แนวคดิ เบอื้ งตน กอ นจะเปน นกั พูด/วทิ ยากร (BASIC CONCEPTS) การพูดในที่ชมุ นุมชนคือ การสนทนาที่ไดข ยายวงขอบเขตใหกวา งขวางขน้ึ การพูดกับคนหน่ึงคน กบั คนสิบคน หรอื กับคนรอยคนนัน้ ไมแตกตางกันมากเทา ใดนกั ทานจาํ ตองพดู ใหดังขนึ้ แตการพูดสนทนาในวงผูรบั ประทานอาหารไมแ ตกตางในเรอ่ื งเนอื้ หาสาระไปจากการพดู ทเี่ กดิ ข้นึ ในงานชมุ ชน ความแตกตางอยางแทจรงิ เพียงประการเดยี วก็คือ ในงานชมุ ชนนัน้ผูพ ูดไดรบั อนญุ าตใหพดู ไดใ นระยะเวลาที่นานกวาโดยปราศจากการขัดจงั หวะฉะนนั้ โปรดคดิ ถงึ การพดู ในลกั ษณะของการสนทนากับคนฟงพดู กบั บคุ คลทง้ั หลายทีท่ านเห็นอยูเบื้องหนา ของทาน จงพดู กับเขา แตอยา เปน อันขาดวาทา นพูดใสเ ขา ในการเตรยี มตวั และในการฝก พูด ถาทา นคิดถงึ สง่ิ ทจี่ ะพดู ในลักษณะของการอภิปรายถกเถียงปญหากบั ผทู ่ีทา นรจู กั กจ็ พเปน สง่ิ ท่ีชว ยไดมากเชน กัน จงสรา งจินตนาการวาเขา ไดถามทานถึงปญหาสาํ คัญขอหน่ึงและทานไดพยายามอยา งดที สี่ ดุ ที่จะตอบปญหาน้นั ในขณะทีท่ านกระทาํ อยา งน้ี เขา ก็ไดถามปญ หาอื่น ๆ เพิม่ เขา มาอกี และทานก็ไดพยายามตอบปญ หาเลา นด้ี วยทานอาจตอ งอธบิ ายนําเรื่องนทิ านนิยายมาเลาเพอ่ื ทจ่ี ะวาดภาพสง่ิ ทที่ านหมายถึง และอา งองิ ตัวเลขทางสถติ ิตา ง ๆ มาประกอบ หรอื อาจมบี างคนคานขน้ึ มา และทานไดใชว ธิ กี ารโตแ ยง อยางชนดิ เผชญิ หนากันเลยทเี ดียว ในกรณีนี้ทา นตอ งยกขอ เท็จจริงมาอางเพ่อื เอาชนะเขาใหไ ด ในที่สดุ ทานสรุปทุกส่งิ ที่ทา นไดพูดไปแลว โดยคาํ พดู ท่ีวา “น่ันไงละ” เห็นม๊ยั นนั่ คือสิง่ ที่พงึ จะไดพูดไปอยา งไรละ ”
-2- การคดิ นึกและการเตรียมตัวในลักษณะเชนวา มาน้ี จะชว ยใหทา นไดร ับตราประกนั คณุ ภาพวา การพูดของทานนนั้ ดี การพดู ในท่ีชมุ นมุ ชน คอื การส่ือสารอยา งมีจดุ มุง หมาย ทานพดูกบั คนฟงเพอ่ื ความมงุ หมายเฉพาะบางอยา ง ทา นประสงคท ่ีจะใหเขา รูส ึกคดิกระทําบางสง่ิ บางอยาง ฉะน้นั ในระหวางการพดู ของทาน โปรดเอาใจใสแนว แนเฉพาะแตใ นวัตถุประสงคน ้ี ตัง้ สมาธิของทานใหแ นว แน เอาใจใสสงิ่ ทท่ี านกําลงั ทําอยู(Keep your eye the ball) อยา ใหใจของทานไขวเขวไปโดยผฟู ง ทเี่ ขา มาชา หรือเสียงตาง ๆอยาปลอยใหก ารพูดของทา นเปน ไปเหมอื นเคร่อื งยนตกลไกคือ ปราศจากชวี ิตจติ ใจ อยาปลอ ยใหเ กดิ อาการจิตใจไมอยูกับตวั จนมีอาการเหมอื นคนใจลอย(absent-minded) ถา ทานเปนดังกลา วมาน้ที า นจะไมส ามารถสื่อสารไดเลย โปรดคิดอยูเสมอวา ทา นกาํ ลังพดู อะไรอยใู นขณะที่ทานกําลงั พดูจงคิดใหมาก ๆ แลวคนฟง จะทราบวา ทานตองการจะหมายถึงอะไรในส่ิงทีท่ า นพูดและจะฟงทาน นกั พูด/วิทยากรที่ดีควรมคี วามกระฉบั กระเฉง (LIVELY) มคี วามสนใจในสงิ่ ตา ง ๆ รอบตวั (INTERESTED) มีความกระตอื รือรน(ENTHUSTASTIC) มีชีวิตชวี า (VITAL) เขาดูมีพลังชีวติ ; เขาเหน็ คนฟง เปนมนุษยผูม ีชีวิต เขาสนใจในหัวขอ เร่ืองของเขาและเห็นวาเกี่ยวของจําเปน และมีประโยชนตอบคุ คลดงั กลาว ดังน้ัน เขาจึงพดู ถงึ มันดว ยความกระตอื รือรน น้คี ือวิธที ีด่ ีที่สดุท่ีจะทาํ ใหผ ูฟงเกดิ ความสนใจ
-3- นักพูด/วทิ ยากรทีด่ ยี อมจะตองเปน คนมีความคดิ รอบคอบและเอาจริงเอาจงัเขาไมพดู เพยี งเพ่ือแคข อใหไดพ ดู เพ่อื โออวดเส้ือฟา เครอ่ื งแตง กายหรอื รอยยม้ิหรือความสามารถในการเลือกใชถอยคาํ ความรศู ัพทมาก หรอื ความสามารถเชงิลีลาการประพนั ธ หรือเสียงเทา น้ันเขาจะไมเ พียงแคก ดปุม หวานโปรยเสนห เ มือ่เขาลกุ ขึ้นยืน และเพอื่ ทีก่ ดปุมปดเม่ือเขาน่งั ลง ทวา เขามีบางสิ่งบางอยาง ซ่ึงเขาคิดวามันมคี ณุ คา ทจี่ ะกลา วถึงและเขาพดู ถงึ มันเขาเปนคนมีความคดิ รอบคอบและเอาจรงิ เอาจงั นักพดู /วิทยากรทดี่ ยี อ มมีสาํ นึกในความรบั ผดิ ชอบ เขามีสํานึกในความรบั ผดิ ชอบตอคนฟง เขาตระหนักดีวา ถา เขาพดู โดยใชเ วลา 5 นาที กับคนฟงหนึ่งรอยคน ก็เทากับวา เขาใชเวลาถึงหา รอยนาทีของชวี ิตบุคคลเหลา นน้ัเขาพยายามพูดในสิ่งท่จี ะมีประโยชนคมุ แกเวลาอนั มีคา เขามีสาํ นึกในความรบั ผดิ ชอบตอ หัวขอเรอื่ งของเขา เขาจะไมตะกรมุ ตะกรามกัดมันออกมามากเกินกวา ทีเ่ ขาจะสามารถเคย้ี วยอ ยลงได และในขณะเดียวกันเขากจ็ ะไมน ํามนั มาแผโ รยหนา แตเพยี งบาง ๆ จนมแี ตน าํ้ แตไมมเี นอ้ื นกั พูด/วทิ ยากรทดี่ มี ีลักษณะแหงความเปน ผนู าํ เขายืนยึดตวั อยา งสงา ดังเชนทีผ่ ูนาํ ควรกระทาํ เขาพดู อยา งท่ีแสดงใหเห็นความรบั ผิดชอบและความรแู จงเหน็ จริงในส่งิ น้นั ดงั เชนทผี่ ูนาํ ควรกระทํา เขามองโลกในแงดี มีความเปน มิตร และตรงไปตรงมา
-4- นกั พูด/วทิ ยากรทดี่ ยี อ มรจู กั ประมาณตน ถอมตนไมเหลงิ รูจักทําใจใหเ ปน กลางเขาไมปลอ ยใหค วามทะเยอทะยานครอบงาํ เขามากจนเกินไป เขาไมยอมทจ่ี ะกลายเปน คนทีเ่ อาแตใ จตัวเองเปนใหญ เขาไมปลอยใหความเชื่อมั่นท่เี ขามีอยทู ําใหเขากลายเปน คนอวดดีถือวาตวั เองวเิ ศษกวาคนอน่ื เพราะมคี วามเช่อื ม่นั ในตัวเองมากจนเกินไป เขาไมปลอ ยใหต วั เองหลงไหลมนี เมาตกเปนทาสสิง่ เสพติดของอํานาจวาสนาซ่ึงเกดิ ขึน้ โดยการที่ไดป รากฎกายเปนจุดเดนในฐานะคนสาํ คญัของสังคม เขาพยายามทําตนใหเปนคนมีเหตุมีผล มสี ติ มสี ุขภาพจติ ดี เขามีอารมณขนั อยเู สมอ ขอคดิ สําหรบั ผูท ่ีเรมิ่ ตนจะเปน นักพดู /วทิ ยากร : จงเปน ตัวของตัวเอง (BE YOURSELF) พูดในสิง่ ทท่ี านคดิ ไมใ ชส งิ่ ทน่ี ักเขียนคอลมั นบางคนหรือนักขา วบางคนคิด กลา วคอื ไมควรไปจดจําส่ิงท่ีผอู ื่นพดู มาพดู ศกึ ษาวธิ ีการของนักพูดคนอนื่ ๆ แตอ ยา ลอกเลียนแบบเขา ยกยอ งและช่นื ชมคณุ สมบัตอิ นั ดีงามของนกั พดู ผูม ีประสบการณแตโปรดอยารสู กึ วา คุณสมบัติเหลานัน้ เปนส่ิงจําเปน อยา งย่ิงท่ที า นจะตอ งมีทา นควรตองพฒั นาปรบั ปรุงศกั ยภาพ (POTENTIALITY) ทง้ั หลายของตัวทานเอง ศกึ ษาพจิ ารณาทําความรูจกั กับทวงทลี ีลา(STYLE) ของตวั ทานเอง พยายามคนหาวา อะไรจะชวยทําใหทานเปน นักพดู ผูมีประสิทธิภาพ
-5- ฉะน้ันแงค ดิ อกี ประการหน่ึงสําหรบั ผทู เี่ ริ่มตนเปน นักพูดกค็ ือ :จงรจู กั ตัวเอง (KNOW YOURSELF) อยา สรา งนสิ ยั ที่ไมด โี ดยการเฝา คดิ เพอฝนเกย่ี วกบั ความสามารถในการพูดของทาน แตจ งเรียนรูท จ่ี ะยอมรับขอ วพิ ากษวจิ ารณและไดร ับผลประโยชนจากมัน วเิ คราะหการพูดของทานเองภายหลังการพดู แตล ะครงั้ ลองถามเพือ่ น ๆ ที่ไวใ จไดเกีย่ วกบั การพูดของทา น พยายามคาดหรือประมาณการณอยา งมีจดุ มุงหมายเกย่ี วกับคุณคา ของการพูด คนหาขอบกพรอ งของทา น ; อยา ปกปด หรือละเลยมันแตจ งลงมอืทําอะไรบางอยางเพ่ือแกไ ขขอบกพรอ งเหลา นั้น คนหาขอ ดีอันเปนพลงั ของการพูดของทา น เอาใจใสเ นนในขอ ดีเหลาน้ีพฒั นามนั ใหดียงิ่ ขน้ึ ขอ ผดิ พลาดของผูทพ่ี ึงจะเรม่ิ ตน ฝก เปนนักพูด/วทิ ยากร(BEGINERS FAULTS) นีค่ ือแงค ดิ บางประการเก่ียวกบั ขอผิดพลาดของผูท่ีพงึ จะเร่ิมตนซงึ่ มักจะพบเหน็ อยูเสมอ ถา ทา นมลี ักษณะดงั ทจี่ ะกลา วตอไปนี้อยูบาง ควรพยายามขจัดมนั เสยี
-6- การพดู “เออ ” “อา ” “แบบ” “ก”็ “และก”็ “แลว อา” ฯลฯจนเปน นิสัยพวกเรามกั จะพดู คําวา “เออ” ฯลฯ ถาเรารสู ึกเหน่อื ยหนา ย หรือไมสามารถประมวลความคิดของเรามาพดู ตอได หรอื ถา เราไดนั่งอานหนังสอื หรือทาํ งานทเ่ี กีย่ วกบั การเคลอ่ื นไหวของมอื หรอื สิง่ อื่น ๆ โดยทเี่ ราไมตองใชคิดคิดเปนระยะเวลาที่นานเกินไป แตค ําวา “เออ” ที่ผดุ ขน้ึ มาใหไ ดย นิ บอ ย ๆ ตลอดการพูดคร้งั หนง่ึ ๆ นั้น ทาํ ใหก ารพดู นา เบ่ือและไมน า สนใจ วิธีแกไข : ใชมอื ขางหนง่ึ โบกกวาดไปมาอยขู างหนา และโดยท่ีทา นจอ งมองดมู อื ทเ่ี คลอ่ื นไหวน้นั ทา นจงพรรณาหรือบรรยายสภาพหอ งท่ีทา นน่งั อยโู ดยสมมตุ ปิ ระหน่งึ วา ทา นกําลงั พดู กบั ผฟู ง ผา นการออกวิทยกุ ระจายเสียงลองพยายามพูดตดิ ตอกนั นานประมาณ 25 วนิ าที โดยไมใ หม คี ําวา “เออ” ฯลฯเลยแมแ ตคําเดยี ว ขอใหใครสกั คนหนึ่งคอยตรวจจับทา นดู ถาทา นไมไ ดยนิ คาํวา “เออ ” ฯลฯ ดวยตวั ทานเอง ถาทา นเผลอหลดุ พูดคาํ นไ้ี ปควรเร่ิมตนฝกใหมอีกครงั้ หน่ึง ครงั้ นี้ควรพยายามใหนานถึง 45 วินาที พรรณณาหรือบรรยายส่ิงที่ทานเหน็ ขา งนอกหนา ตา ง โดยใชวธิ กี ารเดยี วกนั ลองพูดถึงขาว เหตุการณบางอยางในลักษณะเดียวกนั การเรมิ่ เปดฉากการพูดโดยการขอโทษ การพูดทาํ นองออกตวั เพ่ือขอโทษจะมีกแ็ ตเ พียงนักพูดท่ีมชี อ่ื เสยี งดีที่สุดเทา นัน้ ผูอ าจสามารถกลาวคาํ ขอโทษไดและเขาจะกระทําก็แตเพียงเมือ่ เขามีภารกิจมากเสียจนกระทั่งเขาไมม เี วลามากเพยี งพอทจ่ี ะเตรยี มตวั เทาน้ัน
-7- คนฟงจะถือวาการเรม่ิ ตนพดู โดยการกลาวคาํ ขอโทษของทา นนัน้เปน เสมอื นสง่ิ ท่ที า นกระทาํ เสมอ ๆ หรือมฉิ ะนัน้ ถาทานแสดงใหเขาเห็นเปนจริงเปนจงั ละก็ ผูฟ ง จะเริ่มจับผิด ถาทา นมีเวลาเตรยี มตัวไมพ อ ถา ทานไมท ราบวา เน้อื หาของเร่ืองที่จะพดู มีมากนอยเพียงใด ทา นควรหาทางปฏเิ สธการพูดครง้ั น้นั ใหด ีทีส่ ดึ เทาท่ีจะทาํ ไดเ สยี เลยจะดกี วา และเปดทางใหผ อู น่ื ซงึ่ มคี วามพรอ มมากกวา ทําหนา ที่พดู การทําตัวเหมอื นแมวขโมย (Copycat) จงอยาหยบิ ยกเนื้อหาทีจ่ ะพูดหรอื จงอยา ลอกเลยี นทวงทลี ลี า (STYLE) การพูดทไ่ี ดมาจากนิตยสารวารสาร หนังสอื พมิ พหรอื สิง่ ตพี มิ พอืน่ ใดท้ังส้นิ บทความหรอื ขอ เขียนในสง่ิตพี มิ พเ หลานัน้ เขาตัง้ ใจเพือ่ จะใหเ ปนสิ่งสาํ หรบั อานทว งทลี ีลา (STYLE) ของขอ ความเหลา นจี้ ะดไู มแนบเนียนเปนธรรมชาตเิ มอ่ื มนั ออกมาจากริมฝป ากของทา น จงสรา งบทท่ีจะพูดดว ยตัวทา นเอง ถา หากวา มบี ทความขอ เขียนในสิง่ ตพี มิ พเรือ่ งใดเรือ่ งหนง่ึ ที่ทานสนใจ ทานควรอา นขอ เขียนหรอื บทความอ่ืน ๆ ในหวั ขอ เรอื่ งเดียวกนั แลวจดบนั ทกึ ยอ เพ่มิ เติมความคดิ เหน็ และสิง่ ทไ่ี ดจากสังเกตการณของทานเองลงไปแลว หลงั จากน้นั จงึ เตรียมสาระท่ีจะพูดโดยใชถ อ ยคาํ ของทานเอง การเคลือ่ นไหวไกวแกวง โยก เขยา กระดิกรา งกายหรอื สว นใดสว นหนง่ึ ของรา งกายตลอดเวลา การเลน กบั ส่งิ ใดส่ิงหน่ึงในขณะที่พดู ผทู ่จี ะเรม่ิ เปน นกั พดู ในบางครงั้ ปลดปลอยถายเทพลงั งานท่เี กดิ ขน้ึ มากกวาปกติโดยการเลน กับเงนิ เหรียญ กระดุม กุญแจ ดินสอ ปากกา กระดาษบนั ทกึ ฯลฯอยางวุน วายไมมีสติควบคุมทเี ดียว ในการกระทําเชนนน้ัเขาไดท าํ ใหผ ฟู งเสียสมาธแิ ละความตั้งใจในการฟง ไป
-8- ฉะน้นั โปรดอยานาํ สิง่ ของชน้ิ เลก็ ๆ ตดิ ตัวขึ้นไปบนเวทีดว ยเม่อืทา นอยูทน่ี ่ัน, บนเวที, จงเอาใจใสแนวแนอยูแตก ับเฉพาะตวั สารของทาน และจงใชพลงั งานท่เี กิดข้นึ มากกวาปกตนิ ้ีไปในการพดู ท่ีเต็มไปดว ยพลงั และความเขมแขง็ ลกั ษณะท่ีปราศจากการติดตอ ส่อื สารกบั คนฟง ผูทีพ่ งึ จะเริม่ ผกึเปน นักพดู อาจมแี นวโนม ที่จะพดู กบั ตัวเองเทา น้ัน หรอื พดู แตเ พยี งกับคนฟงแถวหนา ดังท่ีไดกลาวมาแลววาการพูดในทชี่ มุ นมุ ชนเปน การสนทนาที่ไดขยายวงขอบเขตใหก วางขวางออกไป ฉะนน้ั มันจึงเปนการตดิ ตอ ส่ือสารกบั คนอ่ืน ๆ ดว ย วิธแี กไ ข : พดู กับบุคคลที่น่งั อยแู ถวหลงั สดุ เสียกอ น ; หลังจากนน้ัจงึ พูดกบั บุคคลอ่ืน ๆ ทอี่ ยใู กล ๆ ทาน การใชค ําทเี่ ขา ใจยากหรอื ศพั ทท างวชิ าการ (JARGON) ผทู ่ีประกอบอาชีพซงึ่ ตองอาศยั พ้ืนฐานทางการศกึ ษาในขน้ั สงู มแี นวโนมท่ีมกั จะใชศัพทท างวชิ าการหรือภาษาทีไ่ มใชภ าษาชาวบา น ซง่ึ ผทู จี่ ะเขาใยไดโดยงายก็มีเพียงแตค นท่อี ยูในวงการอาชีพระดับเดียวกันเทา นั้น ผทู ่เี รม่ิ ฝก เปน นักพดู ในบางครั้ง ดเู หมอื นจะรสู ึกหรือเขา ใจวาเขาจะสามารถสรา งความประทบั ใจไดถึงเขาพดู สงู ขา มศรีษะคนฟงโดยใชศพั ทยากหรอื ศัพทวิชาการเหลา นี้ โดยแทท ่ีจรงิ แลว เขาจะพูดไดด ีกวาถาเขาใชภาษาธรรมดาที่ใชกนั ทั่วไปในชวี ติ ประจําวนั คาํ หรือวลที ีป่ ราศจากความหมาย ควรหลกี เลย่ี ง: “อะไรอยางเนย้ี ” “ดีพอสมควร” “พอใชไ ด”“ใชไ ดพ อสมควร” อะไรพวกเนีย้ นะฮะ” “เหลาเน้ียนะฮะ” “นะคะ” “นะครบั ”
-9-ควรระบุใหแจม แจง ควรบอกชือ่ ของสงิ่ หรอื บุคคลตา ง ๆ ควรพูดถงึ สง่ิ ท่ที า นหมายถงึ อยางเฉพาะเจาะจงวาคืออะไรแน ไมใ ช “สิง่ นัน้ ” “คนพวกน้ัน” “พวกอยางวา” ควรหลีกเลยี่ งคํากลาวในลักษณะตอไปน้ดี วยเชนกัน: กอนที่ขาพเจา จะเริม่ รายการ ขาพเจา ขอช้แี จงวา…” “ขา พเจา สามารถพูดเร่อื งนี้ไดเปนชั่วโมง ๆ เชยี วนะ” “ขา พเจาไมม ีเวลามากพอท่ีจะอภปิ รายเรือ่ งนใ้ี นรายละเอียดไดเ ตม็ ที่ แต…” “ขา พเจาคงจาํ เปนตองปลอ ยเรอ่ื งนีไ้ วเ อาไวคอยพดู กนั ในคราวหนากแ็ ลวกนั นะ” “ขา พเจา หวังวาขา พเจาคงจะไมท ําใหทานรสู ึกเบอ้ื หนายดวยเรื่องนี้ แต…” วลขี อความเหลา นไี้ มมปี ระโยชนใด ๆ ทั้งสิ้น และกอใหเ กิดอาการราํ คาญระคายเคืองได ควรเตรยี มตัวใหพ รอ มเปนอยางดเี พื่อวาทานจะไดไมต อ งเกิดความลังเลใจจนตองนําวลีขอ ความดังกลา วเหลาน้ันมาพูด องคประกอบทม่ี องเหน็ ได (VISUEL FACTORS) คนฟงสามารถเหน็ นกั พูดกอ นทเี่ ขาจะไดย ินนักพูดพูด มนัสามารถกอ ใหเกดิ แนวทศั นะหรือแนวความคดิ (OFINION) เกย่ี วกับผูพูดขึ้นไดเชนกนั กอนทเี่ ขาจะไดมโี อกาสพูดแมแ ตเพยี งคาํ เดยี ว “ถอมตน” หรอื“กา วรา ว” คนฟง อาจนกึ อยูใ นใจ หรอื “ชางดูแลวสบายตาเสียน่ีกระไร” ไมวาคาํ ตัดสินน้ีจะมีสวนถูกหรอื ผดิ นาเชือ่ ถือหรือไมก ็ตาม คําตดั สนิ เหลานกี้ ็ไดถ ูกสรา งข้นึ แลว นักพดู จึงจําตองพจิ ารณาเอาใจใสว า ลักษณะทา ทางของเขาที่ปรากฎแกสายตาคนฟง น้ันเปนอยา งไร
- 10 - องคป ระกอบทีอ่ าจมองเหน็ ไดน ย้ี ังมีความสาํ คญั สําหรบั เหตผุ ลอกี ประการหนงึ่ กค็ อื : ปรากฏการณแ หงการมอี ารมณร ว มหรอื การรูจกั “เอาใจเขามาใสใ จเรา” (EMPATRY)เรามกั จะนาํ ความรสู ึกของตวั เราเองเขาไปแทนที่หรอื ผกู พันกบั สง่ิ ทเ่ี ราเห็นเราตืน่ เตนเกรง็ ไปพรอมกันกับนกั กฬาผูกําลังแขงขนัอยใู นสนาม เศราโศกระทมไปกบั ตัวละครในภาพยนตรผูพูดทหี่ ลกุ หลิกลอกแลกเคลื่อนไหวตลอดเวลาทําใหค นฟง เกิดอาการไมส งบขึ้นได ถา เขาวางตัวใหส บายตาแตส งางามเปนธรรมชาติ คนฟง ก็จะรสู ึกผอนคลายไปดวยเชน กันและคนฟง จะเกิดมีความเชอ่ื มน่ั และเชื่อถอื ผูพดู ทมี่ คี วามเชอ่ื มนั่ ลักษณะการทรงตัว (POSTURE) ลักษณะการทรงตวั ที่ดนี น้ั ยอมประกอบขึ้นดว ยท้งั คําส่ังทว่ี า “ตงั้ ใจ ระวงั เอาใจใส (Attention)” และคําส่งั วา“ทําตัวใหส บาย ๆ (At ease;)”ดงั น้ันผพู ดู จะแนะแกค นฟงวาเขามที ง้ั ความตื่นตัวพรอมท่ีจะพูด และในขณะเดยี วกันกม็ สี ภาวะทางกายท่ีสบาย ๆ มีจิตใจท่ีสงบไมเ ครียด ขอ เสนอแนะสาํ หรบั การทรงตวั ที่ดใี นขณะท่ีพูดกบั คนฟง จํานวนมากพยายามรักษาระยะระหวา งสนเทา ใหอ ยใู กลกันไมห า งกนั มากจนเกินไปแตปลายเทาหา งกนั บางเลก็ นอ ย สน เทาอาจวางใหอยใู นแนวเดียวกันหรืออาจวางใหเหลอ่ื มกันโดยเทาขา งใดขา งหนึ่งวา งใหเ ยือ้ งไปขางหนา เลก็ นอ ย แตไมวาจะเปน ทาใดก็ควรระวังไมใหส น เทาหางกันมากเกนิ ไป นํา้ หนกั ของรางกายควรใหอ ยบู นองุ เทา สองขาง โดยเฉพาะอยางยิง่ ตรงบรเิ วณกลามเนอ้ื สว นใกลห วั แมเทา ของเทาทง้ั สองขาง ถาในกรณที ่เี ทาขางหนง่ึ อยูเย้อื ง
- 11 -ไปขา งหนา เทาขางท่อี ยขู า งหลังจะทําหนาทร่ี บั นา้ํ หนัก สวนเทา ท่ีอยูขา งหนาจะทาํ หนาท่ีเปน จดุ ที่สรางความสมดุล ยืนยึดตวั ข้ึน เกรง็ แขมวหนาทอ งพอใหรูสึกวา กลา มเน้ือไดทาํ งานยดื หนาอกและกลา มเน้ือไหลใ หต ึง ไมเ ชดิ คางแตตงั้ ศรี ษะใหตรง ลองขยับเคลือ่ นไหวแขนและมอื ในลักษณะใดกไ็ ดท ีส่ ะดวกสําหรบั ทานและมองดูแลว สงา งามและเปน ธรรมชาตแิ กผทู ่ีมองดูอยู ปลอ ยแขนและมือลงตามสบายไปขา งลาํ ตวั ; ลอกยกแขนขน้ึ ในทา กอดอก ; หรอื เอาไปไขวก ันไวขา งหนา ระหวา งชวงระยะเวลาของการพูดของทา นโปรดอยา ลังเลที่จะเอามือลวงกระเปา ขางใดขางหนึ่งถาทา นตองการ คาํ ถามทวี่ า “ฉันจะทาํ อยา งไรดีกับมือทงั้ สองขา ง? นน้ั เปนปญ หาในทางจิตวิทยามากกวา ปญ หาทางกายภาพ คําตอบก็คอื “โปรดเอาใจใสม ุง แตเฉพาะสง่ิ ทท่ี านกําลงั พดู อยู และคนฟง จะไมสังเกตมองมอื ของทาน” ถาหากวามโี ตะ ทส่ี าํ หรับยนื พดู (SPEAKER’S STAND) ทา นอาจจะใชม ือจบั ยึดมันหรือวางแขนขา งหนง่ึ ทาวพกั บนทส่ี ําหรบั ยืนพูดได แตโปรดอยายืนพึงในลักษณะชะโงกล้ํามาขา งหนา หรือยืนโดยใหลาํ ตวั ของรางกายพาดพกั ไวบ นที่สาํ หรบั ยนื พูดนนั้ จนทําใหดูประหนึง่ วา มันเปน ราวรั้วหรอื ไมค ้ํายนั ไวใ หท า นสามารถยนื อยไู ดไ มลม ถาหากวามโี ตะ ตวั หน่ึงต้ังไวให ทานอาจจะวางจดบันทึกยอ ไวบนโตะ น้ันไดถาทา นประสงค แตห ลงั จากนั้นโปรดยืนใหหางโตะ นั้นออกไป ที่สาํ คัญคือควรหลกี เลย่ี งลักษณะการยืนทอดน้ําหนักของรา งกายทงั้ หมดลงบนที่สําหรบั ยนื พดู หรอื นง่ั ในลกั ษณะเดยี วกนั ท่โี ตะที่เขาจดั ไวใ ห หรือใชสิง่ เหลา นี้ราวกบั วาทา นเองตองการไมคาํ้ ยัน
- 12 - โดยทวั่ ไปแลว พงึ หลีกเล่ียงลกั ษณะท่เี ครียดเกร็งจนดแู ขง็ และลักษณะท่มี ากเกินไปจากความเปนธรรมชาติ พยายามสรางลักษณะที่มีความเปนธรรมชาตแิ ละลกั ษณะท่แี สดงใหเห็นวา มีความต่ืนตัวเตรียมพรอมท่จี ะพดูโปรดสรา งความมั่นใจวา ลักษณะการทรงตัวท่ีเปน พืน้ ฐานเชนการยืน การน่ังน้ันจะมีสวนชวยใหท านสามารถเคลื่อนไหวหรือแสดงอากัปกริยาทาทางไดอยา งสะดวก ทกุ อยา งจะดาํ เนินไปดวยดีถาทาน “ม่ันใจ” ตัวเอง ขออนุญาตคดั ลอก ตัดตอน เอกสารประกอบการฝก อบรมหลกั สตู รวิทยากรของ กรอ. โดย รศ.ดร.ศกั ดา ปน เหนงเพชร แลว วชั รี ถนอมรตั น
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: