Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานผลการดำเนินงานโครงการ “ศูนย์บริการวิชาการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคม ในระดับพื้นที่

รายงานผลการดำเนินงานโครงการ “ศูนย์บริการวิชาการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคม ในระดับพื้นที่

Published by สสว ปทุมธานี, 2021-08-25 07:55:15

Description: รายงานผลการดำเนินงานโครงการ “ศูนย์บริการวิชาการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคม ในระดับพื้นที่

Search

Read the Text Version

รายงานผลการดาเนนิ งาน โครงการศูนยบ์ รกิ ารวชิ าการพฒั นาสงั คมและจดั สวัสดิการสงั คม ประจาปงี บประมาณ 2563 โดย...กลุ่มการวิจัยและการพัฒนาระบบเครือข่าย สานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 1 สานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์

คานา ในปีงบประมาณ 2563 สานักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ จัดสรรงบประมาณเพื่อให้สานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 1 -11 ดาเนินโครงการ “ศูนย์บริการวิชาการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคม ในระดับพื้นที่” โดยมีสานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 2 เป็นเจ้าภาพ ในการบูรณาการ ดาเนินการในภาพรวมโดยกาหนดรูปแบบการจัดกิจกรรมภายใต้โครงการศูนย์บริการ วิชาการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคม ในระดับพ้ืนที่ จานวน 6 กิจกรรม ดังนี้ 1. การจัดการความรู้ (Knowledge Management : KM) 2. การพฒั นางานประจาสู่งานวจิ ยั (Routine to Research : R2R) 3. การดาเนินงานในพื้นท่ีปฏิบัติการพัฒนาสังคม (Social Lab) 4. การเพิ่มความรู้และทักษะด้านการจัดบริการ 5. การพฒั นาระบบขอ้ มูลเครือข่ายดา้ นการพฒั นาสังคมและจัดสวัสดิการสังคม 6. การดาเนินงานหน่วยเคล่ือนท่ีทางวิชาการเชิงรุกในพ้ืนที่รับผิดชอบ สานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 1 (สสว.1) ได้ดาเนินโครงการ “ศูนย์บริการวิชาการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคม ในระดับพื้นที่” ซึ่ง สสว.1 ได้ ร่วมกับทีม พม.จังหวัด (One home) 7 จังหวัด ในเขตพ้ืนที่รับผิดชอบ ประกอบด้วย จังหวัดปทุมธานี นนทบุรี พระนครศรีอยุธยา สระบุรี นครนายก อ่างทอง สมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร ดาเนินกิจกรรม ทั้ง 6 กิจกรรม เพื่อขับเคลื่อน โครงการศูนย์บริการวิชาการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคม ในระดับพื้นที่ ซึ่งเป็น การส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการให้กับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒ นาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ตลอดจน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ก

สานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 1 หวังว่าผลจากการขับเคลื่อนกิจกรรม ภายใต้ “โครงการศูนย์บริการวิชาการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคม” ในระดับพ้ืนที่ สสว.1 ประจาปีงบประมาณ 2563 จะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงาน ทีม พม.จังหวัด (One home) และภาคีเครือข่าย ในการเรียนรู้และนาไปประยุกต์ ใช้ให้เหมาะสมกับ ความต้องการและบริบทของพ้ืนท่ี ท้ังในเชิงมิติกลุ่มเป้าหมายและเชิงประเด็น สานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 1 กันยายน 2563 ข

สารบญั ส่วนท่ี 1 บทนา 4 8  พื้นที่รับผิดชอบ 9 o จังหวัดปทุมธานี 11 o จังหวัดนครนายก o จังหวัดสมุทรปราการ 12 14 o จังหวัดนนทบุรี 16 o จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 18 o จังหวัดอ่างทอง o จังหวัดสระบุรี ส่วนท่ี 2 โครงการศูนย์บริการวิชาการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคม 19  โครงการศูนย์บริการวิชาการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคม ในระดับพ้ืนที่  ผลการดาเนินงานโครงการศูนย์บริการวิชาการฯ ปี 2563 23 การจัดการความรู้ (Knowledge Management : KM) 24 การพัฒนางานประจาสู่งานวจิ ัย (Routine to Research : R2R) 38 การดาเนินงานในพื้นท่ีปฏิบัติการพัฒนาสังคม (Social Lab) 41  การเพ่ิมความรู้และทักษะด้านการจัดบริการ 46 การดาเนินงานหน่วยเคลื่อนท่ีทางวิชาการเชิงรุกในพื้นที่รับผิดชอบ 51 ส่วนที่ 3 ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะ 56  ปัญหาและอุปสรรค  ข้อเสนอแนะ 58 ค

บทนา สานักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้มอบหมายให้สานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 1-11 เป็นกลไกขับเคลื่อน นโยบายภารกิจจากส่วนกลางไปสู่การปฏิบัติ ในระดับพื้นท่ีให้เป็นรูปธรรม จึงได้พัฒนา ศูนย์บริการวิชาการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคมให้เป็นศูนย์กลางการพัฒนา ศักยภาพ การจัดการความรู้ การให้คาปรึกษาวิชาการที่ครบวงจร เป็นหน่วยเคลื่อนที่ ทางวิชาการเชิงรุก เพื่อส่งเสริมสนับสนุนวิชาการแก่หน่วยงานทุกกลุ่มเป้าหมายในความ รับผิดชอบของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อาสาสมัคร และภาคี เครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนงานด้านการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการ สังคมที่เป็นระบบและเหมาะสมกับบริบทพื้นที่ รวมทั้งพัฒนาให้มีแหล่งเรียนรู้ต้นแบบ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้พัฒนาการจัดบริการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคม ส่งผลให้ เกิดการปรับเปลี่ยนวิธีการทางานท้ังเชิงมิติพื้นที่ เชิงประเด็น และเชิงกลุ่มเป้าหมายอย่าง มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากข้ึนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พ้ืนท่ีรบั ผดิ ชอบของสานักงานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ 1 สานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 1 ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบพื้นที่ 8 จังหวัด แบ่งตามเขตตรวจราชการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ มนุษย์ 4 เขต คือ เขตตรวจราชการที่ 1 ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัด สระบุรี จังหวัดอ่างทอง เขตตรวจราชการที่ 2 ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดสมุทรปราการ เขตตรวจราชการที่ 3 ได้แก่ กรุงเทพมหานคร และเขตตรวจ ราชการที่ 9 ได้แก่ จังหวัดนครนายก 1

จากข้อมูลจานวนราษฎร์ทั่วราชอาณาจักร ตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร์ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 ตามประกาศสานักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ในพื้นที่รับผิดชอบ 8 จังหวัด มีจานวนประชากรสัญชาติไทย รวมทั้งส้ิน 11,446,634 คน จาแนกเป็นเพศชาย 5,430,480 คน เพศหญิง 6,016,154 คน มีรายละเอียดดังนี้ ตารางท่ี 1 จานวนประชากรของจังหวัดในพ้ืนที่รับผิดชอบ จังหวัด จานวนประชากร (คน) ชาย หญิง รวม กรงุ เทพมหานคร 2,669,316 2,996,948 5,666,264 จงั หวัดปทมุ ธานี 552,156 611,448 1,163,604 จังหวดั นครนายก 129,046 131,705 260,751 จังหวัดสมุทรปราการ 642,774 702,101 1,344,875 จังหวัดนนทบรุ ี 589,949 675,438 1,265,387 จังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา 394,901 425,287 820,188 2

จังหวัด จานวนประชากร (คน) จังหวดั อา่ งทอง ชาย หญิง รวม จังหวดั สระบุรี 134,095 145,559 279,654 รวม 318,243 327,668 645,911 5,430,480 6,016,154 11,446,634 จากข้อมูลของกระทรวงมหาดไทย พบว่าในพื้นที่ 8 จังหวัดที่สานักงานส่งเสริม และสนับสนุนวิชาการ 1 รับผิดชอบแบ่งการปกครองออกเป็น 59 อาเภอ 596 ตาบล 3,239 หมู่บ้าน โดยมีรูปแบบการปกครองส่วนท้องถิ่น แบ่งเป็น 5 เทศบาลนคร 38 เทศบาลเมือง 131 เทศบาลตาบล และ 359 องค์กรปกครองส่วนตาบล และเขตปกครอง พิเศษกรุงเทพมหานคร 50 เขต ได้แก่ 1. กลมุ่ กรงุ เทพกลาง 9 เขต ไดแ้ ก่ เขตพระนคร เขตดุสติ เขตป้อมปราบศัตรูพา่ ย เขตสัมพนั ธวงศ์ เขตดินแดง เขตหว้ ยขวาง เขตพญาไท เขตราชเทวี และเขตวังทองหลาง 2. กลุ่มกรุงเทพใต้ 10 เขต ได้แก่ เขตปทุมวัน เขตบางรัก เขตสาทร เขต บางคอแหลม เขตยานนาวา เขตคลองเตย เขตวัฒนา เขตพระโขนง เขตสวนหลวง และเขต บางนา 3. กลุ่มกรุงเทพเหนือ 7 เขต ได้แก่ เขตจตุจักร เขตบางซื่อ เขตลาดพร้าว เขต หลักสี่ เขตดอนเมือง เขตสายไหม และเขตบางเขน 4. กลุ่มกรุงเทพตะวันออก 9 เขต ได้แก่ เขตบางกะปิ เขตสะพานสูง เขตบึงกุ่ม เขต คนั นายาว เขตลาดกระบงั เขตมีนบรุ ี เขตหนองจอก เขตคลองสามวา และเขตประเวศ 5. กลุ่มกรุงธนเหนือ 8 เขต ได้แก่ เขตธนบุรี เขตคลองสาน เขตจอมทอง เขต บางกอกใหญ่ เขตบางกอกนอ้ ย เขตบางพลดั เขตตล่งิ ชนั และเขตทวีวฒั นา 6. กลุ่มกรุงธนใต้ 7 เขต ได้แก่ เขตภาษีเจริญ เขตบางแค เขตหนองแขม เขต บางขุนเทียน เขตบางบอน เขตราษฎรบ์ ูรณะ และเขตทุ่งครุ 3

ตารางท่ี 2 ขอ้ มูลการปกครองสว่ นจังหวดั ในเขตพน้ื ทร่ี บั ผดิ ชอบ จังหวัด อาเภอ ตาบล หมู่บา้ น เทศบาล เทศบาล เทศบาล อบต นคร เมอื ง ตาบล จังหวัดปทุมธานี 7 60 529 1 10 18 36 จังหวดั นครนายก 4 41 403 - 1 5 39 จงั หวดั สมทุ รปราการ 6 50 405 1 7 14 26 จังหวัดนนทบุรี 6 52 424 2 10 10 23 จงั หวัด 16 209 - 1 5 30 121 พระนครศรีอยธุ ยา จงั หวดั อ่างทอง 7 73 513 - 1 20 43 จงั หวัดสระบุรี 13 111 965 - 4 34 71 รวม 59 596 3239 5 38 131 359 4

จังหวัดปทุมธานี ถ่ินบัวหลวง เมืองรวงข้าว เช้ือชาวมอญ นครธรรมะ พระตาหนัก รวมใจ สดใสเจ้าพระยา ก้าวหน้าอุตสาหกรรม1 จังหวัดปทุมธานี มีความเป็นถิ่นฐานบ้านเมืองมาแล้วไม่น้อยกว่า 300 ปี นับต้ังแต่รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา คือ เมื่อพ.ศ. 2202 มงั นันทมติ ร ได้กวาดตอ้ นครอบครัวมอญ เมืองเมาะตะมะ อพยพหนีภัยจาก ศึกพม่า เข้ามาพ่ึงพระบรมโพธิสมภาร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรุงเทพทวาราวดีศรี อยุธยา ซ่ึงสมเด็จพระนายรายณ์มหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ครอบครวั มอญเหลา่ น้ันไปต้งั บ้านเรือนอยู่ท่ีบ้านสามโคก ต่อมาในแผน่ ดินสมเด็จ พระเจ้าตากสินมหาราชแห่งกรุงธนบุรี ชาวมอญได้อพยพหนีพม่าเข้ามาพ่ึงพระบรม โพธิสมภาร อีกเป็นคร้ังท่ี 2 พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ต้ังบ้านเรือนที่ บ้านสามโคกอีก และในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย กไ็ ด้มีการ อพยพชาวมอญครั้งใหญ่จากเมืองเมาะตะมะเขา้ สู่ประเทศไทยเรียกว่า \"มอญใหญ่\" พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ชาวมอญบางส่วนต้ังบ้านเรือนอยู่ที่บ้านสาม โคกอีกเช่นเดียวกัน จากชุมชนขนาดเล็กบ้านสามโคก จึงกลายเป็น เมืองสามโคก ในเวลาตอ่ มา ต่อมาเมื่อวันท่ี 23 สิงหาคม พ.ศ. 2358 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนช่ือเมืองสามโคก เปน็ เมืองประทุมธานี และเม่อื พ.ศ. 5

2461 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ใช้คาว่า \"จังหวัด” แทน “เมือง” และให้เปลี่ยนการสะกดชื่อใหม่จาก “ประทุมธานี” เป็น “ปทุมธานี” ต่อมาเม่ือ พ.ศ.2475 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ยุบจังหวัดธัญบุรีมาข้ึนกับจังหวัดปทุมธานี จึงได้แบ่งการปกครองเป็น 7 อาเภอ 60 ตาบล 529 หมูบ่ ้าน ซึ่งแบ่งตามประเภทและอานาจบริหารจัดการภายในท้องถิ่น เป็นเทศบาลนคร 1 แห่ง เทศบาลเมือง 10 แห่ง เทศบาลตาบล 18 แห่ง และ องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน 36 แห่ง โดยมีจานวนประชากรรวมท้ังส้ิน 1,163,604 คน แยกเปน็ ชาย 552,156 คน หญิง 611,448 คน มีเนอ้ื ที่ประมาณ 1,525,856 ตารางกิโลเมตร จังหวัดนครนายก นครนายก เมอื งในฝนั ทใ่ี กลก้ รงุ ภเู ขางาม นา้ ตกสวย รวยธรรมชาติ ปราศจากมลพษิ 2 นครนายกเป็นจังหวัดในกลุ่มจังหวัดภาคกลาง พ้ืนที่ของจังหวัดนครนายก ปรากฏหลักฐานว่าเคยเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ โดยมี การขดุ พบเคร่ืองมือเคร่ืองใช้ของมนุษย์ในยุคน้ัน เช่น ขวานหินท้ังชนิดมีบ่าและไม่มี บ่า ลูกปัดหินและลูกปัดแก้ว หินดุ แท่นหินเขียว แวดินผา ขวานสาริด สันนิษฐานว่านครนายกเคยเป็นเมืองโบราณที่มีอายุสืบเน่ืองมาถึงปัจจุบัน โดย 2 วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี. (2563). [ออนไลน์]. รายการคาขวัญประจาจังหวัดของไทย. เข้าถึงได้จาก : https://th.wikipedia.org/wiki/รายการคาขวญั ประจาจงั หวัด (วันท่คี น้ ข้อมูล 7 ตุลาคม 2563) 6

ปรากฏหลกั ฐานการอยู่อาศัยในสมัยทราวดี จากแหล่งโบราณ “บา้ นดงละคร” ซง่ึ อยู่ ห่างจากอาเภอเมืองนครนายก ไปทางทิศใต้ 8 กิโลเมตร มีลักษณะเป็นเนินดินสูง คล้ายเกาะเป็นวงรี ด้านนอกคันดินมีคูน้าล้อมรอบอีกชั้นหน่ึง โดยเมืองน้ีอาจมี พัฒนาการและอายุรว่ มสมัยกับเมืองศรีมโหสถ ในจังหวดั ปราจนี บรุ ี และเมอื งพระรถ ในจังหวัดชลบุรี ซ่ึงโบราณวัตถุท่ีขุดพบในบริเวณพื้นที่ดังกล่าวมีหลายยุคหลายสมัย ด้วยกัน ประกอบด้วยระฆังหินสมัยทราวดี พระพุทธรูปสมัยลพบุรี ภาชนะดินเผา สมัยสุโขทัยและอยุธยา เป็นต้น จังหวัดนครนายกได้แบ่งการปกครองเป็น 4 อาเภอ 41 ตาบล 403 หมู่บ้าน ซึ่งแบ่งตามประเภทและอานาจบริหารจัดการ ภายในท้องถิ่น เป็นเทศบาลเมือง 1 แห่ง เทศบาลตาบล 5 แห่ง และองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น 39 แห่ง โดยมีจานวนประชากร รวมทั้งสิ้น 260,751 คน แยกเป็นชาย 129,046 คน หญิง 131,705 คน มีเนื้อท่ีประมาณ 2,122 ตาราง กโิ ลเมตร 7

จังจหังวหัดวสัดมนุทครรปนราายกการ ป้อมยทุ ธนาวี พระเจดยี ์กลางนา้ ฟารม์ จระเขใ้ หญ่ งามวไิ ลเมอื งโบราณ สงกรานต์ พระประแดง ปลาสลดิ แห้งรสดี ประเพณรี บั บัว ครบถว้ นทว่ั อตุ สาหกรรม3 จังหวัดสมุทรปราการ หรือเรียกโดยท่ัวไปว่า ''เมืองปากน้า\" เป็นเมืองหน้า ด่านทางทะเลท่ีสาคัญในอดีต หมายถึง กาแพงชายทะเลหรือกาแพงริมทะเล สร้างขึ้น สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ในสมัยของพระเจ้าทรงธรรม เดิมต้ังอยู่ใกล้คลอง ป ล า ก ด ท า ง ฝ่ั ง ข ว า ข อ ง แ ม่ น้ า เ จ้ า พ ร ะ ย า ต่ อ ม า ใ น ส มั ย ก รุ ง รั ต น โ ก สิ น ท ร์ ตอนต้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมือง สมุทรปราการเป็นเมืองใหม่ท่ีบริเวณบางเจ้าพระยา คือ ตาบลปากน้าในปจั จุบันอยู่ ระหว่างคลองปากน้ากับคลองมหาวงศ์ อันเนื่องจากทรงเล็งเห็นว่าที่ต้ังเมือง สมุทรปราการ ยังไม่มั่นคงพอท่ีจะต้ังรับต่อสู้กับข้าศึกได้ และได้ทาพิธีฝังหลักเมือง เม่ือวันอาทิตย์ เดือน 4 ข้ึน 7 ค่า พ.ศ.2365 บริเวณท่ีฝังหลักเมืองชาวบ้าน เรียกวา่ \"ศาลเจา้ พอ่ หลักเมอื ง\" เป็นสถานทศ่ี กั ด์สิ ิทธิ์แหง่ หน่งึ ของชาวสมทุ รปราการ มาจนถงึ ปจั จบุ ันน้ี ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2475 จังหวัดพระประแดงถูกยุบ และให้มารวม ขึน้ อยู่กบั จังหวัดสมุทรปราการ ดังน้ันจงั หวดั พระประแดง จงึ คงสภาพเป็นเพยี งอาเภอ พระประแดง ท่ีตั้งอยู่ใกล้ปากกแม่น้าเจ้าพระยา ต่อมาในปี พ.ศ.2485 จังหวัด สมุทรปราการ ถูกยุบไปรวมกับจังหวัดพระนคร จนถึงปี พ.ศ.2489 รัฐบาลได้มี พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งจังหวัดสมุทรปราการขึ้นมาใหม่อีกคร้ัง และดารงฐานะเป็น 8

จังหวัดสมุทรปราการมาจนถึงทุกวันนี้ จังหวัดสมุทรปราการเป็นจังหวัดที่มีป้อม ปราการมากมายท่ีสร้างขน้ึ เพ่ือป้องกนั การรุกรานของขา้ ศึกต้ังอยู่ ท้ังสอง ฟากฝั่งแม่น้าเจ้าพระยาดังต่อไปน้ี คือ 1.ปอ้ มประโคนชัย 2.ป้อมนารายณ์ปราบศึก 3.ป้อมปราการ 4.ป้อมกายสิทธิ์ 5.ป้อมผีเส้ือสมุทร 6.ป้อมตรีเพชร 7.ป้อมคง กระพัน 8.ป้อมเสือซ่อนเล็บ 9.ป้อมพระจุลจอมเกล้า ปัจจุบันนี้ป้อมปราการ ในจังหวัดสมุทรปราการเหลืออยู่เพียง 2 ป้อม เท่าน้ัน คือ ปอ้ มผีเส้ือสมุทร และ ป้อมพระจุลจอมเกล้า จังหวัดสมุทรปราการแบ่งการปกครองส่วนภูมิภาค แบ่ง ออกเป็น 6 อาเภอ 50 ตาบล 405 หมู่บ้าน โดยมีจานวนประชากร รวมทั้งสิ้น 1,344,875 คน แยกเปน็ ชาย 642,774 คน หญงิ 702,101 คน มีเน้ือที่ประมาณ 1,004 ตารางกิโลเมตร จังหวัดนนทบุรี พระตาหนกั สง่างาม ลอื นามสวนสมเดจ็ เกาะเกรด็ แหลง่ ดนิ เผา วดั เก่านามระบอื เลอ่ื งลอื ทเุ รยี นนนท์ งามนา่ ยลศนู ยร์ าชการ4 เมืองนนทบุรี ก่อต้ังมากว่า 400 ปี เดิมเป็นหมู่บ้านที่มีผู้คนอาศัยอยู่ หนาแน่น รู้จักกันในชื่อ “บ้านตลาดขวัญ” ซ่ึงเป็นดินแดนท่ีมีความอุดมสมบูรณ์ เน่ืองจากอยู่ริมฝั่งแม่น้าเจ้าพระยาและเปน็ สวนผลไม้ท่ีขึน้ ช่ือของกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 2092 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยายกบ้านตลาดขวัญข้ึนเป็นเมือง นนทบุรี โดยตัวเมืองนนทบุรีแต่เดิมน้ันตั้งอยู่ที่ตาบลบางกระสอในปจั จุบัน โดยมีวัด 9

หัวเมือง (ปัจจุบันเป็นวัดร้างท่ีทางราชการได้ใช้เป็นสถานที่ตั้งโรงพยาบาลพระน่ัง เกล้า) เป็นเขตเหนอื และมีวัดท้ายเมืองเปน็ เขตใต้ พ.ศ.2179 พระเจ้าปราสาททอง ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองลัดตอนใต้วัดท้ายเมือง ไปทะลุออกหน้าวัดเขมา ท้ังนี้ เพราะเดิมทีนั้นแม่น้าเจ้าพระยาไหลวกวนโดยเข้าแม่น้าอ้อมไหลมาทางบางใหญ่แล้ว วกเข้าคลองบางกรวยข้างซอยวัดชะลอมาออกหน้าวัดเขมา ดังน้ันเมื่อขุดคลองลัดแล้ว กระแสน้า จึงเปล่ียนทางเดินไหลเข้าคลองลัดท่ีขุดใหม่ นานเข้าก็กลายเป็นแม่น้า เจ้าพระยาใหม่ในปัจจุบัน ส่วนแม่น้าเจ้าพระยาเดิมก็ต้ืนเขินกลายเป็นคลองไปใน ทสี่ ดุ และเมอื่ คราวสมเดจ็ พระนารายณม์ หาราชขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2208 พระองค์ ทรงเห็นว่าเมื่อแมน่ ้าเจา้ พระยาเปลี่ยนทางเดนิ ทาให้ข้าศกึ เข้าประชิดพระนครได้งา่ ย ขึ้น จงึ โปรดเกลา้ ฯ ให้สร้างป้อมปราการตรงปากแม่นา้ ออ้ ม และให้ย้ายเมืองนนทบุรี มาอยูป่ ากแม่น้าอ้อมในคราวเดียวกนั เมืองนนทบุรี จึงตั้งอยูบ่ ริเวณปากแม่น้าอ้อม ต้ังแต่น้ันมา จนกระท่ังถึงยุคสมัยของกรุงรัตนโกสินทร์ ใน รัชสมัย ของ พระบาทสมเด็จพระนงั่ เกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงโปรดฯ ใหร้ ้ือปอ้ มและเมอื งบางส่วนเพ่ือ นาอัฐ (เงิน) ไปสร้างวัดเฉลิมพระเกียรติ และบางส่วนก็ถูกกระแสน้าพัดเซาะ พังทลายลงน้าไป ปัจจุบันจึงเหลือแต่ศาลหลักเมืองเท่าน้ัน นนทบุรีได้รับการ ประกาศจัดตั้งเป็นจังหวัด เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2489 ซ่ึงแบ่งเขตการปกครอง ส่ ว น ภู มิ ภ า ค ( ต า ม ก ฎ ห ม า ย ลั ก ษ ณ ะ ป ก ค ร อ ง ท้ อ ง ท่ี ) อ อ ก เ ป็ น อาเภอ 52 ตาบล 424 หมู่บ้าน แต่หากไม่นับรวมหน่วยการปกครองในเขต เทศบาลเมืองและเทศบาลนครซ่ึงยุบเลิกตาแหน่งกานันและผู้ใหญ่บ้านแล้ว จะมี ท้ังหมด 34 ตาบล 328 หมู่บ้าน โดยมีจานวนประชากร รวมท้ังสิ้น 1,265,387 คน แยกเป็นชาย 589,949 คน หญิง 675,438 คน มีเนื้อท่ีประมาณ 622 ตารางกโิ ลเมตร 10

จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ราชธานเี ก่า อขู่ ้าวอนู่ า้ เลศิ ลา้ กานทก์ วี คนดศี รอี ยธุ ยา เลอคณุ คา่ มรกดโลก พระนครศรีอยุธยาเคยเปน็ ราชธานี (เมืองหลวง) ของอาณาจักรอยุธยา หรือ อาณาจักรสยาม ตลอดระยะเวลา 417 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 1893 กระท่ังเสียกรุงแก่ พม่า เม่ือ พ.ศ. 2310 คร้ันเมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสถาปนาราชธานี แห่งใหม่ที่ กรุงธนบุรี กรุงศรีอยุธยาก็ไม่ได้กลายเป็นเมืองร้าง ยังมีคนท่ีรักถิ่นฐาน บา้ นเดมิ อาศยั อยู่และมีราษฎรที่หลบหนไี ปอยู่ตามป่ากลับเขา้ มาอาศยั อยู่รอบๆ เมอื ง รวมกันเขา้ เป็นเมือง จนทางการยกเปน็ เมืองจตั วาเรียกว่า \"เมืองกรงุ เกา่ \" เมื่อ พ.ศ. 2325 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงยกเมืองกรุงเก่าขึ้นเป็น หัวเมืองจัตวา เช่นเดียวกับในสมัยกรุงธนบุรี หลังจาก นั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้จัดการปฏิรูปการปกครองท้ัง ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยการปกครองส่วนภูมิภาคนั้น โปรดให้จัดการปกครอง แบบเทศาภิบาลข้ึน โดยให้รวมเมืองที่อยู่ใกล้เคียงกัน 3-4 เมือง ขึ้นเป็นมณฑล มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครอง โดยในปี พ.ศ. 2438 โปรดให้จัดต้ังมณฑล กรุงเก่าขึ้น ประกอบด้วยหัวเมืองต่าง ๆ คือ กรุงเก่าหรืออยุธยา อ่างทอง สระบุรี พระพทุ ธบาท ลพบุรี พรหมบุรี อินทรบ์ ุรี และสิงหบ์ ุรี ต่อมาทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้รวมเมืองอนิ ทร์บุรแี ละเมืองพรหมบุรเี ข้ากับ เมืองสิงห์บุรี รวมเมืองพระพุทธบาทเข้ากับเมืองสระบุรี ต้ังที่ว่าการมณฑลที่อยุธยา และในปี พ.ศ. 2469 เปล่ียนชื่อจาก \"มณฑลกรุงเก่า\" เป็น \"มณฑลอยุธยา\" ซึ่ง 11

จากการจัดตั้งมณฑลอยุธยามผี ลให้อยุธยามีความสาคัญทางการบรหิ ารการปกครอง มากข้ึน การสร้างส่ิงสาธารณปู โภคหลายอยา่ งมีผลต่อการพฒั นาเมืองอยุธยาในเวลา ต่อมา จนเม่ือยกเลิกการปกครองระบบมณฑลเทศาภบิ าล ภายหลังการเปล่ียนแปลง การปกครอง พ.ศ. 2475 อยุธยาจงึ เปล่ียนฐานะเปน็ จังหวดั พระนครศรีอยุธยาจนถึง ปจั จุบัน ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายบูรณะ โบราณสถานภายในเมืองอยุธยา เพ่ือเป็นการฉลองยี่สิบห้าพุทธศตวรรษ ประจวบ กบั ในปี พ.ศ. 2498 นายกรฐั มนตรีประเทศพม่าเดนิ ทางมาเยอื นประเทศไทย และ ได้มอบเงินจานวน 200,000 บาท เพ่ือปฏิสังขรณ์วัดและองค์พระมงคลบพิตร เป็น การเริ่มต้นบูรณะโบราณสถานในอยุธยาอย่างจริงจัง ซึ่งต่อมากรมศิลปากรเป็น หน่วยงานสาคัญในการดาเนินการ จนองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโกมีมติให้ประกาศข้ึนทะเบียนอุทยานประวัติศาสตร์ พระนครศรีอยุธยา เป็น \"มรดกโลก\" เมื่อวันท่ี 13 ธันวาคม พ.ศ. 2534 มีพื้นที่ ครอบคลุมในบริเวณโบราณสถานเมืองอยุธยา ซึ่งในปัจจุบันได้แบ่งการปกครองเป็น 16 อาเภอ 209 ตาบล ซึ่งแบ่งตามประเภทและอานาจบริหารจัดการภายในท้องถ่ิน เป็นเทศบาลนคร 1 แห่ง เทศบาลเมือง 5 แห่ง เทศบาลตาบล 30 แห่ง และองค์กร ปกครองส่วนท้องถ่ิน 121 แห่ง โดยมีจานวนประชากร รวมทั้งส้ิน 820,188 คน แยกเป็นชาย 394,901 คน หญิง 425,287 คน มีเนื้อที่ประมาณ 2,500.656 ตารางกิโลเมตร 12

จังหวัดอ่างทอง พระสมเดจ็ เกษไชโย หลวงพอ่ โตองคใ์ หญ่ วรี ไทยใจกลา้ ตกุ๊ ตาชาววัง โดง่ ดังจกั สาน ถนิ่ ฐานทากลอง เมอื งสองพระนอน5 เมอื งอา่ งทอง ได้ชื่อนม้ี าจากไหน มกี ารสันนษิ ฐานเป็น 3 นัย นัยแรกเช่ือว่า คาว่า “อ่างทอง” น่าจะมาจากลักษณะทางกายภาพของพ้ืนที่น้ี คือเป็นท่ีราบลุ่มเป็น แอง่ คล้ายอ่าง ซ่ึงเต็มไปด้วยทุ่งนาทอี่ อกรวงเหลืองอร่ามเหมือน ทอง จงึ เป็นที่มาของ ชื่อจังหวัดอ่างทอง และดวงตราของจังหวัด เป็นรูปรวงข้าวสีทองอยู่ในอ่างน้า ซ่ึงมี ความหมายถงึ ความอุดมสมบูรณ์ดว้ ยพืชพันธุ์ธญั ญาหารและเปน็ อูข่ า้ วอู่น้า นัยที่สองเชื่อว่า อ่างทองน่าจะมาจากชื่อของหมู่บ้านเดิมที่เรียกว่า “บางคาทอง” ตามคาสันนษิ ฐานของพระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) สมหุ เทศาภบิ าล มณฑลอยุธยา เมื่อคร้ังที่กราบทูลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ ัว ในคราว เสด็จประพาสลาแม่น้าน้อยและลาแม่น้าใหญ่ใน พ.ศ. 2459 ว่า ชื่อของเมือง อ่างทองก็จะมาจากชื่อ บางคาทอง ซ่ึงแต่งตั้งคร้ังกรุงเก่า ว่าด้วยตามเสด็จพระราช ดาเนินเมืองนครสวรรค์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชจากกรุงเก่า “ลุถึงบางน้าชื่อ คาทอง น้าป่วนเป็นฟอง คว่างคว้าง” และบางกระแสก็ว่า อาจเพ้ียนมาจากช่ือของ แม่น้าลาคลองในย่านน้ัน ที่เคยมีช่ือว่า “ปากน้าประคาทอง” ซ่ึงเป็นทางแยกแม่น้า 13

หลังศาลากลางจังหวัด และสว่ นในเข้าไปเรยี กว่า “แม่น้าสายทอง” ซงึ่ ปัจจุบันต้ืนเขนิ ใช้ไม่ได้แล้ว นัยทส่ี ามเชื่อวา่ ชือ่ อ่างทองนา่ จะมาจากชือ่ บ้านอา่ งทอง ซึ่งสมเด็จพระเจา้ บรม วงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ทรงกล่าวไว้ในหนังสือชุมนุมพระนิพนธ์เรื่อง สร้างเมืองไว้ตอนหนึ่งว่า “เมืองอา่ งทองดูเหมือนจะต้ังเม่ือคร้ังสมเด็จพระนเรศวร เดิม ชือ่ เมอื งว่า วเิ ศษไชยชาญ ตงั้ อยู่ริมแม่น้านอ้ ย ท่ีลงมาจากนครสวรรค์ อยู่มาแม่น้า น้อยตื้นเขิน ฤดูแล้งใช้เรือไม่สะดวก ย้ายเมืองออกมาตั้งริมแม่น้าพระยาท่ีบ้าน อา่ งทองจึงเปลี่ยนชือ่ เปน็ เมืองอ่างทอง” ถึงแม้ว่าช่ือของจังหวัดอ่างทอง จะได้มาตามนัยใดก็ตาม ช่ืออ่างทองน้ีเปน็ ชื่อท่ี เริ่มมาในสมัยกรุงธนบุรีหรือสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คือ เมื่อประมาณ 200 ปีท่ี ผา่ นมา ย้อนกลับไปในอดีต สมัยกรุงศรีอยุธยาเปน็ ราชธานีน้ัน อา่ งทองเป็นท่ีรู้จัก ในนามของเมืองวิเศษไชยชาญ ดังน้ันการศึกษาความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ของ เมืองอ่างทองนั้น หมายถึงการศึกษาความเป็นมาของดินแดนแถบน้ีย้อนกลับไปกว่า 1 พันปี เป็นสมัยท่ีชื่อเสียงของเมืองอ่างทองยังไม่ปรากฏ แต่มีหลักฐานแน่ชัดว่ามี ดินแดนแถบน้ีมานานแล้ว และอาจจะสรุปได้ว่าดินแดนนี้มีลักษณะเด่นชัดอย่างน้อย 2 ประการ คือ ความอุดมสมบูรณ์ท่ีเหมาะแก่การทาเกษตรกรรม ทาให้มีมนุษย์ ตั้งหลักฐานอยู่กันมานานนับพันๆปี และเป็นดินแดนที่มีความสาคัญในแง่การเป็น ยุทธศาสตร์โดยเฉพาะอย่างย่ิงในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งในปัจจุบันได้แบ่งการ ปกครองเป็น 7 อาเภอ 73 ตาบล 513 หมู่บ้าน ซ่ึงแบ่งตามประเภทและอานาจ บริหารจัดการภายในท้องถ่ิน เป็นเทศบาลเมือง 1 แห่ง เทศบาลตาบล 20 แห่ง และ องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถิ่น 43 แห่ง โดยมีจานวนประชากร รวมท้ังส้ิน 279,654 คน แยกเป็นชาย 134,095 คน หญิง 145,559 คน มีเนื้อท่ีประมาณ 968.372 ตาราง กิโลเมตร 14

จังหวัดสระบุรี พระพทุ ธบาทสงู ค่า เขอื่ นปา่ สกั ชลสทิ ธิ์ ฐานผลติ อตุ สาหกรรม เกษตรนาลา้ แหลง่ เทยี่ ว หนงึ่ เดยี วกะหรป่ี ับนมดี ประเพณตี กั บาตรดอกไม้งาม เหลอื งอรา่ มทุ่งทานตะวนั ลอื ลน่ั เมอื งชมุ ทาง6 สระบุรีเป็นเมอื งสาคัญเมืองหน่ึงแต่โบราณ สนั นิษฐานว่าตง้ั ข้นึ เม่อื ประมาณปี พ.ศ.2092 ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ การตั้งเมืองน้ีสันนิษฐานว่า พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้แบ่งเขตพื้นท่ีบางส่วนของเมืองลพบุรี เมืองนครนายก และ เมืองนครราชสีมา มารวมกันต้ังข้ึนเป็นเมืองสระบุรี ทั้งน้ีเพื่อต้องการให้เป็นศูนย์ ระดมพลเมืองในยามศกึ สงคราม เพราะฉะนนั้ ต้งั แต่สมัยกรุงศรีอยธุ ยาเปน็ ต้นมา จึง มกั พบเรือ่ งราวของจงั หวดั สระบุรีเก่ียวกับการศกึ สงครามอยูเ่ สมอ สาหรับท่ีมาของคาว่า “สระบุรี” สันนิษฐานว่า ซึ่งในปัจจุบันได้แบ่งการ ปกครองเป็น 13 อาเภอ 111 ตาบล 965 หมู่บ้าน ซึ่งแบ่งตามประเภทและอานาจ บริหารจัดการภายในท้องถ่ิน เป็นเทศบาลเมือง 4 แห่ง เทศบาลตาบล 34 แห่ง และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 71 แห่ง โดยมีจานวนประชากร รวมท้ังสิ้น 645,911 คน แยกเป็นชาย 318,243 คน หญิง 327,668 คน มีเนื้อที่ประมาณ 180.59 ตาราง กิโลเมตร 15

โครงการศูนย์บริการวิชาการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคม หลักการและเหตุผล ยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ .ศ.2560 – 2579) กาหนดวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความม่ันคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนา ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” หรือเป็นคติพจน์ประจาชาติว่า “มั่นคง มั่งค่ัง ยั่งยืน” โดยยุทธศาสตร์ท่ีเก่ียวข้องกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความ มั่นคงของมนุษย์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 4 ยุทธศาสตร์การสร้างโอกาสและความ เสมอภาคทางสังคม กลยทุ ธท์ ี่ 1 การสรา้ งความม่นั คงทางเศรษฐกิจและสังคมให้คน ทุกกลุ่มในสังคม กลยุทธ์ที่ 2 การสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการ ทางสังคมอย่าง ท่ัวถึง กลยุทธ์ท่ี 3 การเริ่มสร้างพลังทางสังคม กลยุทธ์ที่ 4 การสร้างความ สมานฉันท์ในสังคมและแผนการปฏิรูปประเทศด้านสังคมเป็นหนึ่งใน 11 ด้านของ การปฏิรูปประเทศ ซ่ึงคณะกรรมการปฏิรูปประเทศดา้ นสังคมได้สรุปประเด็นหลักที่ ต้องเร่งดาเนินการปฏิรูปใน 5 เร่ืองสาคัญ ได้แก่ 1 การออม สวัสดิการและการ ลงทุนเพื่อสังคม 2) การช่วยเหลือและเพ่ิมขีดความสามารถกลุ่มผู้เสียเปรียบใน สังคม 3) การจัดการข้อมูลและองค์ความรู้ทางสังคม 4) การพัฒนาระบบสร้าง เสริมชุมชนเข้มแข็งและ 5) การสร้างการมีส่วนร่วม การเรียนรู้ การรับรู้และการ ส่งเสริมกิจกรรมทางสังคม นอกจากนี้นโยบายกระทรวงการพัฒนาสังคมและความ ม่ันคงของมนุษยไ์ ดใ้ ห้ความสาคัญกับการพัฒนาระบบสวัสดิการสังคมการบรู ณาการ ทางานร่วมกันภายใน กระทรวงและภาคีเครือข่าย การพัฒนาทักษะบุคลากรให้ พร้อมรับการเปล่ียนแปลง การพัฒนาระบบฐานข้อมูล และการส่งเสริมสนับสนุน การทางานของภาคีเครอื ขา่ ยในพืน้ ท่ี สานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 1-11 (สสว. 1-11) เป็นส่วนราชการ ส่วนกลาง ท่ีตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาค มีอานาจหน้าที่ดังนี้ 1.พัฒนางานด้านวิชาการ เก่ียวกับการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ให้สอดคล้องกันพ้ืนที่และ 16

เป้าหมาย 2.ส่งเสริมและสนับสนุนงานด้านวิชาการ องค์ความรู้ข้อมูลสารสนเทศ ให้คาปรึกษาแนะนาแก่หน่วยงานบริการกลุ่มเป้าหมายในพ้ืนที่ให้บริการในความ รบั ผิดชอบของกระทรวง รวมทัง้ องคก์ รปกครองสว่ นท้องถิน่ หนว่ ยงานทีเ่ กี่ยว องค์กร ภาคเอกชนและประชาชน 3.ศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์ และสภาพแวดล้อมเพื่อ คาดการณ์แนวโน้มของสถานการณ์ทางสังคมและผลกระทบ 4.ให้ข้อเสนอแนะการ พัฒนาสังคมและการจัดทายุทธศาสตร์ในพื้นที่กลุ่มจังหวัด 5.สนับสนุนการนิเทศ งาน ติดตาม ประเมินผลการดาเนินงานเชิงวิชาการตามนโยบายและภารกิจของ กระทรวงในพื้นที่กลุ่มของจังหวัด โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ มนุษย์ได้มอบหมายให้สานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 1-11 เป็นกลไก ขับเคลื่อนนโยบายภารกิจจากส่วนกลางไปสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ ให้เป็น รูปธรรม จงึ ได้พฒั นาศูนย์บริการวิชาการพัฒนาสังคมและจดั สวสั ดกิ ารสงั คมให้เป็น ศูนย์กลางการพัฒนาศักยภาพ การจัดการองค์ความรู้ การให้คาปรึกษาวิชาการที่ ครบวงจร เป็นหน่วยเคลื่อนที่ทางวิชาการเชิงรุก เพื่อส่งเสริมสนับสนุนวิชาการแก่ หน่วยงานทุกกลุ่มเป้าหมายในความรับผิดชอบของกระทรวง อาสาสมัครและภาคี เครือข่ายท่ีเกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการขับเคล่ือนงานด้านการพัฒนาสังคมและจัด สวัสดิการสังคมที่เป็นระบบและเหมาะสมกับบริบทพื้นที่ รวมทั้งพัฒนาให้มีแหล่ง เรียนรู้ต้นแบบเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้พัฒนาการจัดบริการช่วยเหลือผู้ประสบปญั หา ทางสังคม ส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนวิธีการทางานทั้งเชิงมิติพ้ืนที่ เชิงประเด็น และเชิงกลุ่มเปา้ หมายอย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากขึ้น โดยไม่ท้ิงใครไว้ ข้างหลัง สานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 1 ซ่ึงรับผิดชอบพื้นที่ 8 จังหวัด ประกอบด้วยปทุมธานี นนทบุรี พระนครศรีอยุธยา สระบุรี อ่างทอง นครนายก สมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร จึงเสนอโครงการศูนย์บริการวิชาการพัฒนา สังคมและจัดสวัสดิการสังคมในระดับพ้ืนท่ี สสว.1 เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการ 17

ดาเนินงานภายใต้ศูนย์บริการวิชาการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคมในพื้นท่ีที่ รบั ผดิ ชอบ วตั ถปุ ระสงค์ เพ่ือจัดบริการในศูนย์บริการวิชาการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคม ท่ีเหมาะสมกับบริบทพื้นท่ี โดยการเพ่ิมศักยภาพบุคลากร ข้อมูลสารสนเทศ และ องค์ความรู้ด้านการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคม รวมทั้งเป็นหน่วยเคล่ือนที่ ทางวิชาการเชิงรุกแก่หน่วยงานบริการทุกกลุ่มเป้าหมายในความรับผิดชอบของ กระทรวงการพฒั นาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อาสาสมัคร และภาคีเครือขา่ ย ทเ่ี กีย่ วขอ้ ง กลมุ่ เปา้ หมาย 1. บุคลากรหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของ มนุษย์ อาสาสมัคร และภาคีเครือขา่ ยที่เกยี่ วข้องในพน้ื ทร่ี บั ผิดชอบ 8 จังหวดั 2. บคุ ลากรสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วชิ าการ 1 วิธีดาเนนิ งาน 1. การประชุมวางแผนการดาเนินงานของศูนย์บริการวิชาการพัฒนาสงั คมและ จัดสวสั ดกิ ารสงั คม ประจาปีงบปราณ พ.ศ.2563 2. การบริหารจัดการเพ่ือพัฒนาศูนย์บริการวิชาการพัฒนาสังคมและจัด สวัสดิการสังคมให้เหมาะสมกบั บริบทพ้ืนที่ โดยเจ้าหน้าที่ทางานแบบมีส่วนร่วมกับ หน่วยบรกิ ารในพื้นทีค่ วามรับผิดชอบ 3. การจัดบริการของศูนย์บริการวิชาการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคม โดยมี 6 กจิ กรรม ดังน้ี 1) การเพ่ิมความรู้และทักษะด้านการจัดบริการแก่บุคลากรกระทรวง การพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ บุคลากรศูนย์บริการวิชาการพัฒนา 18

สังคมและจัดสวัสดิการสังคม อาสาสมัคร และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในพื้นท่ี รบั ผดิ ชอบ 2) การพัฒนางานประจาสู่การวิจัย (Routine to Research : R2R) 3) การจดั การความรู้ (Knowledge Management : KM) 4) การดาเนนิ งานในพ้นื ทป่ี ฏบิ ตั กิ ารพัฒนาสังคม (Social Lab) 5) การพัฒนาระบบข้อมูลเครือข่ายด้านการพัฒนาสังคมและจัด สวสั ดกิ ารสงั คม 6) การดาเนนิ งานหน่วยเคลอ่ื นที่ทางวชิ าการเชงิ รุกในพน้ื ท่ีรับผิดชอบ 4. การติดตามผลการดาเนินงาน การถอดบทเรียนเพ่ือพัฒนาศูนย์บริการ วิชาการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคมในระดับพื้นที่ให้เกิดประสิทธิภาพและ ประสทิ ธิผล พนื้ ทีด่ าเนินการ พืน้ ทีร่ บั ผดิ ชอบของสานักงานสง่ เสริมและสนบั สนุนวชิ าการ 1 ระยะเวลาดาเนินการ ปงี บประมาณ 2563 ตง้ั แต่เดอื น ตุลาคม 2562 ถงึ เดอื นกันยายน 2563 งบประมาณดาเนินการ โดยเบิกจ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ไป พลางกอ่ น และปีงบประมาณ พ.ศ.2563 แผนงานยุทธศาสตร์สร้างความมั่นคงและ ลดความเหล่ือมล้าทางด้านเศรษฐกิจและสังคม โครงการช่วยเหลือคุ้มครองผู้ประสบ ปญั หาทางสังคม กิจกรมหลัก ส่งเสริม ประสานและดาเนินงานช่วยเหลือผู้ประสบ ปัญหาทางสังคม งบดาเนินงาน จานวนท้ังสิ้น 692,000 บาท (หกแสนเก้าหมื่น สองพันบาทถ้วน) 19

ผู้รบั ผดิ ชอบโครงการ กลุ่มการวิจัยและการพัฒนาระบบเครือขา่ ย สานักงานส่งเสริมและสนับสนุน วชิ าการ 1 ผลท่ีคาดว่าจะได้รับ 1. บุคลากรหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ มนุษย์ อาสาสมัคร และภาคีเครือข่ายท่ีเกี่ยวข้องในพ้ืนที่รับผิดชอบ ได้รับความรู้ ทักษะ ข้อมูลสารสนเทศ และแนวทางการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคมเพื่อ ประยกุ ตใ์ ชใ้ นการช่วยเหลอื ผ้ปู ระสบปัญหาทางสังคม 2. มีองค์ความรู้ รูปแบบและแหล่งการเรียนรู้ต้นแบบการพัฒนาสังคมและจัด สวัสดิการสังคมท่ีเหมาะสมในแต่ละบริบทพื้นท่ี เพ่ือประยุกต์ใช้ในการพัฒนา จดั บรกิ ารชว่ ยเหลอื ผปู้ ระสบปญั หาทางสงั คมใหเ้ กดิ ประสิทธภิ าพ และประสทิ ธิผล ในปีงบประมาณ 2563 สานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 1 ได้ ขับเคล่ือนการดาเนินงานโครงการศูนย์บริการวิชาการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการ สงั คม ในระดบั พน้ื ท่ี สสว.1 จานวน 6 กิจกรรม ประกอบด้วย 1) การเพม่ิ ความรู้และทักษะดา้ นการจัดบริการแก่บคุ ลากรกระทรวงการ พัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ บุคลากรศูนย์บริการวิชาการพัฒนาสังคม และจัดสวสั ดกิ ารสังคม อาสาสมคั ร และภาคเี ครือข่ายทเ่ี กย่ี วขอ้ งในพน้ื ทร่ี บั ผิดชอบ 2) การพัฒนางานประจาสู่การวิจัย (Routine to Research : R2R) 3) การจัดการความรู้ (Knowledge Management : KM) 4) การดาเนนิ งานในพนื้ ท่ปี ฏิบตั ิการพัฒนาสังคม (Social Lab) 20

5) การพัฒนาระบบข้อมูลเครือข่ายด้านการพัฒนาสังคมและจัด สวัสดกิ ารสังคม 6) การดาเนินงานหนว่ ยเคลื่อนทท่ี างวิชาการเชงิ รกุ ในพื้นทร่ี ับผิดชอบ ถึงแม้ว่าในช่วงระยะเวลาดังกล่าว จะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ Covid-19 แพร่ระบาดเป็นวงกว้างท่ัวโลกและ ประเทศไทยไดม้ ีประกาศการบริหารราชการในสถานการณ์ฉกุ เฉิน และมีมาตรการ ต่างๆ เพื่อเฝ้าระวังและป้องกนั การแพร่ระบาดของไวรัส เช่น การห้ามเดินทางข้าม จังหวัด การห้ามออกจากเคหสถานระหว่างเวลา 22.00 – 04.00 น. การงดจัด กจิ กรรมที่มีการรวมตัวของคน เปน็ ต้น สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้การขับเคลื่อน กิจกรรมต่างๆ ภายใต้โครงการศูนย์บริการวิชาการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการ สังคมในระดับพื้นที่ ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการดาเนินงานให้มีความเหมาะสมกับ สถานการณ์ จนเม่ือรัฐบาลและหน่วยงานทเี่ ก่ียวข้องมีประกาศมาตรการในการผ่อน คลายเป็นระยะ จึงทาให้สามารถขับเคล่ือนการดาเนินกิจกรรมได้มากย่ิงขึ้นใน ภาพรวม สานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 1 (จังหวัดปทุมธานี) สามารถ ขับเคลื่อนกจิ กรรมต่างๆ ภายใต้โครงการศูนย์บริการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการ สังคมในระดบั พ้ืนทไ่ี ด้ตามเปา้ หมาย โดยมีผลการดาเนินงานในแตล่ ะกจิ กรรมดังน้ี การจัดการความรู้ KM (Knowledge Management : KM) กิจกรรมการจัดการองค์ความรู้ (Knowledge Management : KM) เป็น กิจกรรมท่สี านกั งานสง่ เสริมและสนบั สนุนวิชาการ 1 สามารถขบั เคลือ่ นตามท่ีกาหนด สามารถดาเนนิ การได้ 3 เรือ่ ง ดงั นี้ 1. ชดุ ความรูเ้ รือ่ ง การสรา้ งจิตสานึกด้านหวั ใจบรกิ ารแกบ่ ุคลากร 2. ชดุ ความรูเ้ รื่อง การปฏบิ ัติงานสังคมสงเคราะห์ในยคุ New normal 21

3. ชุดความรู้เรื่อง การถอดบทเรียนกระบวนการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับ ผลกระทบจากการแพรร่ ะบาดโรคติดไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19) ในกรุงเทพมหานคร 1. ชดุ ความรูเ้ รือ่ ง การสรา้ งจติ สานกึ ด้านหัวใจบรกิ ารแกบ่ ุคลากร วัตถุประสงค์เพ่ือกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจให้บุคลากรของกระทรวงการพัฒนา สังคมและความม่ันคงของมนษุ ย์มีจติ สานึกที่ดีในการให้บริการ ยกย่องเชิดชูบคุ ลากร มีความโดดเด่นในการให้บริการให้ปรากฏเป็นตัวอย่างที่ดีของการมีจิตสานึกในการ ให้บริการ และเพ่ือให้เกิดความประทับใจแก่ผู้รับบริการ สร้างภาพลักษณ์ท่ีดีต่อ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความประทับใจแกผ่ รู้ บั บรกิ าร สรา้ งภาพลักษณ์ท่ดี ตี อ่ หน่วยงาน กลุม่ เป้าหมาย บุคลากรในสังกัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ ในพ้ืนที่ รบั ผดิ ชอบของสานกั งานส่งเสรมิ และสนบั สนุนวชิ าการ 1 ผลการศกึ ษา ยุคแห่งการเปล่ียนแปลงไม่ว่าหน่วยงานใดก็ตาม ปัจจัยสาคัญที่จะทาให้ ผู้รับบริการและประชาชนเกิดความพึงพอใจสูงสุด และมีทัศนคติที่ดีต่อภาพลักษณ์ ของหนว่ ยงานก็คือ “การบริการ” ปัจจุบันหน่วยงานตา่ งๆ ไดเล็งเหน็ ความสาคัญของ การให้บริการและมุ่งเน้นพัฒนาระบบการทางานให มีประสิทธิภาพย่ิงขึ้น โดย แสวงหาความร่วมมือจากหนวยงานท้ังภาครัฐและภาคเอกชน รณรงคใหทุกคนใน หน่วยงานรูจักปรบั เปลี่ยนพฤตกิ รรมในการทางาน ตลอดจนมีทัศนคติท่ดี ีตอ่ การให บริการ“จิตสานึกการให้บริการ” เลมน้ีนับเป็นจุดเร่ิมต้นที่มุงหวังใหบุคลากรของ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ทุกคนมีความรู พ้ืนฐานและ ความเข้าใจเก่ียวกับคาวา “บริการ” อย่างถ่องแท้ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในเรื่องของ “จิตสานึก” ซึ่งไมใช่เป็นเพียงหน้าท่ีท่ีบุคลากรของกระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความม่ันคงของมนุษย์ ตองพึงปฏิบัติเพื่อสนองตอบความต้องการของผรู้ ับบริการและ 22

ประชากรเท่านั้น แต่รวมไปถึงการแสดงออกท้ังกาย วาจา และจิตใจที่มีต่อการ ให้บรกิ าร บุคลากรกระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ทุกคนไดศึกษา และนาไปพัฒนาตนเอง พัฒนาหน่วยงาน โดยให้พึงระลึกอยู่เสมอว า “การ ให้บริการ คือ งานในหน้าท่ีของบุคลากรของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความ ม่ันคงของมนุษย์ทุกคน” หากบุคลากรของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคง ของมนษุ ย์ ยึดถือเปน็ หลักในการปฏิบัติหน้าทอ่ี ย่างจรงิ จัง ก็จะนาพาองคก์ รไปสูการ เปล่ียนแปลงการทางานแบบย่ังยืน ซึ่งจะสะท้อนภาพลักษณ์ท่ีดีของกระทรวงการ พัฒนาสังคมและความมนั่ คงของมนษุ ย์ไปสูประชาชนและสังคมตอ่ ไป 23

2. ชุดความรู้เร่ือง การปฏิบัตงิ านสงั คมสงเคราะห์ในยคุ New normal มีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนาเพ่ิมพูนสมรรถนะทักษะ รูปแบบการทางาน และ ความสามารถในกาปฏิบัติงานของสวัสดิการสังคม และสังคมสงเคราะห์ สามารถนา องค์ความรูแ้ ละประสบการณไ์ ปประยุกต์ใช้ในการกาหนดกลยุทธ์ และบริหารจัดการ การทางาน ปรับ Mindset ของผู้ปฏิบัติงานสวัสดิการสังคม และสงเคราะห์ให้ สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรน่า 2019 (covid-19) เพ่ือสร้างความมั่นใจในการปฏิบัติงาน และเพื่อให้ผู้เข้าร่วม แลกเปลี่ยนเรียนรู้ความคิดเหน็ จากการปฏิบัติงานและถอดบทเรียน กลุ่มเป้าหมาย : บุคลากร และภาคีเครือข่ายท่ีเกี่ยวข้อง ในพื้นท่ีรับผิดชอบของ สานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 1 ได้แก่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี นครนายก ปทมุ ธานี พระนครศรีอยธุ ยา สมทุ รปราการ สระบุรี และอา่ งทอง ผลการศกึ ษา ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรน่า 2019 (covid- 19) ทาให้ประเทศต่างๆ ต้องมีมาตรการดูแลสุขภาพของประชาชน พร้อมควบคุม การแพร่กระจายของโรคในประเทศไทยได้ปรากฏการแพร่ระบาดของโรค ภายในประเทศ แพร่ระบาดในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดทุกภาคของประเทศไทย โดยกาหนดให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รับผิดชอบให้ ดาเนินการเตรียมความพร้อมเจ้าหน้าท่ีเพ่ือให้คาแนะนาแก่ผู้ประสบปัญหาสังคม ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคตดิ เช้ือไวรัสโคโรน่า2019 (Covid-19) และเตรียมความพรอ้ มสาหรับเจา้ หน้าท่ี มกี ารชี้แจงวธิ ีการปฏบิ ัติงานการปอ้ งกนั โรค และแนวทางการให้บริการให้ช่วยเหลือเยียวยาในเขตพ้ืนท่ีได้ลงพื้นท่ีเยี่ยมบ้าน ผู้ได้รับผลกระทบ ให้คาปรึกษา เพื่อเยี่ยมบ้าน สอบข้อเท็จจริง เพื่อช่วยเหลือผู้ ประสบปัญหาทางสังคม 24

การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ส่งผลให้ทีม One Home ต้องมีการ ปรบั ปรุงการปฏบิ ตั ิงานในชว่ งสถานการณโ์ ควิดด้วยการถอดบทเรียน การดาเนินงาน ตามกลุ่มเป้าหมายพบว่า ปจั จัยทีท่ าให้การทางาน One Home ประสบผลสาเร็จ ได้ต้องมีการปรับปรุงการปฏิบัติงานในการให้บริการ 5กลุ่มเป้าหมาย คือ คน พกิ าร เด็กและเยาวชน ผู้สูงอายุ คนไรท้ พ่ี ่ึง และผู้ประสบปัญหาทางสงั คม ท้ังนี้ได้ แนวทางในการปฏิบัติงานทีม One Home ในยุค New Normal ท่ีจะต้องมี การปรับเปล่ียนรูปแบบของการให้บริการแก่กลุ่มเป้าหมาย 3 ด้านประกอบด้วย ด้านของการป้องกัน ด้านการเว้นระยะห่างของผู้รับบริการให้บริการ โดยใช้ เทคโนโลยีเข้ามาช่วยโดยการส่งต่อข้อมูลผ่านระบบ Application ท่ีเอื้อต่อการ ดาเนินงานใช้การทางานเชิงรุกเรียนรู้ร่วมกันกับวิชาชีพอ่ืน เพ่ือช่วยเหลือ กลุ่มเป้าหมายที่มีความซ้าซ้อน รวมท้ังการพัฒนาศักยภาพผู้ปฏิบัติงานด้วยวิธีการ ใหม่ๆรวมทัง้ การจดั อบรมด้านจิตวทิ ยาและทักษะการให้คาปรกึ ษาให้กับเจา้ หนา้ ที่ ส่วนการสนับสนุนหนุนเสริมจาก สสว.1 ตามนโยบาย พม.จังหวัด (One Home) ในยุค New Normal ท้ังนี้การปฏิบัติงานในยุคปกติใหม่ (New normal) จะมีประสิทธิภาพสูงสุดหากหน่วยงานได้รับการสนับสนุนทางวิชาการ เช่น ระบบฐานข้อมูลที่ได้จากการลงพื้นท่ีสามารถนาไปใช้ได้จริง การให้ความรู้ใน เร่ืองการปรับทัศนคติ การเสริมแรงในการทางานและการให้สานักงานส่งเสริมและ สนับสนุนวิชาการ 1 เป็นตัวเช่ือมฐานข้อมูลให้เป็นชุดเดียวกันในการจัดทาระบบ เทคโนโลยกี ารสอื่ สาร 25

26

3. ชุดความรู้เร่ือง การถอดบทเรียนกระบวนการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับ ผลกระทบจากการแพร่ระบาดโรคติดไวรัสโคโรนา2019 (Covid-19) ใน กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษากระบวนการทางานช่วยเหลือประชาชนท่ีได้รับผลกระทบ จากการแพรร่ ะบาดของโรคตดิ ต่อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ของคณะทางาน ขับเคลื่อนมาตรการป้องกัน แก้ไข และช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ ระบาดของโรคติดต่อในชุมชน เพื่อศึกษาอุปสรรคถึงปัญหาอุปสรรคที่เกิดข้ึน ในกระบวนการทางาน และเพื่อค้นหาแนวทางการพัฒนากระบวนการทางาน ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดต่อเช้ือไวรัส โคโรนา (Covid-19) อย่างมีประสิทธภิ าพ กลุ่มเป้าหมาย : ตัวแทนชาวบ้าน 4 ชุมชน ในพ้ืนที่กรุงเทพมหานคร ที่ได้รับ ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ไดแ้ ก่ ชุมชนโรงหวาย ชุมชนวัดใต้ ชุมชนอ่อนนชุ 40 ไร่ และชุมชนอ่อนนุช 86 ผลการศกึ ษา : การศึกษาในครง้ั น้ีเปน็ การศึกษาเน้ือหาจาก 2 ส่วน ได้แก่ 1. ส่วนแรกจากเอกสารต่างๆ (Documentary Research) ในด้าน มาตรการการดาเนินงานช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด ของโรคติดต่อเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของรัฐบาล และกระทรวง สาธารณสุข รวมท้งั นโยบายการดาเนนิ งานช่วยเหลอื ประชาชนทไี่ ดร้ บั ผลกระทบจาก การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของกระทรวงการ พัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ และหน่วยงานที่เก่ียวข้อง โดยนาข้อมูล 27

สถานการณ์ต่างๆ มารวบรวม วิเคราะห์ และกาหนดเป็นกรอบแนวคิด และหัวข้อ เร่ืองท่ีเก่ยี วขอ้ ง 2. ส่วนที่สองจากการลงพื้นที่ (Field Work ) โดยสัมภาษณ์ความ คิดเห็นข้อเสนอแนะจากการทาเวทีเพื่อระดมความคิดเห็นการถอดบทเรียน กระบวนการทางานช่วยเหลือประชาชนท่ีได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ โรคตดิ ตอ่ เช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (โควดิ -19) จากกลมุ่ เปา้ หมาย 286 ชุมชน และ การสุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นตัวแทนชาวบ้านในกรุงเทพมหานคร จานวน 4 ชุมชนๆ ละ 5 คน รวม 20 คน ได้แก่ ชุมชนโรงหวาย ชุมชนวัดใต้ ชุมชนอ่อนนุช 40 และ ชุมชนอ่อนนุช 86 ซึ่งดาเนินการระหว่างเดือนกรกฎาคม 2563 โดยใช้วิธี กระบวนการกลุ่ม (Focus Group) ตามแนวคาถามที่กาหนดและมีการ อภิปราย/บรรยายให้ความรู้สอดแทรกระหว่างการพูดคุย ถามตอบ แลกเปลี่ยน เรียนรู้ข้อมูล ถ่ายทอดประสบการณ์ของแต่ละบุคคล และสรุปสาระสาคัญรวมเป็น ของกลุ่ม จากน้ันผู้ศึกษาได้นาข้อมูลทั้งจากเอกสารต่างๆ ด้านสถานการณ์การแพร่ ระบาดของโรคติดต่อเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของรัฐบาล และกระทรวง สาธารณสุข รวมทั้งด้านนโยบายการดาเนินงานช่วยเหลือประชาชนท่ีได้รับ ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัวโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นของมนุษย์ และการค้นหาข้อมูลที่เก่ียวข้อง ทางอินเตอร์เน็ต และออนไลน์ มาวิเคราะห์และสรุปผลการศึกษาตามวัตถุประสงค์ อภปิ รายผล บรรยายลกั ษณะเชงิ พรรณนา (Descriptive Research) เรียงตาม หัวข้อที่กาหนด มีสถิติจานวนตัวเลขจากหน่วยงานหรือแหล่งข้อมูลท่ีอ้างอิงเข้ามา สนับสนุนขอ้ มูลต่างๆดังกล่าว และมีสรุปผลการศึกษา อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ ตามลาดบั ดังต่อไปนี้ .1 กระบวนการทางานช่วยเหลือประชาชนท่ีได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด ของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของคณะทางานขับเคลื่อน 28

มาตรการป้องกันแก้ไข และช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค ติดเช้อื ไวรสั โคโรนา 2019 (โควดิ -19) ในชุมชน 1.1 ด้านสาธารณสขุ ประชาชนในชุมชนได้รับทราบบริการ และนโยบายการช่วยเหลือ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ทางโทรทัศน์ และสื่อออนไลน์ต่างๆ และประชาชนผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อนได้รับการ ช่วยเหลือในระดับปานกลาง และเห็นว่า กระทรวง พม. มีการดาเนินงานด้าน สุขภาพ ควบคู่กับการปฏิบัติงานท้ังในหน่วยงานและท่ีสาธารณะต่างๆ โดยมีการ ประชาสมั พันธก์ ารปอ้ งกันการแพรร่ ะบาดของโรคตดิ ต่อเชือ้ ไวรัสโคโรนา 2019 (โค วิด-19) ตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการดูแล ผู้รับบริการในสถานสงเคราะห์ในรูปแบบใหม่ (New Normal) เช่น สถาน สงเคราะหเ์ ดก็ สถานสงเคราะห์คนชรา และสถานสงเคราะห์ผู้พิการฯลฯ 1.2 ด้านเวชภัณฑป์ อ้ งกนั ในช่วงแรกท่ีสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) แพร่ระบาดประชาชนกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ได้รับการความ ช่วยเหลือเป็นหน้ากากทางเลือกจากกระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ มนุษย์ จานวนน้อยมากไม่เพียงพอ และไม่ทราบว่า กระทรวง พม. มีการผลิต หน้ากากทางเลือกแจกประชาชน ส่วนใหญ่จะได้รับเฉพาะถุงยังชีพซึ่งได้รับการ ประสานการแจ้งรายช่ือผู้ได้รับการช่วยเหลือจากผู้นาชุมชน นอกจากน้ี ยังได้รับ การแจกหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์และเจลล้างมือ จากหน่วยงานภาครัฐ และ เอกชนในพื้นท่ีต่างๆ เชน่ สานักงานเขตสวนหลวง สถานตารวจ บรษิ ัท และห้าง ร้านต่างๆ เป็นต้น 29

1.3 ด้านการปอ้ งกนั ประชาชนทราบว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของ มนุษย์ มีนโยบายให้บุคลากรทางานที่บ้าน (WFH) และเหลื่อมเวลาทางาน เพ่ือ ลดการแออัดของคนและการแพร่กระจายของเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) มีการเว้นระยะห่าง (Social Distancing) รวมทั้งมีการตัดกรองคนเข้ามาติดต่อ ภายในกระทรวงฯ และหน่วยงาน โดยทุกคนต้องมีการวัดอุณหภูมิก่อน และมีการ ปฏิบัติดูแลผู้รับบริการฯแบบ New Normal ในสถานสงเคราะห์ต่างๆ เช่น งดการเยี่ยมญาติแบบเผชิญหน้า แต่จะใช้การสื่อสารทางโทรศัพท์แทน รวมถึงขณะ ลงพ้ืนท่ีเจ้าหน้าท่ีฯจะให้ความรู้และประชาสัมพันธ์เร่ือง การรับรู้สถานการณ์ และ การดูแลตนเองเพื่อลดการแพร่ระบาดของการติดเชื้อโรคโควิด-19 พร้อมท้ังให้ คาแนะนาบริการชว่ ยเหลอื ต่างๆ ของกระทรวงฯ พม. 1.4 ดา้ นใหก้ ารช่วยเหลือเยยี วยา เม่ือเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ลงพ้ืนท่ีปฏิบัติงานพบปะประชาชน เยี่ยม บ้าน หรือสารวจข้อมูลผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อน เจ้าหน้าที่จะให้คาปรึกษา แนะนาในด้านปัญหาต่างๆ ควบคู่กับการให้ความรู้ด้านการดูแลตนเองเพื่อลดการ แพร่ระบาดของเชอ้ื ไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และประชาชนส่วนใหญ่จะได้รับ การช่วยเหลอื เป็นถุงยังชีพเพ่ือการบรโิ ภคจากกระทรวง พม. และผู้ได้รบั ผลกระทบฯ ประสบปัญหาความเดอื ดร้อนดา้ นค่าใช้จา่ ย ครอบครวั ขาดรายได้ ฯลฯ จะได้รบั การ ช่วยเหลือเป็นเงินสงเคราะห์ฯ ตามกลุ่มเป้าหมายต่างๆ เช่น เด็ก รายได้น้อย คนชรา และผู้พิการ เป็นต้น ครอบครัวละ 2,000 ราย เพ่ือบรรเทาปัญหาความ เดือดร้อนในเบ้ืองต้น นอกจากน้ียังมีบริการฝึกอาชีพให้กับประชาชนในชุมชน เช่น ผ้พู กิ าร สตรแี ละครอบครัว เปน็ ต้น 30

2. ปัญหาอุปสรรคทเ่ี กดิ ขึ้นในกระบวนการทางาน 2.1 ขอบเขตของกระบวนการทางาน เน่ืองจากชุมชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของการศึกษา เป็นชุมชนที่ไม่ถูกต้อง ตามกฎหมายของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ประชาชนส่วนใหญ่จะมีปัญหาเร่ือง เอกสารต่างๆ เช่น ไม่มีบัตรประจาตัวประชาชน/ทะเบียนบ้าน บัตรหมดอายุ ส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บข้อมูลและการช่วยเหลือของกระทรวง พม. และการ จัดเก็บขอ้ มูลช่วยเหลือประชาชนผู้เดือดร้อนของกระทรวง พม. ไม่เป็นหน่ึงเดียวกัน ข้อมูลไมค่ รบถ้วน ซ้าซ้อนและตอ้ งกลับไปทาใหม่การชว่ ยเหลอื ไมท่ วั่ ถึงและประชาชน ท่ีประสบปัญหาความเดือดร้อนจริงไม่สามารถเข้าถึงเจ้าหน้าที่ฯ หรือ ผู้นาชุมชนผู้ ประสานงานในแต่ละพน้ื ท่ี แนวทางการพัฒนา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ควรมีการปรับปรุง และ พัฒนาระบบฐานข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายของกรมต่างๆ ให้เป็นชุดเดียวกัน (Big Data) 2.2 บุคลากรในการปฏิบัตงิ าน เจ้าหน้ากระทรวง พม. ที่ลงพ้ืนที่/สารวจข้อมูล หรือให้การช่วยเหลือ ประชาชนกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ส่วนใหญ่จะให้คาปรึกษาแนะนาดี เข้าใจง่าย และ ครอบคลุม รวมถึงมีการให้ความรู้แก่ประชาชนในการดูแลสุขภาพจากการแพร่ ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ด้วย แต่จะมีข้อจากัดกรณีที่ ทีมเจ้าหน้าที่ พม.จะมาจากหลายหน่วยงาน และไม่ได้ให้ท่ีอยู่หน่วยงาน หรือ เบอร์ติดตอ่ กลับ ทาใหป้ ระชาชนสับสน ไมเ่ ข้าใจ 31

แนวทางการพัฒนา ก า ร ล ง พ้ื น ที่ เ พ่ื อ ส า ร ว จ ข้ อ มู ล ห รื อ ช่ ว ย เ ห ลื อ ป ร ะ ช า ช น ใ น ชุ ม ช น กรุงเทพมหานครของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หากทีม เจ้าหน้าที่ฯมาจากหลายหน่วยงาน ต่างกรมฯกองฯ ควรแจกแผ่นพับ เบอร์ติดต่อ เพื่อประชาสัมพันธ์หน่วยงานน้ันๆ หรือ แนะนาให้โทรศัพท์สอบถามเจ้าหน้าที่ฯ ศูนยช์ ว่ ยเหลือสงั คม (1300) ทใ่ี ห้บรกิ าร 24 ช่ัวโมง 2.3 การตอบรับของกลุม่ เปา้ หมาย ประชาชนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการทางานของทีม เจ้าหน้าที่ พม.และหน่วยงานต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชนที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือ ประชาชนในพื้นที่ท้ังด้านการใหค้ าแนะนาปรึกษาบรกิ ารความช่วยเหลอื ของกระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และความรู้เรื่องการแพร่ระบาดของ โรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) หากแต่เจ้าหน้าท่ีพม.มีภารกิจหลายด้าน ทาให้ขาดการติดต่อประชาชนไประยะหนึ่งประชาชนจึงเกิดการรอคอย สงสัย ไม่ เขา้ ใจ และต่อมาทาให้การประสานงานเกิดความไม่ตอ่ เนื่อง เจ้าหน้าท่ี กระทรวง พม. ควรเพ่ิมระยะความถ่ีของเวลาการลงพ้ืนที่เพื่อ เข้าไปติดตามเย่ียมเยยี นประชาชนกลมุ่ เป้าหมายในชมุ ชนให้บ่อยข้นึ ทั้งน้ี เพอื่ เป็น การติดตามผลการช่วยเหลือ และสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนว่ายังประสบ ปัญหานั้นอยู่หรือไม่ หรือมีความต้องการอย่างไรเพ่ิมเติม เพ่ือเป็นการสร้าง สมั พนั ธภาพท่ีดีในการทางาน และสร้างขวัญกาลังใจให้ประชาชนอีกดว้ ย 2.4 ความร่วมมอื ของชมุ ชนและหนว่ ยงานท่ีเกีย่ วข้อง ในระยะต้นของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเช้ือไวรัส โคโรนา 2019 (โควิด-19) มีหน่วยงานราชการต่างๆ และองค์กรภาคเอกชน เข้ามาช่วยเหลือประชาชนในพื้นท่ีท่ีได้รับผลกระทบฯ นอกจากหน่วยงานในสังกัด กระทรวง พม. ร่วมกับ อพม. ในพ้ืนที่ออกสารวจข้อมูลผู้ประสบปัญหา เช่น สน.พระโขนง สาธารณสุขเขตประเวศ สาธารณสุข เขตสวนหลวง มูลนิธิบุญจินดา 32

ห้างท๊อป ห้างบ๊ิกซี บริษัทเบทาโก หมู่บ้านแสนสิริ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เขตประเวศ เป็นต้น โดยร่วมกันมอบถุงยังชพี เนอ่ื งจากประชาชนขาดแคลน เคร่ืองอุปโภคบริโภค และอุปกรณ์ป้องกันการแพร่เชื้อโรคต่างๆ ได้แก่ หน้ากาก อนามัย หน้ากากทางเลือก เจลล้างมือ และแอลกอฮอล์ทาความสะอาดและ สาธารณสุขเขตสวนหลวงเข้ามาตดิ ตามเย่ียมผูป้ ่วยติดเตียงในชมุ ชนโรงหวาย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ควรส่งเสริมสนับสนุน ให้ชุมชนรวมตัวกันเพ่ือจัดตั้งเปน็ ศูนย์ประสานงานระบบสวัสดิการของชุมชนสาหรับ ทุกคน ทุกกลุ่ม และทุกช่วงวัย หากเกิดเหตุการณ์ท่ีร้ายแรง โรคระบาดใหม่ๆ หรือ สถานการณอ์ ุบัตภิ ัยตา่ งๆ ทต่ี อ้ งการความช่วยเหลอื จากทกุ ภาคสว่ นถึงจะทาให้ สถานการณ์นั้นๆคลี่คลายลงได้ ท้ังนี้กระทรวง พม.มีอาสาสมัครพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) เป็นภาคีเครือขา่ ยในพ้นื ที่ที่สาคัญในการขบั เคล่ือน ด้านสวสั ดิการ 2.5 ความครอบคลมุ ของมาตรการการช่วยเหลอื ของ กระทรวง พม. ประชาชนกลุ่มเป้าหมายในชุมชนไม่มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม เน่ืองจากมี ความเห็นว่าการดาเนินงานตามแนวทางและมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของ โรคติดต่อเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความม่ันคงของมนุษย์ มีความครอบคลุมมาตรการช่วยเหลือเยียวยาแล้ว เพียงแต่ ประชาชนท่ีได้รับผลกระทบต้องการให้เจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ลงพ้ืนท่ีเพ่ือเย่ียม เยือน พบปะประชาชนบ่อยข้นึ เพ่ือเพิ่มขวัญ/กาลังใจ และเพ่ิมจานวนประชาชนที ได้รบั ความชว่ ยเหลือใหท้ ัว่ ถงึ และจานวนมากขนึ้ กวา่ เดมิ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ ควรจัดทีมเจ้าหน้าที่ฯ ในหน่วยงานสังกัด ทุกกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มคนเปราะบาง เด็กและเยาวชน คนชรา ผู้พิการ สตรีและครอบครัวฯลฯ เพื่อสารวจข้อมูลผู้ประสบปัญหาตาม กลุ่มเป้าหมายต่างๆเพื่อรวบรวมจัดทาเป็นฐานข้อมูลให้ครอบคลุม และวางแผนการ 33

ช่วยเหลือในระยะต่อไป รวมถึงการเย่ียมเยียนติดตามผลการดาเนินการช่วยเหลือ ประชาชนทไ่ี ด้ดาเนินการไปแล้ว 3. แนวทางการพัฒนากระบวนการทางานช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ จากการแพรร่ ะบาดของโรคตดิ ต่อเชอื้ ไวรสั โคโรนา 2019 (โควดิ -19) 3.1 ประชาชนอยากให้กระทรวง พม. มีนโยบายประสานกับเจ้าหน้าที่ หน่วยงานสาธารณสุข เพ่ือร่วมกันลงพื้นท่ีเข้ามาเย่ียมดูประชาชนท่ีได้รับผลกระทบ ในบ้าน เช่น ผู้พิการ หรือ ผู้สูงอายุบางรายที่ป่วยติดเตียงไม่สามารถเดินทางไป พบแพทย์ด้วยตนเองได้และมีความจาเป็นต้องใช้ยานพาหนะหรือผู้นาพาไปส่ง โรงพยาบาล 3.2 ประชาชนอยากให้เจ้าหน้าที่ พม. เข้ามาเยี่ยมเยียนประชาชนในชุมชน บ่อยข้ึน เพื่อติดตามสภาพความเป็นอยู่ว่ายังประสบปัญหาและมีความต้องการ อย่างไรบ้าง รวมท้ังให้คาแนะนาปรึกษา เพื่อเพ่ิมขวัญกาลังใจในการดารงชีพต่อไป ในปจั จบุ ันและอนาคต 3.3 ประชาชนอยากให้กระทรวง พมมนี โยบายการบรู ณาการทางานร่วมกบั . ภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวขอ้ งต่างๆ เพ่ือให้การดาเนินงานการช่วยเหลือประชาชนท่ีได้รับ ผลกระทบฯมีความสะดวกครอบคลุม และรวดเร็วยิ่งขึ้น และทาให้ผู้ประสบปัญหา ได้รับการแกไ้ ขปญั หาถูกตอ้ งและตรงกบั ความต้องการมากท่สี ุด 34

การพฒั นางานประจาสูก่ ารวิจยั (Routine to Research : R2R) การพัฒนางานประจาสู่งานวิจัย (R2R : Routine to Research) เป็น กระบวนการสาคัญในการพัฒนางานควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ภายในองค์กร เป็นเคร่ืองมือในการพัฒนางานประจาให้มีประสิทธิภาพมากข้ึน มีเป้าหมายเพ่ือนาผลการวิจัยไปใช้เพื่อการพฒั นางานประจา และนาไปใช้ประโยชน์ ได้จริงในการปฏิบัติงาน สานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 1 เห็น ความสาคัญของการพัฒนางานประจาสู่การวิจัย จึงได้ดาเนินการศึกษาแนวทาง การยกระดับการปฏิบัติงานผู้ช่วยเหลือทางสังคมของบุคลากรกระทรวงการพัฒนา สังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพ่ือพัฒนางาน พัฒนาคน พัฒนาองค์กร ให้มี ศกั ยภาพทีด่ ยี ่งิ ขึ้น โครงการ : แนวทางการยกระดับการปฏิบัติงานผู้ช่วยเหลือทางสังคมของ บคุ ลากรกระทรวงการพัฒนาสงั คมและความมนั่ คงของมนษุ ย์ วัตถุประสงค์ : เพ่ือศึกษาปัญหาและผลกระทบในการปฏิบัติงานของผู้ ช่วยเหลือสังคม เพ่ือศึกษาแนวทางการแกไ้ ขปัญหาในการปฏิบตั ิงานของผูช้ ่วยเหลือ สังคม และเพ่ือศึกษาข้อเสนอแนะในการยกระดบั การปฏบิ ัติงานของผชู้ ว่ ยเหลือสงั คม กลมุ่ เปา้ หมาย : พ้ืนทีใ่ นความรับผิดชอบของสานักงานสง่ เสรมิ และสนับสนุน วิชาการ 1 (หน่วยงาน One Home 8 จงั หวัด) ผลการศกึ ษา : สรุปแนวทางการยกระดบั การปฏิบตั ิงานผ้ชู ว่ ยเหลือสงั คม 1. ปัญหาในการปฏิบัติงานของผชู้ ว่ ยเหลือสงั คม - ปัญหาที่เกิดจากตนเอง งานมีจานวนมากเกินไปทาให้ดูแลผู้ประสบ ปัญหาทางสงั คมไดไ้ ม่ท่วั ถงึ - อทุ ศิ ให้งานมากเกินไป ทาให้สง่ ผลกระทบต่อรา่ งกาย 35

- ปัญหาที่เกิดจากองค์กร หน่วยงานไม่สนับสนุนในเรื่องอุปกรณ์ เคร่ืองมือไม่ทันสมัยที่จะรองรับการทางาน เพ่ือลดข้ันตอนการทางาน เช่น เครื่องมือส่ือสาร ยานพาหนะ ระบบออนไลน์ มีสถานรองรับ ผ้ปู ระสบปญั หาทางสังคมไม่เพยี งพอในการชว่ ยเหลอื 2. ผลกระทบ - การช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมอาจจะช่วยเหลือได้ไม่ท่ัวถึง ไม่ทันต่อสถานการณ์ เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของหน่วยงาน พม. - ปญั หาในการปฏิบัติงานในเร่ืองการประสานสง่ ต่อหน่วยงานท่ีเกยี่ วขอ้ ง ไม่เพียงพอต่อการรองรบั ผูป้ ระสบปญั หาทางสังคม เขา้ สูร่ ะบบบรกิ าร - ผปู้ ระสบปญั หาทางสังคมอยูใ่ นภาวะยากลาบาก เดอื ดรอ้ นในระยะยาว - ปัญหาในการปฏิบัติงานขาดแคลนทรัพยากรในการทางาน เช่น ยานพาหนะ ลงพื้นท่ีไม่เพียงพอ อาจจะทาให้พลาดโอกาสท่ีจะ ชว่ ยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมในรายวกิ ฤต เช่น ฆา่ ตัวตาย ฯลฯ 3. แนวทางการแก้ไขปญั หาในการปฏิบัติงานของผ้ชู ว่ ยเหลอื ทางสังคม - ควรเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร ด้านองค์ความรู้ ตลอดเวลาใน การปฏิบัติงาน - มองมมุ บวก เพอื่ ท่จี ะสามารถแก้ไขสถานการณ์ไดท้ กุ กรณหี ากเกดิ เหตุ สุดวสิ ยั และสามารถขอความช่วยเหลือจากหนว่ ยงาน องคก์ ร อ่ืนๆ - องคก์ รควรสนับสนุนและเห็นความสาคัญของบคุ ลากรผู้ปฏิบตั งิ าน เช่น การจัดสวัสดิการ ประกันชีวิต ประกัน COVID-19 มีการให้ กาลังใจแกผ่ ู้ปฏิบัติงาน การสื่อสาร เครื่องส่ือสาร ให้เพียงพอต่อการ ทางาน 36

4. ข้อเสนอแนะ - ควรมีบุคลากรมืออาชีพในการทางาน และบคุ ลากรได้พัฒนาศกั ยภาพ ทุกๆ 6 เดอื น - ควรมีชื่อผู้ประสาน (ตัวแทนหน่วยงาน) เพ่ือติดต่อประสานงานใน การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคม หรือผู้ประสบปัญหา ระหวา่ งองคก์ ร/ หน่วยงาน - ควรจัดกิจกรรมสัมพันธ์เพื่อเกดิ เครือข่ายการทางานท่ีเหนียวแน่น ให้ เกิดความเชอ่ื ใจกนั - เสริมพลังบวกทางการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันของประชาชน มากกว่าการให้ประชาชนมารอรับการช่วยเหลือจากภาครัฐเพียง อย่างเดียว 37

การขับเคลอ่ื นงานพฒั นาสงั คมในพืน้ ที่ (Social Lab) การขบั เคล่ือนงานพฒั นาสังคมในพืน้ ท่ี (Social Lab) มีวัตถุประสงค์ : เพ่ือศึกษาหารูปแบบการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพและการช่วยเหลือนั้นๆ สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนให้อยู่ในสังคมอย่างมีศักด์ิศรีแห่งความเป็น มนุษย์อยา่ งเท่าเทยี มกัน กลุ่มเป้าหมาย : พื้นที่ปฏิบัติการทางสังคมตาบลต้นแบบ 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดปทุมธานี จังหวัดนครนายก จังหวัดนนทบุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จงั หวัดอ่างทอง จังหวัดสระบุรี และจงั หวดั สมทุ รปราการ ขนั้ ตอนการดาเนนิ งาน : 38

สรปุ ผลการดาเนนิ งาน : สานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 1 ขบั เคล่ือนพ้ืนที่ตาบลต้นแบบ ด้านการพัฒนาสังคมและจดั สวสั ดกิ ารสังคม (Social Lab) ดังน.้ี - 1. วันท่ี 13 กุมภาพันธ์ 2563 ประชุมการขับเคลื่อนโครงการตาบล ต้นแบบด้านการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคม ณ ห้องประชุมองค์การบริหาร ส่วนตาบลคลองสาม อาเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือบุคลากรจากหน่วยงาน พม.จังหวัด (One Home) องค์การบริหารส่วนตาบล คลองสาม และภาคีเครือข่ายที่เก่ียวขอ้ ง สรุปผลการประชุมฯ พบว่าองค์การบริหาร ส่วนตาบลคลองสาม มีข้อมูลของผู้ประสบปัญหาทางสังคมในการช่วยเหลือ แต่ใน พนื้ ท่ีน้ันมีหน่วยงานเขา้ มามีส่วนร่วมแต่ไมต่ ่อเนื่อง เน่ืองจากประสบปัญหาด้านการ ใช้งบประมาณ ซ่ึงขัดกับระเบียบกฎหมายที่เก่ียวข้อง ทั้งของกระทรวงการพัฒนา สังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินเอง ทาให้ไม่ สามารถนางบประมาณออกมาใช้ได้ หรือกระทรวง พม. ให้งบประมาณช่วยเหลือ ประชาชนส่วนหนึ่ง แต่ระบุรายละเอียดการช่วยเหลือจากัด ก่อให้เกิดความไม่ ยืดหยุ่นในการดาเนินงาน ทาให้การช่วยเหลือไม่ครบถ้วน ทาง อบต.ยังต้องมา ดาเนินการต่อให้จบส้ินกระบวนการ หากดาเนินการช่วยเหลือประชาชน กลุ่มเป้าหมายในพ้ืนท่ี นอกจากงบประมาณของหน่วยงานราชการ แล้ว จึงจาเป็นต้องอาศัยแหล่งงบประมาณ/ทรัพยากรภาคส่วนต่างๆ เข้ามาบูรณาการ ส่งเสริมและสนับสนุนช่วยเหลือประชาชนดังกล่าว โดยขอให้การช่วยเหลือทาง หน่วยงานราชการเสนอรูปแบบหรือวิธีการที่ชัดเจน เพื่อเป็นการ (นาร่อง) ไม่จาเป็นต้องมาก ซึ่งดาเนินงานช่วยเหลือก่อนเบ้ืองต้น หลังจากนั้นค่อยๆ ดาเนินการช่วยเหลอื ในระยะต่อไป 39

2. วันท่ี 23 มิถุนายน 2563 ได้ดาเนินการประชุมชี้แจงขับเคล่ือนพ้ืนที่ ตาบลต้นแบบด้านการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคม ณ ห้องประชุมองค์การ บริหารส่วนตาบลคลองสาม อาเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ปทุมธานี โดยมี กลุ่มเปา้ หมายคือบคุ ลากรจาก หนว่ ยงาน One Home องคก์ ารบริหารส่วนตาบล คลองสาม และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง สรุปผลการประชุมฯ มติท่ีประชุมร่วม วางแผนเพ่ือกาหนดกรอบการดาเนินงานพื้นท่ีตาบลต้นแบบฯ จานวน 3 ประเด็น คอื ประเด็นที่ 1) การสังเคราะห์ข้อมูลผ้ปู ระสบปัญหาทางสังคม จานวน 175 ราย เพื่อคัดกรองขอ้ มูลของผู้ประสบปญั หาความเดือดร้อน จานวน 10 ราย ในปี 2563 ตามหลักการหลกั การกระบวนการสังคมสงเคราะห์ ประเด็นที่ 2) การลงพ้ืนที่เย่ียม บ้านสอบข้อเท็จจริงของผู้ประสบปัญหาทางสังคม โดย สสว.1 จัดเตรียมเจ้าหน้าท่ีลง เย่ียมบ้านรายบุคคล เพื่อสอบถามสภาพปัญหาและการช่วยเหลือได้อย่างตรงจุด ประเด็นท่ี 3) การนาเสนอผลการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมและการจัด แผนเฉพาะราย (Case Management) ทั้งน้ี สสว.1 จะเป็นผู้จัดทาข้อมูลผล การนาเสนอการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมให้กับทางองค์การบริหารส่วน ตาบลคลองสาม และเครอื ขา่ ยทเ่ี กยี่ วข้อง 3. วันที่ 26 มิถุนายน 2563 การประชุมสังเคราะห์ข้อมูลพ้ืนที่ตาบล ต้นแบบฯ ณ ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนตาบลคลองสาม อาเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ปทุมธานี สรุปผลการประชุมฯ มติที่ประชุมได้แนวทางการ ดาเนินงานร่วมกันและทาง อบต.คลองสาม พจิ ารณาคดั เลือกผู้ประสบปัญหาสังคมที่ มีความเดือดร้อนและมีความจาเป็นในการช่วยเหลือ จานวน 10 ราย โดย สสว.1 จัดเจ้าหน้าท่ีลงเย่ียมบ้านรายบุคคล เพ่ือการบูรณาการความช่วยเหลือร่วมกับทีม One Home จังหวดั ปทุมธานี และเครอื ข่าย 40

4. วันท่ี 1 กรกฎาคม 2563 ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน สอบข้อเท็จจริงของผู้ ประสบปัญหาทางสังคมพื้นที่ตาบลต้นแบบฯ ตาบลคลองสาม อาเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี จานวน 10 ราย ตามมติรายช่ือขอ้ 2.1.3 5. วันท่ี 24 กรกฎาคม 2563 การประชุมเชิงปฏิบัติการบูรณาการเพ่ือ ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ประสบปัญหาทางสังคมพ้ืนที่ตาบลต้นแบบ โดยมติที่ ประชุมระดมข้อคิดเห็นจากสภาพปัญหา ท่ีอยู่อาศัย/ สุขภาพ/ รายได้/ อ่ืนๆ การจัดทาแผนการแก้ไขปัญหาของผู้ประสบปัญหาทางท้ังในด้านสิทธิประโยชน์ที่ ได้รับ การวางแผนช่วยเหลือในระยะเร่งด่วนและระยะยาว เป็นโจทย์สาคัญที่จะ พัฒนาคนให้เกิดรูปแบบการจัดการปัญหาและการตระหนักรู้สู่การปรับวิถีชีวิตให้ เหมาะสมตามแตล่ ะบรบิ ทพื้นที่นน้ั ๆ ส่ิงดีดีที่เกดิ ขึ้น : ผู้ประสบปญั หาทางสังคมรู้ปัญหาสู่การแก้ไขเฉพาะราย หรือในบางกรณี ญาติ (หลาน) ได้รับผู้ประสบปญั หาทางสังคม (case) ไปอยูท่ ี่ ต่างจังหวัดด้วย หรือการมีที่อยู่อาศัยให้เหมาะสม การซ่อมแซมท่ีอยู่อาศัย ให้แข็งแรง รพสต. เข้าไปรักษาและ อพม. ช่วยทาความสะอาด case เพ่ือ สภาพแวดล้อมถูกสุขลักษณะหรือการส่งเสริมอาชีพเพื่อให้เกิดรายได้ในครอบครัว ด้วยการบรู ณาการหนว่ ยงานในพืน้ ทีเ่ ข้าช่วยเหลอื ผู้ประสบปญั หาทางสงั คมที่เกิดข้ึน 6. ดาเนินการประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคล่ือนพื้นท่ีตาบลต้นแบบด้านการ พัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคม (Social Lab) เพื่อเป็นเวทีการสร้างกรอบ แนวคิดและแนวทางการพัฒนาสังคมในการช่วยเหลือและวางแผนร่วมกันในการ กาหนดกรอบการดาเนินงานพ้ืนที่ตาบลต้นแบบฯ โดยได้ดาเนินการ 6 ตาบล 6 จงั หวดั ดังน้ี - พ้ืนที่ตาบลบางกระเจ้า อาเภอพระประแดง จงั หวัดสมุทรปราการ - พื้นทีต่ าบลคลองววั อาเภอเมือง จังหวดั อา่ งทอง 41

- พน้ื ทีต่ าบลชุมพล อาเภอองคร์ กั ษ์ จังหวดั นครนายก - พนื้ ทต่ี าบลลาไทร อาเภอวงั นอ้ ย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา - พื้นที่ตาบลพกุ ร่าง อาเภอพระพทุ ธบาท จงั หวัดสระบรุ ี - พื้นที่ตาบลบางตะไนย์ อาเภอปากเกร็ด จังหวดั นนทบรุ ี 42

การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development) มี หลากหลายวธิ ีการ เช่น การฝกึ อบรม การมอบหมายงาน การหมุนเวียนงาน การ สมั มนา การดูงาน การเรยี นรูด้ ้วยตนเอง หรือการศกึ ษาต่อ เปน็ ตน้ การฝึกอบรม ภายในองค์กร (in-House Training) เป็นหนึ่งในวิธีการพัฒนาบุคลากรที่ องค์กรต่างๆ นิยมใช้การฝึกอบรมบุคลากรเป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ (Learning) อย่างเป็นระบบเพ่ือสร้างให้บุคลากรเกิดความรู้ (Knowledge) ทักษะ (Skil) ความสามารถ (Ability) และทัศนคติ (Attitude) ที่จาเป็นต่อ การปฏิบตั ิงานใหบ้ รรลุเป้าหมายใช้วิธฝี ึกอบรมเพอื่ ปรับปรุงผลการปฏิบัติงานให้ดีข้ึน ดังน้ันการฝึกอบรมจึงเป็นการเติมเต็มช่องว่างระหว่างสมรรถนะที่องค์กรต้องการกับ สมรรถนะที่บุคลากรท่ีมีอยู่ (Fulfil Competency Gap) เพื่อส่งเสริมให้เกิด ประสทิ ธภิ าพในการปฏบิ ัตงิ านและผลผลิตเพ่ิมขึน้ สานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 1 ได้จัดกิจกรรมเพิ่มความรู้และ ทักษะด้านการจัดบริการ เพื่อพัฒนาบุคลากรในหน่วยงานทีม พม.จังหวัด (One Home) ในพ้ืนท่ี 8 จังหวัด จานวน 2 หลักสูตร คือ หลักสูตรการเสริมสร้าง ศักยภาพผู้ปฏิบัติงานด้านสวัสดิการสังคมและสังคมสงเคราะห์ และหลักสูตร ยกระดับการปฏบิ ัติงานเพอ่ื ช่วยเหลอื ผ้ปู ระสบปัญหาทางสังคม 43

หลกั สตู ร การเสรมิ สรา้ งศกั ยภาพผปู้ ฏบิ ัตงิ านด้านสวสั ดกิ ารสงั คมและสงั คมสงเคราะห์ สานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 1 จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ หลักสูตร “การเสริมสร้างศักยภาพผู้ปฏิบัติงานด้านสวัสดิการสังคมและสังคม สงเคราะห์” ในระหว่างวันท่ี ๑ – ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ณ โรงแรมภูเขางาม รีสอร์ท จังหวัดนครนายก ให้แก่บุคลากรผู้ปฏิบัติงานด้านสวัสดิการสังคมและสังคม สงเคราะห์ ผู้ที่เกี่ยวข้อง วิทยากร และผู้สังเกตการณ์ ในพื้นท่ีรับผิดชอบ 8 จังหวัด เพื่อพัฒนาเพิ่มพูนสมรรถนะทักษะ รูปแบบการทางาน และ ความสามารถในกาปฏิบัติงานของสวัสดิการสังคม และสังคมสงเคราะห์ สามารถนา องค์ความรู้และประสบการณไ์ ปประยุกตใ์ ช้ในการกาหนดกลยุทธ์ และบรหิ ารจดั การ การทางาน ปรับ Mindset ของผู้ปฏิบัติงานสวัสดิการสังคม และสงเคราะห์ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรน่า 2019 covid-19 เพ่ือสร้างความมั่นใจในการปฏิบัติงาน และเพ่ือให้ผู้เข้าร่วมแลกเปลี่ยน เรียนรู้ความคดิ เห็นจากการปฏิบตั งิ าน โดยมผี ูเ้ ขา้ รบั การอบรม จานวน 83 คน จากการอบรมพบว่า ปัจจัยที่ทาให้การทางานพม.จังหวัด (One Home) ประสบผลสาเร็จไดต้ อ้ งมีการปรบั ปรงุ การปฏิบัติงานในการใหบ้ ริการ 5 กลุ่มเป้าหมาย คือ คนพิการ เด็กและเยาวชน ผู้สูงอายุ คนไร้ที่พึ่ง และ ผู้ประสบปัญหาทางสังคม ทั้งนี้ได้แนวทางในการปฏิบัติงานทีม พม.จังหวัด (One Home) ในยุค New Normal ท่ีจะต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของ การให้บริการแก่กลุ่มเป้าหมาย 3 ด้านประกอบดว้ ย ดา้ นของการปอ้ งกัน ดา้ นการ เว้นระยะห่างของผู้รับบริการเองและจากบุคคลภายนอก และด้านการปฏิบัติงานของ เจ้าหน้าท่ี เช่น การพัฒนารูปแบบการให้บริการ โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยโดย การส่งต่อข้อมูลผา่ นระบบ Application ทเ่ี อื้อตอ่ การดาเนินงานใช้การทางานเชงิ รุก เรียนรู้ร่วมกันกับวิชาชีพอื่น เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายท่ีมีความซ้าซ้อน 44

รวมทั้งการพัฒนาศักยภาพผู้ปฏิบัติงานด้วยวิธีการใหม่ๆรวมท้ังการจัดอบรมด้าน จิตวิทยาและทกั ษะการใหค้ าปรกึ ษาให้กบั เจา้ หน้าที่ 45

หลกั สตู ร ยกระดบั การปฏบิ ตั งิ านเพอ่ื ชว่ ยเหลอื ผปู้ ระสบปญั หาทางสงั คม สานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 1 จัดอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตร “ยกระดับการปฏิบัติงานเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคม ” ในวันท่ี 9 กันยายน 2563 ณ ห้องประชุมสานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 1 เพื่อพัฒนา เพ่ิมพูน สมรรถนะทักษะการปฏิบัติงาน และการนาองค์ความรู้และ ประสบการณ์ไปประยุกต์ใช้ในการกาหนดกลยุทธ์ และบริหารจัดการการทางาน เพ่ือสรา้ งความมน่ั ใจในการปฏบิ ตั ิงาน และเพอื่ ใหผ้ ูเ้ ข้ารว่ ม แลกเปลีย่ นเรยี นรูค้ วาม คิดเห็นจากการปฏิบัติงาน ให้แก่บุคลากรบุคลากรของสสว.๑ และหน่วยงานทีม พม.จังหวัด (One Home) จังหวัดปทุมธานี ผู้ปฏบิ ัติงานด้านสวัสดิการสังคมและ สังคมสงเคราะห์ ผู้ที่เก่ียวข้อง วิทยากร และผู้สังเกตการณ์ เพ่ือให้ผู้เข้ารับการ อบรมได้รับความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงาน การแลกเปล่ียนเรียนรู้ความคิดเห็นจากการประสบการณ์ปฏิบัติงาน และสามารถ นาความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ที่ได้รับมาปรับใช้ในการปฏิบัติงาน ได้อย่างเหมาะสมบนพนื้ ฐานความเข้าใจในสถานการณข์ อง ทางสังคม โดยมีผู้เข้ารับ การอบรม จานวน 47 คน จากการอบรมพบว่า การสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมเพื่อ ช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมาย ตามระเบียบปฏิบัติซึ่งมีขั้นตอนและวิธีการสงเคราะห์ ช่วยเหลือ พร้อมส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมให้เหมาะสมในแต่ละพื้นท่ี โดยมี ข้ันตอนการช่วยเหลือผ้ปู ระสบปัญหาทางสังคม ดังน.ี้ - 46