ICH Good Clinical Practice Guideline ฉบับภาษาไทย สาํ นกั งานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสขุ ISBN : 974-8044-95-5
2 I คาํ นาํ ปจจุบันมีการทําการวิจัยยาทางคลินิกจํานวนมากในประเทศไทยมโี ครงสรางพื้นฐานท่เี ออื้ อาํ นวยตอ การดําเนินการวิจัยทางคลนิ กิ ทม่ี ีคุณภาพ เชน โรงพยาบาลขนาดใหญทง้ั ทเ่ี ปนโรงเรยี นแพทย โรงพยาบาลศูนย และโรงพยาบาลท่ัวไป จํานวนประชากร และความชุกชุมของอบุ ัติการโรคตางๆ เปนตน กอรปกบั ศกั ยภาพสูงของ บุคลากรทางการแพทยทีด่ าํ เนนิ การวจิ ัยทางคลนิ กิ สงผลใหผ ลการวจิ ัยมคี ุณภาพดเี ปน ทน่ี า เช่อื ถอื ทําใหอาจกลา ว ไดวาประเทศไทยเปน สว นหน่ึงทสี่ ําคญั ของกระบวนการพฒั นายาใหมของบริษัทยาชัน้ นาํ ทวั่ ไป การปฏิบัติการวิจัยทางคลินิกทด่ี ี (Good Clinical Practice: GCP) เปนมาตรฐานสากลดาน จริยธรรมและวิชาการสําหรับวางรูปแบบ ดําเนินการ บันทึก และรายงานการวิจัยทางคลินิก การปฏิบัติตาม มาตรฐาน GCP เปนการรับประกันวา สทิ ธิ ความปลอดภยั และความเปน อยทู ่ีดีของอาสาสมคั รไดร บั การคุมครอง ซึ่งนับเปนหัวใจสญั ของการศึกษาวิจัยยาทางคลินิก และรบั ประกันวาขอมูลจากการวิจยั นาเชือ่ ถอื แมวาประเทศไทยจะไมเ คยมกี ารจดั ทาํ GCP ข้ึนใชมากอน แตเปนทีน่ า สงั เกตวา การศึกษาวจิ ัยยา ทางคลิกในประเทศไทยในปจจุบันยังคงเปนที่ยอมรับของสากล ท้ังน้ี เน่ืองจากการศึกษาวิจัยไดดําเนนิ การตาม แนวปฏบิ ตั ขิ อง ICH (International Conference on Harmonization) หรอื ICH GCP ที่ทั่วโลกยอมรบั ซ่งึ เปน การคุมครองอาสาสมัครในการวิจัยและไดผลการทดลองท่ีนาเช่ือถอื สามารถใชยน่ื ประกอบการขึน้ ทะเบยี นยากับ หนวยงานรัฐท่ีรับผดิ ชอบ เชน สาํ นกั งานคณะกรรมการอาหารและยา เปน ตน ไดท ั่วโลก ปจ จุบนั การใชอ า งองิ แนวปฏิบตั ิ ICH GCP โดยผูที่เกี่ยวขอ งกับการศึกษาวจิ ยั ทางคลนิ ิกอาจมขี อ จํากัดหลายประการ เน่ืองจากมีตนฉบบั เปนภาษาองั กฤษ การจัดทาํ แนวปฏิบัติ ICH GCP เปนภาษาไทยนบั เปน หนทางหน่ึงท่ีสงเสริมความเขาใจเนื้อหาท่ีถูกตองตรงกันและทําไดสะดวก สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งเปนหนวยงานที่มีหนาท่ีรับผิดชอบคุมครองผูบริโภคดานยาและรับผิดชอบการขึ้นทะเบียนยาในประเทศไทย เล็งเห็นความสําคัญอยา งยง่ิ ของการศึกษาวจิ ยั ยาทางคลินกิ ตามมาตรฐานสากล จงึ ดาํ เนินการแปลแนวปฏบิ ตั ิ ICH GCP เปนภาษาไทย ท้ังนี้ ไดรับอนุญาตการแปลอยางถกู ตองตามกฎหมายจากเลขาธกิ ารของ ICH แลว โดยมวี ตั ถุ ประสงคส าํ คัญ 2 ประการ คือ 1. เพอ่ื ใหแนวปฏบิ ตั ิ ICH GCP ฉบับภาษาไทยสามารถใชเ ปน เอกสารอา งอิงที่ใหค วามรูความเขา ใจท่ีถูกตองโดยสะดวกกับผูที่เกีย่ วขอ งกับการศึกษาวจิ ยั ทางคลนิ กิ ทกุ คน 2. เพ่ือนําแนวปฏิบัติดังกลาวมาใชเปน พื้นฐานการปรับปรุงแกไ ขเปนแนวปฏิบัติ GCP สาํ หรับ ประเทศไทยโดยเฉพาะ (Thai Guideline for Good Clinical Practice) เพ่ือสงเสรมิ ใหม กี ารใช อยางกวางขวางมากขนึ้ และเปน ท่ยี อมรบั ในระดับสากล คณะผูจัดทาํ เพียรพยายามอยางยิง่ ในการแปล ICH GCP คร้ังนี้ แตก็อาจมคี วามผิดพลาดเกดิ ขน้ึ ได ซึ่งทางคณะผูจัดทํายนิ ดรี บั ฟงคาํ แนะนํา คาํ ติชม หรือความเห็นจากผอู านทุกทา นดว ยความขอบคณุ และจะไดน ํา คําแนะนําดังกลาวมาพิจารณาประกอบการปรับปรุงแกไ ขตอ ไป คณะผูจ ดั ทาํ หวังเปนอยา งยิง่ วา แนวปฏิบตั ิ ICH GCP ฉบับภาษาไทยเลมน้ีจะอาํ นวยประโยชนให กับผูเก่ียวขอ งกบั การดําเนนิ การวจิ ยั ทางคลนิ กิ อยางเต็มที่ คณะผจู ดั ทํา สาํ นกั งานคณะกรมการอาหารและยา กรกฎาคม 2543 II 2
3 กิตติกรรมประกาศ คณะผูจัดทําขอขอบพระคุณสมาคมผผู ลิตเภสัชภัณฑเปนอยา งยิ่งที่สนบั สนุนการแปล ICH Good Clinical Practice Guideline (ICH GCP) เปนฉบับภาษาไทย ซึง่ ชว ยใหก ารดาํ เนินการคร้ังนสี้ าํ เร็จลลุ ว ง โดยสมบูรณอยางรวดเร็ว และขอขอบพระคุณสําหรับคําแนะนําและการสนับสนุนอยางเต็มจากเจาหนาท่ีกอง ควบคมุ ยาทีเ่ กยี่ วขอ ง คณะผจู ดั ทํา สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรกฎาคม 2543 3
4 สารบญั คาํ นาํ I กติ ตกิ รรมประกาศ II บทนํา 1. นยิ ามศัพท III 2-9 2. หลักการของ ICH GCP 10 3. คณะกรรมการพิจารณาการวจิ ัยประจําสถาบัน, 11-14 คณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมอิสระ 15-23 4. ผูวจิ ัย 5. ผใู หทนุ วิจยั 24-34 6. โครงรางการวจิ ยั ทางคลนิ ิกและสวนแกไขเพิ่มเติมโครงรางการวิจัย 35-38 7. เอกสารคูมือวิจัย 39-44 8. เอกสารสาํ คัญสาํ หรบั การดาํ เนินการวิจัยทางคลนิ ิก 45-53 ภาคผนวกท่ี 1 รายชือ่ คณะทาํ งานจัดทํา ICH GCP ฉบับภาษาไทย จากการแปล ตนฉบับภาษาอังกฤษ ภาคผนวกท่ี 2 หนังสือขออนุญาต ICH Secretariat เพ่ือนาํ ICH GCP แปลเปน ภาษาไทย ภาคผนวกท่ี 3 หนังสอื จาก ICH Secretariat อนุญาตการแปลและจัดพมิ พ ICH GCP ภาษาไทย 4
5 บทนํา * การปฏิบัติการวิจัยทางคลนิ ิกทดี่ ี (Good Clinical Practice: GCP) เปนมาตรฐานสากลดาน จริยธรรมและดานวชิ าการ สาํ หรับใชในการวางรูปแบบ การดําเนินงาน การบันทกึ ขอ มูล และการเขยี นรายงาน การศึกษาวิจัยในมนุษยก ารปฏิบัติตามเกณฑม าตรฐานนเ้ี ปนการรบั ประกันตอ สาธารณชนวา สิทธิ ความปลอดภัย และความเปนอยูท่ีดีของอาสาสมัครไดรับการคุมครอง ตามหลักกรแหงคําประกาศเฮลซิงกิ (Declaration of Helsinki) และผลการวิจัยทางคลินิกเชื่อถือได วัตถุประสงคข องแนวปฏบิ ตั ิ ICH GCP เลมนี้เพ่ือใหม มี าตรฐานเพยี งหนึ่งเดียว สาํ หรบั การศกึ ษา วิจัยทางคลินิกของประเทศในสหภาพยุโรป ญี่ปุน และสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะเอื้อใหหนวยงานควบคุมระเบียบ กฎหมายยอมรบั ขอ มลู ทางคลินกิ ของกันและกนั แนวปฏิบัตินี้พัฒนาขึ้นโดยพิจารณาจากการปฏิบัติการวิจัยทางคลินิกท่ีดีท่ีใชอยูในสหภาพยุโรป ญี่ปุน และสหรฐั อเมรกิ า รวมทั้งแนวปฏิบตั ิจากประเทศออสเตรเลีย แคนาดา กลมุ ประเทศนอรด คิ และองคกร อนามยั โลก การดําเนินการวจิ ัยเพอ่ื ยน่ื เสนอขอมูลทางคลินิกตอหนว ยงานควบคมุ ระเบียบกฎหมาย ควรยึดตาม แนวปฏิบตั นิ ี้ หลักการที่กําหนดในแนวปฏิบัติเลมน้ีอาจประยุกตใชกับการสืบคนทางลินิกอ่ืนๆ ซ่ึงอาจมีผล กระทบตอความปลอดภยั และความเปนอยูท่ีดีของอาสาสมคั ร หมายเหตุ: * เน้ือหาในแนวปฏบิ ตั เิ ลมนไ้ี ดร ับอนุญาตการแปลและจดั พิมพอยางถูกตองจาก ICH 5
6 1. นิยามศัพท (GLOSSARY) 1.1 อาการไมพงึ ประสงคจ ากยา (Adverse Drug Reaction: ADR) สําหรับกรณีการศึกษาวิจัย ยาใหมหรือศึกษาขอบงใชใหม โดยเฉพาะเมื่อยังไมสามารถกําหนดขนาดท่ีใชในการรักษาในขั้นตอนกอนรับข้ึน ทะเบียนอาการทั้งปวงท่ีอันตรายและไมพึงประสงคอันเกิดจากยาขนาดใดๆ ก็ตาม ควรถือเปนอาการไมพึง ประสงคจากยาคําวา “เกิดจากยา” หมายความวา อยา งนอ ยมีความเปน ไปไดอยางสมเหตุผลท่ีอธบิ ายวาอาการไม พึงประสงคนั้นเปน ผลจากยาที่ศึกษา นน่ั คือ ไมส ามารถตัดออกไปไดว า ไมม คี วามสัมพันธก ัน สําหรับยาท่ีจําหนา ยในทอ งตลาดแลว อาการไมพ ึงประสงคจ ากยา หมายถึง อาการใดๆ ก็ตามที่ อันตรายและไมพึงประสงคท ี่เกดิ ข้ึนจากการใชยาในขนาดปกตทิ ง้ั เพ่อื การปอ งกัน การวนิ จิ ฉัย หรือการรักษาโรค หรือเพ่ือการปรบั เปล่ยี นการทํางานทางสรีระของรางกาย [ดูรายละเอียดเปน “แนวทาง ICH เรื่อง การบริหารจดั การขอมลู ความปลอดภัยทางคลนิ กิ : คาํ จํากัดความและมาตรฐานการรายงานเรง ดวน” (ICH Guideline for Clinical Safety Data Management: Definitions and Standards for Expedited Reporting) 1.2 เหตกุ ารณไมพ งึ ประสงค (Adverse Event: AE) หมายถึง เหตกุ ารณไมพึงประสงคทางการ แพทยใดๆ ซ่ึงเกิดข้ึนกับผปู วยหรอื อาสาสมคั รที่เขา รว มการวิจัยทางคลินกิ หลงั จากไดรบั ผลิตภัณฑ โดยเหตกุ ารณ นั้น ไมจําเปน ตอ งสัมพนั ธก ับยาท่ไี ดรับ ดงั นัน้ เหตกุ ารณไ มพ ึงประสงคอาจไดแ ก อาการแสดงตา งๆ ซ่ึงไมพึง ประสงคและไมคาดมากอนวา จะเกดิ ข้นึ (รวมทงั้ ความผดิ ปกตทิ ่ีตรวจพบทางหองปฏติ กิ าร) รวมท้งั อาการหรือโรค ที่เกิดขึ้นเมื่อใชย าวิจยั ไมวาเหตุการณน้ันจะเก่ียวขอ งกบั ยาวิจยั ที่ใชห รือไมก็ตาม (ดูรายละเอยี ดใน “แนวทาง ICH เร่ือง การบรหิ ารจัดการขอมลู ความปลอดภัยทางคลนิ ิก: คําจํากัดความและมาตรฐานการรายงานเรงดว น”) 1.3 การแกไขเพมิ่ เติมโครงรา งการวจิ ยั (Amendment) ดูรายละเอียดใน “สว นแกไ ขเพิ่มเติมโครงรางการวจิ ัย (Protocol Amendment) 1.4 ขอกาํ หนดของระเบยี บกฎหมายท่เี ก่ยี วขอ ง (Applicable Regulatory Requirement(s)) หมายถึง กฎหมายและขอบังคับใดๆ ท่ีเกี่ยวของกับการวิจัยทางคลินิกสําหรับผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัย (investigational products) 1.5 การอนุมตั ิ (Approval) (ของคณะกรรมการพิจารณาการวิจยั ประจําสถาบนั : IRB) หมายถงึ การอนุมตั ขิ อง IRB หลังจากโครงรางการวิจยั ทางคลินกิ ไดผา นการพิจารณาทบทวนแลว และอาจดาํ เนินการได ณ สถาบันนั้นๆ ภายใตก รอบขอกําหนดของ IRB, สถาบันที่วจิ ยั , GCP, และขอกาํ หนดของระเบยี บกฎหมายท่ี เก่ียวของ 1.6 การตรวจสอบการวจิ ยั (Audit) หมายถึง การตรวจสอบกิจกรรมตา งๆ ท่เี กีย่ วขอ งกบั การ วิจัยตลอดจนเอกสารซึ่งกระทาํ อยา งเปนระบบ โดยผทู ไี่ มเ ก่ยี วขอ งกับการวจิ ัยโดยตรง ทัง้ น้ี เพอื่ ดวู า กิจกรรมการ วิจัยตางๆ ไดดาํ เนนิ การ และขอมลู ไดถูกบันทึก วเิ คราะห และรายงานอยา งถกู ตองตามโครงรางการวิจยั , วธิ ี ดําเนนิ การมาตรฐาน (Standard Operating Procedures: SOPs) ของผูใหทุนวิจยั , GCP, และขอกาํ หนดของ ระเบยี บกฎหมายทเี่ ก่ยี วขอ ง 1.7 ใบรับรองการตรวจสอบ (Audit Certificate) หมายถึง ใบรับรองซง่ึ ผตู รวจสอบการวจิ ัยออก ใหเปน หลักฐานแสดงวาการวิจยั ไดรับการตรวจสอบแลว 6
7 1.8 รายงานการตรวจสอบ (Audit Report) หมายถึง รายงานผลการตรวจสอบที่ผูตรวจสอบ การวิจัยจากฝา ยผูใหทนุ วิจยั ทาํ ไวเปนลายลักษณอ กั ษร 1.9 หลักฐานการตรวจสอบ (Audit Trail) หมายถึง เอกสารซ่งึ ชวยใหส ามารถทบทวนขัน้ ตอน และเหตกุ ารณตา งๆ ของการวจิ ยั ทเ่ี กดิ ข้ึน 1.10 การปกปดการรักษา (Blinding/Masking) หมายถึง วิธดี าํ เนินการซ่ึงทาํ ใหฝายหนึง่ หรอื หลายฝายท่ีเก่ียวของกับการวจิ ัยไมท ราบชนิดการรักษาทอ่ี าสาสมัครไดรับ การปกปดการรกั ษาฝา ยเดยี ว (Single- blinding) มักหมายถึง กรณีอาสาสมัครเพียงฝายเดียวไมทราบวาตนเองไดรับการรักษาอะไร และการปกปด การรกั ษา 2 ฝาย (Double-blinding) มักหมายถึง กรณีท้ังอาสาสมคั ร ผูวิจยั ผูกํากับดแู ลการวจิ ยั และในบางกรณี ผูวิเคราะหข อ มลู ไมทราบชนิดการรกั ษาท่อี าสาสมัครไดรับ 1.11 แบบบนั ทกึ ขอมูลผูปวย (Case Report Form: CRF) หมายถึง เอกสาร หรอื แบบบนั ทกึ ขอ มูล โดยระบบเชิงทัศนศาสตร (optical) หรือระบบอิเล็กทรอนิกสท่ีออกแบบมาเพื่อบันทึกขอมูลท้ังหมดของ อาสาสมัครแตละคนตามทีก่ าํ หนดในโครงรางการวิจัยเพื่อจะรายงานผูใหท นุ วิจยั 1.12 การวิจัยทางคลินิก (Clinical Trial/Study) หมายถึง การศึกษาวจิ ยั ในมนุษยโ ดยมวี ตั ถุ ประสงคเพ่ือคนควาหรือยืนยันผลทางคลินิกผลทางเภสัชวิทยาและ/หรือ ผลทางเภสัชพลศาสตร (pharmacodynamics) อื่นๆ ของผลติ ภณั ฑท่ีใชในการวิจัย และ/หรือเพื่อคนหาอาการไมพ งึ ประสงคใ ดๆ ทเี่ กดิ จากผลิตภัณฑท ่ใี ชในการวิจยั และ/หรือ เพื่อศึกษาการดูดซมึ การกระจายตวั การเปล่ียนแปลง (metabolism) และการขับถายผลิตภณั ฑที่ใชในการวจิ ัยออกจากรางกาย โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ พ่อื คนหาความปลอดภัย และ/หรอื ประสิทธิผล คําวา การทดลองทางคลินกิ (clinical trial) และการศึกษาวจิ ยั ทางคลินกิ (clinical study) มคี วาม หมายเหมอื นกนั 1.13 รายงานการวจิ ยั ทางคลินกิ (Clinical Trial/Study Report) หมายถงึ การเขียนบรรยายผล การศึกษาวิจัยผลิตภัณฑเพ่ือการรกั ษา ปอ งกนั หรือวินิจฉยั โรคในมนษุ ย โดยรวบรวมรายละเอียดทางคลินกิ และ ทางสถิต,ิ การนาํ เสนอ, และการวิเคราะหข อมลู ไวในรายงานฉบบั เดยี วกัน (ดูรายละเอยี ดใน “แนวทาง ICH เรอ่ื ง โครงสรา งและเนือ้ หารายงานการวจิ ยั ทางคลนิ กิ ” (ICH Guideline for Structure and Content of Clinical Study Reports) 1.14 ผลิตภณั ฑเ ปรยี บเทยี บ (Comparator) หมายถึง ผลติ ภณั ฑท ี่อยใู นข้นั การวจิ ยั หรือผลิต ภัณฑท่ีจําหนายในตลาดแลว (นั่นคือ กรณีเปรยี บเทียบกับสารมีฤทธ)์ิ หรอื ยาหลอก (placebo) ซึ่งใชเปนตวั เปรียบเทยี บในการวจิ ยั ทางคลนิ กิ 1.15 การปฏิบัตติ ามขอ กาํ หนด (ในการวิจยั ทางคลินิก) (Compliance) หมายถงึ การปฏิบัติ อยางเครงครัดตามขอกําหนดท้ังหมดท่ีเก่ียวของกับการวิจัย, GCP, และขอกําหนดของระเบียบกฎหมายท่ี เกี่ยวขอ ง 1.16 การรกั ษาความลบั (Confidentiality) หมายถึง การปอ งกนั มิใหม กี ารเปดเผยขอมลู เกย่ี ว กับผลิตภัณฑของผูใหท นุ วจิ ยั หรอื ขอมูลสว นบุคคลของอาสาสมัครใหแกบคุ คลอ่นื ซง่ึ ไมไ ดรบั อนุญาต 7
8 1.17 สัญญา (Contract) หมายถึง ขอตกลงที่ทําขน้ึ เปน ลายลกั ษณอ ักษรซึง่ ระบวุ นั ทแ่ี ละลงนาม โดยผูเกี่ยวของตงั้ แต 2 ฝายข้ึนไป เพื่อทําความตกลงในรายละเอียดการมอบหมายหนาที่ การแจกแจงงานและ ความรับผิดชอบ และหากเหมาะสม อาจระบขุ อ ตกลงทางการเงนิ ดวย โครงรางการวิจยั อาจใชเปน พ้ืนฐานของ สญั ญาได 1.18 คณะกรรมการประสานงาน (Coordinating Committee) หมายถึง คณะกรรมการซึง่ ผูให ทุนวิจัยอาจแตงตัง้ ขน้ึ เพอ่ื ประสานการวิจัยทก่ี ระทาํ พรอมกนั หลายแหง 1.19 ผูวิจัยท่ีทําหนาที่ประสานงาน (Coordinating Investigator) หมายถึง ผูวิจัยที่ไดรับ มอบหมายใหประสานงานกับผูวจิ ัยในสถาบันที่วิจยั แตละแหงซ่งึ เขารวมการวิจยั ทีก่ ระทาํ พรอมกนั หลายแหง 1.20 องคก รท่รี บั ทาํ วจิ ัยตามสญั ญา (Contract Research Organization: CRO) หมายถงึ บุคคลหรือองคกร (ดา นธุรกิจ วิชาการ หรืออน่ื ๆ) ซง่ึ ทาํ สญั ญากบั ผูใหท ุนวิจยั เพอ่ื ปฏิบตั ิหนาท่ีและความรับผดิ ชอบของผูใหท ุนวจิ ยั อยา งใดอยางหน่งึ หรอื หลายอยางท่เี กีย่ วของกับการวิจัย 1.21 การเขาถงึ ขอ มลู โดยตรง (Direct Access) หมายถึง การไดรบั อนุญาตใหส ามารถตรวจ สอบ วิเคราะห พิสจู น และคดั ขอ มลู ในบันทึกและรายงานซง่ึ มีความสาํ คญั ตอ การวดั ผลการวิจยั ทางคลินิกได. ผใู ด ก็ตาม (เชน หนวยงานควบคมุ ระเบียบกฎหมายจากทง้ั ภายในและภายนอกประเทศ, ผูกํากับดูแลการวจิ ัยของผูให ทุนวิจยั , และผูตรวจสอบการวจิ ยั ) ทีไ่ ดรับอนญุ าตใหเ ขา ถึงขอมลู โดยตรง ควรระมัดระวังอยางเตม็ ท่ีภายใตกรอบ ขอกําหนดของระเบียบกฎหมายทีเ่ ก่ียวของ เพอ่ื รกั ษาความลบั ของอาสาสมัครและขอ มูลผลิตภณั ฑข องผใู หทุนวิจัย โดยเครงครดั 1.22 ระบบเอกสาร (Documentation) หมายถึง บันทึกขอมูลรูปแบบตางๆ (รวมถึง บนั ทึก ตางๆ ที่ไมจํากัดเฉพาะแตบนั ทกึ ท่ีเปนเอกสาร บนั ทกึ โดยระบบอิเล็กทรอนกิ ส โดยระบบคลนื่ แมเ หล็ก และโดย ระบบเชิงทัศนศาสตร ภาพสแกน ภาพถา ยรงั สี และบันทึกคลืน่ ไฟฟาหวั ใจ) ซง่ึ อธิบายหรือบันทกึ วธิ ีการ การ ดาํ เนนิ งาน และ/หรือผลการวิจยั ปจจัยท่มี ีผลตอ การวจิ ัย และการดําเนนิ การท่กี ระทาํ ไป 1.23 เอกสารสาํ คัญ (Essential Documents) หมายถึง เอกสารซง่ึ ไมวา จะพจิ ารณาแยกกันหรือ รวมกันชวยใหส ามารถวดั ผลการวจิ ยั และคณุ ภาพของขอมูลจากการวิจัย [ดูรายละเอียดขอ 8 เรื่อง “เอกสารสําคัญ สําหรับการดําเนนิ การวิจยั ทางคลนิ กิ ” (Essential Documents for the Conduct of a Clinical Trial)] 1.24 การปฏิบตั กิ ารวจิ ัยทางคลินกิ ท่ีดี (Good Clinical Practice: GCP) หมายถึง มาตรฐาน สําหรับการวางรูปแบบ การดําเนินการ การปฏบิ ตั ิ การกํากับดแู ล การตรวจสอบ การบนั ทกึ การวิเคราะหและการ รายงานการวิจัยทางคลินิก ซึ่งใหการรับประกันวาทั้งขอมูลและผลที่รายงานน้ันนาเชื่อถือและถูกตอง และรับ ประกนั วาสทิ ธิ บูรณภาพ (integrity) รวมท้ังความลับของอาสาสมคั รในการวจิ ัยไดร ับการคมุ ครอง 1.25 คณะกรรมการกํากับดูแลขอมูลอิสระ (Independent Data-Monitoring Committee: IDMC) (Data and Safety Monitoring Board, Monitoring Committee, Data Monitoring Committee) หมายถงึ คณะกรรมการกํากับดูแลขอมูลอิสระที่ผูใหทุนวิจัยอาจแตงต้ังข้ึนเพื่อประเมินความกาวหนาเปนระยะๆ ของการ ทดลองทางคลนิ ิก, ขอมลู ความปลอดภยั , และตัวชี้วัดประสทิ ธผิ ลที่สาํ คัญของการวจิ ัย และใหค าํ แนะนําแกผ ใู หท ุน วิจัยวาสมควรดําเนินการวิจัยตอ ไป หรอื ควรปรบั เปลย่ี น หรอื หยดุ การวจิ ัย 8
9 1.26 พยานท่ไี มม สี วนไดเสยี (Impartial Witness) หมายถึง บุคคลซึง่ ไมเ ก่ยี วขอ งกับการวจิ ยั และไมอยูภายใตอิทธิพลอันไมเหมาะสมของผูท่ีเก่ียวของกับการวิจัย ผูเปนสักขีพยานในระหวางการขอความยิน ยอมถาอาสาสมัครหรือผแู ทนโดยชอบธรรมอา นหนังสอื ไมออก และเปน ผูอานเอกสารใบยนิ ยอมและเอกสารอื่นท่ี ใหอาสาสมัครหรือผูแทนโดยชอบธรรมอานหนังสือไมออก และเปนผูอานเอกสารใบยินยอมและเอกสารอ่ืนที่ให อาสาสมัครหรือผูแทนโดยชอบธรรมอานหนังสือไมอ อก และเปน ผอู า นเอกสารใบยินยอมและเอกสารอ่นื ท่ีใหอ าสา สมัคร 1.27 คณะกรรมการพจิ ารณาจรยิ ธรรมอิสระ (Independent Ethics Committee: IEC) หมายถึง กลุมบุคคลท่ีทํางานเปน อสิ ระ (ในรปู คณะกรรมการระดับสถาบัน ภาค ประเทศ หรอื ระหวา งประเทศ) ประกอบ ดวยบุคลากรทางการแพทย นกั วทิ ยาศาสตร และบุคคลอื่นท่ีไมใชบ ุคลากรทางการแพทยหรอื นกั วิทยาศาสตร มี หนาที่สรางความม่ันใจวา สิทธิ ความปลอดภยั และความเปน อยทู ด่ี ขี องอาสาสมคั รในการวจิ ัยไดร ับการคมุ ครอง และใหการรับประกันแกสาธารณชนวาอาสาสมัครในการวิจัยไดรับการคุมครองจริง โดยอยางนอยควรทําหนาท่ี พิจารณาทบทวนและ/หรือใหความเห็นชอบโครงรางการวิจัย, ความเหมาะสมของผูวิจัย, สถานท่ีทําการวิจัย, ตลอดจนวิธีการ รวมท้ังเอกสารท่จี ะใชขอความยินยอมและบนั ทกึ ความยินยอมจากอาสาสมคั ร คณะกรรมการน้ีอาจมีความแตกตางในสถานภาพทางกฎหมาย องคประกอบ หนาท่ี การปฏิบัตงิ าน และขอกําหนดของระเบียบกฎหมายของแตละประเทศ แตการทําหนาท่ีของคณะกรรมการนี้ควรสอดคลองกับ GCP ที่ระบุในแนวปฏิบัตเิ ลมน้ี 1.28 การใหความยินยอม (Informed Consent) หมายถึง กระบวนการทีอ่ าสาสมัครยืนยนั โดย ความสมัครใจยินดีท่ีจะเขารวมการวิจัยน้ันๆ หลังจากไดรับการชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นตางๆ ของการวิจัยโดย ละเอียดทุกแงมุมกอนตดั สนิ ใจเขารว มการวิจัยของอาสาสมัคร การใหความยินยอมตอ งทาํ เปน ลายลกั ษณอักษร มี การลงนามและลงวันทใ่ี นเอกสารใบยินยอม (informed consent form) 1.29 การตรวจตรา (Inspection) หมายถึง การตรวจอยางเปนทางการของหนวยงานควบคุม ระเบียบ กฎหมาย โดยตรวจทง้ั เอกสาร สถานที่ บันทกึ ขอมูลและสิ่งอื่นๆ ทห่ี นวยงานควบคมุ ระเบยี บกฎหมาย พิจารณาเห็นวาเกย่ี วขอ งกับการวจิ ยั ซึง่ อาจจะอยู ณ สถานทีว่ จิ ัย หรือทที่ าํ การของผูใ หท นุ วิจัยและ/หรือทอ่ี งคก รที่ รับทําวิจัยตามสัญญา หรือสถานท่ีอ่นื ๆ ตามทหี่ นว ยงานควบคุมระเบยี บกฎหมายเห็นสมควร 1.30 สถาบันท่ีวจิ ัย (Institution) หมายถึง หนว ยงานไมวาจะเปน สว นราชการหรือภาคเอกชนท้งั สถาบันทางการแพทย หรือทางทันตกรรมท่ีมกี ารดําเนินการวจิ ยั ทางคลนิ ิก 1.31 คณะกรรมการพิจารณาการวจิ ยั ประจําสถาบัน (Institutional Review Board: IRB) หมายถึงคณะกรรมการอสิ ระซึ่งประกอบดว ยแพทย นักวิทยาศาสตรแ ละผทู ไี่ มอ ยูใ นสายวิทยาศาสตร มหี นา ทส่ี ราง ความมั่นใจวาสิทธิ ความปลอดภัย และความเปนอยูท่ีดีของอาสาสมัครในการวิจัยไดรับการคุมครอง โดย อยางนอยควรทําหนาที่พิจารณาทบทวน, ใหความเห็นชอบ, และทบทวนทั้งโครงรางการวิจัยและสวนแกไข เพิ่มเติมอยางตอเนื่อง รวมท้งั พิจารณาวิธกี ารและเอกสารทจ่ี ะใชข อความยนิ ยอมและบนั ทกึ ความยนิ ยอมของอาสา สมัคร 1.32 รายงานผลระหวางการวิจยั (Inteim Clinical Trial/Study Report) หมายถงึ รายงาน ผลการวิจัยที่ดําเนินการแลวบางสวน และการประเมินผลการวจิ ัยโดยการวิเคราะหข อมลู ทไ่ี ดม าระหวางท่ีการวจิ ยั ดาํ เนนิ อยู 9
10 1.33 ผลติ ภัณฑทใ่ี ชในการวจิ ยั (Investigational Product) หมายถึง ผลิตภัณฑย าทเี่ ปนสารออก ฤทธ์ิหรือยาหลอก ท่ใี ชท ดสอบหรอื ใชเ ปน ตัวเปรียบเทียบในการวิจัย ซ่ึงรวมถึงผลติ ภณั ฑท ไ่ี ดรบั อนุมัตใิ หจ ําหนาย ในตลาดแลว แตนํามาใชหรือเปลี่ยนแปลงสตู รตํารับหรือนํามาบรรจุในรปู แบบทตี่ างจากท่อี นมุ ัติ หรอื นาํ มาใชใ น ขอบงใชใหมท ่ียงั ไมอ นมุ ัติ หรือนาํ มาศึกษาหาขอ มลู เพ่ิมเตมิ ตามขอบง ใชท อี่ นุมตั แิ ลว 1.34 ผูวิจยั (Investigator) หมายถึง บุคคลท่ีรบั ผดิ ชอบการดําเนินการวิจัยทางคลนิ ิก ณ สถานท่ี วิจัย ถาการวิจัยดําเนินการโดยทีมงานหลายคน ผูวิจัยท่ีรับผิดชอบเปนหัวหนาทีมอาจเรียกวาผูวิจัยหลัก [ดู รายละเอียดหวั ขอ “ผรู บั ชวงวจิ ัย” (Subinvestigator)] 1.35 ผูวิจัย/สถาบนั ทว่ี จิ ยั (Investigator/Institution) หมายถงึ ผวู จิ ยั และ/หรือสถาบนั ทีว่ ิจัย ตามที่กําหนดโดยขอกาํ หนดของระเบยี บกฎหมายท่เี ก่ียวของ 1.36 เอกสารคมู ือผวู ิจยั (Investigator’s Brochure) หมายถึง เอกสารท่รี วบรวมขอ มูลจาก การศึกษาทั้งทท่ี าํ ในมนุษย (clinical) และท่ไี มไดทาํ ในมนษุ ย (nonclinical) ของผลติ ภัณฑท ่ใี ชในการวิจยั ซึง่ เปน ขอมูลท่ีเก่ียวของกับการศึกษาผลิตภัณฑท ใี่ ชในการวจิ ัยในอาสาสมัคร (ดูรายละเอยี ดขอ 7 เร่ือง “เอกสารคมู ือ ผวู จิ ยั ”) 1.37 ผูแทนโดยชอบธรรมของอาสาสมคั ร (Legally Acceptable Representative) หมายถึง บุคคลหรือองคกรที่มีอํานาจโดยชอบธรรมตามกฎหมายในการใหความยินยอมแทนผูท่ีจะเปนอาสาสมัครท่ีจะเขา รว มการวจิ ยั ทางคลินกิ 1.38 การกํากบั ดแู ลการวิจยั (Monitoring) หมายถึง การดําเนนิ การเพ่อื ติดตามความกา วหนา ของการวิจัยทางคลินิก เพ่ือใหความม่ันใจวาการดําเนินการวิจัย การบันทึกและการรายงานเปนไปตามโครงราง การวิจยั , วิธีดําเนินการมาตรฐาน, GCP, และขอกําหนดของระเบยี บกฎหมายท่ีเก่ยี วของ 1.39 รายงานผลการกาํ กบั ดูแลการวจิ ยั (Monitoring Repeot) หมายถงึ รายงานที่เปนลาย ลักษณอักษรท่ีผูกาํ กับดแู ลการวิจัยเสนอตอผใู หทุนวิจัย ภายหลงั การตรวจเยย่ี มสถานทวี่ ิจยั แตล ะคร้งั และ/หรือ หลังจากการติดตออืน่ ๆ เก่ยี วกับการวจิ ยั ทั้งน้ตี ามวิธดี ําเนนิ การมาตรฐานของผใู หท ุนวิจัย 1.40 การวิจยั ที่กระทําพรอมกนั หลายแหง (Multicentre Trial) หมายถงึ การวจิ ยั ทางคลินิกท่ี ดําเนินการตามโครงรางการวิจัยเดียวกัน แตด าํ เนนิ การวจิ ยั ณ สถานทว่ี ิจยั มากกวา หน่งึ แหง และ ดงั น้นั จงึ มผี ูว ิจยั ท่ีเก่ียวขอ งมากกวาหน่ึงคน 1.41 การศึกษาวจิ ัยท่ีไมไดท ําในมนุษย (Nonclinical Study) หมายถึง การศกึ ษาทางชีวการ แพทย ซึ่งไมไดกระทาํ ในมนุษย 1.42 ความคดิ เหน็ ของคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมอสิ ระ (Opinion in relation to IEC) หมายถึง การตัดสนิ และ/หรือคําแนะนาํ ของคณะกรรมการพิจารณาจรยิ ธรรมอิสระ 10
11 1.43 เวชระเบียนตน ฉบบั (Original Medical Record) ดูรายละเอียดหัวขอ “เอกสารตนฉบบั ” (Source Documents) 1.44 โครงรา งการวจิ ัย (Protocol) หมายถึง เอกสารซึง่ ระบวุ ัตถปุ ระสงค การวางรูปแบบการ วิจัย ระเบียบวิธีวิจยั การคาํ นวณทางสถติ ิและการบริหารจดั การการวิจัย. โครงรางการวจิ ยั มักระบุความเปนมาและ เหตุผลของการวิจยั แตอ าจระบใุ นเอกสารอางอิงอื่นๆ ได ในแนวปฏบิ ตั ิ ICH GCP เลมน้ี คาํ วา “โครงรางการ วิจัย” จะรวมทั้งโครงรางการวิจัยและสว นแกไ ขเพมิ่ เติมโครงรางการวิจัย 1.45 สว นแกไ ขเพม่ิ เตมิ โครงรา งการวจิ ัย (Protocol Amendment) หมายถงึ การเปลยี่ นแปลง และการอธิบายรายละเอียดเพ่ิมเติมอยา งเปนทางการของโครงรา งการวิจยั โดยกระทาํ เปน ลายลกั ษณอ ักษร 1.46 การประกนั คณุ ภาพ (Quality Assurance: QA) หมายถงึ กระบวนการทั้งปวงทม่ี กี ารวาง แผนและดําเนินการอยา งเปนระบบเพื่อสรางความม่นั ใจวา การดําเนนิ การวจิ ัย ตลอดจนการเก็บ (generated) การ บันทึกและการรายงานขอ มูล เปนไปตาม GCP และขอกาํ หนดของระเบียบกฎหมายทเี่ ก่ียวขอ ง 1.47 การควบคุมคุณภาพ (Quality Control) หมายถึง เทคนิคการปฏิบัติและกิจกรรมท่ี เก่ียวของในระบบประกันคุณภาพเพ่ือยืนยันวา การดําเนินการตางๆ เก่ียวกับการวิจัยทางคลินิกมีคุณภาพตาม เกณฑทกี่ ําหนด 1.48 การสุมตวั อยา ง (Randomization) หมายถึง กระบวนการที่ใชกาํ หนดวา อาสาสมัครแตล ะ คนจะอยูในกลุมการรักษาดวยผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัยหรือกลุมควบคุม โดยอาสาสมัครมีโอกาสเทา เทยี มกันใน การถูกเลือกใหร บั การรกั ษาอยา งใดอยา งหนึง่ เพอ่ื ลดอคติ 1.49 หนวยงานควบคมุ ระเบียบกฎหมาย (Regulatory Authorities) หมายถึง องคกรตา งๆ ทีม่ ี อํานาจในการควบคมุ บงั คับใชระเบียบหรือกฎหมาย ในแนวปฏิบัติ GCP เลมนี้ คาํ วา “หนว ยงานควบคมุ ระเบียบ กฎหมาย” หมายความรวมถงึ องคก รท่ที าํ หนา ทีพ่ จิ ารณาทบทวนขอมูทางคลนิ ิกทไี่ ดรับ และองคก รที่ทําหนา ที่ ตรวจตราการวจิ ยั (ดขู อ 1.29) องคกรเหลานบี้ างกรณีหมายถึงพนักงานเจาหนาที่ (competent authorities) 1.50 เหตกุ ารณไมพ ึงประสงคชนดิ รายแรง (Serious Adverse Drug Reaction: Serious ADR) หมายถึง เหตุการณไมพงึ ประสงคใ ดๆ ทางการแพทย ท่เี กิดข้นึ เมอ่ื ไดร ับยาขนาดใดๆ กต็ าม แลว ทาํ ให - เสยี ชีวิต - เปน อนั ตรายคกุ คามตอ ชีวติ - ตองเขาพักรกั ษาตวั ในโรงพยาบาล หรอื ตอ งอยูโ รงพยาบาลนานขึน้ - เกิดความพกิ าร/ทุพพลภาพท่ีสําคัญอยางถาวร หรอื - เกิดความพิการ/ความผิดปกติแตก ําเนดิ (ดูรายละเอียดใน “แนวทาง ICH เร่ือง การบรหิ ารจดั การขอ มลู ความปลอดภยั ทางคลินิก: คําจํากัดความและ มาตรฐานการรายงานเรงดว น”) 1.51 ขอมลู ตนฉบับ (Source Data) หมายถึง ขอมูลทง้ั หมดจากการตรวจพบทางคลินิก จากการ สังเกตอาการหรือกิจกรรมอนื่ ๆ ทเี่ กิดขนึ้ ขณะดําเนินการวจิ ยั ที่ปรากฎในบนั ทกึ ขอ มลู ตนฉบบั รวมทั้งสาํ เนาบนั ทกึ ขอมูลตนฉบับ ซง่ึ ไดรบั การรับรองแลว ขอมลู เหลานเ้ี ม่อื ประกอบกนั ขนึ้ ทาํ ใหส ามารถประเมินการวจิ ัยได ขอมูลตน ฉบับรวมอยูในเอกสารตนฉบับ (บนั ทกึ ขอมลู ตน ฉบับหรอื สําเนาบนั ทกึ ขอมูลตน ฉบบั ทีไ่ ดร บั การรับรองแลว 11
12 1.52 เอกสารตนฉบบั (Source Documents) หมายถึง เอกสาร ขอมลู และบันทึกตา งๆ ตน ฉบบั (เชน เวชระเบียนในโรงพยาบาล ขอมลู ผปู ว ยในคลินิกและในสํานกั งาน ผลการตรวจทางหอ งปฏบิ ัตกิ าร บันทึก ชวยจํา บันทึกประจําวันของอาสาสมัครหรอื รายการเพ่ือใชป ระเมนิ อาการ บันทึกการจา ยยาของเภสชั กร ขอมูลท่ี บันทึกจากเครื่องตรวจอตั โนมัติ สําเนาเอกสารท่ีผา นการรับรองวา เปนขอ มูลทถี่ ูกตอง ไมโครฟช ฟล มภาพถาย ไมโครฟลมหรือส่ือแมเหล็ก ภาพถายรังสี แฟมขอมูลผูปวย บันทึกตางๆ ที่เก็บไวท ่ีฝา ยเภสชั กรรม ท่ีหอง ปฏิบัติการ รวมท้ังท่ีแผนกเทคนคิ การแพทยที่เก่ียวขอ งกบั การวิจัยทางคลินกิ ) 1.53 ผูใชทนุ วิจยั (Sponsor) หมายถึง บุคคล บริษทั สถาบนั หรือองคกรซง่ึ เปนผรู ับผิดชอบการ ริเริ่มการบรหิ ารจัดการ และ/หรือ ใหท นุ สนับสนนุ การวิจัยทางคลนิ กิ 1.54 ผวู ิจยั เปนผูลงทุนวจิ ัย (Sponsor-Investigator) หมายถึง ผูท ีท่ ้ังรเิ รม่ิ และดาํ เนินการวิจัย ทางคลินิกโดยลําพังหรือเปนทีม รวมท้ังเปนผูดูแลการบริหาร การจายหรือใชผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัยใหอ าสา สมัครคําน้ีไมครอบคลุมถึงองคก รหรือบริษทั ทีไ่ มใ ชตัวบุคคล ความรับผดิ ชอบของผูวิจยั ทีเ่ ปนผลู งทุนวจิ ยั จงึ รวม ความรบั ผดิ ชอบของผใู หทนุ วจิ ยั และผวู ิจัยไวด วยกัน 1.55 วธิ ดี าํ เนินการมาตรฐาน (Standard Operating Procedures: SOPs) หมายถึง คาํ แนะนําท่ี เปนลายลักษณอกั ษรโดยละเอียด เพอ่ื ใหก ารปฏบิ ัตหิ นา ที่ท่กี ําหนดเปนไปในรปู แบบเดียวกนั 1.56 ผูรับชวงวิจัย (Subinvestigator) หมายถึง ผูท่ีอยูในทีมงานวิจัยทางคลินิกซึ่งไดรับ มอบหมายหนาท่ีใหด าํ เนนิ การท่ีเกยี่ วขอ งกับการวิจยั และไดรับการกํากับดแู ลจากผูวจิ ยั หลกั ณ สถานทวี่ จิ ัย ใหทํา หนาทท่ี ีส่ าํ คญั และ/หรือตัดสินใจในเรือ่ งสําคญั ทเี่ กย่ี วกับการวิจยั (เชน ผชู วยวจิ ัย แพทยป ระจําบาน และแพทย ผูป ฏิบตั ิงานวิจยั ) ดูหัวขอ “ผูวจิ ัย” ดวย 1.57 อาสาสมัคร (Subject/Trial Subject) หมายถึง บุคคลผูเขารว มการวิจัยทางคลินกิ ไมวา จะ เปนผูไดรับผลิตภณั ฑท ใี่ ชใ นการวจิ ยั หรืออยใู นกลุมเปรยี บเทียบก็ตาม 1.58 รหสั ประจําตัวอาสาสมคั ร (Subject Identification Code) หมายถงึ เลขรหัสเฉพาะสําหรบั อาสาสมัครแตละคนซ่งึ ไดรับจากผูวจิ ัย เพอ่ื ปกปองขอมลู สวนบคุ คลของอาสาสมคั ร และใชแ ทนชื่ออาสาสมัครใน กรณีผูว จิ ัยรายงานเหตกุ ารณไ มพึงประสงค และ/หรือรายงานขอ มลู อืน่ ทเี่ กยี่ วของกบั การวจิ ัย 1.59 สถานที่วจิ ัย (Trial Site) หมายถึง สถานท่ซี ึง่ มกี ารดําเนนิ กจิ กรรมตา งๆ ท่เี กย่ี วขอ งกับการ วิจยั 1.60 อาการไมพ ึงประสงคจ ากยาทีไ่ มค าดคดิ มากอน (Unexpected Adverse Drug Reaction) หมายถึง อาการไมพงึ ประสงคซงึ่ ลกั ษณะหรือความรนุ แรงไมเ ปน ไปตามขอ มลู ผลติ ภัณฑท ่ีเกย่ี วขอ ง (เชน ขอมลู ในเอกสารคูมือผูวจิ ัยสาํ หรับผลติ ภัณฑท ี่ใชใ นการวิจยั ซ่งึ ยงั ไมอ นญุ าตใหขึน้ ทะเบยี น หรือเอกสารกํากบั ยา/บทสรปุ ขอมูลผลิตภัณฑท่ีข้ึนทะเบียนแลว) (ดูรายละเอียดใน “แนวทาง ICH เรื่อง การบริหารจัดการขอมลู ความ ปลอดภัยทางคลินกิ : คําจํากัดความและมาตรฐานการรายงานเรงดวน”) 12
13 1.61 อาสาสมคั รทอ่ี อนดอ ย (Vulnerable Subjects) หมายถงึ บุคคลซึ่งอาจถกู ชักจงู ใหเขา รวมการวิจัยทางคลินิกไดโดยงาย ดวยความหวังวาจะไดรบั ประโยชนจ ากการเขา รวมการวจิ ยั ไมวา จะสมเหตุสมผล หรือไมก็ตาม หรือเปน ผทู ต่ี อบตกลงเขารว มการวิจยั เพราะเกรงกลวั วาจะถกู กลนั่ แกลงจากผมู อี าํ นาจเหนอื กวาหาก ปฏิเสธ ตัวอยาง เชน ผูท่ีอยูในองคกรท่ีมีการบังคับบัญชาตามลําดับชั้น เชน นักศึกษาแพทย นักศึกษา เภสัชศาสตร นักศึกษาทนั ตแพทย และนักศกึ ษาพยาบาล บคุ ลากรระดบั ลางของโรงพยาบาลและเจา หนา ท่หี อ ง ปฏิบัติการ ลูกจางบริษัทยา ทหาร และผตู องขัง นอกจากนี้ยงั รวมถึงผปู วยซึ่งเปนโรคทีไ่ มส ามารถรกั ษาใหหายขาด ได ผูปวยในสถานคนชรา คนตกงานหรือคนยากจน ผูป ว ยในสภาวะฉุกเฉิน เผา พนั ธุชนกลุม นอย ผูไมมที ี่อยอู าศยั ผูเรรอน ผอู พยพ ผูเ ยาว และผูทีไ่ มสามารถใหค วามยินยอมดว ยตนเองได 1.62 ความเปนอยทู ด่ี ีของอาสาสมคั ร (Well-being of the trial subjects) หมายถงึ สภาวะ อันสมบูรณทง้ั รางกายและจิตใจของอาสาสมคั รที่เขารวมกรวิจัยทางคลินิก 13
14 2. หลกั การของ ICH GCP 2.1 ควรดําเนินการวิจัยทางคลินิกใหสอดคลองกบั หลักกรจรยิ ธรรมแหง คําประกาศเฮลซงิ กิ และ เปน ไปตาม GCP และขอกําหนดของระเบยี บกฎหมายท่เี กย่ี วของ 2.2 กอนเริ่มการวจิ ัย ควรพิจารณาชัง่ นา้ํ หนกั ระหวางความเส่ียงและความไมส ะดวกสบายทจ่ี ะเกิด ขึ้นกับประโยชนที่คาดวาทั้งอาสาสมัครในการวิจัยและสังคมจะไดรับ ควรเร่ิมการวิจัยและดําเนินการวิจัยตอไป เฉพาะกรณที ่ปี ระโยชนทจ่ี ะไดรบั คุม คา กับความเสี่ยง 2.3 สิทธิ ความปลอดภยั และความเปน อยทู ด่ี ีของอาสาสมัครเปนสิ่งสาํ คัญท่ีสุดท่คี วรคาํ นึงถึงและ ควรมีความสาํ คัญเหนือประโยชนทางวชิ าการและประโยชนของสงั คม 2.4 ควรมีขอมูลท้ังที่ศึกษาในมนุษยและที่ไมไดศึกษาในมนุษยของผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัยมาก พอเพียงท่สี นบั สนุนการทดลองทางคลินกิ ท่เี สนอ 2.5 การวิจัยทางคลินิกควรถูกตองตามหลักวิชาการและเขียนไวอยางละเอียดชัดเจนในโครงราง การวิจัย 2.6 ควรดําเนินการวิจัยทางคลินิกโดยปฏบิ ัติอยางเครงครัดตามขอ กาํ หนดในโครงรางการวิจัยทไี่ ด รับอนุมัติและ/หรือความเห็นชอบแลว จากคณะกรรมการพิจารณาการวิจัยประจําสถาบัน หรือคณะกรรมการ พิจารณาจริยธรรมอิสระ 2.7 แพทย หรือทันตแพทย (แลว แตกรณ)ี ผมู ีคณุ สมบัตเิ หมาะสมควรมีหนา ท่รี บั ผดิ ชอบดแู ล รักษาและตัดสนิ ใจทางการแพทยท ่ีกระทาํ แกอาสาสมคั รเสมอ 2.8 ผูเก่ียวของกับการดําเนินการวิจัยแตละคนควรมีคุณสมบัติเหมาะสมโดยผานการศึกษา การ ฝกอบรมและมีประสบการณเพียงพอทีจ่ ะทําหนาที่ของตนเองอยางดี 2.9 อาสาสมัครควรใหความยินยอมโดยสมัครใจทกุ คน กอ นเขา รว มการวิจัยทางคลินกิ 2.10 ควรบันทึก ดูแล และเก็บรกั ษาขอมลู จากการวิจัยทางคลินกิ ท้ังปวงโดยวธิ ีซ่ึงชวยใหก ารราย งานการแปลผล และการตรวจสอบทําไดอ ยางถกู ตอง 2.11 ควรคุมครองขอมูลความลับของอาสาสมัคร โดยใหความเคารพตอสทิ ธิสวนบุคคลและกฎ เกณฑการรักษาความลบั ตามขอ กาํ หนดของระเบียบกฎหมายทีเ่ กีย่ วขอ ง 2.12 ควรผลิต ดูแล และเก็บรักษาผลติ ภณั ฑท่ีใชในการวจิ ยั ตามหลักเกณฑการผลิตทด่ี ี (Good Manufacturing Practice: GMP). ควรใชผลิตภณั ฑท ใี่ ชในการวจิ ยั ตามทก่ี ําหนดในโครงรา งการวิจยั ที่ไดร ับอนุมัติ แลว 2.13 ควรปฏิบัติตามระบบซึง่ มีวธิ ีดําเนินการทสี่ ามารถประกันคณุ ภาพการวจิ ยั ในทุกๆ ดา น 14
15 3. คณะกรรมการพจิ ารณาการวิจัยประจําสถาบนั (Institutional Review Ethics Committee: IEC) 3.1 หนาท่รี บั ผิดชอบ 3.1.1 IRB/IEC ควรปกปองสิทธิ ความปลอดภยั และความเปนอยทู ีด่ ีของอาสาสมคั รในการวิจัย ทุกคน ควรใหความสําคญั เปนพิเศษสําหรับการวิจัยซ่ึงเก่ียวของกับอาสาสมัครทีอ่ อนดอ ย 3.1.2 IRB/IEC ควรไดรับเอกสารตา งๆ ตอ ไปน้ี ไดแก โครงรางการวิจยั และสว นแกไ ขเพ่ิมเติม โครงรางการวิจัย เอกสารใบยนิ ยอมและเอกสารใบยินยอมฉบับลา สดุ ซงึ่ ผูว ิจยั เสนอเพอ่ื ใชใ นการวิจัย ขอ มูลความ ปลอดภัยของผลิตภัณฑทมี่ ีอยู รายละเอียดคา ตอบแทนและคาชดเชยทจี่ ะใหอาสาสมคั ร ประวตั กิ ารศึกษา ผลงาน และประสบการณของผวู ิจยั (curriculum vitae) ฉบับลาสดุ และ/หรือ เอกสารแสดงคุณสมบัตขิ องผูวจิ ยั และ เอกสารอ่ืนๆ ท่จี าํ เปนตอการปฏิบัตหิ นา ท่ีของคณะกรรมการ IRB/IEC ควรพิจารณาทบทวนโครงการวิจยั ทางคลนิ ิกที่เสนอภายในระยะเวลาอนั สมควร และสรปุ ความเห็นเปนลายลักษณอักษรซง่ึ ระบโุ ครงการวจิ ยั และเอกสารที่คณะกรรมการพิจารณาทบทวน รวมทัง้ วนั ทที่ ท่ี าํ การทบทวนอยางชดั เจน โดยความเห็นของคณะกรรมการ อาจสรุปไดอยา งใดอยา งหนึง่ ตอ ไปนี้ - อนุมตั ิ/เห็นชอบ - ขอใหปรบั แกโ ครงรางการวิจัยกอนอนมุ ัต/ิ เหน็ ชอบ - ไมอนุมตั /ิ มีความเหน็ ในทางปฏเิ สธ และ - ถอน/ระงบั คําอนุมตั /ิ ความเห็นชอบทีเ่ คยใหก อนหนา นัน้ 3.1.3 IRB/IEC ควรพิจารณาคุณสมบัติของผูวิจัยสําหรับโครงการวิจัยที่เสนอ จากประวัติ การศึกษา ผลงานและประสบการณ และ/หรือเอกสารท่เี กยี่ วขอ งอน่ื ๆ ตามท่ี IRB/IEC ตอ งการ 3.1.4 IRB/IEC ควรพิจารณาทบทวนการวิจัยท่ีดําเนินการอยูอยางตอเน่ืองเปนระยะตามความ เหมาะสมกับระดับความเสยี่ งตอ อาสาสมคั ร แตการพิจารณาทบทวนการวจิ ยั ควรทาํ อยา งนอยปละครึง่ 3.1.5 IRB/IEC อาจขอขอมูลเพิ่มเติมจากท่ีกําหนดในขอ 4.8.10 เพื่อใหอาสาสมัคร หาก IRB/IEC พิจารณาเห็นวาขอ มูลเพ่ิมเตมิ เหลา นี้จะชวยใหสามารถคมุ ครองสิทธิ ความปลอดภัย และ/หรือ ความ เปนอยทู ี่ดขี องอาสาสมัครดยี งิ่ ขน้ึ 3.1.6 เม่ือตองดําเนินการศกึ ษาวิจัยทไี่ มใ ชเ พ่ือการรกั ษา (non-therapeutic trial) โดยมผี ูแทน โดยชอบธรรมของอาสาสมัครเปน ผใู หค วามยินยอม (ดูขอ 4.8.12 และขอ 4.8.14) IRB/IEC ควรกําหนดให โครงรางการวจิ ยั ท่ีเสนอ และ/หรือเอกสารอื่นๆ ระบขุ อพิจารณาทางจริยธรรมอยางพอเดยี ง และเปนไปตามขอ กําหนดของระเบยี บกฎหมายทเี่ ก่ียวของวา ดว ยการวิจยั ลักษณะน้ัน 3.1.7 ในกรณีโครงรางการวจิ ัยระบวุ าการขอความยินยอมจากอาสาสมคั รหรือผูแ ทนโดยชอบธรรม ของอาสาสมัครกอนเร่มิ การวจิ ัยทางคลินกิ ไมส ามารถกระทําได (ดขู อ 4.8.15) IRB/IEC ควรกาํ หนดใหโ ครงราง การวจิ ยั ที่เสนอ และ/หรือเอกสารอ่ืนๆ ระบุขอ พจิ ารณาทางจรยิ ธรรมอยา งพอเพยี ง และเปน ไปตามขอกาํ หนดของ ระเบียบกฎหมายที่เก่ยี วของวา ดวยการวจิ ยั ลักษณะนั้น (น่ันคือ ในกรณีฉุกเฉิน) 15
16 3.1.8 IRB/IEC ควรพิจารณาทบทวนทง้ั จาํ นวนเงนิ ท่จี ะจายและวธิ กี ารจายเงินใหอาสาสมัครเพ่ือ รับประกันวาไมเปนการกดดันหรือเปนการจูงใจอาสาสมัครอยางไมเหมาะสม ควรแบงจายเงินใหอาสาสมัครเปน รายครั้งและไมค วรจายเปน กอนเดียวเมอื่ การวจิ ัยเสรจ็ สน้ิ สมบูรณ 3.1.9 IRB/IEC ควรใหความมั่นใจวารายละเอียดการจายเงินใหอาสาสมัคร ซึ่งรวมถึงวิธีการ จํานวนเงินและกาํ หนดเวลาการจา ยเงนิ ไดก าํ หนดในเอกสารใบยินยอม และเอกสารอ่ืนที่จะใหอ าสาสมัคร และ ควรระบุวธิ ีการแบง จา ยเงนิ ใหอาสาสมัครเปน รายครงั้ ดว ย 3.2 องคป ระกอบ หนา ทแ่ี ละการปฏิบตั งิ าน 3.2.1 IRB/IEC ควรประกอบดวยกรรมการจํานวนตามสมควร ซ่ึงรวมแลวมีคุณสมบัติและ ประสบการณเพียงพอสําหรับพิจารณาทบทวนและประเมินงานวิจัยทเี่ สนอตอคณะกรรมการ ทง้ั ดา นวิทยาศาสตร ดานการแพทยและดานจริยธรรม IRB/IEC ควรประกอบดวย ก. กรรมการอยา งนอย 5 คน ข. กรรมการอยางนอย 1 คน มีความถนัดในสาขาวิชาที่ไมใชว ทิ ยาศาสตร ค. กรรมการอยางนอย 1 คน ไมไ ดทํางานในสถาบนั หรือสถานทว่ี ิจยั เฉพาะกรรมการของ IRB/IEC ท่ีไมเกีย่ วของกบั ผูวจิ ยั และผูใ หทุนวิจยั เทาน้นั ควรมีสทิ ธลิ งคะแนน เสียงและใหความเห็นเกย่ี วกับการวิจัย ควรเก็บรักษาบัญชรี ายช่ือและคุณสมบัติของกรรมการไว 3.2.2 IRB/IEC ควรปฏิบัติหนาท่ีตามวิธดี าํ เนนิ งานทก่ี ําหนดเปน ลายลกั ษณอ กั ษร ควรเก็บรกั ษา บันทึกกิจกรรมของคณะกรรมการและรายงานการประชมุ และควรปฏิบตั ิตาม GCP และขอกาํ หนดของระเบียบ กฎหมายทเ่ี กยี่ วขอ ง 3.2.3 IRB/IEC ควรตัดสินลงมติในวาระการประชมุ ทม่ี ีการประกาศนดั หมายลวงหนาและมอี งค ประชุมครบอยา งนอ ยตามจาํ นวนทีร่ ะบุในวิธีดาํ เนินงานท่ีเปน ลายลักษณอักษร 3.2.4 เฉพาะกรรมการผเู ขา รว มการพิจารณาทบทวนและการอภิปรายของ IRB/IEC เทา น้นั ควรมี สิทธลิ งคะแนนเสียง/ใหค วามเห็นและ/หรอื คําแนะนาํ 3.2.5 ผูวิจัยอาจใหขอ มูลดา นตา งๆ เกีย่ วกับการวจิ ยั เพิ่มเติม แตไ มค วรเขา รว มการตดั สนิ หรอื ลง คะแนนเสยี งและ/หรือใหความเหน็ ของ IRB/IEC 3.2.6 IRB/IEC อาจเชิญบุคคลอืน่ ท่มี คี วามชาํ นาญในดา นนัน้ ๆ มาชว ยเหลอื ได 3.3 วธิ ดี ําเนนิ การ IRB/IEC ควรกําหนดวิธีดําเนินการเปนลายลักษณอักษร และปฏิบัติตามวิธีดําเนินการซึ่งควร ประกอบดว ย 3.3.1 กําหนดองคประกอบ (ชอื่ และคุณสมบัตขิ องกรรมการ) และขอบเขตอํานาจหนา ท่ขี องคณะ กรรมการ 16
17 3.3.2 นัดหมายประชมุ เชญิ ประชมุ และดําเนนิ การประชุม 3.3.3 ดําเนินการพิจารณาทบทวนโครงการวจิ ยั ครั้งแรกและพิจารณาทบทวนอยางตอเนอื่ ง 3.3.4 กําหนดวาการพิจารณาทบทวนการวิจัยตอเน่ืองนั้นจะกระทําบอยคร้ังเพียงใด ตามความ เหมาะสม 3.3.5 จัดใหมีการพิจารณาทบทวนอยางเรงดวนและการใหคําอนุมัติและ/หรือความเห็นชอบกรณี มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กนอยของโครงการวิจัยที่ไดรับอนุมัติแลวและกําลังดําเนินการอยู ตามขอกําหนดของ ระเบียบกฎหมายทเ่ี กย่ี วขอ ง 3.3.6 กําหนดอยา งชัดเจนวาไมค วรรับอาสาสมคั รเขา รว มการวิจยั กอนท่ี IRB/IEC จะใหคาํ อนมุ ัติ และ/หรือความเหน็ ชอบเปน ลายลักษณอักษร 3.3.7 กําหนดอยางชัดเจนวาไมควรดําเนินการวิจัยที่เบ่ียงเบนจากโครงรางการวิจัยหรือมีการ เปล่ียนแปลงโครงรางการวิจัย กอนที่การแกไขเพิ่มเติมโครงรางการวิจัยนั้นจะไดรับคําอนุมตั แิ ละ/หรือความเหน็ ชอบเปนลายลกั ษณอ กั ษรจาก IRB/IEC ยกเวนในกรณจี าํ เปนเพื่อขจัดอนั ตรายเฉพาะหนาท่เี กิดขึ้นกับอาสาสมคั ร หรือเม่ือการเปล่ียนแปลงโครงรางการวิจัยน้ันเกี่ยวกับการบริหารจัดการโครงการวิจัยเทาน้ัน (เชน การเปลี่ยน แปลงผูกํากับดแู ลการวิจยั เบอรโ ทรศพั ท เปน ตน ) (ดูรายละเอียดในขอ 4.5.2) 3.3.8 กําหนดอยา งชัดเจนวาผวู จิ ยั ควรรายงานตอ IRB/IEC โดยทันทีเมอื่ ก. มีการดําเนินการท่ีเบี่ยงเบนจากโครงรางการวิจัยหรือการเปล่ียนแปลงโครงรางการวิจัยเพื่อ ขจัดอันตรายเฉพาะหนา ทีเ่ กดิ ขน้ึ กบั อาสาสมัคร (ดูรายละเอียดขอ 3.3.7, ขอ 4.5.2 และขอ 4.5.4) ข. มีการเปลี่ยนแปลงการวิจัยในทางที่เพิ่มความเสี่ยงตออาสาสมัคร และ/หรือกระทบตอ การดําเนินการวจิ ยั อยา งชดั เจน (ดรู ายละเอียดขอ 4.10.2) ก. เกิดอาการไมพงึ ประสงคจ ากยาทง้ั ชนิดรายแรงและไมค าดคดิ มากอ นทง้ั หมด ข. มีขอมูลใหมซึ่งอาจกระทบความปลอดภัยของอาสาสมัครในทางไมพึงประสงค หรือการดาํ เนิน การวจิ ัย เกี่ยวกับ 3.3.9 ใหความมั่นใจวา IRB/IEC แจง ใหผวู ิจยั /สถาบันท่ีวิจยั ทราบเปน ลายลกั ษณอักษรโดยทนั ที ก. การตัดสิน และ/หรือความเห็นของคณะกรรมการเกีย่ วกบั การวจิ ยั ข. เหตผุ ลประกอบการตดั สิน และ/หรือความเหน็ นัน้ ค. วิธีดําเนนิ การขออทุ ธรณตอ การตดั สิน และ/หรือความเห็นของคณะกรรมการ 3.4 บันทกึ ขอมลู IRB/IEC ควรเก็บรักษาบันทกึ ขอ มูลทเี่ ก่ียวของท้งั หมด (เชน วิธีดาํ เนนิ การท่ีเปนลายลักษณ อักษร รายช่ือกรรมการ รายละเอียดอาชพี และ/หรือสถาบันตนสงั กัดของกรรมการ เอกสารทย่ี ่ืนเสนอ รายงานการ ประชมุ และจดหมายติดตอ) เปนระยะเวลาอยา งนอ ย 3 ป หลังจากการวจิ ยั เสร็จสนิ้ สมบูรณและมไี วพ รอ มเม่อื หนวยงานควบคมุ ระเบยี บกฎหมายตองการ 17
18 IRB/IEC อาจถูกรองขอจากผูว จิ ยั ผใู หทุนวิจัยหรอื หนวยงานควบคุมระเบยี บกฎหมาย ใหสง วธิ ี ดําเนินการท่ีเปนลายลักษณอ ักษรและรายชื่อกรรมการ แกผขู อ 18
19 4. ผูว ิจยั 4.1 คุณสมบัตขิ องผวู จิ ัยและขอตกลง 4.1.1 ผูวิจัยควรมีคุณสมบัติเหมาะสมโดยผานการศึกษา การฝกอบรมและมีประสบการณที่จะ ปฏิบัติหนาท่ีดําเนินงานวิจัยอยางถูกตอง และควรมีคุณสมบัติครบถวนตามขอกําหนดของระเบียบกฎหมายที่ เกี่ยวของ และควรแสดงหลกั ฐานคณุ สมบัติเหลา นน้ั โดยมเี อกสารแสดงประวัตกิ ารศึกษา ผลงานและประสบการณ การทํางานฉบับลาสุดและ/หรือเอกสารอนื่ ๆ ที่เก่ียวของ ซงึ่ ผูใ หทนุ วิจัย, IRB/IEC, และ/หรือหนว ยงานควบคุม ระเบียบกฎหมายตอ งการ 4.1.2 ผูวิจัยควรมีความคุนเคยอยางยิ่งเกี่ยวกับการใชผลิตภัณฑที่ใชในการวิจัยอยางเหมาะสม ตามท่ีระบุในโครงรางการวจิ ยั ในเอกสารคูม อื ผวู ิจัยฉบบั ลา สดุ ในเอกสารขอมลู ผลติ ภัณฑ และในเอกสารอน่ื ๆ ที่ผู ใหทนุ วจิ ยั มอบใหผ วู ิจัย 4.1.3 ผูวิจัยควรตระหนักและพรอ มปฏบิ ตั ติ าม GCP และขอกําหนดของระเบยี บกฎหมายทเี่ กยี่ ว ของ 4.1.4 ผูวิจัย/สถาบันท่ีวิจัยควรใหความรวมมือกับการกํากับดูแลและการตรวจสอบการวิจัยโดยผู ใหทุนวิจัยรวมทั้งการตรวจตราการวิจัยโดยหนวยงานควบคมุ ระเบียบกฎหมายทเ่ี หมาะสม 4.1.5 ผูวิจัยควรเก็บรักษาบัญชีรายช่ือบุคลากรท่ีมีคุณสมบัติเหมาะสม ท่ีผูวิจัยมอบหมายงาน สําคัญท่ีเก่ยี วขอ งกับการวจิ ัยให 4.2 ทรัพยากรทเี่ พยี งพอในการวิจยั 4.2.1 ผูวิจัยควรสามารถแสดงศักยภาพการคัดเลือกอาสาสมคั รที่เหมาะสมอยางเพยี งพอ ภายใน ระยะเวลาท่ตี กลงไว (เชน โดยอาศยั ขอมลู ยอ นหลงั ) 4.2.2 ผูวิจัยควรมีเวลาเพยี งพอท่จี ะดําเนนิ งานวจิ ยั อยางถกู ตอ ง และเสรจ็ สิ้นการวิจยั ภายในระยะ เวลาทตี่ กลงไว 4.2.3 ผูวิจัยควรมีผูช วยงานวิจัยท่มี คี ุณสมบัติเหมาะสมและมีสิง่ สนับสนุนการวจิ ยั พอเพียง ตลอด ระยะเลาดําเนนิ การวิจยั เพ่ือสามารถดาํ เนนิ การวิจยั อยา งถูกตองและปลอดภัย 4.2.4 ผูวิจัยควรสรางความมั่นใจวาผรู วมดาํ เนินการวิจัยทุกคนทราบขอ มลู เกี่ยวกับโครงรา งการ วิจัยผลิตภัณฑท่ใี ชใ นการวจิ ัย และภาระหนา ทที่ ี่เกย่ี วของของแตละคน โดยละเอยี ด 4.3 การดแู ลรกั ษาทางการแพทยแกอาสาสมคั รในการวิจยั 4.3.1 แพทยผูมีคุณสมบตั ิเหมาะสม (หรือทันตแพทย แลว แตก รณี) ซ่งึ เปนผวู ิจัยหรอื ผูรบั ชวง วิจัย ควรมีหนาท่ีรับผดิ ชอบตดั สินใจทางการแพทยทงั้ หมด (หรือทางทนั ตกรรม) ทเ่ี กีย่ วขอ งกบั การวจิ ัย 19
20 4.3.2 ในระหวางการวิจัยและการตดิ ตามอาสาสมคั รภายหลงั เสรจ็ สน้ิ การวจิ ัย หากเกิดเหตุการณ ไมพึงประสงคใดๆ กับอาสาสมัคร รวมท้ังควมผิดปกติของคาการตรวจทางหองปฏิบัติการที่มีความสําคัญทาง คลินิกที่เกี่ยวของกับการวจิ ัย ผวู จิ ยั /สถาบันท่ีวิจัยควรใหความมนั่ ใจวาจะใหการดแู ลรักษาทางการแพทยแกอ าสา สมัครอยา งเต็มท่ี นอกจากนั้น ผูวจิ ัย/สถาบันที่วิจัยควรแจงใหอ าสาสมคั รทราบดวยวาจะไดร ับการดแู ลรักษาทาง การแพทย ในกรณีเกดิ ความเจ็บปวยอน่ื ๆ รว มดว ยระหวางการวจิ ยั 4.3.3 ในกรณีอาสาสมัครมแี พทยผ ใู หก ารดูแลรกั ษาอยูกอ นแลว (primary physician) และตกลง ท่ีจะใหแพทยทานนั้นทราบวาตนเขารวมการวิจัย ผูวิจัยควรแจงใหแพทยทานนั้นทราบการเขารวมการวิจัยของ อาสาสมัคร 4.3.4 ในกรณีอาสาสมัครถอนตวั จากการวิจยั กอ นสิ้นสดุ การวจิ ยั แมว าอาสาสมคั รไมจําเปนตอง แจงเหตุผลการถอนตัว แตผ วู ิจยั ควรพยายามหาเหตผุ ลการถอนตัวของอาสาสมคั รโดยยงั คงเคารพในสทิ ธิของ อาสาสมัครอยางเตม็ 4.4 การตดิ ตอกบั IRB/IEC 4.4.1 กอนเริ่มการวจิ ยั ผูวจิ ยั /สถาบันทีว่ ิจยั ควรไดร บั คาํ อนมุ ัตแิ ละ/หรือความเห็นชอบเปน ลาย ลักษณอ กั ษรและลงวนั ท่ี จาก IRB/IEC สําหรับเอกสารท่ยี น่ื เสนอ ไดแ ก โครงรางการวจิ ยั เอกสารใบยินยอม เอกสารใบยินยอมฉบับแกไขลา สดุ วิธดี าํ เนนิ การคดั เลือกอาสาสมคั ร (เชน เอกสารโฆษณา) และเอกสารอ่ืนที่จะ ใหอาณาสมคั ร 4.4.2 ในการย่ืนขออนมุ ัตติ อ IRB/IEC ผวู ิจัย/สถาบันท่ีวิจยั ควรย่ืนสําเนาเอกสารคมู ือผวู ิจยั ฉบบั ลาสุด หากมีการปรับปรุงแกไขระหวา งดาํ เนินการวจิ ยั ผูวจิ ัย/สถาบันทีว่ ิจยั ควรสง สําเนาเอกสารคูมือผูวิจัยฉบบั ปรับปรงุ แกไขให IRB/IEC ดวย 4.4.3 ระหวา งดาํ เนนิ การวิจัย ผูว ิจยั /สถาบันที่วิจัยควรสง เอกสารท้ังมดทต่ี อ งพิจารณาทบทวนให IRB/IEC 4.5 การปฏบิ ัติตามโครงรา งการวจิ ัย 4.5.1 ผูวิจัย/สถาบันท่ีวิจัยควรดําเนินการวิจัยตามขอกําหนดในโครงรางการวิจัยท่ีไดรับคําอนุมัติ และ/หรือความเห็นชอบจาก IRB/IEC, ตามทีต่ กลงกับผูใหทนุ วิจัย, และกับหนว ยงานควบคมุ ระเบยี บกฎหมาย ดวยในกรณีมีขอ กาํ หนด, ผวู ิจัย/สถาบันท่ีวจิ ัยรวมทัง้ ผูใ หทนุ วิจยั ควรลงนามรว มกันในโครงรางการวจิ ยั หรอื ใน สัญญาอนื่ เพื่อยนื ยนั ขอตกลงรว มกนั น้ี 4.5.2 ผูวิจัยไมควรดาํ เนนิ การวิจยั ทเ่ี บยี่ งเบนจากโครงรา งการวิจัย หรือเปลย่ี นแปลงโครงรา งการ วิจัย โดยไมไดรับความเห็นชอบจากผูใ หท นุ วิจัย รวมท้ังไมไ ดผ า นการพจิ ารณาทบทวนและไมไ ดรบั คาํ อนุมตั ิ และ/ หรือความเห็นชอบเปนหลกั ฐานในสวนแกไขเพมิ่ เติมจาก IRB/IEC กอน ยกเวน ในกรณจี าํ เปน เพื่อขจดั อันตราย เฉพาะหนาที่เกิดข้ึนกับอาสาสมัคร หรือเมื่อการเปลี่ยนแปลงน้ันเกี่ยวกับการบริหารจัดการโครงการวิจัยเทาน้ัน (เชน การเปลย่ี นแปลงผกู าํ กบั ดแู ลการวิจยั การเปลยี่ นแปลงเบอรโทรศัพท เปน ตน ) 20
21 4.5.3 ผูวิจัยหรือบุคคลท่ผี วู จิ ัยมอบหมาย ควรบันทึกเปนหลักฐานและอธบิ ายการดาํ เนินการวจิ ัยท่ี เบ่ียงเบนจากโครงรางการวิจัยท่ีไดรับอนมุ ัติ 4.5.4 ผูวิจัยอาจดาํ เนินการวิจยั ทเี่ บ่ียงเบนจากโครงรา งการวจิ ยั หรืออาจเปลย่ี นแปลงโครงรา งการ วิจัยไดในกรณีเพ่ือขจัดอันตรายเฉพาะหนาท่ีเกิดขึ้นกับอาสาสมัครโดยไมตองไดรับคําอนุมัติและ/หรือความเห็น ชอบจาก IRB/IEC กอน แตหลงั จากนัน้ ผวู จิ ัยควรยื่นเสนอเร่ืองการดําเนนิ การท่เี บี่ยงเบนจากโครงรางการวจิ ัย หรือการเปล่ียนแปลงโครงรางการวจิ ยั รวมท้ังเหตุผลของการกระทําดงั กลา ว และหากเหมาะสม สว นแกไ ขเพิ่มเตมิ โครงรา งการวจิ ยั ที่เสนอ ตอ หนว ยงานดงั ตอ ไปนี้โดยเร็วทสี่ ดุ ก. IRB/IEC เพื่อพิจารณาทบทวนและใหค ําอนมุ ตั แิ ละ/หรือความเหน็ ชอบ ข. ผูใหท ุนวิจัยเพื่อทําความตกลง และ ค. หนวยงานควบคมุ ระเบยี บกฎหมาย ในกรณีมขี อกาํ หนด 4.6 ผลิตภณั ฑท ใี่ ชใ นการวจิ ัย 4.6.1 ผูวิจัย/สถาบันท่ีวิจัยมีหนาท่ีรับผิดชอบจัดเก็บรักษาและควบคุมปริมาณรับ-จาย (accountability) ผลิตภัณฑท่ใี ชในการวิจัย ณ สถานทวี่ ิจัย 4.6.2 หากไดรับอนุญาต/จําเปนตองทํา ผูวิจัย/สถาบันท่ีวิจัยอาจ/ควรมอบหมายหนาที่เพียง บางสวนหรือทั้งหมดในการจัดเก็บรักษาและควบคุมปริมาณรับ-จายผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัยใหเภสัชกรหรือ บุคคลอื่นท่ีเหมาะสมภายใตก ารกาํ กับดแู ลของผูวจิ ัย/สถาบันทีว่ จิ ยั 4.5.3 ผูวิจัย/สถาบันท่ีวิจัย และ/หรือเภสัชกรหรือบุคคลอ่ืนที่เหมาะสมที่ผูวิจัย/สถาบันที่วิจัย มอบหมายควรเกบ็ รักษาบนั ทกึ การนาํ สงผลติ ภัณฑไ ปยังสถานทว่ี ิจัย, บัญชีรายการยาที่สถานที่วจิ ยั การใชยาโดย อาสาสมัครแตละคน, รวมทั้งการสงคืนผลติ ภัณฑทไี่ มไ ดใ ชแ กผ ใู หทนุ วิจยั หรอื วธิ กี ําจัดผลิตภณั ฑท ่ีไมไ ดใชอ นื่ ๆ บันทึกเหลานีค้ วรระบวุ ันที่ ปรมิ าณ เลขทกี่ ารผลิต (batch/serial numbers) วันหมดอายุ (หากมี) และเลขรหัส เฉพาะท่ีกําหนดบนผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัยและที่ใหอาสาสมัครในการวจิ ยั , และมผี ลิตภัณฑทใ่ี ชในการวิจยั ทไ่ี ด จากผใู หทุนวิจัยเหลอื ในปรมิ าณที่ถกู ตอง 4.5.4 ควรเก็บรักษาผลิตภัณฑท ีใ่ ชใ นการวจิ ัยตามแนวทางที่ผใุ หท ุนวิจัยกําหนด (ดรู ายละเอยี ดขอ 5.13.2 และขอ 5.14.3) และตามขอกาํ หนดของระเบยี บกฎหมายที่เก่ยี วขอ ง 4.5.5 ผูวิจัยควรใชผลติ ภณั ฑท ใี่ ชใ นการวจิ ัยตามท่รี ะบใุ นโครงรา งการวิจยั ที่ไดรบั อนุมตั ิเทา นัน้ 4.5.6 ผูวิจัยหรือบุคคลที่ผูวิจัย/สถาบันที่วิจัยมอบหมาย ควรอธิบายวิธีการใชผลิตภัณฑท่ีใชใน การวิจัยอยางถูกตองแกอ าสาสมคั รทกุ คน และควรตรวจสอบตามระยะเวลาทเี่ หมาะสมกับการวจิ ยั นนั้ ๆ วา อาสา สมัครแตล ะคนปฏิบตั ติ ามขอแนะนําน้ันอยางถูกตอ ง 4.7 วิธีดําเนินการสุมตัวอยางและเปดรหัสขอมูลเกี่ยวกับการรักษาท่ีอาสาสมัคร ไดร ับ 21
22 ผูวิจัยควรปฏิบัติตามวธิ ดี าํ เนนิ การสุมตัวอยางท่ีระบใุ นโครงรา งการวจิ ยั (ถามี) และควรใหค วาม ม่ันใจวา การเปดรหสั ขอมลู การรักษาทอี่ าสาสมคั รไดรับ ไดด าํ เนินการตามทก่ี ําหนดในโครงรา งการวจิ ยั เทานน้ั . ถา เปนการวิจัยแบบปกปด การรกั ษา ผูวจิ ยั ควรบนั ทกึ และอธิบายใหผ ใู หท ุนวิจยั ทราบถึงการเปด รหัสของผลติ ภณั ฑที่ ใชในการวิจัยกอนกําหนดโดยเร็ว (เชน การเปดรหัสโดยบังเอิญ การเปดรหัสเนื่องจากเกิดเหตุการณไมพึง ประสงคช นดิ รายแรง) 4.8 การใหความยินยอมของอาสาสมคั รในโครงการวจิ ัย 4.8.1 ในการขอความยินยอมและบันทึกความยินยอมจากอาสาสมัคร ผูวิจัยควรปฏิบัติตามขอ กําหนดของระเบียบกฎหมายท่ีเกี่ยวขอ ง และควรยึดตาม GCP และหลักการจรยิ ธรรมแหง คาํ ประกาศเฮลซงิ กิ อยางเครง ครัดกอนเริ่มดาํ เนินการวิจัย ผูวจิ ยั ควรไดร ับอนุมตั แิ ละ/หรือความเหน็ ชอบจาก IRB/IEC ตอเอกสาร ใบยินยอมและเอกสารอ่นื ที่จะใหอ าสาสมัคร 4.8.2 ควรทบทวนแกไขเอกสารใบยินยอมและเอกสารอื่นท่ีจะใหอาสาสมัครเมื่อมีขอมูลใหมที่ สําคัญเพิ่มเติม ซ่งึ อาจมผี ลตอการใหความยินยอมของอาสาสมัคร. เอกสารใบยนิ ยอมและเอกสารอ่นื ฉบับแกไ ข ใดๆ ท่ีจะใหอาสาสมัครควรไดร ับคําอนุมัติและ/หรือความเห็นชอบจาก IRB/IEC กอนนําไปใช อาสาสมคั รหรือผู แทนโดยชอบธรรมของอาสาสมัครควรไดรับแจงใหทราบขอ มลู ใหมใ นเวลาอนั สมควร ซึ่งอาจมีผลตอความสมัคร ใจของอาสาสมคั รท่จี ะคงอยใู นการวจิ ัยตอไป ควรบนั ทึกการแจงขอมูลใหมเหลา นีเ้ ปนหลกั ฐาน 4.8.3 ผูวิจัยรวมท้ังเจาหนาที่ในโครงการวิจัย ไมควรบังคับหรือลอใจอยางไมเหมาะสมใหอาสา สมัครเขารวมการวิจยั หรอื ยงั คงอยูในการวิจัยตอ ไป 4.8.4 ขอมูลที่เก่ียวของกับการวิจัยท้ังโดยวาจาและที่เปนลายลักษณอักษร รวมทั้งเอกสารใบยิน ยอม ไมควรระบุขอความดว ยภาษาใดๆ ทีท่ าํ ใหอ าสาสมคั รหรอื ตวั แทนโดยชอบธรรมสละสทิ ธิ หรือเสมือนวาสละ สิทธิใดๆ ตามกฎหมาย หรือปลอ ยหรือดเู สมือนปลอยใหผ ูว จิ ัย สถาบันที่วิจยั ผูใหทนุ วจิ ัย หรือเจาหนาทท่ี เ่ี กี่ยว ของหลุดพนจากความรับผดิ ตามกฎหมาย เนื่องจากการดําเนนิ การวิจยั โดยประมาทเลนิ เลอ 4.8.5 ผูวิจัยหรือบุคคลท่ีผูวิจัยมอบหมายควรแจงเรื่องทุกเรื่องที่เก่ียวของกับการวิจัย รวมทั้ง เอกสารและคําอนุมัตแิ ละ/หรือความเหน็ ชอบจาก IRB/IEC โดยละเอียดแกอาสาสมัครหรือผูแ ทนโดยชอบธรรม ในกรณีอาสาสมคั รไมส ามารถใหความยินยอมดว ยตนเองได 4.8.6 ภาษาที่ใชใหขอมูลเกี่ยวกับการวิจัยทั้งดว ยวาจาและทเี่ ปนลายลักษณอ กั ษร รวมทัง้ เอกสาร ใบยินยอม ควรเปนภาษาท่ีอาสาสมัครหรือผูแทนโดยชอบธรรมและพยานท่ีไมมีสวนไดเสีย (แลวแตกรณี) สามารถเขาใจไดงา ย และหลกี เลย่ี งศัพทเ ทคนิคเทา ท่จี ะทาํ ได 4.8.7 กอนไดรับความยินยอมเขาเปนอาสาสมัครในโครงการวิจัย ผูวิจัยหรือบุคคลที่ผูวิจัยมอบ หมายควรใหเวลาอาสาสมัครหรอื ผูแ ทนโดยชอบธรรมอยางเพยี งพอ และใหโ อกาสซกั ถามรายละเอยี ดตา งๆ เก่ียว กับการวิจัยรวมทั้งใหเวลาอยางพอเพียงในการตัดสินใจวาจะเขารวมโครงการวิจัยหรือไม คําถามทุกคําถามเก่ียว กับการวิจัยควรไดรบั การตอบจนเปนทพี่ อใจของอาสาสมคั รหรอื ผแู ทนโดยชอบธรรม 22
23 4.8.8 กอนท่ีอาสาสมัครเขา รวมการวจิ ัย อาสาสมัครหรอื ผูแ ทนโดยชอบธรรม รวมทง้ั บุคคลผทู ํา หนาที่ใหขอมูลและคําอธิบายในระหวางการขอความยินยอม ควรลงนามและลงวันที่ดวยตนเองในเอกสารใบยิน ยอม 4.8.9 ในกรณีอาสาสมัครหรือผูแทนโดยชอบธรรมไมสามารถอานหนังสือได ควรมีพยานท่ีไมมี สวนไดเสียอยูดวยตลอดระยะเวลาที่มีการใหขอมูลและคําอธิบายระหวางการขอความยินยอม หลังจากมีการอาน และอธิบายรายละเอียดในเอกสารใบยินยอมและเอกสารอื่นที่จะใหอาสาสมัครใหผูแทนโดยชอบธรรมหรืออาสา สมัครฟง ซ่ึงหลังจากน้ันอาสาสมัครหรอื ผูแ ทนโดยชอบธรรมใหความยินยอมดว ยวาจาเพอื่ เขา รว มการวจิ ัย และได ลงนามและลงวันทีด่ ว ยตนเองในเอกสารใบยนิ ยอม (หากทําได) ดังนั้น พยานท่ีไมมสี ว นไดเสยี ควรลงนามและลง วันที่ดวยตนเองในเอกสารใบยินยอมดังกลาวดว ย โดยการลงนามในเอกสารใบยินยอมดังกลาว พยานยนื ยนั วา ขอ มูลในเอกสารใบยินยอมและเอกสารอ่ืนๆไดรับการอธิบายอยางถูกตอง และอาสาสมคั รหรอื ผแู ทนโดยชอบธรรม แสดงวาเขาใจรายละเอียดตางๆ พรอ มท้ังใหความยินยอมเขารว มการวิจยั โดยสมคั รใจ 4.8.10 การใหขอมูลและคําอธิบายในระหวา งการขอความยินยอมและในเอกสารใบยินยอม รวม ทั้งเอกสารอื่นทีจ่ ะใหอาสาสมคั ร ควรมีรายละเอียดตอไปน้ี ก. ระบวุ าโครงการน้เี ปนการวจิ ยั ข. จุดมุงหมายของการวิจยั ค. การรักษาท่ีใหในการวิจัยและโอกาสที่อาสาสมัครจะไดรับการรักษาอยางใดอยางหนึ่งตามวิธี การสมุ เลอื ก ง. วิธีดําเนนิ การวิจยั รวมถงึ วิธีดาํ เนินการตางๆ ที่มีการลวงล้าํ (invasive) รางกายของอาสาสมัคร จ. หนาทีร่ ับผิดชอบของอาสาสมัคร ฉ. สวนของโครงการวจิ ยั ทเ่ี ปนการทดลอง ช. ความเสี่ยงหรือความไมสะดวกสบายที่อาจเกิดขึ้นแกอาสาสมัคร และในบางกรณีแกตัวออน หรือทารกในครรภ หรอื ทารกทดี่ มื่ นํ้านมมารดา ซ. ประโยชนที่คาดวาจะไดรับอยางสมเหตุผล ในกรณีการวิจัยไมกอเกิดประโยชนทางคลินิกแก อาสาสมัคร ควรแจง ใหอาสาสมัครทราบดว ยเชนกัน ฌ. วิธีดําเนินการหรือการรักษาทเี่ ปนทางเลอื กอน่ื ๆ ท่อี าสาสมคั รอาจไดรับ รวมท้ังประโยชนและ ความเสีย่ งที่สําคญั ของทางเลอื กอื่นๆ นน้ั ญ. คาชดเชยและ/หรือการรักษาท่ีอาสาสมัครจะไดร บั ในกรณเี กดิ อนั ตรายอนั เปน ผลจากการวิจัย ฎ. การจายคาตอบแทน (ถาม)ี ซึง่ กําหนดเปน รายคร้งั แกอ าสาสมัครทีเ่ ขารวมการวจิ ัย ฏ. คาใชจายตางๆ (ถา ม)ี สาํ หรบั อาสาสมคั รท่ีเขา รวมการวจิ ัย ฐ. ขอความที่ระบุวา การเขารว มการวจิ ยั ของอาสาสมคั รเปน ไปโดยความสมัครใจ และอาสาสมคั ร อาจปฏิเสธท่ีจะเขารวมหรือถอนตัวออกจากการวิจัยไดทุกขณะ โดยไมมีความผดิ หรอื สูญเสีย ประโยชนท ่อี าสาสมคั รพึงไดรับ ฑ. ขอความท่ีระบวุ า ผูกํากบั ดูแลการวจิ ัย ผูต รวจสอบการวิจัย IRB/IEC และหนวยงานควบคุม ระเบียบ กฎหมาย จะไดรับการอนุญาตใหตรวจสอบเวชระเบียนตนฉบับของอาสาสมัคร โดยตรง เพอ่ื ตรวจสอบ ความถูกตอ งของวิธดี าํ เนินการวิจยั ทางคลนิ กิ และ/หรือขอมูลอนื่ ๆ โดยไมละเมิดสิทธิของอาสาสมัครในการรักษาความลับเกินขอบเขตท่ีกฎหมายและระเบียบ กฎหมายอนุญาตไว ทงั้ นี้ โดยการลงนามในเอกสารใบยินยอม อาสาสมัครหรือผแู ทนโดยชอบ 23
24 ธรรมของอาสาสมคั รอนุญาตใหบุคคลตา งๆ ขา งตน มสี ิทธติ รวจสอบเวชระเบียนตนฉบับของ อาสาสมคั รโดยตรง ฒ. มีขอความท่ีระบุวาบนั ทึกทีร่ ะบขุ อ มลู สวนบคุ คลของอาสาสมัครจะไดร บั การเก็บรกั ษาเปน ความลับ และจะไมเ ปดเผยขอมูลเหลา น้ีแกสาธารณชนเกนิ ขอบเขตทีก่ ฎหมาย และ/หรือ ระเบียบกฎหมายอนญุ าต. ในการตีพิมพผ ลการวิจยั ขอมูลสวนบคุ คลของอาสาสมคั รจะยงั คง เก็บรกั ษาเปนความลบั ณ. มีขอความท่ีระบุวาอาสาสมคั รหรอื ผูแทนโดยชอบธรรม จะไดร ับแจง ใหท ราบขอมลู ใหมใ น เวลาอันสมควร ซ่งึ อาจมีผลตอ ความสมคั รใจของอาสาสมคั รท่ีจะคงเขารว มการวิจยั ตอ ไป ด. บุคคลท่ีจะติดตอขอขอมลู เพมิ่ เติมเก่ียวกบั การวิจยั และสทิ ธิของอาสาสมคั ร และบุคคลที่จะ รับแจงเหตใุ นกรณเี กิดอันตรายอนั เปน ผลจาการวิจยั ต. สภาวการณ และ/หรือเหตุผลท่ีอาจเพกิ ถอนอาสาสมคั รออกจากการวิจยั ถ. ระยะเวลาทคี่ าดวาอาสาสมัครเขารว มการวจิ ัย ท. จํานวนอาสาสมัครทเี่ ขา รวมการวจิ ัยโดยประมาณ 4.8.11 กอนเขารวมการวิจัย อาสาสมัครหรือผูแทนโดยชอบธรรมควรไดรับสําเนาเอกสารใบยนิ ยอมซึ่งลงนามและลงวนั ท่ีเรียบรอ ยแลว รวมทัง้ เอกสารอ่นื ที่ใหอ าสาสมัคร. ตลอดระยะเวลาเขา รวมการวจิ ัย อาสา สมัครหรือผูแทนโดยชอบธรรมควรไดรับสําเนาเอกสารใบยินยอมฉบับแกไขซึ่งลงนามและลงวันที่เรียบรอยแลว รวมท้ังสําเนาเอกสารอ่ืนท่ีมีการแกไ ขเพม่ิ เติมที่ใหอ าสาสมัครดวย 4.8.12 เม่ือการวิจัยทางคลินกิ (เพอ่ื การรกั ษาหรอื ไมก็ตาม) เก่ยี วของกบั อาสาสมัครซง่ึ ตอ งขอ ความยินยอมจากผูแทนโดยชอบธรรม (เชน ผเู ยาว หรอื ผูปว ยโรคสมองเส่อื มรุนแรง) อาสาสมคั รควรไดร ับการ อธิบายเกี่ยวกับการวิจัยดวยวิธีท่ีเหมาะสมท่ีอาสาสมัครนั้นจะเขาใจได และถาทําไดอาสาสมัครควรลงนามและลง วันท่ีในเอกสารใบยินยอมดวยตนเอง 4.8.13 ยกเวน จากทรี่ ะบใุ นขอ 4.8.14 การวิจัยท่ีไมใ ชเพอื่ การรักษา (น่ันคือ การวิจยั ทไี่ มก อ ประโยชนทางคลินิกแกอ าสาสมัครโดยตรง) ควรดําเนนิ การในอาสาสมคั รทส่ี ามารถใหความยินยอม สามารถลง นามและลงวันทใี่ นเอกสารใบยนิ ยอมดวยตนเองได 4.8.14 การวิจัยที่ไมใชเพ่ือการรักษาอาจดําเนินการในอาสาสมัครที่ผูแทนโดยชอบธรรมเปนผูให ความยินยอมแทนได หากเขา เงอ่ื นไขครบทกุ ขอ ตอ ไปนี้ ก. ไมสามารถดําเนินการวิจยั ใหบ รรลุตามวัตถุประสงคได ในอาสาสมัครทสี่ ามารถใหความ ยนิ ยอมดวยตนเองได ข. ความเสี่ยงที่อาจเกิดขน้ึ แกอ าสาสมคั รต่ํา ค. ผลกระทบทางลบตอ ความเปน อยูท่ีดีของอาสาสมัครมีนอ ยและตาํ่ ง. การวิจัยน้ันไมถูกหา มโดยกฎหมาย จ. IRB/IEC ไดพิจารณาอนุมัติและ/หรือเห็นชอบเปนลายลักษณอักษรใหผูแทนโดยชอบ ธรรมใหค วาม การวิจัยดังกลาวควรกระทําในผูปวยซ่ึงมีโรคหรืออาการซ่ึงผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัยดังกลาวมุงใช สําหรับรักษาโรคหรืออาการน้ัน ยกเวน ในกรณีมีเหตผุ ลอนั ควร. ควรตดิ ตามดแู ลอาสาสมคั รเหลานี้อยา งใกลชิด เปนพิเศษและควรถอนอาสาสมคั รดูจะรับความทกุ ขท รมานโดยไมส มควร 24
25 4.8.15 ในสถานการณฉุกเฉินซึ่งอาสาสมัครไมสามารถใหความยินยอมกอนเขารวมการวิจัยได หากทําไดควรขอความยินยอมจากผูแทนโดยชอบธรรม. ในกรณีที่อาสาสมคั รไมสามารถใหความยินยอมกอ นเขา รวมการวิจัยไดและไมสามารถติดตอกับผูแทนโดยชอบธรรมได การคัดเลือกอาสาสมัครดังกลาวเขารวมการวิจัย ควรดําเนินการตามมาตรการทีก่ าํ หนดในโครงรา งการวจิ ยั และ/หรือในเอกสารอื่นๆ ทีไ่ ดรบั คาํ อนมุ ัตแิ ละ/หรอื ความเห็นชอบเปนหลักฐานจาก IRB/IRC แลว ท้ังน้ี เพอ่ื ปกปองสทิ ธิ ความปลอดภยั และความเปนอยูท ่ีดขี อง อาสาสมัคร และเพ่ือใหความม่ันใจวา ผวู จิ ยั จะปฏบิ ตั ติ ามขอ กําหนดของระเบียบกฎหมายท่ีเกี่ยวของโดยเครงครดั . ควรแจงใหอาสาสมคั รหรือผแู ทนโดยชอบธรรมทราบเก่ยี วกบั การวิจัยโดยเร็วที่สุด และควรขอความยินยอมท่ีจะคง เขารวมการวจิ ยั ตอไป รวมทั้งขอความยินยอมอื่นๆ ตามความเหมาะสม (ดูขอ 4.8.10) 4.9 บันทกึ และรายงาน 4.9.1 ผูวิจัยควรใหความมัน่ ใจวาขอมูลทบี่ ันทกึ ถูกตอ ง สมบรู ณ อา นออกงา ย และสมารถสง ขอมลู ในรูปแบบบนั ทกึ ขอ มูลผูปว ยและรายงานท้ังหมดที่กาํ หนดตอผูใหทุนวิจยั ไดท นั เวลา 4.9.2 ขอมูลท่ีรายงานในแบบบันทึกขอมูลผูปวยซึ่งไดจากเอกสารตนฉบับ ควรสอดคลอตองกัน กับขอมูลในเอกสารตน ฉบับน้นั ๆ หรือควรอธบิ ายใหช ดั เจนหากมีความแตกตา งกัน 4.9.3 การเปลี่ยนแปลงหรอื การแกไขใดๆ ทีก่ ระทาํ ในแบบบันทกึ ขอ มลู ผปู ว ย ควรลงวนั ท่ี ลงชือ่ ยอกํากับและใหคาํ อธบิ าย (หากจาํ เปน) รวมทง้ั ไมค วรทาํ ใหข อมลู ท่ลี งไวกอ นหนาน้นั เลอะเลอื น (น่ันคือ ควรเก็บ รักษาหลักฐานการตรวจสอบไว) วธิ กี ารดังกลาวใหถือปฏบิ ตั ทิ ัง้ กบั การเปลี่ยนแปลงหรอื การแกไ ขใดๆ ในเอกสาร และขอมูลซึ่งบันทกึ ดว ยระบบอิเล็กทรอนิกส [ดูรายละเอยี ดในขอ 5.18.4 (ฑ)]. ผูใหทุนวิจัยควรใหค าํ แนะนาํ แก ผูวจิ ยั และ/หรือผูแทนที่ผูวิจัยมอบหมายในการแกไ ขดังกลา ว ผูใ หทุนวจิ ยั ควรมวี ิธดี าํ เนินการเปนลายลักษณอ ักษร เพื่อประกันวาการเปลี่ยนแปลงหรือกรแกไขขอมูลในแบบบันทึกขอมูลผูปวยโดยผูแทนท่ีผูใหทุนวิจัยมอบหมายมี การบันทึกเปนหลักฐาน, มีความจําเปน ตอ งทาํ , และไดรับรองโดยผวู จิ ัย. ผวู จิ ยั ควรเกบ็ รกั ษาบนั ทึกขอมลู การ เปลี่ยนแปลงและแกไ ขเหลา น้ี 4.9.4 ผวู จิ ัย/สถาบันท่ีวิจัย ควรเกบ็ รักษาเอกสารจากการวิจัยตามทรี่ ะบใุ นหัวขอ “เอกสารสําคญั สําหรับการดาํ เนินการวจิ ยั ทางคลนิ กิ ” (ดูขอ 8) และตามขอกําหนดของระเบียบกฎหมายทีเ่ กี่ยวของ ผวู จิ ยั / สถาบันที่วิจัยควรดําเนินมาตรการเพื่อปอ งกันการทาํ ลายเอกสารสาํ คญั เหลา นโ้ี ดยบังเอิญหรอื กอ นกําหนด 4.9.5 ควรเก็บรักษาเอกสารสําคัญเหลานี้จนกระท่ังประเทศสุดทายในกลุม ICH อนุมัตกิ ารวาง จําหนายผลติ ภณั ฑด งั กลา วไมต ํา่ กวา 2 ป และจนกระทงั่ ไมม ีการย่ืนหรอื รออนมุ ตั กิ ารวางจําหนายในตลาดในกลุม ICH หรือเปนระยะเวลาอยางนอย 2 ป ภายหลังการยุติการพัฒนาทางคลินิกของผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัย อยางเปนทางการ. ควรเกบ็ รักษาเอกสารเหลานเ้ี ปนระยะเวลานานกวา นี้ หากเปนขอกาํ หนดของระเบียบกฎหมายท่ี เก่ียวของ หรือเปน ความตกลงกบั ผูใหท นุ วจิ ัย ผูใ หท นุ วิจัยมีหนาท่ีรับผิดชอบแจงใหผูวิจัย/สถาบนั ทวี่ ิจยั ทราบวา เม่ือใดไมจาํ เปนตองเกบ็ เอกสารเหลา น้อี ีกตอไป (ดรู ายละเอยี ดขอ 5.5.12) 4.9.6 ควรบันทึกรายละเอียดเงินสนับสนุนการวิจัยในสัญญาที่ทําขึ้นระหวางผูใหทุนวิจัย และ ผูวิจัย/สถาบันทวี่ ิจัย 25
26 4.9.7 เม่ือไดรับการรองขอจากผูกํากับดูแลการวจิ ัย ผตู รวจสอบการวิจยั IRB/IEC หรอื หนว ยงาน ควบคุมระเบียบกฎหมาย ผูวิจัย/สถาบันที่วิจัยควรจัดเตรยี มบันทกึ ขอมูลตางๆ ทเ่ี กยี่ วขอ งกับการวิจยั ใหพ รอม เพื่อใหสามารถตรวจสอบขอ มลู ไดโดยตรง 4.10 รายงานความกา วหนา ของการวจิ ยั 4.10.1 ผูวิจัยควรยน่ื บทสรปุ สถานภาพการวิจยั เปน ลายลักษณอักษรตอ IRB/IEC ปละคร้งั หรือ บอยกวานั้นหาก IRB/IEC ตองการ 4.10.2 ผูวิจัยควรสง รายงานเปนลายลกั ษณอ ักษรเก่ยี วกบั การเปลีย่ นแปลงใดๆ ซึ่งมีผลกระทบที่ สําคัญตอการดําเนินการวิจัยและ/หรือเพ่ิมความเส่ียงแกอาสาสมัครในการวิจัยใหผูใหทุนวิจัย, ให IRB/IEC (ดูรายละเอียดขอ 3.3.8), และหากเกี่ยวขอ ง ใหส ถาบนั ทีว่ ิจยั 4.11 การรายงานความปลอดภยั 4.11.1 ควรรายงานเหตุการณไมพึงประสงคชนิดรายแรงทั้งหมดใหแกผใู หทนุ วิจยั ทราบโดยทนั ที ยกเวนเปนเหตุการณซ ึง่ โครงรางการวิจยั หรอื เอกสารอน่ื ๆ (เชน เอกสารคมู ือผวู ิจัย) ระบวุ าไมจ าํ เปนตอ งรายงาน โดยทันที รายงานทนั ทคี วรตามดวยรายงานที่เปน ลายลกั ษณอกั ษรโดยละเอยี ด ในรายงานทนั ทีและรายงานตดิ ตาม ผลควรระบุอาสาสมัครโดยใชเลขรหัสเฉพาะของอาสาสมัครในการวิจัย ไมควรใชช่ือ, เลขประจําตัวประชาชน, และ/หรือที่อยขู องอาสาสมคั ร. ผูวิจัยควรปฏิบัติตามขอกําหนดของระเบียบกฎหมายท่ีเกีย่ วของวา ดว ยการรายงาน อาการไมพึงประสงคจากยาชนิดรายแรงท่ีไมคาดคิดมากอน ตอหนวยงานควบคุมระเบียบกฎหมายและตอ IRB/IEC 4.11.2 ควรรายงานเหตกุ ารณไ มพ ึงประสงค และ/หรือความผดิ ปกตทิ รี่ วจพบทางหองปฏิบัติการ ซึ่งระบุในโครงรางการวิจัยวามีความสําคัญย่ิงตอการประเมินความปลอดภัย ใหผูใหทุนวิจัยทราบตามขอกําหนด ของการรายงานและภายในระยะเวลาทผ่ี ุใหทนุ วจิ ัยระบใุ นโครงรา งการวิจัย 4.11.3 สําหรับรายงานการเสยี ชวี ิต ผูวจิ ัยควรใหข อมลู เพิม่ เตมิ ตามที่ผูใหท นุ วิจยั และ IRB/IEC ตองการ (เชน รายงานผลการตรวจศพและรายงานทางการแพทยขน้ั สุดทาย) 4.12 การยุตกิ ารวจิ ยั กอนกาํ หนดหรอื การระงบั การวิจยั ถาการวิจัยถกู ยุตกิ อ นกาํ หนดหรอื ถูกระงับไวไ มว าจะดว ยเหตุผลใดก็ตาม ผวู จิ ยั /สถาบนั ที่วิจัยควร แจงใหอาสาสมัครในการวิจัยทราบโดยทันที ควรรับประกันวาอาสาสมัครจะไดรับการรักษาหรือติดตามผลการ รักษาอยางเหมาะสม และหากมีขอกําหนดของระเบียบกฎหมายท่ีเกี่ยวของ ผูวิจัย/สถาบันที่วิจัยควรแจงให หนวยงานควบคมุ ระเบียบกฎหมายทราบดวย นอกจากน้ี 4.12.1 ในกรณีที่ผูวิจัยยุติหรือระงับการวิจัยโดยมิไดขอความเห็นชอบจากผูใหทุนวิจัยกอนผูวิจัย ควรแจง ใหส ถาบนั ท่วี ิจัยทราบหากเก่ียวขอ ง และผูวจิ ัย/สถาบนั ที่วจิ ยั ควรแจง ใหผใู หท ุนวิจัยและ IRB/IEC ทราบ โดยทันทีเชนกัน พรอ มคาํ อธบิ ายท่เี ปน ลายลักษณอักษรโดยละเอียดถงึ สาเหตขุ องการยตุ ิหรอื ระงับการวจิ ยั 26
27 4.12.2 ถาผูใหท นุ วจิ ยั ยตุ ิหรือระงับการวิจยั (ดูรายละเอยี ดในขอ 5.21) ผูวิจัยควรแจง ใหสถาบนั ที่วิจัยทราบโดยทนั ทีหากเกย่ี วของ และผูวิจัย/สถาบันทวี่ ิจยั ควรแจงให IRB/IEC ทราบโดยทนั ทเี ชน กัน พรอม คําอธิบายท่ีเปนลายลกั ษณอ ักษรโดยละเอียดถงึ สาเหตขุ องการยุตหิ รือระงับการวจิ ยั 4.12.3 ถา IRB/IEC ยตุ ิ IRB/IEC ยุติหรอื ระงบั คําอนุมตั แิ ละ/หรือความเห็นชอบในการดาํ เนิน การวจิ ยั (ดูรายละเอียดขอ 3.1.2 และ 3.3.9) ผูวิจัยควรแจงใหสถาบันทีว่ ิจยั ทราบหากเกีย่ วขอ ง และผวู ิจัย/ สถาบันท่ีวิจัยควรแจงใหผูใหทุนวิจัยทราบโดยทนั ทีเชน กัน พรอมคําอธิบายท่เี ปนลายลกั ษณอ กั ษรโดยละเอยี ดถึง สาเหตุของการยุติหรือระงบั การวจิ ัย 4.13 รายงานเม่อื เสรจ็ สนิ้ การวิจัยโดยผวู ิจยั (Final Report) ภายหลังการวจิ ัยเสร็จส้ินสมบูรณ ผูวิจัยควรแจง ใหสถาบนั ทวี่ จิ ัยทราบหากเกยี่ วของ ผวู ิจัย/สถาบนั ที่ วิจัยควรสงบทสรปุ ผลลพั ธการวจิ ัยให IRB/IEC และสงรายงานอื่นๆ ตามทีห่ นว ยงานควบคุมระเบียบกฎหมาย ตอ งการ 27
28 5. ผูใหทนุ วจิ ยั 5.1 การประกนั คณุ ภาพและการควบคุมคุณภาพและการควบคุมคุณภาพ 5.1.1 ผูใหทุนวิจัยมีหนาที่รับผิดชอบดําเนินการและจัดใหมีระบบประกันคุณภาพและควบคุม คุณภาพตามวิธีดําเนินการมาตรฐานที่เปนลายลักษณอักษร เพ่ือสรางความมั่นใจวาการวิจัยไดดําเนินการ และ ขอมูลไดรับการเกบ็ บนั ทกึ และรายงาน โดยปฏบิ ัตติ ามโครงการวิจยั ตาม GCP และตามขอกําหนดของระเบยี บ กฎหมายทเี่ ก่ียวขอ ง 5.1.2 ผูใหทุนวิจัยมีหนา ท่ีรับผดิ ชอบรกั ษาขอตกลงของทุกฝา ยทเ่ี กย่ี วขอ ง เพอ่ื สรางความม่นั ใจวา ทุกฝายท่ีเกี่ยวขอ งสามารถเขา ถึงขอ มลู โดยตรงของสถานทว่ี ิจยั ทุกแหง (ดูขอ 1.21), รวมทั้งเอกสารและ/หรอื ขอมูลตนฉบับ, และรายงานตางๆ ท้ังน้ี เพ่ือใหเปนไปตามวัตถุประสงคของการกํากับดูแลและการตรวจสอบ การวิจัยโดยผูใหทุนวิจัยรวมทั้งการตรวจตราการวิจัยโดยหนวยงานควบคุมระเบียบกฎหมายทั้งภายในและ ภายนอกประเทศ 5.1.3 การควบคุมคุณภาพ ควรมีการดําเนินการในทุกขั้นตอนของการจัดการขอมูล เพื่อสราง ความมั่นใจวา ขอมูลทง้ั หมดเชอื่ ถอื ได และไดรับการประมวลผลอยางถูกตอ ง 5.1.4 ขอตกลงซ่ึงทําข้นึ โดยผูใหท นุ วจิ ัยกบั ผูวจิ ัย/สถาบันท่ีวจิ ยั วมทงั้ กลุมบคุ คลอืน่ ๆ ท่ีเกยี่ วของ กับการวิจัยทางคลินิก ควรกระทําเปนลายลักษณอักษรและถอื เปนสวนหน่ึงของโครงรา งการวจิ ยั หรอื ทําเปนขอ ตกลงแยกตางหาก 5.2 องคก รท่ีรบั ทาํ วจิ ยั ตามสญั ญา (CRO) 5.2.1 ผูใหทุนวิจัยอาจมอบหมายหนาที่และความรับผิดชอบบางสวนหรือท้ังหมดท่ีเกี่ยวของกับ การวจิ ยั ของผใู หทนุ วจิ ยั ให CRO แตความรับผิดชอบสงู สดุ ตอ คณุ ภาพและความนา เชอื่ ถอื ของขอ มลู จากการวิจยั ยังเปน ของผใู หท ุนวจิ ัยเสมอ. CRO ควรทําหนาท่ีดาํ เนนิ การประกนั คณุ ภาพและควบคมุ คณุ ภาพของงานวจิ ยั 5.2.2 การมอบหมายหนา ท่แี ละความรบั ผิดชอบให CRO ควรกระทําเปนลายลกั ษณอักษร 5.2.3 หนาท่ีและความรับผิดชอบทเี่ กย่ี วของกบั งานวจิ ัยอน่ื ๆ ซึ่งไมไ ดร ะบใุ นการมอบหมายงานให CRO ยังเปนของผุใหท ุนวจิ ัย 5.2.4 รายละเอียดอางอิงถงึ ผใู หท นุ วจิ ยั ทป่ี รากฎในแนวปฏิบตั เิ ลม น้ที งั้ หมดให CRO ถอื ปฏิบัติ กับหนาที่และความรับผิดชอบท่เี กี่ยวขอ งกับงานวิจัยท่ี CRO จะกระทาํ แทนผูใหท ุนวจิ ัย 5.3 ความเชี่ยวชาญทางการแพทย ผูใหทุนวิจัยควรแตงตั้งบุคลากรทางการแพทยท่ีมีคุณสมบัติเหมาะสม เพื่อใหคําแนะนําดานการ วิจัยอยางทันทวงทีเมอ่ื มคี ําถามหรือปญ หาทางการแพทยท เ่ี ก่ยี วขอ งกับการวจิ ยั ในกรณจี ําเปน อาจแตง ตง้ั ทปี่ รกึ ษา จากภายนอกเพ่อื วัตถปุ ระสงคน ้ไี ด 5.4 การวางรูปแบบการวจิ ยั 5.4.1ผูใหทุนวิจัยควรใชบ คุ ลากรทม่ี ีคณุ สมบัติเหมาะสม (เชน นักชีวสถิติ นักเภสัชวทิ ยาคลนิ ิกและ แพทย) ตามความเหมาะสม ในทุกข้ันตอนของกระบวนการวจิ ัย ตงั้ แตวางรปู แบบโครงรางการวิจยั และแบบบนั ทึก 28
29 ขอมูลผูปวย วางแผนการวิเคราะหข อ มลู ตลอดจนวเิ คราะหแ ละเตรียมรายงานผลระหวา งการวจิ ยั และรายงานเม่อื เสร็จสนิ้ การวจิ ยั 5.4.2 คําแนะนําอ่ืนๆ ที่เก่ียวของดูไดจ าก: “โครงรางการวิจัยทางคลินิกและการปรับปรุงแกไข โครงรา งการวิจัย” [Clinical Trial Protocol and Protocol Amendment(s)] (ดูรายละเอยี ดขอ 6), “แนวทาง ICH เรื่อง โครงสรางและเนอื้ หาของรายงานการวิจยั ทางคลินกิ ”, รวมทั้งคําแนะนาํ อ่นื ๆ ท่ีเหมาะสมของ ICH เกย่ี วกับ การวางรูปแบบการวิจัย, โครงรางการวิจยั , และการดาํ เนินการวิจยั 5.5 การบริหารจัดการงานวจิ ยั การจดั การขอ มูล และการเก็บบนั ทึกขอ มูล 5.5.1ผูใหทุนวิจัยควรใชบ ุคลากรทมี่ คี ณุ สมบัตเิ หมาะสมเพอ่ื กาํ กับดแู ลการดาํ เนนิ งานวจิ ัยทั้งหมด, จัดการขอมูล, ตรวจสอบขอ มลู , ดําเนินการวเิ คราะหท างสถติ ิและจัดเตรยี มรายงานผลการวิจัย 5.5.2 ผูใหทุนวิจัยอาจพิจารณาแตงตั้งคณะกรรมการกํากับดแู ลขอ มูลอิสระ เพือ่ ทาํ หนา ท่ีประเมนิ ความกาวหนาของการวิจัยทางคลินิก รวมท้ังประเมินขอ มูลความปลอดภยั และตวั วัดประสิทธิผลทส่ี ําคัญ (critical efficacy endpolints) เปนระยะๆ และใหคําเสนอแนะตอ ผใู หท นุ วิจยั วา ควรดําเนนิ การวจิ ัยตอไป เปลี่ยนแปลงหรือ ยุตกิ ารวจิ ัย, คณะกรรมการดังกลา วนี้ควรมวี ิธปี ฏิบตั ิงานท่ีเขียนเปน ลายลักษณอ ักษร และควรเกบ็ รกั ษาบันทกึ ราย งานการประชมุ ทกุ ครัง้ 5.5.3 เม่ือใชระบบการจัดการขอมูลแบบอิเล็กทรอนิกส และ/หรือ ระบบขอมูลแบบ อิเล็กทรอนกิ สระยะไกล (remote electronic trial data systems) ผูใหทนุ วิจยั ควรจะ ก. สรางความม่ันใจและบันทึกเปน หลกั ฐานวา ระบบประมวลผลขอ มูลแบบอิเลก็ ทรอนกิ สเปนไป ตามขอกําหนดของผูใหทนุ วจิ ยั วาดว ยความสมบรู ณ ความถูกตอ ง ความนา เชอ่ื ถือ และสามารถ ดําเนนิ การไดอ ยางคงทีส่ มา่ํ เสมอ [น่ันคือ การตรวจสอบความถูกตอ ง (validation) ข. มีวิธีดําเนนิ การมาตรฐานในการใชระบบเหลานี้ ค. สรางความม่ันใจวาระบบดังกลาวถูกออกแบบมาใหสามารถบันทึกการเปลี่ยนแปลงขอมูลได โดยไมลบขอ มลู เดิมทบ่ี ันทึกไวท ง้ิ ไป [นั่นคือ ยังคงเกบ็ รกั ษาหลักฐานการตรวจสอบ, หลกั ฐาน ขอ มูลเดิม (data trail), และหลกั ฐานการแกไ ข (edit trail) ไว] ง. มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ปอ งกนั มิใหเ ขาถึงขอมูลโดยไมไ ดรับอนญุ าต ซ. มีรายชื่อของผูที่ไดรบั อนญุ าตใหส ามารถเปลี่ยนแปลงขอมูลในระบบบนั ทกึ ขอ มลู (ดรู าย ละเอียดขอ 4.1.5 และ 4.9.3 ฉ. มีระบบเกบ็ ขอ มูลสาํ รองเพอื่ ปอ งกนั การสญู หายของขอมลู ช. ปองกันการเปดเผยการปกปดการรกั ษาท่ีอาสาสมคั รไดรบั (ถาม)ี เชน ยังคงการปกปด การ รักษาที่อาสาสมัครไดรับในระหวา งการปอ นขอ มูลเขา สรู ะบบ และระหวางการประมวลผลขอมลู ในระบบ) 5.5.1 ถาขอมลู ไดรบั การเปล่ยี นแปลง (transformed) ระหวางการประมวลผลขอ มูลในระบบ ควร สามารถเปรยี บเทยี บขอ มูลและขอสังเกตเดมิ กับขอมูลที่ประมวลผลแลว ไดเสมอ 5.5.2 ผูใหทุนวิจยั ควรใชร หัสอาสาสมัครทไี่ มก ํากวม (ดรู ายละเอียดขอ 1.58) เพ่ือสามารถบง บอกขอมูลทุกรายการของอาสาสมัครแตล ะรายได 5.5.3 ผูใหทุนวิจัยหรือเจาของขอมูลรายอ่ืน ควรเกบ็ รักษาเอกสารสาํ คัญเกย่ี วกบั การวิจยั ตามทผ่ี ู ใหทุนวจิ ยั ระบใุ หครบถว น (ดรู ายละเอยี ดขอ 8 “เอกสารสาํ คัญสาํ หรบั การดาํ เนินการวจิ ัยทางคลนิ กิ ”) 5.5.4 ผูใหทุนวิจัยควรเก็บรักษาเอกสารสําคัญที่เฉพาะเจาะจงกับผูใหทุนวิจัยท้ังหมด ตามขอ กําหนดของระเบียบกฎหมายท่เี ก่ียวขอ งของประเทศทอ่ี นุมตั ิผลติ ภัณฑน ัน้ และ/หรือ ของประเทศทผ่ี ูใ หทนุ วิจัยต้งั ใจจะขออนมุ ัติขึน้ ทะเบยี นผลติ ภัณฑ 29
30 5.5.5 ในกรณีผูใหทุนวิจยั ยตุ กิ ารพัฒนาทางคลินกิ ของผลติ ภณั ฑท ่ีใชในการวจิ ยั (นั่นคอื ยตุ ิการ ศึกษาขอบงใชบางขอหรือทุกขอ, ทางท่ีใหยา, หรือรูปแบบของยา) ผูใหทุนวิจัยควรเก็บรักษาเอกสารสําคัญท่ี เฉพาะเจาะจงกบั ผูใหท ุนวจิ ยั ทั้งหมดเปน เวลาอยางนอ ย 2 ป นับจากการยตุ ิการพัฒนาอยางเปน ทางการ หรือตาม ขอกําหนดของระเบียบกฎหมายท่เี ก่ยี วขอ ง 5.5.6 ถาผูใหทุนวจิ ยั ยุตกิ ารพัฒนาทางคลนิ กิ ของผลิตภณั ฑท ีใ่ ชใ นการวิจยั ผใู หทุนวิจยั ควรแจงให ผูวิจัย/สถาบันท่ีวิจัย รวมทั้งหนว ยงานควบคุมระเบียบกฎหมายทั้งหมดทราบ 5.5.7 ควรรายงานการโอนหรือเปลย่ี นกรรมสทิ ธิ์ใดๆ ของขอ มลู จากการวิจยั ไปยงั องคกรท่เี หมาะ สม ตามที่กําหนดโดยขอกําหนดของระเบยี บกฎหมายทเ่ี ก่ยี วขอ ง 5.5.8 เอกสารสําคัญที่เฉพาะเจาะจงกับผูใหท ุนวจิ ยั ควรเก็บรักษาไวจนกระท่ังประเทศสุดทายใน กลมุ ICH อนุมัติการวางตลาดผลติ ภณั ฑดังกลา วไมต าํ่ กวา 2 ป และจนกระทั่งไมม กี ารยนื่ ขอหรือรออนุมัติการวาง ตลาดผลติ ภณั ฑของประเทศในกลมุ ICH หรืออยา งนอยเปนเวลา 2 ป นับจากยุตกิ ารพฒั นาทางคลนิ กิ ของผลิต ภัณฑท่ีใชในการวิจัยอยางเปนทางการ ควรเกบ็ รักษาเอกสารเหลานเ้ี ปนระยะเวลานานกวา น้ี หากเปนขอ กําหนด ของระเบียบกฎหมายทีเ่ กี่ยวของ หรอื เปน ความตอ งการของผูใหท ุนวจิ ยั 5.5.9 ผูใหทุนวิจัยควรแจงใหผูวิจัย/สถาบันท่ีวิจัยทราบเปนลายลักษณอักษร ถึงความจําเปนใน การเก็บรักษาเอกสารทีเ่ กย่ี วของกบั การวจิ ัยไว และควรแจง ใหผ ูวจิ ัย/สถาบันที่วิจยั ทราบเปน ลายลักษณอ ักษรดว ย ในกรณีท่ีไมจ าํ เปน ตอ งเก็บรักษาเอกสารเหลา น้นั อีกตอ ไป 5.6 การคัดเลอื กผูวิจัย 5.6.1 ผูใหทุนวิจัยมีหนาท่ีรับผิดชอบคัดเลือกผูวิจัย/สถาบันท่ีวิจัย ผูวิจัยแตละทานควรมีคุณ สมบัติเหมาะสมโดยผานการฝกอบรมและมปี ระสบการณ รวมทงั้ มีทรัพยากรสนบั สนุนพอเพยี ง (ดูรายละเอียดขอ 4.1 และ 4.2) ที่จะดําเนินการวิจัยอยางถูกตอง ผูใหท นุ วิจยั ยงั มหี นา ทรี่ บั ผดิ ชอบแตงตงั้ คณะกรรมการประสาน งาน และ/หรือ คัดเลือกผูว จิ ยั ท่ที ําหนาทีป่ ระสานงาน ในกรณเี ปน การวิจยั ท่กี ระทาํ พรอ มกันหลายแหง 5.6.2 กอนทําความตกลงกับผูวิจัย/สถาบันที่วิจัยเพื่อดําเนินการวิจัย ผูใหทุนวิจัยควรมอบโครง รางการวิจัยและเอกสารคูมือผูวิจัยที่ทันสมัย และใหเวลาผูวิจัย/สถาบันที่วิจัยอยางเพียงพอเอพิจารณาทบทวน โครงรา งการวจิ ยั และขอ มลู ท่ีมอบให 5.6.3 ผูใหทุนวจิ ยั ควรไดรับขอตกลงจากผวู จิ ยั /สถาบนั ที่วจิ ัยในเรือ่ งตา งๆ ตอ ไปนี้ ก. จะดําเนนิ การวิจยั โดยปฏบิ ัตติ าม GCP และขอกําหนดของระเบยี บกฎหมายทเี่ กย่ี วขอ ง (ดูราย ละเอยี ดในขอ 4.1.3) รวมท้ังตามโรงรางการวจิ ยั ซึ่งตกลงกับผูใ หทุนวจิ ัยไว และไดรับคาํ อนุมตั ิ และ/หรือความเห็นชอบจาก IRB/IEC แลว (ดูรายละเอยี ดขอ 4.5.1) ข. จะปฏิบัตติ ามวธิ ีดําเนนิ การในการบนั ทกึ และ/หรือรายงานขอ มลู ค. จะอนุญาตใหมีการกํากับดูแล การตรวจสอบ และการตรวจตราการวิจัย (ดรู ายละเอียดขอ 4.1.4) และ ง. จะเก็บรักษาเอกสารสาํ คญั เก่ยี วกบั การวจิ ัย จนกระทัง่ ผูใ หทุนวจิ ัยแจง ใหท ราบวา ไมจ าํ เปน ตอ ง เก็บรักษาเอกสารเหลา น้ีอกี ตอ ไป (ดูรายละเอียดขอ 4.9.4 และขอ 5.5.12) ผูใหทุนวิจัยและผูวิจัย/สถาบันที่วิจัยควรลงนามรวมกันในโครงรางการวิจัยหรือเอกสารอ่ืนเพื่อ ยืนยันตามขอ ตกลงน้ี 5.7 การมอบหมายหนาทีร่ บั ผิดชอบ กอนเร่ิมดําเนนิ การวจิ ยั ผใู หทุนวจิ ัยควรกําหนด แตงตงั้ และมอบหมายหนาที่และความรับผิดชอบ ท้ังหมดเกีย่ วกบั การวจิ ยั ใหช ัดเจน 30
31 5.8 การจายคา ชดเชยแกอาสาสมัครและผวู จิ ัย 5.8.1 ในกรณีเปนขอ กาํ หนดของระเบียบกฎหมายที่เกีย่ วขอ ง ผใู หทนุ วจิ ยั ควรทําประกันหรือยอม รับท่ีจะชดเชยคาเสียหาย (ซ่ึงครอบคลุมทั้งดานกฎหมายและดานการเงนิ ) ในกรณผี ูวิจยั /สถาบันที่วิจัยถกู ฟอ ง รองเรียกคาเสียหายท่ีเกิดจากการวิจัย ยกเวนการเรียกรองความเสียหายอันเกิดจากการประพฤติผิดจริยธรรมใน การประกอบวิชาชีพเวชกรรม (malpractice) และ/หรือ เกดิ จากความประมาทเลินเลอ (negligence) 5.8.2 นโยบายและวิธีดําเนินงานของผูใหทุนวิจัย ควรระบุคาใชจายการรกั ษาพยาบาลท่ีจะใหอ าสา สมัครที่ไดรับบาดเจ็บจากการวจิ ยั ตามขอ กาํ หนดของระเบียบกฎหมายท่ีเกยี่ วของ 5.8.3 เม่ือมีการจายคา ชดเชยแกอ าสาสมคั รในการวจิ ยั วิธแี ละลกั ษณะการจา ยคา ชดเชยควรเปนไป ตามขอกําหนดของระเบยี บกฎหมายทีเ่ กย่ี วขอ ง 5.9 การสนบั สนนุ ดา นการเงิน ควรบันทึกการสนับสนนุ ทางการเงนิ ในการวจิ ัยเปน หลกั ฐานในขอตกลงระหวา งผูใหทนุ วจิ ยั กบั ผูวจิ ัย/ สถาบนั ท่ีวจิ ัย 5.10 การแจง และ/หรือการย่ืนเสนอเรอื่ งตอหนว ยงานควบคุมระเบยี บกฎหมาย กอนเร่ิมดาํ เนินการวจิ ัยทางคลนิ ิก ผใู หท นุ วจิ ัย (หรือผใู หท ุนวิจยั และผูวจิ ยั รวมกนั หากเปน ขอ กําหนดของระเบียบกฎหมายที่เก่ียวของ) ควรย่ืนเอกสารตามที่กําหนดตอหนวยงานควบคุมระเบียบกฎหมายท่ี เหมาะสม เพอ่ื พจิ ารณาทบทวน ใหความเห็นชอบ และ/หรืออนุญาตใหเร่ิมดําเนนิ การวิจยั ได (ตามขอกาํ หนดของ ระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวของ) เอกสารที่ใชในการแจงและ/หรือการยื่นเรื่องเสนอตอหนวยงานควบคุมระเบียบ กฎหมาย ควรลงวันที่และมขี อ มลู เพียงพอท่ีชวยระบุโครงรางการวจิ ยั นั้นได 5.11 การยืนยนั การพจิ ารณาทบทวนการวจิ ยั โดย IRB/IEC 5.11.1 ผูใหท นุ วิจยั ควรไดรับรายละเอียดตอไปน้จี ากผวู จิ ยั /สถาบันท่วี จิ ัย ก. ชื่อและท่อี ยขู อง IRB/IEC ของผวู ิจยั /สถาบันทีว่ จิ ยั ข. คํารับรองจาก IRB/IEC วา IRB/IEC ไดจัดตั้งและปฏิบตั ิหนาทตี่ าม GCP และตามกฎหมาย และระเบียบกฎหมายท่เี กยี่ วขอ ง ค. คําอนมุ ตั ิและ/หรือความเหน็ ชอบใหด ําเนินการวิจัยเปน ลายลักษณอ ักษรจาก IRB/IEC และใน กรณีผูใหท ุนวิจยั ตอ งการ ผวู ิจัย/สถาบันท่ีวิจัยควรจดั เตรียมเอกสารตา งๆ ไดแ ก สําเนาโครงรางการวจิ ัยฉบบั ลา สุด เอกสารใบยินยอมและเอกสารอื่นท่ีจะใหอาสาสมคั ร วธิ ดี ําเนินการคดั เลอื กอาสาสมัคร และเอกสารเก่ียวกบั การจายเงินและคา ชดเชยใหอ าสาสมัคร รวมทัง้ เอกสารอน่ื ๆ ที่ IRB/IEC อาจเรียกขอจากผูว ิจยั /สถาบันท่วี จิ ยั 5.11.2 ในกรณี IRB/IEC กําหนดเง่ือนไขการอนุมัตแิ ละ/หรือความเหน็ ชอบตอการแกไ ขเปลย่ี น แปลงในดา นตา งๆ ของการวิจยั เชน การปรับปรงุ แกไข (modification) โครงรา งการวจิ ยั , การปรับปรุงแกไข เอกสารใบยินยอมและเอการอืน่ ทจี่ ะใหอาสาสมัคร, และ/หรือการปรบั ปรุงแกไ ขวิธดี ําเนนิ การตางๆ ผูใหทนุ วิจยั ควรไดรับสําเนาเอการที่มีการแกไขเปล่ียนแปลงแลวจากผูวิจัย/สถานที่วิจัย รวมท้ังทราบวันที่ที่ไดรับคําอนุมัติ และ/หรือความเห็นชอบจาก IRB/IEC ตอเอกสารทแ่ี กไขเปลย่ี นแปลงน้นั 31
32 5.11.3 ผูใหทุนวิจัย ควรไดรับเอกสารคําอนุมัติและ/หรือความเห็นชอบใหดําเนินการวิจัยฉบับ ใหมจ าก IRB/IEC พรอมระบุวันท่ที ่อี นมุ ตั ิ รวมทงั้ เอกสารใหย ตุ ิหรือระงบั เปน การชั่วคราวของคาํ อนมุ ัติและ/หรือ ความเห็นชอบใหดาํ เนนิ การวจิ ัย 5.12 ขอมูลเกยี่ วกับผลติ ภณั ฑท ใี่ ชใ นการวจิ ยั 5.12.1 เม่ือวางแผนการวจิ ยั ผใู หท ุนวิจยั ควรใหความมั่นใจวา ขอ มลู ความปลอดภยั และประสิทธิ ผลท่ีไดจากการศกึ ษาทีไ่ มไดท ําในมนุษย และ/หรือท่ีทําในมนษุ ย มีเพยี งพอท่สี นบั สนุนการใชผ ลิตภณั ฑใ นอาสา สมัครในการศึกษาวิจัย ทง้ั ชอ งทางการให (route) ขนาดท่ีใช ระยะเวลาของการใช ตลอดจนกลมุ ประชากร 5.12.2 ผูใหทุนผูวิจัยควรปรับปรุงเอกสารคูมือผูวิจัยใหทันสมัยอยูเสมอในทันทีท่ีมีขอมูลใหมที่ สําคญั เพ่ิมข้นึ (ดรู ายละเอยี ดขอ 7 เร่ือง “เอกสารคูมอื ผูวิจัย”) 5.13 กระบวนการผลติ การบรรจุ การทาํ ฉลาก และการกาํ หนดรหสั ของผลิตภัณฑท ี่ใชใ นการ วจิ ัย 5.13.1 ผูใหทุนวิจัยควรสรางความม่ันใจวา มกี ารตรวจสอบคณุ ลกั ษณะ (characterized) ของ ผลิตภัณฑท่ีใชในการวจิ ยั (รวมท้งั ยาเปรยี บเทียบที่มฤี ทธแิ์ ละยาหลอก แลวแตก รณี) อยางเหมาะสมตามลาํ ดบั ข้ันของการพัฒนาผลิตภัณฑร ะยะนั้นๆ และไดรับการผลิตตามหลกั เกณฑก ารผลติ ที่ดี รวมท้งั มรี หสั และฉลากที่ไม ทําใหผ วู ิจยั และ/หรืออาสาสมัครรูชนิดการรกั ษาทอ่ี าสาสมคั รไดรบั (ในกรณเี ปนการวิจัยแบบปกปดการรกั ษา). นอกจากน้ี การทําฉลากผลติ ภัณฑท ี่ใชในการวจิ ัย ควรเปนไปตามขอ กําหนดระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวขอ ง 5.13.2 ผูใหทุนวิจัย ควรกาํ หนดรายละเอยี ดตา งๆ ของผลิตภัณฑที่ใชในการวจิ ัย ไดแก อณุ หภมู ิ ในการเก็บรักษา สภาวะการเกบ็ รกั ษา (เชน ปกปอ งใหพนแสง) ระยะเวลาในการเกบ็ ชนิดสารละลายท่ใี ชแ ละวิธี ดําเนินการผสมผงยา และอุปกรณที่ใชสาํ หรบั ใหผ ลิตภัณฑโ ดยวธิ ีหยดเขาหลอดเลือดดํา (ถา ม)ี . ผูใหทนุ วจิ ัยควร แจงรายละเอียดเหลานแี้ กผ เู กี่ยวขอ งทกุ คน (ไดแ ก ผูก าํ กับดูแลการวจิ ยั ผวู จิ ยั เภสชั กร และผูด แู ลคลังยา) 5.13.3 การบรรจุผลิตภัณฑท ่ีใชใ นการวิจยั ควรสามารถปองกันการปนเปอ นและการเส่ือมสภาพ ระหวา งการขนสง และการเกบ็ รักษา 5.13.4 ในการวิจัยชนิดปกปดการรักษา ควรมกี ลวิธที ีส่ ามารถระบุชนดิ ของผลติ ภัณฑอยา งรวดเรว็ ในกรณีมีภาวะฉุกเฉินทางการแพทยเกิดขึ้น แตไมอนุญาตใหเปดฉลากการปกปดการรักษาโดยไมสามารถตรวจ สอบได 5.13.5 ถามีการเปล่ียนแปลงที่สําคัญกับสูตรของผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัยหรือผลิตภัณฑเปรียบ เทียบระหวางการพฒั นาทางคลินิก ควรมผี ลการศึกษาเพิ่มเติมของผลติ ภัณฑท ี่ไดรับการเปล่ียนแปลงสตู ร (เชน ความคงตัวของผลิตภณั ฑ อัตราการละลาย และผลทางดานชีวอนเุ คราะห) ซึ่งจําเปน ตอ การประเมินวา การเปลย่ี น แปลงสูตรดังกลาว จะทําใหคุณสมบัติทางเภสัชจลนศาสตรของผลิตภัณฑที่ใชในการวิจัยเปล่ียนแปลงอยางมาก หรือไม และควรมขี อ มูลดังกลาวกอนจะนําผลติ ภณั ฑส ูตรใหมไปใชในการวจิ ยั 5.14 การจดั หาและดแู ลผลติ ภัณฑท่ีใชใ นการวิจยั 5.14.1 ผูใหทนุ วจิ ยั มหี นา ท่จี ัดหาผลิตภัณฑท่ใี ชใ นการวจิ ยั แกผ ูวจิ ยั /สถาบนั ท่วี จิ ัย 5.14.2 ผูใหทุนวิจัยไมควรสงมอบผลิตภัณฑทีใ่ ชใ นการวิจัยใหผูว จิ ัย/สถาบนั ทีว่ จิ ัย จนกวา จะได เอกสารที่จําเปน ครบถว น (เชน คาํ อนมุ ัตแิ ละ/หรือความเห็นชอบใหดาํ เนินการวจิ ัยจาก IRB/IEC และหนวยงาน ควบคุมระเบยี บกฎหมาย) 32
33 5.14.3 ผูใหทุนวิจัยควรสรา งความมัน่ ใจวา วธิ ดี ําเนินการทเ่ี ปน ลายลักษณอกั ษรมคี าํ แนะนาํ ใหผ ู วิจัย/สถาบันท่ีวิจัยควรปฏิบัติในการดูแลจัดการและเก็บรักษาผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัย รวมทั้งการบันทึกการ ปฏิบัติงานดังกลาว. วิธีดําเนินการเหลานี้ควรกลาวถึงการรับผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัยจํานวนเพียงพอโดยไมมี ความเสียหายเกิดข้ึน ตลอดจนการดูแลจัดการ การเก็บรกั ษา การจาย การเก็บคนื ผลิตภัณฑท ่ใี ชในการวิจยั ทอ่ี าสา สมัครยังไมไดใชและการสงมอบผลิตภัณฑท่ียังไมไ ดใชด งั กลาวคืนแกผ ใู หทุนวิจัย (หรือการกําจดั ผลติ ภณั ฑที่ใชใน การวิจัยดวยวิธอี ื่นหากผูใหทุนวิจัยเห็นชอบและสอดคลอ งกับขอ กาํ หนดของระเบียบกฎหมายทเ่ี กย่ี วของ) 5.14.4 ผูใหทนุ วิจยั ควรจะ ก. สรางความมัน่ ใจในการนําสงผลติ ภัณฑท่ีใชใ นการวจิ ยั ใหผวู ิจยั ในระยะเวลาทีเ่ หาะสม ข. เก็บรักษาเอกสารที่บันทึกการขนสง การรบั ของ การกาํ จัด การสงคนื และการทาํ ลายผลติ ภัณฑท ่ี ใชในการวจิ ัย (ดูรายละเอยี ดขอ 8 “เอกสารสําคัญสําหรับการดาํ เนนิ การวจิ ัยทางคลินิก”) ค. จัดใหมีระบบเก็บคนื ผลติ ภณั ฑที่ใชใ นการวิจัย และมเี อกสารกาํ กบั การเก็บคืนเหลา นี้ (เชน การ เรียกกลับผลิตภัณฑท่ีมีขอบกพรอง การคืนผลิตภัณฑหลังเสร็จส้ินการวิจัย และการคืนผลิต ภัณฑหมดอายุ) ง. จัดใหมีระบบกําจัดผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัยซึ่งยังไมไดใช และมีเอกสารกํากับการกําจัดผลิต ภัณฑเ หลา นี้ 5.14.5 ผูใหท นุ วิจัยควรจะ ก. ดําเนินการเพื่อสรางความมั่นใจวาผลิตภัณฑที่ใชในการวิจัยมีคุณภาพคงเดิมตลอดระยะเวลา การใช ข. เก็บรักษาผลิตภัณฑที่ใชในการวิจัยจํานวนเพียงพอเพื่อทําการยืนยันคุณลักษณะเฉพาะ (specifications) ของผลิตภัณฑ (หากจําเปน) และเก็บรักษาบันทกึ การวเิ คราะหต ัวอยา งรุน และลักษณะผลิตภัณฑ. หากผลติ ภัณฑค งสภาพนานเพยี งพอ ควรเก็บตัวอยา งไวจ นกระท่งั การ วิเคราะหขอมูลจากการวิจัยเสร็จสมบูรณหรือตามขอกําหนดของระเบียบกฎหมายท่ีเก่ียวของ แลว แตว า ระยะเวลาใดยาวนานกวา กัน 5.15 การเขาถึงบนั ทึกขอมูล 5.15.1 ผูใหทุนวิจัยควรสรางความมั่นใจวา โครงรา งการวิจยั หรือขอตกลงทเี่ ปน ลายลักษณอกั ษร อ่ืนไดระบุวา ผูวิจัย/สถาบันที่วิจัยอนุญาตใหเขาถึงเอกสาร/ขอมูลตนฉบับโดยตรง เพื่อการกํากับดูแลและการ ตรวจสอบการวจิ ยั การพจิ ารณาทบทวนโดย IRB/IEC และการตรวจตราโดยหนวยงานควบคุมระเบียบกฎหมาย 5.15.2 ผูใหทุนวิจัยควรตรวจสอบวา อาสาสมัครแตละคนใหความยินยอมเปนลายลกั ษณอ กั ษร อนุญาตใหเขาถึงขอมูลโดยตรงของเวชระเบียนตนฉบับของอาสาสมัคร เพ่ือการกํากบั ดูแลและการตรวจสอบการ วิจัย การพิจารณาทบทวนโดย IRB/IEC และการตรวจตราโดยหนวยงานควบคมุ ระเบยี บกฎหมาย 5.16 ขอมลู ความปลอดภยั 5.16.1 ผูใหทุนวิจัมีหนา ทรี่ บั ผิดชอบประเมนิ ความปลอดภยั ของผลิตภณั ฑท่ใี ชใ นการวจิ ยั อยาง ตอเน่อื ง 5.16.2 ผูใหทุนวิจัยควรแจงใหผูวิจัย/สถาบันท่ีวิจัยท้ังหมดและหนวยงานควบคุมระเบียบ กฎหมายทราบทันทีเกี่ยวกับขอมูลที่คนพบซึ่งอาจมีผลกระทบอยางไมพึงประสงคตอความปลอดภัยของอาสา สมัคร หรือมผี ลกระทบตอ การดําเนินการวจิ ัย หรอื เปล่ยี นแปลงคาํ อนมุ ัติและ/หรือความเหน็ ชอบของ IRB/IEC ใหคงดาํ เนนิ การวจิ ยั ตอไป 33
34 5.17 ผูใหทุนวิจัยควรเรงรายงานอาการไมพึงประสงคจากยาท้ังปวงท้ังชนิดรายแรงและท่ีไม คาดคิดมากอ น ตอผวู ิจยั /สถาบันท่วี จิ ัยท่เี กย่ี วขอ งทงั้ หมด ตอ IRB(s)/IEC(s) และตอหนวยงานควบคมุ ระเบยี บ กฎหมาย หากมขี อกาํ หนด 5.17.2 รายงานเรงดว นดังกลาว ควรเปนไปตามขอกําหนดของระเบียบกฎหมายท่เี กี่ยวของและ เปน ไปตาม “แนวทาง ICH เรื่อง การบรหิ ารจัดการขอมูลความปลอดภัยทางคลนิ ิก: คําจํากัดความและมาตรฐาน การรายงานอยางเรง ดวน” 5.17.3 ผูใหทนุ วิจัยควรย่ืนเสนอรายงานความปลอดภยั ฉบับลาสุด (safety updates) ทั้งหมดและ รายงานเปน ระยะ ตอ หนว ยงานควบคุมระเบยี บกฎหมาย ตามท่กี ําหนด 5.18 การกาํ กบั ดูแลการวิจัย 5.18.1 จุดมุง หมาย (purpose) จุดมุงหมายของการกํากับดูแลการวิจัย คือ เพ่ือยนื ยันวา ก. สิทธิและความเปน อยูท ่ดี ีของอาสาสมัครไดร ับการคุมครอง ข. ขอมูลที่ไดจากการวิจัยถูกตอ ง สมบรู ณ และสามารถตรวจสอบจากเอกสารตนฉบบั ได ค. การดําเนินการวิจัยเปนไปตามโครงรางการวิจัย/สวนแกไขเพ่ิมเติมฉบับลาสุดท่ีไดรับอนุมัติ รวมท้ังเปน ไปตาม GCP และขอกําหนดของระเบียบกฎหมายที่เกยี่ วขอ ง 5.18.2 การคัดเลือกและคณุ สมบัตขิ องผกู าํ กบั ดูแลการวิจยั ก. ผูกํากับดูแลการวจิ ัยควรไดรับแตงตัง้ จากผใุ หท ุนวิจยั ข. ผูกํากับดูแลการวิจัยควรไดรับการฝกอบรมอยางเหมาะสม และควรมีความรูทางวิทยาศาสตร และ/หรือความรูทางดานคลินิกอยางเพียงพอในการกํากับดูแลการวิจัย ควรบันทึกคุณสมบัติ ของผูกาํ กับดูแลการวจิ ัยเปน หลักฐาน ค. ผูกํากับดูแลการวิจัยควรมีความรูความเขาใจอยางถองแทเก่ียวกับผลิตภัณฑที่ใชในการวิจัย, โครงรางการวจิ ยั , เอกสารใบยนิ ยอมและเอกสารอืน่ ทจี่ ะใหอ าสาสมคั ร, วิธีดําเนนิ การมาตรฐานของผใู หท นุ วิจัย, GCP, และขอกําหนดของระเบยี บกฎหมายท่เี ก่ยี วขอ ง 5.18.3 ขอบเขตและลักษณะการกาํ กับดูแลการวจิ ยั ผูใหทุนวิจัยควรสรางความม่ัใจวาการวิจัยไดรับการกํากับดูแลอยางเพียงพอ ผูใหทุนวิจัยควร กําหนดขอบเขตและลักษณะการกํากับดูแลการวจิ ยั ทีเ่ หมาะสม โดยพิจารณาจากวตั ถปุ ระสงค จุดมุงหมาย การ วางรูปแบบการวิจัย และภายหลังเสร็จสิ้นการวิจัย, อยางไรก็ตามในกรณีพิเศษผูใหทุนวิจัยอาจกาํ หนดวา การ กํากับดูแลการวิจัยจากสว นกลางรว มกับวธิ ดี าํ เนินการตา งๆ เชน การฝก อบรมและการประชุมผูวจิ ยั รวมทั้งคํา แนะนําการดาํ เนนิ การวจิ ยั อยา งละเอยี ด (extensive written guidance) สามารถรบั ประกนั การดําเนินการวิจยั อยางเหมาะสมตาม GCP ได. วิธีที่ยอมรับในการคัดเลือกขอมูลเพ่อื ตรวจสอบกับเอกสารตน ฉบับ อาจใชก ารสมุ เลือกตัวอยา งตามหลักสถติ ิได 5.18.4 หนาท่ีรับผิดชอบของผกู าํ กบั ดูแลการวจิ ยั ผูกํากับดูแลการวิจัยซึ่งปฏิบัติตามขอกําหนดของผูใหทุนวิจัยควรสรางความม่ันใจวา การวิจัยได ดําเนินการและมีการบันทึกอยางถูกตอง โดยปฏิบัติกิจกรรมตางๆ ท่ีเก่ียวของและจําเปนตอการวิจัยและตอ สถานที่วิจยั ตอไปนี้ ก. ทําหนา ทีเ่ ปน ศูนยก ลางการติดตอ ส่อื สารระหวางผใู หท นุ วิจัยและผวู ิจัย ข. ตรวจสอบวาผูว จิ ยั มีคุณสมบตั ิเหมาะสมและมที รพั ยากรเพียงพอ (ดรู ายละเอยี ดขอ 4.1, ขอ 4.2, และขอ 5.6) และคงมีอยูต ลอดระยะเวลาการวิจัย และตรวจสอบวาสงิ่ สนบั สนุนการวิจยั 34
35 ตางๆ ไดแก หองปฏิบัติการ อปุ กรณ และบคุ ลากร มเี พยี งพอท่ีอํานวยใหก ารดาํ เนินการวจิ ัย เปนไปอยางถูกตองปลอดภัยและคงมีอยูต ลอดระยะเวลาการวจิ ัย ค. ตรวจสอบผลิตภณั ฑทใี่ ชใ นการวิจยั วา (1) ระยะเวลาท่ีเก็บและสภาพท่ีเก็บเปนท่ียอมรับได และมีปริมาณผลิตภัณฑเ พียงพอตลอด การวจิ ัย (2) ผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัยถูกสงมอบใหอาสาสมัครท่ีมีคุณสมบัติเหมาะสมที่เขารวมการ วิจัยเทาน้นั และใหตามขนาดที่ระบุในโครงรา งการวจิ ัย (3) อาสาสมัครไดรับคําแนะนําทจ่ี าํ เปนในการใช การดแู ล การเก็บรักษา และการสงคนื ผลติ ภัณฑทใ่ี ชในการวิจัยอยา งถูกตอง (4) การรับมอบ การใช และการสงคนื ผลิตภัณฑทใ่ี ชใ นการวจิ ัย ณ สถานที่วจิ ัย มกี ารควบคมุ และบนั ทึกในเอกสารโดยละเอียด (5) การกําจัดผลิตภณั ฑท ใ่ี ชใ นการวจิ ยั ซึง่ ยงั ไมไ ดใช ณ สถานทว่ี จิ ัย เปน ไปตามขอกําหนด ของระเบียบกฎหมายทเ่ี กีย่ วขอ ง และขอ กาํ หนดของผใู หท นุ วิจยั ง. ตรวจสอบวาผวู ิจัยปฏบิ ัติตามโครงรา งการวิจัยและสวนแกไขเพมิ่ เติมโครงรางการวจิ ัยท้งั หมด (หากมี) ท่ีไดร บั อนมุ ตั แิ ลว จ. ตรวจสอบวาอาสาสมคั รแตล ะคนใหค วามยินยอมเปนลายลกั ษณอกั ษร กอ นเขารว มการวิจยั ฌ. สรางความม่ันใจวา ผูวิจัยไดรับเอกสารคูม ือผูวจิ ยั ฉบบั ลาสุด เอกสารทัง้ หมด และสิ่งจําเปน อ่ืนๆ ทั้งหมดในการวิจัยเพื่อสามารถดําเนินการวิจัยอยางถูกตอง และเปนไปตามขอกําหนดของ ระเบยี บกฎหมายทเี่ ก่ียวขอ ง ญ. สรางความม่ันใจวาผูวิจัยและบุคลากรในทีมงานของผูวิจัยรับทราบรายละเอียดเก่ียวกับการวิจัย อยา งเพยี งพอ ซ. ตรวจสอบวาผูวิจยั และบุคลากรในทมี งานของผูวิจัยปฏบิ ัตหิ นาทท่ี ี่ไดร ับมอบหมายอยางสอด คลองกับโครงรางการวิจยั และขอตกลงอ่นื ๆ ทเี่ ปนลายลกั ษณอ ักษรระหวางผูใหท ุนวจิ ยั กบั ผู วิจยั /สถาบันที่วิจัยและดแู ลวา ไมม กี ารมอบหมายหนาท่เี หลานีใ้ หผ อู ่นื ทไี่ มไดร บั อนุญาต ญ. ตรวจสอบวาผวู จิ ัยคดั เลอื กเฉพาะอาสาสมคั รท่มี ีคณุ สมบตั ิเหมาะสมเทานนั้ เขาสกู ารวจิ ยั ฎ. ตรวจสอบวาเอกสารตน ฉบับและบนั ทึกขอ มลู จากการวิจัยอ่นื ๆ ถูกตอง, สมบูรณ, ทันสมัย, และถกู เก็บรักษาไว ฏ. ตรวจสอบวา ผูวิจัยสงเอกสารตา งๆ ท่จี าํ เปนท้ังหมด ไดแ ก รายงาน ใบแจงเตอื น ใบสมัครและ ใบคาํ รอ ง (applications and submissions) และตรวจสอบวาเอกสารเหลานถ้ี ูกตอ ง สมบรู ณ สง มอบทันเวลา อานงา ย มกี ารลงวันทแ่ี ละระบุโครงการวิจัยนน้ั ฐ. ตรวจสอบความถูกตอ งและความสมบูรณข องบันทกึ ขอมูลในแบบบันทกึ ขอ มูลผูปวยเปรยี บ เทียบกับเอกสารตน ฉบับ และบันทึกขอมลู อ่ืนๆ ท่ีเก่ียวของกบั การวิจัย. ในการนผี้ ูกํากบั ดแู ล การวจิ ัยควรมุง ตรวจสอบวา (1). ขอมูลท่ีตองการตามท่ีระบุในโครงรางการวิจัย ไดรับการรายงานอยางถูกตองในแบบ บันทึกขอมูลผปู วย และสอดคลอ งตองกนั กับขอมูลในเอกสารตน ฉบับ (2). ขนาดยา และ/หรือวิธีการรักษาใดๆ ของอาสาสมัครแตละคนทเ่ี ปลีย่ นไปจากท่กี าํ หนด ไดรับการบันทกึ อยา งชดั เจน (3). เหตกุ ารณไมพ งึ ประสงคทีเ่ กิดขน้ึ , ยาที่ใหรวมกนั , และอาการเจ็บปวยทเี่ กดิ ข้ึนระหวา ง การวิจัย ไดรับการรายงานในแบบบันทกึ ขอมลู ผูป ว ยตามทกี่ าํ หนดในโครงรางการวจิ ยั (4). การไมมาพบแพทยตามนัดของอาสาสมัคร การทดสอบและการตรวจรางกายที่ไมได กระทําในอาสาสมัคร ไดร บั การรายงานอยางชดั เจนในแบบบนั ทึกขอ มูลผปู ว ย 35
36 (5). การถอนตัวและการขาด (drop out) จากการวิจัยของอาสาสมคั รที่เขารว มการวิจัยแลว ทั้งหมด ไดรับการรายงานและอธิบายสาเหตุในแบบบนั ทกึ ขอมลู ผปู วย ฑ. แจงใหผูวิจัยทราบถึงความผิดพลาดในการบันทึกขอมลู ในแบบบันทึกขอมูลผูปว ย รวมท้ังการ กรอกขอมูลขาดหายไปหรืออา นไมออก ผกู าํ กับดูแลการวจิ ยั ควรใหค วามม่นั ใจวา การแกไ ข การ เพ่ิมเติม หรือการลบขอมลู ออกไดก ระทําอยา งเหมาะสม มกี ารลงวันทีแ่ ละอธิบายสาเหตุ (หาก จําเปน) และมีการลงช่ือยอกํากับโดยผูวิจัย หรือบุคลากรในทีมงานของผูวิจัยท่ีไดรับมอบ อํานาจใหทําการแทนผูวจิ ยั . ควรบนั ทกึ การมอบอาํ นาจดงั กลา วเปนหลกั ฐานดว ย ฒ. ดูวามีการรายงานเหตุการณไมพึงประสงคท้ังหมดท่ีเกิดข้ึนอยางเหมาะสมในระยะเวลาอันสม ควรตามทกี่ ําหนดใน GCP, ในโครงรางการวิจัย, โดย IRB/IEC, โดยผูใหท นุ วิจัย, และขอ กําหนดของระเบยี บกฎหมายที่เกี่ยวขอ ง ณ. ดูวาผูวิจัยเก็บรักษาเอกสารสาํ คญั ครบถว นหรอื ไมเ พยี งใด (ดรู ายละเอียดขอ 8 เรือ่ ง “เอกสาร สําคัญสาํ หรบั การทําวิจัยทางคลินกิ ”) ธ. แจงใหผูวิจัยทราบถึงการดําเนินการวิจัยท่ีเบี่ยงเบนจากโครงรางการวิจัย, วิธีดําเนินการมาตร ฐาน, GCP, และขอกําหนดของระเบียบกฎหมายท่เี กี่ยวของ และดําเนนิ มาตรการท่ีเหมาะสม เพ่ือปอ งกันมิใหเ กดิ เหตกุ ารณด งั กลา วอกี 8.18.5 วิธีดําเนนิ การกํากับดแู ลการวจิ ัย ผูกํากับดูแลกรวิจัยควรปฏิบัติตามวิธีดําเนินการมาตรฐานที่ผูใหทุนวิจัยกําหนดเปนลายลักษณอักษร รวมท้ังวิธีดําเนนิ การตางๆ ท่กี าํ หนดขึ้นโดยผูใหท นุ วิจัย เพอ่ื ใชก ํากบั ดแู ลการวจิ ยั เฉพาะนนั้ ๆ 5.18.6 รายงานการกาํ กับดแู ลการวจิ ัย ก. ผูกํากับดูแลการวิจัยควรสงมอบรายงานเปนลายลกั ษณอกั ษรใหผ ูใ หทนุ วิจยั ภายหลงั การตรวจเยยี่ ม สถานท่ีวิจัย หรือหลงั จากการตดิ ตอ สอ่ื สารทเ่ี กย่ี วของกับการวจิ ยั ทุกครง้ั ข. ในรายงานควรระบุวันที่ สถานที่วิจยั ชื่อผกุ ํากับดูแลการวจิ ัย และชือ่ ผูวิจัยหรือบุคคลอืน่ ๆ ทต่ี ิดตอ ดวย ค. รายงานการกํากบั ดแู ลการวิจัยควรประกอบดว ยบทสรปุ (summary) ของสิ่งทผ่ี กุ ํากับดแู ลการวิจยั พิจารณาทบทวน และบนั ทกึ ของผกุ ํากบั ดแู ลการวิจัยเกีย่ วกับสงิ่ ตรวจพบ/ขอ เทจ็ จรงิ ทีส่ ําคัญ, การ ปฏิบัติที่เบย่ี งเบนจากโครงรา งการวิจยั และขอ บกพรอ งตางๆ, ขอสรุป, มาตรการทด่ี ําเนินการแลว หรือที่จะดําเนินการ, และ/หรือมาตรการท่ีแนะนําใหดําเนินการเพ่ือใหสามารถปฏิบัติตามขอ กําหนดตา งๆ ไดอยางถกู ตอ งตอไป ฎ. ควรบันทึกการพิจารณาทบทวนและการติดตามรายงานการกํากับดูแลการวิจัยกับผูใหทุนวิจัยกับผู ใหทุนวจิ ัย เปน หลกั ฐานโดยผแู ทนทผ่ี ูใ หท ุนวจิ ยั มอบหมาย 5.19 การตรวจสอบการวจิ ยั ในกรณีผูใหทุนวิจัยดําเนินการตรวจสอบการวิจัยซึ่งเปนสวนหน่ึงของการประกันคุณภาพ ผใู หทุน วิจัยควรพจิ ารณาสิ่งตางๆ ตอ ไปน้ี 5.19.1 จดุ มุงหมาย จุดมุงหมายของการตรวจสอบการวิจัยของผูใหทุนวิจัย ที่ดําเนินการเปนเอกเทศและแยกออกจาก การกํากับดูแลการวิจัย หรอื หนา ท่กี ารควบคุมคณุ ภาพทีท่ ําเปน ประจาํ คือ เพ่อื ประเมินการดาํ เนินการวจิ ยั และ ประเมินการปฏิบตั ิตามขอกาํ หนดตา งๆ ท้งั ในโครงรา งการวิจัย, วิธีดําเนินการมาตรฐาน, GCP, และขอกําหนด ของระเบียบกฎหมายทเ่ี ก่ยี วขอ ง 5.19.2 การคัดเลอื กและคณุ สมบัตขิ องผุตรวจสอบการวิจัย 36
37 ก. ผูใหทุนวิจัยควรแตงต้ังบุคคลท่ีไมเ กีย่ วขอ งกบั การวิจัยทางคลินกิ และ/หรือระบบงานวจิ ัยทาง คลินกิ เพื่อตรวจสอบการวิจยั ข. ผูใหทุนวิจัยควรสรางความมั่นใจวาผูตรวจสอบการวิจัยมีคุณสมบัติเหมาะสม โดยผานการอ บรมและมีประสบการณที่จะปฏิบัติงานการตรวจสอบการวิจัยอยางถูกตอง. ควรบันทึกคุณ สมบัติของผูตรวจสอบการวจิ ยั เปนหลักฐาน 5.19.3 วิธีดําเนนิ การตรวจสอบการวจิ ยั ก. ผูใหทุนวิจัยควรสรางความมั่นใจวาการตรวจสอบการวิจัยทางคลินิกและระบบงานวิจัยทาง คลินิก ไดดําเนินการโดยสอดคลองกับวิธีดําเนินการท่ีเปนลายลักษณอักษรของผูใหทุนวิจัยวา จะตรวจสอบอะไร ตรวจสอบอยางไร ตรวจสอบบอยแคไ หน รปู แบบ รวมท้งั เนื้อหาของรายงาน การตรวจสอบเปน อยา งไร ข. แผนการและวิธีดําเนนิ การตรวจสอบการวจิ ัยของผูใ หท นุ วิจัย ควรกาํ หนดตามความสําคัญของ กรวิจัยท่ีจะย่ืนเสนอตอหนวยงานควบคุมระเบียบกฎหมาย, จํานวนอาสาสมัครที่เขารวมการ วจิ ยั , ประเภทและความซับซอนของการวิจัย, ระดับความเสี่ยงท่ีจะมตี อ อาสาสมัครในการวิจัย, และปญหาตางๆ ทเ่ี กิดข้นึ ค. ควรบันทกึ ขอสงั เกตและส่งิ ตรวจพบใดๆ โดยผูตรวจสอบการวิจยั เปนหลักฐาน ง. เพ่ือรักษาความเปนอิสระและคุณคาของการตรวจสอบการวิจัย หนวยงานควบคุมระเบียบ กฎหมายไมควรเรียกขอรายงานการตรวจสอบเปนประจาํ . หนว ยงานควบคมุ ระเบียบกฎหมาย อาจขอรายงานการตรวจสอบไดเปนกรณีๆ ไปเม่อื มีหลกั ฐานแสดงการไมป ฏบิ ัติ GCP อยาง รายแรงหรืออยูระหวางข้ันตอนการดําเนินการตามกฎหมาย จ. ผูใหทุนวิจัยควรออกใบรบั รองการตรวจสอบการวจิ ัย เมอื่ มีขอกําหนดโดยกฎหมายหรอื ระเบียบ กฎหมายที่เกีย่ วของ 5.20 การไมปฏิบัติตามขอ กําหนด 5.20.1 การไมปฏิบตั ติ ามขอกําหนดในโครงรางการวิจัย, วิธีดาํ เนนิ การมาตรฐาน, GCP, และ/ หรือขอกําหนดของระเบียบกฎหมายทเ่ี กี่ยวขอ ง โดยผวู ิจยั /สถาบันทีว่ จิ ัย หรือสมาชกิ ในทมี งานของผใู หท นุ วจิ ัย ควรสงผลใหผูใหท ุนวิจัยดาํ เนินการโดยทนั ทเี พอ่ื ทาํ ใหเกิดการปฏิบัติตามขอกําหนดตางๆ อยางถูกตอ งตอไป 5.20.2 ในกรณีการกํากับดูแลการวิจัยและ/หรือการตรวจสอบการวิจัยระบุวามีการไมปฏิบัติตาม ขอกําหนดตางๆ อยา งรายแรง และ/หรืออยางตอเน่อื งโดยผวู ิจัย/สถาบันท่วี จิ ยั ผใู หท นุ วิจัยควรยุตกิ ารเขารวม การวจิ ัยของผวู ิจยั /สถาบันท่ีวิจัยน้นั ๆ และผใุ หท นุ วิจยั ควรแจงใหหนวยงานควบคมุ ระเบียบกฎหมายทราบโดยทัน ที 5.21 การยตุ โิ ครงการวจิ ัยกอนกาํ หนดหรือการระงบั โครงการวจิ ยั ชัว่ คราว ถาการวิจัยถูกยตุ ิกอ นกําหนดหรอื ถูกระงบั ไวช ัว่ คราว ผูใหทนุ วิจยั ควรแจงการยุตหิ รอื การระงับโครง การวิจัยใหผูวิจัย/สถาบันที่วิจัย รวมท้ังหนวยงานควบคุมระเบียบกฎหมายทราบโดยทันที พรอมใหเหตุผล ประกอบดว ย. IRB/IEC ควรไดรบั แจงโดยทันทีเชนกันพรอมท้งั เหตผุ ลจากผูใ หทุนวิจยั หรือจากผวู ิจัย/สถาบันที่ วิจัย ตามท่รี ะบุในขอ กําหนดของระเบยี บกฎหมายท่เี กีย่ วขอ ง 37
38 5.22 รายงานผลการวจิ ัยทางคลินิก ไมวาการวจิ ัยเสร็จสิน้ สมบรู ณหรือถูกยุติกอนกําหนด ผใู หท ุนวิจยั ควรใหความมั่นใจวา ไดจดั เตรยี ม รายงานผลการวิจัยทางคลินิกและสงใหหนวยงานควบคุมระเบียบกฎหมายตามท่ีกําหนดในขอกําหนดของระเบียบ กฎหมายที่เก่ียวของ ผุใหทุนวิจัยควรใหค วามมั่นใจดว ยวา รายงานผลการวจิ ยั ทางคลนิ กิ ที่ใชย น่ื ของอนุมตั เิ พ่ือวาง ตลาดผลิตภณั ฑไ ดมาตรฐานตามทีก่ ําหนดใน “แนวทาง ICH เร่ือง โครงสรางและเน้ือหาของรายงานการวิจยั ทาง คลินิก” (หมายเหต:ุ “แนวทาง ICH เร่ือง โครงสรา งและเนอ้ื หาของรายงานการวจิ ัยทางคลนิ กิ ” ระบวุ า ในบาง กรณีสามารถใชรายงานผลการวจิ ยั ทางคลินกิ ฉบบั ยอได) 5.23 การวิจยั ทกี่ ระทําพรอมกันหลายแหง สําหรับการวิจัยท่ีกระทาํ พรอ มกนั หลายแหง ผูใหทุนวิจยั ควรสรา งความมน่ั ใจวา 5.23.1 ผูวิจัยทุกคนดําเนินการวิจัยโดยปฏิบัติอยางเครงครัดตามขอกําหนดโครงรางการวิจัยท่ตี ก ลงรวมกับผูใหท ุนวิจยั และหากจาํ เปน กบั หนวยงานควบคุมระเบียบกฎหมาย รวมท้ังตามการอนมุ ตั แิ ละ/หรอื ความเหน็ ชอบใหด าํ เนินการวจิ ยั โดย IRB/IEC 5.23.2 แบบบันทึกขอมูลผูปวยถูกออกแบบมาเพื่อเก็บขอมูลท่ีตองการจากสถานท่ีวัยทุกแหง. สําหรับผูวิจัยท่ีกําลังรวบรวมขอมูลอื่นเพ่ิมเติมจะไดรับแบบบันทึกขอมูลผูปวยเสริมซึ่งออกแบบมาเพื่อเก็บขอมูล เพม่ิ เติมนัน้ ๆ 5.23.3 ไดบันทึกหนาทีร่ บั ผิดชอบของผวู ิจัยทที่ ําหนา ท่ีประสานงานและผูวิจยั รว มอ่ืนๆ เปน หลกั ฐานกอ นเรมิ่ การวิจยั 5.23.4 ผูวิจัยทุกคนไดรับคําแนะนําเก่ียวกับการปฏิบัติตามโครงรางการวิจัย. การปฏิบัติตาม มาตรฐานเดยี วกันในการประเมินสิง่ ตรวจพบทางคลินิกและทางหอ งปฏบิ ัตกิ าร, รวมท้ังการกรอกขอมลู ใหสมบรู ณ ในแบบบันทกึ ขอ มูลผูป วย 5.23.5 การตดิ ตอ ส่ือสารระหวางผวู จิ ัยทุกคนเปน ไปโดยสะดวก 38
39 6. โครงรางการวจิ ัยทางคลนิ กิ และสวนแกไ ขเพ่ิมเตมิ โครงรา งการวิจัย โดยท่ัวไปเนอ้ื หาของโครงรางการวิจัยควรประกอบดวยหัวขอ ตา งๆ ทร่ี ะบใุ นสวนนี้ อยา งไรกต็ าม ขอมูลท่ีเฉพาะเจาะจงของสถานท่วี ิจัยหน่งึ ๆ อาจถกู แยกไวใ นสว นแยกของโครงรางการวิจยั หรือในขอ ตกลงที่ทํา แยกตางหาก นอกจากน้ี ขอมูลบางสวนตามรายการขางลางนอี้ าจบรรจใุ นเอกสารอา งอิงอืน่ ๆ ของโครงรา งการวจิ ัย เชน เอกสารคมู อื ผวู จิ ยั 6.1 ขอมูลทั่วไป 6.1.1 ช่ือโครงรางการวจิ ยั เลขรหสั โครงรางการวจิ ยั และวันท่ี สาํ หรับสว นแกไขเพมิ่ เตมิ โครงรา ง การวิจัยใดๆ ควรมเี ลขรหสั ของฉบบั ท่ไี ดร ับการแกไขเพม่ิ เติมและวันท่ดี ว ย 6.1.2 ช่ือและที่อยูของผใู หท ุนวจิ ยั และผกู ํากับดแู ลการวิจัย (ถา แตกตางไปจากของผูใ หทุนวิจยั ) 6.1.3 ชื่อและตําแหนงของบคุ คลผูมอี ํานาจลงนามในโครงรา งการวิจัย และสวนแกไขเพม่ิ เตมิ โครงรา งการวจิ ัยแทนผใู หทนุ วิจัย 6.1.4 ช่ือ ตําแหนง ท่อี ยแู ละหมายเลขโทรศพั ทของผูเชย่ี วชาญทางการแพทย (หรือทันตแพทย แลวแตก รณ)ี ท่ผี ูใหทนุ วจิ ยั แตง ตัวสําหรับรบั ผดิ ชอบโครงการวจิ ัยนั้นๆ 6.1.5 ช่ือและตําแหนงของผูวจิ ยั ซึ่งมหี นา ทร่ี ับผดิ ชอบดําเนนิ การวจิ ัย ทีอ่ ยแู ละหมายเลข โทรศัพทของสถานทวี่ ิจัย 6.1.6 ชื่อ ตําแหนง ท่ีอยูและหมายเลขโทรศัพทของแพทยผูมีคุณสมบัติเหมาะสม (หรือ ทันตแพทยแลวแตกรณี) ผูมีหนาท่ีรับผิดชอบตอการตดั สนิ ใจทกุ เรอ่ื งทางการแพทย (หรือทางทันตกรรม) ท่ี เกี่ยวกับสถานที่วจิ ยั นนั้ (ในกรณีไมไ ดกําหนดใหเปนหนา ที่รับผดิ ชอบของผวู จิ ัย) 6.1.7 ชื่อและที่อยูของหอ งปฏบิ ัติการทางคลนิ กิ ของแผนกทางดานการแพทย และ/หรือแผนก เทคนคิ อืน่ ๆ และ/หรือของสถาบนั ท่ีมสี ว นเกีย่ วขอ งกบั การวิจยั นนั้ 6.2 ขอมลู ความเปนมาของการวจิ ยั 6.2.1 ช่ือและรายละเอียดของผลิตภณั ฑท่ใี ชในการวิจัย 6.2.2 บทสรุปของสิ่งท่ีคน พบจากการศกึ ษาทไ่ี มไดท ําในมนษุ ยซ ่ึงอาจมีความสาํ คญั ทางคลนิ ิก อยางมากและบทสรปุ ของสิง่ ที่คนพบจากการศึกษาในมนษุ ยทเ่ี กย่ี วขอ งกับการวจิ ัยน้นั ๆ 6.2.3 บทสรุปของความเสย่ี งและประโยชนทั้งทที่ ราบมากอ นและท่ีอาจจะเกิดข้นึ ในอาสาสมคั ร (ถา ม)ี 6.2.4 รายละเอียดและเหตผุ ลประกอบเกย่ี วกับชอ งทางทีใ่ ห ขนาด แผนการให (dosage regimen) และระยะเวลาการรกั ษา 6.2.5 ขอความท่ีระบุวา การวจิ ยั จะดําเนินการตามขอกาํ หนดของโครงรางการวิจยั , ตาม GCP, และตามขอกําหนดของระเบยี บกฎหมายที่เกย่ี วขอ ง 6.2.6 รายละเอียดประชากรทจ่ี ะศึกษาวิจยั 6.2.7 เอกสารอางอิงของสิง่ ตีพมิ พและขอมลู ทเ่ี กีย่ วของกับการวิจัย และที่ใหค วามเปน มาสําหรับ การวิจยั นั้นๆ 6.3 วัตถปุ ระสงคแ ละจดุ มุง หมายของการวิจัย รายละเอยี ดของวัตถปุ ระสงคแ ละจุดมงุ หมายของโครงการวจิ ยั 39
40 6.4 การวางรูปแบบการวจิ ัย ความนา เลอ่ื มใสทางวชิ าการ (scientific integrity) ของการวิจยั และความนา เชอ่ื ถือของขอมลู จาก การวิจัยขึ้นกับการวางรูปแบบการวจิ ัยอยา งมาก รายละเอยี ดเกย่ี วกับการวางรูปแบบการวิจัยควรประกอบดวย เนื้อหาตอ ไปนี้ 6.4.1 ขอความท่ีระบอุ ยา งเฉพาะเจาะจงเก่ียวกบั ตัววัดผลหลกั และตวั วดั ผลรอง (หากม)ี ซ่ึงจะทํา การวดั ระหวา งการวิจัย 6.4.2 รายละเอยี ดของชนดิ และ/หรือรูปแบบการวิจัยทจี่ ะดาํ เนินการศึกษา [เชน การวจิ ยั แบบปก ปดการรกั ษาสองฝาย, แบบเปรยี บเทียบกับยาหลอก (placebo-controlled), แบบขนานเพอ่ื เปรยี บเทยี บผลไป พรอมกนั (parallel design) และแผนภาพท่ีแสดงการวางรูปแบบการวิจยั วธิ ดี าํ เนนิ การและลําดบั การดาํ เนินงาน 6.4.3 รายละเอียดของมาตรการที่ใชล ดหรือหลกี เลี่ยงอคติ ไดแ ก ก. การสุมตัวอยา ง ข. การปกปด การรักษา 6.4.4 รายละเอียดการรกั ษา ขนาด และแผนการใหผ ลติ ภณั ฑท ใี่ ชในการวจิ ัย นอกจากนี้ควรระบุ รายละเอียดของรูปแบบผลิตภัณฑ (dosage form) การบรรจุ และฉลากของผลิตภัณฑทีใ่ ชในการวิจัยดว ย 6.4.5 ระยะเวลาที่คาดวาอาสาสมคั รจะอยใู นการวิจัย และรายละเอยี ดของลําดับและระยะเวลาของ ชวงการวิจยั ทกุ ชวง รวมทั้งระยะเวลาการตดิ ตามผล (ถามี) 6.4.6 รายละเอียดเกี่ยวกบั กฎการหยดุ (stopping rules) หรือเกณฑก ารยกเลกิ (discontinuation criteria) การเขารวมการวจิ ัยของอาสาสมคั รแตละราย ของโครงการวิจยั บางสว นหรือทั้งหมด 6.4.7 วิธีดําเนนิ การควบคมุ ดแู ลปรมิ าณรับ-จายผลิตภัณฑทีใ่ ชใ นการวิจยั รวมถงึ ยาหลอกและยา เปรียบเทียบ (ถา มี) 6.4.8 การเก็บรักษารหสั การสมุ รักษาที่อาสาสมคั รไดรับ (trial treatment randomization codes) และวิธดี าํ เนนิ การเปด เผยรหัสนัน้ 6.4.9 การกําหนดวาขอมูลใดบางท่จี ะบนั ทึกลงในแบบบนั ทกึ ขอมลู ผปู วยโดยตรง (น่ันคือ ไมม ี การบันทึกเปนลายลักษณอ ักษร หรือบนั ทกึ ในระบบอิเลก็ ทรอนกิ สมากอน) และการกําหนดวา ขอมลู ใดจะถอื เปน ขอมูลตนฉบับ 6.5 การคดั เลอื กอาสาสมัครและการถอนตวั อาสาสมคั ร 6.5.1 เกณฑการคดั เลอื กอาสาสมัครเขา สโู ครงการวจิ ัย 6.5.2 เกณฑการคัดเลอื กอาสาสมคั รออกจากโครงการวจิ ยั 6.5.3 เกณฑการถอนตัวอาสาสมคั รออกจากการวิจัย (น่นั คือ ยุติการรกั ษาดวยผลติ ภณั ฑหรือการ รักษาอ่ืนๆ ที่ใชใ นการวจิ ยั ) และวิธีดําเนนิ การทีร่ ะบสุ ิง่ ตอไปน้ี ก. การถอนตัวอาสาสมัครออกจากการวิจยั หรือการรักษาดว ยผลติ ภณั ฑท ี่ใชใ นการวจิ ยั จะกระทาํ ไดเ ม่อื ใดและอยา งไร ข. ชนิดของขอมลู และระยะเวลาทีจ่ ะรวบรวมขอมลู จากอาสาสมัครที่ถอนตัวจากการวจิ ัย ค. การทดแทนอาสาสมัครทถ่ี อนตัวจากการวิจยั จะกระทาํ ไดหรอื ไมและอยางไร ง. การติดตามอาสาสมัครท่ีถอนตวั จากการรักษาดว ยผลติ ภัณฑห รือการรกั ษาอืน่ ๆ ทใี่ ชในการวจิ ัย 40
41 6.6 การดูแลรักษาอาสาสมัคร 6.6.1 การรักษาที่จะใหควรระบชุ ื่อผลิตภณั ฑทุกชนิด ขนาดที่ใช ตารางการให ชองทางและ/หรือ วิธีการบริหารยา และระยะเวลาการรกั ษา ซึง่ รวมทงั้ ระยะเวลาการตดิ ตามอาสาสมัครในแตละกลมุ การวิจัยที่ไดร บั การรักษาดวยผลิตภัณฑท ่ใี ชในการวจิ ัย หรือ ท่ไี ดร บั การรักษาอน่ื ๆ ในการวจิ ัย 6.6.2 ยา และ/หรือวิธีการรักษาตา งๆ ท้ังทอ่ี นุญาตใหใชได (รวมทัง้ ยาท่ีใชเ พอื่ ชว ยชีวิต) และ ไมอ นุญาตใหใ ช ท้ังกอนและ/หรือระหวา งการวิจยั 6.6.3 วิธีดําเนินการกํากบั ดูแลวา อาสาสมคั รปฏิบตั ติ ามขอ กําหนดในโครงรางการวจิ ัย 6.7 การประเมินประสิทธผิ ล 6.7.1 การกําหนดตวั วดั ประสทิ ธิผล (efficacy parameters) 6.7.2 วิธีและชว งเวลาท่ที ําการประเมนิ บนั ทกึ และวเิ คราะหต ัววัดประสทิ ธิผลเหลา นั้น 6.8 การประเมินความปลอดภยั 6.8.1 การกําหนดตวั วัดความปลอดภยั (safety parameters) 6.8.2 วิธีและชวงเวลาที่ทําการประเมิน บนั ทึก และวิเคราะหตวั วดั ความปลอดภัยเหลา นน้ั 6.8.3 วิธีดําเนินการบันทึกและรายงานเหตุการณไ มพึงประสงค และความเจบ็ ปวยทเ่ี กดิ ข้ึน ระหวางการวจิ ัย รวมท้งั วิธีดําเนินการคัดกรองรายงานดังกลา ว 6.8.4 ชนิดและระยะเวลาการติดตามอาสาสมคั รภายหลงั เกดิ เหตุการณไมพงึ ประสงค 6.9 สถติ ิ 6.9.1 รายละเอียดวิธกี ารทางสถิติท่ีใช รวมทงั้ เวลาท่ีวางแผนจะทําการวเิ คราะหขอมลู ระหวา ง การวจิ ัย [(planned interim analysis(ses)] 6.9.2 จํานวนอาสาสมคั รทีจ่ ะเขารมการวจิ ัยในกรณีการวจิ ัยทีก่ ระทาํ พรอมกันหลายแหง ควร ระบุจํานวนอาสาสมัครทจี่ ะเขา รวมการวจิ ัยแตล ะแหงดวย ระบุเหตผุ ลในการกําหนดเลือกขนาดตัวอยา ง (อาสา สมัคร) ในการวิจยั รวมทั้งการคํานวณทางสถติ เิ พอื่ หาคาความนา เชอ่ื (power) ของการวจิ ัยและความสมเหตุสมผล ทางคลนิ ิก 6.9.3 ระดับนัยสาํ คญั ทางสถิตทิ ่ีจะเลอื กใช 6.9.4 เกณฑก ารยตุ โิ ครงการวิจยั 6.9.5 วิธีดําเนนิ การท่ใี ชตรวจสอบกรณขี อมูลขาดหายไป , ไมไดใ ช , และนาเคลือบแคลงสงสัย 6.9.6 วิธีดําเนินการรายงานการปฏิบัติท่ีเบ่ียงเบนจากแผนการวิเคราะหทางสถิติเดิม (ควร อธิบายการเบ่ียงเบนจากแผนการวิเคราะหทางสถิติเดิมอยางสมเหตุสมผลในโครงรางการวิจัย และ/หรือในราย งานเมอื่ เสรจ็ สน้ิ การวิจัย ตามความเหมาะสม) 6.9.7 การคัดเลือกอาสาสมัครท่ีจะนําผลมาวิเคราะห (เชน อาสาสมัครทุกคนท่ีไดรับการสุม เลือกเขาโครงการวิจัย อาสาสมัครทุกคนทไ่ี ดร บั ยา อาสาสมคั รทุกคนที่มคี ณุ สมบตั เิ หมาะสม อาสาสมัครท่ีสามารถ ประเมนิ ผลได) 6.10 การเขา ถงึ ขอ มลู ตนฉบบั และเอกสารตนฉบบั โดยตรง ผูใหทุนวิจัยควรสรา งความมน่ั ใจวา มกี ารระบุอยา งชัดเจนในดครงรางการวจิ ัย หรอื เอกสารขอตกลง อื่นที่เปนลายลักษณอักษรวา ผูวิจัย/สถาบันที่วิจัยจะอนุญาตใหมีการกํากับดูแลการวิจัย การตรวจสอบการวิจัย การพิจารณาทบทวนใหความเห็นชอบโดย IRB/IEC และการตรวจตราโดยหนวยงานควบคุมระเบยี บกฎหมาย ท้ังนี้ โดยใหมกี ารเขาถึงขอมลู ตน ฉบับและเอกสารตน ฉบับโดยตรง 41
42 6.11 การควบคมุ คณุ ภาพและการประกันคุณภาพ 6.12 จริยธรรม รายละเอียดทางจรยิ ธรรมท่เี กย่ี วขอ งกับการวิจัย 6.13 การจดั การขอมลู และการเก็บรกั ษาบนั ทกึ ขอมลู 6.14 การสนบั สนุนทางการเงนิ และการประกัน การสนับสนุนทางการเงินและการประกนั กรณีไมมกี ารระบุในขอตกลงที่ทําข้นึ ตางหาก 6.15 นโยบายการตีพมิ พผ ลการวิจัย นโยบายการตีพิมพ กรณีไมม ีการระบใุ นขอตกลงท่ีทําขึ้นตางหาก 6.16 รายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ (หมายเหตุ เนื่องจากโครงรางการวิจัยและรายงานการวิจัยทางคลินิกมีความสัมพันธกันอยาง ใกลชิด ขอ มลู ท่ีเกย่ี วของอาจดูไดจ าก “แนวทาง ICH เร่ือง โครงสรา งและเนอื้ หาของรายงานการวจิ ยั ทางคลนิ ิก”) 42
43 7. เอกสารคูมือผูวิจัย (Investigator’s Brochure; IB) 7.1 บทนํา เอกสารคูมือผูวิจัยเปนเอกสารรวบรวมขอมูลจากการศึกษาวิจัยท้ังท่ีทําในมนุษยและท่ีไมไดทําใน มนุษยและท่ีไมไดทําในมนุษยของผลิตภัณฑที่ใชในการวิจัยซ่ึงเก่ียวของกับการศึกษาผลิตภัณฑน้ันในอาสาสมัคร โดยมีจุดมุงหมายเพ่ือใหขอมูลแกผูวิจัยและบุคคลอ่ืนๆ ท่ีเกี่ยวของไดเขาใจหลักการเหตุผลและสามารถปฏิบัติ ตามขอกําหนดหลักของโครงรา งการวจิ ัยได เชน ขนาด ความถ/่ี ชวงหา งในการให วิธีการให และวิธดี ําเนนิ การ กํากับดูแลความปลอดภัย. เอกสารคูมือฯ ยงั ใหความกระจา งในการดแู ลรกั ษาอาสาสมคั รตลอดระยะเวลาการวิจัย ทางคลินิก. ควรนําเสนอขอมลู ดังกลา วอยางกระชบั งา ยเท่ียงตรง (objective) ไมเอนเอยี ง และไมเ ปน การสงเสรมิ จุดขายของผลิตภณั ฑ ทัง้ น้ี เพื่อใหแพทยหรือผวู ิจยั เขา ใจและสามารถประเมนิ ความเหมาะสมในแงความเส่ยี งและ ความปลอดภัยของโครงการวจิ ยั ไดโดยปราศอคติ. ดวยเหตุผลดังกลา ว ผุเชี่ยวชาญทางการแพทยค วรมีสว นรวมใน การแกไขปรับปรุงเอกสารคูมือฯ แตเนื้อหาของเอกสารคูม อื ฯ ควรไดร บั ความเห็นชอบจากผูเ ชย่ี วชาญในสาขาผูจ ดั เตรยี มขอมลู นั้นๆ แนวปฏิบัติเลมน้ีอธบิ ายขอ มลู พ้นื ฐานซ่ึงควรมอี ยใู นเอกสารคูม ือฯ พรอมทัง้ ใหขอเสนอแนะการวาง รูปแบบดวย เปนท่ีคาดวา ชนดิ และรายละเอยี ดของขอ มูลที่มจี ะแตกตา งกันได ตามระยะการพฒั นาของผลิตภัณฑ ท่ีใชในการวิจัย ในกรณผี ลิตภณั ฑท ี่ใชใ นการวจิ ยั มีจําหนา ยในทอ งตลาด และความรทู างเภสชั วทิ ยาของผลติ ภณั ฑ นั้นเปนท่ีเขาใจอยา งกวา งขวางในหมูแพทยเ วชปฏิบตั แิ ลว เอกสารคูมือฯ อาจไมจําเปนตอ งมรี ายละเอยี ดมากนัก หากหนวยงานควบคุมระเบียบกฎหมายอนญุ าต อาจใชเอกสารขอ มูลผลติ ภัณฑ เอกสารกาํ กบั ยา หรอื ฉลากยาแทน ได ถาเอกสารดังกลาวมีขอมูลทนั สมัย ครบถวน และครอบคลมุ ทุกแงมมุ เกย่ี วกบั ผลติ ภณั ฑท่ีใชในการวจิ ยั ซง่ึ ขอ มูลนั้นอาจมีความสําคัญตอผูวจิ ัย. ในกรณีการศึกษาเพอื่ หาการใชใหมข องผลิตภณั ฑทีว่ างตลาดแลว (นนั่ คอื หา ขอบงใชใหม) ควรเตรยี มเอกสารคมู ือฯ ทีม่ รี ายละเอียดเก่ยี วกบั การใชใหมดงั กลาว ควรพจิ ารณาทบทวนเอกสารคู มือฯ อยางนอ ยปล ะครั้งและควรปรบั ปรุงแกไ ขตามความจาํ เปนโดยสอดคลอ งกบั วิธดี ําเนินการท่ผี ูใหท นุ วิจัยเขยี น ไวเปนลายลักษณอ ักษรอาจสมควรปรบั ปรุงเอกสารคูมอื ฯ ไดบอยครั้ง ทั้งนขี้ นึ้ กับระยะของการพัฒนาผลติ ภณั ฑ และขอมูลใหมที่เกีย่ วขอ งทีเ่ พ่มิ ขน้ึ . อยางไรกต็ าม เพื่อใหสอดคลอ งกับ GCP ขอมูลใหมท ี่เกยี่ วขอ งอาจมคี วาม สําคัญมาก จงึ ควรติดตอ แจง ใหผูวิจัยและหากเปนไปไดแจง ให IRB/IEC และ/หรือหนว ยงานควบคุมระเบียบ กฎหมายทราบกอนท่จี ะเพิม่ เตมิ ในเอกสารคมู ือฯ ฉบบั ปรับปรงุ แกไข โดยทั่วไปผูใหท ุนวิจัยมีหนาท่ีรับผิดชอบจัดหาเอกสารคมู อื ฯ ที่ทนั สมยั ใหผวู จิ ยั และผูวิจัยนาํ เสนอ เอกสารคมู ือฯ ทีท่ นั สมัยดังกลา วตอ IRB/IEC. ในกรณีผูวจิ ัยเปน ผลู งทนุ วิจัยเอง ควรพจิ ารณาวา มีเอกสารคูม ือ จากผูผลิตหรอื ไม. หากผูวิจัยทีเ่ ปน ผลู งทนุ วิจยั จัดหาผลติ ภัณฑท ี่ใชในการวิจัยเอง ผวู จิ ยั ควรจัดหาขอมูลท่จี าํ เปน ใหบุคลากรที่เก่ียวของกบั การวิจยั ในกรณกี ารเตรียมเอกสารคมู ือฯ อยา งเปนทางการไมสามารถกระทาํ ได ผูวิจัยท่ี เปนผูลงทุนวิจัยควรจัดทําสวนความเปนมาของโครงรา งการวจิ ยั ใหมีขอ มลู เพม่ิ มากขน้ึ เพอื่ ทดแทน ซึ่งบรรจขุ อมูล ใหมๆ ขน้ั ตาํ่ ตามท่ีระบใุ นแนวปฏิบัตเิ ลม น้ี 7.2 แนวทางท่ัวไป เอกสารคูม อื ผูวจิ ยั ควรประกอบดว ย 7.2.1 หนาซง่ึ ระบชุ อ่ื โครงการวจิ ยั ในหนา นคี้ วรมีชือ่ ผใู หทนุ วจิ ัย, การระบุลักษณะผลติ ภัณฑทใ่ี ชในการวิจยั แตละชนิด (นน่ั คอื ระบุ เลขท่ีการวิจัย ชื่อเคมีหรือช่ือสามัญทางยาท่ีไดร บั อนุญาต ตลอดจนชอ่ื การคาตามทีก่ ฎหมายอนญุ าตและเปนไป ตามความประสงคข องผูใ หท นุ วิจยั ) และวันทีเ่ อกสารคูมอื ฯ ไดร บั อนุมัตใิ หเ ผยแพร. นอกจากนีค้ วรระบุเลขทีฉ่ บบั หากมีการปรับปรุงแกไขควรระบุวา เปนฉบบั ปรบั ปรุงแกไ ขฉบบั ท่เี ทา ไร และระบเุ ลขท่ฉี บบั และวนั ทขี่ องเอกสารคู มือฯ ฉบับกอนทีถ่ ูกแทนท่ีดว ยฉบบั ปรับปรงุ แกไ ข ไดแ สดงตวั อยา งในภาคผนวกท่ี 1 43
44 7.2.2 ขอความระบถุ งึ การรกั ษาความลับ ผูใหท นุ วิจยั อาจมีความประสงคท่จี ะระบุขอความใหผ ูว จิ ัย และ/หรือผูรบั คนอ่นื ๆ รักษาขอ มูลใน เอกสารคูม ือฯ เปนความลบั และใชป ระโยชนเพอื่ การวจิ ยั ของทีมงานผูว จิ ัย รวมทง้ั IRB/IEC เทานนั้ 7.3 เน้ือหาในเอกสารคูมือผวู ิจัย เอกสารคูมือผูวจิ ัยควรประกอบดวยสวนตา งๆ ตอ ไปนี้ โดยแตล ะสวนควรมีเอกสารอา งอิงประกอบ ดวยตามความเหมาะสม 7.3.1 สารบญั ไดแสดงตวั อยา งสารบัญในภาคผนวกท่ี 2 7.3.2 บทสรปุ บทสรุปยอ(ไมควรเกนิ 2 หนา) ซ่ึงเนนการใหข อมูลคุณสมบตั ทิ ่สี ําคญั ของผลติ ภัณฑท ี่ใชในการ วิจัยทั้งทางกายภาพ ทางเคมี ทางเภสัชกรรม ทางเภสชั วิทยา ทางพิษวทิ ยา ทางเภสชั จลนศาสตร กระบวนการ เปล่ียนแปลงและขอ มูลทางคลนิ กิ ทีเ่ กี่ยวของกับระยะการพัฒนาผลิตภัณฑท ี่ใชในการวิจยั 7.3.3 บทนาํ ควรมีขอความแนะนาํ ส้นั ๆ ประกอบดว ย ช่ือเคมี (รวมทัง้ ชอ่ื สามัญทางยาและช่อื การคาหากไดรบั อนุมัติ) ของผลติ ภณั ฑท ี่ใชในการวิจยั , สวนผสมสําคัญทุกชนิด, กลุมของผลติ ภัณฑที่ใชในการวิจยั ท่แี บงตามกลไก การออกฤทธ์ิทางเภสัชวิทยาและตําแหนง ท่ีคาดของผลติ ภณั ฑในกลุมนนั้ (เชน ประโยชนข องผลิตภัณฑ), เหตผุ ล ท่ีทําการวิจัยโดยใชผลิตภัณฑน้ี, รวมถึงขอบงใชของผลิตภัณฑที่คาดวาจะนํามาใชสําหรับปองกัน รักษาหรือ วนิ ิจฉัย. ทายที่สุด บทนาํ ควรใหแนวทางทวั่ ไปที่จะปฏิบัตใิ นการประเมินผลติ ภัณฑท ใี่ ชในการวิจัย 7.3.4 คุณสมบตั ทิ างกายภาพ ทางเคมี และทางเภสชั กรรมของผลิตภัณฑและสูตรตํารับ ควรมีรายละเอยี ดของสารท่อี ยใู นผลติ ภัณฑที่ใชในการวจิ ัย (รวมท้งั สตู รโครงสรางและ/หรอื สตู ร เคมี) และบทสรุปสนั้ ๆ ของคณุ สมบัติทางกายภาพ ทางเคมีและทางเภสัชกรรมท่ีเก่ยี วของ เพ่ือใหดําเนินมาตรการดูแลความปลอดภัยอยางเหมาะสมตลอดระยะเวลาทําการวิจัย ควรใหร าย ละเอียดสูตรตํารบั ที่จะใช รวมท้ังรายละเอยี ดสารประกอบอ่นื ๆ ท่ีไมใชต ัวยาสาํ คัญในสตู รตํารับ และใหเ หตุผล หากมีความเกี่ยวของทางคลินิก. ควรมีคาํ แนะนําวิธีเกบ็ รักษาและดแู ลจัดการผลิตภัณฑดว ย ควรระบุสารเคมอี ืน่ ๆ ที่มโี ครงสรางทางเคมคี ลายคลงึ กับผลติ ภณั ฑทใี่ ชในการวจิ ัยดว ย 7.3.5 การศึกษาวิจัยทไี่ มไดท ําในมนษุ ย บทนํา ควรมีบทสรุปผลการศึกษาวจิ ยั ที่ไมไ ดท าํ ในมนุษยท ้งั หมดทเ่ี ก่ียวของ ไดแ ก ผลทางเภสชั วทิ ยา พษิ วิทยาเภสัชจลนศาสตร และกระบวนการเปลย่ี นแปลงของผลิตภณั ฑที่ใชใ นการวิจัยภายในรางกาย. บทสรปุ นี้ควร ระบุระเบียบวิธีที่ใชในการวิจัย ผลการวิจัยและการอภิปรายความสัมพันธของส่ิงที่คนพบกับผลทางการรักษาที่ ศึกษาวิจัยในมนษุ ย รวมทง้ั ผลไมพ ึงประสงคแ ละท่ไี มคาดคิดทอี่ าจจะเกิดในมนุษย ขอมูลท่ีใหอาจระบสุ งิ่ ตา งๆ ตอไปน้ี ตามความเหมาะสมหากทราบและมขี อ มลู แลว ไดแก O สายพนั ธุข องสตั วท ดลองทีใ่ ชท ดสอบ O จํานวนและเพศของสัตวทดลองแตละกลุม O ขนาดท่ีใหแ ตละคร้ัง (เชน มิลลิกรัมตอ กิโลกรัม) O ชว งหางการใหแตละครั้ง (dose interval) 44
45 O ชองทางการให O ระยะเวลาการใหแตละครัง้ หรอื แตล ะการรักษา (duration of dosing) O ขอมูลการกระจายตวั ในรางกาย O ระยะเวลาการตดิ ตามผลภายหลงั หยดุ ใหผ ลติ ภัณฑทใ่ี ชในการวจิ ยั แลว O ผลดา นตางๆ ตอ ไปน้ี - ลักษณะและความถ่ีของผลทางเภสัชวทิ ยาหรือการเกดิ พษิ - ความรุนแรงหรอื ความหนักหนวงของผลทางเภสัชวิทยาหรือความรนุ แรงของการเกดิ พษิ - เวลาท่ียาเริม่ ออกฤทธิห์ รอื เกดิ พษิ - การทําใหฤทธทิ์ างเภสชั วทิ ยาหรือการเกดิ พษิ หมดไป - ระยะเวลาการเกิดผลทางเภสชั วทิ ยาหรือเกิดพษิ - ผลการตอบสนองเมื่อใหผ ลิตภัณฑข นาดตา งๆ การนําเสนอขอ มลู เหลานี้ในรูปตารางหรือทําเปน รายการ จะทาํ ใหการนําเสนอมีความชัดเจนยงิ่ ขึ้น ขอมูลสวนตางๆ ตอ ไปน้ีควรอภิปรายสง่ิ คน พบทส่ี าํ คญั ทีส่ ดุ จากการศกึ ษาวิจัย, รวมท้งั ผลกรตอบ สนองตอยาขนาดตา งๆ ท่ีให, ความสัมพันธของผลดังกลาวในมนษุ ยแ ละการศึกษาดา นอื่นๆ ทจ่ี ะทาํ ในมนุษย. หากเปนไปไดควรเปรียบเทียบขนาดยาที่ใหผลการรักษาและขนาดยาที่ไมท ําใหเกดิ พษิ ในสัตวท ดลองชนิดเดยี วกนั (นั่นคือ ควรอภิปรายคาดัชนกี ารรักษา). ควรระบคุ วามเก่ียวโยงของขอมูลเหลา นกี้ บั ขนาดยาท่ีเสนอข้ึนเพ่อื ใชใ น มนุษย หากเปนไปได การเปรียบเทียบควรทาํ โดยพจิ ารณาจากระดับยาในเลือด และ/หรือในเนือ้ เยอื่ มากกวา ท่ีจะ เปรียบเทยี บในเชิงมลิ ลกิ รมั ตอน้ําหนกั 1 กิโลกรัม ก. การศึกษาทางเภสัชวทิ ยาทีไ่ มไ ดท ําในมนุษย ควรมีบทสรุปคุณสมบัติทางเภสัชวิทยาของผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัย ตลอดจนของเมตาบอไลท ตางๆ ท่ีสําคัญจากการศึกษาในสัตวทดลองตามความเหมาะ บทสรปุ น้ีควรรวบรวมการศกึ ษาท่ปี ระเมินฤทธก์ิ าร รักษาที่สําคัญ (เชน โมเดลของสตั วทดลองที่ใชใ นการศกึ ษาประสิทธิผลของยา การศึกษาการจบั กับตวั รับยา และ ความเฉพาะเจาะจงของการออกฤทธ์ิ) รวมทั้งการศึกษาท่ีประเมินความปลอดภัย (เชน การศึกษาพิเศษเพ่ือ ประเมินฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาอ่ืนๆ นอกเหนอื จากผลการรักษาท่ตี องการ) ข. การศึกษาเภสัชจลนศาสตรแ ละกระบวนการเปล่ยี นแปลงของผลติ ภณั ฑในสตั วท ดลอง ควรมีบทสรุปผลการศึกษาทางเภสัชจลนศาสตรและกระบวนการเปลยี่ นแปลงทางชวี ะ รวมท้งั การ กําจัดของผลิตภัณฑที่ใชใ นการวจิ ยั ในสตั วท ดลองทกุ สายพันธทุ ีศ่ ึกษา. การอภิปรายส่ิงทค่ี น พบควรกลาวถึงการดูด ซึมเขาสูรางกายและปริมาณท่ีเขาสูกระแสเลือดและกระจายไปตามอวัยวะตางๆ (local and systemic bioavailability) ของท้ังผลติ ภัณฑทใ่ี ชใ นการวจิ ัยและเมตาบอไลทที่เกิดข้ึน รวมท้ังความสัมพนั ธข องผลการศกึ ษา ตางๆ ที่กลาวมากบั ฤทธ์ทิ างเภสชั วิทยาและพษิ วทิ ยาในสตั วทดลองทศี่ ึกษา ค. พิษวทิ ยา ควรอธิบายบทสรุปผลทางพิษวิทยาจากการศึกษาท่ีเก่ียวขอ งในสตั วทดลองสายพนั ธุตา งๆ ภายใต หัวขอ ตอไปนี้ ตามความเหมาะสม O การใหผลิตภณั ฑเพียงคร้งั เดยี ว O การใหผ ลติ ภัณฑหลายๆ คร้ัง O การเกิดมะเร็ง O การศึกษาพเิ ศษอืน่ ๆ (เชน การระคายเคอื งและการแพ) O ความเปนพษิ ตอ ระบบสืบพันธุ O ความเปนพษิ ตอระบบพันธุกรรม (การกลายพันธ)ุ 45
46 7.3.6 ผลในมนษุ ย บทนํา ควรอภิปรายผลที่ทราบแลวจากการใชผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัยใมนุษยอยางละเอียดทุกแงมมุ ซ่งึ รวมถงึ ขอมลู ทางเภสัชจลนศาสตร, กระบวนการเปลี่ยนแปลง, เภสัชพลศาสตร, ผลการตอบสนองเมื่อใหขนาด ตา งๆ, ความปลอดภัย, ประสิทธิผล, และฤทธทิ์ างเภสชั วทิ ยาอืน่ ๆ, หากเปน ไปไดควรมีบทสรปุ ของแตละการวจิ ัย ทางคลินิกท่ีเสร็จสมบูรณแ ลวประกอบ นอกจากน้ีควรมีขอ มูลอื่นๆ ของผลการใชผ ลิตภัณฑท ่ีใชใ นการวจิ ยั นอก เหนือจากผลการวจิ ยั ทางคลินิก เชน จากประสบการณก ารใชย าภายหลงั วางจําหนา ยในตลาดแลว ก. เภสัชจลนศาสตรแ ละกระบวนการเปลย่ี นแปลงของผลิตภณั ฑทีใ่ ชใ นการวิจัยในมนุษย O ควรนําเสนอบทสรุปขอมูลทางเภสัชจลนศาสตรของผลิตภัณฑท่ีใชในการวิจัย โดยมีขอ มลู ตอไปนี้ (ถาม)ี - เภสัชจลศาสตร (ซง่ึ รวมถงึ กระบวนการเปลยี่ นแปลง ตามความเหมาะสม การดูดซึม การจับ กับโปรตีนในเลือด การกระจายตัวและการขับถายออกจากรางกายของผลิตภัณฑที่ใชในการ วิจัย) - ชีวอนุเคราะหของผลติ ภณั ฑทใี่ ชในการวจิ ัย (เชน จําแนกตามเพศ อายุและกลมุ ท่ีมีการทาํ งาน ของอวยั วะบกพรอ ง) - ปฏิกิริยาระหวา งกัน (เชน ปฏกิ ริ ิยาระหวางกันของผลิตภัณฑแ ละผลของอาหารตอ ผลติ ภัณฑ) - ขอมูลทางเภสัชจลนศาสตรอ่ืนๆ (เชน ผลการศึกษาทางเภสัชจลนศาสตรในประชากรกลุม ตางๆ ซ่ึงกระทาํ ในการวจิ ัยทางคลินิก) ข. ความปลอดภัยและประสทิ ธิผล ควรมีบทสรุปขอมูลของผลติ ภัณฑท ่ีใชใ นการวิจัย (รวมท้งั เมตาบอไลทหรอื สารที่ไดจ ากการเปลีย่ น แปลงในรา งกาย ตามความเหมาะสม) ดานความปลอดภัย, ดานเภสัชพลศาสตร, ดานประสทิ ธผิ ล, และผลการ ตอบสนองตอผลิตภัณฑเม่ือใหขนาดตา งๆ ซง่ึ ไดจากการศึกษาวิจัยในมนษุ ยกอนหนา นี้ (ท้งั ในอาสาสมคั รสุขภาพ ดี และ/หรือในผูปว ย). ควรอภิปรายความหมาย (implications) ของขอมูลเหลา นี้. ในกรณีการวิจัยทางคลนิ กิ หลายๆ เร่ืองเสรจ็ สมบูรณแลว การมบี ทสรปุ ความปลอดภัยและประสทิ ธิผลจากการศกึ ษาตามขอ บงใชใ นประชา กรกลุมยอยตางๆ อาจชวยใหก ารนําเสนอขอมลู ชัดเจนยง่ิ ขน้ึ . การสรปุ อาการไมพ งึ ประสงคจากยาท่ีเกิดขน้ึ ในการ วิจัยทางคลินิกท้ังหมด (รวมท้ัง อาการไมพ งึ ประสงคจ ากการศึกษาขอ บง ใชท ง้ั หมด) ในรปู ตารางจะเปนประโยชน. ควรอภิปรายความแตกตางที่สําคัญของลักษณะการเกิด และ/หรืออุบัติการณข องอาการไมพึงประสงคจ ากยาเมอ่ื ศึกษาในขอ บง ใชตางๆ หรือในประชากรกลุมยอ ยตา งๆ. เอกสารคูมือฯ ควรใหรายละเอียดความเสี่ยงและอาการไมพ ึงประสงคจ ากยาทีอ่ าจเกิดข้ึนโดยคาด คะเนจากประสบการณก ารใชท ้ังผลิตภัณฑทท่ี ําการวจิ ัยนนั้ และผลติ ภัณฑอ่ืนทเ่ี กยี่ วของมากอ น นอกจากน้ี ยงั ควร ใหรายละเอียดขอควรระวังหรอื การกาํ กบั ดแู ลเปนพเิ ศษที่จะกระทาํ เมื่อใชผ ลติ ภัณฑเ พ่ือการวจิ ัยนัน้ ค. ประสบการณดานการตลาด เอกสารคูมือฯ ควรระบุประเทศท่ีผลิตภัณฑที่ใชในการวิจัยวางจําหนายในทองตลาดหรือไดรับ อนุมัติแลว. ควรสรปุ ขอมูลสําคัญทพี่ บภายหลงั การวางจําหนายในทอตลาดแลว (เชน สตู รตํารบั ขนาดทีใ่ ช ชอง ทางการใหและอาการไมพงึ ประสงคจ ากผลติ ภณั ฑ) . นอกจากนี้ เอกสารคมู อื ฯ ยังควรระบชุ อ่ื ทุกๆ ประเทศท่ีผลิต ภัณฑที่ใชในการวิจัยไมไดรับอนุมัติและ/หรือขึ้นทะเบียนใหวางจําหนายในทองตลาดได หรือถูกถอนออกจาก ตลาด และ/หรือถูกถอนทะเบียนตาํ รบั ยา 7.3.7 บทสรปุ ขอมูลและคาํ แนะนาํ สําหรบั ผูวจิ ยั ในสวนน้ีควรนําเสนอการอภิปรายขอมูลจากการศึกษาในมนุษยและที่ไมไดศึกษาในมนุษยโดยรวม และควรสรุปขอมูลจากแหลงอื่นๆ ในแงมุมตา งๆ เกีย่ วกบั ผลติ ภณั ฑทใี่ ชใ นการวจิ ยั เทา ทีจ่ ะเปนไปได โดยวิธีนผ้ี ู 46
47 วิจัยสามารถทราบการแปลผลขอมูลที่มีอยูโดยละเอียดท่ีสุด รวมทั้งการประเมนิ ความหมายขอ มลู ดังกลา วสําหรับ การวิจยั ทางคลนิ ิกในอนาคต ควรอภิปรายรายงานการวจิ ัยที่ตีพิมพแลวของผลติ ภณั ฑทเ่ี กย่ี วของ ตามความเหมาะสม การทาํ เชน นี้จะชวยใหผูวิจยั สามารถคาดการอาการไมพ งึ ประสงคจ ากยาหรอื ปญ หาอ่ืนๆ ทีอ่ าจเกิดขึน้ ในการวจิ ยั ทางคลินกิ ได วัตถุประสงคโดยรวมของเอกสารคูมือฯ สวนนี้ เพื่อใหผูวิจัยเขาใจความเสี่ยงและอาการไมพึง ประสงคที่อาจเกิดขนึ้ อยางชดั เจน รวมทั้งตระหนกั วา อาจตอ งมีการทดสอบ การเฝาสังเกต และขอ ควรระวงั เฉพาะ ท่ีจําเปนอื่นๆ สําหรบั การวิจยั ทางคลินกิ น้นั . ความเขา ใจดังกลา วควรอยบู นพื้นฐานของขอ มูลท่ีมีอยูทางกายภาพ ทางเคมี ทางเภสัชกรรม ทางเภสัชวทิ ยา ทางพษิ วทิ ยาและทางคลนิ กิ ของผลติ ภัณฑทีใ่ ชใ นการวิจยั . นอกจากนี้ควร มีคําแนะนําใหผูวิจัยทางคลินิกตระหนักและทราบวิธีการรักษาอาการพิษจากการรับยาเกินขนาดและอาการไมพึง ประสงคจากยาที่อาจเกดิ ขึน้ โดยคําแนะนําเหลานรี้ วบรวมจากประสบการณการใชใ นมนษุ ยมากอนและจากความรู ทางเภสัชวทิ ยาของผลติ ภณั ฑท ่ใี ชใ นการวิจัย 7.4. ภาคผนวกที่ 1 หนาช่อื เรื่องของเอกสารคูมอื ผูวิจัย (ตัวอยาง ) ช่อื ผใู หท นุ วจิ ยั ช่ือผลติ ภณั ฑ: เลขรหสั โครงการวิจยั : ชอื่ : ชื่อเคมี ชื่อสามัญทางยา (หากไดรบั การอนุมัตแิ ลว ) ช่ือการคา (หากไดรับการอนญุ าตตามกฎหมายและหากผูใหท นุ วิจยั ตอ งการ) เอกสารคมู อื ผูวจิ ยั - ฉบับหมายเลข: - วันที่ไดร บั อนมุ ตั ใิ หเผยแพร: - แทนฉบบั หมายเลข: - วนั ท:ี่ 7.5 ภาคผนวกที่ 2 สารบัญของเอกสารคูม ือผูว ิจัย (ตวั อยาง) - ขอความท่ีระบกุ ารรกั ษาความลบั (อาจมีหรอื ไมก็ได) - หนาสําหรับลงลายมือช่อื (อาจมีหรอื ไมกไ็ ด) 1. สารบัญ 2. บทสรปุ 3. บทนาํ 4. คุณสมบัติทางภายภาพ ทางเคมี และทางเภสัชกรรมรวมท้งั สูตรตาํ รับ 5. การศึกษาที่ไมไ ดท าํ ในมนษุ ย 5.1 ดา นเภสัชวทิ ยา 5.2 ดานเภสชั จลนศาสตรและกระบวนการเปล่ยี นแปลงผลิตภณั ฑในสตั ว ทดลอง 5.3 ดานพิษวทิ ยา 6. ผลในมนษุ ย 6.1 เภสัชจลนศาสตรและกระบวนการเปลย่ี นแปลงผลติ ภณั ฑในมนุษย 6.2 ความปลอดภยั และประสทิ ธิผล 47
48 6.3 ประสบการณดา นการตลาด 7. บทสรุปขอ มลู และคําแนะนําสําหรบั ผวู ิจัย หมายเหตุ: เอกสารอางอิงจาก 1. ส่ิงตพี มิ พ 2. รายงาน เอกสารอางองิ ตางๆ เหลา นี้ ควรมอี ยูในสวนทายของแตล ะบท ภาคผนวก (ถา มี) 48
49 8. เอกสารสาํ คัญสาํ หรับการดาํ เนนิ งานวิจยั ทางคลนิ กิ 8.1 บทนํา เอกสารสําคัญ หมายถงึ เอกสารซงึ่ ไมวา พิจารณาแยกกนั หรือรวมกนั ชวยใหส ามารถประเมนิ การ ดําเนินงานวิจัยและคณุ ภาพของขอมูลที่ได เอกสารน้ใี ชแ สดงวา ผูวิจัย ผใู หทุนวิจยั และผูก าํ กบั ดแู ลการวจิ ยั ปฏิบตั ิ ตามมาตรฐาน GCP รวมทั้งขอกําหนดของระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวของทง้ั หมด เอกสารสําคัญยังชวยใหบรรลุวัตถุประสงคอ่ืนๆท่ีสําคัญ. การจัดเก็บเอกสารสําคัญไวท่ีผูวิจัย/ สถาบันที่วิจัยและทีผ่ ูใหท ุนวิจยั ในเวลาที่เหมาะสม สามารถชว ยการบริหารจดั การงานวิจยั ของผวู ิจยั ของผูใหทุน วิจัย และของผูกาํ กบั ดูแลการวจิ ัยใหส ําเร็จลุลวงไดดว ยดี. เอกสารเหลานย้ี งั เปน เอกสารที่มักไดร บั การตรวจสอบ โดยผูตรวจสอบการวิจัยอิสระของผใู หท ุนวิจยั รวมทง้ั การตรวจตราโดยหนว ยงานควบคมุ ระเบยี บกฎหมาย ซง่ึ เปน สวนหนึ่งของกระบวนการเพื่อยืนยันความถูกตอง (validity) ของการดําเนินการวิจัยและความนาเช่ือถือ (integrity) ของขอ มลู ทไ่ี ด รายการขั้นต่ําของเอกสารสาํ คญั ตา งๆแบงออกเปน 3 สว น ตามลําดับขัน้ การวจิ ยั ซ่งึ ตามปกตจิ ะทํา ใหเกิดเอกสารสาํ คญั ในลาํ ดับการวิจัยตางๆ ดังน้ี 1. กอนการวิจัยทางคลินกิ จะเริม่ ขน้ึ 2. ระหวา งดําเนินการวิจยั ทางคลินิก และ 3. หลังการวิจัยเสรจ็ สมบรู ณห รือหลงั ยุติโครงการวิจยั ควรมีรายละเอียดจุดมุงหมายของเอกสารแตละชนิด และรายละเอียดท่ีวาควรเก็บเอกสารเหลาน้ีในสถานที่ของ ผวู ิจยั /สถานที่วิจัย หรือของผใู หทุนวิจัย หรือของทง้ั 2 ฝาย หรอื ไม. เปน ที่ยอมรบั วา เอกสารบางอยา งสามารถ รวบรวมไวด ว ยกันไดโ ดยมีขอแมวาจะสามารถจําแนกขอ มูลแตละสวนไดท ันที ควรจัดทําแฟมขอมลู หลกั ขึน้ ตั้งแตเร่ิมตนทําการวิจัย และเกบ็ ไวท ัง้ ทผี่ ูวิจยั /สถานทีว่ จิ ัยและทีส่ ํานกั งานของผูใหทุนวิจัย การปดการวิจัยขั้นสุดทายสามารถทําไดเ ฉพาะเม่อื ผูกํากบั ดูแลการวิจัยทําการทบทวนเอกสาร ท้ังหมดท่มี อี ยูท ้งั ในแฟม ขอ มลู ของผูวิจัย/สถานที่วิจัยและของผูใหท ุนวจิ ัย และรับรองวา เอกสารสาํ คญั ทง้ั หมดเกบ็ อยูในแฟม ขอ มูลทีเ่ หมาะสม ควรเตรียมเอกสารใดๆ หรอื เอกสารทัง้ หมดทร่ี ะบุในแนวปฏบิ ตั นิ ี้ ใหพ รอ มเพือ่ การตรวจสอบโดย ผูตรวจสอบการวิจัยจากผใู หทนุ วจิ ยั และการตรวจตราโดยหนว ยงานควบคมุ ระเบียบกฎหมาย 8.2 กอ นเรม่ิ การวจิ ยั ทางคลินิก ระหวางการวางแผน ควรมีเอกสารตางๆ ตอไปนี้ และควรเกบ็ เอกสารเหลา นี้ในแฟมขอมูลกอนการ วิจยั จะเร่มิ ขน้ึ อยา งเปนทางการ 49
50 ชื่อเอกสาร จุดมุงหมายของเอกสาร เกบ็ ไวในแฟมขอมูลของ ผวู ิจยั /สถานที่วิจัย ผใู หทนุ วจิ ัย 8.2.1 เอกสารคมู อื ผูว ิจยั เพ่ือเปน หลักฐานแสดงวา ขอมลู ลา สดุ ดา น วิทยาศาสตรทีเ่ ก่ยี วของกับผลติ ภัณฑที่ใช ในการวิจัยไดมอบใหผ วู จิ ัยแลว 8.2.2 โครงรา งการวจิ ัยและสวนแกไข เพื่อเปน หลกั ฐานแสดงความตกลงรวมกัน เพ่ิมเติมโครงรา งการวิจยั (ถามี) ระหวางผวู ิจัยกบั ผูใหทุนวิจยั ในโครงรางการ ท่ีลงนามโดยผเู กย่ี วขอ ง และตัว วจิ ัย/สวนแกไขเพม่ิ เติมโครงรางการวจิ ัย (ถา ตอ งม)ี อยา งแบบบันทกึ ขอมลู ผปู ว ย และตัวอยางแบบบันทกึ ขอมูลผูปว ย 8.2.3 ขอมูลทใ่ี หอาสาสมัคร -เอกสารใบยนิ ยอม เพ่ือเปน หลักฐานแสดงความยินยอมเขา รวมการวิจัยโดยสมัครใจหลงั ไดร บั คาํ ชแี้ จง เก่ียวกับการวจิ ัยโดยละเอยี ด (รวมท้งั เอกสารฉบบั แปลทงั้ หมด) -เอกสารอื่นๆ เพื่อเปน หลกั ฐานแสดงวา อาสาสมคั รจะได รับเอกสารทีเ่ หมาะสม (ท้ังเนือ้ หาและการใช ถอยคํา) เพ่อื ประกอบการตดั สินใจใหค วาม ยินยอมโดยสมัครใจ -ขอความโฆษณาเพอื่ คดั เลือก เพ่ือเปนหลักฐานแสดงวา มาตรการการคัด อาสาสมัครเขารว มการวจิ ัย เลือกอาสาสมคั รเขา รว มการวจิ ยั มีความ (ถาใช) เหมาะสมและไมม ีการบีบบังคับ 8.2.4 งบประมาณการวิจยั เพ่ือเปน หลักฐานแสดงการตกลงทางการ เงนิ สําหรบั การวจิ ัยระหวางผูวิจยั /สถาบันที่ วจิ ัย กบั ผูใหทุนวิจัย 8.2.5 ขอ ความท่รี ะบุเกย่ี วกับการ เพ่ือเปน หลกั ฐานแสดงวา จะมกี ารจา ยคา ประกัน (ถาตองม)ี ชดเชยใหอาสาสมัครหากเกิดอนั ตรายเนอ่ื ง จากการวจิ ัย 8.2.6 ขอตกลงทลี่ งนามโดยฝายตางๆ เพ่ือเปน หลกั ฐานแสดงความตกลงรว มกนั ท่เี กีย่ วของ ตัวอยาง เชน -ขอตกลงระหวา งผวู จิ ัย/สถาบัน ทีว่ จิ ัยกับผใู หทนุ วิจยั -ขอตกลงระหวา งผูวจิ ัย/สถาบัน ทวี่ จิ ัยกับองคก รท่ีรบั ทาํ วิจยั ตาม สัญญา - ขอตกลงระหวางผูใ หท นุ วจิ ัย กับองคกรทร่ี บั ทาํ วิจยั ตาม สัญญา 50
Search