เปลี่ยนห้องเรยี นวิทยใ์ หเ้ ป็นยุทธภพทีเ่ ป็นมติ รต่อการเรยี นรู้ เปลยี่ นห้องเรยี นวทิ ยใ์ ห้เปน็ ยุทธภพทีเ่ ป็นมติ รต่อการเรยี นรู้
379.52 รวมไอเดยี การออกแบบการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ Physics ส 691 ร วิทย์ยายุทธเปล่ยี นห้องเรียนวิทย์ให้เปน็ ยทุ ธภพท่ีเปน็ มติ รตอ่ การเรยี นรู้ กรงุ เทพฯ: 2565 76 หนา้ ISBN: 978-616-270-355-3 1. การเรียนรู้ 2. วทิ ยาศาสตร์ 3. Physics 4. ฟิสิกส์ 5. ช่ือเร่อื ง รวมไอเดยี การออกแบบการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ Physics วทิ ย์ยายุทธเปล่ยี นหอ้ งเรียนวิทยใ์ ห้เป็นยทุ ธภพท่ีเป็นมิตรต่อการเรยี นรู้ ส่ิงพิมพ์ สกศ. ล�ำดบั ท่ี 8/2565 ISBN 978-616-270-355-3 พิมพ์ครัง้ ที่ 1 กมุ ภาพันธ์ 2565 จ�ำนวนพิมพ์ 1,000 เล่ม จดั ท�ำ เรยี บเรยี ง และเผยแพร่ ส�ำนักมาตรฐานการศึกษาและพัฒนาการเรียนรู้ ส�ำนักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ 99/20 ถนนสุโขทัย เขตดสุ ิต กรุงเทพฯ 10300 โทรศัพท์ 0 2668 7123 ต่อ 2542 โทรสาร 0 2243 1128 เว็บไซต์ http://www.onec.go.th พิมพ์ท่ี บรษิ ัท เอส.บ.ี เค. การพิมพ์ จ�ำกดั 92/6 หมู่ที่ 3 ต�ำบลบางพลีใหญ่ อำ� เภอบางพลี จงั หวดั สมทุ รปราการ 10540 โทรศัพท์ 0 2178 8794-5 โทรสาร 0 2178 8796
ค�ำนำ� ในปัจจบุ ัน เดก็ ไทยจ�ำนวนมากมองว่า “การเรียนวิทยาศาสตรเ์ ปน็ เร่ืองที่ยาก” และเม่อื เราเข้าไปหาสาเหตจุ ะพบวา่ เน้อื หาวิทยาศาสตรโ์ ดยธรรมชาตไิ มใ่ ช่ปัญหาหลัก แต่มักเปน็ เพราะวิธกี ารเรียนรูใ้ นห้องเรยี นที่ไม่สนบั สนนุ การเรยี นรขู้ องผ้เู รียน และไม่มคี วามหลากหลายมากพอ โครงการ “วิทย์ยายทุ ธ” จึงถอื กำ� เนดิ ข้นึ ด้วยความรว่ มมือระหวา่ งส�ำนกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา และ insKru เพ่ือค้นหาไอเดยี การสอนทีจ่ ะพลกิ โฉมการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ และแสดงใหเ้ ห็นวา่ วทิ ยาศาสตร์สามารถเกิดข้นึ ได้ทุกทที่ วั่ ประเทศไทย หนงั สือเลม่ น้ี เปน็ การรวบรวมไอเดียของผทู้ ี่ผา่ นการคัดเลอื กจากโครงการ ประกอบด้วย 22 ไอเดยี การออกแบบการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ และ 6 คลิปสอนวทิ ยาศาสตร์ทเี่ ล่าเร่อื งยากให้เขา้ ใจงา่ ย ทุกไอเดยี ลว้ นมีจุดเดน่ มกี ระบวนการ และวิธคี ดิ ท่ีน่าสนใจแตกต่างกันไป ไม่วา่ จะเปน็ ไอเดียที่เปลี่ยนเร่อื งยากใหก้ ลายเปน็ เร่อื งงา่ ย เปน็ เร่อื งใกลต้ วั ไอเดยี ทีใ่ หน้ กั เรียนฝกึ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรอ์ ย่างเหมาะสม รวมไปถึงกิจกรรมและการทดลองทีน่ ่าสนใจโดยไม่ตอ้ งใช้เคร่อื งมอื แพง ๆ นำ� ไปสู่การเรียนรแู้ ละความเข้าใจคอนเซป็ ต์วทิ ยาศาสตร์เร่อื งต่าง ๆ ส�ำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาหวงั ว่าหนังสือเลม่ น้ี จะช่วยสร้างแรงบนั ดาลใจใหก้ ับใครหลาย ๆ คน เพ่ือน�ำไปสรา้ งสรรคห์ ้องเรียนของตนเอง และรว่ มกันปลกุ ไฟแห่งการเรยี นรใู้ นหอ้ งเรียนวิทยาศาสตรข์ ้นึ ใหม่อีกครั้ง วทิ ยาศาสตร์เปน็ เร่อื งทท่ี กุ คนสามารถเข้าถงึ และตกหลมุ รักมันได้ไมต่ ่างกนั นายอรรถพล สังขวาสี เลขาธิการสภาการศึกษา ก
สารบญั ก ข ค�ำน�ำ 1 สารบัญ 2 ไอเดยี ระดบั เหรยี ญทอง - Science Learning Designer 4 เรยี นเปน็ (ของ) เล่น 6 กฎของพาสคลั สู่แขนกลไฮดรอลิกกภู้ ัยพิบัติ 8 Travel ทิพย ์ 10 สอนความร้อน ด้วยชอ้ นกนิ ข้าวและถงั น้ำ� แขง็ 12 เรยี นไฟฟ้าด้วย AR ตอน 2 14 Q=mc∆t “เรียนรูพ้ ลังงานความรอ้ นจากสิ่งใกล้ตัว” 16 How to survive in a disaster? 18 รถแขง่ หลอดดา้ ย บรู ณาการสะเตม็ ศึกษา (STEM) 20 แก้วลักน้�ำ 22 สุรยิ ปุ ราคากับการมองเห็น 24 สอนวิทย์กบั สะเตม็ 26 Pee Pee Boy เดก็ เรียนรไู้ ด้ ผใู้ หญ่เรียนรู้ด ี 29 จันทร์เอย๋ จันทรเ์ จ้า ฉบับ โค๊ดดง้ิ 30 ไอเดยี ระดับเหรยี ญเงนิ - Science Inspirator 32 เรยี นวิทย์สนุก เรียนเชงิ รกุ ออนไลน์ บรู ณาการ STEM 34 ละครแสงเงา 36 นกั สืบใบไม.้ ..ให้ค�ำถามน�ำทางเราไปสู่วถิ ขี องนักวทิ ย์ 38 Light up monster: ปลกุ ไฟ Monster ทด่ี ีในตัวคณุ 40 ไล่จบั “คล่ืน” 41 ไอเดยี ระดบั เหรยี ญทองแดง - Science Inspirator 43 การสอนโลก-ดาราศาสตร์ โดยใชแ้ บบจ�ำลองเปน็ ฐาน 45 Electric circuit crosssign game 47 ปลกู ต้นมะพร้าวแนวนอนจะเกิดอะไรข้นึ ไปดูกนั ! ชวนมดตามหา...วีเท่ากับเอสส่วนที ข
รางวลั ชนะเลศิ คลปิ สอนวิทยาศาสตร์ - Science Media Designer 49 ประวตั ิย่อ “อะตอม” 50 กิจกรรมความลับของแม่เหลก็ 51 “ความรอ้ น” กบั การแปรรูปผลไม ้ 52 ธรรมชาตขิ องแมเ่ หลก็ และไฟฟ้า 53 รางวัลชมเชยคลิปสอนวิทยาศาสตร์ - Science Media Designer 54 การเขียนเส้นแรงไฟฟ้าโดยใช้แอพพลเิ คชนั Physics Lab 55 อา่ นคา่ ตวั ตา้ นทานอยา่ งไร ใหไ้ วที่สุด! 56 รวมรนุ่ Science Learning Designer 57 รวมรุ่น Science Inspirator 61 รวมรุ่น Science Media Designer 64 คณะผู้จัดทำ� 67 ค
ไอเดียระดับเหรียญทอง Science Learning Designer 1
โดย วีรแมน บรุ าโส โรงเรียนรงุ่ อรณุ สาระส�ำคญั ศึกษากลไกฟิสิกส์ทีซ่ ่อนอยใู่ นชีวติ ประจ�ำวัน หลกั การของเคร่อื งทุน่ แรง คาน รอก และพ้ืนเอยี ง ยุทธศาสตรแ์ ละวิธกี ารออกแบบการจัดการเรียนรู้ 1. ส�ำรวจตรวจสอบ นกั เรียนแบง่ กลมุ่ ส�ำรวจ สังเกต และระบกุ ลไกของเคร่อื งคัดแยกเหรยี ญ (พ้ืนเอียง), หุ่นยนต์เดิน 2 ขา (รอก), หนุ่ กายกรรม (คานและพ้ืนเอยี ง) ระบรุ ายละเอยี ดลกั ษณะรปู รา่ ง หนา้ ทหี่ รอื การทำ� งาน ต้ังขอ้ สงสัยหรือคำ� ถามจากการสังเกตสู่การคาดการณ์ 2. ศึกษากลไก ศึกษาหลกั การทำ� งานของ พ้ืนเอียง รอก คาน และเฟือง ผ่านการทดลอง เพ่ือศึกษาปัจจยั ท่สี ่งผล ต่อกลไก 3. วางแผน นักเรียนแบ่งกลุ่มคิดส่ิ งประดิษฐ์ โดยใช้ความรู้เร่ืองกลไกเคร่ืองทุ่นแรงอย่างง่ายภายใต้หัวข้อ “ของเล่นเพ่ือน้องอนุบาล” สืบค้นขอ้ มูลและออกแบบชน้ิ งาน นำ� เสนอการออกแบบ และตรวจสอบ ความรจู้ ากแบบงานของนกั เรยี น 4. ประดิษฐ์ ลงมอื สรา้ งชนิ้ งาน บนั ทกึ ความคบื หนา้ ของการทำ� งาน ปัญหาขอ้ ตดิ ขดั และรว่ มสะทอ้ นแนวทางแกไ้ ข 2
5. ทดสอบและปรบั ปรุง ทดสอบการท�ำงานของกลไกสิ่งประดิษฐ์ พัฒนาปรับปรุงชน้ิ งานให้ดีข้ึน 6. น�ำไปใช้และสรุป นำ� ของเลน่ ไปใหน้ ้องอนบุ าลเล่น เก็บขอ้ มูลบันทกึ ผลตามแบบสอบถามและรวบรวมผลการส�ำรวจ 7. สะท้อนเพ่ือเรยี นรู้ สะท้อนการเรยี นรู้ร่วมกนั และเขยี นสรุปการเรียนรู้ของตนเอง ผลลพั ธ์และปั จจยั ความส�ำเร็จ นักเรียนสามารถถอดปรากฏการณ์ธรรมชาติ มาเป็นกฎความรู้และเช่ือมโยงหลักการของเคร่ือง ทุ่นแรงกับชีวิตประจ�ำวัน คาน รอก พ้ืนเอียง คิดเช่ือมโยงความรู้และหลักการท�ำงานมาสร้างเปน็ ของเลน่ ได้ มองเหน็ คณุ คา่ ของสิ่งตา่ ง ๆ เลอื กใชว้ สั ดอุ ยา่ งเหมาะสมกบั การทำ� งานของกลไก และนำ� มา ใช้สร้างชนิ้ งานใหเ้ กดิ ประโยชน์สูงสุดทัง้ ตอ่ ตนเองและผู้อ่นื สแกนเพ่ืออา่ นขอ้ มลู เพ่ิมเติม 3
โดย คมสัณห์ จนั สอน โรงเรียนเตรียมอดุ มศึกษาพัฒนาการ รัชดา สาระส�ำคัญ เรียนรู้การประยุกต์ใช้ กฎของพาสคัลและไฮดรอลิก (Pascal’ law and Hydraulic) โดยระบบ ไฮดรอลกิ เปน็ ระบบการถ่ายทอดกำ� ลงั งานของการไหลให้เปน็ พลงั งานกล หน่งึ ในส่ิงประดษิ ฐ์ท่นี ิยม พูดถึงเกี่ยวกับกฎของพาสคัล คือ เคร่ืองอัดไฮดรอลิก (Hydraulic Press Machine) โดยเป็น เคร่ืองมือถ่ายทอดแรงดันผ่านของเหลวท่ีบีบอัดได้ยาก หรือไม่ได้เลย ท�ำให้เกิดแรงดันท่ีปลาย อีกด้านหน่ึง ใชป้ ระโยชนใ์ นการยกสิ่งของทม่ี ีขนาดใหญ่ เชน่ รถยนต์ รถบรรทกุ เปน็ ต้น ยทุ ธศาสตรแ์ ละวิธีการออกแบบการจดั การเรยี นรู้ 1. สรา้ งองคค์ วามรู้ นกั เรียนศึกษาและเรยี นร้เู กยี่ วกับเร่อื ง กฎของพาสคัลและไฮดรอลกิ 2. ระบปุ ั ญหาและสร้างความเข้าใจ ศึกษาปัญหาจากสถานการณจ์ ำ� ลองท่ีได้รบั เพ่ือให้เกดิ ความเข้าใจถึงปัญหาของกลุ่มเป้าหมาย หรอื สถานการณ์ทเี่ กดิ ข้นึ และวิเคราะหเ์ ง่อื นไขขดี จำ� กดั ของสถานการณ์จ�ำลอง 3. จินตนาการและระดมความคิด นกั เรยี นรว่ มกนั รวบรวมขอ้ มลู และแนวคดิ ทางวทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และเทคโนโลยที เี่ กยี่ วขอ้ ง กบั แนวทางการแก้ปัญหา และประเมินความเปน็ ไปได้ ข้อดีและขอ้ จำ� กดั จากภารกิจทีไ่ ดร้ ับ โดยน�ำ ความรเู้ รอ่ื งกฎของพาสคลั และไฮดรอลกิ มาใชใ้ นการออกแบบแขนกลไฮดรอลกิ เพ่ือกภู้ ยั พิบตั ติ าม โจทย์ภารกิจ 4
4. วางแผน นักเรียนร่วมกันออกแบบช้ินงานหรือวิธีการในการแก้ปั ญหา โดยค�ำนึงถึงทรัพยากร ข้อจ�ำกัด และเง่อื นไขตามสถานการณ์ทก่ี ำ� หนด 5. สรา้ งส่ิงประดิษฐ์ นกั เรยี นวางแผนและกำ� หนดลำ� ดบั ขนั้ ตอนของการสรา้ งชนิ้ งาน สรา้ ง Prototype หรอื ชนิ้ งานตน้ แบบ เพ่ือนำ� ไปทดสอบในการทำ� ภารกจิ ตามสถานการณท์ ี่ไดร้ ับมอบหมาย 6. ทดสอบและพัฒนา นักเรียนนำ� Prototype หรือแขนกลไฮดรอลิกต้นแบบ ทดสอบการใช้งาน และทดสอบประสิทธภิ าพ ในการท�ำภารกิจกูภ้ ัยพิบตั ิ ตามทก่ี ตกิ ากำ� หนด และปรบั ปรงุ พัฒนาชิ้นงาน 7. แบ่งปั นและประเมนิ การเรยี นรู้ เขา้ สู่การแข่งขนั แขนกลไฮดรอลิก ในภารกิจ “แขนกลไฮดรอลกิ กูภ้ ยั พิบัต”ิ เพ่ือประเมนิ ผลความรู้ ความเข้าใจในการออกแบบและการท�ำงานของแขนกลไฮดรอลิก โดยมีเกณฑ์การเเข่งขันเข้ามา เพ่ือเปน็ เกณฑ์ทีใ่ ช้ในการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้การออกแบบเชิงวศิ วกรรม ผลลพั ธแ์ ละปั จจยั ความส�ำเรจ็ นกั เรยี นทกุ ทมี เขา้ ใจในหลกั การและการทำ� งานของระบบไฮดรอลกิ โดยแขนกลไฮดรอลกิ ของทกุ ทมี สามารถเคล่ือนไหว หรือขยับส่วนของแขนกลที่บังคับการท�ำงานด้วยระบบไฮดรอลิกได้ นักเรียน เกิดความสนุกและท้าทายในการท�ำภารกิจ ซ่ึงนักเรียนทุกทีมผ่านการวัดและประเมินผลในด้าน การออกแบบเชิงวิศวกรรมจากการประดิษฐ์แขนกลไฮดรอลิกอย่างเปน็ ขั้นตอน ซ่ึงสุดท้ายแขนกล ไฮดรอลกิ สามารถทำ� งานได้จริง ตามท่ีไดอ้ อกแบบ ปรับปรุง พัฒนา จนมีประสิทธิภาพ สแกนเพ่ืออา่ นข้อมูลเพ่ิมเติม 5
โดย กิตติพงศ์ คุณกัณหา และ นฐั วุฒิ สลางสิงห์ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทมุ ธานี สาระส�ำคัญ คำ� นวณหาเวลาจากสูตร v=s/t เรยี นรเู้ ร่อื งการหาระยะทาง การกระจัด ความเรว็ และอตั ราเรว็ ยุทธศาสตรแ์ ละวิธกี ารออกแบบการจัดการเรยี นรู้ 1. ทำ� งานรว่ มกันเป็นคู่ นกั เรยี นจบั คูก่ ับเพ่ือน อีกหน่ึงคน โดยกำ� หนดให้คลู่ ะสองคน 2. ส�ำรวจและคน้ หา ศึกษาข้อมูลเส้นทางการเดนิ ทางทอ่ งเทย่ี ว ซ่ึงจะมอี ย่สู ามเส้นทางตามทีก่ �ำหนด 3. วิเคราะหแ์ ละออกแบบ ออกแบบแผนการเดินทาง ท�ำการค�ำนวณระยะเวลา รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทาง จากข้อมูล ของความยาวระยะห่างในหน่วยกิโลเมตรของแต่ละเส้นทาง และข้อมูลอัตราเร็วในการเดินทาง แต่ละเส้นทาง 4. นำ� เสนอและอภิปราย น�ำแผนการเดินทางของแต่ละคู่ มาร่วมกับคู่อ่ืนจ�ำนวนห้าคู่ แล้วท�ำการน�ำเสนอและโต้แย้ง เปรียบเทียบกนั จากน้นั ทำ� การเลือกแผนการเดนิ ทางท่ีดีทส่ี ุดของกลุม่ 5. สรุปการเรยี นรู้ สรปุ กจิ กรรมและอภปิ รายเพิ่มเตมิ ระหวา่ งนกั เรยี นและครผู สู้ อน รวมถงึ ตอบคำ� ถามในทา้ ยกจิ กรรม 6
ผลลพั ธ์และปั จจัยความส�ำเรจ็ ได้สร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนในการเรียนรู้ร่วมกัน ได้ค�ำนวณหาเวลาจากสูตร v=s/t โดยนกั เรยี นไมร่ ตู้ วั ใชเ้ ปน็ โดยไมต่ อ้ งจำ� มที กั ษะการวางแผนภายใตเ้ งอ่ื นไขทบี่ อกวา่ เวลาเพียงเส้ียว เทย่ี วครบ งบน้อย สุดท้ายคือเดก็ ชอบท�ำกจิ กรรม และชอบวิชาฟิสิกส์มากข้ึน สแกนเพ่ืออา่ นขอ้ มลู เพ่ิมเติม 7
โดย จารภุ ทั ร อยสู่ ุข สาระส�ำคญั หากเราวัดอุณหภูมิของส่ิงของที่เปน็ โลหะและพลาสติกในสภาพแวดล้อมท่วั ไปท่ีมีอุณหภูมิเดียวกัน จะพบว่าสองสิ่งน้ันมีอุณหภูมิเท่ากัน แต่เราจับแล้วรู้สึกว่าโลหะมันเย็นกว่า เพราะของสองสิ่งน้ัน มีค่าการน�ำความรอ้ น หรอื Thermal Conductivity ไมเ่ ทา่ กนั โดยพลาสตกิ นั้นนำ� ความร้อนได้แย่ แต่โลหะน�ำความร้อนได้ดี แล้วการท่ีเรารู้สึกเย็นมือเป็นเพราะว่า เราสูญเสียความร้อนให้กับวัตถุ อน่ื ๆ ซ่งึ ในทน่ี คี่ อื โลหะทนี่ ำ� ความรอ้ นไดด้ กี วา่ สามารถดงึ ความรอ้ นออกจากมอื เราไดเ้ รว็ กวา่ พลาสตกิ นัน่ เปน็ สาเหตุที่ทำ� ให้เรารสู้ ึกเย็นกว่านัน่ เอง ยทุ ธศาสตร์และวิธีการออกแบบการจัดการเรียนรู้ 1. สร้างแรงบันดาลใจ กระตุน้ ความสนใจ เรมิ่ จากเหตุการณ์ใกลต้ วั ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การน�ำความร้อน เชน่ “เคยไหม ตอนอากาศเยน็ ๆ พอเรา เอามือไปจับส่ิงของท่ีเปน็ โลหะ ตกใจแทบสะดุ้ง ท�ำไมมันรู้สึกเย็นขนาดน้ี แต่พอไปจับหนังสือหรือ วัสดุบางอย่าง เรากลับไม่รู้สึกว่ามันเยน็ ขนาดนัน้ ทั้ง ๆ ที่อยูใ่ นอณุ หภูมเิ ดยี วกันแทๆ้ แลว้ ความรสู้ ึก ทเ่ี รารู้สึกวา่ สิ่งนัน้ มันรอ้ นหรือเยน็ มันเกิดจากอะไรกนั แน่นะ?” 2. ลองสัมผัสด้วยตนเอง ให้นักเรยี นลองเอามอื ไปสัมผสั พ้ืนผิวที่ตา่ ง ๆ เพ่ือรับรู้ความรู้สึกร้อนหรอื เย็นแตกตา่ งกัน (โดยต้อง อยใู่ นหอ้ งเดียวกัน เพ่ือคุมตวั แปรอณุ หภมู ิ) 8
3. สะท้อนคิด ถามและอภปิ รายกบั นกั เรยี นวา่ “คดิ วา่ ถา้ นำ� น้ำ� แขง็ ไปใส่ไวใ้ นภาชนะวสั ดุ 2 แบบ ระหวา่ ง พลาสตกิ กบั โลหะ แบบไหนจะละลายเร็วกวา่ ” 4. ทดลองหาค�ำตอบดว้ ยตนเอง ให้นักเรียนเตรียมช้อนกินข้าว 2 แบบ คือ ช้อนโลหะ และช้อนพลาสติก และเตรียมน้�ำแข็งขนาด เทา่ ๆ กันมา 2 กอ้ น แลว้ จบั น้ำ� แข็งวางลงไปบนช้อนทง้ั สองพรอ้ ม ๆ กัน เพ่ือสังเกตความเร็วในการ ละลาย ว่าอนั ไหนเริม่ ละลายกอ่ น ใหน้ กั เรียนสังเกตและสรุปผล 5. ขยายการเรียนรู้ ชวนนกั เรยี นตงั้ สมมตฐิ าน คดิ วเิ คราะห์ และสรปุ ความรตู้ อ่ ไปกบั สถานการณใ์ หม่ คอื “หากเรามนี ้ำ� แขง็ อยู่ในถัง คดิ ว่าน้ำ� แข็งในถังแบบโลหะหรือพลาสตกิ จะละลายไวกวา่ เพราะอะไร” 6. วเิ คราะห์ หาขอ้ สรุป และนำ� เสนอ วิเคราะห์และสรุปว่า ท�ำไมเราจับโลหะแล้วมันเย็นกว่าพลาสติก แต่น้�ำแข็งกลับละลายเร็วกว่า ในภาชนะโลหะ และให้นักเรยี นมานำ� เสนอตามความคิดของแตล่ ะกลุ่ม โดยไมต่ ัดสินถกู ผิด 7. สรปุ การเรยี นรู้และคอนเซ็ปต์รว่ มกัน อธิบายถึงคอนเซป็ ต์การสูญเสียความรอ้ นและการน�ำความร้อน ผลลพั ธแ์ ละปั จจัยความส�ำเร็จ การเรยี นการสอนแบบนี้ ทำ� ใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจคอนเซป็ ตอ์ ยา่ งแทจ้ รงิ จากการสรา้ งความรดู้ ว้ ยตนเอง เปน็ ขน้ั ๆ และสามารถจดจำ� ความรไู้ ดน้ านกวา่ เพียงการสอนแบบทอ่ งจำ� อกี ทงั้ ใชอ้ ปุ กรณท์ ร่ี าคาถกู หาไดง้ ่าย ใกลต้ ัว สแกนเพ่ืออา่ นขอ้ มลู เพ่ิมเตมิ 9
โดย ณัฐวญิ ญ์ สิรเดชธราทิพย์ สถาบนั พัฒนาครู คณาจารยแ์ ละบคุ ลากรทางการศึกษา สาระส�ำคัญ ไฟฟ้ากระแสสลับ หมายถึง กระแสไฟฟ้าที่มีการสลับสับเปล่ียนขั้วอยู่ตลอดเวลาอย่างสม่�ำเสมอ ทศิ ทางการไหลของกระแสไฟฟ้าจะเปลย่ี นสลบั ไปมาจาก บวก-ลบ และจาก ลบ-บวก อยตู่ ลอดเวลา ซ่ึงไฟฟ้ากระแสสลับเป็นไฟฟ้าท่ีใช้กันตามบ้านเรือนและโรงงาน อุตสาหกรรมท่ัวไปเม่ือเราน�ำ ไฟฟ้ากระแสสลับมาเขียนเป็นกราฟความสัมพันธ์ ระหว่างแรงดันไฟฟ้ากับมุมที่เปล่ียนไปเม่ือเวลา ผา่ นไปในขณะทีเ่ กดิ การไหลของกระแสไฟฟ้า จะได้ความสัมพันธข์ องกราฟเปน็ เส้นโค้งสลับข้ึนลง ไปมา น่ันคือเม่ือเวลาผ่านไปแรงดันไฟฟ้าจะสลับการไหลตลอดเวลา การไหลของกระแสสลับ กลบั ไปกลบั มาครบ 1 รอบ เรียกว่า 1 ไซเคิล (Cycle) หรือ 1 รูปคล่ืน และเวลาที่ครบ 1 ลกู คล่ืน คอื คาบ มีหน่วยเปน็ “วนิ าที” ยทุ ธศาสตรแ์ ละวิธีการออกแบบการจัดการเรียนรู้ ท�ำการทดลองผา่ นแอปพลิเคชัน เรียนรหู้ ลักการของไฟฟ้ากระแสสลบั ผา่ น Application Physics AR 10
ผลลัพธ์และปั จจัยความส�ำเรจ็ การทดลองผา่ น AR ชว่ ยใหเ้ ราลดการใชอ้ ปุ กรณก์ ารทดลอง เพราะเม่อื ตอ่ วงจรปกตเิ สร็จจะต้องใช้ ออสซิลโลสโคปตรวจสอบค่าความถ่ีและคาบของกระแสไฟฟ้าอีกที อีกทั้งอุปกรณ์การทดลองนั้น มีราคาแพง ท�ำให้ขาดแคลนอุปกรณ์การทดลองในห้องเรียนระดับมัธยมหลาย ๆ โรงเรียน การใช้ Application ท�ำให้การทดลองที่ดยู ากกลายเปน็ เร่อื งง่าย ๆ ไปเลย สแกนเพ่ืออ่านขอ้ มูลเพ่ิมเตมิ 11
โดย วีรแมน บุราโส โรงเรยี นรุ่งอรุณ สาระส�ำคัญ รปู แบบการใหค้ วามร้อน ตม้ ทอด น่งึ ยา่ ง และอบ มีผลตอ่ การเปล่ยี นแปลงโมเลกลุ ของน้ำ� ในเน้อื ไก่ และท�ำให้เน้ือไก่ที่ได้รับพลังงานความร้อนในรูปแบบต่าง ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ที่แตกต่างกนั ยุทธศาสตรแ์ ละวธิ กี ารออกแบบการจดั การเรยี นรู้ 1. ค้นคว้า ศึกษาปริมาณความรอ้ นท่ีทำ� ใหเ้ น้อื ไกส่ ุก ด้วยวิธกี ารให้ความรอ้ น ต้ม ทอด น่ึง ย่าง และอบ 2. เรียนรู้ผา่ นค�ำถาม ครูตั้งคำ� ถาม “ถ้าใหค้ วามร้อนกับเน้อื ไก่ด้วยรปู แบบทีต่ ่างกนั คือ ตม้ ทอด น่งึ ยา่ ง และอบ เน้อื ไก่ จะมลี กั ษณะอย่างไร” เพ่ือน�ำเขา้ สู่การทดลอง 3. กระบวนการกลุม่ แบ่งกล่มุ 5 กล่มุ ทดลองศึกษาปรมิ าณความร้อนทีท่ ำ� ใหอ้ าหารสุก” ตามจดุ ประสงค์ท่ีครูตัง้ 4. สังเกต สังเกตลักษณะทางกายภาพ (สี, กลิ่น, ผวิ สัมผสั , รูปรา่ ง) ของเน้อื ไก่ก่อนการให้ความรอ้ น และหลงั ใหค้ วามร้อน 5. วิเคราะหแ์ ละเปรียบเทยี บ นักเรียนเปรียบเทียบผลการทดลองของการให้ความร้อนแต่ละรูปแบบ และร่วมแลกเปลี่ยนผล การทดลอง “การให้ความร้อนรูปแบบท่ีต่างกันจะส่งผลให้ไก่สุกต่างกัน และลักษณะทางกายภาพ ก็จะแตกตา่ งกันไปด้วย” 12
6. ถอดความรู้ ครตู ัง้ คำ� ถาม “ความร้อนทำ� ใหไ้ กส่ ุกไดอ้ ยา่ งไร” และ “ท�ำไมการให้ความร้อนแตล่ ะรปู แบบส่งผลให้ ลกั ษณะของเนอ้ื ไกม่ ี สี กลน่ิ ผวิ สัมผสั รปู รา่ ง รสชาติ ทตี่ า่ งกนั ” เพ่ือนำ� เขา้ สู่การแลกเปลย่ี นประเดน็ และข้อสังเกตท่ไี ด้จากการทดลอง 7. แลกเปล่ยี นความคดิ เห็น นักเรียนร่วมแสดงความคิดเห็นและข้อสังเกตที่ได้จากการทดลอง และจัดหมวดหมู่การโอนถ่าย พลงั งานความร้อนไปยงั ไก่ด้วยตวั กลางที่ต่างกนั 8. ขยายความรู้ ครูเพิ่มเติมความรู้ การโอนถา่ ยความร้อน คือ การนำ� ความรอ้ น การพาความร้อน และการแผร่ ังสี โดนแบ่งตามสถานะของตัวกลาง และไม่อาศัยตัวกลางในโอนถ่ายพลังงานความร้อนไปยังเน้ือไก่ ท�ำให้โปรตนี ในเน้อื ไกเ่ กิดการเปลย่ี นแปลง (สุก) 9. สรปุ ความรู้ นกั เรยี นเขยี นตารางสรปุ ความรู้ ตงั้ แตก่ ระบวนการโอนถา่ ยพลงั งานความรอ้ น ไปยงั เนอ้ื ไก่ และการ เปลยี่ นแปลงของเน้ือไกข่ ณะใหค้ วามรอ้ นในรปู แบบที่ต่างกนั ผลลพั ธแ์ ละปั จจยั ความส�ำเรจ็ นักเรียนรู้และเข้าใจวิธีถ่ายเทพลังงานความร้อนผ่านวิธีที่หลากหลาย ผ่านตัวกลางท่ีต่างกัน ไปยัง สสาร ท�ำให้สสารที่ได้รับพลังงานความร้อนเกิดการเปล่ียนแปลงทางกายที่แตกต่างกัน และเข้าใจ รูปแบบการให้ความร้อนผ่านตัวกลางที่ต่างกัน เข้าใจปรากฏการณ์การถ่ายโอนพลังงานความร้อน จากแหลง่ กำ� เนดิ ไปยงั ไปยงั บรเิ วณโดยรอบผา่ นตวั กลางตา่ ง ๆ ทำ� ใหส้ สารทไ่ี ดร้ บั พลงั งานความรอ้ น ในปริมาณท่ีไม่เท่ากัน จึงเกิดการเปล่ียนแปลงทางกายภาพที่มีลักษณะต่างกัน และสามารถน�ำ ความรู้พลังงานความร้อนไปต่อยอดในการควบคุมคุณภาพของอาหารได้อย่างเหมาะสม ถูกวิธี และมีคุณภาพ สแกนเพ่ืออา่ นขอ้ มลู เพ่ิมเตมิ 13
โดย ชฎาธาร ประวะกลุ คณะวิทยาการเรยี นร้แู ละศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ สาระส�ำคญั สาเหตแุ ละผลกระทบของปรากฏการณภ์ ยั พิบตั ธิ รรมชาตใิ กลต้ วั รวมถงึ การวเิ คราะหแ์ ละแกป้ ัญหา ในการปฏิบัติตนใหม้ ชี ีวติ รอดปลอดภยั ยทุ ธศาสตร์และวิธีการออกแบบการจัดการเรยี นรู้ 1. เรียนร้ผู ่านการ์ดเกม กิจกรรมเลน่ แบบกลมุ่ ในการทำ� ภารกจิ ท่ีเกี่ยวข้องกบั ภยั พิบตั ิ 2. ตรวจสอบความรู้ ถามเร่อื งภยั พิบตั ิในชีวติ ประจ�ำวนั วา่ รจู้ ักหรือไม่ เคยเหน็ จากทีไ่ หนบา้ ง ใหน้ กั เรียนเล่าออกมา 3. กระตนุ้ การเรยี นรู้ ยกตวั อย่างสถานการณ์ผ่านการเปดิ คลิปหรอื ส่ือเน้อื หาทน่ี า่ สนใจ พร้อมกบั เลา่ สรปุ สั้น ๆ ทเ่ี หน็ เปน็ รปู ธรรม ผา่ นการฟัง การเห็น จากส่ือทีค่ รูผู้สอนเปดิ ในเร่อื งประเภทของภัยพิบตั ิ ชนดิ สาเหตขุ อง การเกิด ผลกระทบของการเกิด และการรับมือหรือเอาตัวรอดจากบางสถานการณ์ท่ีเกิดข้ึน ในชมุ ชนของเรา 14
ผลลัพธ์และปั จจยั ความส�ำเร็จ นักเรียนสามารถอธิบายปรากฏการณ์เชิงวิทยาศาสตร์ ฝึกการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงฝกึ สังเกต วิเคราะห์ และการแกป้ ัญหาทสี่ อดคล้องตามบรบิ ทท่ีได้รับ สแกนเพ่ืออ่านข้อมลู เพ่ิมเติม 15
โดย วิทยา ทวีพงศ์ศักดิ์ โรงเรยี นวัดสุวรรณครี วี งก์ สาระส�ำคัญ ออกแบบรถแขง่ โดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละปรบั ปรงุ พัฒนารถใหต้ รงตามทโ่ี จทยก์ ำ� หนด โดยใชว้ ัสดอุ ปุ กรณ์งา่ ย ๆ หาไดใ้ กล้ตัว ยทุ ธศาสตรแ์ ละวธิ ีการออกแบบการจัดการเรยี นรู้ 1. ทดลองผ่านความรู้เดิมของผูเ้ รียน นักเรียนประดิษฐ์ตัวรถในรูปแบบทัว่ ไปข้นึ มา แล้วจึงให้นกั เรยี นลองนำ� รถของตัวเองมาทดสอบ 2. แข่งขนั ชี้แจงกติกาในการแข่งขันรถโดยก�ำหนดรูปแบบคือ จะมีของรางวัลตามระยะทางต่าง ๆ ที่รถวิ่ง ไปได้ ซ่งึ ถา้ หากรถของใครเคล่อื นทไี่ ปจอดไดต้ รงกับของรางวัลชิ้นใดก็จะไดร้ บั รางวลั ชิ้นนน้ั 3. ทดสอบและวิเคราะห์ นกั เรียนนำ� รถตัวเองมาทดสอบในสนามจรงิ ซ่งึ จะท�ำให้นกั เรียนไดค้ น้ พบปัญหาต่าง ๆ ท่ีเกดิ ข้ึนกับ ตวั รถของตวั เอง 4. ส�ำรวจและแบง่ ปั น หาข้อมูลในการน�ำมาออกแบบตัวรถ และทดลองจนได้รถท่ีสมบูรณ์ตามต้องการ ในกระบวนการน้ี นักเรียนก็จะเกิดทักษะการสืบค้นข้อมูล การออกแบบ การทดลอง และมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เทคนคิ ตา่ ง ๆ กนั ในกลุม่ เพ่ือน 5. พัฒนาส่ิงประดิษฐ์ พัฒนารถและออกแบบรถใหส้ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการ เชน่ การพยายามปรบั ปรงุ รถใหด้ ขี ้นึ อกี ครง้ั การปรบั รอบการหมนุ ยางเพ่ือใหร้ ถไปได้ในระยะทีต่ อ้ งการ 16
6. อภิปราย นักเรียนร่วมกันอภิปรายเพ่ือถอดบทเรียนเกี่ยวกับข้อค้นพบที่ได้ในการท�ำรถแข่งหลอดด้าย ซ่ึงใน ขน้ั ตอนนีน้ กั เรียนแต่ละคนจะบอกขอ้ คน้ พบของตวั เองที่เจอมา 7. สรปุ การเรียนรู้ รว่ มกนั สรปุ เกย่ี วกบั สิ่งท่นี กั เรยี นได้จากการทำ� กิจกรรม ผลลพั ธแ์ ละปั จจัยความส�ำเร็จ นกั เรยี นสามารถชว่ ยกนั แกป้ ัญหาในการออกแบบรถโดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และสะเตม็ ศึกษาในการทำ� ใหร้ ถของแตล่ ะคนสามารถควา้ รางวลั ตา่ ง ๆ มาได้ ซ่งึ จะเหน็ ไดช้ ดั วา่ นกั เรยี นสามารถ สรปุ ขอ้ คน้ พบในการปรบั ปรงุ รถของตนเองใหด้ ขี ้นึ ออกมาได้ เชน่ การใส่เทยี นเพ่ือชว่ ยใหร้ ถวงิ่ ชา้ ลง ซ่ึงการที่รถว่ิงช้าลงจะท�ำให้รถไปได้ตรงย่ิงข้ึน และจ�ำนวนรอบในการหมุนยางเพ่ือให้รถหยุดได ้ ในระยะทีก่ �ำหนดน่ันเอง สแกนเพ่ืออ่านขอ้ มลู เพ่ิมเติม 17
โดย จารภุ ทั ร อยู่สุข สาระส�ำคญั กิจกรรมน้ีถูกคิดข้ึนเพ่ือท�ำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองจนเข้าใจคอนเซ็ปต์ท่ียากของ “กาลักน้�ำ” ซ่ึงเป็นวิธีการถ่ายเทของเหลวจากที่สูงลงสู่ท่ีต่�ำอย่างต่อเน่ือง ผ่านตัวกลางคือท่อหรือ หลอด โดยทไี่ มต่ อ้ งใชอ้ ปุ กรณไ์ ฟฟ้าเขา้ ชว่ ย แตใ่ ชก้ ารเตมิ น้ำ� ใหเ้ ตม็ หลอดหรอื ทอ่ แลว้ ปดิ ปลายหลอด ทั้งสองข้างเอาไว้ จากน้ันน�ำปลายหลอดใส่ลงไปในภาชนะที่ต้องการท่ีจะถ่ายเทน้�ำออกและปลาย หลอดอีกข้างหน่ึงก็ใส่ไว้ในภาชนะที่รองรับและจะต้องต่ำ� กว่าภาชนะที่จะถ่ายน้ำ� ออกเสมอ เปน็ การ อาศัยหลักแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลของน้�ำและน้�ำหนักของน้�ำ ซ่ึงจะเกิดการดูดเอาน้�ำจากปลาย หลอดดา้ นทสี่ ูงกวา่ ลงมาสู่ดา้ นทต่ี ่ำ� กวา่ ซ่งึ ภายในทอ่ หรอื หลอด น้ำ� จะกระทำ� กนั คลา้ ยสายโซ่ ทเี่ รยี งรอ้ ย ไปด้วยน้�ำ ส่วนท�ำไมปลายหลอดฝ่ั งภาชนะท่ีรองรับต้องต่�ำกว่าภาชนะที่จะถ่ายน้�ำออกเสมอนั้น สามารถอธิบายได้ดว้ ยหลักของแรงดันอากาศ ยุทธศาสตรแ์ ละวธิ ีการออกแบบการจดั การเรียนรู้ 1. ลองผดิ ลองถกู ผา่ นการทดลอง เรมิ่ จากการใชห้ ลอดและแก้วน้ำ� 2 แก้ว มาเติมน้�ำให้เตม็ เพียง 1 แกว้ แลว้ ใหน้ กั เรยี นท�ำยงั ไงก็ได้ ให้น้ำ� ไหลผา่ นหลอดจากแกว้ ท่มี นี ้ำ� เต็ม ไปยงั แก้วทไี่ มม่ ีน้ำ� อยเู่ ลย 2. ส�ำรวจและคน้ หา ให้นักเรียนศึกษาหลักการของกาลักน้�ำ ท่ีอาศัยแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลของของเหลวเพ่ือถ่ายเท ของเหลวจากทีส่ ูงลงไปสู่ท่ตี ่�ำอยา่ งตอ่ เน่ืองโดยผา่ นตวั กลาง 18
3. ขยายความรผู้ า่ นการแก้ปั ญหาและทดสอบสมมติฐาน เพิ่มอุปกรณแ์ ละโจทย์ใหมท่ ่ที ้าทายข้ึนเขา้ ไปใหน้ ักเรยี นได้ทดลองไปเร่อื ย ๆ เพ่ือทดสอบสมมติฐาน ต่าง ๆ เชน่ น้ำ� จะหยุดไหลตอนไหน (อา้ งองิ หลกั การอะไร) หรอื ท�ำยังไงใหน้ ้�ำไหลตลอดจนหมดแก้ว ท่เี คยเต็ม 4. สังเกต วิเคราะห์ และสรปุ ผล นกั เรยี นสังเกตความเปล่ียนแปลงทเ่ี กดิ ข้ึนจากการทดลอง ซ่งึ จะพิสูจนห์ ลกั การที่ว่า ท�ำไมกาลกั น้�ำ จึงก�ำหนดให้ปลายท่อฝ่ังรองรับน้ำ� ต้องอยู่ต่ำ� กว่าก้นภาชนะฝ่ังต้นน้�ำน่ันเอง ซ่ึงสามารถอธิบายด้วย หลักของแรงดันอากาศ ผลลัพธ์และปั จจยั ความส�ำเร็จ นกั เรยี นเกดิ การเรยี นรแู้ ละเขา้ ใจคอนเซป็ ตย์ าก ๆ ผา่ นการทดลองทใี่ ชอ้ ปุ กรณท์ หี่ าไดง้ า่ ย โดยลงมอื ปฏบิ ตั แิ ละทดลองด้วยตนเอง คอ่ ย ๆ สร้างความร้ดู ้วยตนเองเปน็ ขัน้ ๆ เปน็ กิจกรรมท่สี นุก ทา้ ทาย แตแ่ ฝงไปดว้ ยหลกั การและทกั ษะทางวทิ ยาศาสตรม์ ากมาย ซ่งึ สามารถประยกุ ตใ์ ชส้ อนไดห้ ลายระดบั ชนั้ โดยเลอื กจากระดบั ความยากง่ายของกิจกรรม สแกนเพ่ืออ่านข้อมูลเพ่ิมเตมิ 19
โดย วภิ าวรรณ วงศ์ดาว โรงเรยี นดาราวทิ ยาลยั สาระส�ำคัญ ในปรากฏการณ์สุริยุปราคา ท�ำไมดวงจันทร์ดวงเล็กถึงบังดวงอาทิตย์ได้ นั่นเพราะเม่ือเราสังเกต ปรากฏการณ์นี้บนผิวโลก เราจะเห็นดวงจันทร์ที่อยู่ใกล้มีขนาดใหญ่จนสามารถบดบังดวงอาทิตย์ ท่ีอยู่ไกลโลกออกไปมากได้ ดังน้ันการมองเห็นภาพขนาดใหญ่หรือเล็กข้ึนอยู่กับระยะห่างจากจุด ท่สี ังเกต ยทุ ธศาสตร์และวิธกี ารออกแบบการจัดการเรียนรู้ 1. ขยายการเรียนรู้ดว้ ยการต้งั ค�ำถาม เดก็ ๆ สงสัยและถามครวู า่ “ทำ� ไมดวงจนั ทรท์ เี่ ลก็ กวา่ ดวงอาทติ ยห์ ลายรอ้ ยเทา่ จงึ บงั ดวงอาทติ ยไ์ ด”้ นำ� ไปสู่การสรา้ งกิจกรรมการเรยี นรู้ 2. สร้างสรรคก์ ารเรยี นรผู้ า่ นกจิ กรรม กจิ กรรมนไี้ ดไ้ อเดยี มาจากภาพถา่ ยคนจว๋ิ ซ่งึ เปน็ ภาพทดี่ ผู ดิ ธรรมชาตทิ คี่ นจะตวั เลก็ เรม่ิ ตน้ กจิ กรรม ครูก็เอาภาพถ่าย มาเปน็ แรงบันดาลใจ พร้อมท้ังมอบหมายภารกิจให้เด็กแบ่งกลุ่มเพ่ือหาวิธีในการ ถา่ ยภาพคนจว๋ิ แตน่ ักเรยี นหา้ มใช้การตดั ตอ่ 20
ผลลพั ธ์และปั จจัยความส�ำเรจ็ นกั เรยี นไดเ้ ขา้ ใจปรากฏการณส์ ุรยิ ปุ ราคาผา่ นการทำ� กจิ กรรม และพัฒนาทกั ษะความคดิ สรา้ งสรรค์ การรว่ มมือกันทำ� งานเปน็ ทมี และทกั ษะการคิดวเิ คราะหเ์ ช่อื มโยงความรู้ สแกนเพ่ืออา่ นขอ้ มลู เพ่ิมเติม 21
โดย เสาวณีย์ พรหมคง โรงเรียนวัดบางทงี สาระส�ำคัญ ใช้ความรู้ทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ในการออกแบบและทดลอง เรียนรู้การเลือกใช้วัสดุ การวัด ความยาว รปู ทรงเรขาคณติ ของส่วนประกอบตา่ ง ๆ ของรถ และเรยี นรกู้ ารเกดิ แรงเสียดทานทมี่ ผี ล ต่อการเคล่อื นท่ขี องรถและกังหนั น้ำ� ยทุ ธศาสตร์และวิธกี ารออกแบบการจัดการเรียนรู้ 1. กระตุน้ ความสนใจ เรมิ่ ถามนกั เรยี นวา่ นกั เรยี นมขี องเลน่ อะไรบา้ ง นำ� นกั เรยี นสนทนาวา่ ในการเลอื กซอ้ื ของเลน่ นกั เรยี น จะเลือกซ้ืออะไร ซ้ือที่ไหน ราคา เปน็ อย่างไรบ้าง และเวลาไปหาซ้ือนักเรียนได้ของเล่นท่ีตรงตาม ความตอ้ งการ มขี องเลน่ ใหเ้ ลือกอย่างหลากหลายหรอื ไม่ 2. ระบปุ ั ญหา ครใู หน้ กั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ ชว่ ยกนั วเิ คราะหป์ ัญหาเกย่ี วกบั ของเลน่ พรอ้ มทงั้ เขยี นขอ้ ความสั้นๆ เกยี่ วกบั ปั ญหาท่ีพบ เช่น ของเล่นเด็กที่มีขายตามท้องตลาดมีราคาแพง บางท้องถิ่นไม่มีของเล่น ทีห่ ลากหลาย จึงตอ้ งหาวธิ ที ี่จะช่วยผูป้ กครองประหยัดเงิน เพิ่มของเลน่ ที่หลากหลาย 3. รวบรวมข้อมูลและแนวคิดท่เี ก่ียวขอ้ งกับปั ญหา ครใู หน้ กั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ ชว่ ยกนั ส�ำรวจขยะทจ่ี ดุ คดั แยกขยะของโรงเรยี น วา่ มขี ยะอะไรบา้ งท่ี สามารถ นำ� กลบั มาใช้ประดษิ ฐ์เปน็ ของเล่น เพ่ือใช้ประกอบการเรยี น 22
4. อภิปรายร่วมกนั ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ ราย ในการเลอื กใชว้ สั ดทุ เ่ี หมาะสมและดที ส่ี ุดในการประดษิ ฐ์ รถของเลน่ และกังหนั น้ำ� โดยใช้ค�ำถาม 5. ออกแบบและด�ำเนินการแก้ปั ญหา ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกแบบชิ้นงานโดยใช้ความรู้ที่ได้จากการรวบรวมข้อมูลและการอภิปราย เริม่ วางแผนในการประดิษฐ์รถของเลน่ และกงั หนั น้�ำ 6. ทดสอบ ประเมนิ ผล และปรบั ปรุงแกไ้ ข นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ นำ� รถของเลน่ พลงั น้�ำมาทดสอบการทำ� งาน เพ่ือสังเกตการเคลอ่ื นทข่ี องรถของเลน่ และการหมุนของกังหันน้�ำ โดยมีวิธีการทดสอบคือ นักเรียนน�ำกังหันน้�ำมาถือไว้เหนือผิวน้�ำท่ีอยู่ ในกะละมัง จากน้ันใช้แก้วน้�ำตักน้�ำราดบนกังหัน สังเกตว่ารถของเล่นเคล่ือนท่ีมาด้านหน้าหรือไม่ หากรถเคล่อื นท่ี ใหน้ กั เรยี นวดั ระยะทางวา่ รถเคล่อื นทกี่ เี่ ซนตเิ มตร และหากรถไมเ่ คล่อื นทห่ี รอื เคล่อื นทชี่ า้ ให้ปรับปรุงแก้ไข 7. สรปุ และประเมนิ ครูและนักเรยี นร่วมกันสรุปความรูจ้ ากการท�ำกิจกรรม นักเรียนบนั ทึกผลการทดลองพร้อมทั้งเขยี น แผนภาพแสดงแรงเสียดทานและแรงท่ีอยู่ในแนวเดียวกันท่ีกระท�ำต่อรถของเล่นพลังน้ำ� ลงในแบบ บนั ทกึ ผลการทดลองทน่ี กั เรยี นออกแบบและสรา้ งข้นึ เอง ผลลัพธ์และปั จจัยความส�ำเร็จ รถของเล่นและกังหันน้�ำ เปน็ ตัวอย่างของเล่นเด็กท่ีสามารถประดิษฐ์ได้ง่าย ใช้วัสดุเหลือใช้ที่ราคา ไม่แพง หาง่ายในชีวิตประจ�ำวัน โดยการประดิษฐ์ลักษณะนี้ สามารถพัฒนาทักษะการสังเกตและ ความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียน ใหน้ กั เรียนได้ใช้ความรูด้ า้ นเทคโนโลยใี นการคน้ คว้าข้อมลู สแกนเพ่ืออ่านข้อมลู เพ่ิมเตมิ 23
โดย สุระ วฒุ พิ รหม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั อบุ ลราชธานี สาระส�ำคญั ต๊กุ ตาดนิ เผา Pee Pee Boy เปน็ อุปกรณ์ทดสอบอุณหภมู ิของน้ำ� ท่ใี ช้ชงชา ซ่งึ มีหลักการทำ� งานอยูว่ า่ ถา้ น้ำ� ในการอ้ นพอส�ำหรบั ชงชา เมอ่ื นำ� มาเทราดบนตวั ตกุ๊ ตาดนิ เผา จะมนี ้ำ� พุ่งออกจากรเู ลก็ ๆ ทห่ี นา้ ทอ้ ง ตกุ๊ ตาดนิ เผา ยิ่งร้อนมาก น้�ำยิ่งพุ่งไกลมาก โดยสามารถอธิบายเชงิ เทอรโ์ มไดนามิกส์ได้วา่ อากาศ ภายในตกุ๊ ตาดนิ เผาเกิดการขยายตวั แล้วอากาศพยายามไปแทนทนี่ ้ำ� จงึ ท�ำให้น้�ำทถ่ี กู อากาศแทนท่ี ต้องพุ่งออกมาจากรูทางด้านหน้า และถ้ามองว่าอากาศภายในตุ๊กตาเป็นระบบ และน้�ำท่ีอยู่ภายใน ตุ๊กตาและน้�ำที่ราดเป็นส่ิงแวดล้อม จะพบว่าเกิดการถ่ายเทความร้อนระหว่างระบบกับส่ิงแวดล้อม แบบดูดความร้อน และความร้อนนี้ถูกระบบน�ำไปใช้ท�ำงานต่อส่ิงแวดล้อม ก็คืออากาศขยายตัวจน ดันน้�ำให้พุ่งออกมา ยทุ ธศาสตรแ์ ละวิธีการออกแบบการจดั การเรยี นรู้ 1. ท�ำนายผล ให้ผู้เรียนทำ� นายผลลงในแบบทำ� นายผล และผูส้ อนถามผลการทำ� นาย 2. อภิปรายผลการทำ� นายในกลุ่มย่อย ผู้สอนใหผ้ ู้เรยี นร่วมอภปิ รายผลการท�ำนายในกลมุ่ เล็ก ๆ กับเพ่ือน จากนั้นใหแ้ ต่ละคนกลบั ไปเขยี น ผลทำ� นายใหม่อกี ครง้ั 24
3. สาธิตจากการทดลองจริง ผู้สอนแสดงผลการสาธิตให้ผู้เรียนดู หรือหากมีอุปกรณ์ก็สามารถให้ทุกคนลงมือทดลอง ด้วยตนเองได้ 4. สรุปผลการสาธิตและสังเคราะหค์ วามรใู้ หม่ ผสู้ อนและผเู้ รยี นชว่ ยกนั อภปิ รายผลการสาธติ ทเ่ี กดิ ข้ึน สรปุ ผล และยกสถานการณใ์ นชวี ติ ประจำ� วนั ทคี่ ล้ายคลังกบั ปรากฏการณท์ ี่สาธิต ผลลัพธแ์ ละปั จจยั ความส�ำเรจ็ กิจกรรมนี้เปน็ ลักษณะของ การสาธิตประกอบการบรรยายเชิงปฏิสัมพันธ์ (Interactive Lecture Demonstrations; ILD) ซ่ึงเป็นวิธีการจัดการเรียนรู้เชิงรุกท่ีเน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในระหว่าง บรรยายในหอ้ งเรยี น โดยมชี ดุ สาธติ และแบบทำ� นายผล เพ่ือใหผ้ เู้ รยี นคาดการณค์ ำ� ตอบ และสังเกต ผลจากชุดสาธิต แล้วให้ผู้เรียนบันทึกผลการสังเกตลงในแบบบันทึกผลการสาธิต รวมถึงมีการ อภปิ รายกันระหว่างผูเ้ รียนกับผสู้ อนและผ้เู รียนดว้ ยกนั เองในระหว่างกิจกรรม สแกนเพ่ืออา่ นข้อมลู เพ่ิมเตมิ 25
โดย วสุพงษ์ อวิ าง โรงเรยี นวัดเวฬุวัน สาระส�ำคญั ดวงจันทร์เป็นวัตถุทรงกลม การที่เรามองข้ึนไปบนท้องฟ้าแล้วเราเห็นดวงจันทร์มีลักษณะแบน เนอ่ื งจากขอ้ จำ� กดั จากการสังเกต ดวงจนั ทรม์ ขี นาดทใ่ี หญม่ ากเมอ่ื เทยี บกบั เรา เราจงึ มองเหน็ เฉพาะ ผิวหน้า ไม่สามารถมองเห็นความโค้งที่ผิวของดวงจันทร์ เรามองเห็นดวงจันทร์แตกต่างกันไป ในแตล่ ะวนั โดยบางวนั ดวงจนั ทรจ์ ะมรี ปู รา่ งปรากฏเปน็ เสี้ยว เตม็ ดวง หรอื บางวนั มองไมเ่ หน็ ดวงจนั ทรเ์ ลย การเปลย่ี นแปลงเชน่ นีเ้ ปน็ แบบรูปซ้�ำกนั ทกุ เดอื น ยทุ ธศาสตรแ์ ละวธิ ีการออกแบบการจัดการเรียนรู้ 1. กระตุ้นการเรียนรู้ กระต้นุ ดว้ ยค�ำถามทเ่ี กยี่ วข้องกับดวงจันทรร์ ายบคุ คล เพ่ือตรวจสอบความรเู้ ดมิ โดยนักเรียนแสดง แนวคิดเก่ียวกับดวงจนั ทร์ผ่านการพูด การวาดภาพ และการป้ันดินน้�ำมัน 2. ศึกษาเรียนรผู้ า่ นส่ือ นกั เรยี นดวู ดี โี อทแี่ สดงรปู รา่ งลกั ษณะของดวงจนั ทร์ และอภปิ รายในประเดน็ คำ� ถาม “ทำ� ไมเมอ่ื มอง ข้ึนไปบนท้องฟ้ากลบั เห็นดวงจันทรแ์ บน แทนที่จะเปน็ ลกั ษณะทรงกลมตามรปู รา่ งทีแ่ ท้จรงิ ” 3. ลงมือสรา้ งความเขา้ ใจ นกั เรยี นหยบิ ลกู บอล หลงั จากนน้ั วาดภาพลกู บอลทม่ี องเหน็ เมอ่ื เคลอ่ื นเขา้ มาใกลด้ วงตา และวาดภาพ ลูกบอลที่มองเห็นเม่ือเคล่ือนออกห่างจากดวงตา ผลที่เกิดข้ึนจากภารกิจนี้ จะช่วยแก้ไขแนวคิด ทค่ี ลาดเคลอ่ื นทเ่ี ชอ่ื วา่ ดวงจนั ทรเ์ ปน็ ส่ิงมชี วี ติ และทำ� ใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจวา่ ดวงจนั ทรเ์ ปน็ วตั ถทุ รงกลม 26
4. เคล่อื นไหวเพ่ือเช่ือมโยงการเรยี นรู้ นักเรียนท�ำกิจกรรม Move it Move it เพ่ือสรา้ งความเขา้ เร่อื ง ทศิ 5. สังเกตและอภิปรายการเรยี นรู้ นักเรียนบันทึกรูปร่างปรากฏของดวงจันทร์ในเวลา 5 สัปดาห์ โดยระบุทิศ และมุมเงยที่สังเกต ดวงจันทร์ ในทุก ๆ สัปดาห์ นักเรียนน�ำผลที่ได้จากการสังเกตมาอภิปรายในประเด็นต่างๆ เช่น ดวงจนั ทร์ท่มี องเห็นแตล่ ะคนื มรี ูปร่างตา่ งกนั หรอื ไม่อย่างไร 6. บูรณาการกิจกรรมกับหลกั การคิดเชิงคำ� นวณ นกั เรยี นระบปุ ัญหา และวินิจฉยั ค�ำตอบทท่ี �ำได้ เปน็ การวิเคราะหง์ าน การวิเคราะหภ์ ารกิจ เป้าหมาย จากนนั้ นำ� ภาพทไี่ ดจ้ ากการสังเกตดวงจนั ทรต์ ลอด 5 สัปดาห์ มาจดั จำ� แนกภาพเปน็ กลมุ่ ตามแนวคดิ Machine learning เพ่ือจดจำ� รูปแบบ 7. การออกแบบอลั กอริทึม นักเรียนสรุปแบบรูปของดวงจันทร์ เขียนขั้นตอนพัฒนาโปรแกรม Micro:bit หาความเช่ือมโยง ระหว่างแบบรูปของดวงจันทรก์ บั พิธกี รรมท่สี �ำคัญในทอ้ งถ่นิ และโปรแกรมบอรด์ Micro:bit รับคา่ และแสดงผลขอ้ มลู แสดงแบบรูปของดวงจันทร์ 8. น�ำเสนอการเรียนรู้ นักเรียนแต่ละกลุ่มเสนอโปรแกรมบอร์ด Micro:bit การรับค่าและแสดงผลข้อมูลแสดงแบบรูป ของดวงจนั ทรห์ นา้ ช้นั เรียน หลังจากน้นั นักเรียนใช้โปรแกรม ClassDojo ในการประเมินชน้ิ งานของ แตล่ ะกลุ่ม ผลลัพธ์และปั จจยั ความส�ำเร็จ การเรียนรู้คอนเซ็ปต์เกี่ยวกับดวงจันทร์ ถือว่าเป็นแนวคิดขั้นพ้ืนฐาน หากนักเรียนเกิดแนวคิด ทีค่ ลาดเคล่ือนจะส่งผลต่อการเรยี นคอนเซป็ ต์การเกดิ ข้างข้นึ -ขา้ งแรม การเกิดอุปราคาในระดบั สูง ซ่งึ จดั เปน็ คอนเซป็ ตท์ ม่ี คี วามซบั ซอ้ น นอกจากนกี้ ารสอนดาราศาสตรไ์ มใ่ ชก่ ารเรยี นรผู้ า่ นการทอ่ งจำ� เพียงอย่างเดียว ดังน้ันควรพัฒนาทักษะการสังเกต ทักษะมิติสัมพันธ์ และการคิดเชิงค�ำนวณ ไปพร้อม ๆ กัน 27
สแกนเพ่ืออ่านขอ้ มูลเพ่ิมเตมิ 28
ไอเดียระดบั เหรียญเงิน Science Inspirator 29
โดย กญั ญารตั น์ สุมนะ และ จริ ัฐพงศ์ สุมนะ โรงเรยี นนารีรัตน์จังหวดั แพร่ สาระส�ำคัญ กจิ กรรมเรอ่ื ง โลกและการเปลย่ี นแปลง โดยนำ� ภยั ธรรมชาตบิ นผวิ โลก เกย่ี วกบั น้ำ� ทว่ มมาเปน็ ประเดน็ ปัญหาให้นักเรียนไดร้ ว่ มกันสรา้ งสรรค์สิ่งประดิษฐ์เพ่ือเอาชีวติ รอดในวกิ ฤตน้�ำทว่ ม ยุทธศาสตรแ์ ละวิธกี ารออกแบบการจัดการเรยี นรู้ 1. กระตุ้นการเรียนรู้ กระตุ้นความสนใจนกั เรียนดว้ ยการชมวดิ ทิ ัศน์เกย่ี วกับผวิ โลกและการขุดเจาะหลุมทล่ี ึกทีส่ ุด 2. สืบคน้ และนำ� เสนอขอ้ มูล นักเรยี นรว่ มกนั สืบคน้ ข้อมูลที่สนใจ แล้วนำ� เสนอในรปู แบบของวดิ ิโอใน Application Tiktok 3. สรา้ งสรรคส์ ่ิงประดษิ ฐ์ นักเรียนสร้างเคร่อื งกรองน้�ำไดเ้ พียง 1 เคร่อื งต่อ 1 กลุ่ม โดยสามารถนําไปกรองน้ำ� ทคี่ รูเตรยี มไวใ้ ห้ ภายในเวลาทกี่ ำ� หนด เครอ่ื งกรองน้ำ� สามารถลอยทรงตวั อยใู่ นอา่ งน้ำ� ขนาด 80 x 50 cm ไดต้ ลอดเวลา โดยไม่มีส่วนหน่ึงส่วนใดของเคร่ืองกรองน้�ำอยู่ชิดติดขอบของอ่างน้�ำ แต่ละกลุ่มก�ำหนดให้กรองได้ ไม่จ�ำกัดจ�ำนวนครั้ง แต่ให้เวลาในการกรองเพียง 5 นาที โดยน้�ำที่กรองได้ต้องมีกลิ่นไม่เป็น ทร่ี งั เกยี จ มคี า่ pH อยรู่ ะหวา่ ง 6.5 – 8.5 มคี า่ TDS ต่ำ� กวา่ 500 ppm ตามมาตรฐานน้ำ� ดม่ื (คำ� นวณ จากค่าเฉลี่ย 3 ซ้ำ� ) 30
ผลลพั ธแ์ ละปั จจยั ความส�ำเรจ็ จากกิจกรรมการเรียนรู้ นักเรียนได้พัฒนาทักษะทางวิทยาศาสตร์ เช่น การสังเกต การวิเคราะห์ ผา่ นการนำ� ส่ือสังคมออนไลนม์ าประยกุ ตใ์ ชใ้ นการจดั กจิ กรรม Active Learning ในการแลกเปลย่ี นขอ้ มลู ขา่ วสารไดอ้ ยา่ งไรข้ ดี จำ� กดั ผสานกบั กจิ กรรมการแกป้ ัญหาอยา่ งสรา้ งสรรคด์ ว้ ยกระบวนการ STEM ทีท่ ำ� ให้เกดิ การเช่อื มโยงความรู้และการพัฒนาทักษะ สแกนเพ่ืออา่ นข้อมลู เพ่ิมเตมิ 31
โดย วีรแมน บุราโส โรงเรยี นรุง่ อรณุ สาระส�ำคัญ แสงคอื พลงั งานรปู แบบหน่งึ และเดนิ ทางเปน็ เส้นตรง เมอ่ื แสงเดนิ ทางเปน็ เส้นตรง แสงจงึ ไมส่ ามารถ เดินทางผ่านวัตถทุ ท่ี ึบแสงได้ การทแี่ สงเดินทางผ่านวตั ถุทบึ แสงไม่ได้ ส่ิงทเี่ กดิ ข้นึ คอื เงา โดยทเ่ี งา คื อ พ้ื น ท่ี ที่ แ ส ง เ ดิ น ท า ง ไ ป ไ ม่ ถึ ง แ ล ะ ลั ก ษ ณ ะ ข อ ง เ ง า ก็ จ ะ ข้ึ น อ ยู่ กั บ รู ป ร่ า ง ข อ ง วั ต ถุ ท่ี ทึ บ แ ส ง และตำ� แหนง่ ของแหล่งก�ำเนดิ แสง สมบัติของแสงอีกหน่ึงสมบัติ คือ การหักเห การหักเหเกิดจากการที่แสงเคล่ือนท่ีผ่านตัวกลางที่มี ความหนาแน่นต่างกัน เป็นผลท�ำให้ทิศทางของแสงเปล่ียนแปลงไปด้วย ซ่ึงในขณะท่ีแสงเกิดการ หกั เหกจ็ ะเกิดการสะทอ้ นของแสงข้นึ พร้อม ๆ กัน ยทุ ธศาสตรแ์ ละวิธกี ารออกแบบการจดั การเรียนรู้ 1. กระตุน้ การเรียนร้ผู ่านคำ� ถาม ครูถามคำ� ถามแรกที่นำ� เข้าสู่การเรยี นรู้ เปน็ ค�ำถามทตี่ ัง้ ข้ึนและท้งิ ลงไปในห้องเรยี น เพ่ือให้นกั เรียน ได้รว่ มแลกเปลย่ี นความเข้าใจของตนเองเกย่ี วกับคำ� ว่า แสง ในมมุ มองต่าง ๆ 2. แสดงความคิดเหน็ นกั เรยี นไดแ้ สดงความคดิ เหน็ ซ่งึ ความคดิ เหน็ ของนกั เรยี นทกุ ๆ คนจะถกู เขยี นข้นึ กระดาษ ทกุ ความ คดิ เหน็ ของนกั เรยี นมคี วามส�ำคญั มาก เพราะนน่ั คอื ความเขา้ ใจพ้ืนฐานของแตล่ ะคน และความเขา้ ใจ น้ันก็เปน็ โจทยส์ �ำคัญ ในการทีจ่ ะไปพิสูจน์ว่าสิ่งทีน่ ักเรียนพูดเปน็ ความจรงิ หรือไม่ อย่างไร 32
3. พิสูจน์โดยการทดลอง นักเรียนทดลอง เร่ืองของแสง ผ่านข้อค�ำถามต่าง ๆ ท่ีสงสัยและการแสดงความคิดเห็น น�ำไปสู่ การทดลองเพ่ือพิสูจน์ผา่ นการทดลอง 4. สรา้ งพ้ืนท่กี ารเรียนรู้ จากความเข้าใจเร่ืองเงา นักเรียนก็มีไอเดียว่า “เรามาสร้างละครเงากันม้ยั เพ่ือนๆ” เพ่ือจะอธิบาย ความเข้าใจของตนเองเกี่ยวกับการเกิดเงาผ่านการเล่านิทาน (ละครแสงเงา) นี้ก็เป็นไอเดียท่ีด ี ทน่ี กั เรยี นทกุ คนในหอ้ งไดร้ ว่ มกนั คดิ ซ่งึ กเ็ ปน็ อกี หน่งึ พ้ืนทข่ี องการเรยี นรไู้ ปบนความเขา้ ใจเรอ่ื งแสง ผลลัพธ์และปั จจยั ความส�ำเรจ็ เปน็ ไอเดียของการจดั การเรยี นรู้แบบสืบเสาะ (Inquiry based learning) ตั้งค�ำถามเพ่ือหาค�ำตอบ ซ่งึ ท�ำให้นกั เรียนไดเ้ รียนรู้ไปบนค�ำถามของตัวเอง และพิสูจนค์ วามรูด้ ว้ ยตนเอง จนเกดิ ความเข้าใจ สแกนเพ่ืออ่านขอ้ มลู เพ่ิมเตมิ 33
โดย กมลรตั น์ ฉมิ พาลี โรงเรยี นถนนหกั พิทยาคม สาระส�ำคัญ การมองเหน็ สีของส่ิงของเกดิ จากการทแี่ สงจากแหลง่ กำ� เนดิ ตกกระทบกบั วตั ถกุ อ่ นทจี่ ะสะทอ้ นมายงั ตาของเรา จากนนั้ ตาและสมองของเราจะทำ� งานรว่ มกนั เพ่ือแปลงขอ้ มลู ของแสงทไี่ ดร้ บั ใหก้ ลายเปน็ สีต่าง ๆ ที่เรารบั รู้ เช่น การมองเหน็ สีแดง เพราะตาเรารับคล่นื แสงช่วงที่เปน็ สีแดงซ่ึงสะทอ้ นออก มาจากวตั ถุ ส่วนคล่ืนแสงทม่ี คี วามยาวคล่นื ชว่ งอ่นื ๆ ยังคงอยทู่ ว่ี ตั ถุนัน้ ดังน้ัน สีขาวท่ีเราเห็นก็เกิด จากการสะท้อนแสงทุกช่วงคล่ืนท่ีสามารถมองเห็นได้จากผิววัตถุเข้าตาของเรา ส่วนสีด�ำของวัตถุ เกดิ จากการดดู กลนื แสงทกุ ชว่ งคลน่ื เอาไวแ้ ละไมม่ ชี ว่ งคลน่ื ใดทเ่ี ราเหน็ ไดด้ ว้ ยเซลลป์ ระสาทรบั แสง ภายในดวงตา ยุทธศาสตรแ์ ละวธิ ีการออกแบบการจดั การเรียนรู้ 1. ฝึกต้งั ค�ำถามจากการสังเกต พานกั เรยี นไปบริเวณที่มตี น้ ไม้นอ้ ยใหญ่หลากหลาย เพ่ือสังเกตและตั้งคำ� ถามเกย่ี วกบั ต้นไม้ 2. หาความสัมพันธ์ของค�ำถาม นกั เรยี นรวบรวมคำ� ถามทง้ั หมดทำ� เปน็ ตารางความสัมพันธร์ ะหวา่ งคำ� ถาม วธิ กี ารหาคำ� ตอบ และระบุ วา่ อยากหาคำ� ตอบและไมอ่ ยากหาคำ� ตอบเพราะอะไร โพสตล์ งใน Facebook Group เพ่ือโหวตคำ� ถาม ที่ต้องการหาคำ� ตอบ เพ่ือสรา้ งความรู้สึกการเปน็ เจ้าของคำ� ถาม 34
3. เลอื กคำ� ถามท่ตี อ้ งการศึกษา คำ� ถามทีไ่ ด้รับการคัดเลือกนั้นก็คือ “ทำ� ไมใบไม้มสี ีเขียว” เพราะคนส่วนใหญ่ในหอ้ งลงความเห็นว่า เป็นค�ำถามท่ีเหมือนจะง่าย ๆ แต่ตอบไม่ง่ายเลย นักเรียนจะรวบรวมข้อมูลเพ่ือตอบค�ำถามด้วย กิจกรรมการเรยี นรู้ 4. สังเกต การสังเกตผลการทดลองจำ� ลอง (Lab stimulation) เร่อื ง Color vision จากโปรแกรม Phet 5. ทดลองขยายการเรยี นรู้ ต้ังค�ำถามว่า “เพราะเหตุใดจึงมองเห็นใบไม้ส่วนใหญ่เป็นสีเขียว อะไรจะเป็นหลักฐานในการตอบ คำ� ถามนี”้ ผา่ นกิจกรรมการทดลองท่แี ตกตา่ งกัน เพ่ือให้นักเรยี นได้สังเกตและระดมความคิด 6. สรุปการเรียนรู้รว่ มกัน นกั เรียนสรปุ ผลของแต่ละผลการทดลองนีร้ ่วมกนั วา่ ไดผ้ ลอย่างไร ผลลพั ธแ์ ละปั จจยั ความส�ำเร็จ นกั เรยี นมโี อกาสทจี่ ะลงขอ้ สรปุ จากหลกั ฐานทแ่ี ตกตา่ งออกไป อยา่ งไรกต็ าม การลงขอ้ สรปุ ข้นึ อยกู่ บั หลักฐานและหลักการในการสร้างข้อสรุป ครูจะเป็นผู้ช่วยในการเช่ือมโยงข้อมูล หลักฐาน กบั หลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ เพ่ือใหน้ กั เรยี นสรา้ งองคค์ วามรดู้ ว้ ยตนเอง จะเหน็ ไดว้ า่ รปู แบบกจิ กรรม เปน็ การใชก้ ารสังเกตข้อมลู อธิบายข้อมลู ทไ่ี ด้ ศึกษาความรเู้ พิ่มเตมิ และลงขอ้ สรุป เม่อื เทคโนโลยี กา้ วหน้าข้นึ จึงสามารถใชส้ มารท์ โฟนเปน็ หอ้ งแลปทางวทิ ยาศาสตร์ได้ สแกนเพ่ืออ่านขอ้ มูลเพ่ิมเตมิ 35
โดย วสุพงษ์ อิวาง โรงเรียนวดั เวฬุวนั สาระส�ำคัญ เป็นกิจกรรมบูรณาการ สอดแทรกเร่ืองการน�ำไฟฟ้ าของวัสดุ โดยให้นักเรียนป้ั น Monster ดว้ ยแป้งโดว์ ทมี่ ีส่วนผสมแตกตา่ งกันตามสูตรทค่ี รูตัง้ ไว้ เพ่ือทดสอบคุณสมบัตกิ ารนำ� ไฟฟ้า ยุทธศาสตร์และวิธีการออกแบบการจัดการเรียนรู้ 1. กระตุน้ การเรยี นรู้ผ่านการสร้างตวั แทน Monster ชวนนักเรียนสรา้ ง Monster ท่ีดปี ระจ�ำตวั เองข้นึ มา โดยต้งั ช่อื ของ Monster เลือกแหล่งกำ� เนิดจาก ดวงดาวในระบบสุริยะ ออกแบบลักษณะภายนอกให้สอดคล้องกับลักษณะดวงดาวในระบบสุริยะ และระบลุ กั ษณะนสิ ัยที่ดีให้สอดคล้องกบั เจ้าของ Monster 2. ทดลองป้ั นแป้งโดวส์ ร้าง Monster ท่นี ำ� ไฟฟ้าได้ ใหน้ กั เรยี นทำ� แป้งโดว์ โดยใหน้ กั เรยี นคน้ หาสูตรดว้ ยตวั เอง ใหเ้ คลด็ ลบั แตล่ ะกลมุ่ ในการทำ� แป้งโดว์ กลุ่มละ 1 เคล็ดลบั โดยการสุ่มจบั ฉลากเคล็ดลับการทำ� 3. ทดสอบ ทดสอบการนำ� ไฟฟ้าของแป้งโดว์ โดยใช้ หลอดไฟ LED 1.5 V สีต่างกนั (แดง น้ำ� เงนิ เขยี ว) ถ่าน 9 V 1 ก้อน และสายไฟ แดง ดำ� ตอ่ ปากคบี จระเข้ 4. นำ� เสนอการเรียนรู้ น�ำแป้งโดว์ท่ีได้ป้ั นเป็น Monster ท่ีดีประจ�ำตัว และต่อวงจรไฟฟ้าให้ไฟติด พร้อมท้ังน�ำเสนอ อัดคลปิ วีดโี อ 36
ผลลพั ธแ์ ละปั จจัยความส�ำเร็จ นกั เรยี นเกดิ ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ จากความสงสัยวา่ “ทำ� ไมแป้งนำ� ไฟฟ้าได”้ เกดิ ความคดิ รวบยอด ทางวทิ ยาศาสตร์ทด่ี ขี ้ึนเกิดบรู ณาการท้ังเน้ือหา และทกั ษะหลายดา้ น ท้งั สถานะของสาร ทักษะการ สังเกต การตง้ั สมมติฐาน การช่งั ตวง วัด เพ่ือใหไ้ ดส้ ูตรแป้งโดว์ทดี่ ีทส่ี ุดออกมา และการท�ำความดี ไม่ใช่เร่ืองยาก โดยนักเรียนเห็นตัวอย่างความดีจากลักษณะนิสัยท่ีดีของ Monster ท่ีเขาสร้างข้ึน เปรียบเสมือนเป็นภาพสะท้อนตัวตนของนักเรียนเอง รวมทั้งเกิดการฝึกฝนในเร่ืองของอภิปัญญา เกิดการตระหนักรู้ถึงการคิด นักเรียนพบว่าในการท�ำแป้งโดว์ครั้งแรกที่ไม่มีสูตร นักเรียนต้อง แก้ปัญหาแบบลองผิดลองถูก เม่ือนักเรียนมีประสบการณ์มากย่ิงข้ึน ได้รับข้อมูลจากเคล็ดลับของ ครู และการสังเกตกลุ่มเพ่ือน นักเรียนเริ่มค้นพบสูตรแป้งโดว์ของกลุ่มตัวเอง เป็นกระบวนการ แก้ปั ญหาอย่างเป็นระบบ เม่ือเขาท�ำอีกในคร้ังหลัง ๆ คุณภาพของแป้ งโดว์จะดีข้ึนเร่ือย ๆ เปรยี บเสมอื นการทำ� งานของนกั วทิ ยาศาสตรท์ ย่ี ิง่ ใหญห่ ลาย ๆ คน กวา่ จะสรา้ งสิ่งประดษิ ฐ์ไดส้ �ำเรจ็ พวกเขาต้องลองถกู ลองผดิ นบั ครง้ั ไมถ่ ้วน สแกนเพ่ืออ่านขอ้ มูลเพ่ิมเตมิ 37
โดย วิลาวลั ย์ แท่นแก้ว โรงเรยี นชยั สิทธาวาส “พัฒน์ สายบำ� รุง” สาระส�ำคญั นักเรียนเข้าใจความหมายของคล่ืนจากการส่งต่อพลังงานจากที่หน่ึงไปยังอีกที่หน่ึงเม่ือถูกรบกวน ตัวนักเรียนที่เป็นคนยกมือ เปรียบเสมือนตัวกลางในการส่งต่อพลังงาน จะได้คอนเซ็ปต์เก่ียวกับ การจ�ำแนกคล่ืนตามลักษณะของตัวกลาง ขณะเล่นจะได้ลักษณะการเคล่ือนที่ของตัวกลาง (คล่ืน ตามยาว คล่นื ตามขวาง) และความต่อเน่อื งของคล่ืน (คล่ืนดล คล่นื ต่อเน่อื ง) ยทุ ธศาสตร์และวิธกี ารออกแบบการจัดการเรยี นรู้ 1. กระตุน้ การเรยี นรูผ้ ่านกิจกรรมเคล่อื นไหว นักเรยี นยืนจับมือลอ้ มกันเปน็ วงกลมวงใหญ่ 1 วง ใหม้ พี ้ืนที่ในการยกมือข้นึ ได้ ตวั แทน 1 คน ยืนอยู่ กลางวง ครเู ตรยี มเพลงสนกุ ๆ เพ่ือปลกุ ความบนั เทิงในตวั นักเรียน 2. เรยี นรูผ้ ่านกิจกรรมไลจ่ บั คล่นื ครเู รม่ิ ตน้ เรยี กชอ่ื ใครกไ็ ดท้ ไ่ี มไ่ ดย้ นื อยกู่ ลางวง 1 ชอ่ื เปน็ คนเรมิ่ เกมนกั เรยี นคนทถ่ี กู เรยี กชอ่ื จะตอ้ ง เป็นคนเริ่มยกมือข้างขวาท่ีก�ำลังจับกับเพ่ือนอีกคนหน่ึงอย่างสุดแขนแล้วเอามือลง คนถัดมาจาก คนแรกกย็ กมอื ตอ่ กนั ไปเรอ่ื ย ๆ (เหมอื นผชู้ มกำ� ลงั เลน่ Wave กนั ในคอนเสิรต์ ) คนทอ่ี ยกู่ ลางวงตอ้ ง รบี วง่ิ ไปตมี อื ทก่ี ำ� ลงั ยกสูงอยใู่ หไ้ ด้ ถา้ ตที นั คนทถ่ี กู ตจี ะตอ้ งมาอยกู่ ลางวงแทน เพ่ือเพ่ิมความเมามนั สามารถส่งคล่นื ยอ้ นกลบั มาทางเดมิ ได้ เพ่ือใหค้ นที่ยืนอยูก่ ลางวงเดาทางไมถ่ กู 38
3. ถอดบทเรยี น หลังจบกิจกรรมอาจเร่ิมถามนักเรียนก่อนว่า “รู้สึกอย่างไรจากการท�ำกิจกรรม” จะช่วยให้ค่อย ๆ คลายสิ่งทนี่ กั เรยี นอยากพูดออกมา และทำ� ใหอ้ ยากถอดบทเรยี นมากข้ึน นกั เรยี นจะเขา้ ใจความหมาย ของคล่ืนจากการส่งต่อพลังงานจากที่หน่ึงไปยังอีกท่ีหน่ึงเม่ือถูกรบกวน ตัวนักเรียนท่ีเปน็ คนยกมือ เปรียบเสมือนตัวกลางในการส่งต่อพลังงาน ตรงนี้จะได้ concept เก่ียวกับการจ�ำแนกคล่ืนตาม ลักษณะของตัวกลาง ขณะก�ำลังเล่น ให้สะท้อนลักษณะการเคล่ือนท่ีของตัวกลาง (คล่ืนตามยาว คล่นื ตามขวาง) และความต่อเน่อื งของคล่ืน (คล่ืนดล คล่นื ตอ่ เน่ือง) ผลลัพธแ์ ละปั จจยั ความส�ำเร็จ กิจกรรมอาจใช้เวลา อย่าไปกลวั ว่าจะเสียเวลาสอน ใหเ้ ช่อื เถอะว่าเด็กจะเกิดการเรยี นร้จู ากการเล่น และจำ� ไปจนตาย โดยไมต่ อ้ งมานั่งทอ่ งจ�ำความหมาย ชนิด และส่วนประกอบของคล่ืน กจิ กรรมน้ี อาจมีเสียงดงั แต่บอกเลยว่าเปน็ เสียงดงั ของการเรียนรู้ สแกนเพ่ืออ่านข้อมูลเพ่ิมเตมิ 39
ไอเดยี ระดับเหรยี ญทองแดง Science Inspirator 40
โดย คมสัณห์ จนั สอน โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รชั ดา สาระส�ำคญั กจิ กรรมการเรยี นรโู้ ลกและดาราศาสตร์ ทม่ี ุ่งเน้นให้นกั เรียนได้ลงมือทำ� กจิ กรรม เพ่ือให้เกดิ ทกั ษะ การคิดวิเคราะห์ ทักษะการอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางหลักวิทยาศาสตร์ และมีหลักฐาน ประจักษ์พยาน ส่งเสรมิ ใหน้ กั เรยี นเกดิ การสรา้ งความรทู้ างดาราศาสตรด์ ว้ ยตนเอง ยทุ ธศาสตร์และวธิ กี ารออกแบบการจัดการเรยี นรู้ 1. กระต้นุ การเรียนรู้ ตั้งค�ำถามกับนักเรียนให้เกิดความสงสัย และกระตุ้นการเรียนรู้ของนักเรียน เพ่ือตรวจสอบความรู้ และประสบการณเ์ ดิมของนกั เรยี นเกีย่ วกับโครงสรา้ งโลก ตำ� แหนง่ ตา่ ง ๆ บนโลก 2. ตรวจสอบความรู้ ให้นักเรียนแต่ละคนวาดภาพแบบจ�ำลองของโลกพร้อมระบุต�ำแหน่งพิกัดต่าง ๆ จากความรู้และ ประสบการณเ์ ดมิ ออกมาเปน็ ภาพวาด และทำ� ให้ครูผ้สู อนไดท้ ราบความรู้เดิมของนักเรียนในการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนใหส้ อดคลอ้ งและเหมาะสมกบั ความรู้ พัฒนาการของนักเรียน 3. สร้างแบบจ�ำลอง นกั เรยี นนำ� ความรแู้ ละประสบการณเ์ ดมิ ทแี่ สดงออกทางภาพวาดแบบจำ� ลอง สู่การสรา้ งแบบจำ� ลอง ตามความคดิ และความรเู้ ดมิ ของนกั เรยี น ใหอ้ อกมาเปน็ แบบจำ� ลอง 3 มติ ิ ขนั้ นน้ี กั เรยี นไดจ้ บั สัมผสั และลงมอื ทำ� กจิ กรรมดว้ ยตนเอง ตามความเขา้ ใจของตนเอง โดยครผู สู้ อนเปน็ ผกู้ ระตนุ้ การคดิ ของ นักเรยี นโดยใช้คำ� ถาม และท�ำใหน้ กั เรียนรู้สึกผอ่ นคลาย ไมต่ งึ เครียดในการเรยี นรู้ และให้นกั เรยี น สามารถใช้อปุ กรณต์ ่าง ๆ ไดท้ ุกอยา่ ง เพ่ือเปน็ การเปดิ ความคิดของนักเรยี นและกลา้ ทจ่ี ะลงมอื ทำ� กจิ กรรมทแ่ี สดงถงึ ความรู้และทกั ษะของตนเอง 41
4. อภิปรายและแลกเปล่ยี นความรู้ นกั เรยี นนำ� เสนอแบบจำ� ลองของตนเองตอ่ เพ่ือนในกลมุ่ เพ่ือแลกเปลย่ี นเรยี นรเู้ กยี่ วกบั การระบพุ ิกดั บนโลก และตรวจสอบความเข้าใจของตนเองและเพ่ือนท่ีได้น�ำเสนอร่วมกัน จากน้ันนักเรียนน�ำผล ทไี่ ด้จากการแลกเปลยี่ นความรูแ้ ละน�ำเสนอมาปรบั ภาพแบบจำ� ลองของตนเอง ผลลัพธแ์ ละปั จจยั ความส�ำเร็จ นักเรียนแต่ละคนสามารถสร้างความเข้าใจ และสร้างความรู้ของตนเองข้ึนมาได้ใน เร่ืองการระบุ ต�ำแหน่งในระบบพิกัดโลก และนักเรียนสามารถแปลความหมายข้อมูลและใช้ประจักษ์พยานเชิง วิทยาศาสตร์ ซ่ึงในการสร้างแบบจ�ำลองและภาพวาดแบบจ�ำลองเปน็ การวดั และประเมนิ สมรรถนะ วทิ ยาศาสตร์ PISA ของนักเรียนในการแปลความหมายของแบบจำ� ลอง และมกี ารใช้ประจักษ์พยาน เชงิ วทิ ยาศาสตรท์ สี่ อดคลอ้ งกบั ความรู้ ทฤษฎที เ่ี ปน็ จรงิ ส่งผลใหน้ กั เรยี นสามารถนำ� ความรดู้ งั กลา่ ว เช่ือมโยงกบั ความรเู้ ร่อื งโลกและดาราศาสตร์อ่นื ๆ ได้ สแกนเพ่ืออา่ นข้อมลู เพ่ิมเติม 42
Search