Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ธรรมะโดนใจ 1

ธรรมะโดนใจ 1

Published by Dharma Online, 2021-01-12 06:18:16

Description: ธรรมะโดนใจ 1

Search

Read the Text Version

ภาวนาไป ครบู าอาจารยร์ อ่ ยหรอลงไปเรอ่ื ย ๆ แลว้ พวก เรากต็ ้องภาวนาข้ึนมาแทน ภาวนาแลว้ มันเห็นผล เวลา จวนตวั ขน้ึ มา คนทั่ว ๆ ไป โอ้ ! น่าสงสาร น่าสงั เวช แตน่ กั ภาวนาเผชญิ หนา้ กบั ความตายรา่ เรงิ รา่ เรงิ มาก ๆ เลย ใชค้ ำ� วา่ ร่าเริงนี่ถูกเป๊ะเลย ธรรมะของพระพทุ ธเจา้ สงบแตร่ า่ เรงิ ไมส่ งบแบบ เซ่ืองซึม ไม่ใช่สงบแบบหงอย ๆ เดินก็เดินเหมือนนก กระยางจ้องกินปลา ธรรมะไม่ไดอ้ ยู่ทก่ี ระบวนทา่ อยู่ท่ี จติ จะยืน จะเดิน จะน่ัง จะนอน ใหม้ สี ตไิ ว้ จะสุข จะทกุ ข์ จะดี จะชัว่ ใหม้ ีสติไว้ แลว้ เราจะเห็นขันธ์ท�ำงาน ไม่มเี จา้ ของ ร่างกายท�ำงาน ไมใ่ ชเ่ ราทำ� งาน ความสขุ ความทกุ ข์เกิดขึ้น ไมม่ ีเจ้าของ กศุ ล อกุศลเกดิ ขึ้น ไมม่ เี จา้ ของ จติ เกดิ ดบั ทางทวารทั้ง ๖ ไมม่ เี จา้ ของ ๕๐

เห็นขันธม์ ีอยู่ ไม่มเี จา้ ของ เห็นทุกข์มีอยู่ ไมม่ เี จา้ ของ เหน็ การกระทำ� แตไ่ มม่ ผี กู้ ระทำ� ใครกระทำ� ขนั ธก์ ระทำ� ใครหายใจ ขันธห์ ายใจ ใครสุข ใครทกุ ข์ ขนั ธ์สุข ขนั ธท์ กุ ข์ ใครดี ใครชัว่ ขันธ์ดี ขนั ธช์ ว่ั ใครรอู้ ารมณท์ างตา หู จมูก ลน้ิ กาย ใจ ขันธ์รู้ ไมม่ เี จา้ ของ ไมม่ ผี กู้ ระทำ� มผี แู้ สดง แสดงไป ขนั ธ์ ทำ� งาน ไม่มีผ้กู ระท�ำ ไม่ใชเ่ รากระท�ำ นถ่ี ้าใจมนั ถูกมัน กเ็ หน็ ใจไมถ่ ูกไมเ่ ห็นหรอก คิดยังไงก็คดิ ไมอ่ อก ธรรมะ นีค่ ิดไมอ่ อกหรอก อัศจรรยอ์ ย่างจะนึกออกเหรอวา่ ถา้ รแู้ จง้ อรยิ สจั แลว้ จะขา้ มโลกพน้ วฏั ฏะได้ นกึ ยงั ไง กน็ กึ ไม่ ออก ส่วนหน่ึงของพระธรรมเทศนา หลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วนั ท่ี ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ จากซีดแี สดงธรรม ณ วดั สวนสนั ตธิ รรม แผน่ ท่ี ๕๖ ไฟล์ ๕๗๑๐๐๓B ๕๑



ปญั ญา

ปญั ญามชี อื่ เยอะ มหี ลายแบบ หลายระดบั ปญั ญาเบอ้ื ง ต้นในการปฏิบัติเรียกว่า สัมปชัญญะ สัมปชัญญะเป็น ปญั ญาเบ้อื งตน้ ให้ร้วู า่ เราควรจะทำ� อะไร เราควรปฏบิ ัติ อยา่ งไร รเู้ ร่ืองเฉพาะตวั ว่าอนั ไหนเราควรจะปฏิบตั ิ อนั ไหนเราไม่ควรปฏบิ ัติ เราก็ตัง้ อกตงั้ ใจปฏิบัติ เชน่ เราจะ ท�ำสมถะ กรรมฐานท่ีเหมาะกบั เราคอื อานาปานสติ เรา ก็ใช้อานาปานสติ ไม่ลืมอานาปานสติ เราจะเจริญ วิปัสสนา เราดูไตรลักษณ์ของจิต เราก็ไม่ลืมท่ีจะดู ไตรลกั ษณข์ องจิต เนยี่ เรียกมีสมั ปชญั ญะนะ มี ญาณ เป็นความหยง่ั รู้ มอี ะไรปรากฏขนึ้ มัน คอยตามรู้ไปเร่ือย หยั่งรู้ไปเรื่อย ปัญญาเป็นตัวเข้าใจ ความเปน็ ไตรลกั ษณ์ เหน็ เลยตวั ทม่ี ขี นึ้ มาน่ี มนั เกดิ ไดด้ บั ได้ วิชชา เป็นปัญญาข้ันสูงสุด จะเข้าใจอริยสัจ ท�ำลายอวิชชา อริยสจั ก็คอื รู้ทกุ ข์ ละสมุทัย แจ้งนโิ รธ เจรญิ มรรค รวู้ า่ อะไรเปน็ ทกุ ข์ อะไรเปน็ สมทุ ยั อะไรเปน็ นโิ รธ อะไรเปน็ มรรค รวู้ า่ หนา้ ทตี่ อ่ ทกุ ข์ หนา้ ทต่ี อ่ สมทุ ยั ๕๔

หนา้ ทีต่ ่อนโิ รธ หน้าทีต่ อ่ มรรคเป็นอย่างไร เรยี กวา่ เปน็ วิชชา พวกเราตอ้ งภาวนาจนวนั หนงึ่ วชิ ชาเกดิ วชิ ชาเกดิ ก็คือ เราเห็นแจ้งเลยในกองทุกข์ว่า ขันธ์ท้ังหลายเป็น กองทุกข์ อายตนะท้ังหลายเป็นกองทุกข์ รูปธรรม นามธรรมท้ังหลายท่ีประกอบขึ้นเป็นตัวเราเป็นตัวทุกข์ ถ้าเห็นตัวน้ีจะละสมุทัยอัตโนมัติ เม่ือไรขณะใดที่รู้ทุกข์ ขณะนน้ั จะละสมทุ ยั ในขณะใดละสมทุ ยั ในขณะนนั้ แหละ จะเหน็ นพิ พาน เหน็ นโิ รธ ในขณะนน้ั แหละจะเกดิ อรหตั ต มรรค จะเกิดทีเดยี วกัน ในขณะจิตเดยี วกันเลย ร้ทู ุกข์ ละสมุทัย แจ้งนโิ รธ เกดิ อรหตั ตมรรค ในขณะจิตเดยี ว ถึงมรรครอง ๆ ลงมาก็เหมือนกัน แต่ว่าปัญญา จะไม่แจ่มแจ้งในกองทุกข์เท่าข้ันสุดท้ายนี่ ข้ันโสดาก็มี ปัญญาระดับพระโสดา พระสกทาคา พระอนาคา มี ปญั ญาเป็นลำ� ดบั ไป ขัน้ สุดทา้ ย มีปัญญาเหน็ แจ้งในกอง ทุกข์ลา้ งอวิชชา ข้ันพระโสดา พระสกทาคา พระอนาคา ยงั มอี วชิ ชาอยู่ ยงั ไมแ่ จ้งในกองทุกข์ ๕๕

การรู้ทุกข์เป็นของดีของวิเศษ พวกเราอย่าไป เกลยี ดทุกข์ อย่าไปกลวั ทกุ ข์ มที กุ ขแ์ ล้วเรียนรู้มนั อย่า ไปหลงแคอ่ าการของทกุ ข์ เชน่ ความแก่ ความเจบ็ ความ ตาย เป็นแคอ่ าการของทุกข์ ตัวที่เปน็ ตัวทกุ ขจ์ รงิ ๆ คอื กายนี้ ความพลดั พรากจากส่ิงทีร่ ัก การประสบกับสงิ่ ท่ี ไม่รัก ความไม่สมปรารถนานั้นเป็นอาการปรากฏของ ทุกข์ ตวั ทท่ี ุกขค์ ือใจน้ี คอ่ ย ๆ เรยี นจนกระทง่ั ร้ทู กุ ข์แจ้ง แจ่มแจง้ ถา้ รู้ แจม่ แจ้งแลว้ ไมต่ อ้ งละกิเลสอีกแล้ว จะละครง้ั เดียว ละ แล้วละเลยไม่มีกิเลสต้องละอีกต่อไป งานอันน้ีเสร็จแล้ว งานที่จะพ้นทุกข์เสร็จแล้ว เราถอนตัวออกจากวัฏฏะได้ แล้ว ใจไมต่ ้องวนเวียนอกี ตอ่ ไป ส่วนหน่งึ ของพระธรรมเทศนา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช วันท่ี ๑๗ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๕๖ จากซีดีแสดงธรรม ณ ศาลาลุงชนิ แผน่ ที่ ๖๓ ไฟล์ ๕๖๑๑๑๗ ๕๖

หลกั ของการดจู ติ

เวลาทเี่ ราดูจติ ดูใจ ดูนามธรรม อนั แรกดใู หเ้ ห็นสภาวะ จริง ๆ สภาวะของสุขทกุ ขท์ เี่ กดิ สภาวะของดีชัว่ ท่ีเกดิ สภาวะของจติ ใจซ่ึงเกดิ ดับไปทางตา หู จมูก ล้นิ กาย ใจ ใหเ้ หน็ สภาวะ วธิ เี หน็ กอ่ นจะเหน็ อยา่ ดกั ดู ใหส้ ภาวะ เกิดกอ่ นคอ่ ยรู้เอา นค่ี ือหลกั ของการดจู ติ ขอ้ ท่ี ๑. ต้องดูใหเ้ หน็ ปรมตั ถธรรม ใหเ้ หน็ สภาวะ ข้อที่ ๒. วิธีเหน็ สภาวะ วธิ จี ะเหน็ สภาวะอนั แรกเลย กอ่ นจะเหน็ อยา่ ไปรอ ดู อย่าดักดู ถา้ ไปรอดดู ักดูจะไมเ่ ห็นอะไรเลย มนั จะว่าง ระหว่างทีด่ ู ดูหา่ ง ๆ อย่ากระโจนเขา้ ไปดู อย่า ถล�ำเข้าไปดู ดูแบบคนวงนอก ดเู หมือนวา่ เราเหน็ คนอนื่ อย่างเราเห็นความโกรธเกิดข้ึน เห็นเหมือนคนอื่นโกรธ เราเปน็ แค่คนดู ต้องเปน็ แบบนน้ั ถ้าใจกับความโกรธไป รวมเข้าดว้ ยกัน มันจะกลายเป็นเราโกรธ พอเราโกรธดู ๕๘

ไม่ไดแ้ ลว้ แต่ถา้ จติ มนั อยู่ตา่ งหาก มนั เหน็ วา่ ความโกรธ ผ่านมาเหมือนเห็นคนอื่นโกรธ อันนี้มันจะเห็นเลยว่า ความโกรธไม่ใช่เรา จิตนี้กจ็ ะไม่ใชเ่ ราด้วย ความโกรธก็ ไม่เท่ียง ความโกรธก็บังคับไม่ได้ จิตน้ีไม่เที่ยง จิตนี้ก็ บังคับไมไ่ ด้ มันจะเหน็ ของมนั ฉะนนั้ ก่อนดูอยา่ ไปดกั ดู ระหว่างดูอย่าถลำ� ลงไปดู ดูห่าง ๆ ดูแล้วอย่าแทรกแซง เวลาที่จิตเราไปเห็นสภาวะ บางสภาวะจิตก็ยนิ ดี บางสภาวะจติ ก็ยนิ รา้ ย ถา้ จติ ยนิ ดี ใหร้ ู้ทัน ถา้ จิตยนิ ร้ายใหร้ ้ทู นั อย่าไปหา้ มว่า หา้ มยนิ ดี ยินร้าย บางคนก็สงั่ จิต “ไมว่ ่าตอ่ แต่น้เี ธอจะรอู้ ะไรเห็น อะไร เธอตอ้ งอเุ บกขา สกั วา่ รู้ สกั วา่ เหน็ ” หลวงพอ่ ไดย้ นิ บางคนพูดกรรมฐาน “สักวา่ รู้ สักวา่ เห็น” กห็ นั ไปมอง หน้า อย่างเธอไม่สักว่ารู้สักว่าเห็นหรอก เธอยังไม่เห็น อะไรเลย สักว่ารู้ว่าเห็น ไม่ใช่เร่ืองกระจอกนะ สักว่ารู้ว่า เห็นเป็นจิตซ่ึงมีปัญญาแก่กล้ามาก ๆ แล้วนะ จิตถึง สงั ขารเุ ปกขาญาณ มปี ญั ญาจนกระทง่ั เปน็ กลางตอ่ ความ ๕๙

ปรงุ แต่งทงั้ ปวง ทงั้ ดี ทง้ั ช่วั ทง้ั สขุ ทัง้ ทุกข์ เป็นกลาง ตอ่ สุขและทุกข์ ตอ่ ดีและชว่ั ถงึ ขนาดนน้ั แล้ว ถึงจะสกั ว่า ร้สู กั ว่าเห็นได้ ถา้ กอ่ นหน้านนั้ ไมเ่ ปน็ หรอก มนั จะไปเหน็ อยา่ งนกี้ ย็ นิ ดี ไปเหน็ อยา่ งนกี้ ย็ นิ รา้ ย ไปไดย้ นิ อยา่ งนก้ี ย็ นิ ดี ไปไดย้ นิ อยา่ งนยี้ นิ รา้ ย ไปคดิ อยา่ ง นี้ก็ยินดี คิดอย่างน้ีก็ยินร้าย ได้รสอย่างนี้ยินดี ได้รส อยา่ งนยี้ นิ รา้ ย มนั จะกระทบอารมณ์ แลว้ เกดิ ยนิ ดยี นิ รา้ ย ต่ออารมณ์ ไม่ห้าม ให้รู้ทันความยินดียินร้ายท่ีเกิดขึ้น ถ้ารู้ไม่ทันเม่อื ไร จติ จะเขา้ ไปแทรกแซงอารมณ์ เชน่ เรา เหน็ ความทกุ ขเ์ กิดขน้ึ เราไมช่ อบ จติ กจ็ ะแทรกแซงดว้ ย การหาทางท�ำใหค้ วามทกุ ข์หายไป ท�ำยังไงจะดบั ทำ� ยัง ไงจะดบั เวลาพวกเราภาวนา เคยอึดอัดไหม เคยแนน่ ๆ เคยอดึ อดั บา้ งไหม อยากใหห้ ายไหม มนั จะแทรกแซง ให้ ร้ทู นั วา่ จิตยินรา้ ย แค่นี้พอแลว้ รูท้ นั ว่าจิตยินรา้ ย ทันที ท่รี วู้ ่าจิตยนิ ร้าย ความยนิ ร้ายจะดบั อัตโนมัติ จิตจะเป็น ๖๐

กลาง แตอ่ นั นก้ี ลางเพราะสติ ไมใ่ ชก่ ลางดว้ ยสงั ขารเุ ปกขา ญาณ เป็นแค่กลางเบื้องตน้ กลางดว้ ยสติ หรอื มันยินดี ขึ้นมา รู้ทนั ความยินดีกด็ ับ จิตกเ็ ป็นกลางด้วยสติ มสี ติ ไปรทู้ นั ความยนิ ดยี นิ ร้าย ความยินดยี นิ ร้ายดับ จิตเป็น กลาง กลางชว่ั คราว เดีย๋ วกย็ นิ ดียนิ ร้ายใหม่ คอยรไู้ ป พอจิตเป็นกลางแล้ว ดูสภาวะทั้งหลายท�ำงานต่อไป ก็ เหน็ สภาวะทง้ั หลายเกดิ ขนึ้ ตง้ั อยแู่ ลว้ กด็ บั ไป นห่ี ลกั ของ การดจู ิต อนั แรก ต้องดูใหเ้ หน็ สภาวะจริง ๆ ไมใ่ ช่คิดเอา อนั ทสี่ อง ตอ้ งดใู หถ้ กู วธิ ดี ใู หถ้ กู กอ่ นดอู ยา่ ไปดกั ดู อย่าไปรอดู ใหค้ วามรสู้ ึกเกดิ แลว้ ค่อยดเู อา ดหู ่าง ๆ ดแู บบคนวงนอก อยา่ ถลำ� เขา้ ไปดู ดแู ลว้ เกดิ ยนิ ดี ใหร้ ทู้ นั เกิดยนิ รา้ ยให้รทู้ ัน นี่หลักของการดจู ติ ใหเ้ กดิ ปัญญา ไม่ใชด่ ูจติ ใหน้ ง่ิ ๆ วา่ ง ๆ อันนั้นดใู หเ้ กดิ สมถะ สว่ นใหญท่ เ่ี ขาฝกึ กนั ทเ่ี ขาบอกดจู ติ ๆ ตดิ สมถะเกอื บทงั้ นนั้ ทห่ี ลวงพอ่ เจอมเี ขยี นหนงั สอื ตำ� รบั ตำ� ราสอนกนั ตดิ ๖๑

สมถะเกอื บทง้ั หมด ไมไ่ ดเ้ หน็ สภาวะเกดิ ดบั จรงิ ๆ หรอก บางทเี หน็ แตเ่ หลอื ตวั หนง่ึ เทยี่ ง เหน็ ความรสู้ กึ สขุ ทกุ ขเ์ กดิ ดบั เหน็ ความดคี วามชว่ั เกดิ ดบั แตจ่ ติ ตวั นเ้ี ทยี่ ง ประคอง จิตเอาไว้ เน่ียประคองตัวรู้เอาไว้ คนท่ีประคองตัวรู้ หนา้ ตามนั จะไมเ่ หมอื นคนปกติ มนั จะเปน็ อยา่ งนี้ (หลวง พอ่ ทำ� หนา้ ใหด้ )ู จะประคองตวั นเี้ อาไว้ แลว้ กเ็ หน็ ทกุ อยา่ ง ไมใ่ ช่เรา ทุกอยา่ งเกิดดับ แตต่ วั นเ้ี ทย่ี ง ถ้ายังเหลอื อยู่ อย่างนี้ ใชไ้ ม่ได้ ตวั รูต้ วั นปี้ ลอม ตวั รทู้ ใี่ ชเ้ ดนิ ปญั ญาไดจ้ รงิ ตอ้ งเกดิ ดบั ได้ ไมส่ งวน ตัวรเู้ อาไว้ ท่านถึงสอนว่าวญิ ญาณกไ็ ม่เท่ยี ง ตวั จิตต้อง ไม่เท่ยี ง ส่ิงใดไมเ่ ที่ยงส่ิงนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเปน็ ทุกข์สง่ิ นน้ั ไมใ่ ชต่ วั เรา ถา้ ตวั รเู้ ทยี่ ง วญิ ญาณเทย่ี ง เปน็ พระโสดา ไม่ได้หรอก ถ้าใครเห็นจติ เที่ยงไม่ใช่โสดา ยงั เป็นมจิ ฉา ทฏิ ฐอิ ยู่ ฉะนั้นเราดู เหน็ สภาวะเค้าเกดิ ดับ ไมส่ งวนตวั ใดตัวหนง่ึ ไว้ เห็นทุก ๆ ตวั ทเี่ กิดดับทง้ั ส้ิน เวลาทเี่ ป็น พระโสดาบัน ถงึ สรปุ ว่า “สง่ิ ใดเกิดส่งิ นั้นดับ” ทุกสง่ิ ที่ เกดิ นั่นแหละดบั ท้งั สน้ิ ไม่มสี งวนตวั ใดตวั หนึง่ ไม่ให้ดบั ๖๒

ข้อทส่ี าม ดใู หม้ าก ดูให้บ่อย ถ้านาน ๆ ดูทียาก กิเลสเอาไปกินหมด วัน ๆ หนง่ึ หลงตลอด หลาย ๆ วนั มาดูจติ ทหี น่ึง โอ้ ! จิตโกรธไดเ้ อง แลว้ กโ็ กรธต่อไปเลย อย่างนไี้ มไ่ ด้เรื่องหรอก ดใู ห้ถ่ี ๆ ตง้ั แต่ตน่ื นอนจนนอน หลับ หลับไปแล้วจิตมันดูอัตโนมัติต่อนะ หลับไปแล้ว รา่ งกายนอนไป จิตลงภวังค์นิดเดียว จิตกข็ นึ้ มาอกี จติ สวา่ งไสวเหน็ รา่ งกายนอนกรนครอ่ ก ๆ จติ รตู้ วั ขนึ้ มา แลว้ กค็ วามคดิ ไหลเขา้ มา เกดิ สขุ เกดิ ทกุ ข์ เกดิ ดี เกดิ ชวั่ อะไร รไู้ ดห้ มดแหละ เราจะฝึกให้ได้นะ ท้ังวันท้ังคนื เลย แต่ถา้ เหนื่อยท�ำความสงบ ถ้าเจริญปัญญามากไป เหน่ือย พธุ โธ ๆ ไป คิดถึงพระพุทธเจ้าไป คิดถงึ สง่ิ ดี ๆ คิดถงึ ทาน คดิ ถึงศลี อะไรของเราไป ส่วนหนง่ึ ของพระธรรมเทศนา หลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วันที่ ๒๑ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๕๗ จากซีดแี สดงธรรม ณ ศาลาลุงชนิ แผน่ ท่ี ๗๐ ไฟล์ ๕๗๐๙๒๑ ๖๓



หลกั ของการดจู ติ

ถ้าท�ำกรรมฐานในยุคเราเนี่ย ท�ำฌานไม่เป็นก็ดูจิตเอา หลักของการดจู ิตง่าย ๆ เลย คืออันแรก ดูใหเ้ หน็ สภาว ธรรมจรงิ ๆ ปรมตั ถธรรมจรงิ ๆ หรอื ดใู หเ้ หน็ จติ จรงิ ๆ เวลาเราจะดูจิต จิตจะเป็นส่วนของนามธรรม เวลาเราดูจิตเราจะเห็นอะไรบ้าง เราจะเห็นเวทนาคือ ความรู้สึก สุข ทุกข์ ความรู้สกึ ไมส่ ุข ไมท่ ุกข์ เฉย ๆ ท่ี เกดิ ขนึ้ ทจี่ ติ เวทนาเกดิ ทก่ี ายกไ็ ด้ อยา่ งปวดเมอ่ื ยรา่ งกาย เป็นเวทนาทางกาย ทุกข์ใจเป็นเวทนาทางใจ สบายใจ เป็นเวทนาทางใจ ฉะน้ันเวลาที่เราดูจิตดูใจเราจะเห็น เวทนา เวทนาเกิดอย่ตู ลอดเวลา เวทนาเปน็ สภาวธรรม เปน็ ปรมัตถธรรมทเ่ี กิดรว่ มกับจติ ทกุ ๆ ดวง เม่อื ไหร่มี จติ เมื่อนนั้ มเี วทนาแน่นอน ถา้ ดเู วทนาเป็น ดูจิตไดท้ งั้ วนั เพราะมใี ห้ดูท้ังวัน จติ ของเรานถี่ า้ ไมส่ ขุ กท็ กุ ขใ์ ชไ่ หม ถา้ ไมส่ ขุ ไมท่ กุ ข์ ก็เฉย ๆ ใช่ไหม ๖๖

เวทนามี ๓ อัน ดักหวั ดักท้าย ดกั ตรงกลางไว้ หมดแลว้ ไมม่ ใี หเ้ ลอื กเลย ไมม่ ใี หห้ นเี ลย ฉะนน้ั ถา้ เราจะ ดจู ิตดูใจนะ เราเห็นเลย จิตทม่ี ีความสขุ เกิดขึน้ มาแลว้ ก็ ดบั ไป จติ ทมี่ คี วามทกุ ขเ์ กดิ ขน้ึ มาแลว้ กด็ บั ไป จติ ทเี่ ฉย ๆ เกดิ ข้นึ มาแลว้ ก็ดับไป หดั ดแู ค่นีล้ ่ะ บรรลพุ ระอรหันต์ได้ ขั้นอนาคานี่ได้แน่นอน หรือดูจิตดูใจจะเห็นอะไรอีก นอกจากสุข ทุกข์ จะเห็นดี เหน็ ชว่ั บางครั้งจิตเราก็เกดิ อารมณ์ที่เปน็ กศุ ล บางคร้งั เรากเ็ กิดสภาวะที่เป็นอกุศล อย่างอยบู่ า้ นอยากมาฟังเทศน์ อยากมาฟงั เทศนอ์ ยา่ คดิ วา่ เปน็ ตณั หา ใหเ้ รยี กวา่ เปน็ ฉนั ทะมคี วามพงึ พอใจจะฟงั เทศน์ ตณั หาเอาไวใ้ ชท้ างเลว ฉันทะนี่เอาไวใ้ ช้ทางบวก สว่ นหน่ึงของพระธรรมเทศนา หลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช วนั ที่ ๒๑ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๕๗ จากซีดีแสดงธรรม ณ ศาลาลงุ ชิน แผน่ ที่ ๗๐ ไฟล์ ๕๗๐๙๒๑ ๖๗



กรรมฐานของแต่ละคน ทางใครทางมนั

บางคนถนดั ดกู ายกด็ กู าย ถนดั ดใู จกด็ ใู จ ทางใครทางมนั ไม่ดีไมช่ ่ัวกว่ากนั เม่อื กอ่ นจะมคี วามเช่อื เชือ่ ตาม ๆ กัน วา่ เบอ้ื งต้นตอ้ งดูกาย เบอื้ งปลายใหด้ ูจติ ไปเชอ่ื อย่างน้ี กนั พระพุทธเจ้าไม่ไดส้ อนอยา่ งนน้ั คนไหนถนัดดกู ายก็ ดกู าย ถนัดดเู วทนากด็ ูเวทนา ถนัดดจู ติ กด็ จู ติ ถนดั ดู สภาวธรรมก็ดูสภาวธรรม ทางใครทางมัน มนั จะเขา้ ไป ที่เดยี วกัน ถ้าดูกาย ก็จะเห็นว่าร่างกายนี่ไม่ใช่ตัวเรา แล้ว ใครเปน็ คนดรู า่ งกาย จติ เปน็ คนดู แลว้ กจ็ ะเหน็ วา่ จติ ไมใ่ ช่ เราดว้ ย เวลาดูเวทนา เวทนาเกดิ ท่ไี หน เวทนาเกิดที่กาย เวทนาเกิดทจี่ ิต กจ็ ะเห็นท้ังกายเห็นทัง้ จิตอกี ดูจิตสังขารทีป่ รุงดีปรงุ ช่วั ท�ำไมจติ ปรุงดีปรุงชวั่ ได้ เพราะตามองเห็น หไู ดย้ ินเสียง จมกู ไดก้ ลิน่ ลิน้ ได้ รส กายกระทบสมั ผสั แลว้ ใจคดิ กอ็ าศยั กายอาศยั จติ อกี กระทบอารมณ์ ๗๐

ดูรูปธรรมนามธรรม กม็ ที ้ังกายทงั้ จติ ทง้ั รูปทัง้ นาม ฉะน้ันไม่ว่าท�ำกรรมฐานหมวดใด ก็จะเข้าใจ ท้งั หมด ดกู ายก็จะเขา้ ใจทั้งหมด ดูจิตกเ็ ขา้ ใจทัง้ หมด ดู ธรรมกเ็ ขา้ ใจทง้ั หมด วา่ รปู ธรรมนามธรรมทงั้ หมดไมใ่ ช่ เรา รปู ธรรมนามธรรมทั้งหมดเป็นตัวทุกข์ จะเหน็ อย่าง นเี้ หมอื นกนั หมด ไมใ่ ชอ่ นั ไหนดกี วา่ อนั ไหน ตอ้ งดวู า่ เรา เหมาะกบั กรรมฐานอะไร อยา่ งพวกคดิ มาก ตอ้ งการทำ� ความสงบแลว้ เปน็ คนทค่ี ิดมาก อุตลดุ เลย จะไปเลิกคิดเลยท�ำไม่ได้ ต้อง ท�ำกรรมฐานทใ่ี ชค้ วามคดิ ยอ้ นศรมัน อยากคดิ ฟุ้งซ่าน หรอื กใ็ หม้ าคดิ ถงึ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ ใหค้ ดิ ถงึ ทานที่ได้ท�ำแล้ว คิดถึงศีลท่ีรักษาไว้ดแี ลว้ คดิ ถงึ ความ สงบ คดิ ถงึ รา่ งกาย คดิ ถงึ ปฏกิ ลู อสภุ ะ คดิ ถึงลมหายใจ คดิ ถงึ ความตายอะไรอย่างนี้ คดิ ถึงพวกนี้ คิดไปเร่อื ยล่ะ เรอ่ื งพวกนี้ พวกนกั คดิ ทงั้ หลายเจา้ ความคดิ เจา้ ความเหน็ ๗๑

พามนั คดิ เรอ่ื งเหลา่ น้ี คดิ แลว้ ใจสงบกไ็ ดส้ มถะเหมอื นกนั คนไหนฟุ้งเก่งหนีบ่อย ๆ กจ็ ะรลู้ มหายใจ ร้ลู ม หายใจจิตไหลไปคิดก็รู้ทัน หายใจไปจิตไหลไปคิดก็รู้ทัน พวกฟุง้ เกง่ ๆ มาดูลมหายใจนะ แต่ละคนไมเ่ หมือนกนั คนไหนข้โี มโหมาก อยา่ ไปหา้ มว่า อยา่ โมโห อยา่ โมโห อยา่ ไปเชอื่ จิตไมเ่ ช่อื หรอกนะ จติ ไมเ่ ชอ่ื ขโ้ี มโห หรือ เจริญเมตตาไปเรื่อย ๆ คิดถึงสัตว์ทั้งหลายด้วย ความรู้สึกที่เป็นมิตร มีความเป็นมิตรต่อสรรพสัตว์ท้ัง หลาย หรือเบอ้ื งตน้ จะบริกรรมไปก่อนกไ็ ด้ “เมตตคณุ งั อรหังเมตตา เมตตคุณัง อรหังเมตตา” บริกรรมไป ทำ� ใจใหส้ บาย ใจมคี วามเมตตาขนึ้ มานะ กร็ ม่ เยน็ เปน็ สขุ อีก ความขี้โมโหก็หายไป คนไหนบ้ากามมาก ใหด้ ปู ฏกิ ูลอสภุ ะ แตล่ ะคนไม่ เหมอื นกนั ใหเ้ ราดนู สิ ยั ของตวั เอง นสิ ยั เราเปน็ แบบไหน พระพทุ ธเจา้ ประทานกรรมฐานไวใ้ หท้ กุ ๆ นสิ ยั นสิ ยั อนั เดยี วทที่ า่ นชว่ ยไมไ่ ดจ้ รงิ ๆ คอื นสิ ยั ขเี้ กยี จไมย่ อมภาวนา ๗๒

ท่านกช็ ว่ ยไมไ่ ด้ท่านก็ปล่อย เวลาสอนกรรมฐานนะ ทา่ นบอก “สอนกรรมฐาน เหมอื นคนฝกึ ม้า” ทา่ นวา่ อยา่ งนี้ มา้ บางตัวฝึกง่าย กใ็ ห้ กนิ อม่ิ ใหน้ อนใหพ้ อ พกั ใหพ้ อ ถงึ เวลากพ็ าไปฝกึ มา้ บาง ตัวด้อื แรงมาก พยศมาก ก็ตอ้ งฝึกแบบทรมานให้มาก หนอ่ ย ให้มนั กินนอ้ ย ๆ ทรมานมันให้มันเหน่ือย ให้มัน หมดเรยี่ วหมดแรง อนั นี้กย็ งั ฝึกได้ ตวั ไหนฝึกไมไ่ ด้ ทา่ น บอก “ฆา่ ทง้ิ ” คือไมส่ อน ปล่อยท้งิ ไป บางคนไม่ใชว่ ่า ทกุ คนจะเรียนกรรมฐานได้ บางคนไมม่ คี วามพรอ้ มทีจ่ ะ เรยี น ก็ยงั ไม่ตอ้ งเรียน ทนี ี้เราก็มาดตู ัวเอง หวงั วา่ เรา คงไม่ใชม่ า้ ประเภทสุดท้าย สว่ นหนง่ึ ของพระธรรมเทศนา หลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วันที่ ๑๒ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๕๗ จากซีดีแสดงธรรม ณ วัดสวนสันตธิ รรม แผน่ ท่ี ๕๕ ไฟล์ ๕๗๐๗๑๒A ๗๓



ชวี ติ เรามจี ำ�กดั

ตอ้ งเตอื นตวั เองบอ่ ย ๆ ใหข้ ยนั ภาวนา อะไรทพี่ ระพทุ ธเจา้ ท่านหา้ มเราก็ไมท่ �ำ อะไรทที่ า่ นบอกให้ทำ� เราก็ทำ� ท่านสอนให้มกั น้อย ใหส้ นั โดษ ไมค่ ลกุ คลี อนั น้ี เราก็ไมม่ ักมาก ไม่โลภมาก ไมว่ นุ่ วายมาก ปรารภความ เพยี ร เราตอ้ งปรารภความเพยี ร คดิ ถงึ การปฏบิ ตั เิ พราะ ชีวติ เราเนย่ี เปน็ ของไมแ่ น่นอน คนทีเ่ รารจู้ กั ตายไปเยอะ แลว้ หรือบางคนทเี่ รารูจ้ ักไม่มีกำ� ลงั จะภาวนา เจ็บไขไ้ ด้ ป่วย พิกลพิการ ชวี ติ นเ้ี ป็นของทีส่ ้ันนดิ เดยี วกต็ อ้ งคอย เตือนตวั เองเรอ่ื ย ๆ ถ้าเราคิดว่าชีวิตเราอมตะ ลืมตาย คนโบราณ เรียก “ลมื ตาย” ก็เพลนิ เพลินไปวนั หนึ่ง ๆ แปบ๊ เดียวก็ ปหี นึ่ง ผา่ นไปไม่นานก็ ๑๐ ปี ไม่นานก็ตายแลว้ มัน ผา่ นไปรวดเรว็ มากเลย ถา้ เรารทู้ นั วา่ ชวี ติ เรามนั มจี ำ� กดั ของอน่ื เรายงั หา มาทดแทนได้ ทรพั ย์สนิ เงินทองหมดไปกไ็ ปหามาใหม่ได้ แต่เวลาในชีวิตเราหมดไปหาใหม่ไม่ได้แล้ว มันเป็น ๗๖

ทรัพยากรที่ขาดแคลนจริง ๆ เลย ของอ่ืนหาแทนได้ กระทัง่ สามีภรรยา หมดไปหาแทนใหมย่ ังได้เลย แต่ชวี ิต น้ีไม่มอี ะไรแทนแลว้ มีแต่หมดไปเรือ่ ย ๆ ฉะนนั้ เรามที รพั ยากรทจ่ี ำ� กดั อยา่ งน้ี เราตอ้ งใชใ้ ห้ เกดิ ประโยชน์สงู สดุ ใหไ้ ด้ ชวี ติ คนรนุ่ นปี้ ระมาณ ๗๕ ปี อายเุ ฉลย่ี อายกุ ปั ประมาณ ๗๕ ปี เราเอาไปนอนซะ ๒๕ ปีแล้ว นอนสักหนงึ่ ในสามของชวี ติ ตอนเดก็ ก็นอนเยอะ หนอ่ ย โตขน้ึ มาก็อดหลบั อดนอนท�ำมาหากนิ แก่ ๆ ทำ� อะไรไมไ่ ดต้ อ้ งนอนอยเู่ ฉย ๆ เวลาอกี เกนิ ครงึ่ ของทเี่ หลอื เอาไปท�ำงาน สมมตทิ ำ� งานวันละ ๘ ชวั่ โมง ก็หนึ่งใน สามของชีวิตแล้ว เหลืออย่นู ดิ เดียว ในนดิ เดยี วถา้ เรายัง เอาไปเล่นซะอกี เลยไม่เหลือเวลาภาวนา ถ้าเมื่อไหร่เรารู้สึกว่าเราไม่มีเวลาภาวนาน่ี ให้ ทบทวนตัวเองเลย ในความเป็นจริงเวลาภาวนาน่ะมีแต่ เราท้งิ มันไป เวลากินขา้ วกภ็ าวนาได้ ดจู ติ ดูใจมันตะกละ ข้ึนมาก็ร้ทู ัน มันพอใจไม่พอใจในรสของอาหารก็รทู้ นั น่ี กภ็ าวนาแลว้ ๗๗

จะอาบนำ�้ มคี วามสขุ กร็ ู้ อาบนำ�้ หนา้ หนาว ๆ กลวั นำ�้ ใจไมช่ อบเลยขยะแขยงสยองอยา่ งนี้ รทู้ นั เขา้ ไป อาบ น�้ำเสร็จ ตัวอบอุ่นสบายใจ มีความสุขก็รู้ว่ามีความสุข กระท่ังอาบน�้ำ กระท่ังขับถ่ายก็ภาวนา ขับถ่ายไม่ออก กลมุ้ ใจก็รู้วา่ กลมุ้ ใจ ขบั ถ่ายได้สบายใจกร็ วู้ ่าสบาย ฉะนนั้ ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งกระทง่ั จะแตง่ เนอื้ แตง่ ตวั จะ หวีผม ทาหนา้ ทาปาก เขยี นค้ิวหรือท�ำอะไร คอยรูก้ าย คอยรใู้ จไปเรอ่ื ย ๆ มนั มเี วลาเยอะแยะไป นงั่ รถไปท�ำงาน รถตดิ กลมุ้ ใจกร็ วู้ า่ กลมุ้ ใจ รถไมต่ ดิ สบายใจกร็ วู้ า่ สบายใจ เน่ียคอยรกู้ ายคอยรใู้ จของเราไปเรือ่ ย ไม่ทิ้ง ค�ำว่าไม่มีเวลาภาวนาไม่มีหรอก เวลาภาวนามี เยอะแยะเลย ส่วนมากเราเอาเวลาท่คี วรจะภาวนาน้ันไป ทิ้งเปล่า ๆ อย่างเราเดินไปทำ� ธุระ เราเดินไปขน้ึ รถเมล์ เดนิ ไปอะไรอย่างนี้ ทุกก้าวที่เดนิ เรารูส้ กึ ตวั ไป รสู้ กึ กาย รสู้ ึกใจไป กไ็ ดภ้ าวนา ได้เดินจงกรมต้ังแตเ่ ชา้ แลว้ ชีวิต เราไม่ใช่ว่าหาเวลาไม่ได้เลย แต่ว่าเราไม่รู้จักคุณค่าของ เวลา ไม่รจู้ ักหยบิ ฉวย เราก็เลยมาบ่น เปน็ ขอ้ อ้างของ ๗๘

คนไมป่ ฏิบัติ ที่ว่าไม่มีเวลาปฏิบัติ หลวงปู่ดูลย์พูดถึงขนาดว่า “มีเวลาหายใจก็มีเวลาปฏิบัติ” ท�ำไมมีเวลาหายใจแล้วมี เวลาปฏิบตั ิ หายใจออกรูส้ ึกตวั หายใจเขา้ รู้สกึ ตัว แค่น้ี ก็ไดป้ ฏิบัติแล้ว ถา้ เรารูว้ ่าชวี ิตนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว น่ีใกลจ้ ะสนิ้ ปแี ลว้ ฉลองปีใหม่กันไมน่ านเลย จะถงึ เวลาฉลองปใี หม่ กนั อกี แลว้ มนั ผา่ นไปอยา่ งรวดเรว็ นะปหี นงึ่ ๆ แปบ๊ เดยี ว ก็ ๑๐ ปี แปบ๊ เดยี ว ๒๐ ปี ไมน่ าน ทกุ อยา่ งกผ็ า่ นไปหมด เราต้องรู้ว่าอะไรเป็นสาระส�ำคัญในชีวิตของเรา อะไรไมใ่ ชข่ องสำ� คญั เปน็ แคข่ องอาศยั อยชู่ ว่ั ครงั้ ชวั่ คราว ทรพั ยส์ ินเงนิ ทอง ครอบครวั ชอื่ เสยี งเกยี รตยิ ศ อะไรพวกน้ี เป็นของที่เราเอามาอาศัยอยู่กับโลกช่ัวครั้ง ช่ัวคราว ตอ่ ไปเราก็ตอ้ งคนื เค้าไป อย่างเรามคี รอบครวั อยกู่ นั ไปตอ่ มาลกู กเ็ รยี นจบ หรอื ลกู ไปเรยี นหนงั สอื ทอ่ี นื่ ๗๙

ลูกกแ็ ยกออกไป เคยมคี รอบครวั หลายคนก็เหลือนอ้ ยลง เหลอื ๒ คนตายาย ตายไปหนึ่ง เหลือคนเดียว สดุ ท้าย ตวั เองกอ็ ยไู่ มไ่ ด้ ตวั เองกส็ ญู เสยี กระทงั่ ชวี ติ รา่ งกายของ ตวั เองกเ็ สียไปอีก ตวั ครอบครวั ทรัพยส์ ินเงนิ ทอง ช่อื เสียงเกียรติยศ หน้าท่ีการงาน ช่ัวคราวท้ังหมดเลย จำ� เปน็ ตอ้ งมีไหม กจ็ ำ� เปน็ เพอ่ื จะอยู่กับโลก อย่างส้ินเดือนกันยายนขึ้นเดือนตุลาคม คน เกษียณอายุเยอะแยะเลย เคยมีอ�ำนาจหมดอ�ำนาจแล้ว แต่เดิมผ่านไปไหนคนเขากไ็ หว้ เด๋ียวนีค้ นเขาก็ท�ำไม่รูไ้ ม่ ช้ี ไปไหนเขากไ็ ล่เอาก็มี ทกุ สิ่งทกุ อยา่ งในโลกน้ี เราไป เห็นของไม่มีสาระว่าเป็นของมีสาระ ให้ความส�ำคัญกับ สิ่งพวกน้ี เราไปต่อสู้แยง่ ชิงของซงึ่ มันจะตอ้ งคืนเจา้ ของ ในเวลาไมน่ าน ส่วนธรรมะนั้น เป็นของท่ีจะอยู่กับเราตลอดไป อยู่คู่กับชีวิตจิตใจของเรา เราก็ต้องพยายามพัฒนา ธรรมะข้ึนมาให้ได้ ใหเ้ ข้ามาสจู่ ิตสใู่ จของเราใหไ้ ด้ ๘๐

อะไรทพี่ ระพุทธเจา้ ห้าม เรากอ็ ย่าไปท�ำ อะไรที่ ทา่ นบอกใหท้ ำ� เรากข็ ยนั ทำ� ทา่ นหา้ มไมใ่ หท้ ำ� บาปอกศุ ล เรากอ็ ย่าไปท�ำ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ทา่ นสอนให้ เราเจรญิ ศลี สมาธิปัญญา เราก็ท�ำ เราทำ� อย่างท่ีท่าน สอน ธรรมะมนั ก็เข้ามาสูใ่ จเราในเวลาไม่นานเท่าไร ถ้า เราตง้ั ใจ ส่วนหนง่ึ ของพระธรรมเทศนา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช วนั ท่ี ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗ จากซดี ีแสดงธรรม ณ ศาลาลงุ ชนิ แผ่นที่ ๗๑ ไฟล์ ๕๗๑๑๑๖ ๘๑



วสิ ทุ ธิ ๗

สมถะดไี หม ดี เหมอื นบนั ไดขนั้ แรก ๆ แตท่ �ำอยแู่ คส่ มถะ ไมข่ น้ึ เจรญิ ปญั ญา ไมไ่ ดเ้ รอื่ งเลย ทำ� ไมถ่ กู แลว้ ไมม่ สี มถะ เลยกค็ อื ไม่มีบันไดขน้ั แรก ๆ เลยก็ไปยาก จะขึ้นบันได ข้ันที่ ๓ เลยท�ำไดไ้ หม ได้ ถา้ ขนั้ มันไม่ใหญ่มาก แต่ขึน้ สบายไหม เส่ียงไหม ขึน้ ไม่สบาย เส่ยี ง ถ้าเดินไปตาม ลำ� ดบั บนั ไดทพ่ี ระพทุ ธเจ้าวางไว้ จะไม่ยากเกนิ ไป บนั ไดของทา่ น ถา้ ซอยออกไปหยาบ ๆ กม็ ี ๓ ขนั้ แต่ละขั้นยาวหนอ่ ย ข้ันศลี ขน้ั สมาธิเทา่ ๆ กนั แตข่ น้ั หลงั ๆ น่ี จะตอ้ งเขยง่ อยา่ งแรง พระสารบี ตุ รทา่ นมาแยก เปน็ บนั ได ๗ ขนั้ เป็นวสิ ุทธิ ๗ อยา่ ง สลี วสิ ุทธิ เรื่อง ศีล จิตตวิสุทธิ คือเรื่องฝึกจิตให้มีสมาธิ ถัดจากน้ัน อีก ๕ ข้นั เปน็ เรอ่ื งของการเจรญิ ปญั ญา ทา่ นซอยการ เจรญิ ปญั ญาออกไปอีก ช่วยให้เราภาวนาง่ายขึ้น เริ่มต้ังแต่ ทิฏฐิวิสุทธิ ทิฏฐิวิสุทธิเป็นตัวเจริญ ปัญญาตัวแรกเลย ทิฏฐิวิสุทธิ คือเรียนรู้มีทิฏฐิมีความ เห็นทีถ่ ูกต้องวา่ ตัวเราไม่มี เปน็ ความเห็นนะยงั ไม่ใช่การ ๘๔

ร้จู รงิ ตวั เราไม่มี มแี ตร่ ูปกบั นาม ถ้าแยกรปู แยกนามได้ เรียกว่ามีทิฏฐิวิสุทธิ พวกเราท่ีแยกรูปแยกนามได้ ใน บันได ๗ ขัน้ เรามาอยู่ในขั้นที่ ๓ แลว้ แยกรปู นามได้ เรียกว่า ทิฏฐวิ สิ ทุ ธิ ต่อมาเรารอู้ ีกว่า รปู ธรรมนามธรรมทัง้ หลาย มี เหตจุ ะเกิด ไม่ใช่ลอย ๆ มาเกดิ แลว้ เกิดแลว้ พอหมดเหตุ กห็ ายไป ไมส่ งสยั ในรปู ธรรมนามธรรมทงั้ หลาย รวู้ า่ มนั มาจากเหตุ ถา้ หมดเหตมุ ันก็หายไป รู้อย่างนี้ ร้ดู ้วยการ ศึกษาเปรียบเทียบเอาว่ารูปแต่ก่อนกับรูปเด๋ียวนี้ไม่ เหมือนกนั นามแตก่ ่อนกับนามเดย๋ี วน้ไี มเ่ หมอื นกนั เหตุ มันต่างกัน อันน้ีขึ้นบันไดมาอีกอันนะชื่อ กังขาวิตรณ วิสุทธิ หมดความสงสัยในการเกิดของรูปนาม มันเป็น ไตรลกั ษณ์ แต่จะเหน็ ไตรลกั ษณด์ ้วยการคิด ถัดจากนั้นจะถึง มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ รวู้ า่ อะไรเปน็ ทาง อะไรไมใ่ ชท่ าง ตรงทรี่ วู้ า่ อะไรเปน็ ทาง อะไรไมใ่ ชท่ าง ขน้ึ วปิ สั สนาแลว้ ผา่ นวปิ สั สนปู กเิ ลสไปแลว้ ตรงนถี้ า้ แยกดว้ ยญาณ ๑๖ พระรนุ่ หลงั มาแยกดว้ ยญาณ ๘๕

๑๖ แยกตรงนลี้ ะเอยี ดออกไปอกี เปน็ ญาณอกี เยอะ พระ สารบี ตุ รมาแยกขนึ้ มา ทฏิ ฐวิ สิ ทุ ธิ กงั ขาวติ รณวสิ ทุ ธิ มคั คามคั คญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ อะไรเปน็ มรรคอะไรไมใ่ ชม่ รรค ส่ิงท่ีเป็นมรรคคือการท่ีมีสติรู้กายรู้ใจ รู้รูปนาม ตามความเป็นจริง ดว้ ยจติ ตั้งม่นั เป็นกลาง ถ้าจติ ไมต่ งั้ ม่นั จิตไม่เป็นกลาง วิปสั สนปู กิเลสจะแทรก ถ้าเมือ่ ไหร่ เกิดวิปัสสนูฯ แล้วจิตตั้งมั่นถึงฐานขึ้นเม่ือไร วิปัสสนูฯ หายเลย วิปัสสนูฯ เลยมีชื่ออีกชื่อนึงว่า ธัมมุทธัจจะ ธรรมะ กบั อทุ ธจั จะ ความฟงุ้ ซา่ นในธรรมะ ๑๐ ประการ พวกเราจำ� นวนมากเลยทมี่ าถงึ ตรงนี้ ทเ่ี ราภาวนา ดจู ติ ดใู จแลว้ มนั สวา่ งวา่ งไปอยขู่ า้ งหนา้ ใครเคยเปน็ ทมี่ นั ไปว่างสว่างอยู่ข้างหน้า แล้วหลวงพ่อบอก รู้ไหม จิต เคลอ่ื นออกไปอยู่กับแสงสว่าง ไปอยกู่ บั ความว่าง ไปอยู่ กบั ความสขุ ความสบายขา้ งหนา้ ตรงทพี่ วกเรารทู้ นั ตวั นี้ เราไดม้ คั คามคั คญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ รแู้ ลว้ ถา้ ไหลออกนอก อย่างน้ีไม่ใช่ทาง ถ้าตั้งม่ันอยู่ รู้รูปนามอยู่ด้วยจิตที่ต้ัง มน่ั อยนู่ เ้ี ปน็ ทาง ๘๖

ถัดจากน้ันก็เป็น ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ คือการท�ำวิปัสสนานั่นเอง โดยทพ่ี น้ วปิ สั สนฯู มาแลว้ กม็ สี ตริ รู้ ปู นามตามความเปน็ จริงด้วยจิตต้ังมั่นและเป็นกลางเนี่ยรู้ไปเร่ือย ในโสฬส ญาณทา่ นกซ็ อยไปถย่ี บิ เลย พอเหน็ ความจรงิ แรก ๆ กจ็ ะ เกดิ ความรสู้ ึกมนั น่ากลวั เกิดนา่ กลวั เกิดรสู้ ึกวา่ ไรส้ าระ เกดิ ความรสู้ กึ เบอ่ื พวกเราหลายคนทภ่ี าวนาแลว้ รสู้ กึ ไหม ธาตุขันธ์ชีวิตน้ีน่ากลัว ธาตุขันธ์ชีวิตนี้หาสาระแก่นสาร ไมไ่ ด้ ธาตุขนั ธ์ชีวติ น้ีนา่ เบอ่ื นี่เรากระเถบิ ขนึ้ มาตั้งเยอะ แลว้ ไมใ่ ชก่ ระไดขนั้ แรก ๆ แล้ว เนยี่ ฝกึ มาเรอื่ ยนะ สดุ ทา้ ยกเ็ กดิ ญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ เกิดมรรคเกดิ ผลข้นึ มา เน่ยี เดินทางเดิน ถ้ายอ่ ๆ นะ ก็ เป็นศลี สมาธิ ปญั ญา ถ้าขยายปญั ญาออกไป ๕ สว่ น ศีลสมาธแิ ลว้ อกี ปัญญาเป็น ๕ รวมเป็น ๗ กเ็ ปน็ วิสุทธิ ธรรมะช่ือวสิ ุทธิ ๗ ประการ เน่ียพระสารีบตุ รทา่ นขยาย ข้ึนมา แล้วพระรนุ่ หลังมาขยายออกไปอีกเปน็ ญาณ ๑๖ โสฬสญาณ โสฬสญาณเนย่ี เปน็ สว่ นของการเจรญิ ปญั ญา ๘๗

งน้ั ศลี สมาธติ อ้ งมกี อ่ น บางคนไปเรยี นโสฬสญาณ แล้วเมาเลย ลมื เรื่องศลี กับการฝึกจติ ลืมศลี สิกขา จิตต สกิ ขา ลมื สลี วสิ ทุ ธิ จติ ตวสิ ทุ ธิ คดิ วา่ การปฏบิ ตั ไิ มม่ อี ะไร หาทางแยกรปู นามอะไรตอ่ อะไร คดิ เอาเองเลย จติ ไมต่ งั้ ม่ันมันไม่แยกหรอก งั้นสีลวิสุทธิก็คือการศึกษาเร่ืองศีล ศลี สกิ ขา จิตตวิสุทธกิ ็คือจติ ตสกิ ขา อีก ๕ ตวั ของวสิ ทุ ธิ คอื ปญั ญาสกิ ขา ๕ ตวั นมี้ าขยายออกไปเปน็ ๑๖ ตวั เรยี ก โสฬสญาณ สว่ นหน่ึงของพระธรรมเทศนา หลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช วนั ที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๕ จากซีดแี สดงธรรม ณ วดั สวนสนั ติธรรม แผน่ ที่ ๔๕ ไฟล์ ๕๕๐๖๐๑ ๘๘

ประวตั ิ หลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช

เกิด พ.ศ. ๒๔๙๕ ณ บ้านดอกไม้ ต.บ้านบาตร อ.ป้อมปราบศัตรูพา่ ย จังหวดั พระนคร การศกึ ษา ชั้นประถมศึกษาตอนตน้ ณ โรงเรียนสุรยิ วงศ,์ ชน้ั ประถมศกึ ษาตอนปลาย ณ โรงเรยี นวดั พลบั พลา ชัย, ช้นั มธั ยมศึกษา ณ โรงเรยี นโยธินบรู ณะ, ปรญิ ญา ตรแี ละโท ณ คณะรฐั ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, สจว. รุน่ ท่ี ๕๗ การทำ� งาน ลกู จา้ ง กอ.รมน. (๒๕๑๘-๒๕๒๑), เจา้ หนา้ ที่ วิเคราะห์นโยบายและแผน ๓-๗ ส�ำนักงานสภาความ ม่ันคงแห่งชาติ (๒๕๒๑-๒๕๓๕), ผู้ช�ำนาญการ ๘-๑๐ องค์การโทรศพั ท์แหง่ ประเทศไทย (๒๕๓๕-๒๕๔๔) การศึกษาธรรม นกั ธรรมตรี, ศกึ ษาอานาปานสติตาม ค�ำสอนของท่านพ่อลี ธัมมธโร ตั้งแต่ ๒๕๐๒, ศึกษา กรรมฐานจากครูบาอาจารย์สายวัดป่าหลายรูปต้ังแต่ ๒๕๒๕ อาทิ หลวงปู่ดลู ย์ อตุโล หลวงพอ่ พุธ ฐานิโย หลวงปู่เทสก์ เทสรงั สี หลวงปู่สิม พทุ ธาจาโร หลวงปู่ ๙๐

บุญจันทร์ จันทวโร และหลวงปู่สุวจั น์ สุวโจ เป็นต้น, อุปสมบทครั้งแรกในสมัยที่ยังเป็นนักศึกษา ณ วัด ชลประทานรังสฤษดิ์ จ.นนทบรุ ี โดยมีหลวงพอ่ ปัญญา นันทภิกขเุ ป็นพระอุปัชฌาย์, อปุ สมบทครง้ั ท่ี ๒ ณ วดั บูรพาราม จ.สุรินทร์ (๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๔) โดยมี พระราชวรคณุ (สมศักด์ิ ปณั ฑโิ ต) เป็นพระอุปชั ฌาย์ สถานทจี่ ำ� พรรษา ๕ พรรษาแรกจำ� พรรษาอยู่ ณ สวน โพธญิ าณอรญั วาสี อ.ทา่ มว่ ง จ.กาญจนบรุ ี ของทา่ นพระ อาจารยส์ ุจินต์ สจุ ิณโณ และพรรษาที่ ๖-ปัจจบุ ัน ณ วัด สวนสันตธิ รรม อ.ศรีราชา จ.ชลบรุ ี โดยความเห็นชอบ ของพระอุปัชฌาย์ งานเขยี น วมิ ตุ ตปิ ฏปิ ทา (๒๕๔๒-๒๕๔๔) กอ่ นอปุ สมบท, วถิ ีแหง่ ความรู้แจ้ง (๒๕๔๕), ประทปี สอ่ งธรรม (๒๕๔๗) ทางเอก (๒๕๔๙) วมิ ตุ ตมิ รรค (๒๕๔๙) เรยี นธรรมคเู่ พอ่ื รู้ธรรมหน่งึ (๒๕๕๑) และแกน่ ธรรมค�ำสอนของหลวงปู่ ดูลย์ อตุโล (๒๕๕๑) ๙๑

แผนท่ีแสดงเสน้ ทางไปวัดสวนสนั ติธรรม วดั สวนสนั ตธิ รรม อ.ศรรี าชา จ.ชลบรุ ี ตรวจสอบวนั และเวลาแสดงธรรม ของหลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช ได้ท่ี www.dhamma.com/calendar หรอื โทร. ๐๘๑-๕๕๗๙๘๗๘ ๙๒


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook