Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ธรรมะโดนใจ 2

ธรรมะโดนใจ 2

Published by Dharma Online, 2021-01-12 06:18:54

Description: ธรรมะโดนใจ 2

Search

Read the Text Version

บางส่วนจากพระธรรมเทศนา หลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช รวมรวมโดย ลกู ศษิ ย์หลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช

บางสว่ นจากพระธรรมเทศนา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช รวมรวมโดย ลกู ศิษย์หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช พมิ พ์คร้งั ท่ี ๑ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๘ จำ� นวน ๑๒,๐๐๐ เลม่ สงวนลขิ สทิ ธิ์ ห้ามพิมพ์จ�ำหน่ายและห้ามคัดลอกหรือตัดตอนไปเผยแพร่ทาง สือ่ ทกุ ชนดิ โดยไมไ่ ดร้ ับอนุญาตจากผู้เขยี น หรอื มลู นิธิส่อื ธรรม หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ผู้สนใจอ่านหรือฟังพระธรรม เทศนา สามารถดาวน์โหลดได้จาก http://www.dhamma.com ดำ� เนนิ การพมิ พโ์ ดย บริษทั พรมี า พบั บลชิ ชงิ จำ� กัด ๓๔๒ ซอยพฒั นาการ ๓๐ ถนนพฒั นาการ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรงุ เทพฯ ๑๐๒๕๐ โทร. ๐๒-๗๑๗๕๑๑๑ หนังสอื เล่มน้มี ูลนธิ หิ ลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช จัดพมิ พ์ด้วยเงินบรจิ าค ของผมู้ จี ติ ศรทั ธาเพอ่ื เปน็ ธรรมทาน เมอ่ื ทา่ นไดร้ บั หนงั สอื เลม่ นแ้ี ลว้ กรณุ า ต้ังใจศึกษาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งแก่ตนเองและผู้อ่ืน เพื่อให้สม เจตนารมณข์ องผบู้ ริจาคทุกๆ ทา่ นด้วย

ค�ำนำ� หนงั สอื ชดุ ธรรมะโดนใจ เปน็ การรวบรวมคำ� สอนของ หลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช ซงึ่ แสดงธรรมในสถานทต่ี า่ ง ๆ เขา้ ดว้ ยกนั โดนแบง่ เปน็ หวั ขอ้ ยอ่ ยตา่ ง ๆ ทโ่ี ดนใจ และ สามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจของคนฟังไปในทางที่ดีข้ึนมา แลว้ อยา่ งนบั ไมถ่ ว้ น ธรรมะโดนใจเลม่ แรกนนั้ ไดร้ บั ความนยิ มเปน็ อยา่ งมาก ในความโดนใจ อา่ นงา่ ย และไมย่ าวจนเกนิ ไป ทางมลู นธิ ิ สอ่ื ธรรมหลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช จงึ เหน็ ประโยชนใ์ น การจดั พมิ พเ์ ลม่ ท่ี ๒ ขนึ้ เพอ่ื ใหโ้ ดนใจผศู้ กึ ษาปฏบิ ตั ิ อนั จกั นำ� มาซง่ึ สติ สมาธิ ปญั ญา ศรทั ธา และความเพยี รที่ เพม่ิ พนู ขนึ้ เพอ่ื พาตวั เองออกจากสารวฏั ตอ่ ไป ลกู ศษิ ยห์ ลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช ๘ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๘



ในโลกไมม่ ีอะไร เป็นท่พี ึง่ ได้

มศี ลี ถงึ จะได้เปน็ คน ตน้ ทนุ เดิมของเรา เราตอ้ งมศี ีลมา แล้วถึงเกิดมาเป็นคนอย่างน้ี แล้วเราก็ต้องมีคุณงาม ความดพี อสมควร แตล่ ะคน ๆ มีอยู่มกี นิ มกี ารศกึ ษา มี รา่ งกายสมบรู ณ์ นเ่ี ปน็ ตน้ ทนุ เดมิ แตก่ อ่ น เรามธี าตมุ ขี นั ธ์ ท่ีดี เรามีโอกาสได้ฟังธรรม คนไม่มีต้นทุนไม่มีโอกาส หรอก คนในโลกมีตั้งเท่าไหร่ อย่าว่าแต่คนในโลกเลย คนไทยแท้ ๆ จะไดฟ้ งั ธรรมถงึ ขนั้ ปรมตั ถจ์ รงิ ๆ มไี มม่ าก หรอก พวกเราไดย้ ินไดฟ้ ังถึงข้นั วธิ แี ยกธาตุแยกขันธ์ วธิ ี ทจ่ี ะเหน็ ธาตขุ นั ธแ์ สดงไตรลกั ษณ์ อนั นเี้ ปน็ ศาสตรช์ นั้ สงู ทพี่ ระพุทธเจ้าตรัสรู้มา ถา้ ไมม่ บี ุญ ไม่ไดย้ ินหรอก เรามี ทนุ เดมิ ดีอยู่แล้ว เราก็ยงั มีทุนปัจจบุ ันอยู่ ยงั มเี ร่ียวแรง อยู่ เราต้งั อกตั้งใจภาวนา อย่าใหเ้ สียเวลาเปลา่ ๆ เรารู้ ว่าหน้าท่ีหลักในชีวิตของเราคือ การยกระดับจิตใจของ เราให้ใกล้มรรคผลนิพพานเขา้ ไปเรอ่ื ย ๆ ๖

ในโลกไม่มีอะไรเป็นท่ีพ่ึงของเราได้หรอก อย่าง ตอนเด็ก ๆ เราพง่ึ พ่อพึง่ แม่ พอ่ แมก่ ไ็ มไ่ ด้ให้เราพ่ึงตลอด นิรันดร สุดท้ายต้องมาพึ่งเราซะอีกบางที มาพ่ึงลูก เราหาที่พึ่ง พอเราอายเุ ยอะอยากพึง่ ลูก มันไมใ่ ห้เราพง่ึ หรอก มนั ก็ไปให้ลูกของมันพ่งึ เรากไ็ มม่ ีทพ่ี ่งึ หรอก บาง คนกห็ วงั วา่ จะมชี อ่ื เสยี ง มเี งนิ มที องเปน็ ทพี่ งึ่ หลวงพอ่ เคย เจอคนแก่ เก็บเงินเก็บทองไว้เยอะเลย ทองเป็นตะกร้า เลย แกเ่ ขา้ จรงิ ๆ ไมค่ อ่ ยรเู้ รอ่ื งอะไร คนขา้ งบา้ นมาหยบิ ไปหมดเลย ไม่รู้หรอก ไม่เสียดายด้วยเพราะไม่รู้ เอา ทรัพย์สนิ เงนิ ทองเป็นที่พึง่ พง่ึ ไมไ่ ด้อกี กระทั่งร่างกายของเรานี้เอาเป็นท่ีพึ่งก็ไม่ได้ พอ แกเ่ ฒ่ามันกต็ อ้ งพึง่ คนอื่นซะอกี พ่ึงตัวเองก็ไม่ได้ จะไป ไหนไม่มใี คร เคา้ จูงให้ เคา้ อมุ้ ให้ ก็คอ่ ย ๆ ถัดไป ถัดไม่ ไหวก็นอนจมอจึ มฉีอ่ ยู่น่นั ละ่ น่เี ราหาทีพ่ งึ่ ไมไ่ ด้ ฉะนนั้ เรารบี ขวนขวายเอาตน้ ทนุ ทเ่ี รามี ทง้ั ตน้ ทนุ ในอดีตชาติและต้นทุนในปัจจุบัน มีเวลาก็ต้ังอกตั้งใจ ๗

ภาวนา ยกระดบั ใจของเราขึน้ ไป วันหน่ึงเราจะพ้นจาก กองทุกข์อันน้ีไป กองทุกข์ตัวร้ายเลยก็คือกายกับใจเรา น้ีเอง ไม่เห็นอะไรจะเป็นกองทุกข์เท่ากายเท่าใจน้ีเลย ธาตุขันธ์น้ีมีแต่ทุกข์ท้ังนั้นเลย มาเรียนรู้มันเข้าไป พระพุทธเจ้าสอนวิธีที่จะออกจากทุกข์ไว้แล้ว ออกจาก ทกุ ขก์ ค็ อื ออกจากธาตขุ นั ธ์ พน้ ทกุ ขก์ ค็ อื พน้ จากธาตขุ นั ธ์ ดบั ทุกขก์ ค็ ือความดบั สนิทของธาตขุ นั ธ์ ของท่ีดที ส่ี ุดทเ่ี รารกั ทีส่ ุด หวงแหนทีส่ ดุ ก็คือกาย นี้ใจน้ี ธาตขุ นั ธเ์ รานี้ ที่จริงเป็นศัตรูตัวร้ายที่สดุ เลย เรา เลี้ยงมันมาตั้งแต่เลก็ ๆ เห็นไหม เลยี้ งมันมาถึงวันหน่ึง มนั ทรยศหักหลังเรา ส่วนใหญ่มนั จะมาหกั หลงั เราตอน เราแกต่ อนเราเจบ็ อย่างน้ี สว่ นหน่ึงของพระธรรมเทศนา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช วันที่ ๓๑ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ จากซีดแี สดงธรรม ณ วดั สวนสันติธรรม แผน่ ที่ ๕๓ ไฟล์ ๕๖๑๒๓๑A ๘

อารมณ์ในการทำ� กรรมฐาน

ศาสนาพทุ ธเปน็ ศาสนาของคนทต่ี อ้ งเขม้ แขง็ เปน็ ศาสนา ทที่ า่ นสอนใหช้ ว่ ยตวั เอง ตา่ งกบั ศาสนาอน่ื ลทั ธอิ นื่ ทขี่ อ ให้เทวดาช่วย ให้คนโน้นคนน้ีช่วย ศาสนาพุทธเป็น ศาสนาที่พ่ึงตนเอง ตนเป็นท่ีพ่ึงของตนเอง การจะพึ่ง อันแรกเลยก็คือขยันศึกษา จนกระท่ังเราสามารถเห็น สภาวธรรมได้ เหน็ สภาวธรรมกม็ รี ปู ธรรม - นามธรรม ทีป่ ระกอบกนั ข้นึ มาเป็นตวั เรา ถ้าไม่เหน็ รูปธรรมไมเ่ ห็นนามธรรมทีป่ ระกอบกัน เป็นตัวเราจะไม่เห็นไตรลักษณ์อย่างแท้จริง เพราะ ไตรลักษณ์แสดงอยูใ่ นรปู ธรรม - นามธรรมน้เี ทา่ น้ัน ไม่ แสดงอยู่ในความคิดนึกทั้งหลาย ส่ิงที่จิตไปรู้เรียกว่า อารมณ์ อารมณแ์ ปลวา่ สงิ่ ทถี่ กู รู้ จติ คอื ผทู้ ไ่ี ปรอู้ ารมณ์ อารมณม์ หี ลายอยา่ ง ๑. อารมณ์บัญญัติ คือเรื่องราวที่เราคิดนึกปรุง แตง่ ขน้ึ มา อยา่ งบญั ญตั คิ นไทยเรยี กอยา่ งน้ี คนจนี เรยี ก อยา่ งน้ี ฝรั่งเรียกอย่างนี้ ไม่เหมือนกนั เรยี กไม่ตรงกนั ๑๐

หรอก ส�ำนักต่าง ๆ ก็มักจะบัญญัติศัพท์ขึ้นเองแล้วไม่ ตรงกัน คุยกนั ไมร่ เู้ รื่อง อารมณ์บญั ญตั ไิ มม่ ีสภาวธรรม รองรับ เปน็ ของเพอ้ ฝนั เอา ตกลงกันเอาเองวา่ เอาอย่าง น้ี ท่ีเรยี กสมมตุ ิบญั ญัติ มบี างคนไปม่ัววา่ สมมุติตรงขา้ ม กับวิมุตติ คนละเร่ืองกันเลย สมมุติ คือสมั มติ มีมตริ ่วม กนั มคี วามเหน็ ร่วมกันของคนกล่มุ ใดกลุ่มหน่ึง อันน้ีคือ อนั น้ี ๆ คิดนึกบัญญัตปิ รุงแต่งไป วิมุตติ ความหลดุ พน้ คนละเร่อื งกนั รากศัพทค์ นละตัวกัน อารมณบ์ ญั ญัตเิ อา มาทำ� วปิ สั สนาไมไ่ ด้ เพราะไม่มีสภาวะรองรับ ไมม่ จี ริง สมมตุ ิกนั ข้ึนมาเอง ๒. อารมณร์ ปู นาม รปู ธรรม - นามธรรม อนั นม้ี ี สภาวะรองรบั อยา่ งความสขุ ของคนไทย ของคนจนี ของ ฝรั่ง มันก็สุขอย่างเดียวกัน หมาแมวมีสุข ก็สุขอย่าง เดียวกนั เทพพรหมมสี ขุ กส็ ขุ อย่างเดยี วกนั ความรู้สกึ เหมือน ๆ กัน หรอื ไฟรอ้ น ลกั ษณะของไฟคือความร้อน คนไทยถกู ไฟไฟกล็ วก คนจนี ถกู ไฟไฟกล็ วกเหมอื น ๆ กนั เวลาเรยี นท่จี ะท�ำวปิ ัสสนากรรมฐาน ต้องเรยี นเข้ามาให้ ๑๑

ถงึ อารมณร์ ปู นาม เรยี กวา่ สภาวะ มสี ภาวธรรมรองรบั จริง ๆ มิใชเ่ ล่อื นลอยเพ้อฝันเอา ๓. อารมณน์ พิ พาน เปน็ อารมณท์ ไี่ มแ่ สดงไตรลกั ษณ์ มเี อกลกั ษณค์ อื มคี วามเปน็ อนตั ตาอยา่ งเดยี ว ไมม่ อี นจิ จงั ทกุ ขงั ไมม่ เี จา้ ของ ปถุ ชุ นมองไมเ่ หน็ เอามาทำ� วปิ สั สนา ไมไ่ ด้ เราไมเ่ หน็ นพิ พานมสี ภาวธรรมรองรบั จะตา่ งจาก อารมณบ์ ญั ญตั ไิ มม่ สี ภาวธรรมรองรบั สภาวะของนพิ พาน คอื สนั ติ ทน่ี ว่ี ดั สวนสนั ตธิ รรม กค็ อื นพิ พานนนั่ เอง นพิ พาน เทยี่ ง นิพพานสุข นิพพานเป็นอนตั ตา ฉะนนั้ เวลาทีเ่ ราจะท�ำกรรมฐาน เราตอ้ งรวู้ า่ เรา จะใช้อารมณอ์ ะไร สมถะใช้อารมณ์ไดท้ งั้ ๓ อยา่ ง ใช้ อารมณบ์ ญั ญตั ิก็ได้ เชน่ เราบริกรรมพทุ โธ พุทโธเปน็ บญั ญตั ิ บรกิ รรมพทุ โธ ๆ หรอื บรกิ รรมอยา่ งโนน้ อยา่ ง น้ี อารมณบ์ ญั ญตั จิ ะบรกิ รรมอยอู่ นั เดยี ว ใจชอบบรกิ รรม อนั นนั้ ใจก็สงบอยใู่ นอารมณอ์ ันเดยี ว อย่างน้ีก็สงบได้ ๑๒

อารมณร์ ปู นามกใ็ ชท้ ำ� สมถะได้ อยา่ งเอาไฟมาตงั้ เขา้ จดุ เทยี นแลว้ กเ็ พง่ มนั อยอู่ ยา่ งนนั้ เพง่ จอ้ ง อนั นเี้ ปน็ รปู ทต่ี ามองเหน็ ไมใ่ ชเ่ พง่ ธาตไุ ฟ ธาตไุ ฟรสู้ กึ ดว้ ยรา่ งกาย อยา่ งเราจดุ เทยี นมาตง้ั ไว้ เราเหน็ เทยี นนด้ี ว้ ยตา เปน็ รปู อยา่ งหนง่ึ เรยี กวา่ วรรณรปู รปู คอื สี เราเหน็ สขี องเทยี น สีของไฟ เราจอ้ งอย่อู ย่างนี้ หรือจอ้ งอยู่ท่แี สงสว่างเป็น รปู นามธรรมกใ็ ชท้ �ำสมถะได้ อยา่ งเราเพง่ จติ ของเราให้ นิ่ง จอ้ งอยทู่ ต่ี วั รู้ จอ้ งหรอื เพง่ ความว่าง ความไมม่ ีอะไร กไ็ ปสู่ความไม่มีรูป กท็ ำ� สมถะได้ นิพพานก็ใช้ท�ำสมถะได้ส�ำหรับพระอริยบุคคล ปุถุชนเอานิพพานมาท�ำสมถะไม่ได้เพราะไม่เคยเห็น เวลาพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีจะท�ำ สมถะโดยใช้นิพพานเป็นอารมณ์ ท่านทำ� ได้หลายอย่าง ใช้รูปอื่น ๆ เป็นอารมณ์ก็ได้ ใช้นิพพานเป็นอารมณ์ก็ ได้ แตถ่ า้ จะใชน้ พิ พานเปน็ อารมณน์ ี่ พระโสดาบนั พระ สกทาคามี พระอนาคามที า่ นจะไปผา่ นวปิ สั สนามา จะไป ดูเกิดดับมา ดูไปจุดหน่ึงแล้วจิตวางรูปนามไปสัมผัส ๑๓

อารมณ์นิพพาน แต่พระอรหันต์ช�ำนาญในพระนิพพาน แลว้ แค่มนสกิ าร แค่นกึ ถงึ ก็เหน็ เลย อยูต่ ่อหน้าแล้ว พวกเราไม่เห็นหรอก พวกเราจะเห็นความว่าง แลว้ กค็ ิดว่าความวา่ งเป็นนิพพาน ไมใ่ ช่ ความว่างที่พวก เราเห็นเป็นของที่มีคู่ คือมีความวุ่นวายคู่กันอยู่ เป็นคู่ ระหวา่ งความมกี บั ความไมม่ ี เพราะฉะนนั้ ยงั ไมใ่ ชน่ พิ พาน ตวั จรงิ นพิ พานมหี นง่ึ ไมม่ คี ู่ อยา่ งทบี่ างคนบอกวา่ ปฏบิ ตั ิ ไปมองความว่าง บอกดูสุญญตา อันน้ันไม่ใช่สุญญตา อนั น้นั ช่อื อากาสานญั จายตนะ ท�ำสมถะใช้อารมณ์ได้ทุกชนิด แต่วิปัสสนาใช้ อารมณไ์ ดอั นั เดยี วคอื อารมณร์ ปู นาม เพราะมนั มสี ภาวะ รองรบั แล้วก็มีของจรงิ มขี องจริงรองรบั แลว้ ของจรงิ นั้นแสดงไตรลักษณ์ดว้ ย พวกเราตอ้ งแยกให้ออก ถ้าเรา ท�ำสมถะนี่ท�ำง่ายมาก อะไรก็ได้ท่ีใจชอบ แต่ถ้าท�ำ วปิ สั สนาตอ้ งรู้รูปนาม รูอ้ ย่างท่ีเขาเป็น ไมใ่ ช่คดิ เอานะ คดิ เอาเป็นอารมณ์บญั ญตั ทิ ันที ๑๔

เพราะฉะนน้ั พวกเราตอ้ งหลดุ ออกจากความคดิ ให้ ได้ อย่ากลวั โง่ ทคี่ ิดมากเพราะกลัวโง่ กลัวไม่รู้ ไอค้ วาม คิดนั่นแหละปิดบังความจริง ความคิดกับความจริง คนละอันกนั เรียนกรรมฐานกล้าหาญหน่อย อย่ากลัวโง่ บางทีครูบาอาจารย์บอกให้รู้ซื่อ ๆ รู้โง่ ๆ ไปอย่างนั้น อยา่ งนั้นยิ่งดี รู้อย่างที่มนั เปน็ ไม่ต้องคิดมาก อยา่ งเวลาพูดค�ำว่า “ดจู ิต” ขน้ึ มาอยา่ งน้ี พวกท่ี โตหนอ่ ยเปน็ ผใู้ หญแ่ ลว้ จะเรมิ่ คดิ จติ คอื อะไร จติ อยทู่ ไี่ หน จะเอาอะไรไปดู จะดูอย่างไร ปัญหามากเลย เลยดจู ติ ไม่ ได้สักที เด็กเล็ก ๆ บอกให้ดูจติ มันดูเลย แลว้ ร้เู ลย ตอน น้ีจติ หนสู ขุ จติ หนทู กุ ข์ จติ หนรู ัองเพลงอยู่ จิตหนกู ลวั ผี อยู่ มนั เห็นเลย ไมค่ ดิ มากกร็ ้งู ่าย คิดมากยากนาน พวก ที่เรียนไม่ส�ำเร็จสักทีคือพวกคิดมากยากนาน กล้า ๆ หนอ่ ย อย่ากลัวโง่ หดั รู้ความรสู้ กึ ของเรา มนั มีอยู่ ไม่ใช่ ไมม่ ี ส่วนหนงึ่ ของพระธรรมเทศนา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช วนั ที่ ๑๔ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ จากซีดแี สดงธรรม ณ วัดสวนสันติธรรม แผน่ ที่ ๕๗ ไฟล์ ๕๗๑๒๑๔ ๑๕



สมถกรรมฐาน ทำ�ไปเพ่อื อะไร

สมถกรรมฐานท�ำไปเพ่ือให้จิตใจได้พักผ่อน จิตใจสงบ จิตใจจะมีแรงมีพลัง จิตใจกับร่างกายแตกต่างกัน ร่างกายเคลอ่ื นไหวมาก ๆ มพี ลงั จิตใจทห่ี ยุดนิง่ ถงึ จะมี พลัง เม่ือมีพลังแล้วก็ต้องรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์คือ เอาไปทำ� วปิ สั สนา ไมใ่ ชม่ พี ลงั แลว้ กอ็ ยเู่ ฉย ๆ ไปเลน่ อยา่ ง อื่น ไปดูอันโน้นไปดูอันนี้ หรือไปรกั ษาโรค ทำ� ได้ไหม ท�ำได้ แต่ยังไม่ใช่เป้าหมายท่ีพระพุทธเจ้าต้องการ เรา ปฏบิ ัติเพ่ือต้องการความพน้ ทกุ ข์สน้ิ เชิง อย่างเราไปรไู้ ป เหน็ ของภายนอก เราไปรจู้ ติ คนอนื่ เขามคี วามรสู้ กึ อะไร เรารู้หมดเลย ไม่ต้องมองหน้าเลย เขาอยู่ประเทศไหน เรานึกจะรู้ก็รู้เลย ส่ิงเหล่าน้ีไม่ได้มีประโยชน์อะไรเพ่ือ ความพน้ ทุกข์ เราไม่ได้มุ่งท�ำสมาธเิ พื่อสิง่ เหลา่ น้ี แต่มุ่ง ทำ� สมาธิเพอ่ื ให้ใจสงบมเี รย่ี วมแี รง พอใจสงบได้พกั ผอ่ นพอแลว้ เอาใจที่สงบแล้วนไ้ี ป เดนิ ปญั ญา ไปเจรญิ ปญั ญาทำ� วปิ สั สนากรรมฐาน ถา้ เรา ๑๘

ไมม่ คี วามสงบของใจเลย เวลาเราไปเดนิ ปญั ญาจะเหนอ่ื ย จิตใจจะรู้สึกแห้งแล้งไม่มีความสุข ถามว่าแล้วบรรลุ มรรคผลนิพพานได้ไหม ไปได้เหมือนกัน แต่ไปได้แบบ ลำ� บาก ไปไดแ้ บบแห้งแล้ง ไมม่ ีความสุขในขณะทป่ี ฏิบตั ิ ถ้าเราท�ำสมถะได้ เหมือนการเดินทางไกลที่มี เสบียงอาหารพร้อม มที ี่พกั พร้อม นัง่ รถยนต์ไป ไปถึง ตรงนค้ี ำ�่ แลว้ กม็ โี รงแรมใหน้ อน มบี า้ นใหอั ยู่ มนี ำ�้ ใหอ้ าบ มีขา้ วใหก้ นิ เช้าขน้ึ มาเดินทางต่อ อันนส้ี ภาวะคลา้ ย ๆ คนซ่งึ ท�ำสมถะได้ แต่คนท�ำสมถะไม่เป็น เดินวิปัสสนาอย่างเดียว เหมือนคนเดินทางไกลไม่มีอุปกรณ์อะไรเลย เดินเอา เดินไปเร่ือย ๆ ค�่ำท่ีไหนก็ไปนอนอยู่ไต้ต้นไม้ นอนอยู่ ขา้ งทาง ไมม่ ที พ่ี กั เหนด็ เหนอ่ื ยตรากตร�ำ อาหารกม็ กี นิ บ้างไม่มีกินบ้าง น�้ำมีอาบบ้างไม่มีอาบบ้าง เสื้อผ้ามี เปลี่ยนบ้างไม่มีเปล่ียนบ้าง ล�ำบาก ถามว่าเดินให้ถึง ปลายทางไดไ้ หม กไ็ ด้เหมอื นกันแตไ่ ดแ้ บบลำ� บาก ๑๙

ถา้ เราท�ำไดท้ ้ังสมถะและวปิ ัสสนาก็ดที ส่ี ดุ แต่ถา้ ท�ำได้อันเดียวให้ท�ำวิปัสสนา ล�ำบากเพื่อความพ้นทุกข์ ดกี วา่ สบายแลว้ ไมพ่ น้ ทกุ ขซ์ กั ที เรอื่ งอะไรชวี ติ เราจะตอ้ ง จมอยกู่ ับความทกุ ขต์ ลอดกาล ส่วนหนง่ึ ของพระธรรมเทศนา หลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช วันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘ จากซีดีแสดงธรรม ณ วดั สวนสันตธิ รรม แผน่ ท่ี ๕๙ ไฟล์ ๕๘๐๔๑๒A ๒๐

หลักในการท่ีจะ มารู้เทา่ ทันจติ ใจ

เวลาทเี่ ราไมไ่ ดท้ �ำสมาธิ เราอาศยั เวลาทต่ี า หู จมกู ลนิ้ กาย ใจ มากระทบอารมณ์ พอกระทบแลว้ เกิดสุขใหร้ ู้ เกดิ ทกุ ข์ให้รู้ เกิดกุศลให้รู้ เกดิ อกศุ ลใหร้ ู้ รู้แลว้ เจอแลว้ ไดอ้ ะไรขน้ึ มา รแู้ ลว้ เรากจ็ ะเหน็ เลยวา่ สขุ กช็ ว่ั คราว ทกุ ข์ ก็ชั่วคราว โลภ - โกรธ - หลงก็ชั่วคราว ดีก็ช่ัวคราว อย่างบางทีเกิดศรัทธา ศรัทธาก็อยู่ชั่วคราวเดี๋ยวก็ไม่ ศรทั ธาแลว้ เกดิ วิริยะมคี วามพากเพยี รแลว้ อยากปฏิบตั ิ อยู่ได้ช่ัวคราวเดี๋ยวก็ขี้เกียจแล้ว ของไม่เท่ียงเปลี่ยนไป เร่ือย ๆ มีสติ เด๋ียวก็ขาดสติอีกแล้ว สังเกตุไหมสติขาด บอ่ ย ใครรูส้ กึ สตขิ าดบ่อยบ้าง ถา้ รู้สกึ อยา่ งน้ดี ี ถ้าใคร รู้สึกสติฉันไม่เคยขาดเลย สติเท่ียง อันน้ีเวรกรรมแล้ว จริง ๆ แลว้ มนั เกดิ ดับตลอดเวลา กระทงั่ จติ กเ็ กดิ ดบั จิต ไม่ไดเ้ ท่ยี ง อยา่ ไปเข้าใจผิด ถา้ เห็นวา่ จติ เทย่ี งเป็นมจิ ฉา ทฏิ ฐิ เรยี กเปน็ “สสั สตทฏิ ฐ”ิ คงทอ่ี ยอู่ ยา่ งน้ี แทจ้ รงิ แลว้ เกดิ - ดบั ตลอดเวลา แตไ่ มไ่ ดด้ บั แลว้ สญู ถา้ ดบั แลว้ สญู กเ็ ป็นมิจฉาทฏิ ฐิช่ือ “อุจเฉททฏิ ฐ”ิ จะเกิดดบั สืบเนือ่ งกัน ๒๒

ไปเร่ือย ๆ ตามเหตุตามปจั จัย เรามาเฝา้ รู้ เราใหต้ า หู จมกู ลนิ้ กาย ใจ กระทบ อารมณไ์ ปตามธรรมชาติ ธรรมดา กระทบแลว้ เกดิ ความ รูส้ กึ ตา่ ง ๆ ขนึ้ ในจิตก็รไู้ ปตามธรรมชาติ ธรรมดา ไม่ แทรกแซง การแทรกแซงท�ำได้หลายแบบ เร่ิมตั้งแต่ แทรกแซงไม่ใหเ้ กดิ ความรู้สึก มตี าก็ดู มหี กู ็ฟัง มีใจก็คดิ การแทรกแซงไม่ใหร้ สู้ ึก เชน่ เวลาตาเห็นรปู แทรกแซง ได้ตั้ง ๔ แบบ นา่ อัศจรรยไ์ หม ความจริงอาจมีมากกวา่ น้นั แต่สตปิ ัญญาหลวงพ่อมองเหน็ ได้แค่ ๔ แบบ ถ้า พระพทุ ธเจา้ ทา่ นอาจมองเหน็ ได้ ๑๐๘ แบบกไ็ ด้ เราสาวก ปลายแถวเหน็ ได้ไม่มาก ๑. ในขณะทีต่ าเหน็ รปู ถา้ เราก�ำหนดอยูท่ ่ีรปู ท่ตี าเหน็ เอาสติไปจ่ออยู่สิ่งท่ีมองเห็น อันน้ีจิตจะนิ่งเฉยแล้ว แทรกแซงจิตแล้ว ๒. เราก�ำหนดอยู่ที่ประสาทตา ที่จอประสาทตา เอา สติจ้องอยู่ท่ีจอประสาทตาขณะที่เห็นรูป ใจก็จะเฉย นเ่ี ป็นการแทรกแซง ๒๓

๓. เวลาตากระทบรูป มีผัสสะเกิดข้ึน เอาสติจ่ออยู่ที่ ผสั สะ จ่ออย่ทู ่ตี รงจดุ กระทบ ที่การกระทบ จิตกจ็ ะเฉย ๔. เวลาตามองเหน็ รูป มีความรบั รู้ทางตา มีวิญญาณ ทางตาเกดิ ขนึ้ แลว้ จบั อยทู่ ว่ี ญิ ญาณทางตา จบั อยทู่ คี่ วาม รสู้ ึกทางตา ความรับร้ทู างตา จติ ก็จะเฉย เห็นไหมแค่ตาเห็นรูปก็ท�ำผิดได้ต้ัง ๔ แบบ ท่ี หลวงพ่อเหน็ นะ อาจมีมากกวา่ นน้ั แตเ่ กนิ สติปัญญา มัน ละเอยี ดมาก ดูไมท่ ัน ฉะนนั้ เวลาทตี่ ามองเหน็ รปู เหน็ กเ็ หน็ สิ ตอ้ งอยา่ ง นี้ มตี ากด็ กี วา่ ตาบอด มีตากเ็ หน็ รปู ถูกแล้ว พอเหน็ รปู แล้วมันจะส่งสัญญาณเข้ามาที่ใจ ขณะท่ีตามองเห็นรูป ขณะน้นั ไม่มสี ขุ ไมม่ ีทกุ ข์ ในขณะท่ีมองเหน็ ก็ไม่มีดี ไมม่ ี ช่วั ด้วย ในขณะที่ตามองเหน็ ดี - ช่ัวมาเกดิ ทหี ลัง สุข - ทกุ ขท์ างใจมาเกิดทหี ลัง ๒๔

ขณะท่ีตามองเห็นรูปเป็นอุเบกขาเฉย ๆ ถัดจาก นั้นมันจะส่งสัญญาณ พวกเรามองออกไหม พอตาเรา เหน็ ทแี รกเลยขณะทเี่ หน็ ใจจะเฉย ๆ แตจ่ ะสง่ สญั ญาณ เขา้ มาท่ีใจ มีการรบั สญั ญาณแลว้ แปลความหมาย แปล ความหมายเสร็จแล้วให้ค่าว่าคืออะไร เช่น นี่สาวสวย พอแปลได้อยา่ งน้ี ราคะกเ็ กิด หรือหนุ่มหลอ่ ราคะก็เกิด หมาบา้ ก�ำลงั วงิ่ มา โทสะคอื ความกลวั กเ็ กดิ จะเกดิ อยา่ ง นี้ ไม่ได้เกดิ ตอนที่ตามองเหน็ ไม่เกดิ ตอนทห่ี ูไดย้ ิน จมูก ได้กล่ิน ล้ินได้รส กายสัมผัส แต่เกิดเมื่อจิตท�ำงานสืบ เนื่องออกมาแลว้ ฉะน้ันเราไมไ่ ปหยุดจติ หา้ มท�ำงาน การไปหยุดจิตห้ามไม่ให้มันท�ำงานต่อนี่ ตาเห็น รปู ก็กำ� หนดอยู่ทีร่ ปู กำ� หนดอยทู่ ีป่ ระสาทตา ก�ำหนด อยู่ทผ่ี สั สะ กำ� หนดอยูท่ จ่ี ักขวุ ญิ ญาณจิต จติ คือความรบั รู้ทางตา อันน้ีคือการแทรกแซง ท�ำให้กระบวนการ ทำ� งานของจติ ทำ� ไดไ้ มเ่ ตม็ ที่ มนั ขาดสะบนั้ ลงตรงนนั้ เอง ๒๕

ฉะนั้นเราไม่ตอ้ งไปบังคบั มนั นะ มตี าก็ดู มีหกู ฟ็ ัง มีใจก็คดิ เม่ือมันดู มันฟงั มนั คิด มนั สัมผสั ต่าง ๆ แล้ว เกดิ สขุ กร็ ู้ เกดิ ทกุ ขก์ ร็ ู้ เกิดชว่ั กร็ ู้เอา แล้วเราจะเหน็ วา่ - ความสุขเกดิ ขนึ้ กด็ ับไป จติ ทม่ี ีความสขุ กเ็ กดิ ข้ึนพร้อม ๆ กับความสุข ดับไปพร้อม ๆ กับความสุข เกิดดบั ไปด้วยกนั - เวลาความทกุ ขเ์ กิดข้ึน เรากจ็ ะเหน็ ว่า ความ ทุกข์เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป จิตท่ีเกิดกับความทุกข์ ท่ีมันมี ความทุกข์เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป จิตก็เกิดดับพร้อมกับ ความทกุ ข์ - กุศลเกดิ ขน้ึ เรากเ็ ห็นกุศลเกิดแล้วกด็ บั ไป จติ ทเ่ี กิดกบั กุศลเกดิ แลว้ ก็ดบั พร้อม ๆ กับกุศล - โลภ โกรธ หลง เกดิ ข้นึ จติ ท่ีเกิดพร้อม ๆ กบั โลภ โกรธ หลง ก็เกดิ ดบั พร้อม ๆ กบั โลภ โกรธ หลง จติ กบั สิ่งซงึ่ เกิดรว่ มกบั จติ มีศัพทเ์ รียกเฉพาะว่า “เจตสิก” จิตกับเจตสกิ เกิดพรอ้ ม ๆ กัน ดับดว้ ยกนั อยู่ ด้วยกัน จะอยู่โดยมีแต่จิตดวงเดียวไม่มีเจตสิกไม่ได้เด็ด ๒๖

ขาด มจี ติ ตอ้ งมีเจตสิก ธรรมชาติของจติ ใจเปน็ อยา่ งน้นั เอง เราไมห่ า้ มมนั เราเหน็ ความเกดิ ดบั ของจติ ผา่ นความ เกิดดบั ของเจตสกิ เพราะเจตสกิ มีความหลากหลาย แต่ จติ ไม่มีความหลากหลาย จติ คอื ธรรมชาตทิ ีร่ อู้ ารมณ์ มี อันเดียว ถ้าเราไม่สนใจเจตสิก เราจับอยู่ที่จิตอย่างเดียว เราจะไม่เหน็ ความเกิดดับของจิต แต่ถ้าเรารู้ทนั ความ สุขเกดิ ขึน้ จิตท่ีสุขเกดิ ขึ้นด้วยกนั พอความสขุ ดบั จติ ที่ มคี วามสุขก็ดบั ไปดว้ ยกัน เราเห็นจิตเกดิ ดบั ไดโ้ ดยดูผ่าน ตวั เจตสกิ ทเี่ กดิ ดบั นเี้ อง เพราะตวั จติ นนั้ ไมม่ รี ปู รา่ ง ไมม่ ี ร่องรอย ไมม่ อี ะไรใหส้ ัมผสั ไดเ้ ลย ไร้รปู จริง ๆ แตต่ ัว เจตสกิ เหมอื นร่างกายของจติ เรียกวา่ “จิตสงั ขาร” คอื สิง่ ทม่ี าปรุงแต่งจติ เปน็ รา่ งกายของจิต ท�ำใหจ้ ิตดวงนี้ มลี กั ษณะแตกตา่ งกบั จติ ดวงน้ี ท�ำไมตอ้ งเหน็ วา่ จติ ดวงน้ี ตา่ งกบั จติ ดวงนี้ กเ็ พ่ือจะเหน็ วา่ จิตนน้ั เกิดแลว้ ดับ ๒๗

นคี่ อื หลกั ของการทเี่ ราจะมารเู้ ทา่ ทนั จติ ใจของเรา ดูจติ ไม่ใช่ไปจ้องอยทู่ ี่จิต ไปจบั อยทู่ ี่ตวั จิต ไปจ้องอยทู่ ่จี ิต จะไมไ่ ดอ้ ะไรเลยนอกจากความวา่ ง ไปจบั อยทู่ จี่ ติ จะไมไ่ ด้ อะไรเลยนอกจากการเขา้ อรปู ฌาน จะกลายเปน็ อรปู ฌาน เพราะไม่เหน็ เกดิ - ดับ สว่ นหนงึ่ ของพระธรรมเทศนา หลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วันท่ี ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๘ จากซีดีแสดงธรรมนอกสถานที่ แผน่ ท่ี ๑๐ ไฟล์ ศาลาลุงชนิ ครัง้ ที่ ๗๓ (มกราคม ๒๕๕๘) ๒๘

กาย เวทนา จิต ธรรม

ฝกึ กรรมฐานทหี่ ลวงพอ่ สอน วา่ ตอ้ งแยกธาตแุ ยกขนั ธน์ นั้ แยก ๕ ขันธไ์ ม่ได้ไมเ่ ปน็ ไร อย่างน้อยแยก ๒ ขันธ์ พอ แยกเป็น ๒ ได้ ความเป็นตัวเป็นตนมันก็แตกแลว้ ไมร่ ู้ สึกมีตัวมีตน มีตัวเราเพราะมีการรวมกลุ่มกันของขันธ์ เรียกว่ามีฆนะ ฆนสัญญา ฆนะไปหมายรู้มวลธรรม ไปหมายรู้ความเป็นกลุ่มเป็นก้อนของขันธ์ข้ึนมารวมกัน ไปหมายรู้วา่ คอื ตวั เรา รูป เวทนา สญั ญา สงั ขารไม่มี แต่เปน็ อนั เดยี วเรยี กว่า “เรา” ดังนั้นเรามาหดั แยกขนั ธ์ ท�ำฆนะใหแ้ ตก แยก ๕ ขนั ธ์ไม่ได้ ไมเ่ ดอื ดร้อน ไมต่ อ้ ง กลวั ให้ได้ ๒ อันก็ยงั ดี แค่ ๒ กพ็ อแล้ว ถนัดดูกาย ก็เห็นร่างกายหายใจออก ร่างกาย หายใจเขา้ รา่ งกายยนื เดนิ นง่ั นอน รา่ งกายคู้ รา่ งกาย เหยียด ร่างกายเคลื่อนไหว ร่างกายหยุดน่ิง จะเห็น ร่างกายทำ� งาน ใครเป็นคนเห็น มจี ิตเป็นคนเห็น น่ีไง กายกับจติ กเ็ ป็น ๒ อัน ๒ ขันธ์ ๒ สว่ น แคน่ ก้ี พ็ อแล้ว แค่นก้ี บ็ รรลุมรรคผลได้แลว้ เพราะถ้าเม่อื ไหรท่ เ่ี หน็ กาย ไม่ใชเ่ รา จติ กไ็ ม่ใชเ่ รา ไมม่ ีเราเหลอื ที่ไหนอกี แลว้ การท่ี ๓๐

เหน็ รา่ งกายท�ำงานจติ เปน็ คนดเู รียกว่า การเจรญิ กายา นปุ สั สนาสติปฏั ฐาน มีกายในกายคอื มีกายแต่ละสว่ น เช่น รา่ งกายที่ หายใจออกกอ็ นั หนงึ่ รา่ งกายทหี่ ายใจเขา้ กอ็ นั หนง่ึ อยา่ ง นี้เรียกว่ากายในกาย ร่างกายท่ียืน ร่างกายที่เดิน รา่ งกายทนี่ ัง่ ร่างกายทน่ี อน เรียกกายในกาย หมายถึง ดกู ายแตล่ ะช็อต ๆ ไป ใครเปน็ คนดู จิตเป็นคนดู จิตอยู่ ในวญิ ญาณขนั ธ์ ถา้ แยกได้ ๒ ขนั ธ์ เหน็ รา่ งกายท�ำงาน จิตเป็นคนดเู รยี กว่า เจรญิ กายานปุ สั สนาสติปัฏฐาน ไมถ่ นัดดกู าย ดคู วามสุข - ความทุกขก์ ไ็ ด้ เห็น ความสขุ - ความทกุ ขเ์ ปน็ อกี ขนั ธห์ นง่ึ เรยี กวา่ เวทนาขนั ธ์ ความสุขเกดิ ขน้ึ จิตเป็นคนรู้ ความทุกข์เกิดขนึ้ จติ เปน็ คน รู้ ความสขุ เกดิ แลว้ อยู่ แลว้ กห็ าย จิตเปน็ คนดู ความ ทุกข์เกดิ ขน้ึ ตงั้ อยู่ แล้วกห็ ายไป ดบั ไป จิตเป็นคนดู ๓๑

แยกได้ ๒ ขันธ์ เวทนากบั จิตคอื ตวั วญิ ญาณขันธ์ จติ อยใู่ นวญิ ญาณขนั ธ์ แยกได้ ๒ อนั นี้ แลว้ อาศยั รเู้ วทนา เนอื ง ๆ เรยี กวา่ เจรญิ เวทนานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน ฉะนน้ั ไม่ต้องแยก ๕ ตวั หรอก ถนัดดูกายก็เห็นกายท�ำงาน ใจ เปน็ คนดู ถนดั ดเู วทนากเ็ หน็ เวทนาทำ� งานใจเปน็ คนดู มี ใจเปน็ คนดูน้ลี ะ่ เปน็ คนอารมณห์ วือหวา เด๋ยี วก็อารมณ์ดี เดี๋ยวก็ อารมณ์ร้าย หรอื บางคนมอี ารมณเ์ ดียว ขี้โมโห เด๋ยี วก็ โกรธ ไม่รจู้ ะโกรธใครกโ็ กรธตัวเอง โกรธตวั เองเบ่ือแลว้ กโ็ กรธดนิ ฟ้า อากาศ โกรธทกุ สิง่ ทุกอย่าง อยา่ งน้เี รา กเ็ จรญิ จติ ตานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน เราเหน็ ความโกรธเกดิ ขนึ้ ตง้ั อยู่ ดบั ไป จติ เปน็ คนดู เห็นความโลภเกิดขนึ้ ตงั้ อยู่ ดับไป จิตเปน็ คนดู เหน็ ความฟงุ้ ซ่านเกิดขึ้น ตงั้ อยู่ ดับไป จติ เปน็ คนดู เหน็ ความลงั เลสงสยั เกิดขนึ้ ต้ังอยู่ ดับไป จิตเปน็ คนดู งา่ ย ๆ อย่างน้เี อง อยา่ งนเี้ รยี กวา่ เจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน แยกสังขาร แยกจิต สังขารกับจติ ออกจากกนั พอแยกไดแ้ ล้วจะไม่มีตัวมีตน ๓๒

ธัมมานุปัสสนา อันน้ีละเอียดลึกซ้ึง มีท้ังรูปทั้ง นาม อนั นแ้ี ยกไดห้ ลายอนั แยกได้หลายขนั ธ์ ก็จะเห็น การท�ำงานสืบเน่ืองกันไป ไม่ใช่เห็นแต่ตัวอันใดอันหนึ่ง หรือสภาวะอันใดอันหนึ่ง อย่างเวลาเห็นจะเห็นการ ท�ำงานของมัน เชน่ เห็นนวิ รณ์ รวู้ ่านวิ รณ์แตล่ ะตัว ตัว นที้ ำ� ไมเกดิ ตวั นท้ี ำ� ไมไมเ่ กดิ หรอื เหน็ โพชฌงค์ โพชฌงค์ เกิดได้อย่างไร เกดิ เปน็ ลำ� ดบั ได้อยา่ งไร เกดิ รว่ มกนั ได้ อยา่ งไร อศั จรรยน์ ะโพชฌงค์ สนุก หัดใหม่ ๆ เราก็มีสติ สติก็คือ สติปัฏฐานรู้ รูปนาม การทเ่ี หน็ รปู นามตามความเปน็ จรงิ เขาเรยี กวา่ ธรรมวจิ ยะ แล้วกข็ ยนั ดู ดไู ปเรอื่ ย เหน็ รูปนามท�ำงาน ไปเรื่อย เรียกวริ ิยะ ดไู ปมาก ๆ มีปตี ใิ นธรรม ไม่ใชป่ ตี ิ ของสมาธิ เป็นปีติเกิดจากปัญญา มปี ีติเกิดขนึ้ สติระลึก รอู้ กี ก็เห็นปตี ิสงบลงไป ดบั ลงไป เปน็ ปัสสทั ธิ แลว้ จิต กต็ ัง้ ม่นั เปน็ สมาธขิ น้ึ มา น่เี บอ้ื งตน้ เห็นเป็นล�ำดบั ๓๓

แต่ตอนท่ีจะแตกหักมนั เกดิ ด้วยกัน ก็แปลกดี สติ กม็ ี สมาธิกม็ ี ธรรมวจิ ยะคอื ตัวปญั ญาก็มี มันจะเห็นปฏิ จจสมปุ บาท เหน็ อรยิ สจั รวู้ า่ อะไรคอื ทกุ ข์ รหู้ น้าท่ีตอ่ ทุกข์ ได้รู้หนา้ ทตี่ อ่ ทุกขแ์ ลว้ ไดท้ ำ� หนา้ ทตี่ ่อทุกขค์ ือการ ร้แู ล้ว กค็ ือได้ทำ� แลว้ รูว้ ่าอะไรเปน็ สมทุ ยั อะไรเป็นนโิ รธ อะไรเป็นมรรค อะไรเปน็ หน้าที่ต่อสมุทัย ตอ่ นโิ รธ ต่อ มรรค ได้ท�ำหนา้ ท่ีแลว้ ค่อยฝึกไป ก็จะเห็นกระบวนการที่จิตปรุงแต่ง ความเป็นตวั ตน ความเป็นทกุ ข์ สดุ ท้ายก็เหน็ ความดับ สนิทของความเป็นตัวตน ความเปน็ ตวั ทกุ ข์ เม่ืออวิชชา ดบั ลง อนั นยี้ ากหนอ่ ย แตไ่ มว่ า่ เราจะเรมิ่ จากกาย หรอื เรม่ิ จากเวทนา เรม่ิ จากจติ นนั้ กม็ จี ติ เปน็ คนดู จติ ตานปุ สั สนา ก็เหน็ กุศล - อกุศลเกิดดับ จิตเป็นคนดู สุดท้ายทุกคนจะลงมาท่ีธัมมานุปัสสนาทั้ง ๆ ท่ี เราดกู ายอย่นู ล้ี ะ่ แต่ถึงวนั หนึง่ เราก็จะเข้าถงึ ธรรม ดแู ต่ เวทนามาตลอดสุดท้ายวันหนึ่งก็จะเข้ามาถึงธรรม ดจู ติ ๓๔

กเ็ ขา้ ไปถงึ ธรรม ถงึ อะไร เขา้ ไปรแู้ จง้ แทงตลอดในอรยิ สจั สุดท้ายทุกคนจะมารู้อริยสัจ อริยสัจนี่ลึกซึ้ง ส�ำคัญ ตราบใดท่ีอรยิ สัจยังอยู่ พระพทุ ธศาสนายงั อยู่ อริยสัจ หายไป พระพุทธศาสนาหายไป ส่วนหนึง่ ของพระธรรมเทศนา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วันที่ ๑๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ จากซดี แี สดงธรรม ณ วดั สวนสันติธรรม แผ่นท่ี ๕๘ ไฟล์ ๕๘๐๓๑๓B ๓๕



การปฏบิ ตั ิในรปู แบบ

เรมิ่ ตน้ ไหวพ้ ระสวดมนตก์ อ่ น ไหวพ้ ระนกึ ถงึ พระพทุ ธเจา้ กราบพระกก็ ราบใหเ้ ปน็ ท�ำใจเหมอื นเรากราบลงไปแทบ เทา้ พระพทุ ธเจา้ เลย เหมอื นพระพทุ ธเจา้ อยกู่ บั เรา กราบ ก็กราบใหใ้ จถงึ พระจรงิ ๆ แลว้ ใจจะมีปีติ มคี วามสขุ ได้ สมาธเิ บอื้ งต้นในทนั ทที ่ีกราบเลย หลวงพอ่ กราบให้ดูทุก วันเหน็ ไหม กราบแล้วจติ ต้ังมน่ั ทนั ทเี ลยรูส้ ึกไหม ความ จริงไม่กราบก็ตั้งม่ันเพราะฝึกมานานแล้ว แต่ตอนฝึก ใหม่ ๆ กราบพระแล้วได้สมาธิ เลยกราบให้พวกเราดู เรือ่ ย ๆ บางคนกราบพระแล้วไม่ยอมกราบ คนสมยั ใหม่ จะค�ำนับพระเทา่ นนั้ เอง ก่อนจะปฏิบัติในรปู แบบ กราบพระกอ่ น ระลึก ถงึ พระพทุ ธเจา้ ท�ำความรสู้ กึ เหมอื นทา่ นอยกู่ บั เรา ทา่ น ก�ำลังอยู่ต่อหน้าเรา เรากราบท่านด้วยใจอ่อนน้อม ใจ เราจะเป็นบญุ เปน็ กุศลขน้ึ มา สมาธจิ ะเกดิ ขึ้นทนั ที เรยี ก วา่ เปน็ พทุ ธานสุ ติ ได้สมาธิข้นึ มาทนั ที พอใจมนั มสี มาธิ แลว้ กภ็ าวนาตอ่ ๓๘

วันไหนจิตยงั ฟุ้งซ่าน เรากท็ �ำความสงบ เช่น วันน้ีจิตฟุ้งซ่าน มันจะคิดต้ังร้อยเร่ืองในเวลาอันส้ัน ๆ คิตอุตลุตไปเลย แทนที่จะให้มันคิดร้อยเรื่องก็พามันคิด เรือ่ งเดียวท่ีดี ๆ เร่อื งที่พระพุทธเจา้ สอนให้คดิ มีอยู่ ๑๐ เรอ่ื ง คดิ ถงึ อะไร คดิ ถงึ พระพทุ ธเจา้ พระธรรม พระสงฆ์ คิดถึงทานทเี่ ราทำ� แล้ว คดิ ถงึ ศลี ท่ีเรารกั ษาแล้ว คิดถึง ความสงบ คดิ ถงึ ความเมตตา คดิ ถงึ ความตาย คดิ ถงึ ลม หายใจ อะไรอยา่ งน้ี นค่ี อื เรอื่ งราวทใี่ หเ้ ราคดิ ถงึ แทนที่ จะไปบงั คบั มนั วา่ หา้ มคดิ ๆ ไปหา้ มจติ ไมไ่ ดห้ รอก พามนั คิดเลย แต่ให้มันคิดในเร่ืองท่ีดี ๆ ท่ีพระพุทธเจ้าท่าน แนะนำ� ไว้ วนั ไหนเราโกรธเขามาก เกลยี ดเขามาก แคน้ มาก เลย ให้พิจารณาความตายเลย อย่าไปพิจารณาให้เขา ตายนะ ดตู วั เอง ตัวเองก็ตาย น่ีเรากระโดดโลดเต้นนะ เดย๋ี วเรากต็ ายแล้ว เมื่อกอ่ นคนสมัยก่อนท่ีเขาเกลียดกนั เขาส้กู นั แทบเปน็ แทบตาย สุดทา้ ยมนั กต็ ายทั้ง ๒ ข้าง เลย พอเราพิจารณาอย่างน้ี คิดถึงความตายใจมัน ๓๙

คอ่ ย ๆ เย็น สงบ ไดส้ มาธิขึน้ มา ใจอย่กู บั เนื้อกบั ตวั ข้นึ มาได้ หรอื วนั ไหนจติ ไมฟ่ งุ้ มาก ถา้ มนั ไมฟ่ งุ้ มากกท็ ำ� กรรม ฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วก็คอยรู้ทันจิตท่ีเคลื่อนไป มัน เคลื่อนไม่เร็วมาก ถา้ มนั เคลือ่ นวบุ วบั ๆ อตุ ลุตก็พามัน คดิ พจิ ารณาเขา้ ไปเลย แตถ่ า้ มนั เคลอื่ นไมม่ ากกค็ อยรทู้ นั ตอนทมี่ นั เคลอื่ น พทุ โธ ๆ ไป จติ มนั เคลอ่ื นรทู้ นั วา่ เคลอ่ื น หรอื ร้ลู มหายใจ จิตเคล่ือนรวู้ ่าเคลอ่ื น อยา่ งนี้ใจมนั ก็จะ ค่อยต้ังม่ันขึ้นมาเป็นผู้รู้ผู้ดู บางวันพอเราไหว้พระสวด มนต์เสร็จ ใจมันตงั้ มั่นแลว้ ท�ำไงต่อ จะปฏิบัตใิ นรูปแบบ ก็เดนิ ปญั ญาเลย การท�ำในรูปแบบท�ำไดห้ ลายแบบ แต่ ว่าเบอื้ งตน้ ไหวค้ รูกอ่ น ไหว้พระก่อน ถา้ ฟงุ้ มากกค็ ดิ พจิ ารณาไปใหห้ ายฟงุ้ เชน่ เกลยี ด เขามาก กเ็ จริญเมตตาไป คดิ ถึงความเมตตา คิดถงึ บุญ วันน้ีไปท�ำบุญมาไปปล่อยวัวปล่อยควายมา ขอให้ความ เป็นควายของเราจงหายไป หรือความเป็นวัวกระทิง ๔๐

ดรุ า้ ยใหห้ ายไป นง่ั คดิ นงั่ แผเ่ มตตาไปสำ� หรบั คนทฟี่ งุ้ มาก ถา้ ฟงุ้ นอ้ ยกท็ ำ� กรรมฐานอนั หนง่ึ แลว้ รทู้ นั จติ ทห่ี นี ค่อย ๆ หนีไปเรารู้ หนีเรารู้ จิตจะต้งั มนั่ พอตั้งมั่นแล้ว ทำ� ไงอกี บางวนั กราบพระกต็ ง้ั มนั่ แลว้ ไมต่ ง้ั มนั่ กท็ �ำตาม ลำ� ดบั ถา้ ตง้ั มนั่ แลว้ กแ็ ยกขนั ธ์ นง่ั ไปเหน็ รา่ งกายมนั นง่ั ใจเราเป็นคนดู เห็นร่างกายหายใจออก ใจเป็นคนดู ร่างกายหายใจเขา้ ใจเป็นคนดู คอ่ ย ๆ รู้สึกไป เหน็ ว่า กายกบั ใจมนั คนละอนั กนั ตรงทเ่ี หน็ กายเหน็ ใจเปน็ คนละ อนั กนั หรอื เหน็ ขนั ธท์ ง้ั หลายแยกออกจากกนั น่ี เปน็ การ เจรญิ ปัญญาแลว้ เปน็ เบื้องตน้ ของการเจริญปญั ญา การเจรญิ ปญั ญามี ๒ ส่วน สว่ นเบื้องตน้ กับส่วน ที่ข้ึนวิปัสสนากรรมฐาน วิปัสสนาไม่ใช่การเดินปัญญา เฉย ๆ เจรญิ ปัญญาท้งั หมดไม่ใช่วปิ สั สนา เจริญปญั ญา มี ๒ ข้นั ๔๑

ขัน้ แรกยังเจอื ด้วยการคดิ อยู่ เจือด้วยการเปรียบ เทยี บอยู่ อยา่ งเราคดิ เปรยี บเทยี บรา่ งกายมนั นนั่ มนั นี่ ใจ เราเป็นคนดู มนั ยังเจอื ด้วยการคิดอยู่ ค่อย ๆ คิดน�ำไป ตรงน้ียังไม่ใช่วิปัสสนา หรือพอแยกได้แล้วก็มาดูต่อ รา่ งกายนี้ไมเ่ ทีย่ ง เมื่อกี้นหี้ ายใจออก ตอนนี้หายใจเขา้ เมอ่ื กนี้ หี้ ายใจเขา้ ตอนนหี้ ายใจออก เหน็ รา่ งกายไมเ่ ทย่ี ง แตไ่ มเ่ ทยี่ งโดยการเปรยี บเทยี บคนละหว้ งเวลา อาศยั การ คิดอาศัยความจ�ำมาเปรียบเทียบเอา ตรงน้ียังไม่ข้ึน วิปัสสนา ตรงทข่ี น้ึ วิปสั สนาจะเหน็ สภาวะท้ังหลายมาแล้วไป มาแลว้ ไป เกิด - ดบั เช่น รู้สกึ อยู่ นี่ลมหายใจเข้า เข้า มา เอา้ ขาดไปแลว้ ลมหายใจออกเกดิ ขนึ้ แล้ว เอา้ ขาด ไปแล้ว จะรู้สึก จะเห็นมันเกิดดับเปลี่ยนแปลงต่อหน้า ต่อตาน่ีล่ะ ถ้าดูจิตดูใจก็จะเห็น วันนี้นั่งไปจิตฟุ้งซ่าน รูท้ นั ว่าฟงุ้ ซ่าน จติ ฟุ้งซ่านกด็ บั ไป จิตเม่ือกฟ้ี งุ้ ซ่านตอน น้ีไมฟ่ งุ้ แลว้ ยงั ไม่ขึ้นวิปัสสนา ๔๒

แต่ถ้าเห็นว่าจิตที่ฟุ้งซ่านเคยมีอยู่ มนั ดับ ถัดมา จะมจี ติ อกี ดวงหนง่ึ มารตู้ อ่ อกี จติ เมอ่ื กนี้ เี้ ปน็ จติ ทรี่ ู้ ไมใ่ ช่ จิตที่ฟงุ้ ซ่าน จติ ทีฟ่ ้งุ ซา่ นเป็นอดตี ทไี่ กลไปแล้ว มนั จะรู้ ตามชดิ ๆๆ ไปเรื่อย ค่อยรสู้ กึ ไปสุดทา้ ยจะเห็นเลย ทุก อย่างเกิดแล้วก็ดับ ความสุขเกิดขึ้นมาแล้วก็ดับ ความ ทุกข์เกิดข้ึนมาแล้วก็ดับ กุศลเกิดแล้วก็ดับ โลภ โกรธ หลง ฟ้งุ ซา่ น หดหู่ เกดิ แล้วก็ดับ จะเหน็ ว่ามนั เกิดแล้วก็ ดบั ไป เกดิ แลว้ ก็ดบั ไปหมดไปส้ินไป นล่ี ะ่ เราทำ� วปิ สั สนา แลว้ คอื เหน็ เหน็ จรงิ ๆ ถงึ ความเกิดดบั ถ้าคิดถึงความ เกดิ ดับยงั ไม่ขึน้ วปิ ัสสนา สว่ นหน่งึ ของพระธรรมเทศนา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช วนั ที่ ๒๒ กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๗ จากซดี แี สดงธรรม ณ วัดสวนสันติธรรม แผ่นที่ ๕๓ ไฟล์ ๕๗๐๒๒๒B ๔๓



ฝกึ สมาธใิ ห้จติ ตั้งม่นั

สมาธไิ มไ่ ดฝ้ ึกใหส้ งบ แตส่ มาธฝิ กึ ให้จิตตงั้ มนั่ สมาธิแปลว่าความตง้ั ม่นั ของจิต สมาธิไมไ่ ด้แปลวา่ สงบ ฉะนัน้ เรามาฝึกใหจ้ ิตใจตั้งมั่นเป็นผรู้ ู้ ผู้ตน่ื ผ้เู บิก บาน ให้ใจเป็นคนดูข้นึ มาใหไ้ ด้ รกั ษาศลี ๕ แลว้ ทกุ วนั ต้องทำ� กรรมฐานสักอย่างหนึง่ ถนัดกรรมฐานอะไรก็ท�ำ ไป แตว่ า่ ท�ำกรรมฐานน้นั แลว้ คอยร้ทู นั จิตไว้ หดั พทุ โธแลว้ กค็ อยรทู้ นั จติ จติ ไมต่ งั้ มนั่ ไหลไปคดิ กร็ ทู้ นั จติ ไปเพง่ ในความวา่ ง ๆ อยกู่ ร็ ทู้ นั หดั รลู้ มหายใจ จติ ไหลไปคดิ กร็ ทู้ นั จติ ไปเพง่ ลมหายใจกร็ ทู้ นั หดั ดทู อ้ ง พองยบุ จิตหนไี ปคิดก็รู้ทัน จิตไปเพ่งท้องกร็ ู้ทนั ไปเดิน จงกรมกไ็ ด้ เหน็ รา่ งกายเดนิ ไปพอจติ หนไี ปคดิ รทู้ นั บางที ก็จติ ไปเพง่ จ้องร่างกายเลยกใ็ ห้รทู้ นั ไหลไปคดิ กร็ ู้ ไหลไปเพง่ กร็ ู้ ฝกึ อยา่ งนม้ี าก ๆ แลว้ จะไดส้ มาธิท่ดี ี สมาธิทีต่ ั้งม่ัน สมาธทิ ่ีต้งั มั่นตรงขา้ มกับ การเคลื่อนไปไหลไปเท่านั้นเอง ไหลไปก็คลอนแคลนไม่ ๔๖

ตั้งม่ัน บางคนฝกึ สมาธหิ มุน ๆ ยงิ่ คลอน ๆ หนักเข้าไป ใหญ่ สะกดตวั เองไปเร่อื ยยง่ิ เคลิม้ ๆๆ อะไรทีพ่ ระพุทธเจ้าทา่ นไมไ่ ดส้ อน อยา่ อุตรไิ ปฝึก บางคนมาถาม จะร�ำไทเกก็ ร�ำไทเก็กแล้วดูจติ ได้ไหม ไม่ ได้ ศาสตรอ์ นั นน้ั เคา้ ไมไ่ ด้ท�ำใหร้ ้เู น้อื รตู้ ัว ไปท�ำใหจ้ ติ ไต้ ส�ำนึกออกมาอย่างน้ัน ศาสตร์บางศาสตร์ทำ� ไปแล้วท�ำ อะไรงึก ๆ งกั ๆ แบบวา่ ปล่อยเต็มที่น่อี ิสระ ขาดสติ ฉะน้ันอะไรท่ีพระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ ทำ� อัน นน้ั อะไรที่ทา่ นไมไ่ ด้แนะน�ำไว้ ไม่ต้องไปคิดรเิ ร่ิม ถ้าคิด รเิ รมิ่ แลว้ กส็ รา้ งขน้ึ มาได้ อนั นน้ั ภมู ธิ รรมของพระพทุ ธเจา้ มีแตพ่ ระพุทธเจา้ ที่หาทางได้ด้วยตวั เอง ภูมปิ ัญญาอยา่ ง พวกเราตอ้ งฟังวา่ ทา่ นสอนอะไร ท่านสอนสมถะอะไรไว้ บา้ ง กท็ ำ� ตามนนั้ ทา่ นสอนวปิ สั สนาอะไรไว้ กเ็ อาอนั นนั้ ไมต่ อ้ งเกง่ กวา่ พระพทุ ธเจา้ เปน็ ไปไมไ่ ดห้ รอก มแี ตเ่ พย้ี น หนกั ขน้ึ ไปอีก ใจให้แน่วแน่กับพระพทุ ธเจา้ ไว้ ๔๗

แน่วแน่กับพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่าน่ังคิดถึงพระ พุทธเจ้าท้ังวัน น่ังคิดถึงพระพุทธเจ้าท้ังวันจะไปสวรรค์ ไมไ่ ปนพิ พาน ถา้ เหน็ รปู นามแสดงไตรลกั ษณน์ น่ั ละ่ ถงึ จะ ไปนิพพาน คนละเร่อื งกนั ถา้ ใจคิดถงึ พระพทุ ธเจ้าท้ังวัน เลย แล้วตายไปคิดว่าจะไปอยู่ในนิพพาน ไม่ไปนะ นพิ พานอนั นนั้ เปน็ นมิ ติ ไมใ่ ชน่ พิ พานจรงิ นพิ พานจรงิ ไม่ ไดม้ ีรูปอยา่ งนน้ั เราต้องฝกึ ใหจ้ ิตใจอยู่กบั เนอื้ กบั ตัว ท�ำกรรมฐาน สกั อยา่ งหนึ่ง จิตไหลไปแลว้ รูท้ นั จติ ไหลไปแลว้ รทู้ นั ไม่ ห้าม จะไหลกไ็ ด้ ไม่หา้ มไหล ถ้าห้ามไหลแล้วใจจะแนน่ จะกลายเปน็ เพง่ ตอ้ งไมเ่ ผลอกบั ไมเ่ พง่ ถา้ เผลอไป กไ็ หล ไป ถา้ เพ่งอยู่ กบ็ ังคบั ตวั เองไว้ ตึงเครียด ทางสายกลาง คอื ไมเ่ ผลอไปและไมเ่ พง่ ไว้ เผลอไปเปน็ กามสขุ ลั ลกิ านโุ ยค เพ่งไว้ก็บังคับตัวเองเป็นอัตตกิลมถานุโยค เป็นทางสุด โต่ง ๒ ฝัง่ ไมใ่ ห้ท�ำ ๔๘

ให้ถือศีล ๕ ฝึกใจให้อยู่กับเน้ือกับตัวด้วยการ ท�ำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วรู้ทันเวลาจิตเคล่ือนไป เคลอื่ นไปเพง่ กร็ ู้ เคลอ่ื นไปคดิ กร็ ู้ เผลอไปสว่ นใหญไ่ ปคดิ รู้อยา่ งนี้แล้วจะต้ังม่ันข้นึ มาโดยไม่ไดเ้ จตนา สว่ นหน่ึงของพระธรรมเทศนา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วนั ท่ี ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๘ จากซีดแี สดงธรรม ณ วดั สวนสนั ติธรรม แผ่นที่ ๕๗ ไฟล์ ๕๘๐๑๐๑A ๔๙


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook