจู ดั ทํา สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรกฎาคม 2543 3

4 สารบญั คาํ นาํ I กติ ตกิ รรมประกาศ II บทนํา 1. นยิ ามศัพท III 2-9 2. หลักการของ ICH GCP 10 3. คณะกรรมการพิจารณาการวจิ ัยประจําสถาบัน, 11-14 คณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมอิสระ 15-23 4. ผูวจิ ัย 5. ผใู หทนุ วิจยั 24-34 6. โครงรางการวจิ ยั ทางคลนิ ิกและสวนแกไขเพิ่มเติมโครงรางการวิจัย 35-38 7. เอกสารคูมือวิจัย 39-44 8. เอกสารสาํ คัญสาํ หรบั การดาํ เนินการวิจัยทางคลนิ ิก 45-53 ภาคผนวกท่ี 1 รายชือ่ คณะทาํ งานจัดทํา ICH GCP ฉบับภาษาไทย จากการแปล ตนฉบับภาษาอังกฤษ ภาคผนวกท่ี 2 หนังสือขออนุญาต ICH Secretariat เพ่ือนาํ ICH GCP แปลเปน ภาษาไทย ภาคผนวกท่ี 3 หนังสอื จาก ICH Secretariat อนุญาตการแปลและจัดพมิ พ ICH GCP ภาษาไทย 4

5 บทนํา * การปฏิบัติการวิจัยทางคลนิ ิกทดี่ ี (Good Clinical Practice: GCP) เปนมาตรฐานสากลดาน จริยธรรมและดานวชิ าการ สาํ หรับใชในการวางรูปแบบ การดําเนินงาน การบันทกึ ขอ มูล และการเขยี นรายงาน การศึกษาวิจัยในมนุษยก ารปฏิบัติตามเกณฑม าตรฐานนเ้ี ปนการรบั ประกันตอ สาธารณชนวา สิทธิ ความปลอดภัย และความเปนอยูท่ีดีของอาสาสมัครไดรับการคุมครอง ตามหลักกรแหงคําประกาศเฮลซิงกิ (Declaration of Helsinki) และผลการวิจัยทางคลินิกเชื่อถือได วัตถุประสงคข องแนวปฏบิ ตั ิ ICH GCP เลมนี้เพ่ือใหม มี าตรฐานเพยี งหนึ่งเดียว สาํ หรบั การศกึ ษา วิจัยทางคลินิกของประเทศในสหภาพยุโรป ญี่ปุน และสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะเอื้อใหหนวยงานควบคุมระเบียบ กฎหมายยอมรบั ขอ มลู ทางคลินกิ ของกันและกนั แนวปฏิบัตินี้พัฒนาขึ้นโดยพิจารณาจากการปฏิบัติการวิจัยทางคลินิกท่ีดีท่ีใชอยูในสหภาพยุโรป ญี่ปุน และสหรฐั อเมรกิ า รวมทั้งแนวปฏิบตั ิจากประเทศออสเตรเลีย แคนาดา กลมุ ประเทศนอรด คิ และองคกร อนามยั โลก การดําเนินการวจิ ัยเพอ่ื ยน่ื เสนอขอมูลทางคลินิกตอหนว ยงานควบคมุ ระเบียบกฎหมาย ควรยึดตาม แนวปฏิบตั นิ ี้ หลักการที่กําหนดในแนวปฏิบัติเลมน้ีอาจประยุกตใชกับการสืบคนทางลินิกอ่ืนๆ ซ่ึงอาจมีผล กระทบตอความปลอดภยั และความเปนอยูท่ีดีของอาสาสมคั ร หมายเหตุ: * เน้ือหาในแนวปฏบิ ตั เิ ลมนไ้ี ดร ับอนุญาตการแปลและจดั พิมพอยางถูกตองจาก ICH 5

6 1. นิยามศัพท (GLOSSARY) 1.1 อาการไมพงึ ประสงคจ ากยา (Adverse Drug Reaction: ADR) สําหรับกรณีการศึกษาวิจัย ยาใหมหรือศึกษาขอบงใชใหม โดยเฉพาะเมื่อยังไมสามารถกําหนดขนาดท่ีใชในการรักษาในขั้นตอนกอนรับข้ึน ทะเบียนอาการทั้งปวงท่ีอันตรายและไมพึงประสงคอันเกิดจากยาขนาดใดๆ ก็ตาม ควรถือเปนอาการไมพึง ประสงคจากยาคําวา “เกิดจากยา” หมายความวา อยา งนอ ยมีความเปน ไปไดอยางสมเหตุผลท่ีอธบิ ายวาอาการไม พึงประสงคนั้นเปน ผลจากยาที่ศึกษา นน่ั คือ ไมส ามารถตัดออกไปไดว า ไมม คี วามสัมพันธก ัน สําหรับยาท่ีจําหนา ยในทอ งตลาดแลว อาการไมพ ึงประสงคจ ากยา หมายถึง อาการใดๆ ก็ตามที่ อันตรายและไมพึงประสงคท ี่เกดิ ข้ึนจากการใชยาในขนาดปกตทิ ง้ั เพ่อื การปอ งกัน การวนิ จิ ฉัย หรือการรักษาโรค หรือเพ่ือการปรบั เปล่ยี นการทํางานทางสรีระของรางกาย [ดูรายละเอียดเปน “แนวทาง ICH เรื่อง การบริหารจดั การขอมลู ความปลอดภัยทางคลนิ กิ : คาํ จํากัดความและมาตรฐานการรายงานเรง ดวน” (ICH Guideline for Clinical Safety Data Management: Definitions and Standards for Expedited Reporting) 1.2 เหตกุ ารณไมพ งึ ประสงค (Adverse Event: AE) หมายถึง เหตกุ ารณไมพึงประสงคทางการ แพทยใดๆ ซ่ึงเกิดข้ึนกับผปู วยหรอื อาสาสมคั รที่เขา รว มการวิจัยทางคลินกิ หลงั จากไดรบั ผลิตภัณฑ โดยเหตกุ ารณ นั้น ไมจําเปน ตอ งสัมพนั ธก ับยาท่ไี ดรับ ดงั นัน้ เหตกุ ารณไ มพ ึงประสงคอาจไดแ ก อาการแสดงตา งๆ ซ่ึงไมพึง ประสงคและไมคาดมากอนวา จะเกดิ ข้นึ (รวมทงั้ ความผดิ ปกตทิ ่ีตรวจพบทางหองปฏติ กิ าร) รวมท้งั อาการหรือโรค ที่เกิดขึ้นเมื่อใชย าวิจยั ไมวาเหตุการณน้ันจะเก่ียวขอ งกบั ยาวิจยั ที่ใชห รือไมก็ตาม (ดูรายละเอยี ดใน “แนวทาง ICH เร่ือง การบรหิ ารจัดการขอมลู ความปลอดภัยทางคลนิ ิก: คําจํากัดความและมาตรฐานการรายงานเรงดว น”) 1.3 การแกไขเพมิ่ เติมโครงรา งการวจิ ยั (Amendment) ดูรายละเอียดใน “สว นแกไ ขเพิ่มเติมโครงรางการวจิ ัย (Protocol Amendment) 1.4 ขอกาํ หนดของระเบยี บกฎหมายท่เี ก่ยี วขอ ง (Applicable Regulatory Requirement(s)) หมายถึง กฎหมายและขอบังคับใดๆ ท่ีเกี่ยวของกับการวิจัยทางคลินิกสําหรับผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัย (investigational products) 1.5 การอนุมตั ิ (Approval) (ของคณะกรรมการพิจารณาการวิจยั ประจําสถาบนั : IRB) หมายถงึ การอนุมตั ขิ อง IRB หลังจากโครงรางการวิจยั ทางคลินกิ ไดผา นการพิจารณาทบทวนแลว และอาจดาํ เนินการได ณ สถาบันนั้นๆ ภายใตก รอบขอกําหนดของ IRB, สถาบันที่วจิ ยั , GCP, และขอกาํ หนดของระเบยี บกฎหมายท่ี เก่ียวของ 1.6 การตรวจสอบการวจิ ยั (Audit) หมายถึง การตรวจสอบกิจกรรมตา งๆ ท่เี กีย่ วขอ งกบั การ วิจัยตลอดจนเอกสารซึ่งกระทาํ อยา งเปนระบบ โดยผทู ไี่ มเ ก่ยี วขอ งกับการวจิ ัยโดยตรง ทัง้ น้ี เพอื่ ดวู า กิจกรรมการ วิจัยตางๆ ไดดาํ เนนิ การ และขอมลู ไดถูกบันทึก วเิ คราะห และรายงานอยา งถกู ตองตามโครงรางการวิจยั , วธิ ี ดําเนนิ การมาตรฐาน (Standard Operating Procedures: SOPs) ของผูใหทุนวิจยั , GCP, และขอกาํ หนดของ ระเบยี บกฎหมายทเี่ ก่ยี วขอ ง 1.7 ใบรับรองการตรวจสอบ (Audit Certificate) หมายถึง ใบรับรองซง่ึ ผตู รวจสอบการวจิ ัยออก ใหเปน หลักฐานแสดงวาการวิจยั ไดรับการตรวจสอบแลว 6

7 1.8 รายงานการตรวจสอบ (Audit Report) หมายถึง รายงานผลการตรวจสอบที่ผูตรวจสอบ การวิจัยจากฝา ยผูใหทนุ วิจยั ทาํ ไวเปนลายลักษณอ กั ษร 1.9 หลักฐานการตรวจสอบ (Audit Trail) หมายถึง เอกสารซ่งึ ชวยใหส ามารถทบทวนขัน้ ตอน และเหตกุ ารณตา งๆ ของการวจิ ยั ทเ่ี กดิ ข้ึน 1.10 การปกปดการรักษา (Blinding/Masking) หมายถึง วิธดี าํ เนินการซ่ึงทาํ ใหฝายหนึง่ หรอื หลายฝายท่ีเก่ียวของกับการวจิ ัยไมท ราบชนิดการรักษาทอ่ี าสาสมัครไดรับ การปกปดการรกั ษาฝา ยเดยี ว (Single- blinding) มักหมายถึง กรณีอาสาสมัครเพียงฝายเดียวไมทราบวาตนเองไดรับการรักษาอะไร และการปกปด การรกั ษา 2 ฝาย (Double-blinding) มักหมายถึง กรณีท้ังอาสาสมคั ร ผูวิจยั ผูกํากับดแู ลการวจิ ยั และในบางกรณี ผูวิเคราะหข อ มลู ไมทราบชนิดการรกั ษาท่อี าสาสมัครไดรับ 1.11 แบบบนั ทกึ ขอมูลผูปวย (Case Report Form: CRF) หมายถึง เอกสาร หรอื แบบบนั ทกึ ขอ มูล โดยระบบเชิงทัศนศาสตร (optical) หรือระบบอิเล็กทรอนิกสท่ีออกแบบมาเพื่อบันทึกขอมูลท้ังหมดของ อาสาสมัครแตละคนตามทีก่ าํ หนดในโครงรางการวิจัยเพื่อจะรายงานผูใหท นุ วิจยั 1.12 การวิจัยทางคลินิก (Clinical Trial/Study) หมายถึง การศึกษาวจิ ยั ในมนุษยโ ดยมวี ตั ถุ ประสงคเพ่ือคนควาหรือยืนยันผลทางคลินิกผลทางเภสัชวิทยาและ/หรือ ผลทางเภสัชพลศาสตร (pharmacodynamics) อื่นๆ ของผลติ ภณั ฑท่ีใชในการวิจัย และ/หรือเพื่อคนหาอาการไมพ งึ ประสงคใ ดๆ ทเี่ กดิ จากผลิตภัณฑท ่ใี ชในการวิจยั และ/หรือ เพื่อศึกษาการดูดซมึ การกระจายตวั การเปล่ียนแปลง (metabolism) และการขับถายผลิตภณั ฑที่ใชในการวจิ ัยออกจากรางกาย โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ พ่อื คนหาความปลอดภัย และ/หรอื ประสิทธิผล คําวา การทดลองทางคลินกิ (clinical trial) และการศึกษาวจิ ยั ทางคลินกิ (clinical study) มคี วาม หมายเหมอื นกนั 1.13 รายงานการวจิ ยั ทางคลินกิ (Clinical Trial/Study Report) หมายถงึ การเขียนบรรยายผล การศึกษาวิจัยผลิตภัณฑเพ่ือการรกั ษา ปอ งกนั หรือวินิจฉยั โรคในมนษุ ย โดยรวบรวมรายละเอียดทางคลินกิ และ ทางสถิต,ิ การนาํ เสนอ, และการวิเคราะหข อมลู ไวในรายงานฉบบั เดยี วกัน (ดูรายละเอยี ดใน “แนวทาง ICH เรอ่ื ง โครงสรา งและเนือ้ หารายงานการวจิ ยั ทางคลนิ กิ ” (ICH Guideline for Structure and Content of Clinical Study Reports) 1.14 ผลิตภณั ฑเ ปรยี บเทยี บ (Comparator) หมายถึง ผลติ ภณั ฑท ี่อยใู นข้นั การวจิ ยั หรือผลิต ภัณฑท่ีจําหนายในตลาดแลว (นั่นคือ กรณีเปรยี บเทียบกับสารมีฤทธ)์ิ หรอื ยาหลอก (placebo) ซึ่งใชเปนตวั เปรียบเทยี บในการวจิ ยั ทางคลนิ กิ 1.15 การปฏิบัตติ ามขอ กาํ หนด (ในการวิจยั ทางคลินิก) (Compliance) หมายถงึ การปฏิบัติ อยางเครงครัดตามขอกําหนดท้ังหมดท่ีเก่ียวของกับการวิจัย, GCP, และขอกําหนดของระเบียบกฎหมายท่ี เกี่ยวขอ ง 1.16 การรกั ษาความลบั (Confidentiality) หมายถึง การปอ งกนั มิใหม กี ารเปดเผยขอมลู เกย่ี ว กับผลิตภัณฑของผูใหท นุ วจิ ยั หรอื ขอมูลสว นบุคคลของอาสาสมัครใหแกบคุ คลอ่นื ซง่ึ ไมไ ดรบั อนุญาต 7

8 1.17 สัญญา (Contract) หมายถึง ขอตกลงที่ทําขน้ึ เปน ลายลกั ษณอ ักษรซึง่ ระบวุ นั ทแ่ี ละลงนาม โดยผูเกี่ยวของตงั้ แต 2 ฝายข้ึนไป เพื่อทําความตกลงในรายละเอียดการมอบหมายหนาที่ การแจกแจงงานและ ความรับผิดชอบ และหากเหมาะสม อาจระบขุ อ ตกลงทางการเงนิ ดวย โครงรางการวิจยั อาจใชเปน พ้ืนฐานของ สญั ญาได 1.18 คณะกรรมการประสานงาน (Coordinating Committee) หมายถึง คณะกรรมการซึง่ ผูให ทุนวิจัยอาจแตงตัง้ ขน้ึ เพอ่ื ประสานการวิจัยทก่ี ระทาํ พรอมกนั หลายแหง 1.19 ผูวิจัยท่ีทําหนาที่ประสานงาน (Coordinating Investigator) หมายถึง ผูวิจัยที่ไดรับ มอบหมายใหประสานงานกับผูวจิ ัยในสถาบันที่วิจยั แตละแหงซ่งึ เขารวมการวิจยั ทีก่ ระทาํ พรอมกนั หลายแหง 1.20 องคก รท่รี บั ทาํ วจิ ัยตามสญั ญา (Contract Research Organization: CRO) หมายถงึ บุคคลหรือองคกร (ดา นธุรกิจ วิชาการ หรืออน่ื ๆ) ซง่ึ ทาํ สญั ญากบั ผูใหท ุนวิจยั เพอ่ื ปฏิบตั ิหนาท่ีและความรับผดิ ชอบของผูใหท ุนวจิ ยั อยา งใดอยางหน่งึ หรอื หลายอยางท่เี กีย่ วของกับการวิจัย 1.21 การเขาถงึ ขอ มลู โดยตรง (Direct Access) หมายถึง การไดรบั อนุญาตใหส ามารถตรวจ สอบ วิเคราะห พิสจู น และคดั ขอ มลู ในบันทึกและรายงานซง่ึ มีความสาํ คญั ตอ การวดั ผลการวิจยั ทางคลินิกได. ผใู ด ก็ตาม (เชน หนวยงานควบคมุ ระเบียบกฎหมายจากทง้ั ภายในและภายนอกประเทศ, ผูกํากับดูแลการวจิ ัยของผูให ทุนวิจยั , และผูตรวจสอบการวจิ ยั ) ทีไ่ ดรับอนญุ าตใหเ ขา ถึงขอมลู โดยตรง ควรระมัดระวังอยางเตม็ ท่ีภายใตกรอบ ขอกําหนดของระเบียบกฎหมายทีเ่ ก่ียวของ เพอ่ื รกั ษาความลบั ของอาสาสมัครและขอ มูลผลิตภณั ฑข องผใู หทุนวิจัย โดยเครงครดั 1.22 ระบบเอกสาร (Documentation) หมายถึง บันทึกขอมูลรูปแบบตางๆ (รวมถึง บนั ทึก ตางๆ ที่ไมจํากัดเฉพาะแตบนั ทกึ ท่ีเปนเอกสาร บนั ทกึ โดยระบบอิเล็กทรอนกิ ส โดยระบบคลนื่ แมเ หล็ก และโดย ระบบเชิงทัศนศาสตร ภาพสแกน ภาพถา ยรงั สี และบันทึกคลืน่ ไฟฟาหวั ใจ) ซง่ึ อธิบายหรือบันทกึ วธิ ีการ การ ดาํ เนนิ งาน และ/หรือผลการวิจยั ปจจัยท่มี ีผลตอ การวจิ ัย และการดําเนนิ การท่กี ระทาํ ไป 1.23 เอกสารสาํ คัญ (Essential Documents) หมายถึง เอกสารซง่ึ ไมวา จะพจิ ารณาแยกกันหรือ รวมกันชวยใหส ามารถวดั ผลการวจิ ยั และคณุ ภาพของขอมูลจากการวิจัย [ดูรายละเอียดขอ 8 เรื่อง “เอกสารสําคัญ สําหรับการดําเนนิ การวิจยั ทางคลนิ กิ ” (Essential Documents for the Conduct of a Clinical Trial)] 1.24 การปฏิบตั กิ ารวจิ ัยทางคลินกิ ท่ีดี (Good Clinical Practice: GCP) หมายถึง มาตรฐาน สําหรับการวางรูปแบบ การดําเนินการ การปฏบิ ตั ิ การกํากับดแู ล การตรวจสอบ การบนั ทกึ การวิเคราะหและการ รายงานการวิจัยทางคลินิก ซึ่งใหการรับประกันวาทั้งขอมูลและผลที่รายงานน้ันนาเชื่อถือและถูกตอง และรับ ประกนั วาสทิ ธิ บูรณภาพ (integrity) รวมท้ังความลับของอาสาสมคั รในการวจิ ัยไดร ับการคมุ ครอง 1.25 คณะกรรมการกํากับดูแลขอมูลอิสระ (Independent Data-Monitoring Committee: IDMC) (Data and Safety Monitoring Board, Monitoring Committee, Data Monitoring Committee) หมายถงึ คณะกรรมการกํากับดูแลขอมูลอิสระที่ผูใหทุนวิจัยอาจแตงต้ังข้ึนเพื่อประเมินความกาวหนาเปนระยะๆ ของการ ทดลองทางคลนิ ิก, ขอมลู ความปลอดภยั , และตัวชี้วัดประสทิ ธผิ ลที่สาํ คัญของการวจิ ัย และใหค าํ แนะนําแกผ ใู หท ุน วิจัยวาสมควรดําเนินการวิจัยตอ ไป หรอื ควรปรบั เปลย่ี น หรอื หยดุ การวจิ ัย 8

9 1.26 พยานท่ไี มม สี วนไดเสยี (Impartial Witness) หมายถึง บุคคลซึง่ ไมเ ก่ยี วขอ งกับการวจิ ยั และไมอยูภายใตอิทธิพลอันไมเหมาะสมของผูท่ีเก่ียวของกับการวิจัย ผูเปนสักขีพยานในระหวางการขอความยิน ยอมถาอาสาสมัครหรือผแู ทนโดยชอบธรรมอา นหนังสอื ไมออก และเปน ผูอานเอกสารใบยนิ ยอมและเอกสารอื่นท่ี ใหอาสาสมัครหรือผูแทนโดยชอบธรรมอานหนังสือไมออก และเปนผูอานเอกสารใบยินยอมและเอกสารอ่ืนที่ให อาสาสมัครหรือผูแทนโดยชอบธรรมอานหนังสือไมอ อก และเปน ผอู า นเอกสารใบยินยอมและเอกสารอ่นื ท่ีใหอ าสา สมัคร 1.27 คณะกรรมการพจิ ารณาจรยิ ธรรมอิสระ (Independent Ethics Committee: IEC) หมายถึง กลุมบุคคลท่ีทํางานเปน อสิ ระ (ในรปู คณะกรรมการระดับสถาบัน ภาค ประเทศ หรอื ระหวา งประเทศ) ประกอบ ดวยบุคลากรทางการแพทย นกั วทิ ยาศาสตร และบุคคลอื่นท่ีไมใชบ ุคลากรทางการแพทยหรอื นกั วิทยาศาสตร มี หนาที่สรางความม่ันใจวา สิทธิ ความปลอดภยั และความเปน อยทู ด่ี ขี องอาสาสมคั รในการวจิ ัยไดร ับการคมุ ครอง และใหการรับประกันแกสาธารณชนวาอาสาสมัครในการวิจัยไดรับการคุมครองจริง โดยอยางนอยควรทําหนาท่ี พิจารณาทบทวนและ/หรือใหความเห็นชอบโครงรางการวิจัย, ความเหมาะสมของผูวิจัย, สถานท่ีทําการวิจัย, ตลอดจนวิธีการ รวมท้ังเอกสารท่จี ะใชขอความยินยอมและบนั ทกึ ความยินยอมจากอาสาสมคั ร คณะกรรมการน้ีอาจมีความแตกตางในสถานภาพทางกฎหมาย องคประกอบ หนาท่ี การปฏิบัตงิ าน และขอกําหนดของระเบียบกฎหมายของแตละประเทศ แตการทําหนาท่ีของคณะกรรมการนี้ควรสอดคลองกับ GCP ที่ระบุในแนวปฏิบัตเิ ลมน้ี 1.28 การใหความยินยอม (Informed Consent) หมายถึง กระบวนการทีอ่ าสาสมัครยืนยนั โดย ความสมัครใจยินดีท่ีจะเขารวมการวิจัยน้ันๆ หลังจากไดรับการชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นตางๆ ของการวิจัยโดย ละเอียดทุกแงมุมกอนตดั สนิ ใจเขารว มการวิจัยของอาสาสมัคร การใหความยินยอมตอ งทาํ เปน ลายลกั ษณอักษร มี การลงนามและลงวันทใ่ี นเอกสารใบยินยอม (informed consent form) 1.29 การตรวจตรา (Inspection) หมายถึง การตรวจอยางเปนทางการของหนวยงานควบคุม ระเบียบ กฎหมาย โดยตรวจทง้ั เอกสาร สถานที่ บันทกึ ขอมูลและสิ่งอื่นๆ ทห่ี นวยงานควบคมุ ระเบยี บกฎหมาย พิจารณาเห็นวาเกย่ี วขอ งกับการวจิ ยั ซึง่ อาจจะอยู ณ สถานทีว่ จิ ัย หรือทที่ าํ การของผูใ หท นุ วิจัยและ/หรือทอ่ี งคก รที่ รับทําวิจัยตามสัญญา หรือสถานท่ีอ่นื ๆ ตามทหี่ นว ยงานควบคุมระเบยี บกฎหมายเห็นสมควร 1.30 สถาบันท่ีวจิ ัย (Institution) หมายถึง หนว ยงานไมวาจะเปน สว นราชการหรือภาคเอกชนท้งั สถาบันทางการแพทย หรือทางทันตกรรมท่ีมกี ารดําเนินการวจิ ยั ทางคลนิ ิก 1.31 คณะกรรมการพิจารณาการวจิ ยั ประจําสถาบัน (Institutional Review Board: IRB) หมายถึงคณะกรรมการอสิ ระซึ่งประกอบดว ยแพทย นักวิทยาศาสตรแ ละผทู ไี่ มอ ยูใ นสายวิทยาศาสตร มหี นา ทส่ี ราง ความมั่นใจวาสิทธิ ความปลอดภัย และความเปนอยูท่ีดีของอาสาสมัครในการวิจัยไดรับการคุมครอง โดย อยางนอยควรทําหนาที่พิจารณาทบทวน, ใหความเห็นชอบ, และทบทวนทั้งโครงรางการวิจัยและสวนแกไข เพิ่มเติมอยางตอเนื่อง รวมท้งั พิจารณาวิธกี ารและเอกสารทจ่ี ะใชข อความยนิ ยอมและบนั ทกึ ความยนิ ยอมของอาสา สมัคร 1.32 รายงานผลระหวางการวิจยั (Inteim Clinical Trial/Study Report) หมายถงึ รายงาน ผลการวิจัยที่ดําเนินการแลวบางสวน และการประเมินผลการวจิ ัยโดยการวิเคราะหข อมลู ทไ่ี ดม าระหวางท่ีการวจิ ยั ดาํ เนนิ อยู 9

10 1.33 ผลติ ภัณฑทใ่ี ชในการวจิ ยั (Investigational Product) หมายถึง ผลิตภัณฑย าทเี่ ปนสารออก ฤทธ์ิหรือยาหลอก ท่ใี ชท ดสอบหรอื ใชเ ปน ตัวเปรียบเทียบในการวิจัย ซ่ึงรวมถึงผลติ ภณั ฑท ไ่ี ดรบั อนุมัตใิ หจ ําหนาย ในตลาดแลว แตนํามาใชหรือเปลี่ยนแปลงสตู รตํารับหรือนํามาบรรจุในรปู แบบทตี่ างจากท่อี นมุ ัติ หรอื นาํ มาใชใ น ขอบงใชใหมท ่ียงั ไมอ นมุ ัติ หรือนาํ มาศึกษาหาขอ มลู เพ่ิมเตมิ ตามขอบง ใชท อี่ นุมตั แิ ลว 1.34 ผูวิจยั (Investigator) หมายถึง บุคคลท่ีรบั ผดิ ชอบการดําเนินการวิจัยทางคลนิ ิก ณ สถานท่ี วิจัย ถาการวิจัยดําเนินการโดยทีมงานหลายคน ผูวิจัยท่ีรับผิดชอบเปนหัวหนาทีมอาจเรียกวาผูวิจัยหลัก [ดู รายละเอียดหวั ขอ “ผรู บั ชวงวจิ ัย” (Subinvestigator)] 1.35 ผูวิจัย/สถาบนั ทว่ี จิ ยั (Investigator/Institution) หมายถงึ ผวู จิ ยั และ/หรือสถาบนั ทีว่ ิจัย ตามที่กําหนดโดยขอกาํ หนดของระเบยี บกฎหมายท่เี ก่ียวของ 1.36 เอกสารคมู ือผวู ิจยั (Investigator’s Brochure) หมายถึง เอกสารท่รี วบรวมขอ มูลจาก การศึกษาทั้งทท่ี าํ ในมนุษย (clinical) และท่ไี มไดทาํ ในมนษุ ย (nonclinical) ของผลติ ภัณฑท ่ใี ชในการวิจยั ซึง่ เปน ขอมูลท่ีเก่ียวของกับการศึกษาผลิตภัณฑท ใี่ ชในการวจิ ัยในอาสาสมัคร (ดูรายละเอยี ดขอ 7 เร่ือง “เอกสารคมู ือ ผวู จิ ยั ”) 1.37 ผูแทนโดยชอบธรรมของอาสาสมคั ร (Legally Acceptable Representative) หมายถึง บุคคลหรือองคกรที่มีอํานาจโดยชอบธรรมตามกฎหมายในการใหความยินยอมแทนผูท่ีจะเปนอาสาสมัครท่ีจะเขา รว มการวจิ ยั ทางคลินกิ 1.38 การกํากบั ดแู ลการวิจยั (Monitoring) หมายถึง การดําเนนิ การเพ่อื ติดตามความกา วหนา ของการวิจัยทางคลินิก เพ่ือใหความม่ันใจวาการดําเนินการวิจัย การบันทึกและการรายงานเปนไปตามโครงราง การวิจยั , วิธีดําเนินการมาตรฐาน, GCP, และขอกําหนดของระเบยี บกฎหมายท่ีเก่ยี วของ 1.39 รายงานผลการกาํ กบั ดูแลการวจิ ยั (Monitoring Repeot) หมายถงึ รายงานที่เปนลาย ลักษณอักษรท่ีผูกาํ กับดแู ลการวิจัยเสนอตอผใู หทุนวิจัย ภายหลงั การตรวจเยย่ี มสถานทวี่ ิจยั แตล ะคร้งั และ/หรือ หลังจากการติดตออืน่ ๆ เก่ยี วกับการวจิ ยั ทั้งน้ตี ามวิธดี ําเนนิ การมาตรฐานของผใู หท ุนวิจัย 1.40 การวิจยั ที่กระทําพรอมกนั หลายแหง (Multicentre Trial) หมายถงึ การวจิ ยั ทางคลินิกท่ี ดําเนินการตามโครงรางการวิจัยเดียวกัน แตด าํ เนนิ การวจิ ยั ณ สถานทว่ี ิจยั มากกวา หน่งึ แหง และ ดงั น้นั จงึ มผี ูว ิจยั ท่ีเก่ียวขอ งมากกวาหน่ึงคน 1.41 การศึกษาวจิ ัยท่ีไมไดท ําในมนุษย (Nonclinical Study) หมายถึง การศกึ ษาทางชีวการ แพทย ซึ่งไมไดกระทาํ ในมนุษย 1.42 ความคดิ เหน็ ของคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมอสิ ระ (Opinion in relation to IEC) หมายถึง การตัดสนิ และ/หรือคําแนะนาํ ของคณะกรรมการพิจารณาจรยิ ธรรมอิสระ 10

11 1.43 เวชระเบียนตน ฉบบั (Original Medical Record) ดูรายละเอียดหัวขอ “เอกสารตนฉบบั ” (Source Documents) 1.44 โครงรา งการวจิ ัย (Protocol) หมายถึง เอกสารซึง่ ระบวุ ัตถปุ ระสงค การวางรูปแบบการ วิจัย ระเบียบวิธีวิจยั การคาํ นวณทางสถติ ิและการบริหารจดั การการวิจัย. โครงรางการวจิ ยั มักระบุความเปนมาและ เหตุผลของการวิจยั แตอ าจระบใุ นเอกสารอางอิงอื่นๆ ได ในแนวปฏบิ ตั ิ ICH GCP เลมน้ี คาํ วา “โครงรางการ วิจัย” จะรวมทั้งโครงรางการวิจัยและสว นแกไ ขเพมิ่ เติมโครงรางการวิจัย 1.45 สว นแกไ ขเพม่ิ เตมิ โครงรา งการวจิ ัย (Protocol Amendment) หมายถงึ การเปลยี่ นแปลง และการอธิบายรายละเอียดเพ่ิมเติมอยา งเปนทางการของโครงรา งการวิจยั โดยกระทาํ เปน ลายลกั ษณอ ักษร 1.46 การประกนั คณุ ภาพ (Quality Assurance: QA) หมายถงึ กระบวนการทั้งปวงทม่ี กี ารวาง แผนและดําเนินการอยา งเปนระบบเพื่อสรางความม่นั ใจวา การดําเนนิ การวจิ ัย ตลอดจนการเก็บ (generated) การ บันทึกและการรายงานขอ มูล เปนไปตาม GCP และขอกาํ หนดของระเบียบกฎหมายทเี่ ก่ียวขอ ง 1.47 การควบคุมคุณภาพ (Quality Control) หมายถึง เทคนิคการปฏิบัติและกิจกรรมท่ี เก่ียวของในระบบประกันคุณภาพเพ่ือยืนยันวา การดําเนินการตางๆ เก่ียวกับการวิจัยทางคลินิกมีคุณภาพตาม เกณฑทกี่ ําหนด 1.48 การสุมตวั อยา ง (Randomization) หมายถึง กระบวนการที่ใชกาํ หนดวา อาสาสมัครแตล ะ คนจะอยูในกลุมการรักษาดวยผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัยหรือกลุมควบคุม โดยอาสาสมัครมีโอกาสเทา เทยี มกันใน การถูกเลือกใหร บั การรกั ษาอยา งใดอยา งหนึง่ เพอ่ื ลดอคติ 1.49 หนวยงานควบคมุ ระเบียบกฎหมาย (Regulatory Authorities) หมายถึง องคกรตา งๆ ทีม่ ี อํานาจในการควบคมุ บงั คับใชระเบียบหรือกฎหมาย ในแนวปฏิบัติ GCP เลมนี้ คาํ วา “หนว ยงานควบคมุ ระเบียบ กฎหมาย” หมายความรวมถงึ องคก รท่ที าํ หนา ทีพ่ จิ ารณาทบทวนขอมูทางคลนิ ิกทไี่ ดรับ และองคก รที่ทําหนา ที่ ตรวจตราการวจิ ยั (ดขู อ 1.29) องคกรเหลานบี้ างกรณีหมายถึงพนักงานเจาหนาที่ (competent authorities) 1.50 เหตกุ ารณไมพ ึงประสงคชนดิ รายแรง (Serious Adverse Drug Reaction: Serious ADR) หมายถึง เหตุการณไมพงึ ประสงคใ ดๆ ทางการแพทย ท่เี กิดข้นึ เมอ่ื ไดร ับยาขนาดใดๆ กต็ าม แลว ทาํ ให - เสยี ชีวิต - เปน อนั ตรายคกุ คามตอ ชีวติ - ตองเขาพักรกั ษาตวั ในโรงพยาบาล หรอื ตอ งอยูโ รงพยาบาลนานขึน้ - เกิดความพกิ าร/ทุพพลภาพท่ีสําคัญอยางถาวร หรอื - เกิดความพิการ/ความผิดปกติแตก ําเนดิ (ดูรายละเอียดใน “แนวทาง ICH เร่ือง การบรหิ ารจดั การขอ มลู ความปลอดภยั ทางคลินิก: คําจํากัดความและ มาตรฐานการรายงานเรงดว น”) 1.51 ขอมลู ตนฉบับ (Source Data) หมายถึง ขอมูลทง้ั หมดจากการตรวจพบทางคลินิก จากการ สังเกตอาการหรือกิจกรรมอนื่ ๆ ทเี่ กิดขนึ้ ขณะดําเนินการวจิ ยั ที่ปรากฎในบนั ทกึ ขอ มลู ตนฉบบั รวมทั้งสาํ เนาบนั ทกึ ขอมูลตนฉบับ ซง่ึ ไดรบั การรับรองแลว ขอมลู เหลานเ้ี ม่อื ประกอบกนั ขนึ้ ทาํ ใหส ามารถประเมินการวจิ ัยได ขอมูลตน ฉบับรวมอยูในเอกสารตนฉบับ (บนั ทกึ ขอมลู ตน ฉบับหรอื สําเนาบนั ทกึ ขอมูลตน ฉบบั ทีไ่ ดร บั การรับรองแลว 11

12 1.52 เอกสารตนฉบบั (Source Documents) หมายถึง เอกสาร ขอมลู และบันทึกตา งๆ ตน ฉบบั (เชน เวชระเบียนในโรงพยาบาล ขอมลู ผปู ว ยในคลินิกและในสํานกั งาน ผลการตรวจทางหอ งปฏบิ ัตกิ าร บันทึก ชวยจํา บันทึกประจําวันของอาสาสมัครหรอื รายการเพ่ือใชป ระเมนิ อาการ บันทึกการจา ยยาของเภสชั กร ขอมูลท่ี บันทึกจากเครื่องตรวจอตั โนมัติ สําเนาเอกสารท่ีผา นการรับรองวา เปนขอ มูลทถี่ ูกตอง ไมโครฟช ฟล มภาพถาย ไมโครฟลมหรือส่ือแมเหล็ก ภาพถายรังสี แฟมขอมูลผูปวย บันทึกตางๆ ที่เก็บไวท ่ีฝา ยเภสชั กรรม ท่ีหอง ปฏิบัติการ รวมท้ังท่ีแผนกเทคนคิ การแพทยที่เก่ียวขอ งกบั การวิจัยทางคลินกิ ) 1.53 ผูใชทนุ วิจยั (Sponsor) หมายถึง บุคคล บริษทั สถาบนั หรือองคกรซง่ึ เปนผรู ับผิดชอบการ ริเริ่มการบรหิ ารจัดการ และ/หรือ ใหท นุ สนับสนนุ การวิจัยทางคลนิ กิ 1.54 ผวู ิจยั เปนผูลงทุนวจิ ัย (Sponsor-Investigator) หมายถึง ผูท ีท่ ้ังรเิ รม่ิ และดาํ เนินการวิจัย ทางคลินิกโดยลําพังหรือเปนทีม รวมท้ังเปนผูดูแลการบริหาร การจายหรือใชผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัยใหอ าสา สมัครคําน้ีไมครอบคลุมถึงองคก รหรือบริษทั ทีไ่ มใ ชตัวบุคคล ความรับผดิ ชอบของผูวิจยั ทีเ่ ปนผลู งทุนวจิ ยั จงึ รวม ความรบั ผดิ ชอบของผใู หทนุ วจิ ยั และผวู ิจัยไวด วยกัน 1.55 วธิ ดี าํ เนินการมาตรฐาน (Standard Operating Procedures: SOPs) หมายถึง คาํ แนะนําท่ี เปนลายลักษณอกั ษรโดยละเอียด เพอ่ื ใหก ารปฏบิ ัตหิ นา ที่ท่กี ําหนดเปนไปในรปู แบบเดียวกนั 1.56 ผูรับชวงวิจัย (Subinvestigator) หมายถึง ผูท่ีอยูในทีมงานวิจัยทางคลินิกซึ่งไดรับ มอบหมายหนาท่ีใหด าํ เนนิ การท่ีเกยี่ วขอ งกับการวิจยั และไดรับการกํากับดแู ลจากผูวจิ ยั หลกั ณ สถานทวี่ จิ ัย ใหทํา หนาทท่ี ีส่ าํ คญั และ/หรือตัดสินใจในเรือ่ งสําคญั ทเี่ กย่ี วกับการวิจยั (เชน ผชู วยวจิ ัย แพทยป ระจําบาน และแพทย ผูป ฏิบตั ิงานวิจยั ) ดูหัวขอ “ผูวจิ ัย” ดวย 1.57 อาสาสมัคร (Subject/Trial Subject) หมายถึง บุคคลผูเขารว มการวิจัยทางคลินกิ ไมวา จะ เปนผูไดรับผลิตภณั ฑท ใี่ ชใ นการวจิ ยั หรืออยใู นกลุมเปรยี บเทียบก็ตาม 1.58 รหสั ประจําตัวอาสาสมคั ร (Subject Identification Code) หมายถงึ เลขรหัสเฉพาะสําหรบั อาสาสมัครแตละคนซ่งึ ไดรับจากผูวจิ ัย เพอ่ื ปกปองขอมลู สวนบคุ คลของอาสาสมคั ร และใชแ ทนชื่ออาสาสมัครใน กรณีผูว จิ ัยรายงานเหตกุ ารณไ มพึงประสงค และ/หรือรายงานขอ มลู อืน่ ทเี่ กยี่ วของกบั การวจิ ัย 1.59 สถานที่วจิ ัย (Trial Site) หมายถึง สถานท่ซี ึง่ มกี ารดําเนนิ กจิ กรรมตา งๆ ท่เี กย่ี วขอ งกับการ วิจยั 1.60 อาการไมพ ึงประสงคจ ากยาทีไ่ มค าดคดิ มากอน (Unexpected Adverse Drug Reaction) หมายถึง อาการไมพงึ ประสงคซงึ่ ลกั ษณะหรือความรนุ แรงไมเ ปน ไปตามขอ มลู ผลติ ภัณฑท ่ีเกย่ี วขอ ง (เชน ขอมลู ในเอกสารคูมือผูวจิ ัยสาํ หรับผลติ ภัณฑท ี่ใชใ นการวิจยั ซ่งึ ยงั ไมอ นญุ าตใหขึน้ ทะเบยี น หรือเอกสารกํากบั ยา/บทสรปุ ขอมูลผลิตภัณฑท่ีข้ึนทะเบียนแลว) (ดูรายละเอียดใน “แนวทาง ICH เรื่อง การบริหารจัดการขอมลู ความ ปลอดภัยทางคลินกิ : คําจํากัดความและมาตรฐานการรายงานเรงดวน”) 12

13 1.61 อาสาสมคั รทอ่ี อนดอ ย (Vulnerable Subjects) หมายถงึ บุคคลซึ่งอาจถกู ชักจงู ใหเขา รวมการวิจัยทางคลินิกไดโดยงาย ดวยความหวังวาจะไดรบั ประโยชนจ ากการเขา รวมการวจิ ยั ไมวา จะสมเหตุสมผล หรือไมก็ตาม หรือเปน ผทู ต่ี อบตกลงเขารว มการวิจยั เพราะเกรงกลวั วาจะถกู กลนั่ แกลงจากผมู อี าํ นาจเหนอื กวาหาก ปฏิเสธ ตัวอยาง เชน ผูท่ีอยูในองคกรท่ีมีการบังคับบัญชาตามลําดับชั้น เชน นักศึกษาแพทย นักศึกษา เภสัชศาสตร นักศึกษาทนั ตแพทย และนักศกึ ษาพยาบาล บคุ ลากรระดบั ลางของโรงพยาบาลและเจา หนา ท่หี อ ง ปฏิบัติการ ลูกจางบริษัทยา ทหาร และผตู องขัง นอกจากนี้ยงั รวมถึงผปู วยซึ่งเปนโรคทีไ่ มส ามารถรกั ษาใหหายขาด ได ผูปวยในสถานคนชรา คนตกงานหรือคนยากจน ผูป ว ยในสภาวะฉุกเฉิน เผา พนั ธุชนกลุม นอย ผูไมมที ี่อยอู าศยั ผูเรรอน ผอู พยพ ผูเ ยาว และผูทีไ่ มสามารถใหค วามยินยอมดว ยตนเองได 1.62 ความเปนอยทู ด่ี ีของอาสาสมคั ร (Well-being of the trial subjects) หมายถงึ สภาวะ อันสมบูรณทง้ั รางกายและจิตใจของอาสาสมคั รที่เขารวมกรวิจัยทางคลินิก 13

14 2. หลกั การของ ICH GCP 2.1 ควรดําเนินการวิจัยทางคลินิกใหสอดคลองกบั หลักกรจรยิ ธรรมแหง คําประกาศเฮลซงิ กิ และ เปน ไปตาม GCP และขอกําหนดของระเบยี บกฎหมายท่เี กย่ี วของ 2.2 กอนเริ่มการวจิ ัย ควรพิจารณาชัง่ นา้ํ หนกั ระหวางความเส่ียงและความไมส ะดวกสบายทจ่ี ะเกิด ขึ้นกับประโยชนที่คาดวาทั้งอาสาสมัครในการวิจัยและสังคมจะไดรับ ควรเร่ิมการวิจัยและดําเนินการวิจัยตอไป เฉพาะกรณที ่ปี ระโยชนทจ่ี ะไดรบั คุม คา กับความเสี่ยง 2.3 สิทธิ ความปลอดภยั และความเปน อยทู ด่ี ีของอาสาสมัครเปนสิ่งสาํ คัญท่ีสุดท่คี วรคาํ นึงถึงและ ควรมีความสาํ คัญเหนือประโยชนทางวชิ าการและประโยชนของสงั คม 2.4 ควรมีขอมูลท้ังที่ศึกษาในมนุษยและที่ไมไดศึกษาในมนุษยของผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัยมาก พอเพียงท่สี นบั สนุนการทดลองทางคลินกิ ท่เี สนอ 2.5 การวิจัยทางคลินิกควรถูกตองตามหลักวิชาการและเขียนไวอยางละเอียดชัดเจนในโครงราง การวิจัย 2.6 ควรดําเนินการวิจัยทางคลินิกโดยปฏบิ ัติอยางเครงครัดตามขอ กาํ หนดในโครงรางการวิจัยทไี่ ด รับอนุมัติและ/หรือความเห็นชอบแลว จากคณะกรรมการพิจารณาการวิจัยประจําสถาบัน หรือคณะกรรมการ พิจารณาจริยธรรมอิสระ 2.7 แพทย หรือทันตแพทย (แลว แตกรณ)ี ผมู ีคณุ สมบัตเิ หมาะสมควรมีหนา ท่รี บั ผดิ ชอบดแู ล รักษาและตัดสนิ ใจทางการแพทยท ่ีกระทาํ แกอาสาสมคั รเสมอ 2.8 ผูเก่ียวของกับการดําเนินการวิจัยแตละคนควรมีคุณสมบัติเหมาะสมโดยผานการศึกษา การ ฝกอบรมและมีประสบการณเพียงพอทีจ่ ะทําหนาที่ของตนเองอยางดี 2.9 อาสาสมัครควรใหความยินยอมโดยสมัครใจทกุ คน กอ นเขา รว มการวิจัยทางคลินกิ 2.10 ควรบันทึก ดูแล และเก็บรกั ษาขอมลู จากการวิจัยทางคลินกิ ท้ังปวงโดยวธิ ีซ่ึงชวยใหก ารราย งานการแปลผล และการตรวจสอบทําไดอ ยางถกู ตอง 2.11 ควรคุมครองขอมูลความลับของอาสาสมัคร โดยใหความเคารพตอสทิ ธิสวนบุคคลและกฎ เกณฑการรักษาความลบั ตามขอ กาํ หนดของระเบียบกฎหมายทีเ่ กีย่ วขอ ง 2.12 ควรผลิต ดูแล และเก็บรักษาผลติ ภณั ฑท่ีใชในการวจิ ยั ตามหลักเกณฑการผลิตทด่ี ี (Good Manufacturing Practice: GMP). ควรใชผลิตภณั ฑท ใี่ ชในการวจิ ยั ตามทก่ี ําหนดในโครงรา งการวิจยั ที่ไดร ับอนุมัติ แลว 2.13 ควรปฏิบัติตามระบบซึง่ มีวธิ ีดําเนินการทสี่ ามารถประกันคณุ ภาพการวจิ ยั ในทุกๆ ดา น 14

15 3. คณะกรรมการพจิ ารณาการวิจัยประจําสถาบนั (Institutional Review Ethics Committee: IEC) 3.1 หนาท่รี บั ผิดชอบ 3.1.1 IRB/IEC ควรปกปองสิทธิ ความปลอดภยั และความเปนอยทู ีด่ ีของอาสาสมคั รในการวิจัย ทุกคน ควรใหความสําคญั เปนพิเศษสําหรับการวิจัยซ่ึงเก่ียวของกับอาสาสมัครทีอ่ อนดอ ย 3.1.2 IRB/IEC ควรไดรับเอกสารตา งๆ ตอ ไปน้ี ไดแก โครงรางการวิจยั และสว นแกไ ขเพ่ิมเติม โครงรางการวิจัย เอกสารใบยนิ ยอมและเอกสารใบยินยอมฉบับลา สดุ ซงึ่ ผูว ิจยั เสนอเพอ่ื ใชใ นการวิจัย ขอ มูลความ ปลอดภัยของผลิตภัณฑทมี่ ีอยู รายละเอียดคา ตอบแทนและคาชดเชยทจี่ ะใหอาสาสมคั ร ประวตั กิ ารศึกษา ผลงาน และประสบการณของผวู ิจยั (curriculum vitae) ฉบับลาสดุ และ/หรือ เอกสารแสดงคุณสมบัตขิ องผูวจิ ยั และ เอกสารอ่ืนๆ ท่จี าํ เปนตอการปฏิบัตหิ นา ท่ีของคณะกรรมการ IRB/IEC ควรพิจารณาทบทวนโครงการวิจยั ทางคลนิ ิกที่เสนอภายในระยะเวลาอนั สมควร และสรปุ ความเห็นเปนลายลักษณอักษรซง่ึ ระบโุ ครงการวจิ ยั และเอกสารที่คณะกรรมการพิจารณาทบทวน รวมทัง้ วนั ทที่ ท่ี าํ การทบทวนอยางชดั เจน โดยความเห็นของคณะกรรมการ อาจสรุปไดอยา งใดอยา งหนึง่ ตอ ไปนี้ - อนุมตั ิ/เห็นชอบ - ขอใหปรบั แกโ ครงรางการวิจัยกอนอนมุ ัต/ิ เหน็ ชอบ - ไมอนุมตั /ิ มีความเหน็ ในทางปฏเิ สธ และ - ถอน/ระงบั คําอนุมตั /ิ ความเห็นชอบทีเ่ คยใหก อนหนา นัน้ 3.1.3 IRB/IEC ควรพิจารณาคุณสมบัติของผูวิจัยสําหรับโครงการวิจัยที่เสนอ จากประวัติ การศึกษา ผลงานและประสบการณ และ/หรือเอกสารท่เี กยี่ วขอ งอน่ื ๆ ตามท่ี IRB/IEC ตอ งการ 3.1.4 IRB/IEC ควรพิจารณาทบทวนการวิจัยท่ีดําเนินการอยูอยางตอเน่ืองเปนระยะตามความ เหมาะสมกับระดับความเสยี่ งตอ อาสาสมคั ร แตการพิจารณาทบทวนการวจิ ยั ควรทาํ อยา งนอยปละครึง่ 3.1.5 IRB/IEC อาจขอขอมูลเพิ่มเติมจากท่ีกําหนดในขอ 4.8.10 เพื่อใหอาสาสมัคร หาก IRB/IEC พิจารณาเห็นวาขอ มูลเพ่ิมเตมิ เหลา นี้จะชวยใหสามารถคมุ ครองสิทธิ ความปลอดภัย และ/หรือ ความ เปนอยทู ี่ดขี องอาสาสมัครดยี งิ่ ขน้ึ 3.1.6 เม่ือตองดําเนินการศกึ ษาวิจัยทไี่ มใ ชเ พ่ือการรกั ษา (non-therapeutic trial) โดยมผี ูแทน โดยชอบธรรมของอาสาสมัครเปน ผใู หค วามยินยอม (ดูขอ 4.8.12 และขอ 4.8.14) IRB/IEC ควรกําหนดให โครงรางการวจิ ยั ท่ีเสนอ และ/หรือเอกสารอื่นๆ ระบขุ อพิจารณาทางจริยธรรมอยางพอเดยี ง และเปนไปตามขอ กําหนดของระเบยี บกฎหมายทเี่ ก่ียวของวา ดว ยการวิจยั ลักษณะน้ัน 3.1.7 ในกรณีโครงรางการวจิ ัยระบวุ าการขอความยินยอมจากอาสาสมคั รหรือผูแ ทนโดยชอบธรรม ของอาสาสมัครกอนเร่มิ การวจิ ัยทางคลินกิ ไมส ามารถกระทําได (ดขู อ 4.8.15) IRB/IEC ควรกาํ หนดใหโ ครงราง การวจิ ยั ที่เสนอ และ/หรือเอกสารอ่ืนๆ ระบุขอ พจิ ารณาทางจรยิ ธรรมอยา งพอเพยี ง และเปน ไปตามขอกาํ หนดของ ระเบียบกฎหมายที่เก่ยี วของวา ดวยการวจิ ยั ลักษณะนั้น (น่ันคือ ในกรณีฉุกเฉิน) 15

16 3.1.8 IRB/IEC ควรพิจารณาทบทวนทง้ั จาํ นวนเงนิ ท่จี ะจายและวธิ กี ารจายเงินใหอาสาสมัครเพ่ือ รับประกันวาไมเปนการกดดันหรือเปนการจูงใจอาสาสมัครอยางไมเหมาะสม ควรแบงจายเงินใหอาสาสมัครเปน รายครั้งและไมค วรจายเปน กอนเดียวเมอื่ การวจิ ัยเสรจ็ สน้ิ สมบูรณ 3.1.9 IRB/IEC ควรใหความมั่นใจวารายละเอียดการจายเงินใหอาสาสมัคร ซึ่งรวมถึงวิธีการ จํานวนเงินและกาํ หนดเวลาการจา ยเงนิ ไดก าํ หนดในเอกสารใบยินยอม และเอกสารอ่ืนที่จะใหอ าสาสมัคร และ ควรระบุวธิ ีการแบง จา ยเงนิ ใหอาสาสมัครเปน รายครงั้ ดว ย 3.2 องคป ระกอบ หนา ทแ่ี ละการปฏิบตั งิ าน 3.2.1 IRB/IEC ควรประกอบดวยกรรมการจํานวนตามสมควร ซ่ึงรวมแลวมีคุณสมบัติและ ประสบการณเพียงพอสําหรับพิจารณาทบทวนและประเมินงานวิจัยทเี่ สนอตอคณะกรรมการ ทง้ั ดา นวิทยาศาสตร ดานการแพทยและดานจริยธรรม IRB/IEC ควรประกอบดวย ก. กรรมการอยา งนอย 5 คน ข. กรรมการอยางนอย 1 คน มีความถนัดในสาขาวิชาที่ไมใชว ทิ ยาศาสตร ค. กรรมการอยางนอย 1 คน ไมไ ดทํางานในสถาบนั หรือสถานทว่ี ิจยั เฉพาะกรรมการของ IRB/IEC ท่ีไมเกีย่ วของกบั ผูวจิ ยั และผูใ หทุนวิจยั เทาน้นั ควรมีสทิ ธลิ งคะแนน เสียงและใหความเห็นเกย่ี วกับการวิจัย ควรเก็บรักษาบัญชรี ายช่ือและคุณสมบัติของกรรมการไว 3.2.2 IRB/IEC ควรปฏิบัติหนาท่ีตามวิธดี าํ เนนิ งานทก่ี ําหนดเปน ลายลกั ษณอ กั ษร ควรเก็บรกั ษา บันทึกกิจกรรมของคณะกรรมการและรายงานการประชมุ และควรปฏิบตั ิตาม GCP และขอกาํ หนดของระเบียบ กฎหมายทเ่ี กยี่ วขอ ง 3.2.3 IRB/IEC ควรตัดสินลงมติในวาระการประชมุ ทม่ี ีการประกาศนดั หมายลวงหนาและมอี งค ประชุมครบอยา งนอ ยตามจาํ นวนทีร่ ะบุในวิธีดาํ เนินงานท่ีเปน ลายลักษณอักษร 3.2.4 เฉพาะกรรมการผเู ขา รว มการพิจารณาทบทวนและการอภิปรายของ IRB/IEC เทา น้นั ควรมี สิทธลิ งคะแนนเสียง/ใหค วามเห็นและ/หรอื คําแนะนาํ 3.2.5 ผูวิจัยอาจใหขอ มูลดา นตา งๆ เกีย่ วกับการวจิ ยั เพิ่มเติม แตไ มค วรเขา รว มการตดั สนิ หรอื ลง คะแนนเสยี งและ/หรือใหความเหน็ ของ IRB/IEC 3.2.6 IRB/IEC อาจเชิญบุคคลอืน่ ท่มี คี วามชาํ นาญในดา นนัน้ ๆ มาชว ยเหลอื ได 3.3 วธิ ดี ําเนนิ การ IRB/IEC ควรกําหนดวิธีดําเนินการเปนลายลักษณอักษร และปฏิบัติตามวิธีดําเนินการซึ่งควร ประกอบดว ย 3.3.1 กําหนดองคประกอบ (ชอื่ และคุณสมบัตขิ องกรรมการ) และขอบเขตอํานาจหนา ท่ขี องคณะ กรรมการ 16

17 3.3.2 นัดหมายประชมุ เชญิ ประชมุ และดําเนนิ การประชุม 3.3.3 ดําเนินการพิจารณาทบทวนโครงการวจิ ยั ครั้งแรกและพิจารณาทบทวนอยางตอเนอื่ ง 3.3.4 กําหนดวาการพิจารณาทบทวนการวิจัยตอเน่ืองนั้นจะกระทําบอยคร้ังเพียงใด ตามความ เหมาะสม 3.3.5 จัดใหมีการพิจารณาทบทวนอยางเรงดวนและการใหคําอนุมัติและ/หรือความเห็นชอบกรณี มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กนอยของโครงการวิจัยที่ไดรับอนุมัติแลวและกําลังดําเนินการอยู ตามขอกําหนดของ ระเบียบกฎหมายทเ่ี กย่ี วขอ ง 3.3.6 กําหนดอยา งชัดเจนวาไมค วรรับอาสาสมคั รเขา รว มการวิจยั กอนท่ี IRB/IEC จะใหคาํ อนมุ ัติ และ/หรือความเหน็ ชอบเปน ลายลักษณอักษร 3.3.7 กําหนดอยางชัดเจนวาไมควรดําเนินการวิจัยที่เบ่ียงเบนจากโครงรางการวิจัยหรือมีการ เปล่ียนแปลงโครงรางการวิจัย กอนที่การแกไขเพิ่มเติมโครงรางการวิจัยนั้นจะไดรับคําอนุมตั แิ ละ/หรือความเหน็ ชอบเปนลายลกั ษณอ กั ษรจาก IRB/IEC ยกเวนในกรณจี าํ เปนเพื่อขจัดอนั ตรายเฉพาะหนาท่เี กิดขึ้นกับอาสาสมคั ร หรือเม่ือการเปล่ียนแปลงโครงรางการวิจัยน้ันเกี่ยวกับการบริหารจัดการโครงการวิจัยเทาน้ัน (เชน การเปลี่ยน แปลงผูกํากับดแู ลการวิจยั เบอรโ ทรศพั ท เปน ตน ) (ดูรายละเอียดในขอ 4.5.2) 3.3.8 กําหนดอยา งชัดเจนวาผวู จิ ยั ควรรายงานตอ IRB/IEC โดยทันทีเมอื่ ก. มีการดําเนินการท่ีเบี่ยงเบนจากโครงรางการวิจัยหรือการเปล่ียนแปลงโครงรางการวิจัยเพื่อ ขจัดอันตรายเฉพาะหนา ทีเ่ กดิ ขน้ึ กบั อาสาสมัคร (ดูรายละเอียดขอ 3.3.7, ขอ 4.5.2 และขอ 4.5.4) ข. มีการเปลี่ยนแปลงการวิจัยในทางที่เพิ่มความเสี่ยงตออาสาสมัคร และ/หรือกระทบตอ การดําเนินการวจิ ยั อยา งชดั เจน (ดรู ายละเอียดขอ 4.10.2) ก. เกิดอาการไมพงึ ประสงคจ ากยาทง้ั ชนิดรายแรงและไมค าดคดิ มากอ นทง้ั หมด ข. มีขอมูลใหมซึ่งอาจกระทบความปลอดภัยของอาสาสมัครในทางไมพึงประสงค หรือการดาํ เนิน การวจิ ัย เกี่ยวกับ 3.3.9 ใหความมั่นใจวา IRB/IEC แจง ใหผวู ิจยั /สถาบันท่ีวิจยั ทราบเปน ลายลกั ษณอักษรโดยทนั ที ก. การตัดสิน และ/หรือความเห็นของคณะกรรมการเกีย่ วกบั การวจิ ยั ข. เหตผุ ลประกอบการตดั สิน และ/หรือความเหน็ นัน้ ค. วิธีดําเนนิ การขออทุ ธรณตอ การตดั สิน และ/หรือความเห็นของคณะกรรมการ 3.4 บันทกึ ขอมลู IRB/IEC ควรเก็บรักษาบันทกึ ขอ มูลทเี่ ก่ียวของท้งั หมด (เชน วิธีดาํ เนนิ การท่ีเปนลายลักษณ อักษร รายช่ือกรรมการ รายละเอียดอาชพี และ/หรือสถาบันตนสงั กัดของกรรมการ เอกสารทย่ี ่ืนเสนอ รายงานการ ประชมุ และจดหมายติดตอ) เปนระยะเวลาอยา งนอ ย 3 ป หลังจากการวจิ ยั เสร็จสนิ้ สมบูรณและมไี วพ รอ มเม่อื หนวยงานควบคมุ ระเบยี บกฎหมายตองการ 17

18 IRB/IEC อาจถูกรองขอจากผูว จิ ยั ผใู หทุนวิจัยหรอื หนวยงานควบคุมระเบยี บกฎหมาย ใหสง วธิ ี ดําเนินการท่ีเปนลายลักษณอ ักษรและรายชื่อกรรมการ แกผขู อ 18

19 4. ผูว ิจยั 4.1 คุณสมบัตขิ องผวู จิ ัยและขอตกลง 4.1.1 ผูวิจัยควรมีคุณสมบัติเหมาะสมโดยผานการศึกษา การฝกอบรมและมีประสบการณที่จะ ปฏิบัติหนาท่ีดําเนินงานวิจัยอยางถูกตอง และควรมีคุณสมบัติครบถวนตามขอกําหนดของระเบียบกฎหมายที่ เกี่ยวของ และควรแสดงหลกั ฐานคณุ สมบัติเหลา นน้ั โดยมเี อกสารแสดงประวัตกิ ารศึกษา ผลงานและประสบการณ การทํางานฉบับลาสุดและ/หรือเอกสารอนื่ ๆ ที่เก่ียวของ ซงึ่ ผูใ หทนุ วิจัย, IRB/IEC, และ/หรือหนว ยงานควบคุม ระเบียบกฎหมายตอ งการ 4.1.2 ผูวิจัยควรมีความคุนเคยอยางยิ่งเกี่ยวกับการใชผลิตภัณฑที่ใชในการวิจัยอยางเหมาะสม ตามท่ีระบุในโครงรางการวจิ ยั ในเอกสารคูม อื ผวู ิจัยฉบบั ลา สดุ ในเอกสารขอมลู ผลติ ภัณฑ และในเอกสารอน่ื ๆ ที่ผู ใหทนุ วจิ ยั มอบใหผ วู ิจัย 4.1.3 ผูวิจัยควรตระหนักและพรอ มปฏบิ ตั ติ าม GCP และขอกําหนดของระเบยี บกฎหมายทเี่ กยี่ ว ของ 4.1.4 ผูวิจัย/สถาบันท่ีวิจัยควรใหความรวมมือกับการกํากับดูแลและการตรวจสอบการวิจัยโดยผู ใหทุนวิจัยรวมทั้งการตรวจตราการวิจัยโดยหนวยงานควบคมุ ระเบียบกฎหมายทเ่ี หมาะสม 4.1.5 ผูวิจัยควรเก็บรักษาบัญชีรายช่ือบุคลากรท่ีมีคุณสมบัติเหมาะสม ท่ีผูวิจัยมอบหมายงาน สําคัญท่ีเก่ยี วขอ งกับการวจิ ัยให 4.2 ทรัพยากรทเี่ พยี งพอในการวิจยั 4.2.1 ผูวิจัยควรสามารถแสดงศักยภาพการคัดเลือกอาสาสมคั รที่เหมาะสมอยางเพยี งพอ ภายใน ระยะเวลาท่ตี กลงไว (เชน โดยอาศยั ขอมลู ยอ นหลงั ) 4.2.2 ผูวิจัยควรมีเวลาเพยี งพอท่จี ะดําเนนิ งานวจิ ยั อยางถกู ตอ ง และเสรจ็ สิ้นการวิจยั ภายในระยะ เวลาทตี่ กลงไว 4.2.3 ผูวิจัยควรมีผูช วยงานวิจัยท่มี คี ุณสมบัติเหมาะสมและมีสิง่ สนับสนุนการวจิ ยั พอเพียง ตลอด ระยะเลาดําเนนิ การวิจยั เพ่ือสามารถดาํ เนนิ การวิจยั อยา งถูกตองและปลอดภัย 4.2.4 ผูวิจัยควรสรางความมั่นใจวาผรู วมดาํ เนินการวิจัยทุกคนทราบขอ มลู เกี่ยวกับโครงรา งการ วิจัยผลิตภัณฑท่ใี ชใ นการวจิ ัย และภาระหนา ทที่ ี่เกย่ี วของของแตละคน โดยละเอยี ด 4.3 การดแู ลรกั ษาทางการแพทยแกอาสาสมคั รในการวิจยั 4.3.1 แพทยผูมีคุณสมบตั ิเหมาะสม (หรือทันตแพทย แลว แตก รณี) ซ่งึ เปนผวู ิจัยหรอื ผูรบั ชวง วิจัย ควรมีหนาท่ีรับผดิ ชอบตดั สินใจทางการแพทยทงั้ หมด (หรือทางทนั ตกรรม) ทเ่ี กีย่ วขอ งกบั การวจิ ัย 19

20 4.3.2 ในระหวางการวิจัยและการตดิ ตามอาสาสมคั รภายหลงั เสรจ็ สน้ิ การวจิ ัย หากเกิดเหตุการณ ไมพึงประสงคใดๆ กับอาสาสมัคร รวมท้ังควมผิดปกติของคาการตรวจทางหองปฏิบัติการที่มีความสําคัญทาง คลินิกที่เกี่ยวของกับการวจิ ัย ผวู จิ ยั /สถาบันท่ีวิจัยควรใหความมนั่ ใจวาจะใหการดแู ลรักษาทางการแพทยแกอ าสา สมัครอยา งเต็มท่ี นอกจากนั้น ผูวจิ ัย/สถาบันที่วิจัยควรแจงใหอ าสาสมคั รทราบดวยวาจะไดร ับการดแู ลรักษาทาง การแพทย ในกรณีเกดิ ความเจ็บปวยอน่ื ๆ รว มดว ยระหวางการวจิ ยั 4.3.3 ในกรณีอาสาสมัครมแี พทยผ ใู หก ารดูแลรกั ษาอยูกอ นแลว (primary physician) และตกลง ท่ีจะใหแพทยทานนั้นทราบวาตนเขารวมการวิจัย ผูวิจัยควรแจงใหแพทยทานนั้นทราบการเขารวมการวิจัยของ อาสาสมัคร 4.3.4 ในกรณีอาสาสมัครถอนตวั จากการวิจยั กอ นสิ้นสดุ การวจิ ยั แมว าอาสาสมคั รไมจําเปนตอง แจงเหตุผลการถอนตัว แตผ วู ิจยั ควรพยายามหาเหตผุ ลการถอนตัวของอาสาสมคั รโดยยงั คงเคารพในสทิ ธิของ อาสาสมัครอยางเตม็ 4.4 การตดิ ตอกบั IRB/IEC 4.4.1 กอนเริ่มการวจิ ยั ผูวจิ ยั /สถาบันทีว่ ิจยั ควรไดร บั คาํ อนมุ ัตแิ ละ/หรือความเห็นชอบเปน ลาย ลักษณอ กั ษรและลงวนั ท่ี จาก IRB/IEC สําหรับเอกสารท่ยี น่ื เสนอ ไดแ ก โครงรางการวจิ ยั เอกสารใบยินยอม เอกสารใบยินยอมฉบับแกไขลา สดุ วิธดี าํ เนนิ การคดั เลือกอาสาสมคั ร (เชน เอกสารโฆษณา) และเอกสารอ่ืนที่จะ ใหอาณาสมคั ร 4.4.2 ในการย่ืนขออนมุ ัตติ อ IRB/IEC ผวู ิจัย/สถาบันท่ีวิจยั ควรย่ืนสําเนาเอกสารคมู ือผวู ิจยั ฉบบั ลาสุด หากมีการปรับปรุงแกไขระหวา งดาํ เนินการวจิ ยั ผูวจิ ัย/สถาบันทีว่ ิจยั ควรสง สําเนาเอกสารคูมือผูวิจัยฉบบั ปรับปรงุ แกไขให IRB/IEC ดวย 4.4.3 ระหวา งดาํ เนนิ การวิจัย ผูว ิจยั /สถาบันที่วิจัยควรสง เอกสารท้ังมดทต่ี อ งพิจารณาทบทวนให IRB/IEC 4.5 การปฏบิ ัติตามโครงรา งการวจิ ัย 4.5.1 ผูวิจัย/สถาบันท่ีวิจัยควรดําเนินการวิจัยตามขอกําหนดในโครงรางการวิจัยท่ีไดรับคําอนุมัติ และ/หรือความเห็นชอบจาก IRB/IEC, ตามทีต่ กลงกับผูใหทนุ วิจัย, และกับหนว ยงานควบคมุ ระเบยี บกฎหมาย ดวยในกรณีมีขอ กาํ หนด, ผวู ิจัย/สถาบันท่ีวจิ ัยรวมทัง้ ผูใ หทนุ วิจยั ควรลงนามรว มกันในโครงรางการวจิ ยั หรอื ใน สัญญาอนื่ เพื่อยนื ยนั ขอตกลงรว มกนั น้ี 4.5.2 ผูวิจัยไมควรดาํ เนนิ การวิจยั ทเ่ี บยี่ งเบนจากโครงรา งการวิจัย หรือเปลย่ี นแปลงโครงรา งการ วิจัย โดยไมไดรับความเห็นชอบจากผูใ หท นุ วิจัย รวมท้ังไมไ ดผ า นการพจิ ารณาทบทวนและไมไ ดรบั คาํ อนุมตั ิ และ/ หรือความเห็นชอบเปนหลกั ฐานในสวนแกไขเพมิ่ เติมจาก IRB/IEC กอน ยกเวน ในกรณจี าํ เปน เพื่อขจดั อันตราย เฉพาะหนาที่เกิดข้ึนกับอาสาสมัคร หรือเมื่อการเปลี่ยนแปลงน้ันเกี่ยวกับการบริหารจัดการโครงการวิจัยเทาน้ัน (เชน การเปลย่ี นแปลงผกู าํ กบั ดแู ลการวิจยั การเปลยี่ นแปลงเบอรโทรศัพท เปน ตน ) 20

21 4.5.3 ผูวิจัยหรือบุคคลท่ผี วู จิ ัยมอบหมาย ควรบันทึกเปนหลักฐานและอธบิ ายการดาํ เนินการวจิ ัยท่ี เบ่ียงเบนจากโครงรางการวิจัยท่ีไดรับอนมุ ัติ 4.5.4 ผูวิจัยอาจดาํ เนินการวิจยั ทเี่ บ่ียงเบนจากโครงรา งการวจิ ยั หรืออาจเปลย่ี นแปลงโครงรา งการ วิจัยไดในกรณีเพ่ือขจัดอันตรายเฉพาะหนาท่ีเกิดขึ้นกับอาสาสมัครโดยไมตองไดรับคําอนุมัติและ/หรือความเห็น ชอบจาก IRB/IEC กอน แตหลงั จากนัน้ ผวู จิ ัยควรยื่นเสนอเร่ืองการดําเนนิ การท่เี บี่ยงเบนจากโครงรางการวจิ ัย หรือการเปล่ียนแปลงโครงรางการวจิ ยั รวมท้ังเหตุผลของการกระทําดงั กลา ว และหากเหมาะสม สว นแกไ ขเพิ่มเตมิ โครงรา งการวจิ ยั ที่เสนอ ตอ หนว ยงานดงั ตอ ไปนี้โดยเร็วทสี่ ดุ ก. IRB/IEC เพื่อพิจารณาทบทวนและใหค ําอนมุ ตั แิ ละ/หรือความเหน็ ชอบ ข. ผูใหท ุนวิจัยเพื่อทําความตกลง และ ค. หนวยงานควบคมุ ระเบยี บกฎหมาย ในกรณีมขี อกาํ หนด 4.6 ผลิตภณั ฑท ใี่ ชใ นการวจิ ัย 4.6.1 ผูวิจัย/สถาบันท่ีวิจัยมีหนาท่ีรับผิดชอบจัดเก็บรักษาและควบคุมปริมาณรับ-จาย (accountability) ผลิตภัณฑท่ใี ชในการวิจัย ณ สถานทวี่ ิจัย 4.6.2 หากไดรับอนุญาต/จําเปนตองทํา ผูวิจัย/สถาบันท่ีวิจัยอาจ/ควรมอบหมายหนาที่เพียง บางสวนหรือทั้งหมดในการจัดเก็บรักษาและควบคุมปริมาณรับ-จายผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัยใหเภสัชกรหรือ บุคคลอื่นท่ีเหมาะสมภายใตก ารกาํ กับดแู ลของผูวจิ ัย/สถาบันทีว่ จิ ยั 4.5.3 ผูวิจัย/สถาบันท่ีวิจัย และ/หรือเภสัชกรหรือบุคคลอ่ืนที่เหมาะสมที่ผูวิจัย/สถาบันที่วิจัย มอบหมายควรเกบ็ รักษาบนั ทกึ การนาํ สงผลติ ภัณฑไ ปยังสถานทว่ี ิจัย, บัญชีรายการยาที่สถานที่วจิ ยั การใชยาโดย อาสาสมัครแตละคน, รวมทั้งการสงคืนผลติ ภัณฑทไี่ มไ ดใ ชแ กผ ใู หทนุ วิจยั หรอื วธิ กี ําจัดผลิตภณั ฑท ่ีไมไ ดใชอ นื่ ๆ บันทึกเหลานีค้ วรระบวุ ันที่ ปรมิ าณ เลขทกี่ ารผลิต (batch/serial numbers) วันหมดอายุ (หากมี) และเลขรหัส เฉพาะท่ีกําหนดบนผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัยและที่ใหอาสาสมัครในการวจิ ยั , และมผี ลิตภัณฑทใ่ี ชในการวิจยั ทไ่ี ด จากผใู หทุนวิจัยเหลอื ในปรมิ าณที่ถกู ตอง 4.5.4 ควรเก็บรักษาผลิตภัณฑท ีใ่ ชใ นการวจิ ัยตามแนวทางที่ผใุ หท ุนวิจัยกําหนด (ดรู ายละเอยี ดขอ 5.13.2 และขอ 5.14.3) และตามขอกาํ หนดของระเบยี บกฎหมายที่เก่ยี วขอ ง 4.5.5 ผูวิจัยควรใชผลติ ภณั ฑท ใี่ ชใ นการวจิ ัยตามท่รี ะบใุ นโครงรา งการวิจยั ที่ไดรบั อนุมตั ิเทา นัน้ 4.5.6 ผูวิจัยหรือบุคคลที่ผูวิจัย/สถาบันที่วิจัยมอบหมาย ควรอธิบายวิธีการใชผลิตภัณฑท่ีใชใน การวิจัยอยางถูกตองแกอ าสาสมคั รทกุ คน และควรตรวจสอบตามระยะเวลาทเี่ หมาะสมกับการวจิ ยั นนั้ ๆ วา อาสา สมัครแตล ะคนปฏิบตั ติ ามขอแนะนําน้ันอยางถูกตอ ง 4.7 วิธีดําเนินการสุมตัวอยางและเปดรหัสขอมูลเกี่ยวกับการรักษาท่ีอาสาสมัคร ไดร ับ 21

22 ผูวิจัยควรปฏิบัติตามวธิ ดี าํ เนนิ การสุมตัวอยางท่ีระบใุ นโครงรา งการวจิ ยั (ถามี) และควรใหค วาม ม่ันใจวา การเปดรหสั ขอมลู การรักษาทอี่ าสาสมคั รไดรับ ไดด าํ เนินการตามทก่ี ําหนดในโครงรา งการวจิ ยั เทานน้ั . ถา เปนการวิจัยแบบปกปด การรกั ษา ผูวจิ ยั ควรบนั ทกึ และอธิบายใหผ ใู หท ุนวิจยั ทราบถึงการเปด รหัสของผลติ ภณั ฑที่ ใชในการวิจัยกอนกําหนดโดยเร็ว (เชน การเปดรหัสโดยบังเอิญ การเปดรหัสเนื่องจากเกิดเหตุการณไมพึง ประสงคช นดิ รายแรง) 4.8 การใหความยินยอมของอาสาสมคั รในโครงการวจิ ัย 4.8.1 ในการขอความยินยอมและบันทึกความยินยอมจากอาสาสมัคร ผูวิจัยควรปฏิบัติตามขอ กําหนดของระเบียบกฎหมายท่ีเกี่ยวขอ ง และควรยึดตาม GCP และหลักการจรยิ ธรรมแหง คาํ ประกาศเฮลซงิ กิ อยางเครง ครัดกอนเริ่มดาํ เนินการวิจัย ผูวจิ ยั ควรไดร ับอนุมตั แิ ละ/หรือความเหน็ ชอบจาก IRB/IEC ตอเอกสาร ใบยินยอมและเอกสารอ่นื ที่จะใหอ าสาสมัคร 4.8.2 ควรทบทวนแกไขเอกสารใบยินยอมและเอกสารอื่นท่ีจะใหอาสาสมัครเมื่อมีขอมูลใหมที่ สําคัญเพิ่มเติม ซ่งึ อาจมผี ลตอการใหความยินยอมของอาสาสมัคร. เอกสารใบยนิ ยอมและเอกสารอ่นื ฉบับแกไ ข ใดๆ ท่ีจะใหอาสาสมัครควรไดร ับคําอนุมัติและ/หรือความเห็นชอบจาก IRB/IEC กอนนําไปใช อาสาสมคั รหรือผู แทนโดยชอบธรรมของอาสาสมัครควรไดรับแจงใหทราบขอ มลู ใหมใ นเวลาอนั สมควร ซึ่งอาจมีผลตอความสมัคร ใจของอาสาสมคั รท่จี ะคงอยใู นการวจิ ัยตอไป ควรบนั ทึกการแจงขอมูลใหมเหลา นีเ้ ปนหลกั ฐาน 4.8.3 ผูวิจัยรวมท้ังเจาหนาที่ในโครงการวิจัย ไมควรบังคับหรือลอใจอยางไมเหมาะสมใหอาสา สมัครเขารวมการวิจยั หรอื ยงั คงอยูในการวิจัยตอ ไป 4.8.4 ขอมูลที่เก่ียวของกับการวิจัยท้ังโดยวาจาและที่เปนลายลักษณอักษร รวมทั้งเอกสารใบยิน ยอม ไมควรระบุขอความดว ยภาษาใดๆ ทีท่ าํ ใหอ าสาสมคั รหรอื ตวั แทนโดยชอบธรรมสละสทิ ธิ หรือเสมือนวาสละ สิทธิใดๆ ตามกฎหมาย หรือปลอ ยหรือดเู สมือนปลอยใหผ ูว จิ ัย สถาบันที่วิจยั ผูใหทนุ วจิ ัย หรือเจาหนาทท่ี เ่ี กี่ยว ของหลุดพนจากความรับผดิ ตามกฎหมาย เนื่องจากการดําเนนิ การวิจยั โดยประมาทเลนิ เลอ 4.8.5 ผูวิจัยหรือบุคคลท่ีผูวิจัยมอบหมายควรแจงเรื่องทุกเรื่องที่เก่ียวของกับการวิจัย รวมทั้ง เอกสารและคําอนุมัตแิ ละ/หรือความเหน็ ชอบจาก IRB/IEC โดยละเอียดแกอาสาสมัครหรือผูแ ทนโดยชอบธรรม ในกรณีอาสาสมคั รไมส ามารถใหความยินยอมดว ยตนเองได 4.8.6 ภาษาที่ใชใหขอมูลเกี่ยวกับการวิจัยทั้งดว ยวาจาและทเี่ ปนลายลักษณอ กั ษร รวมทัง้ เอกสาร ใบยินยอม ควรเปนภาษาท่ีอาสาสมัครหรือผูแทนโดยชอบธรรมและพยานท่ีไมมีสวนไดเสีย (แลวแตกรณี) สามารถเขาใจไดงา ย และหลกี เลย่ี งศัพทเ ทคนิคเทา ท่จี ะทาํ ได 4.8.7 กอนไดรับความยินยอมเขาเปนอาสาสมัครในโครงการวิจัย ผูวิจัยหรือบุคคลที่ผูวิจัยมอบ หมายควรใหเวลาอาสาสมัครหรอื ผูแ ทนโดยชอบธรรมอยางเพยี งพอ และใหโ อกาสซกั ถามรายละเอยี ดตา งๆ เก่ียว กับการวิจัยรวมทั้งใหเวลาอยางพอเพียงในการตัดสินใจวาจะเขารวมโครงการวิจัยหรือไม คําถามทุกคําถามเก่ียว กับการวิจัยควรไดรบั การตอบจนเปนทพี่ อใจของอาสาสมคั รหรอื ผแู ทนโดยชอบธรรม 22

23 4.8.8 กอนท่ีอาสาสมัครเขา รวมการวจิ ัย อาสาสมัครหรอื ผูแ ทนโดยชอบธรรม รวมทง้ั บุคคลผทู ํา หนาที่ใหขอมูลและคําอธิบายในระหวางการขอความยินยอม ควรลงนามและลงวันที่ดวยตนเองในเอกสารใบยิน ยอม 4.8.9 ในกรณีอาสาสมัครหรือผูแทนโดยชอบธรรมไมสามารถอานหนังสือได ควรมีพยานท่ีไมมี สวนไดเสียอยูดวยตลอดระยะเวลาที่มีการใหขอมูลและคําอธิบายระหวางการขอความยินยอม หลังจากมีการอาน และอธิบายรายละเอียดในเอกสารใบยินยอมและเอกสารอื่นที่จะใหอาสาสมัครใหผูแทนโดยชอบธรรมหรืออาสา สมัครฟง ซ่ึงหลังจากน้ันอาสาสมัครหรอื ผูแ ทนโดยชอบธรรมใหความยินยอมดว ยวาจาเพอื่ เขา รว มการวจิ ัย และได ลงนามและลงวันทีด่ ว ยตนเองในเอกสารใบยนิ ยอม (หากทําได) ดังนั้น พยานท่ีไมมสี ว นไดเสยี ควรลงนามและลง วันที่ดวยตนเองในเอกสารใบยินยอมดังกลาวดว ย โดยการลงนามในเอกสารใบยินยอมดังกลาว พยานยนื ยนั วา ขอ มูลในเอกสารใบยินยอมและเอกสารอ่ืนๆไดรับการอธิบายอยางถูกตอง และอาสาสมคั รหรอื ผแู ทนโดยชอบธรรม แสดงวาเขาใจรายละเอียดตางๆ พรอ มท้ังใหความยินยอมเขารว มการวิจยั โดยสมคั รใจ 4.8.10 การใหขอมูลและคําอธิบายในระหวา งการขอความยินยอมและในเอกสารใบยินยอม รวม ทั้งเอกสารอื่นทีจ่ ะใหอาสาสมคั ร ควรมีรายละเอียดตอไปน้ี ก. ระบวุ าโครงการน้เี ปนการวจิ ยั ข. จุดมุงหมายของการวิจยั ค. การรักษาท่ีใหในการวิจัยและโอกาสที่อาสาสมัครจะไดรับการรักษาอยางใดอยางหนึ่งตามวิธี การสมุ เลอื ก ง. วิธีดําเนนิ การวิจยั รวมถงึ วิธีดาํ เนินการตางๆ ที่มีการลวงล้าํ (invasive) รางกายของอาสาสมัคร จ. หนาทีร่ ับผิดชอบของอาสาสมัคร ฉ. สวนของโครงการวจิ ยั ทเ่ี ปนการทดลอง ช. ความเสี่ยงหรือความไมสะดวกสบายที่อาจเกิดขึ้นแกอาสาสมัคร และในบางกรณีแกตัวออน หรือทารกในครรภ หรอื ทารกทดี่ มื่ นํ้านมมารดา ซ. ประโยชนที่คาดวาจะไดรับอยางสมเหตุผล ในกรณีการวิจัยไมกอเกิดประโยชนทางคลินิกแก อาสาสมัคร ควรแจง ใหอาสาสมัครทราบดว ยเชนกัน ฌ. วิธีดําเนินการหรือการรักษาทเี่ ปนทางเลอื กอน่ื ๆ ท่อี าสาสมคั รอาจไดรับ รวมท้ังประโยชนและ ความเสีย่ งที่สําคญั ของทางเลอื กอื่นๆ นน้ั ญ. คาชดเชยและ/หรือการรักษาท่ีอาสาสมัครจะไดร บั ในกรณเี กดิ อนั ตรายอนั เปน ผลจากการวิจัย ฎ. การจายคาตอบแทน (ถาม)ี ซึง่ กําหนดเปน รายคร้งั แกอ าสาสมัครทีเ่ ขารวมการวจิ ัย ฏ. คาใชจายตางๆ (ถา ม)ี สาํ หรบั อาสาสมคั รท่ีเขา รวมการวจิ ัย ฐ. ขอความที่ระบุวา การเขารว มการวจิ ยั ของอาสาสมคั รเปน ไปโดยความสมัครใจ และอาสาสมคั ร อาจปฏิเสธท่ีจะเขารวมหรือถอนตัวออกจากการวิจัยไดทุกขณะ โดยไมมีความผดิ หรอื สูญเสีย ประโยชนท ่อี าสาสมคั รพึงไดรับ ฑ. ขอความท่ีระบวุ า ผูกํากบั ดูแลการวจิ ัย ผูต รวจสอบการวิจัย IRB/IEC และหนวยงานควบคุม ระเบียบ กฎหมาย จะไดรับการอนุญาตใหตรวจสอบเวชระเบียนตนฉบับของอาสาสมัคร โดยตรง เพอ่ื ตรวจสอบ ความถูกตอ งของวิธดี าํ เนินการวิจยั ทางคลนิ กิ และ/หรือขอมูลอนื่ ๆ โดยไมละเมิดสิทธิของอาสาสมัครในการรักษาความลับเกินขอบเขตท่ีกฎหมายและระเบียบ กฎหมายอนุญาตไว ทงั้ นี้ โดยการลงนามในเอกสารใบยินยอม อาสาสมัครหรือผแู ทนโดยชอบ 23

24 ธรรมของอาสาสมคั รอนุญาตใหบุคคลตา งๆ ขา งตน มสี ิทธติ รวจสอบเวชระเบียนตนฉบับของ อาสาสมคั รโดยตรง ฒ. มีขอความท่ีระบุวาบนั ทึกทีร่ ะบขุ อ มลู สวนบคุ คลของอาสาสมัครจะไดร บั การเก็บรกั ษาเปน ความลับ และจะไมเ ปดเผยขอมูลเหลา น้ีแกสาธารณชนเกนิ ขอบเขตทีก่ ฎหมาย และ/หรือ ระเบียบกฎหมายอนญุ าต. ในการตีพิมพผ ลการวิจยั ขอมูลสวนบคุ คลของอาสาสมคั รจะยงั คง เก็บรกั ษาเปนความลบั ณ. มีขอความท่ีระบุวาอาสาสมคั รหรอื ผูแทนโดยชอบธรรม จะไดร ับแจง ใหท ราบขอมลู ใหมใ น เวลาอันสมควร ซ่งึ อาจมีผลตอ ความสมคั รใจของอาสาสมคั รท่ีจะคงเขารว มการวิจยั ตอ ไป ด. บุคคลท่ีจะติดตอขอขอมลู เพมิ่ เติมเก่ียวกบั การวิจยั และสทิ ธิของอาสาสมคั ร และบุคคลที่จะ รับแจงเหตใุ นกรณเี กิดอันตรายอนั เปน ผลจาการวิจยั ต. สภาวการณ และ/หรือเหตุผลท่ีอาจเพกิ ถอนอาสาสมคั รออกจากการวิจยั ถ. ระยะเวลาทคี่ าดวาอาสาสมัครเขารว มการวจิ ัย ท. จํานวนอาสาสมัครทเี่ ขา รวมการวจิ ัยโดยประมาณ 4.8.11 กอนเขารวมการวิจัย อาสาสมัครหรือผูแทนโดยชอบธรรมควรไดรับสําเนาเอกสารใบยนิ ยอมซึ่งลงนามและลงวนั ท่ีเรียบรอ ยแลว รวมทัง้ เอกสารอ่นื ที่ใหอ าสาสมัคร. ตลอดระยะเวลาเขา รวมการวจิ ัย อาสา สมัครหรือผูแทนโดยชอบธรรมควรไดรับสําเนาเอกสารใบยินยอมฉบับแกไขซึ่งลงนามและลงวันที่เรียบรอยแลว รวมท้ังสําเนาเอกสารอ่ืนท่ีมีการแกไ ขเพม่ิ เติมที่ใหอ าสาสมัครดวย 4.8.12 เม่ือการวิจัยทางคลินกิ (เพอ่ื การรกั ษาหรอื ไมก็ตาม) เก่ยี วของกบั อาสาสมัครซง่ึ ตอ งขอ ความยินยอมจากผูแทนโดยชอบธรรม (เชน ผเู ยาว หรอื ผูปว ยโรคสมองเส่อื มรุนแรง) อาสาสมคั รควรไดร ับการ อธิบายเกี่ยวกับการวิจัยดวยวิธีท่ีเหมาะสมท่ีอาสาสมัครนั้นจะเขาใจได และถาทําไดอาสาสมัครควรลงนามและลง วันท่ีในเอกสารใบยินยอมดวยตนเอง 4.8.13 ยกเวน จากทรี่ ะบใุ นขอ 4.8.14 การวิจัยท่ีไมใ ชเพอื่ การรักษา (น่ันคือ การวิจยั ทไี่ มก อ ประโยชนทางคลินิกแกอ าสาสมัครโดยตรง) ควรดําเนนิ การในอาสาสมคั รทส่ี ามารถใหความยินยอม สามารถลง นามและลงวันทใี่ นเอกสารใบยนิ ยอมดวยตนเองได 4.8.14 การวิจัยที่ไมใชเพ่ือการรักษาอาจดําเนินการในอาสาสมัครที่ผูแทนโดยชอบธรรมเปนผูให ความยินยอมแทนได หากเขา เงอ่ื นไขครบทกุ ขอ ตอ ไปนี้ ก. ไมสามารถดําเนินการวิจยั ใหบ รรลุตามวัตถุประสงคได ในอาสาสมัครทสี่ ามารถใหความ ยนิ ยอมดวยตนเองได ข. ความเสี่ยงที่อาจเกิดขน้ึ แกอ าสาสมคั รต่ํา ค. ผลกระทบทางลบตอ ความเปน อยูท่ีดีของอาสาสมัครมีนอ ยและตาํ่ ง. การวิจัยน้ันไมถูกหา มโดยกฎหมาย จ. IRB/IEC ไดพิจารณาอนุมัติและ/หรือเห็นชอบเปนลายลักษณอักษรใหผูแทนโดยชอบ ธรรมใหค วาม การวิจัยดังกลาวควรกระทําในผูปวยซ่ึงมีโรคหรืออาการซ่ึงผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัยดังกลาวมุงใช สําหรับรักษาโรคหรืออาการน้ัน ยกเวน ในกรณีมีเหตผุ ลอนั ควร. ควรตดิ ตามดแู ลอาสาสมคั รเหลานี้อยา งใกลชิด เปนพิเศษและควรถอนอาสาสมคั รดูจะรับความทกุ ขท รมานโดยไมส มควร 24

25 4.8.15 ในสถานการณฉุกเฉินซึ่งอาสาสมัครไมสามารถใหความยินยอมกอนเขารวมการวิจัยได หากทําไดควรขอความยินยอมจากผูแทนโดยชอบธรรม. ในกรณีที่อาสาสมคั รไมสามารถใหความยินยอมกอ นเขา รวมการวิจัยไดและไมสามารถติดตอกับผูแทนโดยชอบธรรมได การคัดเลือกอาสาสมัครดังกลาวเขารวมการวิจัย ควรดําเนินการตามมาตรการทีก่ าํ หนดในโครงรา งการวจิ ยั และ/หรือในเอกสารอื่นๆ ทีไ่ ดรบั คาํ อนมุ ัตแิ ละ/หรอื ความเห็นชอบเปนหลักฐานจาก IRB/IRC แลว ท้ังน้ี เพอ่ื ปกปองสทิ ธิ ความปลอดภยั และความเปนอยูท ่ีดขี อง อาสาสมัคร และเพ่ือใหความม่ันใจวา ผวู จิ ยั จะปฏบิ ตั ติ ามขอ กําหนดของระเบียบกฎหมายท่ีเกี่ยวของโดยเครงครดั . ควรแจงใหอาสาสมคั รหรือผแู ทนโดยชอบธรรมทราบเก่ยี วกบั การวิจัยโดยเร็วที่สุด และควรขอความยินยอมท่ีจะคง เขารวมการวจิ ยั ตอไป รวมทั้งขอความยินยอมอื่นๆ ตามความเหมาะสม (ดูขอ 4.8.10) 4.9 บันทกึ และรายงาน 4.9.1 ผูวิจัยควรใหความมัน่ ใจวาขอมูลทบี่ ันทกึ ถูกตอ ง สมบรู ณ อา นออกงา ย และสมารถสง ขอมลู ในรูปแบบบนั ทกึ ขอ มูลผูปว ยและรายงานท้ังหมดที่กาํ หนดตอผูใหทุนวิจยั ไดท นั เวลา 4.9.2 ขอมูลท่ีรายงานในแบบบันทึกขอมูลผูปวยซึ่งไดจากเอกสารตนฉบับ ควรสอดคลอตองกัน กับขอมูลในเอกสารตน ฉบับน้นั ๆ หรือควรอธบิ ายใหช ดั เจนหากมีความแตกตา งกัน 4.9.3 การเปลี่ยนแปลงหรอื การแกไขใดๆ ทีก่ ระทาํ ในแบบบันทกึ ขอ มลู ผปู ว ย ควรลงวนั ท่ี ลงชือ่ ยอกํากับและใหคาํ อธบิ าย (หากจาํ เปน) รวมทง้ั ไมค วรทาํ ใหข อมลู ท่ลี งไวกอ นหนาน้นั เลอะเลอื น (น่ันคือ ควรเก็บ รักษาหลักฐานการตรวจสอบไว) วธิ กี ารดังกลาวใหถือปฏบิ ตั ทิ ัง้ กบั การเปลี่ยนแปลงหรอื การแกไ ขใดๆ ในเอกสาร และขอมูลซึ่งบันทกึ ดว ยระบบอิเล็กทรอนิกส [ดูรายละเอยี ดในขอ 5.18.4 (ฑ)]. ผูใหทุนวิจัยควรใหค าํ แนะนาํ แก ผูวจิ ยั และ/หรือผูแทนที่ผูวิจัยมอบหมายในการแกไ ขดังกลา ว ผูใ หทุนวจิ ยั ควรมวี ิธดี าํ เนินการเปนลายลักษณอ ักษร เพื่อประกันวาการเปลี่ยนแปลงหรือกรแกไขขอมูลในแบบบันทึกขอมูลผูปวยโดยผูแทนท่ีผูใหทุนวิจัยมอบหมายมี การบันทึกเปนหลักฐาน, มีความจําเปน ตอ งทาํ , และไดรับรองโดยผวู จิ ัย. ผวู จิ ยั ควรเกบ็ รกั ษาบนั ทึกขอมลู การ เปลี่ยนแปลงและแกไ ขเหลา น้ี 4.9.4 ผวู จิ ัย/สถาบันท่ีวิจัย ควรเกบ็ รักษาเอกสารจากการวิจัยตามทรี่ ะบใุ นหัวขอ “เอกสารสําคญั สําหรับการดาํ เนินการวจิ ยั ทางคลนิ กิ ” (ดูขอ 8) และตามขอกําหนดของระเบียบกฎหมายทีเ่ กี่ยวของ ผวู จิ ยั / สถาบันที่วิจัยควรดําเนินมาตรการเพื่อปอ งกันการทาํ ลายเอกสารสาํ คญั เหลา นโ้ี ดยบังเอิญหรอื กอ นกําหนด 4.9.5 ควรเก็บรักษาเอกสารสําคัญเหลานี้จนกระท่ังประเทศสุดทายในกลุม ICH อนุมัตกิ ารวาง จําหนายผลติ ภณั ฑด งั กลา วไมต ํา่ กวา 2 ป และจนกระทงั่ ไมม ีการย่ืนหรอื รออนมุ ตั กิ ารวางจําหนายในตลาดในกลุม ICH หรือเปนระยะเวลาอยางนอย 2 ป ภายหลังการยุติการพัฒนาทางคลินิกของผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัย อยางเปนทางการ. ควรเกบ็ รักษาเอกสารเหลานเ้ี ปนระยะเวลานานกวา นี้ หากเปนขอกาํ หนดของระเบียบกฎหมายท่ี เก่ียวของ หรือเปน ความตกลงกบั ผูใหท นุ วจิ ัย ผูใ หท นุ วิจัยมีหนาท่ีรับผิดชอบแจงใหผูวิจัย/สถาบนั ทวี่ ิจยั ทราบวา เม่ือใดไมจาํ เปนตองเกบ็ เอกสารเหลา น้อี ีกตอไป (ดรู ายละเอยี ดขอ 5.5.12) 4.9.6 ควรบันทึกรายละเอียดเงินสนับสนุนการวิจัยในสัญญาที่ทําขึ้นระหวางผูใหทุนวิจัย และ ผูวิจัย/สถาบันทวี่ ิจัย 25

26 4.9.7 เม่ือไดรับการรองขอจากผูกํากับดูแลการวจิ ัย ผตู รวจสอบการวิจยั IRB/IEC หรอื หนว ยงาน ควบคุมระเบียบกฎหมาย ผูวิจัย/สถาบันที่วิจัยควรจัดเตรยี มบันทกึ ขอมูลตางๆ ทเ่ี กยี่ วขอ งกับการวิจยั ใหพ รอม เพื่อใหสามารถตรวจสอบขอ มลู ไดโดยตรง 4.10 รายงานความกา วหนา ของการวจิ ยั 4.10.1 ผูวิจัยควรยน่ื บทสรปุ สถานภาพการวิจยั เปน ลายลักษณอักษรตอ IRB/IEC ปละคร้งั หรือ บอยกวานั้นหาก IRB/IEC ตองการ 4.10.2 ผูวิจัยควรสง รายงานเปนลายลกั ษณอ ักษรเก่ยี วกบั การเปลีย่ นแปลงใดๆ ซึ่งมีผลกระทบที่ สําคัญตอการดําเนินการวิจัยและ/หรือเพ่ิมความเส่ียงแกอาสาสมัครในการวิจัยใหผูใหทุนวิจัย, ให IRB/IEC (ดูรายละเอียดขอ 3.3.8), และหากเกี่ยวขอ ง ใหส ถาบนั ทีว่ ิจยั 4.11 การรายงานความปลอดภยั 4.11.1 ควรรายงานเหตุการณไมพึงประสงคชนิดรายแรงทั้งหมดใหแกผใู หทนุ วิจยั ทราบโดยทนั ที ยกเวนเปนเหตุการณซ ึง่ โครงรางการวิจยั หรอื เอกสารอน่ื ๆ (เชน เอกสารคมู ือผวู ิจัย) ระบวุ าไมจ าํ เปนตอ งรายงาน โดยทันที รายงานทนั ทคี วรตามดวยรายงานที่เปน ลายลกั ษณอกั ษรโดยละเอยี ด ในรายงานทนั ทีและรายงานตดิ ตาม ผลควรระบุอาสาสมัครโดยใชเลขรหัสเฉพาะของอาสาสมัครในการวิจัย ไมควรใชช่ือ, เลขประจําตัวประชาชน, และ/หรือที่อยขู องอาสาสมคั ร. ผูวิจัยควรปฏิบัติตามขอกําหนดของระเบียบกฎหมายท่ีเกีย่ วของวา ดว ยการรายงาน อาการไมพึงประสงคจากยาชนิดรายแรงท่ีไมคาดคิดมากอน ตอหนวยงานควบคุมระเบียบกฎหมายและตอ IRB/IEC 4.11.2 ควรรายงานเหตกุ ารณไ มพ ึงประสงค และ/หรือความผดิ ปกตทิ รี่ วจพบทางหองปฏิบัติการ ซึ่งระบุในโครงรางการวิจัยวามีความสําคัญย่ิงตอการประเมินความปลอดภัย ใหผูใหทุนวิจัยทราบตามขอกําหนด ของการรายงานและภายในระยะเวลาทผ่ี ุใหทนุ วจิ ัยระบใุ นโครงรา งการวิจัย 4.11.3 สําหรับรายงานการเสยี ชวี ิต ผูวจิ ัยควรใหข อมลู เพิม่ เตมิ ตามที่ผูใหท นุ วิจยั และ IRB/IEC ตองการ (เชน รายงานผลการตรวจศพและรายงานทางการแพทยขน้ั สุดทาย) 4.12 การยุตกิ ารวจิ ยั กอนกาํ หนดหรอื การระงบั การวิจยั ถาการวิจัยถกู ยุตกิ อ นกาํ หนดหรอื ถูกระงับไวไ มว าจะดว ยเหตุผลใดก็ตาม ผวู จิ ยั /สถาบนั ที่วิจัยควร แจงใหอาสาสมัครในการวิจัยทราบโดยทันที ควรรับประกันวาอาสาสมัครจะไดรับการรักษาหรือติดตามผลการ รักษาอยางเหมาะสม และหากมีขอกําหนดของระเบียบกฎหมายท่ีเกี่ยวของ ผูวิจัย/สถาบันที่วิจัยควรแจงให หนวยงานควบคมุ ระเบียบกฎหมายทราบดวย นอกจากน้ี 4.12.1 ในกรณีที่ผูวิจัยยุติหรือระงับการวิจัยโดยมิไดขอความเห็นชอบจากผูใหทุนวิจัยกอนผูวิจัย ควรแจง ใหส ถาบนั ท่วี ิจัยทราบหากเก่ียวขอ ง และผูวจิ ัย/สถาบนั ที่วจิ ยั ควรแจง ใหผใู หท ุนวิจัยและ IRB/IEC ทราบ โดยทันทีเชนกัน พรอ มคาํ อธบิ ายท่เี ปน ลายลักษณอักษรโดยละเอียดถงึ สาเหตขุ องการยตุ ิหรอื ระงับการวจิ ยั 26

27 4.12.2 ถาผูใหท นุ วจิ ยั ยตุ ิหรือระงับการวิจยั (ดูรายละเอยี ดในขอ 5.21) ผูวิจัยควรแจง ใหสถาบนั ที่วิจัยทราบโดยทนั ทีหากเกย่ี วของ และผูวิจัย/สถาบันทวี่ ิจยั ควรแจงให IRB/IEC ทราบโดยทนั ทเี ชน กัน พรอม คําอธิบายท่ีเปนลายลกั ษณอ ักษรโดยละเอียดถงึ สาเหตขุ องการยุตหิ รือระงับการวจิ ยั 4.12.3 ถา IRB/IEC ยตุ ิ IRB/IEC ยุติหรอื ระงบั คําอนุมตั แิ ละ/หรือความเห็นชอบในการดาํ เนิน การวจิ ยั (ดูรายละเอียดขอ 3.1.2 และ 3.3.9) ผูวิจัยควรแจงใหสถาบันทีว่ ิจยั ทราบหากเกีย่ วขอ ง และผวู ิจัย/ สถาบันท่ีวิจัยควรแจงใหผูใหทุนวิจัยทราบโดยทนั ทีเชน กัน พรอมคําอธิบายท่เี ปนลายลกั ษณอ กั ษรโดยละเอยี ดถึง สาเหตุของการยุติหรือระงบั การวจิ ัย 4.13 รายงานเม่อื เสรจ็ สนิ้ การวิจัยโดยผวู ิจยั (Final Report) ภายหลังการวจิ ัยเสร็จส้ินสมบูรณ ผูวิจัยควรแจง ใหสถาบนั ทวี่ จิ ัยทราบหากเกยี่ วของ ผวู ิจัย/สถาบนั ที่ วิจัยควรสงบทสรปุ ผลลพั ธการวจิ ัยให IRB/IEC และสงรายงานอื่นๆ ตามทีห่ นว ยงานควบคุมระเบียบกฎหมาย ตอ งการ 27

28 5. ผูใหทนุ วจิ ยั 5.1 การประกนั คณุ ภาพและการควบคุมคุณภาพและการควบคุมคุณภาพ 5.1.1 ผูใหทุนวิจัยมีหนาที่รับผิดชอบดําเนินการและจัดใหมีระบบประกันคุณภาพและควบคุม คุณภาพตามวิธีดําเนินการมาตรฐานที่เปนลายลักษณอักษร เพ่ือสรางความมั่นใจวาการวิจัยไดดําเนินการ และ ขอมูลไดรับการเกบ็ บนั ทกึ และรายงาน โดยปฏบิ ัตติ ามโครงการวิจยั ตาม GCP และตามขอกําหนดของระเบยี บ กฎหมายทเี่ ก่ียวขอ ง 5.1.2 ผูใหทุนวิจัยมีหนา ท่ีรับผดิ ชอบรกั ษาขอตกลงของทุกฝา ยทเ่ี กย่ี วขอ ง เพอ่ื สรางความม่นั ใจวา ทุกฝายท่ีเกี่ยวขอ งสามารถเขา ถึงขอ มลู โดยตรงของสถานทว่ี ิจยั ทุกแหง (ดูขอ 1.21), รวมทั้งเอกสารและ/หรอื ขอมูลตนฉบับ, และรายงานตางๆ ท้ังน้ี เพ่ือใหเปนไปตามวัตถุประสงคของการกํากับดูแลและการตรวจสอบ การวิจัยโดยผูใหทุนวิจัยรวมทั้งการตรวจตราการวิจัยโดยหนวยงานควบคุมระเบียบกฎหมายทั้งภายในและ ภายนอกประเทศ 5.1.3 การควบคุมคุณภาพ ควรมีการดําเนินการในทุกขั้นตอนของการจัดการขอมูล เพื่อสราง ความมั่นใจวา ขอมูลทง้ั หมดเชอื่ ถอื ได และไดรับการประมวลผลอยางถูกตอ ง 5.1.4 ขอตกลงซ่ึงทําข้นึ โดยผูใหท นุ วจิ ัยกบั ผูวจิ ัย/สถาบันท่ีวจิ ยั วมทงั้ กลุมบคุ คลอืน่ ๆ ท่ีเกยี่ วของ กับการวิจัยทางคลินิก ควรกระทําเปนลายลักษณอักษรและถอื เปนสวนหน่ึงของโครงรา งการวจิ ยั หรอื ทําเปนขอ ตกลงแยกตางหาก 5.2 องคก รท่ีรบั ทาํ วจิ ยั ตามสญั ญา (CRO) 5.2.1 ผูใหทุนวิจัยอาจมอบหมายหนาที่และความรับผิดชอบบางสวนหรือท้ังหมดท่ีเกี่ยวของกับ การวจิ ยั ของผใู หทนุ วจิ ยั ให CRO แตความรับผิดชอบสงู สดุ ตอ คณุ ภาพและความนา เชอื่ ถอื ของขอ มลู จากการวิจยั ยังเปน ของผใู หท ุนวจิ ัยเสมอ. CRO ควรทําหนาท่ีดาํ เนนิ การประกนั คณุ ภาพและควบคมุ คณุ ภาพของงานวจิ ยั 5.2.2 การมอบหมายหนา ท่แี ละความรบั ผิดชอบให CRO ควรกระทําเปนลายลกั ษณอักษร 5.2.3 หนาท่ีและความรับผิดชอบทเี่ กย่ี วของกบั งานวจิ ัยอน่ื ๆ ซึ่งไมไ ดร ะบใุ นการมอบหมายงานให CRO ยังเปนของผุใหท ุนวจิ ัย 5.2.4 รายละเอียดอางอิงถงึ ผใู หท นุ วจิ ยั ทป่ี รากฎในแนวปฏิบตั เิ ลม น้ที งั้ หมดให CRO ถอื ปฏิบัติ กับหนาที่และความรับผิดชอบท่เี กี่ยวขอ งกับงานวิจัยท่ี CRO จะกระทาํ แทนผูใหท ุนวจิ ัย 5.3 ความเชี่ยวชาญทางการแพทย ผูใหทุนวิจัยควรแตงตั้งบุคลากรทางการแพทยท่ีมีคุณสมบัติเหมาะสม เพื่อใหคําแนะนําดานการ วิจัยอยางทันทวงทีเมอ่ื มคี ําถามหรือปญ หาทางการแพทยท เ่ี ก่ยี วขอ งกับการวจิ ยั ในกรณจี ําเปน อาจแตง ตง้ั ทปี่ รกึ ษา จากภายนอกเพ่อื วัตถปุ ระสงคน ้ไี ด 5.4 การวางรูปแบบการวจิ ยั 5.4.1ผูใหทุนวิจัยควรใชบ คุ ลากรทม่ี ีคณุ สมบัติเหมาะสม (เชน นักชีวสถิติ นักเภสัชวทิ ยาคลนิ ิกและ แพทย) ตามความเหมาะสม ในทุกข้ันตอนของกระบวนการวจิ ัย ตงั้ แตวางรปู แบบโครงรางการวิจยั และแบบบนั ทึก 28

29 ขอมูลผูปวย วางแผนการวิเคราะหข อ มลู ตลอดจนวเิ คราะหแ ละเตรียมรายงานผลระหวา งการวจิ ยั และรายงานเม่อื เสร็จสนิ้ การวจิ ยั 5.4.2 คําแนะนําอ่ืนๆ ที่เก่ียวของดูไดจ าก: “โครงรางการวิจัยทางคลินิกและการปรับปรุงแกไข โครงรา งการวิจัย” [Clinical Trial Protocol and Protocol Amendment(s)] (ดูรายละเอยี ดขอ 6), “แนวทาง ICH เรื่อง โครงสรางและเนอื้ หาของรายงานการวิจยั ทางคลินกิ ”, รวมทั้งคําแนะนาํ อ่นื ๆ ท่ีเหมาะสมของ ICH เกย่ี วกับ การวางรูปแบบการวิจัย, โครงรางการวิจยั , และการดาํ เนินการวิจยั 5.5 การบริหารจัดการงานวจิ ยั การจดั การขอ มูล และการเก็บบนั ทึกขอ มูล 5.5.1ผูใหทุนวิจัยควรใชบ ุคลากรทมี่ คี ณุ สมบัตเิ หมาะสมเพอ่ื กาํ กับดแู ลการดาํ เนนิ งานวจิ ัยทั้งหมด, จัดการขอมูล, ตรวจสอบขอ มลู , ดําเนินการวเิ คราะหท างสถติ ิและจัดเตรยี มรายงานผลการวิจัย 5.5.2 ผูใหทุนวิจัยอาจพิจารณาแตงตั้งคณะกรรมการกํากับดแู ลขอ มูลอิสระ เพือ่ ทาํ หนา ท่ีประเมนิ ความกาวหนาของการวิจัยทางคลินิก รวมท้ังประเมินขอ มูลความปลอดภยั และตวั วัดประสิทธิผลทส่ี ําคัญ (critical efficacy endpolints) เปนระยะๆ และใหคําเสนอแนะตอ ผใู หท นุ วิจยั วา ควรดําเนนิ การวจิ ัยตอไป เปลี่ยนแปลงหรือ ยุตกิ ารวจิ ัย, คณะกรรมการดังกลา วนี้ควรมวี ิธปี ฏิบตั ิงานท่ีเขียนเปน ลายลักษณอ ักษร และควรเกบ็ รกั ษาบันทกึ ราย งานการประชมุ ทกุ ครัง้ 5.5.3 เม่ือใชระบบการจัดการขอมูลแบบอิเล็กทรอนิกส และ/หรือ ระบบขอมูลแบบ อิเล็กทรอนกิ สระยะไกล (remote electronic trial data systems) ผูใหทนุ วิจยั ควรจะ ก. สรางความม่ันใจและบันทึกเปน หลกั ฐานวา ระบบประมวลผลขอ มูลแบบอิเลก็ ทรอนกิ สเปนไป ตามขอกําหนดของผูใหทนุ วจิ ยั วาดว ยความสมบรู ณ ความถูกตอ ง ความนา เชอ่ื ถือ และสามารถ ดําเนนิ การไดอ ยางคงทีส่ มา่ํ เสมอ [น่ันคือ การตรวจสอบความถูกตอ ง (validation) ข. มีวิธีดําเนนิ การมาตรฐานในการใชระบบเหลานี้ ค. สรางความม่ันใจวาระบบดังกลาวถูกออกแบบมาใหสามารถบันทึกการเปลี่ยนแปลงขอมูลได โดยไมลบขอ มลู เดิมทบ่ี ันทึกไวท ง้ิ ไป [นั่นคือ ยังคงเกบ็ รกั ษาหลักฐานการตรวจสอบ, หลกั ฐาน ขอ มูลเดิม (data trail), และหลกั ฐานการแกไ ข (edit trail) ไว] ง. มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ปอ งกนั มิใหเ ขาถึงขอมูลโดยไมไ ดรับอนญุ าต ซ. มีรายชื่อของผูที่ไดรบั อนญุ าตใหส ามารถเปลี่ยนแปลงขอมูลในระบบบนั ทกึ ขอ มลู (ดรู าย ละเอียดขอ 4.1.5 และ 4.9.3 ฉ. มีระบบเกบ็ ขอ มูลสาํ รองเพอื่ ปอ งกนั การสญู หายของขอมลู ช. ปองกันการเปดเผยการปกปดการรกั ษาท่ีอาสาสมคั รไดรบั (ถาม)ี เชน ยังคงการปกปด การ รักษาที่อาสาสมัครไดรับในระหวา งการปอ นขอ มูลเขา สรู ะบบ และระหวางการประมวลผลขอมลู ในระบบ) 5.5.1 ถาขอมลู ไดรบั การเปล่ยี นแปลง (transformed) ระหวางการประมวลผลขอ มูลในระบบ ควร สามารถเปรยี บเทยี บขอ มูลและขอสังเกตเดมิ กับขอมูลที่ประมวลผลแลว ไดเสมอ 5.5.2 ผูใหทุนวิจยั ควรใชร หัสอาสาสมัครทไี่ มก ํากวม (ดรู ายละเอียดขอ 1.58) เพ่ือสามารถบง บอกขอมูลทุกรายการของอาสาสมัครแตล ะรายได 5.5.3 ผูใหทุนวิจัยหรือเจาของขอมูลรายอ่ืน ควรเกบ็ รักษาเอกสารสาํ คัญเกย่ี วกบั การวิจยั ตามทผ่ี ู ใหทุนวจิ ยั ระบใุ หครบถว น (ดรู ายละเอยี ดขอ 8 “เอกสารสาํ คัญสาํ หรบั การดาํ เนินการวจิ ัยทางคลนิ กิ ”) 5.5.4 ผูใหทุนวิจัยควรเก็บรักษาเอกสารสําคัญที่เฉพาะเจาะจงกับผูใหทุนวิจัยท้ังหมด ตามขอ กําหนดของระเบียบกฎหมายท่เี ก่ียวขอ งของประเทศทอ่ี นุมตั ิผลติ ภัณฑน ัน้ และ/หรือ ของประเทศทผ่ี ูใ หทนุ วิจัยต้งั ใจจะขออนมุ ัติขึน้ ทะเบยี นผลติ ภัณฑ 29

30 5.5.5 ในกรณีผูใหทุนวิจยั ยตุ กิ ารพัฒนาทางคลินกิ ของผลติ ภณั ฑท ่ีใชในการวจิ ยั (นั่นคอื ยตุ ิการ ศึกษาขอบงใชบางขอหรือทุกขอ, ทางท่ีใหยา, หรือรูปแบบของยา) ผูใหทุนวิจัยควรเก็บรักษาเอกสารสําคัญท่ี เฉพาะเจาะจงกบั ผูใหท ุนวจิ ยั ทั้งหมดเปน เวลาอยางนอ ย 2 ป นับจากการยตุ ิการพัฒนาอยางเปน ทางการ หรือตาม ขอกําหนดของระเบียบกฎหมายท่เี ก่ยี วขอ ง 5.5.6 ถาผูใหทุนวจิ ยั ยุตกิ ารพัฒนาทางคลนิ กิ ของผลิตภณั ฑท ีใ่ ชใ นการวิจยั ผใู หทุนวิจยั ควรแจงให ผูวิจัย/สถาบันท่ีวิจัย รวมทั้งหนว ยงานควบคุมระเบียบกฎหมายทั้งหมดทราบ 5.5.7 ควรรายงานการโอนหรือเปลย่ี นกรรมสทิ ธิ์ใดๆ ของขอ มลู จากการวิจยั ไปยงั องคกรท่เี หมาะ สม ตามที่กําหนดโดยขอกําหนดของระเบยี บกฎหมายทเ่ี ก่ยี วขอ ง 5.5.8 เอกสารสําคัญที่เฉพาะเจาะจงกับผูใหท ุนวจิ ยั ควรเก็บรักษาไวจนกระท่ังประเทศสุดทายใน กลมุ ICH อนุมัติการวางตลาดผลติ ภณั ฑดังกลา วไมต าํ่ กวา 2 ป และจนกระทั่งไมม กี ารยนื่ ขอหรือรออนุมัติการวาง ตลาดผลติ ภณั ฑของประเทศในกลมุ ICH หรืออยา งนอยเปนเวลา 2 ป นับจากยุตกิ ารพฒั นาทางคลนิ กิ ของผลิต ภัณฑท่ีใชในการวิจัยอยางเปนทางการ ควรเกบ็ รักษาเอกสารเหลานเ้ี ปนระยะเวลานานกวา น้ี หากเปนขอ กําหนด ของระเบียบกฎหมายทีเ่ กี่ยวของ หรอื เปน ความตอ งการของผูใหท ุนวจิ ยั 5.5.9 ผูใหทุนวิจัยควรแจงใหผูวิจัย/สถาบันท่ีวิจัยทราบเปนลายลักษณอักษร ถึงความจําเปนใน การเก็บรักษาเอกสารทีเ่ กย่ี วของกบั การวจิ ัยไว และควรแจง ใหผ ูวจิ ัย/สถาบันที่วิจยั ทราบเปน ลายลักษณอ ักษรดว ย ในกรณีท่ีไมจ าํ เปน ตอ งเก็บรักษาเอกสารเหลา น้นั อีกตอ ไป 5.6 การคัดเลอื กผูวิจัย 5.6.1 ผูใหทุนวิจัยมีหนาท่ีรับผิดชอบคัดเลือกผูวิจัย/สถาบันท่ีวิจัย ผูวิจัยแตละทานควรมีคุณ สมบัติเหมาะสมโดยผานการฝกอบรมและมปี ระสบการณ รวมทงั้ มีทรัพยากรสนบั สนุนพอเพยี ง (ดูรายละเอียดขอ 4.1 และ 4.2) ที่จะดําเนินการวิจัยอยางถูกตอง ผูใหท นุ วิจยั ยงั มหี นา ทรี่ บั ผดิ ชอบแตงตงั้ คณะกรรมการประสาน งาน และ/หรือ คัดเลือกผูว จิ ยั ท่ที ําหนาทีป่ ระสานงาน ในกรณเี ปน การวิจยั ท่กี ระทาํ พรอ มกันหลายแหง 5.6.2 กอนทําความตกลงกับผูวิจัย/สถาบันที่วิจัยเพื่อดําเนินการวิจัย ผูใหทุนวิจัยควรมอบโครง รางการวิจัยและเอกสารคูมือผูวิจัยที่ทันสมัย และใหเวลาผูวิจัย/สถาบันที่วิจัยอยางเพียงพอเอพิจารณาทบทวน โครงรา งการวจิ ยั และขอ มลู ท่ีมอบให 5.6.3 ผูใหทุนวจิ ยั ควรไดรับขอตกลงจากผวู จิ ยั /สถาบนั ที่วจิ ัยในเรือ่ งตา งๆ ตอ ไปนี้ ก. จะดําเนนิ การวิจยั โดยปฏบิ ัตติ าม GCP และขอกําหนดของระเบยี บกฎหมายทเี่ กย่ี วขอ ง (ดูราย ละเอยี ดในขอ 4.1.3) รวมท้ังตามโรงรางการวจิ ยั ซึ่งตกลงกับผูใ หทุนวจิ ัยไว และไดรับคาํ อนุมตั ิ และ/หรือความเห็นชอบจาก IRB/IEC แลว (ดูรายละเอยี ดขอ 4.5.1) ข. จะปฏิบัตติ ามวธิ ีดําเนนิ การในการบนั ทกึ และ/หรือรายงานขอ มลู ค. จะอนุญาตใหมีการกํากับดูแล การตรวจสอบ และการตรวจตราการวิจัย (ดรู ายละเอียดขอ 4.1.4) และ ง. จะเก็บรักษาเอกสารสาํ คญั เก่ยี วกบั การวจิ ัย จนกระทัง่ ผูใ หทุนวจิ ัยแจง ใหท ราบวา ไมจ าํ เปน ตอ ง เก็บรักษาเอกสารเหลา น้ีอกี ตอ ไป (ดูรายละเอียดขอ 4.9.4 และขอ 5.5.12) ผูใหทุนวิจัยและผูวิจัย/สถาบันที่วิจัยควรลงนามรวมกันในโครงรางการวิจัยหรือเอกสารอ่ืนเพื่อ ยืนยันตามขอ ตกลงน้ี 5.7 การมอบหมายหนาทีร่ บั ผิดชอบ กอนเร่ิมดําเนนิ การวจิ ยั ผใู หทุนวจิ ัยควรกําหนด แตงตงั้ และมอบหมายหนาที่และความรับผิดชอบ ท้ังหมดเกีย่ วกบั การวจิ ยั ใหช ัดเจน 30

31 5.8 การจายคา ชดเชยแกอาสาสมัครและผวู จิ ัย 5.8.1 ในกรณีเปนขอ กาํ หนดของระเบียบกฎหมายที่เกีย่ วขอ ง ผใู หทนุ วจิ ยั ควรทําประกันหรือยอม รับท่ีจะชดเชยคาเสียหาย (ซ่ึงครอบคลุมทั้งดานกฎหมายและดานการเงนิ ) ในกรณผี ูวิจยั /สถาบันที่วิจัยถกู ฟอ ง รองเรียกคาเสียหายท่ีเกิดจากการวิจัย ยกเวนการเรียกรองความเสียหายอันเกิดจากการประพฤติผิดจริยธรรมใน การประกอบวิชาชีพเวชกรรม (malpractice) และ/หรือ เกดิ จากความประมาทเลินเลอ (negligence) 5.8.2 นโยบายและวิธีดําเนินงานของผูใหทุนวิจัย ควรระบุคาใชจายการรกั ษาพยาบาลท่ีจะใหอ าสา สมัครที่ไดรับบาดเจ็บจากการวจิ ยั ตามขอ กาํ หนดของระเบียบกฎหมายท่ีเกยี่ วของ 5.8.3 เม่ือมีการจายคา ชดเชยแกอ าสาสมคั รในการวจิ ยั วิธแี ละลกั ษณะการจา ยคา ชดเชยควรเปนไป ตามขอกําหนดของระเบยี บกฎหมายทีเ่ กย่ี วขอ ง 5.9 การสนบั สนนุ ดา นการเงิน ควรบันทึกการสนับสนนุ ทางการเงนิ ในการวจิ ัยเปน หลกั ฐานในขอตกลงระหวา งผูใหทนุ วจิ ยั กบั ผูวจิ ัย/ สถาบนั ท่ีวจิ ัย 5.10 การแจง และ/หรือการย่ืนเสนอเรอื่ งตอหนว ยงานควบคุมระเบยี บกฎหมาย กอนเร่ิมดาํ เนินการวจิ ัยทางคลนิ ิก ผใู หท นุ วจิ ัย (หรือผใู หท ุนวิจยั และผูวจิ ยั รวมกนั หากเปน ขอ กําหนดของระเบียบกฎหมายที่เก่ียวของ) ควรย่ืนเอกสารตามที่กําหนดตอหนวยงานควบคุมระเบียบกฎหมายท่ี เหมาะสม เพอ่ื พจิ ารณาทบทวน ใหความเห็นชอบ และ/หรืออนุญาตใหเร่ิมดําเนนิ การวิจยั ได (ตามขอกาํ หนดของ ระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวของ) เอกสารที่ใชในการแจงและ/หรือการยื่นเรื่องเสนอตอหนวยงานควบคุมระเบียบ กฎหมาย ควรลงวันที่และมขี อ มลู เพียงพอท่ีชวยระบุโครงรางการวจิ ยั นั้นได 5.11 การยืนยนั การพจิ ารณาทบทวนการวจิ ยั โดย IRB/IEC 5.11.1 ผูใหท นุ วิจยั ควรไดรับรายละเอียดตอไปน้จี ากผวู จิ ยั /สถาบันท่วี จิ ัย ก. ชื่อและท่อี ยขู อง IRB/IEC ของผวู ิจยั /สถาบันทีว่ จิ ยั ข. คํารับรองจาก IRB/IEC วา IRB/IEC ไดจัดตั้งและปฏิบตั ิหนาทตี่ าม GCP และตามกฎหมาย และระเบียบกฎหมายท่เี กยี่ วขอ ง ค. คําอนมุ ตั ิและ/หรือความเหน็ ชอบใหด ําเนินการวิจัยเปน ลายลักษณอ ักษรจาก IRB/IEC และใน กรณีผูใหท ุนวิจยั ตอ งการ ผวู ิจัย/สถาบันท่ีวิจัยควรจดั เตรียมเอกสารตา งๆ ไดแ ก สําเนาโครงรางการวจิ ัยฉบบั ลา สุด เอกสารใบยินยอมและเอกสารอื่นท่ีจะใหอาสาสมคั ร วธิ ดี ําเนินการคดั เลอื กอาสาสมัคร และเอกสารเก่ียวกบั การจายเงินและคา ชดเชยใหอ าสาสมัคร รวมทัง้ เอกสารอน่ื ๆ ที่ IRB/IEC อาจเรียกขอจากผูว ิจยั /สถาบันท่วี จิ ยั 5.11.2 ในกรณี IRB/IEC กําหนดเง่ือนไขการอนุมัตแิ ละ/หรือความเหน็ ชอบตอการแกไ ขเปลย่ี น แปลงในดา นตา งๆ ของการวิจยั เชน การปรับปรงุ แกไข (modification) โครงรา งการวจิ ยั , การปรับปรุงแกไข เอกสารใบยินยอมและเอการอืน่ ทจี่ ะใหอาสาสมัคร, และ/หรือการปรบั ปรุงแกไ ขวิธดี ําเนนิ การตางๆ ผูใหทนุ วิจยั ควรไดรับสําเนาเอการที่มีการแกไขเปล่ียนแปลงแลวจากผูวิจัย/สถานที่วิจัย รวมท้ังทราบวันที่ที่ไดรับคําอนุมัติ และ/หรือความเห็นชอบจาก IRB/IEC ตอเอกสารทแ่ี กไขเปลย่ี นแปลงน้นั 31

32 5.11.3 ผูใหทุนวิจัย ควรไดรับเอกสารคําอนุมัติและ/หรือความเห็นชอบใหดําเนินการวิจัยฉบับ ใหมจ าก IRB/IEC พรอมระบุวันท่ที ่อี นมุ ตั ิ รวมทงั้ เอกสารใหย ตุ ิหรือระงบั เปน การชั่วคราวของคาํ อนมุ ัติและ/หรือ ความเห็นชอบใหดาํ เนนิ การวจิ ัย 5.12 ขอมูลเกยี่ วกับผลติ ภณั ฑท ใี่ ชใ นการวจิ ยั 5.12.1 เม่ือวางแผนการวจิ ยั ผใู หท ุนวิจยั ควรใหความมั่นใจวา ขอ มลู ความปลอดภยั และประสิทธิ ผลท่ีไดจากการศกึ ษาทีไ่ มไดท ําในมนุษย และ/หรือท่ีทําในมนษุ ย มีเพยี งพอท่สี นบั สนุนการใชผ ลิตภณั ฑใ นอาสา สมัครในการศึกษาวิจัย ทง้ั ชอ งทางการให (route) ขนาดท่ีใช ระยะเวลาของการใช ตลอดจนกลมุ ประชากร 5.12.2 ผูใหทุนผูวิจัยควรปรับปรุงเอกสารคูมือผูวิจัยใหทันสมัยอยูเสมอในทันทีท่ีมีขอมูลใหมที่ สําคญั เพ่ิมข้นึ (ดรู ายละเอยี ดขอ 7 เร่ือง “เอกสารคูมอื ผูวิจัย”) 5.13 กระบวนการผลติ การบรรจุ การทาํ ฉลาก และการกาํ หนดรหสั ของผลิตภัณฑท ี่ใชใ นการ วจิ ัย 5.13.1 ผูใหทุนวิจัยควรสรางความม่ันใจวา มกี ารตรวจสอบคณุ ลกั ษณะ (characterized) ของ ผลิตภัณฑท่ีใชในการวจิ ยั (รวมท้งั ยาเปรยี บเทียบที่มฤี ทธแิ์ ละยาหลอก แลวแตก รณี) อยางเหมาะสมตามลาํ ดบั ข้ันของการพัฒนาผลิตภัณฑร ะยะนั้นๆ และไดรับการผลิตตามหลกั เกณฑก ารผลติ ที่ดี รวมท้งั มรี หสั และฉลากที่ไม ทําใหผ วู ิจยั และ/หรืออาสาสมัครรูชนิดการรกั ษาทอ่ี าสาสมคั รไดรบั (ในกรณเี ปนการวิจัยแบบปกปดการรกั ษา). นอกจากน้ี การทําฉลากผลติ ภัณฑท ี่ใชในการวจิ ัย ควรเปนไปตามขอ กําหนดระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวขอ ง 5.13.2 ผูใหทุนวิจัย ควรกาํ หนดรายละเอยี ดตา งๆ ของผลิตภัณฑที่ใชในการวจิ ัย ไดแก อณุ หภมู ิ ในการเก็บรักษา สภาวะการเกบ็ รกั ษา (เชน ปกปอ งใหพนแสง) ระยะเวลาในการเกบ็ ชนิดสารละลายท่ใี ชแ ละวิธี ดําเนินการผสมผงยา และอุปกรณที่ใชสาํ หรบั ใหผ ลิตภัณฑโ ดยวธิ ีหยดเขาหลอดเลือดดํา (ถา ม)ี . ผูใหทนุ วจิ ัยควร แจงรายละเอียดเหลานแี้ กผ เู กี่ยวขอ งทกุ คน (ไดแ ก ผูก าํ กับดูแลการวจิ ยั ผวู จิ ยั เภสชั กร และผูด แู ลคลังยา) 5.13.3 การบรรจุผลิตภัณฑท ่ีใชใ นการวิจยั ควรสามารถปองกันการปนเปอ นและการเส่ือมสภาพ ระหวา งการขนสง และการเกบ็ รักษา 5.13.4 ในการวิจัยชนิดปกปดการรักษา ควรมกี ลวิธที ีส่ ามารถระบุชนดิ ของผลติ ภัณฑอยา งรวดเรว็ ในกรณีมีภาวะฉุกเฉินทางการแพทยเกิดขึ้น แตไมอนุญาตใหเปดฉลากการปกปดการรักษาโดยไมสามารถตรวจ สอบได 5.13.5 ถามีการเปล่ียนแปลงที่สําคัญกับสูตรของผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัยหรือผลิตภัณฑเปรียบ เทียบระหวางการพฒั นาทางคลินิก ควรมผี ลการศึกษาเพิ่มเติมของผลติ ภัณฑท ี่ไดรับการเปล่ียนแปลงสตู ร (เชน ความคงตัวของผลิตภณั ฑ อัตราการละลาย และผลทางดานชีวอนเุ คราะห) ซึ่งจําเปน ตอ การประเมินวา การเปลย่ี น แปลงสูตรดังกลาว จะทําใหคุณสมบัติทางเภสัชจลนศาสตรของผลิตภัณฑที่ใชในการวิจัยเปล่ียนแปลงอยางมาก หรือไม และควรมขี อ มูลดังกลาวกอนจะนําผลติ ภณั ฑส ูตรใหมไปใชในการวจิ ยั 5.14 การจดั หาและดแู ลผลติ ภัณฑท่ีใชใ นการวิจยั 5.14.1 ผูใหทนุ วจิ ยั มหี นา ท่จี ัดหาผลิตภัณฑท่ใี ชใ นการวจิ ยั แกผ ูวจิ ยั /สถาบนั ท่วี จิ ัย 5.14.2 ผูใหทุนวิจัยไมควรสงมอบผลิตภัณฑทีใ่ ชใ นการวิจัยใหผูว จิ ัย/สถาบนั ทีว่ จิ ัย จนกวา จะได เอกสารที่จําเปน ครบถว น (เชน คาํ อนมุ ัตแิ ละ/หรือความเห็นชอบใหดาํ เนินการวจิ ัยจาก IRB/IEC และหนวยงาน ควบคุมระเบยี บกฎหมาย) 32

33 5.14.3 ผูใหทุนวิจัยควรสรา งความมัน่ ใจวา วธิ ดี ําเนินการทเ่ี ปน ลายลักษณอกั ษรมคี าํ แนะนาํ ใหผ ู วิจัย/สถาบันท่ีวิจัยควรปฏิบัติในการดูแลจัดการและเก็บรักษาผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัย รวมทั้งการบันทึกการ ปฏิบัติงานดังกลาว. วิธีดําเนินการเหลานี้ควรกลาวถึงการรับผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัยจํานวนเพียงพอโดยไมมี ความเสียหายเกิดข้ึน ตลอดจนการดูแลจัดการ การเก็บรกั ษา การจาย การเก็บคนื ผลิตภัณฑท ่ใี ชในการวิจยั ทอ่ี าสา สมัครยังไมไดใชและการสงมอบผลิตภัณฑท่ียังไมไ ดใชด งั กลาวคืนแกผ ใู หทุนวิจัย (หรือการกําจดั ผลติ ภณั ฑที่ใชใน การวิจัยดวยวิธอี ื่นหากผูใหทุนวิจัยเห็นชอบและสอดคลอ งกับขอ กาํ หนดของระเบียบกฎหมายทเ่ี กย่ี วของ) 5.14.4 ผูใหทนุ วิจยั ควรจะ ก. สรางความมัน่ ใจในการนําสงผลติ ภัณฑท่ีใชใ นการวจิ ยั ใหผวู ิจยั ในระยะเวลาทีเ่ หาะสม ข. เก็บรักษาเอกสารที่บันทึกการขนสง การรบั ของ การกาํ จัด การสงคนื และการทาํ ลายผลติ ภัณฑท ่ี ใชในการวจิ ัย (ดูรายละเอยี ดขอ 8 “เอกสารสําคัญสําหรับการดาํ เนนิ การวจิ ัยทางคลินิก”) ค. จัดใหมีระบบเก็บคนื ผลติ ภณั ฑที่ใชใ นการวิจัย และมเี อกสารกาํ กบั การเก็บคืนเหลา นี้ (เชน การ เรียกกลับผลิตภัณฑท่ีมีขอบกพรอง การคืนผลิตภัณฑหลังเสร็จส้ินการวิจัย และการคืนผลิต ภัณฑหมดอายุ) ง. จัดใหมีระบบกําจัดผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัยซึ่งยังไมไดใช และมีเอกสารกํากับการกําจัดผลิต ภัณฑเ หลา นี้ 5.14.5 ผูใหท นุ วิจัยควรจะ ก. ดําเนินการเพื่อสรางความมั่นใจวาผลิตภัณฑที่ใชในการวิจัยมีคุณภาพคงเดิมตลอดระยะเวลา การใช ข. เก็บรักษาผลิตภัณฑที่ใชในการวิจัยจํานวนเพียงพอเพื่อทําการยืนยันคุณลักษณะเฉพาะ (specifications) ของผลิตภัณฑ (หากจําเปน) และเก็บรักษาบันทกึ การวเิ คราะหต ัวอยา งรุน และลักษณะผลิตภัณฑ. หากผลติ ภัณฑค งสภาพนานเพยี งพอ ควรเก็บตัวอยา งไวจ นกระท่งั การ วิเคราะหขอมูลจากการวิจัยเสร็จสมบูรณหรือตามขอกําหนดของระเบียบกฎหมายท่ีเก่ียวของ แลว แตว า ระยะเวลาใดยาวนานกวา กัน 5.15 การเขาถึงบนั ทึกขอมูล 5.15.1 ผูใหทุนวิจัยควรสรางความมั่นใจวา โครงรา งการวิจยั หรือขอตกลงทเี่ ปน ลายลักษณอกั ษร อ่ืนไดระบุวา ผูวิจัย/สถาบันที่วิจัยอนุญาตใหเขาถึงเอกสาร/ขอมูลตนฉบับโดยตรง เพื่อการกํากับดูแลและการ ตรวจสอบการวจิ ยั การพจิ ารณาทบทวนโดย IRB/IEC และการตรวจตราโดยหนวยงานควบคุมระเบียบกฎหมาย 5.15.2 ผูใหทุนวิจัยควรตรวจสอบวา อาสาสมัครแตละคนใหความยินยอมเปนลายลกั ษณอ กั ษร อนุญาตใหเขาถึงขอมูลโดยตรงของเวชระเบียนตนฉบับของอาสาสมัคร เพ่ือการกํากบั ดูแลและการตรวจสอบการ วิจัย การพิจารณาทบทวนโดย IRB/IEC และการตรวจตราโดยหนวยงานควบคมุ ระเบยี บกฎหมาย 5.16 ขอมลู ความปลอดภยั 5.16.1 ผูใหทุนวิจัมีหนา ทรี่ บั ผิดชอบประเมนิ ความปลอดภยั ของผลิตภณั ฑท่ใี ชใ นการวจิ ยั อยาง ตอเน่อื ง 5.16.2 ผูใหทุนวิจัยควรแจงใหผูวิจัย/สถาบันท่ีวิจัยท้ังหมดและหนวยงานควบคุมระเบียบ กฎหมายทราบทันทีเกี่ยวกับขอมูลที่คนพบซึ่งอาจมีผลกระทบอยางไมพึงประสงคตอความปลอดภัยของอาสา สมัคร หรือมผี ลกระทบตอ การดําเนินการวจิ ัย หรอื เปล่ยี นแปลงคาํ อนมุ ัติและ/หรือความเหน็ ชอบของ IRB/IEC ใหคงดาํ เนนิ การวจิ ยั ตอไป 33

34 5.17 ผูใหทุนวิจัยควรเรงรายงานอาการไมพึงประสงคจากยาท้ังปวงท้ังชนิดรายแรงและท่ีไม คาดคิดมากอ น ตอผวู ิจยั /สถาบันท่วี จิ ัยท่เี กย่ี วขอ งทงั้ หมด ตอ IRB(s)/IEC(s) และตอหนวยงานควบคมุ ระเบยี บ กฎหมาย หากมขี อกาํ หนด 5.17.2 รายงานเรงดว นดังกลาว ควรเปนไปตามขอกําหนดของระเบียบกฎหมายท่เี กี่ยวของและ เปน ไปตาม “แนวทาง ICH เรื่อง การบรหิ ารจัดการขอมูลความปลอดภัยทางคลนิ ิก: คําจํากัดความและมาตรฐาน การรายงานอยางเรง ดวน” 5.17.3 ผูใหทนุ วิจัยควรย่ืนเสนอรายงานความปลอดภยั ฉบับลาสุด (safety updates) ทั้งหมดและ รายงานเปน ระยะ ตอ หนว ยงานควบคุมระเบยี บกฎหมาย ตามท่กี ําหนด 5.18 การกาํ กบั ดูแลการวิจัย 5.18.1 จุดมุง หมาย (purpose) จุดมุงหมายของการกํากับดูแลการวิจัย คือ เพ่ือยนื ยันวา ก. สิทธิและความเปน อยูท ่ดี ีของอาสาสมัครไดร ับการคุมครอง ข. ขอมูลที่ไดจากการวิจัยถูกตอ ง สมบรู ณ และสามารถตรวจสอบจากเอกสารตนฉบบั ได ค. การดําเนินการวิจัยเปนไปตามโครงรางการวิจัย/สวนแกไขเพ่ิมเติมฉบับลาสุดท่ีไดรับอนุมัติ รวมท้ังเปน ไปตาม GCP และขอกําหนดของระเบียบกฎหมายที่เกยี่ วขอ ง 5.18.2 การคัดเลือกและคณุ สมบัตขิ องผกู าํ กบั ดูแลการวิจยั ก. ผูกํากับดูแลการวจิ ัยควรไดรับแตงตัง้ จากผใุ หท ุนวิจยั ข. ผูกํากับดูแลการวิจัยควรไดรับการฝกอบรมอยางเหมาะสม และควรมีความรูทางวิทยาศาสตร และ/หรือความรูทางดานคลินิกอยางเพียงพอในการกํากับดูแลการวิจัย ควรบันทึกคุณสมบัติ ของผูกาํ กับดูแลการวจิ ัยเปน หลักฐาน ค. ผูกํากับดูแลการวิจัยควรมีความรูความเขาใจอยางถองแทเก่ียวกับผลิตภัณฑที่ใชในการวิจัย, โครงรางการวจิ ยั , เอกสารใบยนิ ยอมและเอกสารอืน่ ทจี่ ะใหอ าสาสมคั ร, วิธีดําเนนิ การมาตรฐานของผใู หท นุ วิจัย, GCP, และขอกําหนดของระเบยี บกฎหมายท่เี ก่ยี วขอ ง 5.18.3 ขอบเขตและลักษณะการกาํ กับดูแลการวจิ ยั ผูใหทุนวิจัยควรสรางความม่ัใจวาการวิจัยไดรับการกํากับดูแลอยางเพียงพอ ผูใหทุนวิจัยควร กําหนดขอบเขตและลักษณะการกํากับดูแลการวจิ ยั ทีเ่ หมาะสม โดยพิจารณาจากวตั ถปุ ระสงค จุดมุงหมาย การ วางรูปแบบการวิจัย และภายหลังเสร็จสิ้นการวิจัย, อยางไรก็ตามในกรณีพิเศษผูใหทุนวิจัยอาจกาํ หนดวา การ กํากับดูแลการวิจัยจากสว นกลางรว มกับวธิ ดี าํ เนินการตา งๆ เชน การฝก อบรมและการประชุมผูวจิ ยั รวมทั้งคํา แนะนําการดาํ เนนิ การวจิ ยั อยา งละเอยี ด (extensive written guidance) สามารถรบั ประกนั การดําเนินการวิจยั อยางเหมาะสมตาม GCP ได. วิธีที่ยอมรับในการคัดเลือกขอมูลเพ่อื ตรวจสอบกับเอกสารตน ฉบับ อาจใชก ารสมุ เลือกตัวอยา งตามหลักสถติ ิได 5.18.4 หนาท่ีรับผิดชอบของผกู าํ กบั ดูแลการวจิ ยั ผูกํากับดูแลการวิจัยซึ่งปฏิบัติตามขอกําหนดของผูใหทุนวิจัยควรสรางความม่ันใจวา การวิจัยได ดําเนินการและมีการบันทึกอยางถูกตอง โดยปฏิบัติกิจกรรมตางๆ ท่ีเก่ียวของและจําเปนตอการวิจัยและตอ สถานที่วิจยั ตอไปนี้ ก. ทําหนา ทีเ่ ปน ศูนยก ลางการติดตอ ส่อื สารระหวางผใู หท นุ วิจัยและผวู ิจัย ข. ตรวจสอบวาผูว จิ ยั มีคุณสมบตั ิเหมาะสมและมที รพั ยากรเพียงพอ (ดรู ายละเอยี ดขอ 4.1, ขอ 4.2, และขอ 5.6) และคงมีอยูต ลอดระยะเวลาการวิจัย และตรวจสอบวาสงิ่ สนบั สนุนการวิจยั 34

35 ตางๆ ไดแก หองปฏิบัติการ อปุ กรณ และบคุ ลากร มเี พยี งพอท่ีอํานวยใหก ารดาํ เนินการวจิ ัย เปนไปอยางถูกตองปลอดภัยและคงมีอยูต ลอดระยะเวลาการวจิ ัย ค. ตรวจสอบผลิตภณั ฑทใี่ ชใ นการวิจยั วา (1) ระยะเวลาท่ีเก็บและสภาพท่ีเก็บเปนท่ียอมรับได และมีปริมาณผลิตภัณฑเ พียงพอตลอด การวจิ ัย (2) ผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัยถูกสงมอบใหอาสาสมัครท่ีมีคุณสมบัติเหมาะสมที่เขารวมการ วิจัยเทาน้นั และใหตามขนาดที่ระบุในโครงรา งการวจิ ัย (3) อาสาสมัครไดรับคําแนะนําทจ่ี าํ เปนในการใช การดแู ล การเก็บรักษา และการสงคนื ผลติ ภัณฑทใ่ี ชในการวิจัยอยา งถูกตอง (4) การรับมอบ การใช และการสงคนื ผลิตภัณฑทใ่ี ชใ นการวจิ ัย ณ สถานที่วจิ ัย มกี ารควบคมุ และบนั ทึกในเอกสารโดยละเอียด (5) การกําจัดผลิตภณั ฑท ใ่ี ชใ นการวจิ ยั ซึง่ ยงั ไมไ ดใช ณ สถานทว่ี จิ ัย เปน ไปตามขอกําหนด ของระเบียบกฎหมายทเ่ี กีย่ วขอ ง และขอ กาํ หนดของผใู หท นุ วิจยั ง. ตรวจสอบวาผวู ิจัยปฏบิ ัติตามโครงรา งการวิจัยและสวนแกไขเพมิ่ เติมโครงรางการวจิ ัยท้งั หมด (หากมี) ท่ีไดร บั อนมุ ตั แิ ลว จ. ตรวจสอบวาอาสาสมคั รแตล ะคนใหค วามยินยอมเปนลายลกั ษณอกั ษร กอ นเขารว มการวิจยั ฌ. สรางความม่ันใจวา ผูวิจัยไดรับเอกสารคูม ือผูวจิ ยั ฉบบั ลาสุด เอกสารทัง้ หมด และสิ่งจําเปน อ่ืนๆ ทั้งหมดในการวิจัยเพื่อสามารถดําเนินการวิจัยอยางถูกตอง และเปนไปตามขอกําหนดของ ระเบยี บกฎหมายทเี่ ก่ียวขอ ง ญ. สรางความม่ันใจวาผูวิจัยและบุคลากรในทีมงานของผูวิจัยรับทราบรายละเอียดเก่ียวกับการวิจัย อยา งเพยี งพอ ซ. ตรวจสอบวาผูวิจยั และบุคลากรในทมี งานของผูวิจัยปฏบิ ัตหิ นาทท่ี ี่ไดร ับมอบหมายอยางสอด คลองกับโครงรางการวิจยั และขอตกลงอ่นื ๆ ทเี่ ปนลายลกั ษณอ ักษรระหวางผูใหท ุนวจิ ยั กบั ผู วิจยั /สถาบันที่วิจัยและดแู ลวา ไมม กี ารมอบหมายหนาท่เี หลานีใ้ หผ อู ่นื ทไี่ มไดร บั อนุญาต ญ. ตรวจสอบวาผวู จิ ัยคดั เลอื กเฉพาะอาสาสมคั รท่มี ีคณุ สมบตั ิเหมาะสมเทานนั้ เขาสกู ารวจิ ยั ฎ. ตรวจสอบวาเอกสารตน ฉบับและบนั ทึกขอ มลู จากการวิจัยอ่นื ๆ ถูกตอง, สมบูรณ, ทันสมัย, และถกู เก็บรักษาไว ฏ. ตรวจสอบวา ผูวิจัยสงเอกสารตา งๆ ท่จี าํ เปนท้ังหมด ไดแ ก รายงาน ใบแจงเตอื น ใบสมัครและ ใบคาํ รอ ง (applications and submissions) และตรวจสอบวาเอกสารเหลานถ้ี ูกตอ ง สมบรู ณ สง มอบทันเวลา อานงา ย มกี ารลงวันทแ่ี ละระบุโครงการวิจัยนน้ั ฐ. ตรวจสอบความถูกตอ งและความสมบูรณข องบันทกึ ขอมูลในแบบบันทกึ ขอ มูลผูปวยเปรยี บ เทียบกับเอกสารตน ฉบับ และบันทึกขอมลู อ่ืนๆ ท่ีเก่ียวของกบั การวิจัย. ในการนผี้ ูกํากบั ดแู ล การวจิ ัยควรมุง ตรวจสอบวา (1). ขอมูลท่ีตองการตามท่ีระบุในโครงรางการวิจัย ไดรับการรายงานอยางถูกตองในแบบ บันทึกขอมูลผปู วย และสอดคลอ งตองกนั กับขอมูลในเอกสารตน ฉบับ (2). ขนาดยา และ/หรือวิธีการรักษาใดๆ ของอาสาสมัครแตละคนทเ่ี ปลีย่ นไปจากท่กี าํ หนด ไดรับการบันทกึ อยา งชดั เจน (3). เหตกุ ารณไมพ งึ ประสงคทีเ่ กิดขน้ึ , ยาที่ใหรวมกนั , และอาการเจ็บปวยทเี่ กดิ ข้ึนระหวา ง การวิจัย ไดรับการรายงานในแบบบันทกึ ขอมลู ผูป ว ยตามทกี่ าํ หนดในโครงรางการวจิ ยั (4). การไมมาพบแพทยตามนัดของอาสาสมัคร การทดสอบและการตรวจรางกายที่ไมได กระทําในอาสาสมัคร ไดร บั การรายงานอยางชดั เจนในแบบบนั ทึกขอ มูลผปู ว ย 35

36 (5). การถอนตัวและการขาด (drop out) จากการวิจัยของอาสาสมคั รที่เขารว มการวิจัยแลว ทั้งหมด ไดรับการรายงานและอธิบายสาเหตุในแบบบนั ทกึ ขอมลู ผปู วย ฑ. แจงใหผูวิจัยทราบถึงความผิดพลาดในการบันทึกขอมลู ในแบบบันทึกขอมูลผูปว ย รวมท้ังการ กรอกขอมูลขาดหายไปหรืออา นไมออก ผกู าํ กับดูแลการวจิ ยั ควรใหค วามม่นั ใจวา การแกไ ข การ เพ่ิมเติม หรือการลบขอมลู ออกไดก ระทําอยา งเหมาะสม มกี ารลงวันทีแ่ ละอธิบายสาเหตุ (หาก จําเปน) และมีการลงช่ือยอกํากับโดยผูวิจัย หรือบุคลากรในทีมงานของผูวิจัยท่ีไดรับมอบ อํานาจใหทําการแทนผูวจิ ยั . ควรบนั ทกึ การมอบอาํ นาจดงั กลา วเปนหลกั ฐานดว ย ฒ. ดูวามีการรายงานเหตุการณไมพึงประสงคท้ังหมดท่ีเกิดข้ึนอยางเหมาะสมในระยะเวลาอันสม ควรตามทกี่ ําหนดใน GCP, ในโครงรางการวิจัย, โดย IRB/IEC, โดยผูใหท นุ วิจัย, และขอ กําหนดของระเบยี บกฎหมายที่เกี่ยวขอ ง ณ. ดูวาผูวิจัยเก็บรักษาเอกสารสาํ คญั ครบถว นหรอื ไมเ พยี งใด (ดรู ายละเอียดขอ 8 เรือ่ ง “เอกสาร สําคัญสาํ หรบั การทําวิจัยทางคลินกิ ”) ธ. แจงใหผูวิจัยทราบถึงการดําเนินการวิจัยท่ีเบี่ยงเบนจากโครงรางการวิจัย, วิธีดําเนินการมาตร ฐาน, GCP, และขอกําหนดของระเบียบกฎหมายท่เี กี่ยวของ และดําเนนิ มาตรการท่ีเหมาะสม เพ่ือปอ งกันมิใหเ กดิ เหตกุ ารณด งั กลา วอกี 8.18.5 วิธีดําเนนิ การกํากับดแู ลการวจิ ัย ผูกํากับดูแลกรวิจัยควรปฏิบัติตามวิธีดําเนินการมาตรฐานที่ผูใหทุนวิจัยกําหนดเปนลายลักษณอักษร รวมท้ังวิธีดําเนนิ การตางๆ ท่กี าํ หนดขึ้นโดยผูใหท นุ วิจัย เพอ่ื ใชก ํากบั ดแู ลการวจิ ยั เฉพาะนนั้ ๆ 5.18.6 รายงานการกาํ กับดแู ลการวจิ ัย ก. ผูกํากับดูแลการวิจัยควรสงมอบรายงานเปนลายลกั ษณอกั ษรใหผ ูใ หทนุ วิจยั ภายหลงั การตรวจเยยี่ ม สถานท่ีวิจัย หรือหลงั จากการตดิ ตอ สอ่ื สารทเ่ี กย่ี วของกับการวจิ ยั ทุกครง้ั ข. ในรายงานควรระบุวันที่ สถานที่วิจยั ชื่อผกุ ํากับดูแลการวจิ ัย และชือ่ ผูวิจัยหรือบุคคลอืน่ ๆ ทต่ี ิดตอ ดวย ค. รายงานการกํากบั ดแู ลการวิจัยควรประกอบดว ยบทสรปุ (summary) ของสิ่งทผ่ี กุ ํากับดแู ลการวิจยั พิจารณาทบทวน และบนั ทกึ ของผกุ ํากบั ดแู ลการวิจัยเกีย่ วกับสงิ่ ตรวจพบ/ขอ เทจ็ จรงิ ทีส่ ําคัญ, การ ปฏิบัติที่เบย่ี งเบนจากโครงรา งการวิจยั และขอ บกพรอ งตางๆ, ขอสรุป, มาตรการทด่ี ําเนินการแลว หรือที่จะดําเนินการ, และ/หรือมาตรการท่ีแนะนําใหดําเนินการเพ่ือใหสามารถปฏิบัติตามขอ กําหนดตา งๆ ไดอยางถกู ตอ งตอไป ฎ. ควรบันทึกการพิจารณาทบทวนและการติดตามรายงานการกํากับดูแลการวิจัยกับผูใหทุนวิจัยกับผู ใหทุนวจิ ัย เปน หลกั ฐานโดยผแู ทนทผ่ี ูใ หท ุนวจิ ยั มอบหมาย 5.19 การตรวจสอบการวจิ ยั ในกรณีผูใหทุนวิจัยดําเนินการตรวจสอบการวิจัยซึ่งเปนสวนหน่ึงของการประกันคุณภาพ ผใู หทุน วิจัยควรพจิ ารณาสิ่งตางๆ ตอ ไปน้ี 5.19.1 จดุ มุงหมาย จุดมุงหมายของการตรวจสอบการวิจัยของผูใหทุนวิจัย ที่ดําเนินการเปนเอกเทศและแยกออกจาก การกํากับดูแลการวิจัย หรอื หนา ท่กี ารควบคุมคณุ ภาพทีท่ ําเปน ประจาํ คือ เพ่อื ประเมินการดาํ เนินการวจิ ยั และ ประเมินการปฏิบตั ิตามขอกาํ หนดตา งๆ ท้งั ในโครงรา งการวิจัย, วิธีดําเนินการมาตรฐาน, GCP, และขอกําหนด ของระเบียบกฎหมายทเ่ี ก่ยี วขอ ง 5.19.2 การคัดเลอื กและคณุ สมบัตขิ องผุตรวจสอบการวิจัย 36

37 ก. ผูใหทุนวิจัยควรแตงต้ังบุคคลท่ีไมเ กีย่ วขอ งกบั การวิจัยทางคลินกิ และ/หรือระบบงานวจิ ัยทาง คลินกิ เพื่อตรวจสอบการวิจยั ข. ผูใหทุนวิจัยควรสรางความมั่นใจวาผูตรวจสอบการวิจัยมีคุณสมบัติเหมาะสม โดยผานการอ บรมและมีประสบการณที่จะปฏิบัติงานการตรวจสอบการวิจัยอยางถูกตอง. ควรบันทึกคุณ สมบัติของผูตรวจสอบการวจิ ยั เปนหลักฐาน 5.19.3 วิธีดําเนนิ การตรวจสอบการวจิ ยั ก. ผูใหทุนวิจัยควรสรางความมั่นใจวาการตรวจสอบการวิจัยทางคลินิกและระบบงานวิจัยทาง คลินิก ไดดําเนินการโดยสอดคลองกับวิธีดําเนินการท่ีเปนลายลักษณอักษรของผูใหทุนวิจัยวา จะตรวจสอบอะไร ตรวจสอบอยางไร ตรวจสอบบอยแคไ หน รปู แบบ รวมท้งั เนื้อหาของรายงาน การตรวจสอบเปน อยา งไร ข. แผนการและวิธีดําเนนิ การตรวจสอบการวจิ ัยของผูใ หท นุ วิจัย ควรกาํ หนดตามความสําคัญของ กรวิจัยท่ีจะย่ืนเสนอตอหนวยงานควบคุมระเบียบกฎหมาย, จํานวนอาสาสมัครที่เขารวมการ วจิ ยั , ประเภทและความซับซอนของการวิจัย, ระดับความเสี่ยงท่ีจะมตี อ อาสาสมัครในการวิจัย, และปญหาตางๆ ทเ่ี กิดข้นึ ค. ควรบันทกึ ขอสงั เกตและส่งิ ตรวจพบใดๆ โดยผูตรวจสอบการวิจยั เปนหลักฐาน ง. เพ่ือรักษาความเปนอิสระและคุณคาของการตรวจสอบการวิจัย หนวยงานควบคุมระเบียบ กฎหมายไมควรเรียกขอรายงานการตรวจสอบเปนประจาํ . หนว ยงานควบคมุ ระเบียบกฎหมาย อาจขอรายงานการตรวจสอบไดเปนกรณีๆ ไปเม่อื มีหลกั ฐานแสดงการไมป ฏบิ ัติ GCP อยาง รายแรงหรืออยูระหวางข้ันตอนการดําเนินการตามกฎหมาย จ. ผูใหทุนวิจัยควรออกใบรบั รองการตรวจสอบการวจิ ัย เมอื่ มีขอกําหนดโดยกฎหมายหรอื ระเบียบ กฎหมายที่เกีย่ วของ 5.20 การไมปฏิบัติตามขอ กําหนด 5.20.1 การไมปฏิบตั ติ ามขอกําหนดในโครงรางการวิจัย, วิธีดาํ เนนิ การมาตรฐาน, GCP, และ/ หรือขอกําหนดของระเบียบกฎหมายทเ่ี กี่ยวขอ ง โดยผวู ิจยั /สถาบันทีว่ จิ ัย หรือสมาชกิ ในทมี งานของผใู หท นุ วจิ ัย ควรสงผลใหผูใหท ุนวิจัยดาํ เนินการโดยทนั ทเี พอ่ื ทาํ ใหเกิดการปฏิบัติตามขอกําหนดตางๆ อยางถูกตอ งตอไป 5.20.2 ในกรณีการกํากับดูแลการวิจัยและ/หรือการตรวจสอบการวิจัยระบุวามีการไมปฏิบัติตาม ขอกําหนดตางๆ อยา งรายแรง และ/หรืออยางตอเน่อื งโดยผวู ิจัย/สถาบันท่วี จิ ยั ผใู หท นุ วิจัยควรยุตกิ ารเขารวม การวจิ ัยของผวู ิจยั /สถาบันท่ีวิจัยน้นั ๆ และผใุ หท นุ วิจยั ควรแจงใหหนวยงานควบคมุ ระเบียบกฎหมายทราบโดยทัน ที 5.21 การยตุ โิ ครงการวจิ ัยกอนกาํ หนดหรือการระงบั โครงการวจิ ยั ชัว่ คราว ถาการวิจัยถูกยตุ ิกอ นกําหนดหรอื ถูกระงบั ไวช ัว่ คราว ผูใหทนุ วิจยั ควรแจงการยุตหิ รอื การระงับโครง การวิจัยใหผูวิจัย/สถาบันที่วิจัย รวมท้ังหนวยงานควบคุมระเบียบกฎหมายทราบโดยทันที พรอมใหเหตุผล ประกอบดว ย. IRB/IEC ควรไดรบั แจงโดยทันทีเชนกันพรอมท้งั เหตผุ ลจากผูใ หทุนวิจยั หรือจากผวู ิจัย/สถาบันที่ วิจัย ตามท่รี ะบุในขอ กําหนดของระเบยี บกฎหมายท่เี กีย่ วขอ ง 37

38 5.22 รายงานผลการวจิ ัยทางคลินิก ไมวาการวจิ ัยเสร็จสิน้ สมบรู ณหรือถูกยุติกอนกําหนด ผใู หท ุนวิจยั ควรใหความมั่นใจวา ไดจดั เตรยี ม รายงานผลการวิจัยทางคลินิกและสงใหหนวยงานควบคุมระเบียบกฎหมายตามท่ีกําหนดในขอกําหนดของระเบียบ กฎหมายที่เก่ียวของ ผุใหทุนวิจัยควรใหค วามมั่นใจดว ยวา รายงานผลการวจิ ยั ทางคลนิ กิ ที่ใชย น่ื ของอนุมตั เิ พ่ือวาง ตลาดผลิตภณั ฑไ ดมาตรฐานตามทีก่ ําหนดใน “แนวทาง ICH เร่ือง โครงสรางและเน้ือหาของรายงานการวิจยั ทาง คลินิก” (หมายเหต:ุ “แนวทาง ICH เร่ือง โครงสรา งและเนอ้ื หาของรายงานการวจิ ัยทางคลนิ กิ ” ระบวุ า ในบาง กรณีสามารถใชรายงานผลการวจิ ยั ทางคลินกิ ฉบบั ยอได) 5.23 การวิจยั ทกี่ ระทําพรอมกันหลายแหง สําหรับการวิจัยท่ีกระทาํ พรอ มกนั หลายแหง ผูใหทุนวิจยั ควรสรา งความมน่ั ใจวา 5.23.1 ผูวิจัยทุกคนดําเนินการวิจัยโดยปฏิบัติอยางเครงครัดตามขอกําหนดโครงรางการวิจัยท่ตี ก ลงรวมกับผูใหท ุนวิจยั และหากจาํ เปน กบั หนวยงานควบคุมระเบียบกฎหมาย รวมท้ังตามการอนมุ ตั แิ ละ/หรอื ความเหน็ ชอบใหด าํ เนินการวจิ ยั โดย IRB/IEC 5.23.2 แบบบันทึกขอมูลผูปวยถูกออกแบบมาเพื่อเก็บขอมูลท่ีตองการจากสถานท่ีวัยทุกแหง. สําหรับผูวิจัยท่ีกําลังรวบรวมขอมูลอื่นเพ่ิมเติมจะไดรับแบบบันทึกขอมูลผูปวยเสริมซึ่งออกแบบมาเพื่อเก็บขอมูล เพม่ิ เติมนัน้ ๆ 5.23.3 ไดบันทึกหนาทีร่ บั ผิดชอบของผวู ิจัยทที่ ําหนา ท่ีประสานงานและผูวิจยั รว มอ่ืนๆ เปน หลกั ฐานกอ นเรมิ่ การวิจยั 5.23.4 ผูวิจัยทุกคนไดรับคําแนะนําเก่ียวกับการปฏิบัติตามโครงรางการวิจัย. การปฏิบัติตาม มาตรฐานเดยี วกันในการประเมินสิง่ ตรวจพบทางคลินิกและทางหอ งปฏบิ ัตกิ าร, รวมท้ังการกรอกขอมลู ใหสมบรู ณ ในแบบบันทกึ ขอ มูลผูป วย 5.23.5 การตดิ ตอ ส่ือสารระหวางผวู จิ ัยทุกคนเปน ไปโดยสะดวก 38

39 6. โครงรางการวจิ ัยทางคลนิ กิ และสวนแกไ ขเพ่ิมเตมิ โครงรา งการวิจัย โดยท่ัวไปเนอ้ื หาของโครงรางการวิจัยควรประกอบดวยหัวขอ ตา งๆ ทร่ี ะบใุ นสวนนี้ อยา งไรกต็ าม ขอมูลท่ีเฉพาะเจาะจงของสถานท่วี ิจัยหน่งึ ๆ อาจถกู แยกไวใ นสว นแยกของโครงรางการวิจยั หรือในขอ ตกลงที่ทํา แยกตางหาก นอกจากน้ี ขอมูลบางสวนตามรายการขางลางนอี้ าจบรรจใุ นเอกสารอา งอิงอืน่ ๆ ของโครงรา งการวจิ ัย เชน เอกสารคมู อื ผวู จิ ยั 6.1 ขอมูลทั่วไป 6.1.1 ช่ือโครงรางการวจิ ยั เลขรหสั โครงรางการวจิ ยั และวันท่ี สาํ หรับสว นแกไขเพมิ่ เตมิ โครงรา ง การวิจัยใดๆ ควรมเี ลขรหสั ของฉบบั ท่ไี ดร ับการแกไขเพม่ิ เติมและวันท่ดี ว ย 6.1.2 ช่ือและที่อยูของผใู หท ุนวจิ ยั และผกู ํากับดแู ลการวิจัย (ถา แตกตางไปจากของผูใ หทุนวิจยั ) 6.1.3 ชื่อและตําแหนงของบคุ คลผูมอี ํานาจลงนามในโครงรา งการวิจัย และสวนแกไขเพม่ิ เตมิ โครงรา งการวจิ ัยแทนผใู หทนุ วิจัย 6.1.4 ช่ือ ตําแหนง ท่อี ยแู ละหมายเลขโทรศพั ทของผูเชย่ี วชาญทางการแพทย (หรือทันตแพทย แลวแตก รณ)ี ท่ผี ูใหทนุ วจิ ยั แตง ตัวสําหรับรบั ผดิ ชอบโครงการวจิ ัยนั้นๆ 6.1.5 ช่ือและตําแหนงของผูวจิ ยั ซึ่งมหี นา ทร่ี ับผดิ ชอบดําเนนิ การวจิ ัย ทีอ่ ยแู ละหมายเลข โทรศัพทของสถานทวี่ ิจัย 6.1.6 ชื่อ ตําแหนง ท่ีอยูและหมายเลขโทรศัพทของแพทยผูมีคุณสมบัติเหมาะสม (หรือ ทันตแพทยแลวแตกรณี) ผูมีหนาท่ีรับผิดชอบตอการตดั สนิ ใจทกุ เรอ่ื งทางการแพทย (หรือทางทันตกรรม) ท่ี เกี่ยวกับสถานที่วจิ ยั นนั้ (ในกรณีไมไ ดกําหนดใหเปนหนา ที่รับผดิ ชอบของผวู จิ ัย) 6.1.7 ชื่อและที่อยูของหอ งปฏบิ ัติการทางคลนิ กิ ของแผนกทางดานการแพทย และ/หรือแผนก เทคนคิ อืน่ ๆ และ/หรือของสถาบนั ท่ีมสี ว นเกีย่ วขอ งกบั การวิจยั นนั้ 6.2 ขอมลู ความเปนมาของการวจิ ยั 6.2.1 ช่ือและรายละเอียดของผลิตภณั ฑท่ใี ชในการวิจัย 6.2.2 บทสรุปของสิ่งท่ีคน พบจากการศกึ ษาทไ่ี มไดท ําในมนษุ ยซ ่ึงอาจมีความสาํ คญั ทางคลนิ ิก อยางมากและบทสรปุ ของสิง่ ที่คนพบจากการศึกษาในมนษุ ยทเ่ี กย่ี วขอ งกับการวจิ ัยน้นั ๆ 6.2.3 บทสรุปของความเสย่ี งและประโยชนทั้งทที่ ราบมากอ นและท่ีอาจจะเกิดข้นึ ในอาสาสมคั ร (ถา ม)ี 6.2.4 รายละเอียดและเหตผุ ลประกอบเกย่ี วกับชอ งทางทีใ่ ห ขนาด แผนการให (dosage regimen) และระยะเวลาการรกั ษา 6.2.5 ขอความท่ีระบุวา การวจิ ยั จะดําเนินการตามขอกาํ หนดของโครงรางการวิจยั , ตาม GCP, และตามขอกําหนดของระเบยี บกฎหมายที่เกย่ี วขอ ง 6.2.6 รายละเอียดประชากรทจ่ี ะศึกษาวิจยั 6.2.7 เอกสารอางอิงของสิง่ ตีพมิ พและขอมลู ทเ่ี กีย่ วของกับการวิจัย และที่ใหค วามเปน มาสําหรับ การวิจยั นั้นๆ 6.3 วัตถปุ ระสงคแ ละจดุ มุง หมายของการวิจัย รายละเอยี ดของวัตถปุ ระสงคแ ละจุดมงุ หมายของโครงการวจิ ยั 39

40 6.4 การวางรูปแบบการวจิ ัย ความนา เลอ่ื มใสทางวชิ าการ (scientific integrity) ของการวิจยั และความนา เชอ่ื ถือของขอมลู จาก การวิจัยขึ้นกับการวางรูปแบบการวจิ ัยอยา งมาก รายละเอยี ดเกย่ี วกับการวางรูปแบบการวิจัยควรประกอบดวย เนื้อหาตอ ไปนี้ 6.4.1 ขอความท่ีระบอุ ยา งเฉพาะเจาะจงเก่ียวกบั ตัววัดผลหลกั และตวั วดั ผลรอง (หากม)ี ซ่ึงจะทํา การวดั ระหวา งการวิจัย 6.4.2 รายละเอยี ดของชนดิ และ/หรือรูปแบบการวิจัยทจี่ ะดาํ เนินการศึกษา [เชน การวจิ ยั แบบปก ปดการรกั ษาสองฝาย, แบบเปรยี บเทียบกับยาหลอก (placebo-controlled), แบบขนานเพอ่ื เปรยี บเทยี บผลไป พรอมกนั (parallel design) และแผนภาพท่ีแสดงการวางรูปแบบการวิจยั วธิ ดี าํ เนนิ การและลําดบั การดาํ เนินงาน 6.4.3 รายละเอียดของมาตรการที่ใชล ดหรือหลกี เลี่ยงอคติ ไดแ ก ก. การสุมตัวอยา ง ข. การปกปด การรักษา 6.4.4 รายละเอียดการรกั ษา ขนาด และแผนการใหผ ลติ ภณั ฑท ใี่ ชในการวจิ ัย นอกจากนี้ควรระบุ รายละเอียดของรูปแบบผลิตภัณฑ (dosage form) การบรรจุ และฉลากของผลิตภัณฑทีใ่ ชในการวิจัยดว ย 6.4.5 ระยะเวลาที่คาดวาอาสาสมคั รจะอยใู นการวิจัย และรายละเอยี ดของลําดับและระยะเวลาของ ชวงการวิจยั ทกุ ชวง รวมทั้งระยะเวลาการตดิ ตามผล (ถามี) 6.4.6 รายละเอียดเกี่ยวกบั กฎการหยดุ (stopping rules) หรือเกณฑก ารยกเลกิ (discontinuation criteria) การเขารวมการวจิ ัยของอาสาสมคั รแตละราย ของโครงการวิจยั บางสว นหรือทั้งหมด 6.4.7 วิธีดําเนนิ การควบคมุ ดแู ลปรมิ าณรับ-จายผลิตภัณฑทีใ่ ชใ นการวิจยั รวมถงึ ยาหลอกและยา เปรียบเทียบ (ถา มี) 6.4.8 การเก็บรักษารหสั การสมุ รักษาที่อาสาสมคั รไดรับ (trial treatment randomization codes) และวิธดี าํ เนนิ การเปด เผยรหัสนัน้ 6.4.9 การกําหนดวาขอมูลใดบางท่จี ะบนั ทึกลงในแบบบนั ทกึ ขอมลู ผปู วยโดยตรง (น่ันคือ ไมม ี การบันทึกเปนลายลักษณอ ักษร หรือบนั ทกึ ในระบบอิเลก็ ทรอนกิ สมากอน) และการกําหนดวา ขอมลู ใดจะถอื เปน ขอมูลตนฉบับ 6.5 การคดั เลอื กอาสาสมัครและการถอนตวั อาสาสมคั ร 6.5.1 เกณฑการคดั เลอื กอาสาสมัครเขา สโู ครงการวจิ ัย 6.5.2 เกณฑการคัดเลอื กอาสาสมคั รออกจากโครงการวจิ ยั 6.5.3 เกณฑการถอนตัวอาสาสมคั รออกจากการวิจัย (น่นั คือ ยุติการรกั ษาดวยผลติ ภณั ฑหรือการ รักษาอ่ืนๆ ที่ใชใ นการวจิ ยั ) และวิธีดําเนนิ การทีร่ ะบสุ ิง่ ตอไปน้ี ก. การถอนตัวอาสาสมัครออกจากการวิจยั หรือการรักษาดว ยผลติ ภณั ฑท ี่ใชใ นการวจิ ยั จะกระทาํ ไดเ ม่อื ใดและอยา งไร ข. ชนิดของขอมลู และระยะเวลาทีจ่ ะรวบรวมขอมลู จากอาสาสมัครที่ถอนตัวจากการวจิ ัย ค. การทดแทนอาสาสมัครทถ่ี อนตัวจากการวิจยั จะกระทาํ ไดหรอื ไมและอยางไร ง. การติดตามอาสาสมัครท่ีถอนตวั จากการรักษาดว ยผลติ ภัณฑห รือการรกั ษาอืน่ ๆ ทใี่ ชในการวจิ ัย 40

41 6.6 การดูแลรักษาอาสาสมัคร 6.6.1 การรักษาที่จะใหควรระบชุ ื่อผลิตภณั ฑทุกชนิด ขนาดที่ใช ตารางการให ชองทางและ/หรือ วิธีการบริหารยา และระยะเวลาการรกั ษา ซึง่ รวมทงั้ ระยะเวลาการตดิ ตามอาสาสมัครในแตละกลมุ การวิจัยที่ไดร บั การรักษาดวยผลิตภัณฑท ่ใี ชในการวจิ ัย หรือ ท่ไี ดร บั การรักษาอน่ื ๆ ในการวจิ ัย 6.6.2 ยา และ/หรือวิธีการรักษาตา งๆ ท้ังทอ่ี นุญาตใหใชได (รวมทัง้ ยาท่ีใชเ พอื่ ชว ยชีวิต) และ ไมอ นุญาตใหใ ช ท้ังกอนและ/หรือระหวา งการวิจยั 6.6.3 วิธีดําเนินการกํากบั ดูแลวา อาสาสมคั รปฏิบตั ติ ามขอ กําหนดในโครงรางการวจิ ัย 6.7 การประเมินประสิทธผิ ล 6.7.1 การกําหนดตวั วดั ประสทิ ธิผล (efficacy parameters) 6.7.2 วิธีและชว งเวลาท่ที ําการประเมนิ บนั ทกึ และวเิ คราะหต ัววัดประสทิ ธิผลเหลา นั้น 6.8 การประเมินความปลอดภยั 6.8.1 การกําหนดตวั วัดความปลอดภยั (safety parameters) 6.8.2 วิธีและชวงเวลาที่ทําการประเมิน บนั ทึก และวิเคราะหตวั วดั ความปลอดภัยเหลา นน้ั 6.8.3 วิธีดําเนินการบันทึกและรายงานเหตุการณไ มพึงประสงค และความเจบ็ ปวยทเ่ี กดิ ข้ึน ระหวางการวจิ ัย รวมท้งั วิธีดําเนินการคัดกรองรายงานดังกลา ว 6.8.4 ชนิดและระยะเวลาการติดตามอาสาสมคั รภายหลงั เกดิ เหตุการณไมพงึ ประสงค 6.9 สถติ ิ 6.9.1 รายละเอียดวิธกี ารทางสถิติท่ีใช รวมทงั้ เวลาท่ีวางแผนจะทําการวเิ คราะหขอมลู ระหวา ง การวจิ ัย [(planned interim analysis(ses)] 6.9.2 จํานวนอาสาสมคั รทีจ่ ะเขารมการวจิ ัยในกรณีการวจิ ัยทีก่ ระทาํ พรอมกันหลายแหง ควร ระบุจํานวนอาสาสมัครทจี่ ะเขา รวมการวจิ ัยแตล ะแหงดวย ระบุเหตผุ ลในการกําหนดเลือกขนาดตัวอยา ง (อาสา สมัคร) ในการวิจยั รวมทั้งการคํานวณทางสถติ เิ พอื่ หาคาความนา เชอ่ื (power) ของการวจิ ัยและความสมเหตุสมผล ทางคลนิ ิก 6.9.3 ระดับนัยสาํ คญั ทางสถิตทิ ่ีจะเลอื กใช 6.9.4 เกณฑก ารยตุ โิ ครงการวิจยั 6.9.5 วิธีดําเนนิ การท่ใี ชตรวจสอบกรณขี อมูลขาดหายไป , ไมไดใ ช , และนาเคลือบแคลงสงสัย 6.9.6 วิธีดําเนินการรายงานการปฏิบัติท่ีเบ่ียงเบนจากแผนการวิเคราะหทางสถิติเดิม (ควร อธิบายการเบ่ียงเบนจากแผนการวิเคราะหทางสถิติเดิมอยางสมเหตุสมผลในโครงรางการวิจัย และ/หรือในราย งานเมอื่ เสรจ็ สน้ิ การวิจัย ตามความเหมาะสม) 6.9.7 การคัดเลือกอาสาสมัครท่ีจะนําผลมาวิเคราะห (เชน อาสาสมัครทุกคนท่ีไดรับการสุม เลือกเขาโครงการวิจัย อาสาสมัครทุกคนทไ่ี ดร บั ยา อาสาสมคั รทุกคนที่มคี ณุ สมบตั เิ หมาะสม อาสาสมัครท่ีสามารถ ประเมนิ ผลได) 6.10 การเขา ถงึ ขอ มลู ตนฉบบั และเอกสารตนฉบบั โดยตรง ผูใหทุนวิจัยควรสรา งความมน่ั ใจวา มกี ารระบุอยา งชัดเจนในดครงรางการวจิ ัย หรอื เอกสารขอตกลง อื่นที่เปนลายลักษณอักษรวา ผูวิจัย/สถาบันที่วิจัยจะอนุญาตใหมีการกํากับดูแลการวิจัย การตรวจสอบการวิจัย การพิจารณาทบทวนใหความเห็นชอบโดย IRB/IEC และการตรวจตราโดยหนวยงานควบคุมระเบยี บกฎหมาย ท้ังนี้ โดยใหมกี ารเขาถึงขอมลู ตน ฉบับและเอกสารตน ฉบับโดยตรง 41

42 6.11 การควบคมุ คณุ ภาพและการประกันคุณภาพ 6.12 จริยธรรม รายละเอียดทางจรยิ ธรรมท่เี กย่ี วขอ งกับการวิจัย 6.13 การจดั การขอมลู และการเก็บรกั ษาบนั ทกึ ขอมลู 6.14 การสนบั สนุนทางการเงนิ และการประกัน การสนับสนุนทางการเงินและการประกนั กรณีไมมกี ารระบุในขอตกลงที่ทําข้นึ ตางหาก 6.15 นโยบายการตีพมิ พผ ลการวิจัย นโยบายการตีพิมพ กรณีไมม ีการระบใุ นขอตกลงท่ีทําขึ้นตางหาก 6.16 รายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ (หมายเหตุ เนื่องจากโครงรางการวิจัยและรายงานการวิจัยทางคลินิกมีความสัมพันธกันอยาง ใกลชิด ขอ มลู ท่ีเกย่ี วของอาจดูไดจ าก “แนวทาง ICH เร่ือง โครงสรา งและเนอื้ หาของรายงานการวจิ ยั ทางคลนิ ิก”) 42

43 7. เอกสารคูมือผูวิจัย (Investigator’s Brochure; IB) 7.1 บทนํา เอกสารคูมือผูวิจัยเปนเอกสารรวบรวมขอมูลจากการศึกษาวิจัยท้ังท่ีทําในมนุษยและท่ีไมไดทําใน มนุษยและท่ีไมไดทําในมนุษยของผลิตภัณฑที่ใชในการวิจัยซ่ึงเก่ียวของกับการศึกษาผลิตภัณฑน้ันในอาสาสมัคร โดยมีจุดมุงหมายเพ่ือใหขอมูลแกผูวิจัยและบุคคลอ่ืนๆ ท่ีเกี่ยวของไดเขาใจหลักการเหตุผลและสามารถปฏิบัติ ตามขอกําหนดหลักของโครงรา งการวจิ ัยได เชน ขนาด ความถ/่ี ชวงหา งในการให วิธีการให และวิธดี ําเนนิ การ กํากับดูแลความปลอดภัย. เอกสารคูมือฯ ยงั ใหความกระจา งในการดแู ลรกั ษาอาสาสมคั รตลอดระยะเวลาการวิจัย ทางคลินิก. ควรนําเสนอขอมลู ดังกลา วอยางกระชบั งา ยเท่ียงตรง (objective) ไมเอนเอยี ง และไมเ ปน การสงเสรมิ จุดขายของผลิตภณั ฑ ทัง้ น้ี เพื่อใหแพทยหรือผวู ิจยั เขา ใจและสามารถประเมนิ ความเหมาะสมในแงความเส่ยี งและ ความปลอดภัยของโครงการวจิ ยั ไดโดยปราศอคติ. ดวยเหตุผลดังกลา ว ผุเชี่ยวชาญทางการแพทยค วรมีสว นรวมใน การแกไขปรับปรุงเอกสารคูมือฯ แตเนื้อหาของเอกสารคูม อื ฯ ควรไดร บั ความเห็นชอบจากผูเ ชย่ี วชาญในสาขาผูจ ดั เตรยี มขอมลู นั้นๆ แนวปฏิบัติเลมน้ีอธบิ ายขอ มลู พ้นื ฐานซ่ึงควรมอี ยใู นเอกสารคูม ือฯ พรอมทัง้ ใหขอเสนอแนะการวาง รูปแบบดวย เปนท่ีคาดวา ชนดิ และรายละเอยี ดของขอ มูลที่มจี ะแตกตา งกันได ตามระยะการพฒั นาของผลิตภัณฑ ท่ีใชในการวิจัย ในกรณผี ลิตภณั ฑท ี่ใชใ นการวจิ ยั มีจําหนา ยในทอ งตลาด และความรทู างเภสชั วทิ ยาของผลติ ภณั ฑ นั้นเปนท่ีเขาใจอยา งกวา งขวางในหมูแพทยเ วชปฏิบตั แิ ลว เอกสารคูมือฯ อาจไมจําเปนตอ งมรี ายละเอยี ดมากนัก หากหนวยงานควบคุมระเบียบกฎหมายอนญุ าต อาจใชเอกสารขอ มูลผลติ ภัณฑ เอกสารกาํ กบั ยา หรอื ฉลากยาแทน ได ถาเอกสารดังกลาวมีขอมูลทนั สมัย ครบถวน และครอบคลมุ ทุกแงมมุ เกย่ี วกบั ผลติ ภณั ฑท่ีใชในการวจิ ยั ซง่ึ ขอ มูลนั้นอาจมีความสําคัญตอผูวจิ ัย. ในกรณีการศึกษาเพอื่ หาการใชใหมข องผลิตภณั ฑทีว่ างตลาดแลว (นนั่ คอื หา ขอบงใชใหม) ควรเตรยี มเอกสารคมู ือฯ ทีม่ รี ายละเอียดเก่ยี วกบั การใชใหมดงั กลาว ควรพจิ ารณาทบทวนเอกสารคู มือฯ อยางนอ ยปล ะครั้งและควรปรบั ปรุงแกไ ขตามความจาํ เปนโดยสอดคลอ งกบั วิธดี ําเนินการท่ผี ูใหท นุ วิจัยเขยี น ไวเปนลายลักษณอ ักษรอาจสมควรปรบั ปรุงเอกสารคูมอื ฯ ไดบอยครั้ง ทั้งนขี้ นึ้ กับระยะของการพัฒนาผลติ ภณั ฑ และขอมูลใหมที่เกีย่ วขอ งทีเ่ พ่มิ ขน้ึ . อยางไรกต็ าม เพื่อใหสอดคลอ งกับ GCP ขอมูลใหมท ี่เกยี่ วขอ งอาจมคี วาม สําคัญมาก จงึ ควรติดตอ แจง ใหผูวิจัยและหากเปนไปไดแจง ให IRB/IEC และ/หรือหนว ยงานควบคุมระเบียบ กฎหมายทราบกอนท่จี ะเพิม่ เตมิ ในเอกสารคมู ือฯ ฉบบั ปรับปรงุ แกไข โดยทั่วไปผูใหท ุนวิจัยมีหนาท่ีรับผิดชอบจัดหาเอกสารคมู อื ฯ ที่ทนั สมยั ใหผวู จิ ยั และผูวิจัยนาํ เสนอ เอกสารคมู ือฯ ทีท่ นั สมัยดังกลา วตอ IRB/IEC. ในกรณีผูวจิ ัยเปน ผลู งทนุ วิจัยเอง ควรพจิ ารณาวา มีเอกสารคูม ือ จากผูผลิตหรอื ไม. หากผูวิจัยทีเ่ ปน ผลู งทนุ วิจยั จัดหาผลติ ภัณฑท ี่ใชในการวิจัยเอง ผวู จิ ยั ควรจัดหาขอมูลท่จี าํ เปน ใหบุคลากรที่เก่ียวของกบั การวิจยั ในกรณกี ารเตรียมเอกสารคมู ือฯ อยา งเปนทางการไมสามารถกระทาํ ได ผูวิจัยท่ี เปนผูลงทุนวิจัยควรจัดทําสวนความเปนมาของโครงรา งการวจิ ยั ใหมีขอ มลู เพม่ิ มากขน้ึ เพอื่ ทดแทน ซึ่งบรรจขุ อมูล ใหมๆ ขน้ั ตาํ่ ตามท่ีระบใุ นแนวปฏิบัตเิ ลม น้ี 7.2 แนวทางท่ัวไป เอกสารคูม อื ผูวจิ ยั ควรประกอบดว ย 7.2.1 หนาซง่ึ ระบชุ อ่ื โครงการวจิ ยั ในหนา นคี้ วรมีชือ่ ผใู หทนุ วจิ ัย, การระบุลักษณะผลติ ภัณฑทใ่ี ชในการวิจยั แตละชนิด (นน่ั คอื ระบุ เลขท่ีการวิจัย ชื่อเคมีหรือช่ือสามัญทางยาท่ีไดร บั อนุญาต ตลอดจนชอ่ื การคาตามทีก่ ฎหมายอนญุ าตและเปนไป ตามความประสงคข องผูใ หท นุ วิจยั ) และวันทีเ่ อกสารคูมอื ฯ ไดร บั อนุมัตใิ หเ ผยแพร. นอกจากนีค้ วรระบุเลขทีฉ่ บบั หากมีการปรับปรุงแกไขควรระบุวา เปนฉบบั ปรบั ปรุงแกไ ขฉบบั ท่เี ทา ไร และระบเุ ลขท่ฉี บบั และวนั ทขี่ องเอกสารคู มือฯ ฉบับกอนทีถ่ ูกแทนท่ีดว ยฉบบั ปรับปรงุ แกไ ข ไดแ สดงตวั อยา งในภาคผนวกท่ี 1 43

44 7.2.2 ขอความระบถุ งึ การรกั ษาความลับ ผูใหท นุ วิจยั อาจมีความประสงคท่จี ะระบุขอความใหผ ูว จิ ัย และ/หรือผูรบั คนอ่นื ๆ รักษาขอ มูลใน เอกสารคูม ือฯ เปนความลบั และใชป ระโยชนเพอื่ การวจิ ยั ของทีมงานผูว จิ ัย รวมทง้ั IRB/IEC เทานนั้ 7.3 เน้ือหาในเอกสารคูมือผวู ิจัย เอกสารคูมือผูวจิ ัยควรประกอบดวยสวนตา งๆ ตอ ไปนี้ โดยแตล ะสวนควรมีเอกสารอา งอิงประกอบ ดวยตามความเหมาะสม 7.3.1 สารบญั ไดแสดงตวั อยา งสารบัญในภาคผนวกท่ี 2 7.3.2 บทสรปุ บทสรุปยอ(ไมควรเกนิ 2 หนา) ซ่ึงเนนการใหข อมูลคุณสมบตั ทิ ่สี ําคญั ของผลติ ภัณฑท ี่ใชในการ วิจัยทั้งทางกายภาพ ทางเคมี ทางเภสัชกรรม ทางเภสชั วิทยา ทางพิษวทิ ยา ทางเภสชั จลนศาสตร กระบวนการ เปล่ียนแปลงและขอ มูลทางคลนิ กิ ทีเ่ กี่ยวของกับระยะการพัฒนาผลิตภัณฑท ี่ใชในการวิจยั 7.3.3 บทนาํ ควรมีขอความแนะนาํ ส้นั ๆ ประกอบดว ย ช่ือเคมี (รวมทัง้ ชอ่ื สามัญทางยาและช่อื การคาหากไดรบั อนุมัติ) ของผลติ ภณั ฑท ี่ใชในการวิจยั , สวนผสมสําคัญทุกชนิด, กลุมของผลติ ภัณฑที่ใชในการวิจยั ท่แี บงตามกลไก การออกฤทธ์ิทางเภสัชวิทยาและตําแหนง ท่ีคาดของผลติ ภณั ฑในกลุมนนั้ (เชน ประโยชนข องผลิตภัณฑ), เหตผุ ล ท่ีทําการวิจัยโดยใชผลิตภัณฑน้ี, รวมถึงขอบงใชของผลิตภัณฑที่คาดวาจะนํามาใชสําหรับปองกัน รักษาหรือ วนิ ิจฉัย. ทายที่สุด บทนาํ ควรใหแนวทางทวั่ ไปที่จะปฏิบัตใิ นการประเมินผลติ ภัณฑท ใี่ ชในการวิจัย 7.3.4 คุณสมบตั ทิ างกายภาพ ทางเคมี และทางเภสชั กรรมของผลิตภัณฑและสูตรตํารับ ควรมีรายละเอยี ดของสารท่อี ยใู นผลติ ภัณฑที่ใชในการวจิ ัย (รวมท้งั สตู รโครงสรางและ/หรอื สตู ร เคมี) และบทสรุปสนั้ ๆ ของคณุ สมบัติทางกายภาพ ทางเคมีและทางเภสัชกรรมท่ีเก่ยี วของ เพ่ือใหดําเนินมาตรการดูแลความปลอดภัยอยางเหมาะสมตลอดระยะเวลาทําการวิจัย ควรใหร าย ละเอียดสูตรตํารบั ที่จะใช รวมท้ังรายละเอยี ดสารประกอบอ่นื ๆ ท่ีไมใชต ัวยาสาํ คัญในสตู รตํารับ และใหเ หตุผล หากมีความเกี่ยวของทางคลินิก. ควรมีคาํ แนะนําวิธีเกบ็ รักษาและดแู ลจัดการผลิตภัณฑดว ย ควรระบุสารเคมอี ืน่ ๆ ที่มโี ครงสรางทางเคมคี ลายคลงึ กับผลติ ภณั ฑทใี่ ชในการวจิ ัยดว ย 7.3.5 การศึกษาวิจัยทไี่ มไดท ําในมนษุ ย บทนํา ควรมีบทสรุปผลการศึกษาวจิ ยั ที่ไมไ ดท าํ ในมนุษยท ้งั หมดทเ่ี ก่ียวของ ไดแ ก ผลทางเภสชั วทิ ยา พษิ วิทยาเภสัชจลนศาสตร และกระบวนการเปลย่ี นแปลงของผลิตภณั ฑที่ใชใ นการวิจัยภายในรางกาย. บทสรปุ นี้ควร ระบุระเบียบวิธีที่ใชในการวิจัย ผลการวิจัยและการอภิปรายความสัมพันธของส่ิงที่คนพบกับผลทางการรักษาที่ ศึกษาวิจัยในมนษุ ย รวมทง้ั ผลไมพ ึงประสงคแ ละท่ไี มคาดคิดทอี่ าจจะเกิดในมนุษย ขอมูลท่ีใหอาจระบสุ งิ่ ตา งๆ ตอไปน้ี ตามความเหมาะสมหากทราบและมขี อ มลู แลว ไดแก O สายพนั ธุข องสตั วท ดลองทีใ่ ชท ดสอบ O จํานวนและเพศของสัตวทดลองแตละกลุม O ขนาดท่ีใหแ ตละคร้ัง (เชน มิลลิกรัมตอ กิโลกรัม) O ชว งหางการใหแตละครั้ง (dose interval) 44

45 O ชองทางการให O ระยะเวลาการใหแตละครัง้ หรอื แตล ะการรักษา (duration of dosing) O ขอมูลการกระจายตวั ในรางกาย O ระยะเวลาการตดิ ตามผลภายหลงั หยดุ ใหผ ลติ ภัณฑทใ่ี ชในการวจิ ยั แลว O ผลดา นตางๆ ตอ ไปน้ี - ลักษณะและความถ่ีของผลทางเภสัชวทิ ยาหรือการเกดิ พษิ - ความรุนแรงหรอื ความหนักหนวงของผลทางเภสัชวิทยาหรือความรนุ แรงของการเกดิ พษิ - เวลาท่ียาเริม่ ออกฤทธิห์ รอื เกดิ พษิ - การทําใหฤทธทิ์ างเภสชั วทิ ยาหรือการเกดิ พษิ หมดไป - ระยะเวลาการเกิดผลทางเภสชั วทิ ยาหรือเกิดพษิ - ผลการตอบสนองเมื่อใหผ ลิตภัณฑข นาดตา งๆ การนําเสนอขอ มลู เหลานี้ในรูปตารางหรือทําเปน รายการ จะทาํ ใหการนําเสนอมีความชัดเจนยงิ่ ขึ้น ขอมูลสวนตางๆ ตอ ไปน้ีควรอภิปรายสง่ิ คน พบทส่ี าํ คญั ทีส่ ดุ จากการศกึ ษาวิจัย, รวมท้งั ผลกรตอบ สนองตอยาขนาดตา งๆ ท่ีให, ความสัมพันธของผลดังกลาวในมนษุ ยแ ละการศึกษาดา นอื่นๆ ทจ่ี ะทาํ ในมนุษย. หากเปนไปไดควรเปรียบเทียบขนาดยาที่ใหผลการรักษาและขนาดยาที่ไมท ําใหเกดิ พษิ ในสัตวท ดลองชนิดเดยี วกนั (นั่นคือ ควรอภิปรายคาดัชนกี ารรักษา). ควรระบคุ วามเก่ียวโยงของขอมูลเหลา นกี้ บั ขนาดยาท่ีเสนอข้ึนเพ่อื ใชใ น มนุษย หากเปนไปได การเปรียบเทียบควรทาํ โดยพจิ ารณาจากระดับยาในเลือด และ/หรือในเนือ้ เยอื่ มากกวา ท่ีจะ เปรียบเทยี บในเชิงมลิ ลกิ รมั ตอน้ําหนกั 1 กิโลกรัม ก. การศึกษาทางเภสัชวทิ ยาทีไ่ มไ ดท ําในมนุษย ควรมีบทสรุปคุณสมบัติทางเภสัชวิทยาของผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัย ตลอดจนของเมตาบอไลท ตางๆ ท่ีสําคัญจากการศึกษาในสัตวทดลองตามความเหมาะ บทสรปุ น้ีควรรวบรวมการศกึ ษาท่ปี ระเมินฤทธก์ิ าร รักษาที่สําคัญ (เชน โมเดลของสตั วทดลองที่ใชใ นการศกึ ษาประสิทธิผลของยา การศึกษาการจบั กับตวั รับยา และ ความเฉพาะเจาะจงของการออกฤทธ์ิ) รวมทั้งการศึกษาท่ีประเมินความปลอดภัย (เชน การศึกษาพิเศษเพ่ือ ประเมินฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาอ่ืนๆ นอกเหนอื จากผลการรักษาท่ตี องการ) ข. การศึกษาเภสัชจลนศาสตรแ ละกระบวนการเปล่ยี นแปลงของผลติ ภณั ฑในสตั วท ดลอง ควรมีบทสรุปผลการศึกษาทางเภสัชจลนศาสตรและกระบวนการเปลยี่ นแปลงทางชวี ะ รวมท้งั การ กําจัดของผลิตภัณฑที่ใชใ นการวจิ ยั ในสตั วท ดลองทกุ สายพันธทุ ีศ่ ึกษา. การอภิปรายส่ิงทค่ี น พบควรกลาวถึงการดูด ซึมเขาสูรางกายและปริมาณท่ีเขาสูกระแสเลือดและกระจายไปตามอวัยวะตางๆ (local and systemic bioavailability) ของท้ังผลติ ภัณฑทใ่ี ชใ นการวจิ ัยและเมตาบอไลทที่เกิดข้ึน รวมท้ังความสัมพนั ธข องผลการศกึ ษา ตางๆ ที่กลาวมากบั ฤทธ์ทิ างเภสชั วิทยาและพษิ วทิ ยาในสตั วทดลองทศี่ ึกษา ค. พิษวทิ ยา ควรอธิบายบทสรุปผลทางพิษวิทยาจากการศึกษาท่ีเก่ียวขอ งในสตั วทดลองสายพนั ธุตา งๆ ภายใต หัวขอ ตอไปนี้ ตามความเหมาะสม O การใหผลิตภณั ฑเพียงคร้งั เดยี ว O การใหผ ลติ ภัณฑหลายๆ คร้ัง O การเกิดมะเร็ง O การศึกษาพเิ ศษอืน่ ๆ (เชน การระคายเคอื งและการแพ) O ความเปนพษิ ตอ ระบบสืบพันธุ O ความเปนพษิ ตอระบบพันธุกรรม (การกลายพันธ)ุ 45

46 7.3.6 ผลในมนษุ ย บทนํา ควรอภิปรายผลที่ทราบแลวจากการใชผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัยใมนุษยอยางละเอียดทุกแงมมุ ซ่งึ รวมถงึ ขอมลู ทางเภสัชจลนศาสตร, กระบวนการเปลี่ยนแปลง, เภสัชพลศาสตร, ผลการตอบสนองเมื่อใหขนาด ตา งๆ, ความปลอดภัย, ประสิทธิผล, และฤทธทิ์ างเภสชั วทิ ยาอืน่ ๆ, หากเปน ไปไดควรมีบทสรปุ ของแตละการวจิ ัย ทางคลินิกท่ีเสร็จสมบูรณแ ลวประกอบ นอกจากน้ีควรมีขอ มูลอื่นๆ ของผลการใชผ ลิตภัณฑท ่ีใชใ นการวจิ ยั นอก เหนือจากผลการวจิ ยั ทางคลินิก เชน จากประสบการณก ารใชย าภายหลงั วางจําหนา ยในตลาดแลว ก. เภสัชจลนศาสตรแ ละกระบวนการเปลย่ี นแปลงของผลิตภณั ฑทีใ่ ชใ นการวิจัยในมนุษย O ควรนําเสนอบทสรุปขอมูลทางเภสัชจลนศาสตรของผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัย โดยมีขอ มลู ตอไปนี้ (ถาม)ี - เภสัชจลศาสตร (ซง่ึ รวมถงึ กระบวนการเปลยี่ นแปลง ตามความเหมาะสม การดูดซึม การจับ กับโปรตีนในเลือด การกระจายตัวและการขับถายออกจากรางกายของผลิตภัณฑที่ใชในการ วิจัย) - ชีวอนุเคราะหของผลติ ภณั ฑทใี่ ชในการวจิ ัย (เชน จําแนกตามเพศ อายุและกลมุ ท่ีมีการทาํ งาน ของอวยั วะบกพรอ ง) - ปฏิกิริยาระหวา งกัน (เชน ปฏกิ ริ ิยาระหวางกันของผลิตภัณฑแ ละผลของอาหารตอ ผลติ ภัณฑ) - ขอมูลทางเภสัชจลนศาสตรอ่ืนๆ (เชน ผลการศึกษาทางเภสัชจลนศาสตรในประชากรกลุม ตางๆ ซ่ึงกระทาํ ในการวจิ ัยทางคลินิก) ข. ความปลอดภัยและประสทิ ธิผล ควรมีบทสรุปขอมูลของผลติ ภัณฑท ่ีใชใ นการวิจัย (รวมท้งั เมตาบอไลทหรอื สารที่ไดจ ากการเปลีย่ น แปลงในรา งกาย ตามความเหมาะสม) ดานความปลอดภัย, ดานเภสัชพลศาสตร, ดานประสทิ ธผิ ล, และผลการ ตอบสนองตอผลิตภัณฑเม่ือใหขนาดตา งๆ ซง่ึ ไดจากการศึกษาวิจัยในมนษุ ยกอนหนา นี้ (ท้งั ในอาสาสมคั รสุขภาพ ดี และ/หรือในผูปว ย). ควรอภิปรายความหมาย (implications) ของขอมูลเหลา นี้. ในกรณีการวิจัยทางคลนิ กิ หลายๆ เร่ืองเสรจ็ สมบูรณแลว การมบี ทสรปุ ความปลอดภัยและประสทิ ธิผลจากการศกึ ษาตามขอ บงใชใ นประชา กรกลุมยอยตางๆ อาจชวยใหก ารนําเสนอขอมลู ชัดเจนยง่ิ ขน้ึ . การสรปุ อาการไมพ งึ ประสงคจากยาท่ีเกิดขน้ึ ในการ วิจัยทางคลินิกท้ังหมด (รวมท้ัง อาการไมพ งึ ประสงคจ ากการศึกษาขอ บง ใชท ง้ั หมด) ในรปู ตารางจะเปนประโยชน. ควรอภิปรายความแตกตางที่สําคัญของลักษณะการเกิด และ/หรืออุบัติการณข องอาการไมพึงประสงคจ ากยาเมอ่ื ศึกษาในขอ บง ใชตางๆ หรือในประชากรกลุมยอ ยตา งๆ. เอกสารคูมือฯ ควรใหรายละเอียดความเสี่ยงและอาการไมพ ึงประสงคจ ากยาทีอ่ าจเกิดข้ึนโดยคาด คะเนจากประสบการณก ารใชท ้ังผลิตภัณฑทท่ี ําการวจิ ัยนนั้ และผลติ ภัณฑอ่ืนทเ่ี กยี่ วของมากอ น นอกจากน้ี ยงั ควร ใหรายละเอียดขอควรระวังหรอื การกาํ กบั ดแู ลเปนพเิ ศษที่จะกระทาํ เมื่อใชผ ลติ ภัณฑเ พ่ือการวจิ ัยนัน้ ค. ประสบการณดานการตลาด เอกสารคูมือฯ ควรระบุประเทศท่ีผลิตภัณฑที่ใชในการวิจัยวางจําหนายในทองตลาดหรือไดรับ อนุมัติแลว. ควรสรปุ ขอมูลสําคัญทพี่ บภายหลงั การวางจําหนายในทอตลาดแลว (เชน สตู รตํารบั ขนาดทีใ่ ช ชอง ทางการใหและอาการไมพงึ ประสงคจ ากผลติ ภณั ฑ) . นอกจากนี้ เอกสารคมู อื ฯ ยังควรระบชุ อ่ื ทุกๆ ประเทศท่ีผลิต ภัณฑที่ใชในการวิจัยไมไดรับอนุมัติและ/หรือขึ้นทะเบียนใหวางจําหนายในทองตลาดได หรือถูกถอนออกจาก ตลาด และ/หรือถูกถอนทะเบียนตาํ รบั ยา 7.3.7 บทสรปุ ขอมูลและคาํ แนะนาํ สําหรบั ผูวจิ ยั ในสวนน้ีควรนําเสนอการอภิปรายขอมูลจากการศึกษาในมนุษยและที่ไมไดศึกษาในมนุษยโดยรวม และควรสรุปขอมูลจากแหลงอื่นๆ ในแงมุมตา งๆ เกีย่ วกบั ผลติ ภณั ฑทใี่ ชใ นการวจิ ยั เทา ทีจ่ ะเปนไปได โดยวิธีนผ้ี ู 46

47 วิจัยสามารถทราบการแปลผลขอมูลที่มีอยูโดยละเอียดท่ีสุด รวมทั้งการประเมนิ ความหมายขอ มลู ดังกลา วสําหรับ การวิจยั ทางคลนิ ิกในอนาคต ควรอภิปรายรายงานการวจิ ัยที่ตีพิมพแลวของผลติ ภณั ฑทเ่ี กย่ี วของ ตามความเหมาะสม การทาํ เชน นี้จะชวยใหผูวิจยั สามารถคาดการอาการไมพ งึ ประสงคจ ากยาหรอื ปญ หาอ่ืนๆ ทีอ่ าจเกิดขึน้ ในการวจิ ยั ทางคลินกิ ได วัตถุประสงคโดยรวมของเอกสารคูมือฯ สวนนี้ เพื่อใหผูวิจัยเขาใจความเสี่ยงและอาการไมพึง ประสงคที่อาจเกิดขนึ้ อยางชดั เจน รวมทั้งตระหนกั วา อาจตอ งมีการทดสอบ การเฝาสังเกต และขอ ควรระวงั เฉพาะ ท่ีจําเปนอื่นๆ สําหรบั การวิจยั ทางคลินกิ น้นั . ความเขา ใจดังกลา วควรอยบู นพื้นฐานของขอ มูลท่ีมีอยูทางกายภาพ ทางเคมี ทางเภสัชกรรม ทางเภสัชวทิ ยา ทางพษิ วทิ ยาและทางคลนิ กิ ของผลติ ภัณฑทีใ่ ชใ นการวิจยั . นอกจากนี้ควร มีคําแนะนําใหผูวิจัยทางคลินิกตระหนักและทราบวิธีการรักษาอาการพิษจากการรับยาเกินขนาดและอาการไมพึง ประสงคจากยาที่อาจเกดิ ขึน้ โดยคําแนะนําเหลานรี้ วบรวมจากประสบการณการใชใ นมนษุ ยมากอนและจากความรู ทางเภสัชวทิ ยาของผลติ ภณั ฑท ่ใี ชใ นการวิจัย 7.4. ภาคผนวกที่ 1 หนาช่อื เรื่องของเอกสารคูมอื ผูวิจัย (ตัวอยาง ) ช่อื ผใู หท นุ วจิ ยั ช่ือผลติ ภณั ฑ: เลขรหสั โครงการวิจยั : ชอื่ : ชื่อเคมี ชื่อสามัญทางยา (หากไดรบั การอนุมัตแิ ลว ) ช่ือการคา (หากไดรับการอนญุ าตตามกฎหมายและหากผูใหท นุ วิจยั ตอ งการ) เอกสารคมู อื ผูวจิ ยั - ฉบับหมายเลข: - วันที่ไดร บั อนมุ ตั ใิ หเผยแพร: - แทนฉบบั หมายเลข: - วนั ท:ี่ 7.5 ภาคผนวกที่ 2 สารบัญของเอกสารคูม ือผูว ิจัย (ตวั อยาง) - ขอความท่ีระบกุ ารรกั ษาความลบั (อาจมีหรอื ไมก็ได) - หนาสําหรับลงลายมือช่อื (อาจมีหรอื ไมกไ็ ด) 1. สารบัญ 2. บทสรปุ 3. บทนาํ 4. คุณสมบัติทางภายภาพ ทางเคมี และทางเภสัชกรรมรวมท้งั สูตรตาํ รับ 5. การศึกษาที่ไมไ ดท าํ ในมนษุ ย 5.1 ดา นเภสัชวทิ ยา 5.2 ดานเภสชั จลนศาสตรและกระบวนการเปล่ยี นแปลงผลิตภณั ฑในสตั ว ทดลอง 5.3 ดานพิษวทิ ยา 6. ผลในมนษุ ย 6.1 เภสัชจลนศาสตรและกระบวนการเปลย่ี นแปลงผลติ ภณั ฑในมนุษย 6.2 ความปลอดภยั และประสทิ ธิผล 47

48 6.3 ประสบการณดา นการตลาด 7. บทสรุปขอ มลู และคําแนะนําสําหรบั ผวู ิจัย หมายเหตุ: เอกสารอางอิงจาก 1. ส่ิงตพี มิ พ 2. รายงาน เอกสารอางองิ ตางๆ เหลา นี้ ควรมอี ยูในสวนทายของแตล ะบท ภาคผนวก (ถา มี) 48

49 8. เอกสารสาํ คัญสาํ หรับการดาํ เนนิ งานวิจยั ทางคลนิ กิ 8.1 บทนํา เอกสารสําคัญ หมายถงึ เอกสารซงึ่ ไมวา พิจารณาแยกกนั หรือรวมกนั ชวยใหส ามารถประเมนิ การ ดําเนินงานวิจัยและคณุ ภาพของขอมูลที่ได เอกสารน้ใี ชแ สดงวา ผูวิจัย ผใู หทุนวิจยั และผูก าํ กบั ดแู ลการวจิ ยั ปฏิบตั ิ ตามมาตรฐาน GCP รวมทั้งขอกําหนดของระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวของทง้ั หมด เอกสารสําคัญยังชวยใหบรรลุวัตถุประสงคอ่ืนๆท่ีสําคัญ. การจัดเก็บเอกสารสําคัญไวท่ีผูวิจัย/ สถาบันที่วิจัยและทีผ่ ูใหท ุนวิจยั ในเวลาที่เหมาะสม สามารถชว ยการบริหารจดั การงานวิจยั ของผวู ิจยั ของผูใหทุน วิจัย และของผูกาํ กบั ดูแลการวจิ ัยใหส ําเร็จลุลวงไดดว ยดี. เอกสารเหลานย้ี งั เปน เอกสารที่มักไดร บั การตรวจสอบ โดยผูตรวจสอบการวิจัยอิสระของผใู หท ุนวิจยั รวมทง้ั การตรวจตราโดยหนว ยงานควบคมุ ระเบยี บกฎหมาย ซง่ึ เปน สวนหนึ่งของกระบวนการเพื่อยืนยันความถูกตอง (validity) ของการดําเนินการวิจัยและความนาเช่ือถือ (integrity) ของขอ มลู ทไ่ี ด รายการขั้นต่ําของเอกสารสาํ คญั ตา งๆแบงออกเปน 3 สว น ตามลําดับขัน้ การวจิ ยั ซ่งึ ตามปกตจิ ะทํา ใหเกิดเอกสารสาํ คญั ในลาํ ดับการวิจัยตางๆ ดังน้ี 1. กอนการวิจัยทางคลินกิ จะเริม่ ขน้ึ 2. ระหวา งดําเนินการวิจยั ทางคลินิก และ 3. หลังการวิจัยเสรจ็ สมบรู ณห รือหลงั ยุติโครงการวิจยั ควรมีรายละเอียดจุดมุงหมายของเอกสารแตละชนิด และรายละเอียดท่ีวาควรเก็บเอกสารเหลาน้ีในสถานที่ของ ผวู ิจยั /สถานที่วิจัย หรือของผใู หทุนวิจัย หรือของทง้ั 2 ฝาย หรอื ไม. เปน ที่ยอมรบั วา เอกสารบางอยา งสามารถ รวบรวมไวด ว ยกันไดโ ดยมีขอแมวาจะสามารถจําแนกขอ มูลแตละสวนไดท ันที ควรจัดทําแฟมขอมลู หลกั ขึน้ ตั้งแตเร่ิมตนทําการวิจัย และเกบ็ ไวท ัง้ ทผี่ ูวิจยั /สถานทีว่ จิ ัยและทีส่ ํานกั งานของผูใหทุนวิจัย การปดการวิจัยขั้นสุดทายสามารถทําไดเ ฉพาะเม่อื ผูกํากบั ดูแลการวิจัยทําการทบทวนเอกสาร ท้ังหมดท่มี อี ยูท ้งั ในแฟม ขอ มลู ของผูวิจัย/สถานที่วิจัยและของผูใหท ุนวจิ ัย และรับรองวา เอกสารสาํ คญั ทง้ั หมดเกบ็ อยูในแฟม ขอ มูลทีเ่ หมาะสม ควรเตรียมเอกสารใดๆ หรอื เอกสารทัง้ หมดทร่ี ะบุในแนวปฏบิ ตั นิ ี้ ใหพ รอ มเพือ่ การตรวจสอบโดย ผูตรวจสอบการวิจัยจากผใู หทนุ วจิ ยั และการตรวจตราโดยหนว ยงานควบคมุ ระเบียบกฎหมาย 8.2 กอ นเรม่ิ การวจิ ยั ทางคลินิก ระหวางการวางแผน ควรมีเอกสารตางๆ ตอไปนี้ และควรเกบ็ เอกสารเหลา นี้ในแฟมขอมูลกอนการ วิจยั จะเร่มิ ขน้ึ อยา งเปนทางการ 49

50 ชื่อเอกสาร จุดมุงหมายของเอกสาร เกบ็ ไวในแฟมขอมูลของ ผวู ิจยั /สถานที่วิจัย ผใู หทนุ วจิ ัย 8.2.1 เอกสารคมู อื ผูว ิจยั เพ่ือเปน หลักฐานแสดงวา ขอมลู ลา สดุ ดา น   วิทยาศาสตรทีเ่ ก่ยี วของกับผลติ ภัณฑที่ใช  ในการวิจัยไดมอบใหผ วู จิ ัยแลว  8.2.2 โครงรา งการวจิ ัยและสวนแกไข เพื่อเปน หลกั ฐานแสดงความตกลงรวมกัน  เพ่ิมเติมโครงรา งการวิจยั (ถามี) ระหวางผวู ิจัยกบั ผูใหทุนวิจยั ในโครงรางการ   ท่ีลงนามโดยผเู กย่ี วขอ ง และตัว วจิ ัย/สวนแกไขเพม่ิ เติมโครงรางการวจิ ัย (ถา ตอ งม)ี อยา งแบบบันทกึ ขอมลู ผปู ว ย และตัวอยางแบบบันทกึ ขอมูลผูปว ย  8.2.3 ขอมูลทใ่ี หอาสาสมัคร -เอกสารใบยนิ ยอม เพ่ือเปน หลักฐานแสดงความยินยอมเขา รวมการวิจัยโดยสมัครใจหลงั ไดร บั คาํ ชแี้ จง เก่ียวกับการวจิ ัยโดยละเอยี ด (รวมท้งั เอกสารฉบบั แปลทงั้ หมด) -เอกสารอื่นๆ เพื่อเปน หลกั ฐานแสดงวา อาสาสมคั รจะได รับเอกสารทีเ่ หมาะสม (ท้ังเนือ้ หาและการใช ถอยคํา) เพ่อื ประกอบการตดั สินใจใหค วาม ยินยอมโดยสมัครใจ -ขอความโฆษณาเพอื่ คดั เลือก เพ่ือเปนหลักฐานแสดงวา มาตรการการคัด อาสาสมัครเขารว มการวจิ ัย เลือกอาสาสมคั รเขา รว มการวจิ ยั มีความ (ถาใช) เหมาะสมและไมม ีการบีบบังคับ 8.2.4 งบประมาณการวิจยั เพ่ือเปน หลักฐานแสดงการตกลงทางการ เงนิ สําหรบั การวจิ ัยระหวางผูวิจยั /สถาบันที่ วจิ ัย กบั ผูใหทุนวิจัย 8.2.5 ขอ ความท่รี ะบุเกย่ี วกับการ เพ่ือเปน หลกั ฐานแสดงวา จะมกี ารจา ยคา ประกัน (ถาตองม)ี ชดเชยใหอาสาสมัครหากเกิดอนั ตรายเนอ่ื ง จากการวจิ ัย 8.2.6 ขอตกลงทลี่ งนามโดยฝายตางๆ เพ่ือเปน หลกั ฐานแสดงความตกลงรว มกนั ท่เี กีย่ วของ ตัวอยาง เชน -ขอตกลงระหวา งผวู จิ ัย/สถาบัน ทีว่ จิ ัยกับผใู หทนุ วิจยั -ขอตกลงระหวา งผูวจิ ัย/สถาบัน ทวี่ จิ ัยกับองคก รท่ีรบั ทาํ วิจยั ตาม สัญญา - ขอตกลงระหวางผูใ หท นุ วจิ ัย กับองคกรทร่ี บั ทาํ วิจยั ตาม สัญญา 50