Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสารอิเล็กทรอนิกส์ v9

วารสารอิเล็กทรอนิกส์ v9

Published by btagan888, 2022-06-13 02:19:31

Description: วารสารอิเล็กทรอนิกส์ v9

Search

Read the Text Version

อำ�เภอว�ริชภูมิอบจ.สกลนคร ๙๔

อำ�เภอว�ริชภูมิเมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๗ชาวภูไทเมืองกะปอง (เมืองเซโปน สาธารณรัฐประชาธิปไตย๋ประชาชนลาว) ประมาณ ๔๐๐ ครัวเรือน อพยพข้ามแม่น้ำาโขงเข้ามายังประเทศสยาม โดยมี ท้าวราชนิกูล บุตรของท้าวคำาผงเจ้าเมืองกะปอง เปนผู้นำาในการอพยพครั้งนั้น ขบวน๋็ผ้อพยพได้เดินทาง พกแรม ผ่านเขตเมืองนครพนม ูัสกลนคร จนกระทั่งป พ.ศ.๒๓๙๐ ท้าวราชนิกูลและีชาวภูไทกะปอง ได้ต้งบ้านเรือนอย่ท่บ้านหนองหอย ๋ัูี(อำาเภอวาริชภูมิ ในปจจุบัน) เนื่องจากเห็นว่าเปนทำาเลที่ดีั็มีแหล่งน้ำาอุดมสมบูรณ์ ในป พ.ศ.๒๔๓๐ ท้าวราชนิกูล ีได้ถึงแก่กรรมลง ท้าวสุพรม ผู้เปนบุตรชาย ได้เดินทาง็ไปยังกรุงเทพมหานคร เพ่ อเข้าเฝาพระบาทสมเด็จื้พระจุลจอมเกล้าเจ้าอย่หัว รัชกาลท่ ๕ และขอจัดต้งูีัเมืองวาริชภูมิ ทางการสยามจึงได้สืบประวัติ สอบถามเรื่ องราวเกี่ ยวกับตระกูลของท้าวสุพรม ไปยังเจ้าเมืองต่างๆในหัวเมืองลาวฝายเหนือ ท้งจากบันทึกและ่ัคำาบอกเล่า จนสามารถยืนยันได้ว่าตะกูลของท้าวสุพรมเคยเป็นเจาเมองมากอนเม่อคร้งอยฝ ่้ื่ืัู ่ังซายแมนาโขง ้่้ำพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอย่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ูพระราชทานยศบรรดาศักด์ แต่งต้งให้ท้าวสุพรม เปน ิั็“รองอามาตย์เอกพระสุรินทรบริรักษ์” ดารงตาแหน่งำำำเจ้าเมืองวาริชภูมิเรียงลาดับการเปล่ยนแปลงของเมืองวาริชภูมิ ำีได้ดังนี้- พ.ศ. ๒๔๓๐ มการจดต้งเมืองวาริชภูมิขึ้นครั้งแรกีัั- พ.ศ. ๒๔๔๐ ปรบเปล่ยนเมืองวาริชภูมิ เปนอำาเภอัี็วารชภมิ ในปเดียวกัน้เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้เมือง จึงทาใหิูีำ้ผู้คนต่างแยกย้ายออกไปตั้งบ้านเรือนที่อื่น- พ.ศ. ๒๔๕๗ อำาเภอวาริชภูมิ ถูกปรับเปลี่ยนเปนตำาบลวาริชภูมิ ขึ้นกับอำาเภอพรรณานิคม ็- พ.ศ. ๒๔๖๙ เปลี่ยนจากตำาบลวาริชภูมิ เปน็กิ่งอำาเภอวาริชภูมิ- พ.ศ. ๒๔๙๖ เปล่ยนจากก่งอาเภอวาริชภูมีิำิเปนอำาเภอวาริชภูมิ จนถึงปจจุบัน็ัพนจ่าอากาศเอกพนสุข ทะแพงพนธ์ัูันายอำาเภอวาริชภูมิอบจ.สกลนคร๙๕

อำ�เภอว�ริชภูมิเปนอำาเภอหนึ่งของจังหวัดสกลนคร มีที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดสกลนคร็๗๐ กิโลเมตร ที่ว่าการอำาเภอตั้งอยู่ที่ บ้านวาริชภูมิ หมู่ที่ ๑ ตำาบลวาริชภูมิ มีเนื้อที่ ๔๗๖.๑๒๕ ตารางกิโลเมตรหรือ ๒๗๙,๕๗๘.๑๒๕ ไร่ อย่ห่างจากจังหวัดสกลนครไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๗๐ กิโลเมตร และห่างจากูกรุงเทพมหานครประมาณ ๖๐๐ กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับเขตอำาเภอ/จังหวัดดังต่อไปนี้ทิศเหนือ ติดต่อเขตอำาเภอพงโคน จังหวัดสกลนครัทิศตะวันออก ติดต่อเขตอำาเภอนิคมน้ำาอูน จังหวัดสกลนครทิศตะวันตก ติดต่อเขตอำาเภอส่องดาว อำาเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนครทิศใต้ ติดต่อเขตอำาเภอวังสามหมอ จังหวัดอุดรธานีลักษณะภูมิประเทศโดยท่วไปของอาเภอวาริชภูมัำิสภาพพ้ นที่มีลักษณะคล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้า ส่วนใหญ่ืเปนท่ราบและบางส่วนเปนภูเขา พ้นท่ส่วนใหญ่เหมาะสำาหรับ็ี็ืีการทำานา ทำาไร่ เลี้ยงสัตว์และเปนที่อยู่อาศัย ส่วนพ้นที่็ืที่อยู่ในเขตเทือกเขาภูพาน ได้แก่ ตำาบลวาริชภูมิ ตำาบลคำาบ่อและตำาบลค้อเขียว แหล่งน้ำาตามธรรมชาติอาเภอวารชภม มแหลงนาตามธรรมชาตท่สาคญ ๒ แหง ำิูิี่้ำิีำั่ด้วยกัน คือ- ห้วยปลาหาง ต้นกาเนิดเกิดจากเทือกเขาภูพานำในเขตตาบลคาบ่อไหลผ่านตาบลวาริชภูมิ ตาบลปลาโหล ำำำำผ่านไปทางอำาเภอพงโคนั- ห้วยยาม ต้นกำาเนิดเกิดจากเทือกเขาภูพานในเขตตาบลค้อเขียว ไหลผ่านตาบลหนองลาด ผ่านไปทางำำอำาเภอสว่างแดนดินลักษณะภูมิอากาศ โดยท่วไปของอาเภอัำวาริชภูมิ เปนลักษณะภูมิอากาศของภูมิภาคทางแถบร้อนช้น ็ืซึ่งเปนลักษณะของภูมิอากาศโดยท่วไปของประเทศไทย ็ัคือ มีลักษณะภูมิอากาศเปน ๓ ฤดู คือ็- ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ถึงเดือนตุลาคม- ฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพนธ์ั- ฤดูรอน้ เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึงเดือนเมษายนอบจ.สกลนคร ๙๖

เจ้าปู่มเหสักข์ชาววาริชภูมิเล่าสืบต่อกันมาว่าครั้นขบวนอพยพมาถึงธารน้ำาแห่งหนึ่ง ด้านหลังมีภูเขาใหญ่มีหน้าผาสูงชัน จึงได้ขบวนหยุดและต้งค่ายพกข้น และพาไพร่พลััึจำานวนหนึ่งสร้างศาลเพี ยงตาขึ้นหลังหนึ่งด้านหลังค่ายเมื่อเห็นผ้คนหายเหน่อยแล้ว จึงนาผ้คนบ่าวไพร่พร้อมใจกันูืำูอธิษฐาน อัญเชิญเทพยดาฟ้าดิน เจ้าภูผา เจ้าปาเจ้าเขา ให้มาสถิต่อยู่ ณ ศาลนั้น ขอให้เป็นกำาแพงคุ้มกันขบวนของชาวภูไทตลอดไปครั้นทาพธีเสร็จได้พร้อมกันหาดอกไม้ธูปเทียนบูชา จัดสารับำิำกับข้าวคาวหวานเล้ยงและเรียกช่อเทพสถิตอย่ ณ ศาลแห่งน้ีืูีว่า \"เจ้าปมเหสักข์\" ผ้คนในขบวนต่างก็ร่วมฉลองเปนการใหญู ู่็่จากนั้นเมื่อขบวนอพยพได้รอนแรมไปถึงที่ใด ก็จะตั้งศาลเจ้าปูขึ้นไว้ เคารพบูชามิได้ขาด ทำาให้ขบวนอพยพของชาวภูไท่สามารถเอาชนะภัยธรรมชาติและอุปสรรคต่างๆ จนมาตั้งบ้านเรือนที่บ้านหนองหอยได้ในที่สุดในสมัยของท้าวสุพรหมได้เปนเจ้าเมืองวาริชภูมิ็ไดอญเชญเจาปมเหสกขลงมาจากปาเขา เพ่อใหมาสถตอยใกล้ัิู้่ั์่ื้ิู่้กบชมชน จึงต้งศาลเจาปข้นบรเวณท่ดอนซ่งเปนปารกทบ หางจากัุัู้ ่ึิีึ็่ึ่ตัวเมืองประมาณ ๑ กิโลเมตร และใช้สถานที่แห่งนี้เปนที่จัดพธี็ิเซ่นสังเวยเจ้าปมเหสักข์ทุกป แต่ภายหลังศาลเจ้าปแห่งนีู้ ่ีู ่ไมสะดวกสาหรับชาววารชภูมิ ท่ตองการไปไหว้เจาปเพราะเปน่ำิีู้้ ่็ปารกทบ จึงได้สร้างศาลจาลองข้นหลังหน่งไว้ท่บ้านเจ้าจา ่ึำึึี้ำ(นายทองเพ่อน เหมะธุลิน) ก่อนท่จะมีการย้ายศาลมาสร้างืีที่บริเวณวัดร้างกลางชุมชนวาริชภูมิ ซ่งเปนศาลขนาดใหญึ็่มั่นคงถาวรในปจจุบันัอบจ.สกลนคร๙๗

หาดสวนหินเปนทะเลเทียม ต้งอย่ท่บ้านดงคาโพธ์ ็ัูีำิหรือที่เรียกกันว่า “พทยาอีสาน” เนื่องจากมีลักษณะคล้ายกัน ัมีหาดทรายสีขาวสะอาดเปนแถวยาว ทาให้ท่แห่งน้ ไม่ว่าจะเป็น็ำีีวัยรุ่นหรือวัยใด ต่างก็พากันมาเที่ยวอย่างไม่ขาดสาย ส่งที่น่าสนใจของที่นี่ คือ มีหาดทรายสีขาวสะอาด ปลอดขยะิและนาใส สเขยวมรกต นอกจากความสวยงามของบรรยากาศ้ำีีที่มองไปแล้วรู้สึกผ่อนคลาย ยังสามารถนั่งชิลๆบนหาดทราย รับลมเย็นๆ ดูพระอาทิตย์กำาลังลับขอบฟ้าตัดกับแสงท้องฟ้าสีชมพอันงดงาม ูเมื่อดื่มดากับบรรยากาศเสร็จแล้ว ยังมีร้านอาหาร่ำหลากหลายให้ได้เลือกซ้อรับประทาน สามารถทานข้าวริมทะเลืหรือจะน่งในกระท่อมก็ได้ นอกจากน้ยังมีสะพานเล็กๆ ให้ชมวิว ัีและมีชุดชูชีพกับห่วงยางไว้ให้บริการอีกด้วย นอกจากน้ียงมีสนคาโอทอป สินคาพ้นเมือง ท่ชาวบานนามาจาหนาย ัิ้้ืี้ำำ่ถือว่าเปนการสร้างรายได้ให้กับคนในพนที่ นับได้ว่าในจังหวัด็ื้สกลนคร นอกจากสถานท่ท่องเท่ยวท่มีธรรมชาติอันน่าหลงไหลีีีแลว จะหาทะเลจากแห่งใดไม่ได้นอกจากที่นี่ \"หาดสวนหิน\"้บ้านดงคำาโพธิ์แห่งนี้อบจ.สกลนคร ๙๘

วัดถาพระพทธไสยาสน์ ้ำุ(ถาพระทอง) ต้งอยู่้ำัที่บ้านโคกตาดทอง หม่ท่ ๕ ตาบลค้อเขียว อำาเภอวาริชภูมิ ูีำจังหวัดสกลนคร สร้างก่อน พ.ศ. ๒๔๘๔ ที่ดินของวัดเปนท่ดินในอุทยานภูพาน วัดถาพระพุทธไสยาสน์ ต้งอย่ห่างจาก็ี้ำัูที่ว่าการอำาเภอวาริชภูมิ ไปทางทิศตะวันตก ประมาณ ๑๖ กิโลเมตรปจจุบันมีพระมหาศักดิ์ชาย อมโร เปนเจ้าอาวาส ั็วดถาพระพทธไสยาสน มโบราณวตถท่ าคัญ ั้ำุ์ีัุีสำได้แก่ พระพทธรูปแกะสลักด้วยหินบนผนัง ศิลาจารึกอักษรุโบราณ พระพทธไสยาสน์ พระนาคปรก พระพทธรูปเก่าแก ุุ่ศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์ โรงย้อม โรงครัว ศาลาเอนกประสงค์เรือนรับรองผ้มาแสวงบุญ ถังเก็บนาฝน ซ่งปัจจุบันท่านเจ้าอาวาสท่านได้เก็บไว้ในพระธาตุหิน เน่องจากมีคนมาขโมยโบราณู้ำึืไปหลายชิ้น จึงต้องมีการเก็บรักษาได้เปนอย่างดี เพ่อคงไว้เพ่อชั่วลูกชั่วหลาน วัดถ้ำาพระพุทธไสยาสน์(วัดถ้ำาพระทอง) ็ืืในอดีตเคยเปนวัดที่มีความเจริญรุ่งเรือง ทั้งนี้ เนื่องจากมีหลักฐานที่มีอยู่หลายสิ่ง เปนต้นว่า พระพทธรูปปางต่างๆ็็ุที่แกะสลักด้วยหินบริเวณผนังถ้ำา ซึ่งปัจจุบันได้ถูกทำาลายไป คงเหลือให้เห็นเพียงองค์เดียว นอกจากนี้ยังมีศิลาจารึกซึ่งเมื่อหลายปที่ผ่านมา ได้มีผู้เชี่ยวชาญมาอ่านและได้แปลพอได้ใจความว่า พทธศตวรรษที่ ๑๖ เดือนยี่ ปมะโรง สถานที่นี้ีุีเคยเปนที่ประชุมของคณะสงฆ์ ๓๑ คณะ พระมหาศักดิ์ชาย อมโร อายุ ๔๑ ป ๒๑ พรรษา เกิดเมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพนธ์ ๒๕๑๕็ีับ้านเกิดบ้านปงไฮ ตำาบลปงไฮ อำาเภอเซกา จังหวัดบึงกาฬ่่อุปสมบทเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๓๕ บวชที่วัดโชติรสธรรมมากร อำาเภอบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ เข้ามาอยู่วัดถ้ำาพระพทธไสยาสน์ ุ(วัดถาพระทอง) ท่บ้านโคกตาดทอง หม่ท่ ๕ ตาบลค้อเขียว ้ำีูีำอาเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร เม่อวันท่ ๑๒ พฤษภาคม ำืี๒๕๔๔ จนถึงปจจุบันัอบจ.สกลนคร๙๙

อำ�เภอกุสุม�ลย์อบจ.สกลนคร ๑๐๐

อำ�เภอกุสุม�ลย์กุสุม�ลย์เปนอำาเภอหนึ่งของจังหวัดสกลนคร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัด มีอาณาเขต็ติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังนี้ทิศเหนือ ติดต่อกับอำาเภอนาหว้าและอำาเภอโพนสวรรค์ (จังหวัดนครพนม)ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำาเภอโพนสวรรค์ อำาเภอเมืองนครพนม และอำาเภอปลาปาก (จังหวัดนครพนม)ทิศใต้ ติดต่อกับอำาเภอโพนนาแก้วและอำาเภอเมืองสกลนครทิศตะวันตก ติดต่อกับอำาเภอเมืองสกลนคร และอำาเภอนาหว้า (จังหวัดนครพนม)แบ่งพ้นที่การปกครองออกเปน ๕ ตำาบล ๗๑ หมู่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๖ แห่งื็นายปรีชา มณีสร้อยนายอำาเภอกุสุมาลย์การศึกษาการอบรมประวัติการทำางานพ.ศ. .................... พ.ศ. .................... อบจ.สกลนคร๑๐๑

เมื่อ พ.ศ.๒๓๘๑ ได้มีพ่น้องชาวไทโส้อพยพมาตั้งีรกรากอย่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะในพ้นทีู่ือำาเภอกุสุมาลย์ มีชาวไทโส้ ถึง ๘๐% พ.ศ.๒๓๘๗ พระบาทสมเดจพระน่งเกลาเจ้าอย่หัว ได้โปรดใหต้งเมืองกสุมาลย์ข้น ็ัู้้ัุึโดยแต่งต้งหลวงอรัญอาสา เปนเจ้าเมืองกุสุมาลย์ท่านแรก ั็และต่อมาใน ปพ.ศ.๒๔๑๙ หลวงอรัญอาสาได้ถึงแก่กรรม ีท้าวกิ่งบุตรชายของหลวงอรัญอาสา ซึ่งเคยไปเรียนวิชาการปกครองจากกรุงเทพฯ ได้เปนเจ้าเมืองกุสุมาลย์สืบต่อ็และไดบรรดาศกด์เปน \"พระอรญอาสา\" มการปกครองตอเน่อง้ัิ็ัี่ืมาจนมี พ.ร.บ. ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๕๗ เมืองกุสุมาลย์ได้ยกฐานะข้นเป็นตาบลหน่ง ในเขตอาเภอเมืองึำึำสกลนคร ในปี พ.ศ.๒๕๐๕ ไดมการประกาศต้งเป็นก่งอาเภอ้ีัิำกสมาลย และไดยกฐานะข้นเปนอาเภอกสมาลย เม่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ ุุ์้ึ็ำุุ์ืโดยมีศูนย์ราชการต้งอยู่ท่บ้านกุสุมาลย์ นายอาเภอท่านแรก ัีำคือ นายบุญรอง กาญจนะโภคินอบจ.สกลนคร ๑๐๒

พพธภัณฑ์ไทโส้ิิเมื่อป พ.ศ. ๒๕๒๐ีนายสุวัฒน์ แสงสุทธิเศรษฐ์ นายอาเภอกุสุมาลย์ำไดมองเหนวาชาวอาเภอกสมาลยส่วนใหญ่เปนชาวโส ้็่ำุุ์็้จึงมีภาษาพด มีขนบธรรมเนียมประเพณีและูวัฒนธรรมเปนของตนเอง ชอบใช้ชีวิตความ็เปนอย่แบบเรียบง่าย ไม่สนใจการเมือง จากสภาพ็ูความเปนอยของชาวไทโส้นั้น เปนเรื่องที่น่าศึกษา ็ู่็โดยเฉพาะขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อที่เปนเอกลักษณ์ของตนเองอย่างเด่นชัด็ในป พ.ศ.๒๕๒๔ จึงจัดสรรเงินงบีประมาณ(เงินผัน)วงเงินประมาณ ๕๐,๐๐๐ บาท ดาเนินการก่อสร้างศูนย์วัฒนธรรมไทโส้ เพ่อรวบรวมำืและแสดง ตลอดจนเนนการอนุรกษเคร่องมอ ้ั์ืืเครื่องใช้ในการดารงชีพ รวมไปถึงเครื่องประดับำชนิดต่าง ๆ ของบรรพบุรุษไทโส้โดยจัดแสดงไว้ให้อนุชนร่นหลังได้ศึกษา ตลอดจนผ้ท่สนใจุูีในประวัติศาสตร์ ท้องถ่น และได้กำาหนดการิจัดงานเทศกาลไทโส้ข้น เพ่อเปนการรักษาและึื็สืบทอดทางวัฒนธรรมด้งเดิม ตลอดจนรักษาัขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามสืบไปคําว่า “โส้” “โซ่” หรือ “กะโส้” คำานี้ตามพจนานกรมฉบับุราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓ หน้า ๓๕ บอกไว้ว่า โซ่ ๑ น. กะเหรี่ยง หรือคือเหล็กเปนข้อๆ มีสายยาวสาหรับล่าม \"ไทยโซ่\" คาน้ก็น่าจะ็ำำีหมายความว่าคนโซ่เปนคนเผ่ากระเหรี่ยงคาว่า \"กะโส้\" ตามบันทึกของ็ำสมเด็จพระยาดารงราชานุภาพ เม่อครั้งเสด็จตรวจราชการที่มณฑลำือดร และมณฑลอีสานในป พ.ศ.๒๔๔๙ ก็ได้ใช้คำาน้เหมือนกัน จากุีีการสอบถามคนด้งเดิมของไทยโส้ ต่างก็บอกว่าตัวเองไม่ใช่ข่า หรือักะเหรี่ยง และตามประวัติดั้งเดิมนั้นอพยพมาจากมหาชัยกองแก้ว แต่เดิมนั้นคนโส้ออกเสียงเรียก ตัวเองโดยออกเสียงเป็น \"โซร\" คือออกเสียงตัว \"ซ\" และตัว \"ร\" ควบกัน คนโส้นั้นเวลาออกเสียงอักษรสูงเป็นอักษรต่ำาและออกเสียง อักษรตาเปนอักษรสูง ดังน้นคนโส้ออกเสียงเรียกตนเอง่ำ็ัว่า \"โซร\" ก็น่าจะตรงกับคาว่า \"โสร\" ในอักษรสูง และคนโส้ก็เลยนิยมเรียกตัวเองำว่าเปน \"ชาวไทยโส้\" แต่ไม่ว่าจะเปน คาไหนก็คือ \"คนโส้\" ซึ่งอยู่ที่อาเภอ็็ำำกุสุมาลย์นั้นเองอบจ.สกลนคร๑๐๓

ชนเผ่า \"ไทโส้\"มีความเชื่อและให้ความสำาคัญเกี่ยวกบส่งเหนอธรรมชาต มความเช่อเก่ยวกบัิืิีืีัวิญญาณ ภูตผีปศาจ ไสยศาสตร์ เวทมนต์คาถา ีและมความศรัทธาในการทาบุญควบค่กับการนับถือผีำูีประเภทต่างๆ และพธีกรรม จนกลายเปนแบบอย่างิ็ของการดาเนินชีวิต และปฏิบัติสืบทอดกันมาจนำกลายเปนส่วนหน่งของชีวิต เปนศูนย์รวมจิตใจของ็ึ็ชาวไทยโส้ให้เกิดความรัก ความผูกผัน และสามัคคีกันเช่น ในด้านพธีกรรมการเหยาเลี้ยงผีประจำาปีิเหยาเล้ยงผีมูล เหยาเล้ยงผีนา พธีกรรมการเหยาีี้ำิเรยกขวญ เหยารกษาคนปวย เหยาแกบน สวนในดานีัั่้่้ประเพณี ได้แก่ ประเพณีเก่ยวกับการเกิด การแต่งงาน ีการตาย และเพณีอื่นๆอบจ.สกลนคร ๑๐๔

วัดนาโพธิ์ ไทรย้อย บ้านนาโพธิ์ ตําบลนาโพธิ์อําเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนครVDOอบจ.สกลนคร๑๐๕

อำ�เภอคำ�ต�กล้�อบจ.สกลนคร ๑๐๖

อำ�เภอคำ�ต�กล้�การศึกษา- ประวัติการทำางาน-นายประพนธ์ สว่างศรีันายอำาเภอคำาตากล้าอำ�เภอคำ�ต�กล้�เปนหนึ่งใน็สิบแปดอาเภอของจังหวัดสกลนคร ต้งอย่ทางทิศตะวันำัูตกเฉียงเหนือของจังหวัดสกลนคร อยู่ห่างจากตัวจังหวัดสกลนครเปนระยะทางประมาณ ๑๑๐ กิโลเมตร ็และอย่ห่างจากกรุงเทพมหานคร โดยทางรถยนต์เปนู็ระยะทางประมาณ ๗๖๐ กิโลเมตร มีพนที่ประมาณ ื้๔๐๒ ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ ๒๕๑,๒๕๐ ไร่ มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้ทิศเหนือติดต่อเขตอาเภอเซกาและอาเภอำำพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬทิศตะวันออก ติดต่อเขตอาเภออากาศอานวย ำำจังหวัดสกลนครทิศใต้ ติดต่อเขตอำาเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนครทิศตะวันตก ติดต่อเขตอำาเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนครการปกครอง : อำาเภอคำาตากล้า แบ่งเขตการปกครอง ดังนี้๑. การปกครองส่วนท้องที่ แบ่งเปน ๔ ตำาบล ็๖๑ หมู่บ้าน กำานัน ๔ คน สารวัตรกำานัน ๘ คน แพทย์ประจำาตำาบล ๔ คน ผู้ใหญ่บ้าน ๕๗ คน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝายปกครอง ๑๒๒ คน ผู้ช่วยผ้ใหญ่บ้าน ฝายรักษาู่่ความสงบ ๑๗ คน๒. การปกครองส่วนท้องถ่ิน แบ่งเปน เทศบาลตาบล ็ำ๒ แห่ง และ องค์การบริหารส่วนตำาบล ๓ แห่ง ดังนี้๑) เทศบาลตำาบลคำาตากล้า ๒) เทศบาลตำาบลแพด ๓) องค์การบริหารส่วนตำาบลคำาตากล้า ๔) องค์การบริหารส่วนตำาบลนาแต้ ๕) องค์การบริหารส่วนตำาบลหนองบัวสิมประชากร : จานวนประชากรของอาเภอคาตากล้า ำำำณ วันท่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ รวมท้งสิ้นจานวน ีัำ๓๙,๔๒๔ คน ชาย ๑๙,๘๐๘ คน หญิง ๑๙,๖๑๖ คน ครัวเรือน ๑๒,๓๔๕ ครัวเรือนอบจ.สกลนคร๑๐๗

ลักษณะภูมิประเทศ : สภาพพ้นที่โดยท่วไปของอาเภอืัำคำาตากล้า มีสภาพเปนลูกคลื่นลอนลาด อยู่สูงกว่าระดับน้ำาทะเล็โดยเฉล่ยประมาณ ๑๗๒ เมตร สภาพปาเปนปาเบญจพรรณ อำาเภอคำาตากล้า อำาเภออากาศอำานวย แล้วไหลลงสู่แม่น้ำาโขงี่็่ปาโปร่ง ส่วนใหญ่เปนพวกไม้แดง ไม้เต็ง ไม้รัง ไม้พลวง ที่อาเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม \"ห้วยโน้ต\" ไหลผ่านพื้นท่่็พื้นท่บางส่วนเปนท่ราบลุ่ม โดยเฉพาะบริเวณริมแม่น้ำาสงคราม ตำาบลแพด ตำาบลหนองบัวสิม ไหลลงแม่น้ำาสงคราม โดยมี ี็ีเหมาะแก่การเพราะปลูก แต่ถ้าปไหนนามากนาท่วมผลผลิตี้ำ้ำทางการเกษตรได้รับความเสียหายได้ ภูมิอากาศของอาเภอคาตากล้า จัดอย่ในประเภทอากาศำำูแบบฝนเมืองร้อนเฉพาะฤดูหรือแบบทุ่งหญ้าเมืองร้อนในฤดฝน(ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้) จะมีอากาศช่มช้นและ \"หนองหลวง\" อยู่ในเขตของตำาบลหนองบัวสิม \"หนองงูเหลือม\" ูุืมีฝนตกชุกตลอดฤดู แต่ในฤดูหนาว (มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ) จะมีอากาศหนาวจัดและมีหมอกหนาในตอนเช้า ส่วนในฤดูร้อนอากาศจะร้อนจัดและแห้งแล้งทรัพยากรทางธรรมชาติดินในพ้ นที่ของอำาเภอคำาตากล้า เปนดินื็ที่มีความอุดมสมบูรณ์ตา ดินส่วนใหญ่เปนดินร่วนปนทราย ่ำ็ซึ่งมีโครงสร้างไม่คงทน เม่อมีฝนตกทาให้เกิดการกัดกร่อนืำของผิวดินสูง เปนเหตุให้ดินถูกน้ำาชะล้างสารอาหารและ็สิ่งที่มีประโยชน์ต่อพชไปหมด การปรับปรุงดินทำาได้ค่อนข้างยาก ืเพราะการใส่ปยเพยงอย่างเดียวยังไม่เพยงพอ จะต้องดูแลเรื่องุ ๋ีีการชลประทาน และการจัดการบารุงรักษาดินไปพร้อมๆกันด้วยำซึ่งในการใช้ประโยชน์จากดินใน พ้ืนที่ของอาเภอคาตากล้าำำจะใช้ในการทำาการเกษตรกรรม เช่น ทำานา ทำาไร่ ทำาสวนและเลี้ยงสัตว์ ส่วนท่เหลือใช้เปนท่อย่อาศัย และเปนท่รกร้างี็ีู็ีว่างเปล่าน้ำา อำาเภอคำาตากล้า นอกจากอาศัยน้ำาฝนในการอุปโภคบริโภคและใช้ในการทาเกษตรกรรมแล้วยังมีแหล่งนาำ้ำที่สำาคัญ คือ แม่น้ำาสงครามเปนลำาน้ำาที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ม็ีปริมาณน้ำามาก ต้นน้ำาเกิดที่บริเวณพ้นที่ของอำาเภอส่องดาวื(เทือกเขาภูพาน) ไหลผ่านอาเภอสว่างแดนดิน อาเภอบ้านม่วง ำำำี\"ห้วยกลอย\" เปนลำาห้วยสาขา \"ห้วยเหล็กเปยก\" ไหลผ่าน็ีพื้นที่ตาบลนาแต้ ไหลลงแม่นาสงคราม โดยมี \"ห้วยแคน\" ำ้ำ\"ห้วยแสง\" \"ห้วยคำาพ\" \"ห้วยฟ้าผ่า\" \"ห้วยเชือก\" เปนลำาห้วยู็สาขา \"หนองสามขา\" อย่ในเขตเทศบาลตาบลคาตากล้าูำำอยู่ในเขตของตำาบลนาแต้ปาไม่้ อำาเภอคำาตากล้า มีเนื้อที่ปาไม้ประมาณ ๓๒,๖๙๕ ไร่่อยู่ในเขตปาสงวนแห่งชาติ ดงอีบ่าง ดงคำาพ และดงคำากั้ง ู่ซึ่งเปนป่าไม้เบญจพรรณ ปัจจบันอยในสภาพเส่อมโทรม็ุู ่ืจากการบุกรุกเปนพ้นที่ทำากินและที่อยู่อาศัย ของราษฏรสา็ืธารณูปโภคประชาชน : ในพ้นท่อาเภอคาตากล้า ส่วนใหญ่นับถือืีำำศาสนาพทธ คิดเปน ๙๕% ที่เหลือนับถือศาสนาคริสต์ุ็คิดเปน ๕ %็อบจ.สกลนคร ๑๐๘

ผาศักด์ิเปนผาสูงสีแดงท่อยู่ริม็ีฝั ่ งแม่นาสงคราม อาเภอคาตากล้า จังหวัด้ำำำสกลนคร บรรยากาศและทิวทัศน์เปนธรรมชาต็ิสวยงามมาก โดยเฉพาะในช่วงนาแล้ง(ฤดูร้อน/้ำฤดูหนาว) ที่แมนาสงครามจะไหลผ่านโขดหิน่้ำเกิดเป นลำาธารเล็กๆ ที่ เล่นน้ำาได้ และ็เดินข้ามไปมาได้ทั้งสองฝ ่ังแม่น้ำาสงครามผาศักด์ อย่ในพื้ นที่ บ้านผาศักด์ิูิตาบลคาตากล้า อาเภอคาตากล้า จังหวัดำำำำสกลนคร เป็นสถานท่ทองเท่ยวอกแหงหน่งี่ีี่ึของอาเภอคาตากลา ซ่งอยหางจากตวอาเภอำำ้ึู ่่ัำประมาณ ๕ กิโลเมตร เปนสถานที่ท่องเที่ยว็แนวธรรมชาติ บรรยากาศที่ร่มรื่น ด้วยปาไม้ ่และแม่น้ำาสงครามอบจ.สกลนคร๑๐๙

ภูพ�นอำ�เภออบจ.สกลนคร ๑๑๐

อำ�เภอภูพ�นนายกฤษฎิ์ โสมปัดทุมนายอำาเภอภูพานการศึกษาการอบรมประวัติการทำางานพ.ศ. .................... พ.ศ. .................... ภูพ�นเปนอำาเภอในลำาดับที่ ๑๘ ในจำานวนทั้งหมด ๑๘ อำาเภอ ของจังหวัดสกลนคร ได้รับ็การประกาศจัดต้งเปนก่งอาเภอ เม่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๓๗ โดยแยกออกจากอาเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร ั็ิำืำมีตำาบลทั้งหมดจำานวน ๓ ตำาบล คือ ตำาบลโคกภู ตำาบลสร้างค้อ และตำาบลหลุบเลา ต่อมาได้ประกาศจัดตั้งขึ้นเปนอำาเภอ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๔๐ โดยมีตำาบลที่อยู่ในเขตปกครอง รวมทั้งหมดจำานวน ๔ ตำาบล คือ ็ตาบลโคกภ ตาบลสร้างค้อ ตาบลหลุบเลา และตาบลกกปลาซว ซ่งแยกออกจากอาเภอเมองสกลนคร จังหวดำูำำำิึำืัสกลนครทิศเหนือ ติดต่อกับอำาเภอกุดบากและ อำาเภอเมืองสกลนครทิศใต้ ติดต่อกับอำาเภอนาคู อำาเภอห้วยผึ้งและอำาเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำาเภอเมืองสกลนครและอำาเภอเต่างอยทิศตะวันตก ติดต่อกับอำาเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร อำาเภอสมเด็จ และอำาเภอคำาม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์อบจ.สกลนคร๑๑๑

พื้นที่ของอาเภอภูพานเดิมเปนท้องท่ของตาบลโคกภู ซ่งเปนตาบลเก่าแก่อย่ในเขตการปกครองของอาเภอธาตุเชิงชุม ำ็ีำึ็ำูำจังหวัดสกลนครในขณะนั้น ต่อมา ในวันที่ ๔ กุมภาพนธ์ พ.ศ. ๒๕๐๗ ได้มีประกาศกระทรวงมหาดไทยให้แยกตำาบลกุดบาก ัตำาบลโคกภู และตำาบลนาม่อง ออกจากการปกครองของอำาเภอเมืองสกลนคร รวมตั้งเป็น กิ่งอำาเภอกุดบาก และเมื่อวันที่๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๐ ได้มีพระราชกฤษฎีกายกฐานะกิ่งอำาเภอกุดบากขึ้นเป็นอำาเภอกุดบาก ทำาให้ท้องที่แห่งนี้อยู่ในเขตการปกครองของอำาเภอกุดบากกระทรวงมหาดไทย ได้พจารณาเห็นว่าราษฎรทั้งสามตำาบล ได้แก่ ตำาบลโคกภู ตำาบลหลุบเลา และตำาบลสร้างค้อ ิเปนตำาบลที่อยู่ไกลท้องที่ทุรกันดาร และห่างไกลจากตัวอำาเภอ เจ้าหน้าที่มีโอกาสตรวจเยี่ยมเยือนดูแลทุกข์สุขของราษฎรน้อยมาก ็เพราะทางคมนาคมไม่สะดวก ซึ่งอาจเปนการเสียหายในด้านการปกครอง ประกอบกับหมู่บ้านดังกล่าวมีโอกาสที่จะเจริญในอนาคต ็เพราะราษฎรอาศัยอยู่กันหนาแน่นมาก และมีพ้นที่ทำามาหากินได้ โดยเฉพาะมีทรัพยากรทางธรรมชาติ พอที่จะยกระดับการครองชีพืของราษฎรท้งสามตำาบลดังกล่าวนี้ให้ดียิ่งขึ้น จึงแนะนำาประชุมชี้แจงร่วมกับทางอำาเภอกุดบาก รายงานต่อกระทรวงมหาดไทย ัขอจัดตั้งที่ว่าการกิ่งอำาเภอภูพานขึ้นต่อมาเมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๗ ได้มีประกาศกระทรวงมหาดไทยให้แยกตำาบลสร้างค้อ ตำาบลหลุบเลา และตำาบลโคกภู ออกจากการปกครองของอำาเภอกุดบาก รวมตั้งเป็น กิ่งอำาเภอภูพาน และในวันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๙มีประกาศกระทรวงมหาดไทยให้โอนย้ายตาบลกกปลาซิวออกมาจากการปกครองของอาเภอเมืองสกลนคร มาข้นกับกิ่งอาเภอำำึำภูพาน จนกระทั่งเมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๐ จึงมีพระราชกฤษฎีกาฯ ยกฐานะขึ้นเปน อำาเภอภูพาน จนถึงปจจุบัน็ัอบจ.สกลนคร ๑๑๒

เขื่อนน้ำาพงุอำาภูพาน จังหวัดสกลนคร ทัศนียภาพมีความงดงามเรยงรายดวยขนเขานอยใหญ ใหบรรยากาศรมร่น เปนสถานท่อกแหงหน่งท่นกทองเท่ยวีุ้้่้่ื็ีี่ึีั่ีนยมเดนทางมาสมผสธรรมชาตอนบรสทธ์ มลกษณะเปนเข่อนแบบหนท้ง มแกนกลางิิััิัิุิีั็ืิิีเปนดินเหนียว สันเข่อนยาว ๑,๗๒๐ เมตร กว้าง ๑๐ เมตร สูงจากท้องน้ำา ๔๑ เมตร ็ืระดับสันเขื่อนสูง ๒๘๖.๕ เมตร จากระดับน้ำาทะเลปานกลางอ่างเก็บนามีขนาดเน้อท่ ๒๑ ตารางกิโลเมตร ปริมาณนาท่ไหลเข้าอ่างเฉล่ย้ำืี้ำีีปละ ๑๑๑ ล้านลูกบาศก์เมตร และสามารถเก็บกักน้ำาได้ ๑๖๕ ล้านลูกบาศก์เมตร ีโรงไฟฟ้าเปนอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก มีเนื้อที่ ๖๗๐ ตารางเมตร ติดตั้ง็เครื่องผลิตไฟฟ้าชนิดแกนตั้ง ระบายความร้อนด้วยอากาศ จำานวน ๒ เครื่อง กำาลังผลิตเครื่องละ ๓,๐๐๐ กิโลวัตต์ รวมกำาลังผลิต ๖,๐๐๐ กิโลวัตต์ และส่งไปเชื่อมโยงกับระบบส่งของเขื่อนอุบลรัตน์ที่สถานีไฟฟ้าแรงสูงมหาสารคาม การกอสรางไดแลวเสรจและมพธเปิดอยางเป็นทางการเม่อวนท่ ๑๔ ่้้้็ีิี่ืัีพฤศจิกายน ๒๕๐๘ ประโยชน์ของเขื่อนน้ำาพุง จังหวัดสกลนคร เขื่อนน้ำาพุง สร้างขึ้นเพื่ออานวยประโยชน์หลายประการ ท้งในด้านการผลิตพลังงานไฟฟ้า ด้วยพลังนาำั้ำเฉลี่ยปละ ๑๗ ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง ช่วยเพ่มประสิทธิภาพในการส่งกระแสไฟฟ้าีิของภูมิภาคนี้ให้มั่นคงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยปองกัน อุทกภัยจากน้ำาที่ไหลบ่ามาเปนจำานวนมาก ใน้็ฤดูนาหลากและในปนาแล้งก็จะระบายนาท่เก็บไว้มาใช้ด้านการชลประทาน ในพ้นที่้ำี้ำ้ำีืเพาะปลูกบริเวณจังหวัดสกลนครและจังหวัดนครพนม รวมท้งยังเปนสถานท่ท่องเท่ยวั็ีีที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งด้วยอบจ.สกลนคร๑๑๓

นาตกห้วยใหญ้ำ่ตาบลโคกภู อาเภอภูพาน ำำจังหวัดสกลนคร อย่บนเทือกเขาูภูพาน ห่างจากตัวเมืองจังหวัดสกลนคร ประมาณ ๓๖ กิโลเมตร ถึงน้ำาตก (อยู่บริเวณหลังค่ายฝกธงชัย) อย่ห่างจากึูที่ทาการอุทยานแห่งชาติภูพาน ำประมาณ ๑๒ กิโลเมตร เปน็สถานท่ท่องเท่ยวท่สวยงามีีีอีกแห่งหน่ง มนาไหลตลอดท้งปีึี้ำัอบจ.สกลนคร ๑๑๔

วดพระพทธบาทนาทิพย ัุ้ำ์ตั้งอย่กลางปาู่ในตาบลสร้างค้อ อาเภอภูพาน สร้างข้นในช่วงำำึป พ.ศ.๒๕๔๗ โดยพระอาจารย์บุญมี เขมธัมโม ที่ได้ีเดินธุดงค์มาพบรอยพระพทธบาทภายในปา ซ่งลักษณะุ่ึของรอยพระพทธบาทที่พบเปนรอยพระบาทหมู่ทับซ้อนกันุ็๗ รอย และมีนาไหลผ่าน โดยนาท่ไหลผ่านรอย้ำ้ำีพระพทธบาทเหล่าน้ มาจากแหล่งนาภายในถาเล็กๆ ุี้ำ้ำที่อย่ไม่ไกล ซ่งนาบริเวณน้จะไหลตลอดท้งปี รอยูึ้ำีัพระพทธบาทเหล่าน้จึงมีชื่อว่า รอยพระพุทธบาทน้ำาทิพย์ ุีพระอาจารย์บุญมี เขมธัมโม จึงได้จัดสร้างวัดข้นในึพื้นที่ตรงข้ามกับปาที่พบรอยพระพทธบาท โดยตั้งชื่อุ่วัดว่า \"พระพทธบาทนาทิพย์\" ตามช่อของรอยุ้ำืพระพทธบาทนั่นเองุภายในวัดพระพทธบาทน้ำาทิพย์โดดเด่นด้วยพระพทธรูปสมเด็จองค์ปฐมหลายองค์ ประดิษฐานเรียงรายอย่างุุงดงามเปนแถวสองฝ ่็ัง บริเวณศูนย์กลางเปนที่ประดิษฐานพระพทธรูปปางพระนิพพานประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์ ซึ่งเปนหมู่็ุ็องค์พระพทธรูปท่มีความงดงามเปนอย่างมาก นักท่องเท่ยวท่มาเยือนวัดพระพุทธบาทน้ำาทิพย์นิยมมากราบสักการะพระพุทธรูปุี็ีีและทำาบุญทำาทาน นอกจากนี้ ยังนิยมเดินข้ามถนนไปยังฝ ่ งตรงกันข้ามกับวัด เพ่ อเดินลึกเข้าไปยังปาด้านในัื่เพื่ อชมรอยพระพทธบาทอีกด้วย ซึ่งรอยพระพทธบาทเหล่านี้เชื่อกันว่า เปนพทธบูชาที่เกิดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์จากการทีุุ่็ุพระพทธเจ้าได้เสด็จมาประทับรอยพระพทธบาทไว้ในสถานที่ต่างๆ ที่พระองค์ได้เสด็จมาโปรดเวไนยสัตว์ุุอบจ.สกลนคร๑๑๕

โพนน�แก้วอำ�เภออบจ.สกลนคร ๑๑๖

การศึกษา- พ.ศ. ๒๕๔๓ ศิลปศาสตรบัณฑิต (รัฐศาสตร์)เกียรตินิยมอันดับ ๒ มหาวิทยาลัยรามคำาแหง- พ.ศ. ๒๕๖๔ รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครประวัติการทำางาน-พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๖๐ ปลัดอำาเภอกุดบากพ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๖๐ ปลัดอำาเภอกุดบากจังหวัดสกลนครจังหวัดสกลนคร- พ.ศ.๒๕๖๐-๒๕๖๒ ปลัดอำาเภอ หัวหน้า-พ.ศ.๒๕๖๐-๒๕๖๒ ปลัดอำาเภอ หัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานปกครอง อำาเภอบ้านม่วงกลุ่มงานบริหารงานปกครอง อำาเภอบ้านม่วงจังหวัดสกลนครจังหวัดสกลนคร- พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๔ ปลัดอำาเภอ หัวหน้า-พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๔ ปลัดอำาเภอ หัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานปกครอง อำาเภอเมืองกลุ่มงานบริหารงานปกครอง อำาเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนครสกลนคร จังหวัดสกลนคร- พ.ศ. ๒๕๖๔-ปจจุบัน นายอำาเภอโพนนาแก้วั-พ.ศ. ๒๕๖๔-ปัจจุบัน นายอำาเภอโพนนาแก้วจังหวัดสกลนครจังหวัดสกลนครอำ�เภอโพนน�แก้วนายสุทธิเมศวร์ บุญแสนกุลธวัชนายอำาเภอโพนนาแก้วอำ�เภอโพนน�แก้วเดิมก่งอาเภอิำโพนนาแก้ว เปนพ้นที่ขึ้นกับอาเภอเมืองสกลนคร ็ืำแต่เนื่องจากอำาเภอเมืองสกลนคร มีอาณาเขตการปกครองกว้างขวาง ทำาให้ทางราชการไมสามารถ่อานวยความสะดวกในการให้บริการประชาชนอย่างท่วถึงำัได้กระทรวงมหาดไทย จึงได้ประกาศแบ่งท้องท่ีอาเภอเมืองสกลนครต้งเป็นก่งอาเภอโพนนาแก้ว มำัิำีเขตปกครอง รวม ๔ ตำาบล คือ ตำาบลบ้านโพน ตำาบลนาแก้ว ตำาบลนาตงวัฒนา และตำาบลบ้านแปน ท้งนี้ตั้งแต่วันที่้ั๑ เมษายน ๒๕๓๔ เปนต้นมา็สาหรับสาเหตุท่ตั้งช่อ \"ก่งอาเภอโพนนาแก้ว\" น้น ำีืิำัเน่องจากเปนการรวมช่อตาบลวนเขตท้องท่กิ่งอาเภอื็ืำีำดังกล่าว คือ- โพน คือ นามของตำาบลบ้านโพน- นา คือ นามของตำาบลนาตงวัฒนา- แก้ว คือ นามของตำาบลนาแก้วรวมช่อวา \"ก่งอาเภอโพนนาแกว\" หมายความื่ิำ้ว่า \"ที่ราบสูงที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์\"อบจ.สกลนคร๑๑๗

ชุมชนคุณธรรมบ้านแป้นชุมชนคุณธรรมวัดสุทธานิวาส ตั้งอยู่ที่บ้านแปน หมู่ที่ ๕ และหมู่ที่ ๑๐ เปนชนเผ่าไทญ้อ้็หน่งในหกชนเผ่าในจังหวัดสกลนคร เผ่าไทญ้อเปนชนเผ่าท่น่ารัก มีนาใจไมตรีท่งดงาม ยึดม่นและปฏิบัติตามจารีตประเพณึ็ี้ำีัีที่ดั้งเดิม โดยเฉพาะ ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ ด้วยสภาพของพ้นท่ชุมชนบ้านแปนท่ติดกับหนองหาร บึงน้ำาจืดที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัด ืี้ีวิถีชีวิตของผ้คนในชุมชนน้ จึงผูกพนกับหนองหาร อีกท้งบริเวณดินแดนแห่งน้ ยังมีเร่องประวัติศาสตร์เก่ยวกับเจ้าเมืองเก่าูีััีืีหนองหาร คือ พระยาสุวรรณภิงคารและพระนางนารายณ์เจงเวง จึงทำาให้ชุมชนนี้มีความเชื่อ ศรัทธา และความน่าสนใจเปนอย่างยิ่ง็อบจ.สกลนคร ๑๑๘

วัดยอดลําธารตั้งอย่บ้านนาแก้ว ูตาบลนาแก้ว อาเภอโพนนาแก้ว จังหวัดสกลนคร ำำด้านหน้าของอุโบสถมีรูปป ้ันยักษ์ขนาดใหญ่ ๒ ตนยืนอยู่สองข้างระหว่างบันไดทางขึ้น ตนที่ยืนอยู่ข้างบันไดด้านทิศเหนือ เปนยักษ์โข (เพศชาย)็มีกระบองเปนอาวุธ สวมกางเกงทับด้วยโจงกระเบน็เสื้อแขนสั้น ประดับสังวาลย์และชฎา สันนิฐานว่าน่าจะเปนราชาแห่งยักษ์ ผู้ปกครองโลกในทิศเหนือ ็(อาฏานาฏิยปริตร บาลีว่า อุตฺตรสฺมึ ทิสาภาเค สนฺติ ยกฺขา มหิทฺธิกาฯ) ส่วนตนที่ยืนทางด้านทิศใต้ มีรูปร่างเล็กกว่า ผมหยิก นุ่งโจงกระเบน ไม่สวมเสื้อ แต่ประดับสร้อยสังวาลย์ สันนิฐานว่าน่าจะเปน็ยักษ์ษินี (เพศหญิง)ยักษ์ ๒ ตนน้ สร้างข้นภายหลังจากสร้างีึอุโบสถเสร็จส้นแล้วโดยอาจารย์บุญช่วย ทองแสง ิอาจารยลเกช่อดงเป็นนายชางใหญและเปนผ้ม์ิืั่่็ูีจิตศรัทธาสร้าง ชาวบ้านเชื่อกันว่ายักษ์ ๒ ตน มีความศักด์สิทธ์บนบานส่งใดสมปรารถนาทุกประการิิิโดยเฉพาะโรคภัยไข้เจ็บหรือการสอบไล่ สอบเข้าทางาน ำสามีภรรยาทะเลาะกันกลับคืนดีได้ แม้กระท่งคริสต์ชนับางครอบครัวของบ้านท่าแร่ก็ยังเคยมาบนบาน บูชายักษ์ ๒ ตน ปจจุบันโดยเฉพาะในวันพระัจะมีชาวบ้านและคริสต์ชนบางครอบครัวในบ้านท่าแร่ที่ศรัทธามากราบไหว้ขอพรเป็นจำานวนมากเครื่องสังเวยที่ชาวบ้านนำามาและเชื่อว่ายักษ์ทั้ง ๒ ตนโปรด คงมีเพยงผลไม้ ๙ ชนิด ดอกไม้แดง ๙ ดอก เทียนขาว ี๙ เล่ม นอกจากน้ชาวบ้านยังมีความเช่ออีกว่าีืยักษ์ทั้ง ๒ ตน เปนยักษ์ใจดี เปนเทพแห่งยักษ์ ็็ซึ่งแต่ละปีเทพแห่งยักษ์จากสรวงสวรรค์จะผลัดเปล่ยนกันลงมาประทับท่รูปป ้ีีันยักษ์ท้ง ๒ ตนน้ัีเพื่อดูแลรักษาพระศาสนาให้ร่งเรืองสถาพรสืบไปุอบจ.สกลนคร๑๑๙

วัดยอดลําธาร(ประตูน้ำาก่ำา) ตั้งอยู่ที่บ้านบึงศาลา หมู่ที่ ๘ ตำาบลนาตงวัฒนา อำาเภอโพนนาแก้ว จังหวัดสกลนคร การบริหารจัดการประตูระบายน้ำาสุรัสวดี โดยการควบคุมบังคับ น้ำาในหนองหารที่ระบายลงสู่ลำาน้ำาก่ำา ตามโครงการพฒนาลุ่มน้ำาก่ำา อันเนื่องมาจากพระราชดำาริ ัจังหวัดสกลนคร-นครพนม เพ่อช่วยเหลือเกษตรกรืในเร่องน้ำาท่วมพื้นที่เพาะปลูกในฤดูฝน และช่วยราษฎรืในท้องท่บริเวณสองฝ ่ีังลำาน้ำาก่ำา ให้มีน้ำาใช้ในการเกษตร การอุปโภค-บริโภคในฤดูแล้งอบจ.สกลนคร ๑๒๐

วัดปาโนนขุมเงิน อำาเภอโพนนาแก้ว จังหวัดสกลนคร่เปนสำานักปฏิบัติธรรม็ประจำาจังหวัดสกลนคร ตั้งอยู่ที่ บ้านนาตงน้อย หมู่ที่ ๖ ตำาบลนาตงวัฒนา อำาเภอโพนนาแก้วจังหวัดสกลนคร สังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุต ต้งวัดเม่อ พ.ศ. ๒๔๔๖ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ัืเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๐ มีพระครูธรรมญาณทิพย์รัชต์ เปนเจ้าอาวาส ็วัดป่าโนนขมเงิน เป็นวดท่มความสปปายะในการปฏิบัตธรรม มีความร่มร่น มีแม่ชุัีีัิืีที่อยู่ปฏิบัติธรรมภายในวัดเป็นประจำา สำานักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสกลนคร มีความมุ่งมั่นในการดำาเนินงานร่วมกับคณะสงฆ์ เพ่ อความมั่งคงแห่งพระสัทธรรมแห่งสมเด็จืพระสัมมาสัมพทธเจ้า เพ่อความสงบสุขร่มเย็นของสังคมุือบจ.สกลนคร๑๒๑

โคกศรีสุพรรณอำ�เภออบจ.สกลนคร ๑๒๒

นายศรณ์ รักรงค์ปลัดอำาเภอ(เจ้าพนักงานปกครองชำานาญการพเศษ)ิรักษาราชการแทนนายอำาเภอโคกศรีสุพรรณอำ�เภอโคกศรีสุพรรณอำ�เภอโคกศรีสุพรรณแยกออกจากอาเภอเมืองสกลนคร เปนก่งอาเภอโคกศรีสุพรรณำ็ิำเมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๒๔ โดยเริ่มปฏิบัติงานมาตั้งแต่วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๒๔ และยกฐานะเปน็อำาเภอโคกศรีสุพรรณ เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ประชากรเดิมอพยพมาจากเมืองอ่างคำาฝ ่ังซ้ายแม่น้ำาโขงในสมัยรัชกาลที่ ๒ และรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ประกอบด้วย เผ่าภูไท ย้อ กะเลิง เป็นพื้นที่รอยตอระหว่างจังหวัดสกลนคร-จังหวัดนครพนม ่อำาเภอโคกศรีสุพรรณตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้ทิศเหนือ ติดต่อกับอาเภอเมืองำสกลนครและอำาเภอโพนนาแก้วทิศตะวันออก ติดต่อกับอาเภอวังยางำและอำาเภอนาแก (จังหวัดนครพนม)ทศใติ้ ติดต่อกับอาเภอนาแก ำ(จังหวัดนครพนม) และอำาเภอเต่างอยทิศตะวันตก ติดต่อกับอาเภอเต่างอยำและอำาเภอเมืองสกลนครอบจ.สกลนคร๑๒๓

พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพตร สมเด็จพระบรมราชชนนีพนปหลวง และสมเด็จิัีพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เคยเสด็จเยี่ยมราษฎรบ้านหนองแข้พร้อมทั้งทรงฟื ้นฟการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมพนธุ์พ้นเมืองของไทย และการทอผ้าลายไทย โดยทรงรับราษฎรบ้านหนองแข้เปนสมาชิกศิลปาชีพ ูัื็เพื่อให้มีรายได้เสริมจากการทอผ้า และอนุรักษ์ลวดลายผ้าไทย นอกจากนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพนปหลวง ไดเคยเสดจเย่ยมราษฎรัี้็ีบ้านหนองแข้ เปนการส่วนพระองค์ถึง ๓ ครั้ง ในป ๒๕๒๑, ๒๕๒๓ และ ๒๕๒๕ เพ่อพระราชทานกำาลังใจในการทอผ้าไหม ็ีืและประทับอยู่ที่ชานเรือนเปนเวลานานจนค่ำามืด ทรงไต่ถามเรื่องความเปนอยู่ และพระราชทานฉลอง พระองค์คลุมไหมมัดหมี่็็สีม่วงแก่นางไท้ เพ่อใช้เปนแบบในการทอผ้า ซ่งภาย หลังนางไท้ได้เชิญฉลองพระองค์น้นไว้บนห้ง และบูชาด้วยดอกไม้มหาหงส ื็ึัิ์ตามประเพณีของชาวอีสาน และเคยได้นำามาจัดแสดงในนิทรรศการ พพธภัณฑ์ผ้าฯ ด้วยความสานกในพระมหากรณาธคณ ิิำึุิุและเพ่อสืบทอดความภาคภูมิใจนี้ มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ จึงร่วมกับชาวบ้านหนองแข้ จดทาเปนพพธภณฑบาน \"ปาทม-ปาไท\" ืัำ็ิิั์ุ้้ ้้้ให้เปนแหล่งเรียนรู้ในพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพนปหลวง ็ัีรวมทั้งความรู้เรื่องกระบวนการทอผ้า ตั้งแต่การเลี้ยงไหม ไปจนถึงการทอผ้าไหม โดยจะเปดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา ิ๐๙.๐๐-๑๖.๐๐ น.VDOอบจ.สกลนคร ๑๒๔

วดดอยธรรมเจดยัี์เปนวัดที่สำาคัญของชาวอำาเภอ็โคกศรีสุพรรณ มีพระภาวนาวิสุทธิญาณเถระ(อาจารย์แบน ธนากโร) เปน็อดีตเจ้าอาวาส วัดดอยธรรมเจดีย์ตั้งอย่ในอาณาเขตบ้านนาสีนวล ูอาเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดำสกลนครวัดดอยธรรมเจดีย์ แต่เดิมเคยเปนถาเสือบนเทือกเขาภูพาน ม็้ำีความสงบวิเวกดี ในป พ.ศ.๒๔๘๙ ีหลวงปกงมา จิรปญโญ ได้มาปกกลดู ุ่ัที่ปากถ้ำาเสือนี้ แล้วปฏิบัติธรรมเจริญวิปสสนากรรมฐาน จนเสือัที่ เคยอาศัยอยู่ ณ ถ้ำาแห่งนี้ต้องหลีกทางให้ท่านอย่ปฏิบัติเพราะูส้เมตตาธรรมของท่านไม่ได้ ต่อมาูหลวงปกงมา จิรปญโญ ก็ได้สร้างเปนู ุ่็วัดขึ้ นมาและเป นเจ้าอาวาสองค์แรก ในคราว็ที่องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปนโน เดินทางมาที่วัดแห่งันี้พร้อมกับพระอุปชฌาย์ คือ พระธรรมเจดีย์ (จม พนธโล) ัูัุแห่งวัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี และผ้ว่าราชการจังหวัดูสกลนครในขณะน้น ไดต้งช่อวดโดยเอานามพระอปชฌายั้ัืัุั์ขององค์ท่านมาตั้งเปนชื่อ วัดแห่งนี้จึงมีนามว่า็\"วัดดอยธรรมเจดีย\" มาจนกระทั่งทุกวันนี้วัดตั้งอย่ในเขตอาเภอโคกศรีสุพรรณ ออกจากูำตัวเมืองสกลนครไปเส้นทางสายอาเภอนาแก ระยะทางำประมาณ ๒๐ กิโลเมตร เมื่อถึงอำาเภอโคกศรีสุพรรณเลี้ยวขวาเข้าไปอีกประมาณ ๕ กิโลเมตร วัดมีเนื้อที่ ๙๐๐ ไร่ เปนปาโปร่งบนภูเขาหิน สงบร่มร่น หน้าร้อนค่อนข้างร้อนมากๆ็่ือาจจะไม่ค่อยสะดวก ซ่งท่น่าจะดีมากๆ คือ ช่วงหน้าฝนหรอึีืช่วงปลายฝนต้นหนาว เพราะมีลาธารนาไหล บรรยากาศสัปปายะ ำ้ำสงบร่มรื่น หน้าหนาวก็จะหนาวมากแบบภาคอสานตอนบน ีเหมาะแก่การปฏิบัติธรรม เจริญจิตตภาวนาเปนยิ่งนัก็วัดดอยธรรมเจดีย์ เปนวัดปาปฏิบัติสายหลวงปม่น็ู่ ่ัภรทตโต โดยเปน ๑ ใน ๔ วัดท่องค์หลวงตามหาบัว ญาณูิั็ีสมปันโน ยกยองวาเป็นมหาวทยาลยสงฆแหงภาคปฏบตั่่ิั์่ิัิเพราะมีข้อวัตรปฏิบัติค่อนข้างเคร่งครัดตามแบบฉบับพระกรรมฐานสายนี้อบจ.สกลนคร๑๒๕

วัดป่านาคนิมิตต์ ตั้งอย่ท่ตาบลดอนโขป อ.โคกศรีสุพรรณ ูีำจ.สกลนคร ความเปนมาของวัดแห่งน้จากบทสัมภาษณ์ ็ีพระอาจารย์อว้าน เขมโกจากหนังสือบูรพาจารย์พอสรุปได้ว่า เดิมวัดแห่งนี้หลวงปเสาร์ กนฺตสีโล ได้รุกขมูลผ่านมาก่อน ู่ต่อมาหลวงปม่น ได้รุกขมูลมาตามเส้นทางของหลวงปเสารู ่ัู ่์และแวะพกที่นี่ หลวงปมั่นเห็นว่าสถานที่นี้สัปปายะ ท่านัู ่จึงปรารภกับญาติโยมว่า \"คิดจะสร้างเปนวัด\" จึงได้ม็ีการยกท่ดินถวายท่าน และสร้างเสนาสนะแบบช่วคราวพอไดีั้อยอาศย แล้วท่านจึงเดินธุดงค์ต่อไปทางภาคเหนือ ๑๒ ป ู่ัีหลังจากน้นท่านจึงมาจำาพรรษาที่นี่เป็นครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ.๒๔๘๖ ัในช่วงสงครามโลกคร้งท่ ๒ ในคร้งน้ชาวบ้านนามนได้สร้างกุฏัีัีิถวายองค์ท่าน รุ่งเช้าของวันที่ได้เริ่มต้นก่อสร้าง ปรากฏ หลวงปมั่นได้ชี้บอกโยมว่า \"นั่นแหละ พญานาคทำารอยู ่ไว้ให้แล้ว\" ชาวบ้านไปดูเปนรอยกลมๆ จึงนำารอยนั้นเป็น็หมายในการขุดหลุมต้งเสากุฏิ ต่อมาเม่อจะสร้างศาลาก็ปรากฏัืรอยน้อีก จึงได้ลงเสาศาลาในลอยน้นเช่นกัน ท่านจึงพดีัูกับโยมว่า \"วัดน้ชื่อว่าวัดปานาคนิมิตต์\" แต่ชาวบ้านนิยมี่เรียกว่า วัดปาบ้านนามนตามช่อหม่บ้านน้น ต่อมาเม่อได้จด่ืูัืทะเบียนช่อวัด จึงได้ใช้มงคลนามท่หลวงปมอบให้น้เปนช่อืีู ่ี็ืวัด สถานท่นี้ยังเปนท่กาเนดบันทึกพระธรรมเทศนาท่สาคัญี็ีำิีำของหลวงปมั่น คือ \" มุตโตทัย \" ที่บันทึกครั้งแรก ณ วัดู่นี้ โดยพระอาจารย์วิริยังค์อบจ.สกลนคร ๑๒๖

อ่างเก็บนาห้วยโท-ห้วยยาง้ำกรมชลประทาน ก่อสร้างอ่างเก็บนา้ำห้วยโท-ห้วยยาง เพ่ อสนองพระราชดำาริฯ โดยมีลักษณะโครงการเปนเขื่อนดินื็ปิดก้นลำาห้วยโท-ห้วยยาง บริเวณบ้านห้วยยาง ตำาบลเหล่าโพนค้อ อำาเภอโคกศรีสุพรรณ ัจังหวัดสกลนคร ลักษณะเปนเข่อนดิน สูง ๑๘.๔๐ เมตร กว้าง ๖ เมตรยาว ๑.๑๐ เมตร็ืความจุอ่างเก็บนาประมาณ ๗.๗๕ ล้านลูกบาศก์เมตร พร้อมท้งสร้างอาคารระบายนา้ำั้ำชนิด U-SHAPE ,มีสันทางระบายน้ำาล้น ยาว ๔๐ เมตร ท่อส่งน้ำาฝ ่งซ้ายขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ั๐.๖๐ เมตร จำานวน ๑ แถว และท่อส่งน้ำาฝ ่ังขวาขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๐.๖๐ เมตร จำานวน ๑ แถว เริ่มก่อสร้างในป ๒๕๒๙ และสร้างเสร็จในป ๒๕๓๕ คลองส่งน้ำาสายใหญ่ ีี๒ สาย ยาวประมาณ ๑๕.๑๒๐ กิโลเมตร คลองส่งน้ำาสายซอย ๔ สาย ยาวประมาณ ๑๓.๕๒๐ กิโลเมตร พ้นที่เพาะปลูกประมาณ ๑๑,๐๐๐ ไร่ืการเสด็จพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพตร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพนปหลวงิัีและสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธรได้เสด็จอ่างเก็บน้ำาห้วยโท-ห้วยยาง เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ ได้เสวยพระกระยาหารค่ำาเลี้ยงต้อนรับทูตานุทูตจากต่างประเทศ ณ ที่แห่งนั้น เนื่องจากอ่างเก็บนาห้วยโท-ห้วยยาง มีภูมิประเทศสวยงาม คือมีน้ำาและภูเขา จึงทรงให้ปกแผ่นปาย ้ำั้ณอ่างเก็บน้ำาห้วยโท-ห้วยยาง ว่า “พทยาน้อย”ัสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพชรกิติยาภา ันเรนทิราเทพยวดี เสด็จไปทรงประกอบพธีิเปิดศาลาอนุสรณทรงงาน อันเน่องมาจาก์ืพระราชดาริฯ เม่อวันท่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ำืีณ อ่างเก็บนาห้วยโท- ห้วยยาง บ้านห้วยยาง ้ำตาบลเหลาโพนค้อ อาเภอโคกศรสุพรรณ ำ่ำีจังหวัดสกลนคร ฯลฯVDOอบจ.สกลนคร๑๒๗

กุดบ�กอำ�เภออบจ.สกลนคร ๑๒๘

อำ�เภอกุดบ�กนายอรรณพ พองพรหมปลัดอาวุโสรักษาราชการแทนนายอำาเภอกุดบากไม่มีประวัติเขียนไว้เปนหลักฐานแน่นอน แต่จากการบอกเล่าของคนท้องถิ่นทราบว่าเปนภาษาท้องถิ่น ็็“กุด” หมายถึงหนองน้ำาส่วนคำาว่า“บาก”หมายถึงต้นไม้กะบากซึ่งคนท้องถิ่นเรียกว่าไม้บากเมื่อรวมกัน จึงหมายถงหนองนาท่มไมกะบากข้นลอมรอบตอมาไดมการต้งชมชนอยรมหนองนาจงเรยกชมชนแหงน้วากดบากึ้ำีี้ึ้่้ีัุู ่ิ้ำึีุ่ีุ่เรื่อยมาถึงปัจจุบัน เดิมกุดบากเป็นตำาบลหนึ่ง ในเขตปกครองของอำาเภอเมืองสกลนครต่อมาพ.ศ. ๒๕๐๗ กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศยกฐานะเปนกิ่งอำาเภอกุดบากจนถึง พ.ศ.๒๕๑๐ มีพระราชกฤษฎีกาประกาศ็ยกฐานะเปนอำาเภอกุดบาก็ทิศเหนือ ติดต่อกับอำาเภอกุดบากและ อำาเภอเมืองสกลนครทิศใต้ ติดต่อกับอำาเภอนาคู อำาเภอห้วยผึ้งและอำาเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำาเภอเมืองสกลนครและอำาเภอเต่างอยทิศตะวันตก ติดต่อกับอำาเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร อำาเภอสมเด็จ และอำาเภอคำาม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์อบจ.สกลนคร๑๒๙

อำ�เภอกุดบ�กประชากรส่วนใหญ่ เปนชาวบ้านเผ่า \"กะเลิง\" ซึ่ง เปน ๑ ใน ๖ เผ่า ของจังหวัดสกลนคร็็เผ่ากะเลิงหรือชาวกะเลิง เดิมเปนเผ่าท่อาศัยอย่ในบริเวณทิศตะวันตกของเทือกเขาในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ็ีูการเคลื่อนย้ายครั้งใหญ่ของชาวกะเลิงเกิดขึ้นเมื่อคราวเกิดสงครามปราบจีนฮ่อ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๖ นอกจากนี้ กรมการเมืองสกลนครนาไพร่พลจานวนหน่ง ไปปักหลักเขตแดนสยาม เม่อพ.ศ.๒๔๒๘ ทาให้ชนชาวกะเลิงติดตามเข้ามาอาศัยในเมืองสกลนคร ำำึืำโดยเลือกท่ตั้งบ้านเรือนเลือกทาเลหากินตามเทือกเขาภูพาน เพราะสามารถหาอาหาร สมุนไพร ปจจัยสาคัญในการดารงชีวิตีำัำำได้จากปาแม้จะปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ไว้บ้างก็ตาม แต่พชผักที่เปนอาหารประจำาวันก็มักจะไปหาจากปา โดยเข้าปา เข้าภู่ื็่่หลังรับประทานอาหารแล้วจะกลับ ในเวลาเย็น ปจจัยในเร่องน้แตกต่างจากชาวภูไท ซ่งเปล่ยนมาปลูกผักไว้เปนอาหารในบ้าน เช่น ัืีึี็หวาย ผักหวาน เปนต้น และท่สำาคัญพื้นที่ในหมู่บ้านบัว บ้านทรายแก้ว บ้านกุดแฮด บ้านกุดบาก ตำาบลกุดบากมีชนเผ่าพื้นเมือง็ีกะเลงมากมพ้นท่เชงเขานอย พ้นท่ทำามาหากินไม่มากแต่ประชากรในหมู่บ้านเพิ่มมากขึ้น ชาวกะเลิงนิยมเลี้ยงสุกรพันธุ์พื้นเมือง ิีืีิ้ืี(หมูกี้) โดยปล่อยให้สุกรหาอาหารกินเองเปนลักษณะเด่นชัดกว่ากลุ่มย้อ กลุ่มภูไท นิยมเลี้ยงสุกรพนธุ์ซึ่งการเลี้ยงสลับซับซ้อนกว่า ็ันอกจากนี้ยังไม่นิยมปลูกพชผลไม้ต่างถิ่น แต่ยังนิยมพชปา เช่น มะไฟ มะม่วงปา หมากแงว เปนต้น ืื่่็อบจ.สกลนคร ๑๓๐

วัดถ้ำาพระภูถ้ำาพระนั้นเป็นโบราณสถานของกลุ่มชนที่มีถิ่นฐานอย่ในเขตพ้นที่นี้ โดยมีอายุต้งแต่พทธศตวรรษท่ ๑๖ ูืัุีลงมา และเป็นพทธสถานในลทธหนยานท่มการสบเน่องมาุัิิีีืืจนถึงสมัยล้านช้าง ราวพ ทธศตวรรษที่ ๒๒-๒๓ ุซึ่งเมื่อนำามาพิจารณาร่วมกับโบราณสถานในวัฒนธรรมเขมรที่อยู่ใกล้เคียง เช่น ปราสาท(พระธาตุ)ภูเพก ปราสาทหินองค์ใน็ของพระธาตุเชิงชุม ปราสาทนารายณ์เจงเวง พระธาตุดุม เปนต้น ที่มีอายุร่วมสมัยกันแต่สร้างขึ้นในศาสนาฮินดู น่าจะ็แสดงให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกันของศาสนาทั้งสองในเขตพ้นที่ืของสกลนครในราวพทธศตวรรษท่ ๑๖-๑๗ ได้เปนอย่างด ุี็ีโดยสามารถให้ข้อสันนิษฐานถึงที่มาของศาสนาทั้งสองได้ว่าในขณะท่ศาสนาพทธน้นได้ต้งหลกปกฐานกระจายอยในหลายพ้นท่ีุััััู่ืีของจังหวัดสกลนครอย่ก่อนแล้ว โดยเฉพาะในช่วงพทธศตวรรษูุที่ ๑๔-๑๖ ในสมัยวัฒนธรรมแบบทวารวดีได้พบหลักฐานอยู่เปนจำานวนมาก็อบจ.สกลนคร๑๓๑

วัดปาคูณคําวิปัสสนา่แต่เดิมเมื่อประมาณปีพ.ศ. ๒๔๙๒ พระอาจารย์ทองคาได้ธุดงค์ผ่านมาปฏิบัติธรรมำบริเวณซ่งเปนวัดในปจจุบัน ขณะน้นบริเวณน้เปนท่สาธารณะ ึ็ััี็ีพระอาจารย์ทองคาได้พานักอย่เพ่อปฏิบัติธรรมอีกประมาณ ำำูื๑ เดือน ก่อนเข้าพรรษาชาวบ้านจึงมาช่วยกันสร้างกุฏิ เพื่อให้พระอาจารย์ทองคาได้ใช้เป็นท่พำานักในระหว่างอยำีู ่จำาพรรษา ด้วยท่านพระอาจารย์ทองคำาท่านเปนพระธุดงค์ ็จึงไม่จำาพรรษาอยู่ในวัด หลังจากช่วงเข้าพรรษาผ่านพนไป้พระอาจารย์ทองคาได้ธุดงค์ต่อไปท่อื่นทาให้บริเวณน้ำีำีรกร้างอยู่ในระยะหนึ่งเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๙๘ หลวงพ่อผัน ได้มาอยู่ปฏิบัติธรรม ได้ประมาณ ๔ – ๕ เดือน แล้วจึงธุดงค์ต่อไปในท่อื่นและเกือบทุกๆปก็จะมีพระธุดงค์ผ่านมาอย่ปฏิบัติธรรมีีูประมาณ ป พ.ศ. ๒๕๒๖ หลวงพอช้อน ได้มาอย่ปฏิบัติธรรมีู่ที่นี่ แต่เนื่องจากเปนสามเณรจึงอยู่ได้ไม่นานก็ย้ายออกไป็ทำาให้บริเวณนี้รกร้างไปอีกระยะหนึ่งจนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๒๘ หลวงพ่อเบี้ยว ฐานวิโร เห็นว่าบริเวณนี้ เหมาะสมที่จะปฏิบัติธรรม จึงได้ชักชวนญาติโยมและชาวบ้าน โดยมี ผ้ใหญ่พร ไพคานาม,นายบวผน ไพคานาม, ูำััำนายทา ไพคำานาม, นายมวย ไพเรืองโสม, นายซอน ไพเรองโสม, ้ืมาช่วยกันสร้างกุฏิ แล้วจึงขยายออกมาเปนวัด เม่อวันอังคาร็ืที่ ๑๕ แรม ๒ ค่ำา เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๘ จนกระทั่งถึงวันจันทร์ที่ ๒๕ ขึ้น ๑๔ ค่ำา เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๘ ซึ่งใช้เปนท่ปฏิบัติธรรมตลอดมา คร้งเม่อป พ.ศ. ๒๕๓๕ ็ีัืีพระครูภาวนาสกลธรรม(พระอธิการสุพตร พทธฺรกฺขิโต) ัุได้ทำาการบูรณะพฒนาวัดให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งัจวบจนถึงปจจุบันัอบจ.สกลนคร ๑๓๒

ผาถ้ำาพวงหรือถ้ำาพวงเปนเงิบหินขนาดใหญ่ตั้งซอนกันอยู่ริมหน้าผาและระหว่างเงิบหินมีช่องว่าง ชาวบ้าน็ที่เดินปา ไปเลี้ยงวัวควาย หาของปา มักจะเข้าไปนอนพกผ่อน เนื่องจากอากาศเย็นสบายเพราะมีลมพดอยู่ตลอดเวลา และ่่ััหน้าฝนสามารถใช้หลบฝนได้หลายคน ตรงบริเวณหน้าผาจะมองเห็นยอดภู ซ้ายมือจะมองเห็น ภูก่อ ภูมะแงว ตรงหน้าจะเปน็ภูสูง ซึ่งเมื่อขึ้นไปบนภูสูงจะสามารถมองเห็นเขื่อนลำาปาวได้สมัยก่อนภายใต้ผาเงิบจะมีหินปนลักษณะูคล้ายเต้านม หรือ \"พวงนม\" ตามภาษาท้องถิ่น เปน็จุดๆ เรียงเหมือนกันและมีน้ำาหยดตามหินย้อยเหล่านั้นตลอดเวลา ชาวบ้านจะเอาขวดไปรองดื่ม ต่อมาชาวบ้านเชื่อว่าจะมีเหล็กไหล และมีคนลอบไปขุดค้น อาจทำาให้เกิดอาเพศจึงได้ถมหลุมที่ขุด จากนั้นประมาณป ๒๕๒๗ อาจารย์จุฬา สหชัย และท่านพระครูอุดมพริยกิจีิเจ้าอาวาสวัดบ้านกุดแฮดและพระวิบูลย์ธรรมรส ได้นำาชาวบ้านแบกขนวัสดุอุปกรณ์ขึ้นไปป ้ันพระพทธรูปุและพระอัครสาวกเบื้องซ้ายขวา เพ่อให้คนสักการบูชา ืและทุกปในวันวิสาขบูชาชาวบ้านกุดแฮดจะประกอบพธีิีงานบุญสรงพระถา และบวงสรวงบอกกล่าวเจ้าปาเจ้าเขา้ำ่เพื่อขอให้ฟ้าฝนตกถูกต้องตามฤดู จนเปนฮีตเดือนหก็ของไทกะเลิงมาจนถึงปจจุบันัรอยเทาไดโนเสาร แกงกะลงกะลาด ้์่ัร่องรอยท่พบีเปนรอยท่มีลักษณะเปนสามน้ว แต่รอยไม่ต่อเน่องจึงไม่สามารถ็ี็ิืหาแนวทางเดินได้ และบางรอยมีความไม่ชัดเจน เนื่องจากเกิดการกัดกร่อนพ้นผิวด้านบนของรอย จึงทำาให้ส่วนที่เป็นรอยอุ้งตีนืหายไป เหลือเพยงส่วนปลายน้วและเล็บ แต่จากรอยท่เห็นไดีิี้ชัดเจนว่ามีสามน้ว สามารถสรุปได้ว่าเปนรอยของไดโนเสาร์กินเน้อิ็ืกล่มเทอโรพอด(Theropod) เปนไดโนเสาร์ท่มีความหลากหลายุ็ีของรูปร่าง ตั้งแต่ขนาดเล็กเท่าไก่ และใหญ่กว่าช้าง หรือราว ๑๗ เมตร สามารถจาแนกออกเปน ๒ กล่ม คือ เทอโรพอดขนาดำ็ุใหญ (Carnosaur) และเทอโรพอดขนาดเล็ก (Coelurosaurs)่เปนพวกวิวัฒนาการจนตัวเล็กลง แต่ยังมีเข้ยวเล็บแหลมคม็ีตามแบบฉบับของเทอโรพอด และมีความว่องไวปราดเปรียว โดยส่วนใหญ่ เทอโรพอดจะกินเน้อเปนอาหาร ดูได้จากลักษณะฟันื็ของพวกมันท่มีฟันคม ขอบฟันเป็นหยักสำาหรับตัด และฉีกชิ้นเนื้อ ีอีกทั้งยังเปนไดโนเสาร์ที่เดินด้วย ๒ ขาหลัง มีนิ้วตีนจำานวน ๔ นิ้ว็คล้ายไก่ในปจจุบัน โดยนิ้วที่หนึ่งจะมีการลดขนาดจนเล็กัคลายเดอยไก ทาใหรอยตนท่พบสวนใหญเปนรอยท่มเพยง ๓ น้ว้ื่ำ้ีี่่็ีีีิอบจ.สกลนคร๑๓๓

เต่�งอยอำ�เภออบจ.สกลนคร ๑๓๔

อำ�เภอเต่�งอยเต่�งอยเปนอำาเภอหนึ่งของจังหวัดสกลนคร มีพื้นที่ทั้งหมด ๓๒๘.๐ ตร.กม. (๑๒๖.๖ ตร.ไมล์) ็มีประชากรทั้งหมด ๒๔,๓๗๒ คน เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ กระทรวงมหาดไทยให้แยกตำาบลเต่างอย และตำาบลบึงทวาย ออกจากการปกครองของอำาเภอเมืองสกลนคร รวมต้งเป็น ก่งอาเภอเต่างอย ให้ข้นการปกครองกับอาเภอเมืองสกลนคร ัิำึำและในวันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ มีประกาศกระทรวงมหาดไทยให้แยกบางหมู่บ้านออกมาจากการปกครองของตำาบลเต่างอย รวมตั้งเปนตำาบลนาตาล และในวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ ได้แยกบางหมู่บ้านออกมา็นายสุขสันติ วิเวกปลัดอำาเภอ(เจ้าพนักงานปกครองชำานาญการพเศษ)ิรักษาราชการแทนนายอำาเภอเต่างอยจากการปกครองของตาบลเต่างอยอีกคร้ง รวมต้งำััเปนตาบลจันทร์เพญ จนกระท่งเม่อวันท่ ๑๙ มิถุนายน ็ำ็ัืีพ.ศ. ๒๕๓๔ จึงมีพระราชกฤษฎีกาฯ ยกฐานะขึ้นเปน ็อำาเภอเต่างอย จนถึงปจจุบัน ัอาเภอเตางอยต้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ำ่ัของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้ทิศเหนือ ติดต่อกับอำาเภอเมืองสกลนครทิศตะวันออก ติดต่อกับอาเภอโคกศรีสุพรรณ ำและอำาเภอนาแก (จังหวัดนครพนม)ทิศใต้ ติดต่อกับอาเภอดงหลวง (จังหวัดำมุกดาหาร) และอำาเภอนาคู (จังหวัดกาฬสินธุ์)ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำาเภอภูพานอบจ.สกลนคร๑๓๕

วัดศิริมังคละเกิดขึ้ นในป พ.ศ. ๒๔๑๙ีเพื่อเป็นการรักษาทำานุบำารุง พระพุทธศาสนา และเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ โดยมีเจ้าอาวาสคนแรก ชื่อพระเบี้ย ไม่ทราบฉายา พร้อมกันนี้ก็ได้จัดตั้งศาล ปตากุดนาแซง ู่เปนศาลปตาท่มีรูปเหมือน \"ปเพย\" ต้งอย่ในศาล ซ่งเช่อว่า็ู ่ีู ่ีัูึืเปนบรรพบุรุษของชาวบ้านเต่างอย ทาหน้าท่คล้ายกับ ็ำีเทพารักษ์ของหมู่บ้าน ปกปองคุ้มครองคน ในหมู่บ้าน้ให้มีความปกติสุข ในช่วงเดือนสามของทุกป จะมีพธีไหวีิ้ศาลปตา โดยส่วนใหญ่ของที่ใช้ในการเซ่นไหว้จะมี ข้าว ู ่ไก่ต้ม เหล้าขาว หมากพลู บุหร่ และมี ผ้กระทำาพิธีเรียกว่า ีู“เจ้า” ซ่งเปนผ้ท่ ชาวบ้านได้แต่งต้งและได้รับการยอมรับ ึ็ูีัให้เปนผู้นากล่าวคาติดต่อกับ \"ปเพย\" และ \"ปทอง\"็ำำู่ีู่อบจ.สกลนคร ๑๓๖

สะพานบุญเฉลิมพระเกียรติในหลวงสะพานบุญเฉลิมพระเกียรติแห่งนี้ มีรูปทรงสวยงาม ก่อสร้างขึ้นเพื่อให้พุทธศาสนิกชนใช้ข้ามลานาพุง เพื่อไปยังวัดศิริมังคละ ำ้ำหรือพระธาตุเต่างอยซ่งอย่ใกล้กัน นอกจากนักท่องเท่ยวจะไดึูี้สักการะพญาเต่างอยแล้วยังได้ไปทาบุญท่วัดอีกด้วย สะพานบุญำียังมีรูปป ้ันพญานาค ๒ ตน ชื่อพญานาคา และนางพญานาคี ตั้งทั้งซ้ายและขวาสะพานบุญ ซึ่งมีที่เดียวในโลก สะพานบุญเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งนี้ ต้งอยู่ที่สวนสาธารณะ อำาเภอัเต่างอย จังหวัดสกลนคร ริมลานาพงซ่งเป็นสถานท่ตั้งำ้ำุึีของพญาเต่างอยอันศักด์สิทธิ์ นางจุรีรักษ์ เทพอาสน์ ผิู ้วาราชการจงหวดสกลนคร รับมอบและเปดสะพานบุญ่ััิเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอย่หัว ซ่งูึดำาเนินการก่อสร้างโดยสภาวัฒนธรรมอำาเภอเต่างอยด้วยเงินบริจาคจากผ้มีจิตศรัทธาท่วประเทศจานวน ๑๔,๘๐๐,๐๐๐ บาทูัำ(สิบสี่ล้านแปดแสนบาทถ้วน) อบจ.สกลนคร๑๓๗

อุทยานแห่งชาติภูผายลหรือเดิมเรียกว่าอุทยานแห่งชาติห้วยหวด มพ้นที่ครอบคลุมท้องที่อำาเภอเมือง อำาเภอโคกศรีสุพรรณ ีือำาเภอเต่างอย จังหวัดสกลนคร อำาเภอนาแก จังหวัดนครพนม และอำาเภอดงหลวง อำาเภอคำาชะอี จังหวัดมุกดาหาร เปน ๑ ใน ๕ ของ็โครงการจัดต้งอุทยานแห่งชาติเพ่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จัืพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพตร ในวโรกาสมหามงคลิเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบ วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ สภาพทั่วไปเป็นท่ราบสูงสลับกับเทือกเขาหินทราย เป็นป่าต้นนาลาธาร มีธรรมชาตี้ำำิและทิวทัศน์ที่สวยงาม เช่น น้ำาตก ถ้ำา หน้าผา เนินหิน อ่างเก็บน้ำา และสัตว์ปานานาชนิด มีเน้อท่ประมาณ ๕๑๗,๘๕๐ ไร่ หรือ ๘๒๘.๕๖ ตาราง่ืีกิโลเมตรอบจ.สกลนคร ๑๓๘

ประเพณีไหลเรือไฟจดงานประเพณไหลเรือไฟข้นที่อาเภอัีึำอากาศอำานวยและอำาเภอเต่างอย โดยจัดข้นในเดือนกันยายนของทุกป ึีพธีกรรมน้ชาวไทโย้ยได้ถือปฏิบัติีิกันช้านาน ต้งแต่บรรพบุรุษ เรือจะัประกอบด้วย ท่อนกล้วยนามาทาเปนำำ็เรือพาย ๕ - ๖ เมตร ภายในจะบรรจุดวยข้าวต้ม ขนม กล้วย อ้อย เผือก ้มะพร้าวอ่อน มัน ส่วนต้นเรือจะประดับตกแต่งด้วย ดอกไม้ รูปเทียน ตะเกียงขี้ไต้ และดอกไม้ไฟ จุดสว่างไสวตลอด จากต้นนา จนถึงท่าวัดกลางท่กาหนด ้ำีำส่วนเครื่องดนตรีและผู้คนนั้น จะต้องเปนผชายล้วนๆ และเตนประกอบ็ู ้้ดนตรีอย่บนเรือไฟ ดนตรีบนเรือไฟน้นูัประกอบด้วย กลอง ฉิ่ง ฉาบ กั๊บแก๊บ ฆ้อง ซึ่งเปนจังหวะที่ครึกครื้นมาก็วันจุดเทียนระลึกถึงผู้ล่วงลับเพื่อเปนการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษของตน คือ งานจุดเทียน็เพื่อระลึกถึงผู้ล่วงลับ ก่อนถึงวันจุดเทียน ญาติพ่น้องของผู้ล่วงลับจะทำาความสะอาดหลุมฝังศพผู้ตาย ทาสีใหม่ ล้างหลุม ีหรือก่อสร้างหลุม (หลุมที่ยังไม่ได้ก่อ) ทำาความสะอาดบริเวณรอบ ๆ หลุมฝงศพัอบจ.สกลนคร๑๓๙

นิคมน้ำ�อูนอำ�เภออบจ.สกลนคร ๑๔๐

อำ�เภอนิคมน้ำ�อูนการศึกษา- ศิลปศาสตรบัณฑิต สาขารัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำาแหง- รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิตสาขาการจัดการภาครัฐและเอกชนมหาวิทยาลัยบูรพาการอบรม- ๒๕๔๐ สืบสวนสอบสวนคดีอาญ รุ่นที่ ๕- ๒๕๓๘ ปลัดอำาเภอ รุ่นที่ ๑๑๙- ๑ พ.ค. ๒๕๕๐ นายอำาเภอ รุ่นที่ ๖๔- ๒๒ ก.พ.๒๕๖๓ นักปกครองระดับสูง รุ่นที่ ๗๔รางวัลเชิดชูเกียรติ-พ.ศ.๒๕๓๖ บุคลากรดีเด่นทางการทะเบียนระดับประเทศ-พ.ศ.๒๕๖๓ ข้าราชการพลเรือนดีเด่น ระดับประเทศนางวรรณิดา มั่นคงปลัดอาวุโสรักษาราชการแทนนายอำาเภอนิคมน้ําอูนอำ�เภอนิคมน้ำ�อููนเมื่อป พ.ศ. ๒๕๑๒ กรมชลประทานได้สร้างเขื่อนน้ำาอูนที่ตำาบลแร่ อำาเภอีพงโคน ตำาบลนาใน อำาเภอพรรณานิคม และตำาบลวาริชภูมิ อำาเภอวาริชภูมิ ทำาให้ราษฎรที่อาศัยอยู่ในเขตพ้นที่น้ำาท่วมัืต้องอพยพข้นไปอย่บริเวณเชิงเขาภูพาน ท่ตาบลหนองปลิง และตาบลนิคมนาอูน อาเภอวาริชภูมิ จึงเกิดเปนชุมชนข้นึูีำำ้ำำ็ึเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๑๘ กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศตั้งกิ่งอำาเภอนิคมน้ำาอูน ประกอบด้วย ตำาบลหนองปลิงและตาบลนิคมนาอน เม่อวันท่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๓๗ ได้ยกฐานะข้นเปนอาเภอนคมนาอน ประกอบดวย ๔ ตาบล ำ้ำูืีึ็ำิ้ำู้ำคือ ตำาบลหนองปลิง ตำาบลนิคมน้ำาอูน ตำาบลสุวรรณคาม และตำาบลหนองบัว อำาเภอนิคมน้ำาอูน อยู่ทางทิศตะวันตกของอำาเภอเมืองสกลนคร มีพ้นที่ ๑๖๒ ตารางกิโลเมตร หรือืประมาณ ๑๐๑,๒๕๐ ไร่ ห่างจากเทศบาลนครสกลนครประมาณ ๕๙ กิโลเมตร โดยไปตามทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข ๒๑๓ ถึงอำาเภอภูพาน จากนั้นเลี้ยวขวาตามเส้นทางอำาเภอภูพาน - กุดบาก ตามทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข ๒๒๑๘ แล้วจึงเดินทางเข้าสู่อำาเภอนิคมน้ำาอูน อำาเภอนิคมน้ำาอูน แบ่งพ้ นที่การปกครองืออกเปน ๔ ตาบล ๒๙ หมบาน มอาณาเขตตดตอกบเขต็ำู่้ีิ่ัการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้ทิศเหนือ ติดต่อกับเข่อนนาอูน และอาเภอื้ำำพรรณานิคม จังหวัดสกลนครทิศใต้ ติดต่อกับอาเภอภูพาน และอาเภอเต่างอย ำำจังหวัดสกลนครทิศตะวันออก ติดต่อกับอาเภอพรรณานิคม ำและอำาเภอกุดบาก จังหวัดสกลนครทิศตะวันตก ติดต่อกับอาเภอวาริชภูมิ จังหวัดำสกลนคร และอำาเภอวังสามหมอ จังหวัดอุดรธานีอบจ.สกลนคร๑๔๑

วัดถานาหยาด้ำ้ำวัดตัวอย่างแห่งถ่นอีสานิจากการปฏิปทาของท่านพระครูกิตติสุวรรณคุณ (พระอาจารย์สำาราญ กิตติภัทโท) ได้ปฏิบัติมาตั้งแต่แรกเริ่มจากพลิกฟื ้น ผืนปา ฝาอุปสรรค ่่นานาประการ จากการไม่ต้อนรับ ไม่ยินดี ของผู้คนในพ้ นที่ จนมีพ้ นที่วัดอยู่ได้ ๕๐ ไร่ ืืท่านพระครูกิตติสุวรรณคุณ (พระอาจารย์สาราญ ำกิตติภัทโท) ได้พฒนาจนเปนที่ยอมรับจากผู้คนั็ในท้องถิ่น เริ่มมีชื่อเสียงแผ่กระจายออกไปทั้งข้าราชการและประชาชนเร่มสนใจเข้ามาปฏิบัติธรรมิกันอย่างมากมาย อีกท้ง บริเวณวัดฯ ยังจัดในรูปแบบัที่สามารถพกผ่อน คลายจิตใจ ชมนก ชมไม้ัเปนเพ่อนกาย แก่กันและกัน อันก่อให้เกิดเปน็ื็ดินแดนความร่มเย็น เปนสุข เป ่ยมด้วยเมตตาธรรม ็ีอันจะมีสถานที่ท่องเที่ยวหลาย ๆ แห่ง ในบริเวณวัดถ้ำาน้ำาหยาดและยังพฒนาถาวรวัตถุ เพ่ อัืให้เหมาะสม สอดคล้องกับ พทธบริษัททั้ง ๔ุที่จะได้เข้ามาเพ่อปฏิบัติธรรม พระกรรมฐาน ให้เปนื็พื้นฐานแห่งความศรัทธาปสาทะและเคารพ เช่อม่นืัเข้าถึงธรรม และพระรัตนตรัยอย่างกว้างขวางจนกระทั่ง วันที่ ๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้รับประกาศจากสานักนายกรัฐมนตรีว่า วัดดงภูทอง ำ(วัดถานาหยาด) ได้รบโปรดเกล้าพระราชทาน้ำ้ำัวิสุงคามสีมา ผ้รับสนองพระบรมราชโองการ ูนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีวัดถ้ำาน้ำาหยาด (วัดดงภูทอง) เปนสถานที่็ปฏิบัติธรรมแห่งที่ ๗ ของจังหวัดสกลนคร เปน็จุดท่สูงท่สุดของอำาเภอนิคมน้ำาอูน มีเจดีย์ศรีสุวรรณีีรูปป ้ันพระโพธิสัตย์กวนอิม และเปนจุดชมวิวของ็อาเภอนิคมนาอูน มองไปจะเห็นสภาพปาท่อุดมสมบูรณ์ ำ้ำ่ีและมีถ้ำาที่หลบภัยของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยโดยท่าน พระครูกิตติสุวรรณคุณ(พระอาจารย์สาราญ กิตติภัทโท) เปนอดีตเจ้าอาวาสำ็วัดถานาหยาด (วัดดงภูทอง) มีพระเถรานเถระธุดงค้ำ้ำุ์มาปฏิบัติธรรมจำาพรรษามาตลอดอยู่จำาพรรษา๑ พรรษาบ้าง ๒ พรรษาบ้าง เลยพาญาติโยมเรียกขานนามถานาหยาด เพราะมีนาหยดหยาด้ำ้ำ้ำลงมาจากบนหิน และตั้งอยู่บนภูเขามีพ้นที่ ๕๐ ไร่ ืเขตอนุรักษ์ ๕๘๕ ไร่อบจ.สกลนคร ๑๔๒

ลานสาวเสียว ผาเต่าทอง ผาลมโชย วัดถ้ำาน้ำาหยาด อำาเภอนิคมน้ำาอูนตั้งอย่บนยอดเขาถัดจากวัดถานาหยาด ู้ำ้ำเปนหน้าผาสูง มีก้อนหินลักษณะพเศษ็ิคล้ายรูปเต่า มีทิวทัศน์สวยงาม เปนจุดชมวิว็แห่งใหม่ ในอำาเภอนิคมน้ำาอูนVDOอบจ.สกลนคร๑๔๓


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook