1
2
3
4
1
5 - ไม่มีธาตคุ าร์บอน (C) เปน็ องคป์ ระกอบหลกั - เปน็ สารทม่ี ีโมเลกุลขนาดเล็กและมีโครงสร้างท่ไี มซ่ บั ซอ้ น - มปี รมิ าณที่ไมเ่ ท่ากัน บางชนิดมมี าก บางชนดิ มนี ้อย แตล่ ้วนมีความสาคัญตอ่ การดารงชีวิตท้ังสิ้น เชน่ 1) น้ำ (Water) 2) แร่ธำตุ (Mineral)
6 > เป็นสำรประกอบทพี่ บมำกในส่ิงมีชีวิต > มสี ภำพเป็นกลำง > มสี ตู รทำงเคมเี ป็น H2O โดยอะตอมของ H และ O ยดึ เหนี่ยวกนั ดว้ ยพนั ธะโคเวเลนต์ (Covalent bond) > นำ้ เปน็ โมเลกุลมีข้วั (Polar)
7 > นำ้ มีสมบัติเปน็ ของเหลวที่ อณุ หภมู ิห้อง > โมเลกลุ ยดึ เหน่ียวกันด้วยพนั ธะ ไฮโดรเจน (Hydrogen bond) > เปน็ ตัวทำละลำยท่ีดี เนอื่ งจำกมี กำรแสดงประจบุ วกและลบใน โมเลกุลเดยี วกัน > สำรที่จะละลำยในนำ้ ได้จะตอ้ ง เปน็ สำรมีข้ัว หรือแตกตัวให้ไอออน
8 สำรทม่ี ีสมบตั ิละลำยน้ำได้ดี สำรที่มสี มบตั ไิ ม่ละลำยน้ำ เรียกวำ่ เรยี กว่ำ ไฮโดรฟิลิก ไฮโดรโฟบิก (Hydrophilic) (Hydrophobic)
9 นำ้ ในร่ำงกำย มีควำมสำคัญอย่ำงไร 1. ชว่ ยรกั ษำสมดลุ อณุ หภูมิของรำ่ งกำย 2. ชว่ ยรักษำสมดุลกรด-เบสในร่ำงกำย 3. ช่วยทำให้เกิดปฏิกิรยิ ำเคมีภำยในเซลล์ 4. ช่วยในกำรลำเลยี งและขนสง่ สำร 5. เป็นตัวทำละลำย
10 แรธ่ ำตุ เป็นกลุม่ ของสำรอนินทรีย์ที่รำ่ งกำยขำดไม่ได้ ซง่ึ แร่ธำตุที่ส่งิ มชี วี ิตตอ้ งกำรจะตอ้ งอยใู่ นรปู ของไอออน เช่น Na+ K+ และ Ca2+ เปน็ ต้น ตัวอย่ำงผลจำกกำรขำด Ca2+ ในสัตวแ์ ละพชื
11 แร่ธำตุ มีควำมสำคัญอยำ่ งไร 1. เป็นส่วนประกอบของเนื้อเยื่อต่ำงๆ เชน่ กระดูกและฟัน 2. เปน็ สว่ นประกอบของโปรตนี ฮอร์โมน และเอนไซม์ เช่น เฮโมโกลบิน (hemoglobin) ฮอรโ์ มนไทรอกซนี 3. ชว่ ยควบคมุ ควำมเป็นกรด–เบสของร่ำงกำย 4. ชว่ ยควบคุมสมดลุ นำ้ ของรำ่ งกำย 5. เปน็ ตวั เรง่ ปฏิกิรยิ ำหลำยชนิดในร่ำงกำย
2
คำรโ์ บไฮเดรต
คำร์โบไฮเดรต (Carbohydrate) 12 คารโ์ บไฮเดรต เป็นแหล่งพลงั งานหลกั ของส่ิงมีชวี ิต แป้ง Starch ไกลโคเจน Glycogen
คำรโ์ บไฮเดรต (Carbohydrate) 13 - ประกอบด้วยธาตคุ ารบ์ อน ไฮโดรเจน และออกซเิ จน - มีสตู รโมเลกลุ เปน็ CnH2nOn โดยที่ n มีคา่ ตั้งแต่ 3 ขนึ้ ไป ตัวอย่าง เช่น C6H12O6 และ C3H6O3 - มโี มเลกุลขนาดเล็กทีส่ ดุ เรียกว่า โมโนแซก็ คาไรด์ (monosaccharide)
คำรโ์ บไฮเดรต (Carbohydrate) 14 คารโ์ บไฮเดรต จะแบง่ ออกตามขนาดโมเลกลุ ได้เปน็ 3 กลุ่ม มอนอแซคคำไรด์ (Monosaccharide) โอลโิ กแซคคำไรด์ (Oligosaccharide) พอลแิ ซคคำไรด์ (Polysaccharide)
คำร์โบไฮเดรต (Carbohydrate) : น้ำตำล 15 - มโี มเลกลุ ขนาดเลก็ ท่ีสุด อาจเรียกว่า “นา้ ตาลโมเลกุลเดยี่ ว” - ประกอบดว้ ยคารบ์ อน 3-7 อะตอม จำนวนอะตอม ชือ่ เรียกโมโนแซก็ คำไรด์ คำรบ์ อน 3 ไตรโอส (Triose) 4 เทโทรส (Tetrose) 5 เพนโตส (Pentose) 6 เฮกโซส (Hexose) 7 เฮพโตส (Heptose)
คำรโ์ บไฮเดรต (Carbohydrate) : โครงสรำ้ งโมเลกุลนำ้ ตำล 16 Tetrose Pentose Hexose
1. มอนอแซคคำไรด์ (Monosaccharide) 17 Glucose Galactose Fructose (C6H12O6) (C6H12O6) (C6H12O6) พบในข้าว พบในนมและ พบในนา้ เชือ่ ม ผลติ ภณั ฑจ์ าก ผลไม้ นา้ ผง้ึ ผลไม้ นา้ ผึ้ง ผัก นม ผัก
2. โอลโิ กแซคคำไรด์ (Oliosaccharide) 18 - ประกอบดว้ ย Monosaccharide ต้งั แต่ 2 – 10 โมเลกลุ - Monosaccharide แตล่ ะโมเลกลุ จะเชอื่ มต่อกนั ดว้ ย พนั ธะไกลโคซดิ ิก (Glycosidic bond) - การเชื่อมพันธะแตล่ ะครัง้ จะได้นา้ ออกมา 1 โมเลกลุ Monosaccharide subunit Disaccharide
2. โอลโิ กแซคคำไรด์ (Oligosaccharide) 19 “Disaccharide” ท่ีสาคัญ นา้ ตาล Sucrose Glucose + Fructose นา้ ตาล Maltose Glucose + Glucose นา้ ตาล Lactose Glucose + Galactose
3. พอลแิ ซคคำไรด์ (Polysaccharide) 20 - เปน็ คาร์โบไฮเดรตโมเลกลุ ใหญ่ - ประกอบดว้ ย Monosaccharide ตัง้ แต่ 11 – 1000 โมเลกลุ ท่ตี ่อกนั เป็นสายยาว - บางชนิดตอ่ กันเปน็ สายโซย่ าวตรง บางชนิดแตกก่ิง แปง้ ไกลโคเจน เซลลูโลส
3. พอลิแซคคำไรด์ (Polysaccharide) 21 ไคตนิ (Chitin) เพกตนิ (Pectin) N-acetyl glucosamine Galacturonic acid
ควำมสำคญั ของคำร์โบไฮเดรต 22 - เป็นแหลง่ พลงั งานทีส่ าคญั ในเซลล์ (กลูโคส) - เปน็ ส่วนประกอบและโครงรา่ งของเซลล์ - เปน็ อาหารสะสมของพืชและสัตว์ (แปง้ ไกลโคเจน)
โปรตนี
23 - ประกอบดว้ ยธาตุ C H O และ N - นอกจากนี้ยังมีธาตอุ น่ื ๆ ประกอบดว้ ย เชน่ P S และ Fe - มีโมเลกลุ ขนาดเล็กที่สดุ เรียกวา่ กรดอะมิโน (Amino acid)
24 - เปน็ หนว่ ยยอ่ ยทเี่ ลก็ ท่สี ดุ ของโปรตนี - หมฟู่ ังกช์ นั หลกั คอื Amino group และ Carboxyl group ซึ่งทาหนา้ ท่ีรบั และให้อเิ ลก็ ตรอนในการเชือ่ มพนั ธะ
25 กรดอะมิโน 20 ชนิด จะแตกต่ำงกนั ท่ี R
26 กรดอะมโิ นจำเปน็ กรดอะมโิ นไม่จำเป็น อาร์จีนีน (Arginine)* อะลานนี (Alanine) ฮสิ ทดี นี (Histidine)* แอสพาราจนี (Asparagine) ไอโซลวิ ซีน (Isoleucine) กรดแอสพาตกิ (Aspartic acid) ซีสเทอนี (Cysteine) ลิวซนี (Leucine) กรดกลูทามกิ (Glutamic acid) ไลซนี (Lysine) กลทู ามีน (Glutamine) เมไทโอนีน (Methionine) ไกลซีน (Glycine) ฟีนิลอะลานีน (Phenylalanine) โพรลีน (Proline) ทรีโอนีน (Threonine) ทรปิ โตเฟน (Tryptophan) ซีรนี (Serine) วาลีน (Valine) ไทโรซีน (Tyrosine)
27
28 พันธะเพปไทด์ (Peptide bond)
29
Dipeptide 30 Tripeptide Polypeptide
31 ปฐมภมู ิ ทตุ ยิ ภมู ิ ตติยภูมิ จตุรภมู ิ (Primary (Secondary (Tertiary (Quaternary structure) structure) structure) structure)
32 ฮีโมโกลบนิ เอนไซม์
33 คอลลำเจน มัดกลำ้ มเนอ้ื เครำตนิ
LIPID ลพิ ดิ ลิพิด
34 - ประกอบด้วยธาตุ C H และ O - ละลายได้ดีในตวั ทาละลายอินทรยี ์ เช่น เบนซนี เอทานอล - ถกู แบง่ ออกเปน็ 3 ประเภท ตามโครงสรา้ ง 1. ลิพดิ เชิงเดีย่ ว (Simple lipid) 2. ลิพิดเชงิ ซ้อน (Complex lipid) 3. ลิพิดอนพุ นั ธ์ (Derived lipid)
35 ประกอบดว้ ย กรดไขมัน (Fatty acid) กลีเซอรอล (Glycerol) กรดไขมนั ก ีลเซอรอล กรดไขมนั กรดไขมัน โครงสรา้ งอย่างงา่ ย ไตรกลเี ซอไรด์ (Triglyceride)
36 กรดไขมัน กรดไขมันอมิ่ ตัว กรดไขมนั ไม่อม่ิ ตัว (Saturated fatty acid) (Unsaturated fatty acid)
37 กรดไขมัน (fatty acid) กรดไขมันจาเปน็ กรดไขมนั ไม่จาเปน็ (Essential fatty acid) (Nonessential fatty รา่ งกายสงั เคราะห์ไม่ได้ acid) เชน่ ไลโนเลอกิ รา่ งกายสังเคราะห์เองได้ ลิโนเลนิก เช่น บวิ ไทริก ปาลม์ ิตกิ
38 ประกอบดว้ ย กรดไขมนั (Fatty acid) กลเี ซอรอล (Glycerol) สารประกอบอ่นื สำรประกอบ ก ีลเซอรอล อืน่ ๆ กรดไขมัน กรดไขมนั
39 ฟอสโฟลิพิด ไกลโคลพิ ดิ Phospholipid Glycolipid
40
41 สเตอรอยด์ เทสโทสเทอโรน โพรเจสเทอโรน คอเลสเตอรอล testosterone progesterone cholesterol
42 เรำควรกิน Cholesterol หรอื ไม่ ? ไขมนั อดุ ตนั ในเสน้ เลือด เปน็ สว่ นประกอบของเยอ่ื หุ้มเซลล์
43 - เป็นสารชวี โมเลกลุ ทม่ี ขี นาดใหญ่ - ทาหน้าที่เก็บและถ่ายทอดขอ้ มลู ทางพนั ธกุ รรม และควบคมุ การเจรญิ เตบิ โตของรา่ งกาย
Search